title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง OECD ย้ำรัฐบาลไทยยึดหลักธรรมาภิบาล ต่อต้านการทุจริต ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง OECD ย้ำรัฐบาลไทยยึดหลักธรรมาภิบาล ต่อต้านการทุจริต ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง OECD ย้ำรัฐบาลไทยยึดหลักธรรมาภิบาล ต่อต้านการทุจริต ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ วันนี้ (23 มีนาคม 2564) เวลา 17.30 น. (เวลาท้องถิ่นประเทศไทย ซึ่งตรงกับเวลา 11.30 น. ของกรุงปารีส) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดงานสัมมนา 2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เวทีนี้จัดขึ้นโดย องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลแนวความคิดและการปฏิบัติ สำหรับปีนี้ OECD ให้ความสำคัญกับบทบาทของความซื่อตรงและต่อต้านการทุจริตในการฟื้นตัวอย่างยืดหยุ่นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการมีส่วนร่วมของไทยในเวทีนี้จะเป็นโอกาสในการนำเสนอบทบาทของรัฐบาลไทยในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เสริมสร้างธรรมาภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของความท้าทายนี้ โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในงานสัมมนาฯ ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและการเสริมสร้างความซื่อตรง โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกที่ได้ประเมินตนเองตามกรอบของ OECD ครบทุกมิติ นำข้อเสนอแนะของ OECD มาเป็นมาตรการในแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนำมาปรับปรุงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ในการบริหารราชการ ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่บนความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่งเสริมการเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) ผ่านช่องทางและความเชื่อมโยงทางเทคโนโลยีต่างๆ และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของรัฐ ผ่านการแจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลเพื่อต่อต้านการทุจริต ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณ OECD สำหรับความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ของประเทศไทย ภายใต้โครงการ OECD-Thailand Country Programme ซึ่งในเดือนเมษายน 2564 ไทยจะมีการเปิดตัวรายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ ระยะที่ 2 หวังว่าไทยจะเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ ได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การสานพลังร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นพลังสำคัญ ทั้งนี้ ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ประเทศไทยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน บูรณาการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรอบด้าน จึงทำให้ตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือประชาชนได้ทั่วถึงทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม และส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ขยาย 4 ช่องจราจร ทล. 12 สาย บ.นาไคร้- อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างไทย-เมียนมาร์-สปป.ลาว-เวียดนาม
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 กรมทางหลวง ขยาย 4 ช่องจราจร ทล. 12 สาย บ.นาไคร้- อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างไทย-เมียนมาร์-สปป.ลาว-เวียดนาม กรมทางหลวง ขยาย 4 ช่องจราจร ทล. 12 สาย บ.นาไคร้- อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างไทย-เมียนมาร์-สปป.ลาว-เวียดนาม โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 12 สาย บ.นาไคร้-อ.คำชะอี ตอน หนองสูง - อ.คำชะอี เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งตามแนวตะวันออก - ตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้านระหว่าง สหภาพเมียนมาร์ - ไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - ประเทศเวียดนาม (East West Corridor) ทางหลวงสายนี้อยู่ในเขตพื้นที่ จ.มุกดาหาร ระหว่าง กม. 721+000 - กม.740+708 ระยะทางยาว 19.708 กิโลเมตร เดิมมีขนาด 2 ช่องจราจร (ไป - กลับ) แต่เนื่องจากปัจจุบันมีการจราจรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง กรมทางหลวงจึงดำเนินการก่อสร้างขยายเป็นทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.5 เมตร คันทางกว้างรวม 11 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบร่อง กว้าง 9.1 เมตร ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต ก่อสร้างสะพานลอย 1 แห่ง พร้อมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง งบประมาณ 1,196,376,000 บาทเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมและย่นระยะทางจากจังหวัดมุกดาหารไปยัง จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดขอนแก่น ได้ใกล้ขึ้นอีกกว่า 25 กิโลเมตร ส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ระบบคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวของภาคอีสาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ อาคารอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก รพ.แกลง จ.ระยอง
วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ อาคารอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก รพ.แกลง จ.ระยอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข วางศิลาฤกษ์อาคารอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก 6 ชั้น โรงพยาบาลแกลง จังหวัดระยอง รองรับการขยายตัวตามโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข วางศิลาฤกษ์อาคารอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก6 ชั้น โรงพยาบาลแกลง จังหวัดระยอง รองรับการขยายตัวตามโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) วันนี้ (7 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลแกลง จังหวัดระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก 6 ชั้น โดยมีนายยุทธพล องอาจอิทธิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 6 และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมพิธี ดร.สาธิต กล่าวว่า โรงพยาบาลแกลงได้เพิ่มขีดความสามารถด้านการรักษาพยาบาล และด้านอุบัติเหตุฉุกเฉินให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย รองรับผู้ป่วยตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงโรงพยาบาล ตอบสนองต่อจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น จากการที่ประชากรย้ายเข้าพื้นที่ มีการขยายตัวตามโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งมีเส้นทางคมนาคมที่สำคัญผ่านไปสู่จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราดและประเทศกัมพูชาทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะเข้ามามากขึ้นจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการก่อสร้างอาคารรองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุ และผู้ป่วยนอก ให้ได้รับการบริการที่สะดวก เพื่อทดแทนอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุที่มีสภาพแออัดที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน สำหรับอาคารอุบัติเหตุ ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยหนัก มีทั้งหมด6 ชั้น ภายในอาคารประกอบด้วย ชั้น 1 ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอก ห้องผู้ป่วยหนัก ห้องบัตรเวชระเบียน ห้องจ่ายยา ชั้น 2 ห้องตรวจโรคเฉพาะทาง ตรวจหู ตา คอ จมูก นรีเวช กุมารเวช อายุรกรรม ชั้น 3 ห้องทันตกรรม คลินิกการแพทย์แผนไทย ชั้น 4 สำนักงานพัฒนาระบบบริการ ศูนย์คอมพิวเตอร์ ชั้น 5 สำนักงานด้านอำนวยการ งานบริหารทั่วไป ชั้น 6 ห้องประชุมใหญ่ และห้องประชุมการประชุมทางไกล ได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวน 137,500,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 2 ปี จะแล้วเสร็จในปี 2566 ทั้งนี้ โรงพยาบาลแกลงเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก200 เตียง ในปี 2563 มีผู้รับบริการเป็นผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 708 ราย ผู้ป่วยในเฉลี่ยวันละ 135 ราย เฉพาะแผนกฉุกเฉิน-อุบัติเหตุ เฉลี่ยวันละ 104 ราย เข้ารับบริการทั้งปี 29,873 ราย โรคที่พบส่วนใหญ่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมอง ******************************7 มีนาคม 2564 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2564
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 พม. จัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2564 พม. จัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2564 วันนี้ (10 มี.ค. 64) เวลา 09.00 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” ภายใต้กิจกรรมจิตอาสา 1 กระทรวง 1 การให้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในยุค New Normal เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 โดยมีคณะผู้บริหาร และข้าราชการสังกัดหน่วยงานกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า ด้วยวันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันข้าราชการพลเรือน โดยมีการจัดงานวันข้าราชการพลเรือนขึ้นทุกปี และในปี พ.ศ. 2564 นี้ ได้กำหนดจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “ข้าราชการไทย เข้มแข็งในความดี มีจิตอาสา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” โดยทุกกระทรวงได้ร่วมใจกันจัดกิจกรรมจิตอาสา “1 กระทรวง 1 การให้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ในยุค New Normal” ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อการจัดกิจกรรม และวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันข้าราชการพลเรือน กระทรวง พม. จึงได้จัดโครงการ “ พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” ภายใต้กิจกรรมจิตอาสา 1 กระทรวง 1 การให้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในยุค New Normal เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 โดยมีศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดทีมหน่วยเคลื่อนที่มารับบริจาคโลหิตจากผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 200 คน นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดโครงการครั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการกระทรวง พม. ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเกียรติและหน้าที่ของการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อสร้างคุณค่าในการปฏิบัติหน้าที่และมีส่วนร่วมกับประชาชนในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ทั้งนี้ การบริจาคโลหิต ถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้อื่นในสังคมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน)
วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564 การขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) การขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ระหว่างวันที่ 8 – 26 มีนาคม 2564 ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว จะทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2564 เป็นต้นไป นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ระหว่างวันที่ 8 – 26 มีนาคม 2564 ว่า ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว จะทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 7,000 บาท และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 โดยประชาชนที่ประสงค์จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ในท้องที่เพื่อดำเนินการประสานการจัดหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ หรือติดต่อที่สาขาหรือจุดให้บริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยการเสียบบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Dip Chip) ผ่านเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture หรือ EDC) พร้อมกำหนดรหัส (PIN Code) ที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยฯ ก่อน จึงจะสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ได้ นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 16 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 50,182 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.6 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 68,139 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 2,494 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.3 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 120,815 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการและผู้แทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานโครงการของรัฐครั้งที่3/2564ณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีผู้แทนจากกรมชลประทานหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้แทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมประชุมฯเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาแก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการต่างๆและรับทราบผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวน5โครงการนอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาประเด็นการแก้ไขปัญหาดังนี้ 1.พิจารณาเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเขตโครงการชลประทานที่สืบเนื่องจากมติคณะกรรมการร่วมฯเมื่อวันที่10กุมภาพันธ์2564 ได้แก่1)โครงการฝายกุมภวาปีจังหวัดอุดรธานี ในพื้นที่อำเภอกุมภวาปีจำนวน59แปลงเนื้อที่1,509-2-01ไร่อัตราไร่ละ193,146บาทในพื้นที่อำเภอประจักษ์ศิลปาคมจำนวน163แปลงเนื้อที่2,974-0-96ไร่อัตราไร่ละ98,017บาท2)โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเชิงจังหวัดสุรินทร์ในพื้นที่อำเภอกาบเชิงจำนวน76แปลงเนื้อที่575-3-35ไร่อัตราไร่ละ182,623บาทและ3)โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านทำนบจังหวัดสุรินทร์ในพื้นที่อำเภอบัวเชดจำนวน64แปลงเนื้อที่512-1-56ไร่อัตราไร่ละ194,555บาท 2.พิจารณาให้ความเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายห้วยหลวงจังหวัดอุดรธานีตามมติที่ประชุมคณะกรรมการร่วมฯเมื่อวันที่10กุมภาพันธ์2564ซึ่งเห็นชอบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯใน2อำเภอได้แก่อำเภอบ้านดุงจำนวน125แปลงเนื้อที่973-1-48ไร่ในอัตราไร่ละ84,849บาทอำเภอสร้างคอมจำนวน91แปลงเนื้อที่845-3-43ไร่ในอัตราไร่ละ301,892บาท และ3.พิจารณาแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนน้ำอูนจังหวัดสกลนครกรณีขอรับเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดิน(เพิ่มเติม)เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนน้ำอูนจังหวัดสกลนครที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วจำนวน2,285ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40113
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ม33เรารักกัน” ขยายเวลารับสิทธิยืนยันตัวตน ถึง 31 พ.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 “ม33เรารักกัน” ขยายเวลารับสิทธิยืนยันตัวตน ถึง 31 พ.ค. นี้ ... อัปเดตความคืบหน้า การปรับปรุงรายละเอียดโครงการ "ม.33เรารักกัน" ที่ผ่านความเห็นชอบจากครม. นัดล่าสุด ให้ขยายเวลากดรับสิทธิ์และยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จากเดิมวันที่ 15 - 21 มี.ค. เป็นวันที่ 15 มี.ค. - 31 พ.ค. 64 หากไม่กดใช้งาน และยืนยันตัวตน จะถือว่าสละสิทธิ์ โดยการโอนจ่ายวงเงินแบ่งเป็นช่วง ๆ ดังนี้ . – กลุ่มที่ 1 ผู้ที่กดใช้งานและยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 15 – 21 มี.ค. 64 จะได้รับวงเงินผ่าน แอปฯ เป๋าตัง สัปดาห์ละ 1,000 บาท ทุก ๆ วันจันทร์ ต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์ โดยจะได้รับวงเงินครั้งแรกวันที่ 22 มี.ค. 64 จากนั้นจะได้รับวงเงินสัปดาห์ละ 1,000 บาท ในวันที่ 29 มี.ค., 5 และ 12 เม.ย. 64 – กลุ่มที่ 2 ผู้ที่กดใช้งานและยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 22 มี.ค. – 11 เม.ย. 64 จะได้รับวงเงินตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 64 และจะได้รับวงเงินสัปดาห์ละ 1,000 บาท ทุก ๆ วันจันทร์ ต่อเนื่องจนครบ 4,000 บาท – กลุ่มที่ 3 ผู้ที่กดใช้งานและยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 12 เม.ย. – 31 พ.ค. 64 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่กดใช้งานครั้งเดียว จำนวน 4,000บาท #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนสวมใส่ผ้าไทยและผ้าที่ผลิตในประเทศไทย ตามพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นำ OTOP แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนสวมใส่ผ้าไทยและผ้าที่ผลิตในประเทศไทย ตามพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นำ OTOP แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนสวมใส่ผ้าไทย และผ้าที่ผลิตในประเทศไทย ตามพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นำ OTOP แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน วันนี้ (23 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ผ้าไทย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทาน “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ให้กับกลุ่มทอผ้าใน 76 จังหวัด พร้อมประชาสัมพันธ์ การใส่ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา อีกด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 รณรงค์การใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาผ้าไทย พร้อมทั้งสนับสนุน โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) อีกด้วย ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนมกราคม 2564 มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าชุมชนประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายกว่า 9,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พลเอก อนพุงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชม ผลิตภัณฑ์ผ้าไทยที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง ด้วยพระปรีชาสามารถในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงสืบสาน รักษาและต่อยอด ตามพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 โดย พระราชทานแนวทางการวิจัยพัฒนา (R & D) ออกแบบลวดลายผ้าไทย สามารถใส่ได้ทุกโอกาส ทุกกิจกรรม ส่งเสริมศักยภาพผ้าไทยให้มีความทันสมัย ซึ่งนายกรัฐมนตรียังสั่งให้กรมการพัฒนาชุมชนขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานผ้าไทย เครื่องประดับ เครื่องใช้และสินค้าชุมชนอื่น ๆ เพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ผลิต เพื่อจำหน่ายทั้งแบบออฟไลน์ รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อาทิ ตลาดเส้นไหม ที่ส่งเสริมการขายสินค้าของเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อให้ครบห่วงโซ่การผลิต ยังเป็นการตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ด้วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ จากภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนให้ประชาชนสวมใส่ผ้าไทยหรือผ้าที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอและผ้าไทยด้วย .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอบคุณชาวบ้านสุราษฎร์เป็นอาจารย์สอนกระท่อมจนปลดล็อกสำเร็จ ยกเป็นกฎหมายของประชาชน ย้ำเตือนอย่าพึ่งปลูกรอหลังประกาศราชกิจจา ๙๐ วัน เตรียมกลับไปเร่งกฎหมา
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอบคุณชาวบ้านสุราษฎร์เป็นอาจารย์สอนกระท่อมจนปลดล็อกสำเร็จ ยกเป็นกฎหมายของประชาชน ย้ำเตือนอย่าพึ่งปลูกรอหลังประกาศราชกิจจา ๙๐ วัน เตรียมกลับไปเร่งกฎหมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอบคุณชาวบ้านสุราษฎร์เป็นอาจารย์สอนกระท่อมจนปลดล็อกสำเร็จ ยกเป็นกฎหมายของประชาชน ย้ำเตือนอย่าพึ่งปลูกรอหลังประกาศราชกิจจา ๙๐ วัน เตรียมกลับไปเร่งกฎหมายรองทำให้เสร็จทันกำหนด ในวันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ณ ต.ทุ่งเตา อ.นาสาร จ.สุราษฎร์ธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงานการควบคุมและใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อม ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่อง ๑ ใน ๑๓๕ หมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ที่มีการใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การที่ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... หรือกฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อม ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว ตนต้องขอขอบคุณชาวบ้าน อ.นาสาร รวมถึงอีกหลายที่ ที่ให้ความรู้กับตนมาตลอด พี่น้องชาวสุราษฎร์ธานีถือเป็นอาจารย์ให้ตนเรื่องพืชกระท่อม เพราะเมื่อมารับฟังความรู้แล้ว เมื่อตนกลับไปคิดว่าเราน่าจะทำกฎหมายนี้ได้ จึงเริ่มคิกออฟการร่างกฎหมาย และพยายามมาตลอดที่จะทำให้สำเร็จเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างสูงสุด ตนขอยกกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายของประชาชน และหลังจากนี้จะต้องเร่งทำกฎหมายรอง เพื่อป้องกันเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี รวมทั้งไม่ให้นำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์และวิถีชีวิตชาวบ้าน รวมถึงการควบคุมปริมาณการปลูกในเชิงพาณิชย์ไม่ให้มากเกินความต้องการของตลาดจนราคาตกต่ำ ทั้งนี้ตนต้องเตือนชาวบ้านว่าอย่าพึ่งปลูกเพราะตอนนี้กฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ ต้องรอหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๙๐ วันก่อน "ที่นี่เหมือนเป็นห้องสมุดในการมาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพืชกระท่อม เพราะชาวบ้านได้ใช้กันมานานตามวิถีชีวิตปกติ เช่น การเคี้ยวใบกระท่อมสด การนำมาชงชา หรือการต้มน้ำดื่มสำหรับตนเองในกลุ่มชาวไร่ชาวสวน รวมถึง รักษาอาการหรือโรคต่าง ๆ เช่น อาหารไอ ท้องร่วง ปวดท้อง วันนี้ตนมาอีกครั้งเพื่อขอความรู้และฟังความเห็นต่างๆเพื่อนำไปทำกฎหมายรอง ซึ่งเราจะต้องเร่งทำให้เสร็จเพราะมีระยะเวลาจำกัด หากทำไม่สำเร็จจะไม่มีอะไรควบคุม โดยเฉพาะการนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรม เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ"นายสมศักดิ์ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้ร่วมทดลองเก็บใบกระท่อมกับชาวบ้าน โดยมีชาวบ้านมาสวมกอด กล่าวด้วยความดีใจ ขอบคุณรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมศักดิ์ และกระทรวงยุติธรรม ที่ร่วมกันทำกฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อมจนสำเร็จหลังจากที่ชาวบ้านรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ๔๐ ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารปรับอากาศ สาย 132 พระโขนง (สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - การเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี)
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารปรับอากาศ สาย 132 พระโขนง (สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - การเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เปิดเส้นทางเดินรถโดยสารปรับอากาศ สาย 132 เส้นทางพระโขนง (สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - การเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนในการเดินทาง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เปิดเส้นทางเดินรถโดยสารปรับอากาศ สาย 132 เส้นทางพระโขนง (สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - การเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนในการเดินทาง โดยจะเริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ สาย 132 ได้ยุติการเดินรถตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562ส่งผลให้ประชาชนที่พักอาศัยบริเวณการเคหะแห่งชาติ (บางพลี) ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีรถโดยสารประจำทางวิ่งให้บริการ ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง ขสมก. มีความห่วงใยประชาชน จึงเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารปรับอากาศ สาย 132 วิ่งระหว่างพระโขนง (สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - การเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนในการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศยูโรทู (ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น NGV) จำนวน 15 คัน จัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทาง ในอัตรา 13, 15, 17, 19, 21, 23 และ 25 บาท ให้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น. โดยมีรายละเอียดเส้นทาง ดังนี้ - เที่ยวไป เริ่มต้นจากอู่บางพลี ไปตามถนนโครงการการเคหะแห่งชาติ (บางพลี) ผ่านการเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบางนา - ตราด ถึงสี่แยกบางนา เลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท สุดเส้นทางที่พระโขนง (บริเวณสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) - เที่ยวกลับ เริ่มต้นจากพระโขนง (บริเวณสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช) ไปตามถนนสุขุมวิท ถึงสี่แยกบางนา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบางนา - ตราด ถึง กม.23 ขึ้นสะพานกลับรถ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนโครงการการเคหะแห่งชาติ (บางพลี) ผ่านการเคหะแห่งชาติโครงการวาระที่ 2 (บางพลี) สุดเส้นทางที่อู่บางพลี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th facebook [email protected] หรือ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39616
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ร่วมมือ JICA ศึกษาข้อมูลทางวิชาการเพื่อพัฒนา M-Map 2
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง ร่วมมือ JICA ศึกษาข้อมูลทางวิชาการเพื่อพัฒนา M-Map 2 วันที่ 1 มี.ค. 2564 ณ ห้องประชุมชั้น 2 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง พร้อมด้วย ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ให้การต้อนรับ Mr. Takahiro MORITA, Chief Representative และเจ้าหน้าที่จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) โดยได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับโครงการ “Formulation of the Second Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region (M-MAP2) Project” ของ JICA ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับการศึกษาเพื่อพัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ความต้องการเดินทางด้วยระบบรางและการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 ของ ขร. โดยการประชุมหารือในวันนี้ ขร. และ JICA ได้มีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการ Record of Discussion (R/D) ภายใต้การดำเนินโครงการ “Formulation of the Second Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region (M-MAP2) Project” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในภาพรวมของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ลดความซ้ำซ้อน เกิดการบูรณาการร่วมกันระหว่างโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตการเดินทางของประชาชนให้มีความรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการการศึกษาเพื่อพัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ความต้องการเดินทางด้วยระบบรางและการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 นี้ เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าที่มีความครอบคลุมพื้นที่ที่มีความต้องการเดินทางสูงแต่โครงข่ายยังเข้าไม่ถึง เพื่อบรรเทาการจราจรติดขัดในพื้นที่ศูนย์กลางเมืองกรุงเทพมหานคร รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในภาพรวมของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด ลดความซ้ำซ้อน เพื่อลดการลงทุนและงบประมาณในโครงข่ายที่ไม่มีความจำเป็นในสภาวการณ์ปัจจุบัน และพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและแนวคิดการวางผังเมืองในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตการเดินทางของประชาชนให้มีความสะดวก รวดเร็ว มากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการพัฒนาศักยภาพนักออกแบบรุ่นใหม่ (รายการชนช้างกราฟิก ปีที่ ๖)
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการพัฒนาศักยภาพนักออกแบบรุ่นใหม่ (รายการชนช้างกราฟิก ปีที่ ๖) ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการพัฒนาศักยภาพนักออกแบบรุ่นใหม่ (รายการชนช้างกราฟิก ปีที่ ๖) วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลโครงการพัฒนาศักยภาพนักออกแบบรุ่นใหม่ (รายการชนช้างกราฟิก ปีที่ ๖) โดยมี นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการ ตัวแทนชุมชนคุณธรรมบวร On Tour ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว นิสิตนักศึกษา สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39744
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเวทีหน่วยงานไซเบอร์ไทย-สหรัฐ หนุนมาตรฐานความมั่นคงไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลช่วยส่งเสริมการลงทุน
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมเวทีหน่วยงานไซเบอร์ไทย-สหรัฐ หนุนมาตรฐานความมั่นคงไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลช่วยส่งเสริมการลงทุน ดีอีเอส ร่วมเวทีหน่วยงานไซเบอร์ไทย-สหรัฐ หนุนมาตรฐานความมั่นคงไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลช่วยส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต หน่วยงานสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ร่วมกล่าวเปิดงานการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสหรัฐอเมริกา - ไทย โดยเป็นการจัดกิจกรรมในรูปแบบไฮบริด กล่าวคือ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ทั้ง ณ สถานที่จัดประชุม และผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อสอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมทั้ง 2 รูปแบบ กว่า 800 คน การประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 - 5 มีนาคม 2564 ณ ห้องบอลลูม 1 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ การประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสหรัฐอเมริกา - ไทย จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย และสหรัฐอเมริกา ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA) หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) และสถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) เพื่อให้ผู้ที่สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับความสำคัญของมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดี เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือและขจัดอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำการค้าและการลงทุน ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39589
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติวเข้มจัดอบรมการใช้งานระบบบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ (Back Office) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ดีอีเอส ติวเข้มจัดอบรมการใช้งานระบบบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ (Back Office) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร ดีอีเอส ติวเข้มจัดอบรมการใช้งานระบบบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ (Back Office) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการใช้งานระบบบริหารจัดการองค์กรภาครัฐ (Back Office) ซึ่งประกอบด้วยระบบงานด้านงบประมาณ (สำหรับการบันทึกและขอใช้เงินงบประมาณ) และระบบนโยบาย แผนงาน โครงการ (สำหรับบันทึก ติดตาม และพิมพ์รายงานโครงการ) โดยมีบุคลากรและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจากสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัล เข้าร่วมอบรม ณ ห้องฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลฯ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมทักษะให้แก่บุคลากรสามารถพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้ดียิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้จัดกิจกรรมอบรมองค์ความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ฝึกอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการจัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่ในความครอบครองของรัฐ แนวทางการดำเนินการธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (data governance for government) เชื่อว่ากิจกรรมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานขององค์กร จะทำให้องค์กรมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนต่อไป *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39679
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Virtual Live Streaming บนพลตฟอร์ม VOOVAM (วู่วาม)
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 Virtual Live Streaming บนพลตฟอร์ม VOOVAM (วู่วาม) 17 พฤศจิกายน 2563 นิทรรศการนำเสนอผลงานดิจิทัลสตาร์ทอัพ “ยกระดับบริการดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G” ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำคณะผู้บริหาร DEPA และสตาร์ทอัพ เสนองานบริการดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเพื่อรับรองภาคธุรกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยเทคโนโลยี 5G ในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ผู้บริหาร DEPA นำเสนอตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ DEPA ให้การสนับสนุนคือแพลตฟอร์ม VOOVAM (วู่วาม) ซึ่งเป็นการให้บริการ Virtual Live Streaming ประกอบไปด้วย 6 บริการหลัก ได้แก่ 1) Virtual Live Streaming Event 2) Webinar 3) Virtual Press Conference 4) Virtual Commerce 5) Virtual Learning และ 6) Internal Conferences ว่าเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมสัมมนาและอีเวนท์ต้องนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจด้วยระบบ Virtual Event อาทิ การประชุมทางไกลผ่านจอภาพ การจัดสัมมนา และแถลงข่าวออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ทุกสถานที่ ลดภาระค่ายใช้จ่ายในการเดินทาง รวมทั้งใช้เทคโนโลยี IoT และ AI ในการนำมาใช้สำหรับระบบพลังงานอาคารอัตโนมัติ แบบออนไลน์ตลอด 24 ชม. สำหรับ โรงพยาบาล โรงแรม อาคารสำนักงาน และโรงงาน เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบคุณภาพระบบพลังงานไฟฟ้า อากาศ น้ำ และสถานะเครื่องจักร ลดค่าใช้จ่ายและสร้างประสิทธิภาพในการควบคุมเครื่องจักร ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 ปลัดวธ.ลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปลัดวธ.ลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะผู้บริหารเดินทางลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยมีนายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี วัฒนธรรมจังหวัดหนองบัวลำภู วัฒนธรรมจังหวัดเลย วัฒนธรรมจังหวัดบึงกาฬ ผู้แทนวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย ประธานชุมชนคุณธรรมบ้านโนนกอก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสถานศึกษา ศิลปินพื้นบ้าน และชาวชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ ปลัดวธ. ได้เยี่ยมชมกิจกรรมชุมชนฯ ณ อาคารกลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก นิทรรศการผ้าโบราณบ้านโนนกอกและหมอนขิดอีสานโบราณ ลานสาธิตภูมิปัญญา จุดย้อมผ้า อาทิ การสาธิตย้อมเส้นไหม ฝ้าย การมัดย้อมผ้าฝ้ายจากสีดอกบัวแดงและสายบัวแดง โดยที่นี่มีการย้อมผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การย้อมสีผ้าด้วยกลีบดอกบัว ดอกบัวแดงย้อมได้ถึง ๓ สี กลายเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนว่า มาที่โนนกอกต้องมาดูผ้าย้อมบัวแดง การสาธิตบีบข้าวปุ้นสด การสาธิตทำข้าวเขียบ (ข้าวโป่งโบราณ) จากนั้นเยี่ยมชมโรงทอผ้าโบราณโนน การสาธิตงานประดิษฐ์ ใบตอง ใบเตย ขันหมากเบ็ง การสาธิตผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ของโรงเรียนบ้านหนองนาคำ ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ รับรายงานผลสืบสวน
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 จุรินทร์ รับรายงานผลสืบสวน "ทุจริตซื้อถุงมือยางเทียม อคส." พร้อมฟันวินัย และ ส่งให้ ป.ป.ช.ประกอบคดี วันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 11.50 น.นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า(อคส.) พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบ อคส. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยของพนักงานปี 2561 เข้ารายงานผลต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยภายหลังการรายงาน นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าหรือ อคส. ได้รายงานความคืบหน้าของการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดในกรณีการจะซื้อถุงมือยางเทียมของอคส.โดยแจ้งวันนี้ว่าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่ได้ตั้งขึ้นตามระเบียบ อคส. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยของพนักงานปี 2561 ได้สอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้วและมีมติ 3 ข้อ คือ 1.ได้ข้อสรุปว่ามีผู้กล่าวหา 3 คน ที่มีมูลว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งจะมีโทษสูงสุดถึงไล่ออกหรือให้ออก 2.คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพบความเสียหายที่ก่อให้เกิดกับองค์การคลังสินค้าประกอบด้วยเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย และบวกความเสียหายอื่นๆ จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงการกระทำผิดทางละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 และ 3.เห็นควรส่งผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไปยัง ป.ป.ช. เพื่อประกอบการพิจารณาในการไต่สวนคดีจัดซื้อถุงมือยางเทียมของ อคส.ต่อไป " ผมได้กำชับและสั่งการว่าให้เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงให้บังเกิดผลต่อไปโดยเร็วที่สุดเพื่อแจ้งให้สาธารณะรับทราบว่า อคส.มีความตั้งใจในการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว เรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยไว้ใครกระทำความผิดและเกี่ยวข้องกับการกระทำที่มิชอบจะจัดการโดยเด็ดขาด ทั้งเรื่องทางวินัย ทางแพ่ง หรือทางอาญา และกำชับให้ผู้อำนวยการ อคส.ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการทุกชุดที่ชอบด้วยกฎหมายให้เต็มที่ เพื่อให้สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็วที่สุดและเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดกับ อคส.ให้ได้เร็วที่สุด " นายจุรินทร์ กล่าว ด้านนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า(อคส.) กล่าวว่า วันนี้จะรวบรวมสำนวนทั้งหมด 900 กว่าหน้าส่ง ป.ป.ช.โดยมั่นใจว่าทุกบาททุกสตางค์ต้องได้คืนหมดพร้อมดอกเบี้ย เพราะใครจะเป็นตัวกลางตัวการร่วมหรือสนับสนุนก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดตามบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ส่วนทางด้าน พ.ต.อ.สุรพงศ์ ระบุว่า ข้อมูลพยานหลักฐานขณะนี้เพียงพอที่สามารถพิจารณาว่ามีมูลความผิดวินัยร้ายแรงได้ตามที่รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มีระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 สธ. มีระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนโควิด 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยกระทรวงสาธารณสุขมีระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนโควิด 19 ทันทีจนถึง 30 วัน ให้หน่วยแพทย์ฉุกเฉินเตรียมพร้อมให้คำปรึกษา รับแจ้งเหตุ และจัดรถพยาบาลรับที่บ้าน หากมีผู้มีอาการไม่พึงประสงค์ โทร 1669 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ประเด็นความพร้อมในการติดตามและรับมืออาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนโควิด 19 ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แก่กลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคม 2564 (เวลา 18.00น.) ภาพรวมมีผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 13,464 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์และ อสม., บุคลากรด่านหน้าอื่นๆ, ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และประชาชนที่มีโรคประจำตัว ในจำนวนนี้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ 119 คน ส่วนมากมีอาการข้างเคียงเพียงเล็กน้อย ได้แก่ อักเสบบริเวณที่ฉีด, ไข้, หนาวสั่น, เหนื่อย, ปวดเมื่อยเนื้อตัว, คลื่นไส้, แน่นหน้าอกเป็นต้น จะหายได้ภายใน 1-2 วัน ส่วนอาการข้างเคียงรุนแรงหรืออาการแพ้รุนแรงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่า 1 ในล้านโดสเช่น ไข้สูง ผื่นขึ้นทั้งตัว ปวดศีรษะรุนแรงหายใจลำบาก อาการชัก เป็นต้น เมื่อกลับบ้านแล้วหากพบอาการดังกล่าวให้โทรกลับไปที่โรงพยาบาลที่รับการฉีดวัคซีน สถานพยาบาลได้จัดระบบมีความพร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่ หรือ โทร 1669 ซึ่งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้เตรียมความพร้อมระบบสายฉุกเฉิน ในการตอบข้อซักถาม ให้ข้อมูลประชาชน ประสานสั่งการ รับแจ้งเหตุหากมีความจำเป็นในกรณีที่ประชาชนมีอาการรุนแรงจากการได้รับวัคซีน นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า โดยปกติอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนมักเกิดขึ้นภายใน 15 นาที กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เตรียมระบบรองรับไว้แล้ว โดยหลังการฉีดเจ้าหน้าที่จะให้พักรอสังเกตอาการเป็นเวลา 30 นาที ที่โรงพยาบาล มีแพทย์ พยาบาลดูแลสอบถามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยไม่มีอาการใดๆ ก่อนอนุญาตให้กลับบ้าน รวมถึงให้คำแนะนำ แผ่นพับในการเฝ้าระวังอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ และเบอร์ติดต่อกับโรงพยาบาลที่ให้บริการ จากนั้นจะมีการติดตามอาการอีกในวันที่ 1, 7 และ 30 ผ่านทางไลน์ “หมอพร้อม” หรือมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล, รพ.สต., อสม. เป็นผู้ติดตามอาการ **************************** 4 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัด “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ โดยคณะผู้แทนไทย” อำนวยความสะดวกการประชุมทางไกลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 กระทรวงยุติธรรมจัด “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ โดยคณะผู้แทนไทย” อำนวยความสะดวกการประชุมทางไกลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรมจัด “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ โดยคณะผู้แทนไทย” อำนวยความสะดวกการประชุมทางไกลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรมได้จัด “การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ โดยคณะผู้แทนไทย” เพื่อให้หน่วยงานในคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ได้มีโอกาสมาประชุมในสถานที่เดียวกัน และได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นระหว่างการประชุม อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิผลของการเข้าร่วมการประชุมในรูปแบบทางไกล แม้มิได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมที่ประเทศเจ้าภาพ (นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น) เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้แทนสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ท. ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกองพัฒนานวัตกรรมการยุติธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ นอกจากการกล่าวถ้อยแถลงของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยแล้ว ผู้แทนหน่วยงานในคณะผู้แทนไทยได้มาที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมตามวาระการประชุมหลัก (Plenary) ผ่านระบบทางไกลตามหัวข้อดังนี้ พันตำรวจเอก สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ รองผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถ้อยแถลงตามระเบียบวาระการประชุมที่ ๓ หัวข้อ มาตรการการป้องกันอาชญากรรมที่มีความครอบคลุมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ (Comprehensive strategies for crime prevention towards social and economic development) พันตำรวจโท ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าวถ้อยแถลงตามระเบียบวาระการประชุมที่ ๔ หัวข้อ วิธีการเชิงบูรณาการเพื่อรับมือกับความท้าทายในระบบความยุติธรรมทางอาญา (Integrated approaches to challenges facing the criminal justice system) นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถ้อยแถลงตามระเบียบวาระการประชุมที่ ๕ หัวข้อ แนวทางพหุมิติของรัฐบาลในการส่งเสริมหลักนิติธรรม ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับทุกคน สร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล พร้อมรับผิด มีความเป็นกลาง และมีส่วนร่วม คำนึงถึงมาตรการทางสังคม การศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสร้างเสริมวัฒนธรรม การเคารพกฎหมาย โดยให้ความเคารพอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมตามกรอบปฏิญญาโดฮา (Multidimensional approaches by Governments to promoting the rule of law by, inter alia, providing access to justice for all; building effective, accountable, impartial and inclusive institutions; and considering social, educational and other relevant measures, including fostering a culture of lawfulness while respecting cultural identities, in line with the Doha Declaration) นายชัชชม อรรฆภิญญ์ รองอัยการสูงสุด ถ้อยแถลงตามระเบียบวาระการประชุมที่ ๖ หัวข้อ ความร่วมมือระหว่างประเทศและการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อป้องกันและแก้ไขอาชญากรรมทุกรูปแบบ (a) การก่อการร้ายในทุกรูปแบบและการแสดงออกที่เกิดขึ้น (b) อาชญากรรมรูปแบบใหม่ (International cooperation and technical assistance to prevent and address all forms of crime: (a) Terrorism in all its forms and manifestations; (b) New and emerging forms of crime) ///////////////////////////////////
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 กรมท่าอากาศยาน จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน มอบหมายให้นายอาทิตย์ วินิจสร ผู้อำนวยการกองก่อสร้างและบำรุงรักษา นางปรีดา ช่วยคง ผู้อำนวยการท่าอากาศยานระนอง เป็นผู้แทนกรมท่าอากาศยาน เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 โครงการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โดยได้รับเกียรติจากนายสมจิตร์ เขียนด้วง​ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานเปิดการประชุม และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วม เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ณ โรงคลุม เทศบาลตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง สำหรับโครงการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมรายละเอียดโครงการ วิเคราะห์ผลกระทบทรัพยากรสิ่งแวดล้อม จากการดำเนินโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อม และนำเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง มีแผนการจะขยายความยาวทางวิ่งทางด้านทิศเหนือ 500 เมตร สร้างทางขับขนาน และจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมทางด้านทิศเหนือประมาณ 165 ไร่ เมื่อดำเนินโครงการแล้วเสร็จจะมีทางวิ่ง จากเดิม ขนาด 45 x 2,000 เมตร เป็น 45 x 2,500 เมตร และพื้นที่รวมจากเดิม 2,447 ไร่ เป็น 2,612 ไร่ โดยการประชุมรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 นี้ กรมท่าอากาศยานได้นำเสนอผลการศึกษา ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ทั้งในด้านคุณภาพอากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน คุณภาพน้ำผิวดินและใต้ดิน ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกำหนด และจากการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งก่อน ได้มีข้อวิตกกังวลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในเรื่องการชดเชยที่ดิน ผลกระทบด้านเสียง ด้านการระบายน้ำ ความสั่นสะเทือน ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ และผลกระทบต่อผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียงท่าอากาศยาน ซึ่งกรมท่าอากาศยานได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวดังกล่าว จึงเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะจะเกิดขึ้นกับชุมชน ภายหลังจากนี้ กรมท่าอากาศยานจะจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนอง เสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39626
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมฯ-ศิลปินพื้นบ้าน 31 จังหวัดผลิตคลิปวีดีโอต้านโควิด-19 หวังสร้างความรู้แก่ประชาชนทุกช่องทาง ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้าน สร้างงาน สร้างรายได้
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 วธ.ร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมฯ-ศิลปินพื้นบ้าน 31 จังหวัดผลิตคลิปวีดีโอต้านโควิด-19 หวังสร้างความรู้แก่ประชาชนทุกช่องทาง ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้าน สร้างงาน สร้างรายได้ วธ.ร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมฯ-ศิลปินพื้นบ้าน 31 จังหวัดผลิตคลิปวีดีโอต้านโควิด-19 หวังสร้างความรู้แก่ประชาชนทุกช่องทาง ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้าน สร้างงาน สร้างรายได้หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบZoom Meetingโดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และวัฒนธรรมจังหวัดเข้าร่วม ที่ประชุมได้มีการรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)หลังกลับมาแพร่ระบาดใหม่ในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชนในวงกว้าง ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จะขับเคลื่อนงานชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกว่า 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ผ่านโครงการสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน“บวรOn Tour”ต้นแบบ 100 แห่ง เตรียมพร้อมแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน ศิลปวัฒนธรรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งและมีความยั่งยืนตามรอยศาสตร์พระราชาสนองนโยบายของรัฐบาลในการสร้างโอกาสสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชน ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)ด้วยหลัก ๓ มิติ : ศาสนา เศรษฐกิจพอเพียง และวิถีวัฒนธรรม ขอความร่วมมือสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด นำพลังบวรในชุมชนคุณธรรมฯ ที่เป็นศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินพื้นถิ่น หรือคณะนักแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ที่มีความโดดเด่น สร้างสรรค์ผลงานด้วยการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์รูปแบบคลิปวีดีโอรณรงค์อย่างน้อยจังหวัดละ๑ คลิปวีดีโอสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)ด้วยการนำหลัก ๓ มิติ ได้แก่ ศาสนา เศรษฐกิจพอเพียง และวิถีวัฒนธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคฯ และมีแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน “เบื้องต้นสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่พร้อมให้ความร่วมมือในการจัดทำคลิปวีดีโอรณรงค์31 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ ตรัง นครพนม นครราชสีมา ปทุมธานี ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก ภูเก็ต ยโสธร ยะลา ลำปาง ลำพูน ศรีษะเกษ สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระบุรี สุโขทัย สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ อุดรธานี และอุบลราชธานี ซึ่งเมื่อจัดทำเสร็จเสร็จแล้วจะนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านทุกช่องทางสื่อ อาทิ สื่อออนไลน์ เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ยูทูป กลุ่มไลน์พลังบวรจังหวัด กลุ่มไลน์อื่นๆสื่อโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น โทรทัศน์ประชาสัมพันธ์ตามส่วนราชการ สถานที่สาธารณะ และสถานที่สำคัญต่างๆ ขอความร่วมมือให้ชุมชนคุณธรรมฯ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน หน่วยงานภาคประชาสังคม ร่วมประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ แก่ประชาชน ในชุมชนคุณธรรมฯ และประชาชนทั่วไป ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในจังหวัด” ปลัด วธ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39852
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นำฝ่ายกฎหมายราชทัณฑ์ร้อง ปอท. สอบกรณีเฟซบุ๊ก "เพนกวิน" โพสหมิ่นเบื้องสูง เพื่อหามือโพสมาลงโทษ
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นำฝ่ายกฎหมายราชทัณฑ์ร้อง ปอท. สอบกรณีเฟซบุ๊ก "เพนกวิน" โพสหมิ่นเบื้องสูง เพื่อหามือโพสมาลงโทษ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยฝ่ายกฎหมายจากกรมราชทัณฑ์ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีเฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ มีการโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยฝ่ายกฎหมายจากกรมราชทัณฑ์ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีเฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ มีการโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม โดยมี พล.ต.ท.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นผู้รับเรื่อง ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวว่า ตนได้รับการมอบหมายจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ตรวจสอบเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฎร ที่มีข้อความไม่เหมาะสมในลักษณะหมิ่นเบื้องสูง โดยกรณีนี้ต้องแบ่งประเด็น คือ ใครเป็นผู้โพสต์ข้อความ และผู้ที่โพสต์อยู่ที่ไหน เพราะที่ผ่านมา เฟซบุ๊กนี้ นายพริษฐ์ใช้มาตลอดตั้งแต่เคลื่อนไหวทางการเมืองจนถูกควบคุมตัวเข้าสู่เรือนจำ และเมื่อเข้าสู่เรือนจำแล้วยังมีการโพสเฟซบุ๊กอยู่ ซึ่งตนยืนยันว่าภายในเรือนจำไม่มีการอนุญาตให้ใช้และนำเครื่องมือสื่อสารใดๆเข้าไป กรมราชทัณฑ์มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งการโพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าวนอกจากมีข้อความที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการทำเกิดความเสียหายต่อกรมราชทัณฑ์ เพราะประชาชนเกิดความสงสัยว่าในเรือนจำสามารถใ้ช้เครื่องมือสื่อสารได้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตนได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้ว ที่ สน.ร่มเกล้า และเคยให้ข่าวตักเตือนไปแล้ว แต่ยังมีการเคลื่อนไหวและโพสต์ข้อความอยู่เรื่อยมา ซึ่งการโพสต์ล่าสุดถึงขั้นจาบจ้วงเบื้องสูง ดังนั้นกระทรวงยุติธรรม รวมถึงประชาชนผู้ภักดีย่อมจะยอมเรื่องนี้ไม่ได้ จึงได้ให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์มาร้องทุกข์กล่าวโทษ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวน และไปสอบถามนายพริษฐ์ว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นของเขาจริงหรือไม่ ใครเป็นผู้โพสต์ และมีใครมีไอดีหรือเป็นแอดมินบ้าง หากเขาปฏิเสธ เราต้องสืบให้ได้ว่าใครเป็นผู้โพสต์ หรือมีใครเข้ามาเยี่ยมบ้างหรือไม่ แต่ทั้งนี้ที่ผ่านมาเป็นช่วงควบคุมโรคโควิด-19 เรือนจำไม่ได้เปิดให้ใครเข้าเยี่ยม มีเพียงแค่ทนายส่วนตัวเท่านั้นที่เข้าได้ ดังนั้นตรงนี้คงต้องทำหนังสือถึงสมาคมทนายความ ให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและมารยาทของทนายความด้วย "วันนี้ผมพร้อมด้วยฝ่ายกฎหมายกรมราชทัณฑ์ มายื่นเรื่องขอให้ทาง บก.ปอท. สืบสวนว่าใครเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และข้อความดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 หรือไม่ ขอให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนกรณีเฟซบุ๊กของนายอานนท์ นำภา แกนนำอีกคนหนึ่งก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ผมขอให้ ปอท.เร่งสืบหาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว" เลขานุการ รวม.ยุติธรรม กล่าว ด้าน พล.ต.ท.อนันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ทาง ปอท. ขอรับไปตรวจสอบ ว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นของใคร และใครเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และขอเตือนประชาชนว่า หากจะแชร์หรือแสดงความเห็นอะไรในโซเชียลมีเดีย ขอให้ดูอย่างรอบคอบ และระมัดระวังข้อความที่สุ่มเสี่ยง หากไม่ระวังอาจจะมีความผิดตามกฎหมายได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39517
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมกราคม 2564
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมกราคม 2564 ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 935 ราย ใน 75 จังหวัด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 935 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (558 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (148 ราย) ภาคเหนือ (116 ราย) ภาคตะวันออก (64 ราย) และภาคใต้ (49 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 413,622 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 10,073.78 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 24,355.04 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 868 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 818 ราย ใน 75 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 1 จังหวัด คือ จังหวัดนราธิวาส) โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (76 ราย) กรุงเทพมหานคร (61 ราย) และขอนแก่น (51 ราย) (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 140 ราย ใน 45 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 117 ราย ใน 37 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (18 ราย) อุดรธานี (8 ราย) อุบลราชธานี (8 ราย) และกรุงเทพมหานคร (7 ราย) (3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 173,235 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,841.12 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 24,487 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 572.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14.90 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 28,526 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 653.94 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.02 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2564 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 8,593 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2563 จำนวน 304 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 0 2255 1898 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344 สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน โทร. สายด่วน 1359
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงรับฟังปัญหาสถานการณ์กล้วยไม้ไทย พร้อมมอบมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกร จ.นครปฐม
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 รมช.ธรรมนัส ลงรับฟังปัญหาสถานการณ์กล้วยไม้ไทย พร้อมมอบมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกร จ.นครปฐม รมช.ธรรมนัส ลงรับฟังปัญหาสถานการณ์กล้วยไม้ไทย พร้อมมอบมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกร จ.นครปฐม ที่ได้รับผลผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมรับฟังปัญหาสหกรณ์ประกอบการกล้วยไม้ไทย ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงอย่างมาก แต่ยังคงมีรายจ่ายอยู่อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น แรงงาน ค่าปุ๋ย ค่าสารเคมีกำจัดวัชพืช ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งเกษตรกรจำเป็นต้องดูแลรักษาต้นกล้วยไม้ให้แข็งแรง มีคุณภาพอยู่เสมอ ซึ่งต้องใช้ต้นทุนเฉลี่ย 10,000 บาท/ไร่/เดือน แต่เนื่องจากรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย ทำให้เกษตรกรหลายรายต้องปล่อยสวนให้ร้างหรือรื้อถอนสวน ยกเลิกกิจการไปเป็นจำนวนมาก ในการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง สหกรณ์ผู้ประกอบการกล้วยไม้ไทย จำกัด รวมทั้งหน่วยงานเอกชนนั้น จะขยายตลาดภายในและต่างประเทศ มีมาตรการด้านการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ยของกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับธนาคาร ธกส. ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ พร้อมวางแผนจัดงานกล้วยไม้เป็นงานประจำปีของจังหวัดนครปฐม และวางแผนจัดงานกล้วยไม้สัญจร ร่วมกับสหกรณ์ผู้ประกอบการกล้วยไม้ไทย จำกัด จำนวน 12 ครั้ง กระจายทั่งทุกภาคของประเทศไทย พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ มีการสร้าง แพรทฟอร์มตลาดสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับ ลาซาด้า ในการออกแบบรูปแบบกล่องบรรจุให้เหมาะสมกับกล้วยไม้ และลดราคาค่าขนส่งให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคที่ซื้อสินค้ากล้วยไม้ ทั้งนี้ จังหวัดนครปฐม เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกกล้วยไม้มากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลหวาย ในปี 2563 มีพื้นที่ทั้งหมด 11,572.96 ไร่ มีเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ 652 ครัวเรือน มีผลผลิตรวม 15,414 ตัน คิดเป็นมูลค่า 712 ล้านบาท/ปี โดยอำเภอที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด คือ อำเภอบางเลน จำนวน 4,447.66 ไร่ รองลงมา คือ อำเภอสามพราน จำนวน 2,702.1 ไร่ และอำเภอนครชัยศรี จำนวน 2,093.74 ไร่ โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญคือประเทศจีน มากที่สุดถึง 90% ของผลผลิตทั้งหมด ประมาณ 1,156.5 ตัน/เดือน คิดเป็นมูลค่า 54,350,534.7 บาท/ เดือน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตรียมเป็นประธานประชุม ศบศ. พิจารณาแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 นายกฯ เตรียมเป็นประธานประชุม ศบศ. พิจารณาแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน นายกฯ พร้อมนั่งหัวโต๊ะ ศบศ. เตรียมพิจารณาแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน วันนี้ (25 มีนาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งที่ 1/2564 โดยมีรัฐมนตรีและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (คบศ.) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุด เพื่อนำมาพิจารณาแนวทางในการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุม ตรงจุด ในการแก้ไข ฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งการติดตามความคืบหน้าของมาตรการที่มีการดำเนินการไปแล้วเพื่อนำมาประเมินผล และประกอบกับการพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2564 ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคาดหมายว่าในการประชุมครั้งนี้จะมีการพิจารณากำหนดแนวทางความเป็นไปได้ในการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยจะมีการพิจารณาในพื้นที่นำร่องจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรัฐบาลตระหนักถึงปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่และมีความพยายามที่จะช่วยพิจารณาแนวทางดำเนินการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่มีสัดส่วนการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงเช่นจังหวัดภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดอันดามันสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นภายหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง ประกอบกับหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้แก่คนในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าที่ประชุมจะได้มีการพิจารณาแนวทางเพื่อปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบการธุรกิจและการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ อาทิ การลดข้อจำกัดในการประกอบกิจการของคนต่างด้าว การทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยเฉพาะในสาขาเป้าหมาย และการปรับปรุงระบบศุลกากรและพิธีการศุลกากร เป็นต้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ เพื่อลดขั้นตอนและต้นทุนของกระบวนการทำงาน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในระยะต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.แบ่งงานผู้ตรวจราชการกระทรวงลงพื้นที่-ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีนาคมเป็นต้นไป
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 วธ.แบ่งงานผู้ตรวจราชการกระทรวงลงพื้นที่-ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีนาคมเป็นต้นไป วธ.แบ่งงานผู้ตรวจราชการกระทรวงลงพื้นที่-ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีนาคมเป็นต้นไป นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 68/2564 เรื่อง มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบเขตตรวจราชการ ดังนี้ 1.นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบ 17 จังหวัด ประกอบด้วย เขตตรวจราชการที่ 1 ภาคกลางตอนบน ได้แก่ ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง เขตตรวจราชการที่ 7 ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา เขตตรวจราชการที่ 13 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ได้แก่ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขตตรวจราชการที่ 16 ภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ 2.นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบ 16 จังหวัด ส่วนกลาง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เขตตรวจราชการที่ 6 ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล เขตตรวจราชการที่ 9 ภาคตะวันออก2 ได้แก่ จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว เขตตรวจราชการที่ 14 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี 3.นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบ 10 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 3 ภาคกลางตอนล่าง 1 ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เขตตรวจราชการที่ 11 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ได้แก่ นครพนม มุกดาหาร สกลนคร เขตตรวจราชการที่ 15 ภาคเหนือตอนบน 1 ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน 4.นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รับผิดชอบ 12 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 2 ภาคกลางปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ เขตตรวจราชการที่ 8 ภาคตะวันออก 1 ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เขตตรวจราชการที่ 10 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ได้แก่ บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี 5.นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบ 13 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 4 ภาคกลางตอนล่าง 2 ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เขตตรวจราชการที่ 5 ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฏร์ธานี สงขลา เขตตรวจราชการที่ 18 ภาคเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี 6.นายสตวัน ฮ่มซ้าย ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบ 9 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 12 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เขตตรวจราชการที่ 17 ภาคเหนือตอนล่าง 1 ได้แก่ ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ “ได้มอบนโยบายผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมทั้ง 6 คน ดูแลรับผิดชอบในการตรวจ เร่งตัด ติดตามการปฏิบัติงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของส่วนราชการ หน่วยงานในสังกัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในพื้นที่ที่กำหนดรวมไปถึงภาคีเครือข่ายที่ร่วมกิจกรรม โดยวิธีการตรวจราชการมีทั้งลงพื้นที่ติดตามงานและผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป” ปลัดวธ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดศูนย์ฝึกอบรม Lean IoT Plant Management Execution (LIPE)
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 พิธีเปิดศูนย์ฝึกอบรม Lean IoT Plant Management Execution (LIPE) รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ฝึกอบรม Lean IoT Plant Management Execution (LIPE) วันนี้ (3 มีนาคม 2564) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ฝึกอบรม Lean IoT Plant Management Execution (LIPE) พร้อมเยี่ยมชม ศูนย์ฝึกอบรม Lean IoT Plant Management Execution (LIPE) ที่มีการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ประกอบการ ในปี พ.ศ. 2564 นี้ จำนวน 20 รุ่น รวมทั้งหมด 400 คน โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยยกระดับการพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมในการนำระบบ IoT มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างรากฐานที่สำคัญสำหรับการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประเทศให้ก้าวสู่ Industry 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (METI) เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ภายใต้กรอบโครงการ “Connected Industry” โดยมีนายภาสกร ชัยรัตน์ และนายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ณ อาคารกองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กล้วยน้ำไท)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนาม MOU โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนาม ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการลงนามดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม รวมถึงให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางและให้ครอบครัวมั่นคงมีความสุข สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งให้มีฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนระดับประเทศที่เกิดจากการบูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงาน มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี (พ.ศ. 2564 – 2568) ทั้งนี้ คำว่า “ครัวเรือนเปราะบาง” นั้นหมายถึง ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและมีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็ก แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียงมีปัญหาที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มดังกล่าวอย่างเร่งด่วน จริงจัง และต่อเนื่อง สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะสนับสนุนการเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านการเกษตรและการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อพัฒนาอาชีพ และสร้างรายได้แก่เกษตรกรที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่เป็นกลุ่มเปราะบางในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือกันในการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ จัดทำขึ้นจากความร่วมมือกันของทุกฝ่ายที่มีความมุ่งมั่นและเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในประเทศ รวมถึงการพัฒนาคนทุกช่วงวัย เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมประชุม ศบค. นายกฯ นั่งประธานติดตามสถานการณ์ โควิด – 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมประชุม ศบค. นายกฯ นั่งประธานติดตามสถานการณ์ โควิด – 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ดีอีเอส ร่วมประชุม ศบค. นายกฯ นั่งประธานติดตามสถานการณ์ โควิด – 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ อาทิ เรื่องการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 11 (ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 / สมช.) , การปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร (ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 / สธ.) , แผนการให้บริการวัคซีนโควิด – 19 (ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 / สธ.) , การกาหนดประเภทและระยะเวลากักกันตัวในสถานกักกันตัว (ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 / สธ.) และแผนการดาเนินการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในภาพรวมในปี 2564 (ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 / สมช.) *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. แจงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการโคกหนองนาโมเดล จ. หาสารคาม พบว่าพื้นที่จัดทำโครงการฯ ไม่เพียงพอตามมาตรฐานกำหนด จึงต้องส่งเงินคืนตามระเบียบราชการ และทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 มท. แจงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการโคกหนองนาโมเดล จ. หาสารคาม พบว่าพื้นที่จัดทำโครงการฯ ไม่เพียงพอตามมาตรฐานกำหนด จึงต้องส่งเงินคืนตามระเบียบราชการ และทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว ก.มหาดไทยแจงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการโคกหนองนาโมเดล จ. หาสารคาม พบว่าพื้นที่จัดทำโครงการฯ ไม่เพียงพอตามมาตรฐานกำหนด จึงต้องส่งเงินคืนตามระเบียบราชการ และทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว โดยมีการติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า วันนี้ (22 มี.ค.64) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงกรณีมีข้อสงสัยจะมีการทุจริตโครงการโคกหนองนาโมเดล จ.มหาสารคามจากงบเงินกู้ 4,700 ล้านบาท ว่าการดำเนินโครงการฯ วงเงินกว่า 4 พันล้านบาท โดยดำเนินการ 7 กิจกรรม ในพื้นที่เป้าหมาย 73 จังหวัด ประกอบด้วย กิจกรรมที่ 1 การฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 35,015 คน กิจกรรมที่ 2 สร้างพื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Community Lab Model for quality of life : CLM) ระดับตำบล และ พัฒนาพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Household Lab Model for quality of life : HLM) ระดับครัวเรือน กิจกรรมที่ 3 สร้างงานสร้างรายได้รายเดือนให้แก่ เกษตรกร บัณฑิตจบใหม่ กลุ่มแรงงานที่อพยพกลับท้องถิ่นและชุมชน เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่เรียนรู้ต้นแบบ และพื้นที่เรียนรู้ครัวเรือนต้นแบบ กิจกรรมที่ 4 กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน ผ่านกิจกรรมการพัฒนาและสนับสนุนพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Household Lab Model for quality of life : HLM) ระดับครัวเรือน กิจกรรมที่ 5 บูรณาการร่วมพัฒนาพื้นที่ระดับตำบล เพื่อสร้างฐานเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง จำนวน 9 ฐานเรียนรู้ ประกอบด้วย ฐานกสิกรรมธรรมชาติ ฐานคนรักษ์น้ำ ฐานคนรักษ์แม่ธรณี ฐานคนรักษ์แม่โพสพ ฐานคนติดดิน ฐานคนมีไฟ ฐานคนเอาถ่าน ฐานหัวคันนาทองคำ ฐานคนหัวเห็ด เชื่อมโยงกับพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Household Lab Model for quality of life : HLM) ระดับครัวเรือน กิจกรรมที่ 6 พัฒนาการสร้างมาตรฐานผลผลิตการแปรรูปและการตลาดตามมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทย ด้วยการจัดอบรมประชาชนพื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบ กิจกรรมที่ 7 พัฒนาระบบ Digital รองรับ Local Economy เพื่อการลงทะเบียน สำรวจ ติดตาม และประเมินผล พัฒนา Platform เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ สำรวจเก็บข้อมูลและจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ภูมิประเทศ พัฒนาและจัดทำระบบ/เครื่องมือ สำหรับบริหารการจัดการ และการประเมินผลสำเร็จทางด้านกายภาพ เศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้การน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ระดับตำบล ระดับครัวเรือน และฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนผ่านการสร้างงานสร้างรายได้ ให้แก่ เกษตร แรงงาน และบัณฑิตจบใหม่ ทั้งนี้ กรมฯ จัดสรรเงินกู้ให้ จ.มหาสารคาม เพื่อดำเนินโครงการฯ กว่า 60 ล้านบาท พื้นที่ดำเนินการ 11 อำเภอ 85 ตำบล ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏข่าว พบว่า พื้นที่จัดทำโครงการฯ นั้น ไม่เพียงพอตามมาตรฐานกำหนดสำหรับการขุดคลอง คลองไส้ไก่ (แบบมาตรฐานกำหนดความยาวของคลองไว้ จำนวน 850 เมตร ขุดได้จริงประมาณ 175 เมตร) จึงทำให้ไม่สามารถขุดคลองได้ และต้องส่งเงินคืนตามระเบียบราชการ โดยจะนำไปขุดบ่อกักเก็บน้ำอื่นเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะไม่ตรงตามวัตถุประสงค์โครงการฯ ซึ่งได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านแล้ว ส่วนกรณีการเรียกรับเงินนั้น ผู้รับจ้างยืนยัน ไม่มีการเรียกรับเงินหรือขายต่อเพื่อกินหัวคิวสัญญาจ้างแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรมกรมการพัฒนาชุมชน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีกระบวนการติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เกิดความโปร่งใส คุ้มค่าเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมติแต่งตั้ง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร เป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยจะเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมติแต่งตั้ง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร เป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยจะเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 EXIM BANK ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหากรรมการผู้จัดการตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการธนาคารมีมติแต่งตั้ง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และอดีตรองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 เรียบร้อยแล้ว ดร.รักษ์ จบการศึกษาปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ สหราชอาณาจักร ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร และปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และล่าสุดดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK คนที่ 6 นับตั้งแต่ก่อตั้ง EXIM BANK เมื่อปี 2537 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึง 31 มีนาคม 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) อายุ • 46 ปี การศึกษา • ปริญญาเอก เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ สหราชอาณาจักร • ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร • วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (อุตสาหการ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบการณ์การทำงาน ปี 2561 กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ปี 2559 รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ปี 2554 รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ปี 2553 รองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด EXIM Thailand Appoints New President The Board of Directors of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) has appointed Dr. Rak Vorrakitpokatorn as EXIM Thailand’s new President, taking effect from April 1, 2021. EXIM Thailand has completed the selection process for EXIM Thailand President in accordance with the criteria of the Ministry of Finance and the Bank of Thailand. The Board of Directors has resolved to appoint Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) and EXIM Thailand’s former Senior Executive Vice President, as EXIM Thailand’s new President with the Minister of Finance’s consent as required by the Export-Import Bank of Thailand Act B.E. 2536 (1993). Dr. Rak received a Doctorate Degree in Economics from Strathclyde Business School, U.K.; Master’s Degree in Business Administration from Birmingham Business School, U.K.; and Bachelor’s Degree in Engineering from Chulalongkorn University. He was formerly Executive Vice President, Business Development and Marketing, Dhanarak Asset Development Co., Ltd.; Senior Executive Vice President, Retail Banking Group, Islamic Bank of Thailand; Senior Executive Vice President, EXIM Thailand; and Director and President of TCG before joining EXIM Thailand as the 6th President since the establishment of EXIM Thailand in 1994. His tenor is 4 years from April 1, 2021 to March 31, 2025. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4 Dr. Rak Vorrakitpokatorn President Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) Age • 46 Years Education • Doctor of Business Administration (Business Economics), Strathclyde Business School, U.K. • Master of Business Administration, Birmingham Business School, U.K. • Bachelor of Engineering, Chulalongkorn University Work Experience 2018 Director and President, Thai Credit Guarantee Corporation 2016 Senior Executive Vice President, Export-Import Bank of Thailand 2011 Senior Executive Vice President, Retail Banking Group, Islamic Bank of Thailand 2010 Executive Vice President, Business Development and Marketing, Dhanarak Asset Development Company Limited
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39981
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.วราวุธ ร่วมก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน หารายได้ให้ผู้ยากไร้ จ.มุกดาหาร
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 รมว.วราวุธ ร่วมก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน หารายได้ให้ผู้ยากไร้ จ.มุกดาหาร รมว.วราวุธ ร่วมก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน หารายได้ให้ผู้ยากไร้ จ.มุกดาหาร รมว.วราวุธ ร่วมก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน หารายได้ให้ผู้ยากไร้ จ.มุกดาหาร วันที่ 21 มีนาคม 2564 เวลา 06.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม "โครงการก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน จังหวัดมุกดาหาร ประจำปี 2564" พร้อมให้สัญญาณปล่อยตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ประเภท Mini marathon และ Fun run โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหารทส. และนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 2,000 คน ณ ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้จัดกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม ซึ่งได้ทั้งบุญ สุขภาพ และความสามัคคีร่วมกัน พร้อมแสดงความเป็นห่วงนักวิ่งและผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่าน ให้วิ่งเข้าสู่เส้นชัยด้วยความปลอดภัย ป้องกันตนเองตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และรักษากฎระเบียบที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ โครงการก้าวปันสุข วิ่งปันบ้าน จังหวัดมุกดาหาร ประจำปี 2564 จัดขึ้นเพื่อจัดหารายได้ไปสร้างบ้านให้กับผู้ยากไร้ในจังหวัดมุกดาหาร รวมถึงกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะทาง คือ Haft marathon 21 กม. Mini marathon 10 กม. และ Fun run 5 กม. ให้นักวิ่งได้วิ่งไปตามเส้นทางแลนมาร์คที่สำคัญในจังหวัดมุกดาหาร ในโอกาสนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมบริจาคสมทบทุนสร้างบ้านให้กับผู้ยากไร้ จำนวน 300,000 บาท ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ทำอย่างไรเศรษฐกิจฐานรากไทยจะไปโลด ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง เศรษฐกิจฐานรากพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 ปลัด พม. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ทำอย่างไรเศรษฐกิจฐานรากไทยจะไปโลด ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง เศรษฐกิจฐานรากพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปลัด พม. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ทำอย่างไรเศรษฐกิจฐานรากไทยจะไปโลด ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง เศรษฐกิจฐานรากพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันนี้ (25 มี.ค. 64) เวลา 14.00 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ทำอย่างไรเศรษฐกิจฐานรากไทยจะไปโลด” ในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง เศรษฐกิจฐานรากพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งจัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา โดยมี นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง เป็นประธานเปิดการสัมมนา ทั้งนี้ มีหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และผู้อยู่อาศัยในชุมชนของ กคช. เข้าร่วม อีกทั้งมีการออกบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ระหว่างวันที่ 25 - 26 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารสันทนาการ (อาคาร 5) สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ถือเป็นส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกที่ทุกประเทศล้วนได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ในส่วนของปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากไทยไปโลดในปัจจุบัน ตามหัวข้อปาฐกถาพิเศษในวันนี้ ได้แก่ 1) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในธุรกิจเพิ่มขึ้น 2) การเพิ่มและขยายช่องทางการขายในสื่อออนไลน์ 3) การหนุนเสริมและพัฒนาศักยภาพสมาชิกครอบครัวที่อยู่ในวัยแรงงานให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็น 4) การสร้างระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายในพื้นที่ เพื่อลดการพึ่งพาจากนอกพื้นที่ ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาสินค้าและบริการ โดยดึงภาคส่วนต่างๆ มาร่วมพัฒนา 5) การใช้ประโยชน์จากทุนของชุมชน ด้วยการดึงจุดเด่นในแต่ละพื้นที่มาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการ สร้างเอกลักษณ์ สร้างจุดต่าง และใช้เทคนิคทางการตลาดมาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ และ 6) ผนึกกำลัง บ้าน วัด โรงเรียน (บ ว ร) เพื่อหนุนเสริมการสร้าง ความเข้มแข็ง ความร่วมมือ ตลอดจนสร้างเครือข่ายการทำกิจกรรมการพัฒนาในทุกมิติในพื้นที่ให้เกิดขึ้นจริง นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในปัจจุบัน ต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และปรับตัวในทุกระดับให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งระดับประชาชน ครอบครัว ชุมชน และภาคธุรกิจ ตลอดจนภาครัฐต้องปรับตัวและกลไกต่างๆ นอกจากนี้ ควรนำประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาอำนวยความสะดวกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ ตลอดจนดึงจุดแข็ง จุดเด่นของประชาชนและพื้นที่มาเป็นทุนชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก นำไปสู่การสร้างความมั่งคงให้แก่ประเทศ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุด แต่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าในการช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ด้วยการเข้าไปหนุนเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเปราะบางที่มีสมาชิกที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนา 5 มิติ ได้แก่ 1) รายได้ 2) ความเป็นอยู่ 3) การศึกษา 4) สุขภาพ และ 5) การเข้าถึงบริการภาครัฐ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของกระทรวง พม. ที่มีการระดมสรรพกำลังข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนในทุกระดับทั่วประเทศลงพื้นที่ร่วมกันเพื่อพัฒนาครัวเรือนเปราะบางให้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงสามารถพึ่งพาตนเองและครอบครัวได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว เป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๘ เมษายน ๒๕๖๔ ครบ ๑๓๔ ปี กระทรวงกลาโหม
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ๘ เมษายน ๒๕๖๔ ครบ ๑๓๔ ปี กระทรวงกลาโหม "กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่สุราษฎร์ธานี รับฟังความเห็นชาวบ้าน - ผู้นำชุมชนกว่า ๕๐๐ คน เตรียมนำข้อเสนอเร่งส่งกฤษฎีกาเพื่อทำกฎหมายรองให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่สุราษฎร์ธานี รับฟังความเห็นชาวบ้าน - ผู้นำชุมชนกว่า ๕๐๐ คน เตรียมนำข้อเสนอเร่งส่งกฤษฎีกาเพื่อทำกฎหมายรองให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบนโนยบายปลดล็อคพืชกระท่อม ในวันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบนโนยบายปลดล็อคพืชกระท่อม โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พล.ต.อ. ชัยวัฒน์ นิตยวิมล ผู้บังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 9 พ.ต.อ.เชาวลิต เลี้ยงสุพงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฏร์ธานี ร่วมงาน และมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากพื้นที่นำร่อง ๑๓๕ หมู่บ้าน/ชุมชน สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และหน่วยงานที่สนใจ เข้าร่วมประชุมกว่า ๕๐๐ คน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ส.ส.และอดีตส.ส.ของพวกท่าน พยายามมาตลอดในการปลดล็อกพืชกระท่อม มีการตั้ง กมธ.ศึกษา ตลอด ๔๐ กว่าปี แต่ก็ยังไม่จบ ตั้งแต่ตนเริ่มรับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม จึงได้เริ่มการร่าง พ.ร.บ.ปลดล็อกพืชกระท่อม และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตนได้ลงพื้นที่หลายพื้นที่ได้เห็นวิถีชีวิตจึงคิดว่าเรามาถูกทางแล้ว เมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องเร่งทำให้จบ ตนเป็นคนเปิดกว้างรับฟังความเห็นจากทุกคน และพี่น้องชาวสุราษฎร์ธานีเป็นอาจารย์ให้ตนเรื่องกระท่อม ขณะนี้วุฒิสภาลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ในวาระที่ ๓ แล้ว เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ขั้นตอนจากนี้ ประธานวุฒิสภาจะส่งร่างให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ หลังจากนั้น ๙๐ วัน เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ประชาชนจะสามารถใช้เคี้ยวได้วิถีชาวบ้าน โดยไม่เป็นความผิด ซึ่งตรงนี้ต้องเร่งทำกฎหมายรองต่อไปให้เสร็จ โดยในส่วนของกฎหมายรอง จะมีบทบัญญัติต่างๆ เช่น เรื่องการปลูก การใช้ และวิธีการต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องชาวใต้ที่ต้องการจะใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน หรือแม้แต่การนำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรม เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ถ้าเราไม่ตามอย่างกระชั้นชิด เพราะอายุของสภาผู้แทนราษฎรไม่แน่นอน ซึ่งเมื่อปลดล็อกแล้ว ต้องมีกฎหมายรองตามมา หากกฎหมายรองไม่เสร็จทัน ๙๐ วัน หลัง พ.ร.บ.ปลดล็อกพืชกระท่อมประกาศใช้จะเปิดเสรีไม่มีอะไรควบคุม โดยกฎหมายรองวันนี้เริ่มตั้งแต่ เดือนกรกรกฎาคม ๒๕๖๓ วันนี้ผ่าน ครม.แล้ว อยู่ในขั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา สัปดาห์ที่แล้วตนขอเข้าไปชี้แจง คณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ตนต้องการให้ชาวบ้านปลูกโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงแค่จดแจ้งฝ่ายปกครอง ส่วนจะปลูกเท่าไร วันนี้ตนมาหาคำตอบ ว่าปลูกเท่าไรถึงจะพอดี ตนอยากมาฟังความเห็น ฟังข้อมูล เพราะพวกท่านมีข้อมูล มีประสบการณ์ ปริมาณเท่าไรจึงจะพอดี ส่วนการปลูกเพื่ออุตสาหกรรมจะเป็นอีกส่วนหนึ่ง กฎหมายรอง ตนไปชี้แจงบอกว่า ถ้าส่งออกถึงควรขออนุญาต วันนี้ราคาพืชกระท่อมที่ซื้อขายกัน กิโลกรัมละประมาณ ๕๐๐ บาท หากทำเป็นผงส่งออกต่างประเทศกิโลกรัมละประมาณ ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาท ตรงนี้มาคิดดูหากเราปลูกกันมากทั้งประเทศราคาจะตก เราต้องดูความต้องการของตลาดด้วย "กฎหมายรองที่จะตามมายังติดอยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งในคณะกรรมการมี ๑๐ กว่าคน ท่านที่เป็นประธานเป็นอดีตประธานศาล ท่านไม่มีปัญหาอะไร แต่มีกรรมการคนหนึ่งค้านตลอด ตนคิดว่าการออกกฎหมายเราต้องฟังความเห็นจากประชาชน และผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น แต่คนที่ไม่รู้เรื่องกลับอยากที่จะนำ ดังนั้นเราต้องสู้ ที่เราตั้งใจคืออยากให้ปลูกเพื่อบริโภค ๓ ต้น ไม่ต้องขอนุญาต แต่หากจะปลูกเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมต้องขออนุญาต วันนี้ผมจึงมารับฟังความเห็นจากพี่น้องประชาชน เพื่อส่งความคิดเห็นเหล่านี้ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเร่งทำกฎหมายรองให้จบ เพราะหากครบกำหนดแล้วไม่มีกฎหมายรอง ทุกอย่างจะเป็นสูญญากาศ ไม่มีอะไรควบคุม" นายสมศักดิ์ กล่าว นายวิชัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างการรับรู้ และความเข้าใจต่อการปรับเปลี่ยนสถานะทางกฎหมายของพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด เพื่อให้การใช้พืชกระท่อมในรูปแบบวิถีชาวบ้าน เช่น การเคี้ยวใบกระท่อมสด หรือการนำมาชงชา หรือการต้มน้ำดื่มสำหรับตนเองในกลุ่มชาวไร่ชาวสวน รวมถึงรักษาอาการหรือโรคต่าง ๆ เช่น อาหารไอ ท้องร่วง ปวดท้อง นั้นสามารถทำได้ โดยไม่เป็นความผิด รวมทั้งแนวทางปฏิบัติการใช้พืชกระท่อมในอนาคต นอกจากนี้ ภายในงานมีนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับพืชกระท่อมในหลากหลายมิติ อาทิ ชีววิทยาพฤกษเคมีของพืชกระท่อม งานวิจัยด้านคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาของกระท่อม ความรู้สถานะของพืชกระท่อมในต่างประเทศ นโยบายการขับเคลื่อนพืชกระท่อมของกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งแนวทางการพัฒนาพืชกระท่อมสู่พืชเศรษฐกิจฐานชุมชน เป็นต้น นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า พืชกระท่อมอยู่คู่กับชาวใต้มานาน ทั้งการช่วยในการทำงาน รักษาโรค และความเชื่อของแต่ละบุคคล แต่ที่ผ่านมาผิดกฎหมายขัดแย้งกับวิถีชาวบ้าน หลังการที่ท่านตั้งใจปลดล็อกพืชกระท่อมจากยาเสพติด พวกเราเฝ้าดูกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร จนผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา พี่น้องชาวใต้ทุกคนรอ และเห็นความตั้งใจมุ่งมั่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งสุราษฎร์ธานีเหมือนเป็นเมืองหลวงแห่งพืชกระท่อม ซึ่งได้อนุญาตจาก ป.ป.ส. ให้ทดลองปลูก โดยปลูกที่ อ.บ้านนาสาร แข็งแรงดี มีการศึกษาวิจัยต่างๆ ซึ่งจะสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของงานมีการเปิดให้ผู้ร่วมงานได้แสดงความคิดเห็นและสอบถามข้อสงสัย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยากรู้ข้อจำกัดการปลูก โดยได้นำเสนอการปลูกพืชกระท่อมที่ใช้อุปโภคโดยไม่ต้องขออนุญาต และเห็นด้วยกับการปลูก ๓ ต้น ต่อครอบครัว และยังเห็นด้วยกับการปลูกเพื่อการพาณิชย์ที่ต้องขออนุญาต แต่ไม่จำกัดจำนวนว่าต้องปลูกกี่ไร่ โดยให้ดูกลไกความต้องการของตลาด ทั้งนี้ ข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะนำส่งต่อให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกาในการร่างกฎหมายรองต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผุดไอเดีย ปั้นช่างเชื่อมอัตโนมัติ ป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน ผุดไอเดีย ปั้นช่างเชื่อมอัตโนมัติ ป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ก.แรงงาน เตรียมผลิตแรงงานด้านเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ยกระดับแรงงานไทยป้อนตลาดโลก วันที่ 19 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมมือกับ บริษัท ซิโนเปค อินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ปอเรชั่น (SINOPEC) พัฒนากำลังแรงงานให้มีฝีมือตรงกับเทคโนโลยี และความต้องการของภาคอุตสาหกรรม มอบหมายให้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมดำเนินการพัฒนาบุคลากรของ กพร. และขยายผลการฝึกอบรมให้แก่แรงงานไทย เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ร่วมกันจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมสาขาเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม รวมถึงร่วมกันจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติสาขาด้านปิโตรเลียม ซึ่งจะเป็นการยกระดับทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทย รองรับงานด้านอุตสาหกรรมปิโตรเลียม 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการส่งเสริมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า มีแผนพัฒนาบุคลากรฝึกอบรมของ กพร. สาขาอุตสาหกรรมปิโตรเลียม จำนวน 2 รุ่น รุ่นละ 20 คน ณ ศูนย์ฝึกอบรมของบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นวิทยากรต้นแบบขยายผลการฝึกให้แก่กำลังแรงงานของประเทศต่อไป ปัจจุบัน อยู่ระหว่างร่วมกันจัดทำหลักสูตรเพื่อใช้ในการฝึกอบรม ได้แก่ การเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติ เส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 30 นิ้ว และการเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติ เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 30 นิ้ว การเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติในภาชนะรับแรงดัน เป้าหมายดำเนินการฝึก 300 คนต่อปี เข้ารับการฝึกศูนย์ฝึกอบรมของบริษัทหรือสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี โดยบริษัท SINOPEC สนับสนุนวิทยากร วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่จำเป็นในการฝึกอบรมด้วย นอกจากนี้ ยังร่วมกันจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เพื่อการันตีว่าแรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีมาตรฐาน และพร้อมที่จะปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ และในอนาคต คาดว่าจะจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ณ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์ผลิตแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานเชื่อมท่อในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมโดยเฉพาะ ป้อนตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ “เป็นโอกาสดีที่แรงงานไทยจะได้ยกระดับทักษะฝีมือที่สูงขึ้น มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีฝีมือตรงกับเทคโนโลยีและความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการประกอบอาชีพมากขึ้น นำไปสู่การมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” รมช.แรงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40136
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ท่าอากาศยานอุดรธานี เตรียมความพร้อมรับผู้โดยสารในช่วงวันหยุดยาว
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ท่าอากาศยานอุดรธานี เตรียมความพร้อมรับผู้โดยสารในช่วงวันหยุดยาว นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ท่าอากาศยานอุดรธานี เพื่อตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงาน และความพร้อมในการเดินทางของผู้โดยสารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมี นายกำแหง สายวิภู ผู้อำนวยการท่าอากาศยานอุดรธานี และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ณ ท่าอากาศยานอุดรธานี ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ อธิบดีกรมท่าอากาศยานได้รับฟังการบรรยายสรุปข้อมูลการดำเนินงานของท่าอากาศยานอุดรธานี ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ นอกจากนี้ยังได้ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอุดรธานี ในปี 2564 มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการพัฒนาระบบคัดกรองผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบิน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 การจัดซื้อและติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิดแบบ LEDS ขนาดช่องอุโมงค์ 60x40 cm พร้อมระบบตรวจสอบต่อเนื่อง (In line) และอุปกรณ์ประกอบ งานซ่อมบํารุงเสริมผิวทางวิ่งทางขับ และงานก่อสร้างทางเดินเชื่อมภายในและปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสาร พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ท่าอากาศยานเตรียมความพร้อมในการดูแลและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ดูแลเรื่องรถสาธารณะ โดยจะต้องไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่ท่าอากาศยาน ตรวจเช็คเครื่องมือและอุปกรณ์ทุกชนิดให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ทันทีหากมีเหตุฉุกเฉิน และการรักษาความปลอดภัย โดยได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อวางแผนและร่วมมือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยาน นอกจากนี้ในเรื่องของการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในท่าอากาศยาน ได้ให้ทุกส่วนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการเดินทาง สำหรับการดูแลความสะอาดภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสาร รถเข็น เก้าอี้ ราวบันได รวมถึงอุปกรณ์ปฏิบัติงาน จัดจุดบริการเจล แอลกอฮอล์แก่ผู้โดยสาร เพื่อความสะอาดและสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร ปัจจุบันท่าอากาศยานอุดรธานี มีอาคารที่พักผู้โดยสาร 2 หลัง พื้นที่รวม 19,459 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้ 1,200 คน หรือ 3.4 ล้านคนต่อปี มีเที่ยวบินกว่า 60 เที่ยวบินต่อวัน ทำการบินใน 8 เส้นทาง คือ อุดรธานี ดอนเมือง สุวรรณภูมิ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน อู่ตะเภา ภูเก็ต และหาดใหญ่ สายการบินที่ทำการบินได้แก่ สายการบินไทยสมายล์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40344
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล คุ้มครองลูกเรือ เป็นธรรมตามหลักสากล
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล คุ้มครองลูกเรือ เป็นธรรมตามหลักสากล ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล คุ้มครองลูกเรือ เป็นธรรมตามหลักสากล วันที่ 10 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ ว่า ตามที่รัฐบาลได้บังคับใช้พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายกำหนดมาตรฐานการทำงานของลูกจ้างและคนประจำเรือ เพื่อคุ้มครองแรงงานทางทะเลให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labour Convention 2006) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) และในกฎหมายได้บัญญัติให้ต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติให้ชัดเจน ครม. จึงมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อเป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการรวมตัวของคนประจำเรือและเจ้าของเรือ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล เกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างเจ้าของเรือกับคนประจำเรือ การกำหนดแนวทางกรณีเจ้าของเรือ อาจปิดงานหรือคนประจำเรืออาจนัดหยุดงาน การกำหนดกรณีเจ้าของเรือที่มีการฝ่าฝืนตามมาตรา 94 อาทิ ห้ามเจ้าของเรือเลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นผลให้คนประจำเรือไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้ เพราะเหตุคนประจำเรือมีการรวมตัวกัน เรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ หรือรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรของตน อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนด บทนิยาม ดังนี้ (1) ข้อพิพาททางทะเล หมายถึง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานที่ตกลงกันไม่ได้ระหว่างเจ้าของเรือกับคนประจำเรือ (2) การปิดงาน หมายถึง การที่เจ้าของเรือปฏิเสธไม่ยอมให้คนประจำเรือทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานทางทะเล (3) การนัดหยุดงาน หมายถึง การที่คนประจำเรือร่วมกันไม่ทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาททางทะเล และ (4) คณะกรรมการ หมายถึง คณะกรรมการแรงงานทางทะเล 2. กำหนดเกณฑ์การทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงาน ระหว่างฝ่ายคนประจำเรือกับเจ้าของเรือ หากเจรจากันแล้วแต่ตกลงไม่ได้ ให้ถือว่ามีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น โดยอาจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ตกลงกันให้มีการไกล่เกลี่ย โดยฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องทำเป็นหนังสือหรือวิธีการอื่น แจ้งต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดำเนินการไกล่เกลี่ย (2) นำข้อพิพาทที่ตกลงกันไม่ได้ ไปเจรจาตกลงกันเอง (3) ตกลงกันให้มีบุคคลหรือคณะบุคคล เพื่อชี้ขาดข้อพิพาทโดยสมัครใจ (4 )ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด (5) ปิดงานหรือนัดหยุดงาน เมื่อเป็นข้อพิพาทที่เจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ หรือไม่อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยของเจ้าหน้าที่ หรือไม่อยู่ระหว่างการชี้ขาดของบุคคล คณะบุคคล หรือคณะกรรมการแรงงานทางทะเล 3. เจ้าของเรืออาจปิดงาน หรือคนประจำเรืออาจนัดหยุดงานได้ โดยแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานเจ้าหน้าที่และอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 48 ชั่วโมง 4. ห้ามเจ้าของเรือกระทำต่อคนประจำเรือ ซึ่งที่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม เช่น การเลิกจ้างหรือการกระทำใด ๆ อันอาจเป็นผลให้คนประจำเรือ ไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไป เพราะเหตุที่คนประจำเรือร่วมกันจัดตั้งองค์กรเอกชนฝ่ายคนประจำเรือ เป็นต้น 5. คนประจำเรือผู้เสียหาย อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งภายใน 90 วัน หากคนประจำเรือหรือเจ้าของไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของคณะกรรมการฯ มีสิทธิ์ฟ้องศาลได้ภายใน 30 วัน กรณีที่เจ้าของเรือเป็นฝ่ายฟ้องศาลจะต้องวางเงินต่อศาลแรงงาน โดยครบถ้วนตามคำสั่ง ถึงจะฟ้องคดีได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39807
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย จัดกิจกรรม Global Greening 2021
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย จัดกิจกรรม Global Greening 2021 กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย จัดกิจกรรม Global Greening 2021 กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย จัดกิจกรรม Global Greening 2021 โดยประดับไฟสีเขียวบริเวณหน้าอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ และอาคารศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันชาติไอร์แลนด์ และวันนักบุญแพทริก (St. Patrick’s Day) ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๗ มีนาคม ของทุกปี โดยการเปิดไฟสีเขียวตามอาคารและสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกกระทรวงยุติธรรม แจงราชทัณฑ์ ปฏิบัติตามกฎควบคุมโควิด คัดกรอง - แยกกักโรคแดนแรกรับ - เลขา รมว.ยุติธรรม เผยมีคลิปการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยันไม่มีทำร้าย ทำตามมาตรการปกติ ชี้หา
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 โฆษกกระทรวงยุติธรรม แจงราชทัณฑ์ ปฏิบัติตามกฎควบคุมโควิด คัดกรอง - แยกกักโรคแดนแรกรับ - เลขา รมว.ยุติธรรม เผยมีคลิปการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยันไม่มีทำร้าย ทำตามมาตรการปกติ ชี้หา โฆษกกระทรวงยุติธรรม แจงราชทัณฑ์ ปฏิบัติตามกฎควบคุมโควิด คัดกรอง - แยกกักโรคแดนแรกรับ - เลขา รมว.ยุติธรรม เผยมีคลิปการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยันไม่มีทำร้าย ทำตามมาตรการปกติ ชี้หากไม่สบายใจถูกข่มขู่มาร้องเรียนได้เลย พร้อมให้ความเป็นธรรม ในวันอังคารที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการเผยแพร่จดหมายของนายอานนท์ นำภา แกนนำราษฎร เพื่อขอความช่วยเหลือเนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตรายถึงชีวิต หลังถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวออกนอกเเดนในยามวิกาล ว่า ตนได้ให้กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบและได้รับรายงานว่าภายหลังจากที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับย้ายตัวนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ "ไมค์" นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" แกนนำราษฎร และนายบียรัฐ จงเทพ หรือ "โตโต้" แกนนำกลุ่ม Wevo มาจากเรือนจำพิเศษธนบุรี เมื่อเวลาประมาณ ๑๘.๔๐ น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจร่างกาย ก่อนนำตัวมาคุมขังพร้อมกับผู้ต้องขังคนอื่นอีก ๙ ราย ในห้องควบคุมผู้ต้องขังภายในแดนแรกรับ เพื่อแยกกักโรคตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ ต่อมาเวลา ๒๓.๐๐ น. นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยคณะแพทย์และพยาบาลจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้เข้ามาดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขังภายในห้องดังกล่าว ซึ่งมีทั้งสิ้น ๑๖ ราย แต่มีผู้ต้องขังที่ให้ความร่วมมือเพียง ๙ ราย และไม่ประสงค์ให้ความร่วมมือในการตรวจหาเชื้อ ๗ ราย คือ นายอานนท์ พร้อมพวก จึงต้องแยกกลุ่มผู้ต้องขังดังกล่าวออกจากผู้ต้องขังที่ยินยอมรับการตรวจเชื้อ เพื่อเป็นการแยกกักกันโรคและสังเกตอาการเพิ่มเติมที่สถานพยาบาล ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เรามีคลิปวีดีโอบันทึกภาพไว้อยู่แล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตัวกับผู้ต้องขังอย่างไร ซึ่งจากที่ดูคลิป มีการปฏิบัติตัวปกติ ในภาพมีการพูดคุยว่าทำไมไม่ตรวจตอนเช้า มาตรวจอะไรตอนดึก ซึ่งผู้ต้องขังเข้ามาดึกแล้ว ก็ต้องตรวจตามขั้นตอน เพราะในฝั่งธนบุรี เขตบางแค มีการระบาดหนัก เป็นความปรารถนาดีของเจ้าหน้าที่เรือนจำฯ ตรวจสุขภาพให้ แต่หากไม่อยากตรวจก็เป็นไปตามสิทธิ เราก็แยกห้องให้ คือสภาพความเป็นจริง ส่วนการทำร้ายร่างกาย ตนยืนยันว่าไม่มีแน่นอน แต่ตามสิทธิของผู้ต้องขัง หากมีการข่มขู่ทำร้ายร่างกาย สามารถแจ้งดำเนินคดีได้ ซึ่งหากยังมีความไม่สบายใจ ตนอาจจะเข้าไปดูเพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจ ถ้าคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนมายังกระทรวงยุติธรรมได้ เราจะดำเนินคดีให้ ตนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดตามกฎ ระเบียบ และ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ อย่างเคร่งครัด ไม่สามารถกระทำการใดโดยพลการได้ การทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นการกระทำความผิดทางอาญาเจ้าหน้าที่ไม่สามารถกระทำได้อยู่แล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40044
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ขยาย 6 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 36
วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564 กรมทางหลวง ขยาย 6 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 36 สายกระทิงลาย - ระยอง รวมสะพานข้ามแยกขนำไร่และแยกหนองบอน ระยะทาง 8.7 กิโลเมตร แล้วเสร็จ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดย สำนักก่อสร้างทาง ที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 36 สายกระทิงลาย - ระยอง รวมสะพานข้ามแยกขนำไร่และแยกหนองบอน ตอนทางแยกต่างระดับเขาไม้แก้ว - แยกหนองบอน ตอน 1 ระหว่าง กม. ที่ 16+300 ถึง กม. ที่ 25+000 รวมระยะทาง 8.7 กิโลเมตร แล้วเสร็จ รวมระยะทางตลอดสายประมาณ 58 กิโลเมตร ขณะนี้การก่อสร้างเหลือเพียง 1 ตอน ระยะทาง 12 กิโลเมตร คาดว่าตอนที่เหลือจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2564 ทางหลวงสายนี้เป็นทางหลวงสายหลักของจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โดยมีจุดเริ่มต้นจากจุดตัดถนนสุขุมวิท ทางหลวงหมายเลข 3 บริเวณตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ไปสิ้นสุดที่บริเวณจุดตัดถนนสุขุมวิท ทางหลวงหมายเลข 3 บริเวณตำบลเชิงเนิน อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เป็นโครงข่ายการขนส่งสินค้าระหว่างนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี ปัจจุบันมีอัตราเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์ที่เข้ามาใช้เส้นทางสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทล. จึงดำเนินการก่อสร้างขยายจากเดิม 4 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร ผิวทางคอนกรีตเสริมเหล็ก ไปกลับ ด้านละ 3 ช่องจราจร ช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรแบบร่องกลาง สำหรับตอนทางแยกต่างระดับเขาไม้แก้ว - แยกหนองบอน ตอน 1 ระยะทาง 8.7 กิโลเมตร มีการก่อสร้างสะพานข้ามแยกขนาด 3 ช่องจราจร จำนวน 2 สะพาน ไปกลับ และบริเวณย่านชุมชนก่อสร้างทางขนานขนาด 2 ช่องจราจร ทั้ง 2 ด้าน งบประมาณก่อสร้างรวม 770,374,437 บาท เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งมีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยแก่ผู้ใช่เส้นทาง เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรและการขนส่ง ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภาคตะวันออก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40014
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ธ.ก.ส. เดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ธ.ก.ส.เดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี หลัง ครม.ปรับเพิ่มกรอบวงเงินกว่า 4,500 ลบ. รวมเป็นกว่า 24,000 ลบ. รองรับปริมาณข้าวเปลือกได้ถึง 1.82 ล้านตัน ขยายเวลาขอสินเชื่อถึง 31 มี.ค.64 ธ.ก.ส. เดินหน้าสนับสนุนสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี หลัง ครม. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินกว่า 4,500 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 24,000 ล้านบาท รองรับปริมาณข้าวเปลือกได้ถึง 1.82 ล้านตัน ขยายเวลาขอสินเชื่อถึง 31 มี.ค. 64 และขยายวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 เพิ่มเติมครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกกว่า 3,800 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรองรับการจ่ายสินเชื่อและจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาข้าวให้กับเกษตรกรได้อย่างครบถ้วน เริ่มจัดทำสัญญา และจ่ายเงินประกันรายได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 (เพิ่มเติม) เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว ไม่ต้องเร่งขายในช่วงที่ราคาตกต่ำ โดยเป็นการปรับกรอบวงเงินจาก 19,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 4,504 ล้านบาท รวมเป็น 24,330 ล้านบาท โดยเป็น วงเงินสินเชื่อ จำนวน 3,500 ล้านบาท วงเงินค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าว จำนวน 480 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จำนวน 524 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรองรับการชะลอปริมาณข้าวเปลือกเพิ่มเติม จำนวน 320,000 ตันข้าวเปลือก รวมเป็น 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก ณ ความชื้นไม่เกิน ร้อยละ 15 สิ่งเจือปน ไม่เกินร้อยละ 2 ซึ่งข้าวเปลือกชนิดสีได้ต้นข้าวต่ำกว่า 20 กรัม ไม่รับเข้าร่วมโครงการ และข้าวหอมมะลิจะมีเมล็ดข้าวแดงได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ไม่เกิน 22 เมล็ดใน 100 กรัม) กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตัน ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 10,400 –11,000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ตั้งแต่ 8,900 – 9,500 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 5,400 บาท/ตัน ข้าวหอมปทุม 7,300 บาท/ตัน และข้าวเหนียว 8,600 บาท/ตัน โดยเกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท กำหนดชำระคืนเงินกู้ภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ โดยไม่มีอัตราดอกเบี้ย โดยขยายระยะเวลาจัดทำ สัญญากู้จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เป็น 31 มีนาคม 2564 และภาคใต้ตั้งแต่เดือนมีนาคม – 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เริ่มดำเนินการจัดทำสัญญาในรอบใหม่ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ด้านโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) ได้ปรับกรอบวงเงินจากเดิม 46,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 3,839 ล้านบาท รวมเป็น 50,646 ล้านบาท โดยเป็นเงินชดเชยการประกันรายได้ให้เกษตรกร วงเงิน 3,755 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ วงเงิน 84 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรองรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการการประกันรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างครบถ้วน ซึ่งการประกันรายได้ดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว โดยกลไกตลาดยังคงทำงานเป็นปกติ โดยประกันรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน กรณีเกษตรกรปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด จะได้สิทธิไม่เกินจำนวนสูงสุดของข้าวแต่ละชนิด และเมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุด ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะเริ่มจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเผยอุตฯ BCG ขยายตัวต่อเนื่อง
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 บีโอไอเผยอุตฯ BCG ขยายตัวต่อเนื่อง บีโอไอแจงยอดขอรับส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ปี 2563 มีมูลค่าคำขอรับส่งเสริมกว่า 1.14 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 กว่าร้อยละ 17 สอดรับกับการเพิ่มและปรับปรุงประเภทกิจการ BCG ในปีที่ผ่านมา หวังยกระดับและสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมเกษตรของไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มBCGปี2563ที่ผ่านมา มีอัตราเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าและจำนวนโครงการ โดยมีมูลค่ารวม114,876ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2562ซึ่งมีมูลค่า98,006ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ17และมีจำนวนโครงการ494โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ9.8จากปี2562ซึ่งมี450โครงการแนวคิดBCGประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (BioEconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) คือการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการต่อยอดจุดแข็งของไทยที่มีความหลากหลายทางด้านการเกษตร ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก โดยบีโอไอให้ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมตามแนวคิดBCGแบบครบวงจรตั้งแต่เกษตรต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ การปลูกไม้เศรษฐกิจ การคัดคุณภาพ บรรจุ เก็บรักษาผลิตผลเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร การผลิตเชื้อเพลิงจากผลิตผลทางการเกษตร การผลิตหรือให้บริการระบบเกษตรสมัยใหม่ และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อปี2563ที่ผ่านมา บีโอไอได้ปรับปรุงประเภทกิจการตามแนวคิดBCGโดยการเพิ่มประเภทกิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory)ซึ่งเป็นโรงปลูกพืชที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างครบถ้วนและแม่นยำ ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย เป็นธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและการส่งออก ทั้งยังมีการปรับปรุงขอบข่าย และสิทธิประโยชน์ของกิจการเดิมในกลุ่มBCGให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันด้วย เช่น กิจการผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ กำหนดให้ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานสากล รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร จึงจะได้สิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต กิจการห้องเย็น/กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น ระบุให้ใช้สารทำความเย็นที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เป็นต้น ปัจจุบัน บีโอไอมีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนตามแนวคิดBCGกว่า50ประเภทกิจการย่อย ตัวอย่างโครงการที่ได้รับส่งเสริม เช่น โครงการผลิตสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้จากการสกัดไคโตซานโอลิโกแซคคาไรด์ (CSO) ที่ได้จากเปลือกกุ้งหรือปูด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือลดการเกิดมะเร็ง โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัด ซึ่งนำลำต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตเชื้อเพลิงชีวมวล เป็นต้น “ทิศทางทางส่งเสริมการลงทุนในปี2564บีโอไอเน้นไปที่กิจการที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และรวมถึงอุตสาหกรรมBCGก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของสำนักงานในปีนี้โดยที่ผ่านมา บีโอไอได้นำแนวคิดBCGมาใช้อยู่แล้ว และให้การส่งเสริมการลงทุนมาโดยตลอด ทั้งยังมีการปรับปรุงแก้ไข รวมถึงเพิ่มประเภทกิจการใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ และในอนาคตหากมีธุรกิจใหม่ๆ ก็จะมีการพิจารณาเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน”เลขาธิการบีโอไอกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบวิสัยทัศน์แก่ ครม. ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่เศรษฐกิจ BCG พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบวิสัยทัศน์แก่ ครม. ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่เศรษฐกิจ BCG พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นายกรัฐมนตรีมอบวิสัยทัศน์แก่ ครม. ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่เศรษฐกิจ BCG พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน วันนี้ (9 มีนาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยมอบนโนบายแก่คณะรัฐมนตรี ในการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่อนาคต และเร่งขับเคลื่อนมาตรการทางเศรษฐกิจในปี 2564 ด้วยการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่แนวโน้มใหม่ของโลกตามแนวทาง 4 Ds ได้แก่ Digitalization ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการทำงาน Decarbonization ลดการปล่อยแก๊ส Co2 Decentralization เพิ่มการเคลื่อนที่ของคน การวิจัย บริหาร และการค้า และ สร้างความปลอดภัยทางด้านอาหารและยา รวมถึงพัฒนาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูงสุดเพื่อต่อยอด 4 Ds ไปยังตลาดโลก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี 5G ได้เร็วที่สุด ซึ่งได้เริ่มเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ไปแล้ว เพื่อให้กลุ่มต่าง ๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ อาทิ การให้บริการโรงพยาบาล สาธารณสุข การศึกษา ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ด้วย ซึ่งการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันพบว่าดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากมาตรการทางเศรษฐกิจ การได้รับความเชื่อมั่นจากการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการจัดทำแผนงานโครงการแบบ Bottom-Up ผ่านกลไกการทำประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นจากท้องถิ่น ทั้งจังหวัด อบต. อบจ. เพื่ออนุมัติโครงการจากรัฐบาล แต่จะต้องมีรายละเอียดแผนงานโครงการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีการทุจริตและสามารถปฏิบัติได้จริง โดยในวันนี้ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (แก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยในกฎหมาย) เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและลดภาระประชาชน ให้ประชาชนได้สามารถใช้ประโยชน์จากกฎหมาย โดยแก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยที่มิได้กำหนดอัตรา ปรับจากอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เป็น อัตราร้อยละสามต่อปี และแก้ไขเพิ่มเติมกรณีผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเก่า ปรับจากอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เป็น อัตราร้อยละห้าต่อปี เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสในการชำระหนี้ ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยเพิ่มตู้โดยสารและขบวนรถพิเศษ 16 ขบวน รองรับการเดินทางเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยเพิ่มตู้โดยสารและขบวนรถพิเศษ 16 ขบวน รองรับการเดินทางเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม จัดมาตรการอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม จัดมาตรการอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 โดยเพิ่มเที่ยวขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 16 ขบวน และพ่วงตู้โดยสารจนเต็มหน่วยลากจูง รองรับการเดินทางได้สูงสุด 100,000 คนต่อวัน พร้อมจัดศูนย์ปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดูแลประชาชนตลอดการเดินทาง ไม่ให้เกิดปัญหาผู้โดยสารตกค้าง นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รฟท. ได้จัดมาตรการอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนใช้บริการรถไฟเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวจำนวนมาก หลังรัฐบาลได้มีการผ่อนปรนการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงได้ประกาศให้มีวันหยุดยาวตลอดเทศกาลตั้งแต่ 10-15 เมษายน รวม 6 วัน นายนิรุฒกล่าวเพิ่มว่า รฟท. ยังได้จัดมาตรการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางเพิ่มเติม โดยจัดตั้งศูนย์ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อทำหน้าที่ติดตามประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลการเดินทางของผู้โดยสาร การสั่งการแก้ไขเหตุอันตราย และรวบรวมสถิติข้อมูลการเดินทาง ขณะเดียวกันยังได้มีการเฝ้าระวังและตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ สารเสพติดของพนักงานขับรถ เจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถ และประจำสถานีก่อนปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด ตลอดจนการห้ามจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดบนขบวนรถและบริเวณสถานีรถไฟ โดยมีการประสานขอความร่วมมือไปยังกองบังคับการตำรวจรถไฟ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจตราอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ รฟท. ยังคงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากาก การรักษาระยะห่าง Social Distancing ให้มีจุดยืน/ นั่ง ให้ชัดเจนทั้งภายในสถานีและขบวนรถ โดยให้เว้นที่นั่งในลักษณะที่เว้นที่เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารนั่งติดกัน ยกเว้นผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยกัน รวมทั้งยังให้มีการจำหน่ายตั๋วโดยสารไว้ที่ร้อยละ 50 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด พร้อมกับให้สแกนแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ให้สามารถกรอกข้อมูลการเดินทางแทน โดยผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดเวลาต่าง ๆ ของขบวนรถที่ให้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Facebook แฟนเพจ ทีมพีอาร์ รฟท.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เปิดจองตั๋วล่วงหน้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 บขส. เปิดจองตั๋วล่วงหน้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยเตรียมจัดรถโดยสารรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน มั่นใจคนเดินทางเพิ่มขึ้นหลังรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลาย ย้ำคุมเข้มมาตรการป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มงวด นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บขส. ได้เปิดให้บริการจองตั๋วล่วงหน้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกและเตรียมความพร้อมในการจัดรถโดยสารให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ลดปัญหาความแออัดในการเข้าใช้สถานี รวมถึงป้องกันปัญหาผู้โดยสารตกค้าง ทั้งนี้ผู้โดยสารที่ประสงค์เดินทางในช่วงเทศกาลดังกล่าวสามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผ่านช่องทางการจำหน่ายตั๋วของ บขส. อาทิ เว็บไซต์ บขส. www.transport.co.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส ไทยทิกเก็ตเมเจอร์ และตัวแทนจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ สำหรับผู้ใช้สิทธิโครงการ “เราชนะ” และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิ์จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า ได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศเท่านั้น ไม่สามารถจองทางออนไลน์ได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบัน บขส. เปิดให้บริการเดินรถในเส้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวม 368 เที่ยววิ่ง จากปกติ 426 เที่ยววิ่ง คิดเป็นร้อยละ 86 ของจำนวนเที่ยววิ่งทั้งหมด โดย บขส. ยังคงหยุดให้บริการเดินรถเส้นทางระหว่างประเทศทุกเส้นทาง อย่างไรก็ดี บขส. จะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนมีนาคม 2564 เพื่อเตรียมแผนจัดการเดินรถและอำนวยความสะดวกรองรับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีผู้ใช้บริการรถโดยสารเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีการผ่อนคลายการเดินทางและเป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง นอกจากนี้ บขส. ยังคงใช้มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารและบนรถโดยสารอย่างเข้มงวดขั้นสูงสุด ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงฯ ดังนี้ 1. ตรวจคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสาร 2. จัดให้มีจุดบริการแอลกอฮอล์เจลสำหรับผู้โดยสาร ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร 3. กำชับให้พนักงานและผู้ให้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง 4. ขอให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ขณะใช้บริการในสถานีขนส่ง 5. ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารสแกนคิวอาร์โค้ดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนในทุกเส้นทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ปั้นเมนเทอร์แบบมืออาชีพ ไว้สอนงานให้บุคลากรใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 กสร. ปั้นเมนเทอร์แบบมืออาชีพ ไว้สอนงานให้บุคลากรใหม่ กสร.เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากร ฝึกฝนให้เป็นพี่เลี้ยง (Mentors) แบบมืออาชีพ หวังให้สอนงานบุคลากรที่มีประสบการณ์น้อยกว่า หรือบุคลากรใหม่ ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ บนพื้นฐานของระบบการพัฒนาบุคลากรอย่างสร้างสรรค์ที่มั่นคง และยั่งยืน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราการลาออกและการเกษียณอายุของข้าราชการ ในแต่ละปีมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ทำให้องค์ความรู้ที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานของบุคลากรเหล่านี้ อาจจะสูญหายไปพร้อมกับตัวบุคคลจนน่าเสียดาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยนำมาพัฒนาให้เกิดเป็นการสอนงานในระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) ที่มีความจำเป็น เนื่องจากเป็นหลักการที่ช่วยส่งเสริม และพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต โดยเป็นไปตามกฎระเบียบ ส่งผลให้การดำเนินการขององค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น สอดรับกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง มีความต้องการให้บุคลากรในสังกัดกระทรวงแรงงานได้มีความเป็นพี่ เป็นน้องกันมีน้ำใจช่วยเหลือกันทั้งในเรื่องงาน และความสัมพันธ์ส่วนตัว กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงได้จัดทำหลักสูตร การสร้างและพัฒนาการสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยงของกรมขึ้น จำนวน 2 รุ่น เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากรกรมในด้านการสอนงาน แนะนำ และการเป็นพี่เลี้ยงที่มีคุณภาพ สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ในแต่ละภารกิจของกรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อช่วยให้บุคลากรใหม่สามารถเรียนรู้และปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว ลดความผิดพลาดในการทำงาน รวมทั้งมีความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรมองค์กร ลักษณะ การทำงานร่วมกัน และนำไปสู่การมีทัศนคติที่ดีต่อกรม อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า ผู้เข้าอบรมเป็นข้าราชการของกรม ประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึง ชำนาญการพิเศษ ในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจำนวนทั้งสิ้น 86 คน ใช้เวลาอบรมรุ่นละ 5 วัน อย่างเข้มข้นด้วยรูปแบบการบรรยายและฝึกปฏิบัติ ฝึกฝนให้เป็นพี่เลี้ยงแบบมืออาชีพ และออกไปทำหน้าที่สอนงาน เป็นที่ปรึกษาให้กับน้องใหม่ หรือผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่าด้วยความมั่นใจ จนทำให้ผู้ที่ได้รับการสอนงานเกิดทักษะการทำงานที่ดีขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดความรัก ความผูกพันในองค์กร เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือ การสอนงาน การสนับสนุน ทั้งการมีความรู้สึกไว้ใจ และเป็นมิตรกับผู้ฝึกสอน หรือผู้บังคับบัญชา ตลอดจนหากมีข้อผิดพลาด ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดร่วมกันช่วยแก้ไขปัญหา และในที่สุดก็จะเกิดการพัฒนาในระบบราชการไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 รักษาหายแล้วร้อยละ 97 ย้ำประชาชนสวมหน้ากากให้ถูกต้อง
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 สธ. เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 รักษาหายแล้วร้อยละ 97 ย้ำประชาชนสวมหน้ากากให้ถูกต้อง กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศ ผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้วร้อยละ 97 ชี้การฉีดวัคซีนไม่ล่าช้า สัปดาห์ที่ผ่านมาฉีดไปแล้ว 27,497 ราย ย้ำประชาชนการ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอย่างถูกต้อง ให้ปิดปาก ปิดจมูก คลุมกระชับใบหน้า ลดความเสี่ยงแพร่แ กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศ ผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้วร้อยละ 97ชี้การฉีดวัคซีนไม่ล่าช้า สัปดาห์ที่ผ่านมาฉีดไปแล้ว27,497รายย้ำประชาชนการ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอย่างถูกต้องให้ปิดปาก ปิดจมูก คลุมกระชับใบหน้า ลดความเสี่ยงแพร่และรับเชื้อโควิด 19 หลังผลสำรวจการสวมหน้ากากด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ 30 เขตในกทม.พบสวมหน้ากากไม่ถูกต้องและไม่สวมหน้ากาก ร้อยละ 4 แนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงเย็นและวันหยุด บ่ายวันนี้ (8 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขนพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคแถลงข่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด 19 ประเทศไทย ว่าขณะนี้แนวโน้มคงตัว จำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 100 ราย ในวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 71 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 41 ราย, คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 7 ราย มาจากต่างประเทศเข้ากักตัวในสถานกักกัน/รักษาในโรงพยาบาล 23 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รักษาหาย 33 ราย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 8 มีนาคม 2564 มีผู้ที่รักษาหายแล้ว 21,600 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.28 อยู่ระหว่างการรักษา 579 รายโดยผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 48 ราย พบใน5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 40 ราย กรุงเทพมหานคร1 ราย ปทุมธานี2 ราย ตาก 2 ราย และปราจีนบุรี 3 ราย จังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยเลย 14 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อติดต่อกัน 28 วัน จำนวน 40 จังหวัด สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด19ของประเทศไทยนั้น ถือว่าอยู่ในจังหวะที่เหมาะสม ไม่ล่าช้า เห็นได้จากประเทศญี่ปุ่นที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ได้เริ่มฉีดก่อนหน้าไทยเพียง 1 สัปดาห์ และยังทำให้เราได้รับข้อมูลจากประเทศที่มีการฉีดมาก่อน ทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลในการป้องกันโรค ข้อมูลตั้งแต่วันที่28กุมภาพันธ์ -7มีนาคม2564ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายใน 13 จังหวัด รวม27,497รายซึ่งการฉีดวัคซีนดำเนินการพร้อมๆ กันให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ในระยะแรกกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์จะได้รับการฉีดจำนวนมากก่อน เพื่อรักษาระบบการแพทย์และสาธารณสุข ในระยะถัดไปจะเพิ่มในกลุ่มประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ผลการสำรวจการสวมหน้ากากด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์(AiMASK)พัฒนาโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2564ตรวจสอบจากกล้องวีดีโอวงจรปิด 31 จุด ใน 30 เขตของกทม. พบว่า ร้อยละ 96.03 ใส่หน้ากากถูกต้อง ร้อยละ 2.36 ใส่ไม่ถูกต้อง และร้อยละ 1.61 ไม่ใส่หน้ากาก เขตที่มีอัตราการใส่หน้ากากถูกต้องมากกว่าร้อยละ 95 มี 17 เขต และเขตที่มีการสวมใส่หน้ากากถูกต้องน้อยกว่าร้อยละ 90 มีจำนวน 2 เขต และอยู่ระหว่างร้อยละ 90-95 มี 11 เขต ประชาชนมีแนวโน้มใส่หน้ากากไม่ถูกต้องและไม่สวมหน้ากากเพิ่มขึ้นในช่วงเย็นและช่วงวันหยุด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการสวมหน้ากากไม่ถูกต้องและไม่สวมหน้ากาก ร้อยละ 5 -10 จะดูเหมือนน้อย เมื่อเปรียบเทียบหากนั่งรถเมล์มีคน 10 – 20 คนต่อคัน หมายถึงจะมีคนที่ไม่ใส่หน้ากากอย่างน้อย 1 คนบนรถที่มีโอกาสแพร่เชื้อให้คนทั้งรถได้ จึงขอให้ทุกคนการ์ดอย่าตก เข้มงวดกับตัวเองและคนใกล้เคียง ให้สวมหน้ากากอย่างถูกต้อง โดยใส่หน้ากากปิดปาก ปิดจมูก ครอบคลุมกระชับกับใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงแพร่และรับเชื้อโควิด 19 ************************************** 8 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชวนลูกหลานพาผู้สูงวัย มารับบริการในวันหยุด คลินิกผู้สูงอายุนอกเวลาราชการ
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564 สธ. ชวนลูกหลานพาผู้สูงวัย มารับบริการในวันหยุด คลินิกผู้สูงอายุนอกเวลาราชการ กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกผู้สูงอายุนอกเวลา โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ให้บริการในวันเสาร์ เชิญชวนลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับบริการ พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เข้าถึงบริการสะดวก ลดรอคอย ลดแออัด วันนี้ (13 มีนาคม 2564) นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกผู้สูงอายุนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โดยมีนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมพิธี นายวัชรพงศ์กล่าวว่า ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ทุกโรงพยาบาลจัดระบบบริการ เพิ่มความสะดวกประชาชน ลดรอคอย ลดแออัด และจากสถานการณ์โรคโควิด 19 จำเป็นต้องลดความเสี่ยงการแพร่และรับเชื้อในกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้สูงอายุให้จัดบริการเฉพาะอำนวยความสะดวก เปิดคลินิกผู้สูงอายุนอกเวลา เป็นของขวัญวันผู้สูงอายุปี 2564 โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ มีประชากรผู้สูงอายุถึงร้อยละ 19 โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ได้จัดบริการคลินิกผู้สูงอายุเป็นของขวัญวันผู้สูงอายุปี 2564 โดยเพิ่มบริการนอกเวลาราชการ ในวันเสาร์ จากเดิมที่ให้บริการในวันอังคารและศุกร์เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2564 ช่วยให้บุตรหลานสะดวกในการพาผู้สูงอายุมารับบริการ ไม่ต้องลางาน และมีโอกาสได้พบแพทย์พูดคุย รับฟังแนวทางการดูแลสุขภาพพร้อมกับผู้สูงอายุ มีการลดขั้นตอน จัดให้บริการครอบคลุมครบวงจร โดยแพทย์จะประเมินปัญหาสุขภาพ เพื่อวางแผนการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพที่เหมาะสมกับปัญหาของผู้สูงอายุ และส่งต่อรับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งมีการติดตามดูแลต่อเนื่องถึงบ้านจากทีมสหวิชาชีพ และ 3 หมอ ทั้งนี้ คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2557 ให้บริการเฉพาะวันศุกร์ ปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม ภาวะหลงลืม อยู่ในการดูแล 78 ราย ผู้สูงอายุที่มารับบริการได้รับการคัดกรองประเมินปัญหาสุขภาพ โรคที่พบบ่อย และความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตามมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุร้อยละ 100 ******************************** 13 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการจัดการที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน บริษัท เคฟเท็กซ์ จำกัด
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการจัดการที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน บริษัท เคฟเท็กซ์ จำกัด รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการจัดการที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน บริษัท เคฟเท็กซ์ จำกัด วันนี้ (8 มีนาคม 2564) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการจัดการที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน บริษัท เคฟเท็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตผ้าเบรค, ผ้าครัชท์รถยนต์ทุกชนิด พร้อมด้วย นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร ณ บริษัท เคฟเท็กซ์ จำกัด จังหวัดปทุมธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2020 พร้อมเชิญชวนคนรุ่นใหม่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี สร้างอนาคตประเทศไทย
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2020 พร้อมเชิญชวนคนรุ่นใหม่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี สร้างอนาคตประเทศไทย นายกรัฐมนตรีมอบรางวัล Prime Minister’s Digital Awards 2020 พร้อมเชิญชวนคนรุ่นใหม่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี สร้างอนาคตประเทศไทย วันนี้ (9 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการรางวัลเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Digital Award 2020) และรับชมการนำเสนออาชีพใหม่ของคนรุ่นใหม่ (Gen Z) หัวใจดิจิทัล สาธิตการขายของ ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2020 เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2563 ประกอบไปด้วย รางวัล Digital Youth of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รางวัล Digital Community of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ สหกรณ์โคนมพัทลุง จังหวัดพัทลุง รางวัล Digital Entrepreneur of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ นายรวิศ หาญอุตสาหะ รางวัล Digital Startup of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ บริษัท โกลบิชอคาเดเมีย (ไทยแลนด์) จำกัด รางวัล Digital Organization of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ สำนักข่าว The Standard และ รางวัล PM’s Special Award : Digital International Corporation of the Year ผู้ได้รับรางวัลคือ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด นายกรัฐมนตรียังให้ความสนใจการไลฟ์ขายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นใหม่ (Gen Z) หัวใจดิจิทัล บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลส่งเสริมแพลตฟอร์มไทยเพื่อคนไทยด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ พร้อมชื่นชมคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ต่อยอด สร้างธุรกิจใหม่ ๆ ถือเป็นการเรียนรู้และก้าวหน้าไปด้วยกัน ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบ 5G และ AI ขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต หวังให้ความสำเร็จในวันนี้เป็นแรงบันดาลใจ เชื่อมต่อไปยังนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างอนาคตใหม่ ๆ ให้กับประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจทั้งทางเศรษฐกิจ และพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กลิสต์ 'ม33เรารักกัน' ใช้จ่ายร้านไหน ซื้ออะไรได้บ้าง!!
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 เช็กลิสต์ 'ม33เรารักกัน' ใช้จ่ายร้านไหน ซื้ออะไรได้บ้าง!! ... เช้าวันนี้ (22 มี.ค.) เป็นวันแรกที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับวงเงินสิทธิช่วยเหลือตามโครงการ "ม33เรารักกัน" งวดแรก ซึ่งหลังจากผู้มีสิทธิเปิดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" จะได้รับวงเงินเป็นรายสัปดาห์ครั้งละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท และวงเงินคงเหลือสามารถสะสมแล้วนำไปใช้ได้จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ คือ 31 พ.ค. 64 . ผู้ได้รับสิทธิ สามารถนำไปใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ร่วมโครงการ ทั้งร้านถุงเงินธงฟ้าประชารัฐ, ร้านค้าคนละครึ่ง, ร้านค้าเราชนะ รวมถึง ขนส่งสาธารณะที่เข้าร่วมโครงการ . สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ สามารถแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 2. ร้านถุงเงินธงฟ้าฯ 3. สินค้าโอทอป 4. สินค้าทั่วไป เช่น ร้านขายของฝาก ร้านซ่อมทุกประเภท เช่ารถยนต์/มอเตอร์ไซค์ ร้านขายอุปกรณ์เพื่อการกีฬา ร้านขายสินค้าเกษตร ร้านบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง/ขายอาหารสัตว์ ร้านบริการจัดสวน ร้านขายเสื้อผ้า มินิมาร์ท ตลาดสด 5. โรงแรม/ที่พัก เช่น โฮมสเตย์ หอพัก แมนชั่น อพาร์ทเมนท์ แฟลต 6. สุขภาพ/ความงาม เช่น ร้านขายเครื่องสำอางและบำรุงผิว ร้านขายยาและอาหารเสริม ร้านเสริมสวย ร้านทำเล็บ ร้านสปา ร้านนวด 7. ขนส่งสาธารณะ ได้แก่ แท็กซี่ รถตู้ จักรยานยนต์ สามล้อถีบ รถสองแถว รถไฟฟ้า รถไฟ เรือ รถ บขส. 8. รับเหมา/งานช่าง/ทำความสะอาด 9. สุขภาพ/การแพทย์ เช่น สถานพยาบาลประเภทที่ไม่รับผู้ป่วยค้างคืน กลุ่มบริการด้านสุขภาพและการแพทย์ คลินิก . นอกจากนี้ ยังสามารถค้นหาร้านค้าที่อยู่ในละแวกใกล้ที่พักหรือที่ทำงาน ที่เข้าร่วมโครงการ ในเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน .com เลือกเมนูค้นหาร้านค้าเพื่อใช้จ่ายสิทธิ และกรอกรายการที่ต้องการค้นหาตามประเภทของร้านค้าและบริการ หรือจะค้นหาเป็นรายจังหวัดก็สามารถทำได้ โดยจะมีแผนที่ระบุที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวปาฐกถาและมอบนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 คำกล่าวปาฐกถาและมอบนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ในงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 คำกล่าวปาฐกถาและมอบนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ.2564 ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “วันข้อมูลเปิดนานาชาติ”หรือInternational Open Data Dayซึ่งถือเป็นวันที่สร้างความตระหนักรู้และสนับสนุนให้รัฐบาลทั่วโลก เปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อนำข้อมูลไปใช้พัฒนาต่อยอดอย่างกว้างขวางและเท่าเทียม ก่อให้เกิดประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจ สร้างบริการและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงจุดและทั่วถึง พร้อมทั้งเกิดผลดีในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม นอกจากการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐจะเป็นการช่วยส่งเสริมธุรกิจของภาคเอกชนแล้ว ยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความโปร่งใสของภาครัฐ ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ภาครัฐต้องพัฒนาประสิทธิภาพในกระบวนงานเปิดเผยข้อมูลอย่างสม่ำเสมอซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการเปิดเผยข้อมูลผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือdata.go.thเป็นการบูรณาการข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการและเข้าถึงของประชาชน และในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณะและสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเปิด คือ การใช้ข้อมูลเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCovid-19ซึ่งได้มีการนำข้อมูลเปิดเรื่องการติดเชื้อและพื้นที่เสี่ยงของกรมควบคุมโรคไปใช้งานเพื่อประสานการทำงานกันระหว่างหน่วยงานในการเฝ้าระวังโรค กักกันโรค และการระบุจุดเสี่ยงของโรค จากทุกภาคส่วนทั้งระดับจังหวัดและระดับพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้การบริหารจัดการด้านการควบคุมโรคของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลเปิดที่สำคัญชุดนี้ไปต่อยอดการใช้งานในรูปแบบแอปพลิเคชัน ซึ่งนับว่าเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่ม และบูรณาการการใช้ข้อมูลเปิด ผมขอขอบคุณและขอชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันจนประสบความสำเร็จในการเปิดข้อมูลและบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆโดยการสร้างข้อตกลงร่วมกันในการเปิดเผยข้อมูลพิกัดตำแหน่งอุบัติเหตุเพื่อส่งเสริมให้เกิดการระมัดระวังและลดปริมาณอุบัติเหตุบนท้องถนน และได้ปรับปรุงข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมายและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นไปตามนโยบายข้อมูลที่เป็นรูปธรรมตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดได้ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเป็นคุณประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมากโดยตรง สุดท้ายนี้ ผมขอให้ส่วนราชการภาครัฐได้ร่วมกันผลักดันและส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการทำงานภาครัฐให้มีความทันสมัย เปิดเผย เชื่อมโยง และโปร่งใส ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในวงกว้างและได้ขยายผลต่อไป อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศอย่างยั่งยืน ขอบคุณครับ ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’พบปะให้กำลังใจลูกจ้าง กำชับ กสร.เร่งช่วยเหลือแก้ปัญหาข้อพิพาทแรงงานโดยเร็ว
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ‘จับกัง1’พบปะให้กำลังใจลูกจ้าง กำชับ กสร.เร่งช่วยเหลือแก้ปัญหาข้อพิพาทแรงงานโดยเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พบปะให้กำลังใจลูกจ้าง 7 องค์กรแรงงาน พร้อมรับหนังสือข้อเรียกร้องกรณีที่ลูกจ้างได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทแรงงาน กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งรัดติดตามช่วยแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็วที่สุด เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 เวลา 11.30 น.ที่บริเวณชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ลงมาพบปะพูดคุยเพื่อให้กำลังใจกับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านแรงงานขององค์กรแรงงาน จำนวน 7 องค์กร เพื่อดำเนินการหาแนวทางการช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกกลุ่มเป็นอย่างยิ่ง ให้ดูแลดุจคนในครอบครัว จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก ติดตามให้ความช่วยเหลือ และให้การสนับสนุนผู้ใช้แรงงานในทุกมิติ ซึ่งในวันนี้ผมได้ลงมาติดตามปัญหาของพี่น้องผู้ใช้แรงงานด้วยตนเอง ซึ่งกรณีปัญหาด้านแรงงานของแต่ละสหภาพแรงงานนั้น ผมได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าไปเร่งรัด ติดตาม และรายงานผลกลับไปโดยเร็วที่สุด โอกาสเดียวกันนี้ มีนางอภันตรี เจริญศักดิ์ รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และคณะ ได้นำลูกจ้าง จำนวน 250 คน ได้เข้าขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ได้ผลักดันและช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 9.27 ล้านคน ให้ได้รับการช่วยเหลือรายละ 4,000 บาทเป็นผลสำเร็จ และเข้ายื่นหนังสือข้อเรียกร้องของลูกจ้างได้รับผลกระทบจากปัญหาข้อพิพาทด้านแรงงาน ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อนำเสนอปัญหาและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยมีประเด็นปัญหาดังนี้ 1) สหภาพแรงงาน (สร.) ซัมมิทแหลมฉบัง โอโต บอดี้ กรณีนายจ้างสร้างหลักฐานการกลับเข้ามาทำงาน โดยจ่ายค่าจ้างให้พนักงานจำนวน 7 วัน และเลิกจ้างพร้อมนำเงินส่งสำนักงานประกันสังคมเป็นเหตุให้ลูกจ้างเสียสิทธิกรณีว่างงานในงวดสุดท้าย 2) สหภาพแรงงานผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไทย (บริษัท โตโยต้า โกเซรับเบอร์ ประเทศไทย จำกัด) บริษัทฯ กล่าวหา นายสุนทร เพชรอ้อน ว่ายุยงปลุกปั่นพนักงานและให้นายสุนทรฯ กับพวก 14 คน อยู่นอกบริษัทฯ อ้างปรับปรุงบริษัทฯ และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เรื่อยมา สร.ได้ยื่นคำร้องขอให้ ครส. พิจารณาวินิจฉัยและออกคำสั่งว่าการกระทำของบริษัทฯ เป็นการฝ่าฝืน พรบ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 และให้บริษัทฯ ยกเลิกคำสั่งให้พนักงาน 14 คน กลับเข้ามาทำงานในตำแหน่งเดิมรวมถึงจ่ายเงินพิเศษให้กับพนักงาน 14 คน แต่พนักงาน 14 คน ไม่ได้รับเงินพิเศษแต่อย่างใด 3) สหภาพแรงงานผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไทย (ลูกจ้างของบริษัทพงศ์พาราโคนันรับเบอร์ จำกัด) นายจ้างยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างนายสมคิด ของนา กับพวก 8 คน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงวันที่ 30 ม.ค.64 ซึ่งมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากศาลยังไม่อนุญาตให้บริษัทฯ เลิกจ้างคดีอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลแรงงาน 4) สหภาพแรงงานยาชิโยด้า แห่งประเทศไทย กรณีบริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เลิกจ้างกรรมการ สร.โดยไม่มีข้อหาเนื่องจากนายจ้างไม่ต้องการให้ลูกจ้างไปยื่นคำร้องที่ สสค.ปทุมธานี และอยู่ในระหว่างเรียกนายจ้างไปชี้แจงข้อเท็จจริง 5) สหภาพแรงงานบริษัท สยามยาชิโยะ จำกัด บริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงงาน พ.ศ. 2541 โดยใช้อำนาจโดยไม่ชอบในการกลั่นแกล้งพนักงานไม่ให้สามารถทำงานต่อไปได้ จนไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย และ 6) สหภาพแรงงานวิงสแปนสัมพันธ์ฯ ประเด็นปัญหาบริษัท รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานไทย จำกัด อาทิ เรื่องการโอนย้ายพนักงานที่ไม่เป็นธรรม การประกาศใช้นโยบาย Work From Home กับพนักงานตรวจค้นรายเดือน (บังคับให้หยุดงาน) และหักเงินเดือนพนักงาน หากพนักงานไม่มาทำงานในวันที่สั่งหยุด ให้พนักงานรักษาการณ์ทำงาน 8 ชม. โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัวที่จำเป็น ทำให้พนักงานหญิงมีปัญหาสุขภาพ บริษัทฯ ออกประกาศเพิ่มชั่วโมงการทำงานจาก 8 ชม. เป็น 12 ชม. ในแผนกรักษาความปลอดภัย บริษัทฯ ไม่มีการจัดหาห้องพยาบาล และห้องพักผ่อนไว้ให้พนักงาน บริษัทฯ ไม่มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวะอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามกฎหมาย ฯลฯ และ 7) บริษัท ยูชิน ประเด็นติดตามความคืบหน้าคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาว่าขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ด้านนางอภันตรี เจริญศักดิ์ รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวได้ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ได้ช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยผลักดันโครงการ ม33เรารักกัน เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมยังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใดๆ มาก่อน รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้เล๋งเห็นความสำคัญ แม้ว่าเงินจำนวน 4,000 บาทจะไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้มาก ซึ่งเงินเหล่านี้ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็วอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เตรียมความพร้อมเปิดเดินรถเสมือนจริงรถไฟฟ้าสายสีแดง
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เตรียมความพร้อมเปิดเดินรถเสมือนจริงรถไฟฟ้าสายสีแดง วันที่ 23 มีนาคม 2564 นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานเข้าพื้นที่โครงการระบบรถไฟชานเมือง ( สายสีแดง ) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเดินรถเสมือนจริงในวันที่ 26 มีนาคม 2564 วันที่ 23 มีนาคม 2564 นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานเข้าพื้นที่โครงการระบบรถไฟชานเมือง ( สายสีแดง ) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเดินรถเสมือนจริงในวันที่ 26 มีนาคม 2564 ณ สถานีกลางบางซื่อ โครงการระบบรถไฟชานเมือง ( สายสีแดง ) มีความพิเศษที่ตัวขบวนรถไฟฟ้าที่มีความสวยงามเหมือนรถไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น วิ่งด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างความสะดวกสบาย และความรวดเร็วให้แก่ประชาชนในการเดินทางเส้นทางชานเมือง โดยแบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ สายสีแดงเข้ม และสายสีแดงอ่อน ซึ่งในช่วงแรกเปิดให้บริการ 13 สถานี ประกอบด้วย สถานีกลางบางซื่อ , สถานีจตุจักร , สถานีวัดเสมียนนารี , สถานีบางเขน ,สถานีทุ่งสองห้อง , สถานีหลักสี่ , สถานีการเคหะ , สถานีดอนเมือง , สถานีหลักหก , สถานีรังสิต , สถานีบางซ่อน , สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 14 บาท ( อาจมีการเปลี่ยนแปลง ) โดยในอนาคตโครงการสายสีแดงเข้มจะมีส่วนต่อขยาย รังสิต - อยุธยา และสายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน - ศาลายา โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) มีกำหนดเปิดให้บริการแก่ประชาชนที่วไปในช่วงปลายปี 2564 ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ชานเมือง ซึ่งต้องการจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้เป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อัพเดทความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564 อัพเดทความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม อัพเดทความก้าวหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ดังนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี มีความก้าวหน้างานโยธา 77.77% ติดตามรายละเอียดโครงการฯ ได้ที่ https://www.mrta-orangelineeast.com อัพเดทปิดเบี่ยงจราจร/แสดงความคิดเห็น/ร้องเรียน ช่องทาง Line: @OrangeLine โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง มีความก้าวหน้างานโยธา 77.97% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 69.35% ความก้าวหน้าโดยรวม 74.23% ติดตามรายละเอียดโครงการฯ ได้ที่https://mrta-yellowline.com อัพเดทปิดเบี่ยงจราจร/แสดงความคิดเห็น/ร้องเรียน ช่องทาง Line: mrtyellowline โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี มีความก้าวหน้างานโยธา 74.14% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 67.24% ความก้าวหน้าโดยรวม 71.10% ติดตามรายละเอียดโครงการฯ ได้ที่https://www.mrta-pinkline.com อัพเดทปิดเบี่ยงจราจร/แสดงความคิดเห็น/ร้องเรียน ช่องทาง Line: @mrtpinkline
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกค้า ธอส. เข้ามาตรการ COVID-19 ระลอกใหม่(M9-M12) เกือบ 1.2 แสนล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนลูกค้าเดิมในมาตรการ 2 เป็นการเฉพาะให้ได้รับความช่วยเหลือต่อถึงสิ้นปี 64
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ลูกค้า ธอส. เข้ามาตรการ COVID-19 ระลอกใหม่(M9-M12) เกือบ 1.2 แสนล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนลูกค้าเดิมในมาตรการ 2 เป็นการเฉพาะให้ได้รับความช่วยเหลือต่อถึงสิ้นปี 64 ธอส.เผยจำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ (M9-M12) ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ 4 มาตรการตามโครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564 รวมเกือบ 1.24 แสนบัญชี เงินต้นคงเหลือกว่า 1.2 แสนล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผย จำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ (M9-M12) ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้า 4 มาตรการตาม “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” รวมเกือบ 1.24 แสนบัญชี เงินต้นคงเหลือกว่า 1.2 แสนล้านบาท พร้อมประกาศขยายความช่วยเหลือเป็นการเฉพาะของลูกค้าในมาตรการที่ 2 พักชำระเงินต้นและชำระเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะครบกำหนดระยะเวลาความช่วยเหลือตามมาตรการในวันที่ 31 มีนาคม และ 30 มษายน 2564 หากยังมีผลกระทบด้านรายได้สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขอขยายความช่วยเหลือไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 ผ่าน Application : GHB ALL ภายในวันที่ 29 มีนาคม 2564 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจาก ธอส. จัดทำ “โครงการ ธอส.รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” ได้จัดทำ 4 มาตรการ (M9-M12) ลดเงินงวดผ่อนชำระ(ตัดเงินต้นและตัดดอกเบี้ย) นานสูงสุด 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ระบาดระลอกใหม่ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง และล่าสุดได้ครบกำหนดระยะเวลาความช่วยเหลือในระยะแรกที่ธนาคารเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการแล้วจำนวน 3 มาตรการ จาก 4 มาตรการ โดยปรากฏว่ามีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการรวมทั้งสิ้น 123,985 บัญชี เงินต้นคงเหลือรวม 119,878 ล้านบาท แบ่งเป็น มาตรการที่ 9 สำหรับลูกค้าที่เคยเข้าร่วมหรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส. จำนวน 105,469 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 98,210 ล้านบาท (ปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564) มาตรการที่ 10 สำหรับลูกหนี้สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 5,186 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 5,053 ล้านบาท (ปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564) มาตรการที่ 11 สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือฯ ของ ธอส.จำนวน 13,156 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 15,749 ล้านบาท (ปิดลงทะเบียน วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564) และมาตรการที่ 12 สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs สินเชื่อประเภทแฟลต จำนวน 174 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 866 ล้านบาท (เปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564) นอกจากนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือตาม “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” มาตรการที่ 2 พักชำระเงินต้นและชำระเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เป็นระเวลา 1 ปี ซึ่งจะครบกำหนดระยะเวลาความช่วยเหลือในวันที่ 31 มีนาคม และ 30 เมษายน 2564 ธนาคารจึงเปิดให้ลูกค้าที่อยู่ในมาตรการดังกล่าวจำนวน 49,700 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 48,500 ล้านบาท หากยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 สามารถลงทะเบียนเป็นการเฉพาะ เพื่อแจ้งความประสงค์ในการ “ขยาย” ความช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าวต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยสามารถลงทะเบียนพร้อมกับ Upload หลักฐานยืนยันว่ามีผลกระทบทางรายได้ผ่าน Application : GHB ALL ระหว่างวันที่ 1- 29 มีนาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000, www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้บริหาร ข้าราชการ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 ปลัดวธ.ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้บริหาร ข้าราชการ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี ปลัดวธ.ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้บริหาร ข้าราชการ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้บริหาร ข้าราชการ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี โดยมีนายธีทัต พิมพา วัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี นางรวงทอง พลธิราช วัฒนธรรมจังหวัดเลย นายวิสูตร ดวงสิมา วัฒนธรรมจังหวัดบึงกาฬ ผู้บริหาร ข้าราชการ กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดกิจกรรมแรงงานรวมใจจิตอาสาบริจาคโลหิต 1 คนให้หลายคนรับ
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน จัดกิจกรรมแรงงานรวมใจจิตอาสาบริจาคโลหิต 1 คนให้หลายคนรับ ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน เยี่ยมให้กำลังใจผู้บริจาคโลหิตในกิจกรรมแรงงานรวมใจจิตอาสาบริจาคโลหิต 1 คนให้หลายคนรับ เน้นย้ำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตระหนักถึงความเสียสละ และร่วมกันทำความดีเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินด้วยหัวใจ วันที่ 5 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวอำพันธ์ ธุวะวิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้บริจาคโลหิต ในกิจกรรมแรงงานรวมใจจิตอาสาบริจาคโลหิต 1 คนให้หลายคนรับ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริจาคโลหิต ร่วมบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ 3 เดือน รวมทั้งเพื่อให้ได้รับโลหิตบริจาคเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกิจกรรมบริจาคโลหิตครั้งแรกในปี 2564 และมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 200 คน โดยกระทรวงแรงงานร่วมกับสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงานและศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ณ ห้องประชุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 5 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 มท.1 ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร มท.1 ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เน้นย้ำ "ขับเคลื่อนงานตามอำนาจหน้าที่บนความโปร่งใส ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองพี่น้องประชาชน" เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 64 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถ.พระราม 6 กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการ และคณะ ในการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ผู้แทนเมืองพัทยา ร่วมให้การต้อนรับและร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความยินดีที่ได้ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎรในการมาศึกษาดูงานและให้คำแนะนำเรื่องการบริหารงบประมาณ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะการบริหารจัดการงบประมาณภาครัฐต้องอยู่ภายใต้การกำกับถ่วงดุลของสภาผู้แทนราษฎร เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใกล้ชิดประชาชน ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการฯ มาให้คำแนะนำฝ่ายปฏิบัติในวันนี้ เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และเป็นการให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทยเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน นายไชยา พรหมา กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ให้การต้อนรับในการศึกษาดูงานและประชุมร่วมกัน ซึ่งในวันนี้ คณะกรรมาธิการฯ มีความตั้งใจมาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในด้านการบริหารงบประมาณและการทำงานของกระทรวงมหาดไทยตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ และกระทรวงมหาดไทยจึงมีผลสัมฤทธิ์การทำงานเหมือนกันคือให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และการประชุมร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวันนี้ จะส่งผลให้การขับเคลื่อนงานของกรม กองต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปได้ และเกิดการแก้ไขปัญหาของประชาชน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นส่วนราชการในฝ่ายบริหาร และสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งสิ่งที่มีการปฏิบัติราชการใกล้ชิดกันที่สุด คือ การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ..... ด้วยการนำความทุกข์ร้อนประชาชนมาเสนอแนะ โดยเน้นย้ำว่า การบริหารงานของกระทรวงมหาดไทย มุ่งเน้นขับเคลื่อนการทำงานตามอำนาจหน้าที่บนความโปร่งใส ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ยึดโยงแผนระดับต่าง ๆ ยุทธศาสตร์ และฐานข้อมูล เพื่อตอบสนองตามความต้องการของพี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40355
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ครั้งที่ 3/2564 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 การประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ครั้งที่ 3/2564 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ครั้งที่ 3/2564 ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (15 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ครั้งที่ 3/2564 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอผลการประเมินสถานะของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นระบบราชการ 4.0 ด้วยตนเอง ขั้นตอนที่ 1 ทางระบบออนไลน์ ประจำปี พ.ศ. 2564 ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการดำเนินการประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0) ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ.2565 โดยมีผู้อำนวยการกองต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอบคุณประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ขอบคุณประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ สอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสการกระทำผิดซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจากข้อมูลการแจ้งเบาะแสเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา รัฐบาลตรวจสอบข้อเท็จจริงจนสามารถจับกุมดำเนินคดีได้แล้วหลายเรื่อง เช่น แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย 5 คดี เปิดสถานที่เล่นการพนัน 21 คดี ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 12 คดี และเรื่องร้องทุกข์ขอความช่วยเหลืออีกกว่า 108,000 เรื่อง ทั้งนี้ หากใครพบเห็นการกระทำผิดเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค สามารถแจ้งเบาะแสไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ได้ทุกวัน เพื่อลดอัตราการติดเชื้อในประเทศไทยให้ได้มากที่สุด “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39708
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก บูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนโครงการ บวร พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก บูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนโครงการ บวร พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก บูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนโครงการ บวร พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 64เวลา 10.15 น. ณ วัดหนองกาดำบำรุงธรรม ตำบลพันชาลี อำเภอวังทองนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อขับเคลื่อนงานตามภารกิจกระทรวง พม. ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน โดยเป็นประธานเปิดโครงการ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) พร้อมทั้งมอบความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านสวัสดิการสังคมของรัฐ โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหาร นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมงาน นายจุติกล่าวว่า วันนี้ ตนได้มาพบปะพี่น้องชาวตำบลพันชาลี จังหวัดพิษณุโลก ในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าคือทีมประเทศไทย เป็นการทำงานบูรณาการทุกกระทรวงโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขอให้ทุกคนทำงานกันเป็นทีมประเทศไทย สำหรับโครงการ บวร เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่อยากให้ บ้าน วัด มัสยิด โบสถ์ และโรงเรียน ทำงานด้วยกัน เป็นช่องทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างหนึ่ง เพราะว่าการลงทุนกับเยาวชนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด และประเทศไทย เราต้องการคนที่เข้มแข็ง มีทักษะในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้น กระทรวง พม. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาดำเนินการในเรื่องการสร้างอุปนิสัย สร้างทักษะ สร้างความพร้อมให้กับนักเรียนและเยาวชน ซึ่งไม่ใช่แค่เริ่มต้นที่โรงเรียนมัธยมเท่านั้น แต่ควรเริ่มตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็ก โดยกระทรวง พม. ได้มีการหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกในการประสานงานกับทุกฝ่ายให้มีการฝึกวินัยเด็กตั้งแต่เล็กๆ ให้สามารถพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะเข้าเรียนอนุบาล ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำเพิ่มเติม ไม่เพียงแค่ที่บ้าน วัด มัสยิด โบสถ์ และโรงเรียน เราจำเป็นต้องมีโรงเรียนสอนพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพื่อให้อบรมเลี้ยงดูลูกอย่างถูกวิธี และพัฒนาลูกให้มีคุณภาพที่จะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ นายจุติกล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มเปราะบาง รัฐบาลได้วางรากฐานว่า กลุ่มเปราะบางทุกครอบครัวที่มี 4 ล้านกว่าครอบครัว จะต้องมีสมุดพกครอบครัว กรณีอยู่ในห้องไอซียูด้านสังคม มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าแพทย์ มีแพทย์เฉพาะทางรักษาอาการตามภารกิจของแต่ละกระทรวง มีงบประมาณ และดูแลความคืบหน้าเป็นระยะๆ ซึงใน 10 ปีข้างหน้า เราจะทำลายวงจรความยากจน ความเหลื่อมล้ำ วันนี้ มีการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเราได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะมีการปรับสมุดพกครอบครัว เพราะปัญหาของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ซึ่งตนคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือการเอาใจใส่และการให้เวลากับการแก้ไขปัญหา โดยรัฐบาลมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ เพื่อให้ประชาชนต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เด็กๆ ต้องได้เรียนหนังสือที่มีคุณภาพ มีสวัสดิการของรัฐ มีพื้นฐานปัจจัยสี่ที่จำเป็น มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และห่างไกลจากอบายมุข นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ มีการมอบความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านสวัสดิการสังคมของรัฐ ได้แก่ 1) ชุดอุปกรณ์และทุนประกอบอาชีพขายอาหารสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยว จำนวน 1 ราย 2) เงินอุดหนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้พิการ จำนวน 2 หลัง 3) เงินอุดหนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 2 หลัง 4) บัตรประจำตัวคนพิการ จำนวน 5 ราย 5) ทุนการศึกษาสำหรับครอบครัวเด็กที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน จำนวน 120 ราย และ 6) เงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 122 ราย นอกจากนี้ ตนได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านของนายมีชัย เอมอิ่ม ที่ได้รับการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการตามโครงการ Knock Knock พันชาลีห่วงใย ปันน้ำใจ สร้างสุข ซึ่งมีทหารจากค่าย สฤษดิ์เสนา กรมรบพิเศษที่ 4 เข้ามาช่วยซ่อมแซมบ้าน พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปี พ.ศ. 2564
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 มหาดไทย จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปี พ.ศ. 2564 มหาดไทย จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปี พ.ศ. 2564 เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบให้กับบุคลากรในสังกัด เพื่อดำเนินการตามกรอบ ITA วันนี้ (11 มี.ค. 64) เวลา 09.00 น. ณ ห้องจิตรลดา ชั้น 2 โรงแรมเอสดี อเวนิว กรุงเทพฯ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนการดำเนินการประเมินความเสี่ยงการทุจริตของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ภายใต้โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จัดโดย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงมหาดไทย เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบให้กับบุคลากรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และเพื่อให้บุคลากรดังกล่าวได้มีความรู้ ความเข้าใจ และดำเนินการตามกรอบการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสของการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ได้อย่างถูกต้อง โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน 60 คน ร่วมสัมมนา และได้รับเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สนับสนุนวิทยากร นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและระบบราชการมายาวนาน มีรูปแบบซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักและกำหนดเป็นนโยบายสำคัญ ประกอบกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2565) ประเด็นปฏิรูปที่ 2 ด้านการป้องปราม โดยกำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) วางระบบการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบในส่วนราชการเป็นประจำทุกปี และรายงานผลการปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาหรือตามระยะเวลาที่กำหนด ในการป้องกันและป้องปรามการทุจริตประพฤติมิชอบที่จะเกิดขึ้นในหน่วยงาน และกำหนดมาตรการ ระบบ หรือแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงของการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดการทุจริต และจัดทำเป็นแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก เน้นย้ำว่า การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกท่าน ที่จะได้รับและนำความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ ตลอดจนมาตรการ ระบบ หรือแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงของการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดการทุจริต รวมทั้งการกำกับติดตามผลการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบของหน่วยงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินงาน เพื่อมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ของการต่อต้านการทุจริตของกระทรวงมหาดไทย และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลดล็อก! ทุน พสวท. ขยายอีก 10 สาขาวิชา ใช้ทุนในภาคเอกชนได้
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ปลดล็อก! ทุน พสวท. ขยายอีก 10 สาขาวิชา ใช้ทุนในภาคเอกชนได้ ... ทุน พสวท. หรือ ทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเน้นให้ผู้รับทุนเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ทั้งวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ แต่ล่าสุดได้ขยายให้ครอบคลุมไปถึง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ตามมติคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี . อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ ดิจิทัล เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และการแพทย์ครบวงจร . ที่สำคัญ แต่เดิมผู้รับทุนต้องทำงานชดใช้ทุนในหน่วยงานภาครัฐ แต่จากนี้ไปสามารถทำงานในหน่วยงานภาคเอกชนที่มีหน่วยปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลได้ ซึ่งขณะนี้มี 47 แห่งแล้ว เช่น บริษัท เอสบีซี อบาคัส จำกัด สถาบันวิทยสิริเมธี บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และ บริษัท ฮอทิเจนเนติคส์ รีเสิร์ช (เอส.อี.เอเชีย) เป็นต้น . ทุนดังกล่าวนี้ เป็นทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย - สูงกว่าปริญญาตรี แบ่งเป็นสาขาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ 6 สาขา คือ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ธรณีวิทยา และพฤกษศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ อีก 42 สาขา เช่น จุลชีววิทยา เคมีบูรณาการ วัสดุศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี ปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษาจากทุน พสวท. 1,732 คน เข้าทำงานแล้ว 1,692 คน อยู่ระหว่างรอบรรจุ 40 คน . การขยายสาขาวิชาและหน่วยงานชดใช้ทุนในครั้งนี้ จะทำให้นักวิจัยได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อสร้างงานวิจัยที่ตอบโจทย์ต่อการพัฒนาประเทศได้มากยิ่งขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดขั้นตอน...ดูแลการชุมนุมสาธารณะ
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 เปิดขั้นตอน...ดูแลการชุมนุมสาธารณะ ... "การชุมนุมสาธารณะ” เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น ไม่ล่วงล้ำหรือละเมิดสิทธิของคนอื่น และเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ . สำหรับขั้นตอนปฏิบัติการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามกฎหมายมี 4 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นเตรียมการ เช่น ดำเนินการด้านการข่าว ประสานงานหน่วยที่เกี่ยวข้อง เตรียมพื้นที่และอุปกรณ์ เจรจาต่อรองกับผู้แจ้งการชุมนุม 2. ขั้นการเผชิญเหตุ เช่น จัดตั้งจุดตรวจ ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม ดำรงการเจรจา ป้องกันภาวะแทรกซ้อน 3. ขั้นการใช้กำลังคลี่คลายสถานการณ์ (กรณีศาลมีคำสั่งให้เลิกการชุมนุม) 4. ขั้นฟื้นฟู (หลังการชุมนุม) เช่น จัดส่งผู้บาดเจ็บ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ฟื้นฟูสถานที่และทรัพย์สิน รวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินคดี . หลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะอยู่ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง หรือ International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR และให้ความสำคัญกับการชุมนุมโดยสงบ มุ่งคุ้มครองทั้งผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป . เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกตามความใน พ.ร.บ.การชุมนุมฯ มีหลายประเภท เช่น โล่ใส กระบองยาง แก๊สน้ำตา เสื้อเกราะ เครื่องขยายเสียง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง รถควบคุมฝูงชน ปืนยิงกระสุนยางหรือแก๊สน้ำตา ฯลฯ . ในการปฏิบัติเจ้าหน้าที่จะใช้การเจรจาต่อรองและแจ้งเตือนก่อน หากมีการฝ่าฝืนกฎหมายให้หยุดการกระทำ ถ้าไม่หยุด ให้แสดงท่าทางพร้อมใช้กำลัง มาตรการ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือ หากยังคงฝ่าฝืนให้ใช้กำลังเพื่อกักตัวหรือจับกุมได้ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการปฏิบัติต่อผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานภาพ . การใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะใช้ตามความจำเป็น ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยจะแจ้งเตือนก่อน • การใช้กระบอง จะใช้ในกรณีผลักดันกลุ่มคนออกจากพื้นที่ แต่ต้องไม่ตีที่บริเวณอวัยวะสำคัญ ที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือทำให้พิการ • การยิงกระสุนยาง จะยิงต่อเป้าหมายที่กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตผู้อื่น • การใช้น้ำฉีด จะใช้ในกรณีเข้ายุติการชุมนุม หรือระงับยับยั้งป้องกันเหตุ โดยใช้แรงดันน้ำเท่าที่จำเป็นในการสลายฝูงชน • การใช้สารควบคุมการจลาจล เพื่อยุติการชุมนุม หรือระงับยับยั้งป้องกันเหตุ สามารถทำได้ โดยใช้ระดับความเข้มข้นที่เหมาะสม • การใช้แก๊สน้ำตา จะระมัดระวังหลีกเลี่ยงการขว้างไปโดนตัวบุคคล และระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ที่มา : พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และคู่มือการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ขานรับ เอ็มโอยู สั่งตั้งคณะทำงาน บูรณาการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 รมว.สุชาติ ขานรับ เอ็มโอยู สั่งตั้งคณะทำงาน บูรณาการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน สั่งตั้งคณะทำงานบูรณาการให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางด้านแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเฉพาะการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มเปราะบางในทุกมิติอย่างยั่งยืน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธี ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล สำหรับขอบเขตความร่วมมือของกระทรวงแรงงาน เป็นการบริการจัดหางานในประเทศให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้มีงานทำและมีรายได้ที่เหมาะสมเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต ตลอดจนแนะแนวและส่งเสริมการประกอบอาชีพ รวมถึงการพัฒนาผีมือให้แก่ครัวเรือนเปราะบาง ให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน นายสุชาติ ยังกล่าวถึง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงแรงงาน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการบูรณาการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน และพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการด้านแรงงานทุกมิติ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน มีภารกิจหลักๆ ดังนี้ กรมการจัดหางานจะแนะแนวอาชีพและหางานให้ทำ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะพัฒนาทักษะฝีมือและอบรมการประกอบอาชีพอิสระ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปช่วยดูแลและคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน สำนักงานประกันสังคมจะเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์เพื่อเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต และสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานจะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานข้อมูลกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่จะสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เพื่อวางแผนการให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-อังกฤษ ร่วมมือแผนสร้างเสริมสุขภาพ 3 ด้าน
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ไทย-อังกฤษ ร่วมมือแผนสร้างเสริมสุขภาพ 3 ด้าน รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขไทย และรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์ ลงนามบันทึกความร่วมมือแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ 3 ด้าน ได้แก่ การจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขไทย และรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์ ลงนามบันทึกความร่วมมือแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ 3 ด้าน ได้แก่ การจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร วันนี้ (24 มีนาคม 2564) ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย Mr. Brian Davidson เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์ ภายใต้ความร่วมมือแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ ของ UK’s Prosperity Fund ซึ่งเป็นกองทุนสนับสนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างสหราชอาณาจักรกับต่างประเทศ (ค.ศ. 2016 - 2021) นายอนุทิน กล่าวว่า การจัดทำบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข เป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ร่วมมือกับสหราชอาณาจักร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสนับสนุนผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งการสร้างเสริมสุขภาพ และส่งเสริมการเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ เน้นความร่วมมือ 3 ด้าน ได้แก่ การจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลก, การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ และการศึกษาและฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ ระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) โดยปี 2564 นี้ จะเน้นการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับประเทศ อาทิ การจัดทำร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเรื่องการดูแลและให้บริการด้านโรคไม่ติดต่อในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การปรับปรุงหลักสูตรจีโนมิกส์ เป็นต้น นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตามบันทึกข้อตกลงในด้านการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มีกรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานหลัก โดยทบทวนแผนการปฏิบัติที่ดีในการรณรงค์ลดการบริโภคเกลือ/โซเดียม และจัดประชุมวิชาการเชิงปฏิบัติการ เพื่อพิจารณาผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ต่อการจัดการและการให้บริการผู้ป่วย เป็นต้น สำหรับการดำเนินงานด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ มีสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล เป็นหน่วยงานหลัก โดยทบทวนรูปแบบการรับรองมาตรฐานการรักษาพยาบาลในประเทศไทยและต่างประเทศ รูปแบบระบบการรายงานและเรียนรู้อุบัติการณ์ความเสี่ยงทางคลินิกและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ของประเทศ (National Reporting and Learning System: NRLS) และการปฏิบัติที่ดี ส่วนด้านสาขาการศึกษาและการฝึกอบรม มีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบัน Asia-Pacific Network on Health Professional Education Reforms (ANHER) ร่วมกันดำเนินงาน โดยทบทวนรูปแบบการพัฒนาวิชาชีพของไทยและสหราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่แก่หน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทย สนับสนุนวารสารอิเล็กทรอนิกส์ “Health Workforce Education” ทบทวนและให้ข้อเสนอแนะสำหรับแผนปฏิบัติการแบบบูรณาด้านจีโนมิกส์ของประเทศไทย (Genomics Thailand’s Integrated Action Plan) ***************************************** 24 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เชิดชู 32 หญิงแกร่งยุค Covid-19 มอบโล่ “สตรีทำงานดีเด่น” เนื่องในวันสตรีสากล 2564
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน เชิดชู 32 หญิงแกร่งยุค Covid-19 มอบโล่ “สตรีทำงานดีเด่น” เนื่องในวันสตรีสากล 2564 ก.แรงงาน โดย กสร. เชิดชู 32 ผู้หญิงแกร่งทำงานฝ่าฟันวิกฤตในยุค Covid-19 พร้อมมอบโล่รางวัล “สตรีทำงานดีเด่น” เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2564 หวังให้สตรีทำงานใช้เป็นต้นแบบในการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อพัฒนาศักยภาพตนเอง และนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดงานวันสตรีสากล และมอบโล่รางวัลสตรีทำงานดีเด่น ประจำปี 2564 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ว่า องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสตรีสากล และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงการต่อสู้ของสตรี เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ และการพัฒนา รวมถึงการทบทวนความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสิทธิสตรี กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานสตรีมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้จากการกำหนด การคุ้มครองสิทธิของแรงงานสตรีไว้เป็นการเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และส่งเสริมการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานสตรีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนให้สตรีได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ได้รับสิทธิประโยชน์จากการจ้างงาน มีความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงาน โดยในวันสตรีสากลของทุกปี ได้คัดเลือกสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้ที่มุ่งมั่นทำงานจนประสบความสำเร็จในอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต Covid-19 จึงพิจารณามอบโล่รางวัล “สตรีทำงานดีเด่น” เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติ ให้เป็นแบบอย่างกับสตรีทำงานคนอื่น ๆ ได้ตระหนักถึงคุณค่าของตน รู้จักพัฒนาความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม รวมถึงประเทศชาติ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อว่า สำหรับการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 นี้ ได้กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี รวมพลังฝ่าวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” ซึ่งในปีนี้มีสตรีเสนอผลงานเข้ารับการพิจารณา จำนวน 261 คน และได้รับการคัดเลือกจำนวนทั้งสิ้น 32 คน จาก 8 ประเภทรางวัล อาทิ นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร นางอัฌนา พรหมประยูร รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประเภทสตรีนักบริหารดีเด่น นางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประเภทศิลปินสตรีดีเด่น นางพูนทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ประเภทสตรีองค์กรพัฒนาเอกชนดีเด่น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการเสวนาโดยวิทยากรที่เป็นสตรีผู้ที่เคยได้รับโล่รางวัลสตรีทำงานดีเด่นปีที่ผ่านมา ได้แก่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสุดฤทัย เลิศเกษม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ การแสดงนิทรรศการสตรีทำงานดีเด่น และการแสดงผลิตภัณฑ์ของสตรีผู้ประกอบอาชีพอิสระดีเด่น อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบวัคซีนพาสปอร์ต-ลดวันกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบวัคซีนพาสปอร์ต-ลดวันกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบออก “วัคซีนพาสปอร์ต” สำหรับผู้ที่รับวัคซีนโควิด 19 ครบ พร้อมลดวันกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศที่มีใบรับรองฉีดวัคซีนโควิดเหลือ 7 วัน หากไม่มีใบรับรองฉีดวัคซีน มีเพียงผลตรวจปลอดเชื้อโควิด ลดกักตัวเหลือ 10 วัน คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบออก “วัคซีนพาสปอร์ต” สำหรับผู้ที่รับวัคซีนโควิด 19 ครบ พร้อมลดวันกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศที่มีใบรับรองฉีดวัคซีนโควิดเหลือ 7 วัน หากไม่มีใบรับรองฉีดวัคซีน มีเพียงผลตรวจปลอดเชื้อโควิด ลดกักตัวเหลือ 10 วัน ยกเว้นผู้เดินทางจากทวีปแอฟริกาคงการกักตัว 14 วัน เตรียมนำเสนอ ศบค. เพื่อพิจารณา วันนี้ (8 มีนาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 ว่า ที่ประชุมได้หารือในประเด็นสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีมติเห็นชอบในเรื่องแรก เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด 19 โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจะได้รับใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด 19 จากสถานพยาบาลที่ฉีด ไม่มีค่าใช้จ่าย หากประสงค์ที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้นำใบรับรองการฉีดวัคซีนไปขอรับวัคซีนพาสปอร์ตหรือ “สมุดเล่มเหลือง” ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเล่มละ 50 บาท และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 50 บาท โดยจะมีการออกประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกสมุดเล่มเหลือง อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้เดินทางในต่างประเทศยังต้องรอข้อตกลงระดับสากลก่อน ส่วนเรื่องการลดวันกักตัว เนื่องจากขณะนี้ทั่วโลกฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วมากกว่า 250 ล้านโดส ทำให้มีภูมิต้านทานและลดการติดเชื้อได้มากขึ้น ที่ประชุมเห็นชอบการลดวันกักตัวใน 3 กรณี คือ 1.คนต่างชาติมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 14 วัน ไม่เกิน 3 เดือนก่อนเดินทาง มีเอกสารรับรองปลอดโควิดใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และตรวจหาเชื้ออีกครั้งในประเทศไทยไม่พบเชื้อ ลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน ยกเว้นผู้ที่เดินทางมาจากทวีปแอฟริกาให้กักตัว 14 วัน 2.คนไทยเดินทางจากต่างประเทศมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 14 วัน ไม่เกิน 3 เดือน ไม่มีเอกสารรับรองปลอดโควิด ผลการตรวจหาเชื้อในประเทศไทย 2 ครั้งไม่พบเชื้อ ให้ลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน และ 3.คนต่างชาติไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด มีเพียงเอกสารรับรองปลอดโควิด 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เมษายน 2564 เป็นต้นไป และระยะต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 หากฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงอย่างน้อยร้อยละ 70 และประชาชนที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้รับวัคซีนครบตามเป้าหมาย บางพื้นที่่อาจผ่อนคลายไม่ต้องกักตัว โดยจะเสนอ ศบค. พิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 และเฝ้าระวังแนวชายแดนไทย-เมียนมา จากสถานการณ์การเมืองในเมียนมา เข้มงวดบริเวณแนวชายแดน และจัดสถานกักกันตามชายแดนไว้รองรับเป็นการเฉพาะ ื นายอนุทินกล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ พิจารณาเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพิ่มให้ครอบคลุมประชาชนมากยิ่งขึ้น จากที่จัดหาไว้ 63 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 31.5 ล้านคน โดยไม่นับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และคนอายุน้อยกว่า 18 ปี ก็อาจต้องหาเพิ่มเติมอีก 10-20 ล้านโดสโดยอาจขอให้แอสตร้าเซนเนก้าเพิ่มกำลังผลิต หรือจัดหาวัคซีนชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลปลอดภัยมากขึ้น ******************************** 8 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต เปิดศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 เตรียมระบบให้พร้อมรองรับแรงงานติดเชื้อในจังหวัด
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ดร.สาธิต เปิดศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 เตรียมระบบให้พร้อมรองรับแรงงานติดเชื้อในจังหวัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารสุข เปิดศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 จ.สมุทรสาคร สนับสนุนโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมระบบให้พร้อมรองรับกลุ่มแรงงานที่ติดเชื้อภายในจังหวัด วันนี้ (8 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 10 จ.สมุทรสาคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวงสาธารณสุข​ พร้อมด้วยนายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 ผู้บริหารหน่วยราชการ และภาคเอกชน ร่วมเปิดศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่ง ที่ 10 ดร.สาธิตกล่าวว่าปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ของ จ. สมุทรสาครมีแนวโน้มดีขึ้น ควบคุมสถานการณ์ได้ดี จำนวนผู้ติดรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน การระดมสรรพกำลังของบุคลากรสาธารณสุขในการค้นหาเชิงรุก นำผู้ติดเชื้อเข้าระบบดูแลรักษา รวมทั้งผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ดำเนินการป้องกันควบคุมโรคในสถานประกอบการ ทำให้การควบคุมโรคในจังหวัดสมุทรสาครเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนพื้นที่ ระดมทุนในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามให้แรงงานในจังหวัดสมุทรสาครได้รับการดูแลรักษา ช่วยแบ่งเบาภาครัฐในการดูแลผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ จังหวัดสมุทรสาครได้เร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ตั้งแต่วันที่ 1-7 มีนาคม 2564​ ได้ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกไปแล้ว 7, 833 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 6,132คน อสม. 545 คน เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 1,120 คนผู้ที่มีโรคประจำตัว 31 คน และประชาชนทั่วไป 5 คน สำหรับภาพรวมการครองเตียงเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อทั้งหมด 5,796 เตียง ใช้ไปแล้ว 288 เตียงจำนวนนี้อยู่ในศูนย์ห่วงใยคนสาคร 119 เตียง ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า จังหวัดสมุทรสาคร มีศูนย์ห่วงใยคนสาครแล้วจำนวน 9 แห่ง ซึ่งบางแห่งได้ปรับและนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ แล้วการตั้งศูนย์ห่วงใยคนสาคร แห่งที่ 10 โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และจากการสนับสนุนพื้นที่ 49 ไร่ ของคุณแม่เง็กเน้ย ศิริชัยเอกวัฒน์ แห่งนี้ สามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ 200 เตียง มีระบบระบายอากาศ การบำบัดน้ำเสียระบบปิดป้องกันเชื้อออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก ได้มาตรฐานตามหลักสุขาภิบาล มีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อรองรับและให้ระบบมีความพร้อมเสมอซึ่งให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาการใช้งานตามความเหมาะสมของสถานการณ์ต่อไป ******************************** 8 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุนแอปฯ “ปกป้อง” ยุติการเลือกปฏิบัติ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 หนุนแอปฯ “ปกป้อง” ยุติการเลือกปฏิบัติ ... การเลือกปฏิบัติ และการตีตรา กลุ่มผู้ป่วยเอชไอวีและเพศภาวะ เป็นสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไข เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่ . รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทำสื่อออนไลน์ “ปกป้อง” ซึ่งเป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียน จากประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ถูกบังคับให้ตรวจ/ถูกเปิดเผย สถานะการติดเชื้อเอชไอวี, ผู้ถูกคุมขัง กลุ่มหลากหลายทางเพศ ฯลฯ . ดังนั้น หากประชาชนท่านใด ได้รับผลกระทบ จากการเลือกปฏิบัติ ถูกตีตรา สามารถร้องเรียนได้ที่ https://crs.ddc.moph.go.th/crisis/public/ ซึ่งจะมีทีมสหวิชาชีพ รับเรื่องไปดำเนินการ ให้ความช่วยเหลือ และจัดการปัญหาต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39736
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีเสวนา ปตท.สผ.จับมือ นิด้า - ดีป้า หัวข้อ “Digital Citizen Strategy and National Policy” หนุนขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีเสวนา ปตท.สผ.จับมือ นิด้า - ดีป้า หัวข้อ “Digital Citizen Strategy and National Policy” หนุนขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล รองปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีเสวนา ปตท.สผ.จับมือ นิด้า - ดีป้า หัวข้อ “Digital Citizen Strategy and National Policy” หนุนขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล เมื่อวันที่3มีนาคม2564นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานในพิธีเปิดหลักสูตรอบรมโครงการDigital Citizen Bootcamp PTTEP x NIDAx depaและร่วมให้ความรู้สานเสวนา(Panel Expert Talk)ร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด(มหาชน)หรือ(ปตท.สผ.)และอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในหัวข้อ“Digital Citizen Strategy and National Policy”ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างปตท.สผ.คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(ดีป้า) ด้วยคำนึงถึงสภาวการณ์ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลง สร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ๆให้กับองค์กรในทุกระดับ รวมทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรบุคลากรจำเป็นต้องมีคุณสมบัติพร้อมที่จะสอดรับการพัฒนาของเทคโนโลยีในการนี้มีผู้ร่วมฟังในงานกว่า100คนณศูนย์เอนเนอร์ยีคอมเพล็กซ์อาคารA ชั้น35 ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39598
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-พ.ค.นี้ ประเดิมที่นครราชสีมา 23-29 มี.ค.นี้ วันที่ 23 มีนาคม 2564 ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ลานโอเปร่า อ.เมืองนครราชสีมาจ.นครราชสีมา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย พร้อมเยี่ยมชมบูธจัดแสดงสาธิตและจำหน่ายสินค้าCPOTและสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในจังหวัดต่างๆ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัด ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรัฐจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ชุมชนและประเทศ ซึ่งในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)มุ่งสร้างขวัญและกำลังใจ และส่งเสริมให้ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านศิลปวัฒนธรรม ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีพื้นที่ในการแสดงและจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมผ่านโครงการมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งเป็นการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่“BCG”ในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโดยเฉพาะการส่งเสริมและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ได้แก่ สินค้าและบริการทางวัฒนธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand:CPOT)และสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรในจังหวัดต่างๆ นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า โครงการมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"จัดขึ้นทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคโดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จ.นครราชสีมา จัดงานวันที่ 23-29 มีนาคมนี้ ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี สวนเมืองทองและสนามหน้าศาลากลางจ.นครราชสีมา มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงเพลงโคราช ลิเกโคราช หมอลำโคราช หมอลำพื้นบ้าน หมอลำกลอนประยุกต์ เช่น คณะไพบูลย์ เสียงทอง จ.มหาสารคาม หมอลำเพลินประยุกต์ เช่น คณะลูกพระธาตุ สิทธินาถ มงคลชัย จ.นครพนม คณะราตรี ศรีวิไล จ.ขอนแก่น หมอลำ เช่น คณะเสียงอิสาน(นกน้อย อุไรพร) ศิลปินดอกฟ้า เพชรภูพาน หมอลำพื้นบ้าน เช่น คณะไหมไทย หัวใจศิลป์ จ.กาฬสินธุ์ คณะอรสา แสงเพชร จ.ยโสธร ลำผญามุกดาหาร การแสดงหมอศิลป์อมรสุรินทร์ จ.สุรินทร์ การแสดงรวมศาสตร์ศิลป์ถิ่นอีสาน วงผกาลำดวน จ.ศรีสะเกษ ภาคกลางและภาคตะวันออกที่จ.พระนครศรีอยุธยา จัดงานวันที่ 1-4 เมษายนนี้ ณ สนามวัดพระราม (หลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา) มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ลิเก งิ้ว ลำตัด เพลงเรือ เพลงอีแซว ละครชาตรี วงดนตรีลูกทุ่ง/รำวงย้อนยุค ภาคใต้ที่จ.นครศรีธรรมราชจัดงานวันที่ 7-9 พฤษภาคมนี้ ณ สนามหน้าเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงโนรา หนังตะลุง ลิเกฮูลู เพลงบอกและลิเกป่า ภาคเหนือที่จ.เชียงราย จัดงานวันที่ 10-14 พฤษภาคมนี้ ณ สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ 75 พรรษา เทศบาลนครเชียงราย มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงขับซอล้านนา สะล้อ ซอ ซึง ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่ที่จัดงานมีบูธจำหน่ายสินค้า CPOTและสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในจังหวัดต่างๆด้วย ขณะที่ส่วนกลางที่กรุงเทพฯคาดว่าจะจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ อย่างไรก็ตาม วธ.ได้กำชับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกแห่งที่เป็นพื้นที่จัดงานให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบเอกอัครราชทูตเบลเยียม เน้นย้ำความร่วมมือด้านวัคซีน และเพิ่มมูลค้าการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิด-19
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 นายกฯ พบเอกอัครราชทูตเบลเยียม เน้นย้ำความร่วมมือด้านวัคซีน และเพิ่มมูลค้าการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ พบเอกอัครราชทูตเบลเยียม เน้นย้ำความร่วมมือด้านวัคซีน และเพิ่มมูลค้าการค้าและการลงทุน เพื่อฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (1 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางซีบีย์ เดอ การ์ทีเย ดีฟว์ (H.E. Sibille de Cartier d’Yves) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย และแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและเบลเยียมมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 153 ปี ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายใกล้ชิด หวังว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเอกอัครราชทูตฯ จะสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีของไทยและเบลเยียมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีไปยังนายอาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร ในโอกาสได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเบลเยียมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีข้อความสารแสดงความยินดีไปยังนายกรัฐมนตรีเบลเยียมไปด้วยแล้ว ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมยืนยันปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-เบลเยียมอย่างแข็งขัน และสานต่อความร่วมมือในส่วนที่ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกันในทุก ๆ มิติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือด้านสาธารณสุข โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวทางของรัฐบาลเบลเยียมในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอยู่ระหว่างการจัดการตามแผนกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุม หวังว่าไทยและเบลเยียมจะสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันได้ในอนาคต นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณรัฐบาลเบลเยียมที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ และชุมชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในเบลเยียมในช่วงที่ผ่านมา โดยขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองดูแลชาวเบลเยียมที่อาศัยอยู่ในไทยเช่นเดียวกัน ด้านเอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมรัฐบาลไทยในการเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีการดูแลชาวต่างชาติและนักการทูตที่อาศัยอยู่ในไทยอย่างทั่วถึง หวังว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการตามแนวทางการกระจายวัคซีนให้ประชาชนไทยได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับไทยในด้านการผลิตวัคซีนในอนาคต สำหรับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเล็งเห็นถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ภาคเอกชนเบลเยียมเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย และเชิญชวนเบลเยียมให้ลงทุนเพิ่มขึ้นในไทยในสาขาที่เบลเยียมมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ ชีวเภสัชภัณฑ์ และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งเชิญชวนเบลเยียมร่วมมือกับไทยในด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model: BCG Economy Model) ซึ่งจะเป็นสาขาที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการผลักดันการทำงานร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูการเจรจาความตกลงเสรีการค้าไทย-สหภาพยุโรป โดยไทยประสงค์ที่จะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจกับสหภาพยุโรปที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง ด้านเอกอัครราชทูตฯ ยินดีพิจารณาการขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพิ่มเติม พร้อมสนับสนุนกระบวนการเจรจาความตกลงเสรีการค้าไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายภายหลังวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล ยืนยันไม่มีการลงนามแต่งตั้งบุคคลที่คุณสมบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 โฆษกรัฐบาล ยืนยันไม่มีการลงนามแต่งตั้งบุคคลที่คุณสมบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โฆษกรัฐบาล ยืนยันไม่มีการลงนามแต่งตั้งบุคคลที่คุณสมบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย วันนี้ (19 มีนาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 แต่งตั้งนายอมร มีมะโน และ นายภูวิช ปัญญาสิทธิ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอนั้น ขอยืนยันว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่ได้ลงนามเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลทั้งสองดังกล่าว เนื่องจากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากการตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งมีความไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ในสัปดาห์หน้า จะมีวาระการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ยกเลิกการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามที่เสนอขอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย คือ 1. นายอมร มีมะโน และ 2. นายภูวิช ปัญญาสิทธิ์ ต่อไป .......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัด Bangkok Job Fair 2021 เชิญคนหางานพบผู้ประกอบการกว่า 40 แห่ง ตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน จัด Bangkok Job Fair 2021 เชิญคนหางานพบผู้ประกอบการกว่า 40 แห่ง ตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา รมว.แรงงาน สั่งเตรียมตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา จากสถานประกอบการชั้นนำรองรับคนหางาน ในงาน Bangkok Job Fair 2021 ที่มีกำหนดจัดงานวันที่ 26-27 มีนาคม 2564 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน มีกำหนดจัดงาน Bangkok Job Fair 2021 ในวันที่ 26-27 มีนาคม 2564 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ประชาชนทั่วไปที่มีความประสงค์จะหางานทำ เพิ่มโอกาสคัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ และได้สมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากในคราวเดียว และเพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้าง/สถานประกอบการและผู้สมัครงานได้พบและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง ซึ่งกิจกรรมนี้จะเป็นส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ตามนโยบายรัฐบาลโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ประชาชนที่ว่างงาน ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ผู้สูงอายุ คนพิการ ตลอดจนนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ต้องการทำงานในช่วงว่างระหว่างเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและลดปัญหาความยากจนซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงานได้ในวันที่ 26 – 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร โดยภายในงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำ เข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 บริษัท อาทิ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) บ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด บ. เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บ.ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด บ.เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทมจำกัด (มหาชน) บ.สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บ. ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง จำนวนกว่า 5,000 อัตรา โดยภายในงานนอกจากกิจกรรมรับสมัครงานและสัมภาษณ์งานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ กิจกรรมการสาธิตประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดงาน 20 อาชีพ อาทิ การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น สายคล้องหน้ากากอนามัย สบู่สมุนไพร ตระกร้าผ้าย้อมคราม การทำเค้กกล้วยหอม บราวนี่ ขิงอ่อนดอง เป็นต้น การประกอบธุรกิจแฟรนไชน์ในรูปแบบ Food Truck การให้คำปรึกษาปัญหาด้านแรงงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ การให้บริการจัดหางานสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ โดยกรมการจัดหางาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ ตามพรบ.คุ้มครองคนหางาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การขึ้นทะเบียนประกันตน ม.33, ม.39, ม.40 และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามพรบ.ประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคม และการให้บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาลวิภาราม พัฒนาการ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เข้าเยี่ยมชมผลการดำเนินงานและนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จังหวัดสุรินทร์
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรมว.วธ.เข้าเยี่ยมชมผลการดำเนินงานและนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จังหวัดสุรินทร์ ผู้ช่วยรมว.วธ.เข้าเยี่ยมชมผลการดำเนินงานและนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จังหวัดสุรินทร์ วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๒.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางเข้าเยี่ยมชมผลการดำเนินงานและนิทรรศการ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จังหวัดสุรินทร์ เยี่ยมชมผลงาน"Steet art จากสังกะสี" กลุ่มศิลปกรรมสุรินทร์และเยาวชน จากโครงการสร้างสรรค์งานศิลป์ สุรินทร์ถิ่นศิลปะ และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์โลกของช้าง ในคชศึกษา Elephant World และ โครงการคชอาณาจักร จังหวัดสุรินทร์โดยมี นายนราธร ศรประสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แขกผู้มีเกียรติ พี่น้องประชาชนจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และสื่อมวลชน ณ ชุมชนคุณธรรมฯบ้านหนองบัว ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับคณะทำงานโฆษกฯ วางกลยุทธ์ด้านประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้สู่ประชาชน
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 โฆษกกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับคณะทำงานโฆษกฯ วางกลยุทธ์ด้านประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้สู่ประชาชน โฆษกกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับคณะทำงานโฆษกฯ วางกลยุทธ์ด้านประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้สู่ประชาชน ในวันอังคารที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๔ - ๐๑ ชั้น ๔ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานโฆษกกระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายวันฉัตร วณิชพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านประชาสัมพันธ์) พร้อมด้วยโฆษกประจำหน่วยงาน หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดส่งประเด็นและข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม การจัดทำวีดิทัศน์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชน ให้ได้รับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรมอย่างแพร่หลาย รวมทั้งหารือเรื่องการสร้างกลไกปฏิบัติการข่าวสารของกระทรวงยุติธรรม (Information Operations) ที่มีประสิทธิภาพทั้งการปฏิบัติในเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อสร้างมูลค่าการประชาสัมพันธ์ (PR Value) ให้เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนปรับกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางออกแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 กรมบัญชีกลางออกแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน กรมบัญชีกลางจึงได้ออกแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพการเพิ่มเติมหมวด 7/1 พัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ และเพิ่มเติมหมวด 7/2 พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฯ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎกระทรวงฯ กำหนดได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กรมบัญชีกลางจึงได้ออกแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 1. แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพ (หมวด 2 ข้อ 6 (2) (4) และ (6)) - กรณีที่หน่วยงานของรัฐประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์ยางพารา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านค้าสหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร กับกรมส่งเสริมสหกรณ์โดยตรง ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นเองหรือบริการขององค์กรหรือมูลนิธิเพื่อคนพิการที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ สามารถตรวจสอบรายชื่อองค์กร มูลนิธิ หรือองค์การสงเคราะห์คนพิการกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการหรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมโดยตรง โดยสามารถจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง วิธีคัดเลือก หรือวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปก็ได้ - การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้จัดซื้อจัดจ้างพัสดุจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ตามรายการสินค้าที่มีรายชื่อตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ขึ้นบัญชีไว้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณ และวิธีการคำนวณงบประมาณ ให้คำนวณจากพัสดุที่หน่วยงานของรัฐประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างที่อยู่ในบัญชีรายการพัสดุและบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการ SMEs โดยสามารถตรวจรายชื่อสินค้าหรือบริการและรายชื่อ SMEs ได้ที่ www.thaismegp.com - การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุกับผู้ประกอบการ SMEs หน่วยงานของรัฐจะต้องจัดซื้อจัดจ้างจากจังหวัดของหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตั้งอยู่ก่อน และมีไม่น้อยกว่า 3 ราย โดยจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีคัดเลือก และหากจังหวัดที่หน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตั้งอยู่ ไม่มีรายชื่อผู้ประกอบการ SMEs หรือมี แต่น้อยกว่า 3 ราย ให้ตรวจสอบจากบัญชีรายการพัสดุและบัญชีรายชื่อของ สสว. ทุกจังหวัดแล้วดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่กำหนด 2. แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ (หมวด 7/1) - ให้หน่วยงานของรัฐตรวจรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองและออกเครื่องหมายสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ที่ www.mit.fti.or.th หากมีมากกว่า 3 ราย ให้กำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะเป็นพัสดุที่ผลิตภายในประเทศที่ได้รับการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หากไม่มีหรือมีรายชื่อน้อยกว่า 3 ราย หน่วยงานของรัฐจะกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะเป็นพัสดุที่ผลิตภายในประเทศ ที่ได้รับการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่มีพัสดุที่ผลิตภายในประเทศแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศหรือมีประกอบการเข้ายื่นข้อเสนอจำนวนน้อยราย หรือมีความจำเป็นจะต้องมีการใช้พัสดุที่ผลิตจากต่างประเทศหรือนำเข้าพัสดุจากต่างประเทศ ให้หน่วยงานของรัฐเสนอผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นพิจารณาก่อนที่จะกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ แต่หากเป็นการจัดหาอะไหล่ที่มีความจำเป็นจะต้องระบุคุณลักษณะเฉพาะ และจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศกรณีมีความจำเป็นจะต้องมีการใช้พัสดุที่ผลิตหรือนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นการจัดหาครั้งหนึ่งที่มีวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือราคาพัสดุที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคา ต่อหน่วยไม่เกิน 2 ล้านบาท ให้เสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐพิจารณา การจัดจ้างก่อสร้าง หน่วยงานของรัฐต้องกำหนดรายละเอียดในแบบรูปรายการงานก่อสร้าง และกำหนดให้คู่สัญญาต้องใช้พัสดุประเภทวัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะใช้ในงานก่อสร้างเป็นพัสดุที่ผลิตภายในประเทศ โดยต้องใช้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 60 ของมูลค่าพัสดุที่จะใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญา และให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาการใช้เหล็กในงานก่อสร้างก่อน โดยต้องกำหนดรายละเอียดในแบบรูปรายการงานก่อสร้าง ให้คู่สัญญาต้องใช้เหล็กที่ผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณเหล็กที่ต้องใช้ทั้งหมดตามสัญญา และกรณีที่จะไม่ใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศ หรือใช้ไม่ครบร้อยละ 60 ให้เสนอผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเห็นชอบก่อน การจัดจ้างที่มิใช่งานก่อสร้าง หน่วยงานของรัฐต้องใช้พัสดุประเภทวัสดุหรือครุภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าวัสดุหรือครุภัณฑ์ที่จะใช้ในงานจ้างนั้น กรณีที่จะไม่ใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศ หรือจะใช้หรือใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศไม่ครบร้อยละ 60 ให้หน่วยงานของรัฐเสนอผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเห็นชอบก่อน การให้แต้มต่อกับบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยในกรณีที่การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้นมีผู้เสนอราคาที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมิได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศเข้าเสนอราคาแข่งขันกับผู้เสนอราคาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หากผู้เสนอราคาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดของผู้เสนอราคาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มิได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 3 ให้หน่วยงาน ของรัฐจัดซื้อหรือจัดจ้างจากผู้เสนอราคาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยดังกล่าว การบริหารสัญญาและการตรวจรับพัสดุ การจัดจ้างงานจ้างก่อสร้าง หน่วยงานของรัฐจะต้องให้คู่สัญญาจัดทำแผนการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าพัสดุที่จะใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญา ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้ลงนามสัญญา และหน่วยงานของรัฐจะต้องให้คู่สัญญาจัดทำแผนการใช้เหล็กที่ผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณเหล็กที่ต้องใช้ทั้งหมดตามสัญญา ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้ลงนามสัญญา ส่วนงานจ้างที่มิใช่งานก่อสร้าง หน่วยงานของรัฐจะต้องให้คู่สัญญาจัดทำแผนการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าพัสดุที่จะใช้ในงานจ้างทั้งหมดตามสัญญา ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้ลงนามสัญญา ตามแผนการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศ และหากมูลค่าหรือปริมาณของพัสดุไม่สามารถดำเนินการ หน่วยงานของรัฐสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนได้ แต่ต้องดำเนินการก่อนการส่งมอบงานในแต่ละงวด ส่วนการตรวจรับพัสดุ ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจสอบว่าพัสดุที่ส่งมอบเป็นพัสดุที่ผลิต ภายในประเทศตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา หากลงนามในสัญญาแล้วปรากฏในภายหลังว่า ไม่สามารถส่งมอบพัสดุที่ผลิตภายในประเทศตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ ให้พิจารณาแก้ไขสัญญาต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาแก้ไขสัญญาให้เป็นไปตามหลักการของมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่วนการจัดทำรายงานผลการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศสำหรับงานจ้างก่อสร้างและงานจ้างที่มิใช่งานก่อสร้าง ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเป็นผู้จัดทำรายงานผลการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศเสนอหัวหน้าหน่วยงานของรัฐเพื่อทราบพร้อมกับรายงานผลการตรวจรับงานงวดสุดท้าย 3. แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (หมวด 7/2) - หากหน่วยงานของรัฐประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้กำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะหรือร่างขอบเขตของงาน เป็นพัสดุที่มีรายละเอียดหรือคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตรวจสอบรายชื่อพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในฐานข้อมูลบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ ที่ http://gp.pcd.go.th หากมีผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการเพียงรายเดียว ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หากมีผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ให้จัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีคัดเลือก และหากตรวจสอบรายชื่อแล้วไม่ปรากฎรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองว่าเป็นพัสดุที่มีเครื่องหมายรับรองว่าเป็นพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามวิธีการของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 - หากหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้กำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะหรือร่างขอบเขตของงาน ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐ 4. การกำหนดเงื่อนไขการเสนอราคาสำหรับวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ - ให้หน่วยงานของรัฐแก้ไขหนังสือแบบเอกสารประกวดราคาซื้อด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์แบบเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ และแบบเอกสารประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ตามหนังสือคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กนบ) 1405.2/ว 410 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2560 “สำหรับหน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบการที่ต้องการศึกษารายละเอียดแนวทางปฏิบัติฯ ดังกล่าวเพิ่มเติม สามารถ Download แนวทางปฏิบัติฯ ได้ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 89 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่เว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์ฯ ตรวจพบเชื้อตั้งแต่วันแรกรับไว้ในสถานกักกัน
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 สธ.เผยผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์ฯ ตรวจพบเชื้อตั้งแต่วันแรกรับไว้ในสถานกักกัน กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มคงตัว ส่วนตลาดพรพัฒน์ปทุมธานีควบคุมโรคได้ดี ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 วัน กรณีผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์จากไนจีเรีย และเคนยา ตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้าประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานการณ์โควิด 19 แนวโน้มคงตัว ส่วนตลาดพรพัฒน์ปทุมธานีควบคุมโรคได้ดี ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 วัน กรณีผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์จากไนจีเรีย และเคนยา ตรวจพบเชื้อในวันแรกที่เข้าประเทศไทย พร้อมย้ำเตือนข้อปฏิบัติก่อนฉีดและหลังฉีดวัคซีน โควิด 19 ป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ บ่ายวันนี้ (5 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขนพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคพร้อมด้วยนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยนายแพทย์เฉวตสรร กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด 19 ประเทศไทย รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2564) แนวโน้มคงตัว จำนวนผู้ติดเชื้อต่ำสุด 35 ราย และสูงสุด 80 ราย ในวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 79 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 22 ราย, คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 43 ราย, มาจากต่างประเทศเข้ากักตัวในสถานกักกัน/รักษาในโรงพยาบาล 12 ราย และเดินทางจากประเทศเมียนมาผ่านช่องทางธรรมชาติ 2 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รักษาหาย 79 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมในระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 5 มีนาคม 2564 จำนวน 22,004 ราย รักษาหายสะสม 21,464 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.55 เสียชีวิตสะสม 25 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 515 ราย โดยผู้ติดเชื้อในประเทศวันนี้จำนวน 65 ราย พบใน 4 จังหวัด ได้แก่ จ.สมุทรสาครกรุงเทพมหานครปทุมธานี และชลบุรี จังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยเลย 14 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อติดต่อกัน 28 วันจำนวน 40 จังหวัด สำหรับกรณีตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี พบผู้ติดเชื้อรายสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ยังคงเฝ้าระวังติดตามอาการผู้สัมผัสต่อเนื่องจนครบ 14 วัน นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า กรณีตรวจพบผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลจากไนจีเรียและเคนยา ติดเชื้อโควิด 19 นั้น ทั้ง 2 รายเป็นผู้ติดเชื้อที่ได้รายงานไปแล้วเมื่อวันที่ 2 และ 4 มีนาคม 2564 เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ตรวจพบเชื้อในวันแรกของการเข้าสถานกักกันทางเลือก (ASQ) ไม่มีอาการป่วย ส่งรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ในกทม. และยังไม่ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมในกองประกวด หรือสัมผัสกับผู้เข้าประกวดอื่น ๆ แต่อย่างใด ขอให้ประชาชนมั่นใจมาตรการเฝ้าระวังผู้เดินทางจากต่างประเทศ ที่กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดูแลอย่างเต็มที่ในทุกช่องทาง ด้านนายแพทย์จักรรัฐ กล่าวว่าข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด19 ของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายใน 13 จังหวัด รวม 17,697ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และอสม. 15,981 ราย, เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 1,603 ราย ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 22 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 91 ราย ในจำนวนนี้พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ 270 ราย มีอาการ ปวด บวม บริเวณที่ฉีด ร้อยละ 24, คลื่นไส้ ร้อยละ15, เวียนศีรษะ ร้อยละ 13 และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ร้อยละ 8 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน ให้ข้อมูลว่าในต่างประเทศพบได้ 1 ใน 3 ของผู้ที่รับวัคซีนโควิด 19 อาจพบอาการข้างเคียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ส่วนในประเทศไทยมีรายงานพบผู้ที่มีอาการเพียง ร้อยละ 1.5 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ และยังไม่พบผู้ที่มีอาการรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ ขอให้ปฏิบัติดังนี้ ก่อนเข้ารับบริการฉีดวัคซีน ให้ตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้ลงทะเบียนไว้หรือไม่, พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรงดอาหาร, ไม่กินยาลดไข้ หรือยาแก้ปวด, แจ้งประวัติการแพ้วัคซีน ยา หรืออาหาร, หากมีไข้ ท้องเสียรุนแรง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีอาการของโรคควบคุมได้ไม่ดี ให้เลื่อนออกไปก่อน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ยังไม่แนะนำให้ฉีด หลังฉีดวัคซีน หากมีอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ปวดศีรษะรุนแรง ผื่นขึ้นทั้งตัว อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปากเบี้ยวให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ห้องสังเกตอาการทันที เมื่อกลับไปอยู่บ้าน อาจพบผลข้างเคียงได้ เช่น ผื่น ปวด บวม บริเวณที่ฉีด มีไข้ต่ำๆ พบได้ภายหลังได้รับวัคซีน 30 นาที - 2 ชม. และอาการจะค่อยๆ ลดลง แต่หากมีไข้สูงมาก ให้รีบกลับมาพบแพทย์ หรือโทรแจ้ง 1669 ทั้งนี้ หลังฉีดวัคซีน 3 วัน โอกาสแพ้วัคซีนและผลข้างเคียงจะพบน้อยมาก แต่ควรสังเกตอาการต่อไปจนครบ 30 วัน ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ************************************* 5 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39689
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ดูงานสหกรณ์ผักปลอดภัยภูทับเบิก จำกัด
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564 รมช.มนัญญา ดูงานสหกรณ์ผักปลอดภัยภูทับเบิก จำกัด รมช.มนัญญา ดูงานสหกรณ์ผักปลอดภัยภูทับเบิก จำกัด พร้อมติดตามผลการดำเนินงานทับเบิกโมเดล พัฒนาต้นแบบระบบการผลิตพืชผักปลอดภัยและพืชผักอินทรีย์บนพื้นที่สูง นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์ผักปลอดภัยภูทับเบิก จำกัด ณ ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตร โดยได้กล่าวมอบนโยบายขับเคลื่อนโครงการเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการใช้สารเคมี ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร และผู้บริโภคมีความปลอดภัย มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยสหกรณ์ดำเนินการรวบรวมผลผลิตพืชผักปลอดภัยจากสมาชิกสหกรณ์ และได้จัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 สหกรณ์มีจุดได้เปรียบคือ มีทำเลที่สะดวกในการขนส่ง อีกทั้งมีพื้นที่สามารถปลูกพืชผักเมืองหนาวได้ และมีความอุดมสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ภูทับเบิกเป็นทำเลทอง เป็นแหล่งผลิตอาหารชั้นยอดของประเทศ โดยผักที่สหกรณ์ได้ส่งออกไปแต่ละวันประมาณ 700-800 กิโลกรัม เป็นผักอินทรีย์และผักปลอดภัย ผักอินทรีย์ ได้แก่ ผักสลัด คอสเรดโอ๊ก บัตเตอร์เฮด เรดโครอล และผักกาดหอม ส่วนผักปลอดภัยมีประมาณ 16 ชนิด เช่น เผือก ผักกาดขาวปลี กะหล่ำปลี ดอกหอม เบบี้แครอท สุกินี เป็นต้น โดยสหกรณ์จะส่งผักให้กับ ห้างเซ็นทรัล ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จำกัด จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบการผลิตพืชอย่างยั่งยืนบนพื้นที่สูงเขาหัวโล้นภูทับเบิก (ทับเบิกโมเดล) พร้อมดูงานต้นแบบระบบการปลูกพืชผสมผสานบนพื้นที่สูงภูทับเบิก โดยทับเบิกโมเดล ดำเนินการ 3 ปี (เดือนตุลาคม 2560 ถึงเดือนมีนาคม 2564) เป็นเขตที่ดินจัดสรรเพื่อการเกษตรกรรมและการอยู่อาศัย ตามแผนแม่บทการแก้ปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก 2560-2565 จำนวน 13,477 ไร่ โดยพัฒนาระบบการผลิตพืชอย่างยั่งยืนบนพื้นที่สูงเขาหัวโล้นภูทับเบิก ตั้งแต่การพัฒนาต้นแบบระบบเกษตรผสมผสาน รวมทั้งระบบวนเกษตรเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำ ร่วมกับพัฒนาต้นแบบระบบการผลิตพืชผักปลอดภัยและพืชผักอินทรีย์บนพื้นที่สูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการใช้สารเคมี โดยมีระบบการเชื่อมโยงจากแหล่งการผลิตสู่การตลาดที่ยั่งยืน รวมทั้งศึกษาสมุนไพรพื้นบ้านที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ปลูกอยู่บนภูทับเบิกเพื่อเพิ่มมูลค่า สามารถพัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ และสุดท้ายมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟที่มีรสชาติเฉพาะถิ่นบนพื้นที่สูงภูทับเบิก เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างอัตลักษณ์ให้แก่ชุมชน ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการคือ ทำให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงภูทับเบิก มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้น ชุมชนมีความเข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสภาพแวดล้อม และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ดินและน้ำอีกด้วย ทั้งนี้ โครงการทับเบิกโมเดล มีการบูรณาการกับหลายหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในด้านการใช้พื้นที่ดำเนินการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสหกรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ในด้านการดำเนินงานของสหกรณ์ผู้ปลูกพืชผักบ้านทับเบิก กรมส่งเสริมการเกษตร โดยเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ ในด้านเกษตรแปลงใหญ่และการรับรองมาตรฐานแหล่งผลิตพืช GAP และเกษตรอินทรีย์ กรมป่าไม้ โดยป่าไม้จังหวัด ในด้านการขอใช้พื้นที่บนภูทับเบิก กรมพัฒนาที่ดิน โดยสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ ในด้านการจัดการดินบนพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนโดยใช้หญ้าแฝก และจังหวัดเพชรบูรณ์ในด้านการตลาด Green Market และการขยายผลของโครงการสู่ภาคเอกชน ได้แก่ ผู้ประกอบการ Modern trade ได้แก่ ท็อปซูเปอร์มาเก็ต ตลาดไท และอื่นๆ ในการรับซื้อผลิตผลพืชผักผ่านการรับรองมาตรฐานแหล่งผลิตพืช GAP และเกษตรอินทรีย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นำโมเดลคดีลัลลาเบล ให้ความเป็นธรรม ช่วยเหลือครอบครัวน้องวาวา
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นำโมเดลคดีลัลลาเบล ให้ความเป็นธรรม ช่วยเหลือครอบครัวน้องวาวา นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช นำโมเดลคดีลัลลาเบล ให้ความเป็นธรรม ช่วยเหลือครอบครัวน้องวาวา ในวันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจาก นายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยมารดาและน้องชายของนางสาววิชญาพร วิเศษสมบัติ หริอ วาวา พริตตี้สาว ซึ่งเสียชีวิตหลังรับงานเอนเตอร์เทน เพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านกระบวนการยุติธรรม นายสามารถ กล่าวว่า สาเหตุการเสียชีวิตของน้องวาวา ยังเป็นข้อกังขาในสังคมซึ่งมีความคล้ายคลึงกับกรณีการเสียชีวิตของน้องลัลลาเบล โดยในเบื้องต้น ได้มอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิต และได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป รวมทั้งการขยายผลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย เรื่องยาเสพติดต้องให้สำนักงาน ป.ป.ส. เร่งกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสามารถ กล่าวต่ออีกว่า การเสียชีวิตของน้องวาวา ถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัวในการหารายได้ เลี้ยงมารดาและยายที่ตาบอด ทั้งยังส่งเสียให้น้องชายเรียน เมื่อน้องวาวาเสียชีวิต ครอบครัวน้องวาวาก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยเรื่องนี้ได้มอบหมายให้ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ประสานกับกระทรวงแรงงาน ในการช่วยเหลือให้มารดาของน้องวาวามีอาชีพเลี้ยงครอบครัวที่สามารถทำงานได้ที่บ้าน โดยจะนำโมเดลการช่วยเหลือน้องลาลาเบลมาเป็นต้นแบบ ในการช่วยเหลือให้ครอบคลุมทุกมิติ "ถือว่าเป็นการอำนวยความยุติธรรมที่รวดเร็ว เป็นการสานต่อนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยประชาชนต้องได้รับความเป็นธรรมอย่างครบวงจรและทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ภายใต้การนำของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีนโยบายอย่างชัดเจนในการเน้นดำเนินงานเชิงรุกเพื่อสร้างสุขให้กับประชาชน ทางกระทรวงยุติธรรมพร้อมให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอยู่แล้ว และทั้งนี้ขอให้กำลังใจกับผมครอบครัวของน้องวาวา กับการเรียกร้องความยุติธรรมในครั้งนี้ด้วย" นายสามารถ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา’ ลุยปักหมุดขับเคลื่อนกัญชาเมืองอุทัย
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 รมช.มนัญญา’ ลุยปักหมุดขับเคลื่อนกัญชาเมืองอุทัย ‘รมช.มนัญญา’ ลุยปักหมุดขับเคลื่อนกัญชาเมืองอุทัย ดันเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามและเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกกัญชาและร่วมตัดแต่งทรงพุ่มกัญชาให้สวยงาม ของวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัยเกษตรปลอดภัย ตลอดจนรับฟังสรุปแนวทางการขับเคลื่อนการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จังหวัดอุทัยธานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.อลงกต วรกี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีและรับฟังความเป็นมาของการรวมกลุ่มการปลูกกัญชาจังหวัดอุทัย โดย นายชาติชาย วงศ์เฉลียว ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชาจังหวัดอุทัยธานี จากนั้นได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนกัญชาในจังหวัดอุทัยธานี ณ วิสาหกิจชุมชนสุขฤทัยเกษตรปลอดภัย ตำบลสุขฤทัย อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี ว่า จังหวัดอุทัยธานี ได้รับคัดเลือกให้เป็นจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและชุมชน ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนจังหวัดอุทัยธานี โดยการขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว ครอบคลุมครบทุกอำเภอ มีวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมโครงการ รวม 15 กลุ่ม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก “กัญชา” จัดเป็นพืชทางเลือกชนิดใหม่ ที่สามารถจะพัฒนาและผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดอุทัยธานีได้ในอนาคต รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนนโยบาย “กัญชา พืชเศรษฐกิจสุขภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก” โดยได้มอบนโยบายให้กรมวิชาการเกษตรเข้าไปดูแล สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถปลูกกัญชาได้ทุกครัวเรือน โดยกรมวิชาการเกษตรได้รับรองสายพันธุ์กัญชาพันธุ์แรกคือ “อิสระ 001” และพันธุ์กัญชง 4 สายพันธุ์ ซึ่งเกษตรกรสามารถปลูกได้ โดยเป็นไปตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้มีการควบคุมการนำเข้าให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่ตรงตามพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ ปลอดจากโรคและแมลง และเมล็ดพันธุ์มีคุณภาพสูง และได้มาตรฐานคุณภาพตามที่สากลกำหนด รวมถึงการควบคุมและตรวจสอบการผลิตต้นกล้ากัญชาและกัญชงทุกขั้นตอน ตลอดจนเกษตรกรนำไปปลูกสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้ผลผลิตกัญชาและกัญชงตามความต้องการ พร้อมทั้งให้กรมวิชาการเกษตรเร่งสำรวจ รวบรวมสายพันธุ์กัญชาและกัญชงในประเทศไทย สนับสนุน ส่งเสริม และเร่งรัดการขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชาและกัญชงเพื่อเป็นทรัพย์สินของประเทศ ตลอดจนมอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดทำโครงการจัดตั้ง “ตลาดกลาง กัญชาของสหกรณ์” เพื่อกำหนดราคาตลาดกลางสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายโดยต้องมีใบอนุญาตจาก อย. “วันนี้ได้รับฟังและร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในจังหวัดอุทัยธานี โดยขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนภาคีเครือข่าย ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนงานดังกล่าวอย่างจริงจัง ขอให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ให้ความร่วมมือรวมถึงปฏิบัติการตามแนวทาง หลักเกณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียบและข้อกฎหมายเนื่องจากกัญชายังเป็นพืชที่ต้องได้รับความควบคุมและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และขอให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงาน วางแผนยุทธศาสตร์เพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการขับเคลื่อนและพัฒนากัญชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาการผลิตและการตลาดในจังหวัด ให้เป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนของพี่น้องเกษตรกรต่อไป” รมช.มนัญญา กล่าว สำหรับวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัยเกษตรปลอดภัยแห่งนี้เป็นการดำเนินการในระยะที่ 1 (ระยะต้นกล้า) มีโรงเรือนมาตรฐานผ่านเกณฑ์การประเมิน ซึ่งปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดถูกต้องครบถ้วน จนได้รับใบอนุญาต เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 และได้รับเมล็ดพันธุ์เพาะปลูกเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ซึ่งขณะนี้ได้ทำการเพาะปลูกมาแล้ว จำนวน 70 วัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย สธ.เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า และพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรี-ครม.-อาจารย์แพทย์อาวุโส จะฉีดด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชน
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 อนุทิน เผย สธ.เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า และพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรี-ครม.-อาจารย์แพทย์อาวุโส จะฉีดด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า หลังองค์การอนามัยโลก ยืนยันข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด พร้อมฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไป รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า หลังองค์การอนามัยโลก ยืนยันข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด พร้อมฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเป้าหมายตามแผน โดยพรุ่งนี้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และอาจารย์แพทย์อาวุโส จะฉีดที่ทำเนียบรัฐบาล สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน วันนี้ (15 มีนาคม 2564 ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมควบคุมโรค ได้รวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดจากต่างประเทศ และองค์การอนามัยโลก ซึ่งยืนยันว่า วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไม่เกี่ยวกับการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ สามารถฉีดได้ เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่าสามารถเดินหน้าฉีดต่อไปได้ โดยบ่ายวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการวิชาการ เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น หากไม่มีข้อมูลขัดแย้งเพิ่มเติม พรุ่งนี้เริ่มทำการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเป้าหมายตามแผน นายอนุทินกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรี ได้แสดงเจตจำนงว่ามีความพร้อมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ตลอดเวลา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยการฉีดวัคซีนให้กับผู้นำประเทศต้องได้รับคำยินยอมจากคณะกรรมการวิชาการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ได้เตรียมวัคซีนทั้งจากแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค เพื่อฉีดให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่สมัครใจ ตาม 8 ขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล มีการจัดห้องสังเกตอาการ และกรมการแพทย์ได้จัดรถพยาบาลพร้อมส่งต่อไปยังโรงพยาบาลราชวิถีกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยอาจารย์ยง ภู่วรวรรณ จะเป็นผู้ฉีดให้กับนายกรัฐมนตรี และจะรับการฉีดพร้อมกับอาจารย์แพทย์อาวุโส เช่น ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร ศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ จะร่วมกันฉีดครั้งนี้ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ส่วนสถานบริการอื่นๆ จะเริ่มฉีดวัคซีนจาก แอสตร้าเซนเนก้าที่ได้รับการกระจายไปพร้อมกัน ขอให้มั่นใจว่าวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. มีความปลอดภัย และกระทรวงสาธารณสุขได้จัดระบบดูแลภายหลังการฉีดวัคซีนไว้พร้อมแล้ว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 117,300 โดส ซึ่งจะเน้นฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงเป้าหมายที่อายุเกิน 60 ปี และจะได้รับจำนวนมากในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ขอยืนยันว่า วัคซีนโควิด 19 มีเพียงพอ ซึ่งวันที่ 20 มีนาคมนี้จะได้รับวัคซีนจากซิโนแวคอีก 800,000 ​โดส รวมทั้งได้เจรจาจัดหาวัคซีนจากชิโนแวคเพิ่มอีกจำนวน 5 ล้านโดส และได้มีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ที่สามารถนำส่งวัคซีนมายังประเทศไทยก่อนที่วัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยจะผลิตออกมา เป็นการเสริมความเข้มแข็งของระบบการฉีดวัคซีนของประเทศ ซึ่งต้องรอบคอบและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน สำหรับภาคเอกชนคาดว่าอีกไม่กี่เดือน จะสามารถติดต่อเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนที่ได้รับการผ่อนคลายจากสถานการณ์ฉุกเฉินมากขึ้นและใช้ในสถานการณ์ปกติได้ ซึ่งทางอย. พร้อมให้ความร่วมมือ อำนวยความสะดวกในการนำเข้า รวมถึงกรมควบคุมโรคและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะสนับสนุนเรื่องการอบรมและขึ้นทะเบียนโรงพยาบาลเอกชนที่มีความประสงค์ที่จะให้บริการประชาชน **************************************** 15 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยคว้าอันดับ 42 ของโลกในการจัดอันดับ B2C e-Commerce Index 2020 ครองอันดับ 3 อาเซียน นายกฯ เชื่อมั่นไทยเดินหน้าถูกทาง มีทิศทางพัฒนา e-Commerce ที่ดีขึ้นชัดเจน
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 ไทยคว้าอันดับ 42 ของโลกในการจัดอันดับ B2C e-Commerce Index 2020 ครองอันดับ 3 อาเซียน นายกฯ เชื่อมั่นไทยเดินหน้าถูกทาง มีทิศทางพัฒนา e-Commerce ที่ดีขึ้นชัดเจน ไทยคว้าอันดับ 42 ของโลกในการจัดอันดับ B2C e-Commerce Index 2020 ครองอันดับ 3 อาเซียน นายกฯ เชื่อมั่นไทยเดินหน้าถูกทาง มีทิศทางพัฒนา e-Commerce ที่ดีขึ้นชัดเจน พร้อมนำประเทศเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล วันที่ 20 มี.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้ประกาศผลการจัดอันดับ B2C หรือ Business-to-Customer e-Commerce ประจำปี 2563 ซึ่งเป็นการวัดความพร้อมทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโจทย์การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Commerce จาก 152 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความพร้อมทาง e-Commerce สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 42 ของโลก ติด Top 10 ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และ มาเลเซีย ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก้าวต่อไปนับจากนี้ รัฐบาลจะนำผลการจัดอันดับดังกล่าวไปออกแบบนโยบาย เพื่อรองรับประเทศไปสู่การเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วน รวมถึงพัฒนากฎระเบียบ แพลตฟอร์ม ให้รองรับ e-Commerce และระบบต่าง ๆ รองรับธุรกรรม e-Commerce ผลักดันสินค้าชุมชนเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ตลอดจนสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ในการก้าวเข้าสู่ e-Commerce อย่างสมบูรณ์ “นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเดินหน้ามาถูกทางแล้ว และมีทิศทางการพัฒนา e-Commerce ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมแสดงความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าในปีหน้าประเทศไทยจะได้รับคะแนนที่ดีขึ้นทั้งในเชิงมูลค่าและประสิทธิภาพของ e-Commerce ซึ่งจะทำให้การจัดอันดับของประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นอันดับสองของอาเซียนได้ไม่ไกลเกินฝัน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า จากการจัดอันดับของประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยโดดเด่นในด้านความเชื่อมั่นการขนส่งไปรษณีย์ (Postal Reliability Index) โดยได้คะแนนสูงถึง 97 คะแนน เท่ากับคะแนนของสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีความพร้อมทาง e-Commerce สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังโดดเด่นในด้านจำนวนการเปิดบัญชีธนาคาร หรือมีบัญชีธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐานของการเติบโตของ e-Commerce ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40166
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และวัฒนธรรมจังหวัดเข้าร่วม โดยในการประชุมครั้งนี้ได้จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้แก่หน่วยงานภายในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้รับการรับเลือก ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน แจงชะลอการฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 อนุทิน แจงชะลอการฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะแพทย์มีมติให้ชะลอการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หลังประเทศทางยุโรปสั่งระงับฉีด รอผลสอบสวน หากไม่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าฉีดต่อไป ทั้งนี้วัคซีนยุโรปคนละล็อตกับที่ไทยได้รับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะแพทย์มีมติให้ชะลอการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หลังประเทศทางยุโรปสั่งระงับฉีด รอผลสอบสวน หากไม่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าฉีดต่อไป ทั้งนี้วัคซีนยุโรปคนละล็อตกับที่ไทยได้รับ วันนี้ (12 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าเหตุที่มีการชะลอการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าไปก่อน เหตุจากประเทศเดนมาร์กและหลายประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ระงับการฉีด รอผลการสอบความเกี่ยวข้องกรณีพบลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ว่า เช้าวันนี้ ได้ประชุมหารือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ และกระทรวงสาธารณสุข อาทิ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงานการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา สรุปว่าเพื่อความปลอดภัย และความมั่นใจของประชาชน ประกอบกับสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยขณะนี้ มีแนวโน้มดีขึ้น และควบคุมการระบาดได้ จึงมีความเหมาะสมที่จะรอผลการสอบสวนกรณีลิ่มเลือดอุดตันของอียูก่อน หากพบว่าไม่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าฉีดต่อไป ซึ่งวัคซีนของยุโรปเป็นคนละล๊อตการผลิตกับที่จัดส่งให้ประเทศไทย และท่านนายกรัฐมนตรี มอบให้เป็นมติของคณะแพทย์ว่าท่านควรจะได้รับการฉีดได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นวัคซีนชนิดใหม่ที่จะนำมาฉีดให้ผู้นำประเทศและประชาชน คณะแพทย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ นายอนุทินกล่าวต่อว่า คณะวิชาการต้องประสานกับแอสตร้าเซนเนก้า และเครือข่าย หาข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาตัดสินใจอีกครั้ง ยังเชื่อมั่นว่าเป็นวัคซีนที่ดี แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เดนมาร์กและทวีปยุโรป เราจึงชะลอไว้ก่อน รอความชัดเจนอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข สิ่งสำคัญที่สุดต้องคำนึงถึงความปลอดภัยประชาชน และไม่ได้เป็นการเสียเวลาเกินไป เพราะวัคซีนล็อตนี้ได้มาเพราะการเจรจา ก่อนที่จะได้รับตามแผนในเดือนมิถุนายน มั่นใจได้ว่าไม่นำความเสี่ยงมาให้กับประชาชน ยังมีเวลาอีก 3 เดือนสำหรับประชาชนในการรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนที่มีผู้สั่งซื้อมากที่สุดในโลก ************************************* 12 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39919
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศุกร์หรรษา คนแห่ประมูลออนไลน์บ้าน ธอส. เพียบ ชั่วโมงเดียว ขายได้ถึง 138 รายการ มูลค่ารวม 145.05 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ศุกร์หรรษา คนแห่ประมูลออนไลน์บ้าน ธอส. เพียบ ชั่วโมงเดียว ขายได้ถึง 138 รายการ มูลค่ารวม 145.05 ล้านบาท ธอส.เผยผลการจัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในวันนี้ (12 มีนาคม 2564) เพียง 1 ชั่วโมง สามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 138 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 145.05 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในวันนี้ (12 มีนาคม 2564) เพียง 1 ชั่วโมง สามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 138 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 145.05 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 64 รายการ ทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 74 รายการ พิเศษ!! ธอส. มอบส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลให้แก่ ผู้ชนะการประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้(12 มีนาคม 2564) ธอส.ได้เปิดประมูลบ้านมือสองออนไลน์ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยนำทรัพย์ NPA ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และในส่วนภูมิภาครวม 885 รายการ มาเปิดประมูลระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. และพบว่าในช่วง 1 ชั่วโมง มีลูกค้าประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองสนใจเข้าร่วมประมูลจำนวนมาก ทำให้ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 138 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 145.05 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 64 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 74 รายการ โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น เนื้อที่ 159.2 ตารางวา โครงการสุขใจ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ จำหน่ายได้ในราคาปิดประมูล 3,220,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกสุดเพียง 270,000 บาท มีด้วยกัน 2 รายการ ประกอบด้วย ห้องชุด ชั้น 5 ขนาด 25 ตารางเมตร โครงการนนทบุรี แมนชั่น อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และที่ดินเปล่า เนื้อที่ 129 ตารางวา โครงการสันติสุข อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีทรัพย์ที่ลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลสูงสุดถึง 7 รายด้วยกัน คือ ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 138 ตารางวา โครงการบ้านเปรียบทอง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา จำหน่ายได้ในราคาปิดประมูล 305,000 บาท จากราคาตั้งต้นประมูล 170,000 บาท “การประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ของ ธอส. ครั้งนี้ มีจำนวนทรัพย์ใหม่ที่ธนาคารถือครองไม่เกิน 3 ปี ขายได้ ถึง 113 รายการ สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าได้บ้านสภาพดี คุ้มค่า คุ้มราคาเป็นของตนเอง ประกอบกับมีช่องทางการจำหน่ายผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ซึ่งสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในยุค New Normal จึงทำให้ลูกค้าให้ความสนใจเข้าประมูลบ้านมือสองครั้งนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ธอส. ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าด้วยการให้ส่วนลดพิเศษเพิ่มให้อีกถึง 10% จากราคาที่ปิดประมูลให้แก่ผู้ชนะการประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และยังสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน หรือ เทดาวน์แล้วยื่นกู้เพื่อรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดได้อีกด้วย”นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่พลาดการประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในครั้งนี้ สามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลทรัพย์ทั่วประเทศแบบออนไลน์ใหญ่ที่สุดของปี ครั้งที่ 1/2564 ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 สอบถามรายละเอียด และดูข้อมูลทรัพย์ NPA ของธนาคารได้ที่ www.ghbhomecenter.com กรณีทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โทร 0-2202-1016, 0-202-1582 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาค โทร 0-202-1170 หรือ 0-202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกจัดสัมมนาพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เสริมศักยภาพ Cold Chain Logistics ไทย ยกระดับระบบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้มีประสิทธิภาพ
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 กรมการขนส่งทางบกจัดสัมมนาพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เสริมศักยภาพ Cold Chain Logistics ไทย ยกระดับระบบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้มีประสิทธิภาพ กรมการขนส่งทางบกจัดสัมมนาพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เสริมศักยภาพ Cold Chain Logistics ไทย ยกระดับระบบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้มีประสิทธิภาพ พร้อมรับการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เสริมศักยภาพ Cold Chain Logistics ไทย ภายใต้โครงการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมการขนส่ง การผลิต และการกระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อส่งเสริมการขนส่งทางถนนให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain Logistics) และการพัฒนาฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขบ. จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมการขนส่ง การผลิต และการกระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อส่งเสริมการขนส่งทางถนนให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น และพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้มีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยบนท้องถนน พร้อมรับการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการที่ให้ความสำคัญในด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า โดยมีการเสวนาในหัวข้อ ทิศทางธุรกิจ Cold Chain Logistics ไทย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการด้านการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐาน แนวโน้มความต้องการในการใช้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ และทิศทาง การเปลี่ยนแปลงของโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องสร้างโอกาสการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ Cold Chain Logistics ไทย เพื่อสร้างแนวทาง การพัฒนาเครือข่ายของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการให้บริการขนส่ง และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ว่าจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพทัดเทียมระดับนานาชาติ ขบ. ได้พัฒนามาตรฐานคุณภาพการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารด้วยรถบรรทุกแบบควบคุมอุณหภูมิ (Q Cold Chain) ขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นการยกระดับการให้การรับรองมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งฯ ซึ่งมาตรฐาน Q Cold Chain เป็นมาตรฐานที่ ต่อยอดเพิ่มเติมจากมาตรฐาน Q Mark ที่ ขบ. ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการขนส่งที่ต้องการต่อยอดจากเดิมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Q Mark สามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งเข้าสู่ระบบมาตรฐาน Q Cold Chain ได้ สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุน ดังนี้ 1) การประเมินสถานประกอบการและการให้ความแนะนำ (Coaching) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐาน Q Cold Chain 2) โอกาสในการได้รับการรับรองมาตรฐาน Q Cold Chain จาก ขบ. 3) โอกาสในการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม Cold Chain Logistics ภายใต้การดำเนินการของ ขบ. เพื่อพัฒนาศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารแบบควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งเข้าสู่ระบบมาตรฐาน Q Cold Chain สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักการขนส่งสินค้า กลุ่มพัฒนาและส่งเสริมการขนส่งสินค้า หมายเลขโทรศัพท์ 0 2271 8490 หรือ www.thaitruckcenter.com/tdsc ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 19 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมเป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ WAT (Worship Activities Tradition) “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว”
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 รมว.วธ.ร่วมเป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ WAT (Worship Activities Tradition) “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” รมว.วธ.ร่วมเป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ WAT (Worship Activities Tradition) “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ WAT (Worship Activities Tradition) “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” และโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ ๑๓ โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องสินธร ชั้น ๒ โรงแรม สินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ทั้งนี้ โครงการ WAT (Worship Activities Tradition) “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจะได้มีข้อมูลและแนวทางในการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อสักการะ ไหว้พระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และได้สัมผัสความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ทั้งในด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในพื้นที่ต่างๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเอาจริงแก้ปัญหาพลาสติกในทะเล ลดอันดับประเทศจาก 6 เป็น 10 ของโลก สำเร็จ! เดินหน้าต่อ 9 มาตรการ
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 รัฐบาลเอาจริงแก้ปัญหาพลาสติกในทะเล ลดอันดับประเทศจาก 6 เป็น 10 ของโลก สำเร็จ! เดินหน้าต่อ 9 มาตรการ รัฐบาลเอาจริงแก้ปัญหาพลาสติกในทะเล ลดอันดับประเทศจาก 6 เป็น 10 ของโลก สำเร็จ! เดินหน้าต่อ 9 มาตรการ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเดินหน้าแก้ปัญหาขยะพลาสติกในทะเลอย่างจริงจัง ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ โดยให้สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Model) ที่รัฐบาลกำหนดเป็นโมเดลเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นวาระแห่งชาติอีกด้วย นางสาวรัชดา ยังกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาขยะพลาสติกในทะเลอย่างจริงจัง โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการด้านต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ (1) จัดทำ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 โดยตั้งเป้าเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม พลาสติกผสมสารอ็อกโซ่ และไมโครบีดส์ ภายในปี 2562 (2)เลิกใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว ที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมใส่อาหาร หลอดและแก้วพลาสติกชนิดบางแบบใช้ครั้งเดียว ภายในปี 2565 รวมถึงการนำขยะพลาสติกเป้าหมาย กลับมาใช้ใหม่ ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 เป็นต้น จนทำให้ประเทศไทยสามารถปรับลดอันดับประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลสูงสุดในโลกจากอันดับ 6 เป็น อันดับที่ 10 ได้สำเร็จ โดยลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกได้กว่า 25,284 ล้านใบ หรือ 228,820 ตัน นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงที่เกี่ยวข้องยังจะนำข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกในทะเลทั้ง 9 ข้อ มาพิจารณาดำเนินการเพื่อการจัดการขยะในภาพรวมของประเทศที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ประกอบด้วย 1. ให้มีการนำระบบมัดจำค่าขวดพลาสติกมาใช้ 2. ให้มีการส่งเสริม สนับสนุนการออกแบบผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3. ให้มีการส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) 4. ให้มีการออกกฎหมาย กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบในการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ตนผลิต 5. ให้มีการออกกฎหมาย กำหนดให้ประชาชนในฐานะผู้ทำให้เกิดขยะ มีหน้าที่ในการคัดแยกขยะ 6. ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัฒนาการดำเนินงานในการเก็บ ขน และกำจัดขยะ ให้เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั่วถึงเขตพื้นที่รับผิดชอบของตนโดยเฉพาะทางน้ำ 7. ให้มีการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อชุมชนรอบข้าง 8. ให้มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดให้มีเรือเก็บขยะที่เพียงพอ สำหรับการปฏิบัติงานในจังหวัดชายฝั่งทะเล และส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดเก็บขยะในน้ำ ทั้งในแม่น้ำ ลำคลอง และทะเล เพื่อให้เรือเก็บขยะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9. ให้หน่วยงานของรัฐ บูรณาการจัดการขยะพลาสติกกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชน ตลอดจนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เรื่องสร้างจิตสำนึกในการลดใช้พลาสติก และการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด" ประจำปี ๒๔๖๔
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด" ประจำปี ๒๔๖๔ ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน "มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด" ประจำปี ๒๔๖๔ วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน "มหาทานบารมี ประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด" ประจำปี ๒๔๖๔ โดยมี นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายเวียง วรเชษฐ์ นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฎ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พุทธศาสนิกชน ประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดและพื้นที่ใกล้เคียง และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม ณ ลานสาเกตนคร สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39716
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 5 หมื่นอัตรา และงานพาร์ทไทม์กว่าพันอัตรา รับคนว่างงาน
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 กกจ. เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 5 หมื่นอัตรา และงานพาร์ทไทม์กว่าพันอัตรา รับคนว่างงาน อธิบดีกรมการจัดหางาน เตรียมตำแหน่งงานว่างแบบเต็มเวลาจำนวน 56,138 อัตรา และตำแหน่งงานว่าง Part time จำนวน 1,255 อัตรา นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์การจ้างงานปัจจุบันมาโดยตลอด ทั้งมอบหมายกรมการจัดหางานทำงานเชิงรุก ติดตามตำแหน่งงานว่าง เพื่อรองรับปัญหาการว่างงาน ซึ่งขณะนี้กรมการจัดหางานได้รวบรวมตำแหน่งงานว่างทั้งงานประจำและงานพาร์ทไทม์ จากนายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังมีความต้องการจ้างงาน แบ่งเป็นตำแหน่งงานว่างแบบเต็มเวลาจำนวน 56,138 อัตรา โดยตำแหน่งงานว่าง 10 อันดับแรกที่นายจ้าง/สถานประกอบการต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานในด้านการผลิตต่าง ๆ , แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการประกอบอื่น ๆ 3.แรงงานด้านการผลิต 4.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่นๆ 5.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 6. ตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ 7.พนักงานบริการลูกค้า 8.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน) , พนักงานขายของหน้าร้าน 9.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่น ๆ 10.เจ้าหน้าที่คลังสินค้าอื่นๆ และเป็นตำแหน่งงานว่าง Part time จำนวน 1,255 อัตรา โดยตำแหน่งงานว่าง Part time ทั่วประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ผู้ขนส่งสินค้าอื่นๆ 2.ผู้ช่วยพ่อครัว 3.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่นๆ 4.พนักงานบริการลูกค้า 5.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน) , พนักงานขายของหน้าร้าน ซึ่งมีตำแหน่งงานว่างรองรับทุกระดับการศึกษา และอัตราค่าจ้างเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด “ ล่าสุดได้สั่งการเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานทุกจังหวัด ลงพื้นที่พบปะนายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังมีกำลังการจ้างงาน เพื่อขอข้อมูลตำแหน่งงานว่าง เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ที่ว่างงานและประสงค์หางานทำ ซี่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ออกจากงานมายื่นขอรับสิทธิกรณีว่างงานออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ empui.doe.go.th ของกรมการจัดหางาน จำนวน 114,101 คน รายงานตัวผ่านระบบ 487,143 คน ลดลงจากเดือนมกราคม ที่มีผู้ยื่นขอรับสิทธิกรณีว่างงาน 128,079 คน รายงานตัวผ่านระบบ 511,726 คน ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ ผู้ว่างงานที่ประสงค์จะหางานทำ สามารถเลือกสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ในกรณีที่ไม่สามารถใช้บริการแบบออนไลน์ได้ สามารถติดต่อขอรับบริการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการที่เจ้าหน้าที่แนะนำอย่างเคร่งครัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินกิจกรรมด้านการแสดงพื้นบ้านของสมาคมต่าง ๆ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินกิจกรรมด้านการแสดงพื้นบ้านของสมาคมต่าง ๆ ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินกิจกรรมด้านการแสดงพื้นบ้านของสมาคมต่าง ๆ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินกิจกรรมด้านการแสดงพื้นบ้านของสมาคมต่าง ๆ โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพัฐศิษฎ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ นายธนวัฒน์ ราชวัง นายกสมาคมกลองและศิลปะการแสดงล้านนา นายวันชัย เอนกลาภ นายกสมาคมลิเกแห่งประเทศไทย นายพงศกร อนันต์กวิน อุปนายกอุปรากรจีน คณะทำงานและตัวแทนของศิลปินพื้นบ้านในเครือข่ายสมาคม และสมาคมต่าง ๆ ๙ สมาคมเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“วราวุธ” ลงพื้นที่ภาคใต้ เปิดโครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในมัสยิดกว่า 500 แห่งทั่วยะลา
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ​“วราวุธ” ลงพื้นที่ภาคใต้ เปิดโครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในมัสยิดกว่า 500 แห่งทั่วยะลา ​“วราวุธ” ลงพื้นที่ภาคใต้ เปิดโครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในมัสยิดกว่า 500 แห่งทั่วยะลา “วราวุธ” ลงพื้นที่ภาคใต้ เปิดโครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในมัสยิดกว่า 500 แห่งทั่วยะลา วันนี้ (6 มีนาคม 2564) เวลา 11.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมมัสยิด จังหวัดยะลา ณ โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารฯ เข้าร่วม และมีนายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ผู้นำทางศาสนา ครูและนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยานิธิ และหน่วยงานในพื้นที่ ให้การต้อนรับ โครงการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมมัสยิด จ.ยะลา และโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาคประชาชน และผู้นำศาสนาในพื้นที่ จ.ยะลา กับกระทรวงฯ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นำร่องในมัสยิด 516 แห่ง ทั่วจังหวัดยะลา ก่อนขยายผลให้ครอบคลุม อีก 2 จังหวัด คือ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส โดยมีกลุ่มเป้าหมายรวมกว่า 1,000 แห่ง ทั้งนี้ นายวราวุธ ได้กล่าวว่า ปัญหาขยะเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมระดับประเทศและระดับโลก โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักและเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561 - 2573 ที่จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ 780,000 ล้านตัน/ปี เพื่อลดงบประมาณด้านการจัดการขยะมูลฝอยกว่า 3,900 ล้านบาท/ปี ทั้งยังจะช่วยประหยัดพื้นที่ฝังกลบและกำจัดขยะมูลฝอยพลาสติก 2,500 ไร่ ตลอดจนลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ 1.2 ล้านตัน โดยมีเป้าหมาย นำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 และภายในปีหน้าจะครบกำหนดที่พลาสติกอีก 4 ชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้วขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วน้ำพลาสติก (แบบบางใช้ครั้งเดียว) และหลอดพลาสติก (หลอดเครื่องดื่มทั่วไป) จะต้องหมดไป ซึ่งตอนนี้ โลกของเราเหลือเวลาอีกเพียง 6 ปีกว่า ตามเวลาของ Climate Clock ที่หากเราทำให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส เราจะต้องเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรง จึงจำเป็นที่ต้องช่วยกันลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รมว. ทส. ยังได้เน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งและจริงจัง และขอให้ร่วมกันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน ซึ่งศาสนสถานมีส่วนสำคัญในการเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดขยายผล ช่วยผลักดันให้การขับเคลื่อนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ประสบผลสำเร็จได้ เนื่องจากเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของศาสนิกชนทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ในโอกาสนี้ รมว.ทส. ได้มอบตราสัญลักษณ์ “การจัดการสิ่งแวดล้อมมัสยิด” ให้กับรองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ตลอดจนเยี่ยมชมการจัดการสิ่งแวดล้อมมัสยิด นิทรรศการต้นแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ และปลูกต้นรวงผึ้งร่วมกับผู้นำศาสนา และคณะครูนักเรียนด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการกลางของ UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ในรูปแบบทางไกล
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการกลางของ UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ในรูปแบบทางไกล ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการกลางของ UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ในรูปแบบทางไกล ในวันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๑-๐๒ ชั้น ๑๑ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการกลางของการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ประจำกลุ่มภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการกลาง (General Committee) ในรูปแบบการประชุมทางไกล เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในการอำนวยการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ต่อมา ระหว่างวันที่ ๗-๑๒มีนาคม ๒๕๖๔ ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในการนี้ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้แทนประเทศไทยในการดำรงตำแหน่งรองประธาน (Vice-President) คณะกรรมการอำนวยการกลางของการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ ประจำกลุ่มภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Group) ร่วมด้วยผู้แทนประเทศจาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศอิหร่าน คูเวท บังกลาเทศ และและประเทศกาตาร์ ซึ่งถือเป็นการแสดงบทบาทที่มีพลวัตที่สำคัญของประเทศไทยในการประชุมระหว่างประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนผู้กระทำผิด “เราชนะ” และ “คนละครึ่ง” หยุดก่อนถูกระงับสิทธิ และถูกดำเนินคดี
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 รัฐบาลเตือนผู้กระทำผิด “เราชนะ” และ “คนละครึ่ง” หยุดก่อนถูกระงับสิทธิ และถูกดำเนินคดี รัฐบาลเตือนผู้กระทำผิด “เราชนะ” และ “คนละครึ่ง” หยุดก่อนถูกระงับสิทธิ และถูกดำเนินคดี วันที่ 24 มี.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายังมีประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทำการทุจริต ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลเรื่องอุทธรณ์สำหรับโครงการคนละครึ่ง และคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะอย่างจริงจัง ในกรณีที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินตามสิทธิ์ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียนผ่าน e-mail หรือไปรษณีย์ เพื่อตรวจสอบ รวมทั้งร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ากระทำความผิดจริงจะดำเนินการระงับสิทธิแอปพลิเคชันถุงเงิน เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการและกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ติดตาม ตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องจากการกระทำผิดดังกล่าวขัดต่อวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือเยียวยา ลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ที่ผู้ค้ารายย่อยและผู้บริการทั่ว ๆ ไปจะได้ดำเนินกิจกรรมต่อไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอปพลิเคชัน Thailand Plus
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 แอปพลิเคชัน Thailand Plus 12 ตุลาคม 2563 แอปพลิเคชัน Thailand Plus : มีมากกว่าที่คุณคิด โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พัฒนาแอปพลิเคชันติดตามชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เสมือนบันทึกการเดินทางประจำตัว โดยสามารถระบุความเสี่ยงในสถานที่ต่าง ๆ พร้อมแจ้งเตือนหน่วยงานภาครัฐ โดยจะไม่มีการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Thailand Plus : มีมากกว่าที่คุณคิด ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวในการจะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ขณะเดียวกันคนในประเทศก็จะยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วน เพราะเรามีระบบติดตาม คัดกรองและกักตัว 14 วันแล้ว ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการป้องกันโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีนวันแรก...ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนวันแรก...ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง ... ผ่านมาแล้ว 1 วันกับการฉีดวัคซีนซิโนแวค ที่สถาบันบําราศนราดูร ซึ่งมีจำนวน ผู้ได้รับการฉีดวัคซีน 95 คน และ ที่ รพ.สมุทรสาคร 159 คน ซึ่งทั้งหมดนั้น ยังไม่มีรายงาน ผลข้างเคียงที่รุนแรงหลังจากได้รับวัคซีน . สำหรับการกระจายวัคซีน ขณะนี้ ได้ส่งไปยังโรงพยาบาลใน 11 จังหวัดแล้ว จำนวน 110,000 โดส (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ. 64) . แม้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ จะมีแนวโน้มดีขึ้น และเริ่มดำเนินการ ฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม แต่ประชาชน ยังคงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ รักษาระยะห่าง . โดยการฉีดวัคซีนเป็นการให้บริการ ที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นไปตามนโยบาย ของรัฐบาล หากมีบุคคลใดเรียกเก็บค่าใช้จ่าย กับประชาชน ขอให้แจ้งได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดครับ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39508