title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563 | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสายสะพาย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่วนราชการจัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในสถานที่ที่เหมาสม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้กำหนดจัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นในวันที่ 4 - 5 มีนาคม 2564 ณ หอประชุมชูชาติ กำภู สถาบันพัฒนาการชลประทาน กรมชลประทาน เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ และเป็นเกียรติประวัติแก่ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ทุกท่าน โดยในวันที่ 4 มีนาคม 2564 นี้มี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี และวันที่ 5 มีนาคม 2564 มี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2561 - 2563 จำนวนทั้งสิ้น 1,768 ราย ประกอบด้วย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 3 ราย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ จำนวน 64 ราย ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 426 ราย และชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย จำนวน 1,275 ราย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของประชาชนหรือผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ โดยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของประชาชนหรือผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) โดยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและตรวจสอบ โดยหากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้า และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ทางไปรษณีย์มาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail): [email protected]
โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2564 จะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรก จำนวน 6,000 บาท ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวได้ที่ร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถติดต่อสาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) หากประสงค์จะกำหนดรหัส 6 หลัก (PIN Code) เพื่อใช้ยืนยันตัวตนในการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวแทนการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (Facial Recognition)
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 50,670 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.7 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 69,181 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 2,786 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 122,637 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทยฯ
โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจัดอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 มุ่งสร้างเครือข่ายนักบริหารระดับสูงด้านการเงินการคลังภาครัฐ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กรมบัญชีกลางจัดอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 มุ่งสร้างเครือข่ายนักบริหารระดับสูงด้านการเงินการคลังภาครัฐ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล
กรมบัญชีกลางจัดอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2564 โดยได้รับเกียรติจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 โดยได้รับเกียรติจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดว่า กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานกลางที่มีภารกิจในการกำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินภาครัฐ ตระหนักถึงการพัฒนาเพื่อเติมเต็มศักยภาพความสามารถของบุคลากรด้านการเงินการคลังภาครัฐ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล และการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง เพื่อสามารถบริหารงานในฐานะผู้บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การบริหารเงินงบประมาณของแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุด กรมบัญชีกลางจึงได้จัดให้มีโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 ซึ่งในครั้งนี้มีผู้ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตามคุณสมบัติและเข้ารับการฝึกอบรมฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ระดับรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่าหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน จำนวนทั้งสิ้น 92 ราย
“สำหรับการฝึกอบรมฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2564 รวมทั้งสิ้น 235 ชั่วโมง แบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ 1) ความรู้ด้านเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาประเทศ 2) ความรู้ด้านการเงินการคลังภาครัฐ 3) การบริหารองค์กรยุคใหม่และการสร้างนวัตกรรม 4) การเสริมสร้างประสบการณ์การบริหาร ซึ่งรูปแบบการฝึกอบรม จะเน้นวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับนักบริหารระดับสูง โดยใช้หลักการเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน มาถ่ายทอดองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยมีความมุ่งหวังให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้นำทางด้านการเงินการคลังภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์ มีขีดความสามารถสูงในการขับเคลื่อนนโยบายการเงินการคลังภาครัฐให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้หลักธรรมาภิบาลหรือ Good Governance สามารถบริหารงานบรรลุผลสำเร็จตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ รวมทั้งสร้างเครือข่ายในการบริหารงานของผู้บริหารระดับสูง อันจะเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้การผลักเม็ดเงินลงสู่ท่อไหลไปสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดินเกิดประโยชน์และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก อุดรธานีเป็นต้นแบบ ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สืบสานวิถีวัฒนธรรมไทย ต่อยอด “ผ้าหมี่ขิดโบราณบ้านโนนกอก” | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก อุดรธานีเป็นต้นแบบ ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สืบสานวิถีวัฒนธรรมไทย ต่อยอด “ผ้าหมี่ขิดโบราณบ้านโนนกอก”
วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก อุดรธานีเป็นต้นแบบ ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สืบสานวิถีวัฒนธรรมไทย ต่อยอด “ผ้าหมี่ขิดโบราณบ้านโนนกอก”
วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก อุดรธานีเป็นต้นแบบ ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สืบสานวิถีวัฒนธรรมไทย ต่อยอด “ผ้าหมี่ขิดโบราณบ้านโนนกอก” จำหน่ายมีรายได้ พร้อมเปิดบ้าน บวร On Tour ท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรม – ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT ต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะผู้บริหารเดินทางลงพื้นที่ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร บ้านโนนกอก ตำบลหนองนาคำ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยมีนายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี วัฒนธรรมจังหวัดสกลนคร วัฒนธรรมจังหวัดเลย วัฒนธรรมจังหวัดบึงกาฬ ประธานชุมชนคุณธรรมบ้านโนนกอก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสถานศึกษา ศิลปินพื้นบ้าน และชาวชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก ให้การต้อนรับ
ในโอกาสนี้ ปลัดวธ. ได้เยี่ยมชมกิจกรรมชุมชนฯ ณ อาคารกลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก นิทรรศการผ้าโบราณบ้านโนนกอกและหมอนขิดอีสานโบราณ ลานสาธิตภูมิปัญญา จุดย้อมผ้า อาทิ การสาธิตย้อมเส้นไหม ฝ้าย
การมัดย้อมผ้าฝ้ายจากสีดอกบัวแดงและสายบัวแดง โดยที่นี่มีการย้อมผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การย้อมสีผ้าด้วยกลีบดอกบัว ดอกบัวแดงย้อมได้ถึง 3 สี กลายเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนว่า มาที่โนนกอกต้องมาดูผ้าย้อมบัวแดง การสาธิตบีบข้าวปุ้นสด การสาธิตทำข้าวเขียบ (ข้าวโป่งโบราณ) จากนั้นเยี่ยมชมโรงทอผ้าโบราณโนน การสาธิตงานประดิษฐ์ ใบตอง ใบเตย ขันหมากเบ็ง การสาธิตผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ของโรงเรียนบ้านหนองนาคำ ฯลฯ
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ขับเคลื่อนโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายรัฐบาล และนโยบายของนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในเรื่องของการสืบสานงานวัฒนธรรมของชาติ การรักษา และหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรม การต่อยอดวัฒนธรรมด้วยการนำคุณค่าของวัฒนธรรมสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม โดยการนำพลัง บวร บ้าน วัด โรงเรียน มาสร้างสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง มีความโดดเด่น 3 ด้าน คือ 1. คนในชุมชนประพฤติตามหลักศาสนาที่ตัวเองนับถือ 2. น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต 3. สืบสานวิถีชีวิต วัฒนธรรมไทย
“ขอชื่นชมชาวชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนกอก และทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมดำเนินชีวิตตามหลักธรรมศาสนา น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมไทยอันดีงาม ชุมชนมีความเรียบง่ายแบบสังคมชนบท คนในชุมชนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความภาคภูมิใจในวิถีของตนเอง ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงทำให้ชุมชนคุณธรรมบ้านโนนกอกแห่งนี้เป็น 1 ใน 100 ชุมชนต้นแบบ ที่ได้รับรางวัลในระดับประเทศ ที่ได้ใช้พลัง บวร ในการนำทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงาม ที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นไปต่อยอด ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ยกระดับเป็นชุมชนคุณธรรมฯ บวร On Tour บ้านโนนกอก และได้พัฒนาแหล่งเรียนรู้กลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก รวมทั้งมีศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย หรือ CPOT เช่น ผลิตภัณฑ์ผ้าหมี่ขิดโบราณบ้านโนนกอก สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชาวชุมชน เป็นตัวอย่างแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขยายสู่ชุมชนอื่นต่อไป” ปลัด วธ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40211 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล และการฟื้นฟูสวนป่าจำปีสิรินธร จ.ลพบุรี | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
รัฐมนตรี “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล และการฟื้นฟูสวนป่าจำปีสิรินธร จ.ลพบุรี
รัฐมนตรี “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล และการฟื้นฟูสวนป่าจำปีสิรินธร จ.ลพบุรี
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล พร้อมมอบแนวทางการดำเนินงานการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน และการฟื้นฟูสวนป่าจำปีสิรินธร ณ อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี
โดยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี เป็นหนึ่งในโครงการประชารัฐตามนโยบายรัฐบาลที่ได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำแบบบูรณาการ เพื่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ดำเนินการพัฒนา ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และสร้างระบบกระจายน้ำ เพื่อจัดสรรน้ำถึงประชาชนรวมถึงสนับสนุนน้ำเพื่อระบบนิเวศที่สมดุลอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงฯ ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำต้นทุน เตรียมแก้ไขปัญหาภัยแล้งและขาดแคลนน้ำซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และการทำเกษตรกรรมในพื้นที่
นอกจากนี้โครงการดังกล่าว ยังสามารถช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศบริเวณสวนป่าจำปีสิรินธร บ้านซับจำปา ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พื้นที่ 140 ไร่ ซึ่งในอดีตเคยเป็นพื้นที่ป่าพรุน้ำจืดแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ ให้สามารถรักษาสภาพป่าและรักษาต้นจำปีสิรินธรที่เหลืออยู่ 18 ต้นได้อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39593 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงเหตุผลชะลอฉีดวัคซีนโควิดของแอสตร้าเซนเนก้า | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
สธ. แจงเหตุผลชะลอฉีดวัคซีนโควิดของแอสตร้าเซนเนก้า
กระทรวงสาธารณสุขพร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แจงเหตุผลชะลอฉีดวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อรอผลการตรวจสอบจากยุโรป กรณีลิ่มเลือดแข็งตัวเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ย้ำเป็นกระบวนการตามปกติของทุกประเทศที่ต้องชะลอและรอผลตรวจสอบ
กระทรวงสาธารณสุขพร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แจงเหตุผลชะลอฉีดวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อรอผลการตรวจสอบจากยุโรป กรณีลิ่มเลือดแข็งตัวเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ย้ำเป็นกระบวนการตามปกติของทุกประเทศที่ต้องชะลอและรอผลตรวจสอบ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เบื้องต้นอาจไม่เกี่ยวกับวัคซีน เหตุอุบัติการณ์เกิดลิ่มเลือดไม่ต่างจากภาวะปกติ และไม่เคยเป็นผลข้างเคียงของวัคซีนตัวใดในโลกมาก่อน
วันนี้ (12 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงานการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมด้วยศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวกรณีชะลอการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า จากการประกาศของหลายประเทศในยุโรปที่ชะลอการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า หลังพบผู้ป่วยมีลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ ทำให้คณะแพทย์และทีมงานด้านการฉีดวัคซีนต้องนำมาพิจารณาชะลอการฉีดวัคซีนออกไปก่อน อย่างมากประมาณ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากการให้วัคซีนประชาชนต้องปลอดภัยที่สุด แม้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดี เพื่อรอการสืบค้นสาเหตุว่าอาการที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ถ้าผลออกมาว่าไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งสร้างความมั่นใจว่า วัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชนมีความปลอดภัย ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ประชาชน ส่วนการฉีดวัคซีนของซิโนแวคยังเดินหน้าให้แก่กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายต่อไป
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า แอสตร้าเซนเนก้าส่งวัคซีนรุ่นผลิต "ABV5300" จำนวน 1 ล้านโดส ให้แก่ 17 ประเทศในสหภาพยุโรป โดยเดนมาร์กพบมีผู้ป่วยเกิดลิ่มเลือดหลายราย เสียชีวิต 1 ราย จึงประกาศชะลอการฉีด 2 สัปดาห์ ยังไม่ได้บอกว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน อยู่ระหว่างการสืบค้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ออสเตรีย เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก ลัตเวีย ที่ใช้วัคซีนรุ่นเดียวกัน ประกาศชะลอการใช้ด้วย ล่าสุดองค์กร European Medicine Agency (EMA) ได้ประเมินอุบัติการณ์การเกิดลิ่มเลือด เบื้องต้นพบว่าตัวเลขการเกิดไม่แตกต่างกับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์หลังฉีดวัคซีน จะมีการชะลอและสอบสวนจนกว่าจะชัดเจนจึงกลับมาฉีดอีกครั้ง เช่นกรณีเกาหลีใต้ที่มีผู้เสียชีวิตเป็นข่าวในสัปดาห์ก่อน ก็ยืนยันแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนและกลับมาฉีดใหม่
ศ.นพ.ยง กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีการฉีดวัคซีนไป 3 ล้านโดส มีผู้ป่วยเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำจำนวน 22 ราย เสียชีวิต 1 ราย อุบัติการณ์ประมาณ 7 ในล้านราย จึงต้องมีการสอบสวนว่าเป็นเหตุการณ์ที่แม้ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็เกิดหรือไม่ อุบัติการณ์การเกิดเท่ากันหรือไม่ ถ้าฉีดแล้วเกิดขึ้นมากกว่าในภาวะปกติ ก็ต้องหาสาเหตุว่าวัคซีนไปทำให้เกิดอะไรจึงทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ลิ่มเลือดอุดตันสามารถเกิดขึ้นได้ในยามปกติโดยเฉพาะการนั่งนานๆ หรือผู้สูงอายุที่นอนนานๆ มีโอกาสเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ และมีโอกาสหลุดเข้าไปอุดในปอด หากเป็นก้อนขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ซึ่งภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำพบมากในคนแอฟริกันและยุโรปมากกว่าเอเชีย โดยยุโรปพบมากกว่าเอเชียถึง 3 เท่า มาจากปัจจัยทางพันธุกรรม สำหรับการชะลอการฉีดวัคซีน คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรรอผลพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ เป็นเฉพาะรุ่นนี้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าวัคซีนไม่ดี เชื่อว่าผลการตรวจสอบของยุโรปอาจออกมาใน 1-2 วันนี้ สำหรับประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเสี่ยงสูง การชะลอฉีดไป 2 สัปดาห์ไม่ได้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศ
ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวว่า การฉีดวัคซีนจำนวนหลายล้านโดสในเวลารวดเร็ว อาจเป็นการฉีดวัคซีนในระยะเวลาที่บางโรคกำลังก่อตัว ทำให้เกิดโรคร่วมขึ้นมาตอนฉีดวัคซีนได้ การที่ประเทศไทยชะลอการฉีดวัคซีนเป็นการระมัดระวังที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าการเกิดลิ่มเลือดแข็งตัวไม่น่าเกี่ยววัคซีน เพราะไม่ใช่ผลข้างเคียงของวัคซีนที่เคยมีการใช้มาในโลก แต่ก็ต้องรอจนกว่าผลสืบสวนออกมา ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลายประเทศแม้มีการหยุดการใช้วัคซีนหลายครั้ง แต่เมื่อมีการตรวจสอบก็พบว่ายังไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
ศ.พญ.สมศรีกล่าวว่า อาการที่เกิดขึ้นยังไม่ชัดเจนว่าเกิดจากวัคซีน แพทย์ก็กังวลที่จะเอามาฉีดประชาชนหากข้อมูลยังไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับการชะลอการฉีดไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วอย่างดี แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลิกฉีดแต่อย่างใด
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรับข้อแนะนำจากคณะแพทย์ที่มีความห่วงใยต่อประชาชนที่ให้เลื่อนการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าออกไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะชัดเจน ซึ่งวัคซีนที่ไทยจะใช้เป็นคนละรุ่นกับยุโรป ซึ่งในเอเชียที่มีการใช้ของแอสตร้าเซนเนก้าก็ยังไม่มีรายงานเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ สำหรับการชะลอฉีดวัคซีนไม่กระทบกับสถานการณ์ เพราะประเทศไทยไม่ได้มีการระบาดรุนแรง และมีวัคซีนซิโนแวคฉีดให้คนเสี่ยง
************************************* 12 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” รมว.ทส. ย้ำ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางกลอย ต้องได้รับการแก้ไขและต้องไม่ใช้ความรุนแรง | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
“วราวุธ” รมว.ทส. ย้ำ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางกลอย ต้องได้รับการแก้ไขและต้องไม่ใช้ความรุนแรง
“วราวุธ” รมว.ทส. ย้ำ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางกลอย
ต้องได้รับการแก้ไขและต้องไม่ใช้ความรุนแรง
วันนี้ (9 มีนาคม 2564) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องการเยียวยาและแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนเรื่องที่ทำกินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางกลอย จังหวัดเพชรบุรี ว่า รัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญถึงความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนในทุก ๆ ภูมิภาค ทุกๆ จังหวัด ต้องได้รับการแก้ไขและขณะเดียวกันความสมบูรณ์ของผืนป่าก็ต้องได้รับการอนุรักษ์ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่บางกลอย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความสำคัญเพราะอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้นเยี่ยมของประเทศไทย จึงได้เน้นย้ำให้การดำเนินงานทุกขั้นตอนให้เป็นไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นการเจรจา และจะต้องไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในทุก ๆ ขั้นตอนได้มีการบันทึกภาพวีดีโอและคลิปเสียงใว้ตลอดเวลา ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อ ว่า มีการปฏิบัติต่อพี่น้องประชาชนโดยใช้ความรุนแรงนั้น ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอยืนยันผ่านสื่อมวลชนไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่าน ว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ผ่านมานั้นเป็นการดำเนินการตามหมายของศาล และการดำเนินงานตลอดช่วงระยะเวลานั้นไปด้วยความละมุนละม่อมและใช้ความถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างถึงที่สุด ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอความกรุณา ถ้ามีรายละเอียดข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ท่านใดใช้ความรุนแรงกับพี่น้องประชาชนในการดำเนินการพื้นที่บางกลอย ขอให้ส่งข้อมูลมาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจะดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รายนั้นต่อไป
อนึ่ง บริเวณพื้นที่ของบางกลอยนั้น ก่อนหน้านั้นเมื่อ พ.ศ.2539 มีพี่น้องประชาชนอยู่ 57 ครอบครัว 252 คน แต่ล่าสุด พ.ศ.2562 จากการสำรวจนั้นมีปริมาณครอบครัวเพิ่มขึ้นเป็น 116 ครอบครัว ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 672 คน ปัจจุบันมีพื้นที่ทำการเกษตรรวมกับพื้นที่ที่อยู่อาศัย 700 กว่าไร่ พื้นที่ 700 กว่าไร่นั้น ทางราชการหลายๆ หน่วยงานได้เข้าไปพัฒนา อาทิ สาธารณูปโภค พัฒนาแหล่งน้ำ มีทั้งระบบโซล่าเซลล์ มีทั้งระบบน้ำบาดาล ล่าสุดทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำ ได้เข้าไปในพื้นที่ และได้พัฒนาระบบน้ำกินน้ำใช้ร่วมกับชาวบ้านแล้ว นอกจากนั้นยังได้ร่วมกับโรงเรียน ต.ช.ด. ในพื้นที่พัฒนาการฝึกอาชีพให้กับชาวบ้าน
ดังนั้น จากการทำงานอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ส่วนใหญ่ของบางกลอยจะสามารถทำการเกษตรได้ แต่มีบางพื้นที่ที่น้ำยังเข้าไปไม่ถึง มีความแห้งแล้งเกิดขึ้น ก็อาจเป็นที่มาทำให้พี่น้องประชาชนอาจจะยังไม่ได้รับการเยียวยาหรือการพัฒนาในพื้นที่ตามที่ควร ซึ่งได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ หารือเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกันแล้ว ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้เราจะสามารถแก้ไขปัญหาของชาวบ้านบางกลอยได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39799 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
...
ปัจจุบันสถานการณ์ต่าง ๆ ของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งวิถีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนก็ไปอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้บทบัญญัติบางประการใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น ครม. ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ฉบับเดิม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสาระสำคัญของการปรับแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ คือ
.
1. นำข้อมูลข่าวสารสาธารณะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านระบบดิจิทัล
.
2. หากหน่วยงานของรัฐไม่ประกาศ/ไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจดู ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ ประชาชนสามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการได้
.
3. ข้อมูลข่าวสารที่ห้ามเปิดเผย เช่น ข้อมูลที่อาจเกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อมูลการถวายความปลอดภัย ข้อมูลความมั่นคงของรัฐ เช่น ด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ด้านข่าวกรอง ก่อการร้าย เป็นต้น
.
4. ข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการเงินการคลังของประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐอาจมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลก็ได้
.
5. กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใด หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน ผู้ร้องสามารถอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดข้อมูลข่าวสารได้ ภายใน 15 วัน
.
6. กำหนดให้มีคณะกรรมการ 2 ชุดคือ 1) คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และ 2) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ หากผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ภายใน 30 วัน
.
กฎหมายฉบับนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะได้อย่างทั่วถึงแล้ว ประชาชนยังสามารถตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานของรัฐได้ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ขั้นตอนการทำงานเป็นไปอย่างโปร่งใส เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และการพัฒนาประเทศ
.
สำหรับขั้นตอนต่อไป จะนำส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอรัฐสภา พร้อมแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยออกแบบชานชาลาภายในสถานีรถไฟทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงการให้บริการประชาชนในทุกมิติ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยออกแบบชานชาลาภายในสถานีรถไฟทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงการให้บริการประชาชนในทุกมิติ
การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ชี้แจงถึงกรณีเกี่ยวกับการออกแบบปรับปรุงชานชาลาสถานีให้เป็นแบบชานสูงและชานต่ำภายในสถานีรถไฟต่าง ๆ
การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ชี้แจงถึงกรณีเกี่ยวกับการออกแบบปรับปรุงชานชาลาสถานีให้เป็นแบบชานสูงและชานต่ำภายในสถานีรถไฟต่าง ๆ ว่า ขณะนี้ รฟท. อยู่ระหว่างพิจารณาผลดีผลเสียประเด็นดังกล่าว ซึ่งข้อสรุปในเรื่องชานชาลาแบบชานสูงหรือชานต่ำต้องมีการศึกษาและพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิศวกรรมความปลอดภัย งบประมาณดำเนินการ รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ขณะเดียวกันยังได้มีการนำประเด็นดังกล่าว สอบถามขอความเห็นจากสถาบันการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอก ที่ปรึกษาควบคุมงานโครงการก่อสร้าง ผู้บริหารโครงการก่อสร้างของ รฟท. และหน่วยงานภายนอกเพิ่มเติม โดยร่วมกันพิจารณารูปแบบชานชาลาสถานีเพื่อให้ได้รับมุมมองที่กว้างขวาง และเป็นประโยชน์ในทุก ๆ ด้าน
ล่าสุด ผู้สังเกตการณ์โครงการก่อสร้างทางคู่จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้มีหนังสือแจ้งมายังการรถไฟแห่งประเทศไทยว่า มีความกังวลในการปรับปรุงสถานีรถไฟให้เป็นชานชาลาสูงทั้งหมด เนื่องจากจะเป็นภาระงบประมาณจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานจริงของผู้โดยสาร ซึ่ง รฟท. ได้รวบรวมผลศึกษาและข้อมูลความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ มาพิจารณาให้เกิดความรอบคอบในทุกมิติ ซึ่งจากการพิจารณาทั้งหมดต้องมีการศึกษาในทุก ๆ ด้าน ทั้งนี้ ในส่วนของการรถไฟฯการสั่งซื้อขบวนรถรุ่นใหม่เพื่อให้เหมาะสมและรองรับการให้บริการกับชานชาลาสูง 1.10 เมตร ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นในช่วงของการเปลี่ยนผ่านในการพัฒนาระบบรางของประเทศ ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง จึงเสนอให้ก่อสร้างชานชาลาสูง 1.10 เมตร กับสถานีขนาดใหญ่ และสถานีขนาดกลางที่ขบวนรถโดยสารส่วนใหญ่ลดความเร็วเพื่อเตรียมหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานี ส่วนสถานีขนาดเล็ก ป้ายหยุดรถ และที่หยุดรถ ซึ่งขบวนรถส่วนใหญ่วิ่งผ่านควรเป็นชานชาลาที่มีความสูง 50 เซนติเมตร ที่ออกแบบให้สามารถปรับความสูงได้ในอนาคต โดยยึดหลักความปลอดภัยในการให้บริการ
ขณะเดียวกัน รฟท. ได้มีการนำเสนอประเด็นข้อมูลดังกล่าวให้คณะกรรมการ รฟท. รับทราบในเบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้หากมีการดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จ ทั้งนี้จะต้องมีการนำข้อมูลเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อกำหนดนโยบายอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
รฟท. ขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ของทุกภาคส่วน และข้อเน้นย้ำว่า รฟท. จะรวบรวมข้อมูลมาประกอบการพิจารณาโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน อย่างรอบคอบก่อนหาข้อยุติในการดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
...
ได้เฮกันอีกครั้ง... เมื่อโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างมาก ล่าสุด ครม.มีมติอนุมัติขยายระยะเวลาโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 โดยขยายสิทธิเพิ่มเติมอีก 2,000,000 สิทธิ จากเดิมที่มีใช้ไปแล้ว 6,000,000 สิทธิ ในช่วงเฟส 1 และ เฟส 2 รวมเป็น 8,000,000 สิทธิ คาดว่าจะเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่เดือนพ.ค. 64 เป็นต้นไป
.
ซึ่งในครั้งนี้ มีการปรับรายละเอียดเงื่อนไข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือทุจริตโครงการฯ โดยมีสาระสำคัญหลายเรื่อง
.
เริ่มต้นที่ ผู้ประกอบการโรงแรม – ที่พัก ต้องให้ความยินยอมให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถนำข้อมูลห้องพัก ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทย และราคาสูงสุด - ต่ำสุดของห้องพัก ไปใช้ในการตรวจสอบการจองที่พักของโครงการ
.
สำหรับการใช้งานของผู้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ จะต้องลงทะเบียนจองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ ธ.กรุงไทย ส่งข้อมูลให้ ททท. ตรวจสอบว่าการจองนั้นมีความผิดปกติหรือไม่
.
ผู้เข้าร่วมโครงการต้องชำระเงินค่าห้องพักผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงิน พร้อมเพิ่มระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าเมื่อเช็กอินเข้าที่พัก
.
รัฐบาลจะสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว (e-voucher) ในลักษณะร่วมจ่ายในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 600 บาท/คืน เป็นราคาเดียวกันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด
.
ส่วนผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องใช้บริการโรงแรมที่พักและ e-voucher ในพื้นที่จังหวัดอื่น ที่ไม่ใช่จังหวัดในทะเบียนบ้าน
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
เปิดจองแล้ว ! เคหะสุขประชา บ้านเช่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลุยแก้ปัญหาภัยแล้ง ติดตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.ศรีสะเกษ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
วราวุธ ลุยแก้ปัญหาภัยแล้ง ติดตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.ศรีสะเกษ
วราวุธ ลุยแก้ปัญหาภัยแล้ง ติดตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.ศรีสะเกษ
วราวุธ ลุยแก้ปัญหาภัยแล้ง ติดตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จ.ศรีสะเกษ
วันนี้ (19 มี.ค. 64) เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บ้านกุดเมืองฮาม หมู่ที่ 5 ตำบลกุดเมืองฮาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมปลูกต้นตะเคียนทอง ต้นพะยูง และต้นประดูป่า บริเวณริมกุดเมืองฮาม รวมถึงร่วมมอบถุงปันสุขให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีนายวิชัย ตั้งคำเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีษะเกษ ให้การต้อนรับ
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นโครงการหนึ่งตามนโยบายรัฐบาล ในการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ สนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค น้ำเพื่อการเกษตร และการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำให้มีความสมบูรณ์ โดยวันนี้ได้มาติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ผลงานก่อสร้างปัจจุบันร้อยละ 56) ใช้งบประมาณ 16.99 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถกระจายน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่กว่า 218 ครัวเรือน (ประมาณ 1,000 คน) ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร พริก หอม กระเทียม กว่า 425 ไร่
สำหรับในอนาคต ปีงบประมาณ 2566 ได้เสนอโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังแสงอาทิตย์เพื่อสนับสนุนนาแปลงใหญ่ ต.กุดเมืองฮาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ งบประมาณ 65 ล้านบาท เพื่อกระจายน้ำให้กับประชาชน 150 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรทางทิศเหนือของกุดเมืองฮามจำนวน 1,500 ไร่ ซึ่งเมื่อโครงการระบบกระจายน้ำทั้งสองโครงการแล้วเสร็จ พื้นที่เกษตรจะได้รับประโยชน์ รวมกว่า 2,725 ไร่ เกิดการจ้างงานในพื้นที่ คาดว่ารายได้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยครัวเรือนจะได้ประโยชน์กว่า 568 ครัวเรือน กว่า 2,500 คน
"น้ำทุกหยดนับวันจะหายากและมีค่ามากขึ้น ทรัพยากรน้ำ เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อมนุษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอุปโภคบริโภค ทำการเกษตร อุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ดังนั้น จึงขอฝากประชาชนในพื้นที่ให้ใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่า และให้ช่วยกันปลูกป่า เพื่อให้มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในอนาคต และไม่ต้องมีปัญหาภัยแล้งเหมือนที่ผ่านมา" รมว.ทส. กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบขยายเวลามาตรการ ยกเว้นอากรศุลกากรที่มีความจำเป็น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ 4 ก.พ.-30 ก.ย.64 เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ระลอกใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ครม.เห็นชอบขยายเวลามาตรการ ยกเว้นอากรศุลกากรที่มีความจำเป็น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ 4 ก.พ.-30 ก.ย.64 เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ระลอกใหม่
ครม.เห็นชอบขยายเวลามาตรการ ยกเว้นอากรศุลกากรที่มีความจำเป็น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ 4 ก.พ.-30 ก.ย.64 เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ระลอกใหม่ ให้ปริมาณหน้ากากมีเพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ
วันที่ 25 มี.ค. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม. เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 64 ครม. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) และร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นหน้ากาก (ฉบับที่ ..) รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลามาตรการยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับสินค้าหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ บรรดาที่เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย และหน้ากากกรองเชื้อโรค และหน้ากากทางการแพทย์นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และขยายระยะเวลาการยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นหน้ากากที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองเชื้อโรค หน้ากากทางการแพทย์นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด และหน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ บรรดาที่เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จะเกิดขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เคยมีมาตรการยกเว้นอากรศุลกากรเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ฉบับที่ 3 และ ฉบับที่ 7 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นหน้ากาก ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ซึ่งขณะนี้ได้สิ้นผลใช้บังคับแล้ว แต่โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศยังมีการระบาดอย่างรุนแรง และเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศ ประเทศไทยจึงควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว และเพื่อให้มีปริมาณหน้ากากเพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ และประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าหน้ากากได้อย่างทั่วถึง ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเห็นควรขยายระยะเวลามาตรการยกเว้นอากรศุลกากรที่มีความจำเป็น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้มาตรการฯ ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
“การขยายระยะเวลามาตรการยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับสินค้าดังกล่าว จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้โดยประมาณ 9 ล้านบาท และการสูญเสียรายได้ก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะเป็นการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อให้มีปริมาณหน้ากากเพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ และประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40360 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่ง อสม. ลงพื้นที่ให้ความรู้วัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ส่ง อสม. ลงพื้นที่ให้ความรู้วัคซีนโควิด-19
...
ขณะนี้ อสม. กว่า 1 ล้าน 5 หมื่นคนทั่วประเทศ เริ่มลงพื้นที่ทำความเข้าใจเรื่องวัคซีนโควิด-19 กับประชาชนในชุมชนทั่วประเทศแล้วครับ
.
โดยจะให้ความรู้เรื่องวัคซีนโควิด-19 ผ่านสื่อและชุดข้อมูล ทำการสำรวจ คัดกรองกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเชิญชวนประชาชนลงทะเบียน “หมอพร้อม” เพื่อรายงานติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีน และแจ้งเตือนนัดหมายรับวัคซีนเข็มที่ 2
.
สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะให้ลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์ของลูกหลานในครอบครัว หรือของทีม อสม. เอง และรวบรวมรายงานติดตามอาการไม่พึงประสงค์ส่งต่อไปยัง รพ.สต. และรพ.ชุมชน
.
ปัจจุบัน อสม. ได้เคาะประตูบ้านให้ความรู้เรื่องวัคซีนโควิด-19 แล้ว จำนวน 323,384 หลังคาเรือน ส่วนพื้นที่ 13 จังหวัดที่เป็นเป้าหมายของการได้รับวัคซีนล็อตแรกนั้น ได้ให้ความรู้แล้ว 297,672 หลังคาเรือน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39735 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียน “โครงการเราชนะ” วันสุดท้าย | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียน “โครงการเราชนะ” วันสุดท้าย
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียน “โครงการเราชนะ” วันสุดท้าย
วันนี้ (5 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อตรวจเยี่ยมการอำนวยความสะดวกกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้สูงอายุและคนพิการ ลงทะเบียน “โครงการเราชนะ” โดยได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 13 หมู่ 9 ตำบลบางกระเจ้า อำเภอพระประแดง และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง อีกทั้งมีการมอบบ้านพอเพียงชนบท จำนวน 1 หลัง สำหรับซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ครอบครัวผู้สูงอายุ 3 พี่น้อง ซึ่งพี่สาวคนโตประกอบอาชีพขายผัดไทยโบราณเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว และมอบบ้านพอเพียงชนบท ปี 2564 แก่ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 13 ตำบล 346 ครัวเรือน
นายจุติ กล่าวว่า เนื่องด้วยวันนี้ (5 มี.ค.64) เป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียน "โครงการเราชนะ" สำหรับกลุ่มเปราะบาง อาทิ สูงอายุและคนพิการ ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต (ลงทะเบียน www.เราชนะ.com ไม่ได้) ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแลตามภารกิจของกระทรวง พม. วันนี้ ตน พร้อมด้วย นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) นายศุภมิตร ชิณศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ธนาคารกรุงไทย และทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรปราการ ได้เดินทางลงพื้นที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่ออำนวยความสะดวกกลุ่มเปราะบางในการลงทะเบียน "โครงการเราชนะ" ที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนที่จุดบริการได้ โดยได้ช่วยเหลือผู้สูงอายุและคนพิการให้สามารถลงทะเบียนได้ รวม 191 คน อีกทั้งมีการสาธิตขั้นตอนการลงทะเบียน อาทิ การยืนยันตัวตน ด้วยบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) การสแกนใบหน้า เป็นต้น และการแนะนำการใช้สิทธิในการซื้อสินค้ากับร้านที่ร่วมโครงการฯ
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการลงทะเบียน "โครงการเราชนะ" ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยยืนยันว่าสามารถลงทะเบียนได้เกินเป้าหมาย แต่ยังคงมีคนตกค้าง ซึ่งทางธนาคารกรุงไทยจะทำเรื่องเสนอเข้ากระทรวงการคลัง และกระทรวง พม. จะไปสำรวจคนที่ตกค้าง และนำเสนอไปที่กระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี ว่ามีใครที่ตกหล่นบ้าง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งประเทศ และขอยืนยันว่า 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยรัฐบาลได้เน้นย้ำ "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" สำหรับช่องทางการขอลงทะเบียน "โครงการเราชนะ" สำหรับผู้ที่ตกหล่นสามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกแห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์ดำรงธรรม หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน พม. โทร 1300 บริการฟรี 24 ชม.
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงพื้นที่สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง นอกจากได้ตรวจเยี่ยมการอำนวยความสะดวกคนพิการลงทะเบียน"โครงการเราชนะ" แล้ว ตนและคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ได้ร่วมเวทีเสวนา “พม.ฟังเสียงคนสมุทรปราการ” พร้อมกับประธานสภาองค์กรชุมชนบางกระเจ้า ผู้แทนผู้สูงอายุ เลขาสภาองค์กรชุมชนตำบลบางกระเจ้า ประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสมุทรปราการ และเลขานุการสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน อีกทั้งได้ร่วมประชุมทีม พม. One Home จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่และมอบแนวทางการดำเนินงานในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สานตะกร้าพลาสติก และการสานย่านลิเภา (โครงการตามพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รับสมัครสอบคัดเลือกบุลคลพลเรือนเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ และจ้างงานเป็นพนักงานราชการ ประจำปี 2564 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รับสมัครสอบคัดเลือกบุลคลพลเรือนเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ และจ้างงานเป็นพนักงานราชการ ประจำปี 2564
จำนวน 67 อัตรา สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 226 1397
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39805 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบ สธ. หารือข้อกำหนดการออกพาสปอร์ตวัคซีนโควิด-19 ระหว่างรอองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานกลาง | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีมอบ สธ. หารือข้อกำหนดการออกพาสปอร์ตวัคซีนโควิด-19 ระหว่างรอองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานกลาง
นายกรัฐมนตรีมอบ สธ. หารือข้อกำหนดการออกพาสปอร์ตวัคซีนโควิด-19 ระหว่างรอองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานกลาง
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) เวลา 12.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ว่า การประชุมวันนี้ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา 5G ของประเทศไทยในภาพรวมทั้งหมด มีภาคเอกชนมหาวิทยาลัย นักวิจัยต่าง ๆ เข้าร่วมหารือกันในวันนี้ โดยเฉพาะการพัฒนา 5G ที่บ้านฉาง สำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง เตรียมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์ทุกกิจกรรมในพื้นที่ EEC อีกครั้งหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการผ่อนคลายทำกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะเปิดการสัญจรเดินทางไปทุกพื้นที่ โดยพิจารณามาตรการรองรับในการป้องกัน COVID-19 ด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง กำลังหารือกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เป้าหมายสำคัญคือ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในระลอกใหม่ เพราะการเคลื่อนที่ของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยว การค้าขาย โรงแรม ผู้ประกอบการธุรกิจมีรายได้ขึ้นมา ฟื้นฟูช่วงเวลาที่สูญหายในช่วงที่ผ่านมา หลายอย่างกำลังดำเนินการอยู่เพื่อให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้
นายกรัฐมนตรียังเผยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขประชุมเร่งรัดให้เตรียมพิจารณาข้อกำหนดการออกพาสปอร์ตวัคซีนโควิด-19 ระหว่างรอองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานกลางเพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกใช้มาตรฐานเดียวกัน สำหรับการนำเข้าวัคซีนของภาคเอกชนนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้เชิญผู้ประกอบการต่าง ๆ มาหารือบ้างแล้ว โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องการนำเข้าวัคซีนเข้ามาเอง อย่างไรก็ตาม วัคซีนที่เอกชนจะนำเข้าต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย ต้องชี้แจงแหล่งที่มาของวัคซีนและปริมาณการนำเข้าและต้องรายงานความคืบหน้าของการนำเข้าและการใช้วัคซีนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นใครหรือเอื้อประโยชน์ให้ใครในการนำเข้าวัคซีนทั้งสิ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงผลเลือกตั้งซ่อม ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนไป ไม่มีผลในการปรับเก้าอี้รัฐมนตรีทั้งสิ้น ส่วนการแก้ปัญหาบางกลอยนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่ในขณะนี้ ในส่วนของ P MOVE วันนี้เข้าสู่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) พิจารณาให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงพื้นที่เพื่อทำกินได้
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39741 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาจริง! ปลด 70 ร้านค้าผิดเงื่อนไข “คนละครึ่ง – เราชนะ” | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
เอาจริง! ปลด 70 ร้านค้าผิดเงื่อนไข “คนละครึ่ง – เราชนะ”
...
เรียกได้ว่าฮอตสุด ๆ ครับ กับพ่อค้าแม่ขายที่พากันมาสมัครร่วมโครงการคนละครึ่ง เราชนะ รวมถึงน้องใหม่อย่าง “ม.33 เรารักกัน” มากขึ้น
.
แต่ขณะเดียวกันก็มีการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีร้านค้าที่ร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านธงฟ้าฯ หรือร้านค้ารายย่อย ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้า รับแลกเงินสด ไม่ปิดป้ายราคา รวมถึงขายเหล้า – บุหรี่ ซึ่งผิดเงื่อนไขของโครงการฯ
.
กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งตรวจสอบร้านค้าทั่วประเทศ พบว่า มีร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขจริง และได้ดำเนินคดีไปแล้วกว่า 70 ราย (ตั้งแต่ ธ.ค. 63 – มี.ค. 64)
.
นอกจากนี้ ร้านค้าที่กระทำผิดจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถูกเรียกคืนเครื่อง EDC รวมทั้งไม่สามารถรับชำระเงินจากแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้อีกต่อไป
.
จึงขอความร่วมมือประชาชน หากพบร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ไม่ปิดป้ายแสดงราคา หรือทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร.1569 หรือ สนง.พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39650 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ยกระดับ/เพิ่มศักยภาพงานคุมประพฤติ วางแนวทางป้องกันการกระทำผิดซ้ำ สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม ยกระดับ/เพิ่มศักยภาพงานคุมประพฤติ วางแนวทางป้องกันการกระทำผิดซ้ำ สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุมประพฤติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ๑๐-๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุมประพฤติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม
โดยที่ประชุมได้รับทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุมประพฤติ
รวมทั้งรับทราบคำสั่งกรมคุมประพฤติ เรื่อง ยกเลิกคำสั่งและแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการ
ในคณะกรรมการคุมประพฤติ การปรับปรุงโครงสร้างภายในจัดตั้งหน่วยงานในกรมคุมประพฤติเพิ่มเติม
ดังนี้ ๑) กองอำนวยการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อรองรับภารกิจการป้องกัน
และเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมของผู้พ้นโทษในคดีอุกฉกรรจ์เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
๒) กองกฎหมาย เพื่อรองรับการปรับปรุงกฎหมายที่เพิ่มขึ้น
และ ๓) ศูนย์พัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อรองรับการดูแลอาสาสมัครคุมประพฤติ
ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจำนวนกว่า ๔๐๐ แห่งทั่วประเทศ
รวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งด้านตำรวจ และฝ่ายปกครอง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการวิจัยโครงการศึกษา
และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM)
สำหรับผู้กระทำผิดในกระบวนการยุติธรรม โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดำเนินการศึกษาและสรุปผลการศึกษาวิจัย แบ่งออกเป็น ๓ เรื่อง ประกอบด้วย
๑) เรื่องกลุ่มผู้กระทำผิดที่สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
ผลการศึกษาให้เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายผู้กระทำผิดที่ศาลตัดสินว่าให้กักขังที่บ้านหรือที่อื่นที่มิใช้เรือนจำ
ผู้พ้นโทษที่จะต้องติดตามเป็นพิเศษ และผู้ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีหรือได้รับการประกันตัว
๒) เรื่องค่าใช้จ่าย เสนอให้ผู้กระทำผิดที่มีฐานะยากจน รัฐควรรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
และผู้กระทำผิดที่มีความสามารถในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้เสียค่าใช้จ่ายเอง
และ ๓) เรื่องการบริหารจัดการ EM ที่เหมาะสมกับประเทศไทย
เสนอให้เป็นการรับผิดชอบร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน จัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการอุปกรณ์ EM
การจัดตั้งกองทุนอุปกรณ์ EM และจัดตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุน EM
รวมทั้งได้อนุมัติในหลักการการพิจารณาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการ
การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
เพื่อบริหารจัดการการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
ที่ดำเนินการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
ประกอบด้วย ผู้ถูกคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕
ผู้ถูกคุมความประพฤติที่เป็นผู้ได้รับการพักการลงโทษหรือลดวันต้องโทษจำคุก
ซึ่งที่ผ่านมากรมคุมประพฤติได้ดำเนินการติดอุปกรณ์ EM แล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๑,๐๐๐ ราย
ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลและการสั่งใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงจำเป็นต้องมีกลไกในการขับเคลื่อนให้เป็นมาตรฐาน เกิดความเป็นเอกภาพและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
จึงเห็นชอบให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเข้ามาเป็นคณะอนุกรรมการฯ บริหารจัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวขึ้น
รวมทั้งได้อนุมัติในหลักการให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ใน ๒ เรื่อง
เรื่องแรก คือ การกำหนดบทบาท อำนาจหน้าที่ของพนักงานคุมประพฤติในการติดอุปกรณ์ติดตามตัว (EM)
เช่น ให้พนักงานคุมประพฤติมีอำนาจในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และมีอำนาจในการยกเลิกหรือผ่อนปรน
เงื่อนไขในการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
หรือกรณีปรากฏว่าผู้กระทำผิดมีปัญหาสุขภาพหรือมีเหตุฉุกเฉิน
ให้พนักงานคุมประพฤติมีอำนาจยกเลิกการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
และกำหนดเงื่อนไขการคุมความประพฤติอื่นที่เหมาะสมแทนได้
และเรื่องที่สอง คือ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) กับผู้กระทำผิด
ที่ควรมีการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้ทั้งในบริบทของการสงเคราะห์ผู้กระทำผิด
ซึ่งอาจดำเนินการในรูปแบบของกองทุน และในบริบทของการให้ผู้กระทำผิด
ที่มีความสามารถในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้เสียค่าใช้จ่ายเอง
อันจะนำไปสู่การนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวไปใช้อย่างเท่าเทียม
ลดความเหลื่อมล้ำ และลดภาระด้านงบประมาณของประเทศ
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการคุมประพฤติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ว่า
จากการประชุมหารือคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติในหลักการให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการ
การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM)
และอนุมัติในหลักการให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙
ในเรื่องการกำหนดบทบาท อำนาจหน้าที่ของพนักงานคุมประพฤติในการติดอุปกรณ์ติดตามตัว (EM)
รวมทั้งการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการใช้อุปกรณ์ติดตามตัว (EM)
ซึ่งจะทำให้กรมคุมประพฤติจะมีภารกิจงานที่เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีอุปกรณ์ EM จำนวน ๓๐,๐๐๐ คน
และมีผู้ใช้อุปกรณ์ EM ดังกล่าวแล้ว จำนวน ๓,๑๐๙ คน
โดยหากพิจารณาตามหลักเศรษฐศาสตร์อุปกรณ์ EM จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง มีค่าใช้จ่าย ๓๓๒.๙ ล้านบาท
แต่การดูแลผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ จำนวน ๑ คนต่อ ๑ ปี มีค่าใช้จ่ายคนละ ๒๑,๒๐๐ บาท
หากผู้ต้องขัง จำนวน ๒๕,๐๐๐ คน จะต้องใช้งบประมาณในการดูแลผู้ต้องขังถึง ๕๓๐ ล้านบาท
แต่หากผู้ต้องขังได้ติดอุปกรณ์ EM และสามารถออกมาทำงานได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในตลาดแรงงาน
ช่วยเพิ่มการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับรัฐบาล
โดยในปัจจุบันมีนายจ้างสนใจรับแรงงานผู้ต้องขังแล้ว จำนวน ๒ แห่ง คือ
บริษัทแก๊สในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จ้างแรงงาน จำนวน ๑ ราย
ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๒๕ บาท
และโรงงานซอสพริกศรีราชา จ้างแรงงาน จำนวน ๑ รุ่น ๆ ละ ๕๐ คน ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๑๕ บาท
ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงยุติธรรมต้องเร่งดำเนินการจึงเป็นเรื่องการกำหนดมาตรการความปลอดภัย
และการบริหารจัดการการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ให้สอดคล้องกับกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเรื่องศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน
(Safety Observation Ad hoc Center, Ministry of Justice : JSOC)
ที่ต้องบูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย ทหาร ตำรวจ รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ
เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญของผู้พ้นโทษที่มีลักษณะพิเศษให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป้าหมายการสร้างความมั่นใจในชีวิตและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39532 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดโครงการฝึกอบรมอาชีพวิชาโหราศาสตร์ ณ เรือนจำพิเศษธนบุรี ผลักดันวิชาชีพ “หมอดู” ให้ผู้ต้องขัง หวังสร้างอาชีพหลังพ้นโทษ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม เปิดโครงการฝึกอบรมอาชีพวิชาโหราศาสตร์ ณ เรือนจำพิเศษธนบุรี ผลักดันวิชาชีพ “หมอดู” ให้ผู้ต้องขัง หวังสร้างอาชีพหลังพ้นโทษ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมอาชีพวิชาโหราศาสตร์
ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ เรือนจำพิเศษธนบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมอาชีพวิชาโหราศาสตร์ โดยมีว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสมภพ รุจจนเวท ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษธนบุรี อาจารย์วิพาพร พงศ์เจริญ ผู้แทนนายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ อาจารย์ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และอาจารย์ผู้สอนอิสระ ดร.เขมชาติ ปริญญานุสรณ์ (อาจารย์คฑา ชินบัญชร) พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพวิชาโหราศาสตร์ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มช่องทางในการประกอบอาชีพที่หลากหลายให้ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและมีประโยชน์ เนื่องจากในปัจจุบันอาชีพหมอดูจัดว่าเป็นอาชีพที่ได้รับความสนใจจากสังคม อันเกิดจากวิถีและวัฒนธรรมของสังคมไทยที่มีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องโชคชะตาราศี มีความเชื่อในการดูดวง ทำนายดวงชะตา อีกทั้งอาชีพหมอดูอาจเหมือนเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่งสำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาบางประการแล้วไม่สามารถหาทางออกได้ และสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากความรู้ในการเรียนวิชาโหราศาสตร์สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำให้มาก หากผู้เรียนต้องการประสบความสำเร็จ คือต้องมีคุณธรรมมีจรรยาบรรณ มีความอดทน หมั่นสั่งสมประสบการณ์ สร้างความเชื่อมั่นโดยต้องอาศัยระยะเวลาเป็นตัวกำหนด และต้องไม่นำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การหลอกลวงหรือฉ้อฉล ฉ้อโกงผู้อื่น โดยขณะนี้มีเรือนจำ/ทัณฑสถาน นำร่อง จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑. ทัณฑสถานหญิงธนบุรี ๒. เรือนจำพิเศษธนบุรี ๓. เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ๔. ทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิง และ ๕. ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา เริ่มดำเนินการ จำนวน ๑ รุ่น จำนวนแห่งละ ๒๐-๒๕ คน ซึ่งวิชาที่จะสอน คือ วิชาไพ่ทาโรต์และวิชาคัมภีร์มหาสัตตเลข (การพยากรณ์ด้วยเลข ๗ ตัว จากวัน เดือน ปีเกิด)
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และอาจารย์ผู้สอนทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการร่วมกันพัฒนาอาชีพให้กับผู้ต้องขัง พร้อมทั้งขอโอกาสจากสังคมให้ช่วยเปิดใจยอมรับผู้ต้องขัง หากบุคคลเหล่านี้ได้รับโอกาสอีกสักครั้งในการประกอบอาชีพ พวกเขาจะสามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว และจะไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกอย่างแน่นอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39536 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต บูรณาการ 12 หน่วยงาน เร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน พร้อมดูแลเรื่องฝึกทักษะอาชีพใหม่ เมื่อเปิดประเทศ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต บูรณาการ 12 หน่วยงาน เร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน พร้อมดูแลเรื่องฝึกทักษะอาชีพใหม่ เมื่อเปิดประเทศ
รมว.พม. นำทีม ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต บูรณาการ 12 หน่วยงาน เร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน พร้อมดูแลเรื่องฝึกทักษะอาชีพใหม่ เมื่อเปิดประเทศ
วันที่ 13 มี.ค. 64 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนร่วมกับหน่วยงาน 12 กระทรวง และ ทีม พม. จังหวัด (One Home) เขตตรวจราชการที่ 6 (จังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พร้อมคณะผู้บริหาร นายปิยพงศ์ ชูวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนหน่วยงาน 12 กระทรวง ในพื้นที่ และหัวหน้าหน่วยงาน ทีม พม. จังหวัด (One Home) เขตตรวจราชการที่ 6 เข้าร่วมประชุม เพื่อขับเคลื่อนโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยตรวจสอบข้อมูลครอบครัวกลุ่มเปราะบางจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า : Thai People Map and Analytics Platform (TPMAP) Social MAP ผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม เงินอุดหนุนประเภทต่าง ๆ และเบี้ยยังชีพประเภทต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การวางแผนการขับเคลื่อนโครงการฯ ต่อไป
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในวันนี้ ตนตั้งใจมาติดตามความคืบหน้าของการดูแลกลุ่มเปราะบาง เพราะว่าประชากรส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว โดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง ซึ่งพบผู้ได้รับผลกระทบและกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยกระทรวง พม. จะเน้นเรื่องการบูรณาการของงานทั้ง 12 กระทรวง ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขอให้ทุกคนทำงานกันเป็นทีมประเทศไทย เพื่อจะได้ฟันฝ่าวิกฤติของจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ไปด้วยกันได้ ซึ่งมีปัญหาคล้ายๆ กัน และเมื่อเปิดประเทศ จะได้ดูแลกลุ่มเหล่านี้ให้มีอาชีพที่มีความยั่งยืนเพิ่มขึ้น
นายจุติ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับตัวเลขคนตกงานของจังหวัดภูเก็ตนั้นมีเพิ่มขึ้น และครอบครัวที่มีคนเข้าข่ายกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่ยากจน มีเพิ่มขึ้นด้วย ในส่วนของกระทรวง พม. จะดำเนินการในเรื่องการฝึกทักษะเพื่อเตรียมรับอาชีพใหม่ เมื่อเปิดประเทศ นอกจากนั้น กระทรวง พม. จะเยียวยาและดูแลกลุ่มคนเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กที่ต้องเรียนหนังสือที่เราต้องดูแลในเรื่องโภชนาการและครอบครัวของเด็ก เพื่อให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการสังคมของรัฐได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีการเปิดกิจกรรมการส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย โดยมีและมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเด็กปฐมวัย จำนวน 320 คน สำหรับกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ มีการให้ความช่วยเหลือผ่านสวัสดิการสังคมของรัฐ ด้วยการมอบเงินสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชน จำนวน 7 กองทุน มอบบ้านพอเพียงชนบท 4 ตำบล จำนวน 30 หลัง มอบงบประมาณโครงการบ้านมั่นคง ชุมชนท่าจีน จำนวน 191 ครัวเรือน และชุมชนกิ่งแก้ว จำนวน 433 ครัวเรือน และมอบรถเข็นคนพิการ จำนวน 20 คัน อีกทั้งมีการมอบมอบเกียรติบัตรแก่องค์กรที่ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ประจำปี 2564 จำนวน 9 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสนับสนุน (ร่าง) พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ให้ออกมาด้วยดีและสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในอนาคต | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีสนับสนุน (ร่าง) พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ให้ออกมาด้วยดีและสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในอนาคต
นายกรัฐมนตรีสนับสนุน (ร่าง) พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ให้ออกมาด้วยดีและสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในอนาคต
วันนี้ (23 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วน เร่งดำเนินการปลดล็อค Soft Loan เพื่อให้ภาคธุรกิจ SMEs ได้เข้าถึงมาตรการการเยียวยาของรัฐอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายกรัฐมนตรียังตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีการขนย้ายข้าว เป็นการซื้อ-ขายระหว่างพ่อค้าและประชาชนชาวเมียนมาร์ ตามพื้นที่สันเขาติดชายแดนประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ต้องการให้มีการข้ามแดนไปมา ยืนยันไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการทหาร สำหรับกรณีบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี นั้น ได้มอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รวมทั้งการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งมีกรรมการจากหลายกระทรวงร่วมพิจารณาให้ความดูแลช่วยเหลือ ต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการขยายระยะเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อบูรณาการการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหลายภาคส่วนการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายกรัฐมนตรียังมีความห่วงใยการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. …. ซึ่งอยู่ในวาระการพิจารณาในรัฐสภา หวังว่าจะช่วยกันพิจารณาอย่างดี เพราะมีความสำคัญ เนื่องจากต่อไปก็จะมีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปได้ด้วย นายกรัฐมนตรียังวางเป้าหมายให้ไทยขยับขึ้นสู่กลุ่ม Tier 1 ของรายงานการค้ามนุษย์ของ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (Tip Report) โดยเร็ว ยืนยันรัฐบาลเร่งดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปรดตรวจสอบรถตู้โดยสารที่มีอายุครบ 10 ปี | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
โปรดตรวจสอบรถตู้โดยสารที่มีอายุครบ 10 ปี
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ขอให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถตู้โดยสารโปรดตรวจสอบรถตู้โดยสาร ที่มีอายุครบ 10 ปี
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ขอให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถตู้โดยสารโปรดตรวจสอบรถตู้โดยสารที่มีอายุครบ 10 ปี ในเดือนมีนาคม 2564 (หมายเลขทะเบียน ตั้งแต่ 15 -2500 ลงมา) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอุบัติเหตุ และเป็นรถผิดกฎหมาย บริษัทประกันภัยไม่รับจัดทำประกันภัยให้กับรถตู้ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39504 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ล.ต. เปิดตัว “Digital Infrastructure” ร่วมกับภาครัฐและเอกชน พลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ก.ล.ต. เปิดตัว “Digital Infrastructure” ร่วมกับภาครัฐและเอกชน พลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล
ก.ล.ต. เปิดตัวระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนภายใต้โครงการ Sandbox เพื่อพลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล โดยปรับเปลี่ยนการทำธุรกรรมในตลาดทุนให้เป็นดิจิทัล 100% เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส
ก.ล.ต. เปิดตัวระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนภายใต้โครงการ Sandbox เพื่อพลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล โดยปรับเปลี่ยนการทำธุรกรรมในตลาดทุนให้เป็นดิจิทัล 100% เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส อำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น ลดต้นทุนให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ทัดเทียมสากล
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดงาน “พลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล : เปิดตัวระบบ Digital Infrastructure ภายใต้ Sandbox ก.ล.ต.” โดยได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การพัฒนาตลาดทุนดิจิทัล” ในงานเปิดตัวโครงการและแสดงเจตนารมณ์ในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการใช้งานระบบ Digital Infrastructure ร่วมกับผู้เข้าร่วมโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการพัฒนาระบบ Digital Infrastructure ของตลาดทุนไทยที่ ก.ล.ต. ริเริ่มขึ้นนั้นเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560 – 2564) เรื่อง การพัฒนาตลาดทุนดิจิทัล (Digital Transformation) สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยเชื่อมโยงผู้ร่วมตลาดทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นระบบนิเวศทางการเงินผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานกลาง โดยในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ (end-to-end process) นั้นจำเป็นต้องพัฒนา 3P คือ Process Product และ Payment ให้สอดรับกัน
“โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนี้ นอกจากจะช่วยให้ตลาดทุนไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล และเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต โครงการนี้ยังถือเป็น Milestone ของตลาดทุนไทย ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ถัดจากสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์ ที่สามารถพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital platform) ที่ให้บริการครบวงจรครอบคลุมตราสารทุกประเภท อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดทุนดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ จึงขอให้ผู้ร่วมพัฒนาโครงการนี้ และ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการสร้างสภาวะ Cyber Resilience ให้แก่ตลาดทุน รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy Protection)”
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังให้นโยบาย ก.ล.ต. ในการพัฒนาระบบการเข้าถึงระบบการเงินและตลาดทุน (Financial inclusion) ที่เท่าเทียมกันของประชาชนและธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ให้เป็นกรณีตัวอย่างของประเทศไทยเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (AFMM) ในเดือนเมษายน 2564 และการประชุมเอเปค (APEC) ปี 2565 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา หรือที่เรียก Digital Disruption นั้นเกิดขึ้นกับทุกอุตสาหกรรม ก.ล.ต. จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาระบบ Digital Infrastructure ของตลาดทุนไทยตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2562 โดยอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. เรื่อง Digital For Capital Market ที่มุ่งมั่นจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพตลาดทุน ยกระดับการกำกับดูแล และพลิกโฉมตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัล โดยระบบ Digital Infrastructure จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในตลาดทุนให้อยู่บนระบบที่มีมาตรฐานเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม และปรับเปลี่ยนกระบวนการในตลาดทุนให้เป็นดิจิทัล 100% ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ (end-to-end process) เพื่อช่วยลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจ สร้างความสะดวกและลดต้นทุนในการเข้าถึงตลาดทุนของผู้ระดมทุนและผู้ลงทุน ตลอดจนช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจและตลาดทุน รวมทั้งกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่ง ก.ล.ต. ขอขอบคุณกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ Digital Infrastructure ให้กับตลาดทุนไทย
ในการเปิดตัวโครงการครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ให้เกียรติบรรยาย เรื่อง “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกับการพลิกโฉมตลาดทุนไทย” โดยมีใจความโดยสรุปว่า “การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วที่ทำให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นทดแทน (technology disruption) มีส่วนสำคัญต่อชีวิตประจำวันของผู้คน รวมถึงพัฒนาการของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงเข้าหากัน ซึ่งการนำพัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับตลาดทุนจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนเข้าถึงตลาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และขอขอบคุณ ก.ล.ต. ที่เป็น disrupter ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดทุน”
สำหรับการพัฒนาระบบ Digital Infrastructure จะเริ่มที่ตราสารหนี้ภาคเอกชน และจะเชื่อมต่อระบบไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับตราสารหนี้ภาครัฐต่อไป ซึ่ง ก.ล.ต. จะควบคุมดูแลการพัฒนาและทดสอบระบบทั้งหมดก่อนเริ่มใช้งานจริงภายใต้โครงการ Sandbox ที่มีการจำกัดความเสี่ยงและยืดหยุ่นในเรื่องของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนเชื่อมั่นได้ว่าระบบดังกล่าวจะสามารถใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ และคาดว่าระบบจะพร้อมสำหรับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ภาคเอกชนรุ่นแรกได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2564
ในอนาคต ระบบ Digital Infrastructure จะมีการพัฒนาให้รองรับผลิตภัณฑ์ทุกประเภทในตลาดทุน เช่น การออกหลักทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัลโดยไม่มีกระดาษและลงนามด้วยลายมือชื่อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic signature) การลดระยะเวลาที่หลักทรัพย์จะพร้อมในการซื้อขายในตลาดรองจากเดิมที่ต้องใช้ 7 – 14 วัน ให้เหลือเพียง 1 – 2 วัน และการลดระยะเวลาส่งมอบและชำระราคาหลักทรัพย์จากเดิมอยู่ที่ T + 2 วัน ให้เป็นแบบ real-time (T + 0 วัน)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40313 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. พร้อมให้กู้ผ่านมือถือ 38,000 ล้านบาท ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กยศ. พร้อมให้กู้ผ่านมือถือ 38,000 ล้านบาท ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้
กยศ.เตรียมเงินงบประมาณ 38,000 ลบ. สำหรับให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 สร้างโอกาสการศึกษาให้ นร. นศ. กู้ยืมตั้งแต่ระดับมัธยมปลายถึงระดับ ป.โท สามารถยื่นขอกู้ยืมผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนด้วยแอป “กยศ. Connect” ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2564 เป็นต้นไป
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เตรียมเงินงบประมาณ 38,000 ล้านบาท สำหรับการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษากู้ยืมตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงระดับปริญญาโท โดยสามารถยื่นขอกู้ยืมผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนด้วยแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า “ในปีการศึกษา 2564 กองทุนได้เตรียมเงินงบประมาณให้กู้ยืมจำนวน 38,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาจำนวนกว่า 624,000 ราย สามารถกู้ยืมได้สูงสุดถึง 200,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรสาขาวิชาหรือประเภทวิชาที่เลือกเรียน และในปีนี้เป็นปีแรกที่กองทุนให้กู้ยืมเงินแก่นักศึกษาระดับปริญญาโท สำหรับเงื่อนไขการกู้ยืมแบ่งเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ ลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี เพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยให้กู้ในระดับปริญญาโท
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียดสาขาวิชาและเงื่อนไขการให้กู้ยืมทั้ง 4 ลักษณะได้ที่เว็บไซต์กองทุน www.studentloan.or.th โดยนักเรียน นักศึกษาสามารถยื่นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป และสอบถามรายละเอียดได้ที่สถานศึกษาที่ผู้กู้ประสงค์จะศึกษาต่อ กองทุน ขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.” หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40226 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ปรับ“โครงการเราเที่ยวด้วยกัน”เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ เน้นสแกนใบหน้า จ่ายผ่านเป๋าตังและถุงเงิน ขยายระยะเวลาถึง 31 ส.ค. นี้ พร้อมขยายระยะเวลาเบิกจ่าย “โครงการกำลังใจ” เพื่อความรัดกุม | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครม. ปรับ“โครงการเราเที่ยวด้วยกัน”เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ เน้นสแกนใบหน้า จ่ายผ่านเป๋าตังและถุงเงิน ขยายระยะเวลาถึง 31 ส.ค. นี้ พร้อมขยายระยะเวลาเบิกจ่าย “โครงการกำลังใจ” เพื่อความรัดกุม
ครม. ปรับปรุง “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ์ เน้นสแกนใบหน้า จ่ายผ่านเป๋าตังและถุงเงิน ขยายระยะเวลาโครงการถึง 31 สิงหาคมนี้ พร้อมขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย “โครงการกำลังใจ” เพื่อความรัดกุม
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติปรับปรุงรายละเอียด “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ดังนี้
“โครงการกำลังใจ” ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการกำลังใจ จากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อให้ททท. มีระยะเวลาในการรวบรวมหลักฐานจากผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว เพื่อให้การจ่ายเงินเป็นไปด้วยความรัดกุมและถูกต้อง สำหรับผลการดำเนินโครงการกำลังใจ ณ 8 มี.ค. 64 มี อสม. ที่เดินทางและจ่ายเงินแล้ว 680,794 คน และที่เดินทางและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยยังไม่เบิกจ่ายอีก 6,183 คน
“โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ยกเลิกการจัดกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางในรูปแบบ Consumer Fair จำนวน 3 ครั้ง วงเงิน 8.08 ล้านบาท ขยายสิทธิ์เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ (จาก 6 ล้านเป็น 8 ล้านสิทธิ) ตั้งแต่ พ.ค. 64 และขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็น 31ส.ค. 64 เพิ่มเติมมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต ดังนี้
- ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยนำส่งข้อมูลจำนวนห้องพักของโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และขอสิทธิในการเข้าถึงฐานข้อมูล ภาพใบหน้าของประชาชนเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิในโครงการฯ ด้วยการสแกนใบหน้าเมื่อทำการเช็คอินห้องพัก เพื่อให้ธนาคารฯ สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าวได้ เป็นการยกระดับการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิในโครงการฯ ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น
- ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ OTOP และผู้ประกอบการบริการที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ต้องตกลงให้ความยินยอมในการยอมรับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข (Consent) ของโครงการฯ ที่จะจัดทำขึ้นใหม่ เพิ่มเงื่อนไขความรับผิดชอบและบทลงโทษกรณีมีการกระทำผิดเงื่อนไขหรือการกระทำทุจริตด้วย
- ปรับระยะเวลาการจองห้องพักล่วงหน้าจาก 3 วัน เป็น 7 วัน -ปรับวิธีการชำระเงินค่าห้องพัก โดยให้ชำระผ่านแอป ฯ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” เพิ่มระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิโครงการฯ โดยผู้ใช้สิทธิต้องทำการสแกนใบหน้าเมื่อทำการเช็คอินห้องพัก -ปรับมูลค่าของ e-voucher ในลักษณะร่วมจ่ายในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อห้องต่อคืน (ราคาเดียวกันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด)
- ยกเลิกการใช้สิทธิในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน ให้ใช้ e-voucher ในพื้นที่จังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดในทะเบียนบ้าน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า ครม. ยังมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประสานธนาคารกรุงไทยฯ เร่งพัฒนา/ปรับปรุงระบบและแอปพลิเคชันต่างๆ ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงฐานข้อมูล ยกระดับการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิ์ในโครงการฯ ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง (GPS) มาใช้เพื่อระบุตำแหน่งในการยืนยันตัวตน ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการฯ มีความโปร่งใส รองรับการติดตาม ตรวจสอบ รวมทั้ง กำหนดเงื่อนไขให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิ์โครงการฯ พร้อมกันกับโครงการทัวร์เที่ยวไทยในการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดการกระจายสิทธิ์แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สำหรับการชำระค่าบริการของทั้ง 2 โครงการจะต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสจากการดำเนินโครงการของรัฐในทางมิชอบด้วย
....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40278 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเพื่อการบริหารงานสำนักงานสหกรณ์จังหวัด | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
รมช.มนัญญา เปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเพื่อการบริหารงานสำนักงานสหกรณ์จังหวัด
รมช.มนัญญา เปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเพื่อการบริหารงานสำนักงานสหกรณ์จังหวัด ขับเคลื่อนงานสหกรณ์ระดับพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตสมาชิกและเกษตรกรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเพื่อการบริหารงานสำนักงานสหกรณ์จังหวัด” พร้อมมอบนโยบาย “การส่งเสริมสหกรณ์ ภายใต้บริบทใหม่” ให้กับสหกรณ์จังหวัด และเจ้าที่หน้าของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ ว่าการจัดฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้พัฒนาองค์ความรู้ ทัศนคติ และเกิดความพร้อมสําหรับการบริหารงานส่งเสริมสหกรณ์ ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งจะสร้างความเข้าใจในทิศทางการขับเคลื่อนงานเพื่อผลักดันสหกรณ์ให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและสังคมของประเทศ และพร้อมบริหารงานด้านส่งเสริมสหกรณ์ ผลักดันให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีธรรมาภิบาล สามารถพึ่งพาตนเองได้
รมช.มนัญญา ได้กล่าวมอบนโยบายว่า ภารกิจสําคัญของสหกรณ์จังหวัด จะต้องมีความรอบรู้ มีความพร้อมสําหรับการปฏิบัติงานอยู่เสมอ และเข้าใจหลักการบริหารอย่างแท้จริง ทั้งบุคลากรในองค์กร บริหารงบประมาณที่ได้รับอย่างจํากัดให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด บริหารแผนงานโครงการให้บรรลุเป้าหมายตัวชี้วัด และบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีอยู่จํากัด ให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียม เพื่อส่งผลให้การส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนโนบายสำคัญที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโดยใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาช่วยดูแลความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกร ปัจจุบันมีหลายโครงการที่เร่งดำเนินการ เช่น โครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เป็นการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อสานต่ออาชีพการเกษตร เน้นการทำเกษตรแบบอินทรีย์ ทำการเกษตรแนวใหม่ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยผลิตและบริหารจัดการ พร้อมทั้งขยายตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น การส่งเสริมการปลูกพืชผักปลอดภัย โดยสนับสนุนให้สมาชิกสหกรณ์รวมกลุ่มปลูกพืชผักที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน GAP รวมถึงการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพต่อเกษตรกรและผู้บริโภค โครงการจัดตั้งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพของสมาชิกสหกรณ์ มีช่องทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการสร้างธรรมาภิบาลในสหกรณ์ การพัฒนาอาชีพภายใต้โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) การสร้างความเข้าใจแก่สหกรณ์ในเรื่องกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาด้านหนี้สินของสมาชิก การปรับปรุงการบริหารสินเชื่อของสหกรณ์ และนโยบายการตลาดนําการผลิต เป็นต้น
“กรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่ทำงานใกล้ชิดกับสถาบันเกษตรกร จึงต้องนำนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคการเกษตร เพื่อช่วยยกระดับการประกอบอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้นและได้รับประโยชน์สูงสุด ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกสหกรณ์พึ่งพาตนเองได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสหกรณ์จังหวัดทุกท่าน จะสามารถนําความรู้ที่ได้รับ ตลอดเวลาในสามวันนี้ ไปปรับเปลี่ยนวิธีการคิด วิธีการทํางาน ทัศนคติ และนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่วมกันพัฒนาสหกรณ์ไปสู่ความสําเร็จได้ในที่สุด” รมช.มนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักในการจัดฝึกอบรมฯ เป็นสหกรณ์จังหวัดจาก 36 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ปัตตานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ลําปาง นครสวรรค์ อุทัยธานี ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ เลย หนองบัวลําภู มหาสารคาม ยโสธร เชียงใหม่ ลําพูน เพชรบูรณ์ นครนายก อ่างทอง ระนอง ยะลา พังงา สตูล บึงกาฬ แม่ฮ่องสอน มุกดาหาร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตราด สิงห์บุรี และภูเก็ต กําหนดจัดระหว่างวันที่ 15 – 17 มีนาคม 2564 รวม 3 วัน ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส กรุงเทพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เลขา รมว.กษ.” ประชุมแก้ไขปัญหากลุ่มเครือข่ายเกษตรกรของพระราชา | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
“เลขา รมว.กษ.” ประชุมแก้ไขปัญหากลุ่มเครือข่ายเกษตรกรของพระราชา
“เลขา รมว.กษ.” ประชุมแก้ไขปัญหากลุ่มเครือข่ายเกษตรกรของพระราชา
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นประธานการประชุมหารือการแก้ไขปัญหาของกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรของพระราชา พร้อมด้วย นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุธัญญ์ ฤทธิขาบ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและรับเรื่องร้องเรียน (สกร.) นายมนัส วงษ์จันทร์ ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นายเจริญศักดิ์ เพชรจู ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายโกวิท เทพไพฑูรย์ พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นข้อเรียกร้องของกลุ่มฯ ซึ่งขอให้รัฐบาลนำนโยบายปรับโครงสร้างหนี้ของเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 และ 2 ตุลาคม 2561 เข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินให้เกษตรกร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอมติของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ตัวแทนเกษตรกรมีความพอใจ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40363 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เร่งรัดติดตามแก้ไขปัญหาจราจรบนทางพิเศษ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เร่งรัดติดตามแก้ไขปัญหาจราจรบนทางพิเศษ
เน้นย้ำการเพิ่มพื้นที่ผิวจราจรบนทางพิเศษ ปรับปรุงรูปแบบระบบการเก็บค่าผ่านทาง และขยายผิวจราจรบริเวณจุดคอขวด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาจราจรบนทางพิเศษ ผ่านระบบทางไกล VDO CONFERENCE เมื่อวันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 โดยมี การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วมซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาผลการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 4 เส้นทาง ดังนี้
1) ทางหลวงพิเศษหมายเลข M7 ช่วงศรีนครินทร์ - สุวรรณภูมิ
2) ถนนประเสริฐมนูกิจ - งามวงศ์วาน
3) ทางด่วนขั้นที่ 1 ต่างระดับอาจณรงค์
และ 4) ทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอก และทางยกระดับบางขุนเทียน - เอกชัย - บ้านแพ้ว
กทพ. ได้รายงานผลการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษในภาพรวมทั้งระบบ โดยมีความคืบหน้าของการศึกษาปัญหาจราจรที่เกิดขึ้นบนโครงข่ายทางพิเศษ สามารถแบ่งกลุ่มปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้
1) ปัญหาปริมาณจราจรเกินความจุบนทางพิเศษ
2) ปัญหาจำนวนช่องเก็บค่าผ่านทางไม่เพียงพอ
3) ปัญหาจุดตัดกระแสจราจรบริเวณทางแยกต่างระดับ เช่น บริเวณทางร่วม ทางแยก
และ 4) ปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณทางลงทางพิเศษที่ต่อเนื่องจากถนนพื้นราบ
ทั้งนี้ กทพ. ได้นำเสนอแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การเพิ่มพื้นที่ผิวจราจรของทางพิเศษ การปรับปรุงรูปแบบระบบเก็บค่าผ่านทาง การขยายผิวจราจรบริเวณจุดคอขวด ที่เกิดจากลักษณะ ทางกายภาพของทางพิเศษ การก่อสร้างทางลงเพิ่มเติม เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดจากการตัดกระแสจราจร และการบริหารจัดการจราจรบริเวณทางลงทางพิเศษร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยงานศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษในภาพรวมทั้งระบบ จะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2564
นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้
1. มอบหมายให้ กทพ. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนข. กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาการจราจรอย่างเป็นระบบ
2. พิจารณาการนำเทคโนโลยี รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการบริหารจัดการจราจรในภาพรวม
3. นำเสนอแผนและระยะเวลาในการดำเนินงานให้มีความครบถ้วนและครอบคลุม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอศ. จับมือ CPF พัฒนากำลังคนมีคุณภาพ อาชีวะฯ ด้านอาหารและเกษตรกรรม | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
สอศ. จับมือ CPF พัฒนากำลังคนมีคุณภาพ อาชีวะฯ ด้านอาหารและเกษตรกรรม
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาด้านอาหารและเกษตรกรรม ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 เวลา 11.30 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาด้านอาหารและเกษตรกรรม ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) โดยมี นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. และรักษาราชการแทน รมว.ศธ. กล่าวว่า ในนามกระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจะร่วมมือกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา รับนักศึกษาระบบทวิภาคี และการฝึกงานระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ สาขาอาหาร และโภชนาการสาขาธุรกิจค้าปลีก สาขาเกษตรกรรมิและสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษา ได้ฝึกประสบการณ์อาชีพกับผู้เชี่ยวชาญ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในสถานประกอบการชั้นนำต่าง ๆ ของประเทศ และมีรายได้เสริมในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้มีความพร้อมในการออกไปประกอบอาชีพ และได้ประสบการณ์ที่ไม่อาจหาได้จากตำราเรียนหรือห้องเรียน โดยความร่วมมือในครั้งนี้ มีระยะตั้งแต่ปี 2564 – 2567
“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทั้งสองหน่วยงาน จะได้ผลิตและพัฒนากำลังคนร่วมกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น และมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาการศึกษาทางสายวิชาชีพให้มีศักยภาพนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรของชาติ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป” คุณหญิงกัลยา กล่าว
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39739 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวเปิดงานนิทรรศการในหัวข้อพลังงานสะอาด ขับเคลื่อนอนาคต (Energy in Transition - Powering Tomorrow) | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวเปิดงานนิทรรศการในหัวข้อพลังงานสะอาด ขับเคลื่อนอนาคต (Energy in Transition - Powering Tomorrow)
ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 ณ ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ กรุงเทพฯ
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมสมัยใหม่ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในภาคการขนส่ง รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและการพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากภาคการขนส่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการขนส่งทางถนน ประเทศไทยจึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระบบขนส่งสาธารณะ และยังสอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่มีสาเหตุมากจากการจราจรติดขัดในเขตเมือง ปัจจุบันองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพอยู่ระหว่างทำแผนจัดหารถเมล์ไฟฟ้า จำนวน 2,511 คัน หลังจากแผนฟื้นฟูกิจการได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ร่วมรณรงค์การลดมลภาวะทางอากาศโดยการลดภาษีรถยนต์ประจำปีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้การใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแพร่หลายดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และอีกหนึ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการขนส่งในเมือง คือ การเปิดใช้งานสถานีกลางบางซื่อในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 โดยสถานีกลางบางซื่อมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 600,000 คนต่อวัน มากกว่าสถานีหัวลำโพงถึง 10 เท่า และยังเป็นจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบการขนส่งทางรางที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (สุวรรณภูมิ - ดอนเมือง - อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของรถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ระยะทางประมาณ 600 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง สำหรับในอนาคตสถานีกลางบางซื่อจะกลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่ และเป็นจุดเชื่อมต่อหลักของระบบการขนส่งมวลชนทางรางของกรุงเทพฯ และขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการรถไฟทางไกลซึ่งจะเปลี่ยนจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานไฮโดรเจน และการใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้า โครงการทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม คือ 1) การขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2) การขนส่งที่มี่ประสิทธิภาพ 3) การเข้าถึงระบบขนส่งอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม และ 4) การใช้นวัตกรรมและการจัดการ
สำหรับการจัดงานนิทรรศการพลังงานสะอาดขับเคลื่อนอนาคตครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการคมนาคมขนส่งของโลกและประเทศไทยจากปัจจุบันไปสู่อนาคตโดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่มาปรับใช้เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนลดลง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวและการคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแสดงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของประเทศไทยและเยอรมนีผ่านนิทรรศการและกิจกรรม เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ กรุงเทพฯ เป็นนิทรรศการสัญจรที่จัดขึ้นโดยสำนักงานต่างประเทศของรัฐบาลเยอรมนีร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ซึ่งสถานที่ต่อไปจะจัดที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น โดยจะนำเสนอการดำเนินงานด้านพลังงานและการคมนาคมสีเขียวของจังหวัด ระหว่างวันที่ 23 - 27 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39979 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยเปิดบริการแลกเงินดอลล่าร์รายวัน หนุน SME บริหารความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวน คุ้มค่า เรทดี ไม่ต้องมีเอกสารยุ่งยาก | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กรุงไทยเปิดบริการแลกเงินดอลล่าร์รายวัน หนุน SME บริหารความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวน คุ้มค่า เรทดี ไม่ต้องมีเอกสารยุ่งยาก
ธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการแลกเงินดอลล่าร์รายวันสำหรับผู้ซื้อขาย USD Futures (USD Futures on Blockchain) ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SME ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศทุกขนาด บริหารความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนอย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนต่ำ คุ้มค่า เรทดี
ธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการแลกเงินดอลล่าร์รายวันสำหรับผู้ซื้อขาย USD Futures (USD Futures on Blockchain) ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SME ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศทุกขนาด บริหารความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนอย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนต่ำ คุ้มค่า เรทดี ด้วยอัตราแลกเงินพิเศษ สร้างสภาพคล่องให้ธุรกิจ โดยวางหลักประกันเพียง 2-3% ของมูลค่าสัญญา ไม่ต้องยื่นเอกสารให้ยุ่งยาก
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากปัจจัยภายนอกต่างๆ คือ สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าระหว่างประเทศต้องรับมือ แม้จะมีเครื่องมือทางการเงินและป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่หลายประเภท แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กกว่า 70% ของประเทศ ยังไม่สามารถเข้าถึงได้
“ธนาคารตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงร่วมมือกับ บมจ.ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) หรือ TFEX พัฒนาบริการแลกเงินดอลล่าร์รายวันสำหรับผู้มีสถานะ USD Futures ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นครั้งแรกของประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนอย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนต่ำ ส่งเสริมให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วยการเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน สะดวกสบายใช้ได้กับธุรกิจทุกขนาดแม้ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคาร เพียงเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD) ธนาคารกรุงไทย และติดต่อผ่านโบรกเกอร์พันธมิตร ก็เริ่มต้นใช้บริการได้ทันที นอกจากนี้ ยังใช้งานง่าย ไม่ต้องแสดงหลักฐานให้ยุ่งยาก สามารถแลกเป็นเงินสดหรือโอนไปต่างประเทศได้ ผ่านเว็บไซต์ https://jedi.krungthai.com ได้ทุกที่ทุกเวลา คุ้มค่า เรทดี พร้อมอัตราแลกเงินพิเศษจากธนาคารกรุงไทย ทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่อง โดยวางหลักประกันเพียง 2-3% ของมูลค่าสัญญา สัญญาละ USD 1,000 มั่นใจในความปลอดภัยได้มาตรฐานโลก ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการเชื่อมต่อระบบของ TFEX และกรุงไทย”
นายธีรวุฒิ ชินวงศ์วิศาล ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ทำเล็บครบวงจร CHABA Nails and Spa กล่าวถึงบริการ USD Futures on Blockchain ว่า ปัจจุบัน SME มีปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยต้องมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคาร และใช้เอกสารค่อนข้างเยอะ แต่บริการ USD Futures เพียงแค่มีเงินก้อนจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ในการล็อควงเงินเท่านั้น เหมาะสำหรับ SME ที่ต้องการควบคุมต้นทุน อีกทั้งยังสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย
นายเขมชาติ วรรณประภา Financial Director บริษัท Metal Mate จำกัด ผู้ผลิตถังแก๊สส่งออก เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทต้องทำเปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนจากหลายธนาคาร ซึ่งเสียเวลาและยุ่งยาก และหากไม่บริหารความเสี่ยงด้านค่าเงินอย่างเหมาะสม ก็จะไม่สามารถประเมินการขาดทุนหรือกำไรในอนาคตได้ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สำหรับ SME โดยเฉพาะ
ผู้สนใจใช้บริการแลกเงินดอลล่าร์รายวันสำหรับผู้ซื้อขาย USD Futures (USD Futures on Blockchain)สอบถามรายละเอียดได้ที่ Krungthai Corporate FX Sales โทร. 0-2208-4646 Email: [email protected] และศึกษาข้อมูลการซื้อขาย USD Futures เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ บมจ.ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) www.TFEX.co.th หรือ โทร. 0-2009-9999
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สนับสนุนโครงการพระราชดำริในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ลาดยางถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 จังหวัดสระแก้ว | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท สนับสนุนโครงการพระราชดำริในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ลาดยางถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 จังหวัดสระแก้ว
กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 (ตอนที่ 2) อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เพื่อสนับสนุนโครงการพระราชดำริในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 (ตอนที่ 2) อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เพื่อสนับสนุนโครงการพระราชดำริในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงมีความห่วงใยต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ทรงได้เสด็จเยี่ยมราษฎรและมีพระราชดำริในการฟื้นฟูและพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น โดยจัดทำโครงการทับทิมสยาม 03 กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมา ทช. ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 (ตอนที่ 1) ช่วง กม. ที่ 1+875 ถึง กม. ที่ 6+200 ระยะทาง 4.325 กิโลเมตร (ก่อสร้างแล้วเสร็จ) ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชาให้ดีมากยิ่งขึ้น ทช. จึงดำเนินการก่อสร้างถนนสายภายในบ้านทับทิมสยาม 03 (ตอนที่ 2) โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ กม. ที่ 0+000 - กม. ที่ 1+875 และ กม. ที่ 6+200 - กม. ที่ 15+000 ระยะทางรวม 10.675 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ไป - กลับ พร้อมขยายสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเดิม ก่อสร้างระบบระบายน้ำชุมชน ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจรและสิ่งอำนวยความปลอดภัยในบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย ปัจจุบันการก่อสร้างมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 91 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ในเดือนเมษายน 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 119.495 ล้านบาท (งบผูกพันปี 2562 - 2565)
ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ นอกจากจะเป็นการพัฒนาถนนให้ได้มาตรฐานรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) สอดรับยุทธศาสตร์ประเทศด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนแล้ว ยังสอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการเพิ่มประสิทธิภาพและ ลดต้นทุนการขนส่งพืชผลทางการเกษตรให้เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดในช่วงเทศกาล เพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อีกทางหนึ่งด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40238 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่าง กม.แพ่งและพาณิชย์ ปรับลด 'ดอกเบี้ย' ผิดนัดชำระ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ร่าง กม.แพ่งและพาณิชย์ ปรับลด 'ดอกเบี้ย' ผิดนัดชำระ
14 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดอัตราดอกเบี้ย โดยมีสาระสำคัญ คือ ปรับลดการคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี นอกจากนี้ยังกำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากเงินเพราะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดเท่านั้น เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายดอกเบี้ยและป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ประวิงเวลาฟ้องคดี โดยในขั้นตอนต่อไปจะเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2564 นี้
รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39964 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทแจ้งปิดการจราจรบางช่องทางเพื่อเสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงชนบทแจ้งปิดการจราจรบางช่องทางเพื่อเสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง จะดำเนินโครงการเสริมผิวลาดยางโพลีเมอร์แอสฟัลต์คอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ตั้งแต่เวลา 22.00 ถึง 05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง จะดำเนินโครงการเสริมผิวลาดยางโพลีเมอร์แอสฟัลต์คอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ซึ่งจะมีเครื่องจักรกลหนักที่ต้องทำงาน ทช. จึงมีความจำเป็นต้องปิดการจราจร (บางช่องทาง) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางระหว่างดำเนินงานก่อสร้าง ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ตั้งแต่เวลา 22.00 ถึง 05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้สัญจรผ่านสะพานฯ หลีกเลี่ยงเส้นทางในวันและเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายจรูญ แก้วนาง นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักบำรุงทาง ทช. หมายเลขโทรศัพท์ 0 2551 5250
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39663 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารก.อุตฯ เยี่ยมชมโรงงานสาธิตการแยกชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project) | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ผู้บริหารก.อุตฯ เยี่ยมชมโรงงานสาธิตการแยกชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project)
ผู้บริหารก.อุตฯ เยี่ยมชมโรงงานสาธิตการแยกชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project)
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมโรงงานสาธิตการแยกชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project) โดยมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ บริษัท กรีน เมทัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 3 จังหวัดชลบุรี
ในการเยี่ยมชมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศในการบริหารจัดการซากรถยนต์อย่างเป็นรูปธรรม และได้รับความร่วมมือจากบริษัท Toyota Tsusho Corporation ประเทศญี่ปุ่น ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกัน ซึ่งเป็นการจัดการซากรถยนต์อย่างถูกวิธีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการดำเนินงานเริ่มตั้งแต่การรวบรวมรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน การรื้อชิ้นส่วนยานพาหนะ ตลอดจนการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนซากอย่างมีประสิทธิภาพก็จะผลักดันให้เกิดการรีไซเคิลและหมุนเวียนทรัพยากรให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม อาทิ เหล็ก ยาง พลาสติก และโลหะมีค่าที่สกัดได้จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40245 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเดินหน้าทดสอบความแข็งแรงโครงสร้างต้นแบบตัวถังรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร สำหรับเป็นต้นแบบให้ผู้ผลิตในประเทศ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางบกเดินหน้าทดสอบความแข็งแรงโครงสร้างต้นแบบตัวถังรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร สำหรับเป็นต้นแบบให้ผู้ผลิตในประเทศ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล
นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม และคณะอนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยฯ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ร่วมสังเกตการณ์การทดสอบความแข็งแรงโครงสร้างตัวถังรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ภายใต้โครงการศึกษาออกแบบโครงสร้างตัวถังรถโดยสารให้มีความแข็งแรงเป็นไปตามหลักมาตรฐานความปลอดภัย ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
นายยงยุทธ นาคแดง เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการปรับปรุง พัฒนา ยกระดับมาตรฐานด้านวิศวกรรมยานยนต์ของประเทศ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงมีแนวทางปรับปรุงความแข็งแรงโครงสร้างหลักของตัวรถโดยสารเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก ภายใต้โครงการศึกษาออกแบบโครงสร้างตัวถังรถโดยสารให้มีความแข็งแรงเป็นไปตามหลักมาตรฐานความปลอดภัย โดยได้ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) เป็นผู้ศึกษาวิจัยและพัฒนาออกแบบโครงสร้างตัวถังรถโดยสารมาตรฐานต้นแบบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการผลิตโครงสร้างตัวถังรถโดยสารให้มีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย สามารถลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ขับรถและผู้โดยสารจากการเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมและตามมาตรฐานสากลของข้อกำหนดสหประชาชาติ (United Nation Regulation) UN R66 (UNIFORM TECHNICAL PRESCRIPTIONS CONCERNING THE APPROVAL OF LARGE PASSENGER VEHICLES WITH REGARD TO THE STRENGTH OF THEIR SUPERSTRUCTURE)
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การทดสอบในครั้งนี้เป็นการทดสอบความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังรถโดยสารที่ผู้ศึกษาวิจัยและพัฒนาได้ออกแบบและพัฒนาความแข็งแรง โดยใช้การจำลองด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยในการวิเคราะห์และออกแบบ ภายใต้ปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆ ได้แก่ ศักยภาพในการผลิตโครงสร้างตัวถังของผู้ผลิตในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ การออกแบบให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมเชิงวิศวกรรม และด้านต้นทุน เป็นต้น พร้อมทั้งได้จำลองน้ำหนักของรถ และผู้โดยสารเสมือนจริงมาทำการพลิกคว่ำว่ามีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอในการใช้งานหรือไม่ โดยโครงสร้างตัวถังที่ยุบตัวหลังจากการกระแทกพื้นต้องไม่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยที่จำลองไว้เป็นพื้นที่ของผู้โดยสาร จึงจะถือว่าโครงสร้างตัวถังรถมีความแข็งแรงที่เพียงพอและเหมาะสมที่จะใช้ สำหรับต้นแบบโครงสร้างตัวถังรถโดยสารที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ ทางผู้พัฒนาจใช้เป็นแนวทางในการกำหนดรายรายละเอียดสำหรับเป็นต้นแบบผลิตโครงสร้างตัวถังรถโดยสารเพื่อให้ผู้ผลิตจะใช้เป็นแนวทางในการกำหนดรายละเอียดสำหรับเป็นต้นแบบผลิตโครงสร้างตัวถังรถโดยสารเพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศนำไปผลิตให้มีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยต่อไป โดยมีเป้าหมายกับกลุ่มรถ ที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่มีความสูงตั้งแต่ 3.60 เมตรขึ้นไป ที่จดทะเบียนใหม่ รถที่มีการเปลี่ยนตัวถัง และรถที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วแต่ได้แจ้งเลิกใช้รถตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 แล้วนำมาจดทะเบียนใหม่ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวถัง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ตามแนวทางการยกระดับมาตรฐานวิศวกรรมยานยนต์ของประเทศไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล Video Conference ไปยังส่วนราชการต่าง ๆ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล Video Conference ไปยังส่วนราชการต่าง ๆ
ปลัดวธ.เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล Video Conference ไปยังส่วนราชการต่าง ๆ
วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล Video Conference ไปยังส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานต่างๆเข้าร่วม ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๕-๐๑ ชั้น ๕ อาคารกระทรวงยุติธรรม
ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
โดยมีนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ
และผู้แทนจากสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ๑๘ จังหวัด เข้าร่วมการประชุมฯ
โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบสถิติการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔
จนถึงเดือนมกราคม ๒๕๖๔ มีผลการเบิกจ่ายเงินรวม ๑๑๒,๘๐๑,๓๕๖.๕๘ บาท
และการวิเคราะห์กรณีเข้าใหม่และค้างเก่าน้อยลง
รายงานผลการติดตามให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายคดีความผิดเกี่ยวกับเพศตามข้อสั่งการของคณะกรรมการ
และสถิติการยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการต่อศาลอุทรณ์และรายงานผลคำพิพากษาอุทธรณ์
ประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๔ นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณา จำนวน ๔๘ เรื่อง มียอดอนุมัติจ่ายเงิน จำนวน ๔๔๖,๑๐๐ บาท
ประกอบด้วย ๑. กรณีเรื่องสืบเนื่อง ๑ เรื่อง ๒. กรณีผู้เสียหายอุทธรณ์คำวินิจฉัยคณะอนุกรรมการ ๒๖ เรื่อง
๓. กรณีจำเลย ๒๑ เรื่อง และพิจารณาขอความเห็นชอบในหลักการจัดทำประกาศคณะกรรมการฯ
เพื่อเพิ่มช่องทางการยื่นคำขออิเล็กทรอนิกส์และไปรษณีย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39518 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 3/2564 | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 3/2564
รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 3/2564
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ครั้งที่3/2564โดยมีผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงการคลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติและคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯณห้องประชุมกพน. 2อาคาร3กรมส่งเสริมสหกรณ์เทเวศร์กรุงเทพมหานครซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์พ.ศ. 2563จำนวน5เรื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ล.ต. ไทยร่วมประชุม ASIFMA: 7th EU-Asia Financial Services Dialogue วันที่ 12 มีนาคม 2564 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
ก.ล.ต. ไทยร่วมประชุม ASIFMA: 7th EU-Asia Financial Services Dialogue วันที่ 12 มีนาคม 2564
ก.ล.ต. ร่วมประสานงานกับ Asia Securities Industry & Financial Markets Association (ASIFMA) และ Afore Consulting ในการจัดประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบการประชุมออนไลน์ (virtual meeting) เป็นครั้งแรก
ก.ล.ต. ร่วมประสานงานกับ Asia Securities Industry & Financial Markets Association (ASIFMA) และ Afore Consulting ในการจัดประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบการประชุมออนไลน์ (virtual meeting) เป็นครั้งแรก เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ท้าทาย รวมถึงพัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 นี้
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “สำนักงานได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดประชุม IOSCO Asia-Pacific Regional Committee (APRC) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 และได้ประสานกับ ASIFMA และ Afore Consulting ในการจัดประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ต่อเนื่องในวันที่ 12 มีนาคม 2564 ซึ่งได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดการประชุม ดังกล่าว
การจัดประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่มีผู้แทนจากหลายหน่วยงาน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานกำหนดนโยบาย และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IOSCO, European Commission (EC), European Securities and Markets Authority (ESMA) รวมทั้ง ภาคเอกชนและผู้ประกอบธุรกิจจากทั้งภูมิภาคยุโรปและเอเชีย ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นความท้าทายต่อการพัฒนาตลาดทุน รวมถึงพัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละภูมิภาค ในหัวข้อ Regulatory Alignment & Deference (การลดความไม่สอดคล้องกันของแนวทางการกำกับดูแลและการออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ) และ Use of technology in financial services (การใช้เทคโนโลยีในการให้บริการทางการเงิน) รวมไปถึงการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาตลาดทุนไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืนและทัดเทียมสากล”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39834 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยันวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าฉีดได้ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยันวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าฉีดได้ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยันวัคซีนบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าที่ประเทศไทยสั่งซื้อเข้ามา สามารถฉีดให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ร่วมมือเข้ารับการฉีดวัคซีนตามแผนการบริหารวัคซีนของประเทศ
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยันวัคซีนบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าที่ประเทศไทยสั่งซื้อเข้ามา สามารถฉีดให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ร่วมมือเข้ารับการฉีดวัคซีนตามแผนการบริหารวัคซีนของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยผ่านสถานการณ์โรคโควิด 19 ภายในเวลาอันรวดเร็ว
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวประเด็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้นำเข้าวัคซีนจาก 2 บริษัท โดยระยะเร่งด่วนได้นำเข้าวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค เพื่อให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ระบาดและจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ จำนวน 2 ล้านโดส ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2564 ใช้เป็นมาตรการเสริมควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมโรค ซึ่งมีข้อบ่งชี้ในการใช้ฉีดในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 18 ถึง 60 ปี
ส่วนวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทยได้สั่งจอง สั่งซื้อจำนวน 61 ล้านโดส สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งประเทศ มีข้อบ่งชี้การใช้ฉีดในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น โดยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้รับมาล็อตแรก 117,300 โดส ได้นำมาฉีดให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อน แต่เมื่อมีวัคซีนจำนวนมากทยอยส่งมอบจำนวน 61 ล้านโดส จากการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะใช้ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอายุตามแผนการดำเนินงานของกรมควบคุมโรค
ทั้งนี้การกำหนดกลุ่มอายุที่สามารถรับวัคซีนได้ เป็นไปตามผลการวิจัยในระยะที่ 3 ของแต่ละบริษัท หากทดลองในกลุ่มอายุใดเมื่อมาขึ้นทะเบียนใช้วัคซีนก็จะอนุญาตให้ใช้ในกลุ่มอายุนั้น ๆ ไปก่อน เช่น วัคซีนซิโนแวค ทดลองในกลุ่มประชากร 18-60 ปี เมื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรมการอาหารและยา จะได้รับอนุญาตให้ใช้ตามผลการทดลองในผู้ที่มีอายุ 18 – 60 ปี แต่หากมีข้อมูลเพิ่มเติมในผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือกลุ่มอายุน้อยกว่า 18 ปี แล้วให้ผลไม่ต่างจากผู้มีอายุ 18 – 60 ปี ก็จะสามารถขยายกลุ่มอายุในการฉีดวัคซีนได้มากขึ้น ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า การทดลองวิจัยในกลุ่มประชากร 18 ปีขึ้นไป ไม่ได้จำกัดเพดานกลุ่มอายุ และมีผู้ที่เป็นผู้สูงอายุจำนวนพอสมควรในการทดลอง จึงได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ทุกกลุ่มอายุตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้น
“ในประเทศแถบยุโรปได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มต้น ๆ ส่วนในสหราชอาณาจักรฉีดไปแล้วมากกว่า 16 ล้านโดส มีข้อมูลด้านความปลอดภัย และยืนยันว่ามีผลในการชะลอการเกิดโรค ชะลอการป่วยรุนแรง เมื่อฉีดจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ พบว่าแนวโน้มของการระบาดของโรคดีขึ้น จำนวนการป่วยลดลง อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุข ยังคงติดตามทั้งเรื่องความปลอดภัยของการใช้วัคซีน ขอความร่วมมือประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นเดียวกับการสวมหน้ากากที่ทุกคนร่วมมือกัน ไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ จะช่วยให้เราผ่านสถานการณ์โรคโควิด 19 ภายในเวลาอันรวดเร็ว” นายแพทย์นครกล่าว
************************************* 17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40075 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 Organisations Join Hands to Boost Thailand’s Economy with Thailand International Health Expo 2021 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
4 Organisations Join Hands to Boost Thailand’s Economy with Thailand International Health Expo 2021
The Ministry of Public Health, together with Tourism Authority of Thailand (TAT), Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization) (TCEB) and Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth),
The Ministry of Public Health, together with Tourism Authority of Thailand (TAT), Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization) (TCEB) and Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth), would hold the event “Thailand International Health Expo2021” in both online and on-ground platforms during 16 – 19 July 2021 at Royal Paragon Hall, Siam Paragon to boost the country’s health economy, present the best health system of Thailand and regain the confidence in COVID-19 situation administration of Thai government.
Today (10March2021)Mr.Anutin Charnvirakul, Deputy Prime Minister of Thailand and Minister of Public Health, together with Dr. Tares Krassanairawiwong, Director-General of Department of Health Service Support, Mr. Yuthasak Supasorn, Governor of the Tourism Authority of Thailand (TAT), Mr. Chiruit Isarangkun Na Ayuthaya, President of Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization) (TCEB) and Dr. Supreda Adulyanon, Chief Executive Officer of Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth), released a press statement on the event “Thailand International Health Expo2021” at the Department of Health Service Support, Ministry of Public Health.
Mr.Anutin Charnvirakul, Deputy Prime Minister of Thailand and Minister of Public Health, stated that currently the situation of COVID-19 pandemic in Thailand has become better due to the cooperation among Thai people and the effective health system that was admitted internationally, as well as the distribution of COVID-19 vaccine. As a result, the government has eased some disease prevention measures to recover all sectors and regain the balance between healthcare and the country’s economy. The Ministry of Public Health, together with 3 allied organisations including Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization) (TCEB), Tourism Authority of Thailand (TAT) and Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth), will hold the event “Thailand International Health Expo2021” in both online and on-ground platforms under the concept of “build health and promote economy for better quality of life” during 16 – 19 July 2021 at Royal Paragon Hall, Siam Paragon. The purposes are to present the best health system of Thailand, boost the confidence in COVID-19 situation administration of Thai government, prepare the system supporting tourists and businesspeople from abroad, as well as stimulate income distribution with activities in the event which will be another way to recover Thailand’s economy. In the estimation, there will be approximately50,000 – 100,000Thai and foreign participants at the mentioned event.
Dr. Tares Krassanairawiwong, Director-General of Department of Health Service Support said that the event “Thailand International Health Expo2021” will hold for general people, health personnel and international public health practitioners. The event will link health systems with health industries from around the world and be divided into 5 zones includingthe exhibition zoneof leading agencies that will be separated into 14 pavilions consisting of various topics, for example, the royal grace for Thailand’s health system, Hero of COVID-19 for admiring people who have brought considerable benefits to Thailand’s public health system, COVID-19 situation administration, COVID-19 vaccine, hemp and marijuana, the potential of Thailand’s surgeons and health system, Thai herbs etc.,the stage zonethat highlights medical activities and services, one-stop services such as applying for the license of health business operation, giving health advice from public and private agencies, providing services of advanced, traditional Thai and traditional Chinese medicine, medical check-up and massage etc.,the business matching zonethat is related to trade, investment and health services andthe seminar and meeting zonethat includes special lectures from public health professionals across the world.
Mr. Chiruit Isarangkun Na Ayuthaya, President of Thailand Convention and Exhibition Bureau (Public Organization) (TCEB) stated that one of TCEB’s policies is generating the cooperation between public and private allied agencies to promote MICE industries and to boost the growth of it at both national and international levels. The event “Thailand International Health Expo2021”is the essential cooperation between TCEB and the allied organisations as one of the mainhosts who arrange and manage the event. The purposes of the event are to provide the stage of anannual event related to public health and healthcare to people, to enhance knowledge and increase understanding about healthcare, to develop people’s participation and Thailand’s public health system, to generate revenue and boost the country’s economy, to raise the standards of MICE industries of Thailand, to form the foundation of cooperation and integration between public and private sectors to strengthen medical and public health industries, and to internationally present the potential and readiness of Thailand in the aspect of being the Medical and Wellness Hub at regional level.
************************************** 10 March 2021
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39830 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์เราชนะในช่วงวันหยุดมาฆบูชา | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
การใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์เราชนะในช่วงวันหยุดมาฆบูชา
ความคืบหน้าการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์โครงการเราชนะ ในช่วงวันหยุดมาฆบูชา ระหว่างวันที่ 26 – 28 ก.พ.2564 ที่ผ่านมา มีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์รวมกันมากกว่า 21,600 ล้านบาท ในช่วงวันหยุดติดต่อกันที่ผ่านมา
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์โครงการเราชนะ (โครงการฯ) ในช่วงวันหยุดมาฆบูชา ระหว่างวันที่ 26 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง (ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฯ) และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com (ประชาชนทั่วไปฯ) ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์รวมกันมากกว่า 21,600 ล้านบาท ในช่วงวันหยุดติดต่อกันที่ผ่านมา
สำหรับกลุ่มประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่จุดรับลงทะเบียนกว่า 3,500 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สาขาหรือจุดบริการของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตภาคและสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ รวมถึงหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของกระทรวงมหาดไทย โดยประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนไปแล้วระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 จะทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติในวันที่ 4 มีนาคม 2564 และจะได้รับวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 5 มีนาคม 2564 จำนวน 4,000 บาท
โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า ที่ผ่านมามีประชาชนหรือร้านค้าและผู้ให้บริการที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกเปลี่ยนวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือร้านค้า ผู้ให้บริการ และประชาชนในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ โดยกระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้าและผู้ให้บริการ ตลอดจนระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าแล้วผู้ให้บริการทันที และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการสามารถแจ้งเบาะแสรวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการเราชนะทางไปรษณีย์มาได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail Account) [email protected]
สำหรับความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2564 มีดังนี้ ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบันแล้ว จำนวน 1.8 ล้านคน สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 32,400.4 ล้านบาท สำหรับประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฯ และกลุ่มประชาชนทั่วไปฯ ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีจำนวนมากกว่า 16.2 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 34,496.9 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิ์โครงการฯ ทั้งสิ้นจำนวน 29.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 66,897.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” (ร้านธงฟ้าฯ) ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนมากกว่า 1.1 ล้านกิจการ โดยส่วนใหญ่เป็นวงเงินสิทธิ์ผ่านร้านธงฟ้าฯ ร้านค้าทั่วไปและอื่น ๆ และร้านอาหารและเครื่องดื่ม ตามลำดับ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 ในพื้นที่ จ.ศรีษะเกษ จ.ชัยภูมิ ผ่านการประชุมทางไกล | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 ในพื้นที่ จ.ศรีษะเกษ จ.ชัยภูมิ ผ่านการประชุมทางไกล
ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้าภารกิจสำคัญ ปีงบประมาณ 2564 ในพื้นที่ จ.ศรีษะเกษ จ.ชัยภูมิ ผ่านการประชุมทางไกล
เมื่อวันที่17มีนาคม2564นางคนึงนิจคชศิลาหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564 โดยมีนางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเขตตรวจราชการที่14 (จังหวัดศรีสะเกษ)และเขตตรวจราชการที่13 (จังหวัดชัยภูมิ) ผ่านการประชุมวีดิทัศน์ทางไกลณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการนี้เขตบริการพื้นที่ได้รายงานผลการความคืบหน้าการดำเนินงานอาทิโครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชนโครงการสร้างและพัฒนาวิสาหกิจในระยะเริ่มต้นกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัล(Digital Startup)โครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ICTชุมชนสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชนโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐกิจกรรมพัฒนาระบบคลาวน์กลางภาครัฐ(Government Data Center and Cloud Service : GDCC)โครงการเรียนโค้ดดิ้งพัฒนาSTEMโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐกิจกรรมให้บริการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์ให้กับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบริการออนไลน์ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการให้บริการโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจวัดข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระดับอำเภอให้เป็นระบบอัตโนมัติพร้อมกันนี้กระทรวงฯเน้นเรื่องการบริหารสภานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ได้แก่การขับเคลื่อนการใช้แพลตฟอร์ม/แอปพลิเคชั่น“ไทยชนะ”และแอปพลิเคชั่น“หมอชนะ”
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ย้ำ ต่างด้าวตามมติ ครม. 29 ธ.ค.63 ทำงานได้ทุกงานยกเว้น 40 งานห้าม | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
กระทรวงแรงงาน ย้ำ ต่างด้าวตามมติ ครม. 29 ธ.ค.63 ทำงานได้ทุกงานยกเว้น 40 งานห้าม
รมว.แรงงาน แจงซ้ำ แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติในประกาศกระทรวงแรงงาน ตามมติครม.วันที่ 29 ธ.ค.63 เมื่อดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานและขออยู่ในราชอาณาจักรตามขั้นตอนในประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงานแล้ว
สามารถทำงานที่ไม่ใช่งานห้ามคนต่างด้าวทำได้เช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว
สัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนด้านการผลิต การเกษตร และการบริการในหลายภาคส่วน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงาน พร้อมจำกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของศบค. โดยไม่ทิ้งหลักสิทธิมนุษยชน กระทรวงแรงงานจึงมีบทบาทสำคัญ ในการตรวจสอบ ควบคุม และบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้ถูกต้อง
“ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 กำหนดไว้ชัดเจนว่าให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานตามประกาศฉบับนี้มีสิทธิทำงาน
กับนายจ้างได้ทุกประเภทงานที่ไม่ได้เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ เช่นเดียวกับคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงาน
ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลง หรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) และในกรณีที่ทำงานกรรมกรหรือ
งานขายของหน้าร้านก็ให้เป็นไปตามประกาศกรมการจัดหางาน เรื่อง เงื่อนไขการรับคนต่างด้าวเข้าทำงานกรรมกรและงานขายของหน้าร้านกับนายจ้าง และหากคนต่างด้าวออกจากงาน
จะต้องทำงานกับนายจ้างใหม่ภายใน 30 วันนับแต่วันที่เลิกทำงานกับนายจ้างเดิม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีจำนวนรวม 40 งาน เป็นงานห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด 27 งาน และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้โดยมีเงื่อนไข 13 งาน โดยแบ่งงานออกเป็น 4 บัญชี บัญชีที่ 1 งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาด จำนวน 27 งาน ได้แก่ 1.งานแกะสลักไม้ 2.งานขับขี่ยานยนต์ ยกเว้นงานขับรถยก (Forklift) 3.งานขายทอดตลาด 4.งานเจียระไนเพชร/พลอย 5.งานตัดผม/เสริมสวย 6.งานทอผ้าด้วยมือ 7.งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ฟาง ไม้ไผ่ ขนไก่ เส้นใย ฯลฯ 8.งานทำกระดาษสาด้วยมือ 9.งานทำเครื่องเขิน 10.งานทำเครื่องดนตรีไทย 11.งานทำเครื่องถม 12.งานทำเครื่องทอง/เงิน/นาก 13.งานทำเครื่องลงหิน 14.งานทำตุ๊กตาไทย 15.งานทำบาตร 16.งานทำผ้าไหมด้วยมือ 17.งานทำพระพุทธรูป 18.ทำร่มกระดาษ/ผ้า 19.งานนายหน้า/ตัวแทน 20.งานนวดไทย 21.งานมวนบุหรี่ 22.งานมัคคุเทศก์ 23.งานเร่ขายสินค้า 24.งานเรียงอักษร 25.งานสาวบิดเกลียวไหม 26.งานเลขานุการ และ27.งานบริการทางกฎหมาย
บัญชีที่ 2 งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย จำนวน 3 งาน ซึ่งต้องเป็นคนต่างด้าวของประเทศที่มีข้อตกลงกับประเทศไทยเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้ 3 อาชีพ ได้แก่ วิชาชีพบัญชี วิชาชีพวิศวกรรม วิชาชีพสถาปัตยกรรม
บัญชี 3 งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานฝีมือหรือกึ่งฝีมือนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้าง จำนวน 8 งาน ได้แก่ 1.งานกสิกรรม 2.งานช่างก่ออิฐ/ช่างไม้/ช่างก่อสร้างอาคาร 3.งานทำที่นอน 4.งานทำมีด 5.งานทำรองเท้า 6.งานทำหมวก 7.งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย 8.งานปั้นเครื่องดินเผา
บัญชีที่ 4 งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้างและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) จำนวน 2 งาน ได้แก่ งานกรรมกร และงานขายของหน้าร้าน
“ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน
หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39949 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมร่วมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำ ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
มท.1 ประชุมร่วมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำ ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
มท.1 ประชุมร่วมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำ ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 64 เวลา 13.30 น. ที่อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 15 นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ผู้บริหารส่วนกลาง และผู้ตรวจราชการกรม ร่วมประชุม โดยมี นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมประชุม
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้กำหนดประเด็นหารือในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 2/2564 ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในภาพรวม ความก้าวหน้าการดำเนินงานสืบเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา (พืชสวนโลกเชียงใหม่ เชียงใหม่ 12 เดือนเมืองเทศกาล การจ้างงาน สร้างอาชีพด้วยกลไกประชารัฐ การจัดการปัญหา PM 2.5) และโครงการคลองแม่ข่า
ผู้ช่วยศาตราจารย์ ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในภาพรวม จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินมาตรการคุมเข้ม ควบคุม ผ่อนปรน ส่งผลให้ไม่พบผู้ติดเชื้อในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงมาตรการการคุมเข้มระลอกใหม่ เป็นระยะเวลา 58 วัน และมีความก้าวหน้าการดำเนินงานสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 63 ได้แก่ 1) โครงการพืชสวนโลกเชียงใหม่ Chiang Mai Flora Expo 2021 2) เชียงใหม่ 12 เดือน เมืองเทศกาล Chiang Mai Festival Economy 3) การลงทุนภาครัฐเพื่อจ้างงานและช่วยเหลือผู้ประกอบการ ได้แก่ โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย (อว.ส่วนหน้า ร่วมขับเคลื่อนเชียงใหม่) โครงการ Tambon Smart Team โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน และโครงการช่วยเหลือของรัฐบาล (เราชนะและคนละครึ่ง) 4) การจัดการปัญหา PM 2.5 มีจุด Hotspot ลดลงร้อยละ 34.46 โดยกำหนด 3 มาตรการจัดการปัญหา ได้แก่ มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ มาตรการและการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ซึ่งได้กำหนด Certified Safe Zone 26 แห่ง และ 5) โครงการคลองแม่ข่า โดยภาครัฐร่วมกับประชาชน ดำเนินการเก็บวัชพืช และพัฒนาริมคลองแม่ข่า โดยกำจัดวัชพืชในลำเหมืองและริมฝั่ง เพื่อให้น้ำไหลได้สะดวก และเป็นการป้องกันปัญหาน้ำท่วม ทั้งนี้ จังหวัดได้บูรณาการทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนาและแก้ไขคลองแม่ข่าจังหวัดเชียงใหม่ รวม 6 แผนงาน และได้จัดดำเนินการประกวดคลอง สร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งคลองให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคลองแม่ข่าตลอดสายอย่างต่อเนื่องและเกิดความยั่งยืน
จากนั้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้นำเสนอประเด็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า การประชุมร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในวันนี้ มีวัตถุประสงค์คือการติดตามแผนงานของส่วนราชการในจังหวัดทั้งหมด ทั้งงานตามอำนาจหน้าที่ (Function) งานนโยบาย (Agenda) และงานในพื้นที่ (Area) รวมถึงการพัฒนาอื่น ๆ ในพื้นที่ ว่ามีอุปสรรคใดในการขับเคลื่อนงาน เพื่อสะท้อนและประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ทั้งนี้ ขอชื่นชมจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้บูรณาการทุกภาคส่วนขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในภาพรวม รวมทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้นำองค์ความรู้มาสร้างนวัตกรรม ทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะมหกรรมพืชสวนโลกเชียงใหม่ และเชียงใหม่ 12 เดือน เมืองเทศกาล โดยสิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการสร้างความรับรู้ให้กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปด้วย สำหรับในเรื่องการจัดการปัญหา PM 2.5 ขอให้ขับเคลื่อนมาตรการที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องและนำแนวทางการลดเชื้อเพลิงเพื่อไปสร้างมูลค่าเพิ่มมาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ ในการแก้ปัญหาคลองแม่ข่า ต้องสร้างความร่วมมือของทุกคนในการบำบัดน้ำเสียตั้งแต่ครัวเรือนแหล่งกำเนิด (ต้นทาง) เพื่อให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสร้างโอกาสให้จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม อย่างยั่งยืน
https://youtu.be/UYfRyGW0CoE
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรม กฝผ. สู้ภัย โควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
นวัตกรรม กฝผ. สู้ภัย โควิด-19
9 มิถุนายน 2563
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผู้บริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) จัดแสดง “นวัตกรรม กฟผ. สู้ภัย โควิด-19” พร้อมมอบ 6 นวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แก่ ฉากกั้นอะคริลิคป้องกันเชื้อ ตู้เก็บสิ่งส่งตรวจระบบความดันลบ ตู้เก็บสิ่งส่งตรวจระบบความดันบวก เตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระบบความดันลบ (Isolate chamber) หน้ากากความดันบวกชนิดพกพา (Mobile PAPR Protective Mask) และเสากดแอลกอฮอล์เจลแบบเท้าเหยียบ เพื่อส่งมอบแก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมนวัตกรรมไทย ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และยังเป็นประโยชน์ด้านวิจัยและการพัฒนาของไทยในระยะยาวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามจ้างที่ปรึกษา | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามจ้างที่ปรึกษา
เพื่อศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน โดยมี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน และนายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมพิธีดังกล่าว ในวันที่1 มีนาคม 2564 ณ ห้องราชดำเนิน กระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วประเทศอย่างบูรณาการ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน โดยในปี 2564 กระทรวงฯ ได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคมในเชิงรุกมุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างรูปแบบการขนส่ง และการกำกับดูแลการพัฒนาระบบคมนาคมให้มีความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และราคาสมเหตุสมผล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดียต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางอ้อม มีระยะทางไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง และมีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 100,000 ลำต่อปี คาดว่าในปี 2567 การรองรับปริมาณเรือผ่านช่องแคบมะละกาจะเต็มศักยภาพ และคาดการณ์ว่าในปี 2593 ปริมาณเรือที่ผ่านจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่า จึงได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท ทีมคอนซัลติ้งเอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)บริษัท ดีเคด คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ จำกัด บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูไนเต็ดแอนนาลิสต์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่งคอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท ดาวฤกษ์คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง
เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม โดยมีขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย
1) ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเงิน วิศวกรรม สังคม
2) ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
3) จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ
4) วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน
และ5) สร้างความเข้าใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน
คาดว่าจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2565 ทั้งนี้กระทรวงฯ จะบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ และท่าเรือชุมพร โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัย หรือ Smart Port ควบคุมการบริหารจัดการด้วยระบบ Automation รวมทั้งการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และรถไฟทางคู่ ตลอดจนวางระบบการขนส่งทางท่อ โดยทำการก่อสร้างไปพร้อมกันในพื้นที่เดียวกันเพื่อให้สอดคล้องตามแผนบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบ
จากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน ประมาณการวงเงินลงทุนทั้งโครงการประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP เมื่อโครงการดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถลดระยะเวลาการขนส่งทางเรือประมาณ 2 วัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาคในอนาคต และช่วยเปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยสร้างโอกาส สร้างงาน และรายได้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง (Transport Efficiency) เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งยังเป็นการพัฒนาการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green and Safe Transport) โดยใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ (Innovation and Management) เพื่อมุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transport) ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39519 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีพนักงานตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีพนักงานตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีพนักงานตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ย่านบางแค CAAT ได้รับแจ้งจากพนักงาน 1 ราย
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีพนักงานตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ย่านบางแค CAAT ได้รับแจ้งจากพนักงาน 1 ราย ที่ไม่ได้มาปฏิบัติงานถึงการตรวจพบการติดเชื้อไวรัส COVID-19 CAAT จึงออกมาตรการอย่างเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาด ดังนี้
1. ประสานกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อปฏิบัติตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
2. ให้บริษัททำความสะอาดฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ทั่วทั้งสำนักงานฯ ทันที
3. สั่งการให้พนักงานกลุ่มเสี่ยงกักตัว 14 วัน และประสานศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ที่พนักงานกักตัว เพื่อเข้าไปตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19
ทั้งนี้ ในวันที่ 18 มีนาคม 2564 ศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง พร้อมด้วยสำนักงานเขตหลักสี่ จะดำเนินการเข้ามาสอบสวนโรคที่ CAAT เพื่อประเมินสถานการณ์ หากมีความคืบหน้าหรือมีผลประการใด ทาง CAAT จะแจ้งให้ทราบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าจัดโครงการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะจากท้องทะเล | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าจัดโครงการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะจากท้องทะเล
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม เห็นถึงความสำคัญและการแก้ไขปัญหาขยะในท้องทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ
จึงได้ดำเนินโครงการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะจากท้องทะเล ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของกระทรวงฯ ให้ทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯ ดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมสนับสนุนลดการใช้ เพื่อให้การจัดการขยะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า การให้ความสำคัญด้านการควบคุมภาวะมลพิษทางทะเลจากเรือจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน จท. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการคมนาคมทางทะเล จึงได้กำหนดมาตรการลดการใช้ถุงหิ้วพลาสติก งดใช้บรรจุภัณฑ์จากโฟม รวมทั้งจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการทิ้งขยะจากเรือ สร้างความตระหนักรับรู้แก่ประชาชน ชุมชน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เสริมสร้างจิตสำนึกในด้านสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมของคนภายในสังคม ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุและได้ผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว สามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้กลับมาสะอาด และงดงามเช่นเดิม ซึ่ง จท. ได้ดำเนินโครงการรณรงค์ในเรื่องสิ่งแวดล้อมดังนี้
1. โครงการ “เจ้าท่าใส่ใจ รักไทย รักษ์โลก” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างจิตสำนึกการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการทิ้งขยะ งดการใช้โฟมและพลาสติก สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้สะอาดและถูกสุขลักษณะ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคลากร จท. เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ จท. โดยมีกิจกรรมย่อย 5 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) ร่วมใจใช้ถุงผ้า ชาวเจ้าท่าลดพลาสติก 2) หิ้วปิ่นโต say no ให้พลาสติก 3) 5 ส สุขสันต์ ร่วมกัน Go-Green 4) ลด ละ คัด แยก และ 5) สร้างสุขาให้ประชาสุขี เพื่อส่งเสริมให้ลดการใช้พลาสติกจากบนบก ไม่ให้ทิ้งลงแม่น้ำออกไปสู่ทะเล
2. โครงการ “รักษ์เจ้าพระยากับเจ้าท่า” โดย จท. ร่วมกับองค์กรเอกชน และชุมชนต่าง ๆ เก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อตระหนักถึงการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำ โดยเฉพาะปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ เนื่องจากสามารถไหลออกสู่ทะเลได้ทำให้เกิดเป็นปัญหาขยะในทะเลเพิ่มขึ้น
3. รณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานร่วมกันคัดแยกขยะ โดยจัดถังรองรับขยะเพื่อคัดแยกประเภทขยะทุกจุดภายในบริเวณ จท. พร้อมทั้งกวดขันเรื่องความสะอาดของท่าเรือสาธารณะ และกำกับการดำเนินงานของท่าเรือ และเรือสินค้าให้มีการจัดการของเสียและขยะที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ จท. ได้เข้าร่วมโครงการระหว่างประเทศทั้งระดับนานาชาติและระดับภูมิภาค ซึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาขยะทางทะเล อาทิ โครงการ GloLitter (IMO-FAO-NORWAY GloLitter Partnership) และโครงการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (MEPSEAS) เป็นต้น รวมทั้งเร่งรัดผลักดันการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ ภาคผนวกที่ 5 ว่าด้วยการป้องกันมลพิษขยะจากเรือ (MARPOL Annex V) ที่สืบเนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา MARPOL Annex V เพื่อร่วมมือกับนานาประเทศในการควบคุมเรือเดินทะเลและสิ่งก่อสร้างในทะเลไม่ให้มีการทิ้งขยะลงในทะเล เป็นไปตามกำหนดหรือมาตรฐานที่อนุสัญญาดังกล่าวกำหนดไว้ ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (อนุสัญญา UNCLOS 1982) เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมมลพิษของสิ่งแวดล้อมทางทะเล
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาขยะในท้องทะเลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดการปัญหาขยะ การจัดการขยะในครัวเรือน การปรับมุมมองเกี่ยวกับขยะจากวัตถุเหลือใช้ให้กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิตอื่น ๆ มากกว่าถูกมองว่าเป็นขยะไร้ค่า ซึ่งจะต้องเริ่มจากบนบกเป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะถูกทิ้งลงสู่แม่น้ำและไหลออกสู่ทะเล ซึ่ง จท. ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ช่วยรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเล และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันใส่ใจดูแลทรัพยากรทางทะเลมากยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำมาตรการผ่อนคลายช่วงสงกรานต์ ยังต้องเข้มป้องกันโรคโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
สธ.ย้ำมาตรการผ่อนคลายช่วงสงกรานต์ ยังต้องเข้มป้องกันโรคโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เผยการติดเชื้อโควิด 19 กรณีร้านอาหารในโรงงาน จ.ปราจีนบุรี ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่มในผู้สัมผัสใกล้ชิด ส่วนกทม.ติดเชื้อ 12 ราย ส่วนหนึ่งมาจากการส่งตัวผู้ลักลอบข้ามแดนจากภาคใต้มาดำเนินคดี ไม่ได้เป็นการติดเชื้อภายในพื้นที่
กระทรวงสาธารณสุข เผยการติดเชื้อโควิด 19 กรณีร้านอาหารในโรงงาน จ.ปราจีนบุรี ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่มในผู้สัมผัสใกล้ชิด ส่วนกทม.ติดเชื้อ 12 ราย ส่วนหนึ่งมาจากการส่งตัวผู้ลักลอบข้ามแดนจากภาคใต้มาดำเนินคดี ไม่ได้เป็นการติดเชื้อภายในพื้นที่ ย้ำแม้สงกรานต์มีมาตรการผ่อนคลาย ขอให้เข้มการป้องกันตัวเองสกัดการระบาดระลอกถัดไป เผย 5 จังหวัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ครบตามเป้าหมายแล้ว
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 58 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 17 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 36 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 5 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 -11 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 21,823 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.59 อยู่ระหว่างการรักษา 513 ราย เสียชีวิต 25 ราย การติดเชื้อในประเทศพบ 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 38 ราย กรุงเทพมหานคร 12 ราย ประจวบคีรีขันธ์ นนทบุรี และราชบุรี จังหวัดละ 1 ราย
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า กรุงเทพมหานคร พบผู้ติดเชื้อจากการค้นหาเชิงรุก 10 ราย ส่วนหนึ่งเป็นผู้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยจากชายแดนไทย-มาเลเซีย ทั้งชาวเมียนมาและกัมพูชา หลังกักตัวที่อ.สุไหงโกลก ถูกส่งตัวมาดำเนินคดีที่กรุงเทพมหานคร ตรวจพบการติดเชื้อ ได้รายงานเป็นยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของกรุงเทพมหานคร ส่วน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบผู้ลักลอบเข้าประเทศจากเมียนมาติดเชื้อ 1 ราย มีการตรวจค้นหาเชิงรุกพบติดเชื้อใหม่อีก 3 ราย ซึ่งจะมีการรายงานเข้าระบบอย่างเป็นทางการต่อไปวันพรุ่งนี้
สำหรับกรณีสามีภรรยาขายอาหารในโรงงานแห่งหนึ่ง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งรายงานไปแล้ว มีผู้ติดเชื้อ 5 ราย คือสามีภรรยาและลูกจ้าง 3 ราย จากการติดตามผู้สัมผัสยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่มเติม ทั้งผู้สัมผัสร่วมบ้าน 4 ราย ได้แก่ ลูกชาย ลูกสะใภ้ หลาน และลูกสาว กลุ่มคนช่วยงานที่ร้านตอนกลางวัน 7 คน และบุคลากรศูนย์การแพทย์โดยทั้งหมดรอตรวจเชื้อครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับการค้นหาเชิงรุกในโรงงาน 1,428 ราย ไม่พบติดเชื้อเช่นกัน
“ขณะนี้ ประชาชนมีความคาดหวังการผ่อนคลายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ย้ำว่าแม้จะมีมาตรการผ่อนคลาย ความร่วมมือของทุกคนในการป้องกันตัวเองยังคงสำคัญที่สุดในการป้องกันการระบาดระลอกถัดไป โดยเฉพาะคนวัยทำงาน เดินทางออกนอกบ้าน ต้องระมัดระวังการนำเชื้อไปติดคนในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันการป่วย การเสียชีวิตและการระบาด โดยขอให้คงมาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากาก” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับความก้าวหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 10 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนแล้ว 36,797 ราย หลายจังหวัดฉีดวัคซีนได้ครบตามเป้าหมาย 100% แล้ว ได้แก่ สมุทรสงคราม ราชบุรี ชลบุรี ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี หลายจังหวัดฉีดกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ ตาก นนทบุรี นครปฐม และสมุทรปราการ โดยผู้ได้รับวัคซีนวันแรกๆ อยู่ระหว่างนัดหมายมาฉีดเข็มที่ 2 ประมาณวันที่ 21 มีนาคมเป็นต้นไป ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนโดยทั่วไปอาจเกิดปฏิกิริยาได้ เช่น ปวดตึงบริเวณที่ฉีดวัคซีนปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น ถือเป็นอาการเล็กน้อย หายเองได้ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล มีระบบติดตามอาการหลังฉีดการรายงานผ่านไลน์หมอพร้อม และขณะนี้ยังไม่มีการลงทะเบียนจองผ่านหมอพร้อม
********************************** 11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39889 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน
ขณะนี้มีผู้แอบอ้างเป็นผู้ให้บริการทางการเงินผ่านสื่อดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินให้ทำสัญญากู้ยืมเงินและให้โอนเงินเป็นค่าดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมเข้าบัญชีผู้ให้กู้ (บุคคลธรรมดา) ก่อนล่วงหน้า
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างเป็นผู้ให้บริการทางการเงินผ่านสื่อดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินให้ทำสัญญากู้ยืมเงินและให้โอนเงินเป็นค่าดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมเข้าบัญชีผู้ให้กู้ (บุคคลธรรมดา) ก่อนล่วงหน้า ในขณะที่ผู้แอบอ้างบางรายมีการแอบอ้างว่าได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อภายใต้การกำกับ และมีการแสดงหนังสืออนุญาตที่ทำการปลอมแปลง โดยเปลี่ยน “ชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” เป็น “ชื่อนิติบุคคลของผู้ที่แอบอ้าง” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อและโอนเงินค่าดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมไปให้ผู้แอบอ้างและไม่ได้รับเงินกู้ตามความประสงค์ที่จะขอกู้ยืมเงิน ดังนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจึงขอแจ้งเตือนผู้ที่แอบอ้างปลอมใบอนุญาตของทางราชการเพื่อนำไปหลอกลวงประชาชน กระทรวงการคลังจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่แอบอ้างดังกล่าว พร้อมทั้งขอแจ้งเตือนประชาชนที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงิน โปรดอย่าหลงเชื่อกลุ่มผู้แอบอ้างที่มีลักษณะดังกล่าว และโอนเงินไปก่อนที่จะได้รับเงินกู้ตามที่ต้องการ รวมทั้งขอเตือนให้ประชาชนที่ประสงค์จะกู้ยืมเงินจากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non – bank) ตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อภายใต้การกำกับที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมกู้ยืมเงิน เช่น การทำสัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงและการฉ้อโกงทรัพย์สิน ได้ที่เว็บไซต์ www.1359.go.th หรือ http://164.115.61.50/picofinance/public/ สำหรับกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) หรือสำหรับกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์) และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/WebsiteFI/pages/instlist.aspx ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 หรือสามารถแจ้งความร้องทุกข์โดยตรงได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39823 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากอนุกรรมาธิการ แก้ปัญหาถุงมือยาง เร่งช่วยเหยื่อถูกบริษัทเอกชนหลอกโอนเงินมัดจำ ความเสียหายมากกว่า ๔ หมื่นล้านบาท เตรียมใช้เครื่องมือจาก "พาลีปราบยา" ต | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากอนุกรรมาธิการ แก้ปัญหาถุงมือยาง เร่งช่วยเหยื่อถูกบริษัทเอกชนหลอกโอนเงินมัดจำ ความเสียหายมากกว่า ๔ หมื่นล้านบาท เตรียมใช้เครื่องมือจาก "พาลีปราบยา" ต
เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากอนุกรรมาธิการ แก้ปัญหาถุงมือยาง เร่งช่วยเหยื่อถูกบริษัทเอกชนหลอกโอนเงินมัดจำ ความเสียหายมากกว่า ๔ หมื่นล้านบาท เตรียมใช้เครื่องมือจาก "พาลีปราบยา" ตามเส้นทางการเงิน
ในวันอังคารที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายพิเชษฐ สถิรชวาล ประธานคณะอนุกรรมาธิการแนวทางส่งเสริมและแก้ปัญหาอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางแห่งประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎร นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกลและนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยมี ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นตัวแทนรับเรื่อง กรณีความเสียหายการโอนเงินมัดจำซื้อถุงมือยางแล้วไม่ได้รับสินค้า
ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวว่า จากกรณีนี้ทราบว่ามีกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย หลอกลวงให้สั่งซื้อถุงมือยาง และวางเงินมัดจำซึ่งมีความเสียหายมากกว่า ๔ หมื่นล้านบาท จึงเข้าเงื่อนไขให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ช่วยสืบสวน และพบว่าบางบริษัทมีอดีตข้าราชการทหารเกี่ยวข้อง ส่วนจำนวนผู้เสียหายในขณะนี้ยังไม่แน่นอน หากประชาชนมีหลักฐานการฉ้อโกง สามารถนำหลักฐานมาติดต่อกับศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขได้ ซึ่งจะรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้น และส่งให้ ดีเอสไอ ยึดและอายัดเงินจำนวนดังกล่าวไว้ก่อนเพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเท และยังตรวจพบว่าบางรายมีการโอนเงินมากกว่า ๑๐๐ ล้านบาท และบริษัทดังกล่าวอาจมีการแอบอ้างเบื้องสูงด้วย ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้ตั้งคณะทำงานแล้วและพร้อมที่จะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ขอเตือนนักลงทุนทุกราย ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าหลงเชื่อจากกำไรและยอดการขาย โดยขอให้ตรวจสอบผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทราบว่ามีการดำเนินการแบบนี้จริงหรือไม่
ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้มีเครื่องมือในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน อย่างคณะพาลีปราบยา ที่สามารถนำมาช่วยงานตรงจุดนี้ได้ ซึ่งลักษณะของบริษัทที่หลอกลวง พยายามสร้างชื่อให้มีความน่าเชื่อถือ และมีการทำมูลนิธิ การทำบุญ และคนที่ทำเป็นอดีตนายทหาร ทำให้ความน่าเชื่อถือมีสูงขึ้น แต่เราพร้อมที่จะดำเนินคดีกับทุกคน
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายสมศักดิ์ ที่ช่วยเร่งดำเนินการ ซึ่งตนได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมฯ ให้แก้ไขปัญหาการซื้อถุงมือยาง เพราะทั่วโลกต้องการสูงมาก ทำให้กำลังผลิตไม่พอเพียง และมีบริษัทที่ได้การรับรองไม่มาก ทำให้มีคนไม่หวังดีตั้งบริษัทมาหลอกลวง ตนได้เชิญนายกสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางมาหารือ พบว่า อีก 2 ปีก็ผลิตไม่พอความต้องการ จึงมีการพยายามหลอกลวงตรงนี้ และได้หารือกับนายสมศักดิ์ ว่ามีการร้องเรียนคณะกรรมาธิการมาเยอะ และผู้เสียหายมีการโอนเงินจากต่างประเทศ จึงประสานขอให้เราช่วยติดตาม เพื่อเป็นการป้องกันชื่อเสียงประเทศไทย และอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยาง ซึ่งหากใครเป็นผู้เสียหาย ให้มาร้องเรียนยังกระทรวงยุติธรรมเลย
นายณัฐชา กล่าวว่า มีการร้องเรียนผ่าน ส.ส.มามากมายทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จึงตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้น เอกสารการรวบรวม คือ บริษัทต่างชาติ ที่เห็นกำลังผลิตและความสามารถของประเทศไทย จึงมีการตั้งกลุ่มบริษัทขึ้นมาเพื่อชวนเชื่อต่อต่างชาติ ซึ่งหากบริษัทต่างชาติบินมาเพื่อเซ็นสัญญาการผลิต ก็จะมีตัวอย่าง มีกล่อง มีถุงมือยางให้ดู ซึ่งการพิจาณาของคณะอนุกรรมาธิการอุตสาหกรรมฯ คิดว่าหากเราพิจารณาต่อไปจะใช้เวลานานมาก จึงมายื่นเรื่องให้กระทรวงยุติธรรม เร่งรัดการดำเนินคดี ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะยังมีอีกหลายบริษัท เพราะถุงมือยางเป็นที่ต้องการมาก หากใครเสียหายหรือมีเบาะแส สามารถส่งเรื่องให้ ส.ส.หรือกระทรวงยุติธรรมได้ทันที
นายมงคลกิต กล่าวว่า ตนเชื่อว่าความเสียหายจากออเดอร์ลมครั้งนี้ น่าจะหลายแสนล้าน และเงินมัดจำน่าจะหลายพันล้าน และ ดีเอสไอ น่าจะช่วยระงับความเสียหายในวงกว้างได้ การที่ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากต่างชาติในการผลิตถุงมือยางเป็นเรื่องที่ดี จึงอยากให้กระทรวงยุติธรรม ประสาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กำกับการเซ็นสัญญา ให้เป็นไปตามกำลังผลิตที่ไม่เกิน 1-2 ปี หากผลิตและส่งเรียบร้อยแล้วค่อยสั่งออเดอร์เพิ่ม รัฐบาลควรเข้าไปช่วยควบคุมในเรื่องนี้ด้วย หากมีการส่งออกมา เราจะมีรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก และช่วยควบคุมออเดอร์ลมในอนาคตด้วย ลดความเสียหายแบบกรณีนี้ได้มาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40272 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.-บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ลงนามความร่วมมือโครงการ SMART DIGITAL PRIME | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ศธ.-บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ลงนามความร่วมมือโครงการ SMART DIGITAL PRIME
พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ภายใต้โครงการ “SMART DIGITAL PRIME”
(3 มีนาคม 2564) พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ภายใต้โครงการ “SMART DIGITAL PRIME”
โดยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT เป็นผู้ลงนามความร่วมมือ ณ ห้องจัดเลี้ยง ชั้น 1 อาคาร 9 NT แจ้งวัฒนะ โดยมีนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายโกเมศ กลั่นสมจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป.ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม พร้อมร่วมชมนิทรรศการ Smart Kids Code “เปลี่ยนความรู้…เป็นความรัก”
ปลัด ศธ. กล่าวว่า โครงการความร่วมมือดังกล่าว เพื่อต้องการร่วมกันพัฒนาทักษะความรู้ในด้านการสอนดิจิทัลและเทคโนโลยีแก่ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาให้ได้มาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อให้นักเรียนและผู้ที่สนใจได้มีการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ด้วยการอบรมและปฏิบัติจริง ซึ่งจะส่งผลสัมฤทธิ์การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ค่านิยมของสังคมดิจิทัลและเทคโนโลยีในลักษณะ “ร่วมมือพัฒนา และเติบโตไปพร้อมกัน”
สำหรับขอบเขตความร่วมมือ ทั้ง 2 หน่วยงาน จะร่วมมือผลักดันโครงการ Smart Digital Prime เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีให้กับครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งประสานงานกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้มีกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการผ่านออนไลน์ด้วยเนื้อหาที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ พัฒนานวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมระบบการติดตามผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านเว็บไซต์
ปัทมา ประดิษฐ์วงศ์ / สรุป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานประชุมคณะกรรมการจัดสรรเวลา ครั้งที่ 1/2564 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
กรมท่าอากาศยานประชุมคณะกรรมการจัดสรรเวลา ครั้งที่ 1/2564
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการจัดสรรเวลา กรมท่าอากาศยาน ครั้งที่ 1/2564
โดยมีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน นายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านเศรษฐกิจ นายเกียรติชัย ชัยเรืองยศ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมกิจการท่าอากาศยาน นายณรงค์ อรุณภาคมงคล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความปลอดภัยภาคพื้น ปฏิบัติงานในฐานะผู้อำนวยการกองควบคุมมาตรฐานสนามบิน และคณะกรรมการจัดสรรเวลา พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศรีภูมิ ชั้น 2 กรมท่าอากาศยาน
การประชุมในครั้งนี้เพื่อพิจารณาการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรเวลาตารางการบินของท่าอากาศยานในสังกัด ทย. และสายการบินหรืออากาศยาน ให้ปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันและสอดคล้องตามหลักปฏิบัติมาตรฐานของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association - IATA) โดยเป็นการพิจารณาจัดสรรเวลากำหนดการบินประจำฤดูร้อน ประจำปี 2564 ซึ่งมีสายการบินที่เปิดให้บริการในเส้นทางบินใหม่ จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่
1.เส้นทาง กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ไปและกลับจำนวน 14 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ของสายการบิน Bangkok airways
2.เส้นทางกรุงเทพฯ-แม่สอด ไปและกลับ จำนวน 21 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ของสายการบิน Bangkok airways
3.เส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ไปและกลับจำนวน 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ของสายการบินนกแอร์
รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการกำหนดเวลาเปิด-ปิด ท่าอากาศยาน เพื่อให้สอดคล้องกับการให้บริการของสายการบินด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือการเตรียมความพร้อมในการรองรับการเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศของท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานหัวหิน ซึ่ง ทุกท่าอากาศยานยืนยันความพร้อม และให้ความเชื่อมั่นในกระบวนการและมาตรการ พร้อมรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ หากมีการอนุญาตให้เปิดทำการบินได้
สำหรับประเด็นการสนับสนุนสายการบินที่ทำการบินมายังท่าอากาศยานเบตง ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ออกมาตรการจูงใจให้สายการบินเปิดเที่ยวบินเส้นทางใหม่ ปี 2564 โดยจะลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยานและค่าบริการที่เก็บอากาศยาน เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลดลงร้อยละ 80 ในปีที่ 1 ลดลงร้อยละ 65 ในปีที่ 2 และลดลงร้อยละ 50 ในปีที่ 3 และลดค่าเช่าพื้นที่ภายในอาคาร สำหรับสำนักงานสายการบิน ในอัตราร้อยละ 50 โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่กรมธนารักษ์กำหนด เป็นระยะเวลา 3 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39908 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า หลัง WHO ยืนยันไม่เกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรี ฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า หลัง WHO ยืนยันไม่เกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
นายกรัฐมนตรี และอาจารย์แพทย์อาวุโส ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า หลังได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลกไม่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด พร้อมฉีดให้คณะรัฐมนตรีตามความสมัครใจ สร้างความมั่นใจประชาชน
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอาจารย์แพทย์อาวุโส รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเจรจาได้วัคซีนมาใช้ในระยะเร่งด่วนสำหรับฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 117,300 โดส พร้อมคณะรัฐมนตรีที่สมัครใจรับการฉีดวัคซีน
นายอนุทินกล่าวว่า ในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ แสดงเจตจำนงค์ที่จะรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังได้รับการยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดจากองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานกำกับคุณภาพยาของอียู โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมวัคซีนทั้งจากแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค เพื่อฉีดให้กับคณะรัฐมนตรีที่สมัครใจ และอาจารย์แพทย์อาวุโส อาทิ ศ.คลิกนิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทรนพ.ยง ภู่วรวรรณ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา นพ.โสภณ เมฆธน ซึ่งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับผู้นำประเทศ และคณะรัฐมนตรี เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง มีการเดินทางและพบปะผู้คนจำนวนมาก ป้องกันการป่วยรุนแรง ลดโอกาสรับเชื้อและแพร่เชื้อ โดยมีทีมแพทย์จากสถาบันบำราศนราดูรกรมควบคุมโรค ให้บริการฉีดวัคซีนตาม 8 ขั้นตอนของระบบกระทรวงสาธารณสุข เริ่มจากการลงทะเบียนตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต คัดกรองความเสี่ยง รับการฉีดวัคซีน พักสังเกตอาการหลังฉีดเป็นเวลา 30 นาที มีแพทย์ประจำ และกรมการแพทย์ได้จัดรถพยาบาลพร้อมส่งต่อไปโรงพยาบาลราชวิถีในกรณีเหตุฉุกเฉิน มีการบันทึกชนิดวัคซีน ติดตามอาการหลังฉีดในวันที่ 1, 7 และ 30 การแจ้งเตือนการรับวัคซีนโควิดเข็มที่ 2ทาง Line Official Account “หมอพร้อม”
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เมื่อคนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้นเท่าไหร่ประเทศจะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ระบุไว้ว่า “Nobody is safe until everybody is safe จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย” และเป้าหมายของรัฐบาลคือทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนตามความสมัครใจ โดยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์จนถึงวันนี้ มีผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 1 แล้วกว่า 50,000 ราย
ใน 13 จังหวัด คาดว่าจะฉีดครบร้อยเปอร์เซนต์ในสัปดาห์นี้ตามเป้าหมาย และจะได้รับวัคซีนมาเพิ่มเป็นระยะ ฉีดให้ครบ 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 รวมทั้งได้มีการเจรจาขอซื้อวัคซีนซิโนแวคอีก 5 ล้านโดส ขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายมารับการฉีดวัคซีนตามนัด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อให้ประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจเดินหน้าได้ทุกคนกลับมายิ้มด้วยกันอีกครั้ง
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เบื้องต้นจะเริ่มจาก 5 จังหวัดที่มีการฉีดให้กับประชาชนแล้ว คือจังหวัดสมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เพื่อนำไปฉีดให้กับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีทุกกลุ่ม ทั้งประชาชน ผู้มีโรคประจำตัว บุคลากรทางการแพทย์ และอสม. โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณา และจะขยายไปจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีรายชื่อผู้ที่รับการรักษาในโรงพยาบาล และจากการสำรวจโดย อสม./ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถตรวจสอบรายชื่อเพื่อนัดหมายรับการฉีดจาก Line Official Account หมอพร้อม หากไม่พบรายชื่อ ในช่วงนี้ ให้แจ้งอสม. หรือสอบถามจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งวัคซีนจะทยอยส่งให้โรงพยาบาลเป็นล็อตๆ ตลอดปีนี้
*********************************** 16 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “5ยุทธศาสตร์ เฉลิมชัย” พลิกโฉมหน้าภาคตะวันออก “อลงกรณ์” มอบ AIC 5 จังหวัด | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
“เกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “5ยุทธศาสตร์ เฉลิมชัย” พลิกโฉมหน้าภาคตะวันออก “อลงกรณ์” มอบ AIC 5 จังหวัด
“เกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อน “5ยุทธศาสตร์ เฉลิมชัย” พลิกโฉมหน้าภาคตะวันออก “อลงกรณ์” มอบ AIC 5 จังหวัด จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว เดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมเกษตรอาหารโมเดลซิลิคอนวัลเลย์เน้นเทคโนโลยีเกษตร พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “กัญซ่า” และโดร
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) แถลงวันนี้ (17 มี.ค.) ถึงความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนศูนย์นวัตกรรมเกษตรและเทคโนโลยี (AIC) สัญจร พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 9 ใน 5 จังหวัด ประกอบด้วย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว โดยมี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ผศ.ไวกูณฑ์ ทองอร่าม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ผศ.ดร.วิชุดา จันทร์ข้างแรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตสระแก้ว นายชรัตน์ เนรัญชร ตัวแทน Young Smart Farmer ผลไม้ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตัวแทนภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร เข้าร่วมในการประชุมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ซึ่งมีนิทรรศการแสดงเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมของศูนย์ AIC ทั้ง 5 จังหวัด ซึ่งจะได้นำไปพิจารณาต่อยอดและทำ Business matching การสนับสนุนทุนวิจัยและนำเข้าสู่ Innovation Catalog เพื่อใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตรต่อไปโดยมีการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและผลงานของ AIC ได้แก่
1) ศูนย์ AIC จังหวัดจันทบุรี โดย ผศ.ดร.สินาด โกศลานันท์ ตำแหน่ง คณบดีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ผู้อำนวยการศูนย์ AIC จังหวัดจันทบุรี
2) ศูนย์ AIC จังหวัดตราด โดย ดร.กรรณิกา สุภาภา ตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนตราด ประธานศูนย์ AIC ตราด
3) ศูนย์ AIC จังหวัดนครนายก โดย ผศ.ดร.อรัญญา มิ่งเมือง ตำแหน่ง คณบดีคณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ AIC จังหวัดนครนายก
4) ศูนย์ AIC จังหวัดปราจีนบุรี (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ) โดย นายสุรเทพ กิจกล้า ตำแหน่ง เกษตรและสหกรณ์จังหวัดปราจีนบุรี เลขาศูนย์ AIC จังหวัดปราจีนบุรี
5) ศูนย์ AIC จังหวัดสระแก้ว โดย ดร.ประทีป อูปแก้ว มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ AIC สระแก้ว
นายอลงกรณ์ได้แสดงความชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์ AIC ทุกแห่งที่ได้พัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเกษตรที่โดดเด่น เพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาภาคการเกษตรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาการผลิตอากาศยานไร้คนขับของศูนย์ AIC จันทบุรีที่ผลิตขึ้นใช้เองภายในประเทศ (Made In Thailand) เพื่อใช้ในการเกษตรกรรมแม่นยำ (Precious Agriculture) และสนับสนุนการเป็น Silicon valley เมืองหลวงแห่งผลไม้ การแปรรูปผลไม้ของมหาวิทยาลัยราชมงคลตะวันออก โมเดลการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรสู่ฟาร์มเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ของศูนย์ AIC นครนายก การพัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming) ของวิทยาลัยชุมชนซึ่งเป็นศูนย์ AIC จังหวัดตราด การพัฒนาพันธุ์กุ้งก้ามกรามกุ้งขาวของมหาวิทยาลัยบูรพา ตอบโจทย์ประมงเพาะเลี้ยงและอุตสาหกรรมอาหารการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “กัญซ่า” เครื่องดื่มแนวใหม่ (functional drink) จากกัญชาของศูนย์ AIC ปราจีนบุรี โดยประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ต่อไป เพื่อชูจุดเด่น “ปราจีนบุรีเมืองแห่งสมุนไพร”
นายอลงกรณ์ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนกระทรวงภายใต้กรอบ "5 ยุทธศาสตร์ เฉลิมชัย" ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3.ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety-Security-Sustainability) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน 4.ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” และ 5.ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา
พร้อมกันนี้ ได้แถลงถึงความก้าวหน้าของคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและตอบโจทย์ตลอดห่วงโซ่ของผลผลิตการเกษตร โดยขณะนี้ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (Food & Agro industry promotion subcommittee) และคณะอนุกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับภาค 5 ภาคภายใต้ 2 โครงการหลักคือ 1) โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารใน 18 กลุ่มจังหวัด เพื่อกระจายการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเพิ่มการแปรรูปสร้างมูลค่าสินค้าเกษตรครอบคลุมทุกจังหวัดทุกกลุ่มจังหวัดตามศักยภาพและอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ และ 2) โครงการเกษตรอัจฉริยะเกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่ โดยใช้เทคโนโลยีและเกษตรแปลงใหญ่เป็นแกนขับเคลื่อนร่วมกับกิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Big Brothers) โดยในเขตกลุ่มจังหวัดนี้มีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรผลไม้ สมุนไพร ประมง พืชอนาคต กัญชงกัญชา เครื่องจักรกลเกษตรเป็นต้นโดยมีต้นแบบจากเขตอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปครบวงจรในจังหวัดชลบุรีและในเขตระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor:EEC) พร้อมมอบหมายให้คณะ กรกอ.ภาคตะวันออกขับเคลื่อนโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรม เขตผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือเขตชุมชนอุตสาหกรรมนับเป็นเขตอุตสาหกรรมอาหารเป็นโซนที่ 9ซึ่ง AIC จันทบุรีสนใจที่จะพัฒนาซิลิคอนวัลเลย์ (SILICON VALLEY) ผลไม้ภายใต้คอนเซ็ปท์ “มหานครผลไม้” ในรูปแบบเดียวกับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดดำเนินการสร้าง SILICON VALEY แห่งเทคโนโลยีในแคลิฟอเนียสหรัฐอเมริกา
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การพัฒนากลุ่มจังหวัดนี้จะต้องผนึกศักยภาพกับทาง EEC 3 จังหวัด +5 จังหวัดตามแผนพัฒนาเชื่อมโยงภาคการเกษตรโดยใช้ศักยภาพ การเป็นประตูเศรษฐกิจสู่ตลาดอินโดจีน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และ เวียดนาม ที่มีตลาดรองรับด้วยประชากรกว่า 120 ล้านคน ซึ่งอยู่ติดพรมแดนภาคตะวันออก คือจันทบุรี ตราด และสระแก้ว พร้อมทั้งเชื่อมภาคตะวันออก-เชื่อมโลกด้วยเส้นทางโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าไปทุกมณฑลในจีนและผ่านจีนสู่ภูมิภาคเอเซีย, ยุโรป และรัสเซีย ด้วยระบบรางโดยผ่านด่านโมฮ่านเส้นทาง ไทย-ลาว-จีน และผ่านด่านผิงเสียงบนเส้นทาง ไทย-ลาว-เวียดนาม ซึ่งจะเป็นระบบการขนส่งใหม่รับมือมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศที่ต้องขนส่งสินค้าผ่านและในประเทศคู่ค้า แนวทางทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ “5ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเกษตรกรรม” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคตะวันออกสู่มิติใหม่ๆ อย่างเต็มรูปแบบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เผยข่าวดี แรงงานไทยเดินทางทำงานไต้หวัน ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากักตัว 14 วัน | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
กรมการจัดหางาน เผยข่าวดี แรงงานไทยเดินทางทำงานไต้หวัน ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากักตัว 14 วัน
กระทรวงแรงงานไต้หวัน ได้กำหนดให้นายจ้าง/บริษัทจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบค่ากักตัวให้แก่แรงงานเมื่อเดินทางไปทำงานไต้หวัน ค่าใช้จ่ายการจัดเตรียมสถานที่กักตัว ค่าอาหารทุกมื้อ ค่าตรวจคัดกรองโรคโควิด – 19 ค่าพาหนะรับ-ส่งจากสนามบินถึงที่พัก
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากสำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป เรื่องมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ล่าสุดกระทรวงแรงงานไต้หวัน ได้กำหนดให้นายจ้าง/บริษัทจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบค่ากักตัวให้แก่แรงงานเมื่อเดินทางไปทำงานไต้หวัน โดยนายจ้าง/บริษัทจัดหางาน เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการจัดเตรียมสถานที่กักตัว ค่าอาหารทุกมื้อ ค่าตรวจคัดกรองโรคโควิด – 19 ค่าพาหนะรับ-ส่งจากสนามบินถึงที่พัก นอกจากนี้ทางการยังกำหนดให้จัดห้องพักให้แรงงานห้องละ 1 คน หากไม่สามารถทำได้จะต้องเว้นระยะห่างทางสังคม 1.5 เมตร และต้องสวมหน้ากากอนามัย ติดตั้งอุปกรณ์ฆ่าเชื้อ ทั้งนี้หลังจากกักตัวครบ 14 วัน นายจ้าง/บริษัทจัดหางานต้องจัดหารถรับ-ส่งแรงงานไทยเดินทางไปตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ โรงพยาบาลตามที่ศูนย์ควบคุมโรคไต้หวันกำหนด โดยศูนย์ฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจโรค ในส่วนของค่าจ้างระหว่างกักตัว นายจ้างและลูกจ้างต้องตกลงกันเอง
หากนายจ้างไม่รับผิดชอบ ลูกจ้างสามารถยื่นขอรับเงินชดเชยการขาดรายได้จากกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันได้ ในอัตราวันละ 1,000 เหรียญไต้หวัน เฉพาะวันทำงานปกติ โดยมีกำหนดยื่นภายใน 2 ปี หลังสิ้นสุดการกักตัว ยกเว้นผู้ที่เดินทางกลับประเทศไทยหลังวันที่ 17 มีนาคม 2563 และเดินทางกลับมาทำงานที่ไต้หวันอีกครั้ง จะไม่มีสิทธิยื่นขอเงินชดเชยดังกล่าว
“ ขอให้ประชาชน/คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานไต้หวันระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้ใดเป็นค่ากักตัว 14 วัน และเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่ 1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 2.กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง) 3.นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึงมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ต้องการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02 245 6708 -9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ 42 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครบรอบ 42 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
รมว.กษ. ร่วมแสดงความยินดี และมอบนโยบาย เนื่องในโอกาสครบรอบ 42 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ร่วมแสดงความยินดี เนื่องในโอกาสครบรอบ 42 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อนำภาคเกษตรสู่ความยั่งยืน มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีนโยบายสำคัญ 15 ด้าน ขับเคลื่อนการทำงานใน 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต เป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์ (แพลตฟอร์มรายสินค้าเพื่อรองรับ New Normal) ตลาดออฟไลน์ Modern Trade รถโมบาย ตลาดสด คาราวานสินค้า เกษตรพันธสัญญา และเคาน์เตอร์เทรด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผู้ซื้อกับผู้ขาย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 โดยใช้ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ร่วมกับศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้กับเกษตรกร ยุทธศาสตร์ “3’s” Safety-Security-Sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการผลิตที่ได้คุณภาพ มาตรฐาน และสนับสนุนการทำแผนบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นา รวมถึงการใช้ Agri-Map เพื่อให้มีการผลิตที่เหมาะสมกับพื้นที่ ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการตลาด เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ การสร้างความร่วมมือในการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ให้ครอบคลุมทั้งสินค้าและทรัพยากรทางการเกษตร และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรผสมผสาน
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะที่เป็นหน่วยงานด้านนโยบายและข้อมูลสารสนเทศการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ต้องมีการขับเคลื่อนในเรื่องการพัฒนาฐานข้อมูล Big Data ภาคการเกษตร เพื่อการบริหารและช่วยให้เกษตรกรมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่รอบด้าน โดยรวบรวมข้อมูลและการดำเนินงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรให้ครอบคลุมทุกมิติ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อบริหารจัดการสินค้าเกษตร และทรัพยากรทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy : BCG Economy) เพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย สร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เป็นภูมิคุ้มกัน กระจายรายได้ มุ่งลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ และยกระดับเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบประกันภัยผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นนโยบายและกลไกหนึ่งที่สำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติให้แก่เกษตรกร ด้วยเทคโนโลยีให้เกษตรกรสามารถรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์มือถือของตนเอง ทำให้กระบวนการจ่ายเงินไปถึงมือเกษตรกรได้รวดเร็วกว่าเดิม และการบริหารจัดการงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนการขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรพิเศษ หรือ Special Agricultural Economic Zone ที่ได้มอบหมาย สศก. ศึกษาโครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบประกันภัยผลผลิตทางการเกษตร และศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรพิเศษ เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง ส่งเสริมผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก้าวสู่เกษตรอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงตลาดทั้งในและต่างประเทศต่อไป
“กระทรวงเกษตรฯ ดูแลทั้งภาคการเกษตร ภาคการผลิต รวมถึงการตลาด ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ ที่ต้องการจะปรับพื้นฐานของเกษตรกร ในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ให้ดีขึ้น จึงต้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะ สศก. ที่ต้องประสานกับทุกหน่วยงาน ต้องจัดทำข้อมูลให้มีความถูกชัดเจน เพื่อสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ได้ สอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่จะต้องใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และใช้งานวิจัยให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ซึ่งงานวิจัยจะสามารถเพิ่มศักภาพ เพิ่มมูลค่า และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพื่อยกระดับพี่น้องเกษตรกรทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ ทุกหน่วยงาน ต้องคิดว่าเกษตรกรเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน และที่สำคัญเราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสให้ได้ เป้าหมายในการเป็นครัวโลกต้องเกิดขึ้นและเราต้องทำให้ได้ อย่างมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อพัฒนาภาคเกษตรของประเทศ จึงได้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติงานให้บุคลากรได้นำไปปรับใช้ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อภาคการเกษตรอย่างรอบด้าน การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ปฏิบัติงานด้านข้อมูล วิจัย นโยบาย ประเมินผล และการบริหารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ “องค์กรชี้นำการพัฒนาภาคเกษตรและศูนย์กลางสารสนเทศการเกษตรแห่งชาติ ภายในปี 2565”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ตรวจเยี่ยมบ้าน ช.ช้างชรา จ.กาญจนบุรี | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
รมช.ประภัตร ตรวจเยี่ยมบ้าน ช.ช้างชรา จ.กาญจนบุรี
รมช.ประภัตร ตรวจเยี่ยมบ้าน ช.ช้างชรา จ.กาญจนบุรี
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังการดำเนินงานของมูลนิธิบ้านช.ช้างชรา(Elephants World)ต.วังดงอ.เมืองจ.กาญจนบุรีซึ่งมีเนื้อที่130ไร่เริ่มก่อตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม2551โดยได้เล็งเห็นสภาพปัญหาของช้างเลี้ยงที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาช้างบาดเจ็บช้างชราที่ประสบปัญหาในการดูแลสุขภาพช้างเร่ร่อนซึ่งเป็นช้างด้อยโอกาสไม่สามารถทำงานได้จึงได้ดำเนินการจัดทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เลี้ยงดูช้างชราเพื่อให้ช้างไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นปัจจุบันบ้านช.ช้างชรามีช้างอยู่ในความดูแลทั้งหมด11เชือก
อย่างไรก็ตามในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)ทำให้ได้รับผลกระทบเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวขาดรายได้ซึ่งปัญหาหลักๆคือพืชอาหารช้างอาหารเสริมและเวชภัณฑ์เป็นต้นดังนั้นจึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าช่วยเหลือโดยกรมปศุสัตว์สนับสนุนอาหารสัตว์ลดต้นทุนตลอดจนสร้างแหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งอาหารและน้ำให้กับช้างปรับปรุงการเลี้ยงช้างให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์แก้ไขปัญหาการทารุณกรรมช้างตลอดจนยกระดับมาตรฐานปางช้างไทย
ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรได้มีมติเมื่อวันที่28กันยายน2563เห็นชอบให้มาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างเป็นมาตรฐานบังคับโดยใช้บังคับกับปางช้างทุกขนาดและมีผลบังคับใช้นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปเพื่อการปรับปรุงการปฏิบัติที่ดีในการจัดการเลี้ยงช้างที่ถูกต้องและเหมาะสมให้เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์แก้ไขปัญหาการทารุณกรรมช้างรวมทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานปางช้างไทยมาตรฐานฉบับนี้มีขอบข่ายกำหนดการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้างครอบคลุมองค์ประกอบปางช้างการจัดการปางช้างบุคลากรสุขภาพช้างสวัสดิภาพสัตว์สิ่งแวดล้อมการจัดการด้านความปลอดภัยและการบันทึกข้อมูลอย่างไรก็ตามจะมีการรับฟังความคิดเห็นของตัวแทนของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียก่อนสรุปความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรพิจารณาให้ความเห็นชอบและเสนอร่างกฎกระทรวงต่อคณะรัฐมนตรีและออกกฎกระทรวงและจะชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ผลิตและจัดเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานทั้งภาครัฐและเอกชนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสการกระทำผิด ยืนยันรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสการกระทำผิด ยืนยันรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสการกระทำผิด ยืนยันรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
วันนี้ (9 มีนาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดผ่านช่องทางสายด่วนรัฐบาล โทร.1111 อาทิ แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย บ่อนการพนัน การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรา 9 แห่ง พรก.ฉุกเฉินฯ และการร้องทุกข์ต่าง ๆ โดยรวมตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 64 – 8 มีนาคม 64 มีการแจ้งเบาะแสทั้งหมดจำนวน 119,294 เรื่อง ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว 118,918 เรื่อง และรอผลการพิจารณาอีก 376 เรื่อง สำหรับการร้องทุกข์ทั่วไปในภาพรวม อาทิ สังคมสวัสดิการ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอำนวยความสะดวก รวมแล้ว 42,551 เรื่อง และได้ดำเนินการแก้ไขจนได้ข้อยุติแล้ว 38,516 เรื่อง และอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาอีกประมาณ 4,035 เรื่อง ซึ่งเป็นการทำงานในรูปแบบรับฟังความคิดเห็นประชาชนทั่วไป
นายกรัฐมนตรียังห่วงใยปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคเหนือ แม้จุดความร้อนในประเทศไทยได้ลดลงจากปีที่แล้ว แต่ยังมีผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องเร่งหาความร่วมมือเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา อาทิ การใช้วัชพืชให้เกิดประโยชน์ทดแทนการเผา หรือนำมาต่อยอดเป็นวิสาหกิจชุมชนได้ในอนาคต รวมถึงอาศัยความร่วมมือจากโรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกร ลดปัญหาควันดำจากการจราจรและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชาวบ้านบางกลอยภายหลังจากคำตัดสินของศาลว่า ได้มีการจัดหาพื้นที่ทดแทนใน 3 พื้นที่ เพื่อช่วยเหลือชาวบางกลอยจากเดิม 97 คนเพิ่มเป็น 1,000 กว่าคน ซึ่งรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในการจัดหาพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตร ให้แก่ประชาชน โดยจะต้องแก้ไขปัญหาแบบเชิงบูรณาการ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเลื่อนสอบ TCAS โดยกระทรวงศึกษาธิการอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบให้แก่นักเรียน อาทิ การจัดศูนย์ติวสอบ โดยนายกรัฐมนตรีแนะว่าแม้ว่าจะมีการงดการเรียนการสอนที่โรงเรียน แต่ขอให้ทุกคนทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือ เพิ่มเติมด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39797 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมติดตามการดำเนินงาน | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
ประชุมติดตามการดำเนินงาน
รองปลัดฯ อำพันธุ์ ประชุมชี้แจงการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี 2564 กลุ่มพื้นที่ภาคกลาง และประชุมหารือหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อติดตามงานโครงการส่วนพระองค์ตำบลบางแตน
วันศุกร์ที่19มีนาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภาคกลาง25จังหวัดเป็นประธานการประชุมชี้แจงกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564กลุ่มพื้นที่ภาคกลาง(ครั้งที่2)จำนวน8จังหวัดได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทราชลบุรีระยองจันทบุรีตราดนครนายกปราจีนบุรีและสระแก้วณห้องประชุมเทพพระพิรุณ18ชั้น3สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปราจีนบุรีศูนย์ราชการจังหวัดปราจีนบุรีโดยในการประชุมครั้งนี้ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักแผนงานและโครงการพิเศษเกษตรและสหกรณ์จังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตร8จังหวัดเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบการชี้แจงแนวนโยบายของกระทรวงฯการหารือแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นข้อเสนอแนะและรับทราบปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานที่ผ่านมาใน4ประเด็นได้แก่1)งานตามนโยบาย/โครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์2)แนวทางการบริหารจัดการองค์กร3)เป้าหมายการพัฒนาภาคการเกษตรตามศักยภาพ/ความเหมาะสมของพื้นที่และ4)การบูรณาการ/การบริหารจัดการทรัพยากรภายในจังหวัด/ระหว่างจังหวัดเพื่อให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดขับเคลื่อนงานด้านการเกษตรระดับจังหวัดและระดับอำเภอเชื่อมโยงกับทิศทางการพัฒนาระดับภาคและระดับประเทศต่อไป
จากนั้นร่วมประชุมหารือ/พบปะหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีณห้องประชุมโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ตำบลบางแตนอำเภอบ้านสร้างจังหวัดปราจีนบุรีเพื่อติดตามโครงการสำคัญกระทรวงเกษตรฯเช่นโครงการพระราชดำริโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน(One Stop Service)เป็นต้นรวมทั้งให้คำแนะนำแนวทางงานกิจกรรมฟื้นฟูและการใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการส่วนพระองค์ตำบลบางแตนอำเภอบ้านสร้างจังหวัดปราจีนบุรีในส่วนของศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่(โคกหนองนา)ศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่พื้นที่11ไร่และแปลงการเกษตรขยายผลเพื่อให้เป็นต้นแบบการพัฒนาจำลองพื้นที่ด้านการเกษตรปศุสัตว์ประมงตลอดจนการพัฒนาทางด้านสังคมและงานศิลปาชีพอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40172 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คลัง จับมือ ศธ.” ส่งเสริมการออม นำร่องนักเรียน สพฐ. อายุ 15 ปีขึ้นไป พร้อมขยายต่อครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
“คลัง จับมือ ศธ.” ส่งเสริมการออม นำร่องนักเรียน สพฐ. อายุ 15 ปีขึ้นไป พร้อมขยายต่อครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ
“คลัง จับมือ ศธ.” ส่งเสริมความรู้การออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ นำร่องกลุ่มนักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อายุ 15 ปีขึ้นไป วางแผนการออมเพื่ออนาคต พร้อมขยายต่อครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ
“คลัง จับมือ ศธ.” ส่งเสริมความรู้การออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ นำร่องกลุ่มนักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อายุ 15 ปีขึ้นไป วางแผนการออมเพื่ออนาคต พร้อมขยายต่อครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ
(3 มีนาคม 2564) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ. เพื่อมุ่งวางรากฐานด้านการออมให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ได้สมัครเป็นสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการ กอช. และนายอัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. ร่วมมอบนโยบาย ณ ห้องประชุมแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน
กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ สำหรับประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี ซึ่งในปีนี้ กอช. ได้เร่งเดินหน้าสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวางแผนออมเงินกับ กอช. ในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชน อายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยความร่วมมือกับ ศธ. ในการส่งเสริม สนับสนุนให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาภายใต้สังกัด สพฐ. ได้รู้จักการออมเงินเพื่ออนาคต และสมัครเป็นสมาชิก กอช. รวมถึงออกแบบการเรียนรู้ด้านการวางแผนทางการเงินผ่านวิชาเรียน เพื่อวางรากฐานชีวิตที่มั่นคงให้แก่อนาคตของชาติ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ทาง สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. อบรมให้ความรู้ด้านวางแผนการออมเงินแก่ผู้อำนวยการ ครู และอาจารย์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 และ เขต 2 จำนวน 119 โรงเรียน และปีนี้จะดำเนินการต่อให้ครอบคลุม สพม. ทุกเขต เพื่อจะนำไปขยายผลการอบรมให้ความรู้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีการวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตและสมัครเป็นสมาชิก กอช. ทุกสถานศึกษาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ศธ.ได้มีการสอนเกี่ยวกับการออมอยู่แล้วในกลุ่มวิชาสังคมศึกษา จึงจะนำมาขับเคลื่อนเชิงรุกในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น การขายขนมจากชมรมคหกรรม การขายผลงานสิ่งประดิษฐ์ของกลุ่มนักเรียน เป็นต้น สร้างความตระหนักถึงการออมและเข้าใจค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้เรื่องการเงินนี้ ทาง ศธ.จะดำเนินการให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนสังกัด สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สซ.) และทุกสถานศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของ ศธ. ต่อไป
ปารัชญ์ ไชยเวช / สรุป อธิชนม์ สล้างสิงห์ /ถ่ายภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ยะลา บูรณาการทีมประเทศไทย มอบสิทธิสวัสดิการของรัฐให้กลุ่มโอรังอัสลี ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ยะลา บูรณาการทีมประเทศไทย มอบสิทธิสวัสดิการของรัฐให้กลุ่มโอรังอัสลี ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ยะลา บูรณาการทีมประเทศไทย มอบสิทธิสวัสดิการของรัฐให้กลุ่มโอรังอัสลี ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
วันนี้ (11 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เดินทางลงพื้นที่จังหวัดยะลา ณ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล ด้วยการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสมและครอบคลุมตามบริบทของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ สำหรับกลุ่มโอรังอัสลี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองเบตง ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. โดยขณะนี้ มีจำนวน 58 คน ซึ่งประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกินและไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร์ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐ วันนี้ กระทรวง พม. จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐทั้ง ศอ.บต. กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน โดยตนได้มอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองเบตง จำนวน 30 ไร่ ให้กับ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อให้กลุ่มโอรังอัสลีได้มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งมอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด อีกทั้งนายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้มอบบัตรประจำตัวประชาชน และผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ เราจะเห็นว่ามีความคืบหน้าในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มโอรังอัสลีจากที่เคยได้บัตรประจำตัวประชาชนชั่วคราว วันนี้ ได้มีบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง และจากที่ไม่มีที่ดินทำกิน วันนี้ ได้มีที่ดินทำกิน รวมทั้งมีจิตอาสาและสวัสดิการของรัฐที่เข้าถึงได้ นับเป็นเรื่องที่ทำเพื่อกลุ่มชาติพันธ์ดังกล่าว ดังเพลงชาติที่ว่าประเทศไทยร่วมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เพราะทุกคนที่อยู่ในพื้นแผ่นดินไทยเป็นคนไทยเหมือนกันหมด และเราขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะมีประชากรจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เจตจำนงของรัฐบาลคือเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยกลุ่มโอรังอัสลี ซึ่งเราจะดูแลให้มีอนาคต มีศักดิ์ศรี และมีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน รวมทั้งมีอาชีพเป็นของตนเอง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีการมอบบัตรประจำตัวอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และใบประกาศแก่บัณฑิตอาสาแกนนำอำเภอ จำนวน 44 อำเภอๆ ละ 1 คน รวมทั้งมีการมอบอุปกรณ์การเรียน และเงินสงเคราะห์เป็นทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนตาดีกา จำนวน 2 แห่งๆ ละ 20 ทุน ได้แก่ ศูนย์การเรียนประจำมัสยิดตาดีกา มิฟ ตัล ฮูล ญัน นะห์ บ้านเบ้อเส้ง มีเด็กจำนวน 120 คน และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) อิส ตี กอ มะฮ์ มีเด็กจำนวน 80 คน และมีการมอบชุดอุปกรณ์ประกอบอาชีพทำขนมและทุนประกอบอาชีพแก่แม่เลี้ยงเดี่ยว มูลค่า 30,000 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39873 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” เปิดระบบกระจายน้ำต้นทุน แก้ภัยแล้ง เพิ่มรายได้วิสาหกิจชุมชน จ.ยโสธร | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
“วราวุธ” เปิดระบบกระจายน้ำต้นทุน แก้ภัยแล้ง เพิ่มรายได้วิสาหกิจชุมชน จ.ยโสธร
“วราวุธ” เปิดระบบกระจายน้ำต้นทุน แก้ภัยแล้ง เพิ่มรายได้วิสาหกิจชุมชน จ.ยโสธร
“วราวุธ” เปิดระบบกระจายน้ำต้นทุน แก้ภัยแล้ง เพิ่มรายได้วิสาหกิจชุมชน จ.ยโสธร
วันนี้ (20 มี.ค. 64) เวลา 8.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่เปิดโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (หนองบ่อ-หนองแข้) บ้านนาเวียง ตำบลกู่จาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร และเยี่ยมชมนิทรรศการ การสาธิตการจัดทำผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงของวิสาหกิจชุมชน มอบน้ำดื่มแก่ตัวแทนผู้นำชุมชน และปลูกต้นรวงผึ้ง บริเวณโครงการฯ โดยมีนายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ดีใจกับประชาชนบ้านนาเวียง ที่ได้รับการสนับสนุนโครงการด้านทรัพยากรน้ำจากรัฐบาล ภายใต้การกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความห่วงใยต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และพัฒนาระบบกระจายน้ำ จะเป็นการเพิ่มการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ สนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง พร้อมกล่าวทิ้งท้ายให้ประชาชนในพื้นที่ ใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า และช่วยกันดูแลรักษาระบบให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
โดยแหล่งน้ำหนองบ่อ-หนองแข้ เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ เดิมมีสภาพตื่นเขิน เก็บกักน้ำได้น้อย ไม่พอเพียงต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในฤดูร้อนน้ำจะแห้งขอดในปีงบประมาณ 2562 จึงได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ของแหล่งน้ำที่ดำเนินการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้แล้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรของหมู่บ้าน ด้วยการเพิ่มระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรได้นำน้ำไปใช้ในการเพาะปลูกพืชไร่ พืชสวน พืชผักสวนครัว สร้างรายได้เสริมหลังฤดูเก็บเกี่ยว โดยเน้นการปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อย สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงาน ลดการละทิ้งถิ่นฐานไปทำงานนอกพื้นที่ โดยมีคณะกรรมบริหารกลุ่มผู้ใช้น้ำและสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำร่วมกันดูแลบำรุงรักษา ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 470 ไร่ ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์ 227 ครัวเรือน (900 คน) ซึ่งระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับวิสาหกิจชุมชน
ในปีงบประมาณ 2563 ได้ดำเนินโครงการระบบกระจายน้ำ สนับสนุนเกษตรแปลงใหญ่ถั่วลิสงเพิ่มเติม เพื่อให้มีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการสร้างผลผลิตทางการเกษตร โดยการติดตั้งหอถังสูงทรงแคปซูล ขนาด 100 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 3 ถัง พร้อมปั๊มสูบน้ำผิวดินด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 310 วัตต์ จำนวน 96 แผง และต่อท่อความยาว 800 เมตร งบประมาณ 9.85 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ หากแล้วเสร็จจะสามารถกระจายน้ำครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มอีกประมาณ 520 ไร่ ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์กว่า 110 ครัวเรือน (480 คน) ทั้งนี้ เมื่อโครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แล้วเสร็จทั้งหมด พื้นที่เกษตรจะได้รับประโยชน์ รวมกว่า 1,200 ไร่ เกิดการจ้างงานในพื้นที่ คาดว่ารายได้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยครัวเรือนจะได้ประโยชน์ประมาณ 387 ครัวเรือน (1500 คน)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40180 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรมแจง คณะกรรมการเร่งประมวลผลการทำงานราชทัณฑ์ คาด ๗ วันรู้ผล ชี้มีบันทึกหลักฐาน - วิดีโอการทำงานชัดตรวจสอบได้ ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมตามมาตรฐานสากล ไม่ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรมแจง คณะกรรมการเร่งประมวลผลการทำงานราชทัณฑ์ คาด ๗ วันรู้ผล ชี้มีบันทึกหลักฐาน - วิดีโอการทำงานชัดตรวจสอบได้ ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมตามมาตรฐานสากล ไม่
ปลัดกระทรวงยุติธรรมแจง คณะกรรมการเร่งประมวลผลการทำงานราชทัณฑ์ คาด ๗ วันรู้ผล ชี้มีบันทึกหลักฐาน - วิดีโอการทำงานชัดตรวจสอบได้ ยันดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมตามมาตรฐานสากล ไม่ได้ให้ใครเป็นพิเศษ
ในวันพุธที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวการจัดตั้งคณะกรรมการประมวลข้อเท็จจริงในการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ที่ประชาชนสนใจ เพื่อประมวลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ที่ประชาชนสนใจ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์จะมีการชี้แจงไปแล้ว โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อประมวลข้อเท็จจริง และตั้งนายวัลลภ นาคบัว เป็นประธานกรรมการ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวแทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เข้ามาดูแลในส่วนนี้ ประเด็นที่มีข้อกล่าวหาและความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการทำงานของกรมราชทัณฑ์ มีหลายประเด็น แต่ทางราชทัณฑ์ได้แถลงเป็นทางสาธารณะแล้ว แต่ทางกระทรวงฯ ต้องตรวจสอบและประมวลผลในเรื่องนี้ ข้อกล่าวหาว่าผู้ต้องขังมีความรู้สึกถึงการถูกทำร้ายและการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม มีการดำเนินการในยามวิกาล เรื่องนี้ตนคิดว่าเราคงต้องประมวลผลอย่างเร่งด่วน สิ่งที่เราได้สั่งการให้ดำเนินการดูแลในเรื่องนี้ ขอให้ได้ความชัดเจนในสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ซึ่งน่าจะตรวจสอบได้เพราะมีหลักฐานชัดเจน รวมทั้งกรมราชทัณฑ์มีระเบียบการปฏิบัติงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยเมื่อผลการสอบสวนออกมาเป็นอย่างไร จะเร่งชี้แจงให้ทราบ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีหลายคนสงสัยว่า กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ ทำในเวลากลางคืนเหมาะสมหรือไม่นั้น เรื่องนี้เป็นไปตามหลักการ ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ยืนยันมาตลอดในการป้องกันโควิด ป้องกันคนหมู่มาก โดยคณะกรรมการชุดนี้ที่แต่งตั้งขึ้นมา จะมีอำนาจเพิ่มเติม สามารถแนะนำและตั้งข้อสังเกตหากการปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐานแล้ว การตรวจโควิดต่างๆ ควรจะต้องมีแนวทางอย่างไรให้ทุกคนคิดถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาถึงมาตรการอีกครั้งว่าเหมาะสมหรือไม่หรือต้องแก้ไขอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเข้าไปยามวิกาล ตอนตี ๒ เหมาะสมหรือไม่ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า ทางราชทัณฑ์มีกระบวนการ มีระบบการบันทึกการทำงานและมีวิดีโอ ซึ่งได้ส่งให้หน่วยงานทางกระบวนการยุติธรรมช่วยดูแล้ว เราพยายามทำเรื่องที่เป็นจริงให้ปรากฏ ซึ่งกระบวนการสอบสวนไม่น่าจะเกิน ๗ วัน น่าจะได้ข้อสรุปความเป็นจริง ส่วนมาตรฐานอื่นๆ เราก็กังวลใจว่า การตรวจโควิด หากเข้าเรือนจำจะเป็นปัญหามาก แต่หากคนที่ไม่อยากตรวจจะทำอย่างไร นี่อาจจะเป็นเรื่องของมาตรฐานที่ต้องควรปรับปรุง ในส่วนของหน่วยงานศาลคงต้องทำควบคู่กันไป
เมื่อถามว่า มีการปฏิบัติเป็นการพิเศษกับคนกลุ่มนี้หรือไม่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ในหลักการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดเรามีข้อจำกัดในการดูแลคนหมู่มากของยูเอ็น หากมีการเจ็บป่วยบาดเจ็บเดินไม่ได้ เราจะดูแลเป็นพิเศษ หน้าที่ของเราคือดูแลทุกคนให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งไม่ใช่แค่ ๗ คนนี้เท่านั้น แต่ทุกคนต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม หลักการดูแลตามมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าอย่างไร เราจะเร่งให้กรรมการชี้แจงทันที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40098 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำหัวหน้าส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานบนความถูกต้อง ยึดหลัก Good Governance เน้นประชาสัมพันธ์ภาครัฐให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ใช้โซเชียลเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำหัวหน้าส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานบนความถูกต้อง ยึดหลัก Good Governance เน้นประชาสัมพันธ์ภาครัฐให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ใช้โซเชียลเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
นายกรัฐมนตรีย้ำหัวหน้าส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานบนความถูกต้อง ยึดหลัก Good Governance เน้นประชาสัมพันธ์ภาครัฐให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ใช้โซเชียลเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
วันนี้ (4 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO Conference เน้นการทำงานคณะหัวหน้าส่วนราชการฯ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินทั้งระบบของประเทศ เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และระดับรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ไปสู่ระดับพื้นที่ เน้นให้หัวหน้าส่วนราชการบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่และท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อไปยังประชาชนในพื้นที่ บนความต้องการของประชาชนและระดับพื้นที่ขึ้นมา ทั้ง Top Down และ Bottom Up โดยยึดหลัก Good Governance คือ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยหลักธรรมาภิบาล ด้วยความสุจริต โปร่งใส และอยู่บนความถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบที่กำหนดไว้ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านทำงานบรรลุผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงการบริหารจัดแนวใหม่ เพื่อให้ขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโต ก้าวหน้าภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมกันนี้ขอบคุณทุกหน่วยงานและประชาชนที่ร่วมกันรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ สามารถควบคุมได้ผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาโดยลำดับ ซึ่งจะมอบหมายให้ ศบค. ไปพิจารณามาตรการผ่อนปรนเพิ่มเติมเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างสามารถเดินไปได้และทำให้เกิดผลดีกับประชาชนโดยรวม สำหรับการจัดหาวัคซีนโควิด-19 รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่และดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เอื้อผลประโยชน์ต่อบุคคลใดทั้งสิ้น โดยมีคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์พิจารณาผู้พิจารณาให้การดำเนินการให้เป็นไปด้วยเหมาะสมและเกิดความปลอดภัย ขณะนี้ได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปบ้างแล้ว และจะมีการทยอยฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นตามลำดับ
นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยแม้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะลดลงและมีวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่ในต่างประเทศยังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มขึ้นอยู่ จึงขอให้ทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอยู่ ล้างมือให้สะอาด เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้น
ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีได้ฝากให้หัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงานปรับรูปแบบการประชาสัมพันธ์ใหม่ให้น่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยน ดึงสื่อโซเชียลมาใช้ให้เข้าถึงประชาชนและกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ รวมทั้งช่วยกันเผยแพร่สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ทั้งการแก้ปัญหาโควิด-19 การขับเคลื่อนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ โดยทำงานเชิงรุกที่มีการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนที่ชัดเจน
...........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.วราวุธ ” ส่งมอบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ พลิก 728 ไร่ แก้ภัยแล้ง - เกษตรกรยโสธร ยิ้มลั่นทุ่ง ชูสร้างเงินจากแตงโมอินทรีย์รูปหัวใจ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
“รมว.วราวุธ ” ส่งมอบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ พลิก 728 ไร่ แก้ภัยแล้ง - เกษตรกรยโสธร ยิ้มลั่นทุ่ง ชูสร้างเงินจากแตงโมอินทรีย์รูปหัวใจ
“รมว.วราวุธ ” ส่งมอบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ พลิก 728 ไร่ แก้ภัยแล้ง - เกษตรกรยโสธร ยิ้มลั่นทุ่ง ชูสร้างเงินจากแตงโมอินทรีย์รูปหัวใจ
“รมว.วราวุธ ” ส่งมอบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ พลิก 728 ไร่ แก้ภัยแล้ง - เกษตรกรยโสธร ยิ้มลั่นทุ่ง ชูสร้างเงินจากแตงโมอินทรีย์รูปหัวใจ
วันนี้ (19 มี.ค. 64) เวลา 16.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่บ้านดู่ทุ่ง หมู่ที่ 10 ตำบลดู่ทุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ส่งมอบโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ และเปิดน้ำบาดาลเข้าระบบแปลงเกษตร รวมถึงพบปะพูดคุยกับประชาชนที่มาร่วมงาน พร้อมเยี่ยมชมการปลูกแตงโมอินทรีย์รูปหัวใจของเกษตรกรที่ใช้น้ำบาดาลจากโครงการฯ เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการให้น้ำด้วยระบบน้ำหยดในโรงเรือน และจำหน่ายได้ถึงลูกละ 1,000 บาท โดยมี นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ให้การต้อนรับ
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสมาส่งมอบโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่บ้านดู่ทุ่ง ซึ่งเป็น 1 ใน 6 พื้นที่นำร่องที่ดำเนินการในปีงบประมาณ 2563 ที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซากให้กับพี่น้องประชาชน ทำให้มีน้ำใช้เพิ่มปีละเกือบ 200,000 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับประโยชน์กว่า 728 ไร่ ในการนำไปอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรน้ำน้อย โดยขอฝากไว้ว่า เมื่อนำน้ำใต้ดินมาใช้แล้ว ขอให้ใช้อย่างประหยัดและรู้คุณค่า และช่วยธรรมชาติเติมน้ำกลับไปเก็บไว้ใต้ดิน เพื่อนำมาใช้ในยามแล้งต่อไปด้วย
โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่บ้านดู่ทุ่ง ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาล ขนาด 6 นิ้ว จำนวน 4 บ่อ และระบบเครื่องสูบน้ำระยะไกลแบบผิวดิน ขนาด 5.5 แรงม้า มีเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าขนาด 8,000 วัตต์ หอถังเหล็กเก็บน้ำ ความสูง 9 เมตร ขนาดความจุ 100 ลูกบาศก์เมตร (100,000 ลิตร) จำนวน 3 ชุด และมีระบบท่อกระจายน้ำระยะทางรวม 6,500 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ของกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ 92 ราย พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 728 ไร่ สามารถผลิตน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรได้ไม่น้อยกว่า 197,640 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
ผลผลิตส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นข้าวอินทรีย์ และเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์ภายใต้แบรนด์ ข้าวสาร “ฮักแพง แบ่งปัน” ถั่วลิสง “ปันฮัก” ข้าวผงพร้อมชง/น้ำข้าวกล้องงอก “เสี่ยวฮัก” และแตงโมรูปหัวใจ ผลจากโครงการช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีผลผลิตที่มากขึ้น คุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์น้ำบาดาลอย่างคุ้มค่า สร้างรายได้ สร้างความสุข ตรงตามวัตถุประสงค์โครงการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40159 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แถลงความคืบหน้าในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
รฟม. แถลงความคืบหน้าในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
วันที่ 9 มีนาคม 2564 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า รฟม. มีความคืบหน้าในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ดังนี้
1) รฟม. ได้ออกประกาศยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ตามประกาศดังกล่าว โดยติดประกาศ ณ ที่ทำการ รฟม. และเผยแพร่ทางหน้าเว็บไซต์ www.mrta.co.th เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
2) รฟม. ได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดี รวมถึงเหตุแห่งการพิจารณาเกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองไม่มีอยู่ต่อไป และคดีนี้มิได้เป็นคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ การพิจารณาคดีต่อไปไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งอนุญาตให้คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และ รฟม. ถอนอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และ รฟม. ได้ยื่นคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริงและขอให้จำหน่ายคดีต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางได้มีคำสั่ง ฉบับลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 จำหน่ายคดีในข้อหาที่ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีตามคำขอที่ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งพิพาทหมดสิ้นไป ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อออกคำบังคับตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ต่อไปอีก และศาลยังได้มีคำสั่งให้ คำสั่งศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 สิ้นผลบังคับลงไปด้วย
3) สืบเนื่องจากการยกเลิกการการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ข้างต้น รฟม. จึงได้เริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ขึ้นใหม่อีกครั้ง ตามขั้นตอนในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ส่วนที่ 2 (การคัดเลือกเอกชน) โดยเริ่มตั้งแต่มาตรา 35 ซึ่งระบุให้ หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และร่างสัญญาร่วมลงทุน เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง (Opinion Hearing) และนำความคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการจัดทำเอกสาร ทั้งนี้ วิธีการและขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนดังกล่าว รฟม. ดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน พ.ศ. 2563 โดยเนื้อหาที่เปิดรับฟังหลักๆ ประกอบด้วย สาระสำคัญของร่างประกาศเชิญชวน สาระสำคัญของร่างเอกสาร RFP และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน
4) รฟม. ได้ออกประกาศการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนประกอบการพิจารณาจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 โดยในส่วนของหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเอกชนนั้น รฟม. เห็นว่า จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่เส้นทางโครงการฯ ที่เอกชนผู้ร่วมลงทุนต้องดำเนินการด้วยเทคนิคก่อสร้างที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด จึงกำหนดวิธีประเมินคะแนนด้านเทคนิคและคุณภาพควบคู่คะแนนด้านผลตอบแทนและการลงทุน (Price-Performance) ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และสาระสำคัญของร่างสัญญาฯ พ.ศ. 2563 โดยในข้อ 4(8) ที่ให้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่ให้ระบุหลักเกณฑ์และวิธีการตัดสินเป็นคะแนนในทุกด้านทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา
5) การรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน เป็นเพียงการรวบรวมความเห็นของเอกชนเพื่อนำมาใช้ประกอบในการปรับปรุงร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาฯ ตามที่ รฟม. เห็นสมควร โดยคำนึงถึงความสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ เท่านั้น เพื่อที่ รฟม. จะนำร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาฯ รวมถึงผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว เสนอคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบตามหน้าที่และอำนาจในมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ต่อไป
ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทางรวม 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จำนวน 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39817 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
รมว.วธ.ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
รมว.วธ.ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
วันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง ๑๒ กระทรวง ๑ หน่วยงาน โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมลงนามบันทึกข้อตงลงความร่วมมือในครั้งนี้ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39576 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวสวนปลื้ม! ไทย - จีน ร่วมมือพัฒนาการเกษตร | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ชาวสวนปลื้ม! ไทย - จีน ร่วมมือพัฒนาการเกษตร
...
จีนนับเป็นคู่ค้าที่สำคัญด้านการเกษตรของไทย โดยในปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกผลไม้ไปจีน 1,624,000 ตัน มูลค่ารวม 102,800 ล้านบาท ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งผลไม้ยอดนิยม 5 อันดับแรกที่ตลาดจีนถูกใจ ได้แก่
.
1. ทุเรียน 620,000 ตัน มูลค่า 66,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของผลไม้ที่จีนนำเข้าทั้งหมด และเป็นประเทศเดียวในโลกที่จีนยอมให้นำเข้าผลทุเรียนสด
2. ลำไย 378,000 ตัน มูลค่า 14,400 ล้านบาท
3. มังคุด 287,000 ตัน มูลค่า 15,700 ล้านบาท
4. มะพร้าวอ่อน 270,000 ตัน มูลค่า 4,900 ล้านบาท
5.ขนุน 22,700 ตัน มูลค่า 400 ล้านบาท
.
ปริมาณการค้าที่มากมายนี้ เกิดจากความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจะยังคงประสานความร่วมมือกันเหนียวแน่นมากขึ้นในปีนี้ เช่น มาตรการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ผลักดันสินค้าเกษตรขายผ่านออนไลน์อย่าง อาลีบาบา ลาซาด้า ช็อปปี
.
นโยบาย “เกษตรปลอดภัย อาหารปลอดภัย”ออกระบบรับรองมาตรฐาน GAP GMP Organic Halal และ Q ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค
.
การอำนวยความสะดวกที่ด่านส่งออกทั้ง 4 ด่าน ได้แก่ ด่านโมฮ่าน ด่านโหยวอี้กวน ด่านตงชิง และด่านผิงเสียง รวมถึงการพัฒนาเส้นทางจนส่งทางรถไฟ เชื่อม ไทย - ลาว - จีน และ ไทย - เวียดนาม - จีน ร่วมกัน
.
นอกจากนี้ จีนยังพร้อมสนับสนุนการลงทุน โครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร ใน 8 กลุ่มจังหวัดของไทย ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ กลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน กลุ่มจังหวัดอีสานตอนกลาง กลุ่มจังหวัดอีสานตอนล่าง กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (อีอีซี) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน(กลุ่มล้านนา) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนกลาง
.
ขณะเดียวกัน ยังพร้อมสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการ เช่น ให้เกษตรกรไทยไปศึกษาดูงานเกษตรอัจฉริยะที่จีน และสัมมนาจับคู่ผู้ประกอบการ เป็นต้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39779 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔
รมว.วธ.เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔
วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ระวังภัยจากสาย/นายหน้าเถื่อน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
เตือนคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ระวังภัยจากสาย/นายหน้าเถื่อน
กรมการจัดหางาน เผย ยอด 4 เดือน คนหางานต่างประเทศร้องทุกข์และขอความช่วยเหลือ 129 ราย เหตุเพราะหลงเชื่อนายหน้าเถื่อนถึง 124 ราย
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในการตรวจสอบผู้ที่อ้างว่าสามารถจัดส่งคนไปทำงานต่างประเทศ โดยการโฆษณาชักชวนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ และมีพฤติกรรมหลอกลวงคนหางาน ซึ่งพบผู้มีพฤติการณ์ดังกล่าว มักชักชวนเหยื่อผ่านทางเฟซบุ๊คหรือไลน์ อ้างรายได้ดี มีที่พัก เป็นกิจการที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเรียกเก็บเฉพาะค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า และสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ทันทีไม่ต้องติดต่อกรมการจัดหางาน พร้อมอ้างว่ารู้วิธีหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริง ข้อมูลจากกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ชี้ว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มกราคม 2564 มีคนหางานร้องทุกข์กับกรมการจัดหางานทั้งสิ้น 129 ราย ในจำนวนนี้เป็นกรณีถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวงถึง 124 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการรับเรื่องร้องทุกข์ และแจ้งความดำเนินคดีแล้วทั้งสิ้น โดยประเทศที่คนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ญี่ปุ่น โรมาเนีย และบาร์เรน ตามลำดับ และตำแหน่งงานที่สาย/นายหน้าเถื่อนมักใช้ประกาศรับสมัคร ได้แก่ งานโรงงาน งานสวน/งานเก็บผลไม้ งานนวด งานร้านอาหาร และช่างเชื่อม
“กรมการจัดหางานได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ดำเนินการตรวจสอบ เฝ้าระวัง ผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานในพื้นที่รับผิดชอบ และให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดหากพบผู้กระทำความผิด ขอย้ำว่าการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ขอให้คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทางโซเชียลมีเดีย และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินหรือโอนเงินให้กับผู้ใด หรือหากต้องการตรวจสอบว่าบริษัทจัดหางานที่ประกาศรับสมัครไปทำงานต่างประเทศนั้นได้รับอนุญาตจริงหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท โดยในเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา ด่านตรวจคนหางานได้ระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และมีคนงานไทยเดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ ที่เดินทางผ่านด่านตรวจคนหางาน จำนวน 2,096 คน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือ สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39590 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าจัดโครงการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือลำเลียง ครั้งที่ 1 | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าจัดโครงการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือลำเลียง ครั้งที่ 1
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม โดยศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีและกองคนประจำเรือ จัดโครงการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือลำเลียง ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มทักษะการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นประธานเปิดโครงการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือลำเลียง ครั้งที่ 1 โดยมี นายสุขิน รัตนเสถียร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กล่าวรายงาน และมีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 40 คน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ณ ห้องประชุม บริษัท นิมฟ์สุวรรณคลังปุ๋ย จำกัด อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล กล่าวว่า การขนส่งสินค้าทางเรือเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีค่าขนส่งต่ำและสามารถบรรทุกสินค้าได้เป็นจำนวนมาก เรือลำเลียงจึงเป็นส่วนหนึ่งในการขนส่งสินค้าทางน้ำที่มีบทบาทสำคัญต่อการขนส่งสินค้าในด้านเศรษฐกิจ โดยใช้เส้นทางการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างจังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ ชลบุรี ไปยังภาคใต้ เนื่องด้วยปัจจุบันคนประจำเรือมีจำนวนลดน้อยลง ประกอบกับไม่มีหลักสูตรที่กำหนดให้เป็นมาตรฐาน ส่งผลให้คนประจำเรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จท. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลความปลอดภัยการขนส่งทางน้ำ ได้เห็นความสำคัญต่อบทบาทการขนส่งสินค้าทางน้ำ จึงมีนโยบายจัดหาโรงเรียนสำหรับฝึกอบรมคนประจำเรือลำเลียง และริเริ่มการจัดหลักสูตรฝึกอบรมผู้ควบคุมเรือลำเลียงโดยศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีและกองคนประจำเรือ เพื่อสร้างคนประจำเรือให้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น และให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานได้จริง ตลอดจนสร้างความปลอดภัยในเรือและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางน้ำให้คงสภาพที่ดีต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แก้ถึงระดับท้องถิ่น! เตรียมออกกฎหมายจบปัญหาคุณแม่วัยใส | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
แก้ถึงระดับท้องถิ่น! เตรียมออกกฎหมายจบปัญหาคุณแม่วัยใส
...
ปัญหาคุณแม่วัยใส หรือการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลเร่งแก้ไขมาโดยตลอด ทั้งในระดับภาพรวมและลงลึกถึงระดับท้องถิ่น ล่าสุด ได้มีการอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ... เพื่อแก้ปัญหาคุณแม่วัยใสในระดับท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม
.
โดยกำหนดให้ส่วนท้องถิ่นต้องจัดบริการให้วัยรุ่นในพื้นที่ได้รับการป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์อย่างรอบด้าน ถูกต้อง และไม่เลือกปฏิบัติ ดังนี้
.
1.จัดให้มีสถานบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ มีบุคลากรให้บริการข้อมูลข่าวสารและให้คำปรึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว
2.จัดสวัสดิการทางสังคมให้แก่วัยรุ่น เช่น การฝึกอบรมการประกอบอาชีพหรือจัดหางาน ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม
3.จัดให้มีระบบประสาน ส่งต่อ และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงแรงงาน เพื่อดูแลและช่วยเหลือคุณแม่วัยใสอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
.
หลังจากนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้มีจุดบริการเชิงรุกที่เข้าถึงวัยรุ่นทุกคน และลดจำนวนคุณแม่วัยใสทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๒ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๒ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๒ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๘ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม
ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร
และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๒ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
โดยที่ประชุมรับทราบข้อมูลแสดงการให้ความช่วยเหลือประชาชน ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ในภาพรวมทั่วประเทศ
และรับทราบรายงานการให้ความช่วยเหลือกรณียุติคำขอรับความช่วยเหลือเงินกองทุนยุติธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานครฯ คณะที่ ๒ จำนวน ๑๑ ราย
พิจารณาอนุมัติ จำนวน ๕ ราย เป็นจำนวนเงิน ๑๒,๗๐๐,๐๐๐ บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39658 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมอ แนะลูก หลาน ระวังนำเชื้อโควิด 19 ติดผู้สูงอายุในบ้าน เสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
หมอ แนะลูก หลาน ระวังนำเชื้อโควิด 19 ติดผู้สูงอายุในบ้าน เสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข เตือนลูก หลาน โดยเฉพาะที่อยู่ในพื้นที่ที่ยังมีความเสี่ยงโควิด 19 ให้ระวังตนเอง และเข้มมาตรการ DMHT ป้องกันการนำเชื้อติดผู้สูงอายุในบ้าน เสี่ยงอาการรุนแรง และเสียชีวิตได้ ย้ำประชาชนทั่วไป “การ์ดไม่ตก”
บ่ายวันนี้ (2 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 42 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 35 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 4 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 96 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้อ 26,073 ราย เสียชีวิตสะสม 84 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อสะสมระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 2 มีนาคม 2564 มีจำนวน 21,836 ราย หายป่วยสะสม 21,243 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.28 ยังอยู่ระหว่างการรักษา 569 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เสียชีวิตสะสม 24 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ใน 6 จังหวัด ได้แก่ จ.ตาก นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และกทม. สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขยังคงมาตรการและเฝ้าระวังเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้เสียชีวิตรายใหม่วันนี้ เป็นชายไทยอายุ 92 ปี จ.ปทุมธานี มีประวัติโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ติดเชื้อจากหลานที่เป็นแม่ค้าในตลาดสด จ.ปทุมธานี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วยอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ผลตรวจพบเชื้อโควิด 19 ต่อมามีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าว ถือเป็นบทเรียนให้ลูก หลาน หรือครอบครัวที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมบ้าน อย่าประมาท การ์ดไม่ตก ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด พยายามเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย และเมื่อออกจากบ้าน โดยเฉพาะเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ใกล้เคียงที่อาจพบผู้ที่ติดเชื้อได้ ต้องระมัดระวังปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยของตนเองและสมาชิกทุกคนในครอบครัว ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงที่มีวัคซีนจำนวนจำกัด ยังไม่มีการฉีดเป็นวงกว้าง จึงขอให้ประชาชนคงมาตรการป้องกันตนเอง DMHT ต่อไป
******************************* 2 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39557 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดใช้ระบบงานใบอนุญาตประกอบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (DLT E-Transport License) | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดใช้ระบบงานใบอนุญาตประกอบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (DLT E-Transport License)
พร้อมด้วย นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมี นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) กรมบัญชีกลาง สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) ร่วมในพิธี
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เปิดใช้ระบบงานใบอนุญาตประกอบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (DLT E-Transport License) ซึ่งเป็นระบบการให้บริการด้านประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกในรูปแบบออนไลน์ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งพัฒนาภาครัฐไปสู่รัฐบาลดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการให้บริการประชาชน ด้วยการสร้างนวัตกรรมการให้บริการรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องและสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 โดยยึดหลักการบริหารงานภาครัฐแบบสมัยใหม่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงาน ทั้งนี้ ขบ. ถือเป็นหน่วยงานที่มีระบบการให้บริการประชาชนจำนวนมาก และได้พัฒนาระบบงานมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนได้รับการให้บริการที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในส่วนของการพัฒนาระบบงานใบอนุญาตประกอบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (DLT E-Transport License) นับเป็นมิติใหม่ของการให้บริการด้านประกอบการขนส่งซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกโดยตรง ระบบงานดังกล่าวรองรับทุกกระบวนการในการดำเนินงานด้านประกอบการขนส่ง มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลขั้นสูง เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการยื่นคำขอ ลดการใช้กระดาษด้วยการยื่นคำขอและส่งเอกสารหลักฐานแบบออนไลน์ ลดระยะเวลาการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถขอหรือต่อใบอนุญาตประกอบการขนส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยผู้ประกอบการขนส่งไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่ ขบ. พร้อมทั้งมีระบบนัดหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่เก็บ ซ่อม และบำรุงรักษารถ ตามเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบการขนส่ง อีกทั้งยังพัฒนาการออกใบอนุญาตประกอบการขนส่งรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และสอดคล้องตามกฎหมายองค์การสหประชาชาติ (UN) และสหภาพยุโรป (EU) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการขนส่งสามารถนำเอกสารดังกล่าวไปดำเนินการหรือติดต่อกับหน่วยงานอื่นได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นการสนับสนุนและเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ พร้อมผลักดัน
ให้ภาคธุรกิจเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีหรือทำธุรกรรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการขนส่งให้สามารถประกอบการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อทุกภาคส่วน พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการขนส่งใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวในการยกระดับคุณภาพในการให้บริการและความปลอดภัยในขณะทำการขนส่ง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับภาครัฐในการลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
ระบบงานใบอนุญาตประกอบการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (DLT E-Transport License) ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สนับสนุนระบบรองรับการยื่นเอกสารแบบออนไลน์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) สนับสนุนระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) รองรับมาตรฐาน วิธีการ กระบวนงานต่าง ๆ และการออกเอกสารรูปแบบ e-license กรมบัญชีกลางสนับสนุนการให้บริการชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบ e-payment ทั้งนี้ ระบบงานดังกล่าวครอบคลุมการดำเนินงานด้านใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง ได้แก่ การยื่นคำขอแบบออนไลน์ การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การเพิ่มรถในใบอนุญาต การบรรจุรถในใบอนุญาต การถอนรถในใบอนุญาต และการแก้ไขรายละเอียดในใบอนุญาต โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1) ผู้ประกอบการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนผ่าน Open ID Identity Assurance Level 1.3 ที่เว็บไซต์ http://etl.dlt.go.th 2) ยื่นคำขอผ่านระบบ DLT E-Transport License 3) เจ้าหน้าที่รับเรื่องพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลคำขอ 4) นัดหมาย - ยืนยันการตรวจสถานที่เก็บรถ 5) ตรวจสถานที่เก็บรถ จัดส่งข้อมูลผ่าน Mobile Application 6) ผู้ประกอบการชำระค่าธรรมเนียมพร้อมรับใบเสร็จได้ทันที และ 7) รับใบอนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-License) สำหรับระยะแรกจะนำร่องให้บริการสำหรับผู้ประกอบการขนส่งที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และในระยะถัดไปจะขยายผลครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงกระบวนงานด้านประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40234 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดศูนย์ฯ ทบทวนสิทธิ์ ม.33เรารักกัน อำนวยความสะดวกผู้ประกันตน | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
เปิดศูนย์ฯ ทบทวนสิทธิ์ ม.33เรารักกัน อำนวยความสะดวกผู้ประกันตน
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิ์ ม33 เรารักกัน สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการลงทะเบียนรับสิทธิ์ในช่วงที่ผ่านมา และเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่เคยลงทะเบียน นำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดตัวจริงที่ยังไม่หมดอายุ ไปติดต่อเพื่อลงทะเบียนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 - 28 มีนาคม 2564 เวลา 8:30 น ถึง 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506
รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39963 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ห่วงลูกจ้างโรงงานชุดชั้นในสตรีสมุทรปราการกว่า 1,300 คน ถูกเลิกจ้าง สั่ง 5 เสือแรงงานลงพื้นที่ติดตามช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเร็ว | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ ห่วงลูกจ้างโรงงานชุดชั้นในสตรีสมุทรปราการกว่า 1,300 คน ถูกเลิกจ้าง สั่ง 5 เสือแรงงานลงพื้นที่ติดตามช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จำกัด ผู้ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในสตรี จ.สมุทรปราการ จำนวน 1,388 คน กรณีนายจ้างมีหนังสือแจ้งเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากสถานประกอบการปิดกิจการตั้งแต่ 11 มี.ค.64 เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จำกัด ผู้ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในสตรี จ.สมุทรปราการ กรณีนายจ้างมีหนังสือแจ้งเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากปิดกิจการว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก เข้าไปติดตามสาเหตุการประกาศหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน
นายสุชาติกล่าวต่อว่า จากรายงานของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ปรากฏว่า สถานประกอบการดังกล่าวตั้งอยู่เลขที่ 393 หมู่ที่ 17 นิคมฯ บางพลี ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในสตรี มีลูกจ้างรวม 1,388 คน และเมื่อวันที่ 10 มี.ค.64 นายพงศ์เทพ เพชรโสม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ได้รับประสานทางโทรศัพท์จากลูกจ้าง กรณีบริษัทฯ ได้มีหนังสือแจ้งเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากปิดกิจการ โดยให้มีผลการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.64 เป็นต้นไป เบื้องต้นในวันนี้ (11 มี.ค.64) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด แรงงานจังหวัด จัดหางานจังหวัด ประกันสังคมจังหวัด และผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 สมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการ และรับคำร้องของลูกจ้าง รวมถึงกระบวนการช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์จากการถูกเลิกจ้าง การขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง การฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ และบริการรับสมัครงาน โดยมีบริษัทใกล้เคียงเข้ามารับสมัครงานโดยตรง ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 สมุทรปราการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39861 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. โปรโมท “ประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล” รองรับไลฟ์สไตล์สังคมยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต และนักช้อปออนไลน์ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
คปภ. โปรโมท “ประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล” รองรับไลฟ์สไตล์สังคมยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต และนักช้อปออนไลน์
คปภ.มีมาตรการเชิงรุกในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ เพื่อช่วยบรรเทาเยียวยาความเดือดร้อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. มีมาตรการเชิงรุกในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ เพื่อช่วยบรรเทาเยียวยาความเดือดร้อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น โดยการสนับสนุนให้บริษัทประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่ตอบโจทย์ทุกมิติความเสี่ยงและความต้องการ รวมถึงกำลังซื้อของประชาชน ตลอดจนช่องทางการจำหน่ายที่เข้าถึงได้อย่างสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบการชำระเงินแบบอีเพย์เมนต์ (E-Payment) และระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ทำให้ประชาชนใช้บริการทางการเงินและทำธุรกรรมต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนมีพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น รวมถึงวิถีชีวิต แบบใหม่ในยุคดิจิทัล เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ หากเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายจากการใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตและการซื้อขายสินค้าออนไลน์ สำนักงาน คปภ. ขอแนะนำประชาชนให้นำระบบประกันภัย เข้าไปช่วยบริหารความเสี่ยงกรณีเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายดังกล่าว โดยนายทะเบียนประกันภัย ได้เห็นชอบแบบ ข้อความและอัตราเบี้ยประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล ของบริษัทประกันวินาศภัยไปแล้ว จำนวน 5 บริษัท ซึ่งค่าเบี้ยประกันภัยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันภัยและความคุ้มครองที่เลือกซื้อ โดยมีเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 200 บาท จนถึง 1,000 กว่าบาทต่อปีและหลายบริษัทอยู่ระหว่างจัดแผนประกันภัยให้สามารถเลือกซื้อได้
สำหรับความคุ้มครองของการประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล สามารถแบ่งออกเป็น 8 แบบความคุ้มครองหลัก ๆ ดังนี้
ความคุ้มครองแบบที่ 1 การถูกโจรกรรมเงินทางอินเทอร์เน็ต ที่เกิดจากการถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล หรือการถูกโจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยกระทำจากบุคคลภายนอก บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความสูญเสียหรือความเสียหายต่อเงิน หรือค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 2 การถูกกรรโชกทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ตโดยกระทำจากบุคคลภายนอก บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความสูญเสียหรือความเสียหายต่อเงินเรียกค่าไถ่ที่สูญเสียไป หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าว ตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 3 การถูกกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตโดยการกระทำจากบุคคลภายนอก ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี หรือค่าใช้จ่ายในการรักษาทางจิตวิทยา ตามหลักฐานที่เกิดขึ้นแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 4 การถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทางอินเทอร์เน็ตโดยกระทำจากบุคคลภายนอก บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีตามหลักฐานที่เกิดขึ้นและไม่สามารถเรียกร้องได้จากผู้รับผิดชอบจากแหล่งอื่น แต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 5 การคุกคามทางอินเทอร์เน็ตโดยกระทำจากบุคคลภายนอก บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกร้องได้จากผู้รับผิดชอบจากแหล่งอื่น ดังนี้ 1) ค่าใช้จ่ายในการกู้ข้อมูลหรือการล้างข้อมูลบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล 2) ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล 3) ค่าใช้จ่ายในการกู้ข้อมูล หรือการล้างข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่มีการติดตั้งระบบการควบคุมและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล ตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 6 การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต กรณีถูกหลอกลวงให้สั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและชำระเงินค่าสินค้าให้กับผู้ขายแล้ว แต่ผู้ขายไม่จัดส่งสินค้าให้ภายในเวลาที่กำหนด บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับจำนวนเงินที่ได้ชำระให้กับผู้ขายเพื่อซื้อสินค้าดังกล่าวตามใบเสร็จและไม่สามารถเรียกร้องได้จากผู้รับผิดชอบจากแหล่งอื่น แต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 7 การขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต กรณีถูกหลอกลวงให้ขายและได้มีการจัดส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อสินค้าออนไลน์แล้ว แต่ไม่ได้รับเงินค่าสินค้าภายในเวลาที่กำหนด บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับจำนวนเงินที่ไม่ได้รับการชำระเงินค่าสินค้าดังกล่าวตามใบเสร็จและไม่สามารถเรียกร้องได้จากผู้รับผิดชอบจากแหล่งอื่น แต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
ความคุ้มครองแบบที่ 8 ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกอันเกิดจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทางอินเทอร์เน็ต บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอาประกันภัยสำหรับจำนวนเงินที่ต้องรับผิดตามกฎหมายตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้
“แม้ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ส่วนบุคคล จะสามารถบริหารจัดการเพื่อควบคุมและลดความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชน หากเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายแล้วอาจจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา การทำประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล จึงเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อโอนความเสี่ยงไปให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบ หากเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ ในสัญญาประกันภัย โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของประชาชนยุคเศรษฐกิจดิจทัล ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนให้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน สำหรับเป็นทางเลือกให้รถแท็กซี่ใช้แทน GPS ติดตามรถได้ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนให้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน สำหรับเป็นทางเลือกให้รถแท็กซี่ใช้แทน GPS ติดตามรถได้
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จัดทำแอปพลิเคชันสำหรับเป็นทางเลือกให้รถแท็กซี่ใช้แทน GPS
โดยต้องมีความสามารถในการติดตามรถแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย และผู้โดยสารสามารถเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันได้ในขณะเดียวกัน เพื่อความสะดวกและเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับผู้ขับรถแท็กซี่ด้วย ซึ่ง ขบ. อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบควบคุม ตรวจสอบ และติดตามรถแท็กซี่ เพื่อความปลอดภัยผ่านแอปพลิเคชัน โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและสร้างความเข้าใจกับผู้ขับรถแท็กซี่
พร้อมกันนี้ได้ให้ ขบ. พัฒนาบริการรถรับจ้างทางเลือกให้กับประชาชนที่ต้องการมีรายได้เสริมและเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันการให้บริการการเดินทาง โดยเรียกใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่นิยมของประชาชน ซึ่งรถยนต์ที่นำมาให้บริการบางส่วนยังไม่สามารถนำมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ดังนั้น จึงกำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นอีกแบบหนึ่ง โดยการเรียกใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชน และส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวสามารถประกอบอาชีพได้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ จะได้มีการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไข การจดทะเบียนและผู้ขับรถ เจ้าของรถต้องมีและใช้อุปกรณ์เครื่องสื่อสารเพื่อรับงานจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ ขบ. ให้การรับรอง คนขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะเพื่อความปลอดภัยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องจัดทำประกันภัยสำหรับรถยนต์สาธารณะ ส่วนรถยนต์ที่จะนำมาเปลี่ยนประเภทเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ต้องเป็นรถเก๋งสองตอน รถเก๋งสองตอนแวน รถเก๋งสามตอน รถเก๋งสามตอนแวน รถยนต์นั่งสองตอน รถยนต์นั่งสองตอนแวน รถยนต์นั่งสามตอน รถยนต์นั่งสามตอนแวน หรือรถยนต์ลักษณะอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และจะกำหนดขนาดรถที่ให้บริการ ที่มีความหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน เมื่อดำเนินการเปลี่ยนประเภทเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ต้องแสดงเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดไว้ที่ตัวรถ โดยจะมีการกำหนดแบบของเครื่องหมายและตำแหน่งการติดตั้ง ส่วนทะเบียนรถยังคงใช้หมายเลขและแผ่นป้ายทะเบียนที่เป็นทะเบียนรถยนต์ส่วนบุคคลเดิม อย่างไรก็ตาม รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงกำหนดให้มีอายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปี นับแต่วันจดทะเบียนครั้งแรก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่อยู่ในขั้นตอนการออกกฎหมาย ได้มอบหมายให้ ขบ. พิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะมาให้บริการระบบแอปพลิเคชันในการเรียกรถให้สอดคล้องกับต่างประเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับทุนทะเบียนบริษัท เป็นต้น เพื่อให้ผู้ให้บริการระบบฯ มีความรับผิดชอบต่อสังคมในภาพรวม รวมทั้งการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ในกฎหมายสมควรจะให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแก้ได้ตามสถานการณ์หรือวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้ ขบ. เร่งรัดการดำเนินการออกฎหมายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการโครงการทั้งสองเรื่องได้พร้อมกัน รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนและผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40233 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมบอร์ด คนร. ย้ำกำหนดเป้าหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน ร่วมขับเคลื่อนจีดีพีประเทศให้บรรลุเป้าหมายร้อยละ 4 ในปีนี้ กำชับการทำงานทุกอย่างต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
นายกฯ ประชุมบอร์ด คนร. ย้ำกำหนดเป้าหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน ร่วมขับเคลื่อนจีดีพีประเทศให้บรรลุเป้าหมายร้อยละ 4 ในปีนี้ กำชับการทำงานทุกอย่างต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด คนร. ย้ำกำหนดเป้าหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน ร่วมขับเคลื่อนจีดีพีประเทศให้บรรลุเป้าหมายร้อยละ 4 ในปีนี้ กำชับการทำงานทุกอย่างต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ
วันนี้ (10 มี.ค.64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2564 ร่วมกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายต่อที่ประชุมว่า การทำงานของ คนร. ในปี 64 นี้ มีทั้งงานที่ต้องทำต่อเนื่องจากปี 63 งานที่ต้องทำใหม่ งานที่ต้องแก้ไขและฟื้นฟูให้กับรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดย คนร. ต้องพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ได้ทั้งในวันนี้และในอนาคต เพราะรัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องจักรหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการ คนร. ทุกคนคือทีมประเทศไทย นายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นหัวเรือ จะทำหน้าที่นำเรือฟันฝ่าอุปสรรคผ่านน้ำเชี่ยวในห้วงเวลานี้ให้ได้ ทั้งนี้ ในการทำงานจะต้องทำตามเป้าหมาย เจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ให้ได้ นำเป้าหมายทุกเรื่องเป็นตัวกำหนดตั้งต้น แล้วจึงวางแผนการทำงานที่ตอบสนองเป้าหมายเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้สำเร็จ รวมทั้งต้องวางแผนเตรียมการกับสิ่งที่ต้องเผชิญระหว่างการทำงานในข้างหน้าด้วย และในวันนี้รัฐบาลเตรียมพร้อมเรื่องของรัฐวิสาหกิจ เร่งขับเคลื่อนฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนจีดีพีประเทศในปี 64 ที่ร้อยละ 4 ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย โดยรัฐวิสาหกิจจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนจีดีพีประเทศ ดังนั้น จึงขอให้ได้มีการพิจารณาเรื่องการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะช่วยทำให้จีดีพีประเทศสูงขึ้นอย่างสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป็น New Normal ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ชาติคำนึงถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องตอบโจทย์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น BCG Model อีอีซี และ 5G เป็นต้น ซึ่งรัฐวิสาหกิจหลายแห่งก็มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานในเรื่องเหล่านี้ รัฐวิสาหกิจจึงจะต้องนำนโยบายของรัฐบาลไปขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้น รวมทั้งต้องประสานการทำงานกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ในวันนี้ต้องกำหนดเป้าหมายการพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน โดยไม่เป็นเพียงเป้าหมายแบบเดิม ๆ แต่เป็นเป้าหมายใหม่ที่เพิ่มจากเป้าหมายเดิม มีความสอดคล้องกับ New Normal และหลักเกณฑ์การประเมินผลต่าง ๆ ที่ได้กำหนดขึ้น จะต้องเกิดผลให้ยกระดับรัฐวิสาหกิจได้ ดังนั้น ต้องมีการวิเคราะห์ จำแนกรัฐวิสาหกิจตามศักยภาพขีดความสามารถเป็นสำคัญ รวมทั้งหาแนวทางพัฒนารัฐวิสาหกิจที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และหากลไกวิธีการใหม่เพื่ออุดหนุนรัฐวิสาหกิจที่ต้องดูแลประชาชนแต่มีกำไรน้อย เช่น ขสมก. โดยให้มีการเทียบเคียงกับต่างประเทศ รวมทั้งเร่งฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ดี ให้ดีขึ้นได้โดยเร็ว
“นายกรัฐมนตรียังได้กำชับการทำงานของ คนร. ว่า ในการทำงานเพื่อรัฐวิสาหกิจ จะต้องระวังเรื่องการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ต้องช่วยกันทำให้ทุกอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ยึดหลักธรรมาภิบาล โดยปัญหาของรัฐวิสาหกิจจะต้องได้รับการแก้ไขพัฒนาในวันนี้ เพราะรัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้” โฆษกรัฐบาลกล่าว
ทั้งนี้ คนร. มีมติเห็นชอบในหลักการของการจัดตั้งบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง คือ 1. บริษัทในเครือของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) (บริษัท MEA Smart Energy Solutions จำกัด) เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการให้บริการให้คำปรึกษาการออกแบบ ติดตั้ง บำรุงรักษา และลงทุนด้านการบริหารจัดการระบบพลังงานทดแทน (Renewable Energy) และระบบพลังงานแบบอัจฉริยะ (Smart Energy) แบบครบวงจรเพื่อรองรับการเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดย กฟน. จะถือหุ้น 100% ของบริษัทในเครือดังกล่าว 2. บริษัทในเครือของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ กฟผ. และกลุ่ม กฟผ. สู่เชิงพาณิชย์ และลงทุนในธุรกิจพลังงานเพื่ออนาคต (Future Energy) โดย กฟผ. จะถือหุ้น 40% ของบริษัทในเครือดังกล่าว และมีบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) (EGCO) และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ กฟผ. ร่วมถือหุ้นด้วยแห่งละ 30%
พร้อมกับ คนร. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการดำเนินงานตามนโยบายและภารกิจตามยุทธศาสตร์ 2) ด้านผลการดำเนินงาน (การเงินและไม่ใช่การเงิน) และ 3) ด้านการบริหารจัดการองค์กรตาม Core Business Enablers ทั้ง 8 หัวข้อ และให้เริ่มใช้หลักเกณฑ์การประเมินผลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป เพื่อกำกับติดตามและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งยกระดับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เชื่อมโยงระหว่างความคาดหวังตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดกับความรับผิดชอบระดับองค์กรและระดับรายบุคคลของรัฐวิสาหกิจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ยกขบวนบ้านมือสอง 885 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 40% ประมูลขายออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ศุกร์ที่ 12 มี.ค.64 นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ธอส. ยกขบวนบ้านมือสอง 885 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 40% ประมูลขายออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ศุกร์ที่ 12 มี.ค.64 นี้
ธอส.ออกประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ประจำเดือนมีนาคม 2564 ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ เริ่มประมูลพร้อมกันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -13.00 น.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เอาใจคนอยากมีบ้านแบบง่าย ๆ ยกขบวนบ้านมือสองสภาพดี คุ้มราคา 885 รายการ ทั่วประเทศออกประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ประจำเดือนมีนาคม 2564 ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นต่ำสุดเพียง 170,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! มอบส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลหากทำสัญญาและทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 พร้อมให้ผ่อนดาวน์หรือยื่นกู้อัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มประมูลพร้อมกันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -13.00 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาที่คุ้มค่า และลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ กำหนดจัดงานประมูลขายทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ประจำเดือนมีนาคม 2564 ในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 เวลา 12.00 -13.00 น. โดยคัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศรวม 885 รายการ ทั้งประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มาเปิดประมูลพร้อมกัน แบ่งเป็น ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 444 รายการ มีรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 205,000 บาท ได้แก่ ห้องชุดโครงการหนองแขมคอนโดมิเนียม เนื้อที่ 24.5 ตารางเมตร เขตหนองแขม กรุงเทพฯ รายการที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุด 20% จากราคาปกติ มีจำนวน 34 รายการ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ โครงการหมู่บ้านวรพัต เนื้อที่ 16.1 ตารางวา เขตสายไหม กรุงเทพฯ จากราคา 1,400,000 บาท ลดเหลือ 1,120,000 บาท และบ้านเดี่ยวโครงการหมู่บ้านมโนรมย์ 7 เนื้อที่ 76.2 ตารางวา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จากราคา 2,200,000 บาท ลดเหลือ 1,760,000 บาท
ส่วนทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแยกติวานนท์เพียง 200 เมตร และใช้เวลาในการเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดเพียง 15 นาที คือ ห้องชุดโครงการเซ็นทริค ติวานนท์ เนื้อที่ 31.97 ตารางเมตร อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ราคาเริ่มต้นประมูล 1,915,000 บาท และทรัพย์ประเภทห้องชุด โครงการเดอะทรัสท์ เรสซิเด้นท์ ปิ่นเกล้า เนื้อที่ 35.43 ตารางเมตร อ.บางกอกน้อย กรุงเทพฯ เป็นรายการทรัพย์ที่ห่างจากห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์เพียง 10 นาทีเท่านั้น ราคาเริ่มต้นประมูล 1,915,000 บาท ส่วนทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว ในโครงการเดอะโมดิช บางบัวทอง เนื้อที่ 19.5 ตารางวา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นรายการทรัพย์ที่สามารถเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้าคลองบางไผ่เพียง 10 นาทีเท่านั้น โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ 1,710,000 บาท
ขณะที่ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในส่วนในภูมิภาค นำออกประมูลจำนวน 441 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลจำหน่ายต่ำสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 238 ตารางวา โครงการบ้านเปรียบทอง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ราคาเริ่มต้นประมูล 170,000 บาท และรายการทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 40% มีจำนวน 3 รายการ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื้อที่ 23.3 ตารางวา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ราคาเริ่มต้นประมูล 390,000 บาท ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื้อที่ 16 ตารางวา อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท ราคาเริ่มต้นประมูล 420,000บาท และทรัพย์ประเภทอาคารพาณิชย์ เนื้อที่ 25 ตารางวา โครงการศรีมายหนองปลิง อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ราคาเริ่มต้นประมูล 1,800,000 บาท
สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมรายการทรัพย์ NPA ที่เปิดประมูลครั้งนี้ได้ด้วยตนเอง โดยผู้ชนะการประมูลมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 31 พฤษภาคม 2564 นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน หรือ เทดาวน์แล้ว ยื่นกู้ยังสามารถรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ตามระยะเวลาที่ธนาคารกำหนดได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2564 เวลา 12.40 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39884 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบโล่เชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ พร้อมเปิดการแข่งขันทำอาหาร "Street Food สร้างอาชีพ" เนื่องในวันอาสาสมัครคุมประพฤติ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม มอบโล่เชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ พร้อมเปิดการแข่งขันทำอาหาร "Street Food สร้างอาชีพ" เนื่องในวันอาสาสมัครคุมประพฤติ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ
ในวันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๔๕ น. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๓-๔ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ โดยมีนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ รวมทั้งอาสาสมัครคุมประพฤติ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
การจัดพิธีฯ ดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ จำนวน ๕๒ ราย โล่อาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรมดีเด่น จำนวน ๗๔ ราย และอาสาสมัครคุมประพฤติที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นอาสาสมัครคุมประพฤติ ที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา ๒๕ ปี จำนวน ๑๓๘ ราย ทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสวันอาสาสมัครคุมประพฤติ รวมทั้งมีการมอบโล่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําปี ๒๕๖๓ และโล่ประกาศเกียรติคุณ เนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมคุมประพฤติ ครบรอบ ๒๙ ปี ให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ พร้อมเปิดตัวกิจกรรมการประกวดทำอาหาร "Street Food สร้างอาชีพ" เพื่อแสดงพลังอาสาสมัครคุมประพฤติและภาคีเครือข่ายในการคืนคนดีสู่สังคม ทั้งนี้ รมว.ยุติธรรม ได้ร่วมปรุงเมนู "ยำแซลมอน" รวมทั้งเดินเยี่ยมชมและพูดคุยให้กำลังใจกับผู้ถูกคุมประพฤติที่มาร่วมจัดแสดงบูธอาหารในวันนี้อีกด้วย
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า "อาสาสมัครคุมประพฤติเป็นกลไกภาคประชาชน ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้กลับตนเป็นพลเมืองดีของสังคม และช่วยเหลือพนักงานคุมประพฤติในด้านต่าง ๆ ตลอดจน ร่วมสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ผู้กระทำผิด ทั้งนี้ การจัดประกวดการทำอาหารเป็นการยกระดับฝีมือของผู้ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงยุติธรรมให้เป็นมาตรฐาน และต่อยอดผู้ที่มีฝีมือให้ไปสู่เวทีของมืออาชีพ มีการฝึกทักษะเพิ่มเติมร่วมกับสมาคมเดอะเชฟประเทศไทย และเป็นการสร้างความเข้าใจและยอมรับของสังคมต่อผู้เคยกระทำผิดว่ามีศักยภาพ และสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศหากได้รับโอกาสจากสังคม"
******************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40040 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านพิธีการและอำนวยการ เพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านพิธีการและอำนวยการ เพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านพิธีการและอำนวยการ เพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง
วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านพิธีการและอำนวยการ เพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ.๒๕๖๕ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือ “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือ “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส”
กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือ “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” พัฒนาเกษตรกรจัดการระบบโลจิสติกส์ตลอดห่วงโซ่ เน้นบริการจัดส่งสินค้าเกษตรรวดเร็ว และปลอดภัยจนถึงมือผู้บริโภค
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีวิต และสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นธุรกิจการเกษตรได้อย่างยั่งยืน จึงได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาเกษตรกรครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวนโยบาย “ตลาดนำการเกษตร” ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีช่องทางในการสร้างรายได้ที่แน่นอน ประกอบกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นส่งเสริมรูปแบบการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งส่งเสริมเกษตรกรให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาการผลิตให้ได้สินค้าคุณภาพ การขยายช่องทางการตลาดให้มากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบตลาดสินค้าเกษตรในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ตลาดแบบออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตอย่างครบวงจร ตลอดจนการจัดการระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้แก่เกษตรกร
สำหรับการลงนามในครั้งนี้ เป็นการลงนามร่วมกันระหว่าง นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และนายวราวุธ นาถประดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันสนับสนุน ช่วยเหลือพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมของเกษตรกร เพื่อเชื่อมโยงเกษตรกรไทยกับผู้บริโภคทั่วประเทศ และสนับสนุนให้เกษตรกรมีช่องทางการจำหน่ายผลผลิตที่สะดวกมากขึ้น ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรที่ส่งตรงจากสวนได้อย่างมั่นใจ
"การลงนามในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ภาคการเกษตรได้พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งตรงกับเป้าหมายของรัฐบาลที่อยากให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถ้าเราสามารถทำให้เกษตรกรเข้มแข็ง ประเทศไทยก็จะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งตามไปด้วย ซึ่งหนึ่งในกระบวนการที่จะทำให้การขับเคลื่อนภาคการเกษตรนั้น คือการบริหารจัดการระบบโลจิสติกที่ดี ที่จะทำให้สามารถกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากที่สุด ขณะเดียวกัน ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานและรักษามาตรฐานระดับสินค้าให้มีคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ดำเนินการตามนโยบายตลาดนำการเกษตร โดยมุ่งส่งเสริมเกษตรกรให้ผลิตสินค้าเกษตรตามอุปสงค์และอุปทานของสินค้า รวมทั้งพัฒนาช่องทางการตลาด ทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ระบบโลจิสติกส์จึงมีบทบาทสำคัญในการจัดส่ง เพื่อให้สินค้าเกษตรถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว และไม่เกิดความเสียหาย เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกร และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่เกษตรกรมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และสร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การสนับสนุนการระบายสินค้าเกษตร โดยดำเนินการจัดตั้งจุดให้บริการจัดส่งผลไม้ที่จุดรวมสินค้า สำหรับกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ไม้ผล พร้อมให้ส่วนลดค่าจัดส่ง ในส่วนของเกษตรกรรายย่อยที่จำหน่ายสินค้าออนไลน์ ยังได้รับส่วนลดเฉพาะค่าจัดส่งในอัตราพิเศษ เพียงแค่เกษตรกรนำทะเบียนเกษตรกรหรือทะเบียนวิสาหกิจชุมชนมาแสดง ณ จุดส่งสินค้า นอกจากนี้ยังสนับสนุนกิจกรรม "ส่งของขวัญปีใหม่ @ ตลาดเกษตรกรออนไลน์. com" โดยลดราคาค่าจัดส่งให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งกิจกรรมพัฒนากระบวนการจัดส่งสินค้าเกษตรในการค้าออนไลน์ โดยทางบริษัทได้ร่วมลงพื้นที่พบปะเกษตรกรที่ต้องการพัฒนากระบวนการจัดส่งสินค้าเกษตรเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมและการอำนวยความสะดวกในการจัดส่งและร่วมจัดกระบวนการเรียนรู้ในการจัดการบรรจุภัณฑ์และการจัดส่งให้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39872 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ชี้แจงการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืน ผ่านองค์กรนายจ้าง พร้อมขอบคุณที่ร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษา | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
กยศ. ชี้แจงการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืน ผ่านองค์กรนายจ้าง พร้อมขอบคุณที่ร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษา
กยศ.ชี้แจงจากการที่มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยกรณีที่กองทุนออกหนังสือแจ้งให้ภาคเอกชนหักเงินเดือนพนักงานที่กู้ยืมเงินและนำส่งเงินชำระคืนกองทุน ทั้งที่ภาคเอกชนไม่ได้เกี่ยวข้อง และบังคับภาคเอกชนเก็บหนี้ให้แทน ถือเป็นการผลักภาระให้ภาคเอกชนนั้น
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ชี้แจงจากการที่มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยกรณีที่กองทุนออกหนังสือแจ้งให้ภาคเอกชนหักเงินเดือนพนักงานที่กู้ยืมเงินและนำส่งเงินชำระคืนกองทุน ทั้งที่ภาคเอกชนไม่ได้เกี่ยวข้อง และบังคับภาคเอกชนเก็บหนี้ให้แทน ถือเป็นการผลักภาระให้ภาคเอกชนนั้น
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ชี้แจงว่า “จากการที่กองทุนได้มีหนังสือถึงหน่วยงานองค์กรนายจ้างภาคเอกชนในการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืนกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นั้น การดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เริ่มจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ ทั้งนี้ มีหน่วยงานที่กองทุนต้องแจ้งหักเงินเดือนทั้งหมดประมาณ 107,000 แห่ง และมีผู้กู้ยืมที่เป็นพนักงานของหน่วยงานเหล่านี้ที่อยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนทั้งหมด 1,735,000 ราย ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนได้แจ้งหักเงินเดือนไปยังนายจ้างแล้ว 14,813 แห่ง เป็นจำนวนผู้กู้ยืมทั้งสิ้น 1,268,000 ราย และอยู่ในระหว่างการแจ้งหักเงินเดือนในเดือนมีนาคมอีก 92,935 แห่ง ซึ่งมีผู้กู้ยืมจะอยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนจำนวน 466,000 ราย ทั้งนี้ กองทุนได้จัดประชุมชี้แจงให้นายจ้างได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจ้างทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
สำหรับขั้นตอนการหักเงินเดือนของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นผู้ยืมเงิน กยศ. ผ่านองค์กรนายจ้างนั้น กองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งหักเงินเดือนไปตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ของผู้กู้ยืมเงินได้รับทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน จากนั้นกองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งให้นายจ้างทราบถึงข้อมูลของผู้กู้ยืมเงินรวมทั้งจำนวนเงินที่ต้องหักนำส่งล่วงหน้าประมาณ 30 วัน นายจ้างสามารถตรวจสอบข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งผ่านระบบรับชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาผ่านกรมสรรพากร (e-PaySLF) โดยเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ กยศ. www.studentloan.or.th ซึ่งกองทุนจะมีการปรับข้อมูลผู้กู้ยืมให้เป็นปัจจุบันและจะแจ้งข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งให้นายจ้างได้ทราบผ่านระบบดังกล่าวในทุกวันที่ 5 ของเดือน ทั้งนี้ กองทุนขอชี้แจงรายละเอียดการหักเงินเดือนเพื่อความชัดเจน ดังนี้
1. เมื่อพนักงานได้รับเงินเดือน ลำดับการหักเงินเดือนกองทุนอยู่ในลำดับ 3 โดยลำดับแรกเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่าย ลำดับที่ 2 หักกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และประกันสังคม และลำดับที่ 3 หักเงินกองทุน กยศ.
2. หากนายจ้างไม่ดำเนินการหัก ฯลฯ ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้ระบุให้ นายจ้างจะต้องชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบและต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินที่นายจ้างยังไม่ได้นำส่งหรือตามจำนวนที่ยังขาดไปแล้วแต่กรณี แต่ที่ผ่านมาหากหน่วยงานแจ้งเหตุผลข้อขัดข้องหรือความจำเป็นที่ไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมได้ผ่านขั้นตอนในระบบให้กองทุนรับทราบก็ไม่ต้องชดใช้เงินให้กับกองทุน และหากไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนได้ กองทุนยินดีที่จะอนุโลมและผ่อนผันให้ ซึ่งในปัจจุบันกองทุนยังไม่เคยเรียกให้นายจ้างชดใช้เงินหรือเรียกเงินเพิ่มจากนายจ้างแต่อย่างใด
3. การคำนวณยอดหักเงินเดือน กองทุนจะใช้ยอดหนี้ตามตารางชำระรายปี หารด้วย 12 เดือน หรือจำนวนเดือนที่เหลือก่อนถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ (5 กรกฎาคมของทุกปี) และในงวดปีถัดไปจะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่สามารถชำระตามอัตราที่แจ้ง สามารถขอปรับลดจำนวนเงินได้โดยแจ้งความประสงค์ขอลดจำนวนการหักเงินเดือนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” โดยกองทุนอนุโลมให้ชำระขั้นต่ำเพียง 100 บาท แต่ผู้กู้ยืมเงินยังมีหน้าที่ต้องไปชำระเงินในส่วนที่ขาดไปของงวดนั้นให้ครบตามจำนวนที่ต้องชำระก่อนวันครบกำหนดชำระหนี้รายปี
เนื่องจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งต้นมาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของประชาชน และใช้เงินชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่หมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กองทุนขอเรียนว่า ปัจจุบัน กองทุนไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 และในปีการศึกษา 2563 มีผู้ขอกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท สำหรับปีการศึกษา 2564 นี้กองทุนได้เตรียมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 38,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจำนวน 624,000 รายไว้เรียบร้อยแล้ว กองทุนขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคนอย่างแน่นอน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากนายจ้างมีข้อสงสัยสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.องค์กรนายจ้าง” หรือ โทร. 09 4212 6250 - 79 (30 คู่สาย) และสำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระเงินผ่านองค์กรนายจ้างที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.หักเงินเดือน” หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประกาศเดินหน้า “หมอพร้อม-อสม.พร้อม-ประชาชนพร้อม” ฝ่าทุกวิกฤตสุขภาพ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
สธ.ประกาศเดินหน้า “หมอพร้อม-อสม.พร้อม-ประชาชนพร้อม” ฝ่าทุกวิกฤตสุขภาพ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ มอบรางวัลพื้นที่ต้นแบบดูแลกลุ่มเสี่ยงจากการคัดกรองสุขภาพจิตผ่านระบบ อสม.ออนไลน์ และมอบรางวัล อสม.
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ มอบรางวัลพื้นที่ต้นแบบดูแลกลุ่มเสี่ยงจากการคัดกรองสุขภาพจิตผ่านระบบ อสม.ออนไลน์ และมอบรางวัล อสม. วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ดีเด่น ประกาศเดินหน้า “หมอพร้อม - อสม.พร้อม - ประชาชนพร้อม” ฝ่าทุกวิกฤตสุขภาพ
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมเปิดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ประจำปี 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 20 มีนาคมของทุกปี โดยนายอนุทินได้มอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับ อสม.ดีเด่นระดับชาติ 17 ราย และมอบโล่เกียรติคุณ เชิดชูเกียรติทีมสนับสนุน อสม. ดีเด่นระดับชาติ 17 ทีม ขณะที่ ดร.สาธิต ได้มอบรางวัลพื้นที่ต้นแบบการดำเนินงานการดูแลกลุ่มเสี่ยงจากการคัดกรองสุขภาพจิตเบื้องต้นผ่านระบบ อสม. ออนไลน์ 12 พื้นที่ และมอบรางวัล อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนดีเด่นระดับภาค 4 ภาคและทีม
นายอนุทินกล่าวว่า ขอบคุณพี่น้อง อสม. ทุกคน ที่มีส่วนช่วยในการสร้างความสุขให้กับคนไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สังคมทั่วโลกได้เห็นถึงพลังความร่วมมือ และจิตอาสาของ อสม. อันเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งการนำวัคซีนโควิด 19 มาฉีดให้แก่ประชาชน อสม.ได้มีส่วนสำคัญอีกครั้งในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ด้วยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัย และข้อดีของการรับวัคซีนโควิด 19 ขั้นตอนการฉีดวัคซีน สำรวจกลุ่มเสี่ยง คัดกรองกลุ่มเป้าหมาย และเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) “หมอพร้อม” เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสาร ติดตามอาการภายหลังการฉีดวัคซีน การรายงานผลแก่เจ้าหน้าที่ และระบบนัดในการรับวัคซีนในครั้งต่อไป ซึ่งเป็นการแสดงพลังของพวกเราชาวสาธารณสุขให้สังคมเห็นถึงความพร้อม ทั้ง “หมอพร้อม” “อสม. พร้อม” “ประชาชนทุกคน พร้อม” ที่จะฝ่าฟันในทุกวิกฤตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปด้วยกัน
ดร.สาธิตกล่าวว่า อสม.มีส่วนสำคัญในการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 มี อสม.บางคนได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาระบบสวัสดิการและการช่วยเหลือเยียวยา อสม. ที่ได้รับผลกระทบ เช่น สวัสดิการค่าห้องพิเศษ และค่าอาหารพิเศษให้กับ อสม. ทุกคน สนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ (ฌกส.) อสม. รวมทั้งกองทุนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ สนับสนุนการทำงานของ อสม. เพื่อร่วมกันดำเนินงานและสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป
นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า นอกจากการจัดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ยังมีการดำเนินกิจกรรมรณรงค์ อสม.พร้อมชวนคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 โดยออกสำรวจ ค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน ออกให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในเรื่องวัคซีนโควิด 19 พร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนยังคงเข้มในการปฏิบัติตัวตามมาตรการ DMHTT เว้นระยะห่าง(Distancing) สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า (Maskwearing)ล้างมือบ่อยๆ (Hand washing) ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ (Testing) และใช้ไทยชนะ (Thaichana) โดยเริ่มดำเนินกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 15 - 29 มีนาคม 2564
*********************************** 17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ให้การต้อนรับคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติดฯ สภาผู้แทนราษฎร เน้นย้ำ ให้ความสำคัญการลด Demand ผู้เสพ และ Supply ผู้ค้าผู้ผลิตอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
มท.1 ให้การต้อนรับคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติดฯ สภาผู้แทนราษฎร เน้นย้ำ ให้ความสำคัญการลด Demand ผู้เสพ และ Supply ผู้ค้าผู้ผลิตอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
มท.1 ให้การต้อนรับคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติดฯ สภาผู้แทนราษฎร เน้นย้ำ ให้ความสำคัญการลด Demand ผู้เสพ และ Supply ผู้ค้าผู้ผลิตอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
วันนี้ (8 มี.ค.64) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ พลตำรวจเอก ยงยุทธ เทพจำนงค์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร และคณะ ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้บริหารระดับสูงของกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร เข้าศึกษาดูงานและติดตามแนวทางการปฏิบัติในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นภารกิจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดผู้เสพผู้ติดยาเสพติด (Demand) และการจัดการกับผู้ค้าผู้ผลิตยาเสพติด (Supply) พร้อมกำหนดโครงสร้างการทำงาน แผนการดำเนินงาน ติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงเน้นย้ำการขับเคลื่อนหมู่บ้านเป้าหมายในการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการฯ ในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับกระทรวงมหาดไทยอย่างสูงสุด ซึ่งทั้งผู้ปฏิบัติและฝ่ายวิชาการจะได้ร่วมแลกเปลี่ยน และจะได้นำแนวทางจากคณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อแนะนำ มาขับเคลื่อนบูรณาการทำงานสอดประสานกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดและเป็นระบบ อันจะทำให้ปัญหายาเสพติดหมดไปจากสังคมไทยอย่างยั่งยืน
พลตำรวจเอก ยงยุทธ เทพจำนงค์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอญัตติประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ยาเสพติดในหลายพื้นที่ จำนวน 8 ญัตติ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีคณะกรรมาธิการฯ จำนวน 39 ท่าน ทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำหน้าที่ในการสนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัดและอำเภออย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการมาศึกษาดูงานกระทรวงมหาดไทยในวันนี้
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญและกำหนดนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นภารกิจสำคัญและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มข้นในทุกพื้นที่ ซึ่งในวันนี้ นอกเหนือจากมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ดำเนินการแล้ว กระทรวงมหาดไทยโดยทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเต็มใจและตั้งใจรับคำแนะนำของคณะกรรมาธิการ ฯ มาเติมเต็มให้การดำเนินงานสมบูรณ์ขึ้น และจะได้นำคำแนะนำและข้อสังเกตไปขยายผลสู่ทุกพื้นที่เพื่อให้ความคาดหวังและความต้องการของประชาชนในการให้สังคมไทยเป็นสังคมปลอดภัยจากยาเสพติด
สำหรับผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย ในปี 2563 ได้แก่ 1) ด้านการป้องกัน สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้ จำนวน 5,406 ตำบล 48 เขต คิดเป็นร้อยละ 74.66 จากเป้าหมายร้อยละ 50 ของ 7,255 ตำบล 50 เขต โดยดำเนินการได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด และหมู่บ้าน ชุมชนปลอดยาเสพติด จำนวน 59,122 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 73.83 และ 2) ด้านการบำบัดรักษา ผู้ผ่านการบำบัดรักษาระบบสมัครใจ ศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จำนวน 25,310 คน และผู้ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จำนวน 622 คน ผู้ผ่านการบำบัดรักษาที่ได้รับการติดตาม จำนวน 102,574 คน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยบูรณาการทุกภาคส่วน ร่วมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน ชุมชน ลดผู้เสพรายใหม่ และพร้อมคืนคนดีสู่สังคม เพื่อให้สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39742 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้แทนกรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร เข้าร่วมการหารือดังกล่าว ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ซึ่งที่ประชุมได้หารือแนวทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่อาจได้รับผลกระทบจากการมาตรการที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ ปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกยาสูบ 1 แสนกว่าไร่ที่ต้องมีแนวทางการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐในอนาคต โดยประธานได้ขอให้กรมควบคุมโรคขอเป้าหมายการปรับลดพื้นที่ปลูกยาสูบที่ชัดเจนจากการยาสูบแห่งประเทศไทย เพื่อจะได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและปรับเปลี่ยนอาชีพแก่เกษตรกรไร่ยาสูบได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมที่จะให้ความร่วมมือบูรณาการการทำงานร่วมกันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาคมธนาคารไทย” ขานรับมติ ครม. เดินหน้า 2 มาตรการฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
“สมาคมธนาคารไทย” ขานรับมติ ครม. เดินหน้า 2 มาตรการฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
สมาคมธนาคารไทยพร้อมธนาคารสมาชิก ขานรับมติครม. เดินหน้าสนับสนุน 2 มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรง เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและมีสภาพคล่องสำหรับทำธุรกิจต่อไปได้
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 2 มาตรการ คือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) นั้น สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทำธุรกิจต่อไปได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกนานในการฟื้นตัว
การจัดทำมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ในครั้งนี้ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือและรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ภาครัฐในการดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความกังวลของสถาบันการเงิน และสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างตรงจุด นำมาสู่การจัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจเพิ่มเติม 2 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ( สินเชื่อฟื้นฟู) ครอบคลุมทั้งการเสริมสภาพคล่อง และการลงทุน เพื่อกลับมาทำธุรกิจตามปกติ (Revive & Restart) วงเงินสนับสนุนดูแลสินทรัพย์ สำหรับธุรกิจโรงแรมและธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรง และประสงค์จะหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว โดยภาครัฐได้ปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น
มาตรการที่ 2 มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ) ซึ่งเป็นโครงการภาคสมัครใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรงเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นกิจการที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยให้ผู้ประกอบการสามารถหยุดการดำเนินกิจการได้ชั่วคราว ด้วยการโอนทรัพย์เป็นหลักประกันไว้กับธนาคาร เพื่อรับสิทธิในการขยายเวลาชำระหนี้ระยะยาว รอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สูญเสียกิจการไป ซึ่งจะมีสินเชื่อพิเศษสนับสนุนจากภาครัฐสำหรับดูแลทรัพย์ที่อยู่ในโครงการฯ มาตรการนี้อยู่ภายใต้หลักการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้ตรงตามสถานะธุรกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพสถาบันการเงิน
“สมาคมฯ และธนาคารสมาชิก มีความตั้งใจและความพร้อมในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อช่วยประคับประคองภาคธุรกิจไทยให้สามารถอยู่รอดในช่วงที่เศรษฐกิจรอการฟื้นตัว และกลับมาดำเนินธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดรับผู้มีสิทธิ์โครงการ "ม33เรารักกัน" ซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดรับผู้มีสิทธิ์โครงการ "ม33เรารักกัน" ซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมในการจำหน่ายบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “ม 33 เรารักกัน”
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมในการจำหน่ายบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “ม33เรารักกัน” สามารถซื้อบัตรโดยสารดังกล่าว ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ณ จุดจำหน่ายบัตรโดยสาร กว่า 30 แห่ง ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการ “ม33เรารักกัน” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในกลุ่ม “ผู้ประกันตน มาตรา 33” โดยมอบเงินเยียวยา คนละ 4,000 บาท ตลอดโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ให้กับประชาชนผู้มีสิทธิ์ในโครงการตามคุณสมบัติที่กำหนด นำไปใช้ชำระค่าสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม และบริการต่าง ๆ ณ ร้านค้าที่ลงทะเบียนคนละครึ่ง ร้านค้าที่ลงทะเบียน “เราชนะ” และระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ (ยกเว้นทางอากาศ) ในส่วนของ ขสมก. ได้มีการเตรียมความพร้อมสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ในโครงการสามารถซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ณ จุดจำหน่ายบัตรโดยสาร กว่า 30 แห่ง เพื่อนำบัตรโดยสารดังกล่าว มาใช้ชำระค่าบริการบนรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
นอกจากนี้ ขสมก. ได้เปิดให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” ทั้งผู้ที่ได้รับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และผู้ที่ได้รับเงินผ่านบัตรประจำตัวประชาชน(กรณีไม่มีสมาร์ตโฟน) สามารถนำเงินช่วยเหลือไปซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ ได้เช่นเดียวกับโครงการ “ม33เรารักกัน” พร้อมทั้งยกเลิกค่าธรรมเนียมบัตร ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนมาชำระค่าโดยสารผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดการสัมผัสเงินสด ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th facebook BMTA องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ให้สัมภาษณ์ในรายการ "กะเทาะเปลือก คอร์รัปชัน" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.ให้สัมภาษณ์ในรายการ "กะเทาะเปลือก คอร์รัปชัน" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT
ปลัดวธ.ให้สัมภาษณ์ในรายการ "กะเทาะเปลือก คอร์รัปชัน" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ในรายการ "กะเทาะเปลือก คอร์รัปชัน" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT ถนนวิภาวดี กรุงเทพฯ
โดยรายการ "กะเทาะเปลือก คอร์รัปชัน" จะออกอากาศ ในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๒๒.๐๕ - ๒๒.๓๐ น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง NBT 2HD)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39870 |
รัฐบาลไทย-วธ.จับมือ อสมท. ต่อยอด “ผ้าไทยสวมใส่ได้จริง” สืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชวนคนรุ่นใหม่ใส่ผ้าไทย – เผยแพร่สู่นานาชาติ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
วธ.จับมือ อสมท. ต่อยอด “ผ้าไทยสวมใส่ได้จริง” สืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชวนคนรุ่นใหม่ใส่ผ้าไทย – เผยแพร่สู่นานาชาติ
วธ.จับมือ อสมท. ต่อยอด “ผ้าไทยสวมใส่ได้จริง” สืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ชวนคนรุ่นใหม่ใส่ผ้าไทย – เผยแพร่สู่นานาชาติ
วันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ช่อง 9 MCOT HD กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทย โครงการผ้าไทยสวมใส่ได้จริง “พลิ้ว” โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)และสื่อมวลชนเข้าร่วม
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับ บมจ. อสมท จำกัด (มหาชน) จัดโครงการผ้าไทยสวมใส่ได้จริง“พลิ้ว”เพื่อสืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ผ้าพื้นถิ่นและการรณรงค์ส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการสืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติ อนุรักษ์ฟื้นฟูผ้าทอชนิดต่างๆ ทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมไทยที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนชาติใดในโลกดังที่ได้ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมไทยในการเสด็จพระราชดำเนินทั้งในและต่างประเทศมาโดยตลอด ทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักและนิยมอย่างแพร่หลาย ตลอดจนทรงส่งเสริมการผลิตการแปรรูป และจำหน่ายผ้าไทย ทำให้ประชาชนมีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างเศรษฐกิจของชาติทั้งระดับเศรษฐกิจฐานรากและระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้และสวมใส่ผ้าไทยและนโยบายวธ.ในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการส่งเสริมการต่อยอดทุนวัฒนธรรมด้วยคุณค่า เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประชาชน ชุมชนและประเทศ รวมทั้งสอดคล้องกับการดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5 ด้าน หรือ 5F ประกอบด้วย 1. อาหาร (Food) 2. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3. ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) 4. มวยไทย(Fighting) และ 5.การอนุรักษ์ และขับเคลื่อนงานเทศกาลและประเพณีสู่ระดับโลก(Festival)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรม“พลิ้ว” ประกอบด้วยการจัดแสดงแบบผ้าไทย (แฟชั่นโชว์) โดยผู้ประกาศข่าวและบุคคลที่มีชื่อเสียง การรณรงค์ส่งเสริมการให้องค์ความรู้เกี่ยวกับผ้าไทย เช่น ประวัติความเป็นมา คุณสมบัติ แหล่งผลิตผ้าไทยผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD ระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน 2564 ก่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างและประชาชนได้เห็นตัวอย่างในการประยุกต์ใช้ผ้าไทยสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า โครงการผ้าไทยสวมใส่ได้จริง“พลิ้ว”เป็นการอนุรักษ์ผ้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของประเทศไทยและรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงคุณค่าและหันมานิยมสวมใส่ผ้าไทยและเป็นโครงการหนึ่งที่ส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด สร้างคุณค่าทางสังคมและมูลค่า ทางเศรษฐกิจ สร้างการรับรู้ ความตระหนักแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์ผ้าไทย รวมทั้งสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน ประเทศอย่างยั่งยืนต่อไปและเผยแพร่ผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในระดับสากล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน แสดงเจตนารมณ์ส่งเสริมความร่วมมือขับเคลื่อนการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
กรมการจัดหางาน แสดงเจตนารมณ์ส่งเสริมความร่วมมือขับเคลื่อนการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4
อธิบดีกรมการจัดหางาน จรดลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ร่วมกับผู้บริหารหน่วยงาน เพื่อปฏิบัติตามแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน กรมการจัดหางาน ประจำปีงบประมาณ 2564
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานมุ่งมั่น ส่งเสริมประชาชนทุกช่วงวัยให้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิอันพึงได้รับในการพัฒนาความสามารถในการทำงาน มีงานทำเหมาะสมกับศักยภาพ พร้อมให้ความคุ้มครองคนหางาน ให้ได้รับการปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมตามมาตรฐานสากลอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชน ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562-2565) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สังคมรู้หน้าที่ เคารพสิทธิมนุษยชน และได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรม’
“กรมการจัดหางาน จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในการให้บริการด้านการส่งเสริมการมีงานทำและการให้ความคุ้มครองคนหางาน โดยมีสาระสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. ส่งเสริมและสนับสนุน พัฒนาองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน ให้แก่บุคลากรกรมการจัดหางาน
2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการเคารพ และการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3.พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
4.ให้คำแนะนำช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิ หรือไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันตามหลักสิทธิมนุษยชน การให้บริการด้านการส่งเสริมการมีงานทำ การคุ้มครองสิทธิของคนหางาน และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว
5. ปฏิบัติงานราชการอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39515 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 3/2564
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 3/2564 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดปริมาณน้ำตาลทรายให้โรงงานผลิตในฤดูการผลิตปี 2563/2564 (บัญชีจัดสรรปริมาณน้ำตาลทรายครั้งที่ 2)
2. เห็นชอบการจัดซื้อเครื่องวิเคราะห์คุณภาพอ้อยฯ สำหรับโรงงานน้ำตาลรวมเกษตรกรอุตสาหกรรม (ขอนแก่น) และโรงงานน้ำตาลรวมเกษตรกรอุตสาหกรรม (ชัยภูมิ) ในฤดูการผลิตปี 2564/2565
3. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยกรณีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและการจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2560/2561 และฤดูการผลิตปี 2561/2562 โดยใช้เงินรายได้ 20 บาท/ตันอ้อย ทยอยชำระหนี้เป็นปี ๆ ไปจนกว่าจะเสร็จสิ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการบริหารจัดการน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน แก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานในพื้นที่ยืนยันปริมาณน้ำที่มียังคงเพียงพอและไม่เข้าสู่ขั้นวิกฤต | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการบริหารจัดการน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน แก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานในพื้นที่ยืนยันปริมาณน้ำที่มียังคงเพียงพอและไม่เข้าสู่ขั้นวิกฤต
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการบริหารจัดการน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน แก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานในพื้นที่ยืนยันปริมาณน้ำที่มียังคงเพียงพอและไม่เข้าสู่ขั้นวิกฤต
เมื่อวันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงกรณีมีรายงานข่าวสถานการณ์ปัญหาภัยแล้งในหลายพื้นที่ เช่น จ.นครราชสีมา และ จ.พิจิตร ว่า กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำ ได้บูรณาการการบริหารจัดการทั้งน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และ จ.พิจิตร ดังนี้
1) จังหวัดนครราชสีมา ที่ผ่านมาสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 5 ได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีวิกฤตน้ำตามที่ร้องขอมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมได้สูบน้ำเข้าพื้นที่เพื่อเป็นน้ำต้นทุนก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว และยังได้พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งรองรับน้ำในช่วงฤดูฝน ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้งอีกด้วย ทั้งนี้ จากการประสานนายก อบต.ถึงประเด็นข่าวดังกล่าว ทราบว่า แหล่งน้ำชุมชนแห่งนี้ เป็นน้ำดิบเพื่อการผลิตระบบประปาและสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตรแก่ประชาชนบ้านโนนกราด 3 หมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบัน อบต. ยืนยันว่าปริมาณน้ำที่มียังคงเพียงพอและไม่เข้าสู่ขั้นวิกฤต จึงยังไม่ได้ร้องขอการสนับสนุนแต่อย่างใด
2) จังหวัดพิจิตร สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 และสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 7 ได้ดำเนินโครงการด้านแหล่งน้ำ รวม 6 แห่ง ดำเนินการแล้วเสร็จ 1 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการ 5 แห่ง ในส่วนของการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล พบว่า ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้เดือดร้อนหรือขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค โดยปัจจุบันใช้น้ำจากระบบประปาบาดาลในหมู่บ้านวังลูกช้าง หมู่ที่ 8 ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้าน 110 หลังคาเรือน ส่วนน้ำเพื่อการเกษตรใช้จากบ่อบาดาลของชาวบ้านเอง
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม ทส.ได้จัดทำแผนปฏิบัติการบรรเทาภาวะน้ำแล้งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้ดำเนินโครงการจัดหาน้ำต้นทุนและระบบกระจายน้ำ สนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรม และน้ำต้นทุนสำหรับอุปโภค-บริโภค (น้ำต้นทุนประปาหมู่บ้าน) ในพื้นที่นอกเขตชลประทาน โดยการขุดลอก ปรับปรุง ซ่อมแซม แหล่งน้ำและก่อสร้างระบบกระจายน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวม 560 แห่ง ในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีศักยภาพทั่วประเทศ (ในภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำ) (ดำเนินการแล้วเสร็จ 181 แห่ง
ด้านกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า 1) จังหวัดนครราชสีมา จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูล พบว่าน้ำจากระบบประปาของ อบต.ลำคอหงษ์ จ.นครราชสีมา ยังให้บริการน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอ สำหรับแหล่งน้ำธรรมชาติตามภาพข่าว เป็นสระน้ำประจำหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งฯ และพึ่งดำเนินการขุดลอกแล้วเสร็จไม่นาน เพื่อใช้เก็บกักปริมาณน้ำฝนช่วงฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ ยืนยันสภาพปัจจุบันมีปริมาณน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้งนี้
2) จังหวัดพิจิตร ยืนยันพื้นที่ที่ปรากฏตามข่าว มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค แต่ไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตรได้ เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ จึงได้ประสานกับอำเภอขอความร่วมมือเกษตรกรให้ลดพื้นที่ทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งปีนี้แล้ว อย่างไรก็ตามอำเภอสามง่าม ได้ประสานกับ อปท.ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบถึงผลกระทบต่อประชาชนแล้ว พบว่า ยังไม่มีพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งแต่อย่างใด โดยเกษตรกรยังสามารถพึ่งพาตนเองได้
ทั้งนี้ ปภ. ได้บูรณาการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง โดยติดตามตรวจสอบปริมาณน้ำต้นทุน และสำรวจความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ พร้อมจัดเตรียมทรัพยากรให้พร้อมรับมือภัยแล้งอย่างครอบคลุม
--------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39642 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา “ทุนเรียนดี” เดินหน้าผลิตอาจารย์ มนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ขยายเวลา “ทุนเรียนดี” เดินหน้าผลิตอาจารย์ มนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์
...
กำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลทุกมิติ ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบ ขยายเวลาทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย จากเดิมสิ้นสุดปี 2564 เป็น สิ้นสุดปี 2570 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตอาจารย์ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีคุณภาพสูง กระจายสู่มหาวิทยาลัยเป็นแม่พิมพ์ในการผลิตบัณฑิตรุ่นต่อๆไป
.
ผลผลิตของโครงการทุนเรียนดีนี้ จะสร้างบัณฑิตระดับปริญญาโทและเอก รวม 637 ทุน แบ่งเป็น ทุนในประเทศ 175 ทุน ต่างประเทศ 462 ทุน ทุนให้ไปศึกษา อบรม หรือวิจัยในต่างประเทศ 93 ทุน และทุนสำหรับการทำวิจัยเชิงลึกในต่างประเทศ (Post-doctoral) อีก 230 ทุน
.
ปัจจุบัน มีนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว 273 คน อยู่ระหว่างการศึกษา 210 คน
.
สำหรับ ผู้รับทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย จะต้องใช้ทุนด้วยการเข้าทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ของรัฐ ซึ่งคาดว่าระหว่างปี 2561 – 2570 จะมีผู้เกษียณอายุราชการในสาขานี้ 4,659 คน
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า ตรวจติดตามโครงการต่อเรือไฟฟ้าต้นแบบตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พร้อมตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของแพ จังหวัดกาญจนบุรี | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า ตรวจติดตามโครงการต่อเรือไฟฟ้าต้นแบบตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พร้อมตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของแพ จังหวัดกาญจนบุรี
อธิบดีกรมเจ้าท่าลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการต่อเรือไฟฟ้าต้นแบบตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ทดลองนั่งเรือไฟฟ้าต้นแบบ ยกระดับการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism)
ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวสีเขียววิถีใหม่ ปลอดภัยไร้มลพิษอย่างยั่งยืน นำร่องเปิดให้บริการในตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็นแห่งแรก พร้อมทั้งตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของแพในจังหวัดกาญจนบุรี
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีตรวจติดตามโครงการต่อเรือไฟฟ้าต้นแบบ เรือโดยสารหางยาวที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมทดลองนั่งก่อนใช้งานจริง โดยมี นายภูเมศ สุขม่วง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ร่วมให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ณ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
นายวิทยา ยาม่วง กล่าวว่า ได้รับทราบปัญหาของชุมชนในพื้นที่มีเรือหางยาวติดเครื่องยนต์ ขับด้วยความเร็ว มีเสียงดัง และมีควันดำ ส่งผลให้เกิดมลพิษทางเสียง อากาศ และมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ ในการนี้ได้สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 สำนักมาตรฐานเรือ และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐม ร่วมกับภาคเอกชนที่มีศักยภาพด้านการต่อเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด และชุมชนในท้องถิ่น ร่วมกันต่อเรือโดยสารหางยาวที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เพื่อใช้งานในคลองดำเนินสะดวกและเป็นเรือต้นแบบที่ลดมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ให้คนในชุมชนใช้เป็นทางเลือกในการต่อเรือใหม่หรือเปลี่ยนจากเครื่องยนต์มาใช้มอเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทน พร้อมทั้งได้จัดทำร่างข้อบังคับกรมเจ้าท่า (จท.) ว่าด้วยการตรวจเรือโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้เหมาะสมกับเรือหางยาวที่จะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณา โดยนำร่องการพัฒนาเรือหางยาวท่องเที่ยวให้เป็นเรือไฟฟ้าต้นแบบที่ใช้งานได้จริง และลดมลพิษกับสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการดังกล่าว มีเรือทั้งหมด 3 ลำ เป็นเรือไม้ 2 ลำ และเรือจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบขึ้นด้วยอลูมิเนียม 1 ลำ ใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งได้ประมาณ 10 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถชาร์จไฟที่บ้านได้ ทั้งนี้ ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการและชุมชนเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเรือให้เกิดขึ้น จำนวน 8 - 10 ลำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวสีเขียววิถีใหม่ปลอดภัยไร้มลพิษอย่างยั่งยืน
จากนั้น อธิบดีกรมเจ้าท่าและคณะได้เดินทางไปตรวจแพบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี นายประทิน ออมสิน ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ในการนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจแพทุกลำก่อนถึงฤดูกาลท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานที่ถูกต้องตามกฎข้อบังคับของ จท. และมีสภาพพร้อมต่อการใช้งาน หากพบแพที่ไม่ได้มาตรฐานให้รีบแก้ไขและสั่งห้ามใช้แพเด็ดขาด รวมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณแพ เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีมีแพจอดทั้งหมดประมาณ 1,200 หลัง ออกใบอนุญาตแล้ว 651 หลัง และแพลากจูง 917 หลัง ยื่นเอกสารแล้ว 109 หลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39724 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.