title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปลื้มสตาร์ทอัพไทยย้ำไทยต้องมีนวัตกรรมเป็นของตนเอง กำชับ อว. ส่งเสริมโครงการนวัตกรรมในทุกมหาวิทยาลัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีปลื้มสตาร์ทอัพไทยย้ำไทยต้องมีนวัตกรรมเป็นของตนเอง กำชับ อว. ส่งเสริมโครงการนวัตกรรมในทุกมหาวิทยาลัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต นายกรัฐมนตรีปลื้มสตาร์ทอัพไทยย้ำไทยต้องมีนวัตกรรมเป็นของตนเอง กำชับ อว. ส่งเสริมโครงการนวัตกรรมในทุกมหาวิทยาลัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรม (Innovation Thailand) โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมชม “น้ำแร่โซดา” ห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี โดย กรมน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลงานจากนักศึกษา สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ เป็นนวัตกรรมโดยคนรุ่นใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกโครงการภายใต้ผลงานนวัตกรรม (Innovation Thailand) ได้แก่ โครงการ Startup Thailand League ผลงานร้านขายของชำออนไลน์ Happy Grocers โครงการ Founder Apprentice ผลงานแอปพลิเคชัน Health tech startup ชื่อ Agnos โครงการ Deep South Startup ผลงาน เครื่องล้างปลาระบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับผลิตปลาส้มฮาลาล และโครงการ ม้านิลมังกร จำนวน 2 ผลงาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำพริกต่างๆ By Chef May และนวัตกรรมสเปรย์ดับเพลิง แบรนด์ FLAMEX นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถของเยาวชน นักศึกษาจบใหม่ ที่คิดค้นแอปพลิเคชันร้านขายของชำออนไลน์ Happy Grocers เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภค รวมทั้งแอปพลิเคชัน Agnos ลดความแออัดในโรงพยาบาล ล้วนแต่เป็นการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้สร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนร่วม นายกรัฐมนตรียังชื่นชมผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมโดยคนไทยรุ่นใหม่ เช่น การพัฒนาน้ำพริกส็อก/น้ำพริกถั่วเน่า/น้ำพริกหนุ่ม ที่สามารถพัฒนาเป็นสินค้าแช่แข็งหรือกึ่งปรุงสุก ขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขยายตลาดสู่ต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารไทย หรือสเปรย์ดับเพลิง แบรนด์ FLAMEX หากพัฒนาให้มีความหลากหลาย ก็สามารถนำไปใช้ในสำนักงานหน่วยงานราชการได้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลสนับสนุนสตาร์ทอัพตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยนวตกรรมที่เป็นของคนไทยเราเอง พร้อมฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนโครงการนวัตกรรมในทุกมหาวิทยาลัย เพราะนิสิต นักศึกษาคือกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่อนาคต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำเสนอ “น้ำแร่โซดา” จากอำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเกิดจากแหล่งน้ำบาดาลธรรมชาติมีลักษณะพิเศษ คือ รสหวานและมีความซ่าคล้ายน้ำโซดา ไม่พบสารพิษหรือสารปนเปื้อนร้ายแรง กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจึงได้เร่งติดตั้งระบบกรองน้ำและผลิตน้ำแร่โซดาเพื่อบรรจุขวดแจกจ่ายแก่ประชาชน ซึ่งในอนาคตจะได้มีการสำรวจเพิ่มเติมและพัฒนาเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตรสำหรับประชาชนในพื้นที่ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำให้มีการตรวจสอบคุณภาพและระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งให้มีการศึกษาเส้นทางน้ำ เพื่อให้แก่ประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลให้สำคัญในการเร่งรัดจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม รวมถึงให้มีการบริหารจัดการน้ำสำหรับการทำเกษตรกรรม โดยอยากให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกข้าวในช่วงหน้าแล้งเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ในส่วนการผลิตน้ำแร่โซดาของห้วยกระเจาก็สามารถต่อยอดให้เป็นสินค้าวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ได้อีกด้วย ............................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39531
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมมาตรการหนุนประชาชน เดินทางท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ หยุดยาว 6 วัน เสนอ ครม. อนุมัติทัวร์เที่ยวไทย-เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 รัฐบาลเตรียมมาตรการหนุนประชาชน เดินทางท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ หยุดยาว 6 วัน เสนอ ครม. อนุมัติทัวร์เที่ยวไทย-เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 รัฐบาลเตรียมมาตรการหนุนประชาชนเดินทางท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ หยุดยาว 6 วัน เสนอ ครม. อนุมัติทัวร์เที่ยวไทย-เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 วันที่ 22 มี.ค. 64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. จะขอความร่วมมือในช่วงเทศกาลสงกรานต์ งดสาดน้ำ ประแป้ง จัดคอนเสิร์ต ปาร์ตี้โฟม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่รัฐบาลยังสนับสนุนให้ประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยสงกรานต์ปี 2564 รัฐบาลยังกำหนดให้วันที่ 12 เม.ย. เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ ซึ่งเมื่อรวมกับวันเสาร์-อาทิตย์ จึงทำให้สงกรานต์ปีนี้ มีวันหยุดยาว 6 วันรวด ตั้งแต่วันที่ 10 - 15 เม.ย. เพื่อให้ประชาชนได้ออกเดินทางท่องเที่ยว เป็นการมอบความสุขให้ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้หารือเพื่อกำหนดโครงการรับรองการท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง โดย ททท. ได้ออกหลายแคมเปญ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการทัวร์เที่ยวไทย สนับสนุนการสมทบเงินให้ประชาชนรับสิทธิเพื่อเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ภายหลังที่ประชุม ครม. มีมติให้นำกลับไปทบทวน อุดช่อง ป้องกันการทุจริต โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คาดว่า ทั้ง 2 โครงการจะเสนอที่ประชุม ครม. ได้ในเร็ว ๆ นี้ “รัฐบาลไม่ได้มีมาตรการจำกัดการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวตามแบบชีวิตวิถีใหม่ หรือ new normal พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อพบปะครอบครัว รดน้ำดำหัว ขอพรผู้ใหญ่ สืบสานประเพณีปีใหม่ไทย โดยหวังให้ช่วงสงกรานต์ปีนี้ ซึ่งมีวันหยุดยาวรวม 6 วัน เกิดการจับจ่ายใช้สอย เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่กำลังดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็น โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน ฯลฯ จะตอบโจทย์ประชาชนเป็นอย่างดี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการทุกหน่วยงานเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการทุกหน่วยงานเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน Land Bridge ให้เป็นไปตามแผน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ในวันที่ 15 มีนาคม 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings ว่า การประชุมในวันนี้เป็นการเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ ดังกล่าว ประกอบด้วยโครงการสำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการ 2) การพัฒนามอเตอร์เวย์เชื่อม Land Bridge มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการ และ 3) การพัฒนารถไฟทางคู่เชื่อม Land Bridge มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า แนวทางในการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land Bridge) นั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมในการขนส่งทางทะเลของโลก ซึ่งในปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางหลัก โดยจากสถิติการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันดิบในปี 2559 พบว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตจากพื้นที่เอเชียตะวันออกกลางขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ประมาณ 19.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน และผ่านทางช่องแคบมะละกา ประมาณ 16.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อขนส่งไปยังประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่มีการนำเข้ามากกว่า ร้อยละ 80 ในขณะที่การขนส่งสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ผ่านช่องแคบมะละกาอยู่ที่ประมาณ 24.7 ล้านตู้ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของปริมาณสินค้าที่ขนส่งทั่วโลก ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ท่าเรือสิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือที่มีคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือน้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และเป็นท่าเรือที่มีตู้สินค้าผ่านมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยเหตุนี้พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย จึงมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ทั้งจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค สำหรับการเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทวีปต่าง ๆ ของโลก และยังมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์จากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถลดเวลาและระยะทางการขนส่งจากเดิมทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่งหลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดของช่องแคบมะละกา จึงมีแนวโน้มในการจูงใจผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากขึ้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อได้เปรียบดังกล่าว กระทรวงฯ โดย สนข. จึงได้กำหนดบทบาทของโครงการ Land Bridge ชุมพร - ระนอง ให้เป็นทางเลือกในการขนส่งน้ำมันดิบ หรือ Oil Bridge โดยขนส่งน้ำมันทางเรือจากช่องแคบฮอร์มุซมายังท่าเรือระนอง และผ่านทางท่อไปยังท่าเรือชุมพรเพื่อขนส่งทางเรือไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการเป็นทางเลือกในการถ่ายลำการขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมต่อทางราง และทางถนน และเป็นท่าเรือสำหรับการประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูด นักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนองและท่าเรือชุมพร ส่งเสริม Land Bridge และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งขณะนี้ สนข. อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือ โดยพิจารณาทั้งพื้นที่โครงการฝั่งอันดามันและอ่าวไทย โดยการคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง นั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านวิศวกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปผลการคัดเลือกได้ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน 2564 ก่อนที่ ทล. และ รฟท. จะดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และออกแบบเบื้องต้น แนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษ และทางรถไฟตามกรอบการดำเนินการโครงการ MR - MAP เชื่อมต่อท่าเรือสองฝั่งทะเลต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40003
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บอกดิน” ให้รัฐช่วยสำรวจที่ดินเพื่อออกโฉนด
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 “บอกดิน” ให้รัฐช่วยสำรวจที่ดินเพื่อออกโฉนด ... ข่าวดีสำหรับประชาชนที่มีที่ดิน แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ หรือมี ส.ค.1/ น.ส.3/ น.ส.3ก และต้องการให้ภาครัฐเข้าไปช่วยจัดการที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย วันนี้สามารถแจ้งข้อมูลที่ดินของตนเองได้ง่าย ๆ แล้วครับ . เพียงใช้สมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต แจ้งข้อมูลและแชร์ตำแหน่งที่ดิน ผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้ 1.เว็บไซต์https://bokdin2.dol.go.th 2.LINE Official Account @teedin คลิกเมนู “บอกดิน” 3.Mobile Application “SMARTLANDS” คลิกเมนู “บอกดิน” 4.สแกนเข้าระบบบน “บัตรบอกดิน” ที่สำนักงานที่ดิน 461 แห่งทั่วประเทศ จากนั้น กรอกข้อมูลส่วนตัว และแนบหลักฐานในที่ดิน (ถ้ามี) แล้วกดส่งข้อมูล . เพียงเท่านี้ กรมที่ดินจะเร่งตรวจสอบ รวบรวมข้อเท็จจริง หลักฐานต่าง ๆ และแจ้งกลับให้เราทราบว่าจะมีวิธีดำเนินการอย่างไร มีข้อจำกัดในเงื่อนไขกฎหมายหรือปัญหาเขตพื้นที่อย่างไร เพื่อสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเรื่องที่ดินโดยเร็วที่สุด . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมที่ดิน 0-2141-5555 ตลอด 24 ชม. #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ให้ความสำคัญ มุ่งมั่นเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 1 ทศวรรษ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ให้ความสำคัญ มุ่งมั่นเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 1 ทศวรรษ คุณสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า 1 ทศวรรษของการให้บริการของ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง คุณสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า 1 ทศวรรษของการให้บริการของ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยังคงมุ่งมั่นให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยกระดับการให้บริการแก่ผู้โดยสารให้ได้รับความสะดวก และปลอดภัยเสมอมา ตามหลักมาตรฐานระดับสากล คุณภาพ ISO 9001 : 2015 รวมทั้งมีนโยบายให้คนพิการทุกคนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนได้อย่างเท่าเทียม โดยออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการในรูปแบบ Universal Design ที่ทุกคนสามารถใช้บริการได้อย่างมีความสุข แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รฟฟท. ได้ดำเนินการมาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางรางภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของกรมการขนส่งทางรางอย่างเข้มงวด ได้แก่ จัดจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการ, ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในขบวนก่อนให้บริการ, จัดเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดภายในบริเวณสถานีทุก ๆ 1 ชั่วโมง, จำกัดปริมาณผู้โดยสาร และSocial distancing เว้นระยะห่างภายในขบวนรถและบริเวณช่องจำหน่ายตั๋ว ในปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ในการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะมาตรฐานสากล รฟฟท. ได้ให้บริการอย่างเต็มความสามารถ โดยมีขบวนรถไฟฟ้าให้บริการครบ 9 ขบวน มีจำนวนผู้โดยสารรวมมากกว่า 190 ล้านคน และรายได้มีการเติบโตขึ้นรวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเนื่องในวาระพิเศษ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ครบรอบ 10 ปี รฟฟท. ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมแบบทุกมิติ ได้แก่การมอบเครื่องอุปโภค และบริโภคที่จำเป็นให้แก่กรมราชทัณฑ์ เพื่อให้กำลังใจให้แก่กลุ่มนักโทษได้กลับตนมาเป็นพลเมืองดี, มอบรถวีลแชร์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ จำนวน 10 คัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์, มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ผ่านทางมูลนิธิสงเคราะห์ชาวไทย เพื่อสนับสนุนการศึกษาของชาติ และมอบข้าวสาร อาหารแห้ง ของใช้ที่จำเป็นให้แก่ชุมชนทับแก้วที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงบริเวณศูนย์ควบคุมการเดินรถ และโรงซ่อมบำรุง บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยทุกโครงการได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังได้จัดกิจกรรมพิเศษมากมายอย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จ ทั้งกิจกรรมการตลาดแบบออฟไลน์ และกิจกรรมออนไลน์ เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ผู้โดยสาร โดยคำนึงที่ถึงสุขอนามัยเป็นสำคัญ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้โดยสารเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมวันเด็กออนไลน์ กิจกรรมวันตรุษจีนออนไลน์ กิจกรรมวันวาเลนไทน์ออนไลน์ และกิจกรรมการตลาดออฟไลน์ที่สถานีรถไฟฟ้าส่งคาราวานคนดังแจกเจลแอลกอฮอล์ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้ และในโอกาสวันสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง บริษัทเตรียมเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่แบบไทย ๆ ด้วยกิจกรรมการตลาดครบวงจรทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ทาง Official Page • Airport Rail Link
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวนาเฮ! ไทยเตรียมส่งออกข้าวปีละล้านตัน สู่ตลาดอินโดฯ
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ชาวนาเฮ! ไทยเตรียมส่งออกข้าวปีละล้านตัน สู่ตลาดอินโดฯ ... ในแต่ละปีประเทศไทยมีกำลังการผลิตข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ได้หลายล้านตัน เพียงพอที่จะบริโภคภายใน และส่งออกไปขายต่างประเทศ บางช่วงผลผลิตล้นตลาดจนต้องมีโครงการชะลอการขายข้าวทุกปี . ปีนี้มีข่าวดี เมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียมีหนังสือมายังไทยเพื่อขอสานต่อความร่วมมือทางการค้าข้าว รัฐบาลจึงจะมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกัน ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติร่าง MOU แล้ว โดยไทยจะส่งออกขาวข้าวประมาณ 15 – 25% ไปยังอินโดนีเซีย ในปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี หรือขึ้นกับสถานการณ์การผลิตของทั้ง 2 ประเทศและระดับราคาในตลาดโลก ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 ปี . MOU นี้ ถือเป็นความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีของทั้ง 2 ประเทศ โดยอินโดนีเซียได้สำรองข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ ส่วนไทยเราก็จะได้ขยายตลาดข้าว ช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออก สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและอุตสาหกรรมการค้าข้าวได้มากขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เข้าหารือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขประเด็นความร่วมมือ RDIF ของรัสเซียเพื่อนำเข้าวัคซีนโควิด-19 Sputnik V เพื่อการวิจัยและใช้ แบบฉุกเฉิน
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เข้าหารือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขประเด็นความร่วมมือ RDIF ของรัสเซียเพื่อนำเข้าวัคซีนโควิด-19 Sputnik V เพื่อการวิจัยและใช้ แบบฉุกเฉิน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เข้าหารือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขประเด็นความร่วมมือ RDIF ของรัสเซียเพื่อนำเข้าวัคซีนโควิด-19 Sputnik V เพื่อการวิจัยและใช้แบบฉุกเฉิน เพิ่มโอกาสคนไทยเข้าถึงวัคซีนหลากหลายขึ้น วันที่ 11 มี.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เข้าพบเพื่อหารือด้านความร่วมมือกับ กองทุนเพื่อการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย (Russian Direct Investment Fund: RDIF) ณ ตึกบัญชาการ1 ชั้น3 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีนายพลพีร์ สุวรรณฉลี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(ฝ่ายการเมือง) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมหารือด้วย สำหรับประเด็นการหารือในครั้งนี้สืบเนื่องจากที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ร่วมมือกับ Gamaleya Research Institute of Epidemiology and Microbiology, RDIF ของรัสเซียซึ่งเป็นผู้มีกรรมสิทธิและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Sputnik V ใน 3 ประเด็นประกอบด้วย การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 Sputnik V เพื่อการวิจัยและการใช้แบบฉุกเฉิน (Emergency Use), ความร่วมมือ ในการศึกษาและวิจัยทางคลินิก Sputnik Lite(Sputnik26) และความร่วมมือในการจัดทำ Travelling Vaccine Passport สำหรับ การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 Sputnik V เพื่อการวิจัยและการใช้แบบ Emergency Use จะดำเนินการโดยบริษัทจุฬารัตน์ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นผู้นำเข้าและยื่นขออนุญาตจาก อย. “รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้ศึกษาวัคซีนโควิด-19 ได้หลากหลายขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็เปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้อยู่แล้ว เพียงแต่ดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไขและและขั้นตอนทางเอกสารที่ครบถ้วน”น.ส.ไตรศุลี กล่าว ทั้งนี้ RDIF เป็นองค์กรในสังกัดรัฐบาลรัสเซียที่นอกจากจะเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนของรัสเซีย ที่ร่วมกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศในสินทรัพย์ของรัสเซียแล้ว ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 RDIF ได้มีบทบาทในหารให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่โครงการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของรัสเซีย หรือโครงการ Sputnik V -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 691 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 691 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 405 คดี ค่าปรับ 3.16 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 109 คดี ค่าปรับ 4.39 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 0.11 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 33 คดี ค่าปรับ 1.83 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 8 คดี ค่าปรับ 0.17 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 31 คดี ค่าปรับ 0.82 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 1.03 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 11,704.835 ลิตร ยาสูบ จำนวน 8,598 ซอง ไพ่ จำนวน 502 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 42,763.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 1,558 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 58 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 18 มีนาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 14,097 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 256.55 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 7,928 คดี ค่าปรับ 70.76 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,192 คดี ค่าปรับ 92.23 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 318 คดี ค่าปรับ 4.23 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 614 คดี ค่าปรับ 41.85 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 62 คดี ค่าปรับ 2.56 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 689 คดี ค่าปรับ จำนวน 19.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 294 คดี ค่าปรับ 25.65 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 287,185.344 ลิตร ยาสูบ จำนวน 291,867 ซอง ไพ่ จำนวน 23,219 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,236,337.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 99,435 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,258 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40139
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน แจ้งคนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ หลังสวีเดน เก็บภาษีทำงานระยะสั้นแรงงานต่างชาติ เพิ่ม 25%
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 กระทรวงแรงงาน แจ้งคนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ หลังสวีเดน เก็บภาษีทำงานระยะสั้นแรงงานต่างชาติ เพิ่ม 25% สวีเดนเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเก็บภาษีแรงงานต่างชาติ Special income tax (SINK tax) สำหรับแรงงานต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานชั่วคราวในสวีเดน ระยะเวลาไม่เกิน 183 วันต่อปี ต้องชำระภาษีร้อยละ 25 ของรายได้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศ ว่า รัฐสภาสวีเดนมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 เรื่องการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเก็บภาษีแรงงานต่างชาติ Special income tax (SINK tax) ส่งผลให้คนงานที่จะเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน ฤดูกาลปี 2021 โดยผ่านการจ้างงานจากบริษัทนายจ้าง ต้องชำระภาษีประมาณร้อยละ 25 ของรายได้ตามกฎหมาย หากมีระยะเวลาทำงานไม่เกิน 183 วันต่อปี ซึ่งจากประมาณการรายได้ขั้นต่ำคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและหักภาษี สรุปได้ว่าคนงานจะมีรายได้คงเหลือประมาณ 13,237.50 – 31,156.50 บาท “ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าตามฤดูกาลเป็นอย่างมาก และได้กำชับให้กระทรวงแรงงานเตรียมการรองรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเก็บภาษีแรงงานต่างชาติของสวีเดน เนื่องจากที่ผ่านมาแรงงานกลุ่มดังกล่าว ถือว่าเป็นผู้ที่สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทย โดยปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าสวีเดน จำนวน 3,040 คน สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ถึง 475,760,000 บาท “ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ขานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น เร่งเตรียมการรองรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเก็บภาษีแรงงานต่างชาติของสวีเดน เบื้องต้นได้สั่งการเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานทั้งในกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเก็บภาษีแรงงานต่างชาติของสวีเดน และมีหนังสือถึงบริษัทนายจ้างที่จะพาลูกจ้างไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนเพื่อแจ้งข้อมูลการเปลี่ยนแปลง และกำหนดให้บริษัทนายจ้างแจ้งข้อมูลดังกล่าว แก่ลูกจ้างอย่างเคร่งครัด เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายของคนงานจะลดน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยกรมการจัดหางานได้คำนวณรายได้ขั้นต่ำสำหรับฤดูกาลปี 2021 ว่าแรงงานไทยจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 23,500 โครนาสวีเดน ต่อเดือน คิดเป็นเงินไทยจำนวน 85,070 บาท หักค่าใช้จ่ายในสวีเดน ได้แก่ ค่าที่พัก ค่าอาหารวันละ 3 มื้อ และค่าเช่ารถ ประมาณ 195 – 250 โครนาสวีเดนต่อวัน รวมทั้งค่าน้ำมันรถ เฉลี่ย 500 โครนาสวีเดนต่อสัปดาห์ต่อคน ซึ่งหลังหักค่าใช้จ่ายและหักภาษีร้อยละ 25 แล้ว หากมีระยะเวลาทำงาน 3 เดือน สรุปได้ว่าคนงานจะมีรายได้คงเหลือประมาณ 13,237.50 – 31,156.50 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 มีนาคม 2564: 1 โครนาสวีเดน เท่ากับ 3.62 บาท) “อย่างไรก็ดี นอกจากประเทศสวีเดนแล้ว กรมการจัดหางานยังมีการจัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ด้วย หลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมผลไม้ป่าของฟินแลนด์ได้พึ่งพาแรงงานต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะแรงงานไทย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 90 ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด สำหรับปี 2564 บริษัทรับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์ยังคงต้องการคนงานไทยเป็นจำนวนมาก โดยลงทะเบียนแสดงความต้องการแรงงานไทยกับกระทรวงการจ้างงานฟินแลนด์ แล้วจำนวน 8,703 คน และขณะนี้สำนักงานภาษีฟินแลนด์ (Finnish Tax Authority) ให้ข้อมูลว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบหรือกฎหมายการจัดเก็บภาษีต่อคนงานเก็บผลไม้ป่าหรือคนงานที่เป็นฝ่ายสนับสนุนในแคมป์ผลไม้ป่าในฤดูกาลปี 2564 แต่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยสถานะทางกฎหมายของชาวต่างชาติที่มาเก็บเกี่ยวผลผลิตทางธรรมชาติภายใต้หลัก Freedom to Roam ซึ่งหากมีพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้กรมการจัดหางานจะพิจารณาโควตาในปี 2564 อย่างเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดปัญหาการแย่งงานเก็บผลไม้ป่า คนหางานไทยมีโอกาสในการมีงานทำ และมีรายได้จากการเก็บผลไม้ป่าในอัตราที่พึงพอใจ รวมทั้งการดูแลแรงงานไทยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทรศัพท์ 0 2245 6708 ในวันและเวลาราชการ หรือติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ กระตุ้นให้นายจ้างจัดสวัสดิการเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน จัดมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ กระตุ้นให้นายจ้างจัดสวัสดิการเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ กระทรวงแรงงาน จัดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ หวังกระตุ้นให้นายจ้างขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการในรูปแบบสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อเป็นสถาบันการเงินในสถานประกอบกิจการช่วยแก้ไขหนี้นอกระบบให้กับลูกจ้าง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศวิสัยทัศน์ของประเทศไว้ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมุ่งส่งเสริมให้มีการน้อมนำ ศาสตร์พระราชาที่ปวงชนชาวไทยได้รับพระราชทานมาใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ใน สถานประกอบกิจการ เพราะนับเป็นภารกิจที่มีคุณค่าตามศาสตร์พระราชา ที่ช่วยให้เกิดการทำงานร่วมกัน สร้างวินัยการออม เสริมภูมิคุ้มกันและความไม่ประมาทต่อการดำรงชีวิตในอนาคตให้ผู้แก่ใช้แรงงาน จึงมอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อต้องการส่งเสริมให้นายจ้างสถานประกอบกิจการ และรัฐวิสาหกิจได้พัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการให้กับลูกจ้างในรูปแบบการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญในการไขปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบของกลุ่มแรงงาน เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์จะเป็นสวัสดิการที่มุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินของลูกจ้างและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว อีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนทำงานร่วมกันในรูปแบบของสหกรณ์ เพื่อความเจริญก้าวหน้า อำนวยประโยชน์และสร้างความสุขร่วมกัน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเสริมว่า กิจกรรมภายในงานได้มุ่งเน้นให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดสวัสดิการด้านเศรษฐกิจในรูปแบบของการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนายจ้าง เพื่อนำไปพัฒนาการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการของตนเอง ประกอบด้วย การมอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติแก่สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวน 26 แห่ง การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “หลักคิดสหกรณ์กับแนวทาง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน” โดย นายปรเมศรว์ อินทรชุมนุม (ประธานสันนิบาตสหกรณ์) การจัดแสดงนิทรรศการผลการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการต้นแบบในด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์ อาทิ สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานโตโยต้า จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์ข้าวหงษ์ทอง จำกัด สหกรณ์บริการพนักงานกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ไทย จำกัด เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่มีมาตรการผ่อนคลายทำให้ประชาชนที่มีอาชีพชนไก่ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่มีมาตรการผ่อนคลายทำให้ประชาชนที่มีอาชีพชนไก่ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่มีมาตรการผ่อนคลายทำให้ประชาชนที่มีอาชีพชนไก่ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย วันนี้ (25 มีนาคม 2564) ณ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบปะกับเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนจังหวัดสุโขทัย พร้อมรับกระเช้าดอกไม้จากนายกสมาคมเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนจังหวัดสุโขทัย เพื่อขอบคุณที่รัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนคลายทำให้ประชาชนที่มีอาชีพชนไก่ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้งหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด - 19 ในช่วงที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทำให้เกิดผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของประชาชน แต่หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลงรัฐบาลจึงได้มีการออกมาตรการผ่อนคลายทั้งในส่วนของกิจกรรมกีฬาพื้นบ้าน เช่น สนามไก่ชน สนามกัดปลา โดยย้ำให้มีการกำกับดูแล กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT รวมทั้งขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด – 19 อย่างเคร่งครัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ และฝากถึงการประกอบอาชีพให้ขยายสู่ช่องทางออนไลน์ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยให้พัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กันทั้งส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลจะดำเนินงานอย่างเต็มที่ในการดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่ง สำรวจ - พัฒนา คุณภาพชีวิต “บางกลอยล่าง”
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 เร่ง สำรวจ - พัฒนา คุณภาพชีวิต “บางกลอยล่าง” ... จากเสียงสะท้อนจากชาวบ้าน “บางกลอยล่าง” ถึงปัญหาเรื่องการทำกินในที่ดินที่ทางราชการจัดสรรให้ จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านบางส่วนเดินทางกลับขึ้นไปยัง “ใจแผ่นดิน” ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ต้นกำเนิดแม่น้ำเพชรบุรี . รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเร่งสำรวจปัญหาของพื้นที่ ระบบสาธารณูปโภค และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยมีผู้นำชุมชนของ 2 ชุมชน คือ บ้านโป่งลึก และบ้านบางกลอย ให้ข้อมูลและร่วมวางแนวทางการแก้ปัญหา . ผลการสำรวจพื้นที่พบว่าปัจจุบัน บ้างโป่งลึก มีโครงการพัฒนาของหน่วยงานต่างๆ รองรับความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างเพียงพอ แต่ทางบ้านบางกลอยล่าง ยังขาดแคลน จึงได้มีแผนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้านบางกลอยล่าง . เริ่มจากการสำรวจที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย แก้ปัญหาชาวบ้านไม่ได้รับจัดสรรที่ดินทำกิน บริหารจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม เช่น เร่งติดตั้งระบบผลิตน้ำดื่มจากน้ำบาดาลให้ทั้ง 2 บ้านมีน้ำสะอาดใช้ดื่มกิน และระบบพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินเพื่อกระจายน้ำสำหรับทำเกษตรอย่างเพียงพอ . นอกจากนี้ ยังพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพดินให้สามารถทำการเกษตรต่อไปได้ ทำแปลงสาธิตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน พัฒนาอาชีพทางเลือกและการสร้างรายได้ พัฒนาการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ตลอดจนสื่อสารสร้างการรับรู้ . คาดว่าการสำรวจที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยจะแล้วเสร็จภายใน 1 - 2 วัน ส่วนแผนด้านการบริหารจัดการน้ำ คาดว่าจะวางแผนได้แล้วเสร็จใน 1 - 2 เดือน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรออกมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 กรมศุลกากรออกมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร แถลงข่าว เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้มอบหมายให้มีการแถลงข่าว เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กรมศุลกากรมีมาตรการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า เสริมสร้างความรวดเร็ว โปร่งใส ให้กับผู้ประกอบการโดยมีรายละเอียดของมาตรการที่สำคัญ ดังนี้ 1. มาตรการลดข้อโต้แย้งและการวางประกันปัญหาพิกัดอัตราศุลกากร กรมศุลกากรได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับสินค้า ณ ขณะนำเข้า โดยกำหนดให้สำนักงานศุลกากรแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญพิกัดอัตราศุลกากรประจำสำนักงาน เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา กรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจปล่อยสงสัยหรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับสินค้าที่กำลังผ่านพิธีการศุลกากร ทั้งนี้ เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจปล่อย และลดภาระผู้ประกอบการในการวางประกันสินค้าที่ไม่มีปัญหาพิกัดอีกด้วย ในกรณีที่ผู้ประกอบการประสงค์ จะวางประกัน หากยังมีข้อโต้แย้งในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากร อยู่นั้น กรมศุลกากรได้ออกมาตรการเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการพิจารณาพิกัดอัตราศุลกากร สำหรับสินค้าที่มีปัญหานั้น เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยกรมศุลกากรสั่งการให้สำนักงานศุลกากรแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรประจำสำนักงาน ทำหน้าที่ในการให้ความเห็นพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับสินค้านั้นโดยเร็ว ก่อนส่งให้กองพิกัดอัตราศุลกากรวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป ทั้งนี้กรมศุลกากรได้มีการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในแต่ละขั้นตอนไว้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะช่วยให้การพิจารณาปัญหาพิกัดภายหลังการนำเข้า มีความรวดเร็ว เป็นมาตรฐาน อันจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการในการคำนวณต้นทุนการนำเข้าสินค้า และลดปัญหาข้อโต้แย้งเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับสินค้าที่เคยมีปัญหา หากมีการนำเข้ามาอีกในอนาคต นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 28/2564 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับผู้ประกอบการในกรณีที่มีปัญหาข้อโต้แย้งพิกัดอัตราศุลกากร ณ ขณะนำเข้าและผู้ประกอบการประสงค์จะนำของออกไปก่อน โดยการวางประกัน 2. มาตรการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับเรือสำราญและกีฬาที่นำเข้ามาพร้อมกับตนหรือเข้ามาชั่วคราว กรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากรที่ 29/2564 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 แก้ไขปรับปรุง การปฏิบัติพิธีการศุลกากรสำหรับเรือสำราญและกีฬาที่นำเข้ามาพร้อมกับตนหรือนำเข้ามาชั่วคราว โดยใช้สิทธิยกเว้นอากรตาม ภาค 4 ประเภท 3 (ค) แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 โดยมีสาระสำคัญในการขยายหลักการสำหรับเพดานระยะเวลาการนำเรือเข้ามาพร้อมกับตนหรือนำเข้ามาชั่วคราว จาก 1 ปี เป็น 2 ปี 6 เดือน นับจากวันที่นำเข้า โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศและเสริมสร้างให้ไทยเป็นศูนย์กลางมารีนาของอาเซียน 3. มาตรการแก้ไขปรับปรุงพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ขณะนี้ กรมศุลกากรได้ดำเนินการแก้ไขพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 จึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยสามารถแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมศุลกากร (www.customs.go.th) หัวข้อ “การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... ได้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2564 ถึง วันที่ 5 เมษายน 2564 ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 33/2564 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2564 กรมศุลกากรจึงขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็น ต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อจะได้รวบรวมความคิดเห็นและนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากประกาศกรมศุลกากรข้างต้นหรือจากเว็บไซต์www.customs.go.th หัวข้อ เรื่องน่ารู้และกฎหมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยสถานกักกัน ตม.บางเขนติดเชื้อโควิด 395 ราย ควบคุมโรคแล้วไม่แพร่เชื้อสู่ชุมชน
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 สธ.เผยสถานกักกัน ตม.บางเขนติดเชื้อโควิด 395 ราย ควบคุมโรคแล้วไม่แพร่เชื้อสู่ชุมชน กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานกักกัน ตม.บางเขน พบติดเชื้อสะสม 395 ราย แยกผู้ต้องกักติดเชื้อแล้วไม่รับผู้ต้องกักรายใหม่ ตั้งโรงพยาบาลสนามในสโมสรตำรวจ 120 เตียงรองรับ พร้อมเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้เจ้าหน้าที่ ย้ำสถานกักกันเป็นพื้นที่เฉพาะ ไม่มีแพร่เชื้อต่อในช กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานกักกัน ตม.บางเขน พบติดเชื้อสะสม395 ราย แยกผู้ต้องกักติดเชื้อแล้วไม่รับผู้ต้องกักรายใหม่ ตั้งโรงพยาบาลสนามในสโมสรตำรวจ 120 เตียงรองรับ พร้อมเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้เจ้าหน้าที่ ย้ำสถานกักกันเป็นพื้นที่เฉพาะ ไม่มีแพร่เชื้อต่อในชุมชน วันนี้ (22 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 73 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล22 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 44 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 7 รายเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย และรักษาหายเพิ่ม 65 ราย ทำให้การติดเชื้อในระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 22 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 22,486 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 1,122 ราย และเสียชีวิตสะสม 31 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายใหม่เป็นชายไทยอายุ 60 ปี มีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ขณะที่ผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 21 มีนาคม 2564 รวม 73,517 โดสคิดเป็นร้อยละ 79 ถือว่ามีความก้าวหน้ามาก นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางเขน กรุงเทพมหานครรับผู้ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายจากทั่วประเทศมาดำเนินคดี เริ่มตรวจพบผู้ต้องกักติดเชื้อเมื่อวันที่11 มีนาคม 2564 ตรวจพบรวม 9 ราย เป็นผู้ต้องกักชาวเนปาล 1 ราย ,ผู้ต้องกักแรกรับที่ย้ายมาจากสุไหงโกลก 6 รายและผู้ต้องกักรายเดิม2 ราย วันที่ 13 มีนาคม ตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 52 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกลุ่มสุไหงโกลก40 ราย และผู้ต้องกักแรกรับติดเชื้อ 12 ราย ส่วนวันที่ 15 มีนาคม พบผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ติดเชื้อชาวเนปาลอีก 16 ราย รวมทั้งหมด 77 ราย ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปคัดกรองเชิงรุกในระหว่างวันที่ 18-20 มีนาคม โดยตรวจผู้ต้องกักและเจ้าหน้าที่ทุกคนรวม 1,556 ราย พบติดเชื้อเพิ่มอีก 318 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.4 ทำให้กลุ่มก้อนนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 395 ราย สำหรับการป้องกันควบคุมโรค ได้แยกผู้ต้องกักติดเชื้อออกจากผู้อื่น งดการย้ายผู้ต้องกักระหว่างห้องงดรับผู้ต้องกักใหม่เข้ามา และประสานงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่สโมสรตำรวจ จำนวน120 เตียง ซึ่งสามารถขยายได้ 250 เตียง และเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้เจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสัมผัสผู้ต้องกัก โดยฉีดแล้วมากกว่า70 คน กรมควบคุมโรควางแผนดำเนินการตรวจซ้ำใน 7 วันและ 14 วันต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการ การให้อยู่โรงพยาบาลสนามถือว่ามีความเหมาะสม เมื่อครบระยะเวลาก็ไม่สามารถแพร่โรคต่อได้ จะผลักดันกลับประเทศตามกฎหมาย “การจำกัดพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นการขีดวงไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังคนอื่น ระบบการดูแลผู้ต้องกักถือเป็นพื้นที่เฉพาะ ไม่มีการออกไปสู่ชุมชน ขอให้วางใจ และย้ำว่าการลักลอบเข้าเมืองมีความผิดตามกฎหมาย และเสี่ยงนำโรคเข้ามา ขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาก็จะช่วยป้องกันโรค” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว *********************** 22 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ชื่นชมตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร คุมเข้มมาตรการโควิด19
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 “อลงกรณ์” ชื่นชมตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร คุมเข้มมาตรการโควิด19 “อลงกรณ์” ชื่นชมตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร คุมเข้มมาตรการโควิด19 สร้างความเชื่อมั่นทำยอดขายพุ่ง พร้อมเชิญชวนคนไทยซื้อกุ้งช่วยชาวประมง “อลงกรณ์”ชื่นชมตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครคุมเข้มมาตรการโควิด19สร้างความเชื่อมั่นทำยอดขายพุ่งพร้อมเชิญชวนคนไทยซื้อกุ้งช่วยชาวประมง วันนี้(4มี.ค. 64)ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห่วงใยเกษตรกรชาวประมงจึงมอบหมายให้นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยพร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ผลยังส่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครนายวิชาญอิงศรีสว่างรองอธิบดีกรมประมงนายมงคลมงคลตรีลักษณ์นายกสมาคมการประมงจังหวัดสมุทรสาครนายชาธิปตั้งกุลไพศาลรองประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาครตัวแทนหน่วยงานราชการภาคเอกชนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครพร้อมพบปะผู้ประกอบการภายหลังจากที่ตลาดได้เปิดดำเนินการดำเนินงานตั้งแต่วันที่1มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้นายอลงกรณ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแสดงความชื่นชมตลาดกลางกุ้งที่สามารถเปิดทำการได้อีกครั้งหนึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมการระบาดของโควิด19ซึ่งทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งทั้งหน่วยงานด้านสาธารณสุขด้านการปกครองด้านประมงผู้ประกอบการทั้งระบบตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้วันนี้การค้าขายที่ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครกลับมาเปิดให้บริการทำการเต็มรูปแบบอีกครั้งมีแพปลากลับมาทำการค้าขายอย่างคึกคักยอดขายเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันได้เน้นย้ำอย่าให้การ์ดตกเหมือนปลายปีที่แล้วโดยต้องป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นและนำระบบตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งการขนส่งการผลิตแปรรูปจนถึงปลายน้ำคืออุตสาหกรรมแปรรูปร้านอาหารโรงแรมและผู้บริโภคจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นที่มีต่อตลาดกลางและสินค้าประมงพร้อมทั้งเชิญชวนคนไทยบริโภคกุ้งไทยเพื่อช่วยเกษตรกรของเราในยุคโควิด19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. สร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจประกันภัยรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคการดำเนินธุรกิจภายใต้ “Digital Ecosystem”
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 คปภ. สร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจประกันภัยรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคการดำเนินธุรกิจภายใต้ “Digital Ecosystem” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คปภ.ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานกำกับในภาคการเงิน ได้แก่ ธปท. และ สำนักงาน ก.ล.ต. ในการจัดกิจกรรมทดสอบความพร้อมเพื่อรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ระดับภาคการเงิน เพื่อสร้างกระบวนการและทดสอบความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานกำกับในภาคการเงิน ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ในการจัดกิจกรรมทดสอบความพร้อมเพื่อรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ระดับภาคการเงิน (Financial Sector Cyber Drill) เพื่อสร้างกระบวนการและทดสอบความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมทั้งในด้านการตอบสนอง (Response) ต่อภัยคุกคาม การกู้คืนระบบ (Recovery) และมาตรการเยียวยาต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการพัฒนาแนวทางในการรับมือได้อย่างเหมาะสมกับลักษณะความซับซ้อนของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะสามารถนำไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแนวทางการรับมือ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ นอกจากนี้สำนักงาน คปภ. ยังได้จัดกิจกรรมซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์สำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Sector Cyber Drill) เมื่อช่วงปลายปี 2563 เพื่อทดสอบความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ถูกโจมตีทางไซเบอร์ของสำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัย ให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น ภายใต้บริบทการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคดิจิทัลท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ พฤติกรรมของผู้บริโภค ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นควบคู่กับนวัตกรรมเทคโนโลยี โดยมีบริษัทประกันชีวิตเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ จำนวน 22 บริษัท และบริษัทประกันวินาศภัยเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 52 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 94 ของบริษัทประกันภัยทั้งหมด โดยการดำเนินการจัดกิจกรรมซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์เริ่มตั้งแต่การจัดฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยวข้อง การออกแบบเหตุการณ์ที่ใช้ในการทดสอบที่สอดคล้องมาตรฐานสากลและสภาพแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน รวมถึงการสรุปและวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดสอบนำมาพัฒนาแนวทางการรับมือและบริหารจัดการภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคธุรกิจประกันภัยมีกระบวนการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จากการการผลักดันให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีความตระหนักถึงความสำคัญของการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ผ่านการจัดกิจกรรมการซักซ้อมแล้ว สำนักงาน คปภ. ได้สร้างมาตรฐานของการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับธุรกิจประกันภัย โดยได้ดำเนินการออกประกาศ คปภ. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2563 รวมถึงแนวปฏิบัติ เรื่อง การกำกับดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 ที่มุ่งหวังให้บริษัทประกันภัยมีความมั่นคงปลอดภัยทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งหลักเกณฑ์และแนวทางในการกำกับดูแล จะครอบคลุมหัวใจสำคัญของการควบคุมและบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันภัย ได้กำหนดกลยุทธ์และขับเคลื่อนโดยอาศัยกุญแจสำคัญ คือ เทคโนโลยี เพื่อมุ่งสู่การเป็น Digital Insurer ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเป็นได้ทั้งโอกาสและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจบนเวทีใหม่ โดยสามารถใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาสิ่งที่มีอยู่เดิม และเพิ่มเติมให้เกิดสิ่งใหม่ที่สร้างความแตกต่างได้ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน แต่ในอีกด้านหนึ่งที่มาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ความเสี่ยงด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและประเทศชาติ ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการจัดการเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับธุรกิจและองค์กร ประกอบกับการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นความจำเป็นที่ไม่อาจปฏิเสธได้จากสถานการณ์ Covid-19 Disruption ทำให้ต้องเร่งความเร็วในการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีอีกทั้งภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งปันเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน (Sharing information) ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี อาทิ การพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5G เป็นต้น ซี่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงภัยคุกคามทางไซเบอร์มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยสถิติภัยคุกคามทางไซเบอร์ของบริษัท Kaspersky ซึ่งเป็นบริษัทด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านไอทีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผลสำรวจที่น่าสนใจว่าประเภทธุรกิจหรือบริการที่ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี และติดอันดับในกลุ่ม TOP 3 ของโลก คือ ภาคการเงิน (Financial sector) โดยรวมถึงภาคประกันภัยด้วย “ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญในการดำเนินธุรกิจนั้น หากมีแนวทางในการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีแนวทางในการป้องกัน สามารถตรวจจับได้เร็ว และตอบสนองได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้องค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ในระดับ Cyber Resilience จะช่วยลดโอกาสในการเกิดความเสี่ยง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการพัฒนาและยกระดับให้ธุรกิจประกันภัยมีความพร้อมในเรื่องดังกล่าว จึงเป็นการก้าวข้ามอุปสรรคการดำเนินธุรกิจภายใต้ “Digital Ecosystem” ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Sector Cyber Drill) เพื่อทดสอบความพร้อมในการรับมือ ตลอดจนการดำเนินการเมื่อเกิดภัยคุกคามของบริษัทประกันภัยและสำนักงาน คปภ. ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์ เพื่อเป็นอีกกลไกหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์ โดยมุ่งหวังเพื่อสร้างกระบวนการที่ทำให้องค์ความรู้มีความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย ... ร้านค้าปลีกใกล้บ้าน หรือที่เรียกติดปากว่า “ร้านโชวห่วย” ถือเป็นเศรษฐกิจระดับชุมชนที่ช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับประชาชนมาอย่างยาวนาน และเพื่อให้ร้านค้าเหล่านี้อยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหญ่ รัฐบาลจึงตั้งเป้าพัฒนาและยกระดับร้านค้าปลีกธรรมดาสู่สมาร์ทโชวห่วยที่ “ซื้อง่าย ถูกใจ ใกล้บ้าน” . 6 เดือนนับจากนี้ (เม.ย. – ก.ย. 64) จะเป็นโอกาสทองของร้านโชวห่วยกว่า 3,500 ร้านทั่วประเทศ ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ให้ความรู้เรื่องการประกอบธุรกิจ บัญชี ภาษี และเทคนิคการปรับปรุงร้านค้าให้ทันสมัย สวยงาม เพื่อดึงดูดลูกค้าและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึงจะได้รับโปรโมชันพิเศษจากผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่าย สถาบันการเงินต่าง ๆ และบริการเสริมเพิ่มรายได้ เช่น ตู้น้ำดื่ม ตู้เติมเงิน บริการเดลิเวอรี เป็นต้น . นอกจากจะได้เป็น “สมาร์ทโชวห่วย” แล้ว ช่วงนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง/ เราชนะ/ ม.33 เรารักกัน ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายสร้างรายได้ให้ร้านค้า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากอีกด้วย . ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02-547-5986 หรือเว็บไซต์www.dbd.go.th #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ท่องเที่ยว รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ศรีสะเกษติดตามการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น สนับสนุนยกระดับรายได้ประชาชนฐานราก
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 รมว.ท่องเที่ยว รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ศรีสะเกษติดตามการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น สนับสนุนยกระดับรายได้ประชาชนฐานราก รมว.ท่องเที่ยว รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ศรีสะเกษติดตามการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น สนับสนุนยกระดับรายได้ประชาชนฐานราก วันที่ 18 มี.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อติดตามการพัฒนาและสร้างเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ตามข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่น ให้มีส่วนสามารถยกระดับรายได้ของประชาชนระดับฐานรากได้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธง อำเภอกันทรลักษ์ เพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวผามออีแดง พร้อมประชุมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวร่วมกับส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ และเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญภายในอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารที่เป็นเป้าหมายการพัฒนาในระยะต่อไป ได้แก่ เนินนับดาว ผามออีแดง ภาพแกะสลักนูนต่ำ หอพระ สถูปคู่ และ แหล่งหินตัด ทั้งนี้ ระหว่างการหารือว่ากับส่วนราชการ เอกชน และประชาชนในพื้นที่รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวชื่นชมในความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของทุกภาคส่วนในจังหวัดด้วยความสามัคคี ซึ่งจากการรับฟังข้อมูลได้เห็นว่าศรีสะเกษสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สำคัญของเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรือ อีสานใต้ได้ ซึ่งเมื่อมีแผนงานชัดเจนรัฐบาลก็พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายพิพัฒน์ ได้เยี่ยมชมการจัดงานเทศกาลดอกลำดวนบาน ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ อำเภอเมือง ซึ่งเป็นงานประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ โดยปี 2564 กำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 17-21 มี.ค. 2564 ในการนี้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีแล้ว ได้ชมการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมและวิถีของ 4 ชนเผ่า ประกอบด้วย ส่วย เขมร ลาว เยอ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชาวศรีสะเกษ ส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย รวมถึงชมการจำหน่ายสินค้าโอทอป เช่น ผ้าทอเบญจศรี ของใช้ เครื่องประดับ อาหาร เครื่องดื่ม และสมุนไพร -------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ลดค่าธรรมเนียม โอนเงินด่วนระหว่างประเทศเหลือเพียง 65 บาท
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ไอแบงก์ ลดค่าธรรมเนียม โอนเงินด่วนระหว่างประเทศเหลือเพียง 65 บาท ไอแบงก์ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ไปยังปลายทาง 8 ประเทศอาเซียน ด้วยระบบ SpeedSend แบบ Cash To Cash (โอนเงินสด-รับเงินสด) จากเดิม 75 บาท เหลือเพียง 65 บาท ต่อรายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2564 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ปรับลดค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ไปยังปลายทาง 8 ประเทศอาเซียน ด้วยระบบ SpeedSend แบบ Cash To Cash (โอนเงินสด-รับเงินสด) จากเดิม 75 บาท เหลือเพียง 65 บาท ต่อรายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2564 บริการโอนเงินด่วนรายย่อยระหว่างประเทศด้วยระบบ SpeedSend นี้ เป็นการโอนเงินสดและรับเงินสด ไปยัง 8 ประเทศปลายทาง ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา ลาว มาเลเซีย สิงค์โปร์ ซึ่งลูกค้าสามารถทำรายการโอนเงินขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 300 บาท และโอนเงินได้สูงสุด 300,000 บาท/คน/วัน โดยไอแบงก์ได้ปรับลดค่าธรรมเนียมลงจากเดิม 75 บาทต่อรายการ เหลือเพียงแค่ 65 บาทต่อรายการ ผู้สนใจสามารถใช้บริการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2564 ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ ยกเว้นสาขาเซ็นทรัลแอร์พอร์ตเชียงใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ibank call Center โทร. 1302
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายในอาทิตย์นี้ พร้อมมอบ ศบค. เร่งพิจารณากิจกรรมช่วงสงกรานต์
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายในอาทิตย์นี้ พร้อมมอบ ศบค. เร่งพิจารณากิจกรรมช่วงสงกรานต์ นายกรัฐมนตรีเผยเตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายในอาทิตย์นี้ พร้อมมอบ ศบค. เร่งพิจารณากิจกรรมช่วงสงกรานต์ วันนี้ (9 มีนาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการเตรียมจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทันดำเนินการในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้า โดยรูปแบบงานต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการแพร่เนื่องจากการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการทั้ง 2 รูปแบบ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นและสถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังต้องร่วมมือสวมใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่าง นายกรัฐมนตรียังเผยว่า จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ AstraZeneca ตามคำแนะนำของแพทย์และความพร้อมในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 64 พร้อมย้ำว่า ไม่ได้ปิดกั้นให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องเป็นไปตามกฎกติกา โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หารือร่วมกับผู้ประกอบการและสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเกี่ยวกับแผนการนำเข้าวัคซีน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับประชาชนอีกด้วย ทั้งนี้ วัคซีนโควิด-19 ที่มีหลายยี่ห้อในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบเอกสารโดย อย. ซึ่งปัจจุบันเป็นการอนุมัติใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Use) ต้องวางแผนการฉีดและการสั่งจองวัคซีนต่อไปในอนาคตอีกด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง เปิดการเดินทางระหว่างประเทศ หรือ Open Systemว่า ได้มีการเตรียมการ Vaccine Passport ไว้ด้วยแล้วแต่ยังคงต้องรอมาตรฐานกลางที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) อาทิ หากได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบแล้วแล้วจะยังต้องเข้ารับการกักตัวสังเกตอาการหรือไม่ รวมทั้งการกำหนดเพิ่มเติมในประเด็นพื้นที่ความเสี่ยงที่แตกต่างกัน รวมถึงการจัดเตรียมความพร้อมแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ .............. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามโครงการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลในพื้นที่ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามโครงการขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลในพื้นที่ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยมี นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้แทนกรมเจ้าท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งกรมเจ้าท่า (จท.) โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 6 ได้ดำเนินการดังนี้ 1. ร่องน้ำบ้านบางเก่า จท. ได้ขุดลอกแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 เพื่อแก้ไขปัญหาปากร่องน้ำตื้นเขินและแคบลงเนื่องจากคลื่นลมได้พัดพาทรายมาทับถมบริเวณดังกล่าวและส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวประมงในพื้นที่ โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการ 55 วัน ได้ร่องน้ำระยะทาง 475 เมตร ขนาดความกว้างที่ก้นร่อง 15 เมตร ลึก 1.5 เมตรจากระดับน้ำลงต่ำสุด ปริมาณวัสดุขุดลอก 32,153 ลูกบาศก์เมตร 2. ร่องน้ำบ้านท่า อยู่ระหว่างการขุดลอก ซึ่ง จท. ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกร่องน้ำบ้านท่า เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน ระยะทาง 800 เมตร ขนาดความกว้างที่ก้นร่อง 30 เมตร ลึก 1.5 เมตรจากระดับน้ำลงต่ำสุด ปริมาณวัสดุขุดลอก 116,000 ลูกบาศก์เมตร เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีคลื่นลมแรงประกอบกับพื้นที่ชายหาดมีความตื้นเขินมาก เมื่อกระแสน้ำขึ้นทำให้เกิดคลื่นแรง จท. จึงได้ร่วมกับชาวประมงแก้ไขปัญหา ด้วยการสรุปแนวขุดลอกร่องน้ำใหม่และใช้รถขุดแบคโฮขุดสันดอนบริเวณปากร่องน้ำให้ชาวประมงสามารถนำเรือเข้าในร่องน้ำได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเรือเกยตื้นแล้วถูกคลื่นซัด ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ จท. บำรุงรักษาร่องน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถนำเรือเข้า - ออก ได้ตลอดเวลา รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก และบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี โดยในปีงบประมาณ 2564 จท. มีแผนขุดลอกร่องน้ำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ร่องน้ำบางทะลุ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ และเตรียมขุดลอกร่องน้ำบางกุลา ร่องน้ำบางแก้ว และคลองวัว เพื่อแก้ไขปัญหาร่องน้ำตื้นเขินต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส - ปปส. หารือบูรณาการข้อมูลหน่วยงานในสังกัด ก.ยุติธรรม ให้เหมาะสมปลอดภัย หลัง พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ เน้นหนุนงานบำบัดรักษา-ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ดีอีเอส - ปปส. หารือบูรณาการข้อมูลหน่วยงานในสังกัด ก.ยุติธรรม ให้เหมาะสมปลอดภัย หลัง พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ เน้นหนุนงานบำบัดรักษา-ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ดีอีเอส - ปปส. หารือบูรณาการข้อมูลหน่วยงานในสังกัด ก.ยุติธรรม ให้เหมาะสมปลอดภัย หลัง พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ เน้นหนุนงานบำบัดรักษา-ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เมื่อวันที่9มีนาคม2564นายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมหารือเรื่องการบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562กับการบริหารระบบข้อมูลเพื่อสนับสนุนงานด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด(บสต.)โดยรองปลัดฯทำหน้าที่ในฐานะเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(สคส.)ร่วมกับสำนักงานป.ป.ส.กระทรวงยุติธรรมซึ่งมีนายธนากรคัยนันท์รองเลขาธิการปปส.พร้อมคณะร่วมประชุมณห้องประชุม801ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการนี้ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลของปปส.กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม ให้เหมาะสมปลอดภัยและสอดคล้องกับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ.2562 ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39841
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39831
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ปลัดเกษตรฯ เป็นประธานร่วม ปลัดพาณิชย์ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต เดินหน้า Quick Win เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ตอบโจทย์เทรนด์โลก ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ครั้งที่ 1/2564 ร่วมกับ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ณ ห้องประชุมธารทิพย์ อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพมหานคร โดยที่ประชุมได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างและใช้ข้อมูลจากฐานเดียวกัน (Single Big Data) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างแพลตฟอร์มกลาง "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด โดยมีความคืบหน้าดังนี้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างและใช้ข้อมูลจากฐานเดียวกัน (Single Big Data) โดยกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมหารือเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลร่วมกันทั้ง 2 กระทรวง ให้มีความเชื่อมโยงกัน พัฒนาระบบฐานข้อมูลสินค้าเกษตร ด้านฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรกรให้มีคุณภาพ มาตรฐานปลอดภัย และมีมูลค่าเพิ่ม ตรงกับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูง มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยจะดำเนินการจัดทำ Dashboard ในสินค้านำร่องคือมันสำปะหลัง และพิจารณาการจัดทำ dashboard ในสินค้าชนิดอื่นๆ ต่อไป คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างแพลตฟอร์มกลาง "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" โดยมีการตั้งเป้าหมายหลักเพื่อทำให้มีการซื้อขายสินค้าเกษตรมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการใช้แพลตฟอร์มกลาง "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการลงพื้นที่และทำการศึกษาเพื่อให้ทราบถึงความต้องการของเกษตรกร โดยมีแนวทางการจัดทำแพลตฟอร์มกลางการค้าแบบ B2B (Business-to-Business) มีแนวทางนำร่องโดยคัดเลือกกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีความพร้อม มีศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ และวิสาหกิจชุมชน โดยจะนำผลการศึกษาและมติที่ประชุมไปดำเนินการออกแบบจัดทำแพลตฟอร์มกลาง "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ต่อไป คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ โดยมีแนวทางการดำเนินการยกระดับสินค้าเกษตรและอาหารไทยไปสู่ระดับมาตรฐานพื้นฐานตามที่ตลาดต้องการ เช่น Food Safety GAP GMP เป็นต้น พัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรและอาหารที่ผ่านการรับรองมาตรฐานพื้นฐานแล้วนำไปสู่มาตรฐานระดับสูงสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น Organic, GI, Sustainable, Fair Trade เป็นต้น สร้างและพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารไทยเป็นสินค้านำเทรนด์ตลาด โดยเฉพาะสินค้าประเภท Functional Foods อาหารเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคเพื่อตอบโจทย์ในตลาด Niche Market และสร้างความเชื่อมโยงด้านคุณภาพมาตรฐาน ตั้งแต่ต้นน้ำการผลิต ไปถึงปลายน้ำผู้บริโภค โดยยกระดับสินค้าเกษตรและอาหารไทยที่ได้มาตรฐานพื้นฐานให้เข้าสู่ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งมีแนวทางดำเนินงานต่อไปคืออยู่หว่างเลือกสินค้านำร่องที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร รวมถึงพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ให้แก่บุคลากร ให้ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของตลาด โดยได้ดำเนินการกำหนดกลุ่มสินค้า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เกษตรพื้นฐาน (สินค้าข้าว พืชไร่และพืชสวน ผักผลไม้ ปศุสัตว์ และประมง) เกษตรแปรรูป (สินค้าเกษตรแปรรูป เกษตรอัตลักษณ์) เกษตรบริการ (การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เกษตรบริการอื่น) และได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ จำนวน 4 คณะ ใน 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ สินค้าข้าวพืชไร่และพืชสวน สินค้าผลไม้ สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าประมง โดยมีกำหนดรายงานความคืบหน้าให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเพื่อพิจารณาแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่มสินค้า ก่อนนำเสนอคณะกรรมการร่วมเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต พิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางขยายผลการขับเคลื่อนการพัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาดลงสู่การปฏิบัติจริงต่อไป ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบแนวทางในการปฏิบัติให้แก่คณะอนุกรรมการทั้ง 4 คณะ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40158
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชน ๙ เครือข่าย เพื่อขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชน ๙ เครือข่าย เพื่อขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชน ๙ เครือข่าย เพื่อขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ชั้น ๓ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รับเรื่องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชน ๙ เครือข่าย ประกอบด้วย เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เครือข่ายคนพิการ เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เครือข่ายชาติพันธุ์ เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายแรงงาน และเครือข่ายผู้ใช้ยา จำนวน ๓๐ คน เพื่อขอให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพิจารณา ในการประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39528
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นองค์ปาถกฐาในหัวข้อ การพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบททางทะเลกรณีศึกษาของประเทศไทย
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นองค์ปาถกฐาในหัวข้อ การพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบททางทะเลกรณีศึกษาของประเทศไทย ในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติในบริบทการขนส่งทางทะเล (United Nations Sustainable Development Cooperation Framework : A Process to Mainstream the Maritime Sector) โดยมีผู้แทนกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก องค์การระหว่างประเทศ และหน่วยงานเอกชนระหว่างประเทศเข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 23 มีนาคม 2564 นายสมชาย สุมนัสขจรกุล กล่าวว่า การประชุมดังกล่าว จัดขึ้นโดยใช้รูปแบบการประชุมฯ ที่ประเทศไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลในภูมิภาคของประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก นำไปสู่การนำเสนอแนวความคิดความร่วมมือเพื่อเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals : UNSDGs) ในบริบทการขนส่งทางทะเล รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด และเครื่องมือในการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งผลลัพธ์ของการประชุมฯ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างบทบาทให้ประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทการขนส่งทางทะเลขององค์การระหว่างประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คนร. เห็นชอบตั้ง 2 บริษัทลูกของ กฟน. และ กฟผ. ยกระดับการจัดการด้านพลังงานด้วยนวัตกรรม”
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 “คนร. เห็นชอบตั้ง 2 บริษัทลูกของ กฟน. และ กฟผ. ยกระดับการจัดการด้านพลังงานด้วยนวัตกรรม” ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่ง คนร. ได้พิจารณาในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ เพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจให้แก่ คนร. โดยมีนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คนร. เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งในชั้นนี้ คนร. จะกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (บมจ. เอ็นที) และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ. อสมท) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง 2. เห็นชอบในหลักการของการจัดตั้งบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ดังนี้ 2.1 บริษัทในเครือของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) (บริษัท MEA Smart Energy Solutions จำกัด) เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการให้บริการให้คำปรึกษาการออกแบบ ติดตั้ง บำรุงรักษา และลงทุนด้านการบริหารจัดการระบบพลังงานทดแทน (Renewable Energy) และระบบพลังงานแบบอัจฉริยะ (Smart Energy) แบบครบวงจรเพื่อรองรับการเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดย กฟน. จะถือหุ้น 100% ของบริษัทในเครือดังกล่าว 2.2 บริษัทในเครือของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ กฟผ. และกลุ่ม กฟผ. สู่เชิงพาณิชย์ และลงทุนในธุรกิจพลังงานเพื่ออนาคต (Future Energy) โดย กฟผ. จะถือหุ้น 40% ของบริษัทในเครือดังกล่าว และมีบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) (EGCO) และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ กฟผ. ร่วมถือหุ้นด้วยแห่งละ 30% 3. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการดำเนินงานตามนโยบายและภารกิจตามยุทธศาสตร์ 2) ด้านผลการดำเนินงาน (การเงินและไม่ใช่การเงิน) และ 3) ด้านการบริหารจัดการองค์กรตาม Core Business Enablers ทั้ง 8 หัวข้อ และให้เริ่มใช้หลักเกณฑ์การประเมินผลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป เพื่อกำกับติดตามและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งยกระดับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เชื่อมโยงระหว่างความคาดหวังตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดกับความรับผิดชอบระดับองค์กรและระดับรายบุคคลของรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ คนร. ได้รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นแผนที่จะกำหนดเป้าหมาย นโยบาย และทิศทางในการพัฒนารัฐวิสาหกิจในระยะ 5 ปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนต่างๆ ในภาพรวมของประเทศ โดยแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจจะมีระยะเวลาสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) และคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจนำไปประกอบการจัดทำแผนวิสาหกิจ 5 ปี และแผนปฏิบัติการประจำปีให้สอดคล้องต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39827
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST บุคลากรทางการแพทย์กว่า 3,000 คน ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว พบอาการข้างเคียงหลังฉีดเพียงเล็กน้อย คาดการปรับ ครม. มีความชัดเจนในเดือนมีนาคม
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST บุคลากรทางการแพทย์กว่า 3,000 คน ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว พบอาการข้างเคียงหลังฉีดเพียงเล็กน้อย คาดการปรับ ครม. มีความชัดเจนในเดือนมีนาคม นายกรัฐมนตรีเผยผ่าน PM PODCAST บุคลากรทางการแพทย์กว่า 3,000 คน ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว พบอาการข้างเคียงหลังฉีดเพียงเล็กน้อย คาดการปรับ ครม. มีความชัดเจนในเดือนมีนาคม วันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพูดคุยประเด็นเศรษฐกิจ วัคซีนโควิด-19 รวมทั้งประเด็นการปรับ ครม. พร้อมฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชน รักษาสุขภาพ ในช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน ผ่าน PM PODCAST สรุปประเด็นดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก จากซิโนแวค จำนวน 200,000 โดส ถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้รับวัคซีนจากจีนในเชิงพาณิชย์ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างไทยกับจีนที่ช่วยเหลือดูแลกันมาตลอด โดยมีการกระจายวัคซีนไปยังหน่วยบริการเป้าหมาย 13 จังหวัด ประมาณ 116,000 โดส เพื่อฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 3,000 คน ซึ่งพบอาการข้างเคียงหลังฉีดเพียงเล็กน้อย สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนในระยะต่อไปจากแอสตราเซเนกา ที่ได้จองไปแล้วจำนวน 26 ล้านโดส รวมทั้งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาได้อนุมัติงบประมาณกว่า 6,300 ล้านบาท เพื่อจัดหาเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส รวม 61 ล้านโดส ให้ครอบคลุมคนไทยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2564 ส่วนภาคเอกชนที่ต้องการนำเข้าวัคซีนต้องขออนุญาตนำเข้าและขึ้นทะเบียนวัคซีนกับ อย. พร้อมยืนยันว่าการฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขกลุ่มแรกในจังหวัดเชียงใหม่นั้น เป็นผู้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูง ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของทีมแพทย์ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมโรค รวมไปถึงการดูแลเศรษฐกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีประเทศไทย บริษัท S&P Moody’s และ Fitch ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตแนวหน้าของโลกยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ จากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง เสถียรภาพทางการคลังและวินัยทางการคลังอยู่ในเกณฑ์ดี กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า หลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวขึ้น เพราะมีสัญญาณที่ดีจากการได้รับวัคซีน รวมไปถึงผลจากมาตรการของรัฐบาล ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคักในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยลดผลกระทบประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ เช่น มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกันตนมาตรา 33 ผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการเพิ่มกำลังซื้อผู้มีรายได้น้อย ช่วยเหลือกลุ่มอาชีพอิสระ มาตรการช่วยเหลือแรงงานและนายจ้าง มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และภาคธุรกิจ มาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว มาตรการด้านการเงิน มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบระยะที่ 2 มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบระยะที่ 3 มาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs และภาคการท่องเที่ยว มาตรการการค้าประกันสินเชื่อ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ นอกจากนี้ในปี 2564 รวมทั้งมาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับการระบาดระลอกใหม่ ทั้งโครงการเราชนะ โครงการเรารักกัน มาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว รวมทั้งมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ใช้โรงงานเป็นที่กักตัวแรงงานใน 5 จังหวัด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด มาตรการทางภาษี และมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องโดย ธ.ก.ส. นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา การประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนาได้ประกาศผลการจัดอันดับ B2C หรือ Business-to-Customer e-Commerce ประจำปี 2563 ซึ่งเป็นการวัดความพร้อมทางเศรษฐกิจเพื่อตอบโจทย์การค้าแบบ e-Commerce จาก 152 ประเทศทั่วโลก ผลปรากฏว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 42 โดยติด Top Ten ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน โดยโดดเด่นในด้านความเชื่อมั่นการขนส่งไปรษณีย์ ซึ่งได้คะแนนสูงเท่ากับสวิสเซอร์แลนด์ที่เป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงด้านจำนวนการเปิดบัญชีธนาคารซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐานของการเติบโตของ e-Commerce ด้วย ช่วงหนึ่งในรายการ นายกรัฐมนตรีเผยถึงการปรับ ครม. ว่าได้หารือกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว และเป็นหน้าที่ตัดสินใจขั้นสุดท้าย คาดว่าจะชัดเจนในเดือนมีนาคมอย่างเร็วที่สุด พร้อมฝากให้ทุกคนมีความรักสามัคคี มีจิตสำนึก และรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานรัฐให้บริการประชาชน แจ้งข่าวแก่ประชาชน เช่น การเตือนภัยพิบัติ หรือเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ และหมั่นตรวจสอบข่าวสารว่าไปถึงประชาชนจริงหรือไม่ ถ้าไม่ถึงจะทำอย่างไร เช่น สร้างความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นหรือผู้นำชุมชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ด้วย ………………………………….. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ นำทีมประชุมผู้บริหาร ทส. สัญจร เน้นทำงานเชิงรุก "สานงานเดิม เพิ่มงานใหม่ ใส่ใจผลการปฏิบัติ"
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 วราวุธ นำทีมประชุมผู้บริหาร ทส. สัญจร เน้นทำงานเชิงรุก "สานงานเดิม เพิ่มงานใหม่ ใส่ใจผลการปฏิบัติ" วราวุธ นำทีมประชุมผู้บริหาร ทส. สัญจร เน้นทำงานเชิงรุก "สานงานเดิม เพิ่มงานใหม่ ใส่ใจผลการปฏิบัติ" วราวุธ นำทีมประชุมผู้บริหาร ทส. สัญจร เน้นทำงานเชิงรุก "สานงานเดิม เพิ่มงานใหม่ ใส่ใจผลการปฏิบัติ" วันที่ 20 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/2564 (นอกสถานที่) เพื่อพิจารณาแนวทางการดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารจากทุกหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้มอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารว่า 1 ปี 8 เดือน ในการทำงานที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางครบ 76 จังหวัด แต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนงานให้ดำเนินต่อไปเท่านั้น การทำงานในช่วงต่อไปนี้ ขอให้ยึดตามนโยบาย "ทส.ยกกำลัง2 บวก4" ทำงานอย่างต่อเนื่อง และเน้นสร้างการรับรู้แก่ประชาชน รวมถึงให้ "สานงานเดิม เพิ่มงานใหม่ ใส่ใจผลการปฏิบัติ" โดยในการทำงานทุกงาน ขอให้เอาตัวงานเป็นที่ตั้ง โดยให้ทุกหน่วยงานตระหนักในบทบาทภารกิจของตนเอง และบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อให้เป็น "ทส. หนึ่งเดียว" ในการดำเนินงานแก้ปัญหาให้ตรงความต้องการของประชาชน และขอฝากให้ทุกหน่วยงานกำหนดปฏิทินการปฏิบัติงาน และแนวทางการป้องกันไว้ล่วงหน้า ทั้งในช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวัง และพื้นที่วิกฤตที่มักจะเกิดปัญหาซ้ำๆ อยู่เป็นประจำเพื่อวางแผนแนวทางการป้องกันและรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น หากต้องปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ให้ถอดบทเรียนร่วมกันว่าจะบูรณาการการทำงานอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อหาวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ ปลัดทส. ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "การทำงานในทุกย่างก้าวมีเรื่องราว ทุกเรื่องราวมีเหตุและผล ทุกเหตุและผลมีเป้าหมายคือประชาชน" โดยขอให้ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจ ซื่อสัตย์ และมีวินัย รวมถึงขอให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานได้มีการถ่ายทอด สร้างการรับรู้ถึงนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงฯ ไปยังเจ้าหน้าที่ ในทุกระดับ ทำคู่มือชี้แจงข้อปฏิบัติ ผลที่คาดหวังจากการทำงานในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เปิดโครงการ "ขับเคลื่อนไทยด้วยยุติธรรมสร้างสุข" หวังทำงานเชิงรุกให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการ เร่งแก้ปัญหาจากต้นทางเข้าถึงสาเหตุเพื่อขจัดอย่างยั่ง
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เปิดโครงการ "ขับเคลื่อนไทยด้วยยุติธรรมสร้างสุข" หวังทำงานเชิงรุกให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการ เร่งแก้ปัญหาจากต้นทางเข้าถึงสาเหตุเพื่อขจัดอย่างยั่ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการ "ขับเคลื่อนไทยด้วยยุติธรรมสร้างสุข" ในวันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณโรงแรมไพลิน จังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการ "ขับเคลื่อนไทยด้วยยุติธรรมสร้างสุข" โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย อธิบดีกรมต่างๆ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการและประชาชนในจังหวัดสุโขทัย เข้าร่วมงาน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การอำนวยความยุติธรรมให้เข้าถึงประชาชนทุกชนชั้น ขึ้นอยู่กับทุกคนในที่นี้ที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยเร็วเพราะเป็นผู้ใกล้ชิดประชาชนในจังหวัด และในปี ๒๕๖๔ กับนโยบายยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุกสร้างสุขให้ประชาชน ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยทางกระทรวงยุติธรรมมีศูนย์ครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการ และภาคองค์กรประชาชนที่ร่วมกิจกรรมกับกระทรวงยุติธรรม เรามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเราจะทำงานตั้งแต่ต้นทาง เข้าถึงสาเหตุของปัญหา เพราะไม่อยากแก้ปัญหาที่ปลายน้ำ ตรงนั้นจะแก้ได้ยากและไม่ยั่งยืน เมื่อเรารู้ปัญหาแล้วใช้กลไกต่างๆ องค์ประกอบการช่วยเหลือประชาชนอยู่ในกระทรวงยุติธรรมเกือบทั้งหมด ซึ่งกำลังดำเนินการและขับเคลื่อนโดยเร็ว และการรับเรื่องร้องเรียน บางครั้งประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก เรากำลังทำให้ครอบคลุมและสะดวกมากขึ้น มีการกระจายศูนย์รับเรื่องและสร้างแอปพลิเคชันสร้างความสะดวกให้ประชาชน ซึ่งเป็นแนวทางของรัฐบาลในการช่วยเหลือ ซึ่งบางพื้นที่ไม่ทราบว่ามีการให้ความช่วยเหลือ เราจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วถึง เช่น ผู้เสียหายและเหยื่อจากคดีอาญา ซึ่งไม่ใช่ดูแลแค่คนไทยเท่านั้นแต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศด้วย "ผมยืนยันการทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตทุกท่านได้เห็นมาตลอด ๒๐ กว่าปี ยังคงเส้นคงวาในเรื่องความยุติธรรม ช่วยเหลือด้วยเหตุด้วยผล อะไรที่มีเหตุผลผมไม่เคยละเลยที่จะเข้าไปช่วยแก้ไข ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลามเกินแก้ไข ผมได้ทำงานในกระทรวงยุติธรรมร่วมกับข้าราชการ มีการเพิ่มเติมหลายอย่าง เช่น การปราบปรามยาเสพติด ที่เน้นการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสนใจกับยาเสพติดเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ปัญหาความยากจนก็เป็นสาเหตุใหญ่ของสังคม เราจะร่วมกันศึกษาว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนสุโขทัยได้อย่างไรบ้าง เราเตรียมอาชีพเสริมขึ้นมา เช่น ปศุสัตว์ และต้องมีอาชีพรองต่างๆ นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรมเตรียมออกกฎหมายเพื่อช่วยสังคม เช่น การเตรียมความพร้อมก่อนที่นักโทษคดีร้ายแรงจะพ้นโทษ ทำให้สังคมรับรู้ว่าพวกเขาจะออกมาให้เกิดการระวัง กระทรวงยุติธรรมจะทำกฎหมายให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเราจะต้องสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม อาจจะปล่อยก่อนเวลา ๑ - ๒ ปี แล้วควบคุมโดย ศูนย์ JSOC ติดกำไล EM เพื่อให้สังคมเตรียมพร้อม รับรู้ว่าจะมีบุคคลลักษณะนี้เข้ามาอยู่ในสังคม จะได้เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอีก" นายสมศักดิ์ กล่าว จากนั้น รมว.ยุติธรรม ได้มอบรางวัลสำนักงานยุติธรรมจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิในการปฏิบัติราชการสูง จำนวน ๖ รางวัล ได้แก่ ๑. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดชลบุรี ๓. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดขอนแก่น ๔. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลก ๕. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดระนอง และ ๖. สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพิจิตร รางวัล Justice Care ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุกสร้างสุขให้ประชาชน โดยเป็นสำนักงานที่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดกำแพงเพชร และยังมีการมอบรางวัลให้กับศูนย์ยุติธรรมชุมชนดีเด่นในจังหวัดสุโขทัย จำนวน ๙ รางวัล ได้แก่ ๑. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลบ้านหลุม อำเภอเมืองสุโขทัย ๒. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลวังใหญ่ อำเภอศรีสำโรง ๓. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย ๔. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลทุ่งยางเมือง อำเภอคีรีมาศ ๕. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ ๖. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลวังไม้ขอน อำเภอสวรรคโลก ๗. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย ๘. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลศรีนคร อำเภอศรีนคร และ ๙. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลกลางดง อำเภอทุ่งเสงี่ยม และต่อด้วยการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยจากคดีอาญา จำนวน ๙ ราย รวมเป็นเงินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ต่อจากนั้น รมว.ยุติธรรม ได้เดินชมนิทรรศการผลงานสำคัญของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่นำมาจัดแสดง อาทิ การใช้อุปกรณ์กำไล EM การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การคุ้มครองสิทธิ เรือนจำท่องเที่ยวและการไกล่เกลี่ย เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39686
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร อนุมัติ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร อนุมัติ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร อนุมัติ (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย วันนี้ (1 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนาย วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมด้วย ที่ประชุมได้เห็นชอบต่อสาระสำคัญของ (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... และ (ร่าง) กรอบหลักการกฎหมายลำดับรองตามที่เสนอ เพื่อเป็นการกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินมาตรการเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนการกำหนดนโยบายและเเผนเพื่อยกระดับความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำไปสู่ประสิทธิผลในการบริหารจัดการปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย และความร่วมมือกับนานาประเทศในการลดปริมาณการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป อีกทั้งที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการประสานท่าทีเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ และเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนความตั้งใจในการจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะการป้องกันสภาพแวดล้อมทางทะเล การลดปริมาณขยะพลาสติกในแม่น้ำ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนงานวิจัย ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญ การจัดสัมมนาประชุม การจัดหลักสูตรร่วมกัน การดำเนินโครงการร่วมกันรวมถึงการวิจัยร่วมกันด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป ------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39498
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงผลงาน "พาลีปราบยา" ชุดแรกยึดได้แล้ว ๑๓๕ ล้านบาท เร่งสาวต่อกวาดให้หมดทั้งขบวนการ เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดผ่านสภาเป้าหมาย ๖,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่ปัญหา ป.ป.ส.เผยยึดท
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 รมว.ยุติธรรม แถลงผลงาน "พาลีปราบยา" ชุดแรกยึดได้แล้ว ๑๓๕ ล้านบาท เร่งสาวต่อกวาดให้หมดทั้งขบวนการ เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดผ่านสภาเป้าหมาย ๖,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่ปัญหา ป.ป.ส.เผยยึดท รมว.ยุติธรรม แถลงผลงาน "พาลีปราบยา" ชุดแรกยึดได้แล้ว ๑๓๕ ล้านบาท เร่งสาวต่อกวาด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกให้หมดทั้งขบวนการ เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดผ่านสภาเป้าหมาย ๖,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่ปัญหา ป.ป.ส.เผยยึดทรัพย์ได้แล้ว ๔๑.๗๖% จากที่ตั้งไว้ ในวันอังคารที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ชั้น ๓ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.อ.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบก.ปส.๒ คณะทำงานชุดพาลีปราบยาที่ ๑๓ แถลงข่าวความคืบหน้าการอายัดทรัพย์สินกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ครั้งที่ ๑ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงข่าวครั้งแรก ภายใต้ปฏิบัติการพาลีปราบยา ซึ่งมีทั้งหมด ๑๖ ชุด โดยวันนี้เราได้แถลงชุด บช.ปส.๒ โดยที่ผ่านมาพบปัญหาความยุ่งยากในการทำงาน โดยการใช้ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ ของสำนักงาน ป.ป.ส. และ พ.ร.บ.การฟอกเงินของ ป.ป.ง. มีความยุ่งยากในการขยายผล เพราะเจ้าหน้าที่ต้องหาความสัมพันธ์ผู้ถูกกล่าวหากับยาเสพติดว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร หากไม่สามารถหาความสัมพันธ์ได้ชัดเจน ส่วนใหญ่จะตกไป แต่การใช้ พ.ร.บ.การฟอกเงิน หากเราเห็นเส้นทางเงินที่โยกย้ายเงินแบบผิดปกติ ดูจากความเคลื่อนไหวบัญชีของสถาบันการเงินต่างๆ โดยเรียกเจ้าของบัญชีมาชี้แจง หากอธิบายไม่ได้จะยึดได้ทันที สิ่งต่างๆ เหล่านี้ตนต้องพยายามแก้ไข เพราะเราต้องการตัดวงจรยึดทรัพย์ให้ได้ ๖,๐๐๐ ล้านบาท เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้กฎหมาย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาซึ่งจะพิจารณาในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔ ถ้าใช้กฎหมายของ ป.ป.ส. ทำงานอย่างเดียว จะยึดได้ไม่มากมาย ดังนั้นต้องมีเทคโนโลยี องค์ความรู้ และกฎหมายที่ทันสมัย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายอย่างชัดเจน ให้มีอุปกรณ์ในการสืบค้น และกฎหมาย ในระยะเวลา ๑๐ ปี ที่ผ่านมา ป.ป.ส. ส่งคดีให้ ป.ป.ง. วงเงินทั้งหมดแค่ ๑๒๙ ล้านบาท และยึดได้แค่ ๕๖ ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก แต่ตอนนี้เรากำลังจะพัฒนาเดินไปข้างหน้า ทั้งนี้นี่แค่การแถลงผลงานชุดเดียว แต่อีก ๑๕ ชุด กำลังจะตามมา และหากประมวลกฎหมายยาเสพติดเสร็จและประกาศใช้ ตนเชื่อว่า ๖,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่ปัญหา ซึ่งวันนี้เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันในทุกหน่วยงาน พ.ต.อ.ธนรัชน์ กล่าวว่า ช่วง ๒ เดือนเศษในการทำงาน คณะทำงานได้ทำการสืบสวนกลุ่มเครือข่ายการเงิน ขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก เครือข่ายนางคำจันทร์ ขาวทุ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดี ข้อหาสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ ตรวจสอบพบความเชื่อมโยงกับนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในเขตภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดย นางคำจันทร์ มีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในห้วงปี พ.ศ.๒๕๕๙ - ๒๕๖๒ เกี่ยวโยง ๑,๖๒๓ บัญชี มียอดเงินหมุนเวียนรวม ๑,๓๙๑,๒๑๖,๒๓๙ บาท ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมที่มีความผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับฐานะ คณะทำงานจึงได้มีการเสนอไปยัง ป.ป.ส. ให้มีการตรวจสอบ ยึด/อายัดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการ บัญชีที่มียอดการทำธุรกรรมจำนวนเงินรวมสูงกว่า ๗๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป จำนวน ๒๙๓ บัญชี และ ป.ป.ส. ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงินเชื่อมโยงกับขบวนการยาเสพติด จึงมีคำสั่งให้ยึด อายัด บัญชีไว้แล้ว รวมยอดเงินในบัญชี ๑๓๕,๐๓๘,๑๘๖ บาท "คณะทำงานยังได้มีการสืบสวนเส้นทางการเงินบัญชีอื่นๆ ที่เหลืออีกกว่า ๑,๒๓๙ บัญชี ซึ่งเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องในลักษณะเป็นการทำธุรกรรมทางการเงินเครือข่ายยาเสพติดเช่นเดียวกันเสนอไปยัง ป.ป.ส. ให้มีการตรวจสอบ และหาก ป.ป.ส. ตรวจสอบพบว่าบัญชีเหล่านี้มีความผิดปกติ เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด จะดำเนินการออกคำสั่งยึด/อายัดบัญชีเพิ่มเติม เพื่อเป็นการตัดวงจรเส้นทางการเงินเครือข่ายยาเสพติดนี้ต่อไป" พ.ต.อ.ธนรัชน์ กล่าว นายวิชัย กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาล และรมว.ยุติธรรม ได้มอบนโยบายการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด โดยเน้นการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่าย ทาง ป.ป.ส. ได้ยึดอายัดได้แล้ว ๒,๕๐๕ ล้านบาท ถือเป็น ๔๑.๗๖% ซึ่งในช่วงแรกมีติดขัดเล็กน้อยในการตั้งคณะทำงานและประสานกับหน่วยงานต่างๆ แต่ขณะนี้เครื่องเดินแล้ว น่าจะยึดทรัพย์ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทลาดยางถนนสาย นม.3060 รองรับการเติบโตของเมือง ส่งเสริมเศรษฐกิจการคมนาคมขนส่ง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 กรมทางหลวงชนบทลาดยางถนนสาย นม.3060 รองรับการเติบโตของเมือง ส่งเสริมเศรษฐกิจการคมนาคมขนส่ง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3060 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 - บ้านซับพลู อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3060 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 - บ้านซับพลู อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมือง เพิ่มศักยภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมรขนส่ง โดยการปรับปรุงยกระดับมาตรฐานโครงข่ายทางให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัย สอดรับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ เป็นเมืองชุมทางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก สามารถส่งเสริมให้เป็นสินค้าภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมระหว่างอำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และสถานีขนส่งรถโดยสารขนาดใหญ่ กับอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3060 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 - บ้านซับพลู อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 22.939 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นการก่อสร้าง กม. ที่ 0+000 บริเวณถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 (กม. ที่ 230+825) ด้านซ้ายทาง ไปสิ้นสุดการก่อสร้างบนถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3060 (กม. ที่ 22+939) โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลต์คอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 24 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2565 เมื่อโครงการดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จ นอกจากจะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมแล้ว ยังสามารถเชื่อมระหว่างถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 บริเวณอำเภอวังน้ำเขียวไปยังถนนมิตรภาพที่อำเภอปากช่อง ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสร้างโอกาสให้กับประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามการจัดระเบียบการใช้เจ็ตสกีในแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่จังหวัดนนทบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจติดตามการจัดระเบียบการใช้เจ็ตสกีในแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายปรีชา เพชรเลิศ นายช่างกลเรือชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานนทบุรี ให้การต้อนรับ ในวันที่ 3 มีนาคม 2564 ณ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานนทบุรี จังหวัดนนทบุรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏในสื่อว่ามีผู้นำเจ็ตสกีมาใช้งานในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งขับด้วยความเร็วและผาดโผน มีเสียงดัง กีดขวางการสัญจรทางน้ำและการเดินเรือ จึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการจัดระเบียบการใช้เจ็ตสกีฯ ให้มีความปลอดภัยและสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในการสัญจรทางน้ำ พบว่ามีเจ็ตสกีที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานนทบุรี จำนวน 162 ลำ ซึ่งได้นำออกมาใช้งานในแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุด ส่งเสียงดังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในการนี้ได้สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานนทบุรี เข้มงวด กวดขัน และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่เรือและทะเบียนเรือ เร่งจัดระเบียบการใช้เจ็ตสกีในพื้นที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงวันหยุด รวมทั้งเร่งรัดให้ปรับปรุงท่าเรือท่าน้ำนนท์ให้เป็น Smart Pier ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ เรือ (เจ็ตสกี) ที่สามารถนำออกมาใช้งานในแม่น้ำเจ้าพระยา จะต้องจดทะเบียนถูกต้อง ผู้ทำการในเรือหรือผู้ควบคุมเรือต้องถือประกาศนียบัตร (ใบอนุญาตขับขี่เรือ) ตามที่กฏหมายกำหนด หากผู้ขับขี่ไม่มีประกาศนียบัตร จะมีโทษตามกฎหมายจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 -10,000 บาท ในกรณีใช้เรือไม่มีใบอนุญาต (ทะเบียนเรือ) มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.บันทึกเทปคําปราศรัยเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 รมว.วธ.บันทึกเทปคําปราศรัยเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔ รมว.วธ.บันทึกเทปคําปราศรัยเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปคําปราศรัยเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมสนับสนุนข้อมูล ณ สตูดิโอ ๑ สถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ MCOT HD กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40322
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย ร่วมกับ TFEX พัฒนาบริการ USD Futures on Blockchain เสริมแกร่ง SME ไทยในการค้าโลก
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 กรุงไทย ร่วมกับ TFEX พัฒนาบริการ USD Futures on Blockchain เสริมแกร่ง SME ไทยในการค้าโลก กรุงไทย และ TFEX พัฒนาบริการแลกดอลลาร์รายวัน สำหรับผู้ซื้อขาย USD Futures (USD Futures on Blockchain) เชื่อมภาคธนาคารและตลาดทุนเข้าด้วยกันผ่านเทคโนโลยี Blockchain ครั้งแรกในประเทศไทย มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการ SMEs ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) หรือ TFEX พัฒนาบริการแลกดอลลาร์รายวัน สำหรับผู้ซื้อขาย USD Futures (USD Futures on Blockchain) เชื่อมภาคธนาคารและตลาดทุนเข้าด้วยกันผ่านเทคโนโลยี Blockchain ครั้งแรกในประเทศไทย มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการ SMEs ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ลดความผันผวนของค่าเงิน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันกับ ตปท. อย่างยั่งยืน โดยมี ดร.วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่เกิดขึ้นทั้งจากสงครามการค้าและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ประกอบการ SMEs ที่ดำเนินธุรกิจด้านการนำเข้าและส่งออก หากไม่มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งSMEs ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน TFEX และธนาคารกรุงไทย จึงมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว ให้มีทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินที่มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงได้ ผ่านการทำธุรกรรมซื้อหรือขายสัญญาซื้อขายดอลลาร์ล่วงหน้า (USD Futures) ใน TFEX เพื่อล็อคอัตราแลกเปลี่ยนไว้เป็นการล่วงหน้า แล้วสามารถแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์กับธนาคารกรุงไทยได้ทุกวันทำการ” นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ เปิดเผยว่า “บริการแลกดอลลาร์รายวัน USD Futures on Blockchain นับเป็นการเชื่อมภาคธนาคารและตลาดทุนเข้าด้วยกันผ่านนวัตกรรม Blockchain เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงด้านค่าเงิน โดยสามารถล็อคอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้ผู้ส่งออกหรือนำเข้า มีต้นทุนโดยรวมของอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เสมอ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD) ธนาคารกรุงไทย เพื่อรองรับการรับและตัดเงินจากบริการ และทำรายการแลกเงินด้วยตนเองผ่าน www.jedi.krungthai.com ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นว่า บริการส่งมอบดอลลาร์จาก USD Futures โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ธนาคารกรุงไทย และตลาด TFEX มุ่งมั่นพัฒนาร่วมกันแบบ Total Solution เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ USD Futures ในการป้องกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ปัจจุบันประสบปัญหาจากค่าเงินบาทที่ผันผวน” สำหรับผู้สนใจใช้บริการดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ Krungthai Corporate FX Sales 0-2208-4646หรือ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) โทร. 0-2009-9999 และดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=1uaLI8GWOLI&feature=youtu.be
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งเป้า 7 หมื่นโรงงานเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ภายในปี 2568
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ตั้งเป้า 7 หมื่นโรงงานเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ภายในปี 2568 ... การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศ นอกจากจะมุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ในทุก ๆ ด้านแล้ว รัฐบาลยังคำนึงถึงการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เศรษฐกิจดี สิ่งแวดล้อมก็ดี ชุมชนก็มีความปลอดภัย สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หรือ BCG โมเดล . เป้าหมายนับจากนี้ คือการทำให้โรงงานอุตสาหกรรม 71,130 แห่งทั่วประเทศ เร่งพัฒนาไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ภายในปี 2568 โดยดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (พ.ศ.2564-2580) . เมื่อสิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตประชาชนก็ดีขึ้น ผู้ประกอบการเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์ และโอกาสในตลาดที่เน้นประเด็น “สีเขียว” ของผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิต ซึ่งกำลังเป็นที่ยอมรับและต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก . หากผู้ประกอบการท่านใด มีความสนใจที่จะยกระดับสถานประกอบการของตนเอง ให้เป็นอุตสาหกรรมสีเขียว สามารถติดตามข่าวสารได้ที่https://bit.ly/3vxbBuo #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดเสวนาฯ “เทคนิคการจัดซื้อ จัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ” มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อ จัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อลดความผิดพลาด มีความคุ้มค่า โ
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 มหาดไทย จัดเสวนาฯ “เทคนิคการจัดซื้อ จัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ” มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อ จัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อลดความผิดพลาด มีความคุ้มค่า โ มหาดไทย จัดเสวนาฯ “เทคนิคการจัดซื้อ จัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ” มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อ จัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อลดความผิดพลาด มีความคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs) ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในหัวข้อเรื่อง “เทคนิคการจัดซื้อ จัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ” จัดขึ้นโดย สถาบันดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งการเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เข้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด ทั้ง 76 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งสามารรับชมผ่านระบบ Video Streaming และผ่านระบบสถานีโทรทัศน์กรมการปกครอง (DOPA Channel) ไปยังอำเภอทุกอำเภอด้วย โอกาสนี้ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณสถาบันดำรงราชานุภาพ รวมทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ร่วมกันจัดเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs) ในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การนำประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานมาหารือร่วมกัน ตลอดจนการนำเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อ จัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานโครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ให้มีความถูกต้อง เป็นไปตามแผนที่กำหนด และเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนภารกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ผลผลิต และผลลัพธ์ ที่ตกลงไว้กับสำนักงบประมาณ เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล สำหรับการจัดเสวนาฯ “เทคนิคการจัดซื้อ จัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อ จัดจ้าง และบริหารพัสดุภาครัฐประจำปีของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้เป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ลดความผิดพลาด มีความคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยมีเป้าประสงค์ให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานจัดอบรมบุคลากรท่าอากาศยานเบตง พร้อมฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 กรมท่าอากาศยานจัดอบรมบุคลากรท่าอากาศยานเบตง พร้อมฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน กรมท่าอากาศยานจัดการอบรมบุคลากรท่าอากาศยานเบตง พร้อมจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เมื่อวันที่ 15 - 17 มีนาคม 2564 ณ ท่าอากาศยานเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ขณะนี้ ท่าอากาศยานเบตง กรมท่าอากาศยาน อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ จากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) โดยจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องด้านบุคลากร ที่มีข้อสังเกตถึงจำนวนของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานอาจไม่เพียงพอ รวมถึงไม่มีการจัดฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินของสนามบิน สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ นายณรงค์ อรุณภาคมงคล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความปลอดภัยภาคพื้น และเจ้าหน้าที่กองมาตรฐานสนามบิน กรมท่าอากาศยานได้จัดอบรมบุคลากรผู้ปฏิบัติงานของท่าอากาศยานเบตง ในด้านระบบการจัดการด้านความปลอดภัย (Safety Management System), Human factors และอบรมเกี่ยวกับอากาศยาน แบบ Q400,ATR-72 โดยได้รับฟังการบรรยาย แลกเปลี่ยนความรู้ และ ระดมความคิดเห็นนำเสนอในด้านต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงการปฏิบัติงานจริงและทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงด้วยไฟจริงในเวลากลางวันและกลางคืน การซ้อมดับเพลิงเข้าสถานการณ์ในพื้นที่ยากลำบาก (Remote Attack) ของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยที่รับเข้ามาบรรจุใหม่ของท่าอากาศยานเบตง รวมถึงได้มีการเชิญหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับแผนฉุกเฉินสนามบิน ได้แก่ โรงพยาบาลเบตง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยะรม สถานีตำรวจเบตง สถานีตำรวจยะรม ตำรวจตะเวนชายแดน 44 บรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองเบตง ผู้แทนอำเภอเบตง อบต.ยะรม อบต.ตาเนาะแมเราะ เทศบาลเมืองเบตง สถานีอุตุนิยมวิทยาเบตง มาร่วมประชุม ทำความเข้าใจแผนฉุกเฉินสนามบิน และขั้นตอนการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมถึงการตั้งคณะกรรมการฉุกเฉิน พร้อมสำรวจเส้นทางเข้าออกฉุกเฉิน เส้นทางโดยรอบสนามบิน จุดเตรียมการ และจุดนัดพบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพื้นที่ และเตรียมการซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกันในขั้นตอนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เผยถึงความคืบหน้าการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง จากการประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564 กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เผยถึงความคืบหน้าการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตง จากการประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา โดยมีนายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ซึ่งมีผู้แทนกรมท่าอากาศยานและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าประชุม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมจิร วิชิตสงคราม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรุงเทพฯ โดยกรมท่าอากาศยานได้รายงานข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ ซึ่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะต้องลงพื้นที่เพื่อประเมินความพร้อมอีกครั้ง หลังจากท่าอากาศยานเบตงมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ครบทุกด้านแล้วตามที่ กพท. กำหนด ทั้งนี้ ภารกิจของท่าอากาศยานเบตงในปัจจุบัน คือให้บริการเที่ยวบินทางทหารและเที่ยวบินส่วนบุคคลได้ สำหรับการเปิดบริการเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ มีสายการบินนกแอร์ที่มีความสนใจในการเปิดเส้นทางบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเบตง แต่ยังมีเงื่อนไขในการเปิดให้บริการ เช่น การเสนอขอให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดรับประกันที่นั่งขั้นต่ำ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานกับสายการบิน และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจน จากเดิมที่ได้วางให้ท่าอากาศยานเบตง สามารถรองรับการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชายแดนใต้นั้น เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้แผนทุกอย่างที่วางไว้ได้รับผลกระทบ และภาคเอกชนต้องมีการทบทวนแผนธุรกิจใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยต้องเน้นไปในส่วนของการเดินทางภายในประเทศก่อน และปัจจุบันตารางบินฤดูร้อนของกรมท่าอากาศยาน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ถึง 30 ตุลาคม 2564 ไม่มีคำขอจากสายการบินในการเปิดเที่ยวบินใหม่เส้นทางเบตงเข้ามา จึงไม่สามารถแจ้งได้ว่า จะเปิดบินได้เมื่อใด แต่ถ้าหากมีคำขอเปิดบินเข้ามา กรมท่าอากาศยานก็จะเร่งพิจารณาดำเนินการโดยเร็วต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 คัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุม พร้อมทั้งผู้แทนกรมต่าง ๆ ในคณะกรรมการดังกล่าวเข้าร่วม สำหรับการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาคัดเลือกเกษตรกรและบุคคลทางการเกษตรดีเด่น จำนวน 16 สาขา และสถาบันเกษตรกรดีเด่น จำนวน 12 สาขา สหกรณ์ดีเด่น จำนวน 6 สาขา ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะเข้ารับพระราชทานรางวัล ในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการกำหนดรางวัลและโล่รางวัลสำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในระดับประเทศใหม่ เพื่อความเหมาะสม เชิดชูเกียรติ และเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ทั้งนี้ ประธานได้เน้นย้ำให้หน่วยงานต่าง ๆ พัฒนาต่อยอดเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจแก่เกษตรกรทั่วไปซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดี
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดี วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ บริษัท Rating and Investment Information หรือ R&I ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย อยู่ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ โดยปัจจัยสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการดำเนินโยบายของรัฐบาล เช่น ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล, และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ R&I เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะฟื้นตัวและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะช่วยฟื้นฟูการลงทุนภายในประเทศให้ดีขึ้นต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิพิธภัณฑ์เหมือนจริง (Virtual Museum)
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 พิพิธภัณฑ์เหมือนจริง (Virtual Museum) 15 กันยายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำนายกรัฐมนตรีชมการแสดงหุ่นหลวงหลังได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู การติดตามนำโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยจากสหรัฐอเมริกา และผลงานการใช้เทคโนโลยีในพิพิธภัณฑ์ โดยเป็นการจัดทำพิพิธภัณฑ์เหมือนจริง (Virtual Museum) เพื่อประชาสัมพันธ์วันพิพิธภัณฑ์ไทย ในโอกาสครบรอบ “146 ปี กิจการพิพิธภัณฑ์ไทย” ภายใต้แนวคิด “พิพิธภัณฑ์ เข้าถึงได้ สนุก และทันสมัย” (Learning by Playing) ส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 15 - 19 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ Nedo โชว์ต้นแบบการจัดการซากรถยนต์ครบวงจร พร้อมดันไทยสู่ BCG โมเดลอย่างมีศักยภาพ
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ก.อุตฯ จับมือ Nedo โชว์ต้นแบบการจัดการซากรถยนต์ครบวงจร พร้อมดันไทยสู่ BCG โมเดลอย่างมีศักยภาพ ก.อุตฯร่วมกับองค์การ NEDOโชว์บิ๊กโปรเจกต์ครั้งสำคัญของประเทศดันโครงการรีไซเคิลชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเน้นการบริหารจัดการซากรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งนำอุตฯไทยสู่ BCG โมเดลอย่างมีศักยภาพ นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ารัฐบาลได้กำหนดแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า"BCG"หรือBio-Circular-Green Economy (เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว)เป็นแนวทางหลักในการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับแนวทางดังกล่าวโดยสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(Electric VehicleหรือEV)ที่มีการตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในปีพ.ศ.2573ไว้ที่30%ของการผลิตรถยนต์ในประเทศเพื่อเป้าหมายลดมลพิษสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบสิ่งสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมควบคู่กันไปคือการคำนึงถึงการบริหารจัดการรถยนต์ที่หมดอายุใช้งานอย่างครบวงจรเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นไปตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)ด้วยการนำวัสดุชิ้นส่วนต่างๆกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ร่วมมือกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น(NEDO)ดำเนินโครงการรีไซเคิลชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ(End of Life Vehicle)หรือELVโปรเจกต์เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของประเทศไปสู่BCGโมเดลอย่างมีศักยภาพและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นายภานุวัฒน์ตริยางกูรศรีรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาแนวทางการจัดการซากรถยนต์กระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถิติจำนวนรถจำแนกตามอายุรถทั่วประเทศกรมการขนส่งทางบกณวันที่28กุมภาพันธ์2564ปัจจุบันประเทศไทยมีรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า20ปีทุกประเภทรวมทั้งสิ้น5,688,384คันซึ่งภาครัฐให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดการซากรถยนต์อย่างถูกวิธีกระทรวงฯโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.)การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)และNEDOจึงได้ร่วมกันผลักดันโครงการฯดังกล่าวโดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2562ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญของประเทศในการบริหารจัดการซากรถยนต์อย่างเป็นรูปธรรมและได้รับความร่วมมือจากบริษัทToyota Tsusho Corporationประเทศญี่ปุ่นในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันการสาธิตการนำเครื่องตัดซากรถยนต์มาใช้ที่โรงงานกรีนเมทัลส์(ประเทศไทย)ซึ่งถือเป็นการจัดการซากรถยนต์อย่างถูกวิธีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยการดำเนินงานเริ่มตั้งแต่การรวบรวมรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานการรื้อชิ้นส่วนยานพาหนะตลอดจนการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนซากอย่างมีประสิทธิภาพก็จะผลักดันให้เกิดการรีไซเคิลและหมุนเวียนทรัพยากรให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาทิเหล็กยางพลาสติกและโลหะมีค่าที่สกัดได้จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันโรงงานกรีนเมทัลส์(ประเทศไทย)ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง3จังหวัดชลบุรีได้ตั้งเป้ากำจัดซากชิ้นส่วนรถยนต์ให้ได้สูงสุด20คันต่อวันหรือประมาณมากกว่า25ตันต่อวันในน้ำหนักของชิ้นส่วนเพื่อใช้เครื่องจักรในการรื้อถอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถดึงเอาทรัพยากรที่มีค่าออกมาได้อย่างเต็มที่ “ELVโปรเจกต์ถือเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมไทยในยุคNew Normalที่ชูแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียวหรือBCGเป็นการบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลงพื้นที่แก้ภัยแล้ง ติดตามการอนุรักษ์ฟื้นฟู หนองหาร จ.สกลนคร
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 วราวุธ ลงพื้นที่แก้ภัยแล้ง ติดตามการอนุรักษ์ฟื้นฟู หนองหาร จ.สกลนคร วราวุธ ลงพื้นที่แก้ภัยแล้ง ติดตามการอนุรักษ์ฟื้นฟู หนองหาร จ.สกลนคร วราวุธ ลงพื้นที่แก้ภัยแล้ง ติดตามการอนุรักษ์ฟื้นฟู หนองหาร จ.สกลนคร วันที่ 21 มีนาคม 2564 เวลา 11.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) นำทีมนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าการอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำหนองหาร พร้อมมอบถุงปันสุข ทส. ให้แก่ผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่ ณ บึงหนองหาร อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า การอนุรักษ์และฟื้นฟูหนองหาร และการวางแผนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตของชุมชนรอบหนองหาร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำให้กับพี่น้องประชาชน พื้นที่ชุ่มน้ำหนองหาร จ.สกลนคร เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ นก ปลา และสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ มีชุมชนโดยรอบใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบหนองหาร และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนภาวะฝนแล้งและฝนทิ้งช่วงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม เศรษฐกิจ วิถีชีวิต และพฤติกรรมการใช้น้ำ รวมไปถึงคุณภาพของน้ำในหนองหาร จึงจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูระบบนิเวศของทั้งลุ่มน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของหนองหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพการเก็บรักษาน้ำ และลดการชะล้างของตะกอนดิน การเพิ่มการไหลเวียนของน้ำในหนองหาร เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำและรักษาระบบนิเวศ ตลอดจนการปรับปรุงลำน้ำและเชื่อมโยงแก้มลิงเพื่อบรรเทาภาวะน้ำท่วมน้ำแล้งในพื้นที่ปลายน้ำบริเวณลำน้ำก่ำ ก่อนออกสู่แม่น้ำโขง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพฯ กับการใช้รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 กรุงเทพฯ กับการใช้รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก ช่วยขนส่งผู้โดยสารจากที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองเข้าสู่พื้นที่ธุรกิจย่านกลางเมือง ซึ่งเส้นทางและพื้นที่รถไฟฟ้าระบบขนส่งสาธารณะหลัก จะมีกี่สาย กี่สถานี ไปดูจากรูปนี้กันได้เลย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษารมช.สธ.ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด19เข็มแรก ที่โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 ที่ปรึกษารมช.สธ.ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด19เข็มแรก ที่โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของ จ.ตาก พร้อมให้กำลังใจทีมบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 วันนี้ (2 มีนาคม 2564) โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นพ.วิทยา พลสีลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของจ.ตาก พร้อมให้กำลังใจทีมบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 นายธนิตพลกล่าวว่า จ.ตาก ถือเป็น 1 ในจังหวัดเป้าหมายหลักของประเทศที่ประชาชนต้องได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยวและเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่องทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าว ในการควบคุมโรคต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนและประชาชนทุกคน จึงจะทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยการให้วัคซีนโควิด 19 จะช่วยให้ประชาชนลดความเสี่ยงการติดเชื้อ การเจ็บป่วยรุนแรง และการเสียชีวิตได้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดหาวัคซีนไว้ 63 ล้านโดส ทยอยฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ โดย จ.ตากได้รับวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรก จำนวน 5,000 โดส ได้จัดสรรไปยังโรงพยาบาลแม่สอด/โรงพยาบาลแม่ระมาด และโรงพยาบาลพบพระ ระยะแรกจะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ทำหน้าที่ป้องกันควบคุมโรค เป็นเข็มแรก ณ โรงพยาบาลแม่สอด “ขอให้ทุกคนมั่นใจ วัคซีนทุกโดสมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานและกระบวนการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขึ้นทะเบียนโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รัฐบาลจัดหาวัคซีนให้ทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตามความสมัครใจ ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้ง 2 เข็ม ภายในปี 2564 นี้” นายธนิตพลกล่าว ทั้งนี้ โรงพยาบาลแม่สอดมี 8 ขั้นตอนการฉีด ตั้งแต่จุดลงทะเบียน, จุดตรวจสุขภาพ วัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก, จุดประเมินความเสี่ยง, จุดฉีดวัคซีน, บันทึกข้อมูล รับใบนัดฉีดครั้งที่ 2, จุดพักคอยสังเกตอาการ 30 นาทีหลังฉีดเสร็จ สแกน Line Official Account “หมอพร้อม”, จุดประเมินอาการก่อนกลับบ้าน และจุด Dash Board แสดงข้อมูลความครอบคลุมการฉีดวัคซีน มีระบบติดตามอาการหลังฉีดวัคซีน ในวันที่ 1, 7 และ 30 ด้วยระบบ Line Official Account “หมอพร้อม” นัดหมายการฉีดเข็มที่ 2 เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ขอให้นําบัตรประชาชนและเตรียมเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ หากมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 055 518100 *************************************** 2 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติจัดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการกระทำผิดซ้ำในชุมชน” ครั้งที่ ๓
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติจัดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการกระทำผิดซ้ำในชุมชน” ครั้งที่ ๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการกระทำผิดซ้ำในชุมชน” ครั้งที่ ๓ ในวันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น ๒ อาคารทรงกลม โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการกระทำผิดซ้ำในชุมชน” ครั้งที่ ๓ พร้อมบรรยายพิเศษหัวข้อ “บทบาทของกระทรวงยุติธรรมกับมาตรการสำคัญในการเฝ้าระวังการกระทำผิดซ้ำในชุมชนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม” โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนภาคประชาชน นักวิชาการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมฯ โดยการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นที่มีความครอบคลุมจากมุมมองของภาคประชาชน นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนและกำหนดรูปแบบมาตรการและวิธีการ ในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำในชุมชน รวมทั้งกำหนดกลไกการเฝ้าระวังทางสังคมโดยบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องและเทคโนโลยีในการเฝ้าระวังและติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีรูปแบบมาตรการและวิธีการในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำในชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาผู้กระทำผิดที่มีลักษณะพิเศษไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากคดีสะเทือนขวัญต่างๆที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หลายๆกรณีได้สร้างความกังวลใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ผู้ที่ไปกระทำผิดในลักษณะสะเทือนขวัญดังกล่าว มักจะเป็นผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกในเรือนจำ และได้รับการปล่อยตัวเมื่อรับโทษจนครบกำหนด โดยไม่มีการเฝ้าระวังและติดตาม ตรวจสอบพฤติกรรมภายหลังพ้นโทษ และกลับไปดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน กระทรวงยุติธรรมจึงมีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชน โดยได้นำสภาพปัญหาและความต้องการไปกำหนดแผนและกลไกต่างๆ ทั้งในเรื่องของกฎหมาย จะต้องปรับแก้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่กระบวนการทางกฎหมายมีความจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จึงได้ดำเนินการควบคู่กันเป็นการเร่งด่วน คือการจัดตั้ง ศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวัง (JSOC) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและติดตามผู้พ้นโทษในคดีสะเทือนขวัญ ด้วยกลไกทางสังคมและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผลดำเนินการที่ผ่านมาถือว่าทำได้ดี ผู้กระทำผิดที่พ้นโทษไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ และประกอบอาชีพที่เป็นกิจลักษณะ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาจากแนวคิดที่ว่า หากชุมชนรู้ถึงอันตรายในชุมชนจะไม่มีผู้ได้รับอันตราย ซึ่งปรากฏเป็นตัวอย่างที่ดีจากต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมจึงแสวงหาวิธีเพื่อกำหนดเป็นนโยบาย ที่จะเฝ้าระวังและติดตามพฤติกรรมผู้กระทำผิดที่เคยก่อในคดีสะเทือนขวัญ หรือมีความเสี่ยงที่จะทำผิด ด้วยการพักการลงโทษให้ผู้กระทำผิดออกมาปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับสังคม และมีมาตรการคุมความประพฤติ รวมทั้งนำอุปกรณ์ติตดามตัว หรือกำไล EM มาใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังและติดตาม โดยนำอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแล จึงนับเป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ต้องขังที่เคยมีพฤติกรรมร้ายแรงที่ได้กลับมาดำรงชีวิตกับสังคมก่อนพ้นโทษ และเปิดโอกาสให้สังคมได้ใช้เวลาปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้ที่ได้รับการพักโทษ มีมาตรการทางกฎหมายของกรมคุมประพฤติ มาตรการทางสังคมที่เหมาะสม รองรับความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับสังคม ดังนั้นเพื่อความรอบคอบ และทำให้นโยบายมีประสิทธิภาพ จึงต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน "สังคมอาจตกใจว่าทำไมไม่ขังผู้กระทำผิดจนครบโทษ หากเราขังจนครบกำหนดแล้วปล่อยตัวมา สังคมจะไม่เกิดการระวังตัว อาจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบที่ผ่านๆมาได้ หากกลุ่มผู้ทำผิดนี้ได้รับการปล่อยตัวก่อนประมาณ ๑-๒ ปี แต่ยังอยู่ในสถานะของนักโทษเด็ดขาด โดยมีกลไกเฝ้าระวังโดยศูนย์ JSOC ติดกำไล EM และสร้างการรับรู้ให้กับสังคมว่ามีบุคคลอันตรายอยู่ในพื้นที่ เพื่อให้สังคมช่วยกันเฝ้าระวังน่าจะดีกว่าสังคมไม่รู้อะไรเลย การสัมมนาในครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งเวทีที่ผ่านมา ๒ เวทีเห็นด้วย มีการแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างความเข้าใจและเกิดการมีส่วนร่วมจากเครือข่ายภาคราชการและนักวิชาการ จนได้ข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับให้เกิดข้อสรุปที่เหมาะสมครบถ้วนรอบด้าน นำไปใช้ปฏิบัติงานได้จริง"นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อเท็จจริงในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 ข้อเท็จจริงในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ชี้แจงข้อเท็จจริงในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ) ที่มีเจตนารมย์ในการประกาศใช้เพื่อให้มีแนวทางการปฏิบัติที่แน่นอนไม่ให้อำนาจการพิจารณาเป็นของบุคคลเดียวหรือหน่วยงานเดียว ดังนี้ 1) การออกเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม (RFP Addendum) ปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอ รฟม. ได้มีประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ต่อมาคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในการประชุมครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบข้อชี้แจงต่อข้อสอบถามของ ผู้ซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP Clarification) และเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม (RFP Addendum) รวมถึงเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอจากรูปแบบเดิมที่พิจารณาซองเทคนิค และซองการลงทุนและผลตอบแทน แยกจากกัน โดยให้พิจารณาซองการลงทุนและผลตอบแทนเฉพาะผู้ยื่นข้อเสนอรายที่ผ่านการประเมินซองเทคนิคเท่านั้น เป็นรูปแบบการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคควบคู่กับด้านราคา พร้อมเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการยื่นข้อเสนอของเอกชนออกไป 45 วัน ซึ่งการปรับปรุงเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) เป็นการปรับปรุงเฉพาะวิธีการประเมินข้อเสนอเท่านั้น การปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะเอกชนทุกรายต้องแข่งขันบนเกณฑ์การประเมินเดียวกัน และไม่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชนรายใด เนื่องจาก รฟม. ได้แจ้งให้ผู้ซื้อเอกสาร RFP ทุกราย ทราบถึงการปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอแล้ว ซึ่งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเอกชนผู้ที่ยื่นข้อเสนอแต่อย่างใด โดยยังกำหนดไว้เช่นเดิมว่า หากเอกชนรายใดไม่มีผลงานขุดเจาะอุโมงค์ ก็สามารถใช้ผลงานของบัญชีผู้รับจ้าง (Contractor List) ได้ รวมถึงยังได้มีการขยายระยะเวลาจัดทำข้อเสนอออกไปอีก 45 วัน นับเป็นระยะเวลาในการจัดทำข้อเสนอการร่วมลงทุนของเอกชนประมาณ 70 วัน เพื่อให้ผู้ซื้อเอกสาร RFP ทุกรายมีเวลาในการจัดเตรียมข้อเสนอมากขึ้นด้วย การออก RFP Addendum ปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอของคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ในครั้งนั้น เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจในมาตรา 35 และมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ และเป็นไปตามเอกสาร RFP เล่มที่ 1 ข้อแนะนำผู้ยื่นข้อเสนอ ข้อ 17.1 ซึ่งได้ระบุว่า “ก่อนถึงกำหนดวันยื่นซองเอกสารข้อเสนอ รฟม. อาจมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุน (ที่ระบุในข้อ 15.)” ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (ประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ) เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 ข้อ 4 (9) โดยการออกเอกสารแนบท้ายเพิ่มเติม มีเหตุผลในการปรับเปลี่ยนเนื่องจาก จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่เส้นทางโครงการฯ ที่เอกชนผู้ร่วมลงทุนต้องดำเนินการด้วยเทคนิคก่อสร้างที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด เพื่อความสำเร็จของโครงการและประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐและประชาชนผู้ใช้บริการ สอดคล้องตามประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 ข้อ 4 (8) 2) การยกเลิกประกาศเชิญชวนฯ และการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ ในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางดำเนินการคัดเลือกเอกชนฯ โดยประเมินกรอบระยะเวลาดำเนินการ ผลกระทบ รวมถึงข้อดี-ข้อเสีย อย่างรอบด้านแล้ว มีความเห็นโดยสรุปว่า จนถึงปัจจุบันระยะเวลาได้ล่วงเลยมามากแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าและข้อสรุปทางคดี ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานออกไป ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาดำเนินการคัดเลือกเอกชนฯ จนแล้วเสร็จที่ชัดเจนได้ ประกอบกับซองเอกสารข้อเสนอของเอกชน 2 ราย มีอายุ 270 วัน นับจากวันยื่นซองข้อเสนอ หากยังคงรอข้อสรุปทางด้านคดีก่อนแล้วจึงดำเนินการคัดเลือกต่อไป อาจส่งผลให้ซองเอกสารข้อเสนอของเอกชน 2 ราย ดังกล่าว สิ้นอายุลงก่อนที่กระบวนการคัดเลือกเอกชนฯ จะแล้วเสร็จ ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกการคัดเลือกและเริ่มการคัดเลือกเอกชนฯ ใหม่ ในภายหลัง จึงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ล้วนส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ขณะที่กรณียกเลิกการคัดเลือกและเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนฯ ใหม่ จะสามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนให้แล้วเสร็จได้ภายใน 6 – 8 เดือน กรอบระยะเวลาดำเนินการมีความชัดเจน จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดต่อความสำเร็จของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐสูงสุด ดังนั้นคณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว โดยมอบให้ รฟม. พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่และอำนาจในมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ประกอบกับข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศเชิญชวนฯ ข้อ 12.1 และเอกสาร RFP ข้อ 35.1 และสอดคล้องตามประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 ข้อ 4 (9) จึงเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว 3) การเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน เพื่อเตรียมการสำหรับการคัดเลือกเอกชนครั้งใหม่ สืบเนื่องจากการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ข้างต้น รฟม. จึงได้เริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนขึ้นใหม่อีกครั้ง ตามขั้นตอนใน พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ส่วนที่ 2 (การคัดเลือกเอกชน) โดยเริ่มตั้งแต่มาตรา 35 ซึ่งระบุให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาร่วมลงทุน เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง (Opinion Hearing) และนำความคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการจัดทำเอกสาร ทั้งนี้ วิธีการและขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนดังกล่าว รฟม. ดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน พ.ศ. 2563 โดยเนื้อหาที่เปิดรับฟังหลักๆ ประกอบด้วย สาระสำคัญของร่างประกาศเชิญชวน สาระสำคัญของร่างเอกสาร RFP และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน รฟม. ได้ออกประกาศการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนประกอบการพิจารณาจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เมื่อ วันที่ 1 มีนาคม 2564 โดยในส่วนของหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเอกชนนั้น รฟม. เห็นว่า จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพพื้นที่เส้นทางโครงการฯ ที่เอกชนผู้ร่วมลงทุนต้องดำเนินการด้วยเทคนิคก่อสร้างที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด จึงกำหนดวิธีประเมินคะแนนด้านเทคนิคและคุณภาพควบคู่คะแนนด้านผลตอบแทนและการลงทุน (Price-Performance) ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และสาระสำคัญของร่างสัญญาฯ พ.ศ. 2563 โดยในข้อ 4(8) ที่ให้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่ให้ระบุหลักเกณฑ์และวิธีการตัดสินเป็นคะแนนในทุกด้านทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา นอกจากนี้ รฟม. ได้ปรับปรุงถ้อยคำในส่วนของข้อสงวนสิทธิ์ในเอกสารรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้สอดคล้องตามประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 ข้อ 4 (9) การรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเป็นเพียงการรวบรวมความเห็นของเอกชนเพื่อนำมาใช้ประกอบในการปรับปรุงร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาฯ ตามที่ รฟม. เห็นสมควรโดยคำนึงถึงความสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ เท่านั้น เพื่อที่ รฟม. จะนำร่างประกาศเชิญชวนฯ ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาฯ รวมถึงผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว เสนอคณะกรรมการคัดเลือกฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบตามหน้าที่และอำนาจในมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ต่อไป สำหรับประเด็นที่มีข้อถกเถียงว่า รฟม. ได้กระทำการละเมิดคำสั่งศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 หรือไม่นั้น คำสั่งศาลปกครองกลางดังกล่าวเป็นเพียงแต่สั่งให้ทุเลาหลักเกณฑ์ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น เมื่อ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ใช้อำนาจตามกฎหมายยกเลิกประกาศเชิญชวนฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ แล้ว รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองสูงสุดอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ เนื่องจาก เหตุแห่งการฟ้องคดี รวมถึงเหตุแห่งการพิจารณาเกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองไม่มีอยู่ต่อไป และคดีนี้มิได้เป็นคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ การพิจารณาคดีต่อไปไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ต่อมา รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดังรายละเอียดที่กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว นอกจากนี้ ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่ง ฉบับลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 จำหน่ายคดีในข้อหาที่ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากเหตุแห่งการฟ้องคดีตามคำขอดังกล่าวหมดสิ้นไป และศาลยังมีคำสั่งให้คำสั่งทุเลาคำบังคับของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 สิ้นผลบังคับลงไปด้วย อนึ่งการเปิดรับฟังรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนประกอบการพิจารณาจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสาร RFP และร่างสัญญาร่วมลงทุน เป็นหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานเจ้าของโครงการ ในขณะที่การพิจารณาเห็นชอบ เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ดังนั้นการที่ผู้ใดจะกระทำการใดๆ ที่ก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการคัดเลือกฯ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด เป็นการกระทำที่เข้าข่ายต้องระวางโทษ ตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จำนวน 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ชวนใช้บริการแอปพลิเคชันชำระภาษีรถประจำปี DLT Vehicle Tax สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ชวนใช้บริการแอปพลิเคชันชำระภาษีรถประจำปี DLT Vehicle Tax สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนที่ต้องการชำระภาษีรถประจำปีไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ขบ. ขอแนะนำให้ประชาชนใช้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax โดยสามารถรอรับเครื่องหมายการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ได้ ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันชำระเงิน และเมื่อมีการชำระภาษีรถประจำปีผ่านแอปพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ระบบจะแสดงหลักฐานการชำระภาษีรถประจำปีชั่วคราว เพื่อให้เจ้าของรถสามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงการชำระภาษีจนกว่าจะได้รับเครื่องหมายการเสียภาษีประจำปี นอกจากนี้ ขบ. ยังได้พัฒนาบริการรับชำระภาษีรถประจำปีอีกหลากลายช่องทางที่อำนวยความสะดวกประชาชนไม่ต้องเดินทางมาสำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส โมบายล์แอปพลิเคชัน mPAY และ Truemoney Wallet ในเบื้องต้นการชำระภาษีรถประจำปีแบบออนไลน์รองรับเฉพาะรถที่ไม่เข้าข่ายต้องนำรถไปตรวจสภาพ อาทิ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้) รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่ได้เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ที่ไม่มีภาษีค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 1 ปี ไม่ถูกอายัดทะเบียน ไม่ใช่รถที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ ส่วนรถที่เข้าข่ายต้องตรวจสภาพก่อนชำระภาษีประจำปีสามารถใช้บริการชำระภาษีโดยไม่ต้องลงจากรถหรือบริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ณ สำนักงานขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์ ธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมโครงการ หรือที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ สำหรับสถิติการให้บริการชำระภาษีรถประจำปีในเขตกรุงเทพฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ใช้บริการ จำนวนทั้งสิ้น 503,754 คัน แบ่งเป็นการใช้บริการรับชำระภาษีรถประจำปี ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพฯ พื้นที่ 1 - 5 มากที่สุด จำนวน 397,702 คัน รองลงมาคือ การใช้บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) จำนวน 58,914 คัน ผ่านเว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ จำนวน 31,134 คัน ในส่วนของบริการชำระภาษีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax มีผู้ใช้บริการ จำนวน 2,024 คัน และบริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) มีผู้ใช้บริการ จำนวน 904 คัน นอกจากนี้ ยังมีบริการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านหน่วยงานเครือข่าย อาทิ เคาน์เตอร์เซอร์วิสมีผู้ใช้บริการ จำนวน 11,184 คัน ที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 1,235 คัน ผ่านแอปพลิเคชัน mPAY และ Truemoney Wallet จำนวน 621 คัน และผ่านธนาคารที่ร่วมโครงการ จำนวน 36 คัน สอบถามข้อมูลการชำระภาษีรถประจำปีเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40062
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ ประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ ประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา​ ๐๙.๐๐​ น.​ ณ ห้องประชุม ๔​ -​ ๐๑ ชั้น ๔ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ โดยมีคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายฯ เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุม​รับทราบ​กฎหมายเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังวิกฤติโควิด - 19 ของสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 รมว.สุชาติ หารือร่วม กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ติดตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากโควิด -19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมติดตามความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานจากผลกระทบจาก โควิด -19 เพื่อให้แรงงานมีงานทำ มีอาชีพ มีฝีมือ มีหลักประกันทางสังคม และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ร่วมกับ นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และคณะ โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎรมีประเด็นขอหารือและติดตามความก้าวหน้ากับกระทรวงแรงงาน จำนวน 8 ประเด็น ดังนี้ 1) ข้อมูลสถิติแรงงานช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 2) มาตรการและแนวทางเฝ้าระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 3) มาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ของกระทรวงแรงงาน 4) ปัญหาอุปสรรคที่พบจากการดำเนินงานตามมาตรการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว 5) ช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์ 6) ความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 7) ความคืบหน้าโครงการ “ม33เรารักกัน” และการขยายอายุการเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จากเดิม 60 ปี เป็น 65 ปี และ 8) ความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ นายสุชาติกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 มาอย่างต่อเนื่อง ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยผู้ใช้แรงงานเสมือนคนในครอบครัว จึงได้มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ในหลายๆ ด้าน เช่น การตรวจคัดกรองโควิด – 19 เชิงรุก การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 การเยียวยา ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่แรงงาน ผู้ประกอบการ การส่งเสริมการจ้างงานโดยจัดโครงการ JOB EXPO THAILAND 2020 ตลอดจนพัฒนาศักยภาพผู้ที่อยู่ในตลาดแรงงานให้ได้รับการ Up skill, Re skill มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการดำเนินโครงการ ม33เรารักกัน ด้าน นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงานจากการประชุมหารือร่วมในครั้งนี้ว่า การปรับปรุงกฎหมายที่จะออกมาบังคับใช้ ซึ่งหลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เช่น พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ร.บ.แรงงานนอกระบบ พ.ร.บ.ประกันสังคม กรณีการเลิกจ้างปิดกิจการและนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีคนตกงานจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องได้รับการอบรมพัฒนาฝีมือเพื่อให้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น ตลอดจนการวางโครงสร้างของแรงงานในอนาคต ซึ่งจะต้องทำอย่างไรให้แรงงานเข้ามามีส่วนร่วมกับกระทรวงแรงงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการฝึกภาษาให้แก่คนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อให้มีความพร้อมก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ การส่งเสริมการจ้างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กเลย! ประกาศผลทบทวนสิทธิ "เราชนะ" รอบสุดท้าย
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 เช็กเลย! ประกาศผลทบทวนสิทธิ "เราชนะ" รอบสุดท้าย ... อัพเดทความคืบหน้าการประกาศผลทบทวนสิทธิ “เราชนะ” รอบสุดท้าย สำหรับประชาชนที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ ทั่วไป เช่น การเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการการเมือง ผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ หรือมีเงินฝากเกินเกณฑ์ที่กำหนด และยื่นขอทบทวนสิทธิทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. – 8 มี.ค. 64 . รวมถึงผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 แล้ว ระหว่างวันที่ 8 ก.พ. – 8 มี.ค. 64 . สามารถตรวจผลการทบทวนสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. 64 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www. เราชนะ .com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 . โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะได้รับวงเงินครั้งเดียว 7,000 บาท ในวันที่ 25 มี.ค. 64 และสามารถใช้จ่ายผ่านแอป “เป๋าตัง” ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พ.ค. 64 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.สาธารณสุขแจงประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีน บ.แอสตราฯ 61 ล้านโดส สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งประเทศ ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 ก.สาธารณสุขแจงประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีน บ.แอสตราฯ 61 ล้านโดส สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งประเทศ ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีน บ.แอสตราฯ 61 ล้านโดส สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งประเทศ ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามแผนการฉีดของกรมควบคุมโรคกำหนด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 นายโอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงกรณีมีข้อสงสัยเรื่องการสั่งซื้อวัคซีน บ.แอสตราเซเนกาที่รัฐบาลจองไว้ 61 ล้านโดยมีคุณสมบัติเหมาะกับผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ขณะที่ล่าสุดประชากรไทยที่อายุเกิน 60 ปีมีอยู่เพียง 12 ล้านคนว่า ประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีน บ.แอสตราฯ 61 ล้านโดส สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งประเทศ ซึ่งวัคซีนดังกล่าว มีข้อบ่งชี้การใช้ฉีดในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเมื่อวัคซีน บ.แอสตราฯ ทยอยส่งมอบให้ไทย (รอบแรก 26 ล้านโดส และสั่งซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส) จะฉีดครอบคลุมประชากรได้ 31.5 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 60% ของกลุ่มเป้าหมาย(กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป) ตามแผนการฉีดของกรมควบคุมโรค ทั้งนี้ ในช่วงแรกมีการนำวัคซีน บ.ซิโนแวคมาใช้ก่อน เพื่อให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ประชาชน และแรงงาน ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ระบาดและจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้รับวัคซีนอย่างรวดเร็ว สำหรับการกำหนดกลุ่มอายุที่สามารถรับวัคซีนได้ เป็นไปตามผลการวิจัยในระยะที่ 3 ของแต่ละบริษัท หากทดลองในกลุ่มอายุใดเมื่อมาขึ้นทะเบียนใช้วัคซีนก็จะอนุญาตให้ใช้ในกลุ่มอายุนั้น ๆ ไปก่อน เช่น วัคซีนซิโนแวค ทดลองในกลุ่มประชากร 18-60 ปี เมื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรมการอาหารและยา จะได้รับอนุญาตให้ใช้ตามผลการทดลองในผู้ที่มีอายุ 18 – 60 ปี หากมีข้อมูลการวิจัยเพิ่มเติมในผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือกลุ่มอายุน้อยกว่า 18 ปี แล้วให้ผลไม่ต่างจากผู้มีอายุ 18 – 60 ปี ก็จะสามารถขยายกลุ่มอายุในการฉีดวัคซีนได้มากขึ้น ส่วนวัคซีนแอสตราเซนเนกาได้ทดลองวิจัยระยะที่ 3 ในกลุ่มประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป และในการทดลองมีผู้สูงอายุจำนวนพอสมควร จึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนใช้ได้ในตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพดานอายุ -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านเกษตร ในช่วงฤดูฝน ปี 2564
วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านเกษตร ในช่วงฤดูฝน ปี 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านเกษตร ในช่วงฤดูฝน ปี 2564 เน้นย้ำการป้องกัน เตรียมพร้อมเผชิญเหตุ และดูแลฟื้นฟูหลังเกิดภัย นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านเกษตร ครั้งที่ 1 / 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการคาดการณ์สถานการณ์ในช่วงฤดูฝน ปี 2564 คาดว่าฝนจะเริ่มตกเร็วขึ้นกว่าปกติ ในช่วงกลางเดือนเมษายน - พฤษภาคม ก่อนจะเว้นช่วงในช่วงเดือนมิถุนายน ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติในช่วงฤดูฝนจะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ จึงได้เตรียมการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านเกษตร ในช่วงฤดูฝน ปี 2564 โดยได้ขอความร่วมมือให้กรมชลประทาน จัดทำแผนการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูฝน และร่วมกับกรมพัฒนาที่ดินจัดทำแผนคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย นอกจากนี้ ยังมอบหมายกรมการข้าว กรมชลประทาน และกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกันวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูฝน ปีการผลิต 2564 ตลอดจนให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันร่างแผนป้องกันและเผชิญเหตุอุทกภัยด้านการเกษตร ในเรื่องของการป้องกันและลดผลกระทบ การเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุ ตลอดจนการฟื้นฟูและดูแลหลังเกิดภัย โดยการเตรียมการจัดทำแผนดังกล่าว สำหรับใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานราชการ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านเกษตร และเตรียมการให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2564 ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สำหรับแผนการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 2563/64 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2564 สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำของประเทศในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 มี.ค. 64) มีน้ำใช้การ 16,065 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็น ภาคเหนือมีปริมาณน้ำใช้การ 3,459 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำใช้การ 3,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันตกมีปริมาณน้ำใช้การ 3,119 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคกลางมีปริมาณน้ำใช้การ 625 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำใช้การ 1,037 ล้านลูกบาศก์เมตร และภาคใต้มีปริมาณน้ำใช้การ 4,125 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยในภาพรวมถือว่าการบริหารจัดการเป็นไปตามแผนบริหารจัดการน้ำ ในส่วนของสถานการณ์การเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2 (นาปรัง) ปี 2563/64 มีพื้นที่ปลูกเกินกว่าแผนการเพาะปลูก รวม 57 จังหวัด พื้นที่ปลูกข้าวเกินกว่าแผน รวม 5.04 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 50 จังหวัด ปลูกข้าวเกินกว่าแผน 3.75 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 32 จังหวัด พื้นที่ปลูกข้าวเกินกว่าแผน 1.25 ล้านไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มีนาคม 2564) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังสถานการณ์ และแนวทางบริหารจัดการศัตรูพืช ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มในการระบาดลดลง แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและเตรียมการหากเกิดสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้างานโครงการปรับปรุงขยายอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้างานโครงการปรับปรุงขยายอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 16 มีนาคม 2564 นายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ด้านเศรษฐกิจ) ลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้างานโครงการปรับปรุงขยายอาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี โดยมีนายสุขสวัสดิ์ สุขวรรณโณ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีพร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี สำหรับการตรวจติดตามความก้าวหน้าในครั้งนี้ นายวิทวัสฯ พร้อมคณะได้รับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้าของโครงการงานปรับปรุงขยายอาคารที่พักผู้โดยสารท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี โดยบริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด ( มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง สัญญาเริ่มต้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 10 มีนาคม 2565 ในกรอบวงเงิน 169 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบเก้าล้านบาท) โดยมีความคืบหน้าของโครงการฯ 14.72 เปอร์เซ็นต์ ( ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2564) ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี มีสายการบินที่เปิดให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ จำนวน 5 สายการบิน เป็นประจำทุกวัน ในเส้นทาง สุวรรณภูมิ - สุราษฎร์ธานี - สุวรรณภูมิ โดยสายการบินไทยสมายด์และสายการบินไทยเวียดเจ็ตแอร์ และเส้นทางดอนเมือง - สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง โดยมีสายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินนกแอร์ และสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ พร้อมกันนี้ รองอธิบดีฯ ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตามจุดต่างๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน พร้อมเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานทุกคน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องการแพร่ระบาดเชื้อโคโรนา 2019 ( COVID -19) อย่างเคร่งครัด เช่น ตรวจวัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งขณะปฏิบัติหน้าที่ ล้างมือบ่อยๆ ในส่วนของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รับผู้โดยสารท่าอากาศยาน สุราษฎร์ธานี ได้ตั้งจุดลงทะเบียนสแกนคิวอาร์โค้ด “ไทยชนะ” เพื่อเก็บข้อมูลการเข้าออกของผู้โดยสาร ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมและยังคงทำการคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานจะต้องสวมหน้ากากอนามัยและผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ไม่สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส และต้องปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น จุดรับรอรับกระเป๋าสัมภาระ จุดตรวจบัตรโดยสาร (Check – in counter) ที่นั่งรอก่อนการเดินทางได้จัดให้มีระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร สำหรับการรักษาความสะอาด ท่าอากาศยานทุกแห่งได้ดำเนินการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารก่อนจุดรับกระเป๋าทุกเที่ยวบิน พร้อมตั้งจุดบริการเจล แอลกอฮอร์ล้างมือตามจุดต่าง ๆ และทำความสะอาดโดยใช้ แอลกอฮอร์และน้ำยาฆ่าเชื้อ ในบริเวณพื้นอาคาร ห้องน้ำ รถเข็น เก้าอี้ที่พักผู้โดยสาร ราวบันได ลิฟต์โดยสาร และอุปกรณ์สำหรับให้บริการ และอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ ทุกชั่วโมงหรือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกเที่ยวบิน รวมถึงทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร ทุกสัปดาห์ ตามมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด -19 ของกระทรวงสาธารณะสุขอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปลดล็อกปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้นได้จริง ห้ามใช้เสพ ผิด กม. จัดมหกรรมติวเข้มสร้างอาชีพ
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 สธ.ปลดล็อกปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้นได้จริง ห้ามใช้เสพ ผิด กม. จัดมหกรรมติวเข้มสร้างอาชีพ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้ประชาชนปลูกกัญชาได้จริงบ้านละ 6 ต้น รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนทำสัญญากับ รพ.สต.หรือหน่วยงานรัฐ ช่วยสร้างรายได้ทันทีไม่ต้องรอ ไม่นำไปใช้เสพ พร้อมชวนร่วมงานมหกรรมกัญชากัญชงฯ จ.บุรีรัมย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้ประชาชนปลูกกัญชาได้จริงบ้านละ 6 ต้น รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนทำสัญญากับ รพ.สต.หรือหน่วยงานรัฐ ช่วยสร้างรายได้ทันทีไม่ต้องรอ ไม่นำไปใช้เสพ พร้อมชวนร่วมงานมหกรรมกัญชากัญชงฯ จ.บุรีรัมย์ ติวเข้มมีความรู้ที่ถูกต้อง วางแผน ลงทุน สร้างอาชีพและรายได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค วันนี้ (5 มีนาคม 2564) ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานมหกรรม "กัญชากัญชง 360 องศาเพื่อประชาชน" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2564 สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องกัญชากัญชงแก่ประชาชนในทุกมิติ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเยี่ยมชมคลินิกกัญชาทางการแพทย์ที่เปิดให้บริการประชาชนได้วันละ 1 พันคน และนิทรรศการการแปรรูปกัญชงกัญชาที่เป็นต้นแบบสร้างไอเดียให้แก่ประชาชนที่สนใจ นายอนุทิน กล่าวว่า จากการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 ที่ปลดล็อกให้ทุกส่วนของกัญชาและกัญชงไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้น ช่อดอก ใบที่ติดกับช่อดอก และเมล็ดกัญชา ส่งผลให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชาและกัญชงได้แล้ว โดยรวมตัวกัน 7 คนขึ้นไปเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ทำสัญญาร่วมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานสาธารณสุข สร้างรายได้ทันทีไม่ต้องรอ ซึ่งเห็นเป็นรูปธรรมแล้วผ่าน "โนนมาลัยโมเดล" อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ที่วิสาหกิจชุมชนปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้น นำผลผลิตส่งโรงพยาบาลทำยา และชิ้นส่วนต่างๆ นำมาทำอาหาร เครื่องสำอาง และแปรรูปเป็นสินค้าเพื่อสร้างรายได้ หรือวิสาหกิจชุมชนเพชรลานนา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ที่ตัดช่อดอกให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกทำน้ำมันกัญชารักษาผู้ป่วยและแปรรูปส่วนอื่นๆ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน ลำต้น ราก มาเป็นผลิตภัณฑ์ นำมาปรุงอาหาร สร้างรายได้อย่างมาก ส่วนกัญชงที่ปลูกง่ายกว่า สามารถปลูกคู่กันได้ โดยขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งให้ความร่วมมือสนับสนุนอย่างเต็มที่ "ขณะนี้กัญชาและกัญชงถือเป็นพืชเศรษฐกิจแล้ว ทำให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการสร้างรายได้ มีทางลืมตาอ้าปาก จากพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งเราพยายามคลายล็อกให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ขอความร่วมมือให้ใช้อย่างถูกต้อง" นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจมาเที่ยวงานมหกรรมกัญชากัญชง 360 องศาเพื่อประชาชน จ.บุรีรัมย์ เพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจและเข้าถึงกัญชากัญชง ทั้งวิธีการปลูกอย่างถูกกฎหมายและถูกวิธี เทคนิคการนำทุกส่วนของกัญชากัญชงไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่ก่อให้เกิดรายได้ทันทีไม่ต้องรอ การวางแผน การลงทุน และสร้างอาชีพ ผ่านงานเสวนา นิทรรศการ และเวิร์กชอปต่างๆ โดยอยู่ภายใต้ระเบียบกฎหมาย ไม่สนับสนุนการนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือนำไปใช้เสพ และต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ************************************* 5 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39673
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งพัฒนาระบบนิเวศคลองแสนแสบให้ประชาชนได้สัญจรทางน้ำ อย่างปลอดภัย พร้อมชงแผนปฎิบัติการฟื้นฟูคลองแสนแสบ 84 โครงการเข้าสู่การประชุม กนช. ต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งพัฒนาระบบนิเวศคลองแสนแสบให้ประชาชนได้สัญจรทางน้ำ อย่างปลอดภัย พร้อมชงแผนปฎิบัติการฟื้นฟูคลองแสนแสบ 84 โครงการเข้าสู่การประชุม กนช. ต่อไป รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ เร่งพัฒนาระบบนิเวศคลองแสนแสบให้ประชาชนได้สัญจรทางน้ำ อย่างปลอดภัย พร้อมชงแผนปฎิบัติการฟื้นฟูคลองแสนแสบ 84 โครงการเข้าสู่การประชุม กนช. ต่อไป วันนี้ (18 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการ บริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่น ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล VDO Conference ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบใสสะอาด รวมทั้งให้มีการพัฒนาริมฝั่งคลองอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ เพื่อให้คลองแสนแสบกลับมามีระบบนิเวศอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีการบูรณาการการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและการระบายน้ำอย่างยั่งยืน ตาม 5 เป้าประสงค์ ประกอบไปด้วย การเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำของประชาชน การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณคลองแสนแสบ การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ การป้องกันปราบปราม การบุกรุกทำลายทรัพยากรในคลองแสนแสบ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในคลองแสนแสบ จำนวน 84 โครงการ พร้อมให้นำข้อสังเกตของฝ่ายเลขาฯ ไปทบทวนเพิ่มเติมในส่วนของการพิจารณาการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และการพิจารณาขอรับงบประมาณ ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาต่อไป รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้คลองแสนแสบกลับมาใสสะอาด สัญจรได้อย่างปลอดภัย พัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้มีความปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ทั้งการก่อสร้างท่าเทียบเรือ การติดตั้งกล้อง CCTV ทุกท่าเทียบเรือในคลองแสนแสบ รวมทั้งออกประกาศควบคุมความเร็วเรือในคลองแสนแสบ และการใช้เรือโดยสารไฟฟ้าแทนเรือดีเซลการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเร่งทำความสะอาดและจัดระเบียบพื้นที่ภายในคลอง เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและภูมิทัศน์พื้นที่ริมฝั่งคลอง ขยายผลพื้นที่ชุมชนริมฝั่งคลองต้นแบบด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน พร้อมย้ำการใช้งบประมาณต้องเป็นอย่างรอบคอบ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปั้นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อคนพิการ จับมือ17 หน่วยงานดูแลครบวงจร ก.แรงงานตั้งเป้า 4.4 หมื่นคนมีงานทำ
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 รัฐบาลปั้นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อคนพิการ จับมือ17 หน่วยงานดูแลครบวงจร ก.แรงงานตั้งเป้า 4.4 หมื่นคนมีงานทำ รัฐบาลปั้นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อคนพิการ จับมือ17 หน่วยงานดูแลครบวงจร ก.แรงงานตั้งเป้า 4.4 หมื่นคนมีงานทำ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลด้านการส่งเสริมอาชีพคนพิการว่า ในปี2564 กระทรวงแรงงานได้กำหนดแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ที่ตั้งเป้าให้คนพิการจำนวน 4.4 หมื่นรายเข้าถึงการจ้างาน และในส่วนของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้ผลักดันนโยบายดังกล่าวควบคู่ไปกับการทำงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) ที่แม้สำนักงานฯเพิ่งเริ่มจัดตั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่มีวิสาหกิจเพื่อสังคมมาจดทะเบียน 148 แห่ง ที่สำคัญมีองค์กร/สมาคมของคนพิการ มาจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อคนพิการ 5 แห่ง อาทิ บริษัทออทิสติกไทย ประกอบกิจการขายสินค้า ให้บริการ และส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น โดยนําผลกําไรไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ไปลงทุนในกิจการหรือเพื่อใช้ประโยชน์ของสังคม บริษัทเด็กพิเศษ มีการจ้างงานกลุ่มผู้ด้อยโอกาส หรือคนพิการไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจํานวนพนักงานประจํา มีการถือครองหุ้นโดยกลุ่มคนด้อยโอกาสและ/หรือคนพิการไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด และยังมีบริษัทที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ทีมีวัตถุประสงค์จ้างงานคนพิการ จํานวน 4 แห่ง ทั้งนี้ เมื่อวิสาหกิจ นำกำไรที่ได้ไปทำประโยชน์เพื่อสังคม จะได้รับการยกเว้นเรื่องภาษีตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด มากไปกว่านั้น ยังจะได้รับการสนับสนุนในเรื่องการเข้าถึงเงินทุน การพัฒนาสินค้าและการจัดการ และการส่งเสริมการตลาด จากองค์กรพันธมิตรของ สวส. ที่ขณะนี้มี 17 แห่ง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารออมสิน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เป็นต้น ที่มีเป้าหมายร่วมกัน คือ ขับเคลื่อนการดำเนินการของวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เกิดความยั่งยืน นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มอบหมายให้นายจุรินทร์ฯ ผลักดันการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างเต็มที่ และเน้นย้ำในเรื่องการส่งเสริมให้ผู้พิการเข้าถึงโอกาสการจ้างงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้ใช้ศักยภาพตนเอง และมีรายได้อย่างยั่งยืน เพราะรัฐบาลนี้ “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ให้ความสนใจการทำธุรกิจเพื่อสังคมเพิ่มขึ้นมาก ถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของประเทศ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรธุรกิจได้เข้ามามีส่วนในการรับใช้สังคมอย่างจริงจัง และองค์กรภาคประชาสังคมได้มีโอกาสสร้างรายได้ในรูปแบบธุรกิจที่ไม่แสวงหากำไร นำไปสู่การจ้างงานผู้สมควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชนสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหรือการลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคม หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์สำนักงาน สวส. www.osep.or.th หรือโทร 02-659-6473 อนึ่ง “ภาพรวมของการดำเนินการด้านคนพิการของประเทศไทย เป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวทางของสหประชาชาติ ที่มุ่งเป้าคนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำรงชีวิตในสังคมชุมชนได้อย่างอิสระเท่าเทียม ซึ่งกรมส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ทำงานร่วมกับหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 7 ประเด็นเร่งด่วน คือ 1) การส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาอาชีพคนพิการ 2) การส่งเสริมเข้าถึงสิทธิคนพิการ 3) การส่งเสริมการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ 4) การคุ้มครองสวัสดิภาพคนพิการ 5) การเสริมสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมขององค์กรด้านคนพิการและเครือข่าย 6) การพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายและแผนด้านคนพิการ และ 7) ระบบการบริหารจัดการด้านคนพิการให้มีผลสัมฤทธิ์สูง” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คลัง จับมือ ศธ. เสริมทัพ ส่งเสริมความรู้การออมกับ กอช. นำร่องกลุ่มนักเรียนในสังกัด สพฐ. พร้อมขยายต่อ ครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ”
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 “คลัง จับมือ ศธ. เสริมทัพ ส่งเสริมความรู้การออมกับ กอช. นำร่องกลุ่มนักเรียนในสังกัด สพฐ. พร้อมขยายต่อ ครอบคลุมสถานศึกษาทั่วประเทศ” กอช. ร่วมกับ สพฐ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูงในสังกัด สพฐ. มุ่งวางรากฐานการออมให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ได้สมัครเป็นสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษาที่มีเกือบ 1 ล้านคนทั่วประเทศ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กระทรวงการคลัง ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ. มุ่งวางรากฐานด้านการออมให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ได้สมัครเป็นสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษาที่มีเกือบ 1 ล้านคนทั่วประเทศ วันนี้ (3 มีนาคม 2564) กอช. ร่วมกับ สพฐ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ณ ห้องประชุม แกรนด์ บอลรูม โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการออมในกลุ่มนักเรียนที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัด สพฐ. และหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และนายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมมอบนโยบาย และวางแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการออมเงินในกลุ่มเยาวชนให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาทุกเขตทั่วประเทศ เพื่อวางรากฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิต สร้างฐานะ ความมั่นคงในอนาคต และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างสองหน่วยงาน ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสองกระทรวง ที่ถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนประเทศ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การบูรณาการทำงานความร่วมมือกันระหว่าง กอช. และ สพฐ. ในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมกับการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศ ทั้งยังเป็นการวางแผนทางการเงิน และส่งเสริมการออมให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ. โดยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ได้เน้นเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยระบบการออมเงินเพื่อการเกษียณของประเทศไทยมี 2 รูปแบบ ทั้งการออมภาคบังคับ และภาคสมัครใจ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ สำหรับประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี ในฐานะหน่วยงานที่ส่งเสริมการออมแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมให้ความรู้ด้านการออมแก่ประชาชนได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างการรับรู้การเตรียมตัวสู่สังคมสูงวัย โดยในปีนี้ กอช. เร่งเดินหน้าสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวางแผนออมเงินกับ กอช. ในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชน อายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการส่งเสริม สนับสนุนให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัด สพฐ. ได้รู้จักการออมเงินเพื่ออนาคต และสมัครเป็นสมาชิก กอช. ในรูปแบบบูรณาการทำงานร่วมกัน ออกแบบการเรียนรู้ด้านการวางแผนทางการเงินผ่านวิชาเรียน เพื่อวางรากฐานชีวิตที่มั่นคงให้แก่อนาคตของชาติ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการออมระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ทาง สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. อบรมให้ความรู้ด้านวางแผนการออมเงินแก่ผู้อำนวยการ ครู และอาจารย์ในโรงเรียน ภายใต้สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 และ เขต 2 จำนวน 119 โรงเรียน และในปีนี้จะดำเนินการต่อให้ครอบคลุม สพม. ทุกเขตทั่วทั้งประเทศ ให้ได้ตระหนักถึงวิธีการวางแผนทางการเงิน การออมเงิน เทคนิคการบริหารจัดการเงิน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะนำไปขยายผลการอบรมให้ความรู้แก่นักเรียนในสถานศึกษา ที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในสถานศึกษาที่มีอยู่เกือบ 1 ล้านคน ได้มีการวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตและสมัครเป็นสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษาทั่วประเทศ โดย กอช. จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เด็กนักเรียน ได้ตระหนักถึงการออมตั้งแต่วัยเรียน เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักค่าของเงิน รู้จักเก็บออม เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย สร้างนิสัยการออมเงินเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็น รากฐานของการออมเงิน สำหรับน้องนักเรียนที่ยังเรียนอยู่ เพียงเริ่มวางแผนออมเงินวันละ 1 บาท พอมีเงินครบ 50 บาท ก็สามารถนำมาออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้ ความน่าสนใจคือ รัฐบาลจะสมทบเงินให้ 50% ของเงินออม คิดเป็นเงิน 25 บาท สูงสุด 600 บาทต่อปี ในอนาคตเมื่อเรามีรายได้มากขึ้น เงินเก็บของเราจะได้เพิ่มพูนขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้วางแนวทางการศึกษาจากกระทรวงการคลังเรื่องความรอบรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) เข้ามาปรับปรุงในหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษา ซึ่งแม้เรื่องดังกล่าวจะมีอยู่แล้วในกลุ่มวิชาสังคมศึกษา ทางกระทรวงฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญนำมาขับเคลื่อนเชิงรุกในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับเด็กในยุคสมัยปัจจุบัน สร้างความตระหนักถึงการออมและเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันว่ามีอะไรบ้าง ทั้งนี้เรื่องการออมถือเป็นเรื่องสำคัญของเด็กในการวางรากฐานการเงินในอนาคตของตัวเอง ถ้าหากเราทำให้เด็กได้สัมผัสและมีความคุ้นเคยเรื่องการออมมากขึ้น จะส่งผลให้อนาคตของเด็กและเยาวชนกล้าตัดสินใจเรื่องการเงินด้านต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความรอบรู้เรื่องการเงินนี้ ทางกระทรวงฯ จะทำให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนสังกัด สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และให้ครอบคลุมทุกสถานศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการต่อไป นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 และได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2558 มีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการออมเงิน เปิดโอกาสให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เข้าร่วมออมเงินกับรัฐบาลเพื่ออนาคต โดยทุกครั้งที่สมาชิกส่งเงินออมสะสม รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 600 บาทต่อปี อายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 960 บาทต่อปี อายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี ปัจจุบัน กอช. เปิดดำเนินการมาแล้ว 5 ปี จำนวนสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 2.4 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2564) โดยสมาชิก กอช. ที่มีช่วงอายุระหว่าง 15 ถึง 30 ปี มีจำนวนเพียง 354,810 ราย คิดเป็นร้อยละ 14.81 จากสมาชิก กอช. และคิดเป็นร้อยละ 4 ของกลุ่มเป้าหมายประชากรไทยที่มีอายุ 14-24 ปี ที่มีจำนวนอยู่เกือบ 9 ล้านคน (ข้อมูลสถิติประชากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัด สพฐ. ได้รู้จักการออมเงินเพื่ออนาคต และสมัครเป็นสมาชิก กอช. เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันหลังเกษียณเป็นรายเดือน และสร้างความมั่นคงทางการเงินในชีวิต ให้มีกินมีใช้ในอนาคต เพียงออมเงินขั้นต่ำ 50 บาทต่อครั้งต่อปี โดยรัฐบาลจะสมทบเงินให้อีกครึ่งหนึ่งของเงินออม ไม่เกิน 600 บาทต่อปี และนำเงินออมของสมาชิกไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งออมเร็วยิ่งดี เมื่อเรียนจบได้ทำงานในระบบ หรือรับราชการ สถานะการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ ออมต่อได้เรื่อยๆ จนอายุครบ 60 ปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุของสมาชิก ตาม พ.ร.บ. กอช. และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ กอช. จ่ายเงินบำนาญรายเดือนให้กับสมาชิก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหภาพการบินไทยเข้าขอบคุณรัฐบาล และ ก.แรงงาน หลังช่วยเจรจาคลี่คลายกรณีเปลี่ยนสภาพการจ้างใหม่จนเป็นที่พอใจ
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 สหภาพการบินไทยเข้าขอบคุณรัฐบาล และ ก.แรงงาน หลังช่วยเจรจาคลี่คลายกรณีเปลี่ยนสภาพการจ้างใหม่จนเป็นที่พอใจ ประธานสหภาพแรงงานการบินไทยร่วมใจสัมพันธ์ และคณะ นำทีมเข้าพบนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อมอบกระเช้าขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายแรงงานเนื่องจากบริษัทการบินไทยเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับ นายศิริพงษ์ ศุกระกาญจนาโชค ประธานสหภาพแรงงานการบินไทยร่วมใจสัมพันธ์ และคณะ จำนวน 9 คน ในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อมอบกระเช้าขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ให้ความช่วยเหลือในการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายแรงงานเนื่องจากบริษัทการบินไทยเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างใหม่ โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างใหม่ ตามโครงการแสดงความจำนงยอมเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก (Relaunch) ของบริษัทการบินไทย ปัญหาเรื่องข้อขัดแย้งในการแก้ไขข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และปัญหาอื่น ๆ ตามแผนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ได้รับการดูแลเอาใจใส่ในการแก้ไขปัญหาและเจรจาหาข้อยุติอย่างรวดเร็ว จากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ท่านเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ท่านอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ท่านวรรณรัตน์ ศรีสุกใส รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ท่านรัดเกล้า เชาวลิต ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานสัมพันธ์และผู้บริหารระดับสูงของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน นายศิริพงษ์ กล่าวว่า ในวันนี้สหภาพแรงงานการบินไทยร่วมใจสัมพันธ์ (สร.กบท.สพ.) และสมาชิกของสหภาพฯ รวมทั้งพนักงาน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รู้สึกซาบซึ้งในความตั้งใจช่วยเหลือของรัฐบาล ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงาน จึงได้เข้ามาแสดงความขอบคุณ ที่ได้ใช้ความจริงใจและเอาใจใส่ในการประสานผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน จนทำให้มีการประชุมหารือเจรจาหาข้อยุติ และในขณะนี้ประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งได้รับการคลี่คลายภายใต้กรอบของกฎหมายคุ้มครองแรงานกำหนดจนเป็นที่พึงพอใจของพนักงานบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และสหภาพแรงงานฯ แล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยรายงานผลการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ของพนักงาน
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยรายงานผลการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ของพนักงาน จากการตรวจโดยวิธี RT-PCR ทางโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลได้รายงานผลการตรวจว่า เป็นลบทั้งหมด ซึ่งสรุปได้ว่าไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม รายงานผลการตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 ของพนักงาน ดังนี้ ตามที่พนักงานของ CAAT 1 ราย ตรวจพบการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 และ CAAT ได้ออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดที่เป็นไปตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง CAAT ได้สั่งการให้กักตัว 14 วัน ไปก่อนหน้าและอยู่ในความดูแลของหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ซึ่งจะต้องถูกบังคับตรวจหาเชื้อ COVID-19 จนกว่าจะได้ผลที่แน่ชัด ล่าสุด ในวันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 และวันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาซึ่งครบกำหนดตามระยะฟักตัวของเชื้อตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข CAAT ได้ดำเนินการตรวจเชิงรุกโดยให้พนักงานกลุ่มความเสี่ยงต่ำของ CAAT ทุกคน รวมถึงแม่บ้านและพนักงานขับรถของสำนักงาน เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ หน่วยตรวจชั่วคราวจากโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล จัดขึ้นในบริเวณลานจอดรถอาคารสำนักงาน ชั้น T ไอทีสแควร์ หลักสี่ ซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก สามารถเว้นระยะห่างได้อย่างเหมาะสม จากการตรวจโดยวิธี RT-PCR ทางโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลได้รายงานผลการตรวจว่า เป็นลบทั้งหมด ซึ่งสรุปได้ว่าไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสังคมและเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อในสำนักงานให้มีความรัดกุม CAAT ยังคงให้พนักงานที่ผ่านการตรวจหาเชื้อแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อพนักงานและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40346
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำเดินหน้าพัฒนาประเทศ สู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์และดิจิทัลอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ บอร์ดดีอีอนุมัติงบ 500 ล้านบาท ขับเคลื่อนโครงการนำร่อง 5จี
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรี ย้ำเดินหน้าพัฒนาประเทศ สู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์และดิจิทัลอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ บอร์ดดีอีอนุมัติงบ 500 ล้านบาท ขับเคลื่อนโครงการนำร่อง 5จี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเดินหน้าพัฒนาประเทศ สู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์และดิจิทัลอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ บอร์ดดีอีอนุมัติงบ 500 ล้านบาท ขับเคลื่อนโครงการนำร่อง 5จี วันนี้ (24 มี.ค.64) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมด้วย นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็ง แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้การวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีความคืบหน้าอย่างมากเพื่อใช้ประโยชน์และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย เช่น โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (เน็ตประชารัฐ) รวมทั้งการเตรียมพร้อมเรื่องของปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ต่าง ๆ การนำเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงานของทุกภาคส่วน นำไปสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์และดิจิทัลอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้บรรลุผลตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำทุกส่วนราชการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่หรือคลาวด์กลางภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ นำไปสู่การพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง รวมทั้งบริการประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกระดับ ทุกช่วงวัย ทุกสาขาอาชีพ ส่งเสริมประชาชนใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์เพื่อเดินหน้าไปสู่รัฐบาลดิจิทัล หรือ e-Government โดยการใช้จ่ายงบประมาณต้องไปเป็นอย่างเหมาะสม คุ้มค่า โปรงใส่ เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย เพื่อการต่อยอดการใช้ประโยชน์ ตามมาตรา 26 (6) วงเงินงบประมาณ 500 ล้านบาท พร้อมเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 26 (6) แห่ง พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย โดยโครงการที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณาสนับสนุน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลัก ได้แก่ เป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ เป็นโครงการนำร่องที่มีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ระยะที่ 1 โดยเป็นโครงการที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนต่อยุคดิจิทัล หรือจะส่งผลกระทบในวงกว้าง และโครงการที่ขอรับการสนับสนุน ต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) ในส่วนของความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ที่มีรายงานจัดอันดับช่วงต้นปีนี้โดย Ookla Speedtest ผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับโลก ระบุว่า อินเทอร์เน็ตบ้าน (Fixed Broadband) ของไทย มีความเร็วเฉลี่ยในการดาวน์โหลดสูงถึง 308.35 เมกะบิท/วินาที (Mbps) ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของโลก นายกรัฐมนรี กล่าวย้ำว่า เทคโนโลยี 5G พลิกโฉมการใช้ประโยชน์ในมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โทรคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค ภาคการขนส่ง ภาคการเกษตร ด้านสาธารณสุข เนื่องจาก อย่างก้าวกระโดดช่วยยกระดับด้านเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. มุ่งสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม เสริมเทคโนโลยีทางการเงิน รองรับการแข่งขันและการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ธ.ก.ส. มุ่งสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม เสริมเทคโนโลยีทางการเงิน รองรับการแข่งขันและการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. มุ่งสร้าง Social Safety Net สู่เกษตรกรและชุมชน โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการการวิจัยและนวัตกรรม การตลาด การดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมหนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เข้ามาเสริมความเข้มแข็งและการเติบโตในภาคชนบท ธ.ก.ส. มุ่งสร้าง Social Safety Net สู่เกษตรกรและชุมชน โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการการวิจัยและนวัตกรรม การตลาด การดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมหนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เข้ามาเสริมความเข้มแข็งและการเติบโตในภาคชนบท เน้นการดูแลด้านภาระหนี้สินเกษตรกร ผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ การฟื้นฟูอาชีพ เพื่อให้เกษตรกรยืนได้อย่างมั่นคง เร่งเติมเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงนโยบายการขับเคลื่อน ธ.ก.ส. ในฐานะผู้นำองค์กรว่า ยังคงมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ที่ธนาคารวางไว้คือเป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน มุ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบท” แต่จะปรับวิธีหรือกระบวนการทำงาน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการดูแลเกษตรกรลูกค้าให้สามารถยืนอยู่ได้ อย่างมั่นคง ยั่งยืน ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (New Gen /Smart Farmer / Entrepreneur)) ที่มีทักษะความรู้ ความสามารถด้านเทคโนโลยี การบริหารจัดการด้านการตลาด ให้เข้ามาต่อยอดในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต และสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขณะเดียวกันต้องเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรที่มีภาระหนักด้านหนี้สิน โดยกำหนดให้พนักงานสาขาเข้าไปพบลูกค้าทุกรายเพื่อตรวจสุขภาพหนี้และประเมินศักยภาพ (Loan Review) หากพบว่าลูกค้ายังมีศักยภาพ จะแนะนำให้ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น หรือชำระหนี้ให้สอดคล้องกับที่มาของรายได้ กรณีลูกค้าไม่มีศักยภาพ จะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Loan Management) ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูอาชีพให้กับลูกค้า เพื่อสร้างที่มาแห่งรายได้หรือเพิ่มเติมทุนใหม่ต่อไป ด้านการขับเคลื่อนงานพัฒนาชนบท จะมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน (Community Engagement) ให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ทางเศรษฐกิจ เน้นดูแลรักษาสุขภาพในครัวเรือนและชุมชน การรวมกลุ่มวิเคราะห์ปัญหา สร้างทางเลือกและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด มีการจัดการด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การดำรงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน โดยเน้นความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค การเพิ่มมูลค่าผลผลิต และการบริหารจัดการทางการตลาด เช่น การเชื่อมโยงตลาด Social Commerce การส่งเสริมระบบการตรวจสอบย้อนกลับในสินค้าเกษตรอินทรีย์ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าบนระบบ Blockchain การพัฒนาสินค้าเกษตรสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน การส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร และส่งเสริมกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจกให้กับชุมชนธนาคารต้นไม้ของ ธ.ก.ส. รวมถึงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่เข้าไปสร้างองค์ความรู้ เพื่อต่อยอดผลผลิต สร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการที่ดำเนินการถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ที่จะเข้าไปดูแลและสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรและชุมชนมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีคุณภาพ สร้างการเปลี่ยนแปลงโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคาร (Digital Workplace) การนำ Fin Tech มาใช้ผ่าน Digital Banking เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัย รวดเร็ว สะดวกสบาย ช่วยลดต้นทุนและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น การรับชำระเงินด้วย QR Code ผ่าน Alipay ผ่านแอปพลิเคชั่นร้านน้องหอมจัง ซึ่งเป็นการเชื่อมระบบการชำระเงินกับต่างประเทศ ช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระเงินให้กับลูกค้าโครงการ ATM White Label ระบบเอทีเอ็มกลางที่รับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของทุกธนาคาร ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้บริการตู้เอทีเอ็มระหว่างธนาคารหรือข้ามเขต การสร้างเครือข่ายทางการเงิน (Banking Agent) ร่วมกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ไทย ตู้บุญเติมและตู้เติมสบาย เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการทำธุรกรรมกับ ธ.ก.ส. มากยิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูล (Data Governance) เพื่อรองรับการดำเนินงานและสร้างโอกาสการแข่งขัน การเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการอื่น (open API) และที่สำคัญคือการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความสามารถตรงกับงานที่รับผิดชอบ โดยปรับปรุงกระบวนการทำงาน เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการและให้บริการ พร้อมทั้งลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน นายธนารัตน์กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 2563 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยและทั่วโลกประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือประคับประคองให้ลูกค้าก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน เช่น การพักหนี้ทั้งระบบ จำนวน 3.25 ล้านราย ต้นเงินประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท การเติมวงเงินสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเสริมสภาพคล่อง ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อน กระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน ทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน เช่น เงินกู้ฉุกเฉิน ที่ไม่ต้องใช้หลักประกันวงเงิน 20,000 ล้านบาท สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สินเชื่อเพื่อฤดูการผลิตใหม่ วงเงินรวม 170,000 ล้านบาท จัดทำโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดภาระ ซึ่งทั้ง 2 โครงการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องดอกเบี้ย โดยสามารถคืนเงินเข้าสู่กระเป๋าเกษตรกร กว่า 1.6 ล้านราย วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งมอบเงินและความช่วยเหลือไปยังเกษตรกรและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 เช่น การจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกร 5,000 บาทเป็นระยะเวลา 3 เดือน ผู้พิทักษ์สิทธิ์ เราไม่ทิ้งกัน การจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้ 5 พืชเศรษฐกิจหลัก เป็นต้น จากสถานการณ์ข้างต้น ส่งต่อผลการดำเนินงานในปีบัญชี 2563 ของ ธ.ก.ส. ซึ่งจะครบปีในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งข้อมูลคาดการณ์เบื้องต้น ธ.ก.ส. จะมีสินทรัพย์จำนวน 2,039,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 4.10 เงินให้สินเชื่อจำนวน 1,572,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.90 หนี้สินจำนวน 1,892,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.94 เงินรับฝาก 1,730,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 3.41 ส่วนของเจ้าของ 146,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.19 โดยมีรายได้จำนวน 103,171 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจำนวน 95,987 ล้านบาท กำไรสุทธิจำนวน 7,184 ล้านบาท อัตราส่วน ROA ร้อยละ 0.36 NIM ร้อยละ 3.09 Cost to income 32.25 BIS ratio 11.99 และ NPLs/Loan ratio 3.57 ทั้งนี้ ในปีบัญชี 2564 (1 เมษายน 2564 – 31 มีนาคม 2565) วางเป้าหมายสินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้น 69,000 ล้านบาท เงินฝากเติบโตเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 55 ปี ธ.ก.ส. ยังคงมุ่งมั่นสร้าง Better Life คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชนบท Better Community ชุมชนที่ดีและเข้มแข็งขึ้น และ Better Pride สร้างความภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ติวเข้ม สสจ./ผอ.รพศ./รพท.ทั่วประเทศ พร้อมฉีดวัคซีนโควิด เดือนละกว่า 10 ล้านโดส ภายในปี 2564
วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564 ปลัด สธ. ติวเข้ม สสจ./ผอ.รพศ./รพท.ทั่วประเทศ พร้อมฉีดวัคซีนโควิด เดือนละกว่า 10 ล้านโดส ภายในปี 2564 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติวเข้ม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป พร้อมฉีดวัคซีนโควิด เดือนละมากกว่า 10 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 จัดทำแผนคัดเลือกพื้นที่ที่ต้องได้รับวัคซีนก่อนตามความเสี่ยง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติวเข้ม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป พร้อมฉีดวัคซีนโควิด เดือนละมากกว่า 10 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 จัดทำแผนคัดเลือกพื้นที่ที่ต้องได้รับวัคซีนก่อนตามความเสี่ยง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ สามารถเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย วันนี้ (16 มีนาคม 2564) ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส อ. เมือง จ.เชียงใหม่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขส่วนกลางและส่วนภูมิภาคนอกสถานที่ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ เข้าร่วมการประชุมกว่า 400 คน และกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจและสังคม นำศักยภาพที่มีอยู่มาช่วยพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขมีบทบาทสำคัญในการควบคุมป้องกันโรค ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและประชาชน เกิดการเรียนรู้และเกิดผลงานด้านวิชาการใหม่ๆ ด้านการควบคุมป้องกันโรค เช่น สมุทรสาครโมเดล รพ.สนาม มาตรการ Bubble and seal เป็นต้น ทำให้ได้ข้อมูลว่าหากพื้นที่นั้นมีภูมิคุ้มกันหมู่ร้อยละ 60 ร่วมกับการป้องกันตนเอง จะช่วยลดการแพร่ระบาดได้ นอกจากนี้ยังมีวัคซีนโควิด 19 ที่ต้องมีการวางแผนกระจายวัคซีนระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลมั่นใจและเตรียมวางแผนเปิดประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศสามารถดำเนินการได้ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า การบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 นับเป็นเครื่องมือป้องกันโรคอีกอย่างหนึ่ง ช่วยในการเปิดประเทศได้อย่างมั่นใจ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการจองและสั่งซื้อวัคซีนอย่างเร่งด่วน จาก บ.ซิโนแวค ในระยะที่ 1 จำนวน 2 ล้านโดส กระจายฉีดใน 13 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ระบาดและ5 จังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งในระยะต่อไปจะมีวัคซีนจาก บ.แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 61 ล้านโดส และมีมาเพิ่มอีกจำนวน 5 ล้านโดส จากการสนับสนุน บ.สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด นอกจากนี้ยังมีแผนสั่งซื้อเพิ่ม เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2564 เนื่องจากเป็นการฉีดวัคซีนจำนวนมากครั้งแรกของประเทศ จึงต้องมีการซักซ้อม วางแผน เพื่อให้การให้บริการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด จัดทำแผนการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมาย “การฉีดวัคซีนครั้งนี้ เป็นการฉีดครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศที่เคยมีมา ตั้งเป้าฉีดเข็มแรกให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน เฉลี่ยเดือนละมากกว่า 10 ล้านโดส ในโรงพยาบาลกว่า 1,000 แห่ง ทุกโรงพยาบาลต้องทำแผนคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ตามความเสี่ยง เช่น จังหวัดท่องเที่ยว พื้นที่ชายแดน พื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อมีผลในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว *********************************** 16 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40023
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รวมใจต้านภัยแล้ง พร้อมสนับสนุนน้ำประปาช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศจนกว่าภัยแล้งจะคลี่คลาย
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 กรมทางหลวง รวมใจต้านภัยแล้ง พร้อมสนับสนุนน้ำประปาช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศจนกว่าภัยแล้งจะคลี่คลาย กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ร่วมมือกับการประปาส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการ "กรมทางหลวง - การประปาส่วนภูมิภาค รวมใจต้านภัยแล้ง" ประจำปี 2564 สนับสนุนน้ำประปาฟรีจัดส่งโดยรถบรรทุกน้ำของ ทล. เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้หลายพื้นที่ทั่วประเทศประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง โดยขณะนี้ประชาชนในหลายจังหวัดทั่วทุกภาคเริ่มได้รับผลกระทบเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำ กรมทางหลวง (ทล.) ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนในความจำเป็นที่ต้องใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคใช้ชีวิตประจำวัน จึงได้ร่วมมือกับการประปาส่วนภูมิภาค จัดโครงการกรมทางหลวง - การประปาส่วนภูมิภาค รวมใจต้านภัยแล้ง ประจำปี 2564 ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 16 ของโครงการดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากการประปาส่วนภูมิภาคให้การสนับสนุนน้ำประปาและจัดส่งโดยรถบรรทุกน้ำของ ทล. เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวัน จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะคลี่คลาย โดยหน่วยในสังกัด ทล. ประกอบด้วยสำนักงานทางหลวง 18 แห่ง แขวงทางหลวง 104 แห่ง และหมวดทางหลวง 581 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศที่มีความพร้อมทั้ง ด้านบุคลากร เครื่องจักร ยานพาหนะ และวัสดุอุปกรณ์ในการช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมในการร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ภัยแล้ง ประชาชนหรือหน่วยงานใดประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงทั่วประเทศ และสามารถขอความช่วยเหลือหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ฝากอสม.เนื่องในวัน อสม. แห่งชาติ เป็นกระบอกเสียงชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงรับการฉีดวัคซีนโควิด 19
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 อนุทิน ฝากอสม.เนื่องในวัน อสม. แห่งชาติ เป็นกระบอกเสียงชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กำลังใจ อสม. เขตสุขภาพที่ 10 เนื่องในวัน อสม.แห่งชาติ ฝากเป็นกระบอกเสียงเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ครอบคลุม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความรุนแรงขอ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กำลังใจ อสม. เขตสุขภาพที่ 10เนื่องในวัน อสม.แห่งชาติ ฝากเป็นกระบอกเสียงเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19ให้ครอบคลุม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต เน้นย้ำให้กระตุ้นเตือนทุกคนการ์ดอย่าตกพร้อมบอกต่อคนในชุมชนสร้างรายได้จากการปลูกกัญชาถูกกฎหมาย วันนี้ (20 มีนาคม 2564) ที่ จ.ศรีสะเกษ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เขตสุขภาพที่ 10เนื่องในวัน อสม.แห่งชาติ โดยนายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดให้ วันที่ 20 มีนาคมของทุกปีเป็นวัน อสม.แห่งชาติ เพื่อเชิดชูเกียรติ อสม.กว่า 1 ล้าน 5 หมื่นคน ทั่วประเทศ ที่เป็นจิตอาสาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เป็นกำลังสำคัญในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นประชาชนในชุมชนโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิดอสม. ได้ออกเคาะประตูบ้านติดตามเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง ทำให้การป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่มีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของโรคโควิด 19 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น รัฐบาลยังคงมีนโยบายสนับสนุน อสม. ต่อเนื่อง โดยจัดหาค่าเสี่ยงภัยเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับ อสม. ที่ทุ่มเทเสียสละทำงานให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทย ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ประชาชนกลุ่มเสี่ยงและจะมีวัคซีนทยอยเข้ามาเพิ่มเป็นระยะอีกรวม 61 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชาชนภายในปีนี้ จึงได้มอบให้ อสม. ช่วยเป็นกระบอกเสียงเชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกคนในพื้นที่มารับฉีดวัคซีนตามความสมัครใจ ติดตามอาการหลังฉีดวัคซีน และติดตามการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนด เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิต ลดเวลาการป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่สำคัญจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน และย้ำเตือนประชาชนให้ป้องกันตนเองการ์ดไม่ตกเพราะแม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแล้ว ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ แต่ความรุนแรงของโรคจะลดลง จึงยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ชุมชน สถานที่เสี่ยงต่างๆเพื่อป้องกันการรับเชื้อและแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว และลดการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน ส่วนสิ่งที่ขอให้อสม.ยังคงทำต่อเนื่องโดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ การเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในพื้นที่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากกลุ่มนี้ไม่ได้ผ่านการคัดกรองกักกันโรคตามระบบ อาจนำเชื้อโควิด 19 มาแพร่ให้กับคนในชุมชนได้ หากพบขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการขับเคลื่อนนโยบายกัญชา6 ต้นต่อครัวเรือน กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชาทางการแพทย์ และนำส่วนอื่นๆเช่น ใบ กิ่งก้าน ราก ไปใช้ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้โดยต้องศึกษาข้อมูลและดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ อสม. ช่วยบอกต่อผู้ที่มีความต้องการปลูกกัญชาเสริมสร้างรายได้ ให้รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อขอรับการปลูกและนำส่วนประกอบต่างๆขายให้กับโรงพยาบาลที่ได้ทำสัญญาร่วมกันเพื่อผลิตเป็นยา หรือขายให้กับภาคอุตสาหกรรม หรือนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหาร เครื่องสำอาง ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ช่วยเพิ่มทางเลือกในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประเทศ ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 10 ครอบคลุม5 จังหวัดได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษยโสธร อำนาจเจริญและมุกดาหาร มีพื้นที่ปลูกกัญชาแล้วในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 26 แห่ง โครงการกัญชา 6 ต้น ต่อครัวเรือน อำเภอละ 1 แห่งรวมทั้งสิ้น 70 แห่ง โดยส่งให้กับโรงงานผลิตมาตรฐาน WHO- GMP ของโรงพยาบาลพนา จ.อำนาจเจริญ และรพ.สต.ผลิตเป็นยาปรุงตำรับแพทย์แผนไทย ซึ่งส่วนที่เป็นยาเสพติด ได้แก่ ช่อดอก ได้นำไปผลิตเป็นสารสกัดกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน, สูตรน้ำมันกัญชา (อ.เดชา), ยาตำรับแพทย์แผนไทย 11 ตำรับ ส่วนที่ไม่ใช่ยาเสพติด ต้น ใบ ก้าน ราก นำไปผลิตเป็นยาตำรับแพทย์แผนไทย 5 ตำรับ, แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.-มธ. เสริมแกร่งงานวิชาการ ร่วมกันเปิดหลักสูตรด้านการเงิน การบริหารการเงิน และการจัดการทางธุรกิจ ให้แก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไป
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 บสย.-มธ. เสริมแกร่งงานวิชาการ ร่วมกันเปิดหลักสูตรด้านการเงิน การบริหารการเงิน และการจัดการทางธุรกิจ ให้แก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไป บสย.-มธ. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ผนึกความเข้มแข็งระหว่างสถาบันการศึกษา กับ บสย. ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ บสย.-มธ. เสริมแกร่งงานวิชาการ ร่วมกันเปิดหลักสูตรด้านการเงิน การบริหารการเงิน และการจัดการทางธุรกิจ ให้แก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ผนึกความเข้มแข็งระหว่างสถาบันการศึกษา กับ บสย. ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อร่วมกันสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่า และเป็นการใช้จุดแข็งของทั้งสองสถาบันโดยคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ถือเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ และผลิตนักศึกษา ซึ่งจะเป็นบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ในขณะที่ บสย. เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน หรือหลักประกันไม่เพียงพอ ให้ได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ ความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน ในการเสริมสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้แก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไป คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และ บสย. จึงร่วมกันออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาของ บสย. และพันธมิตร โดยมุ่งมั่นให้เกิดการผลิตผลงานวิชาการที่ตอบโจทย์ธุรกิจ รวมทั้งสร้างเสริมประสบการณ์จริงทางธุรกิจให้แก่นักศึกษาผ่านการฝึกงาน การดูงาน ที่ บสย. และผู้ประกอบการ SMEs อีกทั้งยังร่วมสนับสนุนให้นักศึกษาทำโครงการวิชาการส่งเสริมธุรกิจ เพื่อสร้างอาชีพให้แก่ตนเองเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน โดยคาดว่าจะสามารถเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 นี้เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ออกมาตรการ “พักชำระเงินต้น ส่งดอกเบี้ยตามกำลัง” ช่วยเหลือลูกหนี้เดือดร้อนผ่อนไม่ไหว ก่อนกลายเป็น NPLs
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ออมสิน ออกมาตรการ “พักชำระเงินต้น ส่งดอกเบี้ยตามกำลัง” ช่วยเหลือลูกหนี้เดือดร้อนผ่อนไม่ไหว ก่อนกลายเป็น NPLs จากการติดตามตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าขณะนี้มีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนและเริ่มประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากการติดตามตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าขณะนี้มีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนและเริ่มประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและประคับประคองไม่ให้ลูกหนี้ต้องเสียประวัติกลายเป็นหนี้ NPLs ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการขอสินเชื่อหรือทำธุรกรรมทางการเงินอื่นอีกในอนาคต ธนาคารออมสินจึงประชาสัมพันธ์แจ้งให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ติดต่อธนาคารเพื่อหาแนวทางแก้ไขหนี้ร่วมกันตามมาตรการช่วยเหลือเป็นรายบุคคล มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้ ให้สิทธิเฉพาะสินเชื่อบางประเภท ได้แก่ สินเชื่อเคหะ สินเชื่อไทรทอง สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา สินเชื่อสวัสดิการ และสินเชื่อธนาคารประชาชน โดยลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน และสถานะบัญชียังไม่เป็น NPLs สามารถเลือกเมนูบนแอปพลิเคชัน MyMo เพื่อเข้าร่วมมาตรการได้อัตโนมัติ ธนาคารได้พิจารณาแผนชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายตามความเหมาะสมสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นรายบุคคล ให้ลูกหนี้ได้พักชำระเงินต้น และจ่ายดอกเบี้ยเต็มจำนวนหรือจ่ายบางส่วน ภายในกำหนดระยะเวลาของแต่ละแผนชำระหนี้ที่ธนาคารอนุมัติให้ กรณีที่ลูกหนี้ไม่สะดวกกดใช้สิทธิ์อัตโนมัติผ่าน MyMo สามารถไปติดต่อดำเนินการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่เริ่มประสบปัญหาค้างชำระและจำเป็นต้องแก้ไขหนี้ก่อนเสียประวัติ กลายเป็น NPLs สามารถเลือกเข้ามาตรการช่วยเหลือได้ตั้งแต่บัดนี้ – 30 มิถุนายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา และที่ Call Center โทร. 1115
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนประชาชนร่วมงาน Bangkok Job Fair 2021
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ชวนประชาชนร่วมงาน Bangkok Job Fair 2021 วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงาน Bangkok Job Fair 2021 ระหว่างวันที่ 26 – 27 มี.ค.นี้ ที่ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ โดยมีตำแหน่งงานว่างซึ่งสมัครและสัมภาษณ์ได้ภายในงานกว่า 5,000 อัตรา จากสถานประกอบการชั้นนำกว่า 40 บริษัท เช่น บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด มหาชน บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จำกัด บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสาธิตประกอบอาชีพอิสระ 20 อาชีพ เช่น การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น สายคล้องหน้ากากอนามัย การทำอาหารและขนม ธุรกิจแฟรนไชส์แบบ Food Truck บริการหางานสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของแรงงาน เช่น การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ขานรับนโยบาย“BCG Model”ตั้งคณะกก.ขับเคลื่อนฯ ล็อค 4 เป้าหมาย สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน!
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ก.อุตฯ ขานรับนโยบาย“BCG Model”ตั้งคณะกก.ขับเคลื่อนฯ ล็อค 4 เป้าหมาย สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน! กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบาย BCG โมเดลของรัฐบาล ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ผลักดัน การพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่สู่ภาคอุตสาหกรรม ล็อค 4 เป้าหมาย สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนภาคอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบาย BCG โมเดลของรัฐบาล ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ผลักดัน การพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่สู่ภาคอุตสาหกรรม ล็อค 4 เป้าหมาย สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนภาคอุตสาหกรรม ตอบโจทย์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ในองค์กรและเกิดประโยชน์สูงสุด! นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัญหา สำคัญระดับโลกที่นานาประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ และนำมาเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่าเป็นสาเหตุหนึ่งในการทำลายสิ่งแวดล้อม กระทรวงฯ จึงได้นำนโยบายการพัฒนา BCG Model ของรัฐบาลมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถ ในการแข่งขัน กับลดของเสียโดยจัดการทรัพยากรภายในสถานประกอบการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และเพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเกิดประสิทธิผล กระทรวงฯ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดแนวทางและบูรณาการการจัดทำแผนงานโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยการขับเคลื่อนนโยบาย BCG โมเดล ของกระทรวงฯ มุ่งเน้นไปที่ 4 เป้าหมายหลัก คือ 1. สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เน้นเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างโมเดลธุรกิจและผู้ประกอบการใหม่ 2. สร้างความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้ ทรัพยากร และพลังงาน ลดของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อม 3. สร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรม ตามนโยบายตลาดและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรมไทย และ 4. ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนฯ ทั้งการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมที่นำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การดำเนินการจัดการซากรถยนต์ การนำร่องโครงการพัฒนาสถานประกอบการตามกรอบแนวคิด BCG ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค กับเอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคล ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และเอสเอ็มอีที่มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯในอนาคต รวมทั้งได้มีการสำรวจข้อมูลความต้องการในการพัฒนาทางด้าน Bio Economy Circular Economyและ Green Economy ของสถานประกอบการผ่านทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เพื่อให้รับทราบถึงความต้องการที่แท้จริง” นายกอบชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการดำเนินการโครงการสำคัญๆ ที่ตอบสนองนโยบาย BCG โมเดลของรัฐบาล อาทิ การประกาศรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ การรับรองผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแก่ผู้ประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม) การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ จังหวัดชลบุรี (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา จังหวัดสงขลา (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) การจัดทำมาตรฐานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน มาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ การออกมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ 21 เรื่อง (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) ศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลและ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจร การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)/ โครงการนำร่องโซล่าเซลล์ ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม)/ การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) เพื่อสนับสนุนนโยบาย BCG ของรัฐบาล (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) และการยกระดับอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) เป็นต้น ทั้งนี้ “BCG Model เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ที่เร่งให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างทั่วถึงบนฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมการเติบโตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกภาคส่วน ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์คือ เกษตรและอาหาร /สุขภาพและการแพทย์ /พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ /การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน โดยมีการคาดการณ์ โมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้ง 4 สาขา ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าเป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปี ข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับทุกภูมิภาคของประเทศ” นายกอบชัย กล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564 อย.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ยืนยันขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทใดหรือเกษตรกรรายใด ยื่นเอกสารขออนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชง เพื่อมาปลูกและขาย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ยืนยันขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทใดหรือเกษตรกรรายใด ยื่นเอกสารขออนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชง เพื่อมาปลูกและขาย หากมีข้อสงสัยศึกษาเพิ่มเติมที่เว็บไซต์www.fda.moph.go.th/Pages/HomeP_D2.aspx กด กัญชง นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงว่าจากที่มีกระแสตื่นตัวการปลูกกัญชงอย่างกว้างขวาง คณะกรรมการอาหารและยามีความห่วงใยเกษตรกรที่ให้ความสนใจจะปลูกกัญชงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดหรือเกษตรกรรายใด ยื่นเอกสารขออนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงเพื่อมาปลูกและขาย แต่มีการไปรวบรวมเกษตรกรที่ต้องการปลูกกัญชง แล้วทำเป็นเครือข่ายเกษตรกรปลูกกัญชงในหลายจังหวัด “การประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์​ที่ผ่านมา เป็นเพียงการอนุญาตให้บริษัท จำนวน 7 บริษัท เป็นผู้มีคุณสมบัตินำเข้าเมล็ดพันธุ์ แต่ยังไม่มีใครได้รับอนุญาตให้นำเข้า เนื่องจากการนำเข้าในแต่ละครั้ง ต้องได้รับใบอนุญาตทุกครั้งที่นำเข้าด้วย และยังไม่มีบริษัทได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชง เนื่องจากการขออนุญาตปลูกกัญชง จะต้องแจ้งที่มาของแหล่งเมล็ดพันธุ์ สายพันธุ์และจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่จะปลูก รวมถึงเมื่อเก็บผลผลิตได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปลูกเพื่อเก็บเมล็ดสกัดน้ำมัน หรือปลูกเพื่อเก็บช่อดอกไปสกัดสารสำคัญ จะนำส่งให้โรงงานใดเป็นผู้รับซื้อ ต้องแจ้งให้ครบถ้วน” นพ.ไพศาลกล่าว นพ.ไพศาล กล่าวต่อว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้ อย. อำนวยความสะดวกผู้ขอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกรขออนุญาตปลูก ตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม ที่จะนำผลผลิตจากกัญชงไปผลิตสินค้าต่างๆ เพื่อให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่ต้องมีการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน ซึ่ง อย. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน และแนะนำขั้นตอนการขออนุญาตแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ จึงขอให้ผู้ที่สนใจจะปลูกกัญชง และทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับกัญชง ติดต่อขออนุญาตด้วยตนเอง และขอเตือนเกษตรกร ประชาชน ระวังถูกหลอกลวงจากผู้แอบอ้างว่าได้รับอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์ ได้รับอนุญาตปลูก ให้เข้าร่วมเครือข่าย โดยต้องจ่ายเงินค่าเข้าร่วมเครือข่าย ทั้งนี้ การปลูกกัญชง เกษตรกรที่จะปลูกต้องขออนุญาตด้วยตนเองเป็นรายบุคคล ไม่สามารถใช้ใบอนุญาตเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่าย หรือนำใบอนุญาตของบุคคลอื่นมาสวมได้ เพราะจะต้องระบุพื้นที่ปลูกชัดเจน เปลี่ยนพื้นที่ปลูกไม่ได้ และต้องปลูกตามระยะเวลาที่ขออนุญาต รวมไปถึงผู้ประกอบการผลิตสินค้าต่างๆ ที่ต้องการใช้สารสกัดจากกัญชงเป็นส่วนผสมในอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และยา ก็ขอให้พิจารณาให้ดี เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีโรงงานใดได้รับอนุญาตให้สกัดสารสำคัญ กระแสข่าวที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างกระแสเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจอื่นๆ มากกว่าการสร้างธุรกิจที่เกี่ยวกับกัญชง ซึ่ง อย.ในฐานะหน่วยงานที่ต้องพิจารณาออกใบอนุญาตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตามที่กฎหมายกำหนด จึงขอเตือนให้ประชาชนและผู้ประกอบการ พิจารณาให้ดี หากไม่แน่ใจ ขอให้สอบถามได้ที่ อย.หรือที่เว็บไซต์www.fda.moph.go.th/Pages/HomeP_D2.aspx กด กัญชง รวมทั้งขอให้ผู้ที่สนใจปลูกและประกอบธุรกิจรีบเสนอขออนุญาต พร้อมเสนอแผนการผลิตที่เหมาะสมเข้ามาด้วย เพื่อที่คณะกรรมการจะได้พิจารณาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ อย.ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ โดยกรมวิชาการเกษตร อยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลทางวิชาการการปลูกกัญชงเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ในประเทศไทยเป็นการศึกษาวิจัยพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่และอากาศของประเทศไทย รูปแบบการปลูกที่เหมาะสม รวมทั้งอาจจัดทำโซนนิ่งการปลูกกัญชง ในประเทศไทย เพราะสภาพภูมิอากาศในบางพื้นที่ อาจจะเหมาะกับบางสายพันธุ์ และไม่เหมาะกับบางสายพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมกันนี้ กรมวิชาการเกษตรจะพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะกับประเทศไทยและจัดทำต้นกล้าจำหน่ายให้แก่เกษตรกร ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการปลูกกัญชงให้แก่เกษตรกร ให้ได้ผลผลิตที่โรงงานต้องการในราคาที่เหมาะสม **************************************** 18 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-8 มี.ค. วันสตรีสากล “ผู้หญิง คือ พลังขับเคลื่อนประเทศ”
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 8 มี.ค. วันสตรีสากล “ผู้หญิง คือ พลังขับเคลื่อนประเทศ” ... วันที่ 8 มี.ค. ของทุกปี เป็นวันสตรีสากล ซึ่งปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของผู้หญิงว่า เป็นผู้มีความสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในทุกด้าน หากจะเปรียบเป็นช้างก็เสมือนช้างเท้าหน้าข้างหนึ่งที่ก้าวไปข้างหน้าคู่กับผู้ชายซึ่งเป็นเท้าอีกข้างหนึ่ง . จึงอยากให้ทุกคนและทุกองค์กรตระหนักในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ส่งเสริมให้ผู้หญิงได้แสดงศักยภาพทั้งเรื่องการดูแลครอบครัวและการทำงาน รวมถึงแก้ทัศนคติของคนในสังคมที่มักมองว่าหญิงด้อยกว่าชาย . โดยรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว จึงได้กำหนด “ยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี” พร้อมบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อ 1.ให้คนไทยทุกคนมีความคิดที่ถูกต้องเรื่องความเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย ทุกเพศมีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน 2.พัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม ยุติธรรม และปราศจากการเลือกปฏิบัติ 3.ส่งเสริมผู้หญิงเข้ามีบทบาททางการเมือง มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายระดับต่าง ๆ 4.เร่งพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสตรีในทุกกลุ่มทุกวัย . ให้ผู้หญิงทุกคนใช้พลังและศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ เพื่อให้ “ทุก ๆ วันเป็นวันของผู้หญิง” #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อแนะนำสำหรับอากาศยานทำการบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารถ่ายลำหรือเปลี่ยนลำ (Transit/Transfer Flight) (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป)
วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ข้อแนะนำสำหรับอากาศยานทำการบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารถ่ายลำหรือเปลี่ยนลำ (Transit/Transfer Flight) (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป) ตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย (ฉบับที่ 5) สำหรับอากาศยานทำการบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารถ่ายลำหรือเปลี่ยนลำ (Transit/Transfer Flight) ตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย (ฉบับที่ 5) สำหรับอากาศยานทำการบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารถ่ายลำหรือเปลี่ยนลำ (Transit/Transfer Flight) โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19 ) (ศบค.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 โดยให้ยึดถือแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1.อนุญาตให้อากาศยานทำการบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารถ่ายลำหรือเปลี่ยนลำ (Transit/Transfer Flight) ได้เฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.ผู้โดยสารต้นทางจะต้องมีเอกสาร ใบรับรองแพทย์ (Fit to Fly Health Certificate), ใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันว่าไม่มีเชื้อโควิด - 19 (Medical certificate with a laboratory result indicating that COVID - 19 is not detected) โดยวิธี RT-PCR และกรมธรรม์ประกันภัย (Insurance) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาล รวมทั้งกรณีโรคโควิด - 19 ในระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร 100,000 USD 3.กำหนด Sealed route โดยจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงท่าอากาศยานไม่ให้ออกนอกพื้นที่ที่กำหนดบริเวณ Concourse E ดังนี้ ก.ให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องเข้า Gate E10 ผ่านกระบวนการตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัย และขึ้นเครื่องที่ Gate E9 หรือขึ้นรถบัสไปหลุมจอดระยะไกล (Remote Parking Stand) โดยไม่ให้ปะปนกับผู้โดยสารอื่น ข.กรณีเที่ยวบินมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น Gate E5, E7 และ E8 จะเปิดให้บริการเพิ่มเติม และให้ดำเนินการเช่นเดียวกับ ก. ค.กรณีที่เที่ยวบินเกิดปัญหาทางเทคนิคและต้องลงจอด ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับ ก. หรือ ข. ในกรณีที่ Concourse E อยู่ในระหว่างการซ่อมแซมปรับพื้นผิวลานจอดอากาศยาน ให้ใช้ Concourse F โดยดำเนินการ ดังนี้ ก.ให้ผู้โดยสารลงจากเครื่อง เข้า Gate F6 ผ่านกระบวนการตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัย และขึ้นเครื่องที่ Gate F5 หรือขึ้นรถบัสไปหลุมจอดระยะไกล (Remote Parking Stand) โดยไม่ให้ปะปนกับผู้โดยสารอื่น ข.กรณีเที่ยวบินมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น Gate F1, F2, F3 และ F4 จะเปิดให้บริการเพิ่มเติม และให้ดำเนินการเช่นเดียวกับ ก. ค.กรณีที่เที่ยวบินเกิดปัญหาทางเทคนิคและต้องลงจอด ให้ดำเนินการเช่นเดียวกับ ก. หรือ ข. 4.การรอในพื้นที่ Transit/Transfer ต้องจัดระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร และเน้นย้ำให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมถึงจัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 70% 5.เจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ Transit/Transfer จะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ทุกครั้ง 6.มีจุดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่รอ Transit/Transfer ที่จัดไว้เป็นสัดส่วน และมีการจัดการดูแลความเรียบร้อยในช่วงระยะเวลาการใช้บริการ 7.มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) พื้นที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 8.กำหนดเวลา Transit/Transfer ไม่เกิน 12 ชม. ทั้งนี้ หากเกิน 12 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลใด ๆ เจ้าหน้าที่สายการบินต้องนำผู้โดยสารออกจาก Gate E9 โดยทางรถบัส ไปพักคอยที่ Gate D3 และ D4 9.ไม่มีการตรวจคัดกรองและไม่มีบริการการตรวจแล็ป COVID-19 ทางห้องปฏิบัติการ ณ จุด Transit/Transferที่ท่าอากาศยาน 10.กรณีตรวจพบผู้โดยสารมีอาการหรือมีไข้ ให้สายการบินที่รับขนผู้โดยสารเข้ามาเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ 11.หลีกเลี่ยงประเทศต้นทางที่มีความเสี่ยงสูงในการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 12.ผู้ดำเนินการเดินอากาศต้องจัดส่งแผนการทำการบิน Transit/Transfer มายังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และศูนย์ควบคุมปฏิบัติการเขตการบิน (AOCC) ทสภ. ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ก่อนทำการบิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเวที TRIS Annual Forum ภายใต้แนวคิด "Maturity in Privacy" กระตุ้นทุกภาคส่วน เตรียมพร้อมก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย.64
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมเวที TRIS Annual Forum ภายใต้แนวคิด "Maturity in Privacy" กระตุ้นทุกภาคส่วน เตรียมพร้อมก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย.64 ดีอีเอส ร่วมเวที TRIS Annual Forum ภายใต้แนวคิด "Maturity in Privacy" กระตุ้นทุกภาคส่วน เตรียมพร้อมก่อน พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย.64 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนาประจำปี 2564 TRIS Annual Forum ภายใต้แนวคิด "Maturity in Privacy" จัดโดย ทริส คอร์ปอเรชั่น เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ และสร้างความตระหนัก เกี่ยวกับธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act (PDPA) Compliance) ให้กับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อม เพื่อทำความเข้าใจและค้นหาคำตอบเกี่ยวกับ Data Governance, Data Privacy และการปฏิบัติตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้ พัฒนาการบริหารจัดการข้อมูล สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับองค์กร ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชน และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องบอลลูม 2-3 ชั้น 4 Conrad Bangkok Hotel ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่เมืองหริภุญชัย ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน ชื่นชมเป็นจังหวัดสะอาดต่อเนื่องและต่อยอดสู่จังหวัดสวยงาม
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 มท.1 ลงพื้นที่เมืองหริภุญชัย ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน ชื่นชมเป็นจังหวัดสะอาดต่อเนื่องและต่อยอดสู่จังหวัดสวยงาม มท.1 ลงพื้นที่เมืองหริภุญชัย ติดตามการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน ชื่นชมเป็นจังหวัดสะอาดต่อเนื่องและต่อยอดสู่จังหวัดสวยงาม วันนี้ (11 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมจามเทวี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดลำพูน อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 15 นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ผู้บริหารส่วนกลาง และผู้ตรวจราชการกรม ร่วมประชุม โดยมี นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน ร่วมประชุม นายวรยุทธ เนาวรัตน์ กล่าวว่า จังหวัดลำพูน มีประเด็นปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วน ซึ่งได้ขับเคลื่อนผ่านการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน จำนวน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) การบริหารจัดการน้ำเพื่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำจังหวัดลำพูน โดยสถานการณ์น้ำในภาคอุปโภคบริโภคและการเกษตร จังหวัดลำพูนมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน 4 สาย มีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 4 แห่ง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 11.08 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 31.57 ของความจุ กำหนดแผนการจัดสรรน้ำในฤดูแล้งเพื่อการเกษตรจำนวน 12.14 ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 0.500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีความเพียงพอต่อความต้องการของทุกภาคส่วน และได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้เกษตรกรงดปลูกข้าวนาปรังและลำไยนอกฤดู นอกจากนี้ ได้ดำเนินการตามประเด็นข้อสั่งการในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 63 ทั้งการแก้ปัญหาน้ำในภาคอุปโภคบริโภคและการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ในด้านการบริหารจัดการและการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำจังหวัดลำพูน ได้แบ่งการดำเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคด้วยการซ่อมแซมฝายพญาอุและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมในช่วงฤดูแล้ง ระยะกลาง ด้วยการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งแม่น้ำทา และระยะยาว ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำประปาที่สถานีเขื่อนแม่กวง นอกจากนี้ จังหวัดลำพูนได้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำชุมชนสู่ความยั่งยืนผ่านโครงการสร้างฝายพัชรธรรม ฟื้นฟู จิตวิญญาณลุ่มน้ำกวง ถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยปัจจุบันได้มีการก่อสร้างฝายแห่งที่ 1 ณ บ้านศรีบุญชูวังไฮ หมู่ 7 ต.เวียงยอง อ.เมืองลำพูน โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ และอยู่ระหว่างการต่อยอดขยายผลโครงการ 2) การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัดลำพูน สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และจำนวนจุดความร้อนฝุ่นละออง PM 2.5 เดือนม.ค. - มี.ค. 64 ที่ผ่านมา โดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีมากถึงพอใช้ ในช่วงเดือน ม.ค. - กลางเดือน ก.พ. และอยู่ในเกณฑ์เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม) ในช่วงปลายเดือน ก.พ. ถึงปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนวันที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน จำนวน 18 วัน ค่าเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 28 วัน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มี.ค. 64) สถานการณ์ไฟป่า (จุดความร้อน) จำนวน 2,191 จุด เป้าหมายไม่เกิน 2,544 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค. 64) ซึ่งจังหวัดได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน โดยบูรณาการจากทุกภาคส่วน และกำหนดมาตรการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ตำบลก้อ ภายใต้รูปแบบ "บ้านก้อแซนด์บ็อกซ์โมเดล" และกำหนดแผนปฏิบัติการในการลงพื้นที่ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินและสอบสวนพิสูจน์สิทธิในที่ดินเพื่อเร่งรัดในการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตำบลก้อ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามแนวทางขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการติดตามการดำเนินงานของทุกส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดลำพูน ทั้งแผนงานโครงการตามยุทธศาสตร์จังหวัด และแผนระดับต่าง ๆ รวมทั้งเป็นการติดตามว่ากระบวนงานตามแผนงานมีข้อติดขัดสิ่งใด และต้องการขอรับการสนับสนุนด้านใดเพิ่มเติม และเป็นการมารับฟังสภาพปัญหาที่ได้รับการสะท้อนจากในพื้นที่เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งในวันนี้ได้เห็นถึงความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาจำเป็นเร่งด่วนของจังหวัด คือ การบริหารจัดการน้ำ และการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จึงขอให้ดำเนินการตามแผนที่ได้กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จุดแข็งของจังหวัดลำพูนที่เป็นแบบอย่าง คือ การได้รับรางวัล "จังหวัดสะอาด" อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ซึ่งถือเป็นตัวอย่างให้กับจังหวัดอื่น ๆ และเพื่อเป็นการต่อยอดจากการเป็นจังหวัดสะอาดแล้ว ขอให้จังหวัดลำพูนได้พัฒนาพื้นที่จังหวัดให้มีความสวยงามควบคู่ไปด้วย ให้พื้นที่มีหมู่บ้านที่สวยงาม มีแหล่งน้ำสะอาดคู่กับบริเวณที่สวยงาม เพื่อจะเกิดประโยชน์กับประชาชน รวมถึงจะเห็นได้ว่า จังหวัดลำพูนได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เช่น โครงการโคก หนอง นา โมเดล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ "ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" และการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เป็นต้น ที่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม และขอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ดำเนินการให้เป็นไปตามประเด็นความต้องการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​'วราวุธ'​ รมว.ทส.​ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ​ "พัทลุงมุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน" พร้อมมอบหนังสืออนุญาต​ คทช.​ หนังสือแสดงป่าชุมชน​ และเงินอุดหนุนให้เครือข่ายป่าชุมชน​ฯ
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ​'วราวุธ'​ รมว.ทส.​ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ​ "พัทลุงมุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน" พร้อมมอบหนังสืออนุญาต​ คทช.​ หนังสือแสดงป่าชุมชน​ และเงินอุดหนุนให้เครือข่ายป่าชุมชน​ฯ ​'วราวุธ'​ รมว.ทส.​ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ​ "พัทลุงมุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน" พร้อมมอบหนังสืออนุญาต​ คทช.​ หนังสือแสดงป่าชุมชน​ และเงินอุดหนุนให้เครือข่ายป่าชุมชน​ฯ 'วราวุธ'​ รมว.ทส.​ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ​ "พัทลุงมุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน" พร้อมมอบหนังสืออนุญาต​ คทช.​ หนังสือแสดงป่าชุมชน​ และเงินอุดหนุนให้เครือข่ายป่าชุมชน​ฯ วันนี้​ (5​ มีนาคม​ 2564) เวลา​ 14.30 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​​ (รมว.ทส.)​ เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ​ "พัทลุงมุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน" เพื่อ​ส่งเสริมผลักดันให้เกษตรกรผลิตโดยหลีกเลี่ยง​ หรือลด​ ละ​ เลิก​ การใช้สารเคมี​ และการหยุดเผาป่า​โดยสิ้นเชิง รวมทั้ง​ ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​​ "ใช้ชีวิตวิถีใหม่​ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" พร้อมได้มอบหนังสืออนุญาต​ คทช.​ หนังสือแสดงป่าชุมชน​ และเงินอุดหนุนให้เครือข่ายป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง​ โดยมี​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ คณะผู้บริหาร​ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด​ที่เกี่ยวข้อง​ นายกู้เกียรติ​ วงศ์กระพันธุ์​ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง​ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ และภาคีเครือข่ายในจังหวัดพัทลุง​ เข้าร่วมพิธีฯ​ ณ​ ห้องประชุมศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าทะเลน้อย รมว.ทส.​ กล่าวว่า​ ขอเป็นกำลังใจและขอบคุณ​ทุกภาคส่วนที่รวมใจกันเป็นหนึ่งที่จะทำให้พัทลุงมุ่งสู่การเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน​ รวมทั้ง​ ได้ร่วมกันดูแล​ อนุรักษ์​ และรักษาพื้นที่แห่งนี้​ให้คงความอุดมสมบูรณ์​ เพราะสิ่งที่เราทำในวันนี้​เป็นการทำเพื่อลูกหลานของเราในอนาคตข้างหน้า​ ให้พวกเขาได้เห็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์และยั่งยืนสืบต่อไป​ ทั้งนี้​ การมอบหนังสืออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามโครงการ คทช. หนังสือแสดงป่าชุมชน และเงินอุดหนุนฯ ประกอบด้วย 1. การมอบหนังสืออนุญาตการใช้พื้นที่ป่าสงวน ตามโครงการ คทช. จำนวน 3 พื้นที่ เนื้อที่รวม 968-0-90 ไร่ ได้แก่​ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าควนเสาธง ป่าควนนายสุก และป่าควนนายหวัด เนื้อที่ 730-0-80 ไร่ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาหวัง ป่าเขาคับ ป่าเขาเขียว และป่าเขายาโง้ง เนื้อที่ 102-3-38 ไร่​ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าควนโคกยา ป่าควนโต๊ะดน และป่าควนนุ้ย เนื้อที่ 135-0-72 ไร่ 2. การมอบหนังสือแสดงป่าชุมชน จำนวน​ 5 หมู่บ้าน ได้แก่ ป่าชุมชนบ้านเขาอ้อ ป่าชุมชนบ้านนาสวน​ ป่าชุมชนบ้านเขากลาง​ ป่าชุมชนบ้านเขาวังทอง และป่าชุมชนปากสระ 3. มอบเงินอุดหนุน (เงินกู้) โครงการสร้างเศรษฐกิจชุมชน จำนวน 4 ป่าชุมชน ได้แก่​ ป่าชุมชนบ้านนาบอน​ ป่าชุมชนบ้านป่าพาศ์ ป่าชุมชนบ้านป่าแก่ออก​ และป่าชุมชนบ้านเขาวังทอง นอกจากนี้​ รมว.ทส.​ และคณะผู้บริหาร​ ยังได้เยี่ยมชมภายในบริเวณศูนย์การเรียนรู้ฯ​ และหอคอยจุดชมวิวทะเลน้อย​ ในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39723
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - ปากีสถาน ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศร่วมกัน
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ไทย - ปากีสถาน ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศร่วมกัน ไทย - ปากีสถาน ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศร่วมกัน ไทย - ปากีสถาน ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศร่วมกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ​ 5 มี.ค.64, 1400 ​ ​ พล.อ.ณัฐ​ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ให้การต้อนรับ​การเข้าเยี่ยมคำนับของ นาย​ อะศิม​ อิฟติคัร อะห์มัด (Asim Iftikhar Ahmad)​ ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน​ (ปากีสถาน​)​/ไทย และ​ลงนามในบันทึกความเข้าใจ​ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างกัน ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เกือบ 70 ปี โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร ผ่านการฝึกและศึกษา พล.อ.ณัฐ’ ได้กล่าวขอบคุณปากีสถาน ที่ส่งกำลังพลเข้าร่วมฝึก ศึกษาและร่วมสังเกตการณ์ การฝึก Cobra Gold​ 2020 รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน Defense​ & Security 2019​ ที่ผ่านมา พร้อมชื่นชมความก้าวหน้าและศักยภาพของปากีสถาน​ในด้านอุตสาหกรรม​ป้องกัน​ประเทศ​ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือและพัฒนาร่วมกัน นาย​ อะศิม​‘ กล่าวแสดงความขอบคุณและย้ำว่าปากีสถาน ยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนทางทหารร่วมกัน ทั้งการฝึก การศึกษา การปฏิบัติ​การรักษาสันติภาพ​ รวมทั้งความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม​ป้องกัน​ประเทศ​ และเชื่อมั่นว่า จะสามารถดำรงความต่อเนื่องกิจกรรมความร่วมมือทางทหารในทุกระดับหลังสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น ต่อจากนั้น ปล.กห.และ ออท.ปากีสถาน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่าง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน เพื่อเสริมสร้าง​และขยาย​ขอบเขต​ความร่วมมือทางทหาร ความร่วมมือ​ด้านความมั่นมั่นคงและการป้องกันประเทศ รวมทั้งความร่วมมือการปฏิบัติการบรรเทาภัยพิบัติร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยสนับสนุนสนามฝึกซ้อมฟุตซอลแก่ทีมฟุตซอลทีมชาติไทยสู้การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 การท่าเรือแห่งประเทศไทยสนับสนุนสนามฝึกซ้อมฟุตซอลแก่ทีมฟุตซอลทีมชาติไทยสู้การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กระทรวงคมนาคม ให้การสนับสนุนทีมฟุตซอลทีมชาติไทยในการใช้สนามฟุตซอลของ กทท. “โกดังสเตเดี้ยม” เพื่อฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ซึ่งจะจัดการแข่งขันในเดือนมีนาคม 2565 เรือโท ดร.ชำนาญ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาสโมสรฟุตซอลการท่าเรือ กล่าวว่า กทท. ให้การสนับสนุนทีมฟุตซอลทีมชาติไทยในการใช้สนามฟุตซอลของ กทท. “โกดังสเตเดี้ยม” เพื่อฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในเดือนมีนาคม 2565 โดยสนามฟุตซอลของ กทท. เป็นสนามที่ได้มาตรฐานสากล สามารถจุผู้ชมได้มากกว่า 1,200 ที่นั่ง มีพื้นสนามชนิดเดียวกับสนามที่ใช้ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย (AFC Champions League : ACL) และเป็นสนามแบบเปิดช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยจะเริ่มฝึกซ้อมระหว่างเดือนมกราคม - เดือนพฤษภาคม 2564 ในส่วนทีมฟุตซอลของสโมสรฟุตซอลการท่าเรือในฤดูกาล 2020 ที่ผ่านมา ได้ตำแหน่งรองแชมป์ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก สำหรับในฤดูกาล 2021 ได้วางแผนฝึกซ้อมในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 จนถึงก่อนการแข่งขันชิงแชมป์ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก 2021 โดยจะฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับมาครองความยิ่งใหญ่การแข่งขันฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนและแก้เกมส์การแข่งขันจากฤดูกาลที่ผ่านมา และเพิ่มเเทคติกการเล่นสมัยใหม่ พร้อมเพิ่มผู้เล่นจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาทีมขึ้นสู่ระดับสากลต่อไป ทั้งนี้ ผลงานที่ผ่านมาของทีมฟุตซอลสโมสรการท่าเรือ ได้แชมป์ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก 3 สมัย ในปี 2007, 2018 และ 2019 รวมทั้งแชมป์ในระดับอาเซียนของสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (ASEAN FOOTBALL FEDERATION) 3 สมัยซ้อนในปี 2015, 2016 และ 2017
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39606
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม สั่งการ สยจ.พิษณุโลก ช่วยเหยื่อแชร์ออมเงินมิลค์ มิลค์
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม สั่งการ สยจ.พิษณุโลก ช่วยเหยื่อแชร์ออมเงินมิลค์ มิลค์ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม สั่งการ สยจ.พิษณุโลก ช่วยเหยื่อแชร์ออมเงินมิลค์ มิลค์ ในวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง ๗ ในประเด็น บ้านออม เงินบ้านแชร์ "มิลค์ มิลค์" ซึ่งท้าวแชร์เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลกได้ชักชวน กลุ่มนักศึกษาร่วมลงทุน ประมาณ ๓๐๐ ราย โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ต่อมาท้าวแชร์กลับไม่จ่ายผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง ผู้เสียหายจึงรวมตัวกันไปแจ้งความดำเนินคดีกับท้าวแชร์ที่ตำรวจภูธรภาค ๖ นายสามารถ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นประธานกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนและลักษณะแชร์ลูกโซ่ ตามคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ ๓๒๙/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนและลักษณะแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ลงนาม มีอำนาจหน้าที่ กำกับติดตาม ผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องทุกข์ที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดอันเกิดจากการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ จึงได้สั่งการให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลก พิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบาย "ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน" ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในเบื้องต้น ยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลกได้ประชุมหารือร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ ๖ เพื่อวางแนวทางในการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย โดยจะเชิญผู้เสียหายเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงแจ้งแนวทางในการให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ทั้งนี้ในกรณีที่มีผู้เสียหาย ตั้งแต่ ๓๐๐ คน ขึ้นไปหรือมีจำนวนเงินที่กู้ยืมรวมกันตั้งแต่ ๑๐๐ บาทขึ้นไป ก็จะเข้าหลักเกณฑ์ของการกำหนดรายละเอียดการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ ๒๕๔๗ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน เสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณาเป็นคดีพิเศษต่อไป นอกจากนี้ ยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลกยังได้ลงพื้นที่สถานีตำรวจภูธร เมืองพิษณุโลก เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้หารือเกี่ยวกับพฤติการณ์แห่งคดี และแนวทางการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย รวมทั้ง การแนะนำงานบริการของกองทุนยุติธรรม ตั้งแต่การช่วยเหลือ ค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดจนการให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย ปัญหาแชร์ลูกโซ่เป็นวาระแห่งชาติซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขโดยเร่งด่วนที่จะต้องบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น มิได้ส่งผลกระทบเฉพาะผู้เสียหายเท่านั้นแต่ ยังกระทบถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ รวมไปถึงปัญหาความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมาพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้ผลักดันให้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัย เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของแชร์ลูกโซ่ จากข้อมูลที่ได้รับรายงานจากยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลกทราบว่า ท้าวแชร์ ได้ประกาศโฆษณาทางเฟซบุ๊คในลักษณะการชักชวนผู้อื่นให้ร่วมลงทุนออมเงินกินดอกเบี้ย ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ - ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ทำให้มีผู้หลงเชื่อและร่วมลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดพิษณุโลก จำนวนมาก โดยมีผลตอบแทนจูงใจแบ่งออก ๖ เรท ดังนี้ - เรทที่ ๑ ราย ๓ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๗ ของเงินลงทุน - เรทที่ ๒ ราย ๕ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุน - เรทที่ ๓ ราย ๗ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุน - เรทที่ ๔ ราย ๑๐ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๑๙ ของเงินลงทุน - เรทที่ ๕ ราย ๑๓ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๒๐ ของเงินที่ลงทุน - เรทที่ ๖ ราย ๑๕ วันได้ผลตอบแทนร้อยละ ๒๐ ของเงินลงทุน ในระยะแรกท้าวแชร์ได้จ่ายผลตอบแทนบางส่วนให้กับผู้เสียหาย เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุน เมื่อผู้เสียหายร่วมลงทุนไปจำนวนหนึ่งแล้ว ท้าวแชร์ได้ประกาศปิดการลงทุนออมเงินและไม่สามารถติดต่อได้ กลโกงของกรณีแชร์บ้านออม เงินบ้านแชร์ "มิลค์ มิลค์" นี้ จะสังเกตได้ว่ามิใช่เป็นการตั้งวงแชร์ ตาม พ.ร.บ. การเล่นแชร์ พ.ศ.๒๕๓๔ แต่เป็นการระดมเงินทุน โดยตั้งเรทการลงทุนเป็นจำนวนตัวเลขที่ไม่สลับซับซ้อน เพื่อให้เห็นว่าลงทุนง่าย จ่ายผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นกลอุบายให้ผู้ร่วมลงทุนหลงเชื่อ ขณะที้ผู้ร่วมลงทุนเองก็ไม่ได้ฉุกคิดว่าตนกำลังจะถูกโกง "ตนจึงขอเน้นย้ำว่า การลงทุนในลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนต้องเผชิญ แต่เป็นการถูกโกง ๑๐๐% ขอให้ประชาชน อย่าได้หลงเชื่อ และเข้าไปยุ่งเกี่ยว ที่สำคัญคือ การดำเนินคดี แชร์ลูกโซ่นั้นกว่าคดีจะถึงที่สุดแล้วนำทรัพย์สินของท้าวแชร์ที่ยึดอายัดได้มาเฉลี่ยคืนเงินให้กับผู้เสียหายนั้น ใช้ระยะเวลาเกิน ๑๐ ปี ส่งผลให้ความเสียหายลุกลาม และส่งผลกระทบไปในวงกว้าง และสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง คือ ท้าวแชร์หน้าใหม่ที่ออกมาหลอกลวงผู้ร่วมลงทุนในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มเป็นผู้ที่มีอายุน้อยลง" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าว ---------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39747
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว ! “ทัวร์เที่ยวไทย” ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท ร่วมจ่าย (Co-pay) ร้อยละ 40 ของค่าใช้จ่ายแพ็กเกจนำเที่ยว
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 เปิดตัว ! “ทัวร์เที่ยวไทย” ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท ร่วมจ่าย (Co-pay) ร้อยละ 40 ของค่าใช้จ่ายแพ็กเกจนำเที่ยว เปิดตัว ! “ทัวร์เที่ยวไทย” ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท ร่วมจ่าย (Co-pay) ร้อยละ 40 ของค่าใช้จ่ายแพ็กเกจนำเที่ยว นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติโครงการทัวร์เที่ยวไทย ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเดินทางของประชาชนในลักษณะร่วมจ่าย (Co-pay) ร้อยละ 40 ของค่าใช้จ่ายแพ็กเกจนำเที่ยว แต่ไม่เกิน 5,000 บาท โดยต้องเป็นการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัดในวันธรรมดา (วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี) ไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน ไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ รวม 1,000,000 สิทธิ์ วงเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท ตั้งแต่ พฤษภาคม. – สิงหาคม 2564 ผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ นักท่องเที่ยว ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ณ วันลงทะเบียน โดย นักท่องเที่ยว 1 คนสามารถใช้สิทธิ์ตามโครงการฯ ได้ 1 สิทธิ์ และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประชาชนผู้ท่องเที่ยวที่ได้รับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์ใด ๆ สำหรับ ผู้ประกอบการ ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมการท่องเที่ยวก่อนวันที่ 1 ม.ค. 63 ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติโดยกรมการท่องเที่ยว สามารถรับนักท่องเที่ยวได้บริษัทละ 3,000 ราย “โครงการทัวร์เที่ยวไทย เป็นการส่งเสริมฟื้นฟูธุรกิจภาคการท่องเที่ยวในประเทศตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้หลักของประเทศสูงถึงร้อยละ 17 ของจีดีพี โดยครม. ยังมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปรับกระบวนการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตครอบคลุมทั้งระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโครงการ ฯ โดยมิชอบด้วย” โฆษกรัฐบาลกล่าว ...................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนจัดงานสัมมนาการสื่อสารทิศทางการดำเนินงานของสถาบันการบินพลเรือน ในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564 - 2568)
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 สถาบันการบินพลเรือนจัดงานสัมมนาการสื่อสารทิศทางการดำเนินงานของสถาบันการบินพลเรือน ในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564 - 2568) สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานสัมมนาการสื่อสารทิศทางการดำเนินงานภายใต้แผนวิสาหกิจของ สบพ. ในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564 - 2568) ต่อหน่วยงานผู้กำกับดูแล (Regulators) ผู้กำหนดนโยบาย (Policymaker) และผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญ (Stakeholders) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมี นางสาวภัคณัฏฐ์ มากช่วย รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร รักษาการแทนผู้ว่าการ สบพ. กล่าวเปิดงาน การสัมมนาการสื่อสารทิศทางการดำเนินงานภายใต้แผนวิสาหกิจของ สบพ. มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอทิศทางการดำเนินงานภายใต้แผนวิสาหกิจของ สบพ. ในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564 - 2568) เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินของประเทศ ตามที่ทราบกันดีว่าภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤตอย่างรุนแรงจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ สบพ. เนื่องจากการขาดความเชื่อมั่นและความต้องการศึกษาต่อในด้านการบิน จึงเป็นเหตุให้รายได้ของ สบพ. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การมีส่วนร่วมของหน่วยงานผู้กำกับดูแล ผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นประเด็นสำคัญในการแสดงข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงความคาดหวังต่อทิศทางการดำเนินงานของ สบพ. ภายใต้แผนวิสาหกิจของสถาบันการบินพลเรือน พ.ศ. 2564 - 2568 เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ ตามวิสัยทัศน์และพันธกิจของ สบพ. ที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่อให้ สบพ. เป็นหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่ผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน สามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินของประเทศให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ แผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน จากการคาดการณ์ของหน่วยงานต่าง ๆ อุตสาหกรรมการบินจะกลับมาฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 2 - 3 ปีข้างหน้า เมื่อการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีความคืบหน้าและใช้แพร่หลายมากขึ้น และมีการเปิดการเดินทางในลักษณะต่าง ๆ ระหว่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป สบพ. ต้องมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับยุทธศาสตร์ ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินในอนาคต การจัดสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วนจะมีส่วนร่วมในการสื่อสารทิศทางการดำเนินงานของ สบพ. ในระยะ 5 ปี ภายใต้แผนวิสาหกิจสถาบันการบินพลเรือน พ.ศ. 2564 - 2568 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับองค์กร ที่ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานในอนาคต และเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรเพื่อให้ สบพ. สามารถผลิตบุคลากรด้านการบินที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลอย่างเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินของไทย นอกจากนี้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในด้านอุตสาหกรรมการบิน ทั้งภาครัฐเเละเอกชน เพื่อเป็นแนวทางในการเสนอผลการวิเคราะห์อุตสาหกรรมการบินรวมถึงความต้องการแรงงานและบทบาทของ สบพ. ในอนาคต นอกจากนี้ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization - ICAO) ที่แจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการว่า สบพ. ได้ยกระดับจากสมาชิกประเภท Full Member ขึ้นเป็นสมาชิกประเภท Regional Center of Excellence เป็นที่เรียบร้อย แสดงให้เห็นว่า สบพ. เป็นสถาบันที่มีความพร้อมสามารถผลิตและพัฒนาบุคลากรการบินให้มีความรู้ตามมาตรฐานสากล มีทักษะและศักยภาพเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งบุคลากรการบินถือเป็นองค์ประกอบสำคัญขององค์กรในการจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินของไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการบิน (Regional Aviation Hub) ระดับอาเซียนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน ร่วมลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 ด้านโลจิสติกส์
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 กรมท่าอากาศยาน ร่วมลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 ด้านโลจิสติกส์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 ด้านโลจิสติกส์ของกรมการค้าภายใน โดยมีนายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้การต้อนรับ สำหรับกรมท่าอากาศยาน มีนายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ด้านเศรษฐกิจ) เข้าร่วมลงนาม ในวันที่ 22 มีนาคม 2564 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 กระทรวงพาณิชย์ การลงนาม MOU ในครั้งนื้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย 3 ฝ่าย ได้แก่ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และเกษตรกร (สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกผลไม้จากทุกภาค สหกรณ์การเกษตรบ้านนาสาร จ. สุราษฏธานี เป็นต้น) สำหรับการร่วมลงนามมีหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม ดังนี้ กรมการค้าภายใน กรมท่าอากาศยาน บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด บริษัท ไทย ไลอ้อน เมนทารี จำกัด บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัท ลาล่ามูฟ (ประเทศไทย) จำกัด ในปีนี้ กรมการค้าภายใน จะดำเนินการบริหารจัดการ ผลไม้ฤดูการผลิต ปี 2564 และร่วมกิจกรรมรณรงค์การบริโภค ส่งเสริมการ จำหน่ายและเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาดปลายทางแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมีผลไม้ประมาณ 5.4 ล้านตัน ( เพิ่มจากปีก่อน 23%) โดยมีผลผลิตเป้าหมาย คือ เงาะ มังคุด ลำไย ส้ม ลิ้นจี่ ลองกอง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสายการบินที่ลงนามใน MOU จะให้สิทธิพิเศษ แก่ผู้โดยสารให้สามารถนำผลไม้ โหลดใต้ท้องเครื่องบิน โดยจะไม่คิดค่าใช้จ่ายได้จำนวน 25 กิโลกรัม ในระหว่างเดือนเมษายน - ธันวาคม 2564 นายวิทวัสฯ ได้กล่าวเสริม ในส่วนของกรมท่าอากาศยานว่า ปัจจุบันกรมท่าอากาศยานดูแลรับผิดชอบท่าอากาศยาน จำนวน 29 แห่งทั่วประเทศ จะให้การสนับสนุนในการจัดพื้นที่ภายในท่าอากาศยานเพื่อให้เกษตรกร จำหน่ายผลไม้ตามฤดูได้ และให้บริการกล่องบรรจุภัณฑ์ของ กรมการค้าภายใน เพื่อบรรจุผลไม้ขึ้นเครื่องบินเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ภายใต้มาตรการความปลอดภัยด้านการบิน โดยสามารถรับกล่อง ได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ทุกแห่ง ซึ่งความร่วมมือ MOU ในครั้งนี้ เป็นการขานรับนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มอบให้กรมท่าอากาศยานส่งเสริม และสนับสนุนให้ท่าอากาศยานภูมิภาคเป็นศูนย์กลาง รวบรวมผลผลิต และกระจายสินค้าเกษตร และการตั้งศูนย์จัดจำหน่ายและส่งเสริมการตลาด และช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP ออกสู่ตลาด เพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้มากขึ้น และเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐากราก และกระจายรายได้ แต่ทั้งนี้ แม้กรมท่าอากาศยานจะมีการเปิดช่องทางเพื่ออำนวย ความสะดวกและสนับสนุน นโยบายของภาครัฐ แต่ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานต้องปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิค 19 ( COVID - 19) อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ปั้น “นักจัดหางาน มืออาชีพ” ผ่านระบบอบรมออนไลน์
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564 กรมการจัดหางาน ปั้น “นักจัดหางาน มืออาชีพ” ผ่านระบบอบรมออนไลน์ กรมการจัดหางาน ปรับรูปแบบการทำงานภาครัฐ ในยุคโควิด ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรนักจัดหางานระดับต้น รุ่นที่ 1 แก่เจ้าหน้าที่ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค วันที่ 8 มีนาคม 2564 นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นประธานเปิด “การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรนักจัดหางานระดับต้น รุ่นที่ 1” ณ ห้องประชุมศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย ชั้น1 กรุงเทพมหานคร โดยโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในการฝึกอบรมหลักสูตร “นักจัดหางาน มืออาชีพ” ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ นักจัดหางานระดับต้นและนักจัดหางานระดับกลาง ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2562 -2563 มีผู้จบหลักสูตรจำนวน 100 คน สำหรับปีงบประมาณ 2564 กรมการจัดหางาน ตั้งเป้าจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “นักจัดหางานระดับต้น” จำนวน 3 รุ่น ซึ่งในครั้งนี้ เป็นการเปิดฝึกอบรมฯ รุ่นที่ 1 มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และเจ้าหน้าที่กองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน จำนวนทั้งสิ้น 30 คน มีกำหนดอบรมเป็นระยะเวลา 5 วัน ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบออนไลน์ที่รองรับการเรียนและพัฒนาในลักษณะการสื่อสารแบบสองทาง (VDO Conference) แทนรูปแบบการจัดฝึกอบรมแบบเดิม เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เข้ารับการอบรม และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การปรับตัวเข้าสู่ “วิถีชีวิตใหม่” หรือ “New Normal” ส่งผลให้รูปแบบการทำงานและอาชีพต่าง ๆ ต้องพึ่งพาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเน้นการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ จึงเป็นทางรอดท่ามกลางวิกฤติ และเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสู่อนาคต อย่างไรก็ดีกรมการจัดหางานมีภารกิจในการส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ที่เหมาะสม รับรู้ข่าวสารตลาดแรงงานที่ทันสมัยรวดเร็ว ช่วยลดปัญหาการว่างงานและการขาดแคลนแรงงาน โดยให้บริการกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย “ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เป็นนักจัดหางานมืออาชีพ ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรทราบวิวัฒนาการการให้บริการจัดหางานภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นกำลังสำคัญที่จะต้องนำความรู้ ความสามารถไปปรับใช้ให้เกิดทักษะและความเชี่ยวชาญ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดหางานภาครัฐให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง “นักจัดหางานมืออาชีพ” จะต้องเริ่มต้นจาก “การพัฒนาตนเอง” เป็นลำดับแรก โดยโครงการฝึกอบรมฯ ในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่มุ่งพัฒนาบุคลากรภาครัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และยุคแห่งการปรับตัวสู่ วิถีชีวิตใหม่ ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว สำหรับผู้ที่ต้องการหางานทำ ต้องการเปลี่ยนงาน และนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความประสงค์จ้างคนเข้าทำงาน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“รมว.วราวุธ นำทีม ทส. หารือแนวทางลด CO₂ ร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ​“รมว.วราวุธ นำทีม ทส. หารือแนวทางลด CO₂ ร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ​“รมว.วราวุธ นำทีม ทส. หารือแนวทางลด CO₂ ร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” “รมว.วราวุธ นำทีม ทส. หารือแนวทางลด CO₂ ร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” วันที่ 17 มีนาคม 2564 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุมนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย (Thailand Long-Term Strategies on Climate Change Mitigation) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 กระทรวงพลังงาน สำหรับการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรก ในการหารือแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยมีผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางรุ่งนภา พัฒนภิบูลย์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เข้าร่วมประชุมด้วย โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับกระทรวงพลังงาน ในการแก้ปัญหาสภาวะก๊าซเรือนกระจก อีกทั้ง ยังได้พิจารณาถึงนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย ทิศทางการดำเนินงานนโยบายด้านพลังงานของไทย การเข้าสู่ Carbon Neutrality Scenario ในภาคพลังงานของไทยและมุมมองของภาคเอกชน แนวทางการใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อน Carbon Neutrality Scenario ของไทย นายวราวุธ กล่าวถึงการประชุมครั้งนี้ว่า นโยบายแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกนี้มีความสำคัญมาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศให้ได้ ร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด แต่จากการคำนวณอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) แล้ว พบว่า ยังไม่เพียงพอต่อการดูดซับก๊าซดังกล่าว ดังนั้นมาตรการที่สำคัญอีกขั้น คือการหาแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิตที่ดีต่อไป “วันนี้ต้องขอบคุณภาคเกษตรกร โดยเฉพาะภาคของอ้อย ซึ่งที่ผ่านมามีการลดการเผาในการเกษตรไปกว่า ร้อยละ 80 และในภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมด จำเป็นต้องเร่งสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน โดยมุ่งสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกหลานพวกเราในอนาคต” นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติม นายจตุพร ได้กล่าวเสริมในช่วงท้ายว่า “จำเป็นต้องมีการทำผังพลังงาน เสมือนมีผังเมือง ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ทั้ง 2 กระทรวงดำเนินงานได้อย่างราบรื่น บนทิศทางที่ชัดเจนต่อไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเกณฑ์ค่ารักษาข้าราชการติดเชื้อ HIV - ไตวายเรื้อรัง
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ปรับเกณฑ์ค่ารักษาข้าราชการติดเชื้อ HIV - ไตวายเรื้อรัง ... แจ้งข่าวบอกกล่าว... สำหรับผู้มีสิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล (สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ) กรมบัญชีกลาง ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีและมีความจำเป็นต้องล้างไต ให้มีสิทธิได้รับค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่สถานพยาบาลของรัฐและเอกชน จากเดิมครั้งละไม่เกิน 2,000 บาท ปรับเพิ่มเป็นครั้งละไม่เกิน 4,000 บาท . การปรับอัตราค่ารักษานี้ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้ปรับอัตราการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว . หลักเกณฑ์ดังกล่าว จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 64 เป็นต้นไป โดยผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ต้องการเข้ารับการรักษา สามารถตรวจสอบการให้บริการกับสถานพยาบาลเอกชนได้จากแอพพลิเคชัน “CGD.iHealthCare” เลือกเมนูสถานพยาบาลที่เข้าร่วม เลือกกลุ่มเฉพาะโรค (ฟอกไต) และใส่จังหวัดหรือชื่อสถานพยาบาลที่ต้องการค้นหา หรือติดต่อสอบถามที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดอบรมเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ ตำแหน่ง “จ่าปี่” เน้นมีความรู้ ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของราชสำนัก
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 วธ.เปิดอบรมเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ ตำแหน่ง “จ่าปี่” เน้นมีความรู้ ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของราชสำนัก วธ.เปิดอบรมเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ ตำแหน่ง “จ่าปี่” เน้นมีความรู้ ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของราชสำนัก วธ.เปิดอบรมเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธีฯ ตำแหน่ง“จ่าปี่”เน้นมีความรู้ ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของราชสำนัก เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (บรรจุใหม่) รุ่นที่1ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมี นายวินัย วรวัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ อาคารไทยนิทัศน์ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีเจ้าหน้าที่บรรจุใหม่เข้าอบรมครั้งนี้ 16 คน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)สนองงานตามพระบรมราโชบายอย่างสมพระเกียรติ และเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของราชสำนักเกี่ยวกับพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน โดยภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานเป็นภารกิจที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวปฏิบัติที่สำนักพระราชวังกำหนด ซึ่งเป็นไปตามโบราณราชประเพณีของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องได้รับการอบรมฝึกฝนให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีความพร้อมในการปฏิบัติงานตามหมายรับสั่งมิให้บกพร่อง ทั้งนี้การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเป็นผู้ปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานได้ โดยเฉพาะตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี (จ่าปี่)ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถอธิบายกฎระเบียบ วิธีปฏิบัติพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานได้อย่างถูกต้องและผู้เข้ารับการฝึกอบรม จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการเป่าปี่ไฉน เพลงพญาโศกลอยลมที่สำคัญเพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม สามารถปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานได้อย่างถูกต้องแม่นยำและถูกต้องตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของราชสำนัก ซึ่งการเสริมสร้างสมรรถนะให้กับบุคลากรเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาคนและสังคมไทยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญ ดังนั้น ขอให้ผู้ที่ผ่านการอบรมครั้งนี้ นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ปี่ไฉน ใช้เป่านำหมู่กลองชนะ สำหรับประโคมในงานพระราชทานเพลิงศพที่ได้รับพระราชทาน คนเป่าปี่นำ เรียกว่า จ่าปี่ ----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ทำเอ็มโอยูกับก.ดิจิทัลฯพัฒนาบุคลากรสศร.ออกแบบ“บิ๊กดาต้าด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย”
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 วธ.ทำเอ็มโอยูกับก.ดิจิทัลฯพัฒนาบุคลากรสศร.ออกแบบ“บิ๊กดาต้าด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย” วธ.ทำเอ็มโอยูกับก.ดิจิทัลฯพัฒนาบุคลากรสศร.ออกแบบ“บิ๊กดาต้าด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย” หนุนเป็นคลังความรู้ให้นักศึกษา-ประชาชนมาค้นคว้านำไปต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ พัฒนาผลงานเพิ่มมูลค่า วันที่ 5 มีนาคม 2564 ที่ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.)และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ระหว่างสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) กระทรวงวัฒนธรรมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลโดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีนางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และนางสาวธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ เป็นตัวแทนของทั้งสองหน่วยงานในการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและผู้บริหารทั้งสองกระทรวง ร่วมเป็นสักขีพยาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ และได้ให้แต่ละกระทรวงจัดทำศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data) เพื่อให้บริการประชาชนในเรื่องการนำข้อมูลภาครัฐไปใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลครั้งนี้เป็นการ บูรณาการความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ของทั้งสองหน่วยงานครั้งนี้ได้มีความร่วมมือใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.การแลกเปลี่ยนข้อมูล การให้คำปรึกษาแนะนำหรือการศึกษาดูงาน ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลความรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำและการให้ความเห็นในเรื่องการออกแบบระบบสารสนเทศ(Data Platform)และให้คำปรึกษาในการจัดเตรียมโครงสร้างสารเทศพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ รวมทั้งการให้คำปรึกษาในการกำกับดูแลข้อมูลที่เป็นระบบและได้มาตรฐานและ2.การพัฒนาบุคลากรทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันจัดให้มีการศึกษาหรือฝึกอบรมในด้านการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้วยข้อมูล วิศวกรรมข้อมูล วิทยาการข้อมูลและการจัดข้อมูลให้เหมาะกับมุมมองการวิเคราะห์ให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้อย่างต่อเนื่อง นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้บุคลากรของสศร.ได้รับการพัฒนาทักษะและความรู้ในการออกแบบระบบสารสนเทศ วิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาระบบบริหารจัดการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)ด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยสาขาต่างๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ความรู้ ศิลปินและผลงานและมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญ นิสิต นักศึกษาและเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งนี้ เมื่อนิสิต นักศึกษาและประชาชนเข้ามาสืบค้นข้อมูลในคลังข้อมูลนี้ จะสามารถนำความรู้ไปต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ชุมชนและประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของวธ. ขณะเดียวกันวธ.ได้เปิดพื้นที่ให้แก่ศิลปิน ประชาชน นิสิต นักศึกษาและกลุ่มเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยนำผลงานมาจัดแสดงได้ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินและหอศิลป์แห่งชาติ รัชดาภิเษกที่คาดว่าจะเปิดในปี 2565 ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39685
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างใช้ LINE Account ปลอม หลอกโอนเงินค่าทำสัญญาเงินกู้
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างใช้ LINE Account ปลอม หลอกโอนเงินค่าทำสัญญาเงินกู้ ธ.ก.ส.เตือนเกษตรกรลูกค้าและ ปชช.ทั่วไป ระวังแอบอ้างเป็น LINE Account ของธนาคาร ลวงผู้ต้องการกู้เงิน ให้โอนเงินค่าทำสัญญาเพื่อที่จะกู้เงินได้ ย้ำ ธ.ก.ส.ไม่มีนโยบายอนุมัติสินเชื่อผ่าน LINE Account หากต้องการขอสินเชื่อสามารถติดต่อได้โดยตรงที่ ธ.ก.ส. ธ.ก.ส. เตือน ! เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังการแอบอ้างเป็น LINE Account ของธนาคาร ลวงผู้ต้องการกู้เงิน ให้โอนเงินค่าทำสัญญาเพื่อที่จะกู้เงินได้ ย้ำ ! ธ.ก.ส. ไม่มีนโยบายอนุมัติสินเชื่อผ่าน LINE Account หากต้องการขอสินเชื่อสามารถติดต่อได้โดยตรงที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ใช้ช่องทาง LINE Official Account ชื่อ “ธกส การเกษตร” แอบอ้างว่าเป็นบัญชีของธนาคาร โดยอ้างว่าจะมีการให้สินเชื่อ แต่ต้องโอนเงินชำระเงินค่าจัดทำสัญญาจำนวน 390 บาทก่อน จากนั้นจะได้รับเงินกู้ ซึ่งพบผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวหลายราย นั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีนโยบายในการอนุมัติสินเชื่อหรือให้ลูกค้าชำระเงินค่าจัดทำสัญญาเงินกู้ผ่านทาง LINE Account จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อหรือโอนเงินไปให้บุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มี LINE Official ที่ใช้ชื่อว่า “BAAC Family” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากชื่อ LINE Account “BAAC Family” โดยมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวที่บริเวณหน้าชื่อ และมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 8 ล้านคน หากลูกค้ามีความประสงค์ขอสินเชื่อสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถติดตามข่าวสารของธนาคารหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ตั้งเป้าปี 64 ดึงประชาชนเพิ่มมีส่วนร่วมจัดการปัญหาข่าวปลอม
วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564 ดีอีเอส ตั้งเป้าปี 64 ดึงประชาชนเพิ่มมีส่วนร่วมจัดการปัญหาข่าวปลอม ดีอีเอส ตั้งเป้าปี 64 ดึงประชาชนเพิ่มมีส่วนร่วมจัดการปัญหาข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯ เล็งต่อยอดการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เพิ่มบทบาทประชาชนมีส่วนร่วมจัดการปัญหาข่าวปลอม ปลื้มมีผู้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ตรวจสอบแล้วผ่านช่องทางต่างๆ 16.7 ล้านคน สร้างบุคลากรและเครือข่ายผู้ประสานงานทั้งภาครัฐ/เอกชน ไม่ต่ำกว่า 400 คน และมีเครือข่ายผู้ประสานงานกว่า 300 หน่วยงาน ในการตรวจสอบและแจ้งเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กล่าวว่า ปีนี้เตรียมต่อยอดการทำงานของ โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่ดำเนินงานโดยสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ให้เพิ่มระดับการสร้างความมีส่วนร่วมกับประชาชน ในการจัดการปัญหาข่าวปลอม ที่ผ่านมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประสบความสำเร็จแล้วระดับหนี่ง ในการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน ในการรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ ก่อนจะเผยแพร่หรือส่งต่อบนอินเทอร์เน็ตหรือสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ข่าวสารที่ผ่านการยืนยันแล้ว และเป็นช่องทางสำหรับรับแจ้งเบาะแสของข้อมูลเท็จที่เผยแพร่อยู่ในสังคม 5 ช่องทาง ได้แก่ 1.บัญชีไลน์ทางการ @antifakenewscenter มีผู้ติดตามกว่า 2.39 ล้านคน @antifakenewscenter 2.เพจเฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand จำนวนผู้ติดตาม 72,810 คน 3.ทวิตเตอร์ @AFNCTHAILAND มีผู้ติดตาม 8,991 คน 4. เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com มีประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ผ่านการตรวจสอบแล้วกว่า 5.2 ล้านครั้ง และ 5.ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ GCC1111 กด 87 “จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกพบว่า ในภาพรวมประชาชนมีการเข้าถึง (Reach) โพสต์ต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม จำนวน 16.97 ล้านคน (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.62 – 10 มี.ค. 64) และได้รับความสนใจจากสื่อหลักนำข้อมูลไปนำเสนอผ่านช่องทางสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ กว่า 1.83 ล้านครั้ง” นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว ที่ผ่านมา มีการนำเสนอข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบไปแล้ว จำนวน 1,399 เรื่อง จำแนกตามกลุ่มข่าว ดังนี้ ด้านสุขภาพ จำนวนเผยแพร่ 897 เรื่อง ด้านนโยบายรัฐ 362 เรื่อง ด้านภัยพิบัติ 80 เรื่อง และด้านเศรษฐกิจ 60 เรื่อง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายผู้ประสานงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ไปแล้วกว่า 400 คน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานด้านการวิเคราะห์เนื้อหา บริหารการข่าว และการรับแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ ภายใต้โครงการ และดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงประชาชนและสื่อมวลชน อีกทั้ง มีเครือข่ายผู้ประสานงานกว่า 300 หน่วยงาน ในการตรวจสอบและแจ้งเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน สังคม เศรษฐกิจ หรือความมั่นคงของประเทศในวงกว้าง โดยโครงการได้พัฒนาระบบออนไลน์ เพื่อใช้สำหรับการประสานงานของเครือข่ายเพื่อใช้ตรวจสอบข่าวปลอม ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการนำเสนอและตรวจสอบข้อมูลข่าวสารร่วมกับสื่อมวลชน ซึ่งเป็นสื่อหลักที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และการนำเสนอส่งผลกระทบโดยตรงต่อการชี้นำทางสังคม ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการใช้ทรัพยากรเครือข่ายด้านบริการรับส่งสินค้าร่วมกัน
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการใช้ทรัพยากรเครือข่ายด้านบริการรับส่งสินค้าร่วมกัน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) การใช้ทรัพยากรเครือข่ายที่มีอยู่ร่วมกันระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 เวลา 09.30 น. ณ อาคารภาณุรังษีไปรษณียาคาร นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และนายกาหลง ทรัพย์สะอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) การใช้ทรัพยากรเครือข่ายที่มีอยู่ร่วมกันระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการรับส่งสินค้า และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบขนส่งโลจิสติกส์ของประเทศ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ รฟท. และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งเป็น 2 หน่วยงานที่มีบทบาทในการให้บริการรับส่งสินค้าของประเทศมาอย่างยาวนาน ได้สามารถนำทรัพยากรและเครือข่ายที่มีอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย มาพัฒนาการให้บริการด้านการขนส่งและนำจ่ายสินค้าร่วมกันได้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ รฟท. ที่มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการอยู่ตลอดเวลาเพื่อประโยชน์ของคนไทย ทั้งนี้ เบื้องต้นจะมีบริการที่ รฟท. และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกันดำเนินการ ได้แก่ 1. บริการนำจ่ายสิ่งของถึงมือผู้รับปลายทาง (ในประเทศ) 2.บริการขนส่งสิ่งของทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ 3. การใช้พื้นที่ของการรถไฟฯในการขยายเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์และหรือจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต ท้ายนี้การรถไฟฯ คาดหวังว่าจากการลงนามบันทึกความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ทั้ง 2 องค์กร สามารถบริหารจัดการทรัพยากรด้านการให้บริการรับส่งสินค้าร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน เกิดความคุ้มค่าในการจัดการ และทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการรับส่งสินค้ากับ รฟท. และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ตลอดจนส่งผลดีต่อการพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ของประเทศ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในระยะยาวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39915
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วม สตม.ส่งตัวผู้ต้องกักติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ เข้าดูแลที่ รพ.สนาม สตม.
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 สธ.ร่วม สตม.ส่งตัวผู้ต้องกักติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ เข้าดูแลที่ รพ.สนาม สตม. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้บัญชาการ สตม. ตรวจเยี่ยมการส่งตัวผู้ต้องกักติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการจำนวน 100 คน ไปดูแลรักษาต่อที่โรงพยาบาลสนาม ย้ำเป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรค ไม่แพร่เชื้อสู่ชุมชน วันนี้ (24 มีนาคม 2564) ที่ โรงพยาบาลสนามชั่วคราวสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กทม. นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวงผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการส่งตัวผู้ต้องกักติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ จากสถานกักกันจำนวน 100 คน ไปดูแลรักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลสนามโดยนายอนุทิน กล่าวว่า ภายหลังตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรุงเทพมหานครได้เข้าไปดำเนินการควบคุมป้องกันโรค พร้อมคัดกรองเชิงรุกในผู้ต้องกักทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ที่ดูแล โดยได้แยกผู้ต้องกักติดเชื้อที่ไม่มีอาการรวมทั้งผู้ติดเชื้อรายใหม่ออกมาดูแลที่โรงพยาบาลสนาม เพื่อลดความแออัด ป้องกันการติดเชื้อในสถานกักตัว ทั้งนี้ ในการจัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม เป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรค ทั้งการรักษา ระบบระบายอากาศ การจัดการขยะติดเชื้อ โดยจะมีการตรวจวัดไข้ทุกวัน หากมีอาการป่วยจะส่งรักษาโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และได้เตรียมโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานครและสังกัดกรมการแพทย์รองรับด้วย ผู้ต้องกักจะอยู่ที่โรงพยาบาลสนามเป็นเวลา 14 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าปลอดภัยไม่แพร่เชื้อต่อ ส่วนผู้กักตัวติดเชื้อที่เหลือมีการจัดพื้นที่แยก เฝ้าระวังสังเกตอาการป้องกันการติดเชื้อเช่นกัน และเมื่อครบกำหนดจะนำกลับเข้าสถานกักตัว รอการผลักดันกลับประเทศโดยประสานกับประเทศต้นทางมารับตัว เพื่อป้องกันการลักลอบกลับเข้ามาอีก “ยืนยันว่าโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ดำเนินการตามมาตรฐาน มีความปลอดภัย มิดชิด มีระบบระบายอากาศ การจัดการขยะติดเชื้อ และอยู่ห่างจากเขตชุมชน ผู้ติดเชื้ออยู่ภายใต้การควบคุมมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา จึงไม่มีทางออกไปแพร่กระจายเชื้อในชุมชนได้ ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ในการจัดการโรงพยาบาลสนามที่ จ.สมุทรสาครก็ไม่พบการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ชุมชน และกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการดำเนินการทุกๆ ด้านเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ล่าสุดได้ส่งวัคซีนโควิด 19 ให้โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรตำรวจที่มีความเสี่ยง” นายอนุทินกล่าว ด้านพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า จากการตรวจผู้ต้องกักทั้งหมด 1,615 คน แบ่งเป็นที่บางเขน 490 คน และที่สวนพลู 1,125 คน พบการติดเชื้อ 393 ราย สำหรับที่ตั้งโรงพยาบาลสนามเป็นอาคารโรงยิมเข้า-ออกทางเดียว รองรับผู้ติดเชื้อได้ 300 คน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภายในป้องกันตนเองตามมาตรฐาน มีระบบตรวจสอบคัดกรอง ล้อมรั้ว 2 ชั้น มีตำรวจเฝ้า ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ตำรวจดำเนินการแล้ว 400 นาย สำหรับตำรวจที่ติดเชื้อ 1 นาย รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่มีอาการแทรกซ้อน ปลอดภัยดี ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในสถานกักกันได้ให้ ตม.พื้นที่ชะลอการส่งตัวผู้ต้องกักมาที่ส่วนกลางให้ประสานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดห้องแยกผู้กักตัวที่รับมาใหม่เพื่อสังเกตอาการ 15 วัน ส่วนผู้ต้องกักที่ตรวจแล้วไม่พบเชื้อให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 7 วัน ******************************* 24 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ขอเชิญชวนพระภิกษุสงฆ์ สามเณร สร้างวินัยการออมกับ กอช.”
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 “กอช. ขอเชิญชวนพระภิกษุสงฆ์ สามเณร สร้างวินัยการออมกับ กอช.” กอช. ขอเชิญชวนพระภิกษุสงฆ์ สามเณร อายุ 15 – 60 ปี วางแผนออมเงินไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี ขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐสูงสุด 1,200 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิและสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า จากการบรรยายให้ความรู้การวางแผนทางการเงิน การออมเงินให้คณะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมทั้ง 14 กลุ่ม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 407 โรงเรียน ครอบคลุมพระภิกษุสงฆ์และสามเณรทั่วประเทศ ได้การตอบรับและสนใจออมเงินกับ กอช. โดยรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐบาล ทั้งนี้ กอช. จึงขอเชิญชวนพระภิกษุสงฆ์ สามเณร วางแผนการออมเงินไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี และเป็นตัวอย่างในการสร้างวินัยการออมให้กับประชาชนและชุมชนรอบวัด โดยตรวจสอบสิทธิและคุณสมบัติก่อนการสมัครสมาชิกได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” ทั้งนี้สำหรับผู้ที่มีสิทธิสมัคร เพียงกรอกข้อมูลการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สำหรับการออมเงินกับ กอช. ผู้ที่มีอายุ 15 – 60 ปี เริ่มต้นออมเงินขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี และรับเงินสมทบจากรัฐเพิ่มสูงสุด 1,200 บาทต่อปี ตามช่วงอายุของสมาชิก (การรับเงินสมทบเป็นไปตามเงื่อนไข พ.ร.บ. กอช.) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ขับเคลื่อน “เกษตรสร้างสรรค์” เพิ่มมูลค่าสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 เกษตรฯ ขับเคลื่อน “เกษตรสร้างสรรค์” เพิ่มมูลค่าสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร “เฉลิมชัย” เดินหน้า “5 ยุทธศาสตร์เกษตร” มอบ “ปริญญ์” ขับเคลื่อน “เกษตรสร้างสรรค์” เพิ่มมูลค่าสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร จับมือพาณิชย์และสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์เปิดตัวงานคาแรคเตอร์อาร์ต 27-28 มีนาคมนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (24 มี.ค.) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้เร่งปฏิรูปภาคเกษตรของไทยภายใต้ ”5ยุทธศาสตร์” โดยล่าสุด ได้มอบหมายให้นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ด้วยแนวทางเกษตรสร้างสรรค์แปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างแบรนด์คาแรคเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรด้วยระบบทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชิงเกษตรเป็นกลไกทำงาน มีนายณภัทร พรหมพฤกษ์ เป็นประธานคณะทำงานชุดดังกล่าว โดยจะมีการจัดงาน "คาแรคเตอร์อาร์ต" ในช่วงสุดสัปดาห์นี้เป็นครั้งแรกของวงการเกษตรของไทย นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) แถลงว่า คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชิงเกษตรได้ผนึกความร่วมมือกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติในการสร้างตัวตนของแบรนด์สินค้าให้มีชีวิตชีวาและมีมูลค่าสูงขึ้น ผ่านการจัดงาน "CHANGE 2021: Visual Character Art" สร้างรายได้ สร้างธุรกิจ จากการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ใหม่ให้โดนใจผู้บริโภค ในวันที่ 27-28 มีนาคม 2564 ณ ห้องฟังก์ชั่น ชั้น 4 TCDC กรุงเทพฯ ซึ่งมีนักออกแบบไทยให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 300 คน โดยภายในงานจะมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ กิจกรรมเปิดโครงการด้วยแรงบันดาลใจ โดยปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร และอินทพันธุ์ บัวเขียว รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมพบการสัมมนาจากกูรูมากความสามารถด้านลิขสิทธิ์และความคิดสร้างสรรค์ นำโดย ณภัทร พรหมพฤกษ์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชิงเกษตร ปัจฉิมา ธนสันติ อดีตอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล อดีตผู้อำนวยการสสว. ดวงใจ คูห์ศรีวินิจ นายกสมาคม TCAP และพัชรินทร์ พฤกษ์พรรณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็ม เจเนอเรทส์ จำกัด ตัวแทนผู้จัดจำหน่าย Rilakkuma ประเทศไทย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว ถือเป็นมิติใหม่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่นำระบบทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบแบรนด์คาแรคเตอร์มาใช้กับสินค้าเกษตรซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศนำมาใช้จนประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป และอเมริกา ทั้งนี้ "5 ยุทธศาสตร์เกษตร" ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2.ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3.ยุทธศาสตร์“3’s” (Safety-Security-Sustainability) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน 4.ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” และ 5.ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาเขตป่าไม้ถาวรทับซ้อนที่ทำกินของพี่น้องเกษตรกร จ.เพชรบุรี
วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาเขตป่าไม้ถาวรทับซ้อนที่ทำกินของพี่น้องเกษตรกร จ.เพชรบุรี รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาเขตป่าไม้ถาวรทับซ้อนที่ทำกินของพี่น้องเกษตรกร จ.เพชรบุรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมติดตามการแก้ไขปัญหาเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีทับซ้อนที่ทำกินของพี่น้องเกษตรกร ณ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าตะคร้อ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพขรบุรี เนื่องด้วย ปัจจุบันเขตป่าไม้ถาวร หมายเลข 86 และป่าหนองหญ้าปล้องมีสภาพเป็นบ้านเรือนและที่ทำกินของประชาชน ไม่มีสภาพเป็นป่าแล้ว ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความเดือดร้อน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกเลิกเขตป่าไม้ถาวรนั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินพิจารณาข้อเรียนชี้แจง ดังนี้ หากประชาชนมีที่ทำกินหรือที่อยู่อาศัย ในพื้นที่ป่าไม้ถาวรนอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต้องการเพิกถอนเขตป่าไมถาวร สามารถดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2540 ที่เห็นชอบตามมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้ โดยคณะอนุกรรมการจำแนกประเภทที่ดินประจำจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ และเมื่อคณะอนุกรรมการจำแนกประเภทที่ดินประจำจังหวัดพิจารณาผลการตรวจสอบของคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่แล้ว ให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาที่ดินพิจารณา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดเขตป่าไม้ถาวรใหม่ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยจำแนกเป็นพื้นที่ที่ทำกิน หรือพื้นที่ใช้ประโยขน์อย่างอื่นๆ แล้วมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ต่อไป ทั้งนี้ รมช.ธรรมนัส สั่งการว่าหลังจากนี้อีก 1 เดือนจะต้องมีการประชุมผลการตรวจสอบของคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ ของคณะอนุกรรมการจำแนกประเภทที่ดินประจำจังหวัด เพื่อเร่งส่งให้คณะกรรมการพัฒนาที่ดินพิจารณา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งรับฟังปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำของพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39816
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม ติดตามความคืบหน้า “คดีกระบะชนแล้วหนี สภ.รัตนาธิเบศร์” พร้อมประสานกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯ ช่วยเหลือ ตามแนวทางยุติธรรมเชิงรุก
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564 เลขา รมว.ยุติธรรม ติดตามความคืบหน้า “คดีกระบะชนแล้วหนี สภ.รัตนาธิเบศร์” พร้อมประสานกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯ ช่วยเหลือ ตามแนวทางยุติธรรมเชิงรุก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถูกรถกระบะชนแล้วหนี ในอังคารที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถูกรถกระบะชนแล้วหนี โดยนายนัฐพล ธนภัทรศิริโชติ ถูกรถกระบะสีขาวชนแล้วหนี บริเวณซอยติวานนท์ ๓๒ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายนัฐพล ขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับที่พักระหว่างทางมีรถกระบะสีขาวขับจี้ท้ายแล้วเร่งเครื่องแซงแต่เบี่ยงไม่พ้นทำให้ถูกรถกระบะชนรถจักรยานยนต์ล้มได้รับบาดเจ็บ ขณะที่คู่กรณีจอดรถก่อนจะเร่งเครื่องหลบหนี ซึ่งภายหลังเกิดเหตุ นายนัฐพลได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุเข้าแจ้งความที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อติดตามตัวคนขับรถกระบะคันดังกล่าวมาดำเนินคดี และรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ล่าสุดคดียังไม่มีความคืบหน้า จึงนำใบรับรองแพทย์มาขอให้กระทรวงยุติธรรมติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีพร้อมทั้งติดตามตัวคู่กรณีมาดำเนินคดีตามกฎหมาย . ทั้งนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต ได้ประสานกับผู้กำกับ สภ.รัตนาธิเบศร์ จนล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นใครและได้ออกหมายเรียกแล้วหลังจากนี้จะสอบปากคำพร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังแจ้งกับผู้เสียหายว่าหากต้องการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพช่วยเหลือก็สามารถแจ้งความจำนงได้ทันที ซึ่งถือเป็นการดำเนินการยุติธรรมเชิงรุกตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำและให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบเงินเยียวยา ๑.๑ แสนบาท ให้แก่ทายาทผู้เสียหายกรณีลูกชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุเผาบ้านของตนเอง และฆ่าชำแหละศพมารดา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียห
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบเงินเยียวยา ๑.๑ แสนบาท ให้แก่ทายาทผู้เสียหายกรณีลูกชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุเผาบ้านของตนเอง และฆ่าชำแหละศพมารดา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียห นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบเงินเยียวยา ๑.๑ แสนบาท ให้แก่ทายาทผู้เสียหายกรณีลูกชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุเผาบ้านของตนเอง และฆ่าชำแหละศพมารดา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ในวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ๑ - ๓ ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่นายนพดล กรานเคารพ ทายาทของนางสาวสุรางค์รัตน์ จ้อยเจือ จากกรณีถูกลูกชายคลุ้มคลั่งแล้วก่อเหตุเผาบ้านของตนเอง และฆ่าชำแหละศพมารดา เหตุเกิดในพื้นที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ​ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๔ ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยเป็นค่าตอบแทนกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เป็นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ค่าจัดการศพ เป็นเงินจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู เป็นเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวการเกิดเหตุ ได้ลงพื้นที่พร้อมกับกรมคุ้มครองและเสรีภาพ เพื่อให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและรับคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือเยียวยาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นการทำงานเชิงรุกของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้นโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” โดยการช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปตามกฎหมายที่รัฐต้องปกป้องและคุ้มครองประชาชน และหากประชาชนตกเป็นผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมหรือได้รับผลกระทบในคดีอาญา กรณีถูกยิง ถูกแทง ถูกฆ่า ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกระเบิดหรือถูกข่มขืน โดยที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดสามารถยื่นคำขอรับค่าตอบแทนตามกฎหมาย ได้ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข อาคารกระทรวงยุติธรรม หรือสำนักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งโทรสายด่วนยุติธรรม ๑๑๑ กด ๗๗
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานการประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐปี 2564
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 การประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานการประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐปี 2564 รองปลัดวรวรรณฯ เปิดการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานการประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐปี 2564 วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 10.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานการประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ(ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ซึ่งที่ประชุมฯ ได้แจ้งถึงผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ(ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้อำนวยการกองต่างๆ จากสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะทำงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำเวทีสหประชาชาติ เน้นบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 นายกฯ ย้ำเวทีสหประชาชาติ เน้นบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม นายกฯ ย้ำเวทีสหประชาชาติ เน้นบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม วันนี้ (18 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ตามเวลานครนิวยอร์ก (หรือเวลา 22.00 น. เวลาไทย) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถ้อยแถลงเนื่องในการประชุมระดับสูงว่าด้วยการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายและเป้าประสงค์ด้านน้ำภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (High-Level Meeting on the Implementation of the Water-related Goals and Targets of the 2030 Agenda) ในหัวข้อหลัก “การยกระดับความร่วมมือพหุภาคีและการเร่งรัดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายและเป้าประสงค์ด้านน้ำ ภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030” (Scaling-up multilateral cooperation and accelerating concrete action to meet the water-related goals and targets of the 2030 Agenda for Sustainable Development) โดยการจัดประชุมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญกับการกล่าวถ้อยแถลงของผู้นำจากแต่ละประเทศถึงการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ในการประชุมเต็มคณะภายใต้หัวข้อ “การดำเนินการอย่างเร่งด่วนด้านน้ำเพื่อวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และการฟื้นฟูอย่างยั่งยืนและยืดหยุ่นจากวิกฤต COVID-19”(Urgent action on water for 2030 and sustainable and resilient recovery from the COVID-19 pandemic) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการประชุมเพื่อหารือการเร่งรัดการขับเคลื่อนประเด็นน้ำภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน นับเป็นโอกาสดีที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ แสวงหาแนวทางที่ทุกภาคส่วนจะร่วมมือเพื่อผลักดันให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามเป้าประสงค์ วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้การดำเนินงานเพื่อสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและสุขาภิบาลของหลายประเทศต้องหยุดชะงัก ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติด้านน้ำเนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของ “น้ำ” ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทั้งระบบ จึงมีส่วนสำคัญที่จะฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเข้มแข็ง และมีความต้านทานต่อภัยพิบัติในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า ไทยมุ่งหวังให้มีการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนของภาคส่วนต่าง ๆ ในการบริหารจัดการน้ำบนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถ การถ่ายทอดและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการน้ำให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลไทยได้กำหนดให้การบริหารจัดน้ำอย่างยั่งยืนเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ พร้อมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการทรัพยาการน้ำมาเป็นเข็มทิศในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) โดยลดการใช้และเพิ่มการหมุนเวียนน้ำในทุกภาคการผลิต ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อีกทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และดูแลรักษาป่าต้นน้ำ กักเก็บน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างหลักประกันว่า ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ รวมทั้งยินดีจะสนับสนุนความพยายามของประชาคมโลกในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อนำไปสู่การเติบโตที่สมดุลและครอบคลุมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอบรมเชิงปฏิบัติการฯ การบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 การอบรมเชิงปฏิบัติการฯ การบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ปลัดฯกอบชัย เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ การบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วันนี้ (19 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ในการปฏิบัติงานการบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้แก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งจัดโดยกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “การปฏิบัติงานการบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเป็นหนึ่งในภารกิจในการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญอย่างหนึ่งของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ในการร่วมกันดูแล และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40134