title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ตรวจเยี่ยม SME D Bank สาขาอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานและติดตามการปล่อยสินเชื่อกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ปลัดกอบชัยฯ ตรวจเยี่ยม SME D Bank สาขาอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานและติดตามการปล่อยสินเชื่อกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานบอร์ดธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สาขาอุดรธานี
วันนี้ (5 มีนาคม 2564) เวลา 16.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานบอร์ดธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สาขาอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานพร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติงานแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สาขา พร้อมติดตามการปล่อยสินเชื่อกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐให้รวดเร็ว เพื่อเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป
โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ร่วมลงพื้นที่ และมีนายพิชิต มิทราวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ SME D Bank นางสาวกนิษฐา เสมอพิทักษ์ ผู้จัดการ SME D Bank สาขาอุดรธานี ให้การต้อนรับ #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry #SMEDBank
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ เช็กสิทธิ - ยืนยันตัวตน รับเงิน “ม33เรารักกัน” | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ดีเดย์ เช็กสิทธิ - ยืนยันตัวตน รับเงิน “ม33เรารักกัน”
...
เริ่มแล้ววันนี้... กับการเปิดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลงทะเบียน โครงการ "ม33เรารักกัน" ตรวจสอบสิทธิผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ www.ม33เรารักกัน .com ตั้งแต่วันที่ 15 - 21 มี.ค. 64
.
ผู้ได้รับสิทธิให้ทำการ "ยืนยันตัวตน" ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พ.ค. 64 ส่วนผู้ที่เช็กสิทธิแล้วพบว่า "ไม่ได้รับสิทธิ" สามารถยื่นทบทวนสิทธิ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 28 มี.ค. 64
.
ส่วนกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน และฝากผู้อื่นลงทะเบียนให้แต่ไม่สามารถยืนยันตัวตน ผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ ขอให้ติดต่อสำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อยืนยันรับสิทธิภายในวันที่ 24 มี.ค. 64
.
สำหรับผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่ลงทะเบียน ขอให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดที่ยังไม่หมดอายุ ไปแสดงตัวตนเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่ สำนักงานประกันสังคมทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ - 28 มี.ค. 64
.
ผู้ที่ได้รับสิทธิสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ในร้านธงฟ้าที่ใช้แอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" หรือภายใต้โครงการ "คนละครึ่ง" และโครงการ "เราชนะ" ได้ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 64 เป็นต้นไป และสามารถสะสมใช้ได้ถึงวันที่ 31 พ.ค. 64
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39977 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.ยะลา พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มโอรังอัสลี พร้อมบูรณาการหน่วยงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.ยะลา พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มโอรังอัสลี พร้อมบูรณาการหน่วยงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่
รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.ยะลา พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มโอรังอัสลี พร้อมบูรณาการหน่วยงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่
วันนี้ (9 มี.ค. 64) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนงานด้านสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล โดยส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสมและครอบคลุมตามบริบทของทุกกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งในวันที่ 11 มีนาคม 2564 ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. จะเดินทาง ลงพื้นที่จังหวัดยะลา ณ นิคมสร้างตนเองเบตง ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง เพื่อยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มโอรังอัสลี หรือที่คนไทยรู้จักในนาม เงาะป่าซาไก ที่อาศัยอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองเบตง โดยมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ ที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองเบตง จำนวน 30 ไร่ แก่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และมอบสิทธิสวัสดิการของรัฐต่างๆ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เงินสงเคราะห์ บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสิทธิโครงการเราชนะ เพื่อให้กลุ่มโอรังอัสลีสามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐและตั้งถิ่นฐาน ในลักษณะนิคมสร้างตนเอง ตามแนวทางพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังได้ประชุมทีม พม. One Home 5 จังหวัด (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล) และหน่วยงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต กลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ซึ่งกระทรวง พม. ได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวมในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ อีกทั้ง จะมีการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านกลุ่มเปราะบางที่มีฐานะยากจน จำนวน 3 ครอบครัวที่มีเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งครอบครัวผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับลูกหลานรวมกันถึง 22 คน โดยได้มอบสิทธิสวัสดิการของรัฐต่างๆ อาทิ บ้านพอเพียงชนบทสำหรับซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัย ทุนการศึกษา ทุนประกอบอาชีพ และเงินสงเคราะห์ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39792 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วมกล้วยน้ำไท ทัวร์ทั่วไทย แจกทุนฝึกอบรม | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน ร่วมกล้วยน้ำไท ทัวร์ทั่วไทย แจกทุนฝึกอบรม
รมช.แรงงาน เผย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทย เดินสายเชิญชวนเยาวชนผู้สนใจ เข้าฝึกอบรม การดูแลผู้สูงอายุ พร้อมสนับสนุนทุนฝึกอบรมกว่า 360 ทุน
วันที่ 20 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงาน สาขาการดูแลผู้สูงอายุ กับกลุ่มบริษัทในเครือโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและกล้วยน้ำไทมูลนิธิ เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2563 โดยโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและกล้วยน้ำไทมูลนิธิ มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือเยาวชนที่ขาดโอกาสศึกษาต่อ ไม่มีทุนทรัพย์ แต่ต้องการหาความรู้เพื่อไปประกอบอาชีพ ให้มีรายได้ดูแลครอบครัว จึงร่วมกับ กพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการพัฒนาทักษะให้แก่กำลังแรงงานของประเทศ เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการจ้างงาน
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัด กพร. การให้กำลังใจผู้เข้าฝึกอบรม ทั้งแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ และกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการลงพื้นที่จังหวัดที่รับมอบหมายจากรัฐบาลตามโครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันนั้น มีโอกาสนำคณะทีมงานของโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรม ในหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุด้วย จังหวัดที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทมีโอกาสไปพบปะกับน้องๆ เยาวชน ผู้ปกครอง และอาสาสมัครแรงงาน เพื่อเผยแพร่ต่อไปยังคนในชุมชน ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงาน 4 ราชบุรี ผลตอบรับจากการเผยแพร่ข้อมูลใน 3 จังหวัดนี้ มีผู้สนใจสมัครเข้าอบรมจำนวน 17 คน คาดว่าจะเริ่มฝึกอบรมประมาณเดือนพฤษภาคม 2564 นอกจากนี้ ยังมีเยาวชนที่รอปรึกษากับผู้ปกครองเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง โดยโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจะมอบทุนให้แก่ผู้รับการฝึกอบรม เป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมตลอดหลักสูตร ทุนละ 95,000 บาท ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมฝึกอบรมภาษาอังกฤษ ค่าอุปกรณ์และเอกสารฝึกอบรม ค่าเครื่องแต่งกาย ค่าที่พัก และค่าอาหาร 3 มื้อ
ปัจจุบัน ยังรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรมอย่างต่อเนื่อง ผู้สมัครต้องเป็นเพศหญิง อายุ 18 – 35 ปี จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมต้น (ม.3) มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกอบรมและการทำงาน มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 40 กิโลกรัม และส่วนสูงไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ทั้งนี้ ผู้ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับการบรรจุเข้าทำงานกับกลุ่มบริษัทในเครือ รพ.กล้วยน้ำไท และได้รับค่าตอบแทนประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุคแฟนเพจโรงเรียนฝึกพนักงานโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท หรือ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) ทุกแห่งทั่วประเทศ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2245 4035 และ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 089 203 8395
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
พม. เตรียมจัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564
พม. เตรียมจัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” ภายใต้กิจกรรมจิตอาสา 1 กระทรวง 1 การให้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในยุค New Normal เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564
วันนี้ (4 มี.ค. 64) เวลา 11.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ด้วย วันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันข้าราชการพลเรือน กระทรวง พม. จึงได้เตรียมจัดโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” ภายใต้กิจกรรมจิตอาสา 1 กระทรวง 1 การให้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในยุค New Normal เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อให้ข้าราชการกระทรวง พม. ได้ตระหนักถึงความสำคัญในเกียรติและหน้าที่ของการเป็นข้าราชการที่ดี เพื่อสร้างคุณค่าในการปฏิบัติหน้าที่และมีส่วนร่วมกับประชาชนในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ได้เชิญชวนข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. เข้าร่วมโครงการ “พม. ร่วมใจบริจาคโลหิต 1 คนให้ หลายคนรับ” และตั้งเป้าผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 120 คน ซึ่งการบริจาคโลหิต ถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้อื่น กระทรวง พม. ได้กำหนดจัดงานในวันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ระหว่างเวลา 09.00 – 14.00 น. โดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จะจัดทีมหน่วยเคลื่อนที่มารับบริจาคโลหิต ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ล.ต. เข้าร่วมการประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรก | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ก.ล.ต. เข้าร่วมการประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรก
ก.ล.ต.ร่วมการประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ประจำปี ครั้งที่ 7 โดย ASIFMA และ Afore Consulting เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ท้าทาย รวมถึงพัฒนาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวเปิดการประชุม
ก.ล.ต. เข้าร่วมการประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 โดย ASIFMA และ Afore Consulting เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ท้าทาย รวมถึงพัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดการประชุม และมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานกำหนดนโยบาย และองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งภาคเอกชนและผู้ประกอบธุรกิจจากทั้งภูมิภาคยุโรปและเอเชียแปซิฟิก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าร่วมการประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 โดย Asia Securities Industry & Financial Markets Association (ASIFMA) และ Afore Consulting เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นความท้าทายต่อการพัฒนาตลาดทุน รวมถึงพัฒนาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปและเอเชียแปซิฟิก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานกำหนดนโยบาย และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IOSCO, European Commission (EC), European Securities and Markets Authority (ESMA) รวมทั้ง ภาคเอกชนและผู้ประกอบธุรกิจจากทั้งภูมิภาคยุโรปและเอเชียแปซิฟิก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ย้ำถึงประเด็นสำคัญในการกล่าวเปิดประชุม EU-Asia Financial Services Dialogue ว่า “ถึงแม้ว่าผู้คนทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนเพื่อป้องกัน COVID-19 อย่างไรก็ดี ยังต้องมีวัคซีนเศรษฐกิจ 3 ตัว เพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และมีเสถียรภาพ ประกอบด้วย (1) วัคซีนเศรษฐกิจระดับประเทศ ซึ่งรัฐบาลวางรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2) วัคซีนเศรษฐกิจระดับธุรกิจ ที่ต้องมีภูมิคุ้มกัน มีการบริหารความเสี่ยง มีความยืดหยุ่นด้านการดำเนินงาน และมีธรรมาภิบาล และ (3) วัคซีนระดับประชาชน ส่งเสริมให้มีความรู้ด้านการเงินและดิจิทัล เพื่อให้เกิดการออมที่เพียงพอสำหรับการเกษียณ
รวมถึงได้เน้น 4 ประเด็นหลักที่หน่วยงานต่าง ๆ และภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (technology) การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซี (digital assets and crypto currencies) การส่งเสริมเครื่องมือทางการเงินเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน (sustainable finance) รวมทั้ง ได้เน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของตลาดทุนที่ได้ช่วยสนับสนุนตั้งแต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนการเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมในระยะยาว (the roles of capital markets)”
นอกจากนี้ Mr. Sean Berrigan, Director General, DG FISMA, European Commission และ Mr. Ashley Alder, IOSCO Board Chair ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นในฐานะผู้บรรยายสำคัญ (keynote speaker) โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในประเด็นที่สอดคล้องกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งด้านการเงินที่ยั่งยืนและการเงินดิจิทัล ซึ่งล้วนแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ โดยหน่วยงานกำกับดูแลมีบทบาทสำคัญที่ต้องร่วมมือกันเพื่อยกระดับความสอดคล้องกันระหว่างกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศ รวมถึงระหว่างภูมิภาค เพื่อสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจในการดำเนินธุรกรรมทางการเงินและการลงทุนระหว่างประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้การพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดบางแค เป็นการตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามแผน | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
สธ. ชี้การพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดบางแค เป็นการตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามแผน
กระทรวงสาธารณสุข ชี้กรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มก้อนตลาดบางแค 85 ราย เป็นการตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามแผน ส่งรักษาในโรงพยาบาลแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าและแรงงานต่างด้าว เน้นย้ำเจ้าของตลาด เข้มการคัดกรอง ทุกคนสวมหน้ากากถูกต้อง ป้องกันการแพร่กระจาย
กระทรวงสาธารณสุข ชี้กรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มก้อนตลาดบางแค 85 ราย เป็นการตรวจหาเชื้อเชิงรุกตามแผน ส่งรักษาในโรงพยาบาลแล้ว ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าและแรงงานต่างด้าว เน้นย้ำเจ้าของตลาด เข้มการคัดกรอง ทุกคนสวมหน้ากากถูกต้อง ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ส่วนผู้ที่ไปตลาดบางแคช่วงปลาย ก.พ.–13 มี.ค. 64 หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้ไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน คณะผู้เชี่ยวชาญระบุ WHO และองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป สรุปภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดไม่เกี่ยวกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ฉีดต่อได้
บ่ายวันนี้ (14 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19และแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 170 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและในโรงพยาบาล 20 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 136 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันฯ 14 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 14 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 21,977 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.86 อยู่ระหว่างการรักษา 687 ราย เสียชีวิตสะสม 26 คน การติดเชื้อในประเทศพบ 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 43 ราย กรุงเทพมหานคร 93 ราย ปทุมธานี 12 ราย นครปฐม 3 ราย เพชรบุรี 3 ราย นราธิวาส 2 ราย
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า เช้าวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ติดตามการสอบสวนโรคกรณีพบผู้ติดเชื้อที่ตลาดบางแค ซึ่งพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงคือ เป็นตลาดใหญ่ มีตลาดย่อยติดกัน 6 ตลาด คนอยู่ในตลาดประมาณ 1,000 คนตลอดเวลา บางตลาดมีหลังคาต่ำ ไม่มีพัดลมระบายอากาศ ทำให้การระบายอากาศไม่ดี ทั้งผู้ค้าขายและลูกจ้างชาวต่างด้าว ส่วนใหญ่ใส่หน้ากากไว้ใต้คาง ใต้จมูก เคี้ยวหมาก ตะโกนพูดคุยกัน การพบผู้ติดเชื้อคัสเตอร์ใหม่ครั้งนี้ เป็นการค้นหาเชิงรุกตามแผนที่ กำหนดไว้ ซึ่งที่ผ่านมากทม. กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ร่วมกันตรวจในโรงงาน ชุมชนแออัด และตลาดในหลายเขตของกทม. ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 ตรวจตลาดที่บางแคพบผู้ติดเชื้อ 85 ราย เป็นผู้ขายคนไทย 46 ราย ลูกจ้างชาวเมียนมา 39 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานอายุ 20-59 ปี ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อที่มีภูมิลำเนานอก กทม. ได้แก่ สุพรรณบุรี 5 ราย นครปฐม 3 ราย เพชรบุรี 6 ราย สมุทรสาคร 1 ราย เกือบทั้งหมดไม่แสดงอาการ ส่งรักษาที่โรงพยาบาลบางขุนเทียน และโรงพยาบาลในภูมิลำเนา รวมทั้งติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ อยู่ระหว่างรอผลการตรวจเชื้อ ขณะนี้ ได้ปิดตลาดทำความสะอาด ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม เพิ่มพัดลมระบายอากาศ เมื่อกลับมาเปิดตลาดแล้ว ย้ำว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน เข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค มีการคัดกรองวัดไข้ ล้างมือก่อนเข้าตลาด สวมหน้ากากอย่างถูกต้องตลอดเวลา โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า คนงานที่ต้องอยู่ในตลาดเป็นเวลานาน ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
“ขอให้ประชาชนที่ไปตลาดบางแคในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ – 13 มีนาคม 2564 หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้ไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่หากไม่มีอาการและรู้สึกกังวล สามารถไปตรวจได้ที่บริเวณสวนสาธารณะ ข้างเดอะมอลล์ บางแค โดยมีรถตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน พร้อมรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทานไปให้บริการ ในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป หรือที่โรงพยาบาลราชวิถี สปคม. สถาบันบำราศนราดูร หากพบว่ามีความเสี่ยงจะได้รับการตรวจหาเชื้อฟรี” นายแพทย์โอภาสกล่าว
สำหรับข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด19ของประเทศไทย ให้กลุ่มเป้าหมายระยะแรกใน 13 จังหวัด ตั้งแต่วันที่28กุมภาพันธ์ -13มีนาคม2564ฉีดวัคซีนรวม44,963ราย ส่วนใหญ่ฉีดได้เกือบครบแล้ว เหลือเพียง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี สมุทรสาคร และกทม. จะฉีดครบภายในสัปดาห์หน้าตามแผนที่วางไว้ จากการทบทวนข้อมูลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญยังไม่พบผู้มีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดนั้น คนไทยมีความเสี่ยงต่ำกว่าชาวยุโรป อันตรายคือเมื่อเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นก้อนเลือดกระจายไปอุดตันหลอดเลือดในปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนล้มเหลวและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยภาพรวมประชาชน 1 ล้านคนอาจมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่เท้าได้ประมาณ 10 คน เช่นหากฉีดวัคซีนให้กับคน 3 ล้านคนโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันคือ 30 คนถือว่าอยู่ในภาวะปกติ ดังนั้นกรณีที่พบลิ่มเลือดอุดตัน 22 คนในผู้รับการฉีดวัคซีน 3 ล้านคน จึงไม่ได้สูงผิดปกติ แต่หากเกิดลิ่มเลือดอุดตันเพิ่มขึ้นจาก 30 คนเป็น 60 คน คือเพิ่มเป็น 2 เท่า ถือว่าผิดปกติ จะต้องทำการสืบค้นหาสาเหตุ รวมทั้งหลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา คณะผู้เชี่ยวชาญจากกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข ได้ติดตามสอบทานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์การอนามัยโลก และองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency) ยืนยันข้อมูลตรงกันว่าวัคซีนบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า มีความปลอดภัย และไม่มีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดมากผิดปกติจากสถานการณ์ที่เคยเป็น แนะนำให้ฉีดวัคซีนต่อไป
***************************** 14 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เผย สมุทรสาคร เอาอยู่ วางแผนปิด รพ.สนาม 7 แห่ง | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ปลัด สธ.เผย สมุทรสาคร เอาอยู่ วางแผนปิด รพ.สนาม 7 แห่ง
ปลัด สธ.เผย สมุทรสาคร เอาอยู่ วางแผนปิด รพ.สนาม 7 แห่ง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย สถานการณ์โควิด 19 จ.สมุทรสาคร อยู่ในการควบคุม พบผู้ติดเชื้อลดลงเหลือ 30-50 รายต่อวัน เตรียมปิดโรงพยาบาลสนาม 7 แห่งใน 10 แห่ง รวมกว่า 2,100 เตียง ส่วนที่เหลือสำรองเผื่อฉุกเฉิน และจะปิดเพิ่มหากสถานการณ์ดีขึ้น
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการติดตามการบริหารจัดการและสถานการณ์โควิด 19 ใน จ.สมุทรสาคร ว่าขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ใน จ.สมุทรสาคร มีแนวโน้มที่ดีขึ้น สามารถควบคุมได้ มาจากมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไป ทั้งการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก การเฝ้าระวังเชิงรุก มาตรการ Bubble and Seal ในโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงานรวม 50,474 คน พบการติดเชื้อร้อยละ 10 โดยได้นำผู้ติดเชื้อไปอยู่ในสถานที่กักกันจนปลอดเชื้อ และมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันแล้ว รวมถึงมาตรการ DMHT ได้แก่ เว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และการคัดกรองอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสถานที่ต่างๆ ทำให้สามารถจำกัดการระบาดได้ ส่งผลให้ช่วงนี้พบผู้ติดเชื้อโดยเฉลี่ย 30-50 รายต่อวัน จึงเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ รวมถึงลดจำนวนเตียงในโรงพยาบาลสนาม จากเดิมต้องใช้ดูแลผู้ติดเชื้อที่เป็นแรงงานต่างชาติ ปัจจุบันเริ่มว่างลงมาก มีการใช้งานจริง 120 เตียง ทำให้มีเตียงที่ไม่ได้ใช้งานเกินความจำเป็น จึงได้หารือกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในการวางแผนปิดโรงพยาบาลสนามจำนวน 7 แห่ง จำนวน 2,227 เตียง จากทั้งหมด 10 แห่ง รวม 4,127 เตียง เพื่อให้นำสถานที่ไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ตามปกติ ส่วนอีก 3 แห่ง รวม 1,900 เตียงสำรองไว้เผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หากไม่มีความจำเป็นต่อการใช้งานจะมีการปิดเพิ่มซึ่งต้องดูตามสถานการณ์ต่อไป
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า ในส่วนวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร ยังเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศที่จะได้รับวัคซีนในล็อตต่อๆ ไป เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ภาคเศรษฐกิจของจังหวัดกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว จากการที่ จ.สมุทรสาคร ได้รับวัคซีนจากซิโนแวค ล็อตแรกจำนวน 70,000 โดส เพื่อฉีดให้กับประชาชนเป้าหมาย 35,000 คน(ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม 2564) ฉีดไปแล้ว
9,583 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.4ซึ่งจะติดตามกลุ่มเป้าหมายให้มารับวัคซีนตามนัดหมายให้ครบ 100% ภายใน 3 สัปดาห์ พร้อมวางแผนการฉีดวัคซีนและกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับล็อตต่อไปทั้งจาก แอสตร้าเซนเนก้า และจากซิโนแวค เพื่อให้มีการฉีดครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งจังหวัด จึงขอให้ประชาชนที่ได้รับแจ้ง
จากโรงพยาบาลให้มารับการฉีดวัคซีนตามวันและเวลาที่นัดหมายต่อไป
********************************* 11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39844 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ย้ำรัฐบาลพร้อมยกระดับการทำงานให้ทันสมัย เปิดเผย เชื่อมโยง และโปร่งใส | วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
นายกฯ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ย้ำรัฐบาลพร้อมยกระดับการทำงานให้ทันสมัย เปิดเผย เชื่อมโยง และโปร่งใส
นายกฯ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ย้ำรัฐบาลพร้อมยกระดับการทำงานให้ทันสมัย เปิดเผย เชื่อมโยง และโปร่งใส
วันนี้ (6 มีนาคม 2564) เวลา 10.15 น. ณ ห้องประชุม เดอะ โซไซตี้ อาคารเกสร ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาและมอบนโยบายในงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 (International Open Data Day 2021) ผ่านวีดิทัศน์ ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานวันข้อมูลเปิดนานาชาติ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้รัฐบาลทั่วโลกเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์และพัฒนาต่อยอดอย่างกว้างขวางและเท่าเทียม โดยการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ นอกจากจะช่วยส่งเสริมธุรกิจของภาคเอกชนแล้ว ยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความโปร่งใสของภาครัฐ ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและกระตุ้นให้ภาครัฐพัฒนาประสิทธิภาพในกระบวนงานเปิดเผยข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันประเทศไทยมีการเปิดเผยข้อมูลผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือ data.go.th โดยเป็นการบูรณาการข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการเข้าถึงของประชาชน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเปิดเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยนำข้อมูลเปิดเรื่องการติดเชื้อและพื้นที่เสี่ยงมาประสานงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน ซึ่งทำให้การบริหารจัดการด้านการควบคุมโรคของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลนี้ ไปต่อยอดการใช้งานในรูปแบบแอปพลิเคชัน ซึ่งนับว่าเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่ม และบูรณาการการใช้งานจากข้อมูลเปิด
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันจนประสบความสำเร็จในการบูรณาการและเปิดเผยข้อมูลพิกัดตำแหน่งอุบัติเหตุ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการระมัดระวังและลดปริมาณอุบัติเหตุบนท้องถนน พร้อมขอให้ส่วนราชการภาครัฐร่วมกันผลักดันและส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการทำงานภาครัฐให้มีความทันสมัย เปิดเผย เชื่อมโยง และโปร่งใส ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน
********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ปลื้ม รพ.ศรีสะเกษ เปิดรักษาโรคหัวใจครบวงจร ช่วยประชาชน เข้าถึงบริการ ลดรอคอย ลดการเสียชีวิต | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
อนุทิน ปลื้ม รพ.ศรีสะเกษ เปิดรักษาโรคหัวใจครบวงจร ช่วยประชาชน เข้าถึงบริการ ลดรอคอย ลดการเสียชีวิต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลื้มเปิดห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในจังหวัดได้เข้าถึงการรักษา ลดการเดินทาง ลดการรอคิวรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้กว่า 300 ราย ต่
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลื้มเปิดห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในจังหวัดได้เข้าถึงการรักษา ลดการเดินทาง ลดการรอคิวรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้กว่า 300 ราย ต่อปี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ประพนธ์ตั้งศรีเกียรติกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นพ.ณรงค์ สายวงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลศรีสะเกษ
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการดูแลประชาชนให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพปลอดภัยลดความเหลื่อมล้ำ ลดความแออัด ลดระยะเวลาการรอคอยรักษา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วยและครอบครัวโดยมีการทำงานเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ การเปิดห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลศรีสะเกษในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคหัวใจครบถ้วน ทั้งดูแลรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ สวนหัวใจ ผ่าตัดหัวใจในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และใกล้เคียง ให้สามารถเข้าถึงการบริการได้สะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ได้รับการรักษาใกล้บ้าน ด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยลดการเสียชีวิต ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาต้องส่งต่อผู้ป่วยรับการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์และโรงเรียนแพทย์อื่น โดยเฉลี่ย 300-400 ราย ต่อปีและรอคิวนัดหมายเพื่อทำหัตถการเป็นเวลา 8-10 เดือน ใช้เวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างทางได้
นายอนุทินกล่าวต่อว่า โรงพยาบาลศรีสะเกษ เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 788 เตียง มีห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ สามารถเปิดให้บริการได้ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ในระยะแรกจะเปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยสิทธิจ่ายตรงกรมบัญชีกลาง และจ่ายค่ารักษาเองคาดว่าจะให้บริการกับผู้ป่วยที่อยู่ในระบบประมาณ 50-100 รายต่อเดือน ขณะนี้ใช้งานเป็นห้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจกับผู้ป่วย มีแพทย์อายุรกรรมหัวใจประจำ 1 คน แพทย์ทำหัตถการ 1 คน และพยาบาลประจำห้องปฏิบัติการ 9 คน
ทั้งนี้ ประชาชนในพื้นที่ทุกคนมีส่วนพัฒนาเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาล หากโรงพยาบาลมีเครื่องมืออุปกรณ์พร้อมเมื่อเจ็บป่วยจะได้รับการดูแลไม่ต่อส่งไปรักษาที่อื่นโดยไม่จำเป็นได้ ด้วยการร่วมสนับสนุนบริจาคเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือทุนทรัพย์ หนึ่งคนให้หลายคนรับ แม้เพียงเล็กน้อยอาจช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยหลายคนได้
*********************** 20 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ อาคารผู้ป่วยนอก รพ.บ้านค่าย จ.ระยอง | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ อาคารผู้ป่วยนอก รพ.บ้านค่าย จ.ระยอง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข วางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยนอก 3 ชั้น โรงพยาบาลบ้านค่าย จ.ระยอง เพิ่มศักยภาพรองรับผู้ป่วยกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มวัยทำงานในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ลดแออัด
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลบ้านค่าย จังหวัดระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยนอก 3 ชั้น และให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลบ้านค่าย เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ ขนาดเล็ก ขนาด 30 เตียง มีอาคารผู้ป่วยนอก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง ต้องรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย จำนวน 14,050 ราย คิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน นอกจากนี้ อำเภอบ้านค่ายยังอยู่ในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีประชาชนเข้ามาทำงานและอาศัยสูงขึ้นทุกปี จึงต้องดูแลสุขภาพในกลุ่มวัยทำงานอีกด้วย ทำให้สถานที่เดิมที่มีอยู่ไม่สามารถรับรองการให้บริการได้ มีสภาพคับแคบและแออัด จึงมีแผนเพิ่มศักยภาพยกระดับโรงพยาบาลขยายเป็น 60 เตียง และสร้างอาคารผู้ป่วยนอกเพิ่ม
เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มวัยทำงานในพื้นที่และใกล้เคียง ให้ได้รับการบริการที่สะดวก ลดความแออัด โดยจะได้รับการดูแลอย่างครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรค การรักษาโรค และการฟื้นฟูสุขภาพ
สำหรับอาคารผู้ป่วยนอก สร้างขึ้นบนที่ดินบริจาคของนายสุเชษฐ์ นางกัญจน์รัตน์ ศศิรัตนนิกุลและครอบครัวจำนวน 4.59 ไร่ โดยได้มีการส่งมอบเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ภายในอาคารประกอบด้วย ชั้นที่ 1 ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ชั้นที่ 2 ห้องทันตกรรมและห้องตรวจแลป ชั้นที่ 3 ห้องประชุมและสำนักงาน ได้รับงบประมาณสนับสนุน จำนวน 67,020,300 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 2 ปี จะแล้วเสร็จในปี 2566
ทั้งนี้ โรงพยาบาลบ้านค่าย เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา มีผู้รับบริการผู้ป่วยนอก 158,290 รายต่อปี เฉลี่ย 553 รายต่อวัน โรคที่พบส่วนใหญ่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิต ระบบทางเดินหายใจ และกล้ามเนื้ออักเสบที่เกิดจากการทำงาน ส่วนใหญ่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึงร้อยละ 50 ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง 10,398 ราย และโรคเบาหวาน 9,860 ราย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้สูงอายุถึงร้อยละ 65 อัตราเฉลี่ย การเข้ารับบริการของกลุ่มผู้สูงอายุ 5.22 ครั้งต่อคนต่อปี มากกว่ากลุ่มผู้ป่วยนอกทั่วไปที่มีอัตราเฉลี่ยการเข้ารับบริการเพียง 2.36 ครั้งต่อคนต่อปี
*********************** 22 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40210 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระดมกำลังสกัดไฟป่า ลดปัญหาหมอกควันภาคเหนือ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
ระดมกำลังสกัดไฟป่า ลดปัญหาหมอกควันภาคเหนือ
...
จากสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ที่กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปีนี้ โดยตรวจพบจุดความร้อนสะสมรวมแล้วกว่า 40,000 จุด จึงระดมสรรพกำลังของภาครัฐ เช่น จังหวัด อำเภอ กรมควบคุมมลพิษ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กองทัพภาคที่ 3 และจิตอาสาจากภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวัง และกำจัดจุดความร้อน
.
กิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการชิงเก็บ คือ เก็บเชื้อเพลิงออกจากป่าแล้วเกือบ 1,200 ตัน ทำให้เหตุการณ์ไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ ทำจุดเติมน้ำในป่าเพื่อให้ดับไฟได้รวดเร็วมากขึ้น และใช้ดาวเทียมระบบโมดิสในการสำรวจหาจุดความร้อน เพื่อเฝ้าระวังและดับไฟได้อย่างทันท่วงที
.
นอกจากนี้ ยังประกาศให้ภาคเหนือตอนบน เป็นพื้นที่ “ห้ามเผาโดยเด็ดขาด” หากมีความจำเป็นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อำเภอ หรือจังหวัดก่อน เพื่อให้มีการเฝ้าระวังและควบคุมเพลิงไม่ให้ลามไปยังพื้นที่ป่า และดับไฟให้เรียบร้อยเมื่อเสร็จภารกิจ
.
ส่วนปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน กรมควบคุมมลพิษจะส่งหนังสือไปยังเลขาธิการอาเซียน เพื่อให้แจ้งเตือนไปยังประเทศดังกล่าว
.
รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน หมั่นตรวจสอบสภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชัน Air4Thai และหลีกเลี่ยงพื้นที่สีม่วงและสีแดง สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกนอกบ้าน และช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นการเผาให้แจ้งจังหวัดหรือสายด่วนกรมควบคุมมลพิษ 1650 ทันที
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39808 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวเรื่อง สินค้าไทย FTl-Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
แถลงข่าวเรื่อง สินค้าไทย FTl-Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
รมว.สุริยะ ร่วมแถลงข่าวเรื่อง สินค้าไทย FTl-Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
วันนี้( 17 มีนาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “สินค้าไทย FTl -Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตขึ้นภายในประเทศโดยในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวถึงในประเด็น การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกุล ประธานสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว และมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องประชุม Passion(802) ชั้น 8 อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 คลัสเตอร์ใหม่ ปราจีนบุรี-นครนายก เหตุจากไม่สวมหน้ากาก พูดคุยกันใกล้ชิด | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 คลัสเตอร์ใหม่ ปราจีนบุรี-นครนายก เหตุจากไม่สวมหน้ากาก พูดคุยกันใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 คลัสเตอร์ใหม่ ปราจีนบุรี-นครนายก เชื่อมโยงตลาด จ.ปทุมธานี พบติดเชื้อแล้ว 5 ราย จากการสอบสวนโรคเหตุจากพูดคุยใกล้ชิด ไม่สวมหน้ากาก ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ครบ เข้าสู่ระบบรักษา ขอประชาชนเคร่งครัดมาตรการป้องกัน
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 คลัสเตอร์ใหม่ ปราจีนบุรี-นครนายก เชื่อมโยงตลาดจ.ปทุมธานี พบติดเชื้อแล้ว5 ราย จากการสอบสวนโรคเหตุจากพูดคุยใกล้ชิด ไม่สวมหน้ากาก ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ครบเข้าสู่ระบบรักษา ขอประชาชนเคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง การ์ดอย่าตก
บ่ายวันนี้ (9 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขนพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด 19 ประเทศไทย ว่าขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 100 ราย ในวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 60 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 22 ราย, คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 21 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศเข้ากักตัวในสถานกักกัน/รักษาในโรงพยาบาล 15 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศช่องทางธรรมชาติ 2 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รักษาหาย 74 ราย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 8 มีนาคม 2564 มีผู้ที่รักษาหายแล้ว 21,674 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.35 อยู่ระหว่างการรักษา 565 รายโดยวันนี้ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน43 ราย พบใน4 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี3 ราย กรุงเทพมหานคร1 ราย นนทบุรี 1 รายสมุทรสาคร 38 ราย
นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นคลัสเตอร์ จ.ปราจีนบุรีและนครนายก พบติดเชื้อแล้ว 5 ราย จากการสอบสวนโรคพบเกิดจากการไม่สวมหน้ากากอนามัย และมีการพูดคุยใกล้ชิดกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะแพร่และรับเชื้อ โดยเป็นคู่สามี-ภรรยา ช่วยลูกขายอาหารในโรงงานที่ปราจีนบุรี มีประวัติเดินทางไปซื้อของที่ตลาดสี่มุมเมือง จ.ปทุมธานี ภายหลังมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เหนื่อย มีไข้ จึงเข้ารับการตรวจที่ จ.นครนายก ผลพบเชื้อ ได้ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงประกอบด้วย คนในครอบครัว 4 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ รอตรวจครั้งที่ 2 ส่วนลูกจ้างในร้านขายอาหาร 10 ราย พบติดเชื้อ 3 ราย ผู้สัมผัสที่สถานพยาบาลที่เข้ารับการตรวจอีก 36 รายทั้งหมดไม่พบเชื้อ รอตรวจครั้งที่ 2 นอกจากนี้ยังติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 12 ราย และผู้สัมผัสในโรงงานอีก 1,428 รายทั้งหมดรอผล โดยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบรักษา ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเข้าระบบกักกันจนครบ 14 วัน และยังได้ติดตามผลการตรวจในรายอื่นๆ ต่อไป
“สาเหตุสำคัญของการติดเชื้อโควิด 19 มาจากการไม่เคร่งครัดมาตรการป้องกันส่วนบุคคล ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค พบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนได้ ดังนั้นขอความร่วมมือประชาชน อย่าประมาท โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขายบริการ สัมผัสกับคนจำนวนมาก ขอให้เคร่งครัดการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ สแกนไทยชนะ”
**************************************9 มีนาคม 2564
**************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
บริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 2/2564 เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้
นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไม้ดอกไม้ประดับครั้งที่2/2564ผ่านการประชุมVDO Conferenceณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการบริหารจัดการกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไม้ดอกไม้ประดับได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ส่งออกกล้วยไม้ที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (COVID-19)โดยขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆส่งเสริมและสนับสนุนการใช้กล้วยไม้ไทยในโอกาสต่างๆซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีอีกทั้งยังมีการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์สินค้ากล้วยไม้ผ่านกิจกรรมกล้วยไม้สัญจรการขอสนับสนุนด้านสินเชื่อแรงงานบรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์และค่าขนส่งต่างๆ
นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือของคณะทำงานศึกษาการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด19ในรูปแบบการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเพิ่มการบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจกล้วยไม้ทั้งระบบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39942 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เชื่อมั่นความสัมพันธ์ ไทย-ฟิลิปปินส์ พร้อมร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
นายกฯ เชื่อมั่นความสัมพันธ์ ไทย-ฟิลิปปินส์ พร้อมร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19
นายกฯ เชื่อมั่นความสัมพันธ์ ไทย-ฟิลิปปินส์ พร้อมร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 9.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางมิลลิเซนต์ ครุซ-ปาเรเดส (H.E. Mrs. Millicent Cruz-Paredes) เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยินดีต้อนรับในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ในการเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย โดยขอให้คิดว่าไทยเป็นเสมือนบ้านหลังที่สอง ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ฟิลิปปินส์ที่ราบรื่นและมีความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง หวังว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และบรรลุข้อตกลงและร่างบันทึกความเข้าใจที่คั่งค้างทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคง การค้า และการลงทุน ได้โดยเร็ว
เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมนำความปรารถนาดีและความห่วงใยจากประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต มายังนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้มีโอกาสหารือกันในหลายโอกาสสะท้อนถึงมิตรไมตรีและความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย พร้อมยินดีที่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมีมายาวนานกว่า 70 ปี และเชื่อมั่นว่า ไทย-ฟิลิปปินส์ยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมากทั้งด้านสาธารณสุข การค้า และการลงทุน
นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ เห็นพ้องให้ไทย-ฟิลิปปินส์ดำเนินความร่วมมือทั้งทวิภาคี และพหุภาคีผ่านกลไกที่มีอยู่ และกระชับความร่วมมือด้านการค้า และการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 นายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลฟิลิปปินส์พิจารณาลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน และขอความร่วมมือจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนฟิลิปปินส์พิจารณาลงทุนในไทย ในสาขาที่นักลงทุนฟิลิปปินส์มีศักยภาพและสนใจ ซึ่งเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ยินดีดูแลนักลงทุนไทย พร้อมสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเพื่อกระชับความร่วมมือในด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณฟิลิปปินส์ที่สนับสนุนครูสอนภาษาอังกฤษในไทยตลอดช่วงที่ผ่านมา และชื่นชมการเรียนการสอนของครูชาวฟิลิปปินส์ในไทยที่มีประสิทธิภาพและนักเรียนไทยเข้าใจง่าย สำหรับด้านสาธารณสุข เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ฯ ชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ในการบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นว่าไทยและฟิลิปปินส์สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันเพื่อกระชับความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต หนุนการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร กัญชา กัญชง ทางการแพทย์ | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
รมช.สาธิต หนุนการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร กัญชา กัญชง ทางการแพทย์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนุนการเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ สมุนไพร กัญชา กัญชง ทางการแพทย์ จับมือวิสาหกิจชุมชนปลูกกัญชากว่า 300 กลุ่ม นำมาผลิตน้ำมันกัญชา ยากัญชาแผนไทย รักษาในกลุ่มโรคต่างๆ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนุนการเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ สมุนไพรกัญชา กัญชง ทางการแพทย์ จับมือวิสาหกิจชุมชนปลูกกัญชากว่า300 กลุ่ม นำมาผลิตน้ำมันกัญชา ยากัญชาแผนไทย รักษาในกลุ่มโรคต่างๆ ปัจจุบันมีคลินิกกัญชาทางการแพทย์รวม 758 แห่ง การรักษาได้ผลดีมากกว่าร้อยละ 74
วันนี้ (14 มีนาคม 2564) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษารัฐมนตรี และคณะผู้บริหารติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ กัญชาทางการแพทย์ของจังหวัดน่าน ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตน่าน และโรงพยาบาลน่านและให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพจากสมุนไพร กัญชา กัญชง ทางการแพทย์ รวมทั้งเพิ่มโอกาสการเข้าถึงอย่างปลอดภัย ในระยะแรกได้เร่งรัดให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยปัจจุบันมีคลินิกให้บริการกัญชาทางการแพทย์รวม758 แห่ง เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน 339 แห่ง และแพทย์แผนไทย419 แห่ง ผลการรักษาพบว่าได้ผลดีมากกว่าร้อยละ 74 โดยในอนาคตเปิดบริการในโรงพยาบาลทุกแห่งตามความพร้อมเพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาให้กับประชาชน
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข มี “สถาบันกัญชาทางการแพทย์” ขับเคลื่อนนโยบายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ นําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และให้ประชาชนสามารถใช้ส่วนต่างๆ ของกัญชา กัญชง ไปประกอบอาหารทํายารักษาโรค และผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อย่างถูกกฎหมาย ปลอดภัย โดยมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชาร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกว่า300 กลุ่ม นำมาผลิตเป็นน้ำมันกัญชา และส่วนผสมของยากัญชาแผนไทยรักษาในกลุ่มโรคต่างๆ อาทิ โรคลมชัก โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง, โรคมะเร็ง, นอนไม่หลับ,ปวดเรื้อรัง เป็นต้น
“จากการตรวจเยี่ยมพบว่า จ.น่านมีความก้าวหน้าในการเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ เช่นที่ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน” อ.ภูเพียง ได้เพิ่มมูลค่าพืชสมุนไพร ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อาหาร สร้างรายได้ให้กับชุมชนไม่ต่ำกว่า 15.6 ล้านบาทต่อปี เป็นตัวอย่างของการสร้างมูลค่าเพิ่มของพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ในส่วนของกัญชาทางการแพทย์ ปัจจุบันมีคลินิกกัญชาทางการแพทย์ 13 แห่ง ในปีงบประมาณ 2563 มีประชาชนสนใจเข้ารับบริการจำนวน 176 ราย ส่วนใหญเป็นผู้ป่วยระยะประคับประคอง รองลงมาคือ นอนไม่หลับ และปวดเรื้อรังตามลำดับ จ่ายยารักษา 148 ราย การรักษาได้ผลดี เตรียมขยายบริการให้ครบทุกพื้นที่ต่อไป”ดร.สาธิต กล่าว
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่าด้านการวิจัยสนับสนุนให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ่อสวก อ.เมืองน่าน ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ชมรมการแพทย์แผนไทยตำบลบ่อสวก และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน และบริษัทบีสโปค ไลฟ์ ไซแอนซ์ จำกัด นำร่องโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์ ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย พัฒนา ปลูก ผลิต สกัด และแปรรูป กัญชงและกัญชาทางการแพทย์ ศึกษาผลผลิตและสารสำคัญของกัญชาสายพันธุ์นำเข้า ขยายการผลิตของสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และพัฒนาสกัดไปใช้ประโยชน์เพื่อการแพทย์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ต่อไป
********************************** 14 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39955 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่างงานมาทางนี้ !! งานกว่า 5,000 ตำแหน่งรอคุณอยู่ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ผู้ว่างงานมาทางนี้ !! งานกว่า 5,000 ตำแหน่งรอคุณอยู่
...
โอกาสมาแล้ว... สำหรับผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ประชาชนทั่วไปที่มีต้องการหางานทำที่ตรงกับความรู้ความสามารถ ทักษะ และได้สมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากในคราวเดียว
.
ล่าสุดมีตำแหน่งงานกว่า 5,000 อัตรา จากสถานประกอบการชั้นนำรองรับคนหางาน โดยกระทรวงแรงงานอำนวยความสะดวกให้นายจ้าง/สถานประกอบการและผู้สมัครงานได้พบและรับการสัมภาษณ์ทันที ภายใต้ชื่องาน “Bangkok Job Fair 2021”
.
ภายในงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำ เข้าร่วมรับสมัครงาน กว่า 40 บริษัท อาทิ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) /บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด /บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด /บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด /บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทมจำกัด (มหาชน) /บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) /บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) /ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
.
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสาธิตประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดงาน 20 อาชีพ อาทิ การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น สายคล้องหน้ากากอนามัย สบู่สมุนไพร ตระกร้าผ้าย้อมคราม การทำเค้กกล้วยหอม บราวนี่ ขิงอ่อนดอง เป็นต้น
.
การให้คำแนะนำประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ในรูปแบบ Food Truck บริการจัดหางานสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ บริการให้คำปรึกษาตาม พ.ร.บ. คุ้มครองคนหางาน การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ม.33, ม.39, ม.40 และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม และการให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ฟรี โดยโรงพยาบาลวิภาราม พัฒนาการ
.
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ระหว่างวันที่ 26 - 27 มี.ค. 64 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40216 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.ปิดโรงพยาบาลสนามศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 7 อบต.ท่าทราย | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ปลัดสธ.ปิดโรงพยาบาลสนามศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 7 อบต.ท่าทราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขปิดโรงพยาบาลสนามศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 7 ณ อบต.ท่าทราย จังหวัดสมุทรสาคร หลังสถานการณ์โควิด 19 ควบคุมได้ พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 9-15 รายต่อวัน พร้อมปรับรูปแบบให้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด19
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) ที่จ.สมุทรสาคร นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และคณะผู้บริหาร ทำพิธีปิดโรงพยาบาลสนามศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 7 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร มีขนาด 460 เตียง เปิดรับผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม–19 มีนาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อเข้าใช้บริการทั้งสิ้น 761 คน ซึ่งต.ท่าทรายเป็นพื้นที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุด 9,907 คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด และโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ได้ปรับเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ประชาชนใน จ.สมุทรสาคร เริ่มดำเนินการ 11 มีนาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วกว่า 5,000 คน
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า การเปิดโรงพยาบาลสนาม (ศูนย์ห่วงใยคนสาคร) รองรับสถานการณ์โรคโควิด 19 เป็นอีกเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ชาวสมุทรสาครได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ดึงทรัพยากรที่มีอยู่เข้ามาช่วยต่อสู้กับโรคระบาดและแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลในการดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ เป็นนวัตกรรมระดับโลกที่สำคัญต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในการจัดการกับวิกฤต เพิ่มความมั่นใจให้ประชาชนถึงศักยภาพความเข้มแข็งและความเพียงพอของระบบสาธารณสุขที่จะรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยได้ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อถึง 10 แห่ง รวมกว่า 4 พันเตียง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์ของโควิด 19 จ.สมุทรสาครมีแนวโน้มดีขึ้น จากมาตรการค้นหาและเฝ้าระวังเชิงรุก มาตรการ Bubble and Sealed ในโรงงานขนาดใหญ่ ที่นำผู้ติดเชื้อไปอยู่ในสถานที่กักกันจนปลอดเชื้อ และการตรวจหาภูมิคุ้มกัน รวมถึงมาตรการ DMHT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ การคัดกรองอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสถานที่ต่าง ๆ ทำให้จำกัดวงการระบาดได้ ประกอบกับการได้รับวัคซีน 2 แสนโดส สำหรับ 1 แสนคน โดยได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในจังหวัดแล้ว 40,715 คน ส่งผลให้พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 9-15 รายต่อวัน จึงได้ทยอยปิดโรงพยาบาลสนาม จนถึงวันนี้นับเป็นแห่งที่ 7 รวมทั้งหมด 2,227 เตียง ส่วนอีก 3 แห่ง รวม 1,985 เตียง ได้แก่ ศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 8 (วัฒนาแฟคตอรี่), แห่งที่ 9 (บริษัทวิท วอเตอร์ซิสเต็มดีเวลลอปเม้นท์) และแห่งที่ 10 (ที่ดินของนางเง็กเน้ย ศิริชัยเอกวัฒน์) เพียงพอรองรับเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
“การปิดโรงพยาบาลสนามไม่ได้เป็นการประกาศว่าสถานการณ์โควิด 19 จบสิ้นหรือไม่มีการระบาดแล้ว แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า ต่อไปนี้การระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพราะระบบโรงพยาบาลมีศักยภาพและความพร้อมรองรับผู้ป่วยได้ ซึ่งบทบาทและภารกิจในการดูแลผู้ป่วยโควิดที่ยังมีอยู่จะถูกส่งต่อให้กับโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่มีศักยภาพใน จ.สมุทรสาคร” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
สำหรับสถานการณ์โควิด19 จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2563–24 มีนาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อ 17,195 คน จังหวัดได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จัดหาสถานที่สร้างโรงพยาบาลสนามที่ไม่มีผลกระทบหรือสร้างความกังวลให้กับประชาชน โดยโรงพยาบาลสนาม ศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 1 ใช้สนามกีฬาจังหวัด มี 700 เตียง เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 รับดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งในระหว่างนั้นหากมีอาการจะส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
********************************************* 25 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40372 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำครม. ฉีดวัคซีนโควิด-19 สร้างความมั่นใจ ขอบคุณคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในการจัดหาวัคซีนเพื่อคนไทย (รวมไทยสร้างชาติ) | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีนำครม. ฉีดวัคซีนโควิด-19 สร้างความมั่นใจ ขอบคุณคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในการจัดหาวัคซีนเพื่อคนไทย (รวมไทยสร้างชาติ)
นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีฉีดวัคซีนโควิด-19 สร้างความมั่นใจ ขอบคุณคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในการจัดหาวัคซีนเพื่อคนไทย (รวมไทยสร้างชาติ)
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรีที่แจ้งความประสงค์เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประกอบไปด้วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายนิพนธ์ บุญญามณี และ นายทรงศักดิ์ ทองศรี) โดยมี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้เป็นการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาครั้งแรกของประเทศไทย หลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสามารถฉีดได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนไทย โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนมีความสำคัญต่อครอบครัวตนเอง ดังนั้น ทุกคนจึงมีความสำคัญเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่เพียงแค่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในวันนี้เป็นไปตามคำแนะนำทางการแพทย์ และด้วยความยินยอมของผู้เข้าฉีดวัคซีน
ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีรับฟังชี้แจงขั้นตอนการฉีด เริ่มด้วยการลงทะเบียน ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต คัดกรองซักประวัติ รับฟังการชี้แจงเพื่อยินยอมขออนุญาตฉีดวัคซีน และลงนามอนุญาตให้ฉีดวัคซีนต่อเจ้าหน้าที่
โดย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก เป็นผู้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกให้แก่นายกรัฐมนตรี พร้อมสังเกตอาการหลังฉีดเบื้องต้นเป็นเวลา 30 นาที โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าชมว่า "มือเบา ไม่รู้สึกเจ็บเลย"
อนึ่ง ในวันนี้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประกอบด้วยแอสตราเซเนกาและซิโนแวคโดยเป็นไปตามคุณสมบัติผู้รับการฉีดและคำแนะนำของทางทีมแพทย์
.......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชูทีมประเทศไทย บูรณาการ 12 กระทรวง ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เชิงรุกและลึก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
นายกฯ ชูทีมประเทศไทย บูรณาการ 12 กระทรวง ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เชิงรุกและลึก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นายกฯ ชูทีมประเทศไทย บูรณาการ 12 กระทรวง ดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเชิงรุกและลึก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยวันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. (3 มี.ค.64) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวง วัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร เพื่อบูรณาการความร่วมมือช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในรายครัวเรือนให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม ให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวมีความมั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และภาครัฐมีฐานข้อมูลที่เกิดจากการบูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงานของกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนระดับประเทศ โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงานถึงการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีฯ ว่า การให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง เป็นเป้าหมายเร่งด่วนของรัฐบาล ทุกส่วนราชการคือทีมประเทศไทย ที่จะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยิ่งคนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้พิการเด็กเล็ก ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ภาครัฐจึงต้องร่วมือกันอย่างเต็มที่ให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ และการบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม ซึ่งการขับเคลื่อนการประสานงานตามความร่วมมือนี้ จะทำงานควบคู่ไปกับศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นก่อนหน้านี้
“สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ คือการร่วมมือในการสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบางเพื่อการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลรายครัวเรือน รวมถึงวางแผนการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการ โดยเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ด้วยกลไกสหวิชาชีพ ร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) 1 คน ที่จะรับผิดชอบ 10 ครอบครัว ติดตามครอบครัวกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงฯมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป โดยมีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี (พ.ศ. 2564 – 2568)” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39575 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจหาเชื้อ Covid-19 คัดกรองเชิงรุกผู้ค้าในตลาดนัดสวัสดิการกระทรวงพาณิชย์ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ตรวจหาเชื้อ Covid-19 คัดกรองเชิงรุกผู้ค้าในตลาดนัดสวัสดิการกระทรวงพาณิชย์
ตรวจหาเชื้อ Covid-19 คัดกรองเชิงรุกผู้ค้าในตลาดนัดสวัสดิการกระทรวงพาณิชย์
เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ทีมควบคุมโรคอำเภอเมืองนนทบุรี ร่วมกับ ทีมเทศบาลนครนนทบุรี รพ.พระนั่งเกล้า ออกตรวจคัดกรองเชิงรุกผู้ค้าในตลาดนัดสวัสดิการกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 60 ราย เก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อ Covid-19 โดยมีท่านวันเพ็ญ นิโครวนจำรัส ที่ปรึกษาการพาณิชย์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ผลการตรวจไม่พบเชื้อ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40109 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” ลั่น สถานประกอบการต้องปลอดภัยจากโควิด 19 จี้ สมอ. เร่งออกมาตรฐานความปลอดภัยโควิด-19 ให้สถานประกอบการใช้ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
“สุริยะ” ลั่น สถานประกอบการต้องปลอดภัยจากโควิด 19 จี้ สมอ. เร่งออกมาตรฐานความปลอดภัยโควิด-19 ให้สถานประกอบการใช้
“สุริยะ” จี้ สมอ. เร่งออกมาตรฐานความปลอดภัยโควิด-19 หนุนโรงงานทั่วประเทศใช้ ป้องกันและลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงงาน ตั้งเป้าหมายโรงงานกว่าหมื่นโรงงานปลอดภัยจากโควิด-19
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าได้สั่งการให้สมอ.เร่งรัดดำเนินการประกาศใช้มาตรฐานโควิด-19หรือมาตรฐานมตช. 45005-2564การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการทำงานอย่างปลอดภัยระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019หลังบอร์ดให้ความเห็นชอบพร้อมกับมาตรฐานระบบการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจและมาตรฐานในกลุ่มบีซีจี(BCG – Bio Circular Green Economy)ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่8มีนาคมที่ผ่านมาเพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ในการจัดระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรให้เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าวเพื่อควบคุมป้องกันและลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19โดยกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้โรงงานทั่วประเทศนำไปใช้เพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19
“มาตรฐานโดวิด-19จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19และทุกภาคส่วนมีความเชื่อมั่นในสถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทั้งในด้านการบริหารจัดการและคุณภาพของสินค้าว่าจะมีความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19โดยกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายผลักดันให้โรงงานทั่วประเทศซึ่งมีมากกว่าหมื่นรายนำมาตรฐานนี้ไปใช้เพื่อร่วมกันบริหารจัดการให้เชื้อไวรัสโควิด-19หมดไปจากประเทศไทย”นายสุริยะฯกล่าว
นายวันชัย พนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรฐานโควิด-19หรือมาตรฐานมตช. 45005 – 2564เป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆทั่วโลกสามารถนำไปใช้จัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยภายในโรงงานและสถานประกอบการทั่วไปเพื่อการทำงานอย่างปลอดภัยในระหว่างการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19โดยมีแนวทางการปฏิบัติหลักๆดังนี้1)สถานประกอบการที่จะนำมาตรฐานไปใช้ต้องมีการวางแผนการประเมินความเสี่ยง2)มีความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการเพื่อรับมือกับความเสี่ยง3)ผู้บริหารองค์กรต้องมีมาตรการเตรียมการป้องกันกรณีมีผู้ติดเชื้อเข้ามาภายในองค์กร4)มีมาตรการจำกัดจำนวนคนในพื้นที่5)มีการบริหารจัดการบุคลากรการกำหนดสถานที่การทำงานและการสื่อสาร6)มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้เพียงพอทั้งนี้มาตรฐานดังกล่าวเป็นข้อแนะนำให้สถานประกอบการนำไปปรับใช้สามารถใช้ได้กับองค์กรทุกขนาดและทุกประเภท
“การประชุมบอร์ดคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานด้านการตรวจสอบและรับรองในครั้งนี้นอกจากจะเห็นชอบมาตรฐานโควิด-19แล้วยังเห็นชอบมาตรฐานระบบการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจมตช.22313-2564ซึ่งเป็นระบบการจัดการที่ใช้ในองค์กรเพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักเช่นอุบัติภัยทางธรรมชาติการก่อวินาศกรรมการก่อจลาจลการเกิดโรคระบาดหรือการเกิดวิกฤตทางสถาบันการเงินให้สามารถฟื้นฟูองค์กรกลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วรวมทั้งดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องซึ่งประเทศต่างๆทั่วโลกมีการนำมาตรฐานนี้มาใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ด้วยนอกจากนี้บอร์ดยังเห็นชอบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับบีซีจีโมเดล(BCG – Bio Circular Green)ตามนโยบายรัฐบาลอีกด้วยรวม10มาตรฐานได้แก่มาตรฐานก๊าซเรือนกระจกรีไซเคิลขวดพลาสติกสี และเครื่องมือแพทย์เป็นต้น”เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรึงค่า FT ต่ออีก 4 เดือน งวด พ.ค. - ส.ค. 64 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
ตรึงค่า FT ต่ออีก 4 เดือน งวด พ.ค. - ส.ค. 64
...
ผู้ใช้ไฟฟ้าเตรียมเฮกันได้อีกครั้งกับค่าไฟฟ้าที่จะถูกลงกว่าเดิม ล่าสุด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติตรึงราคาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ “เอฟที” สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือน พ.ค. - ส.ค. 64 โดยเรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่ค่าไฟฐานอยู่ที่ 3.76 บาทต่อหน่วย
.
การตรึงราคานี้จะทำให้ค่าไฟฟ้าในเดือนที่ประกาศลดค่า เอฟที ถูกลงอีก 2.89 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วย
.
สาเหตุสำคัญที่รัฐบาลได้ออกมาตรการตรึงค่าเอฟทีมาอย่างต่อเนื่องนั้น ก็เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ประกอบกับในปัจจุบันมีการบริหารจัดการการนำเข้าก๊าซทดแทนสำหรับผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลง
.
ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเรื่องค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บประจำเดือน พ.ค. - ส.ค. 64 ทางเว็บไซต์https://www.erc.or.th/ระหว่างวันที่ 5 - 19 มี.ค. 64 และจะประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39811 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-MOU 12 กระทรวง และ กทม. บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
MOU 12 กระทรวง และ กทม. บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
MOU 12 กระทรวง และ กทม. บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
วันนี้ (3 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(กก.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกรุงเทพมหานคร โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงานถึงการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมงาน
นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ปัญหาสังคมของประเทศไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบเพิ่มมากขึ้นต่อประชาชนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะครัวเรือนเปราะบางที่เป็นครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและมีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็ก แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่มีปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า ในปี 2562 มีครัวเรือนเปราะบาง จำนวน 4.1 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง และกรุงเทพมหานคร เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม ทำให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตและให้ครอบครัวมั่นคงมีความสุข สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน เพื่อลด ความเหลื่อมล้ำและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพเต็มศักยภาพ เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง การสร้างเสริมเครือข่ายจากทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม และการส่งเสริมการจัดระบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มเปราะบาง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งวันนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง และกรุงเทพมหานคร โดยมีขอบเขตความร่วมมือในการสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบางเพื่อการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลรายครัวเรือน รวมถึงวางแผนการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการ โดยเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ด้วยกลไกสหวิชาชีพ ร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(อพม.) 1 คน รับผิดชอบ 10 ครอบครัว ติดตามครอบครัวกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป โดยมีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี (พ.ศ. 2564 – 2568)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39584 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ค.ต.ป.กระทรวงดิจิทัลฯ ชุดใหม่ ประชุมนัดแรกติดตามแผนงานสำคัญในปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ค.ต.ป.กระทรวงดิจิทัลฯ ชุดใหม่ ประชุมนัดแรกติดตามแผนงานสำคัญในปี 2564
ค.ต.ป.กระทรวงดิจิทัลฯ ชุดใหม่ ประชุมนัดแรกติดตามแผนงานสำคัญในปี 2564
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ประธานกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ค.ต.ป.ดศ.) ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมพิจารณาวาระสำคัญ เรื่อง (ร่าง) รายงานความก้าวหน้าผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ รอบ 6 เดือน ตามประเด็นการตรวจสอบ 2 ประเด็น ได้แก่ การบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล (โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ กิจกรรม พัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ Government Data Center and Cloud service : GDCC) และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการปรับปรุงเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ Dual Polarization 2) โครงการปรับปรุงระบบตรวจวัดระดับน้ำอัตโนมัติเพื่อการพยากรณ์อุตุนิยมวิทยาอุทกและเตือนภัย 3) โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจวัดข้อมูลอุตุนิยมวิทยาระดับอำเภอให้เป็นระบบอัตโนมัติ) เพื่อจัดส่งรายงานดังกล่าวให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) ภายใน 31 มีนาคม 2564 ต่อไป ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบโครงการตามประเด็นการตรวจสอบ ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมประชุมและนำเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการฯ ณ ห้องประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ
ทั้งนี้ ค.ต.ป.ดศ. มีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานในสังกัด ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) กำหนด โดยการสอบทาน ติดตาม และประเมินผลการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา ในครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการฯชุดนี้ นับแต่วันแต่งตั้ง 21 กุมภาพันธ์ 2564
*********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39849 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาลงทะเบียนเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
การขยายระยะเวลาลงทะเบียนเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
รมว.คลังมีนโยบายให้มีการดูแลกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงคนชราที่มีปัญหาทางกายภาพ เนื่องจากมีประชาชนกลุ่มดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ กระทรวงการคลังจึงได้พิจารณาขยายระยะเวลาการปิดรับลงทะเบียนออกไปจากวันที่ 5 มี.ค.2564
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีนโยบายให้มีการดูแลกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงคนชราที่มีปัญหาทางกายภาพ เนื่องจากยังมีประชาชนกลุ่มดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ กระทรวงการคลังจึงได้พิจารณาขยายระยะเวลาการปิดรับลงทะเบียนออกไปจากวันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 26 มีนาคม 2564โดยระหว่างวันที่ 6 – 7 มีนาคม 2564 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) จะปิดระบบลงทะเบียนเพื่อปรับปรุงระบบฐานข้อมูลและจะเปิดระบบรับลงทะเบียนอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ในท้องที่เพื่อดำเนินการประสานการจัดหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ดำเนินการรับลงทะเบียน นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือในการรับลงทะเบียนให้แก่กลุ่มดังกล่าวให้ครอบคลุมต่อไป
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯณวันที่ 5 มีนาคม 2564 ดังนี้1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคนได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 34,137ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้วมีจำนวนมากกว่า 16.5 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน43,442ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯระหว่างวันที่ 15– 21 กุมภาพันธ์ 2564 และผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5 ล้านคน ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์โครงการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 30.7 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 77,579 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 021111122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อิทธิพล” นั่งประธานฯ คณะอนุฯ CPTPP ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เร่งศึกษาประเมินความพร้อมของไทย | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
“อิทธิพล” นั่งประธานฯ คณะอนุฯ CPTPP ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เร่งศึกษาประเมินความพร้อมของไทย
“อิทธิพล” นั่งประธานฯ คณะอนุฯ CPTPP ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เร่งศึกษาประเมินความพร้อมของไทย
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง CPTPP ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการนี้ที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ เรื่องการประเมินความพร้อม และแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ในประเด็นด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็น 1 ใน 8 คณะอนุกรรมการฯ แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันประเมินความพร้อมของไทย และจัดทำแผนงานการปรับตัวตามผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP และให้เสนอแผนงานฯ ต่อที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เพื่อประมวลความพร้อมหรือไม่พร้อมของประเทศไทยในประเด็นต่างๆ และพิจารณานำเสนอ ครม. ให้ทันภายใน 90 วัน หรือภายในกลางเดือนเมษายนนี้ ตามมติที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40368 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานสืบสานงานบุญวันช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ และ "วิถีชุมชน คนรักษ์ช้าง สร้างชื่อไทย" พร้อมส่งมอบผลงาน "บ้านคน บ้านช้าง" ให้จังหวัดสุรินทร์ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานสืบสานงานบุญวันช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ และ "วิถีชุมชน คนรักษ์ช้าง สร้างชื่อไทย" พร้อมส่งมอบผลงาน "บ้านคน บ้านช้าง" ให้จังหวัดสุรินทร์
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานสืบสานงานบุญวันช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ และ "วิถีชุมชน คนรักษ์ช้าง สร้างชื่อไทย" พร้อมส่งมอบผลงาน "บ้านคน บ้านช้าง" ให้จังหวัดสุรินทร์
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานสืบสานงานบุญวันช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ และ "วิถีชุมชน คนรักษ์ช้าง สร้างชื่อไทย" พร้อมส่งมอบผลงาน "บ้านคน บ้านช้าง" ให้จังหวัดสุรินทร์ เพื่อยกย่องช้าง ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยมาตั้งแต่อดีต และเพื่อให้ประชาชนคนไทย หันมาสนใจช้าง รักช้าง หวงแหนช้าง ตลอดจนให้ความสำคัญ ต่อการให้ความช่วยเหลือ อนุรักษ์ช้างมากขึ้น โดยมี พระครูสมุห์หาญ ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียง นายนราธร ศรประสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แขกผู้มีเกียรติ พี่น้องประชาชนจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ “SME คนละครึ่ง” ช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน คาดเริ่มเปิดโครงการฯ กลางปีนี้ | วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564
รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ “SME คนละครึ่ง” ช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน คาดเริ่มเปิดโครงการฯ กลางปีนี้
รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ “SME คนละครึ่ง” ช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน คาดเริ่มเปิดโครงการฯ กลางปีนี้
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มเติม ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50-80 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอทดสอบผลิตภัณฑ์ จดทะเบียนหรือขอใบรับรองมาตรฐานต่างๆ และการปรึกษาทางธุรกิจ เช่น มาตรฐานการบัญชี มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกอช.) มาตรฐานอาหาร (อย.) ซึ่งที่ผ่านมาการขอรับบริการทางธุรกิจต่างๆ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบการ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเอสเอ็มอีไทยด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs’ Co-payment ในกลางปีนี้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ เอสเอ็มอีไทยที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย สามารถตัดสินใจเลือกพัฒนาคุณภาพและขอรับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแต่ละราย สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลด้วย
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ริเริ่มแนวทางเพื่อสร้างทางเลือกให้กับ SME ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ได้ตรงตามความต้องการได้มากขึ้น สสว. จากผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service: BDS) โดยสสว. จะให้การเงินสนับสนุนแบบร่วมจ่าย (co-payment) โดยมีค่าใช้จ่ายที่สามารถขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการอบรมพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการทดสอบและรับรองมาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทดลองผลิตระดับอุตสาหกรรมและการออกแบบ ค่าใช้จ่ายในการขยายโอกาสทางการตลาด ค่าใช้จ่ายในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งค่าตอบแทน เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าผู้เชี่ยวชาญ ค่าวินิจฉัย เป็นต้น โดยคุณสมบัติของเอสเอ็มอีต้องเป็นธุรกิจที่มีการยื่นชำระภาษีและขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า ล่าสุดรัฐบาลได้มีการปรับกฎเกณฑ์ด้วยการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 เพื่อเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่ง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 22 ธ.ค. 2563
นอกจากนี้แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังได้มีการหารือเพื่อปรับปรุงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Softloan) ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงซอฟท์โลนได้ง่ายและมีวงเงินกู้สูงขึ้น รวมทั้งแนวทาง asset warehousing เพื่อช่วยเหลือไม่ใช้ทรัพย์สินธุรกิจที่ยังมีศักยภาพต้องถูกยึดหรือปิดตัวลง ซึ่งรายละเอียดจะนำสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ห้ามพลาด!!PM Talk ตอนพิเศษ “นายกฯ รับการฉีดวัคซีนโควิด” | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
ห้ามพลาด!!PM Talk ตอนพิเศษ “นายกฯ รับการฉีดวัคซีนโควิด”
...
รอชมกันสด ๆ ได้เลยครับ กับบรรยากาศการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของนายกรัฐมนตรี และรายการ PM Talk ที่ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ถึงประเด็นวัคซีนโควิด-19 ของไทยในหลายแง่มุม โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและต่างประเทศ
.
ติดตามกันได้ที่เฟซบุ๊กเพจไทยคู่ฟ้า...สดจากทำเนียบรัฐบาล วันอังคารที่ 16 มี.ค. 64 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือ ทอท. ขับเคลื่อนโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ ทอท. ขับเคลื่อนโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ ทอท. ขับเคลื่อนโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช (One Stop Service) และโครงการศูนย์จัดเตรียมสินค้าเกษตรผ่านช่องทางพิเศษ (PPL) ยกระดับมาตรฐานตรวจสอบสินค้าเกษตรไทยสู่สากล
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับฟังแผนการดำเนินงานโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (One Stop Service) และโครงการศูนย์จัดเตรียมสินค้าเกษตรผ่านช่องทางพิเศษ (Perishable Premium Lane) โดยมี นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บรรยาย ว่าโครงการฯ ดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าเกษตรให้แก่ผู้ส่งออกและเกษตรกรของไทย จึงผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าการเกษตรก่อนส่งออก เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าการเกษตรของภูมิภาคอาเซียนไปยังประเทศปลายทางได้อย่างมีมาตรฐานสากล อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการส่งออกสินค้าภาคเกษตรเพิ่มมูลค่าประเภท พืช ผัก ผลไม้ ไปสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางอากาศและระบบโลจิสติกส์ในภาพรวมของประเทศ โดยในระยะแรกของโครงการฯ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดตั้งสถานที่สำหรับเตรียมสินค้าเกษตร และสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านทางช่องทางพิเศษ (Perishable Premium Lane) และจัดเตรียมพื้นที่ให้บริการตรวจพืชแบบเบ็ดเสร็จ (One - Stop Service) ก่อนจะดำเนินโครงการศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งออก (Reshipment Inspection Center) ต่อไปในอนาคต
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ชมสถานที่ปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชสุวรรณภูมิ ณ บริเวณอาคารขนถ่ายสินค้า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเข้าเยี่ยมชมพื้นที่สำหรับจัดตั้งโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และโครงการศูนย์จัดเตรียมสินค้าเกษตรผ่านช่องทางพิเศษ (Perishable Premium Lane) ณ อาคารคลังสินค้า 4 อีกทั้ง ได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร จัดทำแผนย้ายสถานที่ออกใบรับรองสุขอนามัยพืชและจุดตรวจสินค้าเกษตรก่อนการส่งออก ณ ด่านตรวจพืชท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดิมมี 5 จุด มาไว้เป็นที่เดียวกัน เป็นระบบ One Stop Service โดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดสรรพื้นที่และปรับปรุงพื้นที่เพื่อเตรียมให้บริการดังกล่าว คาดว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จะส่งมอบอาคารที่ปรับปรุงแล้วเสร็จประมาณเดือนพฤศจิกายน 2564 และสามาถให้บริการผู้ส่งออกได้ปลายปี 2564
"ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงมอบนโยบายให้กรมวิชาการเกษตร พัฒนาระบบการบริการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะด่านตรวจพืชท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งสินค้าเกษตรส่งออกส่วนใหญ่มีมูลค่าสูง ผู้ส่งออกต้องการบริการที่มีความรวดเร็ว เพื่อรักษาความสดของสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ ซึ่งโครงการรวมจุดตรวจด่านตรวจพืช ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (One Stop Service) และโครงการศูนย์จัดเตรียมสินค้าเกษตรผ่านช่องทางพิเศษ (Perishable Premium Lane) จะเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” รมช.มนัญญา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39803 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
นอกจากนโยบายป้องกันปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ที่ให้วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี สามารถขอฝังยาคุมและห่วงอนามัยได้ฟรีที่สถานบริการของรัฐในสังกัด สปสช. ทุกแห่งทั่วประเทศ แล้ว ล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง กำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ... ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้ท้องถิ่นจัดสถานบริการอนามัยเจริญพันธุ์ เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำแก่วัยรุ่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว พร้อมทั้งจัดให้มีสวัสดิการสังคม เช่น ฝึกอาชีพ พัฒนาร่างกายและจิตใจ ช่วยเหลือด้านกฎหมาย รวมถึงประสานหน่วยงานรัฐอื่นในการช่วยเหลือดูแลแม่วัยใสอย่างครอบคลุมทุกด้าน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40192 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ชุมชนต้องเข้มแข็ง -ใช้กฎหมายตัดวงจรการค้ายาเสพติด | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ชุมชนต้องเข้มแข็ง -ใช้กฎหมายตัดวงจรการค้ายาเสพติด
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำกับติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ในวันอังคารที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำกับติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ห้องประชุมที่ทำการชุมชนกองขยะหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสุนทร ชื่นศิริ ผอ.ป.ป.ส.กทม. ผู้แทนสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร นายสรสิช เหลืองรุ่งเกียรติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตหนองแขม พ.ต.อ.นครินทร์ สุคนธวิท รอง ผบก.น. ๙ พ.ต.อ. ศุภัทร ศุภกำเนิด ผู้กำกับการ สน.หนองค้างพลู พร้อมด้วยประธานชุมชน คณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินเขตหนองแขม ศูนย์บริการสาธารณสุข คณะผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส.กทม. และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมการประชุมฯ
ในการนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้ถ่ายทอดนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้เล็งเห็นปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังโดยภาครัฐต้องร่วมมือกับชุมชนจึงจะประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งร่วมรับฟังรายงานสถานการณ์ปัญหายาเสพติดและผลการดำเนินงานด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้มีข้อสั่งการในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นเป็นระยะ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการจัดการเครือข่ายยาเสพติด และการยึดทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ตลอดจนการผลักดันให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายยาเสพติดโดยมีกองทุนแม่ของแผ่นดิน ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระราชทานทุนประเดิม เพื่อให้สำนักงาน ป.ป.ส. นำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยในปี ๒๕๕๗ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้นำพระราชทรัพย์พระราชทานดังกล่าวสมทบกับงบประมาณของสำนักงาน ป.ป.ส. จัดตั้งเป็น “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” เพื่อเป็นทุนตั้งต้นที่จะรวมพลังและศรัทธาของประชาชน และหน่วยงาน/องค์กรภาคีทุกภาคส่วนที่มีต่อพระองค์ แปลงให้เป็นพลังความร่วมมือในการจัดการกับปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน และถือเป็นยุทธศาสตร์พระราชทานที่เป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเป็นเงื่อนไขกระตุ้นความตื่นตัวในการทำความดี ปกป้องรักษาชุมชนให้มีความเข้มแข็งพึ่งตนเองมากยิ่งขึ้น และเป็นแบบอย่างของการบูรณาการเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืนเข้ากับกระบวนการพัฒนาทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ชีวิตและชุมชนเกิดความเข้มแข็ง ซึ่ง "หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหายาเสพติด" คือ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ที่จะต้องช่วยกันสอดส่อง เฝ้าระวังชุมชนของตนเอง เพราะชุมชนที่เข้มแข็งคือ ภูมิคุ้มกันยาเสพติดที่ดีที่สุด หากสมาชิกในชุมชนทุกคนร่วมใจกันสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการจิตอาสาพระราชทานเพื่อให้คนไทยทุกคนมีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเจริญ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างถาวร เช่น การเฝ้าระวังชุมชนของตนเองให้ปลอดยาเสพติด การดูแลผู้ที่ผ่านการบำบัดฟื้นฟู การฝึกอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อมิให้ผู้เสพ กลับเข้าไปอยู่ในวังวนของยาเสพติด หรือกลับไปเสพซ้ำ ก็จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง และส่งผลให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาคือ การเสพติดรายได้ที่มาจากการค้าขายยาเสพติด ซึ่งต้องใช้กลไกของกฎหมายที่เข้มงวดเข้ามาจัดการ โดยมุ่งเน้นการยึดทรัพย์สินตามมูลค่าของยาเสพติดเพื่อเป็นการตัดวงจรการค้ายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน โดยขณะนี้ กฎหมายยาเสพติดอยู่ระหว่างการนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว ทั้งนี้ ภารกิจหลักของกระทรวงยุติธรรมคือ การอำนวยความยุติธรรมครอบคลุมทุกมิติให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ภายใต้แนวคิด "ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน" ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อกระทรวงยุติธรรมผ่านสายด่วนฟรี โทร.๑๑๑๑ กด ๗๗ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
หลังจากนั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมและคณะร่วมฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติด รับฟังรายงานสถานการณ์ปัญหายาเสพติดและผลการดำเนินงานด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ พร้อมมอบสื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และน้ำดื่ม สำนักงาน ป.ป.ส. ให้แก่ชุมชนอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39793 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เป็นประธานวันสถาปนาครบรอบ 69 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ปลัดเกษตรฯ เป็นประธานวันสถาปนาครบรอบ 69 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ปลัดเกษตรฯ เป็นประธานวันสถาปนาครบรอบ 69 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชี นำขบวนการสหกรณ์ไทยสู่ความโปร่งใส เข้มแข็ง ยั่งยืน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 69 ปี พร้อมมอบโล่รางวัลและประกาศเกียรติคุณบุคลากรดีเด่น กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวนทั้งสิ้น 36 ราย โดยมีนายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ นายพจน์ภิรัชต์ เนียมจุ้ย รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ นางสาวอัญมณี ถิรสุทธิ์ รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ให้การต้อนรับ ณ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก เพื่อช่วยเสริมสร้างอำนาจการต่อรอง ส่งเสริมการแปรรูปสินค้า เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์การเกษตร เชื่อมโยงตลาดเกษตรกร สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน รวมทั้งยกระดับความรู้ความสามารถบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาสถาบันเกษตรกร สำหรับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มีภารกิจในการตรวจสอบบัญชี กำหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชี พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชี เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร สามารถนำผลการตรวจสอบบัญชีและข้อสังเกตของผู้สอบบัญชีไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการบริหารจัดการและอำนวยประโยชน์แก่สมาชิกโดยรวม พร้อมทั้งสนับสนุนการให้ความรู้ คําแนะนํา ด้านการเงินการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั้งประเทศ
ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก เพื่อช่วยเสริมสร้างอำนาจการต่อรอง ส่งเสริมการแปรรูปสินค้า เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์การเกษตร เชื่อมโยงตลาดเกษตรกร สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน รวมทั้งยกระดับความรู้ความสามารถบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาสถาบันเกษตรกร สำหรับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มีภารกิจในการตรวจสอบบัญชี กำหนดระบบบัญชีและมาตรฐานการสอบบัญชี พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชี เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร สามารถนำผลการตรวจสอบบัญชีและข้อสังเกตของผู้สอบบัญชีไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการบริหารจัดการและอำนวยประโยชน์แก่สมาชิกโดยรวม พร้อมทั้งสนับสนุนการให้ความรู้ คําแนะนํา ด้านการเงินการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั้งประเทศ
ปัจจุบันมีสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ประมาณ 12.80 ล้านคน มีทุนดำเนินงานกว่า 3.56 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าดำเนินธุรกิจสูงถึง 2.23 ล้านล้านบาท จึงเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและมีส่วนสำคัญ ในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจฐานรากได้ ตลอดจนการดำเนินการสนับสนุนองค์ความรู้ทางบัญชีสู่เกษตรกรและประชาชน ให้สามารถทำบัญชีได้ ใช้บัญชีเป็น ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคการเกษตร ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพด้านการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้เกษตรกรได้อย่างมั่นคง สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ทำให้รู้จักความพอมี
พอกิน พอใช้ สามารถปรับเปลี่ยนอาชีพให้เกิดความมั่นคง
ด้านนายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ได้กำหนดกรอบทิศทางการทำงาน ให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายการพัฒนางานที่สำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครอบคลุมภารกิจหลักของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดยบูรณาการขับเคลื่อนการส่งเสริมการทำบัญชีให้กับเกษตรกรในโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยืนหยัดในการดำเนินงานตามภารกิจเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ ให้กับสหกรณ์และเกษตรกร โดยเน้นย้ำใน 3 ประเด็น คือ
1) การตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยเร่งพัฒนางานตรวจสอบบัญชีให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร สามารถจัดทำบัญชีและงบการเงินได้ พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและตามที่ระเบียบกรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้รับการตรวจสอบบัญชีอย่างโปร่งใส 2) การให้ข้อแนะนำกำกับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร โดยให้ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ตรวจสอบ การดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบข้อบกพร่องใด ๆ ให้เร่งให้คำแนะนำหรือชี้แนะแนวทางการแก้ไขปัญหา ข้อบกพร่องต่าง ๆ และ 3) การถ่ายทอดองค์ความรู้และส่งเสริมการจัดทำบัญชี ทั้งบัญชีครัวเรือน บัญชีต้นทุนอาชีพ รวมไปถึงบัญชีธุรกิจ ไปในทุกกลุ่มเป้าหมาย ให้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โดยให้กรมฯ เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลสอนแนะ การทำบัญชีให้เกษตรกร ได้มีความรู้และเข้าใจในการนำระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการภาคการเกษตร ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและผลิตได้อย่างสมดุลสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ช่วยส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงินที่ดีอันเป็นการช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้ และต่อยอดไปถึงการทำบัญชีธุรกิจไปยังระดับกลุ่มสหกรณ์และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้กว้างขวางขึ้น
อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการดำเนินงาน ตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คือ “ภายในปี 2565 สหกรณ์และเกษตรกรมีความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้” ทั้งในด้านการพัฒนาความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีแก่สหกรณ์และสถาบันเกษตรกร เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกและผู้ใช้งบการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชัน Smart Me ช่วยในการบันทึกบัญชีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว สามารถนำข้อมูลทางบัญชีมาใช้วิเคราะห์ เพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดต้นทุนจากการประกอบอาชีพและสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการพัฒนาเจ้าหน้าที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ สู่ความเป็นมืออาชีพ เตรียมความพร้อมสู่การปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัลในอนาคตสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ในระดับชาติต่อไป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39910 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมเปิดให้บริการเดินรถสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย และบ้านแหลม - แม่กลอง เต็มรูปแบบ 42 ขบวน เริ่ม 26 มีนาคม นี้ เป็นต้นไป | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมเปิดให้บริการเดินรถสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย และบ้านแหลม - แม่กลอง เต็มรูปแบบ 42 ขบวน เริ่ม 26 มีนาคม นี้ เป็นต้นไป
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบในเส้นทางสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย จำนวน 34 ขบวน และบ้านแหลม-แม่กลอง 8 ขบวน รวม 42 ขบวน
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบในเส้นทางสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย จำนวน 34 ขบวน และบ้านแหลม-แม่กลอง 8 ขบวน รวม 42 ขบวน หลังจากหยุดให้บริการไปชั่วคราวตามมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า รฟท. พร้อมเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบในเส้นทางสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย จำนวน 34 ขบวน และบ้านแหลม-แม่กลอง 8 ขบวน รวม 42 ขบวน หลังจากหยุดให้บริการไปชั่วคราวตามมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยจะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวก และรองรับการเดินทางของประชาชนที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลังมีการผ่อนคลายมาตรการเฝ้าระวังฯ
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในการให้บริการแก่ประชาชนผู้โดยสาร รฟท. ได้จัดการทำความสะอาดครั้งใหญ่หรือบิ๊กคลีนนิ่ง สถานีรถไฟ และจุดพักรถทุกแห่งที่อยู่ในสายวงเวียนใหญ่ - มหาชัย และบ้านแหลม - แม่กลอง รวมถึงทำความสะอาดภายในขบวนรถโดยสารทุกคันทุกขบวน ควบคู่กับการใช้มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางรางอย่างเคร่งครัด ด้วยการกำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากาก การรักษาระยะห่าง Social Distancing พร้อมกับให้สแกนแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ให้สามารถกรอกข้อมูลการเดินทางแทน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้า หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ยกทีม รวมใจ จิตอาสา บริจาคโลหิต "Give Blood Save Lives" เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ทส. ยกทีม รวมใจ จิตอาสา บริจาคโลหิต "Give Blood Save Lives" เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal
ทส. ยกทีม รวมใจ จิตอาสา บริจาคโลหิต "Give Blood Save Lives" เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal
ทส. ยกทีม รวมใจ จิตอาสา บริจาคโลหิต "Give Blood Save Lives" เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้กำลังใจและนำคณะผู้บริหารระดับสูง บริจาคโลหิตโครงการกิจกรรม "รวมใจ ทส. จิตอาสา บริจาคโลหิต" Give Blood Save Lives" เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564 เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถ. อังรีดูนังต์ กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญชวนข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ที่มีสุขภาพดี แข็งแรง ร่วมบริจาคโลหิตเพื่อสำรองโลหิตไว้แจกจ่ายให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศตามโรงพยาบาลต่างๆ ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 โดยในส่วนกลาง สามารถบริจาคได้ที่อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เวลา 09.00 -15.00 น.และในส่วนภูมิภาคบริจาคโลหิตได้ที่ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.รับรางวัล Global Performance Excellence Award 2020 ระดับ Best in Class องค์กรที่มีความเป็นเลิศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ธอส.รับรางวัล Global Performance Excellence Award 2020 ระดับ Best in Class องค์กรที่มีความเป็นเลิศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ร่วมยินดี!! ธอส. 1 ใน 2 องค์กรของประเทศไทย ได้รับรางวัล Global Performance Excellence Award 2020 ระดับ Best in Class องค์กรที่มีความเป็นเลิศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต่อยอด รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) 2019
ร่วมยินดี!! ธอส. 1 ใน 2 องค์กรของประเทศไทย ได้รับรางวัล Global Performance Excellence Award 2020 ระดับ Best in Class องค์กรที่มีความเป็นเลิศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต่อยอด รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) 2019
วันที่ 19 มีนาคม 2564 : นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รับมอบดอกไม้แสดงความยินดีจาก นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในโอกาสที่ ธอส. เป็น 1 ใน 2 องค์กรแรกของประเทศไทยในรอบ 18 ปีที่ได้รับรางวัล Global Performance Excellence Award 2020 : GPEA 2020 ระดับ Best in Class จาก Asia Pacific Quality Organization ,Inc. (APQO) รางวัลเชิดชูเกียรติองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ ต่อยอดจากที่ ธอส. ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2562 (Thailand Quality Award - TQA 2019) ซึ่งจัดขึ้นในพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 19 ประจำปี 2563 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยพร้อมเดินหน้าสู่ Digital Service Bank เต็มรูปแบบ ด้วยโครงการ G H Bank New Normal Services รวมทุกบริการทางการเงินเหมือนยกธนาคารไว้ใน Mobile Application : GHB ALL และเป็นแบงก์รัฐแห่งแรกที่ใช้เทคโนโลยีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล ด้วยการเปรียบเทียบใบหน้าผ่านโครงข่ายแพลตฟอร์ม National Digital ID (NDID) มาให้บริการกับลูกค้า
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า รางวัล Global Performance Excellence Award 2020 : GPEA 2020 ระดับ Best in Class จาก Asia Pacific Quality Organization ,Inc. (APQO) ที่ธนาคารได้รับในครั้งนี้ ถือเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติที่มอบให้แก่องค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ และนำกรอบการบริหารจัดการคุณภาพตามมาตรฐานสากลมาพัฒนาและบริหารจัดการองค์กรในทุกมิติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดย ธอส. ได้รับการประกาศชื่อให้เป็น 1 ใน 2 องค์กรแรกของประเทศไทยในรอบ 18 ปี ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว นับเป็นรัฐวิสาหกิจไทยแห่งแรก และเป็นเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัล GPEA 2020 อีกด้วย สะท้อนถึงประสิทธิภาพในระดับมาตรฐานโลก ความเป็นเลิศในการบริหารจัดการองค์กรมีระบบการนำองค์กร การวางแผนกลยุทธ์ การดูแลลูกค้า พนักงาน ระบบงาน และมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี สร้างคุณค่าให้กับสังคมไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในการดำเนินงานตามพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" จึงนับเป็นความภาคภูมิใจ อีกขั้นต่อยอดจากการที่ ธอส. ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2562 (Thailand Quality Award -TQA 2019) รางวัลระดับประเทศที่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ มอบให้กับองค์กรที่มีการบริหารจัดการทุกด้านที่เป็นเลิศและทัดเทียมมาตรฐานโลก ซึ่งองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ หรือ TQA แล้ว จะไม่สามารถยื่นขอรับรางวัลได้อีกเป็นเวลา 5 ปี ตามเกณฑ์ ที่สำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติกำหนด
นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ ธอส. ได้พัฒนาการให้บริการใหม่ด้านดิจิทัลทั้งทางด้านการเงินและสินเชื่อขึ้นสู่ Application : GHB ALL แอปเดียวครบ จบ เหมือนยกธนาคารไว้ในมือคุณ มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ธอส. ได้ง่าย ๆ สะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ ภายใต้ โครงการ G H Bank New Normal Services โดยเริ่มให้บริการตามแผนของโครงการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2563 ถึง ณ วันที่ 16 มีนาคม 2564 หรือภายในระยะเวลา 182 วัน ธอส. มีฟังก์ชั่นใหม่ที่เปิดให้บริการลูกค้าผ่าน GHB ALL รวม 15 บริการ ซึ่ง 2 บริการล่าสุดที่เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา คือ 1.สมัคร Application : GHB ALL ด้วยตัวเอง สำหรับลูกค้าที่มีการพิสูจน์ยืนยันตัวตนด้วยการเปรียบเทียบใบหน้า(Facial Recognition) ที่ได้จัดเก็บไว้กับธนาคารเรียบร้อยแล้ว ทำให้ลูกค้าสามารถสมัครใช้งาน Application : GHB ALL ด้วยตัวเองได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา ซึ่ง ธอส.เป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งแรกที่ใช้เทคโนโลยีในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล ด้วยการเปรียบเทียบใบหน้าผ่านโครงข่ายแพลตฟอร์ม National Digital ID (NDID) ซึ่งใช้ Blockchain เทคโนโลยี มาพัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้าในการเปิดบัญชีออมทรัพย์ผ่าน Application : GHB ALL
2.การโอนเงินเข้าบัญชีอัตโนมัติหลังทำนิติกรรม สำหรับลูกค้าสินเชื่อของธนาคารที่มีการกู้เพื่อปลูกสร้างซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย และชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เป็นต้น เมื่อทำนิติกรรมแล้วเสร็จจะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้าโดยอัตโนมัติ จากเดิมที่ต้องนำแคชเชียร์เช็คที่ธนาคารมอบให้หลังทำนิติกรรมไปขึ้นเงินที่สาขาอีกครั้ง และสามารถตรจสอบยอดเงินที่เข้าบัญชีผ่าน GHB ALL ได้ทันที สะดวก และปลอดภัย ไม่ต้องไปสาขา
นอกจากนี้ ในระยะต่อไป ธอส.จะพัฒนาฟังก์ชั่นการให้บริการผ่าน GHB ALL เพิ่มขึ้นเช่น การเปิดให้ลูกค้าจ่ายเบี้ยประกันอัคคีภัย เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ปลดล็อค Application : GHB ALL ด้วยตัวเอง ในกรณีที่ลูกค้าเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่หรือเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์(เปลี่ยนซิม)แต่ใช้เครื่องเดิม เริ่มเปิดให้บริการวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ เพื่อการยกระดับสู่การเป็น Digital Service Bank ในปี 2564 และก้าวเป็น Digital Bank เต็มรูปแบบในปี 2566 โดยตั้งเป้าลดจำนวนธุรกรรมที่เคาน์เตอร์ภายในสาขาให้เหลือ 5% จำนวนธุรกรรมผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ ตู้ชำระเงินกู้ LRM ที่หน้าสาขาเหลือ 15% และเพิ่มจำนวนธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL เป็น 80% ของจำนวนธุรกรรมทั้งหมด ภายในปี 2565 โดย ณ วันที่ 15 มีนาคม 2564 มีจำนวนลูกค้าที่สมัครและใช้งาน GHB ALL จำนวน 944,393 บัญชี เพิ่มขึ้นถึง 660,822 บัญชี จาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีจำนวนลูกค้าใช้งานเพียง 283,571 บัญชี และมีจำนวนลูกค้าทำธุรกรรมผ่าน GHB ALL คิดเป็น 54.61% ของธุรกรรมทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาบริการใหม่ของธนาคารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40163 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ขายความสำเร็จพัฒนาแอปหนุนการพัฒนาทุกมิติเวที WSIS Forum 2021 | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ดีอีเอส ขายความสำเร็จพัฒนาแอปหนุนการพัฒนาทุกมิติเวที WSIS Forum 2021
ดีอีเอส ขายความสำเร็จพัฒนาแอปหนุนการพัฒนาทุกมิติเวที WSIS Forum 2021
“เนวินธุ์”ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯร่วมเวทีWSIS Forum 2021ผ่านระบบประชุมออนไลน์นำเสนอความสำเร็จประเทศไทยพัฒนาแอปหนุนดิจิทัลขับเคลื่อนในทุกมิติและจัดการสถานการณ์โควิด-19ปลื้มโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชนฝ่าด่านกว่าพันโครงการจากทั่วโลกเข้าท้าชิงรางวัลWSIS Prize 2021
นายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวานนี้(23มีนาคม2564)ได้เข้าร่วมการประชุมWorld Summit on the Information Society Forum (WSIS) 2021ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU) ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์โดยหัวข้อหลักของการประชุมปีนี้คือ“ICTs for Inclusive Resilient and Sustainable Societies and Economiesโดยในฐานะผู้แทนจากประเทศไทยได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในช่วงHigh-level Policy Sessionsซึ่งกำหนดหัวข้อไว้14หัวข้อให้ประเทศสมาชิกเลือกนำเสนอตามความสนใจ
สำหรับหัวข้อที่กระทรวงฯนำเสนอคือICT Applications and Services ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายของไทยในการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้แอปพลิเคชันและการให้บริการด้านICTและดิจิทัลเพื่อพัฒนาบริการภาครัฐภาคเอกชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
“เรานำเสนอเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาแอปและการให้บริการด้านICTและดิจิทัลอาทิการสนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัลเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ(GDCC) การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ(GBDi)รวมทั้งการใช้แอปพลิเคชันบนมือถือได้แก่หมอชนะและThailand Plusเพื่อใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19”นายเนวินธุ์กล่าว
นอกจากนี้ประเทศไทยยังสนอให้ITUและประเทศสมาชิกร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นต่างๆการลดช่อว่างทางดิจิทัลเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDG)ไปด้วยกัน
ทั้งนี้WSIS Forumเป็นการประชุมระดับโลกในกรอบสหประชาชาติสำหรับผู้มีพันธกิจเกี่ยวข้องกับงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT)เพื่อการพัฒนาและเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศรวมถึงการกำหนดแนวทางการพัฒนาและสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกันโดยมีผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐภาคเอกชนของประเทศสมาชิกITUและองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมอาทิรัฐมนตรีด้านICTและดิจิทัลจากประเทศโปแลนด์และโปรตุเกสวุฒิสภาจากประเทศบาร์เบโดสและผู้แทนจากInternet Society Foundation
นายเนวินธุ์กล่าวว่าในปีนี้โครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน(Digital Community Center Project)ของประเทศไทยยังเป็นโครงการหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับคัดเลือกให้ติด1ใน360โครงการที่เข้ารอบจากทั้งหมด1,270โครงการทั่วโลกและถูกเสนอเป็น1ใน20โครงการในหมวดสังคมและจริยธรรมของเทคโนโลยีสารสนเทศ(Ethical Dimensions of the Information Society)ที่จะเข้าไปร่วมชิงรางวัลWSIS Prize 2021
ดังนั้นอยากเชิญชวนให้คนไทยช่วยกันร่วมโหวตสนับสนุนโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน(Digital Community Center Project)เพื่อคว้ารางวัลระดับโลกWSIS Prize 2021โดยโครงการที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด5อันดับในแต่ละหมวดจะผ่านเข้าไปในรอบการคัดเลือกต่อไปสามารถร่วมโหวตออนไลน์ตั้งแต่วันนี้- 31มี.ค. 64คลิกเข้าไปที่https://qrgo.page.link/iSMF4เพื่อดูรายละเอียดในไฟล์คู่มือการโหวตลงคะแนนเสียง
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40299 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมข.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจติดตาม การสร้างโครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน จังหวัดนครสวรรค์ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
รมข.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจติดตาม การสร้างโครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน จังหวัดนครสวรรค์
รมข.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจติดตาม การสร้างโครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน จังหวัดนครสวรรค์ แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง และช่วยบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการสร้างโครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน จังหวัดนครสวรรค์ ณ โครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ว่า โครงการประตูระบายน้ำเขาชนกัน เป็นการก่อสร้างประตูระบายน้ำ และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น มีประตูระบายน้ำขนาด 7 ช่อง พื้นที่รับประโยชน์ 10,000 ไร่ เพื่อสนับสนุนด้านการเกษตร ด้านอุปโภคบริโภค และบรรเทาปัญหาอุทกภัย
จากการที่ลุ่มน้ำสะแกกรังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำทั้งการอุปโภคบริโภค และการเพาะปลูกในเขตอ.แม่วงก์ อ.แม่เปิ่น อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ และอ.สว่างอารมณ์ อ.ทัพทัน อ.เมือง จ.อุทัยธานี รวมทั้งปัญหาน้ำท่วมตอนล่าง และพื้นที่ลุ่มริมลำน้ำในเขต อ.ลาดยาว อ.ชุมตำบง จ.นครสวรรค์ และอ.ทัพทัน อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ทั้งนี้พื้นที่ประสบปัญหาส่วนใหญ่ จะอยู่ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำวงก์และสะแกกรังตอนล่าง เนื่องจากยังไม่มีที่เก็บกักน้ำเพียงพอในการเก็บกักน้ำหลากในฤดูฝน เพื่อนำมาใช้ในช่วงฤดูแล้ง และเหตุการณ์อุกทกภัย ที่จะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรของประชาชนอย่างมากเป็นประจำทุกปี และมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต ก่อให้เกิดความเสียหายมากและกว้างขว้างในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอุทกภัยในปี 2554 และเหตุการณ์ภัยแล้ง 2558 สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชนที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และการท่องเที่ยว
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า จากโครงการประตูระบายน้ำเขาชนกันนี้ จะทำให้เกิดผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการเกษตร เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิต ที่เกิดจากการมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และเปลี่ยนแปลงการปลูกพืชที่สร้างรายได้แก่ครัวเรือนในฤดูแล้ง ช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ประชาชนในพื้นที่จะมีน้ำอุปโภค – บริโภค อย่างเพียงพอ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้ จัดงานใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์เม.ย.นี้มีกิจกรรมแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เปิดบูธขายสินค้าวัฒนธรรม- CPOT กำชับยึดมาตรการสธ.เคร่งครัด
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรัฐจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ชุมชนและประเทศ ซึ่งในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)มุ่งสร้างขวัญและกำลังใจและส่งเสริมให้ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านศิลปวัฒนธรรม ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 มีพื้นที่ในการแสดงและจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมผ่านโครงการมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งเป็นการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่“BCG” ในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโดยเฉพาะการส่งเสริมและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ได้แก่ สินค้าและบริการทางวัฒนธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand:CPOT)และสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรในจังหวัดต่างๆ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า โครงการมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จ.นครราชสีมา จัดงานวันที่ 23-29 มีนาคมนี้ ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ลิเก หมอลำ หมอเพลงและวงดนตรีโปงลาง ภาคเหนือที่จ.เชียงราย จัดงานวันที่ 27-31 มีนาคมนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย จ.เชียงราย มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ขับซอล้านนา ช่างฟ้อนล้านนาดนตรีพื้นบ้าน สีล้อซอ ปี่พาทย์ มหกรรมกลองล้านนา กลองสะบัดชัย กลองปูจา(บูชา) ฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง ขับลื้อ โฟล์คซองคำเมืองและดนตรีชาติพันธุ์ และมีกิจกรรม “วิถีถิ่น วิถีไทย ออนทัวร์”ในพื้นที่อ.เชียงแสน อ.แม่สาย และอ.เชียงของในจ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคมนี้ ภาคกลางที่จ.พระนครศรีอยุธยา จัดงานวันที่ 1-4 เมษายนนี้ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ลิเก เพลงพื้นบ้าน เช่น ลำตัด เพลงเรือและละครชาตรี ภาคใต้ที่จ.นครศรีธรรมราชจัดงานวันที่ 23-25 เมษายนนี้ มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น โขน ลิเกฮูลู เพลงบอก หนังตะลุง โนราและลิเกป่า ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่ที่จัดงานมีบูธจำหน่ายสินค้าCPOTและสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในจังหวัดต่างๆด้วย ขณะที่ส่วนกลางที่กรุงเทพฯคาดว่าจะจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันวธ.จะจัดงานใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ในช่วงเดือนเมษายนนี้ที่กรุงเทพฯ โดยจะมีกิจกรรมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน เด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้ประกอบการด้านศิลปวัฒนธรรม ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครือข่ายทางวัฒนธรรมมาจำหน่ายสินค้า CPOT และสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในกรุงเทพฯและจังหวัดต่างๆ อย่างไรก็ตาม วธ.ได้กำชับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกแห่งที่เป็นพื้นที่จัดงานให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)อย่างเคร่งครัด ได้แก่ ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย วัดอุณหภูมิ เว้นระยะห่าง มีแอปไทยชนะ/หมอชนะและมีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไว้บริการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมระบบดูแลประชาชนหลังรับวัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รัฐบาลเตรียมระบบดูแลประชาชนหลังรับวัคซีนโควิด-19
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
วัคซีนโควิด-19 คล้ายกับวัคซีนโรคอื่นๆ ที่ผู้รับวัคซีนอาจเกิดอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ รัฐบาลจึงเตรียมระบบรองรับเพื่อดูแลประชาชนตั้งแต่หลังการฉีด โดยให้พักสังเกตอาการที่โรงพยาบาล 30 นาที หลังจากนั้นมีระบบไลน์ “หมอพร้อม” และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคอยติดตามอาการในวันที่ 1, 7 และ 30 ในภาพรวมของไทย มีผู้ที่รับวัคซีนไปแล้วกว่า 13,000 คน และเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว แน่นหน้าอก คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 0.01 และหายได้เองภายใน 2 วัน ส่วนอาการข้างเคียงรุนแรง เช่น มีไข้สูง ผื่นขึ้นทั้งตัว ปวดศรีษะรุนแรง หายใจลำบาก หรือชัก มีโอกาสเกิดน้อยกว่า 1 ในล้านโดส โดยสามารถติดต่อในกรณีฉุกเฉินได้ที่สายด่วน 1669
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39706 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจากประชาชนตำบลบางคลาน ขอให้ตรวจสอบการทำงานของรักษาการเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จังหวัดพิจิตร หวั่นกระทบความมั่นคงทางศาสนา | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจากประชาชนตำบลบางคลาน ขอให้ตรวจสอบการทำงานของรักษาการเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จังหวัดพิจิตร หวั่นกระทบความมั่นคงทางศาสนา
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือร้องเรียนจากนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
ในวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รับหนังสือร้องเรียนจากนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา
และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
โดยมี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี
พร้อมด้วยนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมหารือ
เพื่อร้องเรียนและขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการคัดค้านการแต่งตั้งพระครูพิสุทธิวรากร
เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส วัดหิรัญญาราม (วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน) ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
เนื่องจากเห็นว่าการแต่งตั้งดังกล่าวไม่มีความเหมาะสม ถูกต้อง ชอบธรรมตามระเบียบและกฎหมาย
รวมทั้งมีเจตนาเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
ซึ่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงทางศาสนา
รวมทั้งขอให้กระทรวงยุติธรรม มอบหมายกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกฟ้องดำเนินคดี
โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รำลึก “วันท้องถิ่นไทย" ย้ำแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
นายกฯ รำลึก “วันท้องถิ่นไทย" ย้ำแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ”
นายกฯ รำลึก “วันท้องถิ่นไทย" ย้ำแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ”
เมื่อวันที่ 18 มี.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รำลึกถึง “วันท้องถิ่นไทย” ซึ่งตรงกับวันที่ 18 มี.ค.ของทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะตำบลท่าฉลอม ขึ้นเป็นสุขาภิบาลท่าฉลอม เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2448 ถือเป็นปฐมบทแห่งการปกครองท้องถิ่นไทย และเป็นรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น โดยเป็นแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นในเวลาต่อมา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงแนวทางการทำงาน “รวมไทยสร้างชาติ” โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนสำคัญในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ที่สำคัญองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ และดูแลทุกข์สุขของประชาชน ดังจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ท้องถิ่นมีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการ สร้างความเข้าใจต่อประชาชน จนสามารถช่วยให้สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทยลดลงตามลำดับ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพื่อสร้างโอกาสการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ลดการกระจุกตัวของประชากรในเมืองใหญ่ โดยการสร้างสังคมชนบทให้เป็นสังคมเมืองที่สงบสุข แก้ไขปัญหาการย้ายถิ่นฐานของประชากร พร้อมเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาพื้นที่ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ การกระจายอำนาจ ยังถูกกำหนดเป็น 1 ใน 7 ประเด็นที่หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องบูรณาการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามแผนการปฏิรูประเทศ (ฉบับปรับปรุง) อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40099 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดสถิติ คนไทยใช้บริการจัดหางานกับหน่วยงานรัฐพุ่ง 50% | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
เปิดสถิติ คนไทยใช้บริการจัดหางานกับหน่วยงานรัฐพุ่ง 50%
...
การให้บริการจัดหางาน
ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาล
เพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชนที่ต้องการหางานทำ
หรือต้องการเปลี่ยนงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่เหมาะสม
นายจ้าง/สถานประกอบการที่ประสงค์รับคนเข้าทำงาน
สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการของกรมการจัดหางาน
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
.
โดยมีช่องทางการให้บริการหลากหลาย ทั้งระบบออนไลน์
ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือ www.ไทยมีงานทำ .com
รวมถึงการให้บริการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ
และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10
.
ล่าสุด กระทรวงแรงงาน เปิดเผยสถิติการใช้บริการจัดหางาน
ในช่วง ต.ค. 63 – ม.ค. 64 พบว่า
มีผู้ใช้บริการจัดหางาน ณ สำนักงานฯ และผ่านเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น ดังนี้
.
• มีผู้ลงทะเบียนสมัครงาน 67,017 คน
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 56
• นายจ้าง/สถานประกอบการ ประกาศตำแหน่งงานว่าง 111,451 อัตรา
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 26
• มีผู้สมัครงานได้รับการบรรจุงาน 107,492 คน
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 33
.
โดยในเดือนม.ค. 64 ที่ผ่านมา
มีผู้สมัครงานได้รับการบรรจุงาน 22,887 คน
.
ถือเป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่นอกจากนายจ้าง
จะได้คนทำงานที่มีคุณสมบัติตรงความต้องการแล้ว
ผู้สมัครงานยังมีโอกาสได้งานที่เร็วขึ้น
ช่วยลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีกด้วย
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39525 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
โครงการจ้างงานเด็กจบใหม่
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าโครงการจ้างงานเด็กจบใหม่ หรือ Co-Payment เพื่อบรรเทาปัญหาการว่างงานซึ่งเป็นผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยอุดหนุนค่าจ้างให้ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน สำหรับวุฒิ ป.ตรี ไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน ปวส. 5,750 บาท/เดือน ปวช. 4,700 บาท/เดือน และ ม.6 ไม่เกิน 4,345 บาท/เดือน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 9,600 ราย มีตำแหน่งงานทั้งหมดกว่า 128,000 อัตรา โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องมีสัญชาติไทย และจบ ม.6 – ปริญญาตรี ในปีการศึกษา 2562 และ 2563 สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com หรือติดต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39900 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! ร่างกฎหมายตรวจสอบการใช้เงิน - ภาษี เอ็นจีโอ | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
ไฟเขียว! ร่างกฎหมายตรวจสอบการใช้เงิน - ภาษี เอ็นจีโอ
...
ปัจจุบันในประเทศไทยมีการจัดตั้งองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้
หรือกำไรมาแบ่งปันกัน (NGO) เป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีการจดทะเบียนถูกต้องเพียง 87 องค์กร
ทำให้การกำกับดูแลของรัฐไม่ทั่วถึง
และมีหลายองค์กรที่อ้างว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้
แต่ไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
เพื่อสาธารณะประโยชน์ และมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น
.
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง
ครม. ได้เห็นชอบให้มีกฎหมายกลางเพื่อกำกับดูแล
และกำหนดให้องค์กร NGO ต้องดำเนินการ ดังนี้
.
1. จดแจ้งการเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ กับกรมการปกครอง
2. เปิดเผยแหล่งที่มาและจำนวนของเงินหรือทรัพย์สินที่ใช้ดำเนินกิจกรรมในแต่ละปี และต้องยื่นแบบรายการภาษีเงินได้ทุกปี
3. เสนอรายงานการสอบบัญชี ต่อผู้รับจดแจ้งภายใน 60 วัน
นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้ผู้รับจดแจ้งเผยแพร่ต่อสาธารณะ
4. กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ จะรับเงิน
หรือทรัพย์สินจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคล
ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในไทย
มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมในไทยได้เฉพาะกิจกรรม
ที่กฎหมายกำหนด
.
ร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและกำกับดูแล
องค์กรไม่แสวงหารายได้ฯ ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส
ตรวจสอบได้ และบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันพัฒนาประเทศ
และสาธารณะประโยชน์ แต่ไม่ใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพ
ขององค์กรแต่อย่างใด
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39507 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดจองแล้ว ! เคหะสุขประชา บ้านเช่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
เปิดจองแล้ว ! เคหะสุขประชา บ้านเช่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย
...
ข่าวดีสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและกำลังมองหาบ้านเช่าราคาย่อมเยา วันนี้ “บ้านเคหะสุขประชา” เปิดให้จองแล้วครับ ถือเป็นพื้นที่แห่งโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านที่สะอาด ปลอดภัย ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยระยะแรกนำร่องที่ย่าน ฉลองกรุง และร่มเกล้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,500 บาทต่อเดือน ผู้สนใจลงทะเบียนจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มี.ค.64 ทางเว็บไซต์ โครงการบ้านเคหะสุขประชา
.
ลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียว และบ้านแฝด 2 ชั้น มี 4 แบบ ได้แก่ แบบ X สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ขนาด 30 ตร.ม. ค่าเช่า 1,500 บาท/เดือน แบบ A สำหรับคนโสด อยู่คนเดียว ขนาด 30 ตร.ม. ค่าเช่า 2,000 บาท/เดือน แบบ B สำหรับครอบครัว ขนาด 40 ตร.ม. ค่าเช่า 2,500 บาท/เดือน และแบบ C สำหรับครอบครัว ขนาด 50 ตร.ม. ค่าเช่า 3,000 บาท/เดือน
.
คุณสมบัติผู้จอง คือ สัญชาติไทย ประสบปัญหาเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 เช่น ถูกเลิกจ้าง ย้ายถิ่นฐาน รายได้ลดลง เป็นต้น หรือ เป็นผู้ว่างงาน ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว คนพิการ ผู้สูงอายุ ถูกไล่รื้อเวนคืน ข้าราชการเกษียณ บรรลุนิติภาวะแล้ว และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน
.
ที่ว่าเป็นพื้นที่แห่งโอกาส คือ นอกจากจะได้เช่าบ้านในราคาถูกมากแล้ว ทางโครงการบ้านเคหะสุขประชา ยังได้จัดสรรพื้นที่ของโครงการตามแนวคิด ทฤษฎีใหม่ และเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างอาชีพให้แก่ผู้อาศัย ให้มีรายได้เลี้ยงตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนอีกด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ การเคหะแห่งชาติ
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รองปลัด ประยูร ประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 9 จังหวัด
วันพฤหัสบดีที่18มีนาคม2564นายประยูรอินสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564ภาคเหนือตอนล่างจำนวน9จังหวัดครั้งที่2/2564ณห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่3จังหวัดพิษณุโลกผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด(พิษณุโลกสุโขทัยเพชรบูรณ์ตากอุตรดิตถ์พิจิตรนครสวรรค์กำแพงเพชรอุทัยธานี)และหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลในจังหวัดพิษณุโลก(สำนักงานชลประทานที่3จังหวัดพิษณุโลกสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต8สถานีพัฒนาที่ดินพิษณุโลกสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิษณุโลกศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนล่างการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดพิษณุโลก)
การประชุมครั้งนี้รองปลัดฯได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานในพื้นที่และได้ให้ข้อเสนอแนะ/แนวทางในการขับเคลื่อน5ยุทธศาสตร์และ15แนวทางนโยบายหลักของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และงานตามภารกิจสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกอบด้วย1)โครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่2)การประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวยางพารามันสำปะหลังปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์3)การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร4)แผนแม่บทประเด็นการเกษตรเกษตรปลอดภัยเกษตรกรรมยั่งยืนและ5)แผนการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.สาธารณสุข แจงการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นการฉีดให้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในเงื่อนไข และเจ้าหน้าที่อื่นที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ก.สาธารณสุข แจงการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นการฉีดให้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในเงื่อนไข และเจ้าหน้าที่อื่นที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข แจงการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นการฉีดให้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในเงื่อนไข และเจ้าหน้าที่อื่นที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์การฉีดวัคซีนให้บุคคล VIP ที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขการได้รับวัคซีนกลุ่มแรก ที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า เป็นการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นเจ้าหน้าที่อื่น ๆ มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ไม่มีใครเป็นวีไอพี ทุกคนที่ฉีดเป็นไปตามเกณฑ์ของทีมแพทย์ และเป็นรายชื่อที่ระบุให้มาฉีดตามนัด โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดส่งวัคซีนให้จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 3,500 โดส ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้เห็นชอบแผนการฉีดวัคซีน รอบแรก 1 มีนาคม 2564 ให้กับ 1,750 คน แบ่งเป็น บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งรัฐและเอกชน 1,450 คน และอีก 300 คน เป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หัวหน้าส่วนงานที่เสี่ยง ฝ่ายปกครอง ประธานสื่อมวลชน นายกสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สมาคม อสม.เชียงใหม่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งนี้ การฉีดวันแรกที่ รพ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ เนื่องจากระบบการลงทะเบียนขัดข้อง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ฯ บางคนยังไม่มั่นใจ จึงแสดงความจำนงฉีดวันแรกค่อนข้างน้อย แต่ต่อมามีความมั่นใจมากขึ้น จึงมีการติดต่อขอฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความขัดข้องบางประการ ยืนยันทุกอย่างดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งตั้งคณะกรรมการฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดด้วยแล้ว
------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39565 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทสนับสนุนทางเข้าโครงการหลวงดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกปลอดภัยแก่ประชาชน | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงชนบทสนับสนุนทางเข้าโครงการหลวงดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกปลอดภัยแก่ประชาชน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1009 - บ้านขุนยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนพื้นที่เข้าโครงการหลวงดอยอินทนนท์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1009 - บ้านขุนยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนพื้นที่เข้าโครงการหลวงดอยอินทนนท์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และอำนวยความสะดวกปลอดภัยในการขนส่งผลิตผลทางเกษตรได้ทุกฤดู อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติให้สามารถเข้าสู่พื้นที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย รวมถึงสามารถใช้เป็นเส้นทางเข้าสู่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยส้มป่อย และโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านขุนแตะได้อีกเส้นทางหนึ่ง
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบให้ ทช. พิจารณาดำเนินการสนับสนุนการปรับปรุงซ่อมแซมถนนในพื้นที่โครงการหลวง เพื่อสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิโครงการหลวง ตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่ง ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมถนนในพื้นที่โครงการหลวงมาตั้งแต่ปี 2551 โดยได้กำหนด “มาตรฐานถนนหลวงภูเขา” สำหรับใช้เป็นหลักเกณฑ์และแนวทางในการดำเนินงานปรับปรุงซ่อมแซม เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชันและเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าอนุรักษ์
สำหรับโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1009 - บ้านขุนยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ ทช. ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณบ้านขุนกลาง ดอยผาตั้ง (กม.ที่ 0+000) และสิ้นสุดโครงการบริเวณบ้านขุนยะ (กม. ที่ 17+611) รวมระยะทางทั้งสิ้น 17.660 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 2 ช่องจราจร ผิวจราจรกว้าง 4 - 6 เมตร พร้อมก่อสร้างสะพาน 1 แห่ง ท่อเหลี่ยม ท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก ระบบระบายน้ำข้างทาง ราวเหล็ก และติดตั้งเครื่องหมายจราจร ปัจจุบันโครงการฯมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 30 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างงานดินชั้นคันทาง งานโครงสร้างทาง/ผิวจราจร งานท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก งานรางระบายน้ำ งานคันหินและรางตื้น นอกจากนี้ในระหว่างการก่อสร้างได้มีการจัดการด้านความปลอดภัยในพื้นที่ โดยได้ติดตั้งป้ายเตือนพร้อมอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ทั้งนี้ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 135.500 ล้านบาท (งบผูกพันปี 2562 ถึง 2565)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-MAP) | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-MAP)
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังการประชุมขับเคลื่อนการศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-MAP) ในวันที่ 16 มีนาคม 2564 โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วมการประชุมว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานศึกษาจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่าย MR-MAP โดย ทล. ได้ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาเมื่อเดือนมกราคม 2564 จะสิ้นสุดสัญญาจ้างในเดือนกันยายน 2564 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพื่อจัดทำโครงข่ายและคัดเลือกโครงการนำร่องเพื่อศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น โดยผลการคัดเลือกเส้นทางนำร่อง จาก 10 เส้นทาง ประกอบด้วย
1. เส้นทาง MR1 ตาก (ด่านแม่สอด) - นครพนม (ด่านนครพนม) มี 5 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ด่านแม่สอด - พิษณุโลก 2) พิษณุโลก - เพชรบูรณ์ (หล่มสัก) 3) เพชรบูรณ์ (หล่มสัก) - ขอนแก่น 4) ขอนแก่น - มุกดาหาร และ 5) มุกดาหาร - นครพนม
2. เส้นทาง MR2 กาญจนบุรี (ด่านเจดีย์สามองค์) - อุบลราชธานี (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 6) มี 3 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ด่านเจดีย์สามองค์ - นครสวรรค์ 2) นครสวรรค์ - นครราชสีมา และ 3) นครราชสีมา - อุบลราชธานี
3. เส้นทาง MR3 กาญจนบุรี (ด่านน้ำพุร้อน) - สระแก้ว (ด่านอรัญประเทศ) มี 3 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ด่านน้ำพุร้อน - กาญจนบุรี 2) กาญจนาภิเษก - สระแก้ว และ 3) สระแก้ว - อรัญประเทศ
4. เส้นทาง MR4 ชลบุรี ตราด (ด่านคลองใหญ่) มี 2 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ชลบุรี - ระยอง และ 2) ระยอง - ตราด
5. เส้นทาง MR5 ชุมพร - ระนอง
6. เส้นทาง MR6 ภูเก็ต - สุราษฎร์ธานี
7. เส้นทาง MR7 เชียงราย (ด่านเชียงของ) - สงขลา (ด่านชายแดนมาเลเซีย) มี 13 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ด่านเชียงของ - เชียงราย 2) เชียงราย - เชียงใหม่ 3) เชียงใหม่ - พิษณุโลก 4) พิษณุโลก - นครสวรรค์ 5) นครสวรรค์ - สระบุรี 6) นครสวรรค์ - สุพรรณบุรี 7) สระบุรี - นครปฐม 8) นครปฐม - ชะอำ 9) ชะอำ - ชุมพร 10) ชุมพร - สุราษฎร์ธานี 11) สุราษฎร์ธานี - สงขลา 12) สงขลา - ด่านสะเดา และ 13) สงขลา - นราธิวาส
8. เส้นทาง MR8 หนองคาย (ด่านหนองคาย) - แหลมฉบัง มี 3 ช่วงสายทาง ดังนี้ 1) ขอนแก่น - หนองคาย 2) นครราชสีมา - ขอนแก่น และ 3) นครราชสีมา - แหลมฉบัง
9. เส้นทาง MR9 บึงกาฬ (ด่านบึงกาฬ) - สุรินทร์ (ด่านช่องจอม)
10. เส้นทาง MR10 สระบุรี - สมุทรปราการ - สมุทรสาคร
นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณา 3 เส้นทางที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย
1. เส้นทาง MR5 ชุมพร - ระนอง ระยะทาง 108 กม. ซึ่งมีทางเลือกในการพัฒนาโครงข่าย
จำนวน 3 ทางเลือก โดยการศึกษาจะสอดคล้องกับแนวทางการศึกษาความเหมาะสมโครงการ Land bridge
ของกระทรวงฯ
2. เส้นทาง MR8 หนองคาย (ด่านหนองคาย) - แหลมฉบัง ช่วงนครราชสีมา - แหลมฉบัง ระยะทาง 288 กม. โดยเบื้องต้น ทล. คาดว่า การพัฒนาจะประกอบด้วย ด่านเข้า - ออก 10 แห่ง ทางแยกต่างระดับ 11 แห่ง อุโมงค์ 3 แห่ง และ Rest Area 8 แห่ง
3. เส้นทาง MR9 กาญจนบุรี (ด่านเจดีย์สามองค์) - อุบลราชธานี (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 6) ช่วงนครราชสีมา - อุบลราชธานี ระยะทาง 440 กม. โดยเบื้องต้น ทล. คาดว่า การพัฒนาจะประกอบด้วย ด่านเข้า - ออก 10 แห่ง ทางแยกต่างระดับ 9 แห่ง และ Rest Area 8 แห่ง
สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไป ทล. จะได้เร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงฯ โดยจะได้ขยายงานศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น ให้ครอบคลุมโครงข่าย MR-MAP ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ได้กำชับให้ ทล. เร่งจัดทำรายละเอียดผลการศึกษาให้มีความชัดเจน โดยให้นำเสนอความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใน 1 เดือน และจะมีการเชิญประชุมเพื่อเสนอแนวคิด การออกแบบ และจัดทำร่างแผน MR–MAP ก่อนจะรับฟังความคิดเห็นภาคประชาชนในเดือนพฤษภาคม 2564 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
การประกาศผลการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ความคืบหน้าการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ ระหว่างวันที่ 15 – 21 ก.พ.2564 สามารถตรวจสอบสถานะการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบสถานะการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะได้รับวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกจำนวน 4,000 บาท ในวันที่ 5 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ
สำหรับประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและสละสิทธิ์ด้วยเหตุผล “ไม่มีสมาร์ทโฟน” และได้มาลงทะเบียนในช่องทางเดียวกันกับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 จะสามารถทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 และจะมีการโอนวงเงินสิทธิ์ให้กับผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติในวันที่ 12 มีนาคม 2564 เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องในฐานข้อมูลของผู้ขอสละสิทธิ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ ความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2564 มีดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 และผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5 ล้านคน 2) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 33,561.6 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีจำนวนมากกว่า 16.3 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 37,162.5 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์โครงการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 30.5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 70,724.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.1 ล้านกิจการ โดยจังหวัดที่มีผู้ใช้วงเงินสิทธิ์สูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39586 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แจงปล่อยตัวพักโทษนายสรยุทธฯ กรมราชทัณฑ์มีระเบียบ หลักเกณฑ์ในการดำเนินการที่ชัดเจนในทุกโครงการฯ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แจงปล่อยตัวพักโทษนายสรยุทธฯ กรมราชทัณฑ์มีระเบียบ หลักเกณฑ์ในการดำเนินการที่ชัดเจนในทุกโครงการฯ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แจงปล่อยตัวพักโทษนายสรยุทธฯ กรมราชทัณฑ์มีระเบียบ หลักเกณฑ์ในการดำเนินการที่ชัดเจนในทุกโครงการฯ โดยมีนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการปล่อยตัวพักการลงโทษในโครงการเดียวกันนี้แล้วกว่า 13,000 ราย
วันนี้ (15 มี.ค.64) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์การปล่อยตัวพักโทษนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นการปฏิบัติสองมาตรฐาน หรือได้รับสิทธิพิเศษหรือไม่ว่า การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษของนายสรยุทธฯ นั้น ได้รับประโยชน์ดังกล่าวจากการทำหน้าที่ผลิตสื่อ “เรื่องเล่าชาวเรือนจำ”และ“กำลังใจสู่ชาวเรือนจำ” ซึ่งการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โครงการพักการลงโทษนักโทษเด็ดขาดที่มีโทษระยะสั้นที่นายสรุยุทธฯ ได้รับ เป็นโครงการสำหรับนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป จำคุกครั้งแรกที่ได้รับโทษมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และเหลือโทษที่ต้องได้รับต่อไปอีกไม่เกิน 5 ปี โดยนอกจากกรณีนายสรยุทธฯ ยังมีนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการปล่อยตัวพักการลงโทษในโครงการเดียวกันนี้แล้วกว่า 13,000 ราย ยืนยันการพิจารณาเพื่อพักการลงโทษในทุกโครงการฯ กรมราชทัณฑ์มีระเบียบและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการที่ชัดเจน และต้องผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษ อันประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานคณะ อนุกรรมการฯ และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ รวม 19 ท่าน นอกจากนั้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอีกชั้นหนึ่ง จึงจะถือว่าได้รับการพักการลงโทษ
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปลื้มอีโอซีบรรจุ “มวยไทย” ในการแข่งขันยูโรเปียนเกมส์ 2023 | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีปลื้มอีโอซีบรรจุ “มวยไทย” ในการแข่งขันยูโรเปียนเกมส์ 2023
นายกรัฐมนตรีปลื้มอีโอซีบรรจุ “มวยไทย” ในการแข่งขันยูโรเปียนเกมส์ 2023
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความยินดีที่คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุมวยไทยเข้าไปในการแข่งขันยูโรเปียนเกมส์ 2023 ที่เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยผ่านการพิจารณาแล้วว่ามวยไทยเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในแง่ของศิลปะการป้องกันตัวและฐานนักกีฬาและผู้ชม ซึ่งในการแข่งขันมีประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวกีฬาบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมศักยภาพการกีฬาของประเทศไทยให้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมผลักดันให้มวยไทยได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ในอนาคตด้วย เนื่องจากมวยไทยเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศอยู่แล้วในปัจจุบัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น โดยในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมา ยอดสั่งจองห้องพักผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันสูงขึ้น มีการใช้จ่ายผ่านมาตรการคนละครึ่ง เป็นไปตามแผนงานและงบประมาณที่มีอยู่ เพราะการทำงานของรัฐบาลมุ่งเน้นให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39551 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเกณฑ์ค่ารักษาพยาบาล ผู้มีสิทธิที่ติดเชื้อ HIV - ไตวายเรื้อรัง | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ปรับเกณฑ์ค่ารักษาพยาบาล ผู้มีสิทธิที่ติดเชื้อ HIV - ไตวายเรื้อรัง
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบปรับอัตราค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ติดเชื้อเอชไอวี มีความจำเป็นต้องล้างไต ให้มีสิทธิได้รับค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่สถานพยาบาลของรัฐและเอกชน จากเดิมครั้งละไม่เกิน 2,000 บาท ปรับเพิ่มเป็นครั้งละไม่เกิน 4,000 บาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้ปรับอัตราการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมไปก่อนหน้านี้ โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 64 เป็นต้นไป
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40048 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำ! ยังไม่เปิดลงทะเบียนจอง - ขอรับฉีดวัคซีนด้วยตนเอง | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ย้ำ! ยังไม่เปิดลงทะเบียนจอง - ขอรับฉีดวัคซีนด้วยตนเอง
...
กระแสการฉีดวัคซีนโควิด-19
ส่งผลให้ประชาชนตื่นตัว
และให้ความสนใจที่จะเข้าร่วม
รับบริการฉีดวัคซีนแบบสมัครใจ
.
สำหรับการฉีดวัคซีนในระยะแรกนั้น
ยังไม่เปิดระบบให้ลงทะเบียนจอง
หรือขอรับฉีดด้วยตนเองนะครับ
.
ปัจจุบันวัคซีนโควิดของซิโนแวค
2 แสนโดสได้ถูกส่งไปใน 13 จังหวัด
ที่เป็นพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทางโรงพยาบาล
ในจังหวัดนั้น ๆ จะเป็นผู้จัดลำดับ
การได้รับวัคซีนก่อน - หลัง
และจะติดต่อกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านเกณฑ์
เพื่อนัดหมายฉีดวัคซีนต่อไป
.
โดยกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. กลุ่มที่เป็นโรคเรื้อรัง
2. กลุ่มเสี่ยงตามหลักระบาดวิทยา
3. กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
และสาธารณสุขด่านหน้า
4. บุคลากรอื่น ๆ ที่เป็นด่านหน้า เช่น อสม.
.
นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับเลือกให้ฉีดวัคซีนโควิด
จะต้องลงทะเบียนในไลน์ “หมอพร้อม”
เพื่อตรวจสอบรายชื่อ รับข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน และติดตามอาการ
.
สำหรับประชาชนที่ได้รับเลือก
แต่ไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่ต้องกังวลใจ
จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.
ติดตามท่าน เพื่อชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ให้ทราบ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงการชุมนุมชาวเมียนมาในไทย หวั่นเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กลุ่มก้อนใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
สธ.ห่วงการชุมนุมชาวเมียนมาในไทย หวั่นเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กลุ่มก้อนใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงเหตุชุมนุมทางการเมืองของชาวเมียนมาในไทย หวั่นเป็นต้นเหตุเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กลุ่มก้อนใหม่ เนื่องจากมีแรงงานจากพื้นที่ที่ยังมีการระบาดของโรคร่วมชุมนุม ขอความร่วมมือนายจ้างทำความเข้าใจ และควบคุม
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงเหตุชุมนุมทางการเมืองของชาวเมียนมาในไทย หวั่นเป็นต้นเหตุเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด19 กลุ่มก้อนใหม่ เนื่องจากมีแรงงานจากพื้นที่ที่ยังมีการระบาดของโรคร่วมชุมนุม ขอความร่วมมือนายจ้างทำความเข้าใจ และควบคุมไม่ให้มีแรงงานเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ทำงาน
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมของชาวเมียนมาในประเทศไทยเพื่อเรียกร้องให้คืนความเป็นประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) ซึ่งมีการนัดรวมตัวกันเป็นประจำทุกสัปดาห์สร้างความกังวลใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะก่อให้เกิดการติดเชื้อโควิด19และการระบาดตามมาได้ เนื่องจากพบว่าผู้ร่วมชุมนุมเป็นชาวเมียนมาที่เดินทางมาจากหลายพื้นที่ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 รวมถึงจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง อยู่ระหว่างการดำเนินการควบคุมป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ซึ่งมาตรการสำคัญหนึ่งที่ช่วยให้การควบคุมโรคได้ผลดี คือ การห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคเป็นวงกว้าง
“จากการติดตามสถานการณ์การชุมนุม พบว่า มีการรวมตัวของผู้คนเป็นจำนวนมาก มีการตะโกน พูดคุยกันใกล้ชิด โดยไม่ได้ป้องกันตัวเองที่เพียงพอ ทั้งการเว้นระยะห่าง การสวมหน้าอนามัย/หน้ากากผ้า อีกทั้งการที่แรงงานชาวเมียนมา ออกนอกพื้นที่ ที่ยังมีการระบาดของโรคร่วมชุมนุม อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด19ระลอกใหม่ได้ ต้องขอความร่วมมือนายจ้าง ผู้ประกอบการ ทำความเข้าใจกับแรงงานของตน ว่าการชุมนุมและการออกนอกพื้นที่ผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือความเสี่ยงเกิดโรคระบาดในประเทศ” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรัดดำเนินการควบคุมป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จนสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เนื่องจากประเทศไทยยังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในหลายพื้นที่ ล่าสุดยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นกลุ่มก้อนที่ จ.ปราจีนบุรี-นครนายก สาเหตุจากการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งการสวมหน้าอนามัย/หน้ากากผ้า การเว้นระยะห่าง และการหมั่นล้างมือ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข ขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ทุกคนร่วมมือกันเคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง การ์ดอย่าตก แม้จะเริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนในประเทศไทยแล้ว
******************************** 11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39871 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน เยือนราชบุรี หนุนเทคโนโลยีดิจิทัล | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
รมช.แรงงาน เยือนราชบุรี หนุนเทคโนโลยีดิจิทัล
นฤมล เดินสายขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะฝีมือ การฝึกต้องเข้มข้น รองรับเทคโนโลยี 4.0 ดิจิทัลและภาษาจำเป็นต้องมี ย้ำ! เดินตามแนวทาง สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ขานรับนโยบายรัฐบาล ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันที่ 17 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เยี่ยมชมการฝึกอบรม ตามโครงการศูนย์ฝึกอบรมความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชั้นสูง สาขา การควบคุมด้วยระบบนิวแมติกส์ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรม การออกแบบติดตั้งและประยุกต์ใช้งานโซลาร์เซลล์ เยี่ยมชมกิจกรรมการให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ชมการสาธิตอาชีพในยุค Thailand 4.0 ประกอบด้วย การให้บริการบนอินเทอร์เน็ตและการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ การฝึกอบรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ ผลิตภัณฑ์ปูนปั้นไม้เทียมเพื่องานประดับ การฝึกอบรมแรงงานผู้สูงอายุ การประกอบอาหารไทย และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยกลุ่มแม่บ้านหัวสระพัฒนานำผลิตภัณฑ์มะนาวดองน้ำผึ้ง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมแพะ จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแพะก้าวหน้าราชบุรี เป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หลังจากนั้น ได้พบปะพูดคุยกับอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่จังหวัดราชบุรีและกลุ่มแรงงานที่มาคอยต้อนรับ กว่า 100 คน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 4 ราชบุรี
รมช.แรงงาน กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีในครั้งนี้ ต้องการตรวจเยี่ยมการให้บริการของภาครัฐ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศ ซึ่งตนเองได้รับมอบหมายจากรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ขับเคลื่อนการดำเนินงานของ กพร. ตามแนวคิด สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องการให้แรงงานไทย เป็นแรงงานที่มีทักษะสูง สร้างแรงงานคุณภาพ ยกระดับให้ได้มาตรฐานสากล และได้รับอัตราค่าจ้างอย่างเหมาะสม พร้อมกับให้โอกาสแรงงานกลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการของรัฐ จึงได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงาน มีอาชีพและรายได้ดูแลครอบครัว หลักสูตรต้องรองรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และรับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและภาษา ที่จำเป็นต่อทุกภาคอุตสาหกรรม การฝึกอบรมต้องสอดแทรกให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ และการประยุกต์ใช้ด้วย ปรับการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ และเรียนรู้เกี่ยวกับระบบออนไลน์ เช่น การขายสินค้าออนไลน์ การผลิตสื่อมีเดียเพื่อการนำเสนอผลิตภัณฑ์
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า หลักสูตรที่ดำเนินการนั้น มีความหลายหลาย เพื่อยืดหยุ่นให้เหมาะกับแรงงาน และปรับตามสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา การประชาสัมพันธ์ภารกิจเหล่านี้ ต้องอาศัยการบอกเล่าจากผู้ใกล้ชิดแรงงานที่อยู่ในชุมชน ซึ่งกระทรวงแรงงาน มีอาสาสมัครแรงงาน คอยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของภาครัฐในการแจ้งข่าวสารการให้บริการไปยังประชาชนในชุมชน และนำความต้องการของชุมชนไปแจ้งให้หน่วยงานรัฐดำเนินการให้ความช่วยเหลือ จึงจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และขอฝากให้ช่วยประชาสัมพันธ์ไปยังเยาวชนที่สนใจด้านการดูแลผู้สูงอายุ ปัจจุบัน มีความต้องการแรงงานด้านดูแลผู้สูงอายุจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้มูลนิธิกล้วยน้ำไท ได้มาร่วมประชาสัมพันธ์รับสมัครผู้สนใจเข้าอบรม โดยมีทุนการศึกษาระหว่างที่อบรมด้วย
“ขอเป็นกำลังใจให้อาสาสมัครแรงงานทุกท่าน ที่สละเวลาและทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ฝากแจ้งข่าวสารต่างๆ ของภาครัฐไปยังประชาชนในชุมชนด้วย ซึ่งรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือและจัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ประชาชน อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวันที่ไม่สามารถทำงานได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจ ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40056 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.ให้หลักคิด นักบริหารยุคใหม่ คนรุ่นใหม่ ต้องเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ปลัด สธ.ให้หลักคิด นักบริหารยุคใหม่ คนรุ่นใหม่ ต้องเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้หลักคิดนักบริหารระดับสูงยุคใหม่ ยึดหลักต้องเป็นคนดี คนเก่ง ทำงานมีความสุข คิดให้รอบด้าน เรียนรู้ตลอดเวลาและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้หลักคิดนักบริหารระดับสูงยุคใหม่ ยึดหลักต้องเป็นคนดี คนเก่ง ทำงานมีความสุข คิดให้รอบด้าน เรียนรู้ตลอดเวลาและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ 2 ปีงบประมาณ 2564 พร้อมบรรยายพิเศษ โดยนายแพทย์เกียรติภูมิ ได้ให้หลักคิดว่า นักบริหารยุคใหม่ คนรุ่นใหม่ต้องเป็น “คนดี คนเก่ง มีความสุข” ก่อให้เกิดความสมดุลในการทำงาน การเป็น “คนดี” จะต้อง คิดดี มุ่งประโยชน์ให้เกิดกับผู้อื่นมากกว่าตนเอง มีการปฏิบัติตัวที่ดี ตั้งใจดี มีทัศนคติที่ดี “คนเก่ง” จะต้องคิดเก่ง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีการวางแผนที่ดีเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบาย รวมถึงฝึกฝนและสร้างแนวทางการทำงานใหม่ๆ หาทางออกให้กับปัญหาได้ มีมุมมองหลายมิติสามารถตัดสินใจได้ดีเกิดประโยชน์กับคนหมู่มากและคนหมู่น้อย มีความพึงพอใจ และ “มีความสุข” จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีความสุขจากภายใน 80% สร้างขึ้นเองได้ด้วยการคิดบวก มีความรู้สึกดีกับตัวเอง ความภาคภูมิใจ และจากความสุขภายนอกอีก 20% รับฟังผู้อื่นเพื่อพัฒนาตนเอง ปรับตัวและองค์กรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา เพื่อนำองค์กรก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป
“ทุกวันนี้โลกหมุนเร็ว เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการงานจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามคำตอบที่ถูกต้องของเมื่อวาน อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของวันนี้ ขอให้คิดให้รอบด้าน บนพื้นฐานของศีลธรรม ความถูกต้อง และผลประโยชน์ของประชาชน” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*********************** 22 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40242 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคู่ขนาน การประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคู่ขนาน การประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ ASLOM ประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมคู่ขนาน การประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
เมื่อวันอังคารที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๑๑-๐๒ ชั้น ๑๑ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ ASLOM ประเทศไทย
เข้าร่วมการประชุมคู่ขนาน การประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
หัวข้อ "Cross-sectoral collaboration for crime prevention: experience from the
ASEAN Conference on Crime Prevention and Criminal Justice (ACCPCJ)"
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้นำเสนอพัฒนาการการดำเนินงานของ ASLOM
ในฐานะองค์กรหลักของอาเซียนที่รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ที่นำไปสู่การทำงานร่วมกันข้ามเสาและข้ามสาขากับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันของอาเซียนในการตอบสนองต่อความท้าทายในด้านการป้องกันอาชญากรรม
และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอผลความสำเร็จของ ASLOM
เช่น การดำเนินการจัดทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนอาเซียน บทบาทของ ASLOM ในการจัดการประชุม ACCPCJ
และวิธีการเสริมสร้างความร่วมมือข้ามสาขาและการเจรจาในระดับภูมิภาค
ถือเป็นการแสดงบทบาทที่สำคัญของไทยในการประชุมครั้งนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39784 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยควบคุมคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง จ.สมุทรปราการได้ รุกตรวจแคมป์อื่นเพิ่มเติม | วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
สธ.เผยควบคุมคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง จ.สมุทรปราการได้ รุกตรวจแคมป์อื่นเพิ่มเติม
กระทรวงสาธารณสุขเผยคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง จ.สมุทรปราการ ติดเชื้อ 17 ราย ตรวจเชิงรุกพบเพิ่มอีก 6 ราย ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ชี้ความแออัด ใช้สิ่งของร่วมกันเป็นปัจจัยเสี่ยง รุกตรวจแคมป์อื่นเพิ่มเติมปรับแก้ไขจุดเสี่ยง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้วก
กระทรวงสาธารณสุขเผยคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง จ.สมุทรปราการ ติดเชื้อ17 ราย ตรวจเชิงรุกพบเพิ่มอีก 6 ราย ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ชี้ความแออัด ใช้สิ่งของร่วมกันเป็นปัจจัยเสี่ยง รุกตรวจแคมป์อื่นเพิ่มเติมปรับแก้ไขจุดเสี่ยง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้วกว่า 7 หมื่นโดส คาดสัปดาห์หน้ากระจายล็อตใหม่ 8 แสนโดสในพื้นที่เป้าหมายได้ตามแผน
วันนี้ (21 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 90 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 45 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 36 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต รักษาหาย 86 ราย ส่วนการติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 21 มีนาคม 2564 รักษาหายแล้ว 22,421 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.14 เสียชีวิตสะสม 30 ราย
สำหรับกรณีผู้ติดเชื้อกลุ่มก้อนแคมป์คนงานก่อสร้าง จ.สมุทรปราการ จำนวน17 ราย พบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นหญิงชาวกัมพูชาอายุ 29 ปี ไปตรวจหาเชื้อเพื่อต่ออายุใบทำงาน เป็นการติดเชื้อไม่มีอาการ จึงทำการสอบสวนโรคและตรวจแคมป์คนงานสุขุมวิท 117 ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พบติดเชื้ออีก 16 ราย (วันที่ 18 มีนาคม พบ 15 ราย และวันที่ 19 มีนาคม พบ 1 ราย) แบ่งเป็นคนไทย 4 คน กัมพูชา 10 คน และเมียนมา 2 คน ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จากนั้นจึงค้นหาเชิงรุกในชุมชนและแคมป์คนงานที่เกี่ยวเนื่องกันวันที่ 19 มีนาคม จำนวน 593 ราย ผลการตรวจพบติดเชื้อเพิ่มเติม 6 ราย ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงคือไซต์คนงานค่อนข้างแออัด ใช้สิ่งของร่วมกัน ห้องสุขา-ห้องอาบน้ำรวม รวมทั้งมีพนักงานบางคนฝ่าฝืนมาตรการบริษัทไปสังสรรค์ในพื้นที่เสี่ยง เมื่อติดเชื้อไม่มีอาการเข้ามาทำให้มีการแพร่เชื้อในแคมป์ต่อ
“จากนี้การสอบสวนควบคุมโรคจะติดตามไปในแคมป์คนงานอื่นๆ เพิ่มเติมว่า ค้นหาปัจจัยเสี่ยงและต้องแก้ไข รวมถึงเฝ้าระวังเชิงรุกในบางจุดมากขึ้น ในภาพรวมถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว หากเจอผู้ติดเชื้อเพิ่มคาดว่าจะเจอแบบกระจัดกระจายไม่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ความระมัดระวังและความร่วมมือขององค์กรและบริษัทมีความสำคัญมาก หากหละหลวมจะทำให้มีความเสี่ยงการติดเชื้อ ซึ่งการระบาดในระลอกใหม่ข้อสังเกตคือมักไม่มีอาการ จึงต้องไม่ประมาท โดยใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ไม่อยู่ในพื้นที่แออัด” นายแพทย์โอภาสกล่าว
ส่วนกรณีตลาดย่านบางแคพบการติดเชื้อในช่วงเริ่มต้น และดำเนินการสอบสวนควบคุมโรคได้เร็ว ทำให้ไม่มีการกระจายออกไปจำนวนมาก โดยจากการตรวจเชิงรุกในตลาด4,315 คน พบติดเชื้อ 309 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชนด้วยรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน จำนวน 6,293 คน พบติดเชื้อ 26 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.6 และการตรวจเชิงรุกในชุมชนใกล้เคียง 4,886 คน พบติดเชื้อ 49 ราย คิดเป็นร้อยละ 1 ถือว่าพบการติดเชื้อไม่มาก ได้นำเข้าสู่การรักษาพยาบาล ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงดำเนินการกักตัวและตรวจหาเชื้อต่อไป นอกจากนี้ยังได้มีการปิดตลาดเพื่อปรับปรุงสุขาภิบาล ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ผู้ค้าและแรงงานช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาจำนวน 3 พันกว่าราย และการออกบัตรรับรองผลการตรวจโควิดผู้ค้าและคนงานก่อนอนุญาตให้เข้าตลาด ทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ยังคงค้นหาผู้ป่วย ปรับปรุงตลาด และเฝ้าระวังในสถานพยาบาลอีก 1-2 สัปดาห์
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด19 ในสถานพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม 2564 และรวมกับการออกหน่วยฉีดวัคซีนในชุมชนที่ตลาดบางแค ถือว่าฉีดเกินกว่า 7 หมื่นรายแล้ว ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง เกือบทุกจังหวัดฉีดได้ตามเป้าหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือกรุงเทพมหานครซึ่งมีการปรับแผนออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุกเพื่อควบคุมสถานการณ์ คาดว่าจะมีการฉีดวัคซีนได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่วนวัคซีนซิโนแวคล็อตใหม่อีก 8 แสนโดส ถือว่าเป็นไปตามแผน โดยองค์การเภสัชกรรมในฐานะผู้นำเข้าได้ตรวจสอบเอกสาร ทั้งความปลอดภัยและคุณภาพการผลิตของโรงงาน จากนั้นส่งวัคซีนไปทดสอบในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะกระจายวัคซีนไปฉีดประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เป้าหมายที่วางแผนไว้ ทั้งนี้ วัคซีนทั้ง 2 ชนิดที่ประเทศไทยนำมาฉีดถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์และดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้
“ในต่างประเทศมีการฉีดวัคซีนโควิด19 จำนวนมากแล้ว ยังพบการติดเชื้อรายใหม่ค่อนข้างสูง จนมีการประกาศล็อกดาวน์ใหม่ เนื่องจากการ์ดตกหลังฉีดวัคซีน ดังนั้น ประเทศไทยที่กำลังมีการทยอยฉีดวัคซีนจึงต้องย้ำว่ายังต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันต้องใช้ระยะเวลา ส่วนกรณีเชื้อโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ การกักตัวยังมีความสำคัญ ดังนั้น ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีสายพันธุ์แอฟริกาใต้จำนวนมาก ยังคงให้กักตัว 14 วัน” นายแพทย์โอภาสกล่าว
*********************** 21 มีนาคม 2564
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40187 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ชี้ช่องแรงงานไทยในซาอุฯ ใช้บริการ “นาญิซ (Najiz)” แจ้งเรื่องร้องเรียน | วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
กรมการจัดหางาน ชี้ช่องแรงงานไทยในซาอุฯ ใช้บริการ “นาญิซ (Najiz)” แจ้งเรื่องร้องเรียน
ก.ยุติธรรมซาอุดีอาระเบีย เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านแรงงาน “นาญิซ (Najiz)” ให้บริการร้องเรียนข้อร้องเรียนที่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานซาอุดีฯ ,ข้อร้องเรียนของแรงงานที่ทำงานอยู่ในบ้าน และข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับประกันสังคม (GOSI)
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ บริการรับเรื่องร้องเรียนด้านแรงงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่ หรือ “นาญิซ (Najiz)” ซึ่งเป็นบริการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความคล่องตัวและลดขั้นตอนในการดำเนินเรื่อง โดยรับเรื่องร้องเรียน 3 ประเภท ได้แก่ 1) ข้อร้องเรียนที่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานซาอุดีอาระเบีย 2) ข้อร้องเรียนของแรงงานที่ทำงานอยู่ในบ้าน เช่น แม่บ้าน คนขับรถส่วนตัว 3) ข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับประกันสังคม (GOSI) เช่น การลงทะเบียน เงินชดเชยต่างๆ ทั้งฝั่งนายจ้างและแรงงาน
สำหรับการใช้บริการแจ้งเรื่องร้องเรียน ทั้ง 3 ประเภทมีแนวปฏิบัติ ดังนี้
1.กรณีร้องเรียนภายใต้กฎหมายแรงงานนั้น แรงงานหรือนายจ้างจะต้องยื่นคำร้องต่อสำนักงานแรงงานในเขตมณฑลที่ตั้งเพื่อดำเนินการเพื่อไกล่เกลี่ยในชั้นต้นก่อน หากไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ภายในระยะเวลา 21 วัน จึงสามารถจะร้องเรียนโดยตรงผ่านเว็บไซต์นาญิซ พร้อมแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้
2.กรณีร้องเรียนของแรงงานที่ทำงานอยู่ในบ้าน เช่น แม่บ้าน คนขับรถส่วนตัวและอื่นๆ นั้นให้แรงงานหรือนายจ้างยื่นข้อร้องเรียนไปยังคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำหรับแรงงานภายในบ้าน ซึ่งการไกล่เกลี่ยเบื้องต้นมีระยะเวลา 5 วัน หากไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้คณะกรรมการฯ มีเวลา 10 วันในการออกคำตัดสิน หากคำตัดสินเป็นที่ไม่พอใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ฝ่ายนั้นๆ มีสิทธิอุทธรณ์คำตัดสินโดยยื่นร้องเรียนโดยตรงผ่านเว็บไซต์นาญิซ พร้อมแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้
3.สำหรับข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับประกันสังคม (GOSI) นั้นมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้ 1) แรงงานหรือนายจ้างยื่นคำร้องไปยังองค์การประกันสังคม 2) หากผลการตัดสินไม่เป็นที่พอใจให้อุทธรณ์ไปยังหน่วยรับเรื่องอุทธรณ์เฉพาะขององค์การประกันสังคม 3) หากผลการอุทธรณ์ยังคงเป็นที่ไม่น่าพอใจจึงยื่นร้องเรียนโดยตรงผ่านเว็บไซต์นาญิซ พร้อมแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวต่อไปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน ในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสมแล้ว ยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย ซึ่งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถเดินทางได้ 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทำงานในต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง โดยแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ทุกประเทศและทุกวิธีการเดินทางในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ต้องลงนามในหนังสือรับทราบและยินยอมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และจัดทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
“สำหรับผู้สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39699 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย นึกถึงบ้านเรือนเป็นหลัก ประชาธิปไตยแบบไหนก็ตามก็ต้องมีกฎหมาย ย้ำหารือ 2 หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเน้นการทำงานเป็นหลัก | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีขอทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย นึกถึงบ้านเรือนเป็นหลัก ประชาธิปไตยแบบไหนก็ตามก็ต้องมีกฎหมาย ย้ำหารือ 2 หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเน้นการทำงานเป็นหลัก
นายกรัฐมนตรีขอทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย นึกถึงบ้านเรือนเป็นหลัก ประชาธิปไตยแบบไหนก็ตามก็ต้องมีกฎหมาย ย้ำหารือ 2 หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเน้นการทำงานเป็นหลัก
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ ขอให้ทุกฝ่ายนึกถึงบ้านเมืองเป็นหลัก เคารพกฎหมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบไหนก็ตามก็ต้องมีกฎหมาย ขอให้ปฏิบัติดูแลคุ้มครองในสิทธิของเขา ขอร้องสื่อมวลชนเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา พิจารณาสถานการณ์รอบด้าน ตำรวจมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการตามมาตรฐานสากลออกไป
นายกรัฐมนตรียังตอบข้อซักถามในส่วนของการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ยังไม่ได้มีการคุยในรายละเอียดทั้งหมด หากเสนอมานายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณาในภาพรวม เรื่องการเมืองขอให้เป็นเรื่องการเมือง วันนี้ได้มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคทั้ง 2 พรรค เรื่องการทำงานต่างๆ โดยขอความร่วมมือในการทำงานเพื่อบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า ซึ่งได้มีการพูดคุยกันไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ส่วนที่จะมีการปรับใหญ่หรือปรับแค่ 3 ตำแหน่งนั้น ต้องดูว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ทุกอย่างเป็นไปตามเดิม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสัดส่วน
...............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ขานรับ เอ็มโอยู สั่งตั้งคณะทำงาน บูรณาการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ ขานรับ เอ็มโอยู สั่งตั้งคณะทำงาน บูรณาการขับเคลื่อนพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน สั่งตั้งคณะทำงานบูรณาการให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางด้านแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเฉพาะการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มเปราะบางในทุกมิติอย่างยั่งยืน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธี ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล สำหรับขอบเขตความร่วมมือของกระทรวงแรงงาน เป็นการบริการจัดหางานในประเทศให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้มีงานทำและมีรายได้ที่เหมาะสมเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต ตลอดจนแนะแนวและส่งเสริมการประกอบอาชีพ รวมถึงการพัฒนาผีมือให้แก่ครัวเรือนเปราะบาง ให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
นายสุชาติ ยังกล่าวถึง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงแรงงาน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการบูรณาการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน และพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการด้านแรงงานทุกมิติ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน มีภารกิจหลักๆ ดังนี้ กรมการจัดหางานจะแนะแนวอาชีพและหางานให้ทำ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะพัฒนาทักษะฝีมือและอบรมการประกอบอาชีพอิสระ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปช่วยดูแลและคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน สำนักงานประกันสังคมจะเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์เพื่อเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต และสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานจะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานข้อมูลกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่จะสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เพื่อวางแผนการให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39628 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานประชุมบอร์ด 5G แห่งชาติ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
นายกฯ เป็นประธานประชุมบอร์ด 5G แห่งชาติ
นายกฯ เป็นประธานประชุมบอร์ด 5G แห่งชาติ
เมื่อวันที่8มีนาคม2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน5Gแห่งชาติครั้งที่1-2564โดยมีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมณตึกภักดีบดินทร์ทำเนียบรัฐบาลสำหรับการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน5Gแห่งชาติเพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี5Gของไทยซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์5Gของประเทศไทยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน5Gของประเทศพร้อมผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี5Gให้บรรลุตามทิศทางการพัฒนาที่ได้กำหนดไว้
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 เน้นย้ำบทบาทในการบูรณาการงานตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับพื้นที่ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
มหาดไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 เน้นย้ำบทบาทในการบูรณาการงานตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับพื้นที่
มหาดไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 เน้นย้ำบทบาทในการบูรณาการงานตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับพื้นที่
วันนี้ (4 มี.ค. 64) เวลา 09.30 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง 18 กระทรวง หัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่าระดับปลัดกระทรวง นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมการประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังที่ทำการส่วนราชการต่าง ๆ และห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ร่วมประชุม
โอกาสนี้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 มอบของที่ระลึกแด่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนำเสนอการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีโครงสร้างการดำเนินงานตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับพื้นที่ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินภารกิจครอบคลุมทั้งมิติ Agenda Function และ Area จึงถือเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการงานระดับพื้นที่ โดยขับเคลื่อนภารกิจตามแผนปฏิบัติราชการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2563 - 2565 ซึ่งสอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ แผน และนโยบายระดับชาติ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประชาชนมีรากฐานการดำรงชีวิตและพัฒนาสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและสมดุล ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มีบทบาทสนับสนุนการป้องกันและการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น โดยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประชุมร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด เพื่อบูรณาการ สั่งการ และกวดขันให้แต่ละหน่วยงานดำเนินมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างผิดกฎหมาย และได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนหน้า (ศบค.มท. ส่วนหน้า) เพื่อบูรณาการการปฏิบัติ สนับสนุน และติดตามแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า มีวัตถุประสงค์หลักในการให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขปัญหา อุปสรรคการบริหารราชการประเด็นต่าง ๆ อาทิ การบูรณาการงาน การบริหารทรัพยากรบุคคล การพัฒนาประเทศ และการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ในการประสานราชการระหว่างกัน ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
https://www.youtube.com/watch?v=YBOcMAbwIXI
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กเลย “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ตรวจสอบสิทธิ - รับเงินงวดแรก | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
เช็กเลย “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ตรวจสอบสิทธิ - รับเงินงวดแรก
...
ความคืบหน้าโครงการ "เราชนะ" สำหรับกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน และกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ล่าสุด มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1,900,000 คน และสามารถให้ลูก หลาน เข้าตรวจสอบรายชื่อผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแทนได้ ผ่าน www.เราชนะ .com ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยไทม์ไลน์การรับสิทธิเงินเยียวยา 7,000 บาท มีดังนี้
.
- ผู้ที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 15 – 21 ก.พ. 64
ตรวจสอบสถานะในวันที่ 4 มี.ค. 64
ได้รับวงเงินสิทธิครั้งแรก 4,000 บาท ในวันที่ 5 มี.ค. 64
หลังจากนั้นจะได้รับเงินโอนเข้า 1,000 บาท ทุกวันศุกร์ จนครบ 7,000 บาท
.
- ผู้ที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 22 ก.พ. – 5 มี.ค. 64
ตรวจสอบสถานะในวันที่ 15 มี.ค. 64
ได้รับวงเงินสิทธิครั้งแรก 6,000 บาทในวันที่ 19 มี.ค. 64
หลังจากนั้นจะได้รับเงินโอนเข้า 1,000 บาททุกวันศุกร์ จนครบ 7,000 บาท
.
ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเยียวยาผ่านบัตรประจำตัวประชาชน และสามารถใช้สิทธิได้ทันที เพียงนำประชาชนแบบ Smart Card ไปซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยใช้ผ่านเครื่องรูด EDC และ แอพพลิเคชัน "ถุงเงิน" ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ และใช้สิทธิได้ถึง 31 พ.ค. 64
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยเชียงใหม่ ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 100% เตรียมฉีดตามแผนให้ได้ภายในสิ้นปี 64 | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
สธ.เผยเชียงใหม่ ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 100% เตรียมฉีดตามแผนให้ได้ภายในสิ้นปี 64
กระทรวงสาธารณสุขเผย จังหวัดเชียงใหม่ฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 ให้บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษาระบบ ไม่พบอาการแพ้รุนแรง เตรียมฉีดเข็มที่ 2 ให้ครบภายในเดือนมีนาคม 2564 ส่วนล็อตต่อไปตั้งเป้าฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นต์
กระทรวงสาธารณสุขเผย จังหวัดเชียงใหม่ฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 ให้บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษาระบบ ไม่พบอาการแพ้รุนแรง เตรียมฉีดเข็มที่ 2 ให้ครบภายในเดือนมีนาคม 2564 ส่วนล็อตต่อไปตั้งเป้าฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งจังหวัดภายในสิ้นปี 2564 เป็นไปตามแผน
วันนี้ (15 มีนาคม 2564) ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวและเป็น 1 ใน 13 จังหวัด ที่ได้รับวัคซีนในระยะแรก เพื่อรักษาระบบการแพทย์และสาธารณสุข ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเดือนมีนาคมได้รับจัดสรรวัคซีนเพื่อฉีดให้กลุ่มเป้าหมายแรก ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง/ ปฏิบัติงานด่านหน้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วย จำนวน 1,760 คน ซึ่งขณะนี้ฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่พบอาการแพ้รุนแรง และเตรียมฉีดเข็มที่ 2 ให้ครบภายในเดือนมีนาคมนี้
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในแผนการจัดสรรวัคซีนระยะที่ 1 จะมีการให้บริการฉีดวัคซีนในเดือนเมษายน 16,000 คน และพฤษภาคม 24,000 คน ให้แล้วเสร็จตามแผน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย อสม. บุคคลที่มีโรคประจำตัว และผู้ประกอบอาชีพภาคการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถือเป็นการซักซ้อมที่จะรับวัคซีนในระยะที่สอง โดยจัดสรรให้ร้อยละ 50 จะกระจายให้ 6 อำเภอที่มีการระบาดสูง ได้แก่ อ.เมือง แม่ริม สารภี หางดง สันทราย และสันกำแพง อีกร้อยละ 30 จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในอีก 14 อำเภอ ส่วนที่เหลือร้อยละ 20 จะฉีดให้ 5 อำเภอชายแดน
สำหรับแผนการฉีดวัคซีนในระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้นและเพียงพอ จะฉีดให้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป, แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ, ประชาชนทั่วไป, ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ และกลุ่มนักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจต่างชาติ, คนต่างชาติพำนักระยะยาว โดยกระจายฉีดในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย กรมการแพทย์ กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 36 แห่ง ครบทั้ง 2 เข็ม ระหว่างเดือน มิถุนายน – ธันวาคม 2564 เฉลี่ยฉีดวันละประมาณ 12,000 คนต่อวัน ทั้งนี้ การดำเนินการคัดเลือกผู้ที่ได้รับวัคซีน คำนึงถึงกลุ่มเสี่ยง (Risk Person) และพื้นที่เสี่ยง (Risk Area) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด
**************************************** 15 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
การประชุมติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม
รองปลัดฯ วรวรรณ เป็นประธานการประชุมติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณของสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 ครั้งที่ 2/2564 เพื่อติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานพร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ปีงบประมาณ 2564 ให้กับสถาบันอาหาร สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำ พมจ.ทั่วประเทศ คือทีมประเทศไทย ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางระดับพื้นที่ พร้อมใช้ "สมุดพกครอบครัว" นวัตกรรมขจัดความยากจน | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
รมว.พม. ย้ำ พมจ.ทั่วประเทศ คือทีมประเทศไทย ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางระดับพื้นที่ พร้อมใช้ "สมุดพกครอบครัว" นวัตกรรมขจัดความยากจน
รมว.พม. ย้ำ พมจ.ทั่วประเทศ คือทีมประเทศไทย ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางระดับพื้นที่ พร้อมใช้ "สมุดพกครอบครัว" นวัตกรรมขจัดความยากจน
วันที่ 9 มี.ค. 64) เวลา 13.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางระดับพื้นที่ให้กับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั่วประเทศ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ณ โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ตนขอนำข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาซักซ้อมความเข้าใจให้ตรงกันตามเป้าหมายที่จะต้องทำและความคาดหวังที่จะต้องมี ภายหลังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างจริงจัง ตามที่ธนาคารโลกบอกว่าประเทศไทยจะขยับเคลื่อนตัวไปไม่ได้ หากไม่แก้ไขประชาชนระดับล่าง ซึ่งตรงกับภารกิจของกระทรวง พม. ที่ต้องเร่งแก้ไขครอบครัวเปราะบาง ซึ่งมีประมาณ 4.1 ล้านครัวเรือน ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในภารกิจนี้ว่าทุกคนคือทีมประเทศไทย
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการแก้ไขปัญหาครอบครัวเปราะบางนั้น จะดำเนินการภายใต้คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐิจพอเพียง (คจพ.) โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะมีการนัดประชุมครั้งแรกในวันที่ 19 มีนาคม 2564 โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก ส่วนหน่วยงานที่เหลือจะร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายคนจนต้องหมดจากประเทศไทย ส่วนจะตั้งเป้าหมายไว้กี่ปีนั้น ยังไม่ทราบ แต่ประเทศจีนใช้เวลาแก้ไขปัญหาความยากจน 12 ปี เพราะมีอำนาจและทรัพยากรมาก แต่ประเทศไทยจะพยายามใช้เทคโนโลยีมาช่วยในเรื่องความแม่นยำ ของบริการข้อมูล เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และประสานงาน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยลดความขัดแย้งไปได้มาก
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาความยากจน จะมีนวัตกรรม "สมุดพกครอบครัว" ซึ่งเป็นนวัตกรรมขจัดความยากจนของหลายประเทศ อย่างประเทศจีนได้นำมาทำมากที่สุด คล้ายกับหลักเกณฑ์คนไข้ด้านสังคมอยู่ในห้องไอซียู แล้วมีแพทย์เฉพาะทางหรือแต่ละกระทรวงมาดูว่าจะรักษาได้อย่างไรให้คนไข้หาย ให้ยารักษาหรือมาตรการช่วยเหลืออย่างไร โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นเสมือนหัวหน้าแพทย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเสมือนผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่วนกระทรวง พม. เป็นเสมือนแพทย์ประจำตัว มีหน้าที่เฝ้าระวังดูแลผู้ป่วย และรายงานผลให้หัวหน้าแพทย์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลรับทราบ โดยจะมีการปรับการรักษาหรือมาตรการช่วยเหลือให้เหมาะสม ทั้งนี้ สมุดพกครอบครัวจะทำเป็นเล่มเก็บไว้แต่ละบ้าน และสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ที่แต่ละกระทรวงสามารถมอนิเตอร์ได้ เพื่อจะรู้ว่าต้องทำหน้าที่อะไร โดยจะมีการลงพื้นที่ประเมินครอบครัวว่าเข้าถึงปัจจัย 4 สิทธิและสวัสดิการภาครัฐ การลดละเลิกอบายมุข ตลอดจนการมีอาชีพ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากครัวเรือนยากจนได้เข้าถึงมาตรการรอบด้านจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในเบื้องต้น เป็นมาตรการที่เริ่มต้นในหลายจังหวัดเรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39814 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง และห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง และห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
ผู้ช่วยรมว.วธ. เป็นประธานรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง และห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง และห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ในพิธีเปิด "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" โดยมี นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวกนกวลี สุริยะธรรม ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตำบลพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40176 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนเดียวก็เที่ยวได้ กับกิจกรรมท่องเที่ยวสไตล์คนโสด | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
คนเดียวก็เที่ยวได้ กับกิจกรรมท่องเที่ยวสไตล์คนโสด
...
คนโสดไม่ควรพลาดกับกิจกรรม "เส้นทางคนโสด"
กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ
เน้นพบปะมิตรภาพใหม่ ๆ และพบประสบการณ์ดี ๆ
จากการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก
.
เส้นทางต่อไป โสดสายชิลล์ Secret Rooftop
กลางทะเลพัทยา ล่องเรือดินเนอร์ชมพระอาทิตย์ตก
กลางทะเลพัทยา ณ แหลมบาลีฮาย จังหวัดชลบุรี
ในวันที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ เปิดแคมเปญเงินฝากบัญชีอัลฮัจย์ ออมเงินเพื่อทำฮ้จย์ ลุ้นได้ไปทำฮัจย์ฟรี | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ไอแบงก์ เปิดแคมเปญเงินฝากบัญชีอัลฮัจย์ ออมเงินเพื่อทำฮ้จย์ ลุ้นได้ไปทำฮัจย์ฟรี
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) จัดแคมเปญเงินฝากบัญชีอัลฮัจย์ต่อเนื่อง มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเงินฝากบัญชีอัลฮัจย์ ประจำปี 2564 ลุ้นรับแพ็กเกจไปประกอบพิธีฮัจย์ฟรี! ปี 2565 จำนวน 8 รางวัลรวมมูลค่า 1,600,000 บาท
กิจกรรมจับสลากเงินฝากบัญชีอัลฮัจย์ เพื่อไปประกอบพิธีฮัจย์ ปี 2564 เป็นกิจกรรมที่ธนาคารจัดขึ้นให้กับลูกค้าที่ฝากเงินกับบัญชีเงินฝากอัลฮัจย์ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยลูกค้าที่ฝากเงินกับบัญชีอัลฮัจย์ที่เป็นลูกค้าเดิมหรือเปิดบัญชีใหม่นอกจากจะได้รับผลตอบแทนตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกับธนาคารแล้ว ยังจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลแพ็กเกจไปประกอบพิธีฮัจย์ฟรี! ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย จำนวน 8 รางวัล ในปี 2565 ซึ่งจะเดินทางไปพร้อมกับ ผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลของธนาคารเมื่อปี 2562 และ 2563 แต่ยังไม่สามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
การนับสิทธิ์จับรางวัลจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป โดยลูกค้าเงินฝากอัลฮัจย์ที่มียอดเงินฝากเฉลี่ยรายวันทุกๆ 2,000 บาทต่อเดือน และดำรงเงินฝากติดต่อกัน 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล จำนวน 1 สิทธิ์ ลูกค้ามีเงินฝากจำนวนมาก ก็จะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลมากขึ้นด้วยตามเงื่อนไขของธนาคาร และสำหรับลูกค้าที่ฝากเงินภายในเดือนเมษายน 2564 และคงเงินในบัญชีไว้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ทุก ๆ 2,000 บาท จะได้รับสิทธิ์เป็น 2 สิทธิ์ โดยธนาคารจะนำสิทธิ์ดังกล่าวไปจับสลากหาผู้โชคดีในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมด้วยการเปิดบัญชีอัลฮัจย์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 1 กรกฎาคม 2564 และผู้ฝากต้องคงเงินฝากไว้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 จึงจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขา หรือ โทร. iBank call Center 1302
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39888 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกฯ ห่วงใยสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ
วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือด้วยความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเร่งด่วน โดยจัดตั้งคณะกรรมการ/ศูนย์บัญชาการระดับจังหวัด เพื่อรับมือสถานการณ์ จัดชุดปฏิบัติการเข้าเผชิญเหตุและควบคุมสถานการณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเจรจากับประเทศอาเซียนเพื่อลดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการจุดความร้อนในพื้นที่ และทำแนวกันไฟ ขณะที่หลายจังหวัดได้ออกประกาศห้ามเผาโดยเด็ดขาดจนถึงวันที่ 30 เม.ย. 64 นี้ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งและสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัยด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ
วันพฤหัสบดีที่18มีนาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารณห้องประชุม4/2ชั้น4อาคาร1กรมส่งเสริมการเกษตร
โดยที่ประชุมได้รับทราบการขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยชื่อและตราสัญลักษณ์โครงการผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ2563ที่มีผู้มาขอรับบริการจากคลินิกเกษตรต่างๆกว่า2แสนรายพร้อมนี้ได้พิจารณาแนวทางการดำเนินงานโครงการฯให้เกิดการบูรณาการร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่เกษตรสูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” เดินหน้าเสวนาระดมความคิดการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) พร้อมเปิดตัวภาคีเครือข่าย สร้างองค์ความรู้ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
“กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” เดินหน้าเสวนาระดมความคิดการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) พร้อมเปิดตัวภาคีเครือข่าย สร้างองค์ความรู้
“กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” เดินหน้าเสวนาระดมความคิดการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) พร้อมเปิดตัวภาคีเครือข่าย สร้างองค์ความรู้
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานพิธีเปิด “แสดงความร่วมมือในการรับมือกับข่าวปลอม Fake News” ร่วมด้วย ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมด้วยเสวนาระดมความคิดในประเด็นการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) ดำเนินรายการโดย นายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ มีผู้เข้าร่วมเสวนา ดังนี้ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต, คุณตรี บุญเจือ, คุณนันทรัศมิ์ เทพดลไชย ฯลฯ นอกจากนี้ยังขอเชิญทุกท่านร่วมฟังภาคีเครือข่ายแนะนำโครงการที่ร่วมขับเคลื่อนประเด็นข่าวปลอม (Fake News) กว่าสิบโครงการฯ คาดหวังเยาวชนและประชาชนเกิดองค์คงามรู้ในการรับข่าวลวง เมื่อเร็วๆ นี้ (ณ M Space ชั้น 3 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน เวลา 13.00-16.00 น.)
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์(Social Media) ในประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น คนไทยที่ใช้เฟสบุ๊กมีจำนวนถึง 49 ล้านคน โดยนับเป็นอันดับ 8 ของโลก ทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ในหลาย ๆ ข้อมูล
ถูกแพร่กระจายออกไปก่อนที่จะได้รับการตรวจสอบ หรือกลั่นกรองข้อมูลมาก่อน ซึ่งบางข้อมูลเป็น ข้อมูลที่ผิด ข้อมูลลวง หรือที่เราเรียกกันว่า ข่าวปลอม (Fake news) ซึ่งมีกรณีเชิงประจักษ์มากมายที่สะท้อนว่า “ข้อมูลเท็จ” เหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่ระดับส่วนรวม ถึงระดับปัจเจก ส่งผลเสียหายต่อประเทศและประชาชนในด้านความรู้ ความคิด ความมั่นคง ไปจนถึงชื่อเสียง และอาจถึงแก่ชีวิตและยังเป็นสิ่งสะท้อนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องมีความรู้เท่าทันสื่อในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และกระทรวงวัฒนธรรม จึงพร้อมที่จะผลักดัน และส่งเสริมนักผลิตสื่อที่เห็นถึงความสำคัญของการรับมือกับข่าวปลอม (Fake news) และกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งทุกข้อคิดเห็นต่าง ๆ ข้อติชมในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการนำไปปรับปรุง และพัฒนาสื่อที่ปลอกภัยและสร้างสรรค์ต่อไป
ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์กล่าวว่าในปัจจุบันโซเซียลมีเดียได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังทวีความรุนแรงได้มากพอที่จะส่งผลกระทบไปถึงความมั่นคง ในระดับประเทศ ซึ่งมีการวิจัยของ มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ว่าการแพร่กระจายของข่าวปลอมในโซเชียลมีเดีย รวดเร็วถึง 6 เท่า จากการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วของข่าว กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้มีการสนับสนุนโครงการที่เข้าร่วมขับเลื่อนประเด็นข่าวปลอม ดังนี้
1. โครงการฐานข้อมูลต้นแบบเพื่อรับมือกับข่าวปลอม
2. โครงการผลิตภาพยนตร์สั้นส่งเสริมความเข้าใจและตีแผ่ภัยรู้เท่าทันสื่อยุคปัจจุบัน
3. โครงการเช็ก ชัวร์ แชร์
4. โครงการเครือข่ายพระสงฆ์เฝ้าระวังสื่อชวนเชื่อทางศาสนา
5. ภาพยนตร์ชุด เรื่อง บางกอก ซีโร่
6. โครงการ ข่าวจริงป่ะ
7. โครงการ การพัฒนาเกมสืบสวนและเกมโชว์ออนไลน์เพื่อการรับมือกับข่าวปลอมสำหรับประชาชนทั่วไป
8. โครงการ Fake News Fighter : การสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างองค์ความรู้และกลไกในการแก้ปัญหาข่าวปลอม
9. โครงการ Check ก่อน Share วัยรุ่นยุคใหม่ รู้จริง ไม่มี Fake
10. โครงการพัฒนาการตรวจจับข่าวปลอมโดยการเรียนรู้ของเครื่องและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของประชาชน
11. โครงการพัฒนาศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายระดับประเทศในการรับมือกับข่าวปลอม
ด้วยเหตุนี้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จึงจัดกิจกรรมแถลงความร่วมมือการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนัก เรื่องพิษภัยและผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะ ตรวจสอบข่าวปลอมได้ รวมถึงส่งเสริมความรู้และความตระหนักในปัญหาข่าวปลอมสำหรับประชาชนทั่วไป
ภายในงานยังมีการเสวนาระดมความคิดในประเด็นการรับมือกับข่าวปลอม (Fake News) ดำเนินรายการโดย นายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ มีผู้เข้าร่วมเสวนา ดังนี้ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต,
คุณตรี บุญเจือ, คุณนันทรัศมิ์ เทพดลไชย ฯลฯ นอกจากนี้ยังขอเชิญทุกท่านร่วมฟังภาคีเครือข่ายแนะนำโครงการที่ร่วมขับเคลื่อนประเด็นข่าวปลอม (Fake News)
ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เผยว่า ในการศึกษาเรื่องของการแพร่กระจายของข่าวปลอมในโซเชียลมีเดียของมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งเป็นการวิจัยการแพร่กระจายของข่าวปลอมในโซเชียลมีเดีย มีผลการศึกษาที่บ่งบอกว่าข่าวปลอมถูกแบ่งปันมากกว่าข่าวจริงและแพร่กระจายได้เร็วกว่าถึง 6 เท่า จากการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วของข่าวปลอมนี้เอง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ระงับข่าว และแก้ไข ซึ่งส่งผลเสียอย่างมหาศาลตามมาในภายหลัง การแพร่กระจายอย่างรวเร็วของข้อมูลเท็จ ซึ่งมีกรณีเชิงประจักษ์มากมายที่สะท้อนว่า “ข้อมูลเท็จ” เหล่านั้นก่อให้เกินปัญหาตั้งแต่ระดับ ส่วนรวม ถึงระดับปัจเจก ส่งผลเสียหายระดับประเทศและประชาชนในด้านความรู้ ความคิด ความมั่นคง ไปจนถึงชื่อเสียง และอาจถึงแก่ชีวิต และยังเป็นสิ่งสะท้อนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นที่ประชาชนต้องมีความรู้เท่าทันสื่อในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรู้เท่าทันสื่อด้านสุขภาพ สื่อด้านเศรษฐกิจ สื่อด้านสังคม หรือแม้กระทั่งสื่อด้านการเมือง
“Fake News” เป็นประเภทของการสื่อสารมวลชนหรือการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ข่าวจริง หรือเป็นข้อมูลที่หลอกลวง แพร่กระจายผ่านการพิมพ์แบบดั้งเดิม และเผยแพร่ข่าวหรือสื่อออนไลน์ทางสังคมออนไลน์ Fake News เขียนขึ้นโดยมีเจตนาที่จะหลอกลวงเพื่อสร้างความเสียหายแก่สังคม แก่หน่วยงานหรือหวังผลทางการเมือง รวมทั้งการสร้าง Fake News เพื่อเป็นการโฆษณาสินค้าและบริการแฝงไปกับข่าว เพื่อเพิ่มจำนวนผู้อ่านหรือการแชร์ออนไลน์
ดังนั้นจึงได้จัดกิจกรรม เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนัก เรื่องพิษภัยและผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะ ตรวจสอบข่าวปลอมได้ รวมถึงส่งเสริมความรู้และตระหนักในปัญหาข่าวปลอมสำหรับประชาชนทั่วไป วัตถุประสงค์ 1. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการต่อต้าน/การรับมือกับข่าวปลอม 2. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในประเด็นการรับมือข่าวปลอม 3. เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดองค์ความรู้ในการรับมือกับข่าวลวง รวมถึงส่งเสริมความรู้และความตระหนักในปัญหาข่าวปลอมสำหรับประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39791 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เลขานุการฯ รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจบริเวณเรือนจำกลางคลองเปรม เพิ่มกล้องวงจรปิด-เวรยาม เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามนโยบาย รมว. พร้อมตรวจความเรียบร้อยนักโทษการเมือง ยันสุขภาพดี | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
เลขานุการฯ รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจบริเวณเรือนจำกลางคลองเปรม เพิ่มกล้องวงจรปิด-เวรยาม เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามนโยบาย รมว. พร้อมตรวจความเรียบร้อยนักโทษการเมือง ยันสุขภาพดี
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจตราการรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบเรือนจำหลังมีการก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์
ในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ เรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพฯ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจตราการรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบเรือนจำหลังมีการก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าวว่า การที่ตนมาลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยในครั้งนี้ เนื่องจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีนโยบายและกำชับให้กรมราชทัณฑ์ รวมถึงทุกกรมในกระทรวงดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้นขึ้น โดยมาตรการของเรือนจำกลางคลองเปรมนั้นได้มีการเพิ่มกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุมทุกจุด และสำรวจว่ามีจุดอับตรงไหนบ้างหรือไม่ ซึ่งได้มีการแก้ไขแล้ว รวมถึงมีการปรับภูมิทัศน์ให้ง่ายต่อการรักษาความปลอดภัย และมีการเพิ่มเวรรักษาความปลอดภัยโดยปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนยังไปตรวจตราเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อดูความเรียบร้อยและความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังทางการเมือง โดยได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่าความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังแต่ละคนปกติ สุขภาพและความเป็นอยู่ดี ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39660 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ปลัดเกษตรฯ เปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564
ปลัดเกษตรฯ เปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 มุ่งส่งเสริมองค์ความรู้ เพื่อวางแผนการผลิต เข้าถึงปัจจัยการผลิต บริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่บ้านหนองสามพราน (ศพก.เครือข่าย) หมู่ที่ 9 ตำบลวังด้ง อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญกับการผลิตของเกษตรกร โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเกษตรกร จึงได้จัดกิจกรรมวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ (Field day) เพื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเตรียมความพร้อมของพี่น้องเกษตรกร ก่อนเข้าสู่การเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2564 โดยให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ เพื่อวางแผนการผลิต เข้าถึงปัจจัยการผลิต บริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร ซึ่งหากสามารถทำให้เกษตรกรนำองค์ความรู้ที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไปประยุกต์ใช้จะทำให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือหากมีการขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และองค์ความรู้ต่าง ๆ จะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้
"สำหรับงานวัน Field Day มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้เข้ามาเรียนรู้ รับทราบเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ช่องทางการตลาด ข้อมูลข่าวสาร การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเกษตรกรด้วยกันเอง รวมทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ การจัดงาน Field day ใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร หรือเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเป็นสถานที่จัดงาน และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตร ที่มีเกษตรกรผู้นำเป็นผู้บริหารจัดการ ภายใต้การสนับสนุนของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การจัดงาน Field day จึงเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ ที่เหมาะสมของเกษตรกรนั่นเอง” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
“ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)” นับเป็นศูนย์ที่มีการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสินค้าหลักและเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ (Zoning) โดยมีองค์ประกอบของศูนย์ ได้แก่ เกษตรกรต้นแบบ แปลงเรียนรู้ หลักสูตรการเรียนรู้ และฐานการเรียนรู้ สำหรับองค์ความรู้ที่มีอยู่ในศูนย์เรียนรู้ฯ เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่หน่วยงานราชการส่งเสริม กับภูมิปัญญาของเกษตรกร และได้มีการประยุกต์ใช้ให้มีความเหมาะสมอย่างเฉพาะเจาะจง กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่นั้น ๆ
กิจกรรมภายในงาน นอกจากสถานีเรียนรู้ จำนวน 5 สถานีแล้ว ยังมีนิทรรศการให้ความรู้จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การสาธิตการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและเพิ่มผลผลิต ด้วยเทคโนโลยี “เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับ” นิทรรศการตลาดเกษตรกร และการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ขององค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มส่งเสริมอาชีพ SF YSF และร้านค้าต่าง ๆ อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือเครือข่าย หนุนผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรไทย/กัญชาขึ้นห้าง กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
สธ.จับมือเครือข่าย หนุนผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรไทย/กัญชาขึ้นห้าง กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
กระทรวงสาธารณสุข จับมือเครือข่ายภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยทั้งรัฐและเอกชน จัดงาน “ครบเครื่องเรื่องกัญชา และเสน่ห์ยาสมุนไพร” หนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง อาหารจากสมุนไพรไทยและกัญชา พร้อมยกขึ้นห้าง ตอบรับความต้องการของตลาด
กระทรวงสาธารณสุข จับมือเครือข่ายภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยทั้งรัฐและเอกชน จัดงาน “ครบเครื่องเรื่องกัญชา และเสน่ห์ยาสมุนไพร” หนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง อาหารจากสมุนไพรไทยและกัญชา พร้อมยกขึ้นห้าง ตอบรับความต้องการของตลาด ขยายโอกาสอาชีพแก่ผู้ประกอบการ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ ประธานเครือข่ายพลังภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “ครบเครื่องเรื่องกัญชา และเสน่ห์ยาสมุนไพร” เพื่อนำผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องสำอาง อาหารจากสมุนไพรไทยและกัญชา มาจัดแสดงและสาธิตวิธีการผลิต การนำไปใช้สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขยายโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชาติ
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและทางแพทย์ทางเลือก ร่วมกับเครือข่ายพลังภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ได้ส่งเสริมการนำพืชเศรษฐกิจ มาบูรณาการใช้กับภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะพืชกัญชาที่นำมาใช้ทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน โดยได้มีการศึกษาวิจัย พัฒนาต่อยอดกัญชาและสมุนไพรไทย เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ แปรรูปเป็นอาหาร เครื่องสำอาง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีผู้สนใจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท
“การจัดงานครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีที่จะให้ประชาชนและผู้ประกอบเข้ามาเรียนรู้ การนำสมุนไพรและพืชกัญชา มาผลิตและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างถูกกฎหมาย สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ สร้างนวัตกรรม เกิดการจ้างงาน พร้อมที่จะขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้ธุรกิจด้านการแพทย์แผนไทยเป็นแรงขับเคลื่อน” นายอนุทินกล่าว
ด้านแพทย์หญิงอัมพร กล่าวว่า การจัดงาน “ครบเครื่องเรื่องกัญชา และเสน่ห์ยาสมุนไพร” ในครั้งนี้ มีกิจกรรม ประกอบด้วย เวทีเสวนาวิชาการกัญชาและสมุนไพร บริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ แบบผสมผสาน นิทรรศการวิชาการผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์แผนไทย และการสาธิตทำผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชา อาทิ อาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม, ชาชงรูปแบบต่างๆ, น้ำมันนวด เป็นต้น และจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารเพื่อสุขภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 21 มีนาคม 2564 เวลา 11.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การค้า Paradise Park เขตประเวศ กทม. จึงขอเชิญชวนประชาชน นักธุรกิจ ที่สนใจ เข้าร่วมงาน เพื่อเป็นโอกาสการขยายธุรกิจ เกิดความคิดสร้างสรรค์นำกัญชาและสมุนไพรไทยไปพัฒนาต่อยอด เกิดการสร้างรายได้ สร้างอาชีพต่อไป
***********************17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40074 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พลังงาน ร่วม ก.อุตฯ ประชุม EV ชาติ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้นใช้รถ EV | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ก.พลังงาน ร่วม ก.อุตฯ ประชุม EV ชาติ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้นใช้รถ EV
ก.พลังงาน ร่วม ก.อุตฯ ประชุม EV ชาติ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้นใช้รถ EV
วันนี้ (24 มี.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอรด์ อีวี) โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการส่งเสริมยานยนตไฟฟ้า ด้วยการลดการใช้รถยนต์ที่่ใชเ้ครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก
รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปัจจุบันทั่วโลกต่างตระหนักถึงปัญหาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดก๊าซเรือนกระจก จึงทำให้หลายประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และงดการใช้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ดังนั้น เพื่อให้ทิศทางการดำเนินงานนโยบายด้านพลังงานของไทยสอดคล้องกับกระแสของโลก จึงมีนโยบายลดการใช้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ที่ประชุมได้ร่วมกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมาผลิตเครื่องยนต์สันดาปซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จึงได้วางเป้าหมายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาเทียบเท่ากับรถยนต์สันดาป เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ในการดำเนินงานขับเคลื่อนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ร่วมกันพิจารณาส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าประกอบด้วย รถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของอุปทาน (ผู้ผลิต) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทุกประเภทในปี 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,055,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 402,000 คัน รถจักรยานยนต์ 622,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 15,580,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 6,400,000 คัน รถจักรยานยนต์ 8,750,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 430,000 คัน และได้วางเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศในปี 2568 จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,051,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 400,000 คัน รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 18,413,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 8,625,000 คัน รถจักรยานยนต์ 9,330,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 458,000 คัน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้วางนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยมาตรการระยะเร่งด่วนและมาตรการระยะ 1-5 ปี ดังนี้ มาตรการกระตุ้นการใช้รถ EV ระยะเร่งด่วน โดยจะมุ่งส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งประเภทสองล้อ สามล้อ และสี่ล้อไฟฟ้า โดยวางแผนจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานแบตเตอรี่และการบริหารจัดการซากแบตเตอรี่ที่เกิดจากการใช้งานภายในประเทศอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มาตรการกระตุ้นระยะ 1-5 ปี ดำเนินการส่งเสริมการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต การเตรียมการด้านการบริหารจัดการซากรถยนต์แบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ตามมาตรฐานสากล (EcoSystem) เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้น ได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน 2. คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและแบตเตอรี่เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า 3. คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซเรือนกระจกจากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า และ 4. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้การส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดำเนินนโยบายไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งเกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกันในการเดินหน้านโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และนำพาประเทศก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก
รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวอีกว่า คณะกรรมการชุดนี้มีความสำคัญต่อประเทศ และอุตสาหกรรมของประเทศเป็นอย่างมาก ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดนโยบายที่ชัดเจนที่จะทำให้บ้านเมืองเราสวยงามและทันสมัย
------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ เห็นพ้องสนับสนุนความร่วมมือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการควบคุมโรคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ เห็นพ้องสนับสนุนความร่วมมือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการควบคุมโรคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19
นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ เห็นพ้องสนับสนุนความร่วมมือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการควบคุมโรคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19
วันนี้ (15 มีนาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมุศเฏาะฟา มะฮ์มูด มุศเฏาะฟา เอลกูนี (H.E. Mr. Moustapha Mahmoud Moustapha Elkouny) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ชื่นชมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับอียิปต์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 67 ปี และมีความใกล้ชิดกันในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ยืนยันรัฐบาลไทยพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างกันอย่างเต็มที่
เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันที่มีมาอย่างยาวนาน ยืนยันพร้อมสานต่อและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ใกล้ชิดมากขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตอียิปต์ฯ ชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของไทยที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือในทุกด้านที่มีศักยภาพภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่า ไทย-อียิปต์ ยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก โดยใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของทั้งสองประเทศเพื่อเป็นประตูเชื่อมไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลอียิปต์ช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคเอกชนไทยที่เข้าไปลงทุนในอียิปต์ พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคเอกชนอียิปต์เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) รัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในอียิปต์มากขึ้น ในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและสอดคล้องกับความต้องการของอียิปต์เช่นกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือสำคัญอื่น ๆ ร่วมกัน อาทิ ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลอียิปต์ที่ดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง ด้านการท่องเที่ยว ไทยและอียิปต์ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จึงเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้นซึ่งจะต้องมีการป้องกันควบคุมโรคควบคู่ไปด้วย โดยไทยพร้อมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการจัดการท่องเที่ยวแบบ New Normal ของไทยแก่อียิปต์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ จัด อบรมภาวะผู้นำพาณิชย์จังหวัด เดินหน้า 14 แผนงานนโยบายกระทรวงพาณิชย์ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
จุรินทร์ จัด อบรมภาวะผู้นำพาณิชย์จังหวัด เดินหน้า 14 แผนงานนโยบายกระทรวงพาณิชย์
11 มีนาคม 2564 เวลา 12.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการฝึกอบรมหลักสูตร Leadership for Leader พาณิชย์จังหวัด
โดยมีผู้บริหารและพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเป็นการฝึกอบรมผ่านทางระบบออนไลน์และที่ล้อมวงแลกเปลี่ยนระหว่างกันที่สำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ได้มอบนโยบายให้มีการจัดการอบรมให้ความรู้กับพาณิชย์จังหวัดทั่วทั้งประเทศเพื่อพัฒนาศักยภาพในการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นและเรื่องการให้ความรู้ภาวะผู้นำสำหรับผู้นำที่เรียกว่า Leadership for Leader อบรมทั้งหมด 11 วัน โดยหัวใจสำคัญคือต้องการที่จะให้ปรับบทบาทของพาณิชย์จังหวัดจากผู้คุมกฎกติกาเป็นผู้ให้บริการประชาชน ทั้งภาคเอกชน ภาคการผลิต ภาคบริการ รวมทั้งเกษตรกรมากขึ้น
" มุ่งเน้นให้พาณิชย์จังหวัดใช้กลไกทีมเซลล์แมนจังหวัดซึ่งประกอบด้วย ภาคเอกชน ภาคการผลิต ภาคบริการ เกษตรกร และภาคอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาส่งเสริมการค้าในจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น และมุ่งเน้นในเรื่องการแก้ปัญหาเชิงรุกโดยไม่ต้องรอให้ปัญหาเข้ามา โดยวิ่งเข้าไปหาปัญหาและเร่งแก้ปัญหาให้เสร็จจบในส่วนของภูมิภาคไม่ลุกลามมาถึงส่วนกลางที่ผ่านมาสามารถทำได้ดี " นายจุรินทร์ กล่าว
นอกจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังให้แนวทางพาณิชย์จังหวัดนำ 14 แผนงานนโยบายปี 2564 มาบังคับใช้ให้บรรลุผลในทุกพื้นที่ทุกจังหวัด และการแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตโดยเฉพาะช่วงโควิดเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกร สินค้าชุมชน สหกรณ์ ให้ความช่วยเหลือกับ ไมโครเอสเอ็มอี เอสเอ็มอีต่างๆร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ และจากนี้ไปจะมีการให้ความรู้กับผู้ช่วยพาณิชย์จังหวัดเป็นหลักสูตรต่อไปด้วย เป้าหมายสูงสุดจะเป็นประโยชน์ต่อการปฎิบัติราชการของพาณิชย์จังหวัดและทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาแน่! “SME คนละครึ่ง” กลางปีนี้...หนุนช่วยผู้ประกอบการรายย่อย | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
มาแน่! “SME คนละครึ่ง” กลางปีนี้...หนุนช่วยผู้ประกอบการรายย่อย
...
ข่าวดีสำหรับชาว SME รัฐบาลเตรียมโครงการดี ๆ ภายใต้ชื่อว่า “SME คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ลักษณะร่วมกันจ่ายกับ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50 - 80 ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ และเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันได้
.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ชาว SME จะสามารถขอรับการสนับสนุน ได้แก่
- ค่าใช้จ่ายในการอบรมพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ
- ค่าใช้จ่ายในการทดสอบและรับรองมาตรฐาน
- ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์
- การทดลองผลิตระดับอุตสาหกรรมและการออกแบบ
- ค่าใช้จ่ายในการขยายโอกาสทางการตลาด
- ค่าใช้จ่ายในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา
- รวมทั้งค่าตอบแทน เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าผู้เชี่ยวชาญ ค่าวินิจฉัย เป็นต้น
.
สำหรับคุณสมบัติของ SME ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นธุรกิจที่ได้ยื่นชำระภาษี และขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว. แล้ว คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs’ Co-payment ในกลางปีนี้
.
ชาว SME ท่านสนใจ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรได้ที่
สายด่วน สสว. 1301 หรือ ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร https://oss.sme.go.th/oss/Oss_Branch.aspx
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39776 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. เร่งดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
อก. เร่งดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model
อก. เร่งดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ผลักดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model จัดประชุมสร้างความร่วมมือ “การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงสู่เชิงพาณิชย์” ร่วมกับ 3 สถาบันเครือข่าย สถาบันอาหาร (สอห.) สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สพว.) และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (สสท.) ผลักดันกัญชง ให้ใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ภายหลังจากกฎหมายอนุญาตให้ผลิต นำเข้า ส่งออก หวังไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์จากกัญชงที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปพืชกัญชงเพื่อตอบสนองเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ของกระทรวงอุตสาหกรรม” ในงานการประชุมสร้างความร่วมมือ เรื่อง “การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงสู่เชิงพาณิชย์” ภายใต้ “โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชง เพื่อตอบสนองเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ เพื่อสร้างความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานพืชกัญชง ทบทวนและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีการแปรรูปพืชกัญชง และการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากเส้นด้ายกัญชง ผลิตภัณฑ์คอมโพสิต และอาหารสัตว์ พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการยกระดับเทคโนโลยีการแปรรูปและนำทุกส่วนของพืชกัญชงมาแปรรูปเป็นสินค้ากึ่งวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม โดยได้รับการตอบรับจากทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในงาน และประชุมผ่านระบบออนไลน์เป็นจำนวนมาก
นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า พืชกัญชงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมากเห็นได้จากมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมกัญชงทั่วโลกในปี 2562 ที่มีมูลค่าประมาณ 4,410 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 16.21 ต่อปี โดยคาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 14,670 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยปัจจัยสำคัญที่สามารถนำส่วนต่างๆ ของกัญชงไปใช้แปรรูปได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ วัสดุคอมโพสิต พลาสติกชีวภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ตลอดจนการนำเมล็ดและน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้เพื่อการบริโภค โดยตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป สำหรับมูลค่าตลาดทั่วโลกของสารสกัด CBD ที่มีฤทธิ์ระงับประสาท ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และบรรเทาอาการเจ็บป่วย รวมทั้งคุณประโยชน์ที่หลากหลายของ CBD เมื่ออยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารและไม่ใช่อาหาร ซึ่งในปี 2562 มีมูลค่า 553.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 33.5 ต่อปี และคาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 4,268.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเปิดกว้างโดยการปลดล็อคทางกฎหมายทั้งด้านการผลิตและการจำหน่ายที่มีมากขึ้นในประเทศต่างๆ สำหรับประเทศไทยกัญชงได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ ยกเว้นช่อดอกที่ยังเป็นยาเสพติด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 หากประชาชนหรือผู้ประกอบการสนใจผลิตหรือนำเข้ากัญชงจะต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากกัญชงสามารถใช้ประโยชน์ได้เพียงเฉพาะกลุ่มและวัตถุประสงค์ที่จำกัด อย่างไรก็ตาม กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีบทบาทต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมในระดับสูง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการมีความพร้อมด้านการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่าง ๆ ของกัญชง ประกอบกับมีพื้นที่ว่างทางการเกษตรที่สามารถเพาะปลูกกัญชงได้ รวมทั้งกฎหมายได้เปิดกว้างให้ภาคธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น
นางสาวพะเยาว์ คำมุข รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า สศอ.ได้เล็งเห็นความสำคัญในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำเพื่อให้เกิดการพัฒนาพืชกัญชงอย่างครบวงจร จึงได้ดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากต้นกัญชง ได้ครบทุกส่วน ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเมล็ดเพื่อใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Healthy Food/Drink) แกนแห้งนำไปใช้ทำพื้นรองเท้าและยางคอมปาวด์เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ยางถอนขนไก่ เปลือกนำไปใช้ทำสิ่งทอเป็นเส้นด้ายกัญชงผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติ Anti Bacteria และผลิตภัณฑ์คอมโพสิต เช่น กันชนรถยนต์และสเก็ตบอร์ด ใบใช้ประโยชน์ทำเครื่องสำอาง เช่น Skin Care และ Anti-aging ก้านใบและใบนำไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ อีกทั้งช่อดอกนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองนโยบาย BCG Model ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ อก. โดย สมอ. ได้เร่งเตรียมความพร้อมในด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพืชกัญชง โดยจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากึ่งวัตถุดิบจากพืชกัญชง จำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดกัญชง น้ำมันกัญชง และสารสกัด CBD จากกัญชงคาดว่าจะทยอยประกาศใช้ภายใน ปี 2564 ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดเหล่านี้ อก. คาดว่าจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทย ตลอดจนสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ก่อให้เกิดการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานกัญชง และพร้อมเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากกัญชง เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการแปรรูปกัญชงของอาเซียนภายใน 5 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39707 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
รัฐบาลสนับสนุนตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม
วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
วิสาหกิจเพื่อสังคม แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปที่การนำผลกำไรไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ไปลงทุนในกิจการหรือใช้ประโยชน์เพื่อสังคม และมีเป้าหมายในการประกอบกิจการเพื่อแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งจ้างงานแก่ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส รัฐบาลจึงสนับสนุนให้เพิ่มจำนวนวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 17 แห่ง เช่น ธนาคารออมสิน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บริษัท ปตท.จำกัดมหาชน เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาสินค้าและการจัดการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้เกิดวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็งเป็นแหล่งสร้างอาชีพสร้างรายได้พัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอแปค 1/2564 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
ประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอแปค 1/2564
ประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอแปค 1/2564
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอแปค และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปี 2564 ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ด้าน และมอบหมายภารกิจแก่คณะอนุกรรมการแต่ละด้าน ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการด้านสารัตถะ 2.คณะอนุกรรมการด้านพิธีการ อาคันตุกะสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์ 3.คณะอนุกรรมการด้านยานพาหนะ จราจร และรักษาความปลอดภัย และ 4.คณะอนุกรรมการด้านงบประมาณและการเงิน ณ ห้องประชุม 134-135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39825 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมชี้แจงกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ประชุมชี้แจงกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รองปลัดฯ อำพันธุ์ ประชุมชี้แจงกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี 2564 กลุ่มพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 9 จังหวัด และประชุมหารือหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ในพื้นที่ เพื่อมอบนโยบายและติดตามงานโครงการ 1 ตำบล 1
นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคกลาง 25 จังหวัด เป็นประธานการประชุมชี้แจงกำกับการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กลุ่มพื้นที่ภาคกลาง (ครั้งที่ 3) จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ สระบุรี สิงห์บุรีและอ่างทอง ณ ห้องประชุมป่าโมก ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดอ่างทอง (หลังใหม่) ในการประชุมครั้งนี้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด พร้อมด้วยหัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตร 9 จังหวัด เข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบการชี้แจงแนวนโยบายของกระทรวงฯ การหารือ แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และรับทราบปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานที่ผ่านมา ใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) งานตามนโยบาย/โครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2) แนวทางการบริหารจัดการองค์กร 3) เป้าหมายการพัฒนาภาคการเกษตรตามศักยภาพ/ความเหมาะสมของพื้นที่ 4) การบูรณาการ/การบริหารจัดการทรัพยากร ภายในจังหวัด/ระหว่างจังหวัด เพื่อให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดขับเคลื่อนงานด้านการเกษตรระดับจังหวัดและระดับอำเภอ เชื่อมโยงกับทิศทางการพัฒนาระดับภาคและระดับประเทศต่อไป
จากนั้นร่วมประชุมหารือ/พบปะหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง ณ ห้องประชุมสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดอ่างทอง เพื่อติดตามโครงการสำคัญกระทรวงเกษตรฯ เช่น โครงการพระราชดำริ โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) เป็นต้น รวมทั้งลงพื้นที่เยี่ยมชม “วีระพงศ์เจริญฟาร์มและโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์” โดยนายระวีพงศ์ วีระพงศ์ ผู้ประกอบการธุรกิจฟาร์มเลี้ยงนกกระทาครบวงจรในพื้นที่ 30 ไร่ ปัจจุบันเลี้ยงนกกระทา จำนวน 20 โรงเรือน ประมาณ 5 แสนตัว ผลิตไข่สด 350,000 ฟองต่อวัน และแปรรูปเป็นไข่ต้มอัตราการผลิต 500,000 ฟองต่อวัน ส่งจำหน่ายห้างสรรพสินค้าและผ่านศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามงานโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ หมู่ที่ 5 ตำบลห้วยคำแหลน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ซึ่งมีเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 6 ราย ในพื้นที่ทั้งสิ้น 19 ไร่ การจ้างแรงงานคืนถิ่น จำนวน 3 ราย จากการติดตามเกษตรกรเข้าใจหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยมีการเตรียมวางผังแปลง ขุดสระเก็บน้ำ ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และมีที่พักอาศัย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงฯกำหนด รวมทั้งได้รับฟังข้อเสนอแนะของผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพการเกษตรได้อย่างเข้มแข็งยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40308 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายการเปิดให้บริการการขนส่งทางน้ำในเส้นทางระหว่าง ชลบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ - สงขลา | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายการเปิดให้บริการการขนส่งทางน้ำในเส้นทางระหว่าง ชลบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ - สงขลา
โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ด้วยระบบ Zoom Cloud Meeting เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการเตรียมเปิดให้บริการการขนส่งทางน้ำเส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี (ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ) - จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - จังหวัดสงขลา ซึ่งบริษัท ซี ฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด ได้ให้ความสนใจเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว โดยใช้เรือ ดิ บลู ดอลฟิน ความยาว 136.60 เมตร ขนาด 7,003 ตันกรอส ความเร็ว 17 น๊อต (31.48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ได้รับการตรวจรับรองความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่า (จท.) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 และคนประจำเรือได้รับการฝึกอบรมตามข้อกำหนด มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน ระยะแรกจะเดินเรือเส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ - จังหวัดสงขลา และจะขยายเส้นทางเชื่อมโยงกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในระยะต่อไป ปัจจุบันเรือ ดิ บลู ดอลฟิน ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และจะเคลื่อนย้ายเรือเพื่อไปทดลองการเดินเรือที่ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ คาดว่าจะทดสอบแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2564 และจะจัดกิจกรรม Meet the Press ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ทั้งนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้
1. ให้ จท. เตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการการขนส่งทางน้ำในเส้นทางดังกล่าวได้ตามแผนที่กำหนด โดยพิจารณาค่าระวางขนส่งทั้งในส่วนของรถบรรทุกและรถยนต์ส่วนบุคคลที่เหมาะสมและจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการ
2. ให้ จท. กรมทางหลวงชนบท และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บูรณาการ การทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการให้บริการการขนส่งทางน้ำในเส้นทางดังกล่าว โดยประมาณการปริมาณการขนส่งและการเดินทางในเส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี - จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - จังหวัดสงขลา เพื่อวางแผนการขนส่งเชื่อมโยงท่าเรือและการบริหารจัดการพื้นที่หลังท่าเรือให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว ไม่เกิดปัญหาการจราจร และบรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมตามที่นโยบายกำหนด
3. ให้ จท. จัดเตรียมข้อมูลประชาสัมพันธ์ ได้แก่ อัตราค่าระวาง ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง การบริหารจัดการ และประโยชน์ที่ได้รับ รวมทั้งจัดทำข้อมูลสถิติเปรียบเทียบระยะเวลาและต้นทุนของการขนส่งและเดินทางทั้งทางน้ำและทางบกระหว่างจังหวัดชลบุรี – จังหวัดสงขลา ทั้งในส่วนของรถบรรทุกและรถยนต์ส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการขนส่งและบริษัทขนส่งในการพิจารณาคัดเลือกเส้นทางที่เหมาะสม
ทั้งนี้ การคมนาคมขนส่งทางน้ำในเส้นทางดังกล่าว จะสามารถเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางน้ำ ลดต้นทุนและอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบก รวมทั้งลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน โดย จท. จะบูรณาการร่วมกับภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40232 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระวัง! พายุฤดูร้อน 21 – 22 มี.ค. 64 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ระวัง! พายุฤดูร้อน 21 – 22 มี.ค. 64
...
ในช่วงวันที่ 21 – 22 มี.ค. นี้ ขอแจ้งเตือนประชาชนเตรียมรับมือกับพายุฤดูร้อน ในรูปแบบของพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง และอาจมีลูกเห็บตก
.
โดยจะเริ่มกระทบกับภาคอีสานเป็นอันดับแรก ก่อนเคลื่อนตัวสู่พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่อไป
.
จึงขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วยนะครับ
Cr. กรมอุตุนิยมวิทยา
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40213 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แถลงข่าวมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน แถลงข่าวมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ
ก.แรงงาน แถลงข่าวการจัดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ วันที่ 22 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมมิราเคิล มุ่งกระตุ้นให้นายจ้างขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการในรูปแบบสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ลูกจ้าง
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กำหนดจัดงานมหกรรมส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจขึ้น ในวันจันทร์ที่ 22 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมมิราเคิล เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เพื่อต้องการส่งเสริมให้นายจ้างสถานประกอบกิจการ และรัฐวิสาหกิจได้พัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการให้กับลูกจ้างในรูปแบบการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญในการไขปัญหาการเป็นหนี้ภาคครัวเรือนของกลุ่มแรงงาน เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์จะเป็นสวัสดิการที่มุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินของลูกจ้างและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว อีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนทำงานร่วมกันในรูปแบบของสหกรณ์ เพื่อความเจริญก้าวหน้า อำนวยประโยชน์และสร้างความสุขร่วมกัน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ยังมีนโยบายที่มุ่งส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อสืบสานปณิธานของพระองค์ท่านในการสร้างความสุขให้กับประชาชน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเสริมว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การมอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติแก่สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวน 26 แห่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “หลักคิดสหกรณ์กับแนวทาง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน” โดย นายปรเมศรว์ อินทรชุมนุม (ประธานสันนิบาตสหกรณ์) การจัดแสดงนิทรรศการผลการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการต้นแบบในด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสมาชิกสหกรณ์ ซึ่งจะได้เข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของการจัดสวัสดิการด้านเศรษฐกิจในรูปแบบของการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ จนสามารถสร้างแรงบันดาลใจในการจัดตั้งสหกรณ์ เพื่อเป็นสถาบันการเงินสำหรับส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานมีการออมอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งให้สวัสดิการเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ และรัฐวิสาหกิจต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40090 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เฝ้าระวังโรงงาน ชุมชน ตลาด ในสมุทรสาครแม้ติดเชื้อลดลง คาดฉีดวัคซีนครบเป้าในสัปดาห์หน้า | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
สธ.เฝ้าระวังโรงงาน ชุมชน ตลาด ในสมุทรสาครแม้ติดเชื้อลดลง คาดฉีดวัคซีนครบเป้าในสัปดาห์หน้า
กระทรวงสาธารณสุขเผยสมุทรสาครแนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิดลดลง ยังเฝ้าระวังเข้มทั้งโรงงาน ชุมชน และตลาด คาดฉีดวัคซีนครบ 100% ในสัปดาห์หน้า ด้านแพทย์โรคติดเชื้อแจง ไทยชะลอฉีดวัคซีนรอผลสอบสวนเป็นเรื่องเหมาะสม
กระทรวงสาธารณสุขเผยสมุทรสาครแนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิดลดลง ยังเฝ้าระวังเข้มทั้งโรงงาน ชุมชน และตลาด คาดฉีดวัคซีนครบ100% ในสัปดาห์หน้า ด้านแพทย์โรคติดเชื้อแจง ไทยชะลอฉีดวัคซีนรอผลสอบสวนเป็นเรื่องเหมาะสม
วันนี้ (12 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 และ นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ใน จ.สมุทรสาครและผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในยุโรป
นพ.ธนรักษ์กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ใน จ.สมุทรสาคร เริ่มต้นจากตลาดกลางกุ้ง ได้ระดมมาตรการต่างๆ ทำให้ควบคุมโรคได้ดี มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง ผู้ติดเชื้อรายวันมีจำนวนไม่มาก และยังคงตรวจเฝ้าระวังเชิงรุกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่วนโรงงานที่เคยตรวจพบการติดเชื้อจำนวน 273 แห่ง หลังสอบสวนควบคุมโรคพบว่า 226 แห่งไม่มีการแพร่ระบาด จากการสุ่มตรวจซ้ำ 55 แห่ง พบ 41 แห่งไม่พบผู้ติดเชื้อ ส่วนที่ยังมีผู้ติดเชื้อได้ดำเนินการควบคุมโรคต่อไป ดังนั้น จึงยังต้องเฝ้าระวังในส่วนของโรงงาน ชุมชน และตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ถือว่าการควบคุมโรคประสบความสำเร็จจึงทยอยปิด รพ.สนาม โดยจะคงเหลือไว้ 2 พันเตียง
นพ.ธนรักษ์กล่าวว่า เขตสุขภาพที่5 มีพื้นที่ติดแนวชายแดนเมียนมาระยะยาวหลายจังหวัด จึงให้ความสำคัญกับมาตรการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น และทำการการค้นหาผู้ติดเชื้อในโรงงาน ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยปอดอักเสบ สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำ ป้องกันการแพร่ระบาดคือสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และเฝ้าระวังเชิงรุก
ส่วนการตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มแรงงานดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อวันที่10 มีนาคม จะทราบผลเร็วๆ นี้ สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันมี 3 จังหวัดฉีดได้ตามเป้าหมายแล้ว คือ นครปฐม สมุทรสงคราม และราชบุรี ส่วนสมุทรสาครคาดว่าจะฉีดครบ 35,000 คนในสัปดาห์หน้า ขอเชิญกลุ่มที่ได้รับกำหนดให้เป็นผู้ได้รับวัคซีนกลุ่มแรก เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วเพื่อช่วยกันป้องกันโรค ระบบสาธารณสุข และความมั่นคงของประเทศ
ด้านนพ.ทวีกล่าวว่า กรณีประเทศฝั่งยุโรปชะลอการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อรอผลการสอบสวนว่าการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดดำเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ซึ่งอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น22 ราย จาก 3 ล้านโดส คิดเป็น 7.3 รายต่อ 1 ล้านโดส ถือว่าน้อยมาก เพราะปกติโรคนี้ในยุโรปพบได้ 1,000 รายต่อประชากร 1 ล้านคนต่อปี แต่ต้องรอการสอบสวนโรคให้มีความกระจ่างและความมั่นใจแก่ทุกคน ทั้งนี้ โรคลิ่มเลือดอุดตันมักเกิดขึ้นใน 1.ผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป เพราะยิ่งอายุมากเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ทำให้เลือดไหลช้า 2.เชื้อชาติโดยคนยุโรปและแอฟริกันมีโอกาสเกิดมากกว่าเอเชีย 3-5 เท่า 3.โรคเบาหวาน ทำให้เส้นเลือดฝอยมีการเปลี่ยนแปลง และ4.โรคหัวใจ ความดันโลหิต มะเร็ง โรคติดเชื้อต่างๆ และหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสได้ง่าย ส่วนเอเชียและไทยพบน้อยมาก
“ในความเห็นตนคาดว่า การเกิดลิ่มเลือดอุดตันอาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุ แต่หากเป็นในคนหนุ่มสาวจำนวนมากจะน่ากังวลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ากว่า 34 ล้านโดส หลายประเทศไม่มีรายงานอาการนี้ ขณะนี้มี 2 ประเทศที่ยังฉีดต่อ คือ แคนาดาและออสเตรเลีย ส่วนไทยยังรอการสอบสวนของยุโรปว่าเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถรอการฉีดวัคซีนได้ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากสถานการณ์สมุทรสาครที่เคยระบาดสูงก็ควบคุมได้ เมื่อผลสอบสวนออกมาแน่ชัดก็จะสร้างความมั่นใจ อย่างวันนี้ตนตั้งใจจะมาฉีดวัคซีนด้วย หากกลับมาเริ่มฉีดใหม่ได้ก็พร้อมรับวัคซีนเช่นเดิม” นพ.ทวีกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนดำเนินโครงการยกระดับแปลง | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ขับเคลื่อนดำเนินโครงการยกระดับแปลง
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมเร่งขับเคลื่อนดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงการตลาด
นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมหารือการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงการตลาดณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งในการประชุมครั้งนี้นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดประชุมหารือดังกล่าวเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและรับฟังปัญหาอุปสรรคเพื่อหาแนวทางการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพโดยมีผู้แทนจากอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรผู้แทนอธิบดีกรมการข้าวผู้แทนอธิบดีกรมปศุสัตว์ผู้แทนอธิบดีกรมประมงผู้แทนอธิบดีกรมหม่อนไหมและผู้แทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยเข้าร่วมประชุมโดยฝ่ายเลขาฯรายงานที่ประชุมทราบผลการดำเนินงานมีแปลงใหญ่แจ้งประสงค์เข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน2,754แปลงคิดเป็นร้อยละ52ประธานมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้การเข้าร่วมโครงการเชิงรุกเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการของแปลงใหญ่เป้าหมายได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องชัดเจนในการจดทะเบียนนิติบุคคลการจัดทำบัญชีการจัดซื้อจัดจ้างทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานให้ข้อมูลแก่แปลงใหญ่ในการการดำเนินกิจกรรมของโครงการควรพิจารณากิจกรรมให้ครอบคลุมทั้งต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำเพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์โครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39940 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. บันทึกเทป ผ่านมุมมอง การจัดการพลาสติกของไทย ในงาน The Launch of the Market Studies for Plastics Circularity in Thailand, Malaysia, and the Philippines | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
รมว.ทส. บันทึกเทป ผ่านมุมมอง การจัดการพลาสติกของไทย ในงาน The Launch of the Market Studies for Plastics Circularity in Thailand, Malaysia, and the Philippines
รมว.ทส. บันทึกเทป ผ่านมุมมอง การจัดการพลาสติกของไทย ในงาน The Launch of the Market Studies for Plastics Circularity in Thailand, Malaysia, and the Philippines
รมว.ทส. บันทึกเทป ผ่านมุมมอง การจัดการพลาสติกของไทย ในงาน The Launch of the Market Studies for Plastics Circularity in Thailand, Malaysia, and the Philippines
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) เวลาประมาณ 14.30 น. ณ ห้องรับรองชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) บันทึกเทปการให้ความสำคัญของไทยต่อการจัดการพลาสติก สำหรับเผยแพร่
ในงาน The Launch of the Market Studies for Plastics Circularity in Thailand, Malaysia, and the Philippines ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 มีนาคม 2564 ซึ่งประเทศไทย โดยกรมควบคุมมลพิษ เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารโลก
โอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันการแก้ไขปัญหาขยะทะเลในอาเซียน มุ่งมั่น แก้ไขทั้งในภูมิภาคอาเซียนและในประเทศ โดยนำหลักเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model: BCG Model) และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เพื่อให้บรรลุการใช้พลาสติกรีไซเคิลในประเทศ 100%
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดปัง! เรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ ดังไกลถึงเยอรมนี | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
สุดปัง! เรือไฟฟ้าคลองผดุงฯ ดังไกลถึงเยอรมนี
...
เรื่องดี ๆ ที่ใครก็อยากพูดถึง...สำนักข่าวจากประเทศเยอรมนีอย่าง Deutsche Welle (DW) ได้ทำสกู๊ปแผนการฟื้นฟูการขนส่งทางน้ำในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการเดินเรือไฟฟ้า ณ คลองผดุงกรุงเกษม ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 63 ที่ผ่านมา
.
เส้นทางการเดินเรือไฟฟ้าที่คลองผดุงกรุงเกษม นับเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสายแรกของไทยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยมีระยะทางรวม 5 กม. ประกอบด้วย 11 ท่าเรือ ดังนี้
1.ท่าเรือสถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง เชื่อมต่อ MRT หัวลำโพง
2.ท่าเรือหัวลำโพง เชื่อมต่อสถานีรถไฟหัวลำโพง
3.ท่าเรือนพวงศ์
4.ท่าเรือยศเส
5.ท่าเรือกระทรวงพลังงาน
6.ท่าเรือแยกหลานหลวง เชื่อมต่อเรือคลองแสนแสบ
7.ท่าเรือนครสวรรค์
8.ท่าเรือราชดำเนินนอก
9.ท่าเรือประชาธิปไตย
10.ท่าเรือเทเวศร์
11.ท่าเรือตลาดเทวราช เชื่อมต่อเรือด่วนเจ้าพระยาท่าเทเวศร์
.
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนการฟื้นฟูระบบขนส่งทางน้ำในกรุงเทพฯ เพิ่มทางเลือกในการเดินทางของประชาชน เพื่อลดปริมาณการจราจรบนถนน พร้อมปรับปรุงคลองทั่วกรุงเทพฯ ทั้งในด้านคุณภาพน้ำและปัญหาบ้านเรือนรุกล้ำลำคลองอีกด้วย
.
ชมสกู๊ป :https://www.dw.com/.../back-to-the-future.../av-56435702
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39733 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เดินหน้า “วันป่าไม้โลก” อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมฟื้นฟูป่า สู่แนวคิด | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ทส. เดินหน้า “วันป่าไม้โลก” อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมฟื้นฟูป่า สู่แนวคิด
ทส. เดินหน้า “วันป่าไม้โลก” อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมฟื้นฟูป่า สู่แนวคิด "รัฐมีป่า ประชามีสุข"
ทส. เดินหน้า “วันป่าไม้โลก” อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมฟื้นฟูป่า สู่แนวคิด "รัฐมีป่า ประชามีสุข"
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติประธานเปิดงานและกล่าวถึงแนวทางการฟื้นฟูป่าไม้ เนื่องใน"วันป่าไม้โลก 2564" (International Day of Forests 2021) ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ได้ประกาศให้วันที่ 21 มีนาคมของทุกปีเป็นวันป่าไม้โลก เพื่อให้ทุกภาคส่วนทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของป่าไม้ โดยการจัดงานในปีนี้ กรมป่าไม้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Forest Restoration: A path to recovery and well - being" การฟื้นฟูป่า สู่แนวคิด "รัฐมีป่าประชามีสุข" โดยภายในงานมีคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวง พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ผู้แทนจาก FAO ผู้แทน EU Delegation to Thailand ผู้แทนจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้แทนจากประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วม ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และ Video Conference (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ไปยังหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศอีกด้วย
โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เปิดเผยว่า ในขณะนี้ กระทรวงฯ มีแนวทางการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าในเวลาเดียวกัน ซึ่งการปลูกป่านั้น เป็นเรื่องง่าย แต่การดูแลป่าให้โต จนกระทั้งเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาให้คุณประโยชน์กับสังคมได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่า ดังนั้น การที่จะฟื้นฟูป่าไม้ให้เจริญเติบโตได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ พี่น้องประชาชนต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของป่าไม้ในทุกๆ ตารางนิ้วของประเทศไทย ว่ามีความสำคัญอย่างไร ซึ่งการที่จะเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40103 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกันของผู้รับผิดชอบภารกิจด้านกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม” | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกันของผู้รับผิดชอบภารกิจด้านกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม”
ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกันของผู้รับผิดชอบภารกิจด้านกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม”
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกันของผู้รับผิดชอบภารกิจด้านกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม”เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจและยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39886 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ หารือเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เห็นพ้องผลักดันความร่วมมือด้านพลังงาน สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืน | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ หารือเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เห็นพ้องผลักดันความร่วมมือด้านพลังงาน สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืน
รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ หารือเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เห็นพ้องผลักดันความร่วมมือด้านพลังงาน สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันที่ยั่งยืน
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ ห้องรับรอง 2 ชั้น 25 ตึก Energy Complex (EnCo) กระทรวงพลังงาน ดาโตะ โจจี แซมูเอล (H.E. Dato’ Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับมาเลเซีย โดยมาเลเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและมีความร่วมมือกันอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงความร่วมมือพหุภาคีภายใต้กรอบอาเซียน พร้อมหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพลังงาน ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างและรักษาพลวัตความร่วมมือระหว่างกันต่อไป
เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทยขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ และแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของรองนายกรัฐมนตรีจะช่วยสร้างศักยภาพด้านพลังงานของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเห็นพ้อง และยินดีสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีในการขยายความร่วมมือ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันมากขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือด้านพลังงาน โดยเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งออกไฟฟ้าจากมาเลเซียมายังภาคใต้ของไทย ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและแก๊สร่วม (Combine-Cycle Gas Turbine Power Plant Project – CCGT Project) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39865 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยัน! รัฐ-เอกชน ร่วมมือบริหารจัดการหนี้ผู้กู้ กยศ. | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ยืนยัน! รัฐ-เอกชน ร่วมมือบริหารจัดการหนี้ผู้กู้ กยศ.
...
กรณีมีผู้แสดงความไม่เห็นด้วย หลังกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ออกหนังสือแจ้งภาคเอกชน หักเงินเดือนพนักงานที่กู้ยืมเงิน และนำส่งเงินชำระคืนกองทุนฯ หากไม่ดำเนินการจะต้องชดใช้เงินเพิ่มในอัตรา 2% ต่อเดือน ถือว่าผลักภาระความรับผิดชอบหนี้ให้ภาคเอกชน
.
เรื่องนี้ กยศ. ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาได้ชี้แจงให้นายจ้างได้ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการหักเงินจากบัญชีเงินเดือนลูกหนี้เพื่อชำระเงินคืน ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 61 เริ่มจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชน มีหน่วยงานที่ต้องแจ้งหักเงินเดือนทั้งหมดราว 107,000 แห่ง และมีผู้กู้ยืมที่อยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือน 1,735,000 ราย ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจ้างทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
.
สำหรับขั้นตอนการหักเงินเดือนลูกหนี้ กยศ. ผ่านองค์กรนายจ้างนั้น จะส่งหนังสือแจ้งหักเงินเดือนไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของผู้กู้ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน จากนั้นจะส่งหนังสือแจ้งให้นายจ้างทราบถึงข้อมูลของผู้กู้และจำนวนเงินที่ต้องหักนำส่งล่วงหน้าประมาณ 30 วัน
.
นายจ้างสามารถตรวจสอบข้อมูลที่ต้องหักและนำส่ง ผ่านระบบรับชำระเงินกู้ยืมคืน กยศ. ผ่านกรมสรรพากร (e-PaySLF) โดยเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์www.studentloan.or.thซึ่งกองทุนจะอัปเดตข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งแจ้งให้นายจ้างทราบผ่านระบบดังกล่าวในทุกวันที่ 5 ของเดือน
.
เมื่อพนักงานได้รับเงินเดือน ลำดับการหักเงินจะเริ่มจาก 1. หักภาษี ณ ที่จ่าย 2. หักจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประกันสังคม และ 3. หักเงินกองทุน กยศ.
.
ส่วนข้อกังวลว่า หากนายจ้างไม่หักเงินตามที่ได้รับแจ้ง จะต้องชดใช้เงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตรา 2% ต่อเดือน ของเงินที่ไม่ได้นำส่ง กรณีนี้หากหน่วยงานแจ้งเหตุผลข้อขัดข้องที่ไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมได้ สามารถขออนุโลมและผ่อนผันได้ โดยปัจจุบันยังไม่เคยเรียกชดใช้เงินหรือเรียกเงินเพิ่มจากนายจ้างแต่อย่างใด
.
การคำนวณยอดหักเงินเดือน จะใช้ยอดหนี้ตามตารางชำระรายปี หารด้วย 12 เดือน หรือจำนวนเดือนที่เหลือก่อนถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ (5 ก.ค. ของทุกปี) และในงวดปีถัดไปจะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น
.
อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่สามารถชำระตามอัตราที่แจ้ง สามารถขอลดจำนวนการหักเงินเดือนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” โดยอนุโลมให้ชำระขั้นต่ำเพียง 100 บาท แต่ต้องชำระเงินในส่วนที่ขาดไปของงวดนั้นให้ครบตามจำนวนก่อนวันครบกำหนดชำระหนี้รายปี
.
ปัจจุบัน กยศ. ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินมาตั้งแต่ปี 2561 โดยใช้เงินชำระหนี้ของผู้กู้ยืมของรุ่นพี่หมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง
.
สำหรับปีการศึกษา 2564 นี้กองทุนได้เตรียมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 38,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจำนวน 624,000 รายไว้เรียบร้อยแล้ว
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39774 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบวัคซีนโควิดจากแอสตร้าเซนเนก้า 117,300 โดส เก็บเข้าคลังวัคซีนกรมควบคุมโรค | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
สธ.รับมอบวัคซีนโควิดจากแอสตร้าเซนเนก้า 117,300 โดส เก็บเข้าคลังวัคซีนกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุขรับมอบวัคซีนโควิด 19 จากแอสตร้าเซนเนก้า 117,300 โดส เก็บเข้าคลังวัคซีน กรมควบคุมโรค มีระบบเก็บรักษาและควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐาน ก่อนนำไปฉีดกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนด
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่คลังวัคซีนกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีตรวจรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 117,300 โดส
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยจัดหาวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส แต่เนื่องจากเหตุการณ์ระบาดระลอกใหม่ จึงมีการประสานจัดหาวัคซีนเข้ามาเพื่อรองรับสถานการณ์ ซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าจัดหามาจากแหล่งผลิตในต่างประเทศตามคำร้องขอจำนวน 117,300 โดส ถือเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน 61 ล้านโดสที่จะผลิตในประเทศ โดยวัคซีนมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และส่งมอบวัคซีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุขในวันนี้ โดยบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการขนส่งโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จากการตรวจพบว่าวัคซีนอยู่ในสภาพสมบูรณ์และเก็บเข้าคลังวัคซีนกรมควบคุมโรคที่ควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐาน
“หลังจากนี้จะนำไปฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่อไป ซึ่งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่อายุมากกว่า 60 ปี โดยการกระจายวัคซีนจะมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 ดำเนินการจัดสรร ส่วนนายกรัฐมนตรีมีอายุมากกว่า 60 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับวัคซีนได้ นอกจากเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ มีการประชุมและพบปะผู้คนจำนวนมาก ยังสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนด้วย” นายอนุทินกล่าว
สำหรับคลังวัคซีนกรมควบคุมโรค เป็นที่จัดเก็บวัคซีนสำคัญของประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่, หัด หัดเยอรมัน, โปลิโอชนิดรับประทาน, คอตีบบาดทะยัก, วัคซีนไข้เหลือง, วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค และวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ มีการทดสอบระบบทุกสัปดาห์ มีระบบสำรองไฟฟ้ากรณีไฟฟ้าดับหรือเหตุไม่คาดคิด มีกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์ในทุกจุดสำคัญ มอบหมายผู้รับผิดชอบเพื่อบริหารจัดการจัดเก็บกุญแจที่ชัดเจน สแกนการเข้าออกคลังวัคซีนแบบจดจำใบหน้า และมีระบบแจ้งเตือนกรณีอุณหภูมิเปลี่ยนไปนอกเหนือจากช่วงอุณหภูมิที่กำหนดไว้
นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับวัคซีนซิโนแวคอีก 8 แสนโดสที่จะเข้ามา นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้แจ้งว่าทางการจีนได้อนุมัติและประสานบริษัทผู้ผลิตแล้ว คาดว่าจะมาถึงวันที่ 25 มี.ค. และยังขอเสนอให้ประเทศไทยพิจารณาฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้แก่คนสัญชาติจีนที่อาศัยในประเทศไทย โดยประเทศไทยจะทำหนังสือแสดงความจำนงขอการสนับสนุนวัคซีนจากประเทศจีนในฐานะมิตรประเทศต่อไป หากให้วัคซีนมาก็อาจระบุเงื่อนไขว่าให้ดูแลคนจีนในประเทศไทยด้วย รวมถึงขอให้พิจารณาร่วมกับประเทศจีนจัดตั้งศูนย์การฉีดวัคซีนให้ชาวจีนโพ้นทะเลในภูมิภาคอาเซียน และเสนอเรื่องการยอมรับวัคซีนพาสปอร์ตระหว่างสองประเทศเป็นบับเบิลกัน เพื่อให้การเข้าประเทศมีความสะดวกขึ้น
************************************** 8 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39767 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.