title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตสินค้าแปรรูปเกษตร ประเภทมะเขือเทศ ผัก และผลไม้แปรรูปชนิดอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า “บัคเลน” จ.หนองคาย | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ปลัดกอบชัยฯ นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตสินค้าแปรรูปเกษตร ประเภทมะเขือเทศ ผัก และผลไม้แปรรูปชนิดอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า “บัคเลน” จ.หนองคาย
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตสินค้าแปรรูปเกษตร ประเภทมะเขือเทศ ผัก และผลไม้แปรรูปชนิดอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า “บัคเลน” จ.หนองคาย
วันนี้ (5 มีนาคม 2564) เวลา 10.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ประกอบกิจการโรงงานผลิตสินค้าแปรรูปเกษตร ประเภทมะเขือเทศ ผัก และผลไม้แปรรูปชนิดอื่นๆ ภายใต้ตราสินค้า “บัคเลน” นอกจากนี้บริษัทฯ ยัง เป็นผู้ผลิตและรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) อาหาร เครื่องดื่ม และอาหารเสริมสำหรับเด็ก โดยมีนวัตกรรมการเก็บรักษาคุณภาพของอาหารที่ยาวนาน บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายรูปแบบ มีสายการผลิตที่รองรับในหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักผลไม้ ซุป เครื่องดื่ม และอาหารเสริมสำหรับเด็ก พร้อมทีมวิจัยและพัฒนาด้วยนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อซื้อเครื่องจักรเพิ่มศักยภาพในการผลิต ทั้งนี้ผู้ประกอบการได้มีการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สาขาหนองคาย เข้ามาหารือเกี่ยวกับกองทุนเพื่อช่วยเหลือกิจการต่อไป
โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น นายติณห์ เจริญใจ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 นายพิชิต มิทราวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ SME D Bank ร่วมลงพื้นที่ และมีนายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ให้การต้อนรับ #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustrymoi #SMEDBank #เกษตรแปรรูป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39717 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้มีสิทธิที่ติดเชื้อเอชไอวีและป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง เริ่ม 15 มี.ค. 64 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้มีสิทธิที่ติดเชื้อเอชไอวีและป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง เริ่ม 15 มี.ค. 64
กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้มีสิทธิที่ติดเชื้อเอชไอวีและป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวสามารถเบิกจ่ายตรงค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชนที่เข้าร่วมโครงการได้ ไม่เกินครั้งละ 2,000 บาท ประกอบกับในปัจจุบัน กรมบัญชีกลางได้รับทราบปัญหาข้อร้องเรียนของสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยและเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กรณีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าไม่ถึงบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการปรับอัตราการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล และสอดคล้องกับสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลางจึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (ฉบับที่ 2) โดยกำหนดเพิ่มเติมให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีและมีความจำเป็นต้องล้างไต ให้มีสิทธิได้รับค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่สถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลเอกชน ครั้งละไม่เกิน 4,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ติดเชื้อเอชไอวีและป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง ให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งเพื่อให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง
“หลักเกณฑ์ฉบับดังกล่าว จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป โดยผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ต้องการเข้ารับการรักษา สามารถตรวจสอบการให้บริการกับสถานพยาบาลเอกชนได้จากแอพพลิเคชั่น “CGD.iHealthCare” เลือกเมนูสถานพยาบาลที่เข้าร่วม เลือกกลุ่มเฉพาะโรค (ฟอกไต) และใส่จังหวัดที่ต้องการค้นหาหรือชื่อสถานพยาบาลที่ต้องการค้นหา หรือติดต่อสอบถามที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39845 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี สำหรับ High-Level Meeting on the Implementation of the Water-related Goals and Targets of the 2030 Agenda | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี สำหรับ High-Level Meeting on the Implementation of the Water-related Goals and Targets of the 2030 Agenda
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี
สำหรับ High-Level Meeting on the Implementation of the Water-related Goals and Targets of the 2030 Agenda
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี
สำหรับ High-Level Meeting on the Implementation of the Water-related Goals and Targets
of the 2030 Agenda
ในหัวข้อหลัก Scaling-up multilateral cooperation and accelerating concrete action
to meet the water-related goals and targets of the 2030 Agenda for Sustainable Development
ในช่วง High-level Plenary ภายใต้หัวข้อ Urgent action on water for 2030
and sustainable and resilient recovery from the COVID-19 pandemic
ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก (VDO Conference)
วันพฤหัสบดีที่ 18มีนาคม 2564
ท่านประธานสมัชชาสหประชาชาติ
และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนประเด็นด้านน้ำให้บรรลุเป้าหมายภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะ
ในทศวรรษแห่งการดำเนินการอย่างจริงจังด้านน้ำในขณะนี้ การประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่รัฐสมาชิกจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ปัญหาอุปสรรค รวมถึงแสวงหาแนวทางที่ทุกภาคส่วนจะผนึกความร่วมมือเพื่อผลักดันให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้
วิกฤตโควิด-๑๙ ส่งผลให้การดำเนินงานเพื่อสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและสุขาภิบาลของหลายประเทศต้องหยุดชะงัก เนื่องจากทรัพยากรถูกจัดสรรไปเพื่อรับมือและตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างเร่งด่วน นอกจากนั้นความสูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจจากวิกฤตโรคระบาด รวมถึงความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติด้านน้ำอันเนื่องมาจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของ “น้ำ” ในการที่จะป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ ทั้งในวิกฤตที่เรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ และวิกฤตอื่น ๆ ในอนาคต โดยการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัยเป็นพื้นฐานสำคัญของการป้องกันและลดความสูญเสียของประชาชน ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทั้งระบบ จึงมีส่วนสำคัญที่จะฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมและมีความต้านทานต่อภัยพิบัติในอนาคต
เพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านน้ำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนา
ที่ยั่งยืน และฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตโควิด-๑๙ อย่างสมดุลและเท่าเทียม
ไทยมุ่งหวังให้มีการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศไปสู่ความเป็นหุ้นส่วน
ของภาคส่วนต่าง ๆ ในการบริหารจัดการน้ำบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถ การถ่ายทอดและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี
และนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการน้ำให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยคำนึงถึงระดับการพัฒนาและความพร้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งจะสนับสนุนให้การดำเนินงานของ
รัฐสมาชิกตอบสนองต่อวิกฤตในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
รัฐบาลไทยกำหนดให้การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมาเป็นเข็มทิศในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากน้ำตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบของภาครัฐ มีการพัฒนากลไกและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมด้านน้ำเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy โดยลดการใช้น้ำและเพิ่มการหมุนเวียนน้ำในทุกภาคการผลิต ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงการสื่อสารข้อมูลให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และดูแลรักษาป่าต้นน้ำ การกักเก็บน้ำอย่างเหมาะสม เพื่อจะสร้างหลักประกันว่าทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ผมเชื่อมั่นว่า ชาวไทยและประชาคมโลกเรียนรู้หลายสิ่งจากวิกฤตในครั้งนี้ โดยเฉพาะบทบาทของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกของเรา และความสำคัญของการสร้างสังคมที่มีภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในโอกาสนี้ ผมขอย้ำว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ รวมทั้งยินดีจะสนับสนุนความพยายามของประชาคมโลกในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่สมดุลและครอบคลุมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40201 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนหางาน เตรียมตัวให้พร้อม “Bangkok Job Fair 2021” เสิร์ฟตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
คนหางาน เตรียมตัวให้พร้อม “Bangkok Job Fair 2021” เสิร์ฟตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา
กระทรวงแรงงาน เตรียมตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา รองรับคนหางาน กิจกรรมสาธิต 20 อาชีพอิสระติดเทรนด์คนรุ่นใหม่ หาไอเดียธุรกิจ Food Truck รวมทั้งรับบริการและคำปรึกษาด้านแรงงาน
จากเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ในงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ณ ฟอร์จูนสตรีท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เชิญชวน ผู้สนใจสมัครงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงานได้ในวันที่ 26 – 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร โดยภายในงานมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำ เข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 บริษัท อาทิ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) บ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด บ. เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บ.ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด บ.เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (มหาชน) บ.สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บ. ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บ. ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บ.บางจากกรีนเนท จำกัด และ บริษัท ซีพี แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งมีตำแหน่งงานว่าง จำนวนกว่า 5,000 อัตรา เช่น วิศวกรโยธา สถาปนิก เขียนแบบ ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน พนักงานบัญชี เจ้าหน้าที่ธุรการ พนักงานบริการ และพนักงานทั่วไป (ฝ่ายผลิต)
“สำหรับงาน “Bangkok Job Fair 2021” เป็นงานที่กระทรวงแรงงานตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการสมัครงาน คนหางานได้คัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ และได้สมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากในคราวเดียว ทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้าง/สถานประกอบการและผู้สมัครงานได้พบและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง ซึ่งการส่งเสริมการจ้างงาน และแก้ปัญหาการว่างงานเป็น 1 ในภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปัญหาที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จนถึงเศรษฐกิจในระดับประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน สามารถสมัครงานโดยตรงกับนายจ้าง/สถานประกอบภายในงานได้ทันที เพื่อความสะดวกรวดเร็วผู้สมัครงานอาจเตรียมเอกสารสมัครงาน ได้แก่ เรซูเม่ รูปถ่าย ใบรับรองผลการศึกษา และเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อประกอบการพิจารณาของนายจ้าง/สถานประกอบการ นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ กิจกรรมการสาธิตประกอบอาชีพอิสระที่ได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดงาน วันละ 10 อาชีพ อาทิ การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น สายคล้องหน้ากากอนามัย สบู่สมุนไพร ตระกร้าผ้าย้อมคราม การทำเค้กกล้วยหอม บราวนี่ ขิงอ่อนดอง เป็นต้น ธุรกิจแฟรนไชน์ในรูปแบบ Food Truck เช่น ซดเตี๋ยว (ก๋วยเตี๋ยวเป็ด) กรอบอยู่ได้ (ลูกชิ้นปลาระเบิด) Supper Sip (เครื่องดื่มโกโก้) และ Takoyaki by Jenny (ขนมครกญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่น) รวมทั้งการให้คำปรึกษาปัญหาด้านแรงงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ การให้บริการจัดหางานสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ โดยกรมการจัดหางาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ ตามพรบ.คุ้มครองคนหางาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การฝึกทักษะฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน การให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การขึ้นทะเบียนประกันตน ม.33, ม.39, ม.40 และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามพรบ.ประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคม การให้บริการตรวจสุขภาพ โดยโรงพยาบาล วิภาราม พัฒนาการ และกิจกรรมบนเวที เสวนาหัวข้อ “ ใช้ชีวิตให้มีความสุขในยุคโควิด ” โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตโต และพระอาจารย์ ดร.สมชาย รตนวํโส ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม เวลา 15.00 น.
สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางมาร่วมงาน “Bangkok Job Fair 2021” สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพระราม 9 ติดกับโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน และเทสโก้ โลตัส ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน 3 จุด ได้แก่ จุดขึ้นลงทางด่วนพระราม 9 ขั้นที่ 2 จุดขึ้นลงทางด่วนรัชดาภิเษก –อโศกดินแดง จุดขึ้นลงทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา หรือเดินทางอย่างสะดวกสบาย ด้วยรถไฟฟ้า ใต้ดิน (MRT) สถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1
รถไฟฟ้า BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถเมล์ หรือรถตู้ปรับอากาศ มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือสถานีอโศก ต่อรถไฟใต้ดินลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1
เดินทางด้วย รถตู้ปรับอากาศ สะพานใหม่-อสมท., งามวงศ์วาน-อสมท., มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.)
เดินทางด้วย รถโดยสารประจำทางสาย 172 ,98 ,171 ,36 ,73 ,73ก ,137 ,168 ,204 ,206 ,514 ,517 ,528 และ 529
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ติดอาวุธเด็ก ป.ตรี ป้อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
รมช.แรงงาน ติดอาวุธเด็ก ป.ตรี ป้อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
- -
วันที่ 24 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ มอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ ณ สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ถนนศรีนครินทร์ เขตบางนา กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มามอบวุฒิบัตร ให้กับผู้ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตร การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพราะอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อุตสาหกรรมและธุรกิจหลายประเภทได้รับผลกระทบ ในทางกลับกันธุรกิจด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ มีทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยของการปรับตัวแบบวิถีใหม่ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งเติบโตขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าแบบออนไลน์ สินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิดยังจำเป็นต้องใช้ ทำให้การขนส่งและโลจิสติกส์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวน้อยมาก และนั่นหมายถึงแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมย่อมได้รับผลกระทบน้อยมากเช่นกัน ดังนั้นความต้องการแรงงานจึงมีอย่างต่อเนื่อง
รมช.แรงงาน กล่าวต่อ ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ จึงจำเป็นและมีความสำคัญที่ต้องดำเนินการ และต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานให้มีศักยภาพสูง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโลจิสติกส์ในรูปแบบใหม่ ต้องขอขอบคุณนายกสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) ที่ร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น อันจะส่งผลถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมของประเทศ และขอขอบคุณหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดฝึกอบรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยสร้างและพัฒนาแรงงานคุณภาพในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ อย่างแท้จริง ขอให้ผู้สำเร็จการฝึกอบรมได้นำเอาความรู้และประสบการณ์ ไปปรับใช้ในการทำงาน และเป็นกำลังสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป
หลังจากนั้น รมช.แรงงาน ได้มอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการอบรม การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ จำนวน 50 คน ผู้เข้าอบรมหลักสูตรนี้ เป็นบุคลากรในธุรกิจโลจิสติกส์ ที่มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 2 ปี ระยะเวลาฝึก 60 ชั่วโมง เพื่อยกระดับทักษะให้มีศักยภาพสูง และเยี่ยมชมการอบรมหลักสูตร ธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ ผู้เข้าอบรมเป็นนักศึกษาจบใหม่ ระดับ ป.ตรี ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าอบรมจำนวน 50 คน ใช้ระยะเวลาการอบรม 240 ชั่วโมง เมื่อฝึกจบแล้ว จะมีสถานประกอบกิจการที่เป็นสมาชิกของสมาคม รับเข้าทำงานทันที อัตราค่าจ้างตั้งแต่ 15,000/เดือน
นางสาวจิราภรณ์ ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้มีความร่วมมือกับ TIFFA ในการพัฒนาฝีมือแรงงานสาขาที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ผลิตแรงงานและพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์แล้วเกือบ 2,000 คน นอกจากนี้ ยังร่วมกันกำหนดและร่างมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์ จัดฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รวมถึงแลกเปลี่ยนความรู้ วิทยากรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40305 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ยืนยันเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มีมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน พร้อมออกโปรหั่นราคา 50% ดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
“อนุชา” ยืนยันเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มีมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน พร้อมออกโปรหั่นราคา 50% ดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์
อนุชา” ยืนยันเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มีมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน พร้อมออกโปรหั่นราคา 50% ดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์
วันนี้ (20 มีนาคม 2564) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีพร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2564 พร้อมจัดโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินได้แก่ Thai lion air Nok air Vietjet air Air asia และ Thai smile จัดโปรโมชั่น “บินลัดฟ้าสู่ล้านนา” เพียงแค่นักท่องเที่ยวแสดง Boarding pass ก่อนซื้อบัตรฯ จะได้รับส่วนลด 50% สำหรับบัตรเข้าชมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และรับส่วนลดตลอดเดือนเมษายน 20% นอกจากนี้ ยังได้จัดโปรโมชั่นราคาเดียวได้เที่ยวได้พักเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีรีสอร์ทในราคา 999 บาท รวมบัตรเข้าชมจำนวน 2 ท่าน จากราคาปกติ 2,400 บาท
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำว่า เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีมีมาตรการเตรียมความพร้อมที่ได้มาตรฐานขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจ เดินทางมาท่องเที่ยวเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีด้วยความสบายใจ ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการจัดกิจกรรมภายในพื้นที่ ประกอบด้วย การสรงน้ำพระส่งเสริมสืบสานวัฒนธรรมไทย รวมถึงตลาดกาดมั่วคัวฮอมซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับกิจกรรมภายในพื้นที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากนี้ จะได้สัมผัสกับกิจกรรม Behind the zoo ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามารู้จักและเรียนรู้พฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ใหญ่ในเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ได้แก่ แรดขาว ช้าง ฮิปโป ยีราฟ และกระทิง เป็นต้น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อช่วยกระตุ้นรักษาเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีถือว่าเป็นสถานที่ทองเที่ยวที่น่าสนใจมีกิจกรรมสร้างความประทับใจ ตื่นหูตื่นตาจำนวนหลากหลายกิจกรรม ขออย่าวิตกกังวลมากเกินไป แต่ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40175 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด สสว. สนับสนุนเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คาดเอสเอ็มอีลงทะเบียนตามเป้าหมาย 1 แสนรายภายในสิ้นปีงบฯ 64 พร้อมสร้างการรับรู้ระดับพื้นที่ครั้งแรกที่นนทบุรี 15 มี.ค. | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
บอร์ด สสว. สนับสนุนเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คาดเอสเอ็มอีลงทะเบียนตามเป้าหมาย 1 แสนรายภายในสิ้นปีงบฯ 64 พร้อมสร้างการรับรู้ระดับพื้นที่ครั้งแรกที่นนทบุรี 15 มี.ค.
บอร์ด สสว. สนับสนุนเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คาดเอสเอ็มอีลงทะเบียนตามเป้าหมาย 1 แสนรายภายในสิ้นปีงบฯ 64 พร้อมสร้างการรับรู้ระดับพื้นที่ครั้งแรกที่นนทบุรี 15 มี.ค.นี้
วันที่ 10 มี.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ครั้งที่ 1/2564 ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมบอร์ด สสว. มีมติรับทราบความคืบหน้าการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รายงาน ดังนี้
1. การผลักดันให้เอสเอ็มอีขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดย สสว. ได้ประสานความร่วมมือในการส่งเสริมเอสเอ็มอีเข้าสู่การจัดจ้างภาครัฐ กับสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทีเอ็มบี และหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กองทัพอากาศ กรมทางหลวง ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ออกแนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สำหรับผลสะสมการขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอีเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค. 64 มีเอสเอ็มอีจาก 77 จังหวัดมาขึ้นทะเบียน (ตั้งแต่เดือน ต.ค. 63) รวม 5,782 ราย จำนวนสินค้าและบริการที่ขึ้นทะเบียน 53 ประเภท 4,768 รายการ โดยประเภทสินค้า/บริการของเอสเอ็มอีที่ขึ้นทะเบียนเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไว้กับ สสว. ที่มีจำนวนรายการมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ (1) เฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่ง (2) ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ (3) เครื่องใช้และอุปกรณ์สำนักงาน (4) เครื่องมือและวัสดุที่ใช้สำหรับการป้องกันภัย การบังคับใช้ตามกฎหมายและความปลอดภัย (5) เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและโทรคมนาคม ทั้งนี้ สสว. มีกำหนดการสร้างการรับรู้ระดับพื้นที่ครั้งที่ 1 โดยจัดการประชุมเผยแพร่มาตรการสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ “THAI SME-GP @นนทบุรี” ในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค.64 ณ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ จ.นนทบุรี ซึ่งจะมีกิจกรรมเสวนา และบริการให้คำปรึกษา แนะนำ สาธิตการขึ้นทะเบียน ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและหน่วยงานภาครัฐกลุ่มเป้าหมายรวม 200 ราย
2. การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แบบกำหนดโจทย์ล่วงหน้า ที่มีการนำร่องภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สสว. กับบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด (TAI) และสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา สสว. เชื่อมโยงความร่วมมือในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยานและการซ่อมบำรุงระหว่างสมาคมฯ กับกองทัพอากาศ ผ่าน TAI โดยนำผู้ประกอบการเยี่ยมชมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ณ จังหวัดนครสวรรค์ และลพบุรี ส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต Drone ของกองทัพอากาศ สำหรับการดำเนินงานในปัจจุบันมีการขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยานและการซ่อมบำรุง สู่ตลาดภาครัฐและภาคเอกชน และขยายความร่วมมือสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาลภายใต้กองทัพอากาศ และโรงพยาบาลภายใต้เหล่าทัพอื่น ๆ โดยการดำเนินงานต่อไปในอนาคต จะขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์สู่โรงพยาบาลของรัฐ รวมทั้งขยายความร่วมมือสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมระบบรางด้วย ทั้งนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แบบกำหนดโจทย์ล่วงหน้า ดังกล่าว มีการประมาณการผู้ได้รับประโยชน์ในอุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรม Medical อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมระบบราง และอุตสาหกรรม Automation รวมทั้งสิ้นกว่า 12,000 ราย
3. การอำนวยความสะดวกให้เอสเอ็มอี เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่ได้ดำเนินการลดปัญหา/อุปสรรคให้แก่เอสเอ็มอีในการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เช่น การจัดเตรียมเอกสารสำหรับเสนองานภาครัฐ การวางหลักประกันการเสนอราคา/หลักประกันสัญญา ระยะเวลาที่เหมาะสมที่ภาครัฐจะจ่ายเงินให้แก่เอสเอ็มอีที่เป็นคู่สัญญา (Credit term ภาครัฐ) และการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่เอสเอ็มอี โดยการใช้ใบสั่งจ้าง/สัญญา/ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ (Factoring) นอกจากนี้ สสว. มีการจัดประชุมเพื่ออำนวยความสะดวกให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อระดมความคิดเห็นของกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเด็นปัญหา-อุปสรรค การเข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และระดมความคิดเห็นของกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหา-อุปสรรค เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐมากขึ้น
“ สสว. คาดว่าการขึ้นทะเบียนเพื่อให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของเอสเอ็มอี จะเป็นไปตามเป้าหมาย 10,000 รายแรก ในสิ้นเดือน มี.ค.64 และอัตราการขึ้นทะเบียนจะเร็วขึ้น เพราะ สสว. มีการเชื่อมโยงข้อมูลเอสเอ็มอีกับหน่วยงานอื่น ๆ ขณะที่แผนระยะยาวเพื่อให้การลงทะเบียนของเอสเอ็มอีไปถึงเป้าหมาย 100,000 รายในสิ้นปีงบประมาณ 64 สสว. จะเร่งขับเคลื่อนร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแผนงาน โดยจะมีการสร้างการรับรู้ระดับพื้นที่ เริ่มที่ จ.นนทบุรีเป็นแห่งแรก และจะขยายผลออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39810 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ชุมชนดินแดง ชูสังคมเข้มแข็งปลอดยาเสพติด | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ชุมชนดินแดง ชูสังคมเข้มแข็งปลอดยาเสพติด
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำกับติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ในวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมกำกับติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ชุมชนแสนสุข สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนศูนย์กลางเทวา จำกัด เขตดินแดง โดยมี นายสุนทร ชื่นศิริ ผู้อำนวยการ ป.ป.ส.กทม. นายแพทย์สมชาย ตรีทิพย์สถิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบำบัดการติดยาเสพติด สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร นายอารีศักดิ์ เสถียรภาพอยุทธิ์ ที่ปรึกษากรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายนิวัฒน์ ดวงจิโน ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตดินแดงและคณะ เข้าร่วมประชุม
ในโอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้ถ่ายทอดนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้เล็งเห็นปัญหาของยาเสพติดเป็นปัญหาที่เป็นวาระแห่งชาติ และเห็นควรให้แก้ไขอย่างจริงจังอย่างครบวงจร ทั้งการบำบัดฟื้นฟูและเยียวยา โดยภาครัฐต้องร่วมมือกับชุมชนจึงจะประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง"ภูมิคุ้มกันการยาเสพติดที่ดีที่สุด คือ ความรักความอบอุ่นของครอบครัว และความเข้มแข็งของภาคประชาชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสอดส่องเฝ้าระวังชุมชนของตนเอง เมื่อชุมชนเข้มแข็ง ย่อมส่งผลให้สังคม และประเทศชาติมีความเข้มแข็ง มั่นคง ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน ดังกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นผลสำเร็จ เป็นผลมาจากการเอาใจใส่ดูแลจาก อ.ส.ม. และสมาชิกในชุมชนอย่างเข้มงวด ดังนั้นปัญหายาเสพติดในชุมชนก็สามารถควบคุมได้เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนนั้นก็จะห่างไกลยาเสพติด " นายสามารถ กล่าว
หลังจากนั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมและคณะ ได้ร่วมฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติด รายงานสถานการณ์ปัญหายาเสพติดและผลการดำเนินงานด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ นอกจากนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนเพื่อรับทราบปัญหาทางกายภาพ ร่วมกับเขตดินแดง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาในชุมชนแบบบูรณาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สร้างชุมชนให้ปลอดจากยาเสพติดอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้ได้มอบสื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และน้ำดื่ม สำนักงาน ป.ป.ส. ให้แก่ชุมชนอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง 15,224 คน เฮ! ได้รับเงินว่างงานแล้ว 809 กว่าล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง 15,224 คน เฮ! ได้รับเงินว่างงานแล้ว 809 กว่าล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ผู้ประกันตน ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ที่เร่งรัดให้ สปส.พิจารณาจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน กรณีถูกเลิกจ้างให้ได้สิทธิโดยเร็ว จำนวน 15,224 คน เป็นเงินจำนวน 809,916,800บาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณี ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนถูกนายจ้างแจ้งการออกจากงานด้วยสาเหตุต่าง ๆ นั้น และได้ยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ณ สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องมีสิทธิได้รับเงินกรณีว่างงานทั้งสิ้นจำนวน 200 วัน ในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างตามกฎหมาย ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายให้สำนักงานประกันสังคม หารือต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีนายจ้างแจ้งสาเหตุการออกจากงานของผู้ประกันตนว่ามีความผิดทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าชดเชยการออกจากงาน และประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ผู้ประตนต้องร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน หรือนำคดีสู่ศาลแรงงาน ทำให้ผู้ประกันตนที่ถูกออกจากงานดังกล่าว ได้รับความเดือดร้อนขณะว่างงาน
นายสุชาติกล่าวต่อว่า จากรายงานของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งได้เร่งดำเนินการแก้ไขประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน พ.ศ. 2564 (ฉบับที่ 3) และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2564 ทำให้ขั้นตอนการจ่ายเงินกรณีว่างงานให้ผู้ประกันตนอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาลแรงงาน เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนที่ขาดรายได้จากการว่างงาน โดยได้ออกหนังสือกำชับให้สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยเงินกรณีว่างงานกรณีดังกล่าว โดยเร่งด่วนและครบถ้วน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้กับผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างแล้วจำนวน 15,224 คน เป็นเงินจำนวน 809,916,800บาท โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/พื้นที่ที่มีผู้ประกันตนได้รับเงินกรณีว่างงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 คือ จังหวัดนครราชสีมา รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ 10 สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ 7 และจังหวัดสมุทรสาคร ตามลำดับ
ทั้งนี้ นายอธิทัต เตวิภูษณะวงศ์ หนึ่งในลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งที่ได้รับเงินกรณีว่างงานดังกล่าว เปิดเผยว่า “ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน จำนวน 60 วันแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะได้รับเงินกรณีว่างงานทั้งสิ้น จำนวน 200 วัน ในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างตามกฎหมาย และต้องขอขอบคุณ รัฐบาล และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคมเป็นอย่างสูงที่ทำให้ตนได้รับเงินกรณีว่างงาน เพราะเงินที่ได้รับ ได้นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัวในขณะที่อยู่ระหว่างการหางานทำ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40107 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง
รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง
วันนี้ ( 1 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ พร้อมด้วย นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษาฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
รมว.ทส. ได้เน้นย้ำ ให้ทุกหน่วยงานในสังกัด สร้างการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน สร้างความโปร่งใส และธรรมาภิบาลภายในหน่วยงาน โดยในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนขอให้ใช้ความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ชี้แจงทำความเข้าใจ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎ ระเบียบ อย่างเต็มกำลังความสามารถ และเมื่อเกิดปัญหาขอให้เร่งเข้าไปแก้ปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชน มีการวิเคราะห์ปัญหา มีข้อมูลที่ถูกต้องสามารถตรวจสอบพิสูจน์ได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานของกระทรวงฯ ให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน อีกทั้ง ในการดำเนินงานขอให้แต่ละหน่วยงานทำงานร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เนื่องจากหลายภารกิจมีความเชื่อมโยงที่ต้องทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โครงการ คทช. อุทยานมรดกโลก เป็นต้น
อีกทั้ง ในด้านงบประมาณขอให้เร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและมาตรการเร่งรัดการใช้งบประมาณ และด้านกฎหมาย เกี่ยวกับกฎหมายระดับรองตาม พ.ร.บ.ต่างๆ ขอให้แต่ละหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการ สำหรับเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในทุก ๆ ระดับให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถ ศักยภาพในการทำงาน มีความรับผิดชอบ และมีความเหมาะสม นอกจากนี้ รมว. ทส. ยังได้กล่าวเน้นย้ำ เรื่องการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตพื้นที่ป่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงฯ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานสถานการณ์การขออนุญาตใช้พื้นที่ให้กับปลัดกระทรวงฯ ทราบ ภายใน 15 วัน อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39513 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงานสัมมนา 2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี พิธีเปิดงานสัมมนา 2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
พิธีเปิดงานสัมมนา 2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
พิธีเปิดงานสัมมนา2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum
วันอังคารที่ 23มีนาคม 2564
………………………………………………………..
ท่านเลขาธิการOECD อังเคลกูเรีย
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในงานสัมมนา 2021 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum
วิกฤตโควิด -19 พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่า ภาครัฐเพียงลำพังไม่สามารถรับมือกับวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องสานพลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยได้ระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐจำนวน ๑๖ หน่วยงาน ภาคเอกชน และภาควิชาการ มาร่วมกันกำหนดนโยบายและมาตรการเร่งด่วนในการบริหารสถานการณ์ดังกล่าว ภายใต้การบูรณาการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรอบด้าน ทำให้สามารถตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ส่งผลให้ไทยได้รับการยอมรับและยกย่องจากนานาประเทศถึงความมีประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 จากความสำเร็จดังกล่าว
ผมขอย้ำว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและการเสริมสร้างความซื่อตรง จึงได้มีความร่วมมือกับ OECD ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้ประเมินตนเองตามกรอบของ OECD ครบทุกมิติ และได้นำข้อเสนอแนะของ OECD มาเป็นมาตรการในแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
นอกจากนี้ ยังได้นำข้อเสนอแนะมาขับเคลื่อนให้เกิดความเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยการปรับปรุงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลัก Good Governance ในการบริหารราชการ มุ่งเน้นความโปร่งใส ปฏิบัติหน้าที่บนความถูกต้อง ลดการใช้ดุลยพินิจ ส่งเสริมการเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) และเชื่อมโยงกันด้วยข้อมูลผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่อง ให้ข้อมูล หรือแจ้งเบาะแส ไม่ให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์หรือการทุจริต
ในระยะต่อไป OECD และรัฐบาลไทยจะมีการเปิดตัวรายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ ระยะที่ ๒ ในเดือนเมษายนนี้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะสามารถเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมไปถึงประเทศสมาชิก OECD
สุดท้ายนี้ ผมในฐานะตัวแทนของคนไทยทุกคน ต้องขอขอบคุณ OECD ภายใต้ความร่วมมือ OECD-Thailand Country Programme และในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ซึ่งผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือร่วมใจระหว่างกันของทุกประเทศ ทุกภาคส่วนจะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และจะเป็นพลังสำคัญที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ขอบคุณครับ
..................................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือเนคเทค ธกส. และหน่วยงานพันธมิตร เผยแพร่พิมพ์เขียวระบบเกษตรอัจฉริยะ “HandySense” | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือเนคเทค ธกส. และหน่วยงานพันธมิตร เผยแพร่พิมพ์เขียวระบบเกษตรอัจฉริยะ “HandySense”
กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จับมือเนคเทค ธกส. และหน่วยงานพันธมิตร เผยแพร่พิมพ์เขียวระบบเกษตรอัจฉริยะ “HandySense” มุ่งพัฒนาการผลิต และคุณภาพสินค้า ยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างยั่งยืน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าว “โครงการความร่วมมือส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่” HandySense : Smart Farming Open Innovation ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ธกส. และหน่วยงานพันธมิตร ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ คือ ระบบการบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ (HandySense) โดยการสร้างต้นแบบแปลงเรียนรู้การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ ที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และศูนย์ปฏิบัติการในสังกัดของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 50 ศูนย์ พร้อมพัฒนาความรู้ทักษะในการบริหารจัดการให้แก่เกษตรกรต้นแบบ ใน ศพก. และเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อยกระดับเป็นวิทยากรเกษตรอัจฉริยะ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบอัจฉริยะ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตสินค้าเกษตรได้อย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของชุมชน ซึ่งเชื่อมโยงนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก โดยการสนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์ นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ โดยเชื่อมโยงการทํางานกับศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อยกระดับสู่การทําเกษตรสมัยใหม่ และเกษตรแบบแม่นยํา (Precision Agriculture) รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัดดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นการเกษตร โดยมีจุดเน้นในด้านการเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการมีข้อมูลทางการเกษตร ประกอบกับเทคโนโลยี และแบบจำลองต่างๆ ซึ่งจุดเน้นคือการให้เกษตรกรและหน่วยงานเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลระบบเทคโนโลยีและ applications ต่าง ๆ และเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้มากขึ้น” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่เกษตรกร ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการเกษตรบนพื้นฐานของข้อมูลทางวิชาการ โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่ม นำไปสู่การพัฒนาอาชีพการเกษตรและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร 2) การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรกลุ่มต่างๆ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรจากแหล่งต่างๆ ได้มากขึ้น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและพัฒนาเข้าสู่การเกษตรสมัยใหม่ และ 3) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากการศึกษาวิจัยสำหรับถ่ายทอดสู่เกษตรกร และสะท้อนข้อมูลจากประสบการณ์ในงานส่งเสริมการเกษตรเพื่อนำไปกำหนดโจทย์หรือประเด็นการศึกษาวิจัย เพื่อให้ได้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรที่เหมาะสม สอดคล้องกับศักยภาพ และความต้องการของเกษตรกร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมดำเนินการขยายผลงานวิจัยแบบบูรณาการร่วมกับ ดีแทค และ เนคเทค
เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้โครงการ “ดีแทคฟาร์มแม่นยำ” มีเป้าหมายให้เกิดฟาร์มต้นแบบ โดยใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพการเพาะปลูก ซึ่งได้มีการทดลองใช้กับฟาร์ม 30 แห่ง ใน 23 จังหวัด และได้รับการตอบรับดีจากเกษตรกร ต่อมาในปี 2562 เนคเทคร่วมกับจังหวัดฉะเชิงเทราได้ขยายผลการใช้งานจริงในพื้นที่ปลูกผักปลอดภัยให้กับเกษตรกรผู้สนใจ 34 ราย ในทุกอำเภอของจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของพืช ใช้งานง่าย ทนทาน ราคาประหยัด สามารถลดการใช้แรงงานได้ประมาณร้อยละ 50 รายได้จากการเพิ่มคุณภาพปริมาณผลผลิต และลดการใช้ทรัพยากรโดยเฉลี่ยอย่างน้อยร้อยละ 20 และในปี 2564 นี้ ได้ร่วมมือกับเนคเทค และธกส. ในโครงการความร่วมมือส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ HandySense : Smart Farming Open Innovation มีเป้าหมายจะดำเนินการ รวม 16 จุด แบ่งเป็น ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 6 ศูนย์ (เขตละ 1 ศูนย์) และศูนย์ปฏิบัติการของกรมส่งเสริมการเกษตรอีก 10 ศูนย์ และมีแผนจะขยายผลให้ครบทั้ง 50 ศูนย์ปฏิบัติการภายในปี 2566 นอกจากนี้จะดำเนินการขยายผลไปสู่เกษตรกรทั่วไปที่สนใจที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะควบคู่กันไปด้วย
“การเปิดเผยพิมพ์เขียวต้นแบบผลงานวิจัย HandySense ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการไทย หรือผู้สนใจทั่วไปสามารถนำไปผลิตเพื่อใช้หรือจำหน่ายได้ โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์และค่าใช้สิทธิ์ นับว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเกษตรกรไทยที่จะมีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือที่ทันสมัยได้ในราคาไม่แพงจนเกินไป เกษตรกรสามารถพัฒนาอาชีพของตนเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยได้ในอนาคต สำหรับระบบเกษตรอัจฉริยะ HandySense เป็นอุปกรณ์ IoT และ application ในการควบคุมสภาพแวดล้อมซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช ประกอบด้วย 4 เซนเซอร์และ 3 ฟังก์ชั่น ซึ่งใช้วัดสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก และควบคุมการให้น้ำสำหรับพืช ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างน้อยร้อยละ 20 โดยเฉลี่ยซึ่งเกิดจากการลดต้นทุนการใช้ทรัพยากรและการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต โดยปัจจุบันมีการติดตั้งอุปกรณ์ HandySense ทั่วประเทศแล้วจำนวน 77 แห่ง และคาดว่าจะขยายเป็น 200 แห่งได้ในปี 2565” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40101 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! งบกลาง 1.3 พันล้าน ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน 5 จังหวัดภาคใต้จากเหตุน้ำท่วม | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
เคาะ! งบกลาง 1.3 พันล้าน ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน 5 จังหวัดภาคใต้จากเหตุน้ำท่วม
...
จากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. 63 ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส พัทลุง และสุราษฎร์ธานี ส่งผลให้ถนนหนทางได้รับความเสียหาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการเดินทาง และส่งผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์
.
รัฐบาลจึงได้อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 1,372.41 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยใน 5 จังหวัดข้างต้น ทั้งงานบูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เช่น งานก่อสร้างและซ่อมสะพาน งานแก้ไขและป้องกันดินสไลด์ งานฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ งานซ่อมแซมถนนและคอสะพานขาด เป็นต้น
.
เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว โดยคำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้เส้นทางสำหรับการสัญจรและดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39867 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อีโอซี บรรจุ ‘มวยไทย’ เข้ายูโรเปียนเกมส์ 2023 | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
อีโอซี บรรจุ ‘มวยไทย’ เข้ายูโรเปียนเกมส์ 2023
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีที่คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป หรือ อีโอซี ได้บรรจุมวยไทย เข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่จัดขึ้นที่เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้ เนื่องจากมวยไทยเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วมากในด้านศิลปะการป้องกันตัว มีกลุ่มนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวกีฬา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมศักยภาพการกีฬาของประเทศไทยให้เป็นที่ประจักษ์ พร้อมผลักดันให้มวยไทยได้รับการบรรจุในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ในอนาคตด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ดันด่านพรมแดนพุน้ำร้อนเป็นศูนย์กลางนำเข้า-ส่งออกสินค้าของประเทศ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
‘รมช.ประภัตร’ ดันด่านพรมแดนพุน้ำร้อนเป็นศูนย์กลางนำเข้า-ส่งออกสินค้าของประเทศ
‘รมช.ประภัตร’ ดันด่านพรมแดนพุน้ำร้อนเป็นศูนย์กลางนำเข้า-ส่งออกสินค้าของประเทศ
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของจุดผ่านแดนถาวรพุน้ำร้อน และด่านกักกันสัตว์ พร้อมติดตามความคืบหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรม พุน้ำร้อน ณ สำนักงานศุลกากรบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยมี ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย ที่ปรึกษาและคณะทำงาน รมช.เกษตรฯ นายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร อธิบดีกรมการข้าว นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายครรชิต สุขเสถียร รองเลขาธิการ มกอช. ดร.มณเฑียร อินทร์น้อย ผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา ตลอดจนผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม จากนั้น รมช.เกษตรฯ นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ที่มีการนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญจากเมียนมาร์ อาทิ ปลาหมึก และหอมแดง เป็นต้น
นายประภัตร กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และเป็นการสนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยว เพื่อเป็นการรองรับเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงประกาศเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อนราชอาณาจักรไทย ตรงข้ามบ้านทิกิ เมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ขึ้น
สำหรับด่านศุลกากรพุน้ำร้อนเป็นด่านพรมแดนอยู่ในการดูแลของด่านศุลกากรสังขละบุรี รับผิดชอบดูแลด่านพรมแดนหลัก 2 แห่ง ได้แก่ ด่านพรมแดนพระเจดีย์สามองค์ และด่านพรมแดนพุน้ำร้อน โดยในปี 2563 มีสินค้าปศุสัตว์นำเข้า ได้แก่ โค 2,778 ตัว กระบือ 379 ตัว สินค้าส่งออก ได้แก่ สุกร 1,967 ตัว ไก่ 1,308,757 ตัว และชิ้นส่วนไก่ 373,500 ตัว สำหรับแนวโน้มการส่งออกชิ้นส่วนไก่และไก่มีชีวิตลดลง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่เลี้ยงไก่เนื้อใน จ.กาญจนบุรี ที่เลี้ยงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ
“ด่านพุน้ำร้อนถือเป็นด่านที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศได้เป็นได้ดี อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 8,000 กว่าไร่ แบ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม 2,900 ไร่ ซึ่งจะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมทั้งด้านสาธารณูปโภค เพื่อให้ผู้ค้าเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ ส.ป.ก. สำรวจพื้นที่ที่ยังไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อให้เกษตกรทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ สร้างรายได้ภายใต้สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (กู้ 1 ล้าน ดอกเบี้ย 100 บาทต่อปี) พร้อมทั้งให้กรมชลประทานสำรวจแหล่งน้ำในพื้นเพื่อรองรับการเกษตร เชื่อว่าหากสำเร็จจะเป็นศูนย์กลางการส่งออกและนำเข้า ของประเทศ เนื่องจากมีความได้เปรียบ เส้นทางสมบูรณ์ ติดกับกรุงเทพฯ ทั้งยังส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นด้วย” นายประภัตร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39671 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจโครงการในพื้นที่ส.ป.ก. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่ง | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจโครงการในพื้นที่ส.ป.ก. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่ง
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ตรวจโครงการในพื้นที่ส.ป.ก.
เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่ง
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนราธิวาสในโครงการพิเศษด้านความมั่นคงเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่งณบ้านประชารัฐร่วมใจ2ตำบลโคกเคียนอำเภอเมืองนราธิวาสจังหวัดนราธิวาสว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ดำเนินงานโครงการพิเศษด้านความมั่นคงเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่งนับตั้งแต่ปี2557โดยใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจัดซื้อที่ดินเพื่อจัดสรรให้กับประชาชนผู้ประสบภัยจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่งจำนวน50รายให้มีที่อยู่อาศัยพร้อมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆและการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเนื่องด้วยผู้ประสบภัยมีการประกอบอาชีพทำประมงเพียงอย่างเดียวทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพแต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการเกษตรกรมีอาชีพเสริมเพิ่มขึ้นเช่นการทำน้ำบูดูการแปรรูปสัตว์น้ำการทำเกษตรผสมผสานทำให้มีรายได้โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ภายในงานรมช.ธรรมนัสยังได้มอบถุงยังชีพเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกรจำนวน150ถุงซึ่งประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้งพร้อมรับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40279 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัดการประชุมคู่ขนานระหว่างการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ เน้นย้ำความสำคัญสาธารณสุขในเรือนจำในช่วงโควิด - ๑๙ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
กระทรวงยุติธรรมจัดการประชุมคู่ขนานระหว่างการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ เน้นย้ำความสำคัญสาธารณสุขในเรือนจำในช่วงโควิด - ๑๙
กระทรวงยุติธรรมจัดการประชุมคู่ขนานระหว่างการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔ เน้นย้ำความสำคัญสาธารณสุขในเรือนจำในช่วงโควิด - ๑๙
ในวันพุธที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรมได้จัดการประชุมคู่ขนาน (Ancillary Meeting) ระหว่างการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ ๑๔
ในหัวข้อ Health Care in Prison : Management during the COVID-19 Pandemic
ระหว่างเวลา ๐๙.๓๐ - ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม
โดยส่งสัญญาณภาพไปยัง website ของการประชุม UN Crime Congress เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเข้ารับชมได้จากทั่วโลก
การประชุมคู่ขนานดังกล่าวได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายอัสนีย์ สังขเนตร ผู้ตรวจราชการ กรมราชทัณฑ์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายงาน (Moderator) ร่วมด้วยวิทยากร (Speaker) จำนวน ๔ ราย ได้แก่ Mr. Dai Tanaka (Prison Management and Covid-19 Project Coordinator, UNODC) นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ Ms. Jennifer Wheatley (Assistant Commissioner for Health, Canadian Department of Corrections) และ Ms. Karen Peters (Regional Drugs and Health Programme Officer, UNODC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการจัดการด้านสาธารณสุขภายในเรือนจำ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ รวมถึงการนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้ อาทิเช่น ข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพฯ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39836 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทอดผ้าป่าช่วยช้างไทย | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
ทอดผ้าป่าช่วยช้างไทย
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทอดผ้าป่าช่วยช้างไทย เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคม เพื่อนำรายได้ช่วยเหลือช้างทั่วประเทศ
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังพิธีทอดผ้าป่าช่วยช้างไทยเนื่องในวันช้างไทยโดยมีคุณหญิงแจ่มใสศิลปอาชาและนางสาวกัญจนาศิลปอาชาเป็นประธานณบ้านช.ช้างชรา(Elephants World)ต.วังดงอ.เมืองจ.กาญจนบุรีว่าเมื่อวันที่26พฤษภาคมพ.ศ. 2541คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้วันที่13มีนาคมของทุกปีเป็นวันช้างไทยเพื่อให้คนไทยหันมาสนใจช้างรักช้างหวงแหนช้างตลอดจนให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออนุรักษ์ช้างมากขึ้น
สำหรับจังหวัดกาญจนบุรีมีปางช้างจำนวน13แห่งมีช้างที่อยู่ในความดูแลมากกว่า200เชือกแต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19นักท่องเที่ยวลดน้อยลงทำให้ปางช้างเกิดผลกระทบเป็นอย่างมากเนื่องจากขาดแคลนรายได้ขาดแคลนอาหารสัตว์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์จึงได้จัดงานทอดผ้าป่าช่วยช้างไทยขึ้นโดยเงินที่ได้รับในวันนี้จะนำไปช่วยเหลือช้างทั่วประเทศ
นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ยังได้จัดเตรียมพืชอาหารช้างอาหารเสริมและเวชภัณฑ์เพื่อดูแลและเข้าช่วยเหลือช้างที่อยู่ในความดูแลทั้งหมดอีกทั้งยังปรับปรุงการเลี้ยงช้างให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์แก้ไขปัญหาการทารุณกรรมช้างตลอดจนมุ่งยกระดับมาตรฐานปางช้างไทยด้วย
ทั้งนี้บ้านช.ช้างชรา(Elephants World)ต.วังดงอ.เมืองจ.กาญจนบุรีมีเนื้อที่130ไร่เริ่มก่อตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม2551เนื่องจากได้เล็งเห็นสภาพปัญหาของช้างเลี้ยงที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาช้างบาดเจ็บช้างชราที่ประสบปัญหาในการดูแลสุขภาพช้างเร่ร่อนซึ่งเป็นช้างด้อยโอกาสที่ไม่สามารถทำงานได้จึงได้ดำเนินการจัดทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เลี้ยงดูช้างชราเพื่อให้ช้างไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นปัจจุบันบ้านช.ช้างชรามีช้างอยู่ในความดูแลทั้งหมด11เชือก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชี้มหันตภัยแชร์ลูกโซ่ควบคุมได้ ขอให้ภาคประชาชนต้องช่วยกันสอดส่อง | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชี้มหันตภัยแชร์ลูกโซ่ควบคุมได้ ขอให้ภาคประชาชนต้องช่วยกันสอดส่อง
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในกิจกรรมส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในกิจกรรมส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมมีภารกิจหลักในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำนโยบายลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะด้วยสถานะทางสังคมที่ด้อยกว่าทำให้คนยากจนเกิดความเสียเปรียบในทุกๆ มิติ แต่ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมของไทยมีการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนยุติธรรมซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างแท้จริง และช่วยให้คนจนสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ต้องหาซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ในการประกันตัว หรือ เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมไปถึงการจัดทนายความ และการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน
กระทรวงยุติธรรมเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่จำเป็นต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยสิ่งที่กระผมจะถ่ายทอดให้กับทุกท่านฟังในที่นี้คือเรื่องของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย และขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามแชร์ลูกโซ่ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาแชร์ลูกโซ่ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มีนโยบายเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามปัญหาแชร์ลูกโซ่ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข และการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยเร่งรัดติดตามดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง และยึดอายัดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดเพื่อนำกลับไปคืนให้กับเหยื่อที่ถูกหลอกลวง
แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเคยได้รับบทเรียน จากมหันตภัยแชร์ลูกโซ่ มาแล้วหลายครั้ง อาทิ แชร์แม่ชม้อย ซึ่งมีผู้เสียหายกว่า ๒๐,๐๐๐ คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า ๔,๕๐๐ ล้านบาท แชร์แม่นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์ แชร์บิทเชอร์ แชร์ยูฟัน แชร์โชกุน แชร์ Forex -๓D ซึ่งจะมีกลวิธีในการหลอกลวง แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การกล่าวอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก จนต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาทบทวนรูปแบบการแจ้งเตือนประชาชนเพราะต้องยอมรับว่า ประชาชนให้ความสนใจในประเด็นพิษภัยของแชร์ลูกโซ่น้อยกว่าประเด็นการชักชวนมาลงทุนแล้วได้รับผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว
" ทุกคนมีโอกาสที่จะถูกหลอกลวงด้วยกันทั้งสิ้น แล้วจะป้องกันตนเองได้อย่างไร ซึ่งวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกวันนี้ เปรียบเสมือนดาบสองคม ที่ทำให้แชร์ลูกโซ่แพร่ระบาด ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ที่จะต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ไม่ให้ใครมาทำธุรกิจหลอกลวงผู้อื่น และอย่าไปหลงเชื่อใครง่ายๆ หากเราช่วยกันก็สามารถควบคุม การแพร่ระบาดของแชร์ลูกโซ่ได้เช่นเดียวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ที่ประเทศไทยสำเร็จมาแล้ว"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย ครม.ให้งบจัดซื้อวัคซีนเพิ่ม 35 ล้านโดส | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
อนุทิน เผย ครม.ให้งบจัดซื้อวัคซีนเพิ่ม 35 ล้านโดส
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย วันนี้ ครม. อนุมัติงบ 6,387,285,900 บาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 35 ล้านโดส เพื่อให้เป็นไปตามแผนครอบคลุมประชากรในประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย วันนี้ ครม. อนุมัติงบ 6,387,285,900 บาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 35 ล้านโดส เพื่อให้เป็นไปตามแผนครอบคลุมประชากรในประเทศ เตรียมเสนอการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนต่อที่ประชุม คกก.โรคติดต่อแห่งชาติวันจันทร์นี้ เพื่อแสดงความพร้อมและความปลอดภัยในการเปิดประเทศ
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบชุดอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิตู้เก็บวัคซีนโควิด 19 จากกลุ่มบริษัท ปตท. ว่า ประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส ขณะนี้ได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ได้รับมาในระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา วัคซีนในส่วนที่เหลือจะถูกจัดส่งมายังจังหวัดต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 จะมีวัคซีนที่ผลิตในประเทศมาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการให้วัคซีนกับประชาชนในประเทศ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 6,387,285,900 บาท จัดซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนกา จำนวน 35 ล้านโดส
“ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าวัคซีนจะถูกจัดส่งให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย อย่างครอบคลุมทั่วถึงแน่นอน นอกจากจะครอบคลุมพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว จะครอบคลุมให้กับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ให้มีความปลอดภัยทุกคนตามหลักขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่า จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย ถือเป็นหลักการที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ทุกท่าน โดยเฉพาะคนไทยให้มีความปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว
สำหรับการเตรียมพร้อมรับการเปิดประเทศ ที่จะมีการเดินทางเข้าออกประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ได้หารือการจัดเอกสารรับรองการได้รับการฉีดวัคซีน ออกโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นเอกสารทางราชการ ที่แนบไปกับพาสปอร์ต เพื่อแสดงถึงความพร้อมของประเทศไทย ความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ที่ได้รับหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน ในเรื่องนี้จะเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ โดยในวันจันทร์นี้จะนำเข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติต่อไป
**************************** 2 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วมกับ กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน ร่วมกับ กมธ.แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” เพื่อสร้างการรับรู้ รับฟังข้อเสนอแนะและร่วมกันพิจารณาผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ…
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานครนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานกล่าวเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” โดยมีนายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานกล่าวต้อนรับนางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายแรงงานและโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงานกล่าวรายงาน โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การช่วยเหลือเยียวยา แบ่งเบาภาระค่าครองชีพของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน รวมถึง “พี่น้องแรงงานนอกระบบ” และพร้อมที่จะให้การดูแลเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีนโยบายในการเร่งรัดการออกกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ เพื่อรองรับแรงงานนอกระบบทุกคน จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การระบาดของโรคโควิด – 19 การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการจ้างงานบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ที่สภาพการจ้างงานยังไม่มีความชัดเจน เป็นการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่เราต้องศึกษา ควบคุม และดูแลต่อไป
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน มีเป้าหมายเดียวกันกับคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และคณะอนุกรรมาธิการศึกษานโยบายและกฎหมายแรงงาน คือ การดูแลแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบขึ้น ซึ่งการสัมมนาในวันนี้ ทุกท่านคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันสนับสนุนและผลักดัน การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ให้สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยเร็ว
น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายแรงงานและโฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน กล่าวว่า โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ร่วมรู้ ร่วมส่งเสริม “ร่างกฎหมายเพื่อแรงงานนอกระบบ” ในวันนี้ จัดขึ้นโดย คณะกรรมการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อส่งเสริมการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ….. เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ….. และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และกระทรวงแรงงานในการพิจารณาผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ…..ร่วมกัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 300 คน ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการการแรงงานและคณะอนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการและเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงาน วิทยากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จากภาครัฐและผู้สังเกตการณ์ แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตัวแทนผู้ประกอบการ เจ้าของสถานประกอบการ เครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่เกี่ยวข้องด้านแรงงานนอกระบบ
ผู้เข้าสัมมนาในวันนี้โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ ยังไม่มีใครคุ้มครองดูแลสิทธิประ โยชน์ จากการสัมมนาในวันนี้จะเป็นการให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังข้อเสนอแนะ ในด้านคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการแรงงาน รายได้ อาชีพ และเครือข่ายการขึ้นทะเบียน เพื่อนำผลจากการสัมมนาครั้งนี้ไปขับเคลื่อนนโยบายและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ….. ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฏีกา และรัฐสภา เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้ผลสำเร็จ เกิดผลเป็นรูปธรรมและนำไปบังคับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. คาดแนวโน้มสินทรัพย์เสี่ยงสูงยังไปได้ดี แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
กบข. คาดแนวโน้มสินทรัพย์เสี่ยงสูงยังไปได้ดี แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
ถึงแม้วัคซีนโควิด-19 จะช่วยจุดประกายสร้างความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ถูกผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดหนักที่ผ่านมา ประกอบกับการที่รัฐบาลกลางแต่ละประเทศใส่เม็ดเงินเข้ามาในระบบเพื่อฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้วัคซีนโควิด-19 จะช่วยจุดประกายสร้างความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ถูกผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดหนักที่ผ่านมา ประกอบกับการที่รัฐบาลกลางแต่ละประเทศใส่เม็ดเงินเข้ามาในระบบเพื่อฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจแท้จริงยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับในประเทศไทย ทำให้เม็ดเงินส่วนใหญ่ยังคงไหลไปลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยงมากขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนทางการเงินที่สูงกว่า
กบข. มองแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณว่าสามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดจากดัชนีภาคเศรษฐกิจในหลายตัวชี้วัดเริ่มฟื้นตัวและปรับตัวได้ดีขึ้น หลังจากที่มีการเร่งฉีดวัคซีนในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นแซงหน้าการแพร่เชื้ออย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จีน สหราชอาณาจักร และในอีกหลายภูมิภาค
ในขณะที่เศรษฐกิจของไทย ยังคงมีแนวโน้มการฟื้นตัวช้าๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและภาคบริการอย่างการท่องเที่ยว จึงยังคงต้องการมาตรการเยียวยาทั้งด้านการคลัง และการเงินที่ตรงจุดเพิ่มเติมต่อไป
ขณะเดียวกัน ผลพวงจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่รัฐบาลกลางทั่วโลกอัดฉีดเพื่อช่วยเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าจะได้รับอนุมัติงบประมาณสูงถึง 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เร็วกว่ากำหนด ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง กบข. จึงมองว่าตลาดตราสารทุนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) และกลุ่มประเทศเอเชีย รวมถึงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ได้แก่ ทองแดง น้ำมัน และสินค้าเกษตรกรรม ยังคงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม กบข. มองว่า ยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน จากการที่ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมานั้น เริ่มส่งผลไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่ขยับตัวขึ้น และทำให้อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดย กบข. คาดว่าอาจจะปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับ 1.5-1.6% ภายในปี 2564 นี้ รวมถึงค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าอยู่ในระดับ 29.50 - 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังคงยืนยันในการคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ยังคงต้องจับตามองกันต่อไป
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 2564)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ ให้การต้อนรับคณะสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศึกษาดูงานอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รองปลัดฯ วรวรรณ ให้การต้อนรับคณะสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศึกษาดูงานอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ
รองปลัดฯ วรวรรณ ให้การต้อนรับคณะสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศึกษาดูงานอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ
วันนี้ (8 มีนาคม 2564)นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ พลเอก ชูชาติ บัวขาว รองปลัดกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะเข้าเยี่ยมชมดูงานอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ เพื่อปรึกษาหารือแนวทางการจัดตั้งมูลนิธิและสถาบันภายใต้มูลนิธิ เพื่อนำข้อมูลไปเป็นแนวทางในการในการจัดตั้งมูลนิธิและสถาบันภายใต้มูลนิธิของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ ร่วมให้ข้อมูล ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
#กระทรวงอุตสาหกรรม
#กระทรวงกลาโหม
#อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมการแสดงร่วมสมัย Melancholy of Demon | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมการแสดงร่วมสมัย Melancholy of Demon
ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมการแสดงร่วมสมัย Melancholy of Demon
วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๐๐ น. ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมการแสดงร่วมสมัย Melancholy of Demon โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ลิโด้คอนเนค กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผย ยังไม่พบผู้มีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดวัคซีน มอบ กต. หารือ “พาสปอร์ตวัคซีน” เพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผย ยังไม่พบผู้มีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดวัคซีน มอบ กต. หารือ “พาสปอร์ตวัคซีน” เพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีเผย ยังไม่พบผู้มีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดวัคซีน มอบกระทรวงการต่างประเทศ หารือ “พาสปอร์ตวัคซีน” เพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) เวลา 10.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการร่วมกันของกระทรวงต่าง ๆ เพื่อดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นภารกิจของรัฐบาลที่จะต้องดูแลผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ทั้งนี้ประชาชนทุกคนรักษาสิทธิที่ตนเองได้รับ อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรผู้พิการเพื่อรับเบี้ยผู้พิการ รวมทั้งการเข้าถึงมาตรการของรัฐ รัฐบาลมีแผนการดำเนินงานสอดคล้องกับงบประมาณ รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างอาชีพ เศรษฐกิจแบบใหม่ อุตสาหกรรมแบบใหม่ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การดูแลผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการผ่อนคลายมาตรการในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ว่า อยู่ระหว่างการหารือเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดซ้ำ ที่ผ่านได้อนุญาตให้มีการเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อท่องเที่ยว ซึ่งขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการดูแลตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่มีการฉีดวัคซีนภายในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจากการติดตามยังไม่มีพบผู้มีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน รัฐบาลยืนยันว่า ซึ่งขณะนี้เป็นการใช้วัคซีนโควิด-19 ในสถานการณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน การกระจายวัคซีนโควิด-19 ต้องทั่วถึงและเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและมีความเสี่ยงสูง อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจคัดกรอง รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และจะมีการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ควบคุมการแพร่ระบาดได้ จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ก็จะเปิดให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้เพื่อใช้ในสถานการณ์ปกติ อย่างไรก็ตามต้องผ่านการรับรองประสิทธิภาพโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาด้วย ทั้งนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณา“พาสปอร์ตวัคซีน” เพื่อให้มีเดินทางระหว่างประเทศที่มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39573 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเชิญชวนเจ้าของรถเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางช่วงสงกรานต์ จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม - 10 เมษายน 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางบกเชิญชวนเจ้าของรถเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางช่วงสงกรานต์ จัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม - 10 เมษายน 2564
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ 2564 คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ
เพื่อความปลอดภัยกรมการขนส่งทางบกร่วมกับภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศจัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม - 10 เมษายน 2564 เชิญชวนประชาชนเจ้าของรถนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์เข้ารับบริการตรวจเช็กสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์เบื้องต้นก่อนเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยไม่คิดค่าบริการ จำนวนกว่า 20 รายการ เช่น การตรวจระบบเบรก สภาพยาง ตรวจสอบการรั่วซึมของน้ำมันจากถังน้ำมัน ระดับน้ำมันเครื่องและความสกปรกของน้ำมันเครื่อง หม้อน้ำและรอยรั่ว ไส้กรองอากาศ อุปกรณ์ปัดน้ำฝน การทำงานของไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ เป็นต้น สามารถนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศหรือสังเกตป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ก่อนเข้าใช้บริการ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนนร่วมจัดกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนด้วยดีมาโดยตลอด อาทิ สมาคมผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไทย สมาคมการค้าไทย - ยุโรป (TEBA) สมาคมตรวจสภาพรถเอกชนไทย สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สถาบันยานยนต์ไทย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ตรีเพชร อีซูซุ เซลล์ จำกัด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮุนได มอเตอร์ ไทยแลนด์ จำกัด, เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด บริษัท เอพี ฮอนด้า จำกัด หรือ บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด(มหาชน) บริษัท บี-ควิก จำกัด, บริษัท ฟอร์ซเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ศูนย์บริการ AUTO QUIKS) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทีซี่ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น ร่วมประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนเจ้าของรถให้ความสำคัญกับการตรวจเช็กสภาพความพร้อมของรถ เครื่องยนต์ อุปกรณ์ส่วนควบของรถ ก่อนการเดินทางทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะทางใกล้หรือไกล เพื่อป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากการใช้งานรถที่สภาพไม่พร้อมหรือเครื่องยนต์ของรถทำงานผิดปกติอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39876 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยในรายการ PM Talk ที่ประชุม ศบค. เตรียมเคาะมาตรการผ่อนคลายช่วงสงกรานต์ พร้อมรับวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันที่ 25 พ.ค. 64 | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยในรายการ PM Talk ที่ประชุม ศบค. เตรียมเคาะมาตรการผ่อนคลายช่วงสงกรานต์ พร้อมรับวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันที่ 25 พ.ค. 64
นายกรัฐมนตรีเผยในรายการ PM Talk ที่ประชุม ศบค. เตรียมเคาะมาตรการผ่อนคลายช่วงสงกรานต์ พร้อมรับวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันที่ 25 พ.ค. 64
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพูดคุยในรายการ PM Talk ระหว่างช่วงพักรอเพื่อเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 30 นาที ภายหลังเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา ให้ความมั่นใจภาพรวมการแก้ปัญหาและรับมือกับโรคโควิด-19 รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในการเดินหน้าประเทศ หลังประชาชนได้รับวัคซีน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ร่วมพูดคุยในครั้งนี้ เพื่อคลายข้อสงสัยต่าง ๆ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเข้ารับการฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มแรก และเดินหน้าแจกจ่ายและทำการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงสูง ไปแล้ว 116,520 โดส ใน 13 จังหวัด มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 50,388 คน ทั้งนี้ รัฐบาลจะดำเนินการเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนที่มีคุณภาพและปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทุกคนโดยเร็วที่สุดตามแผนที่วางไว้ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันได้เปิดช่องทางให้ภาคเอกชนได้นำเข้าซึ่งจะต้องผ่านมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อน นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า ทุกคนต้องไม่ละเลยการป้องกันตัวเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่าง หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเทศกาลวันหยุดสงกรานต์ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงสถานการณ์ตลาดบางแค หรือ ตลาดสดบางแค ที่ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบคัดกรองเพิ่มเติมเพื่อนำไปสู่การรักษาต่อไป
ช่วงหนึ่งในรายการ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ ที่ร่วมกันเสียสละในการทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมขอบคุณประชาชนที่ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการรับมือกับโควิด-19 จนประเทศไทยได้รับการยอมรับอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกที่สามารถรับมือและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างดี ขอให้ทุกคนยังให้ความร่วมมือกันต่อไป และอดทนเพื่อให้ได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แบบ New Normal พัฒนาเดินหน้าประเทศไทยต่อไป อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่ประชุม ศบค. จะมีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ภายหลังเสร็จสิ้นรายการ นายกรัฐมนตรียังเดินออกมาร่วมพูดคุยและให้กำลังใจคณะรัฐมนตรีที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันนี้ โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้ารับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา เข็มที่ 2 ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ต่อไป
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
คำกล่าว ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน
คำกล่าว ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 3 มีนาคม 2564 เวลา 09.30 น.
เรียนท่านรัฐมนตรี
ท่านปลัดกระทรวง
ผู้มีเกียรติทุกท่าน
ตลอดจนสื่อมวลชนที่รัก
วันนี้ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ในวันนี้ รัฐบาลตระหนักดีถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ ที่รัฐบาลต้องการให้มีความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมทั้งขจัดความยากจนไปด้วย ซึ่งก็มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน วันนี้เราเน้นเฉพาะกลุ่มนี้ แต่กลุ่มอื่น ๆ นั้นเราจะใช้มาตรการอื่น ๆ ในของแต่ละกระทรวง เข้าไปดูแลตามความรับผิดชอบไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 นั้น จนถึงวันนี้รัฐบาลได้ประกาศมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย โครงการเราชนะ บรรเทาความเดือดร้อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมไปถึงการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งผู้ที่มีรายได้น้อย ดังนั้นวันนี้เรามาพร้อมกัน ณ ที่นี้อยู่หลายกระทรวงด้วยกัน และอาจจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่น ๆ อีกด้วย ผมพูดไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ในวีดิทัศน์ว่า เราคือทีมประเทศไทย ไม่มีสิ่งใดที่เราเอาชนะไม่ได้ ถ้าเราร่วมมือกัน รวมพลังความรักความสามัคคี ทุกอย่างเราแก้ได้หมดครับสำหรับประเทศไทย เพราะฉะนั้นขอฝากให้ทุกกระทรวงทุกหน่วยงานได้ดูแลช่วยเหลือ และสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิตามโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาล ให้พี่น้องกลุ่มคนที่ยังคงยากลำบากอยู่ ได้เข้าถึงสวัสดิการและการบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
เจตนารมณ์ของผมนั้น คือการสร้างโอกาสให้เข้าถึงการบริการของรัฐ จะเห็นว่ามีโครงการ มีแนวทาง มีแนวปฏิบัติใหม่ ๆ มากมายในวันนี้ ค่อย ๆ เดินหน้าไป อาจช้าบ้าง เร็วบ้าง มีปัญหาอยู่บ้าง ทุกอย่างต้องมีปัญหาในสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือสิ่งที่ทำมาน้อย แล้ววันนี้โลกเปลี่ยนแปลงเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี โลกแห่งดิจิทัล มีหลายอย่างที่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราผนึกกำลังกัน จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เราก็จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้โดยเร็ว และก็ทำอย่างยั่งยืน ยาวนานไปตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยยุทธศาสตร์กำหนดไว้ 6 ยุทธศาสตร์ วันหน้าอาจจะมี 7 มี 8 มี 9 ก็ได้ เป็นพื้นฐานเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่างานทุกงานของประเทศก็ครอบคลุมอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ชาติ ขึ้นอยู่กับวิธีการ หลักการปฏิบัติ แผนงานโครงการการบริหารราชการ ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดความยั่งยืน เพราะโครงการหลายโครงการนั้นเป็นโครงการทั้งทันที 1 ปี ปานกลาง 3 ปี และบางอย่าง 5 ปีขึ้นไป นั่นคือคำอธิบายง่าย ๆ เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ จะเห็นได้ว่าหลายอย่างเกิดขึ้นด้วยยุทธศาสตร์ชาติ ถนนหนทางเชื่อมต่อรถไฟ รถไฟฟ้า เหล่านี้เรียกว่าทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ อะไรที่เป็น Big Rock ก็คือเรื่องที่ใหญ่ ๆ เรื่องที่จำเป็น เรื่องที่สำคัญ ก็ทำก่อนนั่นคือแผนการปฏิรูป ต้องใช้เวลา เพราะเกี่ยวข้องอยู่หลายส่วนงานด้วยกัน ทั้งระเบียบราชการ ทั้งกฎหมาย ทั้งวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ข้อมูล ฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราเริ่มต้นมาทั้งสิ้น จนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราเดินหน้ามาถึงเรื่องนี้ ถ้าเราไม่เตรียมการงบประมาณหลายปีที่ผ่านมา จะทำไม่ได้
วันนี้ถือว่าทุกอย่างก้าวหน้ามาตามเป้าหมาย ตามห้วงเวลาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ เพราะฉะนั้นเรากำหนดไว้เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดความเสมอภาคทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม อันนี้คงไม่ใช่เฉพาะให้งบประมาณไปกับประชาชน ให้เงินยังชีพไป เราต้องพยายามที่จะพัฒนาหางานหาอาชีพ หารายได้ให้กับเขา ไม่ว่าจะกลุ่มเปราะบาง เฉพาะอย่างยิ่งผู้พิการ หรือผู้บกพร่องทางกายต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ต้องหาวิธีการดูแลเขาให้ได้ เมื่อวันก่อนในการประชุมคณะรัฐมนตรี มีการดูแลสังคมผู้สูงวัย เพราะเราเป็นประเทศที่มีประชาชนสูงวัยเพิ่มขึ้นในระบบ หลายปีต่อไปจากนี้ เนื่องจากมีการดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น ประชาชนเรียนรู้ว่าจะดูแลตัวเองได้อย่างไรในขั้นปฐมภูมิ คือดูแลตัวเอง ป้องกันตัวเองดีกว่าไปรักษา เป็นความทรมาน ใครเจ็บใครป่วยนาน ๆ ก็ทรมาน เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากไปตรงนั้นก็ต้องดูแลตัวเอง รัฐบาลก็พร้อมที่เต็มที่จะดูแลเรื่องสุขภาพ
เรามีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหา ส่งเสริม ในเรื่องของการดำเนินการต่าง ๆ โดยการประสานสอดคล้องกันกับทุกกระทรวง อย่างเช่นที่มาพร้อมกันในวันนี้ หลายกระทรวงด้วยกัน เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนนั้น เราต้องบูรณาการการช่วยเหลือของแต่ละหน่วยงาน แต่ละกระทรวง ทุกภาคส่วนให้ทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายคือเราจะขจัดความยากจนให้คนไทยอย่างไร ตามห้วงเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน แต่ละช่วงปีต่าง ๆ จะต้องก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ให้คนมีความพึงพอใจ พร้อมกับสร้างให้สังคมเรามีความสงบสุขไปด้วยกัน ถ้าสังคมไม่สงบสุขก็จะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ติดขัดไปหมด เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดผมขออย่างเดียว บ้านเมืองสงบสุข มีเสถียรภาพ เราจะได้มีโอกาสสร้างงาน จ้างงาน มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่จะต้องร่วมกันเป็นทีมประเทศไทยกับผมด้วย
การจัดพิธีลงนามฯ ในวันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เราจะได้เห็นการรวมพลังร่วมกันระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม เราก็เอามาตรการทุกมาตรการมาดูว่า วันนี้ทุกกระทรวงทำอะไรได้บ้าง และจะเอาอะไรมาเสริมตรงนี้ เรียกว่าการบูรณาการกัน ทั้งแผนเงิน แผนคน แผนงบประมาณ และการทำงานข้ามกระทรวง หารือร่วมกัน ไม่ไปละเมิดก้าวล่วงกฎหมายใด ๆ ของแต่ละกระทรวง ใช้กฎหมายของแต่ละกระทรวงให้เกิดประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด ถ้ากฎหมายไหนมีปัญหาก็แก้ไข ตามกระบวนการไป ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
นอกจากจะทำให้เขาสามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตแล้ว เราสามารถจะให้ทุกคนอยู่ในครอบครัวอย่างมีความสุข สังคมของเราคือสังคมไทย วัฒนธรรมไทย ลูก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ต่างกัน เป็นวัฒนธรรมของคนไทย เราจะทำให้สูญสลายไปไม่ได้ แต่ปัญหาคือว่าไม่สามารถจะดูแลซึ่งกันและกันได้ ต้องดูตรงนี้ว่า ทำอย่างไรให้พ่อแม่สามารถดูแลลูกได้จนโต จนจบ จนมีงานทำ เมื่อมีงานทำแล้วลูกกลับมาดูแลพ่อแม่ เราสลายความผูกพันตรงนี้ไปไม่ได้ เพราะเราคือคนไทย อาจจะไม่เหมือนต่างประเทศ อายุ 17-18 ก็ออกจากบ้านไปหางานทำ ไปหาบ้านเช่า ไม่เหมือนกันนะครับ นี่คือสังคมไทยซึ่งมีความเหนียวแน่น มีความรักมีความผูกพันตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ จนตาย เพราะนี่คือความเป็นคนไทย
วันนี้เราพูดถึงกลุ่มเปราะบาง พูดถึงผู้พิการ พูดถึงผู้ที่ยากจน ก็อยากจะบอกอีกข้างหนึ่ง รัฐบาลจะดูแลคนทุกกลุ่มทุกระดับ นี่คือ Sector หนึ่งของการดูแลที่เรียกว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อีก Sector หนึ่ง เราต้องจ้างงาน สร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ ขณะเดียวกันการที่เราจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ทุกคนมีความพึงพอใจ รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจใหม่ของเรา ก็คือการปฏิรูปเศรษฐกิจของเรา ที่เรามุ่งเน้นการส่งออก การท่องเที่ยว วันนี้ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในหลายพื้นที่ด้วยกัน ก็ขอทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำตรงนี้ เราจะมีเงินมาทำตรงนี้ได้อย่างไร นั่นคืองบประมาณภาครัฐที่เราได้มาทางเดียวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็จำเป็นต้องสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อให้เกิดรายรับกลับมาให้รัฐบาล ในการมาดูแลทุกงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ภาระของรัฐบาล ภาระของพวกเราทุกคนนั้นยิ่งใหญ่ ถ้าเราทำสำเร็จ ประเทศไทยเราก็จะพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้โดยเร็ว ขจัดความยากจน
หลายคนสงสัยว่าทำไมเอาของจีนมาเป็นตัวอย่าง เพราะจีนได้รับความชื่นชมในหลายเวทีต่างประเทศ เพราะแนวนโยบายที่เขาทำนั้นมีความถูกต้อง สามารถลดความยากจนได้หลายร้อยล้านคน หลายพันล้านคนในแต่ละปี ผมก็เอามาดูเอามาศึกษา ได้มีโอกาสพบกับท่านประธานาธิบดีจีน ท่านก็เสนอมาว่าพร้อมที่จะให้แนวทาง พร้อมจะให้วิธีปฏิบัติ ผมก็รับด้วยความขอบคุณ แต่เราจำเป็นต้องนำมาปรับ หลายอย่างเราทำอย่างเขาไม่ได้แน่นอน ด้วยหลายอย่างด้วยกัน หลายอย่างเราทำได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อยากให้เป็นการบังคับ อยากให้เป็นความสมัครใจ อยากให้ทุกคนอยู่ดีกินดี แต่ต้องร่วมมือกับรัฐอย่างไร หลายปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคนยากคนจน ที่มีคุณภาพชีวิตไม่ดีนัก อยู่ริมคลองเป็นพื้นที่บุกรุก ซึ่งแออัด เป็นแหล่งแพร่กระจายโรคต่าง ๆ
กลุ่มต่อมาที่ผมเป็นห่วงคือในส่วนของผู้เร่ร่อน เรามีศูนย์รับคนไร้ที่พึ่งทุกจังหวัด วันนี้ทราบว่ายอดประมาณ 2,000 เราตามเขาให้เข้ามาดูแลในศูนย์นี้ แต่ถึงเวลาเขาก็ออกไปได้อีก เพราะกฎหมายไม่สามารถให้เราไปควบคุมเขาได้ เพราะเขาออกไปข้างนอกแล้วเขามีรายได้จากคนไทย นิสัยคนไทยก็สงสาร อยากให้เงินอยากให้อะไรต่าง ๆ เราก็ต้องแก้กันต่อไป เพราะถ้าเขากลับไปหาครอบครัว บางทีครอบครัวเขาก็มีปัญหาดูแลไม่ไหว บางทีจิตใจเขาก็ไม่ปกติ เหล่านี้คือปัญหาจริง ๆ ผมพูดแบบนี้ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงของเรื่องเป็นอย่างไร ทำไมรัฐบาลถึงทำอย่างนี้ ทำไมรัฐบาลถึงทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างโน้น ถ้าทำแบบนี้ทั้งหมดก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง วันนี้เราค่อย ๆ ทำโครงสร้างขึ้นมา หาข้อมูลขึ้นมา Big Data ทำให้รวมกัน ใช้ประโยชน์ร่วมกัน สิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คือเราต้องสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจว่า จะเข้าถึงช่องทางเข้าถึงมาตรการของรัฐบาลได้อย่างไร สิทธิของเขามีอะไรบ้าง เราเคยพูดไปหลายครั้งแล้วแต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคม เพราะฉะนั้นก็เกิดปัญหามาโดยตลอด หลายคนก็ไม่ทราบ ถ้าขึ้นทะเบียนไปแล้วถ้าย้ายที่อยู่จะต้องแจ้งหรือไม่ ก็ต้องรู้ เมื่อไม่แจ้ง การส่งเงิน ส่งอะไรต่าง ๆ ก็จะมีปัญหาหมด เสร็จแล้วก็เป็นปัญหาออกไปสื่อ หาว่าเราไม่ดูแล เรื่องนี้ก็ขอเน้นย้ำหน่วยงานทั้งหมดให้ชี้แจงให้เขาเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่เราให้เขาไปแล้วนั้น นั่นคือสิทธิของท่าน อะไรต่าง ๆ ที่รัฐบาลต้องดูแล แต่เราต้องรักษาสิทธิของเขาให้ได้ด้วยตัวเอง หรือด้วยลูก ญาติพี่น้องทำให้ แทนให้ ไม่อย่างนั้นก็วุ่นไปหมด ก็มีคนส่วนหนึ่งที่มีปัญหา เพราะว่าเขาเข้าไม่ถึง เขาจะเข้าถึงสิ่งที่รัฐบาลทำให้ได้อย่างไร เช่น บางคนอยู่ที่นี่ ได้รับสิทธิประโยชน์ โอนเงินให้ แต่เมื่อย้ายจังหวัด ย้ายพื้นที่แล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ในบางครั้งก็ร้องมาว่าทำไมไม่ได้ ไม่มีใครทราบหรอกครับ ท่านต้องแจ้งว่าท่านอยู่ที่ไหน เป็นสิ่งสำคัญ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกมา รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังที่จะไปลดเงินตรงนี้เลย ถ้าท่านยังมีสิทธิอยู่ทุกคน มีสิทธิทุกคน ตราบใดที่ยังเป็นคนไทยอยู่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลยึดมั่นเสมอมา
อีกเรื่องหนึ่ง ผมพูดเพื่อทำความเข้าใจกับสื่อและทุกคนด้วย ช่วยกันขยายความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูป การดูแลคนทุกช่วงวัย และ 6 ยุทธศาสตร์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันว่าสำคัญอย่างไร สำคัญคือทำให้เกิดความยั่งยืน เท่านั้นเอง ไม่ใช่ทำแต่ 1 ปีเปิดงาน ปิดงาน มีคนรับประโยชน์ จบ ไม่ใช่ บางอันต้องสื่อสารไปอีก 3 ปีให้เขาเข้มแข็ง บางอันก็ไปถึง 5 ปี ในงานตรงนั้นในยุทธศาสตร์แต่ละหัวข้อ ถ้าต้องทำต่อ ก็ต่อไปช่วงที่ 2 – 3 – 4 ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่กันจนตาย แบบอย่างนี้ ๆ ไม่ใช่ โลกเปลี่ยนทุกวัน วันนี้ต่างประเทศเขาก็เห็นปัญหาอยู่ เหมือนกัน แล้วปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือความมั่นคง มีเสถียรภาพของบ้านเมืองของเรา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นั่นคือสิ่งที่ผมย้ำเสมอมา ขณะเดียวกันเรื่องการต่อต้าน การปราบปรามการทุจริต ต้องดำเนินการอย่างเข้มแข็ง เฉียบขาด ตามกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่ละเว้นทุกเรื่อง อันนี้เป็นสิ่งที่ผมย้ำเสมอกับทุกหน่วยงาน ทั้งในส่วนของรัฐบาล ในส่วนของคณะรัฐมนตรี และในส่วนของข้าราชการทุกหน่วยงาน
วันนี้ถือว่าพวกเรามาร่วมกันเป็นทีมประเทศไทย ทุกคนที่อยู่ที่นี่และไม่อยู่ที่นี่ คือทีมประเทศไทย คือครอบครัวของคนไทย 67 ล้านคนเราคือครอบครัวเดียวกัน ผมคิดว่าใช่ ผมรู้สึกอย่างนั้น เพราะผมต้องดูแลเขา ก็เหมือนทุกคนก็ดูแลครอบครัวของท่านแทนผมในแต่ละกระทรวง ทุกคนคือคนไทยทั้งสิ้น 67 ล้านคน ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการทำงานครั้งนี้และงานอื่น ๆ อีกด้วย การที่จะดูแลคนยากจนได้อย่างไร การพัฒนาเอสเอ็มอีอย่างไร การพัฒนา Start Up อย่างไร การพัฒนา EEC การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการตั้งโครงสร้างพื้นฐานให้ได้ก่อน แต่ทั้งหมดเริ่มด้วยสาธารณูปโภคที่เพียงพอ จากนั้นจะได้ดูแลคนได้ การขยับขยายย้ายที่อยู่ เพราะเห็นใจคนที่มีรายได้น้อย คนยากจน จะเห็นว่าเราทำหลายโครงการมา ไม่ว่าจะริมคลองต่าง ๆ จะทำต่อไป ไปอยู่ในที่ที่ดี ที่ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ลูกหลานภูมิใจ ก็ขอความร่วมมือเท่านั้นเอง เราต้องไปด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน เข้าใจถึงเจตนารมณ์เข้าใจถึงความปรารถนาดีของพวกเรา ดีกว่าที่จะไปหาในเรื่องที่เล็ก ๆ น้อย ๆ มาตำหนิติติงจนภาพใหญ่เสียหาย นั่นคือสิ่งที่ผมขอร้องกับทุกท่านเสมอมา ก็ฝากไว้ด้วย ผมรับทุกอย่าง จะดีหรือไม่ดีผมก็ต้องรับมาแก้ไข ถ้าดีอยู่แล้วผมก็ขอบคุณ ถ้ายังไม่ดีก็รับมาแก้ไข มาย้ำเตือน มาสนับสนุน มาช่วยเหลือ นี่คือคำว่าทีมแห่งประเทศไทย สำหรับคนไทยเรียกว่าครอบครัวประเทศไทย
ท้ายที่สุดนี้ขอขอบคุณทุกกระทรวง ที่มาร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อร่วมกันสนับสนุน ขับเคลื่อน และบูรณาการการร่วมมือต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเร็วที่สุด เพื่อจะดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวันนี้ และในเรื่องที่ผมกล่าวเพิ่มเติมไป คือการดูแลคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ ต้องทำโครงสร้างต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ เกษตรกรก็เป็นผู้มีความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่าเราจะปรับต้นทางอย่างไร ปลูกพืชอย่างไร น้ำมากน้ำน้อยจะทำอย่างไร เราไม่สามารถจัดน้ำได้ทุกพื้นที่แน่นอน ในพื้นที่เขตชลประทาน ด้วยความแตกต่างของภูมิประเทศ และปริมาณฝนวันนี้ตกน้อยลงทุกปี ๆ เราต้องเตรียมการในเรื่องส่วนนี้ ราคาสินค้าของเราทำไมราคาสูง ต้องดูที่ปลายทางภายในของเรา แต่เมื่อส่งออกไปต่างประเทศ ราคาสู้เขาไม่ได้ นั่นคือปัญหา เราต้องดูประเทศอื่น ๆ ด้วย แต่ไม่ใช่เราไม่เก่งเท่าเขา เราดูแลคนทุกคนในช่วงการผลิต ตั้งแต่ก่อนการเพาะปลูก เพาะปลูกเสร็จ ดูแลในเรื่องของการตลาด เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือแล้วเราจะทำอย่างไรกับราคาส่งออก ราคาส่งไปแข่งขันของเรา นั่นคือการบ้านสำคัญของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เราต้องปรับปรุงทุกระบบของเราให้ดีขึ้น ทั้งส่วนงานฟังก์ชัน งานบูรณาการ และงานในส่วนที่ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล ขอขอบคุณอีกครั้ง ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างให้กับท่าน นี่คือคำสัญญา ลงนามนี่คือคำสัญญา แล้วคำสัญญาของผม ผมจะทำให้ดีที่สุด ในขีดความสามารถที่ผมมีอยู่ และผมก็มีกำลังใจที่จะทำอยู่ด้วยความศรัทธาของผมเอง เพราะผมทำเพื่อประเทศไทยต้องสำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ ผมก็ต้องรับผิดชอบ แต่ต้องดูว่าเป็นธรรมกับผมหรือไม่ ผมทำอะไรมากน้อยเพียงใดอย่างไร ขอบคุณทุกท่านนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขสวัสดี ปลอดภัย และเฝ้ามองสิ่งดี ๆ ที่เราจะทำให้ประชาชน ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ให้คนมีความพึงพอใจ มีความสุข ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญไปด้วยกัน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผนึกความร่วมมือจีนพัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซเพิ่มศักยภาพเกษตรกร | วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564
ผนึกความร่วมมือจีนพัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซเพิ่มศักยภาพเกษตรกร
“เฉลิมชัย” เร่งเครื่องโมเดล "เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด" ผนึกความร่วมมือจีนพัฒนาเกษตรอัจฉริยะและอีคอมเมิร์ซเพิ่มศักยภาพเกษตรกร ขยายส่งออกด่านใหม่ "ตงชิง-ผิงเสียง" “อลงกรณ์” เผยจีนพร้อมส่งเสริมการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารในไทย
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังจากนายหวังลี่ผิง(Mr. Wang Liping)อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและคณะเข้าเยี่ยมคารวะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทย-จีนเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดียิ่งได้แก่ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและผู้ประกอบการ(Entrepreneurship Development)การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะ(Smart Farming)ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่การพัฒนาเส้นทางขนส่งสินค้าทางรถไฟเชื่อมระหว่างไทย-ลาว-จีนและไทย-เวียดนาม-จีนการขยายความร่วมมือด้านตลาดอีคอมเมิร์ซในจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่อาทิJD Alibaba (TAPBAO Tmall) LazadaและShopeeเป็นต้น
รวมทั้งความร่วมมือในโครงการนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารซึ่งขณะนี้มี8กลุ่มจังหวัดที่เริ่มและอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการเพื่อรองรับการลงทุนจากผู้ประกอบการจีนเช่นนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า60%โดยฝ่ายจีนยืนยันพร้อมสนับสนุนการลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมเกษตรอาหารและยังเสนอที่จะสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรและผู้ประกอบการเช่นการศึกษาดูงานของผู้นำเกษตรกรไทยในจีนการศึกษาดูงานด้านเกษตรกรอัจฉริยะการสัมมนาการจับคู่ผู้ประกอบการโครงการฝึกอบรมฯลฯและฝ่ายไทยได้นำเสนอโครงการความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรวมทั้งลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงและส่งเสริมกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนปัจจุบันกระทรวงเกษตรฯได้รับงบสนับสนุนดำเนินโครงการแล้วทั้งหมด7โครงการในวงเงินราว60ล้านบาทและครั้งล่าสุดเมื่อปี2563ได้เสนอโครงการจำนวน8โครงการโดยกระทรวงเกษตรฯพร้อมให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือนี้และพร้อมที่จะดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกทุกประเทศเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่ออนุภูมิภาคนี้อย่างเป็นรูปธรรมทั้งนี้จะหารือต่อเนื่องในการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรไทย–จีนครั้งที่12ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีกำหนดการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯในช่วงเดือนมิถุนายน2564ผ่านระบบออนไลน์
นายอลงกรณ์กล่าวว่าจีนเป็นพันธมิตรและคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยโดยในปี2563ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนเป็นมูลค่ากว่า6หมื่นล้านบาทแม้จะเผชิญกับสถานการณ์COVID – 19ซึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ผ่านมาคือความร่วมมืออย่างดียิ่งระหว่างไทยกับจีนและการทำงานภายใต้โมเดล“เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”ระหว่างกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ตามนโยบายร่วมระหว่างนายจุรินทร์ลักษณวิศิษฐ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯตลอดจนการพัฒนาระบบผลิตจนถึงผู้บริโภคด้วยนโยบาย “เกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย”สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วยมาตรฐานGAP, GMP, Organic, HalalและQเป็นต้นรวมทั้งคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ซึ่งมีดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานได้กำหนดแนวทางบริหารจัดการผลไม้ปี2564 – 2566เพื่อเป็นกรอบในการทำงานเน้นการเทคโนโลยีมากขึ้นในยุค4.0และในสถานการณ์การระบาดของโรคCOVID – 19ตลอดห่วงโซ่การผลิตเพื่อผู้บริโภคได้รับประทานผลไม้ที่มีคุณภาพปลอดภัยและรสชาติอร่อยและได้มีการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ไทยอาทิระบบการตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability)จากฟาร์มถึงผู้บริโภคการส่งเสริมการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์(O2O model)การพัฒนาการอำนวยความสะดวก(Facilitation)บริเวณด่านส่งออก4ด่านได้แก่ด่านโมฮ่านด่านโหยวอี้กวนด่านตงชิงและด่านผิงเสียงขณะนี้กระทรวงเกษตรฯโดยคณะกรรมการโลจิสติกส์เกษตร(Logistic)ที่มีนายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรเป็นประธานกำลังจัดทำแผนพัฒนาเส้นทางขนส่งทางรถไฟโดยจะเชื่อมระหว่างไทย-ลาว-จีนและไทย-เวียดนาม-จีน
สำหรับสถิติการส่งออกผลไม้สดไปจีนปี2563มีดังนี้ปริมาณรวม1,624,000ตันมูลค่า102,800ล้านบาทโดยผลไม้ที่มีปริมาณการส่งออกไปจีน5อันดับแรกคือ1.ทุเรียน620,000ตันมูลค่า66,000ล้านบาท2.ลำไย378,000ตันมูลค่า14,400ล้านบาท3.มังคุด287,000ตันมูลค่า15,700ล้านบาท4.มะพร้าวอ่อน270,000ตันมูลค่า4,900ล้านบาทและ5.ขนุน22,700ตันมูลค่า400ล้านบาทในส่วนของทุเรียนเป็นผลไม้สดที่จีนนำเข้ามากที่สุดในปี2563คิดเป็น23%ของปริมาณการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทั้งหมดของจีนโดยไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่จีนอนุญาตให้นำเข้าผลทุเรียนสด
“ประเทศไทยสามารถขยายการส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตรผ่านด่านตงซิงและด่านผิงเสียงที่เปิดใหม่ได้ช่วยลดปัญหาและอุปสรรคการขนส่งสินค้าไปจีนและช่วยขยายความร่วมมือการค้าของทั้งสองประเทศและหากสามารถเปิดในรูปแบบGreen laneตรวจปล่อยสินค้าบริเวณด่านการค้าพิเศษและเขตฟรีโซนหนานหนิงจะทำให้การขนส่งผลไม้จากไทยไปจีนเป็นไปอย่างรวดเร็วผู้บริโภคได้รับประทานผลไม้ที่มีคุณภาพจึงได้ขอให้ฝ่ายจีนติดตามความก้าวหน้าการอนุญาตนำเข้าผลไม้ไทยผ่านด่านใหม่หากสามารถเปิดดำเนินการได้โดยเร็วจะลดความแออัดบริเวณด่านโหย่วอี้กวนในช่วงฤดูกาลการส่งออกทุเรียนของปีนี้”นายอลงกรณ์กล่าว
ท้ายที่สุดที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอขอบคุณฝ่ายจีนที่มาหารือพูดคุยกันในครั้งนี้ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้หารือในความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 เตือนแรงงานต่างด้าว เร่งตรวจโควิด และจัดเก็บอัตลักษณ์ ก่อน 16 เมษา 64 หลังพบดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วเพียงร้อยละ 3.9 | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
จับกัง1 เตือนแรงงานต่างด้าว เร่งตรวจโควิด และจัดเก็บอัตลักษณ์ ก่อน 16 เมษา 64 หลังพบดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วเพียงร้อยละ 3.9
ก.แรงงาน เผย ตัวเลขแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติครม.วันที่ 29 ธันวาคม 2563 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว ร้อยละ 32.07 ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว ร้อยละ 3.9 ได้รับอนุญาตทำงานแล้ว ร้อยละ 3.9 จากแรงงานต่างด้าวที่ลงทะเบียน 654,864 คน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างยิ่ง ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานซึ่งมีหน้าที่ กำกับ ดูแล การจ้างแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตรวจสอบและรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
“สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ธันวาคม 2563 โดยข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2564 มีแรงงานต่างด้าวลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ (15 ม.ค. – 13 ก.พ. 64) จำนวน 654,864 คน แยกเป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 203,679 คน ลาว 67,108 คน และเมียนมา 384,077 คน คนต่างด้าวได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อ จำนวน 599,201 คน หรือร้อยละ 91.5 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) จำนวน 209,985 คน หรือร้อยละ 32.07 ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 25,546 คน หรือร้อยละ 3.9 และได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) จำนวน 25,536 คน หรือร้อยละ 3.9 โดยขณะนี้ระยะเวลาที่กำหนดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ พาแรงงานต่างด้าวไปจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) และตรวจหาเชื้อโควิด-19 เหลืออีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งหากไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 16 เมษายน 2564 และดำเนินการต่อในขั้นตอนถัดไปตามระยะเวลาที่กำหนด จะทำให้มีสถานะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา และผู้ติดตาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 สามารถเข้ารับการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กับสถานพยาบาลหรือหน่วยงานอื่นตามรายชื่อห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจ SAR-CoV-2 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศ ซึ่งสถานพยาบาลหรือหน่วยงานอื่นดังกล่าวได้ทำข้อตกลงกับสถานพยาบาลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแล้ว และในส่วนการดำเนินการอื่นเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564
“ กรมการจัดหางาน ขอย้ำเตือน คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง เร่งนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ (เป็นระยะเวลา 2 ปี) พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 โดยอย่ารอดำเนินการช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลา เนื่องจากเดือนเมษายนมีวันหยุดตามเทศกาลสงกรานต์ติดต่อกันหลายวัน ซึ่งอาจทำให้นายจ้างและแรงงานต่างด้าวเองติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกในการดำเนินการ ทั้งนี้ ในส่วนการตรวจโรคต้องห้ามหากมีเหตุให้ดำเนินการไม่ทัน ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ให้ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ไม่เกินวันที่ 18 ตุลาคม 2564” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สามารถสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40100 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี “อนุทิน” นำคณะติดตามภารกิจการพัฒนาศักยภาพด้านสาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ เปิดงาน อสม.แห่งชาติ ย้ำ อสม. คือกำลังสำคัญ ยกระดับภารกิจดูแลสุขภาพคนทั้งประเทศให้ดีขึ้น | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
รองนายกรัฐมนตรี “อนุทิน” นำคณะติดตามภารกิจการพัฒนาศักยภาพด้านสาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ เปิดงาน อสม.แห่งชาติ ย้ำ อสม. คือกำลังสำคัญ ยกระดับภารกิจดูแลสุขภาพคนทั้งประเทศให้ดีขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี “อนุทิน” นำคณะติดตามภารกิจการพัฒนาศักยภาพด้านสาธารณสุข จ.ศรีสะเกษ เปิดงาน อสม.แห่งชาติ ย้ำ อสม. คือกำลังสำคัญ ยกระดับภารกิจดูแลสุขภาพคนทั้งประเทศให้ดีขึ้น พร้อมเชิญชวนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สร้างภูมิคุ้มกันให้ปฏิบัติหน้าที่ปลอดภัย
วันที่ 20 มี.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 19-20 มี.ค. 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเพื่อเยี่ยมเยือนประชาชน และตรวจราชการติดตามภารกิจด้านการสร้างเสริมพัฒนาศักยภาพการสาธารณสุข
รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลศรีสะเกษ พร้อมกับเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. แห่งชาติ จังหวัดศรีสะเกษและเขตสุขภาพที่10และงานวัน อสม. แห่งชาติ อำเภออุทุมพรพิสัย ประจำปี 2564รวมถึงตรวจเยี่ยมและเปิดคลินิก ได้ประชุมและมอบนโยบายสาธารณสุขร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลกันทรลักษ์
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการเป็นประธานในพิธีเปิดงาน อสม. แห่งชาติ จังหวัดศรีสะเกษว่า อสม. เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ เป็นกลไกที่ช่วยให้การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจนได้รับความชื่นชมจากต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถขยายการทำงานไปสู่ภารกิจดูแลสุขภาพของประชาชนไปถึงระดับหมู่บ้านในด้านอื่น ๆ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งประเทศ และรองนายกรัฐมนตรียังได้ขอบคุณ อสม. ที่เสียสละมาทำงานเพื่อส่วนรวม
“นอกจาก อสม. ในจังหวัดศรีสะเกษแล้ว เนื่องในวัน อสม.แห่งชาติซึ่งตรงกับวันที่ 20 มีนาคมของทุกปีนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ขอบคุณและชื่นชมการทำงานของ อสม. ทุก ๆ คนที่ร่วมกันดูแลพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง และขอให้ร่วมมือกันทำงานเช่นนี้เพื่อดูแลสุขภาพของคนไทยให้ดียิ่งขึ้นอีก พร้อมกับได้เชิญชวน อสม. รวมถึงบุคลากรที่ทำงานด่านหน้ารับมือกับโรคระบาดทุกคนเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและปฏิบัติภารกิจได้อย่างปลอดภัย”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40173 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเตือนอันตรายจากผู้ไม่หวังดีหลอกทำใบอนุญาตขับรถปลอม สูญเสียเงิน เอกสารสำคัญ และมีความผิดตามกฎหมาย | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางบกเตือนอันตรายจากผู้ไม่หวังดีหลอกทำใบอนุญาตขับรถปลอม สูญเสียเงิน เอกสารสำคัญ และมีความผิดตามกฎหมาย
นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ตรวจสอบพบการโฆษณาในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ไม่หวังดีแอบอ้างว่าสามารถจัดหาใบอนุญาตขับรถปลอมให้ประชาชนได้โดยไม่ต้องอบรมหรือทดสอบ
โดยพบว่ามีการเรียกเก็บเงินจำนวนมาก ขบ. จึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่าการโฆษณาดังกล่าวเป็นการหลอกลวงประชาชน และได้ให้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับมิจฉาชีพที่มีพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับใบอนุญาตขับรถทุกชนิดต้องเป็นไปตามระเบียบที่ ขบ. กำหนดและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถต้องดำเนินการด้วยตนเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบเอกสาร การทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย การอบรม การทดสอบข้อเขียน และการทดสอบขับรถ โดยมีค่าธรรมเนียมตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นหากประชาชนพบการแอบอ้างอาสาดำเนินการแทน หรือแอบอ้างว่าสามารถทำใบอนุญาตขับรถให้ได้โดยไม่ต้องติดต่อด้วยตนเองไม่ต้องผ่านการทดสอบใด ๆ ผู้ที่หลงเชื่อเสี่ยงสูญเสียเงินเมื่อจ่ายไปแล้วมิจฉาชีพมักเงียบหาย สูญเสียเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประจำตัวประชาชนซึ่งอาจถูกนำไปแอบอ้างทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย หรือนำไปใช้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ได้รับใบอนุญาตขับรถปลอมที่ไม่ได้ออกโดย ขบ. หากนำใบอนุญาตขับรถปลอมดังกล่าวไปใช้จะมีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใช้เอกสารปลอม ดังนั้น ขอให้ประชาชนตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสาร หากเผยแพร่โดยบัญชีที่ไม่คุ้นเคยหรือเป็นบุคคลธรรมดาให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือสอบถามมายัง ขบ. ได้โดยตรง
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ใบอนุญาตขับรถที่ออกโดย ขบ. ปัจจุบันเป็นแบบ Smart card ตัวบัตรเคลือบด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรม มีแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรป้องกันการปลอมแปลง และมีเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด (QR Code) สามารถแสดงใบอนุญาตขับรถอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT QR License ทั้งนี้ ในส่วนของการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถทุกชนิด ทั้งการขอใหม่และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ขบ. มีบริการจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เลือกสำนักงานขนส่ง วันที่ และเวลาที่สะดวกได้ด้วยตนเอง และสำหรับการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถอบรมภาคทฤษฎีออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com เพื่อนำผลผ่านการอบรมมาติดต่อที่สำนักงาน เพิ่มความสะดวกลดขั้นตอนและลดระยะเวลาในการติดต่อ ดังนั้น ประชาชนอย่าหลงเชื่อหากมีผู้ใดแอบอ้างอาสาดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถให้โดยเด็ดขาด หากพบเห็นบุคคลใดมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจหรือได้รับการติดต่ออาสาดำเนินการแทน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อให้ความช่วยเหลือได้ หรือโทรสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39732 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุนสมาคมนักวิทยุอาสาสมัคร VRA จัดโครงการพัฒนา-ฝึกอบรมฯ สร้างเครือข่ายกว่า 1000 คนทั่วประเทศ เน้นสื่อสารในภาวะฉุกเฉินช่วยงานภาครัฐ | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ดีอีเอส หนุนสมาคมนักวิทยุอาสาสมัคร VRA จัดโครงการพัฒนา-ฝึกอบรมฯ สร้างเครือข่ายกว่า 1000 คนทั่วประเทศ เน้นสื่อสารในภาวะฉุกเฉินช่วยงานภาครัฐ
ดีอีเอส หนุนสมาคมนักวิทยุอาสาสมัคร VRA จัดโครงการพัฒนา-ฝึกอบรมฯ สร้างเครือข่ายกว่า 1000 คนทั่วประเทศ เน้นสื่อสารในภาวะฉุกเฉินช่วยงานภาครัฐ
เมื่อวันที่9มีนาคม2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมหารือสมาคมนักวิทยุอาสาสมัครVRAในโอกาสขอเข้าพบเพื่อนำเสนอและขอคำแนะนำสนับสนุนโครงการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานวิทยุสมัครเล่นอาสาสมัครสื่อสารฉุกเฉินในสังกัดกสทช.ณห้องประชุม801สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการพัฒนาและฝึกอบรมฯดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตพนักงานวิทยุสมัครเล่นอาสาสมัครเพื่อการสื่อสารในภาวะฉุกเฉินจำนวน1000คน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ
*************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39789 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” พอใจ ”มกอช.” เปิดตลาดจิ้งหรีดในเม็กซิโกสำเร็จ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
“เฉลิมชัย” พอใจ ”มกอช.” เปิดตลาดจิ้งหรีดในเม็กซิโกสำเร็จ
อีกความก้าวหน้าของนโยบายฮับแมลงโลกเจาะตลาด 3 หมื่นล้าน “เฉลิมชัย” พอใจ ”มกอช.” เปิดตลาดจิ้งหรีดในเม็กซิโกสำเร็จ “อลงกรณ์” เผยญี่ปุ่นสนใจพร้อมนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดผงของไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (24 มี.ค.) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบายให้ประเทศไทยเป็นฮับแมลงโลกโดยมีเป้าหมายในการพัฒนาตั้งแต่การผลิต การแปรรูปและการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เพื่อสนับสนุนฟาร์มจิ้งหรีด และอุตสาหกรรมอาหารใหม่ (Novel Food)ในการเจาะตลาดโลก 3 หมื่นล้าน โดยจิ้งหรีดและแมลงอีกหลายชนิดเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าสนใจและเป็นโปรตีนทางเลือกที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)ให้การสนับสนุนเพื่อสร้างรายได้แก่ประเทศและเกษตรกรของไทย ล่าสุดกระทรวงเกษตรฯ ประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดเม็กซิโก และกลุ่มบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นก็สนใจและประสานงานมาเพื่อขอหารือเรื่องการนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดผงของไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตรกำลังขยายการส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดโดยมีฟาร์มจิ้งหรีดกว่า 2 หมื่นฟาร์ม และมีบริษัทสตาร์ทอัพหลายบริษัทที่ทำการแปรรูปจิ้งหรีดทั้งแบบผงและแบบเต็มตัว
นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เม็กซิโกได้ประกาศอนุญาตการนำเข้าผลิตภัณฑ์ผงแป้งจิ้งหรีด (Cricket flour)จากประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เม็กซิโกได้ขยายขอบข่ายสินค้าที่อนุญาตการนำเข้าเพิ่มเติมอีก 2 รายการ ได้แก่ จิ้งหรีดปรุงสุก (Cooked cricket) และจิ้งหรีดแช่แข็ง (Frozen cricket) โดยได้ประกาศข้อกำหนดด้านสุขอนามัยสัตว์ (Zoosanitary Requirement Sheet หรือ HRZ) สำหรับการนำเข้าบนเว็บไซต์ทางการของ SENASICA ถือเป็นความสำเร็จของการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าแมลงของโลก หรือ “ฮับแมลงโลก” และเป็นผู้ส่งออกสินค้าจิ้งหรีดหลักของโลก ช่วยสร้างรายได้แก่ประเทศและเกษตรกรของไทย
ทั้งนี้ มกอช. เล็งเห็นถึงโอกาสทางการตลาดของจิ้งหรีดในการเป็นอาหารยุคใหม่ของประชากรโลก และศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตและแปรรูปจิ้งหรีดป้อนตลาดโลก จึงได้ผลักดันการเปิดตลาดใหม่และขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีด เม็กซิโกเป็นตลาดใหม่ตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากชาวเม็กซิกันนิยมบริโภคแมลงในรูปแบบที่หลากหลาย มีการยอมรับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากแมลงที่สูงที่สุดในโลก และมีอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจำนวนมาก จึงมีความต้องการนำเข้าจิ้งหรีดเพื่อบริโภคและใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปต่อเนื่องเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ โปรตีนสกัดเข้มข้น โปรตีนบาร์ เส้นพาสต้า ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต
มกอช. จึงร่วมกับกรมปศุสัตว์ ผลักดันการเปิดตลาดจิ้งหรีดเม็กซิโก โดยจัดทำข้อมูลทางเทคนิคและเจรจากับสำนักงานแห่งชาติด้านสุขอนามัยความปลอดภัยและคุณภาพของการเกษตรและอาหาร (Servicio Nacional de Sanidad, Inocuidady Calidad Agroalimentaria หรือ SENASICA) ของเม็กซิโก จนทำให้เม็กซิโกมีความเชื่อมั่นและให้การยอมรับระบบการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของการผลิตจิ้งหรีดตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงโรงงาน รวมทั้งมาตรการด้านสุขอนามัยและกระบวนการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนการส่งออกของประเทศไทย และเปิดตลาดอนุญาตการนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจากประเทศไทยในที่สุด โดยผลิตภัณฑ์ที่เม็กซิโกอนุญาตนำเข้า ได้แก่ จิ้งหรีดผง จิ้งหรีดปรุงสุก และ จิ้งหรีดแช่แข็ง ซึ่งต้องผลิตจากจิ้งหรีดสายพันธุ์ Acheta domesticus หรือที่เรียกในประเทศไทย คือ จิ้งหรีดบ้าน หรือ สะดิ้ง หรือ ทองแดงลาย เท่านั้น
โดยผู้ที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดไปยังเม็กซิโกต้องดำเนินการตามข้อกำหนด ดังนี้ (1) ผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจะต้องผลิตจากจิ้งหรีดที่เลี้ยงในฟาร์มที่ได้การรับรองมาตรฐาน “การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด หรือ มกษ. 8202-2560” โดยเกษตรกรขอการรับรองได้ที่กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด (2) ผลิตภัณฑ์จะต้องมีแหล่งกำเนิดในประเทศไทย (3) โรงงานแปรรูปจะต้องผ่านการตรวจรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่ามีกระบวนการแปรรูปให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภคของมนุษย์ และมีความสอดคล้องกับกฎระเบียบของเม็กซิโก ได้แก่ มีการนำหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Hygienic practice: GHP) ไปปฏิบัติใช้ตลอดกระบวนการผลิต และมีมาตรการป้องกันผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนของโปรตีนของสัตว์เคี้ยวเอื้องหรือจากแมลงชนิดอื่นที่ไม่ใช่จิ้งหรีด (4) ก่อนการส่งออกจะต้องยื่นขอใบรับรองสุขอนามัย (Health certificate) กับกรมปศุสัตว์ เพื่อใช้แสดงประกอบการนำเข้า ณ ด่านนำเข้าของเม็กซิโก และ (5) สินค้าต้องนำเข้าผ่านด่านที่กำหนดเท่านั้น (ด่านนำเข้าสำหรับสินค้าที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิปกติ จำนวน 16 ด่าน และสินค้าแช่เย็นจำนวน 9 ด่าน)
“มกอช. ได้เสริมสร้างศักยภาพแก่เกษตรกรผู้ผลิตจิ้งหรีดของไทยเข้าสู่ระบบมาตรฐานมาอย่างต่อเนื่องโดยการอบรมให้ความรู้ทางเทคนิคแก่เกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่จิ้งหรีด เกี่ยวกับข้อกำหนดตาม มกษ. 8202-2560 คู่มือการตรวจประเมิน ขั้นตอนการยื่นขอการรับรอง การจัดทำคู่มือปฏิบัติงานประจำฟาร์ม และการจดบันทึกข้อมูลในแบบฟอร์มฯ เพื่อให้เกษตรกรมีความพร้อมในการยื่นขอการรับรองมาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีดจากกรมปศุสัตว์ นอกจากนี้ ปัจจุบัน มกอช. ได้ขยายการส่งเสริมให้ความรู้ไปยังเกษตรกรกลุ่มอื่นและเกษตรกรรายย่อยเพื่อส่งเสริมอาชีพเลี้ยงจิ้งหรีดและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และผลกระทบจากภัยแล้งและการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การเปิดตลาดผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดไปเม็กซิโกได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมจิ้งหรีดและแมลงกินได้ของไทยเข้าสู่ตลาดมาตรฐานสูงที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องความปลอดภัยอาหารตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่มาตรฐานการเพาะเลี้ยง การแปรรูป ไปจนถึงการส่งออก และเป็นใบเบิกทางสำหรับต่อยอด การการขยายตลาดและขอบเขตผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับจิ้งหรีดและแมลงประเภทอื่นที่มีศักยภาพเพิ่มเติมไปยังเม็กซิโก ซึ่งเป็นประตูสู่ภูมิภาคละตินอเมริกาที่มีการยอมรับการบริโภคสินค้าแมลงกินได้ในระดับสูง และนำไปสู่การขยายตลาดไปในภูมิภาคอเมริกาเหนือต่อไปได้ในอนาคต” เลขาธิการ มกอช.กล่าว
สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจจะส่งออกจิ้งหรีดไปเม็กซิโก สามารถขอการรับรองมาตรฐานฟาร์มและขอใบรับรองสุขอนามัยได้ที่ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด กรมปศุสัตว์ หรือสอบถามข้อมูลกฎระเบียบการนำเข้าจิ้งหรีดของเม็กซิโกได้ที่ กองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ โทร 02-561-2277 ต่อ 1307 และ 1326
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40293 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล พร้อมลุย สร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นฤมล พร้อมลุย สร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
รมช.แรงงาน แถลงความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และ โทรคมนาคมแห่งชาติ พัฒนาศักยภาพแรงงาน สร้างพลเมืองดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
วันที่ 22 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการทรวงแรงงาน แถลงว่า การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิดความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะด้านแรงงาน ซึ่งหนึ่งในความท้าทายของประเทศไทยคือ การพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การเข้าสู่ยุคดิจิทัลและอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทย ได้เร่งให้เกิดธุรกิจและอาชีพใหม่ ซึ่งส่งผลให้คนทำงานในอนาคตจำเป็นต้องมีทักษะใหม่ด้วยเช่นกัน จึงมีความจำเป็นในการพัฒนาทักษะแรงงาน ทั้งการ Reskill และ Upskill อย่างเร่งด่วน ให้แรงงานมี Future Skill เพื่อรองรับ Future work สอดรับกับนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นพัฒนากำลังคนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ ทำให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณค่า และรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการผลิต บริการที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีแผนพัฒนากำลังคน ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม และเชื่อมโยงความร่วมมือพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลให้รองรับความต้องการภาคเอกชน ซึ่งในวันนี้เราได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ในการยกระดับทักษะด้านดิจิทัล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการใช้เทคโนโลยี โดยไมโครซอฟท์สนับสนุนองค์ความรู้ด้านทักษะเชิงดิจิทัลในระดับพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการฝึกอบรมรูปแบบออนไลน์ มุ่งยกระดับทักษะเชิงดิจิทัลเพื่อแรงงานไทย เพิ่มโอกาสในการจ้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างพลเมืองดิจิทัล เพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันไมโครซอฟท์ได้มอบหลักสูตรเกี่ยวกับทักษะเชิงดิจิทัล ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน การใช้งานโปรแกรมสำนักงานยุคใหม่ ทักษะดิจิทัลสำหรับผู้เริ่มต้นและธุรกิจยุคใหม่ ให้บริการผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หัวข้อ ฝึกอบรมทักษะออนไลน์ (Online Training) และยังมีแผนพัฒนาหลักสูตรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะได้จัดฝึกอบรมการใช้งานไมโครซอฟท์ ทีมส์ ให้แก่ผู้บุคลากรฝึกของ กพร. หน่วยฝึกทั้งประเทศ 82 แห่ง โดยมุ่งหวังให้บุคลากรฝึกของ กพร. นำไปขยายผลฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กำลังแรงงานในพื้นที่ต่อไป
นอกจากนี้ กพร. ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการซิมการ์ดพัฒนาฝีมือแรงงานออนไลน์ เพื่อให้ผู้ลงทะเบียนฝึกอบรมออนไลน์กับ กพร. สามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตในราคาย่อมเยา ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40236 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! ขึ้นทางด่วนฟรีช่วงวันจักรี – สงกรานต์’64 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
เฮ! ขึ้นทางด่วนฟรีช่วงวันจักรี – สงกรานต์’64
...
แจ้งข่าวดีครับ! ช่วงหยุดยาวเดือน เม.ย. นี้ ประชาชนสามารถขึ้นทางด่วนได้ฟรีในวันจักรีและช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ดังนี้
.
6 เม.ย. 64 (วันจักรี) และ 13 – 15 เม.ย. 64 (เทศกาลสงกรานต์)
- ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1)
- ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2)
- ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน - ปากเกร็ด)
.
สำหรับทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ประชาชนสามารถใช้บริการได้ฟรีถึง 8 วันเต็ม (9 – 16 เม.ย. 64) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. - 24.00 น.
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40217 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย 3 วันฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 7,262 ราย มีระบบติดตามอาการต่อเนื่อง | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
สธ.เผย 3 วันฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 7,262 ราย มีระบบติดตามอาการต่อเนื่อง
กระทรวงสาธารณสุขเผยยังเฝ้าระวังโควิด 19 ทั่วประเทศ ทั้งในสถานพยาบาลและนอกสถานพยาบาลแม้สถานการณ์การระบาดดีขึ้น ส่วนวัคซีนโควิด 19 ฉีดสะสม 3 วันรวม 7,262 ราย เบื้องต้นรายงานอาการไม่พึงประสงค์ 20 ราย ส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยอักเสบที่ฉีด เหนื่อย ปวดเมื่อย
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 35 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 17 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 8 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต รักษาหาย 63 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมในระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 3 มีนาคม 2564 จำนวน 21,871 ราย รักษาหายสะสม 21,306 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.42 เสียชีวิตสะสม 24 ราย อยู่ระหว่างรักษา 541 ราย โดยผู้ติดเชื้อในประเทศวันนี้จำนวน 35 ราย พบใน 5 จังหวัด ได้แก่ กทม. ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า จากการสอบสวนควบคุมโรคกรณีที่เชื่อมโยงกับตลาด จ.ปทุมธานี พบผู้ติดเชื้อ 676 ราย ร้อยละ 90 สัมผัสกับผู้ติดเชื้อเดิม ส่วนใหญ่เป็นผู้ขายของที่ตลาดและลูกจ้าง ทั้งนี้ จากการดำเนินการในหลายมาตรการ ตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและค้นหาเชิงรุก แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดน้อยลง เนื่องจากตรวจจับการระบาดได้ทั้งหมด ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ แต่อาจมีการรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อยู่ในการดูแลรักษา จึงไม่ต้องวิตกกังวล และทั่วประเทศยังคงดำเนินการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยสุ่มตรวจโควิด 19 ในผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในโรงพยาบาล 6,635 ราย พบติดเชื้อ 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.4 ได้แก่ นครปฐม 4 ราย ปทุมธานี 3 ราย และสมุทรสงคราม 1 ราย จากการซักประวัติพบว่า มีความสัมพันธ์กับตลาดที่มีการติดเชื้อ สุ่มตรวจผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ 989 ราย พบการติดเชื้อ 1 รายที่ จ.ปทุมธานี ถือว่าระบบเฝ้าระวังทำงาน อย่างต่อเนื่อง ตรวจจับสัญญาณการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังเฝ้าระวังการติดเชื้อนอกสถานพยาบาล ได้แก่ เรือนจำ สถานพินิจ ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในกลุ่มผู้ต้องขังผู้ต้องกักรายใหม่ และเพิ่มระบบเฝ้าระวังในชุมชน โดยเฉพาะสถานที่เคยมี การระบาดจำนวนมาก เช่น ตลาดสด สถานบริการผับบาร์ คาราโอเกะ สนามมวย สนามชนไก่ สถานที่ขนส่งต่างๆ หน่วยราชการด่านหน้า โรงงาน ห้างสรรพสินค้า สถานที่ดูแลผู้สูงวัย โรงเรียน และศาสนสถาน เป็นต้น ทั้งผู้ประกอบกิจการ พนักงาน โดยให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดกลุ่มและเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยง แม้สถานการณ์การระบาดจะคลี่คลาย และย้ำว่าแม้จะอยู่ในช่วงมาตรการผ่อนคลาย ยังต้องเว้นระยะห่าง และใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกไปในที่สาธารณะ
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนครบแล้วทั้ง 13 จังหวัด รวม 7,262 ราย แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึง อสม. 6,784 ราย , เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 365 ราย ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 22 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 91 ราย อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนใหม่ จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และมีระบบรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีน แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1.อาการไม่รุนแรง คือ มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และปวดบริเวณที่ฉีด หากมีอาการเหล่านี้หลังฉีดขอให้รายงานในระบบไลน์หมอพร้อม และ 2.อาการรุนแรง ได้แก่ ไข้สูง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ปวดศีรษะรุนแรง ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีจุดเลือดออก ผื่นขึ้นทั้งตัว อาเจียนมากกว่า 5 ครั้ง หรือชักหมดสติ ขอให้รีบโทรแจ้ง 1669 เพื่อแจ้งรถพยาบาลมารับหรือถ้าหมดสติให้ญาติรีบพาไปโรงพยาบาล
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า แม้วัคซีนจะมีความปลอดภัย แต่อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ ขณะนี้ได้รับรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีน 20 ราย โดยมีอาการไม่รุนแรง 19 ราย ได้แก่ ปวดอักเสบบริเวณที่ฉีด 1 ราย , เหนื่อย 12 ราย , ปวดเมื่อยตามตัว 4 ราย และคลื่นไส้อาเจียน 2 ราย ส่วนอีก 1 ราย มีอาการรุนแรง โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์ รับการฉีดวัคซีนก่อนเที่ยง ช่วงเฝ้าระวังอาการที่สถานพยาบาล 30 นาที อาการปกติ แต่ผ่านไป5 ชั่วโมง เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน มาโรงพยาบาลตรวจพบความดันโลหิตต่ำ ซึ่งรายนี้เคยมีประวัติแพ้ยาเพนิซิลลิน
ในตอนเด็ก หลังจากรักษาอาการดีขึ้น ขณะนี้อาการปลอดภัย
“รายนี้ถือว่ามีอาการรุนแรงแต่ไม่มาก เนื่องจากเกิดในระยะเวลา 5 ชั่วโมงไปแล้ว มีความดันตก แต่ไม่มีผื่นขึ้น ส่วนจะเกิดจากวัคซีนหรือไม่ จะมีการรวบรวมข้อมูล ประวัติ และผลการตรวจต่างๆ ให้คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดทั้งหมด คาดว่าผลจะออกมาภายในสัปดาห์นี้ ส่วนกรณีแพ้ยาเพนิซิลลินไม่ได้เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน แต่ให้เพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากอาจแพ้สารอื่นๆ ได้ง่าย สำหรับสถานพยาบาลขอให้ดำเนินการฉีดวัคซีนตามระบบ 8 ขั้นตอนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังอาการหลังฉีด 30 นาที เพราะส่วนใหญ่การแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงมักเกิดขึ้นภายใน 15 นาที หากเกิน 30 นาทีส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและมีเวลาในการรักษา แนะนำว่าหลังฉีดวัคซีน แขนข้างที่ฉีดแล้วอย่าออกแรงหรือยกของหนัก ขอให้พัก 4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้วัคซีนเข้าเส้นเลือดเร็วเกินไป ก็จะมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น” นายแพทย์โอภาสกล่าว
**************************** 3 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย มท.1 มท.2 มท.3 เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย มท.1 มท.2 มท.3 เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย มท.1 มท.2 มท.3 เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
เมื่ือวันที่ 16 มี.ค. 2564 เวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ "แอสตราเซเนกา" ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับคณะรัฐมนตรีที่สมัครใจเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยมีคณะแพทย์และพยาบาล จากกระทรวงสาธารณสุขอำนวยความสะดวกและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการเราชนะและการขอความร่วมมือแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการเราชนะ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ความคืบหน้าโครงการเราชนะและการขอความร่วมมือแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการเราชนะ
ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์โครงการเราชนะ กระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทางกฎหมายที่กระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ดังกล่าวแล้ว
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์โครงการเราชนะ (โครงการฯ) เช่น การรับแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น กระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่กระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบ ติดตาม ร้านค้าและผู้ให้บริการตามที่ได้รับแจ้งเบาะแส โดยหากพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้าและผู้ให้บริการ ตลอดจนระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าและผู้ให้บริการทันที รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการสามารถแจ้งเบาะแสรวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการเราชนะทางไปรษณีย์มาได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail Account) [email protected]
ความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564 มีดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบันแล้ว จำนวน 1.9 ล้านคน 2) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 33,084.5 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีจำนวนมากกว่า 16.2 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 35,939.2 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิ์โครงการฯ ทั้งสิ้นจำนวน 29.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 69,023.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.1 ล้านกิจการ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการลงทะเบียนเข้าร่วมสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ชลบุรี เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และสงขลา
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39555 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าจัดประชุมคณะทำงานอาเซียนว่าด้วยการขนส่งทางน้ำ ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
กรมเจ้าท่าจัดประชุมคณะทำงานอาเซียนว่าด้วยการขนส่งทางน้ำ ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอาเซียนว่าด้วยการขนส่งทางน้ำ ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (40th ASEAN Maritime Transport Working Group Meeting and Related meetings)
ระหว่างวันที่ 9 - 10 มีนาคม 2564 ด้วยระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) โดยมี นางสาวกมลวรรณ กุหลาบวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจการพาณิชยนาวี ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ผู้แทนกรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม ร่วมกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน (บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม) ประเทศคู่เจรจา (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ผู้แทนองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) และหน่วยงานระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล กล่าวว่า การประชุมฯ ดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อทบทวน ประเมินและขับเคลื่อนกิจกรรมและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางน้ำภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (Kuala Lumpur Transport Strategic Plan : KLTSP 2016 - 2025) โดยมีเป้าหมายเพื่อการเชื่อมโยงอาเซียน นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประชาคมอาเซียน ซึ่งที่ประชุมฯ ได้หารือและผลักดันความร่วมมือด้านการขนส่งทางน้ำในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การดำเนินการเพื่อผลักดันตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมของอาเซียน ข้อริเริ่มโครงการด้านการขนส่งทางน้ำ แผนปฏิบัติงานของคณะทำงานด้านการขนส่งทางน้ำของอาเซียน พ.ศ. 2563 - 2564 และความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศและหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น สำหรับประเทศไทยในฐานะประธานการประชุมฯ ได้ผลักดันความร่วมมือด้านคนประจำเรือ นำเสนอข้อริเริ่มความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทุกประเทศให้ความสนใจ นอกจากนี้ได้นำเสนอความคืบหน้าข้อริเริ่มของไทยที่ได้นำเสนอเมื่อการประชุมครั้งที่ผ่านมาเกี่ยวกับการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรมภายในท่าเรือ เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39978 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แนะ ! วัดทักษะฝีมือช่าง บันไดสู่ช่างไลเซนส์มืออาชีพ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน แนะ ! วัดทักษะฝีมือช่าง บันไดสู่ช่างไลเซนส์มืออาชีพ
กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน แนะแรงงานเก่า-ใหม่ เมื่อวัดทักษะฝีมือแล้วทุกฝ่าย
ได้ประโยชน์นายจ้างได้แรงงานคุณภาพ แรงงานได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และเป็นธรรม
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายพัฒนากำลังแรงงานทุกกลุ่มเพื่อยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน และมอบหมายให้ กพร.ใช้ภารกิจด้านมาตรฐานฝีมือแรงงานเป็นกลไกในการขับเคลื่อน
ในทุกกลุ่มแรงงานรวมถึงแรงงานใหม่ที่เป็นนักศึกษาที่จบการศึกษาระดับ ปวช. ปวส. ปริญญาตรี เพื่อมีทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ได้รับค่าจ้างค่าตอบแทนตามอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ
และที่สำคัญเป็นองค์ประกอบในการขอรับการประเมินความรู้ความสามารถซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศสร้างความมั่นคงทางอาชีพ และความปลอดภัยสาธารณะ
นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ปี 2564 ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด กพร. ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) จัดให้มีการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน กว่า 200 สาขา ทั้งในกรุงเทพมหานครและอีก 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะการทดสอบฯ ในสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ช่างเชื่อมแม็ก
และช่างเชื่อมทิกซึ่งเป็นสาขาที่ถูกกำหนดให้ผู้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานด้านไฟฟ้าต้องเป็นผู้ที่ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ ซึ่งบุคคลที่จะเข้ารับการประเมินดังกล่าวได้ต้องผ่านการทดสอบฯ ก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งแรงงานที่จะเข้ารับการทดสอบจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีประสบการณ์ทำงานหรือประกอบอาชีพเกี่ยวกับสาขาที่จะทดสอบ หรือผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์จากการฝึกหรือปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการในสาขาที่เกี่ยวข้อง หรือจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ ปวช.ในสาขาที่เกี่ยวข้อง
การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเป็นข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือ ความรู้ ความสามารถ และทัศนคติในการทำงานของผู้ประกอบอาชีพในสาขาต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ทั้งผู้ประกอบกิจการ คือ สามารถคัดเลือกแรงงานที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะฝีมือ และทัศนคติได้ตรงตามความต้องการ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ และความเสียหายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุจากการทำงานและในส่วนของแรงงานเอง เมื่อผ่านการทดสอบจะทราบระดับฝีมือและข้อบกพร่องของตนเองเพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางในการวางแผนพัฒนาทักษะฝีมือตนเองตามความสามารถของตำแหน่งงานที่จะเลื่อนระดับขึ้นได้ และที่สำคัญเป็นการเพิ่มโอกาสการมีงานทำและได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมตามอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงาน จึงขอเชิญชวนผู้สนใจทั้งแรงงานใหม่ และแรงงาน
ที่ปฏิบัติงานในสาขาอาชีพต่างๆเข้ารับการทดสอบฯ ได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.dsd.go.th. เมนูกำหนดการเปิดทดสอบฝีมือแรงงาน หรือสอบถามได้ที่ 0 2245 4837, 0 2245 1707 ต่อ 718 หรือสายด่วน 1506 กด 4” อธิบดีกพร.กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39907 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานแถลงผลการดำเนินงานนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานแถลงผลการดำเนินงานนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประจำปี 2564
โดยมี นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้ได้มาตรฐานสากล และสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยนวัตกรรมใหม่สู่ Thailand 4.0 การพัฒนาเปลี่ยนแปลงที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม นำไปสู่การพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ กทท. ได้ดำเนินการเร่งรัดการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือสนับสนุนการขนส่งทางน้ำให้สามารถบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายกับทุกโหมดการขนส่งอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องตามนโยบายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการด้านการขนส่งสินค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว อย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งเดินหน้าโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการพัฒนาการเชื่อมโยง Data Logistic Chain ด้วยระบบ Port Community System โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง 20G ที่ท่าเรือกรุงเทพ โครงการ SMART PORT โครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา - อาจณรงค์ (S1) โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย (Smart Community) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) การพัฒนาท่าเรือภูมิภาค รวมทั้งนโยบายที่สำคัญในการยกระดับมาตรฐานการดาเนินงานของ กทท. ให้เป็นท่าเรือสีขาว (White Port)
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 มีปริมาณสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 โดยเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ลดลงร้อยละ 6.24 คิดเป็น
25.762 ล้านตัน และตู้สินค้าผ่านท่าลดลงร้อยละ 2.81 คิดเป็น 2.311 ล้านที.อี.ยู. ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คาดว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ คลี่คลายลงส่งผลให้ปริมาณสินค้าและตู้สินค้าผ่านท่าค่อย ๆ ฟื้นตัว ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักสะท้อนการเติบโตของปริมาณสินค้า ซึ่งส่งผลให้ในเดือนมกราคม 2564 ปริมาณสินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.57 อยู่ที่ 9.253 ล้านตัน จาก 8.934 ล้านตัน และตู้สินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.66 อยู่ที่ 773,055 ที.อี.ยู. จาก 753,042 ที.อี.ยู. สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ กทท. มีแผนจะยกระดับเป็นท่าเรือชั้นนำที่ได้มาตรฐานสากล โดยมียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาบริการและโครงสร้างพื้นฐานให้มีมาตรฐานในระดับโลก การพัฒนาสู่การเป็นประตูการค้าหลักและศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง การพัฒนาสินทรัพย์ในเชิงธุรกิจให้มีมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาการให้บริการและยกระดับการทำงานมุ่งสู่การเป็นองค์กร สมรรถนะสูง ด้วยการนำระบบ Port Community System (PCS) หรือระบบศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูลด้านขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ ทั้งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านโลจิสติกส์ทั้งภาครัฐและเอกชนมาใช้ เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรองรับโครงข่ายการเชื่อมโยงด้าน Logistics ในระดับนานาชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม พา กสม. ตรววจเยี่ยมเรือนจำพิเศษกรุงเทพ คุย "โตโต้-สมคิด-แบงค์" ถามสภาพความเป็นอยู่ "สุวัฒน์" ยันไม่มีถูกทำร้ายร่างกายในคุก ภาพรวมความเป็นอยู่ปกติไร้ปัญหา แค่กังวลเรื่อ | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม พา กสม. ตรววจเยี่ยมเรือนจำพิเศษกรุงเทพ คุย "โตโต้-สมคิด-แบงค์" ถามสภาพความเป็นอยู่ "สุวัฒน์" ยันไม่มีถูกทำร้ายร่างกายในคุก ภาพรวมความเป็นอยู่ปกติไร้ปัญหา แค่กังวลเรื่อ
รมว.ยุติธรรม พา กสม. ตรววจเยี่ยมเรือนจำพิเศษกรุงเทพ คุย "โตโต้-สมคิด-แบงค์" ถามสภาพความเป็นอยู่ "สุวัฒน์" ยันไม่มีถูกทำร้ายร่างกายในคุก ภาพรวมความเป็นอยู่ปกติไร้ปัญหา แค่กังวลเรื่องประกันตัว เล็งประสานขอเยี่ยมอีก ๔ แกนนำต่อ
ในวันจันทร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางมาดูความเป็นอยู่ของผู้ถูกควบคุมตัว โดยได้มีการพูดคุยกับ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ แกนนำกลุ่ม wevo นายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มราษฎร ผ่านการโทรศัพท์และกล้องวงจรปิด เพื่อสอบถามถึงสภาพความเป็นอยู่ภายในเรือนจำ ส่วนที่เหลืออีก ๔ ราย คือ นายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง และนายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ได้ออกไปขึ้นศาล
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนและคณะได้เดินทางมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ประสานขอพบกับกลุ่มผู้ถูกควบคุมตัวในคดีการเมือง เราจึงได้ให้เข้ามาดูขั้นตอนการดำเนินการและการบริหารจัดการ โดยช่วงนี้เป็นช่วงของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เราจึงมีการกักตัวผู้ถูกควบคุมเป็นเวลา ๑๔ วัน จึงต้องพูดคุยผ่านโทรศัพท์และกล้องวงจรปิดจากห้องกักกันโรค โดยช่วงนี้กรรมการสิทธิฯ และทนายความสามารถเข้าเยี่ยมได้ ส่วนญาติของผู้ถูกคุมตัวจะต้องพิจารณาเป็นรายไป หากมีกรณีข่าวการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น เราจะพิจารณาให้เยี่ยมเพื่อให้เกิดความสบายใจ ซึ่งจากการพูดคุย พวกเขาอยากจะอยู่รวมกันกับเพื่อนๆ แต่ติดที่ว่าเมื่อมีการนำตัวไปศาลแล้ว กลับเข้ามาก็ต้องเริ่มนับหนึ่งการกักโรคใหม่ ซึ่งตรงนี้อาจจะทำได้ยาก
ด้านนายสุวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนของกรรมการสิทธิมนุษยชน มารับฟังความคิดเห็นต่างๆของผู้ถูกควบคุมตัว และมาดูความเป็นอยู่ว่าปกติดีหรือไม่ ซึ่งภาพรวมจากการพูดคุยรับฟังและสำรวจ พบว่า ปกติดีไม่มีปัญหาอะไร แต่พวกเขาอยากจะพบกับเราโดยตรงมากกว่า ซึ่งจากการสอบถามทางเรือนจำทราบว่าช่วงนี้เป็นช่วงโควิดต้องมีการกักโรค คงต้องให้ผ่านการกักตัว ๑๔ วัน ไปก่อน นอกจากนั้นเป็นเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อย เช่น การขอหนังสือพิมพ์อ่านเพื่อทราบข่าวสาร สิทธิความเป็นอยู่ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการประกันตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพูดคุยและร้องเรียนเรื่องการถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำหรือไม่ นายสุวัฒน์ กล่าวว่า จากการพูดคุยไม่มีการร้องเรียนถึงเรื่องนี้ ทุกคนยังมีสภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่ได้มีความหวาดระแวงกลัวที่จะถูกทำร้ายหรือมีอันตรายแต่อย่างใด เมื่อถามว่าจะมีการเข้ามาพบกับอีก ๔ รายที่เหลือหรือไม่ นายสุวัฒน์ กล่าวว่า คงต้องนัดหมายกับทางเรือนจำอีกครั้งว่าจะเข้าเยี่ยมได้เมื่อไรหรือไม่ ซึ่งกรรมการสิทธิพยายามติดตามในเรื่องนี้อยู่ตลอด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40250 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน! กรมการจัดหางานรับสมัครคนหางานวุฒิ ม.3 ขึ้นไป ทำงานไต้หวัน 40 อัตรา รายได้ 26,400 บาทต่อเดือน | วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
ด่วน! กรมการจัดหางานรับสมัครคนหางานวุฒิ ม.3 ขึ้นไป ทำงานไต้หวัน 40 อัตรา รายได้ 26,400 บาทต่อเดือน
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานประเทศไต้หวัน ตำแหน่ง พนักงานผลิตแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) จำนวน 40 อัตรา รายได้กว่า 26,400 บาทต่อเดือนระยะเวลาการจ้าง 3 ปี สมัครฟรี ตั้งแต่วันที่ 22 - 26 มีนาคม 2564
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานที่ไต้หวันกับบริษัท TRIPOD TECHNOLOGY CORP. ซึ่งประกอบกิจการผลิตแผงวงจรไฟฟ้า ตำแหน่ง พนักงานผลิตแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) จำนวน 40 อัตรา แบ่งเป็นเพศชาย 14 อัตรา และ เพศหญิง 26 อัตรา เงินเดือน 24,000 เหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 26,440 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 9 มีนาคม 2564 : 1 เหรียญไต้หวัน = 1.1017 บาท) มีระยะเวลาจ้างงาน 3 ปี คุณสมบัติ เพศชาย อายุ 20 – 40 ปี ส่วนสูง 160 – 175 เซนติเมตร เพศหญิง อายุ 20 – 35 ปี ส่วนสูง 150 – 165 เซนติเมตร จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) ขึ้นไป สายตาอยู่ในระดับปกติ 1.0 และไม่บอดสี หูการได้ยินอยู่ในระดับปกติ 0 – 25 เดซิเบล ไม่แพ้กลิ่นหรือน้ำยาเคมี หากมีประสบการณ์ทำงานแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
“การรับสมัครคนหางานเป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานจะไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ได้แก่ ค่ารูปถ่าย ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสมรรถภาพการได้ยิน ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ค่าวีซ่า ค่าตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ค่าประกันสุขภาพไวรัสโคโรนา 2019 ค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้นประมาณ 18,000 บาท และสำหรับผู้ที่ได้รับคัดเลือกและเข้าทำงานในประเทศไต้หวัน ทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจสมรรถภาพการได้ยินในประเทศไทย จำนวน 600 เหรียญไต้หวัน โดยเก็บใบเสร็จเป็นหลักฐานยื่นแก่นายจ้าง ค่ากักตัว 14 วันในไต้หวัน ค่าบริการดูแลรายเดือนที่ต้องจ่ายให้แก่บริษัทจัดหางานไต้หวัน และค่าโดยสารเครื่องบินกลับประเทศไทยเมื่อทำงานครบสัญญาจ้าง ในส่วนของคนหางานจะต้องเตรียมค่าโดยสารเครื่องบินเที่ยวไป รวมทั้งค่าใช้จ่ายในไต้หวัน ได้แก่ ค่าอาหารและที่พัก จำนวน 2,500 เหรียญไต้หวันต่อเดือน ค่าตรวจสุขภาพ ค่าใบถิ่นที่อยู่ ค่าเบี้ยประกันภัยแรงงาน และค่าเบี้ยประกันสุขภาพ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบในการสมัคร ได้แก่ 1.ใบสมัครตามแบบฟอร์มที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัครได้ทางเว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas 2.รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 3.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 4.สำเนาวุฒิการศึกษาล่าสุด 5.สำเนาหลักฐานการพ้นภาระการรับราชการทหาร พร้อมลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้องในเอกสารทุกฉบับ นำส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนด่วนพิเศษ (EMS) หรือบริการรับส่งพัสดุของบริษัทเอกชน ระหว่างวันที่ 22 – 26 มีนาคม 2564 โดยระบุชื่อที่อยู่ผู้รับ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายจัดส่งไปทำงานไต้หวันและประเทศอื่น ๆ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 โทร 02-245-1034 วงเล็บมุมซองด้านล่างซ้ายมือ (สมัครงานไต้หวัน TRIPOD) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2245-1034 สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40185 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล พร้อมทูตสวิต เยือนนครพิงค์ แนะทักษะใหม่ช่วยคนเลี้ยงช้าง สร้างรายได้เสริมการท่องเที่ยว | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
นฤมล พร้อมทูตสวิต เยือนนครพิงค์ แนะทักษะใหม่ช่วยคนเลี้ยงช้าง สร้างรายได้เสริมการท่องเที่ยว
- -
วันที่ 13 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดงาน Art for elephant ณ เชียงใหม่ อาร์ต มิวเซียม ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการประมูลภาพและผลงานทางศิลปะในการระดมทุนช่วยเหลือช้างที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหารจากวิกฤตโควิด-19 เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนเลี้ยงช้างและช้างกว่า 300 เชือกในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมี H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda, Ambassador of Switzerland ให้เกียรติร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ไม่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ผู้เลี้ยงช้างไม่มีงาน ขาดรายได้ บางรายต้องหาอาชีพเสริมด้านอื่นเพื่อหารายได้ในการดูแลครอบครัว ส่วนช้างที่อยู่ในระบบการท่องเที่ยวก็ได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนทั้งอาหารและยา ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤต การจัดงานในวันนี้จึงเป็นการช่วยเหลือช้างโดยการประมูลภาพวาดของศิลปินที่มีชื่อเสียง การแสดงโชว์ของช้าง กิจกรรมถ่ายภาพ วาดรูป การจำหน่ายสินค้าราคาถูก เพื่อนำรายได้ช่วยเหลือช้างที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ซึ่งในวันนี้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมงานโครงการ “ช้างรอดเพราะเราช่วย” โดยมีการจัดแสดงผลงานผู้เข้ารับการฝึกอาชีพเสริม(ผู้สูงอายุ) สาขา ปักผ้าเบื้องต้น รุ่นที่ 1 จากกลุ่มวิสาหกิจทศลักษเกษตรและกลุ่มหัตถกรรมในอำเภอสันกำแพง พร้อมนำสินค้ามาจำหน่ายเพื่อหารายได้ร่วมสมทบทุนช่วยช้างส่วนหนึ่ง รวมถึงนำแรงงานผู้สูงอายุ มาจัดฝึกอบรมหลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม การปักผ้าเบื้องต้น รุ่นที่ 2 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมชมงานได้เห็นขั้นตอนและวิธีการปักผ้าในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ยังจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำการสมัครฝึกอบรมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมีหลายหลักสูตรที่สามารถบริการประชาชนได้
พร้อมกันนี้ ได้รับรับฟังการนำเสนอข้อมูลจากมูลนิธิทักษะเพื่อชีวิตหัวข้อ Skills 4 Life on Swiss apprenticeship Skills 4 life โดย H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda, Ambassador of Switzerland เกี่ยวกับหลักสูตร Technical and Vocational Education and Training (TVET) ซึ่งเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ทักษะทางอาชีพจากหน่วยงานภาคเอกชนหลากหลายสาขาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 240 สายงาน เพื่อส่งเสริมความรู้และทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ผู้ที่เข้าสู่หลักสูตรนี้ยังสามารถเข้าร่วมการฝึกอบรมทางวิชาการ เพื่อเพิ่มเติมความรู้ที่จะนำไปประกอบกับทักษะทางอาชีพที่ได้รับจากการฝึกทำงานจริงกับหน่วยงานเอกชนและมีโอกาสสูงในการได้รับการจ้างงาน เนื่องจากมีทักษะที่บริษัทนั้น ๆ ต้องการโดยตรง นับเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการว่างงานได้เป็นอย่างดี
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กพร. กระทรวงแรงงาน สามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงช้างและอาชีพอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น การจัดอบรมให้ความรู้ในหลักสูตร “เทคนิคการสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อการท่องเที่ยว” เพื่อให้กลุ่มผู้เลี้ยงช้างสามารถนำเสนอในรูปแบบออนไลน์ เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของช้าง เพื่อบริการนักท่องเที่ยว หรือเพื่อเชิญชวนเข้ามาท่องเที่ยวในท้องถิ่นหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้ การสร้างแนวคิด สร้างสรรค์ผลการและเทคนิคเพื่อการนำเสนอ ช่วยให้มองเห็นทิศทางในการประกอบอาชีพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมอีกหลายหลักสูตร สามารถติดตามได้ที่ www.dsd.go.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 กด 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39947 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานในงานครบรอบสถาปนากระทรวงยุติธรรม 130 ปี ย้ำแก้ปัญหาให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงความกระบวนการยุติธรรม เท่าเทียม เป็นธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
นายกฯ เป็นประธานในงานครบรอบสถาปนากระทรวงยุติธรรม 130 ปี ย้ำแก้ปัญหาให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงความกระบวนการยุติธรรม เท่าเทียม เป็นธรรม
นายกฯ เป็นประธานในงานครบรอบสถาปนากระทรวงยุติธรรม 130 ปี ย้ำแก้ปัญหาให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงความกระบวนการยุติธรรม เท่าเทียม เป็นธรรม ขับเคลื่อนงานยุติธรรมสร้างสุขให้แก่ประชาชน
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในงานสถาปนากระทรวงยุติธรรม ครบรอบ 130 ปี โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมรับฟังผลงานสำคัญของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายนายกรัฐมนตรีในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด อาทิ ชุดปฏิบัติการ “พาลีปราบยา” เพื่อการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด การกระทำที่ผิดกฎหมายเรื่องของการฮั้วประมูลทั่วประเทศ รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง ความสำคัญของกระบวนการยุติธรรม คือ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ควบคู่การสร้างการรับรู้และการเรียนรู้ให้ประชาชนเคารพกฎหมาย ทั้งกฎหมายพื้นฐาน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเอง และกฎหมายอื่น ๆ เป็นต้น โดยขยายความรู้เรื่องของกฎหมายในระบบการศึกษาทุกระดับเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเองในการที่จะปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่และกระทรวงยุติธรรมอย่างเต็มที่ทั้งเรื่องการปราบปรามยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชั่น ค้ามนุษย์ ฮั้วประมูล ฯลฯ เพื่อให้การทำงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม โดยสิ่งสำคัญของการแก้ปัญหายาเสพติดต้องดำเนินการคู่ขนานกันไปทั้งการป้องกัน ป้องปราม สืบสวน สอบสวน และการลด Demand ลง นอกจากนี้ต้องมีการศึกษากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมายเก่าและใหม่ รวมถึงกฎหมายของต่างประเทศ เพื่อพัฒนาปรับปรุงกฎหมายของไทยให้สอดคล้องและทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้ดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โดยเฉพาะการช่วยเหลือผ่าน “กองทุนยุติธรรม” ด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ “การเดินหน้าขับเคลื่อนงานยุติธรรม เพื่อสร้างสุขให้ประชาชน” ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์การก่อตั้งกระทรวงยุติธรรม เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของการก่อตั้งกระทรวงยุติธรรมผลงานเชิงรุกหรือผลงานเด่น ทิศทางการเดินหน้าขับเคลื่อนงานยุติธรรมเพื่อสร้างสุขให้ประชาชน และนวัตกรรมการให้บริการประชาชน (e-Service) ของกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งปลูกต้นสนฉัตร ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำกระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็นที่ระลึก ณ บริเวณหน้าอาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมด้วย
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40364 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ขยายเวลาทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบขยายระยะเวลาทุนเรียนดีสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย จากเดิมสิ้นสุดปี 2564 เป็นสิ้นสุดปี 2570 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตอาจารย์ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์คุณภาพสูงให้แก่มหาวิทยาลัย แบ่งเป็นทุนระดับปริญญาโทและเอกในประเทศ 175 ทุน ต่างประเทศ 462 ทุน ทุนให้ไปศึกษาอบรมหรือทำวิจัยในต่างประเทศ 93 ทุน และทุนสำหรับการทำวิจัยเชิงลึกในต่างประเทศ อีก 230 ทุน ปัจจุบันมีนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว 273 คน อยู่ระหว่างการศึกษา 210 คน ซึ่งบัณฑิตเหล่านี้จะไปทดแทนในตำแหน่งอาจารย์สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐทั่วประเทศที่คาดว่าจากนี้ถึงปี 2570 จะมีผู้เกษียณอายุราชการกว่า 4,600 คน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40329 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 23 มีนาคม 2564 | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 23 มีนาคม 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (23 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาลซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย รวม 3 ฉบับ
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ….
10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต และเขตปลอดอากร และผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร พ.ศ. ….
12. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..)
13. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
เศรษฐกิจ สังคม
14. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานทุนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 4 ปี พ.ศ. 2564 – 2567
15. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
16. เรื่อง การถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ออกจากรายการเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น
17. เรื่อง ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2563
18. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564
19. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564
20. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นัดพิเศษ)
21. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การถอดบทเรียนการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา
22. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion)
23. เรื่อง รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 (เรื่อง ขยะพลาสติกในทะเลไทย)
24. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 และข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัย
ทางถนน
25. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
26. เรื่อง แนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
27. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 6
28. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 4/2564
29. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 9/2564
ต่างประเทศ
30. เรื่อง การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 13
31. เรื่อง การเสนอต้มยำกุ้งเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก
32. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 2034
33. เรื่อง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้าและกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เพื่ออำนวยความร่วมมือหลังจากเสร็จสิ้นการทบทวน นโยบายการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
34. เรื่อง การต่ออายุบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU)ว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
35. เรื่อง ผลการลงนามความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย (ARISE Plus-Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า”
36. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7
แต่งตั้ง
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
40. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
41. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
42. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค
43. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 2 ราย)
44. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดงกล่าว ตามที่ สปน. เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยกำหนดให้มีสถานะเป็นกฎหมายกลาง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะซึ่งอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ กำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลความมั่นคงของรัฐและข้อมูลอันเป็นความลับของราชการ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว กำหนดหลักเกณฑ์การส่งมอบ เก็บรักษา และเปิดเผยเอกสารจดหมายเหตุ และกำหนดระยะเวลาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยจดหมายเหตุแห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รายละเอียดดังนี้
1. กำหนดให้กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการมีสถานะเป็นกฎหมายกลาง
2. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ข้อมูลข่าวสารของราชการ” “หน่วยงานของรัฐ” และ “ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล” เพิ่มบทนิยามคำว่า “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “บุคคล”
3. กำหนดให้คนต่างด้าวและบุคคลผู้ได้รับแต่งตั้งให้กระทำแทนคนต่างด้าวมีสิทธิเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการตามพระราชบัญญัตินี้เพียงใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
4. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องส่งข้อมูลข่าวสารสาธารณะอย่างน้อยดังต่อไปนี้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(1) โครงสร้างและการจัดองค์กรในการดำเนินงาน
(2) สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน
(3) กฎ มติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือเวียน ระเบียบแบบแผน นโยบาย หรือการตีความ ทั้งนี้ เฉพาะที่จัดให้มีขึ้นโดยสภาพอย่างกฎ เพื่อให้มีผลเป็นการทั่วไปต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง
5. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะผ่านระบบดิจิทัล ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัลได้กำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์การเผยแพร่ หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการ
6. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจะไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้ก็ได้ หากปรากฏอย่างชัดแจ้งหรือมีพฤติการณ์ของผู้ยื่นคำขอว่า ผู้นั้นขอข้อมูลเป็นจำนวนมาก หรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีลักษณะเป็นการก่อกวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ หรือมีผลเป็นการสร้างภาระจนเกินสมควรแก่หน่วยงานของรัฐ หรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
7. กำหนดให้ผู้ใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่ประกาศข้อมูลข่าวสาร หรือไม่จัดข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ หรือไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ตน หรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า หรือเห็นว่าตนไม่ได้รับความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมถึงกรณีที่หน่วยงานของรัฐส่งข้อมูลข่าวสารสาธารณะไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่ถูกปฏิเสธ
8. กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยแล้วอาจมีการนำไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อมูลด้านการถวายความปลอดภัยจะเปิดเผยไม่ได้
9. กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ด้านการข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลและข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีประกาศกำหนด จะเปิดเผยไม่ได้
10. กำหนดให้การพิจารณาคดีในศาลในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ห้ามเปิดเผย ให้ศาลพิจารณาเป็นการลับ และห้ามเปิดเผยเนื้อหาสาระของข้อมูลและวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ แต่ให้ศาลรับฟังข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
11. กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการเงินการคลังของประเทศหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้
12. การพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยในกรณีที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และข้อมูลด้านการถวายความปลอดภัย และในกรณีข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหาร และการป้องกันประเทศ ด้านการข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย ด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลและข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีประกาศกำหนด จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาเป็นการลับ ส่วนการพิจารณาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยตามมาตรา 15 ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิให้ข้อมูลข่าวสารนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่การพิจารณา
13. กำหนดให้ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดตามมาตรา 13/1 มาตรา 13/2 หรือมาตรา 15 หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านของผู้มีประโยชน์ได้เสีย ตามมาตรา 17 ผู้นั้นอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
14. กำหนดให้โอนหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เฉพาะที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งการพิจารณาเรื่องร้องเรียน การไกล่เกลี่ย การสั่งลงโทษปรับทางปกครอง และการดำเนินการอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารดังกล่าว มาเป็นของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการหรือคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้วแต่กรณี
15. กำหนดให้มีคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการโดยมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ให้คำแนะนำ และคำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ หรือตอบข้อหารือแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกาและการออกกฎกระทรวงหรือระเบียบ เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารของราชการ พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องร้องเรียน จัดทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เสนอคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ และดำเนินการเรื่องอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
16. กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ตามความเหมาะสม โดยมีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน คำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล และอำนาจหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ และในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ผู้อุทธรณ์อาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้เป็นที่สุด แต่คู่กรณีอาจคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นได้โดยทำเป็นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ไปพร้อมกับคำอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้ ให้รอการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นไว้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาขออนุญาตอุทธรณ์ หรือศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่อนุญาตให้อุทธรณ์ แล้วแต่กรณี
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. ให้กรมทางหลวงชนบทถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนฯ ฉบับใหม่ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวัน ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาจะสิ้นผลใช้บังคับตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 โดยเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3256
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3256 เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนทางหลวงชนบท สป. 4002 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 ปัจจุบันเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร ซึ่งเชื่อมโยงทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 กับถนนกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ มีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดความคับคั่งไม่สะดวกในการเดินทาง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้ใช้เส้นทาง อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มจำนวนช่องจราจรและเพื่อรองรับปริมาณการจราจรในอนาคต
2. ได้มีประกาศใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2558 เพื่อขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3256 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนที่ 63 ก ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 มีกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับ 4 ปี โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2558 และสิ้นสุดระยะเวลาใช้บังคับวันที่ 14 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเจ้าหน้าที่เวนคืนได้ดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน โดยมีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดจำนวน 572 ราย มีผู้ถูกเวนคืนมาตกลงทำสัญญาซื้อขายจำนวน 433 ราย และยังไม่มาตกลงทำสัญญาซื้อขายจำนวน 139 ราย แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าว กรมทางหลวงชนบทอยู่ระหว่างดำเนินการทำสัญญาและการจ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ และยังมีผู้ถูกเวนคืนหลายรายที่ยังไม่มาตกลงทำสัญญาซื้อขายกับกรมทางหลวงชนบท ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้กับผู้ถูกเวนคืนที่ยังไม่มาตกลงทำสัญญาได้ทันภายในระยะเวลาใช้บังคับของพระราชกฤษฎีกา ประกอบกับยังทำการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืนยังไม่แล้วเสร็จ จึงทำให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกา
3. กรมทางหลวงชนบทพิจารณาเห็นว่าการขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3344 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3256 ยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการสำรวจข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นต่อไป เพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขยายทางหลวงชนบทสายดังกล่าว เพื่อให้การขยายทางหลวงชนบทตามโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งทางบกอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
4. กรมทางหลวงชนบทได้ศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 662.49 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 14.48% อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 3.68 ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ
5. ลักษณะของโครงการ เป็นการขยายถนน ขนาด 4 ช่องจราจรชนิดผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้าง 3.25 – 3.50 เมตร เกาะกลางกว้าง 2.00 – 4.20 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 เมตร เขตทางกว้าง 24.00 – 27.20 เมตร รวมระยะทางประมาณ 8.192 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 32 ไร่ 1 งาน 55.70 ตารางวา มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 754 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 1,387.2989 ล้านบาท
6. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมมีผู้เห็นด้วยกับโครงการ ร้อยละ 94.12
7. สำนักงบประมาณพิจารณาแล้ว เห็นควรที่กรมทางหลวงชนบทจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ซึ่งการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
3. เรื่องร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1) ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2) ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....3) ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีการวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิศวกรรมศาสตร์ และสีประจำสาขาวิชาดังกล่าวของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ และสีประจำสาขาวิชาดังกล่าวของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และสภามหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งดังกล่าวได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กษ. เสนอว่า
1. มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้วแต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ดังนั้น เพื่อให้การบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สมควรกำหนดให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) (พกฉ.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองได้ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ กยท. พกฉ. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
5. เรื่องร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ดังนั้น เพื่อให้การบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและองค์การของรัฐในสังกัดกระทรวงมหาดไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสมควรกำหนดให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) องค์การตลาด (อต.) และองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองได้ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ กฟน. กฟภ. กปน. กปภ. อต. และ อจน. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวที่ มท. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยหรือภัยพิบัติอย่างอื่น รวมทั้งการป้องกันอันตรายเมื่อมีเหตุชุลมุนวุ่นวายในอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ โดยกำหนดให้อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถดับเพลิง รถเพื่อการกู้ชีพฉุกเฉิน ลิฟต์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยพิบัติหรือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และอุปกรณ์การปฐมพยาบาลในการช่วยชีวิต
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1.กำหนดให้อาคารสูงต้องจัดให้มีช่องทางเฉพาะเช่น ลิฟต์ดับเพลิงหรือช่องบันไดหนีไฟ สำหรับให้บุคคลภายนอกเข้าไปบรรเทาสาธารณภัยได้ทุกช่องทาง
2.กำหนดให้อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องจัดให้มีพื้นที่สำหรับยานพาหนะในการปฏิบัติการด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยหรือภัยพิบัติอย่างอื่นได้แก่ รถดับเพลิง อย่างน้อย 1 คัน และรถพยาบาลหรือรถปฏิบัติการฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน อย่างน้อย 1 คัน รวมทั้งอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่เป็นอาคารสาธารณะต้องจัดให้มีพื้นที่หรือตำแหน่งเพื่อติดตั้งเครื่องฟื้นคืนหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ตลอดจนกำหนดเพิ่มเติมรูปแบบ สัญลักษณ์ และรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่สำหรับยานพาหนะ
3.กำหนดให้อาคารสูงต้องจัดให้มีลิฟต์ดับเพลิง อย่างน้อย 1 ชุดสามารถจอดได้ทุกชั้นของอาคาร บริเวณห้องโถงหน้าลิฟต์ทุกชั้นต้องติดตั้งตู้หัวฉีดน้ำดับเพลิงหรือหัวต่อสายฉีดน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์อื่น ๆ และต้องมีผนังหรือประตูที่ทำด้วยวัตถุทนไฟปิดกั้นเปลวไฟหรือควันไฟได้ รวมทั้งมีหน้าต่างเปิดออกสู่ภายนอกอาคารได้โดยตรง ตลอดจนสามารถนำไปใช้เป็นลิฟต์โดยสารได้
4. กำหนดให้อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่เป็นอาคารสาธารณะตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไป ต้องจัดให้มีลิฟต์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยหรือผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างน้อย 1 ชุด สามารถจอดได้ทุกชั้นของอาคาร
5. กำหนดให้อาคารที่มีอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ หรือได้ยื่นขออนุญาต หรือได้แจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและอยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามในเรื่องด้านแคบที่สุดของห้องว่างติดกับช่องทางเฉพาะสำหรับบุคคลภายนอกเข้าไปบรรเทาสาธารณภัย
7.เรื่องร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. อก. ได้มีการถ่ายโอนภารกิจการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่กรุงเทพมหานครตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้แก่กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 1 กันยายน 2552เมืองพัทยาตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้แก่เมืองพัทยา ลงวันที่19ตุลาคม 2552 และเทศบาลตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้แก่เทศบาล ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2552 ยกเว้นองค์การบริหารส่วนตำบลที่ยังไม่มีการถ่ายโอนภารกิจ
2. อก. พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 8 กันยายน 2563) ประกอบกับการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) จะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการติดต่อกับหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นการลดภาระของประชาชนในการที่จะต้องเดินทางมาติดต่อราชการด้วยตนเอง จึงดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 สามารถดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1) กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 ก่อนจะเริ่มประกอบกิจการโรงงาน ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้รวมถึงการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
2) กำหนดให้เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบกิจการตามข้อ 1) แล้ว ให้ออกใบรับแจ้ง โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตามกฎหมาย
3) กำหนดให้หากการดำเนินการแจ้งและรับแจ้งตามข้อ 1) และข้อ 2) ไม่สามารถดำเนินการได้โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้ดำเนินการ ณ สถานที่ ดังนี้
(1)โรงงานในเขตกรุงเทพมหานครให้กระทำ ณ กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตามกฎหมาย
(2)โรงงานในจังหวัดอื่นให้กระทำ ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตามกฎหมาย
4) กำหนดให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
8.เรื่องร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
คค. เสนอว่า เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี พ.ศ. 2564 มีวันหยุดต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 12 – 15 เมษายน 2564 จึงคาดหมายได้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา เป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งคาดว่าจะมีปัญหาการจราจรติดขัดยาวหลายกิโลเมตร เนื่องจากประชาชนรอชำระค่าธรรมเนียมผ่านทาง การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ในวันหยุดต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัวช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ สมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี พ.ศ. 2564 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ให้ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียนตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 16 เมษายน 2564
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. …. ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้
ปีที่
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในงานสัมมนา OECD ย้ำเจตนารมณ์ “ปราบปรามการทุจริต” ยึดหลัก Good Governance ทุกโครงการ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในงานสัมมนา OECD ย้ำเจตนารมณ์ “ปราบปรามการทุจริต” ยึดหลัก Good Governance ทุกโครงการ
นายกรัฐมนตรีเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในงานสัมมนา OECD ย้ำเจตนารมณ์ “ปราบปรามการทุจริต” ยึดหลัก Good Governance ทุกโครงการ
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยเตรียมพร้อมเป็น 1 ใน 14 ผู้นำภาครัฐและภาคธุรกิจที่กล่าวถ้อยแถลงในงานสัมมนาประจำปี องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OCED) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรื่องต่อต้านการทุจริตและส่งเสริมความซื่อสัตย์ ระหว่างวันที่ 23 – 25 มีนาคม 2564 โดยครั้งนี้จะมีผู้นำจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีเผยการสัมมนาฯ ให้ความสำคัญกับบทบาทความซื่อตรงและป้องกันการทุจริต ภายหลังการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาระดับโลก ระดับอาเซียน ที่บั่นทอนการพัฒนาของทุกประเทศในโลกและส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทุกคน ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ได้ร่วมกับ OECD เพื่อจัดทำโครงการเสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ (Thailand Integrity Review) และประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกที่ได้ดำเนินโครงการร่วมกับ OECD ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการขับเคลื่อนกระบวนการปฏิบัติต่อไปอย่างดีที่สุด เพื่อยกลำดับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยให้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหาร ไม่มีอำนาจก้าวล่วงฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ซึ่งได้ย้ำคณะรัฐมนตรีทุกกระทรวงให้มีหลักธรรมภิบาลเป็นแนวทางปฏิบัติภารกิจ และยึดหลัก Good Governance ทุกโครงการ ทุกกิจกรรมจะต้องดำเนินการความด้วยความโปร่งใส สุจริต มีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้ในทุกมิติ ตั้งแต่นโยบายขับเคลื่อน ผู้บังคับบัญชาลงไปถึงผู้ปฏิบัติ กำชับให้มีการทำงานเชิงรุก กำหนดเป้าหมายชัดเจน ทุกโครงการจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการค้าและการลงทุนที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบทุกประการ พร้อมฝากให้ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าสมยอมให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ก่อให้เกิดการทุจริต ซึ่งได้มอบแนวทางปฏิบัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรวมถึงทุก ๆ การประชุม กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติงานอย่างรัดกุมเข้มงวด โปร่งใส ตรวจสอบได้
นายกรัฐมนตรียังเผยว่าการแจ้งข้อมูลการกระทำผิดกฎหมายรายวัน รายสัปดาห์ ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลที่ส่งเข้ามานายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว อาทิ บ่อนการพนัน แรงงานผิดกฎหมาย รวมทั้งให้ความสำคัญในการตรวจสอบการจัดส่งพัสดุต่าง ๆ เพื่อการป้องกันการส่งพัสดุผิดกฎหมายผ่านไปรษณีย์ และให้กระทรวงการต่างประเทศเข้มงวดในการกรอกพาสปอร์ตเพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ ทุกกระทรวงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยันไม่ปิดกั้น พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
อนุทิน ยืนยันไม่ปิดกั้น พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลไม่มีนโยบายปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าและใช้วัคซีนโควิด 19 ขณะนี้มีผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 แล้ว 4 ราย ส่วนกรณีโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาตนำเข้ายาอยู่แล้ว หากประสงค์จะนำเข้าวัคซี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลไม่มีนโยบายปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าและใช้วัคซีนโควิด 19 ขณะนี้มีผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 แล้ว 4 ราย ส่วนกรณีโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาตนำเข้ายาอยู่แล้ว หากประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด19 ให้มาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนอีกครั้ง เป็นหลักปฏิบัติสากล
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม เพื่อชี้แจงขั้นตอนการนำเข้า การขึ้นทะเบียน การกระจาย และการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แก่สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมและตัวแทนโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวก เปิดช่องทางพิเศษในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 สำหรับภาคเอกชน โดยต้องมายื่นเป็นผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก่อน และยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากนั้น อย.จะพิจารณาจากเอกสาร ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผล เพื่อให้สามารถอนุมัติทะเบียนโดยเร็วที่สุด
ในส่วนกรณีผู้ได้รับอนุญาตนำเข้ายาอยู่แล้ว เช่น โรงพยาบาลเอกชน หากประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด 19ก็ต้องมาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ปัจจุบันมีผู้มายื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 กับ อย. แล้ว จำนวน 4 ราย ได้แก่ โควิด 19 วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และโคโรนาแวค ของบริษัท ซิโนแวค นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้ง 2 ราย และอีก 2 รายได้แก่ วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยบริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด และวัคซีนของบริษัท บารัต ไบโอเทค เทคโนโลยี โดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด อยู่ระหว่างการยื่นเอกสาร
“กระทรวงสาธารณสุขยินดีและขอบคุณภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมดูแลสุขภาพประชาชน พร้อมอำนวยความสะดวกและสนับสนุนเต็มที่ เป็นการแบ่งเบาภาระรัฐบาล ช่วยให้การกระจายวัคซีนทั่วถึง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีโอกาสไปดูแลประชาชนในส่วนที่จำเป็น ” นายอนุทินกล่าว
สำหรับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีน 19 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีนำเข้า ดำเนินการดังนี้ 1.ให้ยื่นคำขอใบอนุญาตสถานประกอบการด้านยา โดยต้องมีสำนักงาน มีสถานที่เก็บยา มีเภสัชกรประจำ 2.ยื่นคำขอหนังสือรับรองมาตรฐานสถานที่ผลิตยา ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารคำขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 ผ่านการประเมินวิชาการ ด้านคือ คุณภาพ ความปลอดภัย ประสิทธิผล และแผนการจัดการความเสี่ยงของวัคซีน ผ่านที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 ทั้งนี้ ขั้นตอนตั้งแต่การประเมินวิชาการถึงการอนุมัติจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน
อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งนี้ ผู้แทนสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรม ได้กล่าวยืนยันพร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้าไปได้
********************************8 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39757 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.นพรัตนราชธานี เปิดห้องสวนหัวใจ รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยไม่ต้องผ่าตัด รองรับคนกทม.ฝั่งตะวันออกและพื้นที่ใกล้เคียง | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
รพ.นพรัตนราชธานี เปิดห้องสวนหัวใจ รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยไม่ต้องผ่าตัด รองรับคนกทม.ฝั่งตะวันออกและพื้นที่ใกล้เคียง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ลดอัตราการเสียชีวิต ลดระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาล รองรับผู้ป่วยในกทม.ฝั่งตะวันออกและในพื้นที่ใกล้เคียง ที่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และคณะผู้บริหาร เปิดห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดร.สาธิตกล่าวว่า โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและกล้ามเนื้อหัวใจตายมีแนวโน้มสูงขึ้น และมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งของผู้ป่วยหัวใจและหลอดเลือด เป็นภาวะวิกฤตชีวิตที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ในกทม.ฝั่งตะวันออกและในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิเขตบางกะปิ สะพานสูงบึงกุ่ม ลาดกระบัง มีนบุรี หนองจอกสวนหลวง ลาดพร้าว บางเขน สายไหม หลักสี่ ดอนเมือง ที่มีรพ.นพรัตนราชธานีรองรับแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายมารับบริการที่ห้องฉุกเฉินถึง400 - 450 รายคิดเป็นร้อยละ 20 ของผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมด พบอัตราการเสียชีวิตสูงร้อยละ10 เนื่องจากต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพสูงกว่า จึงได้พัฒนาศักยภาพด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
“การเปิดให้บริการห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานีในครั้งนี้จะช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้เป็นไปตามมาตรฐาน ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ได้ผลที่แม่นยำ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ แผลมีขนาดเล็ก ลดระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาล ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ประชาชนในพื้นที่กทม.ฝั่งตะวันออกและในพื้นที่ใกล้เคียงเข้าถึงบริการ สะดวกใกล้บ้าน” ดร.สาธิตกล่าว
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เป็นโรงพยาบาลขนาด 595 เตียง ในสังกัดกรมการแพทย์ ให้บริการทางการแพทย์ครบทุกสาขา ปัจจุบันมีอายุรแพทย์โรคหัวใจ 3 คน จบหลักสูตรอนุสาขาหัตถการปฏิบัติการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด จากสถาบันโรคทรวงอกจำนวน 1 คน ได้พัฒนาศักยภาพการรักษาผู้ป่วยหัวใจและหลอดเลือด สามารถรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Catheterization Laboratory Unit) ไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้วิธีการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนเพื่อให้เลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ และการใส่ขดลวดตาข่ายในเส้นเลือดหัวใจตีบเพื่อป้องกันการตีบซ้ำของเส้นเลือด นอกจากนี้ การพัฒนาบริการด้านโรคหัวใจแล้ว โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ยังเป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์และการพัฒนาหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ โดยห้องสวนหัวใจและหลอดเลือดจะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน และผู้ที่สนใจศึกษาดูงานด้วย
***************************** 25 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40359 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ นำคณะลงพื้นที่หนองคาย ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการฟาร์มเลี้ยงปลานิลต้นแบบ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมนำเอาเทคโนโลยี IoT Smart Factory มาใช้ในกระบวนการผลิต | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ปลัดกอบชัยฯ นำคณะลงพื้นที่หนองคาย ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการฟาร์มเลี้ยงปลานิลต้นแบบ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมนำเอาเทคโนโลยี IoT Smart Factory มาใช้ในกระบวนการผลิต
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท นาคราช ฟาร์ม 168 จำกัด อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
วันนี้ (5 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท นาคราช ฟาร์ม 168 จำกัด อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงปลานิลแบบบ่อผ้าใบที่มีระบบและขนาดใหญ่ รวมถึงการสร้างระบบลูกฟาร์ม (ผู้อนุบาลลูกปลา) โดยมีคู่ค้าหลักของธุรกิจ คือ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในการซื้อขายลูกพันธุ์ปลานิลและอาหารปลา รวมทั้งขายส่งให้กับลูกค้ารายย่อยในพื้นที่อำเภอท่าบ่อ และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชน กว่า 150 ราย โดยในแต่ละปีสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 250 ล้านบาทต่อปี
โดยบริษัทฯ มีความต้องการพัฒนาระบบ Smart Farm โรงเรือนอบพาราโบลา (Solar Green House) และเครื่องแยกเนื้อและเปลือกหอยเชอรี่ในกิจการ ซึ่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) สาขาหนองคาย เข้ามาหารือเกี่ยวกับกองทุน และไ้ด้มอบหมายให้ทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 4 ประสานทางสถาบันไทย-เยอรมัน ว่าในประเทศไทยมีเครื่องจักรที่ทางบริษัทฯ ต้องการหรือไม่ เพื่อจะได้เครื่องจักรที่มีคุณภาพ ราคาที่ถูก และมีการซ่อมบำรุงในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามมาตรการ “ผลิตได้ ขายได้ อยู่ด้วยกันได้” เป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพ ตามแนวทาง "ตลาดและนวัตกรรม นำอุตสาหกรรมไทย" พร้อมชื่นชมบริษัทฯ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ
ที่ผ่านมา บริษัทฯ เข้าร่วมโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. โครงการการพัฒนาการรวมกลุ่ม SMEs และเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (Cluster) ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการบริษัทฯ มีสถานที่ผลิตที่มีมาตรฐานในการผลิตที่ดี สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค 2. โครงการยกระดับศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่สากล (ITC) กิจกรรมยกระดับกระบวนการผลิตสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ (Process Transform) ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการบริษัทฯ สามารถลดต้นทุนด้านแรงงาน และลดต้นทุนด้านการผลิตจากการพัฒนาระบบ IoT Smart Factory โดยบริษัทฯ สามารถลดต้นทุนได้กว่า 126,000 บาท/ปี และ 3. การเชื่อมโยงตลาดและการบูรณาการโดยร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการธุรกิจ การเพิ่มช่องทางการตลาด ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการบริษัทฯ สามารถเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบ โดยได้เชื่อมโยงธุรกิจกับผลิตภัณฑ์ปลาร้า ตรา แซ่บไมค์ (ZAP MIKE) และบริษัท อำพลฟู๊ดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด
โดยมีนายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น นายติณห์ เจริญใจ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 นายพิชิต มิทราวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ SME D Bank ร่วมลงพื้นที่ และมีคุณจีระวัฒน์ ศรีบ้านโพน เจ้าของบริษัทฯ และนายพรภิรมย์ พินทะปะกัง (ไมค์ ภิรมย์พร) เจ้าของแบรนด์แซ่บไมค์ ให้การต้อนรับ #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustrymoi #SMEDBank #IoTSmartFactory
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39659 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานผลการปฏิบัติการ "ชุมชนสีขาวสร้างสุข" ณ สุเหร่าปากคลองลำรี | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานผลการปฏิบัติการ "ชุมชนสีขาวสร้างสุข" ณ สุเหร่าปากคลองลำรี
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานผลการปฏิบัติการ "ชุมชนสีขาวสร้างสุข" ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันพุธที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๗.๓๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงานผลการปฏิบัติการ "ชุมชนสีขาวสร้างสุข" ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. โดยมีนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และประชาชนชุมชนสุเหร่าปากคลองลำรี เข้าร่วมต้อนรับฯ ณ มัสยิดน๊ะฮ์ฎอตุ๊ลอิสลาห์ สุเหร่าปากคลองลำรี ตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เครือข่ายตามกองทุนแม่ของแผ่นดิน และเป็นตำบลสีขาวในด้านการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีภารกิจ ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนหลากหลายด้านไม่เพียงแต่เรื่องของยาเสพติดเท่านั้น ยังมีหน่วยงานต่างๆ ที่จะช่วยดูแลประชาชนในด้านการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท การช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม การสร้างสังคมให้ปลอดภัยด้วยการใช้เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (กำไล EM) เป็นต้น โดยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งฝ่ายปกครอง และตำรวจ ทั้งนี้ ปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องที่รัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญ และได้มีแนวทางในการปราบปรามยาเสพติดด้วยการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเครือข่ายยาเสพติด ด้วยการเพิ่มเป้าหมายการยึดทรัพย์จากเดิม ๖๐๐ ล้านบาทต่อปี เป็น ๖,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ทางกฎหมายจะเปิดโอกาสให้สามารถยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดย้อนหลังได้ด้วย โดยต้องรอการผลพิจารณาประมวลกฎหมายยาเสพติดภายในต้นเดือนหน้า
จากนั้น รมว.ยุติธรรม ได้เยี่ยมชมผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในพื้นที่จากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตำบลละหาร เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40374 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ติวเข้มเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เตรียมรับพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
กรมการจัดหางาน ติวเข้มเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เตรียมรับพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
อธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งเตรียมความพร้อมก่อน พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2564
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานในฐานะหน่วยงานของรัฐ ให้ความสำคัญกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเห็นถึงความจำเป็นที่ผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงาน ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจตามข้อกำหนดของกฎหมาย เพื่อนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับภารกิจกรมการจัดหางานในการส่งเสริมการมีงานทำ และคุ้มครองคนหางาน ซึ่งประกอบด้วย ด้านจัดหางานในประเทศ ด้านจัดหางานต่างประเทศ ด้านการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว รวมทั้งการตรวจและคุ้มครองคนหางาน ซึ่งภารกิจในแต่ละด้านมีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งในกระบวนการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้ปฏิบัติงาน และการประมวลผลโดยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล
“วันที่ 12 มีนาคม 2564 กรมการจัดหางาน มีการจัดอบรมพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ผ่านสื่อออนไลน์ แบบสื่อสารสองทาง (VDO Conference) โดยมอบหมายนายสมชาย มรกตศรีวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นประธานเปิดการอบรม และเป็นตัวแทนผู้บริหารในการซักซ้อมเตรียมความพร้อมก่อนพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ร่วมกับผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรทราบแนวทางป้องกันการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล หรือสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าของข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นของประชาชนเจ้าของข้อมูล ในส่วนของหน่วยงานสามารถยกระดับความเชื่อมั่นในมาตรฐานการจัดเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล มีขอบเขตในการจัดเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน และการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลมีความโปร่งใส รับผิดชอบต่อสังคม ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ทางกรมฯยังมีเป้าหมายให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากทุกจังหวัด เป็นผู้นำร่องปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ครบถ้วน ลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายตามพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสามารถแนะนำ ถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานได้” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
นายสุชาติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้เริ่มสร้างกระบวนการและแนวทางปฏิบัติที่รัดกุม ชัดเจน เพื่อให้มีองค์ความรู้ และการเตรียมความพร้อมในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้บริหาร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในงานบริการประชาชนและป้องกันการกระทำผิด ซึ่งมีบทลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญา
สำหรับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 นี้มีสาระสำคัญเพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสม ส่งเสริมการใช้ข้อมูลในการพัฒนานวัตกรรมอย่างมั่นคงปลอดภัย สร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล และสุดท้ายเพื่อให้มีมาตรการเยียวยาจากการถูกละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39931 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ทส. ยืนยันเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บ้านบางกลอยล่าง ให้เพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านที่ยังขาดแลน | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
ปลัด ทส. ยืนยันเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บ้านบางกลอยล่าง ให้เพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านที่ยังขาดแลน
ปลัด ทส. ยืนยันเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บ้านบางกลอยล่าง ให้เพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านที่ยังขาดแลน
ปลัด ทส. ยืนยันเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บ้านบางกลอยล่าง ให้เพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านที่ยังขาดแลน
วันนี้ (14 มีนาคม 2564) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานให้กับชาวบ้านบางกลอยล่าง ณ ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) ที่ยืนยันให้เร่งแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานให้กับชาวบ้านบางกลอยล่าง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชาวบ้านสามารถทำกินในพื้นที่ที่จัดสรรให้ ได้โดยเร็ว
โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจสภาพแวดล้อมของพื้นที่โดยรอบบ้านบางกลอยล่าง พร้อมพูดคุยสอบถามถึงสภาพพื้นที่ สภาพปัญหา และสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างชัดเจนร่วมกับผู้นำชุมชนทั้ง 2 หมู่บ้าน พร้อมตรวจติดตามการดำเนินงานระบบโครงสร้างพื้นฐานของบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยล่าง อาทิ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบ้านบางกลอย โครงการพัฒนาระบบผลิตน้ำดื่มจากน้ำบาดาล และการสำรวจแปลงที่ดินทำกิน นอกจากนี้ ยังได้เดินดู
ในโอกาสนี้ นายจตุพร ยังได้แวะเยี่ยมบ้านของ นอแอ๊ะ มีมิ ลูกชายของปู่คออี้ มีมิ อดีตผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้านบางกลอย พร้อมมอบข้าวสารและอาหารแห้งให้กับชาวบ้าน และมอบทุนอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโป่งลึก-บางกลอย
นายจตุพร กล่าวว่า “วันนี้การทำงานของภาครัฐต้องปรับท่าที ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันด้วยความอะลุ้มอล่วย ส่วนเรื่องไหนที่ผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน ต้องชัดเจน ส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นปัญหาอยู่ต้องสะสางโดยเร็ว โดยเริ่มต้นต้องช่วยกันเคลียร์พื้นที่ร่วมกับชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ ส่วนเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติม ให้เร่งสำรวจและวางระบบกระจายน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยล่างต่อไป โดยให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-[ข่าวปลอม] ขสมก. เตรียมยกเลิกรถเมล์แก้ปัญหารถติด ภายในเดือนมกราคม ปี 2565 | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
[ข่าวปลอม] ขสมก. เตรียมยกเลิกรถเมล์แก้ปัญหารถติด ภายในเดือนมกราคม ปี 2565
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ขสมก. ยังไม่มีแผนในการยกเลิกให้บริการรถเมล์
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ขอชี้แจงข้อเท็จจริงจากประเด็นเตรียมยกเลิกรถเมล์แก้ปัญหารถติด ภายในเดือนมกราคม ปี 2565 ว่า ขสมก. ยังไม่มีแผนในการยกเลิกให้บริการรถเมล์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการองค์การต่อคณะรัฐมนตรี โดยในแผนจะมีการเช่ารถเพื่อมาวิ่งให้บริการประชาชนเพิ่ม และในอนาคตจะมีเฉพาะรถโดยสารปรับอากาศเท่านั้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39505 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยส่งมอบมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบการจัดสร้างพระพุทธชินญาณวิสุทธิ พระพุทธรูปประจำสำนักงาน ก.พ. | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ปลัดกระทรวงมหาดไทยส่งมอบมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบการจัดสร้างพระพุทธชินญาณวิสุทธิ พระพุทธรูปประจำสำนักงาน ก.พ.
ปลัดกระทรวงมหาดไทยส่งมอบมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบการจัดสร้างพระพุทธชินญาณวิสุทธิ พระพุทธรูปประจำสำนักงาน ก.พ.
เมื่่อวันที่ 4 มี.ค. 64 เวลา 14.00 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบมวลสารศักดิ์สิทธิ์ประกอบการจัดสร้างพระพุทธชินญาณวิสุทธิ พระพุทธรูปประจำสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) โดยมี หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล เลขาธิการ ก.พ. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นางสาวสุลักขณา ธรรมานุสติ รองเลขาธิการ ก.พ. นางชุติมา หาญเผชิญ รองเลขาธิการ ก.พ. นางสุทธิลักษณ์ เอื้อจิตถาวร ที่ปรึกษาระบบราชการ ร้อยตำรวจโทหญิง สุทธิมา พิพัฒน์พิบูลย์ ที่ปรึกษาระบบราชการ และผู้บริหารสำนักงาน ก.พ. ร่วมรับมอบ
หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.พ. จะดำเนินการสร้างพระพุทธรูปประจำสำนักงาน ก.พ.เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช 2471 และเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ. ทุกคน ให้ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรมอันดีงาม โดยได้รับเมตตาจาก สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดประทานนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธชินญาณวิสุทธิ” แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้ทรงชนะมารและมีพระญาณอันหมดจด โดยได้ขอความอนุเคราะห์กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนมวลสารศักดิ์สิทธิ์จากพระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนเคารพนับถือจากทุกจังหวัดทั่วประเทศมาประกอบการจัดสร้างพระพุทธรูป
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดสร้างพระพุทธรูปประจำสำนักงาน ก.พ. โดยได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดพิจารณาจัดหามวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจังหวัดจังหวัดละ 1 มวลสาร เช่น แผ่นทองคำเปลว แผ่นเงิน แผ่นนาคที่ลงอักขระโดยพระเกจิอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน ชนวนพระเก่าชนวนโลหะจากการสร้างวัตถุมงคล ผงพระ ผงธูปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบโพธิ์และเกสรดอกไม้ อิฐและดินจากศาลหลักเมือง เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
การให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เริ่มต้นในปี 2563 ยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เริ่มต้นในปี 2563 ยังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ผ่านมาตรการเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งรวมถึงการตราพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 19 เมษายน 2564
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงมีความรุนแรง ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ภาคธุรกิจมีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจในการเข้าถึงสภาพคล่องและแหล่งทุน ปัจจัยดังกล่าวประกอบกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้ทำให้ความรุนแรงของผลกระทบและความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาคส่วนต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบธุรกิจในบางอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงและคาดว่าอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นตัว เช่น กรณีผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งผลสำรวจของผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization : UNWTO) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 พบว่า ร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะกลับมาสู่ระดับเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 อย่างเร็วที่สุดในปี 2567 เป็นต้น ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการสินเชื่อเพิ่มเติมเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มนี้ได้อย่างตรงจุดและเพียงพอ เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มดังกล่าวยังไม่สามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพแต่ยังคงมีภาระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loans : NPLs) เลิกกิจการถาวร ขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหรือถูกยึดทรัพย์สินดังกล่าวและขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง (Fire Sale)
ภาครัฐจึงมีความจำเป็นความจำเป็นเร่งด่วนต้องออกมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจเพิ่มเติมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอเพื่อให้ภาครัฐสามารถปรับปรุงเงื่อนไขการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจใด้อย่างทันการณ์ เหมาะสม และเพียงพอกับสภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่การระบาดของโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนสูงได้ ผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ซึ่งการดำเนินดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมิให้ปัญหาการขาดสภาพคล่องและปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจลุกลาม ผ่านกลไกการจ้างงานและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อันจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งยากต่อการแก้ไขในภายหลัง และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมีความจำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อให้หน่วยงานที่ข้องสามารถดำเนินมาตรการได้และให้การดำเนินมาตรการบรรลุวัตถุประสงค์ คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 จึงได้เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนดำเนินการตามกระบวนการตรากฎหมายต่อไป โดยมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจสามารถสรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
การให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกอบไปด้วย 2 มาตรการ ได้แก่
1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท
มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูกำหนดกลไกการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่มีพื้นฐานดีแต่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ให้เข้าถึงสินเชื่อในอัตราที่เหมาะสมผ่านกลไกการลดความเสี่ยงด้านเครดิตของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มดังกล่าวสามารถประคับประคองธุรกิจและรักษาการจ้างงาน รวมทั้งปรับปรุงธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งแห่งใด ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยสถาบันการเงินจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรกของสัญญา และเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรกที่สถาบันการเงินได้รับแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูกำหนดให้มีกลไกค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจ ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ภาระชดเชยค้ำประกันสูงสุดร้อยละ 40 ของวงเงินสินเชื่อภายใต้โครงการ ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมดังกล่าวโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปี ตลอดสัญญาได้
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดจำนองหลักทรัพย์ค้ำประกันจากการดำเนินการตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู เหลือร้อยละ 0.01 เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท
มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้กำหนดกลไกในการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพ แต่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการฟื้นตัว โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินเป็นการชั่วคราวและไม่ถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลักประกันในราคาต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง (Fire Sale) ให้แก่กลุ่มทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีโอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจโดยใช้ทรัพย์สินหลักประกันเดิมได้หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยให้สถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันที่โอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่มีเงินกู้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน และมีข้อตกลงให้สิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันนั้นกลับคืนในภายหลังตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนด ซึ่งรวมถึงราคาที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันซื้อทรัพย์สินนั้นคืนจากสถาบันการเงิน โดย ธปท. จะสนับสนุนแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันการเงิน เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถขายทรัพย์สินคืนให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินรายเดิมในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป นอกจากนี้ สถาบันการเงินสามารถให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินเช่าทรัพย์สินนั้นเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงระยะเวลามาตรการได้อีกด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะยกเว้นภาระภาษีอากรที่เกิดขึ้นจากการตีโอนทรัพย์ตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้สำหรับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ และผู้ประกอบธุรกิจผู้กู้หรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกัน นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจากผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันให้สถาบันการเงิน และจะลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันในกรณีที่ซื้อทรัพย์สินนั้นคืนจากสถาบันการเงินเพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
โดยทั้ง 2 มาตรการมีระยะเวลาการดำเนินการ 2 ปี โดยคณะรัฐมนตรีสามารถขยายระยะเวลามาตรการออกไปได้อีก 1 ปี ในกรณีที่มีความจำเป็นและมีวงเงินเหลืออยู่ และคณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติให้เกลี่ยวงเงินระหว่างมาตรการได้
กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวันนี้ จะสามารถยกระดับการช่วยเหลือฟื้นฟูให้ครอบคลุมผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 ทุกกลุ่มได้อย่างตรงจุดและเพียงพอ รวมถึงมีความยืดหยุ่นทำให้ภาครัฐสามารถปรับปรุงเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยกฎหมาย จะเป็นกลไกหลักของภาครัฐในการรักษาการจ้างงาน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ สามารถป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจในระบบสถาบันการเงินได้ นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางสำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับรักษาเสถียรภาพระบบการเงินและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ธนาคารแห่งประเทศไทย 0 2283 6112
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 0 2273 9020 ต่อ 3276
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40259 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยาย หลักสูตร “อัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 7 เรื่อง | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยาย หลักสูตร “อัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 7 เรื่อง
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส บรรยาย หลักสูตร “อัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 7 เรื่อง "ภัยคุกคาม การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยี"
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นวิทยากรบรรยาย หลักสูตร “อัยการพิเศษฝ่าย” รุ่นที่ 7 หัวข้อ "ภัยคุกคาม การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยี" ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ซึ่งมีอัยการพิเศษฝ่าย และบุคลากรภายนอกจากหน่วยราชการอื่น ร่วมอบรมจำนวน 90 คน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม รับทราบและเข้าใจถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และแนวทางการป้องกันและปราบปรามเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล กับกระแสการเปลี่ยนแปลงโลก หลักการและสาระสำคัญทางกฎหมายการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งวิธีการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการกำกับติดตามการปฏิบัติงานของ สอจ. 76 จังหวัด | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
การประชุมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการกำกับติดตามการปฏิบัติงานของ สอจ. 76 จังหวัด
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการกำกับติดตามการปฏิบัติงานของ สอจ. 76 จังหวัด
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการกำกับติดตามการปฏิบัติงานของ สอจ. 76 จังหวัด โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ นายสมพล โนดไธสง นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับการประชุมดังกล่าว เป็นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ สปอ. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ กลไกในการปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างการทำงานของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ให้สอดคล้องตามนโยบายการปฏิรูประบบราชการสู่ 4.0 ในด้าน Digital Transformation โดยได้พัฒนาระบบการกำกับติดตามการปฏิบัติงานที่สำคัญของ สำนักงานจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ซึ่งในระยะแรกได้พัฒนางานการกำกับติดตามกระบวนงานพิจารณาการอนุญาตต่าง ๆ ของ สอจ. ตาม พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 หรือระบบ I-control ผ่านระบบ Application/Software ชื่อ I-Control (i-C) ทั้งนี้ ยังมีอุตสาหกรรมจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด เข้าร่วมการประชุมทางไกลผ่านระบบ Web Conference (ZOOM) อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39885 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา คณะอนุกรรมการฯ ผู้แทนจากกระทรวงต่าง ๆ อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39990 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ต้อนรับอัครราชทูตญี่ปุ่น หารือความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เร่งพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (AJCCBC) โครงการ INNO-vation และโครงการ Local 5G | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ดีอีเอส ต้อนรับอัครราชทูตญี่ปุ่น หารือความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เร่งพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (AJCCBC) โครงการ INNO-vation และโครงการ Local 5G
ดีอีเอส ต้อนรับอัครราชทูตญี่ปุ่น หารือความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เร่งพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (AJCCBC) โครงการ INNO-vation และโครงการ Local 5G
เมื่อวันที่8มีนาคม2564นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้การต้อนรับMr. OBA Yuichiอัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นในโอกาสขอเข้าเยี่ยมคารวะณห้องรับรองชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในโอกาสนี้Mr. OBA Yuichiได้นำเรียนความคืบหน้าโครงการสำคัญที่ดำเนินร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอาทิการจัดการอบรมภายใต้ศูนย์ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์(AJCCBC)โครงการINNO-vationและโครงการLocal 5G พร้อมกันนี้ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯได้แสดงความขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนความร่วมมือด้านต่างๆตลอดปีที่ผ่านมาเป็นอย่างดีและแจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงแผนการจัดพิธีเปิดศูนย์AJCCBCที่คาดว่าจะจัดขึ้นภายในปีนี้หลังจากกิจกรรมดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด– 19และความประสงค์ผลักดันการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านกิจการไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่น
****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39770 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยผนึก DBS สิงคโปร์เปิดบริการโอนเงินไปต่างประเทศกึ่งเรียลไทม์ ค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
กรุงไทยผนึก DBS สิงคโปร์เปิดบริการโอนเงินไปต่างประเทศกึ่งเรียลไทม์ ค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท
กรุงไทยร่วมกับ DBS หนึ่งในผู้นำด้าน Digital Banking ของโลก เปิดให้บริการโอนเงินไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการโอนเงินระหว่างประเทศกึ่งเรียลไทม์ นำร่อง 4 สกุลเงินหลัก ได้แก่ USD GBP HK และ SGD ด้วยโปรโมชั่นค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท ถึง 30 เมษายน 2564
นายพิชิต จงสฤษดิ์หวัง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมกับ DBS หนึ่งในผู้นำด้าน Digital Banking ของโลก เปิดให้บริการโอนเงินไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการโอนเงินระหว่างประเทศกึ่งเรียลไทม์ นำร่อง 4 สกุลเงินหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ(USD) ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) ดอลลาร์ฮ่องกง (HK) และ ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) ด้วยโปรโมชั่นค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท ถึง 30 เมษายน 2564 โดยสามารถเลือกหักเงินจากบัญชีเงินฝาก หรือ Krungthai Travel Card ด้วยเรทดีที่สุด พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ และจะพร้อมให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ภายในเดือนเมษายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Krungthai Call Center โทร. 02-111-1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ” ชื่นใจ ความสำเร็จน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรที่อำนาจเจริญ หลังช่วยชาวบ้านหนองเม็ก พ้นภัยแล้งซ้ำซาก ปลูกผักอินทรีย์ขายได้เดือนละ 8 แสนบาท | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
"วราวุธ” ชื่นใจ ความสำเร็จน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรที่อำนาจเจริญ หลังช่วยชาวบ้านหนองเม็ก พ้นภัยแล้งซ้ำซาก ปลูกผักอินทรีย์ขายได้เดือนละ 8 แสนบาท
"วราวุธ” ชื่นใจ ความสำเร็จน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรที่อำนาจเจริญ หลังช่วยชาวบ้านหนองเม็ก พ้นภัยแล้งซ้ำซาก ปลูกผักอินทรีย์ขายได้เดือนละ 8 แสนบาท
"วราวุธ” ชื่นใจ ความสำเร็จน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรที่อำนาจเจริญ หลังช่วยชาวบ้านหนองเม็ก พ้นภัยแล้งซ้ำซาก ปลูกผักอินทรีย์ขายได้เดือนละ 8 แสนบาท
วันนี้ (20 มี.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำทีมลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรบ้านหนองเม็ก จ.อำนาจเจริญ พร้อมเยี่ยมชมระบบการบริหารจัดการน้ำบาดาล ของกลุ่มผักอินทรีย์บ้านหนองเม็ก การให้น้ำระบบน้ำหยดและระบบพ่นหมอกในแปลงปลูกผักอินทรีย์ รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ในโรงงานบรรจุผลผลิต หลังโครงการสำเร็จช่วยชาวบ้านพ้นภัยแล้งซ้ำซาก มีน้ำบาดาลใช้ ปลูกผักอินทรีย์ขายรายได้ถึงเดือนละ 8 แสนบาท โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วม และมีนายพิจิตร บุญทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้ให้ความสนใจและชื่นชมการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกร ที่มีความเข้มแข็ง สามารถต่อยอดผลผลิตจากแหล่งน้ำบาดาลจนเกิดเป็นผลสำเร็จของชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยโครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรบ้านหนองเม็ก เป็นอีกหนึ่งต้นแบบความสำเร็จในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำ ภายใต้การทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญคือ การทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีความสุข โดยเฉพาะเรื่องน้ำกินน้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตร
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2562 และ 2563 ได้จัดสรรงบประมาณในการจัดทำโครงการเพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตร โดยสามารถผลิตน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรเพิ่มขึ้น กว่า 32,850 ลูกบาศก์เมตรต่อปี พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 477 ไร่ เกษตรกรได้รับประโยชน์ 39 ราย และมีโรงเรือนปลูกผักเพิ่มขึ้น 160 โรงเรือน ส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็กสามารถผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพมาตรฐานเพิ่มมากขึ้น และมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตถึงเดือนละ 800,000 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดันไทยเป็นศูนย์กลาง “การผลิต - ส่งออก” ยานยนต์ในอาเซียน | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ดันไทยเป็นศูนย์กลาง “การผลิต - ส่งออก” ยานยนต์ในอาเซียน
...
สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ยังมีคงอยู่ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็ต้องเดินหน้าต่อ ล่าสุด เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันกับ 10 ประเทศในอาเซียน เรื่องการยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียนเป็นที่เรียบร้อย
.
โดยสาระสำคัญของข้อตกลงร่วมกันฯ ได้แก่
1. การปรับมาตรฐานของประเทศสมาชิกอาเซียนให้สอดคล้องกันโดยอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ
2. การยอมรับร่วมในผลการตรวจสอบและรับรองที่ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการทดสอบ หรือหน่วยรับรองที่ขึ้นบัญชีรายชื่อในอาเซียน
3. การปรับระบบด้านกฎระเบียบให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้ผู้ประกอบการภายในภูมิภาค และลดอุปสรรคอันเนื่องมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ
.
จากการบรรลุข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะว่าอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการตรวจสอบรับรองของประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เช่น สถาบันยานยนต์ และศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ คาดว่าปีนี้จะสามารถผลิตรถยนต์ประมาณ 1,500,000 คัน เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 40-45% และการผลิตเพื่อการส่งออก 55-60%
.
ล่าสุด บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์สัญชาติจีน ได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศกว่า 8,000 คน คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39922 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งรัดการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
เร่งรัดการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ
กระทรวงเกษตรฯ ชี้แจงเร่งรัดการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ ให้ได้ตามเป้าหมาย
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ด้วยโปรแกรม Application : Zoom ณ ห้องประชุมจำลอง อัตนโถ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมีหน่วยงานส่วนกลางที่รับผิดชอบเข้าร่วมชี้แจง ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในส่วนภูมิภาคทั้ง 77 จังหวัด
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ชี้แจงแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานโครงการ โดยปัจจุบันมีแปลงใหญ่ที่แจ้งเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 2,856 แปลง และเร่งรัดให้จังหวัดที่มีจำนวนแปลงใหญ่เข้าร่วมโครงการยังไม่ถึงเป้าสร้างทีมสร้างการรับรู้ให้แปลงใหญ่ที่สมัครให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครสวรรค์ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครสวรรค์
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบ ส.ป.ก.4 – 01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครสวรรค์ สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม พัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้มั่งคง และยั่งยืน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ณ ศาลาประชาคมอำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นั้น มีหน้าที่ด้านจัดหาและจัดที่ดินทำกิน พัฒนาพื้นที่ พัฒนาอาชีพ และสนับสนุนเงินทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จังหวัดนครสวรรค์ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เนื้อที่ 1.12 ล้านไร่ โดยมีพื้นที่เขตดำเนินการปฏิรูปที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พื้นที่สาธารณประโยชน์ และที่ราชพัสดุ (ในเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการทหาร) 1.06 ล้านไร่ ครอบคลุม 13 อำเภอ 37 ตำบล ส.ป.ก.นครสวรรค์ได้จัดที่ดินประเภทเกษตรกรรมไปแล้ว จำนวน 39,203 ราย 52,345 แปลง เนื้อที่ 846,733 ไร่ และประเภทชุมชนไปแล้ว จำนวน 15,312 ราย 15,821 แปลง เนื้อที่ 9,132 ไร่ ในส่วนของอำเภอแม่วงก์ มีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดิน 284,859 ไร่ มอบส.ป.ก. 4-01 ให้เกษตรกรไปแล้ว 268,979 ไร่
“ในวันนี้มีความยินดีเป็นอย่าง ที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินประเภทที่อยู่อาศัย (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 236 ราย 239 แปลง เนื้อที่ 163.6 ไร่ เมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว เกษตรกรจะได้รับโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม ได้มีที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอำนวยความสะดวกให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ห่างไกล จะได้ไม่ต้องเดินทางไปสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายแก่เกษตรกร” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ประมาณ 9,598 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 5.948 ล้านไร่ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 อำเภอ ประชากร 1.066 ล้านคน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 95.51 พื้นที่ประกอบเกษตรกรรม 4.495 ล้านไร่ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลักษณะภูมิศาสตร์โดยทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเกษตร เป็นที่ราบประมาณ 3 ใน 4 ของพื้นที่จังหวัด มีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านช่วงกลางของจังหวัด และมีเพียง 6 อำเภอที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำสายหลัก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40143 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้ง ทีมประเทศไทย ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ตั้ง ทีมประเทศไทย ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลขับเคลื่อนโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ปี 2564 – 2568 รวมพลัง 12 กระทรวง กับอีก 1 หน่วยงาน เป็นทีมประเทศไทย เชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเด็กเล็ก เพื่อวิเคราะห์และวางแผนการให้ความช่วยเหลือแบบองค์รวมครอบคลุมทุกมิติเป็นรายครัวเรือน ให้ทุกคนเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาค ทั่วถึง และเท่าเทียม รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตจนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ด้วยกลไกสหวิชาชีพ ร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ อพม. 1 คน ที่จะรับผิดชอบ 10 ครอบครัวโดยจะติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39712 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ติดตามการดำเนินงาน 2 สหกรณ์การเกษตร | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ติดตามการดำเนินงาน 2 สหกรณ์การเกษตร
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ติดตามการดำเนินงาน 2 สหกรณ์การเกษตร ขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์พืชผักปลอดภัย ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเกษตรกรอย่างยั่งยืน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์ผลิตผักปลอดภัยน้ำดุกใต้ จำกัด ตำบลปากดุก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และสหกรณ์การเกษตร คทช. ลุ่มน้ำป่าสักฝั่งซ้าย จำกัด ณ โรงเรียนบ้านห้วยระหงส์ ตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องเกษตรกร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตรให้บรรลุเป้าหมาย จึงได้ดำเนินการสร้างการรับรู้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนนโยบายด้านการเกษตรอื่นๆ แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ เกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการใช้สารเคมี สร้างความแข็งแรงและปลอดภัยแก่เกษตรกรและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังดำเนินโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร และโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกร มีแหล่งจำหน่ายสินค้า โดยเพิ่มทักษะการประกอบการและพัฒนาความเชื่อมโยงของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนทุกระดับ โดยเฉพาะด้านการตลาด การค้าออนไลน์ ระบบบัญชี เพื่อขยายฐานการผลิตและฐานการตลาดของสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง สามาถแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร
สหกรณ์ผลิตผักปลอดภัยน้ำดุกใต้ จำกัด มีจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจคือรวบรวมพืชผักปลอดภัยจากสมาชิก เช่น ผักกาดขาวปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี คะน้าฮ่องกง ผักฉ่อย เป็นต้น ขณะนี้ได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเข้าจำหน่ายในห้าง Tops ในเครือเซ็นทรัล โดยสหกรณ์รับซื้อผักจากสมาชิกสัปดาห์ละ 2 วัน เฉลี่ยซื้อผักจากสมาชิก จำนวน 3,841 ตัน เป็นเงิน 91,622 บาท/สัปดาห์ สหกรณ์จัดตั้งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2558 มีสมาชิก จำนวน 170 ราย มีพื้นที่ปลูกผัก 450 ไร่ ดำเนินธุรกิจ 2 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจรวบรวมผลิตผล และธุรกิจรับฝากเงิน เกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรในตำบลปากดุกที่ประกอบอาชีพปลูกผักและประสบปัญหาด้านเงินทุนด้านปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและด้านการตลาด จึงได้นำระบบสหกรณ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและจัดตั้งเป็นสหกรณ์ โดยสหกรณ์ดำเนินการส่งเสริมสมาชิกในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านตลาดนำการผลิต มุ่งพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สนับสนุนผลผลิตของสมาชิกให้มีตลาดรองรับ ทำให้สมาชิกสหกรณ์สามารถขายผักได้ในราคาที่สูงและเป็นธรรม
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มอบใบรับรองแหล่งผลิต GAP พืช จำนวน 61 ราย เป็นสมาชิกสหกรณ์ 34 ราย เกษตรกรทั่วไป 27 ราย พร้อมทั้งมอบปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร จำนวน 100 ราย นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังได้สนับสนุนเงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจด้านการผลิต การรวบรวม การแปรรูป และการตลาด เงินอุดหนุนโครงการสนับสนุนอุปกรณ์แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร สำหรับจัดซื้อรถบรรทุก ขนาด 10 ล้อ พร้อมตู้ทำความเย็น จำนวน 1 คัน
จากนั้น รมช.มนัญญา และคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตร คทช.ลุ่มน้ำป่าสักฝั่งซ้าย จำกัด ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน เป็นสหกรณ์จัดตั้งใหม่ ยังไม่ได้เริ่มดำเนินธุรกิจ จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 มีจำนวนสมาชิก 122 ราย ได้ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ป่าลุ่มน้ำป่าสักฝั่งซ้าย โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนงบประมาณจัดทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกร ดำเนินการร่วมกันวางแผนการผลิต ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ การตลาด จัดอบรมการส่งเสริมและการเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ ความรู้เรื่องการรวมกลุ่มและการบริหารจัดการในรูปแบบกลุ่ม การแปรรูปผลผลิตlในพื้นที่ การตลาดและช่องทางการจำหน่าย การตลาดนำการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดสถิติเฟคนิวส์โควิดรอบใหม่ แค่ 2 เดือนแซงหน้าตัวเลขทั้งปี 2563 | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ดีอีเอส เปิดสถิติเฟคนิวส์โควิดรอบใหม่ แค่ 2 เดือนแซงหน้าตัวเลขทั้งปี 2563
ดีอีเอส เปิดสถิติเฟคนิวส์โควิดรอบใหม่ แค่ 2 เดือนแซงหน้าตัวเลขทั้งปี 2563
กระทรวงดิจิทัลฯพบจำนวนการแจ้งเบาะแสข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิด-19สูงกว่า35ล้านข้อความในช่วงการระบาดรอบล่าสุดแซงหน้ายอดทั้งปีที่เคยเก็บสถิติไว้ตลอดปีแรกของการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึง2เท่าตัวเผย5อันดับข่าวปลอมโควิดที่ถูกแชร์ซ้ำบ่อยสุดรอบเดือนก.พ. 64
นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกล่าวว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้สรุปข้อมูลจากการแจ้งเบาะแสและการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19ในช่วงการระบาดรอบที่2ระหว่างวันที่19ธ.ค. 63-28ก.พ. 64พบข้อความที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจำนวน35.47ล้านข้อความหลังจากคัดกรองแล้วพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์2,784ข้อความโดยมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด1,346เรื่องในช่วงกว่า2เดือนที่ผ่านมาทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับโควิด-19ที่ผ่านการตรวจสอบสู่สาธารณะแล้วจำนวน140เรื่องโดยมีสัดส่วนของข่าวปลอมร้อยละ70ข่าวบิดเบือนร้อยละ20และข่าวจริงร้อยละ10
“ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การระบาดโควิด-19รอบ2อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชนอย่างมากทำให้มีการพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับโควิดจำนวนมากโดยเฉพาะบนโลกโซเชียลส่งผลให้ตัวเลขการแจ้งเบาะแสข่าวปลอมในช่วงแค่2เดือนกว่าของการระบาดรอบใหม่พุ่งสูงขึ้นเกือบ2เท่าตัวเมื่อเทียบกับจำนวนข้อความแจ้งเบาะแสข่าวปลอมที่เกิดขึ้นตลอด1ปีแรกของการจัดตั้งศูนย์ฯซึ่งอยู่ที่18.81ล้านข้อความ(รวบรวมระหว่างพ.ย. 62 -ก.ย. 63)”นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว
สำหรับข่าวเกี่ยวกับโควิด-19ที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด1,346เรื่องพบว่าอันดับ1อยู่ในหมวดหมู่สุขภาพจำนวน719เรื่องคิดเป็น53%ตามมาด้วยหมวดหมู่นโยบายรัฐจำนวน615เรื่องคิดเป็น46%และหมวดหมู่เศรษฐกิจจำนวน12เรื่องคิดเป็น1%ส่วนหมวดหมู่ภัยพิบัติไม่พบเรื่องที่เข้าข่าย
ทั้งนี้ในรอบเดือนก.พ.ที่ผ่านมาศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบว่ามีข่าวปลอมที่มักถูกนำมาแชร์ซ้ำมากสุด5อันดับแรกดังนี้ 1.อภ.เปิดรับอาสาสมัครทดลองวัคซีนโควิด-19ในไทย2.คลิปเสียงหมอศิริราชแนะให้กินยาเขียวเพื่อรักษาโควิด-19 3.จุฬาฯพบผู้ติดเชื้อโควิด-19จำนวน230ราย4.เชียงใหม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่10รายและ5.พบลูกตำรวจสภ.แม่ริมติดเชื้อโควิด-19จำนวน2รายตามลำดับ
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39748 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
การประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือกำหนดแนวทาง ติดตามการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยมี นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชุนหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40118 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ นำทีม ต้อนรับนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการ “น้ำแร่โซดา” พร้อมเร่งเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของประชาชน | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
วราวุธ นำทีม ต้อนรับนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการ “น้ำแร่โซดา” พร้อมเร่งเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของประชาชน
วราวุธ นำทีม ต้อนรับนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการ “น้ำแร่โซดา” พร้อมเร่งเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของประชาชน
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 08.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ และนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ให้การต้อนรับและนำ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการ “น้ำแร่โซดา” พร้อมทั้งมอบชุดของขวัญ “น้ำแร่โซดา” ห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ให้แก่นายกรัฐมนตรี และคณะ ณ บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ ได้นำเสนอความเป็นมาก่อนที่จะเป็น “น้ำแร่โซดา” และการก่อสร้างระบบผลิตน้ำดื่มจากแหล่งแร่น้ำพุโซดา เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนได้บริโภคอย่างปลอดภัย รวมถึงการเตรียมการเร่งขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้ครบตามจำนวนบ่อที่กำหนดในแผนงานโครงการที่ได้รับงบประมาณจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของประชาชน ตามนโนบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39537 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก. แรงงาน เปิดตัว “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
ก. แรงงาน เปิดตัว “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง”
ก.แรงงาน ชื่นชม “แกมม่า อินดัสตรี้ส์” ร่วมเปิดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” หวังให้เป็นต้นแบบของการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายช่วยนายจ้าง ลูกจ้างมีภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเองได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้มาเป็นประธานเปิดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนโยบายการบริหารงานภายใต้วิสัยทัศน์ “แรงงานมีศักยภาพสูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยให้ความสำคัญกับการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้างและครอบครัว พร้อมสนับสนุน ส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการ “แรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สถานประกอบกิจการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาทำการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตที่ได้ลูกจ้างนำมาแลกเปลี่ยนกันและนำไปบริโภคในครัวเรือน ส่วนผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคสามารถนำไปจำหน่ายในชุมชน อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่ลูกจ้าง อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาอาชีพเสริมไว้รองรับให้กับลูกจ้างที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคในภาวะวิกฤตได้ยั่งยืน
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นการวางรากฐานให้สถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการร่วมกับลูกจ้าง เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 ทั้งนี้ กรมได้ตั้งเป้าส่งเสริมให้สถานประกอบการอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง และในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีก 10 แห่ง ได้นำโครงการนี้ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรม และเปิดตัวโครงการโดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท แกมม่า อินดัสตรี้ส์ จำกัด ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีของสถานประกอบกิจการ ในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการจัดสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง อีกทั้ง ยังเป็นสถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน 15 ปีติดต่อกันจากกรมในปี 2563 และที่สำคัญอย่างยิ่ง บริษัทฯ ได้จัดสรรพื้นที่ให้แก่ลูกจ้างได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ สำหรับบริโภคและจำหน่ายในชุมชนอันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ในครัวเรือนของลูกจ้าง รวมถึงการให้โอกาสทั้งลูกจ้างสัญชาติไทย ลูกจ้างสัญชาติเมียนมา และลูกจ้างกลุ่มพิเศษได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากสวัสดิการที่จัดให้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ ได้อย่างน่าชื่นชม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส มุ่งสร้างข้าราชการที่ดี จัดอบรมข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นเข้าใจบทบาทภารกิจของกระทรวงฯ ตามระเบียบ กพ. | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
ดีอีเอส มุ่งสร้างข้าราชการที่ดี จัดอบรมข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นเข้าใจบทบาทภารกิจของกระทรวงฯ ตามระเบียบ กพ.
ดีอีเอส มุ่งสร้างข้าราชการที่ดี จัดอบรมข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นเข้าใจบทบาทภารกิจของกระทรวงฯ ตามระเบียบ กพ.
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการเป็นข้าราชการที่ดี ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 โดยมีข้าราชการบรรจุใหม่ สังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้ารับการอบรม ณ ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อให้ข้าราชการบรรจุใหม่เข้าใจแนวทางปฏิบัติที่สำนักงาน กพ.กำหนด ซึ่งข้าราชการบรรจุใหม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานระบบราชการที่ถูกต้อง รู้เรื่องกฎหมายของราชการ ซึ่งการอบรมครั้งนี้ จะทำให้กระทรวงฯมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เข้าใจถึงกฎระเบียบในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำงานที่เข้าถึงบริบทภารกิจหน้าที่ของการเป็นราชการที่ดี และจะเป็นกำลังสำคัญของกระทรวงฯ ต่อไป
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เพิ่มบทบาท 3 หมอ ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงการรับวัคซีนโควิด 19 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
สธ.เพิ่มบทบาท 3 หมอ ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงการรับวัคซีนโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มบทบาท 3 หมอ ให้ความรู้และทำความเข้าใจในเรื่องวัคซีนโควิด 19 สำรวจและติดตามกลุ่มเป้าหมายในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว ให้เข้าถึงการรับวัคซีนอย่างทั่วถึง
กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มบทบาท 3 หมอ ให้ความรู้และทำความเข้าใจในเรื่องวัคซีนโควิด 19 สำรวจและติดตามกลุ่มเป้าหมายในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว ให้เข้าถึงการรับวัคซีนอย่างทั่วถึง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” ครั้งที่ 2/2564 ว่า นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีโยบายให้ประชาชนมีหมอ 3 คน เป็นที่ปรึกษาดูแลสุขภาพประจำครอบครัว สร้างความรอบรู้ในการดูแลส่งเสริมสุขภาพตนเองและครอบครัวโดยหมอคนที่1 คือ อสม.หมอประจำบ้าน หมอคนที่ 2 หมอสาธารณสุข ในหน่วยบริการปฐมภูมิ อาทิ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ60 พรรษานวมินทราชินี รพ.สต. สถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ และหมอคนที่ 3 หมอครอบครัว คือ แพทย์ในโรงพยาบาลขณะนี้ มีครอบครัวที่มีหมอ 3 คนแล้ว 9,288,783 ครอบครัว ดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง 555,129 คน และผู้สูงอายุติดสังคม 8,516,783 คน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า รัฐบาลได้มีนโยบายให้ทุกคนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เพิ่มบทบาท 3 หมอ บูรณาการการทำงานในสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเดิมมีฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว โดยจะเน้นในกลุ่มผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงที่ต้องดูแลต่อเนื่อง กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างการให้เคมีบำบัด รังสีบำบัด และภูมิคุ้มกันบำบัดโรคเบาหวาน และโรคอ้วน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 และประเทศไทยได้รับวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวแล้ว
สำหรับการดำเนินงาน จะมีหมอคนที่ 1 อสม.หมอประจำบ้าน ลงพื้นที่ให้ความรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องวัคซีนโควิด 19 พร้อมสำรวจและติดตามกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงการรับวัคซีน ส่วนหมอที่ 2 หมอสาธารณสุขช่วยดำเนินการร่วมกับ อสม.หมอประจำบ้าน และประสานกับหมอคนที่ 3 หมอครอบครัวที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฉีดวัคซีน และติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ผ่านไลน์ “หมอพร้อม” และนอกจากนี้ ได้มอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จัดระบบฐานข้อมูล 3 หมอ รายงานแบบเรียลไทม์ ให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ในระบบhttp://3doctor.hss.moph.go.th และนำไปใช้ในการบูรณาการทำงานต่อไป
******************************** 10 มีนาคม 2564
***********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39806 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ” เปิดกระทรวงต้อนรับทูตออสเตรเลีย หารือเปิดตลาดสินค้าเกษตรและต่อยอดความร่วมมือ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
“ปลัดเกษตรฯ” เปิดกระทรวงต้อนรับทูตออสเตรเลีย หารือเปิดตลาดสินค้าเกษตรและต่อยอดความร่วมมือ
“ปลัดเกษตรฯ” เปิดกระทรวงต้อนรับทูตออสเตรเลีย หารือเปิดตลาดสินค้าเกษตรและต่อยอดความร่วมมือ
ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังจากนายอัลลันแมคคินนอน (H.E. Mr. Allan McKinnon PSM)เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทยและคณะเข้าเยี่ยมคารวะ ณห้อง112กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีนายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมว่าการหารือกันในครั้งนี้เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ออสเตรเลียที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันและหารือประเด็นคงค้างด้านความร่วมมือทางการค้าและทางวิชาการด้านการเกษตรระหว่างไทย–ออสเตรเลียโดยการหารือเป็นไปด้วยบรรยากาศอันดี
นายทองเปลวเปิดเผยภายหลังจากการหารือว่าไทยและออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีสัมพันธ์อันดีและคู่ค้าสินค้าเกษตรที่สำคัญระหว่างกันเป็นเวลานานและออสเตรเลียเป็นประเทศคู่ค้าสินค้าเกษตรอันดับ10ของไทยที่ผ่านมาทั้งสองประเทศมีมูลค่าสินค้าเกษตรเฉลี่ย47,998ล้านบาทสินค้าส่งออกได้แก่สินค้าประมงข้าวอาหารปรุงแต่งจำพวกเต้าหู้สินค้านำเข้าได้แก่ข้าวบาร์เลย์ข้าวบาร์เลย์เนื้อสัตว์เป็นต้นโดยเป็นหนึ่งในปัจจัยของการยกระดับความสัมพันธ์ไทย–ออสเตรเลียเป็นStrategic Partnershipเมื่อวันที่13พฤศจิกายน2563
ทั้งนี้นายทองเปลวกล่าวว่านอกจากความร่วมมือด้านการค้าไทยและออสเตรเลียส่งเสริมความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรภายใต้คณะทำงานทางวิชาการ(JWG)ได้แก่โครงการการพัฒนาYoung Smart Farmerโครงการการปลูกผักอินทรีย์ในพื้นที่ส.ป.ก.โครงการการยกระดับผลิตทางการเกษตรและโดยเฉพาะโครงการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานในรูปแบบWater Orderingโดยความร่วมมือทั้งหมดต้องขอบคุณผู้เชี่ยวชาญจากฝ่ายออสเตรเลียที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับนักวิชาการฝ่ายไทยทำให้เกิดผลลัพธ์การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
“สำหรับการเจรจาการค้าสินค้าเกษตรที่ยังเป็นประเด็นคงค้างระหว่างกันฝ่ายไทยจะเร่งรัดหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้แล้วเสร็จและคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างแน่นอน”นายทองเปลวกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” ลงพื้นที่ตรวจตลาดประตูเชียงใหม่ เชื่อมั่นจะขยายต่อ โครงการคนละครึ่ง-เราชนะ ขอประชาชนร่วมมือเว้นระยะห่าง ล้างมือสวมหน้ากาก ร่วมกิจกรรมสงกรานต์ตามประเพณี งดรวมกลุ่ม | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
“อนุชา” ลงพื้นที่ตรวจตลาดประตูเชียงใหม่ เชื่อมั่นจะขยายต่อ โครงการคนละครึ่ง-เราชนะ ขอประชาชนร่วมมือเว้นระยะห่าง ล้างมือสวมหน้ากาก ร่วมกิจกรรมสงกรานต์ตามประเพณี งดรวมกลุ่ม
“อนุชา” ลงพื้นที่ตรวจตลาดประตูเชียงใหม่ เชื่อมั่นจะขยายต่อโครงการคนละครึ่ง-เราชนะ ขอประชาชนร่วมมือเว้นระยะห่าง ล้างมือสวมหน้ากาก ร่วมกิจกรรมสงกรานต์ตามประเพณี งดรวมกลุ่ม ป้องกันเกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์
วันนี้ (20 มีนาคม 2564) เวลา 08.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจตลาดประตูเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามโครงการคนละครึ่งและเราชนะ โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวหลังจากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้า พบว่ามีปัญหาเรื่องระบบแอปพลิเคชันขัดข้อง แต่โดยรวมแล้วพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนชื่นชมรัฐบาล ว่าโครงการนี้ มีเสียงตอบรับว่าทำให้การค้าขายดีขึ้น ประชาชนมาจับจ่ายซื้อของ เกิดการหมุนเวียนจำนวนเงิน ทำให้มีรายได้เพิ่มจากเดิมมากขึ้น โดยพ่อค้าแม่ค้าได้เสนอให้เพิ่มระยะเวลาการใช้วงเงินในโครงการให้ไวขึ้นกว่าเดิม เพราะมีประชาชนมาใช้จ่ายตั้งแต่เช้าทำให้เสียโอกาสไม่สามารถใช้วงเงินได้ ต้องรอเวลา 06.00 น. ซึ่งตรงนี้จะได้นำข้อคิดเห็นไปเสนอต่อไป สำหรับการต่อโครงการฯ นั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้สานต่อโครงการที่ประสบความสำเร็จเกิดประโยชน์ต่อประชาชน เชื่อว่ารัฐบาลจะสานโครงการต่อไปอย่างแน่นอน
ขณะที่มติ ศบค. ที่ออกมาว่า ไม่ให้มีการสาดน้ำ ประแป้งในเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการรดน้ำดำหัว จัดกิจกรรมพิธีตามประเพณีได้เท่านั้นจะต้องกำชับประชาชนอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะต้องมีการเว้นระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัย รวมถึงจะต้องระมัดระวังในการรวมกลุ่มกัน เพราะการรวมตัวกันทำกิจกรรมจำนวนมากอาจจะทำให้เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ขึ้นได้จึงต้องระมัดระวัง เมื่อสถานการณ์โควิดถือว่าเบาบางลงรัฐบาลจึงผ่อนคลายมาตรการให้สามารถจัดกิจกรรมสงกรานต์ได้เพียงแต่ไม่ให้สาดน้ำประแป้งแต่ดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ตามประเพณีได้ โดยขอไม่ให้มีการรวมกลุ่มกันเป็นคนหมู่มาก เช่น การสรงน้ำพระ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว วัด ที่อยู่ในกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำชับเป็นพิเศษเรื่องการจัดกิจกรรมแบบ New Normal พร้อมกันนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนประชาชนให้ออกมาท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ทำบุญตามประเพณี
ส่วนบทลงโทษ ถ้าหากมีการฝ่าฝืนเล่นน้ำและประแป้ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่าให้เป็นไปตามบทลงโทษของกฎหมายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ เชื่อว่าถ้าทุกคนรักษาตามมาตรการที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัด รวมถึงมาตรการของรัฐบาลถือว่าเพียงพอแล้ว ขออย่าเป็นกังวลร่วมมือกันเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศิริราช แจงความเข้าใจการแพ้และอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศิริราช แจงความเข้าใจการแพ้และอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศิริราช แจงรายละเอียดสร้างความเข้าใจระหว่างการแพ้วัคซีนและอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน ที่พบบ่อยมักเป็นอาการไม่พึงประสงค์ ไทยพบเพียงร้อยละ 3.48
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศิริราช แจงรายละเอียดสร้างความเข้าใจระหว่างการแพ้วัคซีนและอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน ที่พบบ่อยมักเป็นอาการไม่พึงประสงค์ ไทยพบเพียงร้อยละ 3.48 ขอให้ประชาชนชั่งใจระหว่างอาการข้างเคียงที่อาจเกิดเพียงเล็กน้อยกับผลดีที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรค
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี ศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวเวชศาสตร์ระดับโมเลกุลคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2564 กล่าวว่ากรณีประชาชนจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับอาการที่อาจเกิดขึ้นหลังการรับวัคซีนโควิด 19 ขอชี้แจงว่าวัคซีน ยา หรือ สารเคมีใดๆ ที่ใช้กับร่างกายถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่รู้จัก จะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นตามมาได้ 2 แบบ คือ อาการไม่พึงประสงค์ และอาการแพ้ ซึ่งอาจไม่ได้แพ้ที่ตัวไวรัสโดยตรง แต่อาจเป็นการแพ้ส่วนประกอบอื่นๆ ของวัคซีน
สำหรับอาการไม่พึงประสงค์ สามารถเกิดขึ้นได้ภายหลังฉีดวัคซีนทุกชนิด แบ่งได้ 2 ประเภท คืออาการที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ เช่น ปวดบวมแดง เจ็บในตำแหน่งที่ฉีด สามารถใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบช่วยบรรเทาอาการได้ และอาการแทรกซ้อนไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ได้แก่ มีไข้ต่ำๆ เหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 1 -2 วัน ส่วนอาการแพ้วัคซีน มักจะมีการเกิดผื่นแพ้ ซึ่งเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น
ผื่นแดงบนผิวหนัง ที่สังเกตได้ง่ายคือ ลมพิษ เป็นผื่นนูน มีขอบเขตชัดเจน อาจคันหรือไม่ก็ได้ ส่วนอาการแพ้ที่รุนแรง อาจมีอาการหลอดลมตีบทำให้หายใจลำบาก ไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะรุนแรง ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกล็ดเลือดต่ำ มีจุดเลือดออกตามร่างกาย ผื่นขึ้นทั้งตัว อาเจียนมากกว่า 5 ครั้ง ชัก หมดสติ ซึ่งต้องรีบพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ผู้ที่มีประวัติแพ้ง่ายมาก่อน ควรมีการติดตามสังเกตอาการ มากกว่าคนที่ไม่มีประวัติแพ้มาก่อน
“ขอให้ประชาชนชั่งน้ำหนักระหว่างโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยกับผลดีที่จะได้อย่างมากจากการได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ผมคิดว่ามันคุ้มค่ามากที่เราจะรับวัคซีนโควิด 19 และขอเชิญกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับวัคซีนในระยะแรกเข้ารับการฉีดวัคซีนตามวัน เวลาที่ได้รับการนัดหมายจากโรงพยาบาล เพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการเสียชีวิต” ศ.ดร.นพ.วิปร กล่าว
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีน โควิด 19 จากซิโนแวค ในประเทศไทย ฉีดไปแล้วจำนวน 27,497 คน พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ 956 คน คิดเป็นร้อยละ 3.48 โดยหากแบ่งประเภทอาการ ส่วนใหญ่พบการอักเสบบริเวณที่ฉีด รองลงมา ปวดเมื่อยเนื้อตัว, คลื่นไส้, มีไข้, อาเจียน, เป็นผื่น, ท้องเสีย, เหนื่อย เป็นต้น ส่วนวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าที่กำลังจะนำมาใช้พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ ได้แก่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย เป็นไข้ ส่วนผู้มีอาการแพ้ จะมีผื่นขึ้น ใบหน้าบวม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดรูปแบบการให้บริการฉีดวัคซีนรองรับ ตั้งแต่การซักประวัติอาการแพ้ การเฝ้าระวังสังเกตอาการเป็นเวลา 30 นาที และติดตามอาการในวันที่ 1,7และ 30 โดยใช้ Line Official Account “หมอพร้อม” บันทึกอาการที่ไม่พึงประสงค์เพื่อความปลอดภัย และเป็นข้อมูลในระดับประเทศต่อไป
************************************** 8 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39768 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลผนึก 3 กระทรวง เปิดตัวโครงการ WAT "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศาสนา วัฒนธรรม ตอบโจทย์นักเดินทางสายบุญ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
รัฐบาลผนึก 3 กระทรวง เปิดตัวโครงการ WAT "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศาสนา วัฒนธรรม ตอบโจทย์นักเดินทางสายบุญ
รัฐบาลผนึก 3 กระทรวง เปิดตัวโครงการ WAT "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศาสนา วัฒนธรรม ตอบโจทย์นักเดินทางสายบุญ
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) เวลา 09.30 น. ณ โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเป็นประธานเปิดตัวโครงการ WAT : Worship Activities Traditional "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สืบเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยผู้ประกอบการหลายรายได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากมีการงดเว้นการเดินทางระหว่างกันตามมาตรการควบคุมโรคระบาด เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลมีการผ่อนปรนให้หลายพื้นที่มีการเดินทางได้ตามปกติ จึงเกิดการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำโครงการ WAT : Worship Activities Traditional "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ตั้งเป้าหมายให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้เข้าถึงพระพุทธศาสนา สามารถนำหลักธรรมคำสอนไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทำให้สังคมมีความสุขด้วยหลักพุทธธรรม จึงเกิดความร่วมมือในโครงการ WAT : Worship Activities Traditional "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" โดยได้ประสานวัดทั่วประเทศ 41,654 วัด สนับสนุนข้อมูลและเรื่องราวของพุทธศาสนสถานและศาสนวัตถุ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจที่เดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงวัดและชุมชนในเส้นทางแห่งศรัทธา
โดยโครงการ WAT : Worship Activities Traditional "ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว" ได้จัดทำเส้นทางแห่งศรัทธาเพื่อเสริมสิริมงคล ความรุ่งเรืองแห่งชีวิต เชื่อมโยงชุมชนที่มีศักยภาพและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ จำนวน 15 เส้นทาง โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tourismthailand/tourismproduct หรือ www.facebook.com/Tousismproducts หรือ โทร. 1672
---------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40347 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชวน ชิม ช้อป ในงาน “MRT MARKET” | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
รฟม. ชวน ชิม ช้อป ในงาน “MRT MARKET”
พบกับผลิตภัณฑ์ชุมชนจากแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าพร้อมรับของรางวัลมากมาย
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรม “MRT MARKET ตลาดนัดผลิตภัณฑ์ชุมชน” ประจำปี 2564นำสินค้าหลากหลายจากชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ทั้งอาหารรสเด็ด สินค้าอุปโภค บริโภค สมุนไพรเพื่อสุขภาพ กว่า 25 ร้านค้า มาจัดจำหน่าย ณ บริเวณลานหน้าอาคารจอดแล้วจร ฝั่งประตูทางออกที่ 2 MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 2 เมษายน 2564
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อเสริมสร้างโอกาสและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าของ รฟม. รวมถึงสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับชุมชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจพร้อมลุ้นรับของรางวัลต่างๆมากมาย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คลิปประชาสัมพันธ์กิจกรรมตาม QR CODE
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจง จำเป็นต้องเรียกคืนหนี้ เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษา | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจง จำเป็นต้องเรียกคืนหนี้ เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษา
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจง จำเป็นต้องเรียกคืนหนี้ เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษา
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564 นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ชี้แจงกรณีกองทุนได้มีหนังสือถึงหน่วยงานองค์กรนายจ้างภาคเอกชนในการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืนกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นั้นว่า การแจ้งหักเงินเดือนได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เริ่มจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ ทั้งนี้ มีหน่วยงานที่กองทุนต้องแจ้งหักเงินเดือนทั้งหมดประมาณ 107,000 แห่ง และมีผู้กู้ยืมที่เป็นพนักงานของหน่วยงานเหล่านี้ที่อยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนทั้งหมด 1,735,000 ราย ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนได้แจ้งหักเงินเดือนไปยังนายจ้างแล้ว 14,813 แห่ง เป็นจำนวนผู้กู้ยืมทั้งสิ้น 1,268,000 ราย และอยู่ในระหว่างการแจ้งหักเงินเดือนในเดือนมีนาคมอีก 92,935 แห่ง ซึ่งมีผู้กู้ยืมจะอยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนจำนวน 466,000 ราย ทั้งนี้ กองทุนได้จัดประชุมชี้แจงให้นายจ้างได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจ้างทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เนื่องจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งต้นมาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของประชาชน และใช้เงินชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่หมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กองทุนขอเรียนว่า ปัจจุบัน กองทุนไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 และในปีการศึกษา 2563 มีผู้ขอกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท สำหรับปีการศึกษา 2564 นี้กองทุนได้เตรียมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 38,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจำนวน 624,000 รายไว้เรียบร้อยแล้ว กองทุนขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคนอย่างแน่นอน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากนายจ้างมีข้อสงสัยสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.องค์กรนายจ้าง” หรือ โทร. 09 4212 6250 - 79 (30 คู่สาย) และสำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระเงินผ่านองค์กรนายจ้างที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.หักเงินเดือน” หรือโทร. 0 2016 4888
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39718 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (บรรจุใหม่) รุ่นที่ ๑ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (บรรจุใหม่) รุ่นที่ ๑
ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (บรรจุใหม่) รุ่นที่ ๑
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างบุคลิกภาพและพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี หลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพและเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานพิธี (บรรจุใหม่) รุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี นายวินัย วรวัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ อาคารไทยนิทัศน์ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าอบรมครั้งนี้ ๑๖ คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! เลื่อนวันสอบ อำนวยความสะดวกนักเรียน | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ไฟเขียว! เลื่อนวันสอบ อำนวยความสะดวกนักเรียน
...
จากกระแสข่าวนักเรียนชั้น ม.6#Dek64เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ เลื่อนวันสอบต่าง ๆ เพื่อใช้ผลสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือ TCAS เนื่องจากหลายวันซ้อนทับกับวันสำคัญที่มีอยู่
และการเรียนออนไลน์ทำให้ได้เนื้อหาวิชาไม่เต็มที่
.
กรณี วันสอบ ONET ตรงกับวัน เลือกตั้งท้องถิ่น ในวันอาทิตย์ที่ 28 มี.ค.64 นั้น ทาง สพฐ. เห็นควรให้เลื่อนการสอบ เพื่อให้นักเรียนได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่น
.
ส่วนการสอบ GAT-PAT ช่วงวันที่ 20-23 มี.ค.64 ที่ตรงกับวันสอบปลายภาคของบางโรงเรียน ทางโรงเรียนสามารถกำหนดวันให้ไม่ตรงกับวันสอบ GAT-PAT เองได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานต้นสังกัด
.
สำหรับนักเรียนที่กังวลว่าความรู้ที่ได้จากการเรียนออนไลน์จะไม่เพียงพอนั้น ทางโรงเรียนต้องเลือกใช้รูปแบบการสอนที่เหมาะกับบริบทของโรงเรียนและความพร้อมของผู้เรียน โดยไม่อาจเลื่อนการสอบได้ เพราะจะกระทบต่อขั้นตอนการคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่าลืม! พรุ่งนี้เริ่มลงทะเบียน "ม.33 เรารักกัน" กลุ่มทบทวนสิทธิ,ไม่มีสมาร์ทโฟน,ยืนยันตัวตนผ่านแอปวันแรก | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
อย่าลืม! พรุ่งนี้เริ่มลงทะเบียน "ม.33 เรารักกัน" กลุ่มทบทวนสิทธิ,ไม่มีสมาร์ทโฟน,ยืนยันตัวตนผ่านแอปวันแรก
อย่าลืม! พรุ่งนี้เริ่มลงทะเบียน "ม.33 เรารักกัน" กลุ่มทบทวนสิทธิ,ไม่มีสมาร์ทโฟน,ยืนยันตัวตนผ่านแอปวันแรก
เมื่อวันที่ 14 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ ม.33 เรารักกัน เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 33 วงเงินคนละ 4,000 บาท ที่เปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่ระหว่างวันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. ที่ผ่านมา จะเปิดลงทะเบียนอีกครั้งสำหรับรอบขอทบทวนสิทธิระหว่างวันที่ 15-28 มี.ค.
โดยผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ไม่ผ่านการลงทะเบียนในรอบแรก สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.ม33เรารักกัน .com ส่วนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อรักษาสิทธิการได้รับเงินเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ ได้เตรียมความพร้อม การเปิดลงทะเบียนสำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน โดยผู้มีสิทธิสามารถนำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ไปขอลงทะเบียนรับสิทธิได้ โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิต้องมีคุณสมบัติ เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ,สัญชาติไทย , มียอดเงินจากทุกบัญชี ไม่เกิน 500,000 บาท (นับถึง 31 ธ.ค. 2563) ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้รับสิทธิในโครงการเราชนะ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2564 ได้เห็นชอบการขยายเวลาการยืนยันตัวตนเพื่อใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง
สำหรับ โครงการ ม.33 เรารักกัน โดยกลุ่มที่ลงทะเบียนแล้วเสร็จระหว่างวันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. จากเดิมที่จะต้องกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังระหว่างวันที่ 15-21 มี.ค. ให้สามารถขยายเวลาเป็นระหว่างวันที่ 15 มี.ค. - 31 พ.ค.2564
เช่นเดียวกับกลุ่มรอบทบทวนสิทธิ ที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 15-28 มี.ค. จากเดิมที่จะต้องมีการยืนยันตัวตน ระหว่างวันที่ 5-11 เม.ย. ให้ขยายเป็น 5 เม.ย.-31 พ.ค. โดยทุกคนที่ได้มีการยืนยันตนตัว จะได้รับวงเงินคนละ 4,000 บาท ตามมาตรการที่กำหนด
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39956 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการเขียนผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบออนไลน์ผ่านทางระบบ Conference Zoom ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการเขียนผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบออนไลน์ผ่านทางระบบ Conference Zoom ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการเขียนผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบออนไลน์ผ่านทางระบบ Conference Zoom ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพการเขียนผลงานทางวิชาการ ในรูปแบบออนไลน์ผ่านทางระบบ Conference Zoom ไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นางสุนันทา มิตรงาม ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นางสุภัทร กิจเวช ผู้อำนวยการกองกลาง ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40311 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการฯ ดีอีเอส ร่วมงาน 130 ปี ก.ยุติธรรม | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ผู้ตรวจราชการฯ ดีอีเอส ร่วมงาน 130 ปี ก.ยุติธรรม
ผู้ตรวจราชการฯ ดีอีเอส ร่วมงาน 130 ปี ก.ยุติธรรม
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 นางคนึงนิจ คชศิลา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมเป็นเกียรติเนื่องในโอกาสวันสถาปนากระทรวงยุติธรรมครบ 130 ปี ที่ได้ดำเนินงานในฐานะองค์กรหลักของกระบวนการยุติธรรม เพื่ออำนวยความยุติธรรมของประเทศไทย จากอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” โดยที่ผ่านมาได้มีการพยายามนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยงานให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การปราบปรามยาเสพติด ที่เน้นการยึดทรัพย์ตัดวงจรทางการเงินของเครือข่าย การเตรียมการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลผู้กระทำผิดเพื่อสนับสนุนงานกระบวนการยุติธรรม การตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยประชาชน (JSOC) การจัดทำแอปพลิเคชันต่างๆ ให้ประชาชนสามารถร้องเรียนและขอคำปรึกษาในด้านต่างๆ ของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ ผู้ตรวจราชการฯ ร่วมบริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนยุติธรรม ณ กระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ
**********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40361 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เป็นปลื้ม | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
เป็นปลื้ม
...
นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีที่โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง ได้รับรางวัล 2020 Asian Townscape Awards จากโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ให้เป็นต้นแบบการปรับปรุงภูมิทัศน์ ที่มีความสอดคล้องระหว่างภูมิทัศน์ของเมืองกับรูปแบบการดำเนินชีวิต ถือเป็นความภาคภูมิใจในความสำเร็จของโครงการพัฒนาคูคลองของกรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
.
โครงการนี้จะเป็นต้นแบบของการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเป็นต้นแบบการพัฒนาให้กับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
ที่ผ่านมา การปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณคูคลองเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีการปรับปรุงและอยู่ระหว่างการปรับปรุงคลองแล้วหลายสาย เช่น คลองหลอด คลองผดุงกรุงเกษม คลองลาดพร้าว คลองช่องนนทรี โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ปรับภูมิทัศน์และรักษาเอกลักษณ์ของพื้นที่ เชื่อมโยงการเดินทาง การท่องเที่ยวกับวิถีชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ติดตามนโยบายคลินิกผู้สูงอายุ รพ.กันทรลักษ์ | วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564
สธ.ติดตามนโยบายคลินิกผู้สูงอายุ รพ.กันทรลักษ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามนโยบายคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ให้ลูก-หลาน ได้พาผู้สูงอายุพบแพทย์ในช่วงวันหยุด ร่วมรับทราบปัญหาสุขภาพ ลดการรอคอยรักษา ลดความแออัดในช่วงวันทำการ ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามนโยบายคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ให้ลูก-หลาน ได้พาผู้สูงอายุพบแพทย์ในช่วงวันหยุด ร่วมรับทราบปัญหาสุขภาพ ลดการรอคอยรักษา ลดความแออัดในช่วงวันทำการ ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้านโยบายคลินิกผู้สูงอายุ วันหยุดราชการ ที่ โรงพยาบาลกันทรลักษ์จ.ศรีสะเกษโดยนายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลทั่วไปตั้งแต่ขนาดเล็กขึ้นไป จัดบริการคลินิกผู้สูงอายุในช่วงวันหยุดราชการ เพื่อให้บุตรหลานได้มีโอกาสพาผู้สูงอายุได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อร่วมรับทราบปัญหาสุขภาพ ที่สำคัญคือไม่ต้องต่อคิวเพื่อรอรักษาที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ผู้สูงอายุคือหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้ออาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้นการมาพบแพทย์ในช่วงวันหยุดนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากความแออัดที่โรงพยาบาลแล้วยังมีความสะดวก และเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในครอบครัวได้ด้วย
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า คลินิกผู้สูงอายุโรงพยาบาลกันทรลักษ์เปิดให้บริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ทั้งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงทันตกรรม เวชศาสตร์ครอบครัว เป็นต้น ใช้เวลาในการรับบริการโดยประมาณ 15-20 นาทีเปิดให้บริการในช่วงเวลา 8.00 - 12.00 น. ทุกวันเสาร์ เริ่มเปิดรับผู้ป่วยมาตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2564 หากคลินิกได้รับการตอบรับที่ดีจะมีการขยายบริการเพิ่มเติมไปยังกลุ่มโรคอื่นๆด้วย
"ผู้สูงอายุคือผู้ที่มากประสบการณ์หลายท่านยังสามารถใช้ความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และผู้อื่นได้ การที่ผู้สูงอายุแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี เข้าถึงการดูแลสุขภาพจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้ท่านเหล่านี้มีอายุที่ยืนยาวและถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆที่เคยใช้มาให้กับลูก-หลานในการดำเนินชีวิตได้อีกมาก" นายอนุทินกล่าว
ภายหลังการเปิดและตรวจเยี่ยมคลินิกผู้สูงอายุแล้ว นายอนุทินได้กล่าวทักทายกับพยาบาล และย้ำในประเด็นการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ว่า
" วัคซีนทุกหยดมีคุณค่า ขอให้พยาบาลได้ใช้ความชำนาญ และความละเอียดในการดูดวัคซีนโควิด 19 ออกจากขวด ให้ได้ 12 เข็มซึ่งผู้ผลิตวัคซีนได้เพิ่มปริมาณเผื่อไว้ในขวดประมาณ 10% ตามมาตรฐานการบรรจุ World experience ซึ่งปกติสามารถฉีดได้ 10 เข็ม ต่อขวด จะช่วยให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงของประเทศได้รับการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากรมากขึ้น การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่รัฐไม่ต้องจ่ายเงินในการซื้อวัคซีนเพิ่ม" นายอนุทินกล่าว
*********************** 21มีนาคม 2564
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 หน่วยงาน จับมือกระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพประเทศ จัดงาน Thailand International Health Expo 2021 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
4 หน่วยงาน จับมือกระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพประเทศ จัดงาน Thailand International Health Expo 2021
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และสสส. จัดงาน “Thailand International Health Expo 2021” วันที่ 16 -19 กรกฎาคม 2564 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และสสส. จัดงาน “Thailand International Health Expo 2021” วันที่ 16 -19 กรกฎาคม 2564 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ทั้งในรูปแบบ Online และ On Ground กระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพประเทศ เผยแพร่ภาพลักษณ์ความเป็นหนึ่งของระบบสุขภาพไทย สร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการควบคุมโรคโควิด19 ของรัฐบาล
วันนี้ (10 มีนาคม 2564) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวงาน “Thailand International Health Expo 2021”
นายอนุทินกล่าวว่า จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือของคนไทยและระบบการสาธารณสุขที่เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ รวมทั้งรัฐบาลได้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนในประเทศไทย และได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามมา เพื่อให้ทุกภาคส่วนฟื้นตัว เกิดความสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ 3 หน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานThailand International Health Expo 2021 เป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด “สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจ เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน” ระหว่างวันที่ 16 -19 กรกฎาคม 2564 ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ทั้งในรูปแบบ Online และ On Ground เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ความเป็นหนึ่งของระบบสุขภาพไทย สร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการควบคุมโรคโควิด19 ของรัฐบาล การเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุขในการเปิดรับนักท่องเที่ยว และนักเดินทางเชิงธุรกิจจากต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและขับเคลื่อนการกระจายรายได้ผ่านการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในงาน เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำระบบสุขภาพช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจของประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประมาณ 50,000 – 100,000 คน
ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่าการจัดงานThailand International Health Expo 2021จัดขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป บุคลากรด้านสุขภาพ และผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขนานาประเทศ โดยเชื่อมโยงระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมสุขภาพทั่วโลกไว้ในงานเดียวกัน แบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่โซนนิทรรศการจากหน่วยงานชั้นนำ 14Pavilionsอาทิ พระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านสาธารณสุข,Hero of COVID-19เชิดชูบุคลากรผู้มีคุณูปการต่อระบบสาธารณสุขไทย, สร้างความเชื่อมั่นนโยบายและการจัดการโรคโควิด 19 ของรัฐบาล, วัคซีนโควิด 19, กัญชาและกัญชง, ศักยภาพศัลยแพทย์, ศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย, สมุนไพรไทย เป็นต้นโซนกิจกรรมเวทีเน้นกิจกรรมทางการแพทย์ โซนบริการประชาชน ให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียว เช่น การยื่นขออนุญาตสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากหน่วยบริการรัฐและเอกชน บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน/ แพทย์แผนไทย/ แพทย์แผนจีน ตรวจสุขภาพ นวดสปา เป็นต้นโซนจับคู่ธุรกิจ(Business Matching) ที่เกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน ธุรกิจและบริการสุขภาพ และโซนการประชุมสัมมนาบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายการทำงานของทีเส็บ คือ การสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจไมซ์ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ การจัดงานThailand International Health Expo2021 นับเป็นความร่วมมือสำคัญของทีเส็บ ในฐานะเจ้าภาพหลักร่วมบริหารการจัดงานกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเวทีการจัดงานประจำปีด้านการแพทย์สาธารณสุข และการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการดูแลสุขภาพ และการพัฒนาของสาธารณสุขไทย ที่จะสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมการจัดงานไมซ์ของประเทศไทย เป็นการวางรากฐานและความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการเสริมความแกร่งทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งยังแสดงให้นานาประเทศทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทย ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการจัดงานทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical and Wellness Hub)ในระดับภูมิภาคเอเชียอีกด้วย
********************************10 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กณัฐ” นำทัพจิตอาสาลุยเก็บ กวาดขยะ ทาสี ปรับภูมิทัศน์ชุมชน ในกิจกรรม “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
“บิ๊กณัฐ” นำทัพจิตอาสาลุยเก็บ กวาดขยะ ทาสี ปรับภูมิทัศน์ชุมชน ในกิจกรรม “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
หนุนพลังจิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างเทศบาลนครปากเกร็ด สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด ตลอดจนห้างสรรพสินค้าและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ในการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รวมถึงโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี ด้วยการทำความสะอาดคูคลองบ้านเก่า ทาสี ตัดแต่งกิ่งไม้ให้มีความสะอาดเรียบร้อย เพื่อสุขอนามัยที่ดีของกำลังพลและประชาชนในพื้นที่โดยรอบ
สำหรับประชาชนทุกคนที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นจิตอาสาพระราชทาน ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้คนไทยมีความเสียสละ มีความรัก และมีความสามัคคีในการทำความดี โดยมี พลเอกณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พร้อมกันนี้ยังได้ตรวจเยี่ยมตามจุดต่างๆ และได้ร่วมทาสีฟุตบาทกับเด็กนักเรียนที่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39666 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
การประกาศผลการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ความคืบหน้าการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ ระหว่าง 22 ก.พ. – 5 มี.ค.2564 สามารถตรวจสอบสถานะการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการคัดกรองคุณสมบัติสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2564 ว่า ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบสถานะการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับวงเงินสิทธิ์ครั้งแรก จำนวน 6,000 บาท ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ
โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2564 โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือติดต่อสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 15 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 49,451 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.6 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 66,804 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 2,049 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 30.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 118,304 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมลงนาม MOU 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนอย่างยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
พม. เตรียมลงนาม MOU 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนอย่างยั่งยืน
พม. เตรียมลงนาม MOU 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 มี.ค. 64) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบเพิ่มมากขึ้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็ก ครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่อยู่ในภาวะยากลำบาก และผู้มีปัญหาด้านที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยข้อมูลรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ปี 2562 พบว่า มีคนจน จำนวน 4.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 6.24 ของประชากรในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน โดยต้องการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางอย่างบูรณาการและต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นองค์รวมและครอบคลุมในทุกมิติอย่างยั่งยืน
นายอนุกูลกล่าวว่า กระทรวง พม. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านสังคมของภาครัฐในการส่งเสริมการจัดระบบสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางให้มีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิต จะได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ในวันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงานถึงการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39510 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ระดมผู้เชี่ยวชาญ เร่งวิจัยวัคซีนโควิด 19 คาด 1-2 เดือนได้ผลเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันโรค | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
สธ.ระดมผู้เชี่ยวชาญ เร่งวิจัยวัคซีนโควิด 19 คาด 1-2 เดือนได้ผลเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
กระทรวงสาธารณสุข ระดมผู้เชี่ยวชาญเร่งศึกษาวิจัยวัคซีนโควิด 6 ด้าน อาทิ ประสิทธิผล ความปลอดภัย การสร้างภูมิคุ้มกันโรค การติดตามเชื้อกลายพันธุ์ คาด 1-2 เดือนได้ผลเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันโรค เป็นข้อมูลให้ผู้บริหารประเทศกำหนดนโยบาย วางแผนเปิดประเทศ
กระทรวงสาธารณสุข ระดมผู้เชี่ยวชาญเร่งศึกษาวิจัยวัคซีนโควิด 6 ด้าน อาทิ ประสิทธิผล ความปลอดภัย การสร้างภูมิคุ้มกันโรค การติดตามเชื้อกลายพันธุ์ คาด 1-2 เดือนได้ผลเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันโรค เป็นข้อมูลให้ผู้บริหารประเทศกำหนดนโยบาย วางแผนเปิดประเทศอย่างปลอดภัย ส่วนกรณีตลาดย่านบางแค ยังค้นหาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง นำผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษาไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อ ยืนยัน กทม.มีเตียง 1,867 เตียง เพียงพอรองรับผู้ติดเชื้อได้
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการศึกษาวิจัยการฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่าคณะกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 มีคณะทำงานด้านวิชาการ ศึกษาวิจัยผลการให้วัคซีนโควิด 19 เพื่อเสนอนโยบายต่อผู้บริหารประเทศ ให้คนไทยได้รับวัคซีนที่ผ่านการรับรองแล้ว มีความปลอดภัย เกิดภูมิต้านทานโรค และเข้าถึงวัคซีนอย่างเป็นธรรม โดยวางกรอบการศึกษา 6 ด้าน ได้แก่ 1.นโยบาย/ระบบการให้วัคซีน เช่น การทำวัคซีนพาสปอร์ตเพื่อรองรับการเปิดประเทศ มีโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ดำเนินการศึกษาเรื่องข้อกำหนดวัคซีนพาสปอร์ตของ 10 ประเทศอาเซียน สถาบันประสาทวิทยาศึกษาผลข้างเคียงของวัคซีนต่อระบบประสาท เป็นต้น
2.ประสิทธิผล/ภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ได้ตัวเลขประสิทธิผลของคนไทย โดย รพ.จุฬาลงกรณ์ศึกษาภูมิคุ้มกันในประชากรทั่วไป รพ.ศิริราชศึกษาในบุคลากรสาธารณสุข รพ.รามาธิบดีศึกษาในผู้ป่วยโรคไต และกรมการแพทย์ศึกษาในผู้ป่วยมะเร็ง 3.การบริหารแผนงาน มีการศึกษาเรื่องการลดระยะเวลาการกักตัวคนเดินทางเข้าประเทศ 4.การประกันควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 5.การสื่อสารสู่สาธารณะ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ 6.การติดตามเชื้อกลายพันธุ์
“การวิจัยทั้งหมดได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประมาณเกือบ 50 ล้านบาท คาดว่า 1-2 เดือนข้างหน้าจะมีผลการศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันออกมาก่อนว่า ผลการใช้วัคซีนโควิด 19 ในคนไทยเป็นอย่างไร เหมือนในต่างประเทศหรือไม่” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว
สำหรับกรณีตลาดย่านบางแคที่พบผู้ติดเชื้อ 200-300 ราย ยังมีการค้นหาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง นำผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษาทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อ ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครมีเตียง 1,867 เตียง ใช้ดูแลผู้ป่วย 274 เตียง เหลืออยู่ 1,593 เตียง ถือว่าเพียงพอที่จะรองรับผู้ติดเชื้อได้
**************************************** 17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่สำรวจประเมินคุณภาพจุดเชื่อมต่อล้อ - ราง - เรือ บริเวณสถานีสะพานพระนั่งเกล้า - ท่าเรือพระนั่งเกล้า | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่สำรวจประเมินคุณภาพจุดเชื่อมต่อล้อ - ราง - เรือ บริเวณสถานีสะพานพระนั่งเกล้า - ท่าเรือพระนั่งเกล้า
วันที่ 11 มีนาคม 2564 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) และ
นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฎิบัติการ) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขร. และ รฟม. ลงพื้นที่สำรวจตรวจติดตามความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างท่าเรือพระนั่งเกล้า และจุดเชื่อมต่อ ล้อ - เรือ - ราง บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีสะพานพระนั่งเกล้า ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโดย รฟม.
ท่าเรือพระนั่งเกล้า และจุดเชื่อมต่อ ล้อ-ราง-เรือ ในบริเวณดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของหลายหน่วยงาน ได้แก่ สนข. รฟม. จท. ขบ. ขสมก. และภาคประชาสังคม รวมทั้ง ขร. เพื่อให้เกิดต้นแบบจุดเชื่อมต่อ ล้อ - ราง - เรือ อย่างไร้รอยต่อ โดยเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ ระบบขนส่งทางรางที่สถานีสะพานพระนั่งเกล้า ระบบขนส่งสาธารณะทางน้ำที่ท่าเรือพระนั่งเกล้า เรือโดยสารเรียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรือข้ามฟาก ไปยังท่าเรือบ้านไทรม้า และเรือท่องเที่ยว และมีท่าปล่อยรถ โดยสารประจำทาง 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 63 (นนทบุรี-อนุสาวรีย์ชัยฯ) และสาย 114 (นนทบุรี-แยกลำลูกกา) โดยออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับผู้โดยสารทุกคน เช่น แผนที่การเดินทางสำหรับคนพิการทางการเห็น ทางลาด พื้นผิวต่างสัมผัส ลิฟท์ ราวจับ ราวกันตก ห้องน้ำ และตู้ TTRS เป็นต้น ปัจจุบันมีสถานะความคืบหน้าการดำเนินงานก่อสร้าง ร้อยละ 90 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2564
ทั้งนี้ ขร. จะได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รฟม. จท. ขบ. และ ขสมก. เพื่อเตรียมการด้านเส้นทางบริการระบบขนส่งสาธารณะ ทางน้ำ ทางบก และทางราง ให้สอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพมีความถี่ และช่วงเวลาในการให้บริการที่สอดคล้องกัน และพิจารณาเส้นทางการบริการเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการเชื่อมต่อเพื่อรองรับการเปิดให้บริการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39893 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เมื่อร้องทุกข์เข้ามา...รัฐพร้อมแก้ไขปัญหาให้ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
เมื่อร้องทุกข์เข้ามา...รัฐพร้อมแก้ไขปัญหาให้
...
มาแล้ว...ผลดำเนินการของรัฐบาลกับการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่พี่น้องประชาชนได้ร้องทุกข์ร้องเรียนเข้ามา ระหว่างวันที่ 7 ม.ค. - 5 มี.ค. 2564 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนการพนัน การเข้าเมืองผิดกฎหมาย การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยปัจจุบันได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว 113,449 รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 220 เรื่อง
.
ย้ำอีกครั้งว่า ประชาชนยังคงสามารถแจ้งเบาะแสได้อย่างต่อเนื่อง ตามช่องทาง ดังนี้
1.สายด่วน 1111 ตลอด 24 ชั่วโมง
2.ตู้ ปณ. 1111 ทำเนียบรัฐบาล
3.เว็บไซต์ www.1111.go.th
4.แอปพลิเคชัน PSC1111
5.ศูนย์บริการประชาชน 1111 ทำเนียบรัฐบาล
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
prev
next
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยคลัสเตอร์โรงงานชำแหละเนื้อหมู จ.ปทุมธานี พบติดเชื้อรวม 53 ราย ควบคุมโรคได้ | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
สธ.เผยคลัสเตอร์โรงงานชำแหละเนื้อหมู จ.ปทุมธานี พบติดเชื้อรวม 53 ราย ควบคุมโรคได้
กระทรวงสาธารณสุขเผยผู้ป่วยโควิด 19 รักษาหายร้อยละ 97 พบกลุ่มก้อนโรงงานชำแหละเนื้อหมู จ.ปทุมธานี รวม 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ปิดโรงงานและควบคุมโรคได้ สำหรับวัคซีนโควิด 19 กระจายแล้ว 13 จังหวัด ฉีดแล้ว 319 คน ไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 80 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 28 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 36 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 16 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม รักษาหาย 196 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมในระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 1 มีนาคม 2564 จำนวน 21,794 ราย รักษาหายสะสม 21,147 ราย คิดเป็นร้อยละ 97 เสียชีวิตสะสม 23 ราย อยู่ระหว่างรักษา 624 ราย โดยผู้ติดเชื้อในประเทศวันนี้จำนวน 64 ราย พบใน 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี 35 ราย สมุทรสาคร 19 ราย ตาก 3 ราย นครปฐม และ กทม. จังหวัดละ 2 ราย ชลบุรี ราชบุรี และนนทบุรี จังหวัดละ 1 ราย
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับการระบาดในตลาดพรพัฒน์ จ.ปทุมธานี สามารถควบคุมได้แล้ว จากมาตรการค้นหาเชิงรุกเพื่อขีดวงจำกัดการแพร่ระบาด และการตรวจโควิด 19 ในผู้ค้าและลูกจ้างในตลาดทั้งหมด เพื่อทำบัตรรับรองปลอดโควิด 19 เพื่อสร้างความมั่นใจในการเปิดตลาด ล่าสุด พบการระบาดในคลัสเตอร์โรงงานชำแหละเนื้อสุกร จ.ปทุมธานี โดยวันนี้พบรายงาน 32 ราย ทำให้มีการติดเชื้อในกลุ่มก้อนนี้รวมทั้งหมด 53 ราย คิดเป็นร้อยละ 60.22 จากจำนวนคนทั้งหมด 88 ราย ไม่พบติดเชื้อ 35 ราย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวร้อยละ 92 อายุอยู่ในช่วง 30-39 ปี ขณะนี้ได้ปิดโรงงานและอยู่ภายใต้การควบคุมโรคแล้ว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า สำหรับวัคซีนโควิด 19 ข้อมูลเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มีนาคม 2564มีการกระจายวัคซีนไปแล้ว 13 จังหวัด รวม 116,520 โดส ได้แก่ เชียงใหม่ 3,520 โดส , ตาก (อ.แม่สอด) 5,000 โดส , นครปฐม 3,560 โดส , ราชบุรี 2,520 โดส , สมุทรสงคราม 2,000 โดส , นนทบุรี 6,000 โดส ปทุมธานี 8,000 โดส , สมุทรปราการ 6,000 โดส กรุงเทพมหานคร 33,600 โดส , สมุทรสาคร 30,580 โดส , ภูเก็ต 4,000 โดส และสุราษฎร์ธานี (อ.เกาะสมุย) 2,520 โดส ผลดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด 19 รวม 319 คน ได้แก่ สมุทรสาคร 210 คน นนทบุรี 93 คน นครปฐม 14 คน และสมุทรปราการ 2 คน รายงานล่าสุดยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีน ส่วนอาการปวดเล็กน้อยภายหลังการฉีดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับวัคซีนทุกชนิด
******************************** 1 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39512 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบแก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการ ส่งเสริมประชาชนตรวจสอบภาครัฐ คุ้มครองข้อมูลความมั่นคง | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครม. เห็นชอบแก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการ ส่งเสริมประชาชนตรวจสอบภาครัฐ คุ้มครองข้อมูลความมั่นคง
ครม. เห็นชอบแก้กฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการ ส่งเสริมประชาชนตรวจสอบภาครัฐ คุ้มครองข้อมูลความมั่นคง
วันที่ 24 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ ว่า สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บังคับใช้มาเป็นเวลานาน ทำให้บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และยังขาดหลักเกณฑ์การบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับรู้และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ดังนั้น ครม. จึงเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฉบับเดิม พ.ศ. 2540 เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้เป็นกฎหมายกลางในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะของราชการ กำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลความมั่นคงของรัฐและข้อมูลอันเป็นความลับของราชการ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล รวมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้มีความเหมาะสม ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ
1. หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารสาธารณะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา และเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะผ่านระบบดิจิทัล
2. กรณีหน่วยงานของรัฐไม่ประกาศข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจดู ไม่จัดหาข้อมูลข่าวสาร ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ ประชาชนสามารถใช้สิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการได้
3. ข้อมูลข่าวสารที่ห้ามเปิดเผย เช่น 1) ข้อมูลที่อาจเกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อมูลการถวายความปลอดภัย 2) ข้อมูลความมั่นคงของรัฐ เช่น ด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ด้านข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบรามการก่อการร้าย ด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลและข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านอื่นตามที่กำหนด
4. ข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลพินิจในการเปิดเผย เช่น ข้อมูลที่อาจเกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการเงินการคลังของประเทศ โดยเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลก็ได้
5. กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใด หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน ผู้ร้องสามารถอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดข้อมูลข่าวสารได้ ภายใน 15 วัน
6. กำหนดให้มีคณะกรรมการ 2 ชุดคือ 1) คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ให้คำแนะนำ และคำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ 2) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน คำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ทั้งนี้ หากผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ สามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ภายใน 30 วัน
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและการพัฒนาประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน – ดร.สาธิต ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม พร้อมรับเอกสารรับรอง | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
อนุทิน – ดร.สาธิต ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม พร้อมรับเอกสารรับรอง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เข็มที่ 2 พร้อมรับเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย ทั้งแบบดิจิทัลจากไลน์หมอพร้อม และใบรับรอง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เข็มที่ 2 พร้อมรับเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย ทั้งแบบดิจิทัลจากไลน์หมอพร้อม และใบรับรองของโรงพยาบาล เชิญชวนประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ ในพื้นที่เป้าหมาย รับการฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็มตามนัด เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต
บ่ายวันนี้ (23 มีนาคม 2564) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดเข็มที่ 2 โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ มารับวัคซีนเข็มที่ 2 ของบริษัทซิโนแวคตามกำหนดที่ต้องฉีดห่างกัน 3 – 4 สัปดาห์ หลังจากได้ฉีดเข็มแรกไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หลังฉีดก็ไปทำงานได้ตามปกติ และต้องฉีดให้ครบทั้ง 2 เข็ม โดยเข็มแรกเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้เกิดขึ้นในร่างกาย และเข็มที่ 2 จะกระตุ้นภูมิต้านทานให้อยู่ในระดับที่สามารถป้องกันโรคได้อย่างต่อเนื่อง ลดความรุนแรงของโรค ลดการเจ็บป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ลดการเสียชีวิต ขอย้ำว่า แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ยังมีโอกาสติดเชื้อได้หากมีพฤติกรรมเสี่ยง จึงต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างต่อไป
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นประเทศต้นๆ ของโลก ที่สามารถออกใบรับรองการรับวัคซีนในรูปแบบดิจิทัล โดยหลังจากฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิต เช่น วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 2- 3 เดือน, วัคซีนของบริษัทซิโนแวคจำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุขจะออกใบรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แบบดิจิทัล (Smart Vaccine Certificate)ในรูปแบบคิวอาร์โคด ที่สร้างเฉพาะแต่ละบุคคล ไม่มีซ้ำกัน (Universally unique identifier : UUID) โดยส่งไปที่ไลน์หมอพร้อม หรือพิมพ์เป็นเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย (THAILAND NATIONAL CERTIFICATE OF COVID-19 VACCINATION) จากโรงพยาบาลที่รับการฉีดได้ทันที ซึ่งจะมีคิวอาร์โคดเดียวกันกับระบบดิจิทัล ยืนยันความครบถ้วนของการได้รับวัคซีนประจำตัวบุคคล พร้อมรายละเอียด รวมถึงข้อมูลการได้รับวัคซีน ได้แก่ วันที่ได้รับวัคซีน ชื่อการค้าวัคซีน ชื่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีน รุ่นการผลิต และหน่วยบริการที่ฉีดวัคซีน โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในระบบ MOPH Immunization Center กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ หน่วยงานอื่น ๆ หรือต่างประเทศสามารถตรวจสอบข้อมูลคิวอาร์โค้ดว่า ข้อมูลการฉีดวัคซีนตรงกับบุคคลดังกล่าวหรือไม่ ปัจจุบันสามารถใช้แสดงเพื่อเดินทางในประเทศ รวมทั้งผู้เดินทางไปต่างประเทศ สามารถนำไปขอเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับเดินทางไปต่างประเทศ (เล่มเหลือง) ได้ และสามารถใช้ระบบดิจิทัลแสดงข้อมูลสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศในระยะต่อไป
“ขอเชิญชวนประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อสม. ในพื้นที่เสี่ยงที่ได้รับการจัดสรรวัคซีน มารับการฉีดวัคซีนตามกำหนดให้ครบทั้ง 2 เข็มตามที่เจ้าหน้าที่ได้นัดหมาย โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเสี่ยงสูงหรือมีโอกาสสัมผัสเชื้อ ขอยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหามาให้บริการประชาชน เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย. แล้ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นายอนุทินกล่าว
***************************************** 23 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ประภัตร” เดินหน้าส่งเสริมอาชีพเกษตรกรสุพรรณฯ เลี้ยงจิ้งหรีด พร้อมรับซื้อคืน กก.ละ 80 บาท ป้อนโรงงานจิ้งหรีดผง เตรียมส่งออกตลาดต่างประเทศ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
“ประภัตร” เดินหน้าส่งเสริมอาชีพเกษตรกรสุพรรณฯ เลี้ยงจิ้งหรีด พร้อมรับซื้อคืน กก.ละ 80 บาท ป้อนโรงงานจิ้งหรีดผง เตรียมส่งออกตลาดต่างประเทศ
“ประภัตร” เดินหน้าส่งเสริมอาชีพเกษตรกรสุพรรณฯ เลี้ยงจิ้งหรีด พร้อมรับซื้อคืน กก.ละ 80 บาท ป้อนโรงงานจิ้งหรีดผง เตรียมส่งออกตลาดต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการอบรมส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีด ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการส่งเสริมอาชีพ เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แก้วิกฤตโควิด-19 ซึ่ง สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดขึ้น โดยมีนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการ มกอช. นายอาชว์ ชัยชาญ อธิบดีกรมการข้าว นายพิทักษ์ ชายสม ผู้อำนวยการกลุ่มมาตรฐานสุขอนามัยสัตว์ และนายชนวัฒน์ สิทธิธูรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายระหว่างประเทศ กองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร นายวิวัฒน์ ไชยชะอุ่ม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ รวมทั้ง ปศุสัตว์จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ร่วมต้อนรับ
นายประภัตร โพธสุธน กล่าวว่า รัฐบาลได้ตระหนักและมีความเป็นห่วงเกษตรกร และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งอุทกภัยและภัยแล้งตลอดจนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงมีนโยบายเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้อาชีพหนึ่งที่น่าส่งเสริมมากที่สุด คือ การเลี้ยงจิ้งหรีด เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และมีคุณประโยชน์ทางด้านโปรตีน ใช้ต้นทุนเพียง 4,500-5,000 บาท และปัจจุบันนจิ้งหรีดเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ได้แก่ สหรัฐฯ เม็กซิโก นิวซีแลนด์ และประเทศในยุโรป
ดังนั้น จึงได้มีการจัดอบรมเกษตรกรผู้สนใจเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นอาชีพเสริม ในพื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ อำเภอวังน้ำทรัพย์ อำเภอวังยาง อำเภอดอนเจดีย์ และอำเภอสามชุก จำนวน 300 คน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ในการเลี้ยงฟรี อาทิ ลังเลี้ยงจิ้งหรีด ไข่จิ้งหรีด รวมทั้งเปิดรับซื้อจิ้งหรีดคืนจากเกษตรกรกิโลกรัมละ 80 บาท นอกจากนี้ มีการสร้างโรงงานแปรรูปจิ้งหรีดผง เพื่อส่งออกจำหน่ายให้กับตลาดต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรเชื่อมั่นว่าเลี้ยงแล้วมีตลาดรองรับที่แน่นอน
ด้านนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวว่า การส่งออกจิ้งหรีดไปยังประเทศต่างๆ ฟาร์มจิ้งหรีดจะต้องได้การรับรองมาตรฐาน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย มกอช. ได้ประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด (มกษ.8202-2560) เป็นมาตรฐานทั่วไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อความปลอดภัยของผลิตผลจากจิ้งหรีด โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจรับรอง ดังนั้น เกษตรกรที่เลี้ยงจิ้งหรีดจะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถยื่นขอการรับรองมาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีด GAP ได้ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด เมื่อผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วก็สามารถส่งจิ้งหรีดไปยังโรงงานแปรรูป ทำให้กระบวนการส่งออกง่ายขึ้น เพราะดำเนินการตามเกณฑ์คู่ค้าต้องการ รวมทั้งเป็นการขยายตลาดจิ้งหรีดของไทยไปทั่วโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39715 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ ปล.กห. เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ ปล.กห. เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่
เมื่อ ๒ มี.ค.๖๔, ๐๙๐๐ ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า ศาลาว่าการกลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับของ พล.จ.หอม คีม (Horm Khim) ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่
ปล.กห. กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับ พล.จ.หอม คีม (Horm Khim) ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ ซึ่งท่านเคยดำรงตำแหน่ง รอง ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ มาแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ - ๒๕๕๗ จากความรู้และประสบการณ์การปฏิบัติงานที่ผ่านมา จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถปฏิบัติงานและสานต่อความร่วมมืออันดีระหว่างกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองกองทัพให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ปล.กห. ยังกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทย - กัมพูชา ที่มีความใกล้ชิดในทุกมิติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางทหารได้มีการร่วมพัฒนาชายแดนให้เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง เพื่อความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ
ปล.กห. กล่าวถึงการฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold 2020 ที่กัมพูชาสนับสนุนกำลังพลเข้าร่วมการฝึกฯ แบบสังเกตการณ์ และยังกล่าวถึงความร่วมมือด้านการศึกษาของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีโครงการความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ ทบ.กัมพูชา ผ่านศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ หลักสูตร วปอ., หลักสูตร รร.สธ.ทบ. และหลักสูตร รร.สธ.ทร. โดยกัมพูชาได้เสนอที่นั่งหลักสูตรภาษาขแมร์ให้แก่กองทัพไทยด้วย
ปล.กห. ยังกล่าวขอบคุณ กห.กัมพูชา สำหรับความร่วมมือที่แน่นแฟ้นที่ผ่านมาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย - กัมพูชา และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - กัมพูชา โดยมีความก้าวหน้าที่สำคัญหลายเรื่อง อาทิ การจัดตั้งกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย - กัมพูชา เพิ่มเติมระหว่าง กปช.จต. กับ ภท.๕ กพช. เป็นต้น โดย กห. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและข้อมูลอันเป็นประโยชน์เพื่อสนับสนุนภารกิจของ รมว.กห. ทั้งสองประเทศต่อไป
ทางด้าน ผชท.ทหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา)/กรุงเทพฯ ขอบคุณ ปล.กห. ที่ให้เกียรติต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับในวันนี้ สำหรับความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่างๆ นั้น กห.กัมพูชา ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุน กห. อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติให้มีพลวัตและการพัฒนามากยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39541 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.