title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศหญิง อายุ 54 ปี (ปฏิบัติหน้าที่เก็บค่าโดยสารกะบ่าย) ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ได้นำรถพระราชทานเข้ามาตรวจเชิงรุก เพื่อหาเชื้อไวรัส COVID-19 ให้กับประชาชนในเขตพื้นที่คลองเตย ณ บริเวณวัดสะพาน โดยมีพนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศหญิง อายุ 54 ปี (ปฏิบัติหน้าที่เก็บค่าโดยสารกะบ่าย) เข้ารับการตรวจ ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2564 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้อยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ในวันที่ 29 เมษายน 2564
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 4 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 20 - 22 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 20 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 47 หมายเลข 4 - 40018 ตั้งแต่เวลา 14.45 - 23.10 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 21 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 47 หมายเลข 4 - 40495 ตั้งแต่เวลา 14.45 - 23.10 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 22 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 47 หมายเลข 4 - 40495 ตั้งแต่เวลา 13.10 - 21.20 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที โดยพนักงานเริ่มมีอาการไอและจาม
- วันที่ 23 - 25 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน โดยเริ่มมีไข้และตัวร้อน
- วันที่ 26 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เวลา 08.00 น. ได้เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจ และเดินทางกลับบ้านในเวลา 11.30 น.
- วันที่ 27 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เวลา 10.00 น. เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 จากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ณ บริเวณวัดสะพาน และเดินทางกลับบ้านในเวลา 10.30 น.
- วันที่ 28 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เวลา 18.30 น. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคว่า พนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้อยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ในวันที่ 29 เมษายน 2564
- วันที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่นำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
3. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกะบ่าย ซึ่งเป็นกะสุดท้ายของแต่ละวัน จึงไม่มีพนักงานขับรถคนใดนำรถไปขับต่อ อีกทั้งเมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบจะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70 % จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารของ ขสมก. มีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารธรรมดา สาย 47 จำนวน 2 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ คือ รถโดยสารหมายเลข 4 - 40018 และ 4 - 40495 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่น ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึงอู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร
4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบ พบว่าพนักงานขับรถโดยสาร จำนวน 1 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานขับรถโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41393 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 เพศชาย อายุ 59 ปี ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 เพศชาย อายุ 59 ปี ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 พนักงานได้เดินทางไปรับทราบผลการตรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 4 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 16 - 23 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ ดังนี้
- วันที่ 16 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 05.00 - 13.45 น. หลังเลิกงานได้เดินทางไปออกกำลังกายที่สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง โดยขณะวิ่งออกกำลังกายไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และเดินทางกลับบ้าน เวลา 17.30 น.
- วันที่ 17 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 04.30 - 13.05 น. หลังเลิกงานได้เดินทางไปออกกำลังกายที่สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง โดยขณะวิ่งออกกำลังกายไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และเดินทางกลับบ้าน เวลา 17.30 น.
- วันที่ 18 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 04.30 - 12.55 น. หลังเลิกงานได้เดินทางไปออกกำลังกาย ที่สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง โดยขณะวิ่งออกกำลังกายไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และเดินทางกลับบ้าน เวลา 17.30 น.
- วันที่ 19 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 04.50 - 13.15 น. หลังเลิกงานได้เดินทางไปออกกำลังกาย ที่สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง โดยขณะวิ่งออกกำลังกายไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และเดินทางกลับบ้าน เวลา 17.30 น.
- วันที่ 20 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 04.30 - 12.20 น. หลังเลิกงานได้เดินทางไปออกกำลังกาย ที่สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง โดยขณะวิ่งออกกำลังกายไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และเดินทางกลับบ้าน เวลา 17.30 น.
- วันที่ 21 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 22 เมษายน 2564 พนักงานหยุดชดเชย จากการทำงานในวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.30 น. เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เนื่องจากมีอาการปวดเบ้าตา และมีอาการไข้เล็กน้อย และเดินทางกลับบ้านในเวลา 11.30 น. โดยแพทย์ให้พนักงานมาตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ในวันที่ 27 เมษายน 2564
- วันที่ 23 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 หมายเลข 4 - 4065 ตั้งแต่เวลา 05.00 - 09.20 น. เวลา 09.30 น. พนักงานได้ขออนุญาตหัวหน้างานไปพบแพทย์ที่สำนักงานใหญ่ ขสมก. เนื่องจากมีอาการไข้ และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 11.30 น.
- วันที่ 24 - 26 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. พนักงานเดินทางไปรับทราบผลการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
3. เมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบ จะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารของ ขสมก. มีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 จำนวน 1 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ได้แก่ รถโดยสารหมายเลข 4 - 4065 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึงอู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร
4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบพบว่า พนักงานเก็บค่าโดยสาร จำนวน 3 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานเก็บค่าโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41395 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. เพิ่มความถี่ในการปล่อยรถโดยสาร ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
ขสมก. เพิ่มความถี่ในการปล่อยรถโดยสาร ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น
ตามที่ข่าวสดออนไลน์ ได้นำเสนอข่าว กรณีเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เวลาขสมก. จึงมีการปรับเที่ยววิ่งรถโดยสารประจำทาง ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2564
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ข่าวสดออนไลน์ ได้นำเสนอข่าว กรณีเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 18.30 - 19.45 น. ซึ่งมีประชาชนอยู่บนรถโดยสารประจำทางสายหนึ่ง เป็นจำนวนมาก ไม่เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้ประชาชนมีความกังวลว่าจะได้รับการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอชี้แจงดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการปรับเที่ยววิ่งรถโดยสารประจำทาง ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2564
2. หลังจากดำเนินการได้ 3 วัน ขสมก. ได้มีการบริหารจัดการเดินรถ ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นดังนี้
2.1 ขสมก. จะเพิ่มความถี่ในการปล่อยรถโดยสาร ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า (06.00 - 09.00 น.) และช่วงเวลาเร่งด่วนเย็น (17.00 - 20.00 น.) ให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 10 นาที โดย ขสมก. ได้จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษยืนประจำจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสารสำคัญ ๆ ที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
2.2 ขสมก. จะติดป้ายข้อความ “เหลือรถ 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถ 1 คันสุดท้าย” และ “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสาร เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ
3. กรณีผู้ใช้บริการบนรถเต็ม พนักงานเก็บค่าโดยสารจะติดป้าย ข้อความ “ผู้ใช้บริการเต็ม โปรดใช้บริการรถคันถัดไป” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสาร พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการรับทราบ
ดังนั้นขอความร่วมมือผู้ใช้บริการทุกท่านปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงาน เพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุข ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการสอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th facebook : BMTA องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่ เวลา 05.00 - 22.00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41408 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 9 ราย | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 9 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 9 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 1 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 9 ราย ดังนี้
1. พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 145 ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน)
2. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 เขตการเดินรถที่ 6 คนที่ 1
3. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 เขตการเดินรถที่ 6 คนที่ 2
4. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2
5. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4
6. พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
7. พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 7 เขตการเดินรถที่ 6 คนที่ 1
8. พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 7 เขตการเดินรถที่ 6 คนที่ 2
9. พนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเชิญชวนประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ลงทะเบียนที่ "หมอพร้อม" รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 16 ล้านคน | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเชิญชวนประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ลงทะเบียนที่ "หมอพร้อม" รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 16 ล้านคน
โฆษกรัฐบาลเชิญชวนประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ลงทะเบียนที่ "หมอพร้อม" รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 16 ล้านคน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และประชาชนที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคได้แก่
1. โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง
2. โรคหัวใจและหลอดเลือด
3. โรคไตวายเรื้อรัง
4. โรคหลอดเลือดสมอง
5. โรคมะเร็ง
6. เบาหวาน
7. โรคอ้วน
ทำการลงทะเบียนเพื่อเตรียมรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ Line Official Account "หมอพร้อม" ประกอบด้วยฟังก์ชันตั้งแต่การเลือกวัน เวลา และโรงพยาบาล รวมทั้งการติดตามผลภายหลังการเข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งเข็ม 1 และเข็ม 2 โดยจะเปิดให้ประชาชนกลุ่มนี้ที่มีประมาณ 16 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 11.7 ล้าน และผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรคอีก 4.3 ล้านคน ได้เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป เพื่อนัดเวลาและสถานที่ในการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยจะเป็นการฉีดวัคซีนตามแผนระยะที่ 2 ในช่วงเดือนมิถุนายน –กรกฎาคม และจะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนตามแผนระยะที่ 3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นไปสำหรับประชาชนทั่วไปที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี จำนวน 31 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลจัดเตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีน ด้วยความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนที่มีอยู่กว่า 1,100 แห่ง ซึ่งสามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่า 5 แสนเข็ม/วัน หรืออย่างน้อย 10ล้านเข็ม/เดือน ทั้งนี้ ยังไม่รวมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และสถานที่ที่ภาคเอกชนให้ความร่วมมือเสริมเพิ่มเติม จึงมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้กับคนไทย 50 ล้านคนได้ภายสิ้นปี 2564 นี้อย่างแน่นอน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นตามแผนโดยในเดือนพฤษภาคม ไทยจะได้รับวัคซีน Sinovac เพิ่มเข้ามา ขณะที่ AstraZeneca จะทยอยส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน จำนวน 6 ล้านโดส และต่อเนื่องอีกเดือนละ 10 ล้านโดสจนถึงปลายปีนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้มอบแนวทางให้มีการจัดสำรองวัคซีนเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ 100 ล้านโดส โดยให้เป็นการทำงานเชิงรุกตรียมการสำรองวัคซีน เพื่อบริการฉีดประชาชนในปีต่อๆ ไปจนกว่าไวรัสโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่ควบคุมได้
อนึ่ง "หมอพร้อม v.2" นี้ ประกอบด้วย 12 ฟังก์ชันในการให้บริการวัคซีนโควิด 19 เริ่มจาก 1) การเพิ่มเพื่อนและการลงทะเบียนใช้ใช้งาน 2)เพิ่มบุคคลอื่น 3)ลงทะเบียนฉีดวัคซีน โควิด-19 4)จองคิวฉีดวัคซีน โควิด-19 5)เปลี่ยนการจองคิวฉีดวัคซีน โควิด-19 6)แจ้งเตือนฉีดวัคซีน โควิด-19 7)ยืนยันการฉีดวัคซีน โควิด-19 เข็มที่หนึ่ง 8)ประเมินอาการหลังฉีดวัพซีนเข็มที่หนึ่ง 9)แจ้งเตือนฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่สอง 10)ยืนยันการฉีดวัคซีน โควิด-19 เข็มที่สอง 11)ประเมินอาการหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง และ 12)การออกใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นที่ประชาชนสามารถเข้าไปติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งการรายงานสถานการณ์ การค้นหาหน่วยตรวจโควิด 19 ผลการตรวจโควิด 19 เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน (Smart phone) สามารถทำการติดต่อนัดหมายลงทะเบียนเพื่อเตรียมรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือแจ้งที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)ในพื้นที่ได้
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41390 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หมอพร้อม” เปิดบริการได้ปกติ มีผู้จองรับวัคซีนแล้วเกือบ 2 แสนราย | วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564
“หมอพร้อม” เปิดบริการได้ปกติ มีผู้จองรับวัคซีนแล้วเกือบ 2 แสนราย
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันระบบ “หมอพร้อม” ทำงานได้ตามปกติ วันนี้จนถึงเวลา 14.30 น. มีผู้จองรับวัคซีนแล้ว 199,194 ราย ย้ำรอบนี้ สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง นัดหมายรับการฉีดได้ในโรงพยาบาล 1,200 แห่ง วัคซีนมีเพียงพอ
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันระบบ “หมอพร้อม” ทำงานได้ตามปกติ วันนี้จนถึงเวลา 14.30 น. มีผู้จองรับวัคซีนแล้ว 199,194 ราย ย้ำรอบนี้ สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง นัดหมายรับการฉีดได้ในโรงพยาบาล 1,200 แห่ง วัคซีนมีเพียงพอ ลงทะเบียนได้ตลอดเดือนพฤษภาคม ไม่ต้องรีบ เริ่มฉีด 7 มิถุนายน – กรกฎาคม และเปิดหมอพร้อม ไลน์โอเอ เวอร์ชัน 2.1 ประชาชนที่ตกหล่นสามารถลงชื่อได้ หรือแจ้งอสม./ โรงพยาบาลใกล้บ้าน
บ่ายวันนี้ (1 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) ที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แถลงว่า วันนี้ “หมอพร้อม” ระบบทำงานได้ตามปกติ จนถึงเวลา 14.30 น.มีผู้จองรับวัคซีนแล้ว 199,194 ราย แบ่งเป็นทางไลน์ 157,066 ราย และแอปพลิเคชัน 42,128 ราย ซึ่งการลงทะเบียนสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบ คือ 1. หมอพร้อม ไลน์และแอปพลิเคชัน 2.ไวท์ลิสต์ หรือรายชื่อที่โรงพยาบาลที่รับการรักษาส่งมาเข้าระบบ และ3.โรงพยาบาลปลายทางที่ต้องการไปฉีดวัคซีนต้องเปิดระบบการนัดฉีดแต่ละวัน (Slot) โดยช่วงเช้าในกทม.ล่าช้า เนื่องจากโรงพยาบาลที่เปิดระบบมีเพียง 24 แห่ง
ได้ประสานกทม. ขณะนี้เปิดแล้ว 134 แห่งจาก 160 แห่ง ส่วนโรงพยาบาลสนามยังไม่เปิดระบบ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง จึงควรฉีดในโรงพยาบาล ส่วนโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข เปิดระบบทุกโรงพยาบาลแล้ว โดยโรงพยาบาลขนาดเล็กเปิดรับจอง 360 คนต่อวัน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ 600 คนต่อวัน คิดจากเวลาฉีด 1 คนต่อ 1 นาที สามารถฉีด 16 ล้านคน 16 ล้านโดสได้ภายในเวลา 54 วัน ซึ่งลงทะเบียนรับการฉีดจะทำให้สามารถส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลได้ตามจำนวนที่จะต้องฉีด
นายแพทย์พงศธรกล่าวต่อว่า รายชื่อในไวท์ลิสต์ โรงพยาบาลได้นำเข้าสู่ระบบตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ขณะนี้ต่างจังหวัดทำได้ประมาณ 95 - 98 เปอร์เซ็นต์ อาจตกหล่นรายชื่อประมาณ 1 ล้านคน จึงทำให้ไม่พบรายชื่อเมื่อจองคิว เนื่องจากมีโรงพยาบาล 1,200 แห่ง ได้แก้ปัญหาโดยเปิด หมอพร้อม ไลน์โอเอ เวอร์ชัน 2.1 เพื่อให้ประชาชนที่ตกหล่นสามารถลงชื่อได้เลย หรือแจ้งโรงพยาบาลที่มีประวัติการรักษา หรือหน่วยบริการที่ท่านมีสิทธิรักษาพยาบาล เพื่อนำรายชื่อเข้าระบบหมอพร้อม สำหรับกรณีที่รับการรักษา 2 โรงพยาบาลในกรุงเทพและต่างจังหวัด รายชื่อควรขึ้นทั้ง 2 โรงพยาบาล แต่เนื่องจากโรงพยาบาลในกรุงเทพยังไม่เปิดระบบนัดฉีด ทำให้มีรายชื่อขึ้นที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด
สำหรับกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีน ได้เรียงลำดับความสำคัญแบ่งเป็น 5 กลุ่ม รวม 50 ล้านคน กลุ่มแรกคือ บุคลากรสาธารณสุข จำนวน 1.2 ล้านคน 2.บุคลากรด่านหน้า ทหาร ตำรวจ ประมาณ 1.8 ล้านคน 3. ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุน้อยกว่า 60 ปี ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรังโรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และเบาหวาน รวม 4.3 ล้านคน 4.ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 11.7 ล้านคน และ5.ประชาชนที่เหลืออีก 31 ล้านคน โดยจะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาฉีดในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม จำนวน 16 ล้านโดส สำหรับ 16 ล้านคน และจากการสำรวจโพลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามีผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนเพียง 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงมีวัคซีนเพียงพอแน่นอน ไม่ต้องรีบลงทะเบียน ยังมีเวลาให้ลงทะเบียนตั้งแต่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป และเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – กรกฎาคม ส่วนประชาชนทั่วไปเปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 และเริ่มรับการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ซึ่งจะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งวัคซีนเป็นวัคซีนที่ผลิตในประเทศโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับคำชมเชยจากบริษัทแม่ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ว่ามีคุณภาพสูงมาก รวมทั้งจะมีวัคซีนอื่นๆ อีกหลายล้านโดสที่จะทยอยเข้ามา
“หลังจากรับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ ร่างกายจะได้รับการกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ย้ำว่า การฉีดวัคซีนช่วยให้ตัวเราแข็งแรง มีภูมิต้านทานขึ้น หากติดเชื้อ ไม่ต้องนอนไอซียู ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ขณะเดียวกันมีการศึกษาในต่างประเทศระบุว่าช่วยลดการแพร่เชื้อได้ เพราะจำนวนเชื้อในจมูก จะลดลง ช่วยลดการแพร่เชื้อต่อไปยังชุมชนด้วย ช่วยทั้งตัวเรา ปกป้องครอบครัว ในที่สุดจะทำให้มีภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไปได้” นายแพทย์พงศธรกล่าว
***************************** 1 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม ตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เข้มใช้ กม.ลงดาบเฟคนิวส์โควิด-19 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
บิ๊กป้อม ตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เข้มใช้ กม.ลงดาบเฟคนิวส์โควิด-19
บิ๊กป้อม ตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เข้มใช้ กม.ลงดาบเฟคนิวส์โควิด-19
“พลเอกประวิตร”รองนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมอบนโยบายดำเนินการอย่างเร่งด่วนร่วมกับศปอส.ตร.ใช้กฎหมายลงดาบมือปล่อยเฟคนิวส์โดยเฉพาะประเด็นวัคซีนและโควิด-19ตัดวงจรกระบวนการผลิตข่าวปลอมป่วนสังคมและประเทศชาติ
วันนี้(14พ.ค.64)พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีเดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม(Anti Fake News Center)พร้อมทั้งมอบนโยบายณศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมอาคาร20ชั้น8บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะเขตหลักสี่กรุงเทพฯโดยมีนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯน.อ.สมศักดิ์ขาวสุวรรณ์รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(เอ็นที)พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กิตติประภัสร์รองผบ.ตร.ให้การต้อนรับ
พลเอกประวิตรกล่าวว่าในภาวะวิกฤติที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก3และยังเผชิญกับการเผยแพร่ข่าวปลอมที่รุนแรงมากขึ้นสร้างความตื่นตระหนกในสังคมและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในด้านต่างๆจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ(ศปอส.ตร.)ต้องร่วมกันดําเนินการอย่างเร่งด่วนในการตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จ
โดยหากพบข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือนที่เข้าข่ายเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ดําเนินการป้องกันและปราบปรามอย่างเคร่งครัดเร่งแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมพร้อมชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องตลอดจนสร้างการรับรู้ให้รู้เท่าทัน
ทั้งนี้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและศปอส.ตร.ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างดีอีเอสกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีความสําคัญอย่างยิ่งในภาวะวิกฤติของการแพร่ระบาดโควิด-19ที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกระทบกับความปลอดภัยในชีวิตด้านสุขภาพของประชาชนและขณะเดียวกันได้มีกระแสข่าวปลอมที่ทําให้เข้าใจผิดส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลในสภาวะวิกฤตนี้
“ผมขอเน้นย้ำให้มีดําเนินการอย่างเร่งด่วนหากพบกรณีจงใจสร้างความสับสนแก่ประชาชนให้ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประเด็นวัคซีนและเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19โดยให้กระทรวงดิจิทัลฯเป็นหลักในการช่วยส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันเลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลเพื่อช่วยลดปัญหาข่าวปลอมหรือทําอย่างไรให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อร่วมมือกันตัดวงจรกระบวนการผลิตข่าวปลอมที่สร้างความสับสนตื่นตระหนกแก่คนในสังคม”พลเอกประวิตรกล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมสนับสนุนและผลักดันการขับเคลื่อนภารกิจของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมให้มีการทํางานได้อย่างต่อเนื่องและมีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาเครื่องมือให้พร้อมและทันสมัยต่อสภาวะการณ์ด้วยตลอดจนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้วิธีการทํางานเชิงรุกเพื่อป้องกันและปราบปรามต่อไป
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไวรัสโควิด-19ระลอก3ระหว่างวันที่7เม.ย.-11พ.ค. 64พบจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้อง3,857,190ข้อความหลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์788ข้อความและมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด343เรื่องอยู่ใน2หมวดหมู่ข่าวคือหมวดหมู่สุขภาพ233เรื่องคิดเป็น68%และหมวดหมู่นโยบายรัฐ110เรื่องคิดเป็น32%
ด้านภาพรวมสถานการณ์ข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิด-19ทั้ง3ระลอกซึ่งทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมรวบรวมจากการติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์(Social Listening)และการแจ้งเบาะตั้งแต่วันที่25ม.ค. 63 – 11พ.ค.64รวมระยะเวลา475วันพบว่ามีจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้อง73,833,192ข้อความโดยหลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์6,791ข้อความและมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด3,376เรื่อง อันดับ1คือหมวดหมู่สุขภาพพบจำนวน2,242เรื่องคิดเป็น66%หมวดหมู่นโยบายรัฐ1,011เรื่องคิดเป็น30%หมวดหมู่เศรษฐกิจ124เรื่องคิดเป็น4%ในส่วนของหมวดหมู่ภัยพิบัติไม่พบเรื่องที่เข้าข่าย
ขณะที่สถานการณ์ข่าวปลอมนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมจนถึงปัจจุบัน(วันที่1พ.ย. 62 - 11พ.ค. 64)พบข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด116,419,184ข้อความโดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ30,183ข้อความและหลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ10,587เรื่องแบ่งเป็นหมวดสุขภาพ54%นโยบายรัฐ41%เศรษฐกิจ3%และภัยพิบัติ2%
นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯกล่าวว่าจากการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและศปอส.ตร.ตั้งแต่1พ.ย. 62 - 6พ.ค. 64ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ส่งคดีเกี่ยวกับข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนไปให้ศปอส.ตร.ดำเนินการตรวจสอบจำนวน1,021เรื่องรวมคดีที่ดำเนินการ23รายโดยมีการดำเนินคดีแล้ว33เรื่องจำนวนผู้กระทำผิด70รายแบ่งเป็นเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ14เรื่องผู้กระทำผิด18รายและพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 19เรื่องผู้กระทำผิด52ราย
*********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย กระจายวัคซีน 3 รูปแบบ ส่วนรูปแบบวอล์คอินเริ่ม มิ.ย. ระบุ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละพื้นที่ด้วย ขอประชาชนเฝ้าติดตามประกาศจังหวัด | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลเผย กระจายวัคซีน 3 รูปแบบ ส่วนรูปแบบวอล์คอินเริ่ม มิ.ย. ระบุ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละพื้นที่ด้วย ขอประชาชนเฝ้าติดตามประกาศจังหวัด
รัฐบาลเผย กระจายวัคซีน 3 รูปแบบ ส่วนรูปแบบวอล์คอินเริ่ม มิ.ย. ระบุ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละพื้นที่ด้วย ขอประชาชนเฝ้าติดตามประกาศจังหวัด
วันที่ 14 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มีนโยบายให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้มากที่สุดเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ ลดโอกาสความรุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งนำไปสู่กรณีที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีมติเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564 ให้รูปแบบการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564 เป็นต้นไปประกอบไปด้วย 3 รูปแบบ ซึ่งจะรวมถึงรูปแบบที่ประชาชน Walk In เข้ามารับวัคซีน ณ จุดบริการต่าง ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่แต่ละพื้นที่เตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามแนวนโยบายของทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งแต่ละแห่งมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค รวมถึงความพร้อมแตกต่างกัน ดังนั้นข้อมูลข่าวสารของแต่ละพื้นที่ในขณะนี้จึงอาจจะยังสร้างความสับสนให้กับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในเรื่องนี้จึงมีข้อสั่งการให้ชี้แจงให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนขณะนี้คือจัดหาวัคซีนที่เพียงพอกับประชาชนทุกคน จึงได้มีการปรับเป้าหมายการจัดหาจาก 100 ล้านโดส เป็น 150 ล้านโดส ส่วนรูปแบบการกระจายวัคซีนนั้นดำเนินการผ่าน 3 รูปแบบเริ่มดำเนินการในเดือน มิ.ย.2564 คือ 1. การนัดผ่านไลน์ หรือแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่รัฐบาลจะจัดให้ 2. นัดเป็นกลุ่มก้อน เช่น อสม. หรือองค์กรภาครัฐและเอกชนรวบรวม และ 3. รูปแบบ Walk In โดยสัดส่วนการจัดสรรจะอยู่ที่ 30 : 50 : 20 และปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสมตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเห็นสมควร
“ในส่วนของรูปแบบที่ 3 คือการเปิดให้ Walk In นั้นตามนโยบายรัฐบาลจะจัดให้มีอย่างแน่นอน เพื่อเปิดโอกาสให้กับประชาชนกลุ่มที่ไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบตามรูปแบบแรก และไม่ได้ผ่านการนัดหมายแบบกลุ่มก้อนในแบบที่ 2 แต่การให้วัคซีนแบบการ Walk In นี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งประเด็นของปริมาณวัคซีนและสถานการณ์การแพร่ระบาด เช่น กรณีของกรุงเทพมหานคร ที่แม้นโยบายของรัฐบาลเห็นว่าให้ประชาชน Walk In รับวัคซีนได้ แต่ผู้รับผิดชอบพื้นที่เห็นว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะสมที่จะมีการ Walk In เนื่องจากเป็นพื้นที่แพร่ระบาดสูง หากมีกิจกรรมรวมตัวจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น ทางกรุงเทพมหานครจึงยังไม่เปิดให้มีการ Walk In ในขณะนี้ แต่จะมีอย่างแน่นอนเมื่อมีความพร้อม เนื่องจากขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องสถานที่ไว้แล้วหลายแห่ง ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดติดตามการประกาศของจังหวัด ซึ่งจะยึดแนวนโยบายของรัฐบาลเพียงแต่มีรายละเอียดต่างตามสถานการณ์ของพื้นที่เท่านั้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในประเด็นเกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนในเวลานี้ เพื่อลดความสับสน รัฐบาลขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลของทางการโดยเฉพาะประกาศของทางจังหวัด ส่วนการรับข้อมูลทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ขอให้รับด้วยความระมัดระวังมีการตรวจสอบที่มาอย่างรอบด้าน และขอความร่วมมือผู้จัดทำชุดข้อมูล กราฟฟิก หรือข้อความเพื่อส่งต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ขอให้เป็นการทำข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม ลดการสร้างความสับสน เพื่อความเข้าใจร่วมกันจะนำไปสู่การควบคุมการแพร่ระบาด การดูแลสภาพและชีวิตประชาชนที่มีประสิทธิภาพ และคนไทยจะได้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41743 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำสถานการณ์โควิด-19 ยังวางใจไม่ได้ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการทางสังคม แนะให้ฟังคำแนะนำของแพทย์และสาธารณสุข | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี ย้ำสถานการณ์โควิด-19 ยังวางใจไม่ได้ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการทางสังคม แนะให้ฟังคำแนะนำของแพทย์และสาธารณสุข
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำสถานการณ์โควิด-19 ยังวางใจไม่ได้ วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการทางสังคม แนะให้ฟังคำแนะนำของแพทย์และสาธารณสุข
วันนี้ (14 พ.ค.64) เวลา 09.50 น. ณ โรงพยาบาลบุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม (โรงพยาบาลสนาม) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงการจัดโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับคนไข้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตามระดับอาการของคนไข้แต่ละบุคคล ช่วยแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลหลักที่มีอยู่ ขอบคุณภาคเอกชนหลายบริษัทที่ช่วยกันบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากเพื่อใช้ในโรงพยาบาลบุษราคัมแห่งนี้
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ว่า ยังวางใจไม่ได้ อยากให้เน้นมาตรการทางสังคม ขอประชาชนทุกคน ผู้นำชุมชน ช่วยกันดูแลซึ่งกันและกันควบคู่การปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างระหว่างกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งอาจส่งกระทบประชาชนได้รับความลำบากอยู่มากพอสมควร แต่รัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจ มีมาตรการในเรื่องเศรษฐกิจรองรับไว้เพื่อดูแลประชาชนด้วย ทั้งนี้ขอให้มีการสร้างการรับรู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนประชาชนมาลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งมีการจัดระบบแต่ละกลุ่มตามช่วงเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่กำลังเข้ามาเพิ่มอีก ยืนยันต้องฉีดวัคซีนให้ได้ตามแผนที่วางไว้ รัฐบาลจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41733 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยปทุมธานี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ ลุยปทุมธานี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของแก่ลูกจ้างที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของและให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรมว.แรงงานกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
นายสุชาติกล่าวต่อว่า การจัดงานในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการ ในการอนุเคราะห์ด้านสถานที่ในการตรวจคัดกรองฯ และการประชาสัมพันธ์แก่สถานประกอบการในสวนอุตสาหกรรม การดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้างภายในบริษัทฯ ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลการุณเวช ปทุมธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงความร่วมมือจากสถานพยาบาล ต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24-48 ชั่วโมง โดยบริษัทแห่งนี้ เป็นสถานประกอบการหนึ่งที่อยู่ในแผนการตรวจ มีเป้าหมายผู้ประกันตนที่เข้ารับการตรวจ จำนวน 3,205 คน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41741 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย Walk in ฉีดวัคซีนโควิด 19 เริ่มมิ.ย.นี้ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
สธ.เผย Walk in ฉีดวัคซีนโควิด 19 เริ่มมิ.ย.นี้
กระทรวงสาธารณสุข เผยนโยบายให้ประชาชน Walk in ฉีดวัคซีนโควิด 19 เริ่มอย่างเป็นทางการเดือนมิถุนายน 2564 ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และให้คกก.โรคติดต่อแต่ละจังหวัด กำหนดจุดฉีดวัคซีน จำนวนที่จะฉีดแต่ละวัน หากคิวเต็มนัดหมายในวันที่ประชาชนสะดวก
บ่ายวันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก วันต่อวัน การบริหารจัดการจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์ เช่น การฉีดวัคซีน แผนหลักกำหนดไว้ในเดือนมิถุนายน 2564 แต่เนื่องจากมีการระบาดเมื่อเดือนมกราคม จึงได้หาวัคซีนมาเพิ่มฉีดให้กับประชาชนก่อน และขณะนี้มีข่าวดี อาจได้รับวัคซีนหลักเร็วขึ้น ในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ จึงปรับเปลี่ยนการฉีดให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในกทม. เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดของโรคได้ทัน และมีแผนใหม่เสริมแผนเดิม
สำหรับการลงทะเบียนมี 3 ช่องทาง คือ 1. “หมอพร้อม” จะรู้ว่าได้ฉีดวัคซีนวันไหน มีความสะดวกมากขึ้น ไม่แออัด ได้รับบริการตามระบบ 2.ช่องทางรองรับผู้ที่ไม่สะดวกใช้เทคโนโลยี “หมอพร้อม” โรงพยาบาล/ อสม. สำรวจและจดรายชื่อผู้ที่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีน ซึ่งโรงพยาบาลมีข้อมูลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และทางเลือกที่ 3ที่นายกรัฐมนตรีให้แนวทางไว้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างสะดวกสบาย พาวัคซีนไปหาประชาชนให้ใกล้ที่สุด คือ walk in และสามารถแก้ปัญหาที่อยู่ไม่ตรงกับบัตรประชาชน ขณะนี้หลายหน่วยงานได้ทดสอบระบบ เช่น ที่ เซนทรัลลาดพร้าว สามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งมีคนสนใจ walk in จำนวนมาก และจะเริ่มดำเนินการจริงในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นช่องทางที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกทม.
ส่วนในต่างจังหวัด การบริหารจัดการวัคซีนขึ้นอยู่กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ส่วนกลางจะส่งวัคซีนตามยอดที่จะฉีดร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร ให้จังหวัดไปจัดบริการ 3 กลุ่ม คือ หมอพร้อม, อสม./รพ.กำหนดมา และกลุ่ม walk in ในจังหวัดที่มีความพร้อม โดยกำหนดจุดฉีดวัคซีนที่ประชาชนเข้าถึงสะดวก และจำนวนที่จะให้บริการ walk in ได้ หากคิวเต็มจะให้บัตรนัดมารับการฉีดในวันที่สะดวก เป็นการจองคิวหน้างาน ทั้งนี้ประชาชนสอบถามจุดบริการฉีดวัคซีนได้ที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด คาดว่าจะทยอยประกาศจุดบริการของแต่ละจังหวัดในสัปดาห์หน้า
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ย้ำว่าการฉีดวัคซีนแบบเป็นทางการจะเริ่มมิถุนายน 2564 ปลายพฤษภาคมเป็นช่วงการซ้อมทดสอบระบบ ขณะนี้เป็นช่วงการสำรวจข้อมูลของทุกจังหวัดและกทม. ทั้งจุดที่จะเปิดบริการ วันเวลา จำนวนการให้บริการ เพื่อจัดส่งวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิดบริการ walk in ที่สถานีกลางบางซื่อในเดือนมิถุนายน และจะประกาศจำนวนที่จะฉีด โดยคาดว่าเปิดบริการเวลา 12.00 – 20.00 น. ตามที่
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมอบนโยบายไว้ว่า ต้องเป็นเวลาที่ประชาชนสะดวก มาฉีดได้หลังเลิกงาน เป็นต้น
ขณะนี้ เราฉีดวัคซีนแล้ว 2 ล้านกว่าโดส จากที่มี 2.4 ล้านโดส และตั้งแต่กลาง พ.ค.เป็นต้นไป คาดว่าจะมีวัคซีนมาประมาณ 3 ล้านโดส จะมีวัคซีนส่งไปยังจุดฉีดต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอ ระบบมีการตรวจสอบจำนวนที่ฉีด และส่งเพิ่มเติมให้ เพื่อฉีดให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาดเพื่อหยุดการระบาดให้เร็วที่สุด
สำหรับข้อกังวลว่าจะฉีดได้ครอบคลุมในปีนี้หรือไม่ คิดจากเรามีโรงพยาบาล 100 แห่ง หากแต่ละแห่งฉีดได้วันละ 500 โดส จะฉีดได้วันละ 5 แสนโดส หรือเดือนละ 10-15 ล้านโดส ดังนั้น จำนวน 100 ล้านโดสไม่เกินกำลังที่จะสามารถฉีดให้ประชาชนได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีดห่างกัน 10 - 12 สัปดาห์ ข้อมูลใหม่พบว่า เว้นระยะการฉีดห่างกันนานกว่านั้น ภูมิคุ้มกันยิ่งดีขึ้น เช่น 16 สัปดาห์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอาจจะประกาศให้ฉีดห่างกันนานขึ้น และการฉีดวัคซีนโควิด 19 จะต้องฉีดห่างจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 1 เดือน
ส่วนการฉีดให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะนี้ได้เจรจากับบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งสามารถฉีดให้ในอายุ 12 ปีขึ้นไป การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี จะสามารถส่งมอบได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และเมื่อได้รับวัคซีนมาแล้วก็จะทยอยฉีดให้กับประชาชนอายุตั้งแต่ 12-18 ปี ต่อไป สำหรับหญิงตั้งครรภ์ขณะนี้ยังไม่กำหนดให้ฉีด
ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ขับรถสาธารณะ แท็กซี่ คนขับรถตู้ ทำงานในสนามบิน จะจองได้ทั้งทางหมอพร้อม คาดว่าหมอพร้อม จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองนัดฉีดวัคซีนได้ปลายเดือนพฤษภาคม 2564 และนัดแบบเฉพาะเจาะจงเป็นกลุ่ม เช่น สมาคมแท็กซี่ สมาคมมัคคุเทศก์ ชมรมร้านอาหาร ยื่นความจำนงไปที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/ กทม. รวมทั้งการ walk in
******************************* 14 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41759 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. ตั้งการ์ดสูง ยกระดับมาตรการป้องกัน โควิด-19 ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
ธพส. ตั้งการ์ดสูง ยกระดับมาตรการป้องกัน โควิด-19 ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ
ธพส.ตั้งการ์ดสูงยกระดับมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มเติมภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ เพิ่มการทำความสะอาดระบบปรับอากาศเป็นพิเศษ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ อบโอโซนทุกวัน พร้อมเว้นระยะห่างและลดการสัมผัสเงินสดในศูนย์อาหารอย่างเคร่งครัด
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้บริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตั้งการ์ดสูงยกระดับมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 เพิ่มเติมภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ เพิ่มการทำความสะอาดระบบปรับอากาศเป็นพิเศษ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ อบโอโซนทุกวัน พร้อมเว้นระยะห่างและลดการสัมผัสเงินสดในศูนย์อาหารอย่างเคร่งครัด
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากได้ออก 10 มาตรการและแนวทางปฏิบัติ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ธพส. เตรียมยกระดับมาตรการ การดูแล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในจุดที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มเติม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้เช่าพื้นที่ ตลอดจนประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ ดังนี้
1. ทำความสะอาดระบบปรับอากาศภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ
- พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดในระบบปรับอากาศ Air Handling Unit (AHU) หรือ เครื่องจ่ายลมเย็นขนาดใหญ่และ Fresh Air Unit (FAU) หรือเครื่องจ่ายอากาศบริสุทธิ์
- อบโอโซน กำจัดเชื้อโรคในระบบปรับอากาศทุกวัน เวลา 23.00 น.
2. ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง
- เพิ่มการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณทางเข้า-ออก ห้องน้ำส่วนกลางทุกวัน เวลา 23.00 น.
- พ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณศูนย์อาหารทุกวัน เวลา 23.00 น. เพื่อให้พร้อมใช้งานในวันถัดไป
3. กำหนดมาตรการป้องกันการติดเชื้อสำหรับร้านค้า และผู้ใช้บริการ
- ผู้ค้าทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยและเฟสชิลด์
- ผู้ค้าต้องไม่สัมผัสเงินโดยตรง แต่ให้นำเงินใส่ตะกร้าและสวมถุงมือในการรับ-ทอนเงินเท่านั้น
- ระบุให้ลูกค้ายืนรอที่จุดเข้าคิวเพื่อซื้อสินค้า โดยต้องรักษาระยะห่างกัน 2 เมตร
- ร้านขายเครื่องดื่มต้องเพิ่มฉากกั้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ทั้งนี้ ดร.นาฬิกอติภัค กล่าวทิ้งท้ายว่า “ ธพส. ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ รวมถึงข้าราชการ ผู้มาปฏิบัติงาน ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ขอให้ทุกท่านมั่นใจในมาตรฐานการดำเนินงานของ ธพส. และให้ร่วมมืออย่างเคร่งครัด เชื่อมั่นว่าคนไทยจะผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย”
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธพส.
โทร.0 2142 2264
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41726 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน พัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองหลักในภูมิภาค สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน พัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองหลักในภูมิภาค สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2
ด้วย Application “Zoom” โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมด้วย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมเรื่อง ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองหลักในภูมิภาค สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต เวลา 15.30 น. ด้วย Application “Zoom” โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจ ด้านการขนส่ง นายสราวุธ ทรงศิริวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ติดตามผลการดำเนินการตามข้อสั่งการจากการประชุม ครั้งที่ผ่านมา ใน 3 ประเด็น คือ (1) การทบทวนการคาดการณ์การเดินทางและผู้โดยสารของจังหวัดภูเก็ต และแนวทางการบริหารการจราจรขณะก่อสร้างทั้งระบบ (2) ความคืบหน้าการใช้พื้นที่ถนนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับดำเนินโครงการฯ และ (3) แนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารตามนโยบายและรายละเอียดเทคนิคการก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานผลการดำเนินการ ดังนี้
1. รายงานผลการทบทวนการคาดการณ์การเดินทางและผู้โดยสารของจังหวัดภูเก็ต และแนวทางการบริหารการจราจรขณะก่อสร้างทั้งระบบ
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้บูรณาการความร่วมมือกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ดำเนินการทบทวนการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารและการเดินทาง โดยได้ดำเนินการวิเคราะห์ภาพรวมการเดินทางของจังหวัดภูเก็ต และความสอดคล้องกับโครงการระบบขนส่งมวลชน และโครงการทางพิเศษ สรุปได้ว่ามีทางเลือกที่มีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจและสังคม 2 ทางเลือก คือ
(1) ทางเลือกที่ 1 ดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชน และโครงการทางพิเศษตามแผนงานเดิม ที่มีกำหนดการเปิดให้บริการในปี 2569 และ 2571 ตามลำดับ โดยกรณีนี้ มีข้อดีคือ โครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงาน แต่ในระหว่างการก่อสร้างจะมีผลกระทบด้านการจราจรมาก
(2) ทางเลือกที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างทางพิเศษตามแผนงานเดิม (เปิดให้บริการปี 2571) แต่ชะลอแผนการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชน (กำหนดเปิดให้บริการปี 2573) เพื่อรอให้โครงการทางพิเศษบางส่วนเปิดให้บริการก่อน (กำหนดเปิดให้บริการ ปี 2571) ซึ่งกรณีนี้จะทำให้มีผลกระทบด้านการจราจรระหว่างการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนน้อย เนื่องจากประชาชนมีโครงการทางพิเศษ เป็นทางเลือกในการเดินทาง
2. รายงานผลการขอใช้พื้นที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการขอใช้พื้นที่จากเทศบาลนครภูเก็ต และเทศบาลนครภูเก็ตได้มีหนังสือยินดีให้การสนับสนุนพื้นที่บริเวณถนนเทพกระษัตรีและถนนภูเก็ตแล้ว ส่วนการใช้พื้นที่ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้มีการบูรณาการความร่วมมือในเบื้องต้นร่วมกันแล้ว และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจะได้จัดทำรายละเอียดเพื่อให้ทั้งสองหน่วยงานพิจารณาอนุญาต ต่อไป
3. รายงานผลการพิจารณาแนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารตามนโยบายและรายละเอียดเทคนิคการก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบ
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้พิจารณาทบทวนรูปแบบโครงการเป็นระบบ Automated Rapid Transit (ART) พบว่า จะทำให้กรอบวงเงินลงทุนโครงการลดลงประมาณ 15,289 ล้านบาท และลดระยะเวลาการก่อสร้างจากเดิม 9 เดือน ซึ่งผลจากต้นทุนที่ต่ำลง จะส่งผลให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทยสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ถูกลงได้ โดยในเบื้องต้น มีแนวคิดจะกำหนดอัตราค่าโดยสารโดยแบ่งเป็น การเดินทางในเขตเมืองภูเก็ต การเดินทางนอกเขตเมือง และการเดินทางระหว่างเขตเมือง สำหรับเทคนิคการก่อสร้างจะเลือกใช้วิธีการก่อสร้างที่ใช้ระยะเวลาน้อยที่สุด เพื่อลดผลกระทบ เช่น การใช้คอนกรีตหล่อสำเร็จ และการใช้ Launching Gantry เป็นต้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับทราบการรายงานข้างต้น และมีข้อสั่งการ ดังนี้
1. ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จัดทำแผนงานในรายละเอียด (Action Plan และ Timeline) สำหรับทั้งสองทางเลือกที่นำเสนอไว้ ภายใน 2 สัปดาห์ และเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลงแล้ว ให้ทั้งสองหน่วยงานลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในประเด็นทางเลือกการดำเนินโครงการทั้ง 2 ทางเลือก ทั้งนี้ ให้กำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครบทุกกลุ่ม ก่อนสรุปเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาตัดสินใจ ต่อไป
2. การพิจารณาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยคำนึงถึงประชาชนเป็นลำดับแรก และเนื่องจากเป็นโครงการแรกที่จะใช้เทคโนโลยี Automated Rapid Transit (ART) ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยค้นคว้าโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของโครงการ ART จากต่างประเทศประกอบการพิจารณาด้วย โดยจะต้องเป็นอัตราที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและต้องไม่เป็นภาระต่อประชาชน ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนพิจารณาลดต้นทุนและระยะเวลาการก่อสร้างเพิ่มเติม โดยพิจารณานำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีต้นทุนต่ำมาปรับใช้ เพื่อให้สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารได้ต่ำที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41737 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมการใช้งานระบบบริหารจัดการเพื่อการทำงานร่วมกัน (I-Drive) | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
การประชุมการใช้งานระบบบริหารจัดการเพื่อการทำงานร่วมกัน (I-Drive)
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุม การใช้งานระบบบริหารจัดการเพื่อการทำงานร่วมกัน (I-Drive)
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม การใช้งานระบบบริหารจัดการเพื่อการทำงานร่วมกัน (I-Drive) โดยมี นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาค ที่เข้าร่วมประชุมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Video Conference (Zoom) ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยการประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจต่อการใช้งาน การจัดเก็บไฟล์เอกสารของหน่วยงานด้วยระบบ Cloud Computing สำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติงานด้วยความสะดวก และปลอดภัย อีกทั้ง ยังสามารถแบ่งปันไฟล์เอกสารในการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบ เน้นย้ำไม่ให้ผู้โดยสารยืนเบียดกันภายในเรือเด็ดขาด | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่าคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบ เน้นย้ำไม่ให้ผู้โดยสารยืนเบียดกันภายในเรือเด็ดขาด
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่คลองแสนแสบ ณ ท่าเรือทองหล่อ เพื่อตรวจเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเน้นย้ำไม่ให้ผู้โดยสารยืนเบียดกันภายในเรืออย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือดำเนินตามมาตรการฯ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ห้ามการ์ดตก เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายฯ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ณ คลองแสนแสบ
นายวิทยา ยาม่วง กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับ ดูแลการเดินทางทางน้ำ ได้ลงพื้นที่ตรวจมาตรการฯ ในคลองแสนแสบ โดยได้เน้นย้ำไม่ให้มีผู้โดยสารยืนเบียดกันภายในเรืออย่างเด็ดขาด และกำชับให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบดำเนินการมาตรการฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดฯ ในการเดินทางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารดังนี้
1. ตั้งจุดคัดกรองตามมาตรการฯ ประจำท่าเทียบเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองแสนแสบ เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสาร พร้อมทั้งจัดจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ให้กับประชาชน
2. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารเรือทุกคนสวมหน้ากากอนามัยขณะโดยสารเรือ และขณะรอขึ้น - ลงเรือ และให้ยืนเว้นระยะห่างตามจุดกำหนด (Social Distancing)
3. ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการจัดจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และทำความสะอาดบริเวณตัวเรือและที่นั่ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคเป็นประจำหลังให้บริการทุกครั้ง
4. กำชับให้พนักงานขนส่งประจำท่าแจ้งกำชับให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการ เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร บริเวณท่าเทียบเรือและพื้นที่ให้บริการ พร้อมทั้งกำชับให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข D-M-H-T-T อย่างต่อเนื่อง
จท. ได้ดำเนินการตามมาตรการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเข้มงวดด้านการอำนวยความสะดวกความปลอดภัย การตั้งจุดคัดกรองประจำท่าเทียบเรือ การทำความสะอาดท่าเรือ และตัวเรือเป็นประจำ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสาร รวมทั้งตรวจสอบผู้มาใช้บริการผ่านกล้อง CCTV หากพบว่ามีความหนาแน่นจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำท่าเทียบเรือห้ามไม่ให้ผู้โดยสารลงเรือและให้ใช้บริการเรือลำถัดไป รวมทั้งขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการเพิ่มเที่ยวเรือในช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 07.00 - 08.30 น. และช่วงเย็น ตั้งแต่เวลา 16.30 - 18.30 น. โดยเพิ่มความถี่เรือเข้ารับ - ส่ง ผู้โดยสารจากปกติ 5 - 7 นาที/ลำ เป็น 2 - 3 นาที/ลำ เพื่อลดความแออัดทั้งในเรือและบนท่าเรือ
จท. มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ และขอความร่วมมือประชาชนโปรดเชื่อฟังเจ้าหน้าที่และปฏิบัติตามมาตรป้องกันฯ อย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41736 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งเลื่อนการจัดแข่งขัน PAT Mini Marathon 2021 ครั้งที่ 9 ประจำปี 2564 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งเลื่อนการจัดแข่งขัน PAT Mini Marathon 2021 ครั้งที่ 9 ประจำปี 2564
...
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กระทรวงคมนาคม แจ้งเลื่อนการจัดแข่งขัน “PAT Mini Marathon 2021” ครั้งที่ 9 ประจำปี 2564 ตามข้อกำหนดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) และเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้เข้าร่วมแข่งขันฯ เนื่องจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แพร่กระจายในวงกว้าง ซึ่งเดิม กทท. ได้กำหนดจัดแข่งขันฯ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว กทท. จะจัดการแข่งขันฯ อีกครั้ง และจะแจ้งให้ทราบต่อไป สำหรับผู้ที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันฯ ทางออนไลน์ และชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สามารถรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แก่ เสื้อ หมวก และเบอร์วิ่ง ได้ที่ กทท. อาคาร B ชั้น 2 ห้องนิทรรศการ (ข้างธนาคารกรุงไทย สาขา กทท.) ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 ในวันทำการระหว่างเวลา 09.00 - 16.00 น. และวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 ระหว่างเวลา 09.00 - 13.00 น. โดยสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook : PAT Mini Marathon เว็บไซต์ : www.patrunning.com และ LINE : PAT Mini Marathon
ทั้งนี้ หากไม่สะดวกรับตามวันและเวลาดังกล่าว สามารถมารับได้ก่อนการแข่งขันฯ 1 สัปดาห์ สำหรับกำหนดการแข่งขันฯ และการรับอุปกรณ์รอบต่อไป จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 08 7798 4866 และ 08 6787 9168
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ผู้ช่วยทูตทหาร สหพันธรัฐรัสเซีย/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่" | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
"ผู้ช่วยทูตทหาร สหพันธรัฐรัสเซีย/กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่"
พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผช.โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ ๑๔ พ.ค.๖๔, ๑๑๐๐ ณ ห้องกัลยาณไมตรี ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี รอง ปล.กห.ได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับของ น.อ.อเล็กซันเดอร์ ป็อบกอว์ (Alexander Popkov) ผชท.ทหาร สหพันธรัฐรัสเซียเพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการปฏิบัติหน้าที่
รอง ปล.กห.กล่าวขอบคุณ น.อ.อเล็กซันเดอร์ ป็อบกอว์ (Alexander Popkov) ผชท.ทหาร รัสเซีย/กรุงเทพฯ สำหรับการปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยม โดยในการดำรงตำแหน่ง ผชท.ทหาร รัสเซีย/กรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นวาระที่ ๒ ซึ่งสะท้อนถึงความรู้ความสามารถและความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยเป็นอย่างดี จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจาก กห.รัสเซีย ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่นี้อีกครั้ง โดยตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งได้มีส่วนในการสนับสนุนและประสานงานให้ กห.-กห.รัสเซีย ได้ขยายความร่วมมืออันดีระหว่างกันในทุกๆด้าน นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการประสานงานและอำนวยความสะดวกในการเดินทางเยือนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ กห. และกองทัพของทั้งสองประเทศเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมความร่วมมือที่สำคัญต่างๆอีกด้วย
รอง ปล.กห. ได้แสดงความห่วงใยกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งไทยขอให้กำลังใจรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์ของรัสเซียที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อฯ ทั้งนี้ขอแสดงความยินดีที่รัฐบาลรัสเซียอยู่ระหว่างการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 Sputnik V ให้แก่สาธารณชน นอกจากนี้ยังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลรัสเซียสำหรับการสนับสนุนวัคซีนป้องกัน Sputnik V (สปุตนิค วี) ให้กับประเทศไทยซึ่งเป็นผลจากการเจรจาในรูปแบบรัฐต่อรัฐระหว่าง กต. กับรัฐบาลรัสเซีย และจะช่วยให้การฉีดวัคซีนป้องกันให้กับประชาชนชาวไทยมีความครอบคลุมมากขึ้น รวมทั้งสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกันมาอย่างยาวนาน หวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ จะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้เพื่อทั้งสองประเทศจะสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางทหารในด้านต่างๆได้อย่างเต็มรูปแบบ
ทางด้าน ผชท.ทหาร รัสเซีย/กรุงเทพฯ กล่าวขอบคุณ รอง ปล.กห. ที่ให้เกียรติต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับในวันนี้ ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนที่ดีจาก กห. มาโดยตลอด หลังจากเกษียณอายุราชการหากมีโอกาสจะขอช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นและจะกลับมาเยือนไทยอีกในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จะมีการพัฒนาที่ดีขึ้น ขอให้คนไทยรักษาสุขภาพและปลอดภัยจากโรค COVID-19 ทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41756 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม หวังช่วยแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ขอทุกคนอย่าท้อแท้ เชื่อศักยภาพและความร่วมมือของคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตไปได้ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม หวังช่วยแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ขอทุกคนอย่าท้อแท้ เชื่อศักยภาพและความร่วมมือของคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตไปได้
นายกรัฐมนตรีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม หวังช่วยแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ขอทุกคนอย่าท้อแท้ เชื่อศักยภาพและความร่วมมือของคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตไปได้
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 09.10 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบอุปกรณ์สนับสนุนจากภาคเอกชน ได้แก่ อุปกรณ์ฆ่าเชื้อในอากาศ เครื่องออกซิเจน อุปกรณ์ทางการแพทย์ ห้องน้ำ เครื่องอุปโภค รวมมูลค่า 45.78 ล้านบาท
สำหรับโรงพยาบาลบุษราคัม จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้ติดเชื้อทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยสีเหลืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยถึงปานกลางทั้งจากในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสายด่วนต่าง ๆ จาก กทม. และปริมณฑล ได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยลดอาการรุนแรง ลดการเสียชีวิต รวมทั้งเป็นการดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เบื้องต้นรับผู้ป่วยได้ประมาณ 1,092 เตียง หากมีผู้ป่วยเพิ่มสามารถขยายพื้นที่รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,000 ราย ภายใต้การดูแลของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่จาก 60 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดน้อย มาหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ รวม 780 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์ด้านการแพทย์ ทั้งรถเอกซเรย์ เครื่องช่วยหายใจกว่า 100 เครื่อง ห้องตรวจปฏิบัติการ ยาสำคัญ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างครบครัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม หวังให้เป็นโรงพยาบาลแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล อสม. และเจ้าที่ทุกท่านที่เสียสละ อดทน แม้ว่าตนเองจะเสี่ยงอันตราย และเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ มุ่งมั่น ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้และสิ้นหวัง อย่าขัดแย้ง ขอให้ร่วมมือช่วยกันแก้ไขปัญหา รัฐบาลพร้อมทำงานแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ อาจจะทำได้ไม่ดีที่สุด แต่ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเหมือนกันถือว่าสามารถทำได้ดีกว่า ทั้งนี้ จากการพูดคุยหารือกับผู้นำต่างประเทศทางโทรศัพท์ ต่างชื่นชมการบริหารจัดการของประเทศไทย พร้อมขอคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพและความสามัคคีของคนไทยทุกคนจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมศูนย์บัญชาการโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมเยี่ยมชมความพร้อมภายในโรงพยาบาล โดยได้กล่าวให้กำลังใจบุคลากรภาคสนามทุกคน ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจที่ดีในการทำงาน และขอความร่วมมือให้ช่วยกันใช้มาตรการทางสังคม มีวินัยต่อตนเองเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเขิญชวนให้ประชาชนทุกคนลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม โดยขอให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41732 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตน เฮ!! บอร์ด สปส.เห็นชอบลดเงินสมทบเหลือร้อยละ 2.5 เข้า ครม.สัปดาห์หน้า | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
ผู้ประกันตน เฮ!! บอร์ด สปส.เห็นชอบลดเงินสมทบเหลือร้อยละ 2.5 เข้า ครม.สัปดาห์หน้า
------------
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบปรับลดเงินสมทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม มิถุนายน – สิงหาคม 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนจากผลกระทบโควิด-19 เตรียมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการประกันสังคม มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .....โดยให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 3 ทั้งนี้ จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์หน้า
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การลดเงินสมทบในครั้งนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อนายจ้างและผู้ประกันตน นายจ้าง จำนวน 485,113 ราย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,164,384 คน และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,832,500 คน สามารถนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2564 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,163 ล้านบาท อันเป็นการลดปัญหาทางการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ประกันตนดีขึ้นและเป็นการรักษาระดับการจ้างงานของนายจ้างอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41758 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 6 ราย | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 6 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 6 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 6 ราย
1) นายท่าปล่อยรถโดยสาร กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 2 เขตการเดินรถที่ 1
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 510 เขตการเดินรถที่ 1
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4
4) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 136 เขตการเดินรถที่ 4
5) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 510 เขตการเดินรถที่ 1
6) พนักงานธุรการ ระดับ 3 สำนักบริหารการเดินรถ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41764 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมพิจารณาการตรวจเนื้อหาหนังสือพระมหากษัตริย์ไทย ๑๐ รัชกาล แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ฉบับการ์ตูน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมพิจารณาการตรวจเนื้อหาหนังสือพระมหากษัตริย์ไทย ๑๐ รัชกาล แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ฉบับการ์ตูน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
การประชุมพิจารณาการตรวจเนื้อหาหนังสือพระมหากษัตริย์ไทย ๑๐ รัชกาล แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ฉบับการ์ตูน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมพิจารณาการตรวจเนื้อหาหนังสือพระมหากษัตริย์ไทย ๑๐ รัชกาล แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ฉบับการ์ตูน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นางสายไหม จบกลศึก อดีตที่ปรึกษาเลขาธิการพระราชวัง นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอักษรศาสตร์ กรมศิลปากร คณะที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41763 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ร่วมลงพื้นที่ จ.นนทบุรี มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมกำชับช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ ลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายใน 20 พ.ค. นี้ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ร่วมลงพื้นที่ จ.นนทบุรี มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมกำชับช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ ลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายใน 20 พ.ค. นี้
รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ร่วมลงพื้นที่ จ.นนทบุรี มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมกำชับช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษและครอบครัว ลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายใน 20 พ.ค. นี้
วันที่ 13 พ.ค. 64เวลา 08.45 น. นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ร่วมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี เพื่อมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 10,000 ชิ้น จากมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม ให้กับจังหวัดนนทบุรี โดยมี นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมี นาวาตรี สุธรรม ระหงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และนายธนสุนทร สว่างสาลี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงพื้นที่ดังกล่าว
นายจุติ กล่าวว่า จากนั้น ตนได้หารือร่วมกับนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี (พมจ.นนทบุรี) และทีม One Home พม. นนทบุรี โดยได้ให้แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แก่ การลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ เช่น คนพิการกลุ่มออทิสติก ผู้บกพร่องทางสติปัญญา การเรียนรู้ ดาวน์ซินโดรม และสมาธิสั้น รวมทั้งสมาชิกครอบครัวที่อาศัยในบ้านเดียวกัน ระหว่างวันที่ 11-20 พฤษภาคม 2564 นำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ณ สถาบันราชานุกูล เขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งตนได้กำชับให้หน่วยงานของกระทรวง พม. ที่ดูแลกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ เพื่อสำรวจว่ามีจำนวนคนเท่าไหร่ และได้มีการลงทะเบียนมากน้อยเพียงใด แล้วลงพื้นที่รายครอบครัวเข้าไปให้ความรู้ความเข้าใจเพื่อสนับสนุนให้มีการลงทะเบียนฉีดวัคซีนมากที่สุด เนื่องจากมีความห่วงใยในความปลอดภัยของกลุ่มบุคคลนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อีกทั้งเน้นย้ำให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ครอบครัวที่มีกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ป้องกันตนเองและครอบครัวอย่างเข้มงวด ตามที่นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) ได้ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนว่า “การ์ดอย่าตก” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องการรับบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีจำนวนลดน้อยลงในภาวะวิกฤตโควิด-19 ตนได้กำชับให้แต่ละหน่วยงานเร่งสำรวจสิ่งของบริจาคว่ามีจำนวนเท่าไหร่ มีสิ่งของอะไรบ้างที่ขาดแคลนและต้องการเร่งด่วน เพื่อจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด จากนั้นจะได้ประชาสัมพันธ์การรับบริจาคผ่านศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. แล้วนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางในหน่วยงานทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ สามารถบริจาคสิ่งของที่จำเป็นได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41727 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวมหน้ากาก 2 ชั้น หมั่นล้างมือ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
สวมหน้ากาก 2 ชั้น หมั่นล้างมือ
#โควิด19 #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41748 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทาง | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทาง
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางของ ด่านฯ บางครุ 1 (ทางเข้า), ด่านฯ บางครุ 2 (ทางออก), ด่านฯ บางครุ 3 (ทางออก)
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้าง บริษัท เอส.เอ็ม.อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ให้ดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางฯ ของด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางครุ 1 (ทางเข้า), ด่านฯ บางครุ 2 (ทางออก), ด่านฯ บางครุ 3 (ทางออก) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 - วันที่ 5 มิถุนายน 2564 ช่วงเวลา 22.00 น. - 04.00 น. โดยมีรายละเอียดดังนี้
ด่านฯ บางครุ 1 (ทางเข้า)
- ปิดช่องทางที่ 1 ระหว่างวันที่ 13-17 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 2 ระหว่างวันที่ 19-23 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 3 ระหว่างวันที่ 25-29 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 4 ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564
- ปิดช่องทางที่ 5 ระหว่างวันที่ 5-8 มิถุนายน 2564
ด่านฯ บางครุ 2 (ทางออก)
- ปิดช่องทางที่ 1 ระหว่างวันที่ 15-19 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 5 ระหว่างวันที่ 21-25 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 7 ระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2564
ด่านฯ บางครุ 3 (ทางออก)
- ปิดช่องทางที่ 8 ระหว่างวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 9 ระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 6 ระหว่างวันที่ 1-5 มิถุนายน 2564
ทั้งนี้ กทพ. ได้มีการติดตั้งป้ายเตือนก่อนถึงพื้นที่ดำเนินการและติดตั้งไฟสัญญาณต่าง ๆ รวมถึง ป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจรพร้อมไฟวับวาบเพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางพิเศษทราบ
กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณ อนัน โทร. 087-9738064 (ผู้ควบคุมงาน)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41729 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจความพร้อม หน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล เดอะมอลล์บางกะปิ พร้อมเปิดให้บริการฉีดจริง 15 พ.ค. นี้ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี ตรวจความพร้อม หน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล เดอะมอลล์บางกะปิ พร้อมเปิดให้บริการฉีดจริง 15 พ.ค. นี้
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีตรวจความพร้อม หน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล เดอะมอลล์บางกะปิ พร้อมเปิดให้บริการฉีดจริง 15 พ.ค. นี้
วันนี้ (14 พ.ค.64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการทดลองระบบการฉีดวัคซีน ณ จุดฉีดวัคซีนโควิด-19 บริเวณ MCC Hall ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ที่เป็น 1 ใน 14 แห่งนำร่องต้นแบบของสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หน่วยนี้จะเปิดให้บริการฉีดจริงในวันเสาร์ที่ 15 พ.ค. นี้ สามารถฉีดวัคซีนได้วันละ 2,000 คน/วัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้จัดหาวัคซีนและฉีดให้กับประชาชนอย่างครอบคลุม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าช่วงนี้ ต้องการตรวจเยี่ยมสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล เพื่อปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ให้มากยิ่งขึ้น เบื้องต้นจะเน้นไปในจุดที่มีความเสี่ยงสูงก่อน และจะกระจายไปตามจุดที่มีการฉีดวัคซีนต่าง ๆ ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มทั้งประเทศ ตามปริมาณวัคซีนที่กำลังจะทยอยเข้ามาเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอสำหรับประชาชนในประเทศ ที่สำคัญต้องมีการตรวจสอบคัดกรองทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีโรงพยาบาลสนามรองรับสำหรับผู้ที่มีอาการ เพื่อลดอาการป่วย ลดจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐ นายกรัฐมนตรียังแนะให้ประชาสัมพันธ์ถึงการแต่งกายให้พร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับทราบด้วย เพื่อให้การรับบริการฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสะดวกรวดเร็ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจัดหาสถานที่สำหรับบริการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนว่า มีการขอความร่วมมือกับภาคเอกชน รวมถึงการจัดหาวัคซีนทางเลือกสำหรับให้บริการประชาชน โดยมีวัคซีน Astrazenaca เป็นวัคซีนหลักก็จะมีวัคซีนเข้ามาเสริมเรื่อย ๆ รวมถึงมีวัคซีนทางเลือกเช่น Moderna สำหรับให้บริการประชาชน ที่ขณะนี้ได้มีการขึ้นทะเบียนวัคซีน Moderna สำหรับเป็นวัคซีนทางเลือกอีกชนิดหนึ่งแล้ว โดยจะเน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้าก่อน และมีการขยายไปสู่กลุ่มคนที่ต้องมีการพบปะกับกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น รถบริการสาธารณะ มอเตอร์ไซค์ Grab รวมไปถึงขยายไปในกลุ่มของโรงงานต่าง ๆ และแรงงานด้วย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID-19 ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างมีการตรวจสอบคัดกรองมาโดยตลอด
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า การดำเนินงานของรัฐบาลไม่ได้เกิดจากความกดดันแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ภายใต้กฎระเบียบที่มีอยู่ พร้อมดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งการเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามรองรับหากเกิดสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น การใช้แนวทางการกระจายวัคซีนจากส่วนกลาง ไปในพื้นที่ต่าง ๆ ในภูมิภาคให้รวดเร็วขึ้น นายกรัฐมนตรียังเผยว่า การต่อสู้กับวิกฤติโควิด-19 ต้องสู้ไปด้วยกัน ร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชน โดยต้องร่วมแรงร่วมใจกัน เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ไม่โทษกันไปมา ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยโทษประชาชน ตามที่มีบางกลุ่มนำไปบิดเบือน พยายามสร้างความขัดแย้ง ประชนคือคนที่รัฐต้องดูแล และดูแลให้ดีที่สุด
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สัญลักษณ์ที่เราใช้ในวันนี้ “V” หมายถึงวัคซีนที่จะเอาชนะโควิด-19 ควบคู่ไปกับสัญลักษณ์ “Love” ที่พวกเราต้องรักสามัคคีกัน รักตัวเอง รักครอบครัว รักสังคม และประเทศชาติ ประเทศไทยจึงจะฝ่าฟันผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ไปได้
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41761 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41777 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงกลาโหม รับมอบวัตถุดิบในการประกอบอาหาร จากภาคเอกชน เพื่อนำไปมอบให้กับกำลังพลกระทรวงกลาโหม ที่ปฎิบัติหน้าที่ป้องกันแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
ปลัดกระทรวงกลาโหม รับมอบวัตถุดิบในการประกอบอาหาร จากภาคเอกชน เพื่อนำไปมอบให้กับกำลังพลกระทรวงกลาโหม ที่ปฎิบัติหน้าที่ป้องกันแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม รับมอบหอยลายเปลือกแช่แข็ง นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร จํานวน 10,000 กิโลกรัม
จาก คุณทรงพล โง้วรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอมมอนเวลธ์คอมเมอร์เชี่ยล จำกัด ในการนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พลเอก ประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ เป็นผู้แทนในการแจกจ่ายหอยลายเปลือกแช่แข็ง ให้แก่ผู้แทนหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ในศาลาว่าการกลาโหม และสํานักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม โดยมีนายนายทหารชั้นผู้ใหญ่กระทรวงกลาโหมและชมรมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 97 ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ บริเวณหน้าอาคารกรมพระธรรมนูญ โดย เจ้ากรมพระธรรมนูญ กล่าวขอบคุณภาคเอกชน ที่ได้มอบหอยลายเปลือกแช่แข็ง เพื่อนำใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพ เพื่อเป็นกำลังใจในปฎิบัติหน้าที่ป้องกันแก้ปัญหา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41750 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดพาณิชย์”เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามการเชื่อมโยงส่งออกผลไม้ไทยจากพาณิชย์จังหวัดสู่ตลาดฮ่องกง ปริมาณ 2,200 ตัน มูลค่า 100 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
“ปลัดพาณิชย์”เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามการเชื่อมโยงส่งออกผลไม้ไทยจากพาณิชย์จังหวัดสู่ตลาดฮ่องกง ปริมาณ 2,200 ตัน มูลค่า 100 ล้านบาท
เผยเป็นผลงานตามนโยบาย “จุรินทร์” ที่ให้สร้างโมเดลการค้าใหม่รับยุค New Normal ใช้ช่องทางการเจรจาทำความตกลงการซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยความร่วมมือของเซลส์แมนจังหวัดและเซลส์แมนประเทศ
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 14 พ.ค. 2564 กระทรวงพาณิชย์เป็นสักขีพยานการลงนาม Memorandum of Purchasing (MOP) การเชื่อมโยงส่งออกผลไม้ไทยจากพาณิชย์จังหวัดสู่ตลาดฮ่องกง ผ่านระบบ Zoom ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นการลงนามซื้อขายมะม่วงระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าฮ่องกง ปริมาณรวม 2,200 ตัน มูลค่ารวม 100 ล้านบาท โดยมี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์) ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว(นายเกียรติศักดิ์ จันทรา) รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี (นายจรูญศักดิ์ สิงหเดช) รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (นายวิทยากร มณีเนตร) ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง (นางชณันภัสร์ พิศาลอภิพงศ์) พาณิชย์จังหวัดปทุมธานี (นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ) ประธานหอการค้าจังหวัดปทุมธานี (นายสุรพงษ์ เป้ากลาง) พาณิชย์จังหวัดสระแก้ว (นางสาวนงเยาว์ ศรีฉันทะมิตร) เกษตรจังหวัดสระแก้ว (นายประจักร์ ประสงค์สุข) ประธานหอการค้าจังหวัดสระแก้ว (นายบำรุง ล้อเจริญวัฒนะชัย) และประธาน MOC Biz Club จังหวัดสระแก้ว (นายเกษมสันต์ ศรีโสภา) ร่วมเป็นสักขีพยาน
สำหรับการซื้อขายมะม่วงดังกล่าว แยกเป็นจังหวัดปทุมธานี ปริมาณ 1,200 ตัน มูลค่า 55 ล้านบาท ระหว่างบริษัท Freco Asia Company Limited ผู้ส่งออกไทย กับบริษัท Shing Kee Lan Company Limited ผู้นำเข้าฮ่องกง และจังหวัดสระแก้ว ปริมาณ 1,000 ตัน มูลค่า 45 ล้านบาท ระหว่าง เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนมะม่วงจังหวัดสระแก้ว ผู้ส่งออกไทย กับบริษัท Chiang Mai Herbs Trading Limited ผู้นำเข้าฮ่องกง
และ “การซื้อขายมะม่วงในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้ของไทย เข้าสู่ตลาดฮ่องกงได้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางการจำหน่ายและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ช่วยให้มีความรู้ในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพมาตรฐานและตรงตามที่ตลาดต้องการ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการกิจกรรม Online Business Matching ที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์ในช่วงต้นปี ทำให้สถิติการส่งออกมะม่วงจากประเทศไทยสู่ฮ่องกงในไตรมาสแรกของปี 2564 เติบโตร้อยละ 464 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่มะม่วงน้ำดอกไม้ของไทย โดยเกิดเทรนด์การนำมะม่วงน้ำดอกไม้ไทยเป็นของฝากที่มีคุณภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย” นายบุณยฤทธิ์กล่าว
การลงนามซื้อขายผ่านทางออนไลน์ ยังเป็นสร้างโมเดลการค้าใหม่ให้เกิดขึ้นรองรับยุค New Normal ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัด ในฐานะเซลส์แมนจังหวัด ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด และทูตพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนประเทศ ทำงานร่วมกับผู้ส่งออก ผู้นำเข้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ และให้เซลล์แมนจังหวัดและเซลล์แมนประเทศประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าของจังหวัดไปยังตลาดต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในส่วนของจังหวัดสระแก้ว จะมีการต่อยอดทำเป็น “สระแก้วโมเดล” ในการพัฒนามะม่วงน้ำดอกไม้ เพื่อส่งออกไปยังตลาดฮ่องกง ให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสูง โดยจะร่วมมือกันระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับสำนักงานเกษตรจังหวัดและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนมะม่วงจังหวัดสระแก้ว เพื่อการส่งออกที่ยั่งยืน
นอกจากนี้เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จและฤดูการเก็บเกี่ยวผลไม้ที่ใกล้เข้ามา สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง เตรียมการจัด “การเจรจาธุรกิจออนไลน์ Online Business Matching ผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดฮ่องกง” ระหว่างวันที่ 24 – 28 พฤษภาคม 2564 โดยมีผลไม้เป้าหมายคือ ทุเรียน มังคุด ส้มโอ เงาะ ลำไย เนื่องจากเป็นที่นิยมของชาวฮ่องกง ขณะนี้มีเกษตรกรและผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมจำนวน 20 ราย จาก 11 จังหวัด โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดร่วมตรวจสอบศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้นำเข้าว่าจะได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพสูงระดับส่งออก อีกทั้งจะมีการดำเนินการลักษณะนี้โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ในประเทศอื่น ๆ ด้วย และมีการจัดงานส่งเสริมผลไม้ไทยในตลาดฮ่องกงและจีน อาทิ งาน Thai Fruits Festival และ Thai Fruits Golden Month ในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564
ทั้งนี้ ภาพการค้ารวมระหว่างไทย – ฮ่องกง ในปี 2563 มีมูลค่า 13,297.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการส่งออกสินค้าไทยไปฮ่องกง มีมูลค่า 11,292.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงไปไทย
มีมูลค่า 2,005.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในส่วนของการส่งออกสินค้าผลไม้มีมูลค่า 361.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มีอัตราขยายตัวร้อยละ 23.90 ในไตรมาสแรกของปี 2564 สถิติการส่งออกมะม่วงจากประเทศไทยสู่ฮ่องกง
มีมูลค่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 464
**************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41734 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปิดยื่นคำร้องไกล่เกลี่ยลูกหนี้ออนไลน์ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เพื่อประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมง่ายขึ้น | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปิดยื่นคำร้องไกล่เกลี่ยลูกหนี้ออนไลน์ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เพื่อประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมง่ายขึ้น
กรมคุ้มครองสิทธิฯ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปิดยื่นคำร้องไกล่เกลี่ยลูกหนี้ออนไลน์ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เพื่อประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล ไม่กล้าออกจากบ้าน และยังต้องเผชิญผลกระทบจากการที่ธุรกิจบางประเภทต้องปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง หรือ มีรายได้น้อยลง ส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสิน และอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทจากการผิดสัญญาต่าง ๆ จนนำมาซึ่งการฟ้องร้องเป็นคดีมากขึ้น จึงพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นำระบบ E-Mediation มาใช้เป็นช่องทางในการยื่นคำขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ควบคู่กับการยื่นคำขอผ่านช่องทางปกติ โดยระบบ E-Mediation จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น รวดเร็ว ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดความแออัดในการเข้ามาในสถานที่ราชการ และยังสามารถช่วยลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาล รวมถึงยังลดความเสี่ยงติดโควิด19 ด้วย
นายเรืองศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ประชาชนที่ประสงค์จะขอรับบริการด้านการไกล่เกลี่ยผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ผ่านระบบ E-Mediation โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://emediation.rlpd.go.th ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยรูปแบบการไกล่เกลี่ยออนไลน์สามารถทำผ่านได้หลายช่องทาง เช่น การประชุมทางโทรศัพท์ ผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ ( VDO/Web Conference) /Application Line / Program Zoom /Microsof Teams /MicrosoftTeams ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมผ่านทาง Line Official : rlpdconsultation ได้ในวันและเวลาราชการ หรือ โทร.ปรึกษาได้ที่ 1111 กด 77
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันประวัติศาสตร์ 2 ชาติ “จีน-ไทย” ร่วมฉลองการส่งออกทุเรียนไทยผ่านด่านตงซิงล็อตปฐมฤกษ์สำเร็จ “เฉลิมชัย” สั่งเดินหน้าเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ระบบราง “เชื่อมไทยเชื่อมโลก” ผ่านด่านผิงเสี | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
วันประวัติศาสตร์ 2 ชาติ “จีน-ไทย” ร่วมฉลองการส่งออกทุเรียนไทยผ่านด่านตงซิงล็อตปฐมฤกษ์สำเร็จ “เฉลิมชัย” สั่งเดินหน้าเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ระบบราง “เชื่อมไทยเชื่อมโลก” ผ่านด่านผิงเสี
วันประวัติศาสตร์ 2 ชาติ “จีน-ไทย” ร่วมฉลองการส่งออกทุเรียนไทยผ่านด่านตงซิงล็อตปฐมฤกษ์สำเร็จ “เฉลิมชัย” สั่งเดินหน้าเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ระบบราง “เชื่อมไทยเชื่อมโลก” ผ่านด่านผิงเสียงและด่านหนองคาย”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) เทศบาลเมืองตงซิงได้จัดพิธีต้อนรับผลไม้ไทยล็อตแรก และแถลงข่าวการนำเข้าผลไม้ไทยมายังประเทศจีนผ่านด่านตงซิง โดยมีนายเฉิน เจี้ยนหลิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์และนายกเทศมนตรีเมืองตงซิง เป็นประธานฝ่ายจีน และนางสาวเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง เป็นผู้แทนฝ่ายไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ประกอบการนำเข้าผลไม้ของจีนทราบถึงโอกาสและศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทยผ่านด่านตงซิงที่สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว โดยใช้เวลาในการขนส่งออกจากไทยและเข้าจีนได้ในระยะเวลาเพียง 2 วันเท่านั้น
โดยนายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ได้ประเดิมส่งออกทุเรียนตู้ปฐมฤกษ์เพื่อทดลองนำร่องในการขนส่งผ่านด่านตงซิง จำนวน 2 ตู้คอนแทนเนอร์ ปริมาณรวม 36 ตัน มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ซึ่งพบว่ารถขนส่งสามารถผ่านเข้าด่านตงซิงและผ่านพิธีการศุลกากรได้อย่างราบรื่น โดยผู้ประกอบการจีนได้ทำการต้อนรับตู้ทุเรียนตู้แรกของไทย ณ ตลาดการค้าสินค้าเกษตรฟู่หมินตงซิงกว่างซี เมื่อเวลา 23.48 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ซึ่งเป็นผลจากการที่สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศให้ด่านตงซิง (สะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนแห่งที่ 2) สามารถนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศได้ ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว โดย ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้การเจรจาและผลักดันการทำความตกลงกับสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) จนเห็นชอบร่วมกันให้บรรจุด่านตงซิงเข้าไปในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ด่านตงซิงตั้งอยู่ที่เมืองระดับอำเภอตงซิงของเมืองฝางเฉิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อยู่ห่างจากด่านหมงก๋าย จังหวัดกว่างนินห์ ของเวียดนาม เพียง 500 เมตร และได้รับอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทางบกเป็นแห่งที่ 3 ของเขตฯ กว่างซีจ้วง ต่อจากด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งด่านตงซิงสามารถรองรับรถบรรทุกสินค้าเข้าออกได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คันต่อวัน จึงเป็นด่านทางบกที่มีศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทย นอกเหนือจากด่านโม่ฮาน มณฑลยูนนาน ด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้ รวมทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ส่งออกไทย
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้เดินหน้าเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ระบบรางเพื่อ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก” ผ่านด่านผิงเสียงและด่านหนองคาย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดด่านและขนส่งสินค้าได้จริงในทุกด่านโดยเฉพาะล่าสุดคือด่านตงชิงโดยย้ำให้เร่งดำเนินการให้ทันต่อการเปิดเส้นทางรถไฟจีน-ลาว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41742 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. พร้อมเยียวยาผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือน | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รฟม. พร้อมเยียวยาผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือน
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม พร้อมเยียวยาผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนจากผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่
ตามที่ รัฐบาลได้กำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ โดยขอ ความร่วมมือให้ภาครัฐและเอกชนพิจารณาและดำเนินรูปแบบการปฏิบัติงานของบุคลากรในความรับผิดชอบโดยอาจปฏิบัติงานในที่พักอาศัย (Work From Home) การสลับวันหรือการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติงานเพื่อลดจำนวนผู้เข้าปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อฯ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องเสียโอกาสในการใช้บริการในช่วงมาตรการดังกล่าว รวมทั้งต้องเสียสิทธิ์การต่ออายุจอดรถรายเดือน นั้น
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. เปิดเผยว่า รฟม. ได้ตระหนักถึงสิทธิ์ของผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนดังกล่าว และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามประกาศของกรมการขนส่งทางราง เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณี บัตรโดยสารรายเดือน จึงได้ออกประกาศ รฟม. ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เรื่อง แนวทางเยียวยาผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนของ รฟม. โดยผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนจะได้รับการชดเชยระยะเวลาจอดรถตามจำนวนวันที่ผู้ใช้บริการคงเหลือหลังวันที่ 18 เมษายน 2564 และจะได้รับการรักษาสิทธิ์จอดรถรายเดือน ซึ่งผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือนสามารถติดต่อขอรับการชดเชยสิทธิ์รายเดือนได้ที่ห้องทำบัตรจอดรถรายเดือน ณ อาคารและลานจอดรถของ รฟม. ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
ทั้งนี้ รฟม.ได้เปิดให้บริการจอดรถรายเดือนในแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ได้แก่ อาคารจอดแล้วจร 2 แห่ง ที่สถานีลาดพร้าว และสถานีหลักสอง ลานจอดแล้วจร 8 แห่ง ที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีสุขุมวิท สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน และที่จอดรถรายเดือนในแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้แก่ อาคารจอดแล้วจร 4 แห่ง ที่สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 รวมถึงที่จอดรถรายเดือนในแนวทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ได้แก่ ลานจอดแล้วจรที่สถานีเคหะสมุทรปราการ
นอกจากนี้ ผู้ที่สมัครหรือต่ออายุการใช้บริการที่จอดรถของ รฟม. ทั้ง MRT สายสีน้ำเงิน MRT สายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2564 จะได้รับฟรี ความคุ้มครองรับความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance Service) ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี จากบริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยผู้ที่สนใจสามารถแสกน QR Code จากสื่อประชาสัมพันธ์ ณ ห้องทำบัตรจอดรถรายเดือนของอาคารจอดรถ รฟม. เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ด้วยตนเอง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม รับผู้ป่วยโควิดสีเหลือง กทม.-ปริมณฑล | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายกฯ เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม รับผู้ป่วยโควิดสีเหลือง กทม.-ปริมณฑล
นายกรัฐมนตรี เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ 3 ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มสีเหลือง เฟสแรก 1,092 เตียง ศักยภาพการรักษาระดับโรงพยาบาล มีความพร้อมด้าน ยา เวชภัณฑ์ เครื่องช่วยหายใจ ระดมบุคลากรทางการแพทย์จากทั่วประเทศร่วมดูแล
นายกรัฐมนตรี เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ 3 ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มสีเหลือง เฟสแรก 1,092 เตียง ศักยภาพการรักษาระดับโรงพยาบาล มีความพร้อมด้าน ยา เวชภัณฑ์ เครื่องช่วยหายใจ ระดมบุคลากรทางการแพทย์จากทั่วประเทศร่วมดูแล พร้อมรับมอบห้องน้ำ อุปกรณ์ฆ่าเชื้อในอากาศ เครื่องออกซิเจน อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องอุปโภคจากภาคเอกชน รวมมูลค่ากว่า 239.28 ล้านบาท
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมเป็นโรงพยาบาลเฉพาะโรคโควิด 19 สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ช่วยดูแล รักษา ผู้ป่วยสีเหลืองที่มีอาการน้อยถึงปานกลางในเขต กทม. และปริมณฑล ที่มีจำนวนมากให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ลดความรุนแรง ลดการเสียชีวิต และช่วยให้โรงพยาบาลในเขต กทม. มีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักได้อย่างเต็มที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ผู้ป่วยทุกคนต้องเข้าถึงการรักษา จะไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้าน
นายอนุทินกล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัม เป็นการทำงานร่วมจัดตั้งของทุกกรมในกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรีการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง จิตอาสา ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษา มีความพร้อมทั้งยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ รถ X-ray เคลื่อนที่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เครื่องช่วยหายใจ เต็นท์ความดันลบ 100 เตียง มีการระดมบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจากทั่วประเทศ หมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ รวม 780 คนโดยใช้พื้นที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานีเฟสแรกเปิดที่อาคารชาเลนเจอร์ 3 จำนวน 1,092 เตียง หากมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสามารถขยายพื้นที่ได้อีก 2 อาคาร รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,000 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการรักษาจะต้องผ่านการประสานจากศูนย์บริหารจัดการเตียง กรมการแพทย์ 1668 โรงพยาบาลต่างๆ ในเขตนนทบุรี ปทุมธานี หรือจาก Call Center ต่างๆ และในช่วงบ่ายวันนี้จะเริ่มรับผู้ป่วยเข้ารักษา
“เราใช้เวลาในการจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมเพียง 7 วัน เริ่มเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม สามารถเปิดบริการได้ในวันนี้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน นอกจากโซนรักษาแล้ว ยังมีโซนพักผ่อน ดูหนัง ออกกำลังกายมีการระบายอากาศที่ดี เครื่องฟอกอากาศ ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต และการจัดระบบสิ่งแวดล้อม ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ภายนอก มั่นใจว่าจะไม่กระทบกับชุมชนโดยรอบ” นายอนุทินกล่าว
******************************* 14 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41744 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ผู้ช่วยทูตทหาร สหราชอาณาจักร /กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อแนะนำตัวในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่" | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
"ผู้ช่วยทูตทหาร สหราชอาณาจักร /กรุงเทพฯ เข้าเยี่ยมคำนับ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อแนะนำตัวในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่"
14 พ.ค.64 ณ ห้องกัลยาณไมตรี ในศาลาว่าการกลาโหม พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี รองปลัดกระทรวงกลาโหมได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับของ พ.อ.โทนี สเติร์น (Tony Stern) ผชท.ทหาร สหราชอาณาจักร /กรุงเทพฯ เพื่อแนะนำตัวในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่
รองปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี พ.อ.โทนี สเติร์น (Tony Stern) ผชท.ทหาร สหราชอาณาจักร/กรุงเทพฯ โดยก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งที่ไทย ท่านได้มีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งสำคัญต่างๆ จึงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่และสานต่อความร่วมมืออันดีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รองปลัดกระทรวงกลาโหม ยังได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ด้วยพระชนมายุ 99 พรรษา พร้อมกับยกย่องเจ้าชายฟิลิป ที่ทรงทุ่มเทประกอบพระกรณียกิจเพื่อสาธารณประโยชน์มากมาย ซึ่งล้วนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก
รองปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอังกฤษที่มีมาอย่างยาวนาน โดยในปี 64 นี้ได้ครบรอบ 166 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทย-อังกฤษมีความสัมพันธ์อย่างราบรื่นและแน่นแฟ้นทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งในระดับราชวงศ์ และระดับผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ สำหรับความสัมพันธ์ทางทหารนั้น ได้มีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานทำให้มีการพัฒนาความร่วมมือทางทหารในด้านต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ การสนับสนุนที่นั่งศึกษา การฝึกร่วม/ผสม การจัดหายุทโธปกรณ์จากอังกฤษเข้าประจำการในกองทัพไทยและการสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ยังกล่าวยินดีที่ กห.ของทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหารร่วมกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายขอบเขตความร่วมมือด้านการทหารระหว่างกัน
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ไทยขอให้กำลังใจรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์ของอังกฤษที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อฯ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่กลายพันธุ์ในวงกว้าง หวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ จะมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้เพื่อทั้งสองประเทศจะสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางทหารในด้านต่างๆได้อย่างเต็มรูปแบบ
ทางด้าน ผชท.ทหาร สหราชอาณาจักร/กรุงเทพฯ กล่าวขอบคุณ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ให้เกียรติต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับในวันนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่างๆกับ กห. เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในปัจจุบันทำให้แผนความร่วมมือต่างๆต้องถูกเลื่อนออกไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ มีการพัฒนาที่ดีขึ้น กองทัพของทั้งสองประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มขีดความสามารถมากยิ่งขึ้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ก่อสร้างทางสายใหม่ อ.อรัญประเทศ-ชายแดนไทย/กัมพูชา จ.สระแก้ว | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ก่อสร้างทางสายใหม่ อ.อรัญประเทศ-ชายแดนไทย/กัมพูชา จ.สระแก้ว
ส่งเสริมภาคขนส่ง-การค้าการลงทุน เชื่อมโยงโครงข่ายชายแดนไทย-กัมพูชา รองรับ AEC คืบหน้ากว่า 70% คาดแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงสายใหม่หมายเลข 3646 สาย อ.อรัญประเทศ -ชายแดนไทย/กัมพูชา (บ.หนองเอี่ยน-สตึงบท) ตั้งแต่ กม. 0+000 – กม.25+211 ระยะทาง 25.211 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงหมายเลข 33 – ทางหลวงหมายเลข 3366 – สะพานข้ามคลองพรมโหด – บ้านหนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ไปยัง บ้านสตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อรองรับปริมาณจราจรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากการค้าบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวร บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว (บริเวณตลาดโรงเกลือ) ปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้จุดผ่านแดนมีความหนาแน่น เกิดการติดขัดของการจราจรบริเวณด่านพรมแดนจากรถที่มาขนส่งสินค้า รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาซื้อสินค้าที่ตลาดโรงเกลือ ดังนั้นเพื่อขยายพื้นที่การค้าการลงทุนชายแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน จึงมีได้ก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่เพื่อให้รองรับการขนส่งที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวโดยแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 ระหว่าง กม.0+000 – กม.10+500 ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร และตอนที่ 2 ระหว่าง กม.10+500 – กม.25+211 ระยะทาง 14.7 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร ผิวทางคอนกรีตกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร เกาะกลางเป็นแบบกดเป็นร่อง (DEPRESSED MEDIAN) พร้อมสะพานข้ามทางรถไฟเป็นสะพานคู่ที่มีช่องจราจรรวม 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร ช่องว่างระหว่างสะพาน 9 เมตร ทางกลับรถใต้สะพาน 2 ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 1.50 เมตร และ 2.50 เมตร เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน และติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบประมาณ 2,070 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 70% คาดว่าจะก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565
ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่าย และลดปัญหาการติดขัดของการจราจรจากรถขนส่งสินค้าบริเวณด่านพรมแดน บ.คลองลึก รวมถึงสนับสนุนศักยภาพจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่โดยการขยายพื้นที่การค้าการลงทุนบริเวณชายแดนในการรับการส่งออกและการนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศตามนโยบายด้านโลจิสติกส์ของประเทศ และเป็นส่วนในการส่งเสริมนโยบายและแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม หารือเร่งการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ หวังสร้างงานสร้างอาชีพผู้พ้นโทษ-พักโทษ ลดกลับมาทำผิดซ้ำ เผย 18 พ.ค. ส่ง "โฆสิต" ถกผู้ประกอบการสมุทรสาคร | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รมว.ยุติธรรม หารือเร่งการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ หวังสร้างงานสร้างอาชีพผู้พ้นโทษ-พักโทษ ลดกลับมาทำผิดซ้ำ เผย 18 พ.ค. ส่ง "โฆสิต" ถกผู้ประกอบการสมุทรสาคร
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือเร่งการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ หวังสร้างงานสร้างอาชีพผู้พ้นโทษ-พักโทษ เผย 18 พฤษภาคม 2564 นายโฆสิต จะประชุมหารือกับภาคเอกชน จังหวัดสมุทรสาคร สร้างแรงดึงดูดร่วมลงทุน
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามการจัดตั้งองค์กรมหาชนและนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ร่วมกับศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายโฆสิต สุวินิจจิต ประธานอนุกรรมการศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนอยากให้เร่งการดำเนินการจัดตั้งองค์กรมหาชนและนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพื่อให้ผู้ต้องขังผู้ที่พ้นโทษและผู้พักโทษมีงานทำ สร้างงานสร้างอาชีพ มีวิธีการที่รอบคอบ มีสถานที่ไปสู่การตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ โดยการฝึกคนสร้างคนไปสู่นิคมฯ จะทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาเราได้มีผลการศึกษาของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สร้างที่ 1. จังหวัดสมุทรสาคร 2. จังหวัดสมุทรปราการ และ 3. จังหวัดอื่นๆ ซึ่งมีงานและมีความต้องการแรงงานอยู่แล้ว โดย จังหวัดสมุทรสาครมีความต้องการแรงงานถึง 60,000 คน เมื่อบริษัทต้องการคน กรมราชทัณฑ์ต้องส่งคนไป แต่อาจจะต้องมีการทำเอ็มโอยู เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไข ในส่วนของรูปแบบของนิคมฯ เช่น ที่พักอาศัย บทลงโทษหากผู้พักโทษที่สวมกำไลEM ทำผิดเงื่อนไข กรมราชทัณฑ์และกรมคุมประพฤติ ต้องไปหารือกันว่าควรจะออกมาเป็นแบบไหน หากสามารถสร้างที่ จ.สมุทรสาครได้ ที่ต่อไปจะตามมา เช่น สมุทรปราการและชลบุรี ซึ่งตนขอให้ศึกษาข้อมูลว่าแต่ละจังหวัดมีความต้องการอะไรบ้าง เพื่อเตรียมการรองรับไว้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากเราเตรียมพร้อมรับความต้องการ ตรงไหนมีงาน แต่ขาดคน จะทำให้สามารถส่งแรงงานได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษและพักโทษ สามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวเป็นการช่วยลดการทำผิดซ้ำได้มาก โดยในวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายโฆสิตฯ จะไปประชุมหารือกับภาคเอกชน จ.สมุทรสาคร เพื่อเสนอแนวทางและรับฟังข้อคิดเห็นการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ โดยจะมีบริษัทต่างๆ ที่สนใจตอบรับเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนอยากให้เดินหน้าโดยเร็ว สร้างแรงจูงใจให้เอกชนมาร่วมลงทุน เช่น การลดภาษีหากให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษและพักโทษมาทำงาน เพราะหากเราทำได้เร็วจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไปได้อย่างดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41760 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา มุ่งหวังให้เมียนมาเกิดสันติภาพและเสถียรภาพ ไทยพร้อมสนับสนุนตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
นายกฯ หารือผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา มุ่งหวังให้เมียนมาเกิดสันติภาพและเสถียรภาพ ไทยพร้อมสนับสนุนตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน
นายกฯ หารือผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา มุ่งหวังให้เมียนมาเกิดสันติภาพและเสถียรภาพ ไทยพร้อมสนับสนุนตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) เวลา 11.15 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางคริสทีเนอ ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์ (Mrs. Christine Schraner Burgener) ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย โดยภายหลังการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่หารือกับผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมาอีกครั้ง หลังจากเคยพบปะกันเมื่อครั้งนางคริสทีเนอดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ซึ่งการกลับมาไทยครั้งนี้ในฐานะผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานของนางคริสทีเนอจนได้รับความไว้วางใจจากสหประชาชาติให้ดูแลในเรื่องสถานการณ์ในเมียนมา โดยประเด็นนี้ได้รับความสนใจจากอาเซียนและประชาคมโลก ซึ่งการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือนเมษายน ไทยให้ความสำคัญกับแนวทาง D4D ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอต่อที่ประชุม และพร้อมสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน ทั้งนี้ ไทยได้ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด มุ่งหวังให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมา หวังว่าผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมาจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการเยือนครั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับฟัง และแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์
ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมารู้สึกยินดีที่ได้กลับมาเยือนไทยและหารือกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า การมาเยือนไทยและภูมิภาคอาเซียนครั้งนี้ เพื่อหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา โดยจากการหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย จึงประสงค์ที่จะสานต่อกระบวนการเจรจาดังกล่าวต่อไปเพื่อนำความสงบสุขกับมาสู่เมียนมาอีกครั้ง หวังว่าไทยจะสนับสนุนกระบวนการดังกล่าว และแสวงหาความร่วมมือกับกองทัพเมียนมาในการหาทางออกอย่างสันติ
ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยดำเนินการทุกวิถีทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สถานการณ์ในเมียนมาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยมีประสบการณ์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เพื่อนบ้านมายาวนาน มีการติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนอย่างใกล้ชิด และเตรียมการวางแผนรับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าจะไม่มีการส่งผู้หนีภัยกลับไปเมียนมาหากต้องเผชิญกับอันตราย โดยมีการตั้งศูนย์เพื่อรองรับผู้หนีภัยหลายแห่งตามแนวชายแดน รวมทั้งให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่บาดเจ็บ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติฯ สำหรับภารกิจเดินทางเยือนไทยและภูมิภาคครั้งนี้ พร้อมหวังว่าผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติฯ จะช่วยสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลกถึงสถานการณ์ในภูมิภาค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41747 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ชูนโยบายทำงานยึดหลักธรรมาภิบาล-โปร่งใส-พัฒนาประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน-ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
วธ. ชูนโยบายทำงานยึดหลักธรรมาภิบาล-โปร่งใส-พัฒนาประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน-ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด
วธ. ชูนโยบายทำงานยึดหลักธรรมาภิบาล-โปร่งใส-พัฒนาประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน-ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด
วธ. ชูนโยบายทำงานยึดหลักธรรมาภิบาล-โปร่งใส-พัฒนาประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชน-ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด เตรียมสรุปผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ ปี 2564 เสนอต่อป.ป.ช.เดือนมิ.ย.นี้
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2559 ที่เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศเข้ารับประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transpparency Assessment-ITA) นั้น ในส่วนของ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มีนโยบายปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยหลักธรรมาภิบาลและสร้างคุณค่าทางสังคม ได้เข้ารับการประเมิน ITA ทุกปีและมีการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรและการให้บริการประชาชนมุ่งเน้นประสิทธิภาพเพื่อความโปร่งใสและเป็นองค์กรคุณธรรมต้นแบบอย่างต่อเนื่อง
ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการประเมิน ITA ประจำปี 2564 นี้ ทางศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ของ วธ. ได้รายงานว่า มีผู้ประเมินวธ.จาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.บุคลากรของวธ. 2.ผู้รับบริการ /ผู้ติดต่อหน่วยงานภาครัฐในปี 2564 และ 3.ผู้แทนโครงการ ITA โดยมีแบบประเมินสอบถามด้านต่างๆ เช่น การปฏิบัติงาน คุณภาพการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงระบบการทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางและเครื่องมือประเมินตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำหนด คาดว่าจะสรุปผลการประเมิน ITA ให้แล้วเสร็จเพื่อเสนอไปยังป.ป.ช.ภายในเดือนมิถุนายนนี้
“กระทรวงวัฒนธรรม ได้ใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานและขับเคลื่อนภารกิจในการอนุรักษ์และส่งเสริมการพัฒนาด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมมาโดยตลอด ทำให้หลายปีที่ผ่านมาได้รับประเมินว่าเป็นองค์กรที่มีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) มาตลอด ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจะดำเนินการนโยบายในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริหารจัดการองค์กรและการให้บริการประชาชนมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส คุ้มค่าและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศมากยิ่งขึ้น” ปลัด วธ. กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41731 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม "เรามีเรา" ลงพื้นที่สีแดง 2 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
พม. ทีม "เรามีเรา" ลงพื้นที่สีแดง 2 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
พม. ทีม "เรามีเรา" ลงพื้นที่สีแดง 2 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 64 เวลา 13.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมด้วย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่สีแดง ณ ชุมชนกุโบร์มัสยิด สี่แยกบ้านแขก เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 50 ชุด ให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ในชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน จากนั้น เดินทางไปลงพื้นที่ชุมชนตากสินสัมพันธ์ เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 55 ชุด ให้กับกลุ่มเปราะบาง ภายใต้ กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วย ซึ่งทั้ง2 ชุมชนดังกล่าว มี อพม. และตัวแทนชุมชนเป็นผู้รับมอบสิ่งของเพื่อนำไปส่งต่อให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนต่อไป ทั้งนี้ 2 ชุมชนดังกล่าวเป็นพื้นที่สีแดงที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19 ในวงกว้าง
นายอนุกูล กล่าวว่า จากการสำรวจของ อพม. ในพื้นที่ 50 เขต ของ กทม. พบว่า มีกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการโรคโควิด-19 และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวน 5,511 ครัวเรือน วันนี้ ในนามของรัฐบาล โดยกระทรวง พม. บูรณาการการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานครและกระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนกิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วย ด้วยการลงพื้นที่สีแดงเพื่อช่วยเหลือ 2 ชุมชนดังกล่าวในพื้นที่ฝั่งธนบุรี รวมจำนวน 105 ครัวเรือน สำหรับภาพรวมของ กทม. เราพยายามที่จะดูแลพื้นที่สีแดงและเร่งเข้าไปช่วยเหลือในลำดับแรกตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการและมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นกรรมการ โดยร่วมกับ กทม. อีกทั้งกระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนการช่วยเหลือระยะกลางผ่านโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยเราจะเข้าไปดูแลรายครัวเรือนว่าหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว จะต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างไรบ้าง เช่น เรื่องการประกอบอาชีพ การศึกษาของลูก และเรื่องอื่นๆ
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งมีหลายกลุ่มทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ทางกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม.และปริมณฑล สามารถรองรับได้ประมาณเกือบ 400 คน และมีการเตรียมมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัว โดยให้หน่วยงานกระทรวง พม. ในส่วนภูมิภาคเตรียมสำรวจผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ส่วนคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 เราจะให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น และต่อมาคือการช่วยเหลือเรื่องอาชีพของครัวเรือน ซึ่งขณะนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และปลัด พม. กำลังเร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ ทั้งนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และช่วยประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้ง มีการเร่งระดมขอรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและของใช้ที่จำเป็น เพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยกระทรวง พม. บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน และทีมประเทศไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือร่วมกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41740 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้ 10,000 บาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน ปลอดเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก รัฐบาลตั้งเป้าช่วยเหลือสภาพคล่องประชาชนกว่า 2 ล้านคน | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
“สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้ 10,000 บาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน ปลอดเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก รัฐบาลตั้งเป้าช่วยเหลือสภาพคล่องประชาชนกว่า 2 ล้านคน
“สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้ 10,000 บาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน ปลอดเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก รัฐบาลตั้งเป้าช่วยเหลือสภาพคล่องประชาชนกว่า 2 ล้านคน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัว “สินเชื่อสู้ภัย COVID–19” สำหรับผู้มีรายได้ประจำ อาชีพอิสระ เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยอนุมัติวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ผ่านการให้สินเชื่อของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงินธนาคารละ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถช่วยผ่อนคลายภาระทางการเงินในเบื้องต้นให้กับประชาชนได้กว่า 2 ล้านคน ทั้งเพิ่มสภาพคล่องในการประกอบกิจการ หรือที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน บรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดรายได้จากมาตรควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระหว่างที่รัฐบาลเร่งบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
โดยธนาคารออมสิน เปิดให้ "สินเชื่อสู้ภัย COVID-19" แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้ประจำ (ไม่รวมผู้มีรายได้ประจำจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ) ในขณะที่ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้แก่เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ซึ่งผู้ที่จะกู้จากทั้ง 2 ธนาคารนี้ จะต้องมีสัญชาติไทย และอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยสินเชื่อในโครงการ “สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” เป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน (Clean Loan) สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นกำหนดไว้คงที่ (Flat Rate) ที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก ระยะเวลาการขอกู้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 ธันวาคม 2564
สำหรับธนาคารออมสิน ในระยะแรกของโครงการเพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าธนาคาร ที่เปิดใช้แอปพลิเคชัน MyMo อยู่แล้วก่อนวันที่ 1 พ.ค. 2564 ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 9 ล้านคน โดยเริ่มจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 6 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี สมุทรปราการ และเชียงใหม่ สามารถยื่นกู้ได้ทางแอปพลิเคชัน MyMo ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากนั้นในระยะต่อไปจึงจะขยายให้บริการลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 20 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ตามด้วยลูกค้ากลุ่มอื่นที่ไม่มีแอพพลิเคชัน MyMo
ขณะที่ ธ.ก.ส. เปิดให้ร่วมโครงการผ่าน LINE Official โดยดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555
“รัฐบาลยังมีมาตรการด้านการเงินสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจกลุ่มต่างๆ อาทิ พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS9 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย และมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังได้มีการประชุมหารือร่วมกับทีมเศรษฐกิจทุกสัปดาห์ เพื่อเร่งพิจารณาแนวทางช่วยเหลือประชาชน และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มธุรกิจอย่างเหมาะสมที่สุด” นายอนุชา กล่าว
.................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41728 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการเสริมแกร่ง SMEs ที่ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
การประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการเสริมแกร่ง SMEs ที่ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
ผู้ตรวจฯ เดชา เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการเสริมแกร่ง SMEs ที่ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อำนวยการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการเสริมแกร่ง SMEs ที่ได้รับสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีแบบเฉพาะราย โดยดำเนินงานตามกลุ่มประสิทธิภาพองค์กร 6 กลุ่ม โดยมี นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อำนวยการกองกลาง เข้าร่วม พร้อมคณะผู้บริหารที่ประชุมผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Video Conference (Zoom) ณ ห้องประชุม อก.4 ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาและขุดลอกร่องน้ำ เพื่อรองรับการระบายน้ำและบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า เร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาและขุดลอกร่องน้ำ เพื่อรองรับการระบายน้ำและบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด
...
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาสภาพลำน้ำและขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสภาพธรรมชาติที่มีนํ้าไหลหลากในฤดูมรสุมเกิดการตกตะกอนของดินทรายทับถม ทําให้ร่องน้ำตื้นเขินเป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมขนส่งทางน้ำและการประกอบกิจกรรมทางน้ำอื่น ๆ จท. จึงได้ปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำ คูคลอง และปากร่องน้ำ รวมทั้งกำจัดผักตบชวาและวัชพืช เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ร่องน้ำได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จท. ได้ดำเนินงานตามแผนการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชและการขุดลอกร่องน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือภัยอุทกภัย ด้วยการขุดลอกในพื้นที่ที่ จท. รับผิดชอบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ความกว้างและความลึกของแม่น้ำจากปัญหาดินตะกอนทรายทับถม และบำรุงรักษาป้องกันตลิ่งพัง ทำให้ระบบไหลเวียนของน้ำดีขึ้น ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงานจะทําให้กระแสน้ำไหลหมุนเวียนได้สะดวก พร้อมรองรับการระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย ประชาชนสามารถใช้น้ำในการอุปโภค - บริโภค และสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้การสัญจรทางน้ำมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด สำหรับแผนดำเนินการขุดลอกในพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี แม่น้ำท่าว้า อำเภอเมืองสุพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี แม่น้ำป่าสัก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ แม่น้ำมอก อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย และแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 อยู่ระหว่างการขุดลอกแม่น้ำกกสายเก่า อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และแม่น้ำจาง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง โดยมีเนื้อดินที่ขุดลอกทั้งดำเนินการเองและจ้างเหมา จำนวน 20,404,900 ลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 1 และ 2 ได้กำจัดผักตบชวาและวัชพืชแม่น้ำต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี ชัยนาท นครสวรรค์ คลองบางพระครู และคลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ดำเนินการตามแผน โดยบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่เร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชที่ตกค้าง เพื่อลดการสะสมของปริมาณผักตบชวาที่ยังคงไหลเข้ามาสะสมอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีปริมาณผักตบชวาที่กำจัดได้ทั้งหมด จำนวน 247,039 ตัน
ทั้งนี้ อธิบดีกรมเจ้าท่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงาน
ที่กำกับดูแลพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาติดตามปริมาณผักตบชวาและวัชพืชในพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรสำหรับกำจัดผักตบชวาและวัชพืช และการขุดลอกร่องน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาอุกภัยให้กับประชาชนที่อาศัยบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งสามารถสัญจรทางน้ำในชีวิตประจำวันด้วยความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41739 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยมอบเครื่องอุปโภค - บริโภคให้กับชาวชุมชนคลองเตย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยมอบเครื่องอุปโภค - บริโภคให้กับชาวชุมชนคลองเตย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
...
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย เรือโท ดร. ชำนาญ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด มอบเครื่องอุปโภค - บริโภคให้กับชุมชนคลองเตย ทั้ง 25 ชุมชน รวม 12,300 ครัวเรือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวชุมชนคลองเตยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยมีผู้แทนหัวหน้าชุมชนเป็นผู้รับมอบ โดยจะนำเครื่องอุปโภค - บริโภคไปแจกจ่ายให้กับชาวชุมชนคลองเตยทุกครัวเรือนต่อไป ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ณ สนามแบดมินตัน สโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้เปิดพื้นที่โกดังสเตเดียมเป็นจุดบริการประชาชนในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จุดที่ 3 ของพื้นที่คลองเตย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยบูรณาการร่วมกับสำนักงานเขตคลองเตย สำนักอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดทางเข้า - ออก จุดพักคอย จัดทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน รวมทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และระบบไฟฟ้าส่องสว่าง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชุมชนคลองเตย ชุมชนบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการมารับบริการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เร่งเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า | วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564
รฟม. เร่งเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า
สายสีเหลือง - ชมพู ก้าวหน้าโดยรวมกว่า 70% พร้อมเปิดให้บริการปี 2565 และสายสีส้ม (ตะวันออก) มีความก้าวหน้างานโยธาแล้วกว่า 80%
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2564) นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและก่อสร้าง) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบ ทั้ง 3 สาย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง โดยมีความก้าวหน้า ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 ดังนี้
1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง เป็นระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลแบบคร่อมรางบนทางวิ่งยกระดับ ปัจจุบันมีความคืบหน้าที่สำคัญในส่วนของสถานีลาดพร้าว ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินงานสถาปัตยกรรมของสถานี เช่น งานเทพื้น ปูพื้น ก่อผนังห้อง งานคอนกรีต เป็นต้น โดยสถานีนี้ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารจอดแล้วจรสถานีลาดพร้าว ของรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ซึ่งจะกลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าทั้งสองสายในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในส่วนของสถานีศรีกรีฑา ถนนศรีนครินทร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานยกติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร งานติดตั้งผนัง งานปูพื้น เป็นต้น โดยสถานีนี้จัดเป็นสถานีที่สูงที่สุดของโครงการฯ มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 17.87 เมตร (จากระดับพื้นถนน ถึง ชั้นจำหน่ายตั๋วโดยสาร) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ มีความก้าวหน้างานโยธาคิดเป็น 82.46% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้าคิดเป็น 72.45% และความก้าวหน้าโดยรวมคิดเป็น 78.11% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ ภายในปี 2565
2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี เป็นระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลแบบคร่อมรางบนทางวิ่งยกระดับ ปัจจุบันมีความคืบหน้าที่สำคัญในส่วนของสถานีรามอินทรา กม.9 ถนนรามอินทรา ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินงานติดตั้งหลังคาสถานี และงานสถาปัตยกรรมหลังคา นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในส่วนของสถานีมีนบุรี ถนนรามคำแหง ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานชั้นจำหน่ายตั๋วโดยสาร เช่น ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร ประตูทางเข้า ลิฟต์ บันไดทางขึ้น-ลง และงานสถาปัตยกรรมภายในสถานี เป็นต้น โดยสถานีนี้ตั้งอยู่ใกล้กับทางแยกร่มเกล้า และจะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในอนาคต ทั้งยังเชื่อมต่อกับอาคารจอดแล้วจร (Park & Ride) ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับพื้นที่ศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ มีความก้าวหน้างานโยธาคิดเป็น 77.57% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้าคิดเป็น 70.32% และความก้าวหน้าโดยรวมคิดเป็น 74.35% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ภายในปี 2565
3. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นระบบรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Heavy Transit System) มีโครงสร้างทางวิ่งแบบอุโมงค์ใต้ดินผสมกับทางวิ่งแบบยกระดับ ปัจจุบันได้ดำเนินการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างติดตั้งระบบรางรถไฟฟ้า ควบคู่ไปกับงานก่อสร้างสถานีใต้ดินและปล่องระบายอากาศ โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญในส่วนของสถานีวัดพระราม 9 ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานติดตั้งกระเบื้องพื้นและผนัง งานติดตั้งราวบันได งานติดตั้งระบบลิฟต์และบันไดเลื่อน งานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล เป็นต้น ในส่วนของการก่อสร้างทางวิ่งยกระดับได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างก่อสร้างสถานียกระดับ โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญในส่วนของสถานีแยกร่มเกล้า ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงานติดตั้งโครงหลังคาเหล็กและช่องแสง งานมุงหลังคาอลูมิเนียมชีท งานฉาบห้อง Plant Room งานติดตั้งงานระบบ งานติดตั้งท่อดับเพลิงใต้ท้องพื้น งานเชื่อมท่อรองรับน้ำฝน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเตรียมจะเข้าดำเนินการติดตั้งระบบรางในส่วนของทางวิ่งรถไฟฟ้าบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีใต้ดินกับสถานียกระดับ (Transition Structure) จากสถานีคลองบ้านม้า ไต่ระดับขึ้นสู่สถานีสัมมากร ในเร็วๆ นี้อีกด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก)ฯ มีความก้าวหน้างานโยธาคิดเป็น 81.03% (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564) โดยมีแผนจะเปิดให้บริการในปี 2567
ทั้งนี้ รฟม. มีความมุ่งมั่นที่จะกำกับการดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย ให้รุดหน้าได้ตามแผนงาน ทั้งยังได้เน้นย้ำให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา และผู้รับจ้าง/ผู้รับสัมปทาน ทุกสัญญา/ทุกโครงการ ตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างครบถ้วน การจัดเจ้าหน้าที่ด้าน Safety ควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงาน การจัดกิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านความปลอดภัยร่วมกัน อาทิ Safety Talk, Tool Box Talk เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานเอง คนรอบข้าง ตลอดจนบุคคลผู้สัญจรผ่านโดยรอบพื้นที่แนวก่อสร้าง โดย รฟม. ได้กำชับเป็นพิเศษสำหรับแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาสุขอนามัยเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปัจจุบัน โดยให้บุคลากรทุกภาคส่วนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดระยะเวลาทำงาน หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และรักษาระยะห่างทางสังคม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41757 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต”เยี่ยมหญิงติดเชื้อโควิดชาวเมียนมา หลังคลอดบุตรที่ศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
“สาธิต”เยี่ยมหญิงติดเชื้อโควิดชาวเมียนมา หลังคลอดบุตรที่ศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหญิงหลังคลอดชาวเมียนมาและบุตร ที่คลอดบุตรในศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อ นิมิบุตรหลังเข้ารับการรักษา ชื่นชมและขอบคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ติดเชื้อ มีความรับผิดชอบต่อสังคม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหญิงหลังคลอดชาวเมียนมาและบุตร ที่คลอดบุตรในศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อ นิมิบุตรหลังเข้ารับการรักษา ชื่นชมและขอบคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ติดเชื้อ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและปฏิบัติตามระบบสาธารณสุขแม้จะตั้งครรภ์ใกล้คลอด
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เยี่ยมหญิงหลังคลอดชาวเมียนมาซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ส่งต่อมาจากศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อ นิมิบุตร โดยดร.สาธิต กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อรายนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ อายุ 25 ปี อาศัยที่ชุมชนคลองเตย ทราบผลว่าติดโควิด 19 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 เข้ารับการดูแลที่ศูนย์เเรกรับ-ส่งต่อ นิมิบุตร และคลอดบุตรเมื่อคืนวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมาภายในศูนย์แรกรับฯเวลา 21.30 น. บุตรน้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม สัญญาณชีพดี ขณะนี้ได้ย้ายไปอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลราชวิถี
“วันนี้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณแม่และ“น้องนิมิบุตร”ที่โรงพยาบาลราชวิถีผ่านทางโทรศัพท์ คุณแม่สุขภาพจิตดี อนุญาตให้เรียกชื่อเล่นน้องตามที่พี่ ๆ ที่นิมิบุตรใช้เรียกน้อง หวังว่าจะหายป่วยและได้ออกจากโรงพยาบาลเร็ว ๆ นี้ ขอบคุณคุณแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ติดเชื้อแม้ท้องแก่ก็รับผิดชอบต่อสังคม ปฏิบัติตามระบบสาธารณสุข พร้อมทั้งขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานอย่างหนักและทุ่มเท”ดร.สาธิต กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบการรักษาในกทม.ทำงานได้เต็มที่ โดยระดมบุคลากรทางการแพทย์จากภูมิภาคมาปฏิบัติงาน มีระบบเชื่อมโยงกับระบบส่งต่อของ กทม. และโรงพยาบาลต่างๆ ดำเนินการคัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดง ก่อนส่งต่อไปรักษาตามความเหมาะสม เป็นPre-admission Center ให้บริการเหมือนโรงพยาบาล ถือเป็นการสนับสนุนและแบ่งเบาภาระของ กทม.ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ให้เข้าถึงการดูแลในมือแพทย์โดยเร็วที่สุด ลดการสะสมของผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านโดย ข้อมูล ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยเข้ามารับบริการ 89 ราย เป็นชาย 40 ราย หญิง 49 ราย ส่งต่อเพื่อรักษาไปในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ 8 ราย โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 55 รายโรงพยาบาลสังกัดกทม. 4 ราย โรงพยาบาลเอกชน (Hospitel) 19 ราย และที่ศูนย์นิมิบุตร 47 ราย
*******************************17 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41819 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีน กลุ่มอายุ 18-59 ปี เริ่ม 31 พ.ค. นี้ วางระบบรองรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ของชาวต่างประเทศที่ทำงานในไทย | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีน กลุ่มอายุ 18-59 ปี เริ่ม 31 พ.ค. นี้ วางระบบรองรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ของชาวต่างประเทศที่ทำงานในไทย
เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีน กลุ่มอายุ 18-59 ปี เริ่ม 31 พ.ค. นี้ วางระบบรองรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ของชาวต่างประเทศที่ทำงานในไทย
วันที่ 17 พ.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 -59 ปี เริ่มลงทะเบียนเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ทั้ง Line Official Account และแอปพลิเคชัน ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม นี้เป็นต้นไป และยังสามารถจองฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านโรงพยาบาลที่มีสิทธิรักษา /อสม./รพ. สต. และ ช่องทางอื่น ๆ รวมทั้ง Walk-in ตามประกาศของจังหวัดด้วย ขณะเดียวกันทางกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระวางการวางระบบการลงทะเบียนเพื่อให้ชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยสามารถเข้าถึงการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เช่นเดียวกัน
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังให้ความมั่นใจว่า ผลศึกษาวัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดในไทยพบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนและมีใบยืนยันอาการแพ้วัคซีนจากสถานที่ฉีดวัคซีนแล้ว สปสช. พร้อมเยียวยา ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ 5) โดยจัดสรรวงเงิน 100 ล้านบาท สำหรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับคนไทยทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการวัคซีนโควิด มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มี 2 เขตที่เสนอข้อมูลการขอรับเงินช่วยเหลือ คือ สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ และ สปสช. เขต 10 อุบลราชธานี เขตพื้นที่อื่นอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ในส่วนของ สปสช. เขต 1 ซึ่งมีผู้ยื่นขอเยียวยา 218 ราย จากจำนวนที่ฉีดไปแล้วทั้งหมด 91,551 เข็ม คิดเป็น 0.24% โดยส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย เช่น เป็นไข้นิด ๆ หน่อย ๆ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนกลุ่มที่มีอาการไข้สูงจนต้องนอนพักโรงพยาบาล คิดเป็น 0.05%
“ ปัจจุบันที่มีการรายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมาก เป็นประสิทธิภาพจากการตรวจเชิงรุกในหลายพื้นที่ เพื่อเร่งคัดกรอง แยกออกจากชุมชน นำผู้ป่วยเพื่อนำตัวเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งช่วยควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดได้เร็วยิ่งขึ้น โดยมีการฉีดวัคซีนโควิด19ในพื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพมหานครแล้ว 125,228 โดส ทำให้มีการฉีดวัคซีนสะสมในพื้นที่ กทม. 450,285 โดส” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41803 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ช่วยเหลือลูกจ้าง นายจ้าง ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ สู้วิกฤตไปด้วยกัน | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ก.แรงงาน ช่วยเหลือลูกจ้าง นายจ้าง ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ สู้วิกฤตไปด้วยกัน
ก.แรงงาน มอบเงินกู้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน 10 ล้านบาท แก่สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานซีเคียวริคอร์ จำกัด เพื่อนำไปให้บริการแก่ผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างและมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับพี่น้องแรงงาน จึงได้ดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือแรงงานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องแรงงานและสถานประกอบกิจการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หาแนวทางในการดำเนินการส่งเสริมสภาพคล่องด้านการเงินให้แก่ลูกจ้าง นายจ้าง ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการหรือรัฐวิสาหกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องแรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และแก้ไขปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบ กรณีที่ไม่สามารถหาหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพื่อพัฒนาให้พี่น้องแรงงานมีรายได้และมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายอภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ให้บริการเงินกู้แก่ผู้ใช้แรงงานโดยผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 กสร. ได้มอบเงินกู้กองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน จำนวน 10 ล้านบาท ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานซีเคียวริคอร์ จำกัด ซึ่งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการที่จัดตั้งขึ้นใน บริษัท รักษาความปลอดภัย การ์ดฟอร์ซ แคชโซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีสมาชิกจำนวน 735 คน นำไปให้บริการแก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เพื่อเสริมสภาพคล่องด้านการเงินและช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปัจจุบันกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ได้จัดโครงการเงินกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีวงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการหรือรัฐวิสาหกิจ สามารถยื่นคำขอกู้เงินเพื่อนำไปให้บริการเงินกู้แก่ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ไม่เกินแห่งละ 10 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 ต่อปี โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 กรกฎาคม 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 0383 หรือ 0 2248 6684
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41805 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ รับมอบหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ภายใต้ “โครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ รับมอบหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ภายใต้ “โครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ภายใต้ “โครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำ
ในวันจันทร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบหน้ากากอนามัย CP และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ภายใต้ “โครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” จาก นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และนายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจข้าวและอาหาร บริษัท ซีพี.อินเตอร์เทรด จำกัด ตลอดจนความช่วยเหลือจากมูลนิธิพุทธรักษา มูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์ เพื่อแบ่งเบาภาระและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วม
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกความร่วมแรงร่วมใจ ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชนทุกคน สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์วิกฤตต่างๆ คลี่คลายลง โควิด-19 นี้ ก็เช่นกัน ในขณะที่กรมราชทัณฑ์กำลังตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยและเผชิญความเสี่ยงก็หนีไม่พ้นทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ทุกคน วันนี้เครือซีพี-ซีพีเอฟไม่มองข้ามและเข้ามาให้การช่วยเหลือด้านอาหารอย่างรวดเร็ว ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงไปถึงท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ด้วย
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขัง ภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อหลายพันคน นับเป็นอีกคลัสเตอร์หนึ่งของประเทศไทยที่ทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ต้องเหน็ดเหนื่อยและเร่งเยียวยารักษาผู้ติดเชื้อ ซีพี-ซีพีเอฟ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาภารกิจของทีมแพทย์ในสถานการณ์นี้
สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยของซีพีเอฟที่ส่งมอบให้กรมราชทัณฑ์ ประกอบด้วย อาหารหลากหลายเมนู อาทิ ข้าวกระเพราเนื้อสับ ข้าวเป็ดย่างโฟร์ซี่ซั่น สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า เกี๊ยวกุ้ง ข้าวกล้องต้มทรงเครื่อง เป็นต้น รวมถึง หน้ากากอนามัยซีพี นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินจาก บจก.ซีพี อินเตอร์เทรด ด้วย
ทั้งนี้ ความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของเครือซีพี-ซีพีเอฟที่ท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ต้องการให้ทุกบริษัทในเครือร่วมช่วยเหลือสังคมในสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้โครงการ "ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19" ซีพีเอฟ จึงมอบความช่วยเหลือด้านอาหารจากโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" ด้วยการส่งมอบอาหารปลอดภัยเพื่อทีมแพทย์ในโรงพยาบาลแล้วหลายแห่ง รวมถึง ผู้ยากไร้ในชุมชนแออัด อาทิ ชุมชนคลองเตย
จนถึงปัจจุบัน ซีพีและซีพีเอฟ ได้ส่งมอบอาหารจำนวนกว่า ๙๖,๐๐๐ แพ็ค ให้โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม จำนวน ๙๓ แห่ง รวมถึงพื้นที่แออัดและจะยังคงส่งมอบความเชี่ยวชาญนี้ของบริษัทต่อไป เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ "ทีมประเทศไทย" ที่จะก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สนับสนุนวัคซีนโควิด ให้ กทม.เร่งฉีดในพื้นที่ 70% คุมการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เริ่ม มิถุนายนนี้ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
สธ.สนับสนุนวัคซีนโควิด ให้ กทม.เร่งฉีดในพื้นที่ 70% คุมการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เริ่ม มิถุนายนนี้
กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนวัคซีนโควิด 19 กรุงเทพมหานคร ฉีดให้ได้ 70 % หรือประมาณ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน เริ่มมิถุนายนนี้
กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนวัคซีนโควิด 19 กรุงเทพมหานคร ฉีดให้ได้ 70 % หรือประมาณ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน เริ่มมิถุนายนนี้ เพื่อควบคุมการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เน้นค้นหาเชิงรุกในชุมชน ติดตามผู้สัมผัสต่อเนื่อง เข้มมาตรการส่วนบุคคล มาตรการองค์กร
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการควบคุมโรคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้ทำงานร่วมกับสำนักอนามัยกรุงเทพมหานครมาโดยตลอด ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ ค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่ และการค้นหาเชิงรุก ขณะนี้ใน กทม. พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน 30 จุด กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมดำเนินมาตรการทางสาธารณสุข 3 ด้าน เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาด ได้แก่ 1.การค้นหาในจุดที่มีการระบาดใหญ่ๆ ติดตามผู้สัมผัสให้อยู่ในความควบคุม รวมถึงตรวจเชื้อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นระยะ 2.มาตรการส่วนบุคคล ซึ่ง กทม. ออกมาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ปิดสถานที่ และ 3.มาตรการองค์กร ซึ่งระยะหลังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในโรงงาน ล่าสุด คือ แคมป์คนงาน จากการรับประทานอาหารในที่ทำงาน และการรวมตัวสังสรรค์หลังเลิกงานดังนั้นความร่วมมือเจ้าของแคมป์คนงาน ต้องเข้มงวด บังคับกวดขัน มาตรการ DMHTT จะทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนร่วมกับ กทม.ในการฉีดวัคซีนโควิด 19 ปูพรมในพื้นที่ที่มีการระบาดให้ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด และพร้อมที่จะสนับสนุนวัคซีนที่จะเข้ามาล็อตใหญ่ในเดือนมิถุนายน เพื่อฉีดใน กทม. ให้ได้ตามเป้าหมาย 70 % หรือประมาณ 5 ล้านคน ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน โดยจะฉีดประมาณเดือนละ 2.5 ล้านคน ซึ่งได้ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการบูรณาการแก้ปัญหาโควิด 19 กทม. และต้องอาศัยความร่วมมืออย่างมากจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อควบคุมการระบาด และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยจะเริ่มฉีดในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป พร้อมกับการฉีดต่างจังหวัดควบคู่กันไป ให้เกิดความครอบคลุมมากที่สุด
*******************************17 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41820 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ประชุมหารือแนวทางการจำหน่ายหรือประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้า BTS | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ประชุมหารือแนวทางการจำหน่ายหรือประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้า BTS
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือ
พร้อมด้วย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กระทรวงสาธารณสุข และกองกำกับกิจการขนส่งทางรางในฐานะฝ่ายเลขานุการ
โดยเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ตราอภัยภูเบศร และเพื่อเป็นการดำเนินงานเชิง CSR โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางราง BTS มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาภูเบศร และบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนผ่านสื่อภายในขบวนรถไฟฟ้าเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอย่างถูกวิธีเพื่อดูแลป้องกันตนเองจากเชื้อ COVID - 19 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติอยู่ในขณะนี้ โดยบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน ) ยินดีสนับสนุนการดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิฯ ผ่านสื่อภายในขบวนรถไฟฟ้า BTS โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 3 เดือน และยังคงสนับสนุนการประชาสัมพันธ์เชิง CSR ภายในขบวนรถ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธีและการดูแลป้องกัน COVID-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รวมทั้งคิดอัตราเช่าพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิฯ ในอัตราพิเศษ เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการสนับสนุนให้มีการจำหน่ายสินค้า OTOP ภายในสถานีรถไฟ/รถไฟฟ้า
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันในการดำเนินการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ภายในขบวนรถไฟฟ้า BTS เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลอภัยภูเบศร และสื่อประชาสัมพันธ์เชิงสังคมเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างปลอดภัยและป้องกันเชื้อ COVID-19 แก่ประชาชน โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการออกสื่อประชาสัมพันธ์ภายในขบวนรถได้ภายในต้นมิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41793 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้า | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้า
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา (Motorway M6)
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา (Motorway M6) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 เวลา 15.00 น. ผ่านแอปพลิเคชัน Zoom โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา (Motorway M6) โดยโครงการนี้มีระยะทาง 196 กิโลเมตร วงเงินลงทุนโครงการ 84,600 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 77,970 ล้านบาท และค่าเวนคืน 6,630 ล้านบาท) แบ่งการก่อสร้างเป็น 40 สัญญา (ก่อสร้างแล้วเสร็จ 20 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 20 สัญญา) มีความคืบหน้าการก่อสร้างร้อยละ 94 ทั้งนี้ กรมทางหลวง (ทล.) คาดว่าจะสามารถเร่งรัดติดตั้งงานระบบ พร้อมทดสอบ System Integration Test ให้แล้วเสร็จ ก่อนเปิดทดลองให้บริการในปี 2566 ต่อไป
ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กิโลเมตร ได้เปิดให้บริการชั่วคราวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 (ระหว่างวันที่ 9 - 19 เมษายน 2564) สำหรับการเปิดให้บริการชั่วคราว Motorway M6 ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กิโลเมตร เป็นการชั่วคราวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีจุดเริ่มต้นทางเข้าบริเวณทางเบี่ยงบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ช่วง กม. ที่ 65 และไปสิ้นสุดทางออกที่ทางหลวงหมายเลข 201 บริเวณ กม. ที่ 5+400 ซึ่ง
ทล. ได้บริหารจัดการจราจรแบบทิศทางเดียว โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. ช่วงระหว่างวันที่ 9 - 13 เมษายน 2564 เปิดให้เฉพาะรถขาออก (มุ่งหน้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยมีปริมาณจราจร รวมจำนวน 380,619 คัน และมีรถที่เข้าใช้บริการ Motorway M6 จำนวน 102,117 คัน คิดเป็นร้อยละ 26.8
2. ช่วงระหว่างวันที่ 14 - 19 เมษายน 2564 เปิดให้เฉพาะรถขาเข้า (มุ่งหน้ากรุงเทพฯ) โดยมีปริมาณจราจร รวมจำนวน 405,752 คัน และมีรถที่เข้าใช้บริการ Motorway M6 จำนวน 103,988 คัน คิดเป็นร้อยละ 25.6
ทล. ได้มีการตรวจสกัดยานพาหนะที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เส้นทาง จำนวน 142 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ จำนวน 123 คัน รถบรรทุก จำนวน 13 คัน และรถอื่น ๆ จำนวน 6 คัน ทั้งนี้ ไม่มีอุบัติเหตุในช่วงที่ให้บริการ นอกจากนี้ ทล. ได้ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ พบว่า ผู้ใช้บริการร้อยละ 95.4 ต้องการให้มีการเปิดใช้งาน Motorway M6 ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว อีกในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการมีความเห็นว่า ควรเพิ่มระยะทางในการใช้งานให้มากกว่า 36 กิโลเมตร และเปิดใช้งานเป็นการชั่วคราวทุกวันหยุดเทศกาล ขยายทางเข้า - ออกที่รถสามารถวิ่งได้ 2 ช่องทางอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และมีจุดพักรถไว้รองรับการเดินทางด้วย
นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
1. ให้ปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม หารือร่วมกับ ทล. พิจารณารายละเอียดสภาพพื้นที่ ก่อน ทล. ดำเนินการต่อไป
2. ให้ ทล. เร่งรัดหารือกับกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างและดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ให้ ทล. จัดทำวีดิทัศน์นำเสนอ ครม. ทราบเกี่ยวกับการเปิดให้บริการชั่วคราวทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 ช่วงอำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว เป็นการชั่วคราวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 (ระหว่างวันที่ 9 - 19 เมษายน 2564) รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41795 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ฉีดวัคซีน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
#โควิด19
#วัคซีนโควิด19
#สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41792 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. นำนวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ ส่งมอบ ศปก.ศบค. เพื่อรับมือการแพร่ระบาดโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
อว. นำนวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ ส่งมอบ ศปก.ศบค. เพื่อรับมือการแพร่ระบาดโควิด-19
อว. ส่งมอบ "นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ" นวัตกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อร่วมรับมือการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ส่งมอบ "นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ" จำนวน 140 เครื่อง เพื่อสนับสนุนภารกิจของศูนย์บริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลและหน่วยงานส่วนหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย สถานีตำรวจภูธรท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยพันตำรวจเอกอาริส คูประสิทธิรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่ามะกา โรงพยาบาลกลาง โดย นางสาวอภิรดี สุนันทตานนท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง และศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) โดยนางสาวอรุณี ทองดี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ เป็นผู้รับมอบนวัตกรรมฯ
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล กล่าวว่า การแก้ปัญหาและรับมือ สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ อว. มอบ วช. ในฐานะหน่วยงานบริหารงานวิจัยของประเทศ (PMU) และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 และ "นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ" จะเป็นประโยชน์ในการร่วมดูแลและป้องกันผู้ปฏิบัติงานส่วนหน้าในการบริหารสถานการณ์โควิด-19
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติกล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญต่อการนำงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ สนับสนุน ป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 มาร่วมบริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดและมาตรการป้องกันต่าง ๆ ของ ศบค. เพื่อช่วยส่งเสริมมาตรการภาครัฐและมาตรการสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมา วช. มีการบริหารทุนวิจัย และสนับสนุนงบประมาณพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน มีผลสำเร็จของงานวิจัยและนวัตกรรมทยอยส่งมอบให้แก่หน่วยงาน สถาบันการแพทย์ โรงพยาบาล ฯลฯ และมีนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ในการบริหารสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ชุดหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะพร้อมชุดกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (PAPRs), ชุดหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ (PAPR), ระบบปัญญาประดิษฐ์ (ระบบเอไอ AiMASK) ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัย, นวัตกรรมเครื่องพ่นละอองนาโนน้ำยาฆ่าเชื้อ, นวัตกรรม “แพลตฟอร์มหุ่นยนต์สำหรับงานทางการแพทย์และผู้สูงอายุ”, หน้ากากอนามัยชนิด KN95, หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ทำจากซิลิโคน ชนิด N 99, และนวัตกรรมชุดที่นอนยางพารา
นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ กล่าวว่า นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาทดสอบประสิทธิภาพขึ้น ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยเป็นเทคโนโลยีที่ใช้การปล่อยประจุไอออน 2 ชนิด คือ ออกซิเจนบวก และ ออกซิเจนลบ เพื่อจะไปทำปฏิกิริยากับเซลล์หรืออนุภาคต่าง ๆ ของไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ นอกจากนี้นวัตกรรมดังกล่าวยังทำให้อากาศบริสุทธิ์ สะอาด ป้องกันเชื้อโรค โดยใช้เทคโนโลยี Bipolar Ionizer Technology (BIT) ระบบ Corona System ปล่อยโคโรน่าเพื่อแยกโมเลกุล ออกซิเจน ออกเป็นออกซิเจนบวกและลบไปรวมกับ ไอน้ำ (H2O) ในอากาศ เกิดกลายเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) และไฮดรอกไซด์ (OH) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งและทำลายเชื้อโรค ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41804 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมราชทัณฑ์ แจงข้อเท็จจริงกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
กรมราชทัณฑ์ แจงข้อเท็จจริงกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ
กรมราชทัณฑ์ ระบุได้ตรวจหาเชื้อฯ ผู้ต้องขังแดนแรกรับทุกคนแล้ว ไม่พบติดเชื้อฯ ตามที่มีการกล่าวอ้าง พร้อมยืนยันไม่มีการปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ ในเรือนจำ
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 นายอายุตม์ สินธพพันธ์ุ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ ได้รับตัวนางสาวปนัสยาฯ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 โดยควบคุมภายในห้องกักโรค ของแดนแรกรับ และได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ด้วยการ SWAB ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ผลไม่พบการติดเชื้อ และทำการตรวจหาเชื้อครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ผลไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน จนกระทั่งวันที่ 26 เมษายน 2564 ได้อนุญาตให้นางสาวปนัสยาฯ ลงจากห้องกักโรค (บนอาคารเรือนนอน) ลงมาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอื่นภายในแดนแรกรับ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ ทัณฑสถานหญิงกลาง แบ่งการควบคุมเป็น 2 แดน คือ แดนแรกรับ ซึ่งเป็นแดนที่นางสาวปนัสยาฯ ถูกควบคุมตัวอยู่มีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 คน ได้ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100% เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ภายหลังจากนางสาวปนัสยาฯ ปล่อยตัวไป ไม่พบผู้ต้องขังแดนนี้ติดเชื้อ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ต้องขังที่นอนห้องเดียวกันและใช้ชีวิตใกล้ชิดกับนางสาวปนัสยาฯ ตั้งแต่พ้นจากห้องกักโรค จำนวน 4 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน
สำหรับอีกแดนหนึ่ง คือ แดนผู้ต้องขังเด็ดขาดที่เกิดการระบาดของโรค ซึ่งมีผู้ต้องขังประมาณ 2,900 คน ทำการตรวจคัดกรองผู้ต้องขัง 100% พบผู้ต้องขังติดเชื้ออยู่ในแดนนี้ จำนวน 1,039 คน ตามที่ปรากฎเป็นข่าว และได้ย้ายผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงขอสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่า กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้มีนโยบายหรือสั่งการให้ปิดบังข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ในเรือนจำและทัณฑสถานแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้มีหนังสือกำชับให้เรือนจำและทัณฑสถานปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41799 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่ แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่ แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน ครั้งที่ 1/2564
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่ แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แก่ แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชน ครั้งที่ 1/2564 เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้แก่ แรงงานภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างเร่งด่วนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยมี นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์วิกฤติกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสหวัฒน์ โสภา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมผ่านโปรแกรม Zoom ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41811 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบเตียงกระดาษ 100 เตียง ส่งต่อให้โรงพยาบาลสนาม พร้อมรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค จากภาคีเครือข่าย ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 ระลอกใหม่ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
พม. รับมอบเตียงกระดาษ 100 เตียง ส่งต่อให้โรงพยาบาลสนาม พร้อมรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค จากภาคีเครือข่าย ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 ระลอกใหม่
พม. รับมอบเตียงกระดาษ 100 เตียง ส่งต่อให้โรงพยาบาลสนาม พร้อมรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค จากภาคีเครือข่าย ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 ระลอกใหม่
วันที่ 14 พ.ค. 64เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับมอบสิ่งของบริจาคจำนวนมากจากหลายภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ รวมทั้งส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนามที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยมีหลายภาคส่วนร่วมกันบริจาค ดังนี้ 1. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริจาคน้ำดื่ม จำนวน 1,750 แพ็ค และแอลกอฮอล์ จำนวน 1,000 ลิตร 2. บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและหน้ากากอนามัย จำนวน 2,000 ชิ้น รวมมูลค่า 100,000 บาท 3. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ฝ่ายกิจการเพื่อสังคม บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมมูลค่า 100,000 บาท 4. สมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย บริจาคเตียงกระดาษ จำนวน 100 เตียง รวมมูลค่า 100,000 บาท โดยมีบริษัท ไทยรัฐ โลจิสติคส์ จำกัด ในเครือ ไทยรัฐกรุ๊ป บริการขนส่งเตียงไปยังโรงพยาบาลสนามโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 5. บริษัท ลัคกี้ ยูเนี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารทะเลสำเร็จรูป รวมมูลค่า 55,000 บาท 6. มูลนิธิพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว บริจาคหน้ากากอนามัย จำนวน 5,000 ชิ้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำนวน 6 ลัง น้ำดื่ม จำนวน 100 แพ็ค รวมมูลค่า 20,000 บาท 7. สำนักงานธนานุเคราะห์ร่วมกับธนาคารออมสิน บริจาคน้ำดื่ม จำนวน 10,000 ขวด 8. บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) บริจาคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำนวน 4,500 ซอง รวมมูลค่า 27,000 บาท 9. บริษัท กุลวรา จำกัด บริจาคเงินสด จำนวน 5,000 บาท และ 10. คุณพชิรารัชต์ สมิทธ์ธรานันท์ บริจาค เงินสด จำนวน 1,000 บาท นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12-13 พ.ค. ที่ผ่านมา ยังมีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมกันบริจาค ดังนี้ 1. คุณพงศธร เอื้อมงคลชัย ร่วมบริจาคข้าวสารน้ำหนัก 5 กก. จำนวน 1,000 ถุง และ ปลากระป๋อง จำนวน 2,000 กระป๋อง รวมมูลค่า 111,900 บาท 2. บริษัท พนาทัศน์ จำกัด มอบข้าวกล่องพร้อมทาน จำนวน 1,000 กล่อง และน้ำดื่ม จำนวน 1,000 ขวด 3. มูลนิธิเอสซีจี (SCG Foundation) บริจาคแอลกอฮอล์ สเปรย์ จำนวน 500 ขวด และ 4. คุณศิริลักษณ์ คันธา บริจาคเจลแอลกอฮอล์ จำนวน 480 หลอด
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ดำเนินโครงการการให้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการรับบริจาคสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น และขอให้มั่นใจได้ว่า สิ่งของบริจาคจะเป็นประโยชน์และส่งถึงมือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างแน่นอน
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ อาหารพร้อมทาน ข้าวสาร น้ำดื่ม นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41789 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 พร้อมย้ำช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 พร้อมย้ำช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19
รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 พร้อมย้ำช่วยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19
วันที่ 15 พ.ค. 64เวลา 13.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ณ ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง เพื่อมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น จากมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม ให้กับจังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมี นาวาตรี สุธรรม ระหงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์ ประจำสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงพื้นที่ดังกล่าว
นายจุติ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ตนได้ประชุมหารือร่วมกับนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ ทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรปราการ และประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ให้แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่สีแดงที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ตนจึงมีความห่วงใยในความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั้งนี้ จึงได้กำชับให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และ อพม. ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความรู้ ความเข้าใจถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ เช่น คนพิการกลุ่มออทิสติก ผู้บกพร่องทางสติปัญญา การเรียนรู้ ดาวน์ซินโดรม และสมาธิสั้น รวมทั้งสมาชิกครอบครัวที่อาศัยในบ้านเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนลงทะเบียนออนไลน์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ซึ่งจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ณ สถาบันราชานุกูล เขตดินแดง กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเรื่องการส่งเสริมอาชีพที่มั่นคงให้กับกลุ่มเปราะบางที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ตนได้กำชับให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และ อพม. ร่วมกันสำรวจแม่เลี้ยงเดี่ยวในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนให้เข้ารับการอบรมวิชาชีพที่มั่นคงในอนาคต หลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเป็นอาชีพที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้ เช่น อาชีพเสริมสวย ตัดผม แต่งหน้า แต่งเล็บ นวดหน้า และนวดตัว เป็นต้น รวมทั้งตัดเย็บเสื้อผ้า นอกจากนี้ จะสนับสนุนให้แม่เลี้ยงเดี่ยวได้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุและคนพิการ ระยะเวลา 6 เดือน ของโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ซึ่งได้ทำความร่วมมือกับกระทรวง พม. ด้วยการให้ทุนการศึกษาตลอดหลักสูตร เมื่อสำเร็จการอบรมแล้ว โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจะรับเข้าทำงานทันที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41790 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 510 เขตการเดินรถที่ 1
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กลาโหมปรับลดงบประมาณลงต่อเนื่องหลังโควิด ยืนยันความพร้อมภารกิจเพื่อประชาชน" | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
"กลาโหมปรับลดงบประมาณลงต่อเนื่องหลังโควิด ยืนยันความพร้อมภารกิจเพื่อประชาชน"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยถึง กรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้ให้ข้อสังเกตถึงงบประมาณประจำปี 65 ที่ กห.ได้รับการจัดสรรมากกว่า สธ.นั้น กห.พร้อมให้ข้อมูลถึงเหตุผลความจำเป็นตามกระบวนพิจารณาของรัฐสภาที่จะมีขึ้นใน มิ.ย.64
อย่างไรก็ตาม กห. มีภารกิจหลักในการป้องกันประเทศและการช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะสถานการณ์ของโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นเป็นวงกว้างและเป็นความท้าทายร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องหันหน้าช่วยเหลือกัน ซึ่ง กห.โดยทุกเหล่าทัพ ก็ได้ตระหนักถึงภาระงบประมาณของรัฐบาล ที่จำเป็นต้องนำไปแก้ไขปัญหาต่างๆและเยียวยาช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น
โดย กห. ก็ได้มีส่วนร่วมพิจารณาปรับลดงบประมาณในภาพรวมของทุกเหล่าทัพลงกว่า 18,000 ล้านบาทในปี 63 และในปี 64 กห.ก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณลดลงกว่าปี 63 จำนวนกว่า 17,200 ล้านบาท ต่อเนื่องมาถึง ปี 65 ทั้งนี้ แต่ละกระทรวงก็มีภารกิจที่แตกต่างกัน และ กห.ขอยืนยันถึงความพร้อมในทุกภารกิจเพื่อประชาชน จึงไม่อยากให้นำงบประมาณของแต่ละกระทรวงไปเปรียบเทียบกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41817 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ตั้งคณะทำงานบริหารจัดการจุดฉีดวัคซีน เตรียมถกด่วนนัดแรก 17 พ.ค.นี้ “วีริศ” สั่งสำรวจพื้นที่นิคมฯทั่วปท.ทำศูนย์กลางฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ก.อุตฯ ตั้งคณะทำงานบริหารจัดการจุดฉีดวัคซีน เตรียมถกด่วนนัดแรก 17 พ.ค.นี้ “วีริศ” สั่งสำรวจพื้นที่นิคมฯทั่วปท.ทำศูนย์กลางฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19
ก.อุตฯ ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้ฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป เตรียมหารือนัดแรกในวันที่ 17 พ.ค.นี้
กระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป เตรียมหารือนัดแรกในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ด้านผู้ว่าการ กนอ.สั่งการทุกนิคมอุตสาหกรรมสำรวจพื้นที่ทุกนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ จัดตั้งศูนย์กลางฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการฉีดวัคซีนให้ได้ 5 แสนคนต่อวัน!
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเพื่อหาแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงฯ ผู้ว่าการ กนอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการจุดบริการให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ให้แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีการประชุมอย่างเป็นทางการถึงแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนนัดแรกในวันที่ 17 พ.ค.2564 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ในการให้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แก่ประชาชนทั่วประเทศตามความสมัครใจ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯชุดดังกล่าว ประกอบด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการ, นายเดชา จาตุธนานันท์ หัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์วิกฤต กระทรวงอุตฯ เป็นรองประธาน, นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ.เป็นรองประธาน, โดยมีกรรมการ ประกอบด้วย นายสหวัฒน์ โสภา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, ประธาน ส.อ.ท. หรือตัวแทน, ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน, ผู้อำนวยการกองกลาง และผู้อำนวยการกองตรวจราชการ เป็นต้น โดยหน้าที่หลักของคณะกรรมการชุดดังกล่าว คือ 1.กำหนดแนวทางพื้นที่จุดบริการและเตรียมความพร้อมการให้วัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรม และประชาชน 2.ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้การบริการมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ 3. ติดตามและรายงานผลการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม และ 4.ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรม
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยเบื้องต้นได้สำรวจพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่เหมาะสมเพื่อรองรับการฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งมีทั้งในส่วนที่ กนอ.บริหารจัดการเอง และในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน รวมทั่วประเทศ 59 นิคมฯ แต่จะต้องรอความชัดเจนจากที่ประชุมคณะกรรมการฯ อีกครั้งว่าความสามารถในการฉีดวัคซีนต่อวันจะได้ประมาณกี่ราย โดยคิดจากอัตราส่วนต่อผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด เพื่อประเมินความพร้อมของสถานที่ ไม่ให้เกิดความแออัด ขณะเดียวกันต้องเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ดำเนินการได้ทันท่วงที
“เบื้องต้นในที่ประชุมได้หารือว่าจะแบ่งกลุ่มผู้ที่รับวัคซีนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 2.โรงงานอุตสาหกรรมนอกนิคมอุตสาหกรรมที่แจ้งความประสงค์เข้ามา และโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในสวนอุตสาหกรรมที่กำกับดูแลโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) 3.ประชาชนทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งรูปแบบจะเป็นอย่างไรจะพิจารณาในที่ประชุมอีกครั้ง ขณะเดียวกันได้มีการประสานไปยังกรมควบคุมโรคเพื่อหารือถึงการใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลางฉีดวัคซีนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งวางแนวทางการฉีดวัคซีนในแต่ละวันเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ การทำงานของคณะกรรมการฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการฉีดให้ได้วันละ 5 แสนคน ซึ่งกรมควบคุมโรค ได้รับเรื่องไปพิจารณาและจะประสานข้อมูลในเชิงลึกร่วมกับ กนอ.และกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด”ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41794 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์และฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ติดเชื้อในเรือนจำ ตรวจเชิงรุกทุกคนแบบ ๑๐๐% | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
รมว.ยุติธรรม เร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์และฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ติดเชื้อในเรือนจำ ตรวจเชิงรุกทุกคนแบบ ๑๐๐%
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งประสาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน ยืนยันแจ้งรายละเอียดทุกอย่างไม่ปิดบัง เตรียมติดป้ายตัวเลขหน้าเรือนจำให้รู้ยอดคนติดเชื้อทุกวัน
ในวันจันทร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าวกรณีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า วันนี้โควิด-19 เข้าไปอยู่ในเรือนจำมากมาย ทั้งกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด รวมตัวเลขแล้วผู้ต้องขังติดเชื้อ ๑๐,๓๘๔ คน ในขณะนี้ที่รวบรวมได้ เจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล ทำงานอย่างหนักและต้องทำต่อไป เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ อะไรที่หย่อนยานต้องเร่งปรับปรุง ตอนนี้มีมาตรการ ๑๐ ข้อ คือ ๑. ให้แถลงจำนวนผู้ต้องขังที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร ๒. ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่เรือนจำ และเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทุกคน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ของกรมราชทัณฑ์ทุกคน จำนวน ๕๕,๐๐๐ คน ๓. ในส่วนของที่มาของเชื้อให้เร่งสืบข้อเท็จจริงและสาเหตุการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น ๔. การรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้จะทำตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา ๕. ประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และคนระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ๖. ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทย ที่ต้องอยู่ในเรือนจำไปไหนไม่ได้ ๑๐๐% การอยู่ในที่ถูกล้อมเอาไว้ ขยับขยายไปไหนไม่ได้เป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด ๗. มีความจำเป็นที่ต้องเอาผู้ต้องขัง และผู้คุมที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน ๘. จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวัน เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ ๙. ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อ และปรับปรุงเป็นรายวันเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ๑๐. กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบเร่งวางแผน เตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ และครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับ การดูแลรักษาผู้ต้องขัง เพราะโรคระบาดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตสังคมคนไทยแล้วทั้งในวันนี้และอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายของกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณลักษณะของผู้ต้องขังที่ต้องติดเชื้อถูกจำกัด ในเรื่องของกฎหมายที่ให้ต้องจองจำ ประกอบจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่ปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจะสามารถรองรับได้ ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบคอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อม และข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่างๆ เพื่อให้กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสังคมได้ประโยชน์ด้วยกัน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานผู้ต้องขัง
"ถ้าเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษา ๑๐,๐๐๐ คน หนึ่งคน ๕,๐๐๐ บาท จะใช้เงินถึง ๕๐ ล้านบาท แต่หากใช้วัคซีนกับผู้ต้องขัง ๓๐๐,๐๐๐ คน คนละ ๑,๐๐๐ บาท จะใช้งบ ๓๐๐ ล้านบาท จะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ผมจะเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งหวังว่านายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้ ส่วนสถานการณ์ที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ได้ใช้บับเบิ้ล แอนด์ซีล ควบคุมในเรือนจำ โดยมีการร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ ในจังหวัด ในเรื่องตัวเลขต้องแจกแจงให้ชัด เราไม่ได้ปิดบังหรือปกปิด แต่หากไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้ต้องมีคนรับผิดชอบ เราจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้" รมว.ยุติธรรม กล่าว
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขัง ๑๕ เรือนจำติดเชื้อโควิด-19 โดยมี ๘ เรือนจำในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ มีการเช็คตัวเลขทุกวัน มียอดผู้ติดเชื้อเท่าไร รักษาหายเท่าไร จะมีการติดตามทุกวัน ส่วนเจ้าหน้าที่มีติดเชื้อ ๓๓ ราย เหลือที่ยังไม่หาย ๑๗ ราย และได้ประสานงานกับศาล ถึงทางศาลเข้าใจและอำนวยประโยชน์ทุกทาง ตนต้องขอขอบคุณทางท่านประธานศาลฎีกาด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41812 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม ขยายผลการดำเนินการกำหนดความเร็วยานพาหนะให้ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
กระทรวงคมนาคม ขยายผลการดำเนินการกำหนดความเร็วยานพาหนะให้ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม.
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามนโยบายกำหนดความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เข้าร่วมประชุม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ภายหลังจากกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้ และได้มีประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน กำหนดให้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วงบางปะอิน - พยุหคีรี (ช่วงอยุธยา-อ่างทอง) ระหว่าง กม. ที่ 4+100 ถึง กม. ที่ 50+000 เป็นเส้นทางที่ใช้ความเร็วได้ตามกฎกระทรวง ซึ่งรถยนต์ส่วนบุคคลสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นมานั้น พบว่าสามารถดำเนินการเป็นไปได้ด้วยดี และยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่สะดวกในการใช้เส้นทางในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ ทล. และ ทช. พิจารณาเส้นทางที่จะสามารถขยายผลการดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้
สายทางที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทล.
1. สายทางที่ดำเนินการได้ภายในปี 2564 โดยใช้งบประมาณของ ทล. จำนวน 6 สายทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงป้ายและเครื่องหมายจราจร คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2564 ได้แก่
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ช่วงบ่อทอง - มอจะบก จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ช่วงสนามกีฬาธูปะเตมีย์ - ต่างระดับคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง 10.0 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 ช่วงคลองหลวงแพ่ง จังหวัดฉะเชิงเทรา ระยะทาง 11.0 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 ช่วงบางนา - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง 15.0 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ช่วงทางน้ำหนองแขม - บ้านหว้า - วังไผ่ จังหวัดนครสวรรค์ ระยะทาง 25.72 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วงอ่างทอง - ไชโย - สิงห์ใต้ - สิงห์เหนือ - โพนางดำออก จังหวัดอ่างทอง - สิงห์บุรี ระยะทาง 63.0 กิโลเมตร
2. สายทางที่ดำเนินการภายในปี 2564 โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) จำนวน 6 สายทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงกำแพงกั้น ติดตั้งป้าย เครื่องหมายจราจรและระบบ ITS คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2564 ได้แก่
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ช่วงเขาวัง - สระพระ ช่วงที่ 1 จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 6.9 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ช่วงเขาวัง - สระพระ ช่วงที่ 2 จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 11.5 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 ช่วงบางแค - คลองมหาสวัสดิ์ กรุงเทพมหานคร ระยะทาง 9.8 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 ช่วงนาโคก - แพรกหนามแดง จังหวัดสมุทรสงคราม ระยะทาง 24.6 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 347 ช่วงเทคโนโลยีปทุมธานี - ต่างระดับเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง 10.0 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ช่วงหนองแค - สวนพฤกษศาสตร์พุแค จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 26.0 กิโลเมตร
3. สายทางที่จะดำเนินการในระยะถัดไปโดยใช้งบเหลือจ่ายประจำปี 2565 จำนวน 2 สายทาง ได้แก่
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ช่วงต่างระดับคลองหลวง - ประตูน้ำพระอินทร์ จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง 6.82 กิโลเมตร
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ช่วงประตูน้ำพระอินทร์ - หนองแค จังหวัดอยุธยา ระยะทาง 27.18 กิโลเมตร
4. สายทางที่จะดำเนินการในปี 2565 - 2571 อีกจำนวน 47 สายทาง โดยใช้เงินกู้จากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)
สายทางที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทช. จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่
1. ถนนราชพฤกษ์ (นบ.3021) จังหวัดนนทบุรี ระยะทาง 25.2 กิโลเมตร
2. ถนนนครอินทร์ (นบ.1020) จังหวัดนนทบุรี ระยะทาง 12.4 กิโลเมตร
3. ถนนชัยพฤกษ์ (นบ.3030) จังหวัดนนทบุรี ระยะทาง 11.18 กิโลเมตร
4. ถนนข้าวหลาม (ชบ.1073) จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 4.98 กิโลเมตร
5. ถนนบูรพาพัฒน์ บ้านฉาง (รย.1035) จังหวัดระยอง ระยะทาง 7.41 กิโลเมตร
6. ถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (ชม.3029) จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 26.10 กิโลเมตร
สำหรับเส้นทางที่สามารถดำเนินการได้ 2 เส้นทางแรก ประกอบด้วย ถนนราชพฤกษ์ และถนนนครอินทร์ ซึ่งจะใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี 2565 และอีก 4 เส้นทางจะสามารถเปิดให้บริการได้ปลายปี 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้ ทล. นำข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วงบางปะอิน - พยุหคีรี (ช่วงอยุธยา - อ่างทอง) ระหว่าง กม. ที่ 4+100 ถึง กม. ที่ 50+000 ซึ่งเป็นเส้นทางนำร่องที่สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. ในระยะแรก ตั้งแต่ปี 2563 - 2564 มาวิเคราะห์เปรียบเทียบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อที่จะนำมากำหนดมาตรการในการป้องกันอุบัติเหตุสำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป รวมทั้งมอบหมายให้ ทล. และ ทช. เร่งรัดการดำเนินการขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) และการใช้เงินกู้จากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อให้สามารถขยายผลการดำเนินการเพิ่มเติมสายทางต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และให้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41796 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ร่วมลงทุน KTMS ศูนย์ไตเทียมสุดทันสมัย สนับสนุนการเติบโตด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ในอนาคต | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
SME D Bank ร่วมลงทุน KTMS ศูนย์ไตเทียมสุดทันสมัย สนับสนุนการเติบโตด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ในอนาคต
SME D Bank ลงนามร่วมลงทุนบริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (KTMS) ธุรกิจศูนย์ไตเทียมสุดทันสมัย ชี้หนุนการเติบโตของธุรกิจด้านการแพทย์ครบวงจร ตอบเทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา SME D Bank ได้ลงนามในสัญญาเพื่อสนับสนุนเงินร่วมลงทุนจำนวน 30 ล้านบาท ในบริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (KTMS) ดำเนินธุรกิจศูนย์ไตเทียม (Hemodialysis Center) ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผ่านกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 2) ที่จัดตั้งโดย SME D Bank และบริษัท พีพีเอ็ม แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นผู้จัดการทรัสต์
สำหรับการร่วมลงทุนบริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (KTMS) ธนาคารมองว่าเป็นการสนับสนุนธุรกิจด้านการแพทย์ครบวงจร (Health Care) ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (10 S-curves) ที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย รวมถึง KTMS มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง คือ บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีทีมผู้บริหารมืออาชีพ โดยคุณวิจิตร เตชะเกษม ประธานกรรมการบริษัท และคุณกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา กรรมการผู้จัดการ ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มายาวนาน และมีเป้าหมายให้การดูแลและช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ในขณะที่กลับมีอัตราเฉลี่ยใช้เครื่องไตเทียมเพิ่มขึ้นเพียง 6.41% ต่อปี จึงยังมีโอกาสในการขยายสาขาเพื่อให้บริการอีกมากในจังหวัดที่ขาดแคลน
ปัจจุบัน บริษัทมีศูนย์ไตเทียมจำนวน 16 สาขา ทั้งที่ให้บริการอยู่ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน และคลินิกของบริษัท ที่อยู่ในทำเลสะดวกต่อลูกค้าที่จะมาใช้บริการ เช่น สาขาพัฒนาการ ซอย 3 เป็นต้น โดยบริษัทมีเป้าหมายในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปี 2567
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา SME D Bank ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ ในรูปแบบเงินร่วมลงทุน ผ่านกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน กองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทั้งกองทุนย่อยกองที่ 1 และกองทุนย่อยกองที่ 2 และธนาคารลงทุนตรง จำนวน 14 กิจการ เป็นจำนวนเงินรวมแล้วทั้งสิ้น 342.4 ล้านบาท มีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการจ้างงานกว่า 1,618 ราย และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีกว่า 2,451 ล้านบาท (ข้อมูล 31 มี.ค. 2564)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41801 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” แจงหน่วยงานองค์กรรัฐ-เอกชน ขอสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิดเป็นกลุ่มได้ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
“อนุทิน” แจงหน่วยงานองค์กรรัฐ-เอกชน ขอสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิดเป็นกลุ่มได้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงหน่วยงานรัฐ-เอกชนรวมตัวขอรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ หรือจัดสถานที่และบุคลากรทางการแพทย์ แล้วขอรับวัคซีนไปฉีดเอง ช่วยเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงหน่วยงานรัฐ-เอกชนรวมตัวขอรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ หรือจัดสถานที่และบุคลากรทางการแพทย์ แล้วขอรับวัคซีนไปฉีดเอง ช่วยเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว แจงผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากเรือนจำและไซต์ก่อสร้างที่เขตหลักสี่ ใช้ Bubble and Seal ควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่สู่ภายนอก ถือว่าควบคุมได้ ยังไม่ถึงขั้นต้องเพิ่มมาตรการ
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้เข้าพบหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งจำนวนวัคซีนที่มีและการกระจายการฉีดวัคซีนใน 3 ช่องทาง คือ ผ่านระบบหมอพร้อม ผ่าน อสม. และการที่หน่วยงานองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวรวมกลุ่มกันทำหนังสือมายังกรมควบคุมโรคเพื่อขอรับวัคซีน ทั้งขอรับการฉีดที่สถานบริการและการจัดสถานที่และบุคลากรฉีดวัคซีนเอง รูปแบบนี้จะช่วยแบ่งเบาภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขอย่างมาก เช่น กระทรวงคมนาคมใช้สถานีกลางบางซื่อฉีดบุคลากรขนส่งสาธารณะ หรือกองทัพที่มีพื้นที่และหน่วยพยาบาลดำเนินการฉีดเองได้ หรือกรณีสำนักงานประกันสังคมที่ระบุว่าจะฉีดให้ผู้ประกันตน เป็นต้น เมื่อฉีดแล้วจะตัดบัญชีจากจังหวัดต้นทาง
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น คลัสเตอร์หลักมาจากเรือนจำซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและไซต์ก่อสร้างเขตหลักสี่ที่สั่งปิดแล้วได้ทำเป็นโรงพยาบาลสนาม ทั้งหมดใช้มาตรการ Bubble and Seal ไม่ให้มีการแพร่เชื้อสู่ภายนอก คัดแยกประเภทผู้ป่วยเป็นกลุ่มเขียวเหลืองแดง โดยจะนำเฉพาะผู้ติดเชื้อมีอาการที่ต้องถึงมือแพทย์จริงๆออกมา ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อยังเป็นกลุ่มสีเขียว เมื่อครบ 14 วันก็จะหายดี เช่น เรือนจำติดเชื้อ 9 พันกว่าคน เป็นกลุ่มสีเขียวประมาณร้อยละ 70 เมื่อครบ 14 วันจะมีประมาณ 5 พันกว่าคนที่กลายเป็นจำนวนผู้รักษาหาย ทั้งนี้ ได้ให้การสนับสนุนยารักษาโรคและการฉีดวัคซีน สถานการณ์ถือว่ายังควบคุมได้ ไม่ถึงขั้นต้องเพิ่มมาตรการ ส่วนที่มีการผ่อนคลายการรับประทานอาหารในร้าน ขอให้ทุกคนยังคงมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้งเว้นระยะห่างสวมหน้ากาก ล้างมือ หรือทำงานที่บ้าน
“หลังการผ่อนคลายมาตรการจะมีการประเมินสถานการณ์ หากมีความจำเป็นก็สามารถเข้มมาตรการขึ้นมาได้ ซึ่งการผ่อนคลายและกลับมาเข้ม ไม่ได้แปลว่าบริหารล้มเหลว หลายประเทศมีการผ่อนคลายและกลับมาเข้มเช่นกัน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ต้องเพิ่มมาตรการ แต่หากจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการหรือล็อกดาวน์ ทาง ศบค.จะมีการพิจารณา แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น” นายอนุทินกล่าว
******************************* 17 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41816 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการ PPP เดินหน้าโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่าลงทุนรวม 1.4 หมื่นล้านบาท รองรับปริมาณการจราจร และเพิ่มความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้ทางในพื้นที่ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
คณะกรรมการ PPP เดินหน้าโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่าลงทุนรวม 1.4 หมื่นล้านบาท รองรับปริมาณการจราจร และเพิ่มความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้ทางในพื้นที่
การประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบในหลักการของโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร ในรูปแบบ PPP Net Cost ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี (นับจากวันที่ กทพ. แจ้งให้เริ่มปฏิบัติงาน) โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินวงเงิน 5,792 ล้านบาท ในขณะที่เอกชนรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียด การก่อสร้าง และการดำเนินการและบำรุงรักษา โดยเอกชนจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมดให้แก่ภาครัฐก่อนเริ่มดำเนินงาน (BTO) ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน แก้ปัญหาจราจร และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการเดินทางระหว่างเมืองภูเก็ตและหาดป่าตอง และมอบหมายให้ กทพ. เร่งรัดจัดทำข้อมูลเพื่อประกอบการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป เช่น ความพร้อมเรื่องที่ดินของโครงการ พร้อมทั้งสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ด้วย
2. คณะกรรมการ PPP ยังรับทราบความคืบหน้าและเร่งรัดโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในกลุ่ม High Priority PPP Project ตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดการลงทุนจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้ ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนจากความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมของเอกชน
3. นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ได้รับทราบแนวทางการกำหนดรายละเอียดในการวิเคราะห์ถึงหลักการและเหตุผลประกอบการพิจารณาความสำคัญของโครงการร่วมลงทุน ตามหลักเกณฑ์ในเรื่องการพิจารณาความสำคัญของโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 - 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการในกลุ่มดังกล่าวภายใต้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 มีกรอบการพิจารณาที่ชัดเจน และช่วยให้การดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะมีความคล่องตัว และเป็นไปตามแผนที่กำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41806 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
ในวันจันทร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๔ - ๐๑ ชั้น ๔ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานคร และที่เกินอำนาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลแสดงการให้ความช่วยเหลือประชาชน ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ในภาพรวมทั่วประเทศ ๒,๗๕๐ ราย (ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ – ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔) แบ่งเป็นผู้มาขอรับคำปรึกษากฎหมาย จำนวน ๒๙๗ ราย และผู้มาขอรับความช่วยเหลือตามภารกิจของกองทุนยุติธรรม จำนวน ๒,๔๕๓ ราย
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือเสนอคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำกรุงเทพมหานครฯ คณะที่ ๑ จำนวน ๑๙ ราย พิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือในการดำเนินคดี จำนวน ๘ ราย อนุมัติ จำนวน ๕ ราย ไม่อนุมัติ ๓ ราย และพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย จำนวน ๑๑ ราย อนุมัติ จำนวน ๑๐ ราย ไม่อนุมัติ ๑ ราย รวมยอดเงินการให้ความช่วยเหลือกรณีขอปล่อยชั่วคราว ทั้งสิ้น ๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41808 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรมนำผู้บริหาร มอบถุงปันน้ำใจแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นำร่องโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน” | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
“อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรมนำผู้บริหาร มอบถุงปันน้ำใจแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นำร่องโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”
“อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรมนำผู้บริหาร มอบถุงปันน้ำใจแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นำร่องโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”
“อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรมนำผู้บริหาร มอบถุงปันน้ำใจแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นำร่องโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน” และโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ปริมณฑล 20 แห่ง ด้าน สวจ.รับลูกเร่งมอบถุงปันน้ำใจแล้วทั่วประเทศ
วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร เครือข่ายวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมมอบถุงปันน้ำใจ เครื่องอุปโภค บริโภค เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตามโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน” โดยความร่วมมือของพลังบวร เครือข่ายวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรม ชุมชนคุณธรรมฯ กว่า 2 หมื่นแห่ง เพื่อส่งต่อกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลสนามในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและโรงพยาบาลทั่วประเทศ
รมว.วธ. กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ร่วมโครงการปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกันของ วธ. มี 20 แห่ง ได้แก่ 1.โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ 2.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ 3.โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ 4.โรงพยาบาลตากสิน กรุงเทพฯ 5.โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ 6.โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ 7.โรงพยาบาลตำรวจ กรุงเทพฯ 8.สถาบันบำราศนราดูร นนทบุรี 9.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ 10.โรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพฯ 11.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน กรุงเทพฯ 12.โรงพยาบาลทหารผ่านศึก กรุงเทพฯ 13.โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 กรุงเทพฯ 14.โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี คุ้มเกล้า กรุงเทพฯ 15.โรงพยาบาลสมุทรปราการ สมุทรปราการ 16.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กรุงเทพฯ 17.โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ปทุมธานี 18.โรงพยาบาลกลาง กรุงเทพฯ 19.โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คลองหลวง ปทุมธานี และ 20.โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรุงเทพฯ
รมว.วธ. กล่าวอีกว่า ในส่วนภูมิภาคขณะนี้ ทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) หลายแห่งได้เป็นตัวแทน วธ. ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรม นำถุงปันน้ำใจ เครื่องอุปโภค บริโภค ถุงยังชีพ จัดตั้งโรงทาน จัดตั้งตู้ปันสุข ฯลฯ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งต่อกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศแล้ว อาทิ เชียงราย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร ลำปาง พิษณุโลก นครปฐม ปทุมธานี สระบุรี สุพรรณบุรี ระยอง เลย ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ขอนแก่น นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี นอกจากนี้ ทางวธ. ยังได้จัดทำสื่อเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดฯ ตลอดจนจัดทำสื่อเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41813 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงกรณีมีข้อเรียกร้องให้เร่งฉีดวัคซีนแก่ อสม. และบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดสาธารณสุขอำเภอ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
สธ. แจงกรณีมีข้อเรียกร้องให้เร่งฉีดวัคซีนแก่ อสม. และบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดสาธารณสุขอำเภอ
กรมควบคุมโรค ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และ สธ. รวมถึง อสม.ทั่วประเทศ ซึ่งในเดือน มิ.ย.นี้ วัคซีนจะเข้ามาจำนวนมากและเพียงพอสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ฯ อสม. รวมถึงประชาชนที่สมัครใจฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และมีนโยบายฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นกลุ่มแรกมาโดยตลอด เพื่อให้ทุกคนมีความปลอดภัย สามารถดูแลประชาชน ทั้งการป้องกันควบคุมโรค หรือการดูแลรักษาพยาบาล รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขภาพต่างๆ แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยในช่วงต้นที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด จำเป็นต้องให้วัคซีนกับแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับ ทั้งระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เช่น อสม.ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อก่อน เพื่อให้ระบบการแพทย์และสาธารณสุข สามารถคงอยู่ดูแลประชาชนได้ ข้อมูล ณ ปัจจุบัน ได้ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มดังกล่าวไปแล้วมากกว่า 1.1 ล้านโดส จากวัคซีนที่จัดสรรไป 2.5 ล้านโดส หรือประมาณร้อยละ 45 ของวัคซีนที่มีอยู่ขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก อสม.ทั่วประเทศมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน จึงมีคนที่ยังรอฉีดวัคซีนอีกเป็นจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งจัดหาวัคซีนมาเพิ่มเติม ซึ่งเพียงพอสำหรับ อสม.ทุกคน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ได้ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับประธานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา เชิญชวนให้ อสม.ไปรับการฉีดวัคซีน พร้อมออกเคาะประตูรณรงค์เชิญชวนคนในชุมชน ผู้นำชุมชน ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ทุกช่องทางที่สะดวก
ส่วนในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์นั้น ได้ให้ทุกจังหวัดเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งบุคลากรที่อยู่ในสถานพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ข้อมูล 28 กุมภาพันธ์ – 14 พฤษภาคม 2564 มีบุคลากรสาธารณสุขฉีดวัคซีนเข็มแรก 687,909 คน ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 409,019 คน กลุ่มเจ้าหน้าที่อื่น ๆ และอสม. เข็มแรก 203,213 คน ครบ 2 เข็ม 82,068 คน ยังคงทยอยมารับการฉีดต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยืนยันว่าบุคลากรทางการแพทย์ และอสม.ทุกคนที่มีความสมัครใจจะได้รับการฉีดวัคซีน เพราะประเทศไทยจะได้รับวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้าต่อเนื่องทุกเดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 6 ล้านโดส เดือนต่อไปเดือนละ 10 ล้านโดส และจากการจัดหาเพิ่มเติมให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 150 ล้านโดส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41800 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบวัคซีนซิโนแวคจากรัฐบาลจีน 5 แสนโดส สนับสนุนควบคุมโรคโควิด 19 ในไทย | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
“อนุทิน” รับมอบวัคซีนซิโนแวคจากรัฐบาลจีน 5 แสนโดส สนับสนุนควบคุมโรคโควิด 19 ในไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบวัคซีนซิโนแวคจากรัฐบาลจีน จำนวน 5 แสนโดส เพื่อสนับสนุนการควบคุมโรคโควิด 19 ของประเทศไทย เผยเตรียมจัดซื้อวัคซีนเพิ่มทุกเดือนรองรับการฉีดวัคซีนในประเทศให้มากที่สุด
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายหยาง ซิน (Mr.Yang Xin) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ลงนามรับมอบวัคซีนซิโนแวคจากรัฐบาลจีน 5 แสนโดส เพื่อสนับสนุนการควบคุมโรคโควิด 19 ในประเทศไทย และรับมอบยาพาราเซตามอล 1 ล้านเม็ด มูลค่า 1.2 ล้านบาท จากมูลนิธิวีระภุชงค์ ,รับมอบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อรังสียูวี 1 ตัว มูลค่า 2 แสนบาท จากบริษัท ทีเคเค คอปเปอร์เรชั่น จำกัด เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลบุษราคัม รวมถึงรับมอบเสื้อกาวน์ สเปรย์แอลกอฮอล์ อาหารและน้ำดื่มจากบริษัทต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์
นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับน้ำใจไมตรีจากรัฐบาลจีน มอบวัคซีนเพื่อสนับสนุนการควบคุมโรคโควิด 19 ในประเทศไทย ซึ่งวัคซีนซิโนแวคได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลกว่ามีประสิทธิภาพที่ดีในการต่อต้านเชื้อโควิด ผู้รับวัคซีนมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อหากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรงและไม่เสียชีวิต
“ในนามของรัฐบาลและคนไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีน โดยเฉพาะอุปทูตหยางซินที่แนะนำให้ประเทศไทยทำจดหมายขอรับการสนับสนุนวัคซีนจากจีน1 ล้านโดส โดยขอให้นำวัคซีนส่วนหนึ่งมาฉีดให้คนจีนในประเทศไทยด้วยจึงเป็นที่มาของการรับมอบวัคซีนในครั้งนี้ และจะมีมาเพิ่มอีกเร็วๆ นี้ รวมถึงช่วยประสานให้ประเทศไทยสั่งซื้อวัคซีนจากซิโนแวคได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลางในการส่งวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้ไทยได้รับวัคซีนซิโนแวคแล้ว4.5 ล้านโดส”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประคับประคองสถานการณ์โรคโควิด 19 อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เชื้อมีการแพร่กระจาย โดยจะฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด และมีแผนจัดหาวัคซีนเข้ามาเพิ่มทุกเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีวัคซีนเพียงพอฉีดให้แก่คนไทยถึงสิ้นปี
ด้านนายหยาง ซิน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนรัฐบาลจีนมอบวัคซีนซิโนแวคให้แก่รัฐบาลไทย เพื่อช่วยต่อสู้กับโรคโควิด 19 แสดงถึงไมตรีจิตของจีนที่มีต่อไทย และความรับผิดชอบของจีนที่มีต่อสังคมโลก เนื่องจากไวรัสไม่รู้จักพรมแดน ความร่วมมือระหว่างประเทศจึงจะช่วยตัดการแพร่ระบาดได้ โดยจีนยึดมั่นในหลักการสร้างประชาสาธารณสุข จึงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสู้กับโควิด จีนเป็นประเทศแรกที่ประกาศให้วัคซีนที่ผลิตเองเป็นสินค้าสาธารณะช่วยประเทศที่กำลังพัฒนามีโอกาสเข้าถึงและซื้อวัคซีนได้ ปัจจุบันมีการมอบวัคซีนแล้วกว่า 80 ประเทศ และส่งออกกว่า 50 ประเทศ
“จีนฉีดวัคซีนภายในประเทศมากกว่า 400 ล้านโดสแล้ว แต่มีประชากรมากกว่า 1,411 ล้านคนซึ่งภายในประเทศยังไม่พอ แต่ไทยและจีนเป็นพี่น้องกัน การแพร่ระบาดครั้งนี้ของไทย จีนจึงให้ความช่วยเหลือเรื่องวัคซีนเพื่อช่วยป้องกันชีวิตและสาธารณสุขของชาวไทยด้วย ซึ่งสัปดาห์นี้วัคซีนซิโนแวคที่ไทยสั่งซื้อจะเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส เพื่อให้ไทยควบคุมการแพร่ระบาดได้โดยเร็ว ฟื้นฟูพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ พร้อมช่วยเหลือประเทศไทยในการต่อสู้กับโควิด” นายหยางซินกล่าว
*******************************17 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41814 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยง | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยง
นายกรัฐมนตรีติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงจำกัดการแพร่ระบาด
วันที่17พ.ค. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจากที่มีรายงานผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงและยังพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้นพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ทราบถึงมาตรการต่างๆที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการทั้งในการตรวจคัดกรองการแยกผู้ต้องขังแรกเข้าการแยกผู้ป่วยออกไปรักษาในโรงพยาบาลสนามของราชทัณฑ์แต่ก็ได้กำชับว่าขอให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามมาตรการควบคุมและรักษาโรคเพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปในมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกเรือนจำ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังขอให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงต่างๆให้มากและเร็วที่สุดเพื่อประสิทธิภาพในการจำกัดวงการแพร่ระบาดรวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำด้วยโดยให้สาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆของจังหวัดพื้นที่เสี่ยงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
“เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำหลายแห่งมีผู้ต้องขังอยู่หนาแน่นมีความแออัดด้วยพื้นที่จำกัดซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคนายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในส่วนนี้จึงกำชับให้ทางราชทัณฑ์ประสานงานกับสาธารณสุขในเขตพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนภายนอกโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังแม้จะเป็นผู้เคยกระทำผิดจนต้องขังแต่เมื่อป่วยต้องได้รับการดูแล”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41797 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สาธิต"เผย รพ.มงกุฎวัฒนะเตรียมขยายเตียงสีเหลืองเข้มและแดงรับผู้ป่วยโควิดเรือนจำ | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
"สาธิต"เผย รพ.มงกุฎวัฒนะเตรียมขยายเตียงสีเหลืองเข้มและแดงรับผู้ป่วยโควิดเรือนจำ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยใช้ระบบ Co Link เพิ่มความคล่องตัวบริหารจัดการเตียงโควิดใน กทม. เผยผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองจากแคมป์ก่อสร้างหารือนำส่งโรงพยาบาลบุษราคัมเพิ่ม ส่วนโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเตรียมเปิดเตียงสีเหลืองเข้มและสีแดง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยใช้ระบบCo Link เพิ่มความคล่องตัวบริหารจัดการเตียงโควิดใน กทม. เผยผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองจากแคมป์ก่อสร้างหารือนำส่งโรงพยาบาลบุษราคัมเพิ่ม ส่วนโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเตรียมเปิดเตียงสีเหลืองเข้มและสีแดงรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มเรือนจำ คาดเปิดรับได้พรุ่งนี้
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วย นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ประชุมเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล และการบริหารจัดการเตียงในเขต กทม. โดยดร.สาธิตกล่าวว่า ที่ประชุมคณะที่ปรึกษา ศบค.ที่มีศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้บูรณาการการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิดใน กทม. โดยให้มีจุดคัดแยกอาการผู้ติดเชื้อ 3 จุด คือ โรงพยาบาลบุษราคัมดูแลกรุงเทพโซนเหนือ ศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ดูแลกรุงเทพโซนกลาง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ดูแลกรุงเทพโซนใต้ สำหรับการบริหารจัดการเตียงผู้ติดเชื้อโควิดใน กทม.ให้ใช้ระบบเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดหรือCo Link ซึ่งจะรับข้อมูลผู้ติดเชื้อมาจากระบบห้องปฏิบัติการรวม (Co Lab) , ระบบการค้นหาเชิงรุกรวม (Co Finding) รวมถึงข้อมูลระบบเตียงรวม (Co Ward) โดยจะประเมินอาการคัดแยกระดับสีอาการเขียวเหลืองแดง และส่งเข้าสู่ระบบการรักษาตามอาการต่อไป ระบบนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับการพบผู้ติดเชื้อโควิดในกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้างจำนวนมาก โดยเฉพาะเขตหลักสี่และวัฒนาส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายหากพบผู้ติดเชื้อแรงงานต่างด้าวอาการสีเขียวจะนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลสนาม จ.สมุทรสาครที่ยินดีช่วยรองรับกลุ่มนี้ และขณะนี้กำลังหารือให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวต่างด้าวด้วย เนื่องจากยังมีเตียงสีเขียวว่างจำนวนมาก ส่วนกลุ่มสีเหลืองขณะนี้มีศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนีรองรับบางส่วน และอยู่ระหว่างหารือให้โรงพยาบาลบุษราคัมช่วยรับบางส่วนส่วนผู้ติดเชื้อในเรือนจำ มีอาสาสมัครเรือนจำคัดแยกอาการผู้ติดเชื้อ โดยโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีความพร้อมในการดูแลผู้ติดเชื้อสีเขียวและสีเหลือง โดยมีแนวทางการให้ยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับกลุ่มที่ไม่มีอาการแต่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว และกลุ่มที่เริ่มมีอาการแล้ว ส่วนการเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยมีอาการรุนแรง จากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ พบว่ามีความพร้อม โดยได้เปิดเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการสีแดง 48 เตียง และเตียงอาการสีเหลืองเข้มที่สามารถใช้เครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ได้ 150 เตียง คาดว่าจะเปิดได้วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 แต่จะต้องจัดบุคลากรทางการแพทย์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาช่วยกันดูแลผู้ป่วย
ทั้งนี้ ได้หารือร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนถึงความเป็นไปได้ในการขยายเตียงอาการสีเหลืองเข้มและสีแดง ซึ่งทาง สปสช.ได้เสนอ ครม.เพื่อปรับเพิ่มอัตราจ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลโควิดในบางรายการที่ยังไม่มีกำหนด รวมทั้งปรับเพิ่มอัตราค่าห้องและพยาบาลไอซียู
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41822 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรขยายเวลายื่นแบบภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยผู้ประกอบการสู้โควิด | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
สรรพากรขยายเวลายื่นแบบภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ต ช่วยผู้ประกอบการสู้โควิด
ก.คลังออกประกาศขยายกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับเดือน ก.ค.2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 30 ก.ค.2564 และการยื่นแบบเดือน ส.ค. 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 31 ส.ค.2564
กระทรวงการคลังออกประกาศขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับเดือนกรกฎาคม 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 และการยื่นแบบในเดือนสิงหาคม 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมทางภาษีที่บ้าน TAX from Home ช่วยบรรเทาและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ระลอกใหม่
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “การขยายเวลายื่นแบบฯ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้เป็นการสนับสนุนการทำธุรกรรมภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากที่บ้านหรือ Tax from Home ช่วยลดความแออัดและความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในมือผู้ประกอบการให้มีมากขึ้นและนานขึ้น โดยไม่ได้กระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังต้องบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระภาษีที่เลื่อนออกไป”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมากระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. 1 ภ.ง.ด. 2 ภ.ง.ด. 3 ภ.ง.ด. 53 และ ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30 และ ภ.พ. 36) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถึงวันสุดท้ายของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ โดยให้เริ่มขยายเวลาสำหรับการยื่นแบบฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ถึงเดือนมิถุนายน 2564 สำหรับการขยายกำหนดเวลา
การยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. การยื่นแบบและชำระภาษีในเดือนกรกฎาคม 2564 จากกำหนดเดิมที่ต้องยื่นภายในวันที่ 15 หรือ 23 กรกฎาคม 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
2. การยื่นแบบและชำระภาษีในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ จากกำหนดเดิมที่ต้องยื่นภายในวันที่ 15 หรือ 23 สิงหาคม 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2564”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการผ่านการทำธุรกรรมภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากที่บ้านหรือ Tax from Home ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและนานขึ้นกว่า 280,000 ล้านบาท และช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ได้เป็นอย่างดี เช่น การขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบฯ ในครั้งนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเว้นระยะห่าง หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ตามมาตรการของภาครัฐ และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)”
ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41807 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ชัยวุฒิ" ใช้กม.เอาผิดมือตัดต่อภาพ รพ.บุษราคัม vs รพ.สนามพิมรี่พาย ปั่นสังคมแตกแยก | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
"ชัยวุฒิ" ใช้กม.เอาผิดมือตัดต่อภาพ รพ.บุษราคัม vs รพ.สนามพิมรี่พาย ปั่นสังคมแตกแยก
"ชัยวุฒิ" ใช้กม.เอาผิดมือตัดต่อภาพ รพ.บุษราคัม vs รพ.สนามพิมรี่พาย ปั่นสังคมแตกแยก
"ชัยวุฒิ"ฮึ่มเกรียนคีย์บอร์ดตัดต่อภาพ"รพ.บุษราคัม"เทียบ"รพ.สนามพิมรี่พาย"พร้อมบิดเบือนงบประมาณโจมตีรบ.แจงรูปแบบ“รพ.บุษราคัม”เป็น“รพ.ถาวร”อุปกรณ์การแพทย์ตรงตามมาตรฐานเชื่อสธ.แจงงบประมาณได้หมดมอบทีมงานตรวจสอบดำเนินคดีเหตุทำสังคมแตกแยก-เข้าใจผิด
จากกรณีที่โซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูลเรื่องงบประมาณจัดทำโรงพยาบาลสนามบุษราคัมพร้อมกับตัดต่อภาพประกอบว่าใช้งบประมาณ239,280,000บาทสามารถรองรับได้1,092เตียงตกเตียงละ220,000บาทพร้อมกับเปรียบเทียบโรงพยาบาลสนามของพิมรี่พายที่ใช้งบประมาณ170,000บาทแต่ได้ถึง50เตียงตกเตียงละ3,400บาทจนเกิดเสียงวิจารณ์กว้างขวางนั้น
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดเผยว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงดิจิทัลฯได้ตรวจสอบพบว่ามีความพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐบาลโดยในส่วนของคุณพิมรี่พายที่นำเงินส่วนตัวมาสร้างโรงพยาบาลสนามถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้เสียสละช่วยประชาชนในยามลำบากรัฐบาลก็ต้องขอบคุณถึงความตั้งใจอันดีเช่นเดียวกันอีกหลายๆคนที่ร่วมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยตามกำลังหรือความสามารถที่พอจะช่วยได้
“ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างมีความตั้งใจดีเพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤตโดยเร็วแต่กลับมีขบวนการที่ไม่หวังดีนำมาเปรียบเทียบบิดเบือนเพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง”นายชัยวุฒิกล่าว
นายชัยวุฒิกล่าวว่าโรงพยาบาลสนามบุษราคัมที่มีข้อสังเกตเรื่องงบประมาณนั้นจัดตั้งในลักษณะโรงพยาบาลถาวรที่มีมาตรฐานมีความพร้อมทางการแพทย์มีอุปกรณ์เครื่องมือดูแลผู้ติดเชื้ออย่างครบครันมีระบบการดูแลความปลอดภัยมีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดจำนวนมากสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขสามารถชี้แจงรายละเอียดหรืองบประมาณได้ทั้งหมดอีกทั้งภาพที่มีการแชร์เปรียบเทียบในขณะนี้ก็เป็นภาพเก่าช่วงที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการและเป็นการจัดตั้งในภาวะฉุกเฉินก่อนที่จะมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในภายหลัง
“ในช่วงที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิด-19แต่กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคมทางกระทรวงฯได้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้มาโดยตลอดขอให้ผู้ที่เป็นต้นตอหรือมีส่วนกับการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวดำเนินการลบโพสต์โดยด่วนและชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมรับทราบมิเช่นนั้นกระทรวงดีอีเอสอาจต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไป"รมว.ชัยวุฒิระบุ
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41810 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานรัฐสภา จับมือ พม. ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ประธานรัฐสภา จับมือ พม. ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19
ประธานรัฐสภา จับมือ พม. ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ มอบหน้ากากอนามัยช่วยกลุ่มเปราะบางป้องกันโควิด-19
วันที่ 16 พ.ค. 64เวลา 08.30 น. นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ณ ร้านหลงรักนา จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น ให้กับจังหวัดเพชรบุรี สำหรับแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ ใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เป็นผู้รับมอบหน้ากากอนามัย อีกทั้งมีนายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ร่วมลงพื้นที่ และได้พบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. ที่ช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังได้มอบนมผงสำหรับเด็ก เพื่อนำไปช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ทั้งนี้ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จะช่วยกระจายหน้ากากอนามัยไปแจกจ่ายในพื้นที่อย่างทั่วถึงต่อไป
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนั้น เวลา 10.00 น. นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้เดินทางไปลงพื้นที่ ณ หมู่บ้านเอื้ออาทรหัวหิน โครงการ 1 จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น ให้กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่ ใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนางสาวชไมพร อำไพจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้รับมอบหน้ากากอนามัย อีกทั้งได้พบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. ที่ช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ นอกจากนี้ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ยังได้มอบนมผงสำหรับเด็กเพื่อนำไปช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ทั้งนี้ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จะช่วยกระจายหน้ากากอนามัยไปแจกจ่ายในพื้นที่อย่างทั่วถึงต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41791 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว. คลัง ร่วมหารือกรอบการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย กับ 3 หน่วยงานหลัก | วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
รมว. คลัง ร่วมหารือกรอบการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย กับ 3 หน่วยงานหลัก
รมว.คลังวมประชุมผ่านระบบออนไลน์กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ องค์การสหประชาชาติ และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญภายใต้กรอบการดำเนินงานระหว่างประเทศเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ องค์การสหประชาชาติ และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญภายใต้กรอบการดำเนินงานระหว่างประเทศเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ตามหลักปฏิบัติการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (Principles for Responsible Investment: PRI) ของนักลงทุนสถาบัน และหลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ (Principles for Responsible Banking: PRB) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลกในการประชุม UN Climate Summit ในเดือนพฤศจิกายน 2564 และเพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนอย่างรับผิดชอบทั้งภาคส่วนนักลงทุนสถาบันและกลุ่มธนาคารในประเทศไทย
โดยมี ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) นางกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (The United Nations Resident Coordinator) นางสาวยูกิ ยาสุอิ ผู้จัดการประสานงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มทางการเงิน (UNEP Finance Initiative: UNEP FI) ดร.มานพ อุดมเกิดมงคล นักเศรษฐศาสตร์ สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และ ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมหารือเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 เม.ย. 2564)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41809 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล ไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล ไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล ไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล สำหรับการนำเข้าและบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 หลังจากที่มาตรการเดิมสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
การขยายระยะเวลาดังกล่าว คาดว่าจะทำให้สูญเสียรายได้จากภาษีประมาณ 15 ล้านบาท แต่จะมีประโยชน์คุ้มค่าในการช่วยสนับสนุนการรักษา การวินิจฉัย และการป้องกันโควิด-19 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ และยังช่วยจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ภาครัฐสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการโควิด-19 ได้อย่างทั่วถึง
สำหรับรายละเอียดตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโควิด-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศลครั้งนี้ กระทรวงการคลังจะตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร โดยมีหลักการดังนี้คือ
1.ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโควิด-19เพื่อบริจาคให้แก่ สถานพยาบาลซึ่งประกอบด้วย สถานพยาบาลของทางราชการ สถานพยาบาลของสถาบันการศึกษาของรัฐ สถานพยาบาลขององค์การมหาชน สถานพยาบาลของรัฐวิสาหกิจที่เป็นองค์การของรัฐบาลหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ สถานพยาบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานพยาบาลของหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือสถานพยาบาลของสภากาชาดไทย รวมไปถึงหน่วยงานของรัฐ และองค์กรหรือสถานสาธารณกุศลหรือสถานพยาบาลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศ
2.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคให้สถานพยาบาลตามข้อ 1 โดยต้องไม่นำต้นทุนของสินค้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41858 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้มาตรการ Bubble and Seal ในเรือนจำและพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้มาตรการ Bubble and Seal ในเรือนจำและพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
นายกรัฐมนตรีเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมใช้มาตรการ Bubble and Seal ในเรือนจำและพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังอยู่ในระดับทรงตัว แม้ว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อได้ในบางพื้นที่ แต่ยังมีการแพร่ระบาดคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงได้หารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงกระสาธารณสุขและ ศบค. เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยวิธีการตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยมารักษา หากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะนำส่งโรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบเพื่อทำการรักษาต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะทำการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อทุกคนอย่างดีที่สุด บนหลักความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด โอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนน้อย พร้อมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การดูแลอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมญาติจากบุคคลภายนอกจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะต้องเดินหน้าตามแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วยติดเชื้อเพื่อนำส่งตัวไปรักษาพยาบาล และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด อาทิ การสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกเคหะสถาน การเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิในทุกสถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดในขณะนี้ ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่มีการรวมตัวกันอย่างแออัด อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ศบค. เร่งตรวจพื้นที่ที่อาจเป็นโอกาสเสี่ยงในการแพร่ระบาด อาทิ แคมป์แรงงานก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่อื่น ๆ ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด ซึ่งสถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดรวมถึงในเรือนจำจะต้องใช้แนวทาง Bubble and Seal ปิดการเดินทางเข้า - ออก ของบุคคลในสถานที่นั้น ๆ เพื่อไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ภายนอก ทั้งนี้ สถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด จึงเชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็วและจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่รักษาหายในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 70,000 คน สำหรับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ มีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วกว่า 40,000 คน คิดเป็นร้อยละ 50 ของผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และมาตรการที่คัดแยกผู้ป่วยตามอาการและนำไปสู่การรักษาอย่างดี รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอขอบคุณความช่วยเหลือจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการเบิกค่ายา/สารอาหาร สำหรับใช้นอกสถานพยาบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการเบิกค่ายา/สารอาหาร สำหรับใช้นอกสถานพยาบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว และเป็นการลดความแออัดในสถานพยาบาล ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น กรมบัญชีกลางจึงได้กำหนดแนวทางการเบิกค่ายาหรือสารอาหารเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาล
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) สถานพยาบาลหลายแห่งได้กำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อลดความแอดอัดของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในสถานพยาบาล อีกทั้งได้ขอหารือกับกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับแนวทางการเบิกค่ายาหรือสารอาหาร เช่น ยาชีววัตถุและยาสังเคราะห์มุ่งเป้า ซึ่งเป็นยาฉีดหรือยาหยดเข้าทางเส้นเลือดหรือยาฉีดใต้ผิวหนัง ที่อยู่ในระบบเบิกจ่ายตรงค่ายาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย และกำหนดให้เบิกได้เฉพาะกรณีที่ใช้กับผู้ป่วยในขณะที่อยู่ในสถานพยาบาลเท่านั้น ยกเว้นค่ายาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และค่ายาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติกซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ว่าหากแพทย์มีความจำเป็นต้องสั่งยาเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาลจะสามารถเบิกค่ายาดังกล่าวจากทางราชการได้หรือไม่ ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว และเป็นการลดความแออัดในสถานพยาบาล ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น กรมบัญชีกลางจึงได้กำหนดแนวทางการเบิกค่ายาหรือสารอาหารเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาล ดังนี้
1. การพิจารณาสั่งใช้ยาให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม จำเป็นและปลอดภัยกับผู้ป่วย ซึ่งการให้ยาหรือสารอาหาร ผู้ป่วยต้องสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง หรือมีผู้ประกอบวิชาชีพสาขาอื่นเป็นผู้ให้ยาหรือสารอาหารแก่ผู้ป่วยที่บ้านหรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยให้มีการติดตามการใช้ยาและบันทึกข้อมูลการใช้ยาดังกล่าวในเวชระเบียน สำหรับค่ายาหรือสารอาหารของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ให้ปฏิบัติตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4/ว 450 ลงวันที่ 22 กันยายน 2563
2. การส่งเบิกค่ายาหรือสารอาหารเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาล ให้บันทึกข้อมูลในระบบเบิกจ่ายตรงตามรูปแบบและแนวปฎิบัติของหน่วยงานที่กรมบัญชีกลางมอบหมายกำหนด
“แนวทางการเบิกค่ายาหรือสารอาหารเพื่อนำไปใช้นอกสถานพยาบาล มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป รายละเอียดตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.2/ว 268 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ซึ่งกรมบัญชีกลางมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ พร้อมดูแลประชาชนในทุกสถานการณ์ และขอแสดงความห่วงใยและเป็นกำลังใจ ให้ทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้งคนไทยทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 02 127 7000 ต่อ 6850 6851 หรือ Call Center กรมบัญชีกลางหมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41849 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ปูพรมส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมมือจป.ในโรงงาน สู้ COVID - 19 ในกิจการก่อสร้าง โรงงานกลุ่มเสี่ยง | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กสร. ปูพรมส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมมือจป.ในโรงงาน สู้ COVID - 19 ในกิจการก่อสร้าง โรงงานกลุ่มเสี่ยง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ในสถานประกอบกิจการ ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน เข้าดูแลสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้าง
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน หรือที่เรียกกันว่า Cluster ที่ขยายวงกว้างในสถานประกอบกิจการต่าง ๆ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หาแนวทางการยับยั้งการแพร่ระบาดในสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงได้จัดทำประกาศ เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ในสถานประกอบกิจการ ฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการ นายจ้าง และลูกจ้าง ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันฯ อาทิเช่น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ทั้งเข้าไปและออกจากพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตทำงานและพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองในสถานประกอบกิจการ อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การจัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ การควบคุมให้ลูกจ้างสวมหน้ากากอนามัย และประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างทราบวิธีการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเบื้องต้นด้วยตัวเอง เป็นต้น ทั้งนี้ได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ของสถานประกอบการ ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าระวังคัดกรองไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวได้
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบลูกจ้างเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หรือติดเชื้อ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำเป็นต้องไปรับการตรวจรักษา หรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ ให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างใช้สิทธิลาป่วย หรือใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายหรือตามตกลงกัน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และการปฏิบัติตามแนวทางนี้ ให้ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรศัพท์สวยด่วน 1546 หรือ 1506 กด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน สำหรับลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ไอแบงก์ รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน สำหรับลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่
ไอแบงก์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในกลุ่มลูกค้าประเภทสินเชื่อบุคคล และสินเชื่อธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ระลอกใหม่
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินทั้งในกลุ่มลูกค้าประเภทสินเชื่อบุคคล และสินเชื่อธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และสอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีมาตรการให้ความช่วยเหลือต่างๆ ดังนี้
1. มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจสำหรับลูกค้าธนาคาร ทั้งลูกหนี้อุปโภคบริโภค และลูกหนี้ธุรกิจ ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ธนาคารจะพักชำระหนี้เงินต้น และชำระเฉพาะกำไรนานสูงสุด 1 ปี ขยายระยะเวลาสินเชื่อตามระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้น ยกเว้นเบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระที่เกิดขึ้น และอาจจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความรุนแรงของปัญหาเป็นรายกรณี ผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดูแลบัญชีของท่าน
2. มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 3เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยประเภทสินเชื่อบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
2.1 สินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกัน (ยกเว้นสินเชื่อสวัสดิการพนักงานบุคคลภายนอก (MOU)/สินเชื่อบำเหน็จบำนาญข้าราชการ/สินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย (MSMEs)) ลูกค้าสามารถขอลดค่างวดสูงสุด 30% ของค่างวดเดิมระยะเวลา 6 เดือน ไม่ขยายระยะเวลา และให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
2.2 สินเชื่อที่อยู่อาศัย/อเนกประสงค์มีหลักประกันมี 4 ทางเลือก ดังนี้
2.2.1 ลดค่างวดไม่เกิน 30% ของค่างวดเดิม (ค่างวดเดิมหมายถึงค่างวดที่กำหนดให้ชำระทั้งเงินต้นพร้อมกำไร) ระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลา และให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
2.2.2 พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) ระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย
2.2.3 พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะกำไร) 3 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย และปรับลดอัตรากำไรในระยะเวลาที่พักชำระหนี้ลง 0.25% เฉพาะบัญชีสินเชื่อที่อยู่ในช่วงการชำระค่างวดด้วยอัตรากำไรอ้างอิง SPRL
2.2.4 พักชำระเงินต้นและกำไร 3 เดือน โดยไม่ขยายระยะเวลาและให้นำไปชำระในงวดสุดท้าย(สำหรับลูกหนี้ทีได้รับผลกระทบระยะยาว)
2.3 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มี 2 ทางเลือก คือ
2.3.1 พักชำระเงินต้นและกำไร 3 เดือน และขยายระยะเวลา
2.3.2.คืนรถในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หากขายประมูลได้จริงต่ำกว่าภาระหนี้ธนาคารจะพิจารณาลดภาระหนี้ตามความเหมาะสม(สำหรับลูกหนี้ทีได้รับผลกระทบระยะยาว)
ผู้สนใจร่วมมาตรการสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน www.ibank.co.th ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
3. มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยปรับลดอัตรากำไรและขยายระยะเวลาผ่อนชำระสำหรับสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกัน ที่มีภาระหนี้คงเหลือไม่เกินส่วนต่างมูลค่าหลักประกันของสินเชื่อที่อยู่อาศัย (เช่น เดิมลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย 5 ล้านบาท ปัจจุบันภาระหนี้คงเหลือ 4 ล้านบาท มีส่วนต่างมูลค่าหลักประกัน 1 ล้านบาท ดังนั้นบัญชีสินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกันที่ขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในครั้งนี้ต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นต้น)
• สินเชื่อที่อยู่อาศัย อัตรากำไรและระยะเวลาผ่อนชำระตามเงื่อนไขเดิมของสัญญา
• สินเชื่ออเนกประสงค์แบบไม่มีหลักประกัน อัตรากำไรเท่ากับ SPRR ตามประกาศธนาคาร และสามารถให้ขยายระยะเวลาผ่อนชำระออกไปอีกไม่เกิน 5 ปีจากสัญญาเดิม และไม่เกินระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของลูกหนี้
• ยกเว้นค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา
• ยกเว้นค่าธรรมเนียมชำระคืนเสร็จสิ้นก่อนครบกำหนดอายุสัญญา (Prepayment Fee)
4. มาตรการช่วยเหลือประชาชนทั้งในภาคธุรกิจและครัวเรือนเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ และสินเชื่อเพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ให้กับประชาชนกับ 4 ผลิตภัณฑ์ ดังนี้
4.1 สินเชื่อ Small SMEs เป็นสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในภาคการผลิต การค้าและบริการ และการนำเข้าและส่งออก ให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 20 ล้านบาท คิดอัตรากำไรเริ่มต้น 1-3 ปีแรก = SPRL -1% ( ปัจจุบัน SPRL = 7.40% ต่อปี ) ปีที่ 4 ขึ้นไป SPRL-0.5% ต่อปี ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี
4.2 สินเชื่อ Back to ibank เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจมุสลิมทั่วประเทศ รวมไปถึงกลุ่มลูกค้ามุสลิมที่ต้องการรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่นให้วงเงินสูงสุด 200 ล้านบาท ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี คิดอัตรากำไร ปีที่ 1-3 SPRL-1.5% ต่อปี ปีที่ 4 ขึ้นไป SPRL-0.5% ต่อปี
4.3 สินเชื่อเสริมสร้างธุรกิจรายย่อยมุสลิม สำหรับผู้ประกอบการมุสลิมรายย่อย (ไม่รวมหาบเร่แผงลอย) มีทรัพย์สินถาวรไม่เกิน 5 ลบ. (ไม่รวมที่ดิน) ต้องการซื้อทรัพย์สินเพื่อดำเนินกิจการ (ไม่มีหลักประกัน) โดยต้องมีอิหม่ามให้การรับรองว่าประกอบธุรกิจจริง ให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ต่อราย คิดอัตรากำไร SPRR +4.5% ต่อปีตลอดอายุสัญญา (ปัจจุบัน SPRR = 8.0% ต่อปี) ผ่อนได้นานสูงสุด 5 ปี พิเศษ! ฟรีค่าธรรมเนียมจัดทำนิติกรรมสัญญา ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. และค่าธรรมเนียม Front End Fee
4.4 สินเชื่อรวมหนี้บัตรลดภาระผ่อน สำหรับลูกหนี้ที่มีภาระบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลที่ต้องการรวมหนี้เพื่อลดภาระในการผ่อนโดยใช้หลักประกัน ที่เป็นที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ หรือโฮมออฟฟิศ ให้วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี คิดอัตรากำไร SPRL-2.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา พิเศษ! ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end-Fee และค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา ร้อยละ 0.05 ของวงเงินสินเชื่อรวม (ขั้นต่ำ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท)
5. โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคงเป็นการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายราย มีวงเงินรวมกัน ตั้งแต่ 50-500 ล้านบาท มีแนวทางการช่วยเหลือดังนี้
5.1 การแก้ไขหนี้เดิม : ลดค่างวด ขยายเวลาการชำระหนี้ ปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมตามศักยภาพของลูกหนี้ มีระยะเวลาปลอดหนี้ และการผ่อนชำระที่เหมาะสม ทบทวนการให้ใช้วงเงินของลูกหนี้ที่เหลืออยู่
5.2 การให้สินเชื่อใหม่ : ธนาคารเจ้าหนี้ร่วมกันพิจารณาให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกหนี้ที่มีประวัติการ ชำระหนี้ดี มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน
ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการทำได้โดยลูกหนี้สามารถติดต่อสมัครโดยตรงกับสถาบันการเงินหลักที่ใช้บริการ (สถาบันที่ลูกหนี้มีภาระหนี้สูงสุด) หรือสถาบันการเงินที่แจ้งเชิญลูกหนี้เข้าร่วมโครงการ
สำหรับลูกค้าและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมมาตรการต่างๆ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call Center 1302 เข้าไปดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์https://www.ibank.co.th/thเลือก ผลิตภัณฑ์และบริการ เลือกมาตรการช่วยเหลือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วเลือกมาตรการที่ต้องการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41824 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กรทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการจัดทำมาตรฐานการขนส่งทางราง | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง กรทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการจัดทำมาตรฐานการขนส่งทางราง
หวังให้มาตรฐานต่างๆ ช่วยลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งทางรางของไทยเทียบเท่าสากล
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดทำมาตรฐานการขนส่งทางราง ครั้งที่ 4-2/2564 ณ ห้องประชุมมนังคสิลา ชั้น 2 อาคาร ณ ถลาง กรมการขนส่งทางรางโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย และกองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุงทาง กรมการขนส่งทางราง ในฐานะฝ่ายเลขานุการ
ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างมาตรฐาน จำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่
1) มาตรฐานการออกแบบทางรถไฟชนิดไม่มีหินโรยทาง สำหรับทางขนาด 1,435 มิลลิเมตร (Ballastless Track Design) ซึ่งมีรูปแบบโครงสร้างทาง 2 ประเภทใหญ่ คือ โครงสร้างทางแบบไม่มีหินโรยทางประเภทมีจุดรองรับต่อเนื่องหรือรางแบบฝัง (Embeded Rail System : ERS) และโครงสร้างทางแบบไม่มีหินโรยทางประเภทพื้นทางคอนกรีตเสริมเหล็กแบบต่อเนื่องที่มีระบบยึดเหนี่ยวราง (Continuous Reinforced Concrete (CRC) Slab Track System) โดยมาตรฐานดังกล่าวจะนำมาใช้สำหรับระบบขนส่งทางรางในเมือง ชานเมืองและระหว่างเมืองที่มีขนาดทางกว้าง 1,435 มิลลิเมตร
2) มาตรฐานการตรวจสอบความเสียหายของรางรถไฟ (Rail Inspection) ซึ่งมาตรฐานนี้
ได้แบ่งประเภทความเสียหายของรางเป็น รางที่เสียหาย (Damage rail) รางที่ร้าว (Cracked rail) และรางที่แตกหัก (Broken rail) การจัดกลุ่มประเภทและกำหนดรหัสความเสียหายของราง ตามลักษณะความเสียหายที่ตำแหน่งต่างๆ ของรางซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้ง International Railway Solution (IRS 70712 : Rail Defects) และ Union International of Railway (UIC 712 R – Rail Defects) รวมถึงวิธีการตรวจสอบ และคำแนะนำในการบำรุงรักษา ซึ่งนำมาใช้กับการตรวจสอบความเสียหายของรางรถไฟได้ทุกประเภท
3) มาตรฐานระบบบังคับสัมพันธ์บนโครงข่ายรถไฟสายประธาน (Interlocking System on Mainline Train) ซึ่งมีการกำหนดคุณลักษณะและคุณสมบัติพื้นฐานของระบบบังคับสัมพันธ์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของระบบอาณัติสัญญาณควบคุมการเดินรถ สำหรับรถไฟสายประธานในประเทศไทยของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างมาตรฐานทั้ง 3 มาตรฐานดังกล่าว พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับปรุงมาตรฐานตามความเห็นที่ประชุม ก่อนนำเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรฐานดังกล่าวข้างต้นไปบังคับใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางอยู่ระหว่างจัดทำมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา มาตรฐาน
ด้านเครื่องกลและตัวรถขนส่งทางราง มาตรฐานด้านไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางอื่นๆ เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งทางรางของประเทศไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานสนับสนุนงานวัฒนธรรม | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานสนับสนุนงานวัฒนธรรม
พิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานสนับสนุนงานวัฒนธรรม ผ่านรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบซูม ( Zoom )
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานสนับสนุนงานวัฒนธรรม ผ่านรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบซูม ( Zoom )โดยมี นางสุภัทร กิจเวช ผู้อำนวยการกองกลาง นายลิขิต อุไรรางกูล วิทยากรจากกรมบัญชีกลาง ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41842 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิด Call center 180 คู่สาย ตอบปัญหานัดฉีดวัคซีนโควิด ไลน์หมอพร้อม | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
สธ. เปิด Call center 180 คู่สาย ตอบปัญหานัดฉีดวัคซีนโควิด ไลน์หมอพร้อม
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ประสานงานข้อมูลหมอพร้อม (Call center) หมายเลข 0 2792 2333ตอบคำถามการลงทะเบียนจองนัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ทางไลน์/แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ตั้งแต่ 09.00 – 22.00 น. รับมอบอุปกรณ์สนับสนุน Call center จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ประสานงานข้อมูลหมอพร้อม (Call center) หมายเลข 0 2792 2333ตอบคำถามการลงทะเบียนจองนัดฉีดวัคซีนโควิด 19 ทางไลน์/แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”ตั้งแต่ 09.00 – 22.00 น.รับมอบอุปกรณ์สนับสนุนCall centerจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภาคเอกชนร่วมให้บริการเพิ่มเป็น 180 คู่สายรับสายได้วันละ 20,000 สาย ตั้งแต่ 31 พฤษภาคมเป็นต้นไปเปิดลงทะเบียนกลุ่มอายุ 18-59 ปี
บ่ายวันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) ที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบอุปกรณ์สนับสนุนศูนย์ประสานงานข้อมูลหมอพร้อม (Call centerหมอพร้อม)จากนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาชิกสภาอุตสาหอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลยืนยันว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศไทยจะได้รับวัคซีนโควิด 19 อย่างทั่วถึงทุกคนตามความสมัครใจ ตั้งเป้าหมายครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของประชากร และได้จัดหาวัคซีนให้ได้ 150 ล้านโดสพร้อมทั้งเปิดช่องทางให้ลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนด้วยไลน์ ออฟฟิเชียล/ แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”กลุ่มแรกคือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคและในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปอายุ 18-59 ปีที่มี 31 ล้านคนลงทะเบียนได้หากประชาชนมีข้อสงสัยในการจองวัคซีนทางไลน์/แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”สอบถามcall centerหมายเลข 0 2792 2333 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 22.00 น.ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาเปิดบริการ 20 คู่สาย มีผู้โทรปรึกษาวันละ10,000 สาย รับได้ 500 – 1,000 สาย ขณะนี้ได้ขยายเพิ่มเป็น 120 คู่สาย ผู้โทรวันละ 5,000 สาย รับได้ 3,000 สายและในวันพรุ่งนี้ (19 พฤษภาคม 2564) ภาคเอกชนจะร่วมให้บริการเพิ่มรวมเป็น 180 คู่สาย และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดว่าเมื่อระบบเสร็จสมบูรณ์จะสามารถให้บริการประชาชนได้วันละ 20,000 สาย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ข้อมูลการจองวัคซีน เวลา 14.00 น. วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 มีผู้จองผ่าน หมอพร้อมแล้ว 7,089,169 ราย แบ่งเป็น กทม. 764,606 ราย และต่างจังหวัด 6,024,563 ราย สำหรับประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีน นอกจากจะลงทะเบียนนัดวันผ่านไลน์/ แอปพลิเคชัน หมอพร้อมแล้ว ยังสามารถแจ้งผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล/ โรงพยาบาลที่มีประวัติการรักษา
สำหรับอุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนประกอบด้วย ซิมทรู 5Gสำหรับติดตั้งอุปกรณ์IoT (Internet of Things)จัดเก็บวัคซีนโควิด 19 จำนวน 2,000 ซิม ฟรีนาน 12 เดือน มูลค่า 3.8 ล้านบาท, ระบบCall centerประกอบด้วย ระบบCloud PBXพร้อมคู่สายโทรศัพท์200คู่สาย โทรศัพท์IP Phoneจำนวน256เครื่อง (เป็นการชั่วคราว) มูลค่า 1.35 ล้านบาท จากบริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน),อุปกรณ์คอมพิวเตอร์Notebook20 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ5เครื่อง มูลค่า 5 แสนบาท จากบริษัท ชินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน),คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 60 เครื่อง (เป็นการชั่วคราว) จากบริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน)
**********************************18 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. นำร่องถวายฉีดวัคซีนโควิด 19 พระสงฆ์ ในกทม. กลุ่มสูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง 13,000 รูป | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
สธ. นำร่องถวายฉีดวัคซีนโควิด 19 พระสงฆ์ ในกทม. กลุ่มสูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง 13,000 รูป
กระทรวงสาธารณสุข ถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 แด่พระสงฆ์ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กลุ่มเป้าหมายแรก 13,000 รูปที่มีอายุมากกว่า 60 ปี, 7 กลุ่มโรค และในพื้นที่เสี่ยง เริ่มวันนี้วันแรก 352 รูป ตั้งเป้าการฉีด 300-500 รูปต่อวัน
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ตรวจเยี่ยมการถวายวัคซีนโควิด 19 แด่พระสงฆ์ โดยนายอนุทิน กล่าวว่า พระสงฆ์ถือว่าเป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงอาจติดเชื้อโควิด 19 ได้ง่าย จากการที่พระสงฆ์มีกิจนิมนต์ ต้องพบปะกับประชาชน และทำสังฆกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะ จึงได้มอบหมายให้กรมการแพทย์จัดถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19แด่พระสงฆ์เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในทุกกลุ่มประชากร โดยเริ่มในกลุ่มพระสงฆ์ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และ 7 กลุ่มโรคที่มีอยู่ประมาณ 13,000 รูป ในกรุงเทพมหานคร จากพระสงฆ์ทั้งหมด 17,636 รูปใน 457 วัด ซึ่งจะทยอยฉีดวัคซีนให้จนครบ เพื่อให้พระสงฆ์เข้าถึงการฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดความรุนแรง ลดการป่วย และการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เริ่มวันนี้เป็นวันแรก มีพระสงฆ์ที่สมัครใจเข้ารับการถวายฉีด จำนวน 352 รูป และจะเปิดบริการถวายวัคซีนโควิด 19 เป้าหมาย 300 – 500 รูป ต่อวัน
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับพระสงฆ์ในพื้นที่ต่างจังหวัดเบื้องต้นสามารถลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตามระบบในช่องทางหลัก ได้แก่ แพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” หรือผ่าน อสม. / โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ขอให้พระสงฆ์เข้ารับการฉีดให้ครบทั้ง 2 เข็ม และเมื่อฉีดวัคซีนแล้ว ขอให้ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด 19 อย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น เพราะว่าแม้ฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้อยู่
ทั้งนี้ พระสงฆ์ในเขตกรุงเทพมหานครสามารถติดต่อจองคิวได้ทางโทรศัพท์ หมายเลข 02-640-9537,02-354-4305 ต่อ 5135,086-415-5986,086-415-5988,086-416-2037,086-416-2047,086-416-2215 และ 086-416-4306
*************************************** 18 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41850 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศช. แจงข้อวิจารณ์การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
สศช. แจงข้อวิจารณ์การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยืนยัน พ.ร.ก.เงินกู้โควิด-19 และงบกลางฯ มีเพียงพอในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19
วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษก สศช. เปิดเผยว่า กรณีที่มีประเด็นข้อกังวลในเรื่องที่รัฐบาลไม่มีวงเงินเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชน เนื่องจากมีการใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท (พ.ร.ก.เงินกู้โควิด-19) ไปเต็มจำนวนแล้วนั้น ขอชี้แจง ดังนี้
ปัจจุบันการดำเนินการของแผนงาน / โครงการภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้โควิด-19 มีการอนุมัติวงเงินแล้วทั้งสิ้น 833,475 ล้านบาท โดยยังมีวงเงินคงเหลืออีก 166,525 ล้านบาท (ที่มา : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, GFMIS ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2564) นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณจากงบกลาง ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 99,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 98,213.9 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 40,325.6 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 37,108.2 ล้านบาท
สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นั้น รัฐบาลได้มีการตั้งวงเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 89,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้ นอกจากนี้ มีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์แผนแม่บทเฉพาะกิจ อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและซึ่งสามารถนำมาดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูและให้การช่วยเหลือเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด–19 ได้เช่นกัน ดังนั้น จากข้อมูลข้างต้นทำให้มั่นใจได้ว่า ในปี 2564 และ 2565 รัฐบาลยังคงมีวงเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผย “หมอพร้อม” เตรียมเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนฉีดวัคซีน 31 พ.ค. นี้ สามารถจองสถานที่และวันเวลาเองได้ ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกโดยเร็วโดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผย “หมอพร้อม” เตรียมเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนฉีดวัคซีน 31 พ.ค. นี้ สามารถจองสถานที่และวันเวลาเองได้ ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกโดยเร็วโดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน
นายกรัฐมนตรีเผย “หมอพร้อม” เตรียมเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนฉีดวัคซีน 31 พ.ค. นี้ สามารถจองสถานที่และวันเวลาเองได้ ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกโดยเร็วโดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำถึงความสำคัญในการฉีดวัคซีน ที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทางด้วยกัน ช่องทางที่หนึ่ง คือผ่านระบบ “หมอพร้อม” ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีลงทะเบียนในวันที่ 31 พ.ค. 64 โดยสามารถจองคิวฉีดวัคซีนในสถานที่และวันเวลาที่สะดวกได้เอง ยืนยันว่าประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนในเวลาดังกล่าว หรือผ่านระบบอื่น ๆ ของแต่ละจังหวัด อาทิ จังหวัดภูเก็ตที่ใช้ระบบ “ภูเก็ตต้องชนะ” ช่องทางที่สอง คือช่องทางที่เพิ่มเติมจากระบบ “หมอพร้อม” เพื่อให้ประชาชนได้เข้ารับการฉีดวัคซีนมากขึ้นและโดยเร็วที่สุด ด้วยการลงทะเบียนผ่านจุดบริการฉีดวัคซีน หรือ On-site registration ในกรณีที่มีวัคซีนอย่างเพียงพอ โดยจะมีการเตรียมความพร้อมการจัดสรรวัคซีนให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนในวันที่ต้องการ และช่องทางที่สาม คือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ โดยการจัดสรรการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นเป็นพิเศษ หรือกลุ่มที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. พลเรือน ตำรวจ ทหาร พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนทางการทูต องค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจ นักเรียนและนักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด หากบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วน สามารถยื่นเรื่องให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีเป้าหมายปูพรมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรในพื้นที่ เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนในโรงพยาลและจุดบริการฉีดวัคซีนหลักแล้วจะมีการเพิ่มจุดบริการฉีดวัคซีนเสริมอีกอย่างน้อย 25 จุด กระจายทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงสถานีกลางบางซื่อเพื่อให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ และแรงงานต่าง ๆ เข้าถึงวัคซีนอย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมานั้น การวางระบบการฉีดวัคซีนอาจมีปัญหาติดขัด เกิดความไม่ชัดเจนและความไม่เข้าใจเนื่องจากการให้ความสนใจและการลงทะเบียนเป็นจำนวนมากของประชาชน แต่เพื่อการวางแผนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย จึงได้ติดตามและเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยเร็ว ยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน โดยมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอ และจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในต้นเดือนมิถุนายน จากที่เร่งฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้วมากกว่า 2.3 ล้านโดส ซึ่งไม่มีใครเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง จึงขอให้ประชาชนมีความมั่นใจได้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าในวันนี้ การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายคือต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็ว และให้ถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากได้รับความความเห็นของประชาชนจำนวนมาก จึงได้ตัดสินใจว่าจะไม่รอให้คนวัยใดวัยหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รับวัคซีนจนครบก่อน จึงค่อยเปิดให้คนกลุ่มอื่น ๆ ได้รับวัคซีน แต่จะปรับเปลี่ยนแผนการเดินหน้าประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่พร้อมเข้ารับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตาม สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากินและคนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ให้สามารถออกจากบ้านไปทำงาน ทำมาหาเลี้ยงชีพ และเดินหน้าชีวิตต่อไปได้
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 64 ป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติในฤดูฝน | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 64 ป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติในฤดูฝน
ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 64 ป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติในฤดูฝน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ ป้องกัน และลดความเสียหายจากการเกิดภัยพิบัติในฤดูฝน ซึ่งประมาณการปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 มีปริมาณน้ำรวม 38,722 ล้านลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ 47 ของความจุ) และเมื่อเข้าฤดูฝนจะมีการใช้น้ำเพิ่มขึ้นเป็น 96,249 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำถึง 57,527 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น สทนช. จึงกำหนดแผนการจัดสรรน้ำในฤดูฝน และมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 ดำเนินการควบคู่กันไป โดยแผนการจัดสรรน้ำในฤดูฝน กำหนดให้ใช้น้ำฝนในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นหลักเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน แบ่งประเภทการใช้น้ำ ดังนี้ 1)การอุปโภคบริโภค รวม 3,429 ล้านลูกบาศก์เมตร 2)การรักษาระบบนิเวศ รวม 12,888 ล้านลูกบาศก์เมตร 3)การเกษตรกรรม รวม 78,905 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 4)การอุตสาหกรรม รวม 1,027 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนพื้นที่จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรฤดูฝน กรมส่งเสริมการเกษตร ได้คาดการณ์พื้นที่ปลูกพืชฤดูฝนปี 2564 ดังนี้ 1)ในเขตชลประทาน มีจำนวน 11.56 ล้านไร่ แบ่งเป็น นารอบที่ 1 (นาปี) จำนวน 10.62 ล้านไร่ พืชไร่ จำนวน 6.1 แสนไร่ และพืชผัก จำนวน 3.2 แสนไร่ 2)นอกเขตชลประทาน มีจำนวน 61.49 ล้านไร่ แบ่งเป็น นารอบที่1 (นาปี) จำนวน 48.95 ล้านไร่ พืชไร่ จำนวน 11.75 ล้านไร่ และพืชผัก จำนวน 7.9 แสนไร่
สำหรับมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 ประกอบด้วย 10 มาตรการ ดังนี้ 1)คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ โดยปรับปรุงข้อมูลทุกสิ้นเดือน 2)บริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 15 สิงหาคม 2564 3)ปรับปรุงเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเขื่อนระบายน้ำ ให้เสร็จภายใน 30 เมษายน 2564 4)ซ่อมแซมปรับปรุงอาคารชลศาสตร์และระบบระบายน้ำ ให้พร้อมใช้งานภายใน 30 มิถุนายน 2564 5)ปรับปรุงและแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2564 6)ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2564 7)เตรียมความพร้อมและวางแผนเครื่องจักรเครื่องมือประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2564 8)เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำตลอดระยะเวลาฤดูฝน 9)สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเตรียมความพร้อม ตลอดระยะเวลาฤดูฝน 10)ติดตามประเมินผลและปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย ตลอดระยะเวลาฤดูฝน นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าวด้วย
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41859 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ก.อุตฯ บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรั
วันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรังสิต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ.มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
รมว.วธ.มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และ ผศ.(พิเศษ) นพ.สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านภาพลักษณ์องค์กร เป็นผู้รับมอบ ณ ตึกอำนวยการ ชั้น ๑ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41830 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าเร่ง แก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและแหล่งน้ำสาธารณะ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และชัยนาท | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่าเร่ง แก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและแหล่งน้ำสาธารณะ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และชัยนาท
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ด้วยการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและแหล่งน้ำสาธารณะ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และชัยนาท โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 1 และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 2 ได้นำชุดเรือเจ้าท่า ผ.1, ผ.2, ผ.3, ผ.4, ผ.5 และ ผ.6 พร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ และบุคลากร เข้าดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายตามแผนงานดังนี้
1. คลองบางบาล ในพื้นที่ตำบลไทรน้อย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2. แม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
3. แม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
4. คลองบางพระครู ในพื้นที่ตำบลบางพระครู อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
5. แม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ตำบลธรรมมูล ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
ทั้งนี้ จท. มีแผนการจัดเก็บผักตบชวาและวัชพืช ในปีงบประมาณ 2564 จำนวน 422,000 ตัน โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 สามารถจัดเก็บได้ จำนวน 270,766 ตัน คิดเป็นร้อยละ 64.16 ซึ่ง จท. จะเร่งดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชกีดขวางการสัญจรทางน้ำ ช่วยให้ระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาอุทกภัยในฤดูน้ำหลาก ปัญหาภัยแล้งในการเกษตร รวมทั้งการใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ หารือ รพ.เครือข่าย สปส. เตรียมแผนกระจายวัคซีนโควิดแก่ผู้ประกันตน ดีเดย์! มิ.ย.นี้ | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ หารือ รพ.เครือข่าย สปส. เตรียมแผนกระจายวัคซีนโควิดแก่ผู้ประกันตน ดีเดย์! มิ.ย.นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ชี้แจงซักซ้อมทำความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ผู้ประกันตนก่อนเปิดให้บริการภายในเดือนมิถุนายนนี้
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสถานพยาบาลในเครือข่ายสำนักงานประกันสังคมเพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาจัดสรรวัคซีนให้กระทรวงแรงงานเพื่อกระจายให้แก่แรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในระยะแรก จำนวน 6 ล้านโดส ในเดือนมิถุนายน 2564 จำนวน 1.5 ล้านโดส ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดือนกรกฎาคม 2564 จำนวน 4.0 ล้านโดส ประกอบด้วยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1.5 ล้านโดส และในพื้นที่ 9 จังหวัดเศรษฐกิจอื่น 2.5 ล้านโดส และมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน เตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน โดยให้สถานประกอบการแจ้งรายชื่อที่จะฉีด และเชื่อมโยงข้อมูลกับแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม”ของกระทรวงสาธารณสุข และประสานภาคเอกชนในการหาสถานที่เพิ่มเติมให้เพียงพอกับความต้องการฉีดนั้น
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กระทรวงแรงงานได้สำรวจความต้องการฉีดวัคซีนผ่านระบบ Web –Service โดยมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ประสงค์จะฉีดวัคซีนมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงแรงงานยังได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ทั้ง 12 เขต ได้ไปหาสถานที่ฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้ได้สถานที่ฉีดวัคซีนแล้วจำนวน 45 แห่ง โดยได้จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการฉีดวัคซีนไว้พร้อมแล้ว ซึ่งในวันนี้ได้เชิญผู้บริหารโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมจำนวน 12 แห่ง มาประชุมเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นจะสามารถเริ่มเปิดให้บริการได้ในเดือน มิถุนายนนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41857 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เดินหน้า 2 ภารกิจหลัก เร่งขุดลอกร่องน้ำ กำจัดผักตบชวาและวัชพืช บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า เดินหน้า 2 ภารกิจหลัก เร่งขุดลอกร่องน้ำ กำจัดผักตบชวาและวัชพืช บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) เร่งขุดลอกร่องน้ำ กำจัดผักตบชวาและวัชพืชในหลายพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนดังนี้
1. สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 2 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอก เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะบ้านเรือนประชาชน น้ำกัดเซาะตลิ่ง อุทกภัย และภัยแล้ง บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลพยุหะ ตำบลน้ำทรง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยนำเรือเจ้าท่า ข.33 และเรือเจ้าท่า 233 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน ตามแผนการขุดลอกความกว้างที่ก้นร่องน้ำ 40 เมตร ยาว 1,550 เมตร ลึก 6 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 250,058 ลูกบาศก์เมตร ผลการปฏิบัติงาน ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 คิดเป็นร้อยละ 78.36 ซึ่งได้นำวัสดุขุดลอกเสริมบริเวณพื้นที่กัดเซาะ พร้อมปรับพื้นที่บริเวณริมตลิ่งเพื่อรักษาแนวตลิ่งให้คืนสู่สภาพเดิม
2. สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกบริเวณแม่น้ำกกสายเก่า ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 โดยใช้เครื่องจักรเป็นรถขุด เริ่มขุดลอกตั้งแต่ กม.0+000 ถึง กม.1+552 ระยะทาง 1,552 เมตร ขุดลอกร่องน้ำกว้างประมาณ 10 เมตร ความลึก 388 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 15,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของชาวชุมชน 1,100 ครัวเรือน ประมาณ 5,000 คน จากปัญหาความตื้นเขินของแม่น้ำที่เกิดจากตะกอนทรายและวัชพืช ทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงาน สามารถช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ให้มีน้ำที่ใสสะอาดและปลอดภัย สำหรับใช้อุปโภค - บริโภค
3. สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำสงคราม ตำบลทุ่งฝน อำเภอทุ่งฝน จังหวัดอุดรธานี ตำบลคำสะอาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 โดยใช้รถขุด ขก.5 ขุดลอกตั้งแต่ กม. ที่ 427+500 ถึง กม. ที่ 430+650 ระยะทาง 3,150 เมตร ความกว้าง 20 - 40 เมตร ลึกประมาณ 155 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 91,666 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 86 วัน ผลการปฏิบัติงานขุดลอก ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ได้ระยะทาง 710 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 20,995 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 22.90 คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน เพื่อแก้ไขปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำที่เกิดจากตะกอนดินและวัชพืช เพิ่มความกว้างและความลึกของร่องน้ำในการกักเก็บน้ำ แก้ไขปัญหากระแสน้ำกัดเซาะตลิ่ง รวมทั้งบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ให้ประชาชนในพื้นที่
4. สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 1 เปิดหน่วยปฏิบัติงานจัดเก็บผักตบชวาและวัชพืช เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 ดังนี้
4.1 ใช้เรือเจ้าท่า ผ.4, ผ.401, ผ.402 และ ผ.403 จัดเก็บผักตบชวาและวัชพืช ปริมาณ 35,000 ตัน บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาในพื้นที่ตำบลธรรมมูล ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท และตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เพื่อป้องกันการสะสมของผักตบชวาและวัชพืชที่ไหลมารวมกันอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถจัดเก็บได้ 300 ตันต่อวัน ผลการจัดเก็บ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ได้ปริมาณ 21,805 ตัน คิดเป็นร้อยละ 62.30 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2564
4.2 ใช้เรือเจ้าท่า ผ.5 ผ.6 และผ.1 และเรือเจ้าท่า ผ.3 จัดเก็บผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี คลองบางพระครู ตำบลบ้านขล้อ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลสลักเหนือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาการสัญจรทางน้ำ การระบายน้ำ และปัญหาน้ำอุปโภค – บริโภคให้กับประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรช่วยธุรกิจฝ่าโควิดยกเว้นภาษีผู้ประกอบการเข้าโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” ของรัฐบาล | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
สรรพากรช่วยธุรกิจฝ่าโควิดยกเว้นภาษีผู้ประกอบการเข้าโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” ของรัฐบาล
ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการมาตรการภาษีอากรสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยการยกเว้นภาษีอากรและการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับการดำเนินมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 25๖4 ทั้งนี้ มาตรการภาษีข้างต้นช่วยลดภาระภาษีอากรที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ ของสถาบันการเงินผู้ให้กู้ ผู้กู้ที่ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่สามารถโอนทรัพย์สินชำระหนี้แก่สถาบันการเงินโดยมีเงื่อนไขซื้อคืนในราคาที่โอนไปและมีสิทธิเช่าทรัพย์นั้นกลับไปใช้ประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะขาดสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระหนี้”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ (มาตรการภาษีอากรสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อลดภาระภาษีอากรที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.1 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงิน อันเนื่องมาจากมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
1.2 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและสถาบันการเงิน สำหรับการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า และการกระทำตราสาร อันเนื่องมาจากมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
2. กฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ โดยกำหนดให้การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงินในส่วนของหนี้ที่สถาบันการเงินได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ อันเนื่องมาจากมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ กระทำได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ปกติ”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “นอกจากมาตรการภาษีอากรสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรมีมาตรการทางภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยเร่งให้การปรับโครงสร้างหนี้ของผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น ช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น สามารถฟื้นฟูฐานะและกิจการแล้วประกอบอาชีพและธุรกิจต่อไปได้ ส่วนทางด้านเจ้าหนี้และระบบสถาบันการเงินในภาพรวมจะมีต้นทุนลดลงและสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่างๆ เพิ่มเติมได้”
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41848 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" สั่งการ พศ นิมนต์พระสงฆ์เข้ารับถวายการฉีดวัคซีนพระสงฆ์ สร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการแพร่ระบาดในวัด | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
"อนุชา" สั่งการ พศ นิมนต์พระสงฆ์เข้ารับถวายการฉีดวัคซีนพระสงฆ์ สร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการแพร่ระบาดในวัด
"อนุชา" สั่งการ พศ นิมนต์พระสงฆ์เข้ารับถวายการฉีดวัคซีนพระสงฆ์ สร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการแพร่ระบาดในวัด
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ติดตามและอำนวยการความสะดวกแก่พระสงฆ์ที่เข้ารับถวายการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา-19 (COVID 19) ที่โรงพยาบาลสงฆ์จัดทำขึ้น โดย กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้มีพระสงฆ์เข้ารับถวายการฉีดวัคซีน ในวันแรก 350 รูป โดยข้อกำหนดของทางโรงพยาบาลที่จัดทำโครงการนี้ขึ้น เพื่อถวายการฉีดวัคซีนแด่พระสงฆ์ อายุ 60 ปี ขึ้นไป พระสงฆ์อายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มีโรคร่วม 7 โรค และพระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระบาดสีแดงเข้ม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่มีพุทธศาสนิกชนเดินทางไปเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งมีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้พระสงฆ์จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ การจัดโครงการถวายการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา-19 (COVID 19) แด่พระภิกษุสงฆ์ ของโรงพยาบาลสงฆ์ จึงสอดคล้องกับแนวทางที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในวัด ซึ่งเป็นการป้องกันทั้งพระภิกษุสงฆ์เอง และญาติโยมที่เดินทางไปวัด
ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำรวจจำนวนพระสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่าพระสงฆ์ที่ติดเชื้อและมีอาการอาพาธ มีจำนวน 14 ราย และพระสงฆ์และสามเณรที่มรณภาพ มีจำนวน 3 ราย ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานไปยังวัดทั่วประเทศ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมหาแนวทางให้ความช่วยเหลือโดยด่วน
.......................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41841 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง แถลงการณ์การใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 ร่วมกับ สปสช. และสำนักงานประกันสังคม | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
กรมบัญชีกลาง แถลงการณ์การใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 ร่วมกับ สปสช. และสำนักงานประกันสังคม
ปัจจุบันได้รับข้อร้องเรียนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยเฉพาะกรณีที่เข้ารับการตรวจและรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลของเอกชน กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้รับข้อร้องเรียนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยเฉพาะกรณีที่เข้ารับการตรวจและรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลของเอกชน กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม จึงได้ร่วมบูรณาการเพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลประชาชนกลุ่มเสี่ยงและผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำเป็นและเหมาะสม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชน และได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สิทธิผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทราบถึงสิทธิที่พึงได้รับตามกฎหมาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิดังกล่าว โดยที่ สปสช. จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชน
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 วันที่ 21 เมษายน 2563 และวันที่ 27 เมษายน 2564 เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขกำหนดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (Covid 19)) ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกขน ซึ่งหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ได้กำหนดขึ้น เพื่อรองรับสิทธิของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนได้ทุกแห่ง และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยที่สถานพยาบาลของเอกชนจะต้องดำเนินการส่งข้อมูลเพื่อขอเบิกเงินตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมายัง สปสช. ก่อนที่จะส่งเรื่องไปยัง 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม เพื่อจ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลของเอกชนโดยตรงต่อไป
“ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ฯ ข้างต้น ให้แก่สถานพยาบาลต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยทั้ง 3 หน่วยงานเห็นพ้องกันที่จะร่วมกันคุ้มครองสิทธิของประชาชน ให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ตามสิทธิของประชาชนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 49 วรรค 3 ซึ่งกำหนดให้บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41825 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สยามพิวรรธน์”ผนึก“ธนาคารกรุงไทย” เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และพันธมิตรทางธุรกิจทุกกลุ่ม | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
“สยามพิวรรธน์”ผนึก“ธนาคารกรุงไทย” เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และพันธมิตรทางธุรกิจทุกกลุ่ม
สยามพิวรรธน์ จับมือ ธ.กรุงไทย ออกมาตรการเพิ่มเติมสำหรับคู่ค้าของสยามพิวรรธน์ สนับสนุนผู้ประกอบการ SME และพันธมิตรทางธุรกิจทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสำหรับคู่ค้า
กรุงเทพฯ (18 พฤษภาคม 2564) “สยามพิวรรธน์” จับมือ “ธนาคารกรุงไทย” ออกมาตรการเพิ่มเติมสำหรับคู่ค้าของสยามพิวรรธน์ สนับสนุนผู้ประกอบการ SME และพันธมิตรทางธุรกิจทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสำหรับคู่ค้า รวมถึงเพื่อให้มีสภาพคล่องสำหรับดำเนินธุรกิจ ผ่อนปรนภาระทางการเงิน ประคับประคองธุรกิจให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” และสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า “จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกภาคส่วน รวมถึงคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ที่สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญสูงสุด ตลอด 14 เดือนที่ผ่านมาเราจึงจัดมาตรการให้ความช่วยเหลือหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การเพิ่มช่องทางการขายให้ร้านค้าผ่านบริการ Call & Shop, Siam Paragon Luxury Chat & Shop, Click & Shop และ Ultimate Chat &Shop รวมถึงธุรกิจประเภทอาหารโดยร่วมมือกับทางแอปพลิเคชั่น True Food เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายครบรูปแบบออมนิแชนแนล (Omni-Channel)”
“ปัจจุบัน สยามพิวรรธน์มีจำนวนคู่ค้ากว่า 5,000 ราย สยามพิวรรธน์มีบทพิสูจน์แล้วในวิกฤตการณ์หลายเรื่องที่เราเผชิญมา เราได้ช่วยเหลือผู้เช่าร้านค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในทุกวิถีทางรวมถึงการให้ส่วนลดค่าเช่าค่าบริการ ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยกันเสมอ สำหรับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องมามากกว่า 1 ปี เราจึงจัดมาตรการพิเศษเรื่องสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ของทุกคน โดยได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คู่ค้าและพันธมิตรของเราให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการประคับประคองบรรดาร้านค้าในศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ให้ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมเพื่อให้ฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปได้ สยามพิวรรธน์ตระหนักในคุณค่าของความสัมพันธ์ที่มีกับคู่ค้าของเราตลอดเวลาอันยาวนาน และเราจะอยู่เคียงข้างเพื่อสนับสนุนคู่ค้าของเราอย่างดีที่สุดเสมอ”นางชฎาทิพ กล่าว
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ผู้ประกอบการ SME และลูกค้าธุรกิจ โดยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทั้งมาตรการความช่วยเหลือทั่วไป และมาตรการความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือคู่ค้าและพันธมิตรของลูกค้าตลอดจนห่วงโซ่ธุรกิจ ตามยุทธศาสตร์ X2G2X โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับสยามพิวรรธน์ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการSME ที่เป็นคู่ค้าและพันธมิตรของสยามพิวรรธน์ ให้เข้าถึงสภาพคล่อง ผ่าน 2 มาตรการ ดังนี้
1.“สินเชื่อฟื้นฟู” วงเงินกู้ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรก (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกิน 5% ต่อปี) ระยะเวลาผ่อนชําระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และ ยังได้รับยกเว้นดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก นับแต่วันเบิกเงินกู้งวดแรก (ในปีที่ 5-10 ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้) นอกจากนี้ ยังได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นานสูงสุด 10 ปี และมีหลักประกันอื่นขั้นต่ำตามที่ธนาคารกำหนด
• สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจรายเดิมของธนาคารกรุงไทยที่มีวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขอสินเชื่อฟื้นฟู ไม่เกิน 30% ของวงเงินเดิมที่มีอยู่กับธนาคาร ณ 31 ธันวาคม 2562 หรือ ณ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่เกิน 150 ล้านบาท โดยหักลบกับวงเงิน Soft Loan อื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว
• สำหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับทุกสถาบันการเงิน ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 สามารถขอกู้ได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท นับรวมวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินทุกแห่ง
2. สินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียนสำหรับคู่ค้าของสยามพิวรรธน์ วงเงินกู้เบิกเกินบัญชีที่ให้วงเงินตามธุรกรรมการค้า อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ใช้หลักประกันต่ำ สามารถโอนชำระเงินให้คู่ค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย ด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น MRR สามารถกู้ได้สูงสุด 20 ล้านบาท โดยเงื่อนไขสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันวงเงินเริ่มต้น1ล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจและความต้องการใช้วงเงินของคู่ค้า ในกรณีที่วงเงินที่ต้องการใช้จริงสูงกว่าวงเงินแบบไม่มีหลักประกัน สามารถใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันร่วมกับหลักประกันอื่นได้ โดยสยามพิวรรธน์จะอำนวยสะดวกกับลูกค้าและคู่ค้าให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในต้นทุนที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจให้กับลูกค้าและตอบโจทย์ทางการเงินได้รอบด้านครบทั้งวงจรธุรกิจ (Supply ChainFinancing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ความช่วยเหลือดังกล่าว เป็นการให้ความช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประกอบการSME ที่เป็นคู่ค้าและพันธมิตรของสยามพิวรรธน์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19 โดยเงื่อนไขการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ คุณสมบัติของลูกค้าที่เข้าร่วม เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของธนาคาร ตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี
สยามพิวรรธน์คำนึงถึงคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยและเป็นกลุ่มคู่ค้าที่สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากจึงได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาผลกระทบและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของคู่ค้า สยามพิวรรธน์พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างและจับมือคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
สำหรับคู่ค้าสยามพิวรรธน์ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถติดต่อ Krungthai Contact Center02-111-1111
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
- ธนาคารกรุงไทยทีม Marketing Strategy โทร0-2208-4174-8
- บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สิรีธร นิยมเสน (ก้อย) [email protected] 08 1831 1406
Siam Piwat joins forces with Krungthai Bank
to lend support to all its SME business owners and partners.
Bangkok (May 18, 2021) – Siam Piwat has joined hands with Krungthai Bank to provide assistance to all its SME business operators and partners who have been impacted by the current wave of COVID-19 by giving them access to soft loans and working capital facilities to improve liquidity and relieve financial burden, allowing them to maintain their businesses and navigate through this difficult time.
Ms. Chadatip Chutrakul, Chief Executive Officer, Siam Piwat Group,the owner and operator of world-renowned projects, namely Siam Paragon, Siam Center, and Siam Discovery, and a joint venture partner of ICONSIAM and Siam Premium Outlets Bangkok,stated, “The increasingly severe COVID-19 crisis has impacted every sector of society, including Siam Piwat’s business partners, who Siam Piwatvalues greatly. To this end, Siam Piwat has for the past 14 months been actively providing assistance in various forms. These include expanding sales channels for stores by launchingCall & Shop, Siam Paragon Luxury Chat & Shop, Click & Shop, and Ultimate Chat &Shop, as well as collaborating with the food delivery application True Food to complete the omni-channel platform for its restaurant operators.”
“Currently, Siam Piwat has over 5,000 business partners. As proven in past crises, Siam Piwat always does everything in its power to help the affected tenants and business partners, such as by reducing tenant and service fees, which has in the past enabled everyone to overcome difficult times. As the COVID-19 crisis has drawn on for more than one year, Siam Piwatis joining hands with Krungthai Bank to introduce special loans to help its business partners improve their liquidity, which is a major issue for everyone at the moment, and keep their business running smoothly in order to ensure that they are offered adequate and suitable assistance to overcome this crisis. Siam Piwat greatly valuesits long-standing relationships with its business partners and promises to stand by them as always and support them to the best of its ability,” said Chadatip.
Mr. PayongSrivanich, President of Krungthai Bank, stated that Krungthai has always placed importance on assisting all customer groups, encompassing retail customers, SME business owners, and business customers, and has thus introduced various relief measures for both general customers and specific groups of customers to cater to their specific needs. Krungthai also focuses on assisting the business partners of its clients across the business chain according to its X2G2X strategy. To this end, it has collaborated with Siam Piwat to assist its business partners in improving liquidity through the two following measures:
1. Soft loans: The interest rates are no more than 2% per annum in the first two years (with the average interest rate over five years not exceeding 5% per year), with a maximum repayment period of 10 years and a grace period in the first six months from the first drawdown date (in the fifth to tenth years, the interest rate will be adjusted according to debtor risks). The borrower is eligible to loan guarantees by the Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) for a maximum of 10 years and is required to post other minimum collateral as specified by the bank.
• Current Krungthai Bank customers with credit lines not exceeding 500 million baht as of February 28, 2021 can apply for this soft loan in the amount of up to 30% of the existing credit line as of December 31, 2019 or as of February 28, 2021, whichever is higher, but not exceeding 150 million baht, deducted by other existing soft loans.
• New customers without loans with any financial institution prior to March 1, 2021 can apply for a soft loan in the amount of up to 20 million baht (the credit limit for loans from all financial institutions combined).
2. Working capital facilitiesfor Siam Piwat’s business partners
The overdraft facilities offer credit limits according to the size of business transactions as well as special interest rates, low collateral requirements, and the ability to make payment via transfer through various channels. With a minimum retail rate (MRR), customers can seek up to 20 million baht.The maximum credit limit for unsecured overdraft facilities is 1,000,000 baht. Those seeking a higher credit limitcan request a joint guarantee with the Thai Credit Guarantee Corporation (TCG). Siam Piwat will facilitate access to soft loans at reasonable costs to enhance their business efficiency and ensure efficient supply chain financing.
These relief measures are intended for Siam Piwat’s business partners who own SMEs and have been impacted by COVID-19, and will be considered and approved by Krungthai according to its criteria on a case-by-case basis.
Siam Piwat greatly values its business partners and recognizes their significant contribution to Thailand’s economy, as evidenced by the various measures it has introduced to relieve the impact and lighten their burden. As always, Siam Piwat stands with its business partners in navigating through and overcoming this crisis.
For those interested in joining the program, please call Krungthai Contact Center at 02-111-1111.
For further information please contact:
- Krungthai : Marketing Strategy Team– tel : 0-2208-4174-8
- Siam Piwat Co., Ltd.: SireetornNiyomsen – tel: 02-610-8230
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41827 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เน้นย้ำไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการ | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เน้นย้ำไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการ
...
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม แถลงข่าวมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เน้นย้ำไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พลเอก ปรีชา เบ็ญจขันธ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคงประจำท่าอากาศยาน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตที่ 6 ผู้แทนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท Bangkok Flight Services (BFS) ผู้แทนบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เข้าร่วมการแถลงข่าว
นาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการ ทสภ. กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มการแพร่ระบาดและพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นอย่างต่อเนื่องปัจจุบัน ทสภ. ได้รับรายงานว่า มีพนักงานและลูกจ้างของฝ่ายขนส่งทางอากาศติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 34 คน เมื่อได้รับทราบได้กำชับให้หน่วยงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ใช้บริการรวมทั้งสวัสดิภาพของพนักงานที่ปฏิบัติงานภายใน ทสภ. เป็นสำคัญ โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
1. ให้ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยและมีความเสี่ยงสูงตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และสั่งการให้พนักงานผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต้องกักตัว 14 วัน โดยจัดให้พนักงานฝ่ายอื่นมาปฏิบัติงานเเทนซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการของ ทสภ.
2. ทสภ. ดำเนินการทำความสะอาดโดยการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และทำความสะอาดแบบ Deep cleaning บริเวณพื้นที่ที่ผู้ป่วยและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่พนักงานและผู้ใช้บริการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 และตามคำแนะนำของสาธารณสุข
3. พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อทั้งหมดได้รับตรวจเชิงรุก (Active Case Finding) โดยฝ่ายการแพทย์ประสานสาธารณสุขอำเภอบางพลี และโรงพยาบาลบางพลีเพื่อดำเนินการ รวมทั้งจัดเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ
4. ให้พนักงานและลูกจ้างฯ สวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติหน้าที่ และหมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการรักษาระยะห่าง
5. แบ่งพื้นที่การทำงานของแต่ละส่วนงานให้มีพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) เป็นพื้นที่ทำงานชั่วคราวแทนได้ โดย ทสภ. จัดหาพื้นที่กักตัวสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และจะเพิ่มพื้นที่กักตัวในกรณีที่มีผู้มีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นจากเดิม
ทสภ. ได้ปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อย่างน้อยร้อยละ 80 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน 2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเน้นย้ำการดูแลรักษาความสะอาดทุกพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน รวมทั้งบริเวณพื้นที่จุดสัมผัสต่าง ๆ เช่น ห้องน้ำ ลิฟต์ ทางเดินเลื่อน แบบ Deep Cleaning อย่างต่อเนื่องทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทุกคนรวมถึงผู้ปฏิบัติงานต้องถือปฏิบัติยึดหลักบินวิถีใหม่ D - M - H - T - T ซึ่งประกอบด้วย D (DISTANCING) เว้นระยะห่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น M (MASK- WEARING) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา H (HAND WASHING) หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ T (TEMPERATURE CHECK) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและ T (THAICHANA) สแกนแอปพลิเคชั่นไทยชนะ
ที่ผ่านมา ทสภ. ให้ความสำคัญกับพนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่เป็นด่านหน้าในการให้บริการผู้โดยสาร ซึ่งใกล้ชิดผู้โดยสารและมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทสภ. จึงสนับสนุนพื้นที่การให้บริการจุดฉีดวัคซีนสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ณ ทสภ. บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาออกชั้น 4 ประตู 9 บริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน Row U และ W โดยกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงประจำท่าอากาศยานให้การสนับสนุนวัคซีนสำหรับผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานภายใน ทสภ. ซึ่งปัจจุบันฉีดวัคซีนให้กับพนักงานและผู้ปฏิบัติงานแล้วกว่า 4,371 คน และจะเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้ปฏิบัติงานที่ให้บริการภาคพื้นรวมทั้งพนักงานในเขตพื้นที่เขตปลอดอากรก่อนเป็นการเร่งด่วนและทยอยฉีดให้ผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ จนครบทุกคนภายในเดือนมิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน ประกาศรับสมัครผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
สถาบันการบินพลเรือน ประกาศรับสมัครผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน ซึ่งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 4 ปี หรือเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ แล้วแต่วาระใดจะถึงก่อน เพื่อบริหารกิจการของ สบพ. โดยมีระยะเวลาการรับสมัครฯ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน 2564
การรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สบพ. เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ รวมถึงนโยบาย ข้อบังคับ ระเบียบที่คณะกรรมการ สบพ. ได้กำหนดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยรับผิดชอบต่อคณะกรรมการฯ ในการบริหารให้เป็นไปตามสัญญาจ้างผู้ว่าการ สบพ. โดยผู้สนใจสมัครรับการคัดเลือก สามารถดาวน์โหลดใบสมัคร และเอกสารอื่น ได้ทาง www.catc.or.th หรือ https://catc.thaijobjob.com หรือช่องทางการรับสมัครสามารถมายื่นใบสมัครได้ด้วยตนเอง หรือให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนโดยมีใบมอบอำนาจ และเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครที่ครบถ้วนได้ที่ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ สบพ. สำนักงานทรัพยากรบุคคล อาคารศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน สบพ. กรุงเทพฯ โดยมีระยะเวลาการรับสมัครฯ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน 2564 ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0 2272 5741 ต่อ 8021 หรือ 0 2272 5287 ในวันและเวลาทำการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41829 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากแรงระเบิดในฉนวนกาซา สั่ง รมว.เฮ้ง ดูแลช่วยเหลือเร่งด่วน | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ห่วงใยแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากแรงระเบิดในฉนวนกาซา สั่ง รมว.เฮ้ง ดูแลช่วยเหลือเร่งด่วน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี ห่วงใยแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากแรงระเบิดจากการโจมตีของกลุ่มฮามาส สั่งการดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พร้อมประสานแจ้งญาติทราบการช่วยเหลือในทันที
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล – ปาเลสไตน์ จากการโจมตีโดยกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานความช่วยเหลือให้ญาติพี่น้องและครอบครัวของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทราบ รวมทั้งให้การช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายในทันที
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของฝ่ายแรงงานฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ
ว่า ได้รับแจ้งข้อมูลจากนาย Eyal Siso รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลว่า จากการโจมตีโดยกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม เวลา 14.35 น.แรงงานระเบิดทำให้คนงานไทย จำนวน 2 รายเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 8 ราย นอกจากนี้ ยีงมีแรงงานอีก 15 คน ที่มีอาการตกใจกลัว สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล Soroka ซึ่งฝ่ายแรงงานฯ ได้ติดต่อไปยังนายปรีชา แซ่ลี้ แรงงานไทยที่โดนสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ว่าหากนายปรีชาฯ และแรงงานไทยอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีความต้องการให้ฝ่ายแรงงาน ฯ ประสานงานหรือให้ความช่วยเหลือในเรื่องใดให้ติดต่อมาโดยด่วน ทั้งนี้ ฝ่ายแรงงานฯ อยู่ระหว่างการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับรายชื่อผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งจะติดตามดูแลคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด
“สำหรับการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผมได้ให้ สำนักงานแรงงาน (สนร.) โดยฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เข้าไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บและดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์ให้ได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ รวมทั้งได้สั่งการให้สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ประสานให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ภูมิลำเนาของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไปเยี่ยมครอบครัวและญาติ เพื่อให้กำลังใจ และแจ้งสิทธิประโยชน์การดูแลคุ้มครองตามกฎหมายแก่ครอบครัวและทายาททราบต่อไป”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมมือกับ SCGL พัฒนาระบบขนส่งปูนซีเมนต์ New Normal Logistics | วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมมือกับ SCGL พัฒนาระบบขนส่งปูนซีเมนต์ New Normal Logistics
...
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมลดค่าธรรมเนียมให้กับผู้ประกอบการขนส่งปูนซีเมนต์สำเร็จรูปรายหลักของไทยผ่านท่าเรือระนอง (ทรน.) เพื่อช่วยเหลือและลดค่าใช้จ่ายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งเสริมการตลาดและสร้างรายได้เพิ่มให้กับ ทรน. โดยสนับสนุนการขยายกลุ่มเป้าหมายสินค้าใหม่ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่าง ทรน. กับท่าเรือในกลุ่มประเทศ BIMSTEC ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย ไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล และภูฏาน รวมทั้งลดต้นทุนโลจิสติกส์การขนส่งในพื้นที่ภาคใต้ และส่งเสริมให้ ทรน. เป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) เนื่องจาก ทรน. มีศักยภาพด้านการขนถ่ายสินค้าข้างลำลงเรือโดยตรง จึงได้เชิญชวนบริษัท SCG Logistics Management จำกัด (SCGL) ซึ่งเป็นผู้ส่งออกปูนซีเมนต์สำเร็จรูปจากจังหวัดนครศรีธรรมราชไปยังสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ร่วมพัฒนาระบบ New Normal Logistics ในรูปแบบ Model Lighter ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าได้รอบละ 5,000 - 6,000 ตันต่อเที่ยว เมื่อเทียบกับทางถนน โดยปรับเปลี่ยนโหมดการขนส่งด้วยรถบรรทุกจากโรงงานในพื้นที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปยังท่าเรือแสงทอง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ด้วยเรือลำเลียง (Lighter) มาที่ ทรน. เพื่อขนส่งต่อไปที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยในปี 2565 SCGL มีแผนการส่งออกปูนซีเมนต์ จำนวน 150,000 ตันต่อเดือน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฝ่ายบริหาร กทท. ได้เห็นชอบให้ส่วนลดอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้บริการขนถ่ายปูนซีเมนต์ผ่าน ทรน. ของ SCGL ในอัตราที่เหมาะสมเป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 - 16 พฤษภาคม 2566 โดยให้ขยายระยะเวลาการชำระเงินค่าธรรมเนียมจากเดิม 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ และมอบให้สำนักงานท่าเรือภูมิภาค และฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาดพิจารณาแนวทางการวางแผนธุรกิจร่วมกัน เพื่อทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด , SCGL และ ทรน. ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41835 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.