title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว COXY-AMP ชุดตรวจโควิดเชิงรุก
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 เปิดตัว COXY-AMP ชุดตรวจโควิดเชิงรุก ... การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้มีความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์สูงมากในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องมือสำหรับตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 . ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษาฯ สวทช. และ ม.มหิดล ร่วมมือกันพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว อ่านผลง่าย และแม่นยำในขั้นตอนเดียวในชื่อชุดตรวจที่เรียกว่า COXY-AMP . โดยชุดตรวจ COXY-AMP เป็นการใช้เทคนิคแลมป์ในการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ SARS-CoV-2 ร่วมกับการอ่านผลด้วยสี . มีขั้นตอนการทดสอบเพียงขั้นตอนเดียว มีความไว 92% ความจำเพาะสูงถึง 100% และให้ผลตรวจแม่นยำถึง 97% ใช้เวลาทราบผลภายใน 75 นาที ให้ผลตรวจเร็วกว่าเทคนิค RT-PCR 2 เท่า และมีต้นทุนในการตรวจถูกกว่าเทคนิค RT-PCR ถึง 3 เท่า . ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในอนาคตยังสามารถนำไปประยุกต์ดัดแปลงต่อการตรวจเชื้อโรคอุบัติใหม่อื่น ๆ . ชุดตรวจดังกล่าว ยังเป็น 1 ใน 20 ผลงาน จากทั้งหมดทั่วโลก 702 ผลงาน และเป็นเพียงผลงานเดียวจากภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายของการประกวดโครงการ “Rapid COVID Testing” ” ที่จัดโดย มูลนิธิ XPRIZE . ถือว่าเป็นข่าวดี และเป็นโอกาสที่ดีของคนไทยที่จะสามารถเข้าถึงการตรวจโควิด-19 ได้อย่างเท่าเทียมและรวดเร็ว #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอกเมษายนร้อยละ 44 อยู่ในพื้นที่กทม. และปริมณฑล
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอกเมษายนร้อยละ 44 อยู่ในพื้นที่กทม. และปริมณฑล กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอกเมษายน พบผู้ติดเชื้อสะสม 36,290 ราย เฉพาะพื้นที่กทม.และปริมณฑล พบ 16,045 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.2 เข้มการคัดกรองเชิงรุก ในชุมชน ตรวจจับการระบาดของโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอกเมษายน พบผู้ติดเชื้อสะสม 36,290 ราย เฉพาะพื้นที่กทม.และปริมณฑล พบ 16,045 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.2 เข้มการคัดกรองเชิงรุก ในชุมชน ตรวจจับการระบาดของโรค ขอกลุ่มเสี่ยงสูงสัมผัสผู้ติดเชื้ออย่าปกปิดข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการรักษาและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค วันนี้ (30 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,583 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,366 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 213 ราย จากต่างประเทศ 4 ราย รักษาหายเพิ่ม 860 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 15 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 28,696 ราย อาการหนัก 871 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 250 ราย แม้ในวันนี้จำนวนผู้ป่วยจะไม่สูงเท่ากับหลายวันที่ผ่านมา แต่ยังพบผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนัก และเสียชีวิตในอัตราที่สูง สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้จำนวน 15 ราย เป็นชาย 9 ราย หญิง 6 ราย อายุระหว่าง 29-93 ปี อยู่ใน กทม. 9 รายชลบุรี พัทลุง สุราษฎร์ธานี นครปฐม ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดละ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงทำให้อาการรุนแรงจนเสียชีวิตคือ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดสมอง ภาวะอ้วน โรคปอดเรื้อรัง ไตเรื้อรัง และติดบ้านติดเตียง ส่วนสาเหตุการติดเชื้อมาจากมีผู้ติดเชื้อมาเยี่ยมรับประทานอาหารกับผู้ติดเชื้อ พนักงานร้านคาราโอเกะ ร่วมสัมมนากับผู้ติดเชื้อ และสัมผัสผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่ติดเชื้อ ดังนั้น ต้องเข้มงวดมาตรการควบคุมป้องกันโรคในสถานที่เสี่ยง ลดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนอย่างต่อเนื่อง และเร่งรัดกำกับติดตามมาตรการDMHTTA ทั้งส่วนบุคคล และสถานที่ “ขณะนี้สถานการณ์ในจังหวัดส่วนใหญ่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด 19 ได้ภายใต้มาตรการควบคุมที่กำหนด แต่ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน พบถึง 16,045 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.2 ของการติดเชื้อทั้งประเทศที่มีจำนวน 36,290 ราย ได้เร่งรัดเฝ้าระวังคัดกรองเชิงรุกในชุมชน เพื่อตรวจจับการระบาดของโรค ขอให้ประชาชนร่วมมือป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงที่สัมผัสผู้ติดเชื้อ อย่าปกปิดข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการรักษาและควบคุมการแพร่ระบาดโรค” นายแพทย์เฉวตสรร กล่าว สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,411,614 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,075,756 ราย และครบ 2 เข็ม 335,858 ราย โดยในวันที่ 29 เมษายน 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 66,968 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 16,035 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 50,933 ราย *********************************** 30 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 การระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทรวงการคลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนและหน่วยงานอื่นๆของรัฐว่ามีผู้ประกอบการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมและระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการแล้ว 161 ราย การระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะว่า กระทรวงการคลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนและหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐว่า มีผู้ประกอบการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมและระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการแล้วทั้งสิ้นจำนวน 161 ราย และได้จัดส่งข้อมูลผู้ประกอบการดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติสำนักงานประกันสังคมเป็นต้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการเพิ่มเติมจำนวน 2,744ราย เนื่องจากตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้ตรวจสอบการระงับสิทธิ โดยการเข้าใช้แบนเนอร์ “เราชนะ” ในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หากท่านถูกระงับการใช้งานขอให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามข้อความแนะนำที่ปรากฏขึ้นในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อเข้าสู่กระบวนการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการซึ่งถูกระงับสิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงมายังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (โครงการเราชนะ) ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยวิธีการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะซึ่งทำให้ผู้ประกอบการอาจเสียสิทธิในการเข้าร่วมโครงการเราชนะและถูกตรวจสอบขยายผลสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โฆษกกระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่า กระทรวงการคลังจะเร่งติดตามตรวจสอบประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการอย่างใกล้ชิดจึงขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของแต่ละโครงการอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เสียสิทธิการเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของรัฐในอนาคตและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ- อนุทิน เปิดใจ ยืนยัน ทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 นายกฯ- อนุทิน เปิดใจ ยืนยัน ทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน นายกฯ- อนุทิน เปิดใจ ยืนยัน ทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ มุ่งประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน เมื่อวันที่ 30 เม.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 เม.ย. เห็นชอบการกำหนดอำนาจรัฐมนตรีตามกฎหมาย ใน 31 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น รัฐบาลยืนยันว่า ไม่ใช่การควบรวมอำนาจของนายกรัฐมนตรีและไม่ใช่การลดบทบาทของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนการออกมติ ครม.ดังกล่าว ได้มีการหารืออย่างรอบด้านและมีความรัดกุม ว่าเพื่อให้การออกคำสั่งเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องมีการมอบอำนาจ 31 พ.ร.บ.ให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐมนตรีทุกคนต่างเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ว่าจะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความคล่องตัวมากขึ้น ถือเป็นการลดช่องว่างในการแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี "ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยืนยันต่อที่ประชุมว่า ไม่ได้ต้องการรวบอำนาจ แต่เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน และนายกรัฐมนตรี ก็มีอำนาจเพียงการสั่งการตามหน้าที่และความรับผิดชอบ ส่วนการดำเนินงาน ยังเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ยังเปิดใจในที่ประชุมว่า ไม่เคยรู้สึกว่านายกฯ รวบอำนาจแต่อย่างใด การทำงานร่วมกันเป็นเวลาเกือบ 2 ปี เป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยหารือกันโดยตลอด และยังจะทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ได้โดยเร็ว" น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายในที่ประชุม ครม. ว่าการมอบอำนาจดังกล่าว เป็นการมอบอำนาจรัฐมนตรี เฉพาะส่วนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการอื่น ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ โดยเป็นการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการทำงาน รวมถึงแก้ไขปัญหาข้อสั่งการข้ามกระทรวง ยกตัวอย่างเช่น ข้อสั่งการที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การสั่งงานข้ามกระทรวงมีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น การทำงานของรัฐบาลโดยภาพรวมมีความเป็นเอกภาพ การสั่งการตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีลงมายังกระทรวงต่างๆเป็นไปด้วยดี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ได้ประสานงานกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น จากข้อสั่งการตามระบบบริหารราชการ โทรศัพท์ และ แอปพลิเคชันไลน์ เป็นต้น โดยเวลานี้รัฐบาลได้ระดมทุกสรรพกำลังเพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤต ให้ประเทศไทยผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ได้โดยเร็ว และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า การดำเนินงานของรัฐบาลมุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน โดยมั่นใจว่าแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาล จะช่วยให้สถานการณ์นี้คลี่คลายได้โดยเร็ว ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41361
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง พนักงานเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถโดยสาร อู่มีนบุรี ติดเชื้อไวรัส COVID-19
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง พนักงานเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถโดยสาร อู่มีนบุรี ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถโดยสาร อู่มีนบุรี ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 05.00 น. พนักงานเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถโดยสาร เพศหญิง อายุ 59 ปี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ อู่มีนบุรีได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID 19) ณ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลได้แจ้งให้ทราบว่า พนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อจึงให้พนักงานรออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีในเวลา 24.00 น. ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 6 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้ 1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข 2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้ - วันที่ 14 เมษายน 2564 เวลา 08.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่มีนบุรี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 13.00 น. - วันที่ 15 - 16 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน - วันที่ 17 - 20 เมษายน 2564 พนักงานหยุดชดเชย จากการทำงานในวันหยุด โดยพนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน - วันที่ 21 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน - วันที่ 22 - 23 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน - วันที่ 24 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หลังจากได้รับทราบข่าวว่าพบผู้ติดเชื้อในที่ทำงานของบุตรสาว - วันที่ 25 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน - วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 05.00 น. เดินทางไปที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 และเดินทางกลับบ้านในเวลา 09.00 น. - วันที่ 27 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดเพื่อกักตัวอยู่ที่บ้าน - วันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานรออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ในเวลา 24.00 น. 3. ผู้ติดเชื้อเป็นพนักงานเติมน้ำมันเชื้อเพลิง จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคบริเวณโดยรอบสถานีเติมน้ำมันของอู่มีนบุรี และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ 4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับหัวหน้างานผู้ติดเชื้อฯ หยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน เผยความคืบหน้า โครงการก่อสร้างฯ ตามแผนพัฒนา ประจำเดือนเมษายน 2564
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 กรมท่าอากาศยาน เผยความคืบหน้า โครงการก่อสร้างฯ ตามแผนพัฒนา ประจำเดือนเมษายน 2564 กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้ให้บริการท่าอากาศยานภูมิภาค 29 แห่ง เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนได้อย่างครอบคลุมและเพียงพอต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร ได้มีการดำเนินการตามแผนพัฒนาท่าอากาศยาน เพื่อเพิ่มศักยภาพท่าอากาศยานให้มากขึ้น โดยมีความคืบหน้าของการดำเนินการโครงการก่อสร้างด้านงานอาคารที่พักผู้โดยสารของท่าอากาศยานในสังกัด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 ดังนี้ 1.งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานขอนแก่น เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น จากเดิม 1,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดำเนินงาน 77% 2.งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร หลังที่ 3 และปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสาร หลัง 1,2 พร้อมอาคารจอดรถยนต์ ท่าอากาศยานกระบี่ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้จากเดิม 1,500 คนต่อชั่วโมง เป็น 3,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 8 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดำเนินงาน 51% 3.งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น จากเดิม 450 คนต่อชั่วโมง เป็น 1,600 คนต่อชั่วโมง หรือ 4 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดำเนินงาน 41% 4.งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานตรัง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น จากเดิม 600 คนต่อชั่วโมง เป็น 1,200 คนต่อชั่วโมง หรือ 3.4 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดำเนินงาน 13% นอกจากนี้ กรมท่าอากาศยานยังได้ดำเนินการตามแผนพัฒนาท่าอากาศยานในด้านมาตรฐานต่างๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่กรมท่าอากาศยานให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ท่าอากาศยานทุกแห่งจะต้องมีการดำเนินงาน ปรับปรุงและบำรุงรักษาอุปกรณ์ อำนวยความสะดวกที่อยู่ภายในท่าอากาศยาน ให้เป็นตามที่มาตรฐานกำหนดและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมถึง การเพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัยก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในช่วงนี้ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินลดลง แต่กรมท่าอากาศยานยังคงดำเนินการพัฒนาปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพท่าอากาศยานให้สามารถรองรับและพร้อมให้บริการประชาชนอย่างดีที่สุดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลมุ่งมั่นร่วมมือกันทำงาน
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 โฆษกรัฐบาลยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลมุ่งมั่นร่วมมือกันทำงาน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันพรรคร่วมรัฐบาลมุ่งมั่นร่วมมือกันทำงาน วันนี้ (30 เม.ย.64) เวลา 09.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงสื่อมวลชนการควบคุมโควิด-19 ในปัจจุบัน ตามที่ ศบค. ไม่ได้มีการล็อกดาวน์ แต่เป็นการขอความร่วมมือแทนนั้นจะได้ผลหรือไม่ ว่า ตามที่ ศบค. ได้มีมาตรการปรับระดับพื้นที่ต่าง ๆ มีการปรับลดกิจกรรมต่าง ๆ หากได้รับความร่วมมือจากประชาชนก็จะทำให้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สามารถควบคุมและลดลงได้ เพื่อให้กิจกรรมต่าง ๆ สามารถกลับมาให้ประชาชนใช้ชีวิตความเป็นอยู่ได้ตามปกติมากขึ้น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ที่ต้องรองรับการรักษาต่าง ๆ ในขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่ามีความพร้อมในทุกเรื่อง มีการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์เพื่อสำรอง สต็อกไว้เพิ่มเติมแล้ว นอกจากนี้ เรื่องห้องพยาบาลรักษาผู้ป่วย ห้องไอซียู ทุกหน่วยงานพยายามปรับปรุงเพื่อให้มีห้องที่รักษาเพิ่มขึ้น ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการสาหัสต้องใช้ห้องไอซียู ซึ่งวันนี้มีการรายงานนายกรัฐมนตรี ในส่วนของโรงพยาบาลพระมงกุฎว่ามีการเพิ่มเตียงในห้องไอซียู 37 เตียงเพื่อรักษาผู้ป่วยอาการสาหัส สำหรับการเยียวยาเรื่องเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ขณะนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง และส่วนที่เกี่ยวข้อง กำลังมีการหารือเพื่อวางแผนมาตรการต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดจะพิจารณาห้วงเวลาเพื่อให้ประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามปกติ ทั้งนี้ ประเด็นด้านการเมือง นายกรัฐมนตรียืนยันว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังมีความมุ่งมั่น ร่วมมือกันทำงาน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลยังทำงานด้วยความเข้มแข็ง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนได้ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ส่วนหน้าทุกคน และนายกฯ ขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี ทั้งในการดูแลสุขภาพของตัวเอง การ Work from home การลดการเดินทาง ลดการรวมกลุ่มต่าง ๆ และนายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ส่วนหน้า เจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่วมมือแก้ไขปัญหาโควิด-19 ในปัจจุบันด้วย --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดศูนย์แรกรับอาคารนิมิบุตร ช่วยดูแลผู้ติดเชื้อโควิด ในกทม.
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 สธ.เปิดศูนย์แรกรับอาคารนิมิบุตร ช่วยดูแลผู้ติดเชื้อโควิด ในกทม. กระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ เป็นศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด และประสานหาเตียง ขอให้โทรแจ้งสายด่วน 0 2079 1000 ประเมินอาการ เพื่อนำเข้าระบบการรักษา กระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ เป็นศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด และประสานหาเตียง ขอให้โทรแจ้งสายด่วน 0 2079 1000 ประเมินอาการ เพื่อนำเข้าระบบการรักษา วันนี้ (30 เมษายน2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า จากกรณีผู้ป่วยตกค้าง ไม่สามารถเข้าสู่ระบบบริการ หรือโรงพยาบาลได้นั้น เป็นเฉพาะในส่วนของกทม. สำหรับทุกจังหวัดในภูมิภาค ไม่มีผู้ป่วยตกค้าง กระทรวงสาธารณสุขสามารถนำเข้าสู่ระบบการรักษาได้ทั้งหมด ส่วนเหตุการณ์ใน กทม. มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาจะมีโรงพยาบาลให้การดูแล ทั้งสังกัด กทม. กรมการแพทย์ เหล่าทัพ โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน และมีสายด่วน 1668 กรมการแพทย์, 1330 สปสช., 1669 ศูนย์นเรนทร เพื่อประสานส่งต่อผู้ป่วย เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยมาก ต้องรอเคลียร์เตียง ทำให้ผู้ป่วยบางส่วนรออยู่ที่บ้านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ให้กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวกทม. โดยได้ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปรับอาคารนิมิตบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์แรกรับผู้ป่วยโควิด และพร้อมที่จะพัฒนาให้สามารถรับผู้ป่วยได้ 200 เตียง โดยเปิดสายด่วน 0 2079 1000 นายแพทย์ธงชัยกล่าวต่อว่า ศูนย์นี้จะช่วยดูแลในส่วนแรกรับและพยายามหาเตียงให้ โดยช่วงเช้าวันนี้โทรเข้ามาแล้ว 20 ราย สายด่วน 0 2079 1000 จะประเมินอาการผู้ป่วย และส่งรถพยาบาลไปรับคนไข้ ส่งต่อไปโรงพยาบาล หากประเมินแล้วไม่แน่ใจ จะมีรถไปรับที่บ้านมาที่ศูนย์แรกรับ ให้แพทย์ประเมินอีกครั้ง เอกซเรย์ปอด และส่งต่อไปสถานพยาบาลตามระดับอาการ ไม่แนะนำให้มาที่ศูนย์แรกรับเอง ขอให้โทรเข้ามา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ “การเปิดศูนย์แรกรับนี้จะช่วยให้ระบบการรักษาในกทม. ทำงานได้เต็มที่ เมื่อโทรเข้าสายด่วนจะแจ้งประสานให้โรงพยาบาลไปรับตัวมารักษา และไม่ต้องโทรซ้ำที่ 1668, 1330, 1669 กระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้ความช่วยเหลือ ได้ระดมบุคลากรจากภูมิภาคมาปฏิบัติงานที่ศูนย์แรกรับนิมิตบุตร เพื่อช่วยเหลือคน กทม.” นายแพทย์ธงชัยกล่าว ************************************ 30 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” หารือ บ.ซิโนฟาร์ม ยันไม่มีปิดกั้นพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิดทุกตัว
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 “อนุทิน” หารือ บ.ซิโนฟาร์ม ยันไม่มีปิดกั้นพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิดทุกตัว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือบริษัทซิโนฟาร์มผู้ผลิตวัคซีนโควิด 19 ยันพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกราย ไม่มีการปิดกั้น ขอให้ยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนผ่านการพิจารณาคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือบริษัทซิโนฟาร์มผู้ผลิตวัคซีนโควิด 19 ยันพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกราย ไม่มีการปิดกั้น ขอให้ยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนผ่านการพิจารณาคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยจาก อย.และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วันนี้ (30 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ทางผู้ผลิตวัคซีนบริษัทซิโนฟาร์มได้เข้ามาหารือซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกตัว โดยขอให้ยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากได้ทะเบียนก็พร้อมเจรจาเรื่องการจัดหาวัคซีนต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีการปิดกั้นการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกชนิดแต่อย่างใด แต่วัคซีนที่เข้ามาต้องมีมาตรฐานที่ดี และมีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บริษัทผู้ผลิตทุกรายมีสิทธิเท่ากันไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ “วัคซีนแต่ละตัวที่จัดหามาและกำลังจัดหาเพิ่มเติม จะนำมาใช้ตามข้อบ่งชี้ เพื่อให้เกิดความครอบคลุมประชาชนกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เช่น วัคซีนของไฟเซอร์มีข้อมูลใช้ในอายุ 12-18 ปี อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถเดินหน้าเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ได้อย่างปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว ************************************ 30 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. สั่งสอบสวนตัวแทนประกันชีวิต ที่ส่งข้อความไม่เหมาะสมให้กับประชาชนแล้ว
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 เลขาธิการ คปภ. สั่งสอบสวนตัวแทนประกันชีวิต ที่ส่งข้อความไม่เหมาะสมให้กับประชาชนแล้ว • เผยจะบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัดเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำในทำนองนี้อีก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามประกาศ คปภ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออก และเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต/วินาศภัย และการดำเนินการของตัวแทนประกันชีวิต/วินาศภัย นายหน้าประกันชีวิต/วินาศภัย และธนาคาร พ.ศ. 2563 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการเสนอขายประกันภัยในแต่ละช่องทางไว้ อาทิเช่น พบเจอตัวลูกค้า หรือทางโทรศัพท์ เป็นต้น โดยบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย เป็นผู้เสนอขายประกันภัย จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศดังกล่าวกำหนดไว้ และหากฝ่าฝืนก็ได้กำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระลอก 3 ซึ่งมีการระบาดอย่างรวดเร็วและขยายเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก และได้ซื้อประกันภัย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งบริษัทประกันภัยได้นำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่กำหนดความคุ้มครองแตกต่างกัน และการเสนอขายประกันภัยในช่วงนี้โดยส่วนใหญ่ผ่านช่องทางโทรศัพท์ หรือทางระบบออนไลน์ จากกรณีที่ปรากฏตามข่าวมีตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ได้เสนอขายประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์ โดยได้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้าและลูกค้าได้ปฏิเสธการซื้อประกันภัยแล้ว แต่ตัวแทนประกันชีวิตรายนี้ได้ส่งข้อความที่ไม่เหมาะสมให้ลูกค้า สำนักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว จึงได้สั่งการบริษัทประกันชีวิตดังกล่าวให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าตัวแทนประกันชีวิตรายนี้มีการกระทำที่ขัดต่อจรรยาบรรณของคนกลางประกันภัยหรือไม่ และสั่งการให้สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. เรียกตัวแทนประกันชีวิตรายนี้มาสอบสวน เพื่อจะได้ดำเนินการบังคับตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป รวมถึงได้แจ้งเตือนไปยังบริษัทประกันภัย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ให้กำชับสมาชิกถือปฏิบัติตามที่ประกาศกำหนดโดยเคร่งครัดแล้ว “ตามข่าวที่ปรากฏน่าจะเข้าข่ายการรบกวน หรือก่อความรำคาญให้กับลูกค้า ซึ่งทางสำนักงาน คปภ. จะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบ หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่กำหนด นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้คนกลางประกันภัย กระทำการ งดเว้นกระทำการ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลา ที่กำหนด หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยหรือใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยได้ จนกว่าจะได้ดำเนินการให้ถูกต้อง และอาจโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือกำหนดมาตรการอื่นที่หนักขึ้น ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำในทำนองนี้อีก ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเสนอขายประกันภัย หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมให้กำลังใจเครือข่าย พม. สู้ภัยโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมให้กำลังใจเครือข่าย พม. สู้ภัยโควิด-19 รมว.พม. - ประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร มอบหน้ากากอนามัยให้กลุ่มเปราะบาง พร้อมให้กำลังใจเครือข่าย พม. สู้ภัยโควิด-19 วันที่ 12 พ.ค. 64เวลา 10.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาครนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้ง เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม วันนี้ ตนและนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เดินทางมาลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ณ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 10,000 ชิ้น จากมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม ให้กับจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้แทนรับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายธนสุนทร สว่างสาลี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงพื้นที่ดังกล่าว นายจุติกล่าวต่อไปว่า จากนั้น ตนได้หารือร่วมกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสาคร (พมจ.สมุทรสาคร) ทีม One Home พม. สมุทรสาคร และประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสาคร โดยได้ให้แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ได้แก่ โครงการบ้านเช่าราคาถูก โดยให้สำนักงานการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ สำรวจความต้องการเช่าบ้านที่แท้จริง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการสร้างบ้านเพื่อขาย เป็นการสร้างบ้านเพื่อเช่า เนื่องจากประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่มีเงินก้อนสำหรับดาวน์บ้าน แต่เมื่ออาศัยอยู่ระยะยาวสามารถเปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินดาวน์บ้านได้ โดยมีค่าเช่าถูกกว่าราคาตลาดอย่างมาก เป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยในระยะยาว นายจุติกล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด็ก ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว โดยจะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน และเรื่องการช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติจากพายุ ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหาย ตนได้กำชับ พมจ.สมุทรสาคร ให้ทำเรื่องเสนอของบประมาณสำหรับการซ่องแซมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับศูนย์ดูแลเด็ก ตนได้กำชับ พมจ.สมุทรสาคร ให้ไปสำรวจว่า พ่อแม่ ผู้ปกครอง ขาดแคลนอะไรบ้าง โดยเฉพาะนมสำหรับเด็ก อีกทั้งจะให้มีการอบรมเรื่องคุณภาพผู้ดูแลเด็กและการสร้างเด็กให้มีวินัย พร้อมกับการขับเคลื่อนโครงการ บวร (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่มุ่งเน้นเรื่องสติและสมาธิของเด็ก และการตั้งโรงเรียนผู้ปกครอง เพื่อให้เลี้ยงดูบุตรหลานอย่างมีคุณภาพ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่เด็กอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ถึงวันละ16 ชม. โดยจะมีการจัดทำหนังสือเรียนรู้ E-Book นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำเรื่องการส่งเสริมอาชีพแม่เลี้ยงเดี่ยวให้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงในอนาคต ซึ่งเป็นอาชีพที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้ เช่น อาชีพเสริมสวย ตัดผม แต่งหน้า แต่งเล็บ นวดหน้า และนวดตัว เป็นต้น รวมทั้งตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งทั้งหมดจะทำให้กลุ่มเปราะบางมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งการมีที่อยู่อาศัยและมีอาชีพ รายได้ที่มั่นคง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งการเข้มงวด ให้วางแนวทางสกัดเชื้อ ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายกฯ สั่งการเข้มงวด ให้วางแนวทางสกัดเชื้อ ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ นายกฯ สั่งการเข้มงวด ให้วางแนวทางสกัดเชื้อ ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมหารือ อย่างเคร่งครัด รัดกุม และอย่างทันท่วงที ถึงแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ในกรณีที่พบว่ามาจากผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีการพบเชื้อกลายพันธุ์นี้ในผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการกักตัว 14วัน หลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกมาตรการและระเบียบต่าง ๆ โดยทันที ซึ่งที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศในฐานะหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบพิจารณาระงับการออกหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry - COE) สำหรับชาวต่างชาติที่มีต้นทางหรือมีถิ่นพำนักจากประเทศอินเดีย และพิจารณาระงับการออก COE เพิ่มเติมอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวยังรวมถึงชาวต่างชาติทุกสัญชาติที่เดินทางออกจาก 4 ประเทศข้างต้นและเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ในประเทศอื่น หรือชาวต่างชาติซึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวหรือผ่านทางไปยัง 4 ประเทศข้างต้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทยเช่นกัน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงที่ต้องเฝ้าระวังสกัดเชื้อโควิด-19 ทุกสายพันธุ์เข้าสู่และแพร่ระบาดในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่ได้ห้ามคนไทย รวมถึงนักการทูตต่างชาติ และครอบครัวที่เข้ามาปฏิบัติงาน ตลอดจนผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทย ซึ่งยังสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ แต่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 14 วันทุกกรณี เพื่อคัดกรองและควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศไทยอย่างเข้มข้น ..........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41690
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด 19 สามย่านมิตรทาวน์ ย้ำรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้เพียงพอฉีดให้กับประชาชนทุกกลุ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด 19 สามย่านมิตรทาวน์ ย้ำรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้เพียงพอฉีดให้กับประชาชนทุกกลุ่ม นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด 19 สามย่านมิตรทาวน์ ย้ำรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับฉีดให้กับประชาชนทุกกลุ่ม วันนี้ (13 พ.ค.64) เวลา 14.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดีผู้บัญชาการสถานการณ์ บรรยายสรุปการให้บริการฉีดวัคซีน “ศูนย์บริการวัคซีนจามจุรีแสควร์” ณ ชั้น 4 อาคารจัตุรัสจามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ หลักการสำคัญ 3 ป คือ ป 1 ปูพรม เร่งฉีดวัคซีนแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ อาทิ บุคลากรทางการศึกษาและกลุ่มผู้ให้บริการสาธารณะ ป 2 ปลอดภัย ให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย ดำเนินการโดยทีมแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรที่มีความเชี่ยวชาญ และ ป 3 ประสิทธิภาพ โดยมีระบบการลงทะเบียนเป็นกลุ่ม (Group Registration) เพิ่มศักยภาพในการฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนแต่ละขั้นตอน 7 สถานี พร้อมกล่าวทักทาย ให้กำลังใจประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีน โดยชื่นชมบุคลากรทางการศึกษา อาจารย์ ทื่เข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ ถือ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม หากจิตใจเข้มแข็งก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ขอให้ทุกคนร่วมเชิญชวนกันเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ พร้อมขอบคุณอาสามัครจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บริการประชาชน ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทั้งนี้ “ศูนย์บริการวัคซีนจามจุรีแสควร์” จะพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 64 เป็นต้นไป ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เพื่อตรวจเยี่ยมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด 19 กรุงเทพมหานคร - สภาหอการค้าไทย - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ – สามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งเป็น 1 ใน 25 แห่งของสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้วยความร่วมระหว่าง กรุงเทพมหานคร - สภาหอการค้าไทย - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ – สามย่านมิตรทาวน์ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่และทักทายประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีนฯ พร้อมให้ความมั่นใจกับประชาชนถึงคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาเข้ามา และขอบคุณประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีนเพื่อร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศให้มากขึ้น และขอชื่นชมการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ช่วยกันทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีการปรับระบบการให้บริการให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ทั้งการจัดหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนทั้งประเทศต้องช่วยกันเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนของภาคเอกชนเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาล พร้อมให้บริการแล้ว 14 แห่ง และจะมีการขยายเพิ่ม 25 แห่งในระยะต่อไปให้สอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่กำลังจะทยอยเข้ามาเพิ่มอีกเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่มของประเทศทั้งหมด รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและแรงงานต่าง ๆ เพราะเป็นแหล่งจ้างงาน มีผลิตภัณฑ์ส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ ขณะเดียว นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงความชัดเจนเรื่องการให้บริการฉีดวัคซีนแบบ Walk in ให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นการเตรียมการในช่วงเดือนมิถุนายนถ้ามีวัคซีนเพียงพอ โดยจะต้องมีการรวมในระบบหมอพร้อมด้วย ยืนยันว่ารัฐบาลมีแผนงานในเปิดการฉีดวัคซีนแบบ Walk in ถ้าวัคซีนมีเพียงพอ ขอให้มั่นใจว่าทุกคนได้ฉีดอย่างแน่นอนโดยวันนี้สิ่งที่เป็นกังวลมากที่สุดคือในส่วนของร้านอาหาร พนักงานบริการที่จะตกงาน รายได้ลดลง ต้องดูรายได้ด้วย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน การลงทุน การส่งออก แรงงาน โรงงาน ผู้ให้บริการสาธารณะ รถเมล์ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แกร็บ แท็กซี่ ทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด พร้อมให้ความมั่นใจกับประชาชนถึงการเจรจาจัดหาวัคซีนไม่สะดุดโดยจะมีการจัดส่งตามแผนที่กำหนดและมีการจัดหาวัคซีนเพิ่มอย่างต่อเนื่องให้เพียงพอกับประชาชนทั้งประเทศ ส่วนการผ่อนคลายมาตรการนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และสาธารณสุขจังหวัด เป็นผู้พิจารณาดำเนินการตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกจ้างเข้าข่ายติดเชื้อ COVID - 19 นายจ้างสั่งให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อได้
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 ลูกจ้างเข้าข่ายติดเชื้อ COVID - 19 นายจ้างสั่งให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงกรณี ลูกจ้างอยู่ในข่ายเป็นผู้ติดหรืออาจจะติดเชื้อไวรัส COVID – 19 นายจ้างมีคำสั่งให้ลูกจ้างที่มีความเสี่ยงนั้นเข้ารับการตรวจจากแพทย์ถือเป็นคำสั่งที่มีเหตุอันสมควร นายจ้างสามารถปฏิบัติได้ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID – 19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง มีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น กระจายไปในสถานที่ต่างๆ ส่งผลให้บุคคลที่เดินทางหรือเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ ด้วยความห่วงใยของ พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มีความต้องการให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิต และสุขภาพอนามัยที่ดี จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสร้างความเข้าใจให้ทราบว่า กรณีที่นายจ้าง มีคำสั่งให้ลูกจ้างเข้ารับการตรวจจากแพทย์ ด้วยเหตุที่ลูกจ้างอยู่ในข่ายเป็นผู้ติดเชื้อหรืออาจจะติดเชื้อไวรัส COVID – 19 เช่น ลูกจ้างสัมผัสกับผู้ป่วยหรือลูกจ้างอยู่ในครอบครัวเดียวกับผู้ป่วย ลูกจ้างอยู่ในสถานที่ปิดกับผู้ป่วยโดยไม่มีการถ่ายเทอากาศนานกว่า 15 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร และไม่มีการป้องกันตนเอง หรือเคยไปยังสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค เป็นต้น ถือว่านายจ้างมีเหตุผลอันสมควรที่จะมีคำสั่งให้ลูกจ้างเข้ารับการตรวจได้ เพราะหากไม่ดำเนินการอาจเป็นอันตรายและกระทบต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้างคนอื่น หรือกระทบต่อกิจการของนายจ้างได้ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด ฉะนั้น คำสั่งของนายจ้างดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งเพื่อป้องกัน เฝ้าระวัง รักษา ควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19 เกี่ยวกับการทำงานที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมโดยนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตามปกติเนื่องจากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง หากลูกจ้างไม่ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผล นายจ้างก็อาจปฏิเสธไม่ให้ลูกจ้างเข้าสถานที่ทำงาน และไม่จ่ายค่าจ้างให้ หรืออาจลงโทษทางวินัย เช่น ตักเตือนลูกจ้างด้วยวาจาหรือตักเตือนเป็นหนังสือ เป็นต้น อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้นายจ้าง ลูกจ้าง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคที่ทางราชการประกาศกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และการปฏิบัติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546 หรือหากสงสัยเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค โทร 1422 สายด่วนกรมควบคุมโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม เรามีเรา เร่งลงพื้นที่ 2 ชุมชน ย่านบางกอกใหญ่และบางกอกน้อย กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. ทีม เรามีเรา เร่งลงพื้นที่ 2 ชุมชน ย่านบางกอกใหญ่และบางกอกน้อย กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พม. ทีม เรามีเรา เร่งลงพื้นที่ 2 ชุมชน ย่านบางกอกใหญ่และบางกอกน้อย กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 วันที่ 12 พ.ค. 64เวลา 10.30 น. รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 120 ชุด ที่ได้รับบริจาคจากคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 62 (หมู่กวาง) และภาคีเครือข่าย มามอบให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และตัวแทนชุมชนเป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเปราะบางในชุมชนภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 9/1เขตบางกอกใหญ่ และวัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย โดยมีนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมด้วย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) นางอภิญญา ชมภูมาศ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ (รองอธิบดี ผส.) นายบุญยอด สุขถิ่นไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ดังกล่าว พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. ภายใต้ กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วย นางสาวแรมรุ้งกล่าวว่า จากการสำรวจของ อพม. ในพื้นที่ 50 เขต ของ กทม. พบว่า มีกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวน 5,511 ครัวเรือน วันนี้ ในนามของรัฐบาล โดยกระทรวง พม. บูรณาการการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานครและกระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนกิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วย ด้วยการลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ 2 ชุมชนดังกล่าวในพื้นที่ฝั่งธนบุรี รวมจำนวน 120 ครัวเรือน สำหรับภาพรวมของ กทม. เราพยายามที่จะดูแลพื้นที่สีแดงและเร่งเข้าไปช่วยเหลือในลำดับแรกตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการและมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นกรรมการ โดยร่วมกับ กทม. อีกทั้งกระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนการช่วยเหลือระยะกลางผ่านโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยเราจะเข้าไปดูแลรายครัวเรือนว่าหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว จะต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างไรบ้าง เช่น เรื่องการประกอบอาชีพ การศึกษาของลูก และเรื่องอื่นๆ นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งมีหลายกลุ่มทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ทางกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม.และปริมณฑล สามารถรองรับได้ประมาณเกือบ 400 คน และมีการเตรียมมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัว โดยให้หน่วยงานของกระทรวง พม. ในส่วนภูมิภาคเตรียมสำรวจผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ส่วนคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 เราจะให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น และต่อมาคือการช่วยเหลือเรื่องอาชีพของครัวเรือน ซึ่งขณะนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และปลัด พม. กำลังเร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ ทั้งนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2564
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2564 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีจำนวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 967 ราย ใน 75 จังหวัด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีจำนวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 967 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (571 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (154 ราย) ภาคเหนือ (124 ราย) ภาคตะวันออก (67 ราย) และภาคใต้ (51 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 484,638 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 11,370.30 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 23,461.43 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 877 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 839 ราย ใน 75 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (77 ราย) กรุงเทพมหานคร (63 ราย) และขอนแก่น (51 ราย) (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 147 ราย ใน 46 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 128 ราย ใน 39 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (20 ราย) อุดรธานี (9 ราย) และอุบลราชธานี (8 ราย) (3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 186,913 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 4,120.43 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 27,981 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 641.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.57 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 31,500 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 736.04 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.86 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2564 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 9,118 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 214 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344 สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน โทร. สายด่วน 1359
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้ อสม. เคาะประตูบ้านชวนคนไทยร่วมใจกันฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 สธ. ให้ อสม. เคาะประตูบ้านชวนคนไทยร่วมใจกันฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ให้ อสม.เป็นต้นแบบในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 เป็นตัวอย่างความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมเคาะประตูบ้านรณรงค์เชิญชวนลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 สื่อสารให้ความรู้ ความเข้าใจ และแชร์ประสบการณ์การฉีดวัคซีน สร้างความมั่นใจคนในชุมชน วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับประธานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และบุคลากรจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับ อสม. เป็นกลุ่มแรกๆ เนื่องจากเป็นบุคลากรด่านหน้าที่มีความสำคัญ ลงพื้นที่ช่วยค้นหา เฝ้าระวังโรคในชุมชน และเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ได้เห็นถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้ลดอาการรุนแรงของโรค และลดการเสียชีวิตได้ เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ระบบเศรษฐกิจประเทศกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง จึงขอเชิญชวนให้อสม.ไปรับการฉีดวัคซีน พร้อมออกเคาะประตูรณรงค์เชิญชวนคนในชุมชน ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ผู้นำท้องถิ่น แกนนำชุมชน ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ลงชื่อได้ทุกช่องทางที่สะดวก เช่น ไลน์/แอปพลิเคชัน หมอพร้อม, แอปพลิเคชั่น Smart อสม. หรือรวบรวมรายชื่อลงแบบฟอร์มของอสม. ส่งให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว และรายชื่อที่นำส่งจะคีย์เข้าระบบส่วนกลาง กระทรวงสาธารณสุขจะจัดสรรวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ต่อไป และขอชื่นชมจังหวัดลำปาง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่นำร่องให้ อสม.ลงพื้นที่เข้าไปสำรวจข้อมูล เชิญชวนคนในชุมชนลงทะเบียนรับวัคซีนได้กว่า 3 แสนราย “ขอให้ อสม. ทุกคนร่วมกันเป็นฟันเฟืองสำคัญใช้กลไก 3 หมอ ซึ่งอสม.เป็นหมอคนแรกของชาวบ้าน ที่จะนำคนในชุมชนไปพบหมอคนที่สองเข้ารับการฉีดวัคซีน ขอให้เริ่มดำเนินการให้เร็วที่สุด อสม.จะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ให้ชัดเจน เราจะไม่พูดว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไม่ติดเชื้อ แต่เราจะพูดว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ให้อสม.เน้น 2 ประเด็นนี้ ทำความเข้าใจกับคนในชุมชน เชิญชวนเข้ามารับการฉีด และขอให้นำประสบการณ์ตนเองที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว ไปบอกต่อให้กับคนในชุมชน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชนทุกคน” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 อสม.ได้แนะนำประชาชนให้ลงทะเบียนวัคซีนโควิด 19 แล้วจำนวน 3,724,613 คน และมีอสม.ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 46,498 คน ได้รับครบทั้ง 2 เข็ม จำนวน 17,031 คน ******************************* 13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.อนุมัติแบบกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 ขานรับมติ ครม.ที่เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงิน 311.41 ลบ. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสู้ภัยธรรมชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 คปภ.อนุมัติแบบกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 ขานรับมติ ครม.ที่เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงิน 311.41 ลบ. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสู้ภัยธรรมชาติ ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2564 เห็นชอบดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฤดูการผลิต 2564 วงเงิน 311.41 ลบ. โดยมีพื้นที่เป้าหมายรับประกันภัยรวม 2.92 ล้านไร่ และกำหนดให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกพื้นที่ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฤดูการผลิต 2564 วงเงิน 311.41 ล้านบาท โดยมีพื้นที่เป้าหมายรับประกันภัยรวม 2.92 ล้านไร่ และกำหนดให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกพื้นที่ โดยมติครม.ดังกล่าวได้มอบหมายให้สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบ และหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2564 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันที รวมถึงดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั้น สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามในคำสั่งนายทะเบียนที่ 21/2564 เรื่อง กำหนดแบบและข้อความกรมธรรม์ของประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มเกษตรกรและอัตราเบี้ยประกันภัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 3 แบบกรมธรรม์ ดังนี้ 1. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 2. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) 3. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม โครงการฯ ปีการผลิต 2564 ได้กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 (Tier 1) อัตราเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน สำหรับลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ ธ.ก.ส. มีอัตราเบี้ยประกันภัย 160 บาท/ไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ 96 บาท/ไร่ และจาก ธ.ก.ส. อีก 64 บาท/ไร่ และอัตราเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน สำหรับลูกค้าเกษตรกรทั่วไป มีอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับเขตพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ 150 บาท/ไร่ ความเสี่ยงปานกลาง 350 บาท/ไร่ และความเสี่ยงสูง 550 บาท/ไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ 96 บาท/ไร่ และส่วนที่ 2 (Tier 2) อัตราเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจ สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเอาประกันภัยเพิ่มเติมจาก Tier 1 โดยแบ่งอัตราค่าเบี้ยประกันภัยเป็น 3 อัตรา ตามระดับความเสี่ยงภัยในแต่ละพื้นที่ คือ 90 บาท/ไร่ 100 บาท/ไร่ และ 110 บาท/ไร่ ตามลำดับ ในส่วนของวงเงินความคุ้มครองคงเดิม คือ วงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 1 อยู่ที่ 1,500 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ภัย ได้แก่ 1) ภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก 2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง 3) ภัยลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4) ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง 5) ภัยลูกเห็บ 6) ภัยไฟไหม้ 7) ภัยช้างป่า สำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 750 บาท/ไร่ และวงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 2 อยู่ที่ 240 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ภัย และสำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 120 บาท/ไร่ โดยกำหนดวันเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ จนถึงไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 จนถึงไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2565 ซึ่งเกษตรกรสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ทั้งนี้ มีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ ปีการผลิต 2564 จำนวน 16 บริษัท ได้แก่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย บมจ.ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) บมจ.ทิพยประกันภัย บมจ.ไทยไพบูลย์ประกันภัย บมจ.ไทยศรีประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ บมจ.ฟอลคอนประกันภัย บมจ.มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ บมจ.เมืองไทยประกันภัย บมจ.วิริยะประกันภัย บมจ.สินมั่นคงประกันภัย บมจ.อาคเนย์ประกันภัย บมจ. แอกซ่าประกันภัย และ บมจ.แอลเอ็มจีประกันภัย เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการฯ ปีการผลิต 2564 สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการฯ ไปก่อนหน้านี้ โดยจัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” ซึ่งทุก ๆ ปีจะเป็นการลงพื้นที่ตามภาคต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ด้านประกันภัยกับเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ส่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากปีนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรง ส่งผลให้ในหลายจังหวัดของประเทศไทยกำหนดมาตรการเข้มงวดในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ สำนักงาน คปภ. จึงได้ปรับวิธีการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจัดทำความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทำสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทำข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR code รวมถึงการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ พร้อมทั้งได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่ สื่อความรู้ต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรให้มากที่สุด “สำนักงาน คปภ. ขอเชิญชวนเกษตรกรทุกท่านทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อลดผลกระทบความเสียหายจากภัยต่าง ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากศัตรูพืช หรือภัยจากโรคระบาดต่าง ๆ ซึ่งในปีนี้การจัดทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีทั้งแบบกรมธรรม์ที่รัฐบาลให้การอุดหนุนเบี้ยประกันภัยและแบบที่เกษตรกรสามารถซื้อเพื่อเพิ่มความคุ้มครองเอง ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอแจ้งกำหนดเลื่อนวันสอบและขยายเวลาชำระเงิน เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดต่อผู้เข้าสอบคัดเลือก
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 ขอแจ้งกำหนดเลื่อนวันสอบและขยายเวลาชำระเงิน เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดต่อผู้เข้าสอบคัดเลือก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID – 19) ในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและมีผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมในสถานศึกษา ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดต่อผู้เข้าสอบคัดเลือก โดยขอแจ้งกำหนดเลื่อนวันสอบและขยายเวลาชำระเงิน โดยมีรายละเอียดตามลิ้งค์ https://opsd.thaijobjob.com/202104/index.php
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41716
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2564 พร้อมเผยแพร่ ผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 ในรูปแบบ E-book
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. ร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2564 พร้อมเผยแพร่ ผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 ในรูปแบบ E-book พม. ร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2564 พร้อมเผยแพร่ ผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 ในรูปแบบ E-book วันที่ 7 พ.ค. 64เวลา 10.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น 3 อาคารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล นายจุติกล่าวว่า การประชุมฯ ในวันนี้ ที่ประชุมได้คัดเลือกประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจะได้ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ ทั้งในระดับนโยบาย และการกำกับ ติดตามในระดับปฏิบัติต่อไป นายจุติกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้รับทราบการดำเนินการตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ จัดทำสรุปภาพรวมผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 เพื่อให้ประชาชนผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องได้ง่ายขึ้น โดยกระทรวง พม. ได้จัดทำสรุปภาพรวมดังกล่าวในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)ฉบับย่อ นำเสนอข้อมูลสำคัญใช้ภาษาและภาพที่ช่วยให้ประชาชนอ่านและเข้าใจง่าย เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ยังได้รับมอบหมายให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเผยแพร่ไปยังหน่วยงานและประชาชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้รับทราบการดำเนินงานของรัฐบาลในการปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างทั่วถึง นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวให้กำลังใจทุกหน่วยงานที่ทำงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยอาจมีความยากลำบากและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก แต่ขอให้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป และขอให้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์การค้ามนุษย์ภายหลังโรคโควิด-19 คลี่คลายด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 4 จุด ในพื้นที่ กทม. ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 4 จุด ในพื้นที่ กทม. ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 4 จุด ในพื้นที่ กทม. ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 วันที่ 8 พ.ค. 64เวลา 11.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้วรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมด้วย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) และรองผู้อำนวยการเขตดุสิต อีกทั้งเครือข่าย ศิลปิน อพม. นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) และเพื่อน ร่วมลงพื้นที่สีแดงจุดที่ 1 ณ ชุมชนวัดญวน (คลองลำปัก) และชุมชนซอยลูกหลวง 8 เขตดุสิต เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ในชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 44 ชุด พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน ภายใต้กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วยจากนั้น นายอนุกูล ปีดแก้วรองปลัด พม. พร้อมด้วย นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัด และนายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดี พส. อีกทั้งเครือข่าย ศิลปิน อพม. นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) และเพื่อน ร่วมลงพื้นที่สีแดงจุดที่ 2 ณ ชุมชนหลังบ้านมนังคศิลา และชุมชนริมทางรถไฟสายแปดริ้ว เขตดุสิตเพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับกลุ่มเปราะบางจำนวน 37 ชุด พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน จากนั้น นายอนุกูล ปีดแก้วรองปลัด พม.พร้อมด้วย นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัด และนายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดี พส. อีกทั้งเครือข่าย ศิลปิน อพม. นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) และเพื่อน ร่วมลงพื้นที่สีแดงจุดที่ 3 ณ ชุมชนโค้งรถไฟยมราช เขตราชเทวี เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับกลุ่มเปราะบาง จำนวน 117 ชุด พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน และจากนั้น นายอนุกูล ปีดแก้วรองปลัด พม. พร้อมด้วย นายธนสุนทรสว่างสาลีผู้ตรวจราชการ พม. และนายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดี พส. อีกทั้ง เครือข่าย ศิลปิน อพม. นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) และเพื่อน ร่วมลงพื้นที่สีแดงจุดที่ 4 ณ ชุมชนวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับกลุ่มเปราะบาง จำนวน 100 ชุด พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน ทั้งนี้ ชุมชนทั้ง 4 จุด เป็นพื้นที่สีแดงที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19 ในวงกว้าง นายอนุกูลกล่าวว่า ตามนโยบายของกระทรวง พม. เรื่องการเปิดศูนย์ปฏิบัติการ ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม เป็นช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์จากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และช่วยประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งได้มีการเร่งระดมขอรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและของใช้ที่จำเป็น เพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยกระทรวง พม. บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน และทีมประเทศไทย บูรณาการลงพื้นที่ช่วยเหลือร่วมกัน นายอนุกูลกล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในนามของรัฐบาล ภายใต้โครงการ เรามีเรา ได้ลงพื้นที่สีแดง 4 จุด ซึ่งเป็นพื้นที่วิกฤตที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 และได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงเยี่ยมพื้นที่ในเขต กทม. ทั้ง 50 เขต เนื่องจากปลัดกระทรวง พม. (นางพัชรี อาระยะกุล) เป็นคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้การช่วยเหลือดูแลประชาชนในเขต กทม. และปริมณฑล ที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ซึ่ง กระทรวง พม. มีหน้าที่ดูแลกลุ่มคนเปราะบางและจะจับมือกับพันธมิตร และ กทม. ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกัน ทั้งนี้ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะพยายามลงพื้นที่ให้ครบ นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบหลังวิกฤตโควิด-19​ซึ่งมีหลายกลุ่ม​ทั้งเด็ก​ผู้สูงอายุ​คนพิการ​คนไร้บ้าน​และคนไร้ที่พึ่ง​ทาง​กระทรวง พม.​ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต​กทม.​และปริมณฑล​สามารถรองรับได้​ประมาณ​450 คน​และมีการเตรียมมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัว​โดยให้หน่วยงานกระทรวง พม. ในส่วนภูมิภาคเตรียมสำรวจผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน​ส่วนคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19​เราจะให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น​และด้านต่อมาคือการช่วยเหลือเรื่องอาชีพของครัวเรือน​ซึ่งขณะนี้​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นายจุติ​ไกรฤกษ์)​และปลัด พม. (นางพัชรี​อารายะกุล)​กำลังเร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย​ภายหลังวิกฤตครั้งนี้​ภายใน​2-3 เดือน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41696
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เปิดครัวสนามรักสัตหีบ เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 จ.ชลบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ เปิดครัวสนามรักสัตหีบ เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 จ.ชลบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดโรงครัวสนามรักสัตหีบ จ.ชลบุรี แสดงพลังความสามัคคี น้ำใจไมตรีของทุกฝ่ายร่วมกันต่อสู้ เยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สนองนโยบายรัฐบาล คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 เวลา 14.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดครัวสนามรักสัตหีบ ณ วัดราษฎร์สามัคคี กม.10 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลตำรวจตรี นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า การเปิดครัวสนามในวันนี้เพื่อเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคี น้ำใจไมตรีของทุกฝ่ายที่จะร่วมกันต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกำกับดูแลกระทรวงแรงงานของท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ทราบและติดตามผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้องของพี่น้องประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้สั่งการให้ทุกกระทรวงร่วมกันบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาและเตรียมความพร้อมในการเยียวยา เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานดำเนินโครงการคัดกรองโรคโควิด-19 นอกสถานพยาบาล หรือนอกสถานที่ จัดตั้งศูนย์ตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้ม จำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ เชียงใหม่ และชลบุรี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับการดูแลรักษาผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 จึงได้จัดให้มีหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกันตนจะได้รับการรักษาที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายและลดลงได้ ก็เพราะความร่วมมือของทุกท่านที่จะร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือสบู่ “ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมโรงครัวสนามเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ และขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า “รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เราจะก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41722
รัฐบาลไทย-สธ.ใช้ Factory Quarantine ช่วยควบคุมโควิดในเรือนจำ พร้อมดูแลหากมีผู้ป่วยสีแดง
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 สธ.ใช้ Factory Quarantine ช่วยควบคุมโควิดในเรือนจำ พร้อมดูแลหากมีผู้ป่วยสีแดง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมควบคุมโรคใช้ Factory Quarantine ควบคุมโรคโควิดในเรือนจำ มั่นใจควบคุมได้ ไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก พร้อมรับส่งต่อผู้ป่วยอาการหนักสีแดง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมควบคุมโรคใช้ Factory Quarantine ควบคุมโรคโควิดในเรือนจำ มั่นใจควบคุมได้ ไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก พร้อมรับส่งต่อผู้ป่วยอาการหนักสีแดงส่วนการเดินมารับวัคซีนโควิด เป็นนโยบายนายกรัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการติดเชื้อในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง 2,835 ราย ว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ แต่พื้นที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ปิด จึงมั่นใจว่าสามารถดูแลควบคุมโรคได้ ซึ่งกรมควบคุมโรคได้ประสานงานไปยังกรมราชทัณฑ์ จะใช้แนวทางควบคุมโรคเช่นเดียวกับกรณีสมุทรสาคร คือ Factory Quarantine ให้ผู้ที่ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ในสถานที่มิดชิด ไม่มีโอกาสแพร่เชื้อสู่ภายนอก รวมถึงคัดแยกระดับอาการผู้ป่วย ให้ยาตามสีของระดับอาการ โดยกลุ่มที่ไม่มีอาการรักษาประมาณ 14 วัน กลุ่มที่มีอาการปานกลางจะมีโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูแล ซึ่งมีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ปี 2563 และหากมีอาการหนักสีเหลืองเข้มหรือแดง ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้รับช่วงนำผู้ต้องขังมารับการรักษาตามสิทธิที่มี นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการเดินเข้ามารับวัคซีนโควิด 19 เป็นนโยบายที่เห็นพ้องต้องกันระหว่างนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ซึ่งได้มอบนโยบายแก่กรมควบคุมโรคและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแล้ว ส่วนกรุงเทพมหานคร เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้กำกับดูแลโดยตรง แต่มีนายกรัฐมนตรีเข้าดูแลในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคโควิด 19 ในพื้นที่ด้วยตนเอง กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งนี้ การจัดส่งวัคซีนจะดำเนินการอย่างเต็มที่ในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งจะมีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จำนวนมาก โดยจะจัดสรรวัคซีนตามจำนวนที่จังหวัดแจ้งมา ซึ่งมีความต้องการไม่เท่ากัน ทั้งจากจำนวนการลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีน จำนวนประชากรที่มากน้อยไม่เท่ากัน โดยรัฐบาลพยายามจัดศูนย์การฉีดวัคซีนให้มากที่สุด และไม่จำกัดอยู่ที่สถานพยาบาลของรัฐและเอกชน เช่น มีการเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนที่เซ็นทรัลลาดพร้าว โรงพยาบาลเมดพาร์ค และกำลังพิจารณาข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นสถานที่ฉีดวัคซีน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาของการให้เดินเข้ามารับวัคซีน ซึ่งแต่ละจุดฉีดจะแบ่งสัดส่วนวัคซีนเพื่อรองรับคนที่เดินเข้ามาโดยตรงด้วย เช่น จัดสรรไว้ 20% สำหรับคนที่เดินเข้ามา ดังนั้น หากเดินเข้ามาแล้วจึงมีโอกาสที่ไม่ได้รับวัคซีนได้ นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีการผลิตบรรจุขวดแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพให้ครบถ้วน คาดหวังว่าจะสามารถส่งมอบได้ก่อนเวลา ทั้งนี้ ตามสัญญาจะส่งมอบวัคซีนที่ผลิตจากในประเทศไทย แต่หากเกิดอุปสรรคใดๆ เกิดขึ้นแอสตร้าเซนเนก้าต้องหาวัคซีนจากแหล่งผลิตอื่นมาแทน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังหารือเพื่อสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมในทุกเดือนมาช่วยประคับประคองสถานการณ์ในอีกทางด้วย แต่ยังไม่สามารถบอกจำนวนได้ รวมถึงยังมีการเจรจากับทางไฟเซอร์ ซึ่งอยู่ในส่วนสุดท้ายของการจัดทำเอกสารกันแล้ว ถ้าเรียบร้อยก็เซ็นสัญญาได้ ซึ่งเราขอไป 10-20 ล้านโดสเขาบอกว่าอาจส่งได้ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ******************************* 13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41723
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย รพ.เมดพาร์ค สนับสนุนรัฐบาล จัดจุดฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่คลินิกเอกชน
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 อนุทิน เผย รพ.เมดพาร์ค สนับสนุนรัฐบาล จัดจุดฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่คลินิกเอกชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลเมดพาร์ค สนับสนุนการทำงานรัฐบาล จัดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกเอกชน ใน กทม. จำนวน 2,116 ราย ให้บริการวันที่ 13 - 15 พฤษภาคม 2564 นี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลเมดพาร์ค สนับสนุนการทำงานรัฐบาลจัดจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่คลินิกเอกชน ใน กทม. จำนวน 2,116 ราย ให้บริการวันที่ 13 - 15 พฤษภาคม 2564 นี้ วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) ที่ โรงพยาบาลเมดพาร์ค นายอนุทิน ชาญวีรกูล​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​สาธารณสุข​ พร้อมด้วย นายแพทย์สุระ วิเศษ​ศักดิ์ รองปลัด​กระทรวงสาธารณสุข​ นายแพทย์​ณรงค์อภิกุลวณิช นายแพทย์​ธเรศ​ กรัษนัย​ร​วิ​วงค์​ อ​ธิ​​บดีกรมสนับสนุน​บริการ​สุขภาพ​ และผู้บริหารกระทรวง ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกเอกชน นายอนุทิน กล่าวว่า ขอขอบคุณโรงพยาบาลเมดพาร์คที่ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ในการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงตามนโยบายรัฐบาลที่จะทำการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศให้เร็วที่สุด โดยได้ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมควบคุมโรค และกรุงเทพมหานคร เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในส่วนของภาคเอกชน จากสมาคมแพทย์คลินิก ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 2,116 ราย เนื่องจากเป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต้องสัมผัสผู้ป่วย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐขณะนี้ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่าร้อยละ90% และจะเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเพื่อความปลอดภัย และมีความพร้อมในการดูแลคนไข้อื่นๆ ต่อไป “วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาเป็นวัคซีนที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูง และจัดเตรียมไว้ มีจำนวนมากพอให้ประชาชนได้รับวัคซีนกันถ้วนหน้า และขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากจะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าวว่า โรงพยาบาลเมดพาร์คได้จัดโครงการ “Save Doctors, Save People, Save Thailand” เพื่อฉีดวัคซีนให้กับสมาชิกของสมาคมแพทย์คลินิกที่ได้ลงทะเบียนไว้ ในระหว่างวันที่ 13 - 15 พฤษภาคม 2564 นี้ ตั้งแต่เวลา 08:00 -17:00 น. โดยการจัดจุดบริการฉีดวัคซีนครั้งนี้ได้ดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่จุดลงทะเบียน คัดกรอง จุดฉีดวัคซีนจุดพักคอยสังเกตอาการ เป็นเวลา 30 นาที มีห้องปฐมพยาบาลหากผู้ฉีดวัคซีนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ และมีการติดตามอาการผ่านLine Official Account “หมอพร้อม” ตั้งเป้าให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มบุคลากรการแพทย์ดังกล่าววันละ 700 ราย เป็นเวลา 3 วัน *******************************13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พณ. แจงกรณีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ เรียกร้องให้แก้ปัญหาราคาปุ๋ยและราคารับซื้อผลปาล์มสุก
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พณ. แจงกรณีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ เรียกร้องให้แก้ปัญหาราคาปุ๋ยและราคารับซื้อผลปาล์มสุก กรมการค้าภายใน เผยได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีตรึงราคาจำหน่ายปลีก แม้ต้นทุนวัตถุดิบแม่ปุ๋ยที่นำเข้าจะปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาผลปาล์มไทยกำลังเริ่มปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดโลก วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีการแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยเคมีและราคารับซื้อผลปาล์มสุก ว่าปุ๋ยเคมีในตลาดปรับราคาสูง เนื่องจากวัตถุดิบแม่ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟตและโพแทสเซียม ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศมีการปรับสูงขึ้น เนื่องจากประเทศอินเดียเปิดประมูลซื้อแม่ปุ๋ยล็อตใหญ่ และประเทศจีนที่เป็นแหล่งนำเข้าหลักของประเทศไทยชะลอการส่งออกแม่ปุ๋ย เพื่อเตรียมสำหรับการเพาะปลูกในรอบใหม่ ประกอบกับค่าระวางเรือขนส่งและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมในปี 2563 ที่ 42.21 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เป็น 64.55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กรมการค้าภายใน มีการประชุมร่วมกับสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย และผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีรายใหญ่ ตั้งแต่ ม.ค.64 – มี.ค.64 จำนวน 3 ครั้ง โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาจำหน่ายปลีก รวมทั้งขอให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการกับตัวแทนจำหน่ายแต่ละราย เพื่อให้คงราคาจำหน่ายเดิม และตรวจสอบตัวแทนจำหน่ายแต่ละพื้นที่ไม่ให้จำหน่ายปุ๋ยเคมีเกินกว่าราคาจำหน่ายเดิม และไม่ให้สินค้าขาดตลาด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอของบประมาณ เพื่อสนับสนุนให้สหกรณ์ที่มีศักยภาพในการจัดหาแม่ปุ๋ยและผสมปุ๋ยจำหน่ายให้สมาชิก เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกร สำหรับกรณีร้านค้าบางรายที่ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดตรวจสอบภาวะราคาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ต่อมา เมื่อวันที่ 20 เม.ย.64 และ 22 เม.ย.64 ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมหารือกับสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย รวมทั้งผู้ผลิต/ผู้นำเข้าปุ๋ยเคมี สรุปแนวทางดำเนินการ ดังนี้ (1) ติดตามตรวจสอบสถานการณ์ด้านปริมาณและราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมีในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ หากพบว่าตัวแทนจำหน่ายมีการกักตุนหรือจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด (2) ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีตรึงราคาจำหน่ายไปอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งกำชับตัวแทนจำหน่ายไม่ให้กักตุนสินค้า ไม่ให้สินค้าขาดตลาด และห้ามจำหน่ายปุ๋ยเคมีสูงกว่าราคาจำหน่ายเดิม (3) ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีแจ้งราคาจำหน่ายส่งและปลีกแนะนำของปุ๋ยเคมีในเขตอำเภอเมืองในแต่ละจังหวัดให้กับกรมการค้าภายใน เพื่อเป็นข้อมูลในการกำกับดูแลติดตามราคาจำหน่ายต่อไป ด้านสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในปัจจุบัน พบว่า ผลปาล์มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาลผลิต ขณะที่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกเดือน เม.ย.64 ส่งผลกระทบให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบปลายน้ำ (บริโภค อุตสาหกรรมและพลังงาน) ชะลอตัวลงบางส่วน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยราคารับซื้อผลปาล์มของประเทศมาเลเซียจะเป็นคุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 20% ขณะที่คุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำมันของไทยปัจจุบันโดยเฉลี่ยยังอยู่ที่ 17% ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลเป็นปัจจัยบวกให้ราคาผลปาล์มของไทยในขณะนี้เริ่มปรับสูงขึ้น อยู่ที่สูงสุด 5.60 บาท/กก. สูงกว่าราคาช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 2.40 – 3.00 บาท/กก. สำหรับการดูแลการรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร กรมการค้าภายใน ได้หารือสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อให้โรงสกัดฯ ทุกแห่งรับซื้อผลผลิตในราคาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาด และปิดป้ายแสดงราคารับซื้อที่อัตราน้ำมัน 18% ขึ้นไปให้ชัดเจน พร้อมได้จัดส่งสายตรวจเฉพาะกิจลงพื้นที่ตรวจสอบการซื้อขายในแหล่งผลิตสำคัญ หากพบการไม่ปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ จะมีโทษตามกฎหมาย ปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากมีการกดราคา หรือจงใจทำให้เกิดความปั่นป่วนด้านราคา จะมีโทษสูงสุดจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดขอความร่วมมือมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมกันตรวจสอบการรับซื้อผลปาล์มของโรงงานสกัดฯ และลานเทให้เป็นไปตามกลไกตลาด รวมทั้งรณรงค์ให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันสุกสด เพื่อให้ได้ผลปาล์มคุณภาพดี เปอร์เซ็นต์น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้จำหน่ายผลปาล์มได้ในราคาที่สูงขึ้น และในภาพรวมของทั้งระบบจะได้ปริมาณน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมยินดีและชื่นชมความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟไทย จากการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2021
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ร่วมยินดีและชื่นชมความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟไทย จากการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2021 นายกฯ ร่วมยินดีและชื่นชมความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟไทย จากการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2021 วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุญาตให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยคณะนักกีฬากอล์ฟไทยในการแข่งขันกอล์ฟสตรี ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ ปี 2021 (Honda LPGA Thailand 2021) เข้าเยี่ยมคารวะ โดยมีนักกีฬากอล์ฟที่มีชื่อเสียง อาทิ นางสาวอาฒยา ฐิติกุล (โปรจีน) นางสาวปาจรีย์ อนันต์นฤการ (โปรเมียว) นางสาววิชาณี มีชัย (โปรแจน) นางสาวชเนตตี วรรณแสน (โปรพราว) และ นางสาวกานต์พนิตนันท์ เมืองคำสกุล (โปรมายด์) ร่วมเข้าเยี่ยมคารวะ ด้วย เมื่อเสร็จสิ้นการหารือนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี และชื่นชมในความสำเร็จของคณะนักกีฬากอล์ฟไทยในการแข่งขันดังกล่าว ซึ่งได้ติดตามตลอดระยะเวลา 4 วันของการแข่งขัน เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันของนักกีฬาและส่งกำลังใจไปให้อยู่เสมอ ภูมิใจในตัวนักกีฬาทุกท่าน โดยการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของไทยในเรื่องการกีฬา โดยเฉพาะความสามารถจากนักกีฬาเยาวชนที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณนักกีฬากอล์ฟทุกคนแทนคนไทยทั้งประเทศที่ได้สร้างความสุขให้แก่ประชาชน ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้จะเป็นเส้นทางให้ก้าวตามความฝันสู่การเป็นนักกีฬากอล์ฟอาชีพในอนาคต พร้อมอวยพรให้ประสบความสำเร็จ และก้าวหน้าต่อไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยและวงการกีฬากอล์ฟอาชีพของไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยที่สามารถเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันให้สำเร็จไปได้อย่างราบรื่นตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ในช่วงที่ประเทศประสบกับวิกฤตจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังพบโอกาสในการจัดการแข่งขันกีฬาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และทำให้ไทยสามารถเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม และส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของประเทศ อีกทั้งมอบนโยบายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา เร่งผลักดันส่งเสริมนักกีฬาไทยตามความถนัดและความสามารถให้พร้อมต่อการแข่งขันทุกประเภททั้งกีฬาเดี่ยวและกีฬาทีม โดยเชื่อมั่นในศักยภาพของนักกีฬาไทยที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งนี้ การแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2021 เป็นรายการการแข่งขันกีฬากอล์ฟระดับโลก ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเมื่อวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2564 ณ สยามคันทรีคลับ พัทยา โอลด์คอร์ส จังหวัดชลบุรี มีนักกีฬากอล์ฟเข้าร่วมจำนวน 71 คน จาก 18 ประเทศ โดยจัดขึ้นในรูปแบบสนามปิด ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามกว่า 400 ล้านครัวเรือน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการทางสาธารณสุข ภายใต้มาตรฐานของ ศบค. และการกำกับดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยผลการแข่งขัน มีดังนี้ รางวัลชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ นางสาวเอรียา จุฑานุกาล (โปรเม) รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ นางสาวอาฒยา ฐิติกุล (โปรจีน) รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 3 ร่วม ได้แก่ นางสาวปภังกร ธวัชธนกิจ (โปรเหมียว) เอมี่ หยาง และ เรียว ซอ ยอน จากเกาหลีใต้ อันดับที่ 13 ร่วม ได้แก่ นางสาวปาจรีย์ อนันต์นฤการ (โปรเมียว) อันดับที่ 17 ร่วม ได้แก่ นางสาวโมรียา จุฑานุกาล (โปรโม) อันดับที่ 43 ร่วม ได้แก่ นางสาววิชาณี มีชัย (โปรแจน) อันดับที่ 54 ร่วม ได้แก่ นางสาวจัสมิน สุวัณณะปุระ (โปรจูเนียร์) อันดับที่ 57 ร่วม ได้แก่ นางสาวชเนตตี วรรณแสน (โปรพราว) อันดับที่ 69 ร่วม ได้แก่ นางสาวกานต์พนิตนันท์ เมืองคำสกุล (โปรมายด์)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ปฏิบัติมาตรการสาธารณสุขพื้นฐานและเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับประชาชน”
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 มท.1 มอบนโยบายการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ปฏิบัติมาตรการสาธารณสุขพื้นฐานและเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับประชาชน” มท.1 มอบนโยบายการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ปฏิบัติมาตรการสาธารณสุขพื้นฐานและเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับประชาชน” วันนี้ (13 พ.ค. 64) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายเพื่อป้องกัน ควบคุม และแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และหารือข้อราชการอื่น ๆ โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมการประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ไปยังศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยส่วนภูมิภาค และส่วนกลางประจำภูมิภาค ร่วมประชุม และถ่ายทอดผ่านระบบ DOPA Channel ไปยังที่ว่าการอำเภอทุกแห่งทั่วประเทศ โดยมี นายอำเภอ และปลัดอำเภอ ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) ได้ดำเนินการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านกลไกของทุกจังหวัดและอำเภออย่างเข้มข้น ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนและดำเนินการของทุกพื้นที่อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง จึงขอชื่นชมและขอบคุณทุกฝ่าย ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายอำเภอ ฝ่ายปกครอง ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน คณะกรรมการชุมชน อาสาสมัคร จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้องอาศัยกำลังและความร่วมมือจากทุก ๆ ฝ่ายในการปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงต่อไป จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้มอบนโยบายในการป้องกัน ควบคุม และสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แก่ 1) การเตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีนของจังหวัดและกรุงเทพมหานคร โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้เรื่องวัคซีนโควิด-19 เป็น “วาระแห่งชาติ” และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการบริหารจัดการวางแผนการกระจายวัคซีนเพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยให้เร็วที่สุด โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป จะมีวัคซีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ถ้าประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ก็จะทำให้การแพร่ระบาดบรรเทาลง ซึ่งสิ่งที่ต้องเตรียมการ คือ เมื่อวัคซีนเข้ามาในระยะต่อไปเป็นจำนวนมาก เราต้องกระจายและฉีดให้กับพี่น้องประชาชน ถ้าสามารถรู้ได้ว่ามีความต้องการฉีดที่ไหนบ้าง ก็จะบริหารจัดการลงไปยังกลุ่มต่าง ๆ ได้ง่าย จึงให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง พร้อมมอบหมายข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ช่วยเหลือประชาชนในการกรอกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เพื่อสามารถบริหารจัดการจำนวนวัคซีนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงในด้านสถานที่สำหรับบริการฉีดวัคซีน ให้จัดเตรียมสถานที่บริการฉีดวัคซีนให้มีความพร้อม โดยอาจบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อรองรับประชาชนอย่างทั่วถึง 2) มาตรการควบคุมการลักลอบเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ขอให้ทุกพื้นที่ดำเนินการกักกัน (Quarantine) ผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มข้น และสกัดกั้นควบคุมการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยบูรณาการและประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สำรวจตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่อย่างสูงสุด พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนช่วยสำรวจตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน มิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ วางระบบการตรวจตราโรงงาน สถานประกอบการ หอพัก 3) การป้องกันการรวมกลุ่มเพื่อลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้รณรงค์ประชาชนและทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A ได้แก่ D : Distancing (เว้นระยะห่าง) M : Mask wearing (สวมหน้ากาก) H : Hand washing (ล้างมือบ่อย ๆ) T : Temperature (ตรวจวัดอุณหภูมิ) T : Testing (ตรวจหาเชื้อโควิด - 19) และ A : Application (ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ) อย่างเข้มข้น ไม่รวมกลุ่มหรือสัมผัสใกล้ชิดกัน พร้อมทั้งติดตาม กำกับ ตรวจสอบ และเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการลักลอบเล่นการพนัน รวมถึงกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค 4) มาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุก (Active Case Finding) โดยต้องให้ความสำคัญในการวางมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุก (Active Case Finding) ในสถานที่เสี่ยงในพื้นที่ เช่น โรงงาน ตลาด และชุมชน เป็นต้น ให้มีความชัดเจนและต่อเนื่อง 5) การดำเนินการโรงพยาบาลสนามและระบบส่งต่อ ให้ทุกจังหวัดพิจารณาจัดตั้งโรงพยาบาลสนามให้เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุมทั้งด้านสถานที่ ระบบบริหารจัดการ ระบบการบูรณาการข้อมูลผู้ติดเชื้อและการส่งต่อ เป็นต้น 6) มาตรการช่วยเหลือประชาชน (มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไฟฟ้า-น้ำประปา) ขอให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นนทบุรี สมุทรสาคร ภูเก็ต เชียงราย นราธิวาส และผู้แทนกรุงเทพมหานคร ได้รายงานการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการบริหารจัดการวัคซีนในพื้นที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาการฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นลำดับต้น เพื่อความปลอดภัยของครูและนักเรียนซึ่งกำลังจะเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 รวมทั้งขอให้พิจารณาให้บุคลากรกองสาธารณสุขในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาร่วมดำเนินงานการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในพื้นที่ นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกบุคคลในพื้นที่สร้างความเข้าใจและความมั่นใจกับประชาชนในการเข้าถึงวัคซีนให้ได้มากที่สุด รวมทั้งดำเนินมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุก (Active Case Finding) ในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนของจังหวัดลำปาง ที่ได้ดำเนินการบริหารจัดการสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน ทำให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีน รวมถึงขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศที่ได้มาร่วมดำเนินงานโรงพยาบาลสนามโดยรอบปริมณฑล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลบุษราคัม และได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดรณรงค์สร้างความร่วมมือกับประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อย่างสูงสุด รวมทั้งดำเนินการสร้างความรับรู้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนและประโยชน์ของวัคซีนให้กับประชาชน เพื่อลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 64 ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในทุกพื้นที่ นอกจากนี้ ในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดนต้องสกัดกั้นไม่ให้มีผู้ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมถึงเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก (Active Case Finding) ในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน และขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับทุกจังหวัดที่ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและเข้มข้น จึงขอให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดกั้นการระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้มอบนโยบายการดำเนินงานภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด 2) การเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน ขอให้ติดตามสถานการณ์ แจ้งเตือนประชาชน ดูแลประชาชน และช่วยเหลือประชาชนขณะเกิดภัยและหลังเกิดภัย โดยพิจารณาใช้กลไกทุกภาคส่วนในพื้นที่ไปช่วยแก้ไขปัญหาฟื้นฟูอาคารบ้านเรือนให้ประชาชนเพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้เร็วที่สุด 3) การจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับจังหวัด และระดับต่าง ๆ ขอให้ดำเนินการตั้งกลไกในแต่ละระดับให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด และ 4) การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41725
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีสั่งทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐกำหนดเกณฑ์คัดเลือกบุคคลให้ครอบคลุมถึงความประพฤติและจริยธรรม ช่วยแก้ไขปัญหาจริยธรรมในภาคราชการและสังคมในภาพรวม
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีสั่งทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐกำหนดเกณฑ์คัดเลือกบุคคลให้ครอบคลุมถึงความประพฤติและจริยธรรม ช่วยแก้ไขปัญหาจริยธรรมในภาคราชการและสังคมในภาพรวม นายกรัฐมนตรีสั่งทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐกำหนดเกณฑ์คัดเลือกบุคคลให้ครอบคลุมถึงความประพฤติและจริยธรรม ช่วยแก้ไขปัญหาจริยธรรมในภาคราชการและสังคมในภาพรวม วันที่ 13 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายกับทั้งส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในหลายโอกาสในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้จริยธรรมที่ถูกต้องดีงามอย่างเคร่งครัดนั้น ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ และคุณสมบัติในการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ หรือจัดจ้างเป็นพนักงาน พนักงานราช ลูกจ้างของราชการ หรือหน่วยงานของรัฐตามแต่กรณีให้ครอบคลุมถึงพฤติกรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมที่ถูกต้องดีงามด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคลากรของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติเหมาะสม รวมทั้งมีคุณสมบัติในการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ดี ซึ่งจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาด้านจริยธรรมในภาคราชการและสังคมไทยในภาพรวมต่อไป นอกจากนี้ ในการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน ค่าตอบแทน หรือเพื่อต่อสัญญาให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำหลักเกณฑ์ด้านความประพฤติและมาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วยอย่างเคร่งครัด น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้จริยธรรมที่เข้มงวด โดยนอกจากข้อสั่งการการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่ในระบบราชการ และหน่วยงานของรัฐข้างต้นแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้เห็นชอบประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง เพื่อเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ ในการประพฤติปฏิบัติของข้าราชการการเมืองที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยกำหนดให้ข้าราชการการเมือง ต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่ กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมและความผาสุกของประชาชน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41708
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ ร่วมประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบ (VDO Conference)
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ ร่วมประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบ (VDO Conference) การประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ และคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เข้าร่วม ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกล (VDO Conference) ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดตั้งทีม เรามีเรา โทร. สายด่วน 1300 และ 1479 เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้ง เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ติดเชื้อหรือเสี่ยงติดเชื้อโรคโควิด-19 รวมทั้งไม่มีผู้ดูแล
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. จัดตั้งทีม เรามีเรา โทร. สายด่วน 1300 และ 1479 เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้ง เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ติดเชื้อหรือเสี่ยงติดเชื้อโรคโควิด-19 รวมทั้งไม่มีผู้ดูแล พม. จัดตั้งทีม เรามีเรา โทร. สายด่วน 1300 และ 1479 เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้ง เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ติดเชื้อหรือเสี่ยงติดเชื้อโรคโควิด-19 รวมทั้งไม่มีผู้ดูแล วันที่ 5 พ.ค. 64เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมแนวทางการขับเคลื่อนโครงการให้บริการเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่เดือดร้อน ขาดผู้ดูแล จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบZoom Meetingโดยมี คณะผู้บริหาร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และหัวหน้าหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศเข้าร่วม นางพัชรีกล่าวว่า แนวทางการขับเคลื่อนโครงการให้บริการเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่เดือดร้อน ขาดผู้ดูแลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีการบูรณาการความร่วมมือกับสํานักนายกรัฐมนตรี (นร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ในการเตรียมสถานรองรับในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับกลุ่มเปราะบาง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่มีผู้ดูแล เนื่องจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 2) เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่รักษาหายจากโรคโควิด-19 แล้ว และกลับมาอยู่ในครอบครัว แต่มีความเครียดวิตกกังวล 3) เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ถูกทิ้งไว้ลำพัง ไม่มีผู้ดูแล และ 4) เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 แต่ผู้ป่วยติดเชื้อเป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดูด้านการบริการ ได้แก่ 4.1) จัดที่พักอาศัย 4.2) จัดอาหาร 3 มื้อ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น 4.3) ให้คำแนะนำปรึกษาจัดกิจกรรมนันทนาการตามความเหมาะสม โดยนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา หรือผ่านระบบออนไลน์โดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น และ 4.4) กรณีที่มีอาการเจ็บป่วย จะประสานส่งต่อโรงพยาบาล นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานที่รองรับกลุ่มเปราะบางนั้น กระทรวง พม. สามารถรองรับได้ประมาณ 400 คน มีดังนี้ 1) กรณีเด็ก (แยกชาย-หญิง) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้แก่ 1.1) สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี กรุงเทพฯ (เฉพาะเด็กหญิง) 1.2) สถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราช จ.ปทุมธานี (เฉพาะเด็กชาย) 1.3) สถาบันพระประชาบดี จ.ปทุมธานี 1.4) สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด จ.นนทบุรี (เฉพาะเด็กชาย) และ 1.5) สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี (รับเด็กชาย-หญิง) 2) กรณีผู้สูงอายุ (แยกชาย-หญิง) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้แก่ 2.1) ที่พักคนเดินทางดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 2.2) บ้านสร้างโอกาส อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี และ 2.3) ศูนย์ฝึกอบรมผู้สูงอายุบางละมุง จ.ชลบุรี และ 3) กรณีคนพิการ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้แก่ ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการพระประแดง จ.สมุทรปราการ นางพัชรีกล่าวต่อไปอีกว่า ขณะนี้ กระทรวง พม. ได้จัดตั้งทีม เรามีเรา เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 และกำลังประสบปัญหาความยากลำบาก ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ นักพัฒนาสังคม และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านคนพิการ จำนวน 15 ทีม ลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือทั้งในเขตกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค โดยประสานศูนย์บริการคนพิการประจำจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ด้านการรับเรื่อง สายด่วน 1300 และ 1479 ได้แก่ 1.1) รับแจ้งข้อมูลผู้รับบริการ (มีเอกสารรับรองทางการแพทย์จากหน่วยงานสาธารณสุข) แผนการรักษา สภาพปัญหา และความต้องการความช่วยเหลือ เป็นต้น 1.2) แจ้งรายละเอียดการเตรียมความพร้อมของผู้รับบริการก่อนเข้าสถานรองรับของกระทรวง พม. และ 1.3) ประสานส่งต่อไปยังทีมประสานงานกลาง 2) ด้านการประสานส่งต่อ ประสานงานกลาง ได้แก่ 2.1) เจ้าหน้าที่ทีมประสานงานกลางรับการประสานข้อมูลจากสายด่วน 1300 และ 1479 2.2) วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของผู้รับบริการเพื่อเข้าสถานรองรับฯ 2.3) ตรวจสอบสถานะความพร้อมของสถานรองรับฯ และ 2.4) นำส่งผู้รับบริการจากหน่วยงานสาธารณสุข หรือที่พักอาศัย เพื่อเข้ารับการดูแลในสถานรองรับฯ และ 3) ด้านการช่วยเหลือดูแล ได้แก่ 3.1) แนะนำการปฏิบัติตนในสถานรองรับและข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน 3.2) คัดกรองเบื้องต้น และให้ผู้รับบริการชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าอาคารพัก 3.3) กรณีก่อนกลับบ้าน จะมีการประเมินสุขภาพร่างกายและจิตใจ และ 3.4) การติดตามผลการช่วยเหลือผู้รับบริการภายหลังออกจากสถานรองรับฯ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเปราะบางที่เป็นเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ยังมีความวิตกกังวลภายหลังการรักษา และยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในครอบครัวได้ ทางกระทรวง พม. มีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่รองรับ และทีมเจ้าหน้าที่สำหรับดูแล หากครอบครัวไหนที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 และบุคคลในครอบครัวต้องกักตัว 14 วัน ไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้ ทางกระทรวง พม. จะประสานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่เพื่อช่วยบริการส่งอาหารให้ถึงบ้าน รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และข้าวสารอาหารแห้ง ทั้งนี้ ขอให้ อพม. ในแต่ละพื้นที่ สำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ สำหรับกรณีต่างจังหวัด ได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั่วประเทศ เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลในพื้นที่ นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (6 พ.ค.64) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการลงพื้นที่ ณ ศูนย์พักคอยนำผู้ติดเชื้อโควิด-19 พื้นที่คลองเตย (วัดสะพาน) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 200 ชุด พร้อมด้วยเจลแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัย และพบปะให้กำลังใจเครือข่ายกระทรวง พม. อีกทั้งจะมีการจัดส่งข้าวกล่องพร้อมรับประทานให้ทุกวัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งเฝ้าระวัง และตรวจสอบคนต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศไทยและทำงานผิดกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.แรงงาน สั่งเฝ้าระวัง และตรวจสอบคนต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศไทยและทำงานผิดกฎหมาย กระทรวงแรงงานไม่นิ่งนอนใจ สั่งการสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ จัดเตรียมข้อมูลสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 จากกรณีที่พบกลุ่มผู้ฉวยโอกาสลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน และเดินทางต่อไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อลักลอบทำงานผิดกฎหมาย อาจนำเชื้อโควิด – 19 ไปแพร่กระจายในชุมชนได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่ทำงานผิดกฎหมาย ได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ จัดเตรียมข้อมูลสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ โดยให้ปฏิบัติงานภายใต้มาตรการของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอย่างเคร่งครัด “ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563 – 11 พ.ค. 2564 ได้มีการตรวจสอบและดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการและคนต่างด้าวทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการ จำนวน 24,306 ราย/แห่ง ดำเนินคดี จำนวน 698 ราย/แห่ง และตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน 346,449 คน ดำเนินคดี จำนวน 559 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้กำชับให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวที่ทำงานผิดกฎหมาย โดยให้ปฏิบัติงานเชิงรุก และรายงานผลการดำเนินการให้กรมทราบ เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมายอย่างทันท่วงที ทั้งขอฝากถึงนายจ้าง/สถานประกอบการว่า หากรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และจะต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ทั้งนี้ ผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ศูนย์พักคอยนำผู้ติดเชื้อโควิด - 19 พื้นที่เขตคลองเตย (วัดสะพาน) กทม. ช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้านนายกฯ กำชับให้ดูแลประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.พม. ลงพื้นที่ศูนย์พักคอยนำผู้ติดเชื้อโควิด - 19 พื้นที่เขตคลองเตย (วัดสะพาน) กทม. ช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้านนายกฯ กำชับให้ดูแลประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด รมว.พม. ลงพื้นที่ศูนย์พักคอยนำผู้ติดเชื้อโควิด - 19 พื้นที่เขตคลองเตย (วัดสะพาน) กทม. ช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้านนายกฯ กำชับให้ดูแลประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด วันที่ 6 พ.ค. 64 เวลา 10.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ ณ ศูนย์พักคอยนำผู้ติดเชื้อโควิด - 19 พื้นที่เขตคลองเตย (วัดสะพาน) กรุงเทพฯ เพื่อพบปะให้กำลังใจเครือข่ายกระทรวง พม. และมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 200 ชุด พร้อมเวชภัณฑ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้แก่ผู้แทนศูนย์ฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-19โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 หน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกัน นายจุติกล่าวว่า วันนี้ หน่วยงานของรัฐบาลและกระทรวง พม. มาช่วยกันระดมการดูแลในเขตกรุงเทพฯ โดยเราต้องการให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลตั้งใจและไม่ประมาท ซึ่งเราลงพื้นที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนได้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19และวันนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากวัดสะพาน โดยท่านเจ้าอาวาส และตัวแทนชุมชนเป็นอย่างดี จะเห็นว่าภาคประชาชนได้นำความช่วยเหลือมาสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้รองปลัดกระทรวง พม. และรองอธิบดี พส.มาร่วมกันทำงานกับตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยเหลือประชาชน นอกจากชุมชนแห่งนี้แล้ว ยังมีชุมชนอื่นที่เราจะต้องเข้าไปดูแลและขอให้มั่นใจว่าเราจะทำงานอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ควบคุมโรคโควิด-19 ในพื้นที่แห่งนี้ได้แล้ว เราจะต้องพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งต่อไป นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ตนเห็นว่าประชาชนมีความพอใจและมั่นใจกับความปลอดภัยในสุขภาพอนามัยและการบริการดีขึ้น ซึ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทำให้ทุกคนแบ่งหน้าที่กันหมด ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าปัญหาที่เคยติดขัดในช่วงแรก ได้รับการแก้ไขแล้ว ซึ่งต้องขอขอบคุณหน่วยหน้าทั้งแพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ และ อพม. ของชุมชน ที่ทำให้ปัญหาต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี ในส่วนของกระทรวง พม. ทำหน้าที่เป็นตัวเสริม เรามีความใกล้ชิดกับชุมชน เพราะทำงานกับชุมชนมานาน และมีองค์กรที่เข้าใจสามารถสื่อสารกับประชาชนได้รวดเร็ว ในเรื่องการรักษาพยาบาลและอนามัยเป็นหน้าที่ของแพทย์ โดยกระทรวง พม.จะคอยประสานให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างหลังกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายและกำชับให้ดูแลประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด และขอให้ประชาชนมีความมั่นใจในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการในขณะนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย Walk-in ฉีดวัคซีนโควิด เริ่มมิ.ย. หรือความพร้อมของจังหวัด
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 สธ.เผย Walk-in ฉีดวัคซีนโควิด เริ่มมิ.ย. หรือความพร้อมของจังหวัด กระทรวงสาธารณสุข เผยการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด แบบ Walk-in เริ่มมิ.ย. หรือความพร้อมของจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวก ประชาชนเข้าถึงวัคซีนมากที่สุด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วที่สุด กระทรวงสาธารณสุข เผยการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด แบบWalk-in เริ่มมิ.ย. หรือความพร้อมของจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวก ประชาชนเข้าถึงวัคซีนมากที่สุด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วที่สุด วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากความเห็นชอบคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ให้จัดระบบให้บริการวัคซีนโควิด 19 แบบWalk-in อำนวยความสะดวกประชาชนให้เข้าถึงวัคซีนได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 หรือทันทีที่พร้อม โดยจัดสัดส่วนการให้บริการ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มาจากระบบนัดหมายผ่านไลน์และแอปพลิเคชัน หมอพร้อมร้อยละ 30, กลุ่มนัดหมายจากโรงพยาบาล หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง และโรคอ้วน ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 หรือน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม,กลุ่มหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชนร้อยละ 50 และกลุ่มที่ Walk in เดินเข้ามาขอรับบริการ ร้อยละ 20 ทั้งนี้ สามารถปรับสัดส่วนบริการได้ตามความเหมาะสมและสถานการณ์จริงหน้างาน รวมทั้งให้จังหวัดเตรียมจัดระบบเช็คจำนวนประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบ real time และระบุจำนวนสำหรับกลุ่ม Walk in ในแต่ละจุดฉีดเพื่อลดความแออัด หากคิวเต็มแต่ละแห่งจะออกใบนัดให้มารับบริการในวันถัดไป “ขอให้ประชาชนนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านไลน์ “หมอพร้อม” ซึ่งสะดวกและได้รับบริการตรงวันที่นัดหมาย ไม่ไปแออัดที่จุดฉีด ขอให้ทยอยไปรับการฉีดเนื่องจากวัคซีนมีเพียงพอ” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว *******************************13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 ภาคีเครือข่าย พม. ร่วมบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ประสานขอความช่วยเหลือ ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 7 ภาคีเครือข่าย พม. ร่วมบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ประสานขอความช่วยเหลือ ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 7 ภาคีเครือข่าย พม. ร่วมบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภค ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ประสานขอความช่วยเหลือ ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 วันที่ 11 พ.ค. 64 เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เปิดเผยว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับมอบสิ่งของบริจาคจำนวนมากจากหลายภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ รวมทั้งส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนามที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยมีหลายภาคส่วนร่วมกันบริจาค ดังนี้ 1) ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด( มหาชน) โดยคุณสมเกียรติ มรรคยาธร บริจาคข้าวสารหอมมะลิ 1 กก. จำนวน 5,000 ถุง 2) สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย บริจาคข้าวสารหอมมะลิ 5 กก. จำนวน 1,000 ถุง 3) บริษัทพาณิชยการแห่งประเทศไทย โดยคุณประภาดา สาระเอ บริจาคดีเวลล่า สปาเก็ตตี้ จำนวน 500 แพ็ค อะยัม ถั่วขาวกระป๋อง จำนวน 480 กระป๋อง อะยัม ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ จำนวน 20 กระป๋อง และ อะยัม ปลาแมกเคอเรลกระป๋อง จำนวน 240 กระป๋อง 4) บริษัทไทยออล เวลล์เพ้นท์ จำกัด โดยคุณโศภิชฐ์ วงศ์กมลเศรษฐ์ ผู้จัดการทั่วไป บริจาคข้าวหอมมะลิ จำนวน 500 กก. 5) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 62 (หมู่กวาง) โดยคุณวิวรรธน์ เหมมณฑารพ คุณสันติธร ยิ้มละมัย คุณประวิทย์ ยอดวานิช คุณปรียาภรณ์ กยาวัฒนกิจ และเครือข่าย รวมทั้งกลุ่มเพื่อน โดยคุณอรรถศาสตร์ วัฒนคีรี คุณวันเพ็ญ คุณชญานิศ ขุนทอง คุณอุรัยวรรณ์ แสงแก้ว คุณปานจิตต์ ตะเพียนทอง คุณอำนาจ แจ่มแจ้ง คุณยุพิน จงจัดกลาง ดร. พัชราวรรณเจริญพันธุ์ ดร. พรรณมาส พรมพิลา คุณทิพย์วรรณ ลี้เซ่งเฮง คุณอลิสา โกมลทวีเกษม และ คุณสิทธิศักดิ์ ฮะวังจู บริจาคถุงยังชีพ จำนวน 222 ชุด6) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด ( มหาชน ) โดยคุณธีระพงศ์ จันศิริ บริจาคปลากระป๋องซีเล็ค จำนวน 10,000 กระป๋อง และ 7) บริษัท โรงสีสิงห์โตทองคอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยนายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย บริจาค ข้าวสารตราสิงห์โตทอง ถุงละ 1 กก. จำนวน 2,000 ถุง นางสาวแรมรุ้งกล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ดำเนินโครงการการให้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการรับบริจาคสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น และขอให้มั่นใจได้ว่า สิ่งของบริจาคจะเป็นประโยชน์และส่งถึงมือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างแน่นอน นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร น้ำดื่ม นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรแจงการนำเข้าวัคซีนทางเลือกเข้ามาในประเทศต้องเสียภาษี 2 เด้ง 14% ไม่เป็นความจริง
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 สรรพากรแจงการนำเข้าวัคซีนทางเลือกเข้ามาในประเทศต้องเสียภาษี 2 เด้ง 14% ไม่เป็นความจริง ตามที่มีสื่อมวลชนรายงานข่าวกรณีการนำเข้าวัคซีนทางเลือกเข้ามาใช้ในประเทศ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรวม 2 ครั้ง 14% ส่งผลให้วัคซีนมีต้นทุนที่สูงขึ้น นั้น นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ขอเรียนชี้แจงว่า “รายงานข่าวดังกล่าว มีความคลาดเคลื่อนที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับสาธารณชน เนื่องจากในการคำนวณตามระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือ ภาษีขายหักภาษีซื้อ ยกตัวอย่าง เช่น ผู้นำเข้าวัคซีนได้นำเข้าวัคซีนมาในราคา 100 บาท มีภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT จากการนำเข้า 7% คิดเป็นภาษีซื้อ 7 บาท (ซึ่งภาษีซื้อนี้ผู้นำเข้าสามารถนำมาขอคืนได้หรือเอาไปหักออกจากภาษีขายได้) และเมื่อ 7% คือ 7 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณได้ คือ ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ (7 บาท – 7 บาท) = 0 บาท ดังนั้น ที่รายงานข่าวว่าเสียภาษีซื้อ 7 บาท บวกภาษีขายอีก 7 บาท รวมเป็น 14 บาท จึงไม่ถูกต้องแต่อย่างใด” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41705
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA)
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (USTDA) จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “Thailand Railway Modernization Virtual Roundtable” เพื่อหารือโอกาสและแนวทางความร่วมมือระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกาในด้านการพัฒนาระบบราง ในวันที่ 12 พ.ค. 2564 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขร. เข้าร่วมเสวนาออนไลน์ "Thailand Railway Modernization Virtual Roundtable" โดยมี นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) พร้อมด้วยผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้แทนฝั่งไทย) และ Ms. Enoh Ebong รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Trade and Development Agency: USTDA) (ผู้แทนฝั่งสหรัฐอเมริกา) เข้าร่วมการเสวนา ซึ่งรองอธิบดีกรมการขนส่งทางรางได้มีการร่วมบรรยายในหัวข้อ "Thailand’s Rail Transport Infrastructure Development plans" สำหรับงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งฝ่ายไทยมีเป้าหมายในการพัฒนาระบบราง ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งนี้จะมีการหารือร่วมกันในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41707
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 77 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 3 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 3 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พม. ทีม เรามีเรา ลงพื้นที่สีแดง 3 ชุมชน ย่านฝั่งธนบุรี กทม. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 วันที่ 10 พ.ค. 64เวลา 13.30 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมด้วย นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ ณ วัดม่วง (ซอยเพชรเกษม 63 ถนนเพชรเกษม เขตบางแค กทม.) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน ภายใต้ กิจกรรมเรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วยจากนั้นเดินทางไปลงพื้นที่ ณ วัดพรหมสุวรรณสามัคคี (หมู่บ้านเศรษฐกิจ ซอย 12 ถนนเพชรเกษม เขตบางแค กทม.) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ให้กับกลุ่มเปราะบาง และเดินทางต่อไปยังชุมชนวัดโมลีโลกยาราม (ซอยวัดหงษ์รัตนาราม ถนนวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กทม.) เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งทั้ง 3 ชุมชนดังกล่าว มี อพม. และตัวแทนชุมชนเป็นผู้รับมอบสิ่งของเพื่อนำไปส่งต่อให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนต่อไป ทั้งนี้ ชุมชนทั้งหมดเป็นพื้นที่สีแดงที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19 ในวงกว้าง นายอนุกูลกล่าวว่า ตามนโยบายของกระทรวง พม. เรื่องการเปิดศูนย์ปฏิบัติการ ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม เป็นช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและร้องทุกข์จากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และช่วยประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งได้มีการเร่งระดมขอรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและของใช้ที่จำเป็น เพื่อส่งไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยกระทรวง พม. บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน และทีมประเทศไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือร่วมกัน นายอนุกูลกล่าวต่อไปว่า จากการสำรวจของ อพม. ในพื้นที่ 50 เขต ของ กทม. พบว่า มีกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการโรคโควิด-19 และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน จำนวน 5,511 ครัวเรือน วันนี้ ในนามของรัฐบาล โดยกระทรวง พม. บูรณาการการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานครและกระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนกิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทีมประเทศไทยจะตามไปช่วยด้วยการลงพื้นที่สีแดงเพื่อช่วยเหลือ 3 ชุมชนดังกล่าวในพื้นที่ฝั่งธนบุรี รวมจำนวน 165 ครัวเรือน สำหรับภาพรวมของ กทม. เราพยายามที่จะดูแลพื้นที่สีแดงและเร่งเข้าไปช่วยเหลือในลำดับแรกตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการและมีปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นางพัชรีอาระยะกุล) เป็นกรรมการ โดยร่วมกับ กทม. อีกทั้งกระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนการช่วยเหลือระยะกลางผ่านโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยเราจะเข้าไปดูแลรายครัวเรือนว่าหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว จะต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างไรบ้าง เช่น เรื่องการประกอบอาชีพ การศึกษาของลูก และเรื่องอื่นๆ นายอนุกูลกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ส่วนมากเป็นเรื่องการเจ็บป่วยผ่านการช่วยเหลือของกระทรวงสาธารณสุขและ กทม.และมีบางส่วนได้แจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ซึ่งกระทรวง พม.ได้ทำงานเชิงรุก เราพยายามเข้าไปยังชุมชนต่างๆ ในพื้นที่สีแดง เราต้องทำงานทุกวันและต้องแข่งกับเวลา โดยคาดว่า ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เราจะเข้าไปดูแลคนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่สีแดง ไม่เฉพาะคนที่ติดเชื้อเท่านั้น เช่น คนที่มีลูกเล็ก ไม่ได้ทำงาน ซึ่งมีข้อจำกัดในการดูแลครอบครัว นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 เราเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และมีอยู่ทุกพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งทำงานควบคู่กับการลงพื้นที่ช่วยเหลือที่มีการเชื่อมโยงการส่งต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลำดับแรก เมื่อมีการแจ้งขอความช่วยเหลือมายังสายด่วน พม. โทร.1300 เราจะประสานไปยัง สายด่วน 1669 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. และ รมว.กห. ย้ำคุมเข้มชายแดนใต้และตะวันตกให้อยู่ ป้องกันเชื้อที่มากับแรงงานลักลอบเข้าเมือง
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 นรม. และ รมว.กห. ย้ำคุมเข้มชายแดนใต้และตะวันตกให้อยู่ ป้องกันเชื้อที่มากับแรงงานลักลอบเข้าเมือง 13 พ.ค.64 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ กอ.รมน.และ ตร. ณ ศาลาว่าการกลาโหม ย้ำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ให้ทุกเหล่าทัพ และตำรวจ จับตามคุมเข้มเฝ้าระวังชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำอย่างเข้มข้น โดยให้ประสานการทำงานกับ มท.ในพื้นที่ชั้นในเพื่อป้องการลักลอบเข้าเมืองและสินค้าผ่านแดนผิดกฏหมายที่ปัจจุบันพบและจับกุมได้มากขึ้น โดยเฉพาะชายแดนติดเมียนมาและมาเลเซีย ที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังคัดกรองและควบคุมโรคอย่างเข้มข้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังคงรุนแรงจากเชื้อสายพันธุ์ที่ยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทย พร้อมกันนี้ ขอให้ทุกเหล่าทัพ ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือในชุมชนต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยจัดรถครัวสนามเคลื่อนที่ประกอบอาหารและนำสิ่งของบรรเทาทุกข์แจกจ่ายให้กับประชาชน โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่สีแดงและผู้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ โดยขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด และขอให้ระมัดระวังตัวเองในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกัน ขอให้ติดตามตรวจสอบข่าวปลอมที่พบมากขึ้น โดยให้ชี้แจงทำความเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาการลดทอนความร่วมมือ ความเชื่อมั่นและ การสนับสนุนบริหารจัดการควบคุมโรค รวมทั้งการกระจายวัคซีนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันโดยเร็วที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ชัยวุฒิ" เตรียมดันเน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานราคาถูก-ฟรี
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 "ชัยวุฒิ" เตรียมดันเน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานราคาถูก-ฟรี "ชัยวุฒิ" เตรียมดันเน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานราคาถูก-ฟรี "ชัยวุฒิ"รมว.ดีอีเอสเร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเตรียมตั้งคณะทำงานรองรับเพื่อลดความเหลื่อมล้ำคิดค่าบริการราคาถูกหรือไม่เก็บผู้มีรายได้น้อย-ผู้รับผลกระทบจากโควิด จากการประชุมผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดครั้งที่2 / 2564ที่มีนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าสืบเนื่องจากการประชุมTop Executiveครั้งที่ผ่านมาโดยหารือประเด็นสำคัญอาทิการผลักดันให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานเนื่องจากปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของทุกคนทั้งการทำงานการศึกษาการติดต่อสื่อสารขณะนี้กระทรวงดีอีเอสอยู่ระหว่างการเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเสนอแนวทางผลักดันให้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนมีค่าบริการราคาถูกหรือไม่คิดค่าบริการสำหรับผู้มีรายได้น้อยรวมทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19นอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าเรื่องการทำงานระดับภูมิภาคการใช้ระบบe-Officeในหน่วยงานเป็นต้น ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯเปิดเผยว่าสังคมยุคปัจจุบันประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันเพื่อเข้าถึงการสื่อสารติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียเว็บไซต์ต่างๆสามารถเท่าทันความเปลี่ยนแปลงและความเคลื่อนไหวของโลกได้อย่างรวดเร็วและอินเทอร์เน็ตยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19เช่นการลงทะเบียนรับสิทธิเยียวยาจากรัฐบาลการซื้อสินค้าการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ก็ล้วนแต่ต้องมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตรองรับทั้งสิ้นทางกระทรวงดิจิทัลฯจึงพยายามผลักดันให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางมากที่สุด นายชัยวุฒิกล่าวว่าหากดำเนินการสำเร็จจะถือเป็นการช่วยเหลือและลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่ประสบภาวะยากลำบากจากสถานการณ์ตอนนี้เช่นเดียวกับที่ภาครัฐดูแลเรื่องค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาตามสิทธิที่ประชาขนได้รับจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. บันทึกเทปสปอตโทรทัศน์เชิญชวนร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ. บันทึกเทปสปอตโทรทัศน์เชิญชวนร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๔ บันทึกเทปสปอตโทรทัศน์เชิญชวนร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปสปอตโทรทัศน์เชิญชวนร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ ห้องรับรอง ชั้น ๗ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดย บพด.ปทุมธานี ช่วยเหลือครอบครัว 5 ชีวิต นอนใต้สะพานลอยจากผลกระทบโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. โดย บพด.ปทุมธานี ช่วยเหลือครอบครัว 5 ชีวิต นอนใต้สะพานลอยจากผลกระทบโควิด-19 พม. โดย บพด.ปทุมธานี ช่วยเหลือครอบครัว 5 ชีวิต นอนใต้สะพานลอยจากผลกระทบโควิด-19 วันที่ 9 พ.ค. 64เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯนายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมารดาและบุตร 5 คน อาศัยนอนใต้สะพานลอยบริเวณห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากประสบปัญหาตกงาน จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และค้างชำระค่าเช่าบ้านจำนวน 3 เดือน จึงถูกให้ออกจากบ้านเช่า ทำให้มารดาและเด็กจำนวน 5 คนไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ส่วนบิดาเด็กป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ต้องเดินทางกลับไปอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดชัยภูมิ ขณะนี้ กระทรวง พม. โดยบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี (บพด.ปทุมธานี) ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าวและรับเข้าไว้อยู่ในความดูแลชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ รวมถึงแจ้งสิทธิในการให้ความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และได้ประสานไปยังพี่สาวของมารดาเด็ก โดยในเบื้องต้น พี่สาวประสงค์รับตัวมารดาเด็กและเด็กกลับมาอุปการะดูแล ทั้งนี้ บพด.ปทุมธานี จะดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ประเมินความพร้อมของครอบครัวรวมถึงร่วมหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือร่วมกันและในระยะยาว จะดำเนินการติดตามเยี่ยมบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อบูรณการให้ความช่วยเหลือตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนเปราะบางรายครัวเรือน ซึ่งจะมี 12 หน่วยงาน ทีมประเทศไทย เร่งให้ความช่วยเหลือ ทั้งเรื่องที่พัก รายได้อาชีพ และการศึกษา ของบุตร เพื่อให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมอย่างเร่งด่วนต่อไป นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41699
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ผู้พิการแห่งชาติ เคาะขยายเวลาพักชำระหนี้-กู้ยืมเงินฉุกเฉิน-อายุบัตรผู้พิการคุ้มครองสวัสดิการ เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามผู้พิการ
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 คกก. ผู้พิการแห่งชาติ เคาะขยายเวลาพักชำระหนี้-กู้ยืมเงินฉุกเฉิน-อายุบัตรผู้พิการคุ้มครองสวัสดิการ เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามผู้พิการ คกก. ผู้พิการแห่งชาติ เคาะขยายเวลาพักชำระหนี้-กู้ยืมเงินฉุกเฉิน-อายุบัตรผู้พิการคุ้มครองสวัสดิการ เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามผู้พิการ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (12 พ.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ซึ่งมติที่ประชุม เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้พิการภายใต้สถานการณการแพร่ระบาดโควิด19 กล่าวคือ 1.ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้เงินกู้ยืมประกอบอาชีพของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ถึงวันที่ 31 มี.ค. ปีหน้า จากที่ต้องสิ้นสุด 31 มี.ค. 64 2.ขยายเวลาการยื่นขอกู้ยืมเงินจากกองทุนฯ กรณีฉุกเฉิน ที่ให้กู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่มีดอกเบี้ย ปลอดชำระหนี้ จากที่จะหมดเขต สิ้นเดือนนี้ เป็นถึง 30 ก.ย. 64 ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่พิจารณาคำขอกู้ของแต่ละราย ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน นับแต่วันยื่นเรื่อง เพราะที่ผ่านมามีการดำเนินการที่ล่าช้า ทำให้ผู้พิการจำนวนมากเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ มีผู้พิการที่รอการพิจารณาเงินกู้ฉุกเฉิน อยู่ 1.2 หมื่นราย 3.แก้ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯให้องค์กรผู้พิการสามารถเป็นผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินของผู้พิการได้ เพื่อเป็นการเพิ่มการเข้าถึงบริการกู้ยืมเงินกองทุนฯได้มากขึ้น 4.ขยายเวลาอายุบัตรประจำตัวผู้พิการออกไปหกเดือน เพื่อไม่ให้ผู้พิการที่บัตรฯจะหมดอายุในช่วงสถานการณ์โควิด19 ต้องลำบากในการเดินทางมาต่ออายุบัตร และเป็นการรักษาสิทธิและสวัสดิการคนพิการแม้บัตรจะหมดอายุก็ตาม ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวน 5 หมื่นคน 5.เสนอต่อศบค.พิจารณาจัดลำดับความสำคัญการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มผู้พิการที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุและไม่มี7โรคเสี่ยงเรื้อรัง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 8 แสนคน 6.มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเผยแพร่คู่มือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 สำหรับคนพิการ นอกจากมติที่ประชุมฯดังกล่าว นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า รองนายกฯ ยังได้ติดตามการเตรียมความพร้อมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้พิการ ซึ่งจะใช้สถานที่ อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 220 เตียง มีล่ามภาษามือ การดูแลพิเศษ และเปิดให้ผู้ดูแลผู้พิการเข้าพักได้ด้วย โดยเป็นการบูรณาการการทำงานระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และในวันที่ 26 พ.ค. นายจุรินทร์ และกรรมการฯ จะไปตรวจความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ วันที่ 1 มิ.ย. ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41689
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เผยผลประชุม กพช. เตรียมช่วยเหลือคนพิการในสภาวะวิกฤตโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. เผยผลประชุม กพช. เตรียมช่วยเหลือคนพิการในสภาวะวิกฤตโควิด-19 พม. เผยผลประชุม กพช. เตรียมช่วยเหลือคนพิการในสภาวะวิกฤตโควิด-19 เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 64 เวลา 13.30 น.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวแรมรุ้งเปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบวาระเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือคนพิการในสภาวะวิกฤตโควิด-19 จำนวน 5 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) เสนอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาการฉีดวัคซีนให้กับคนพิการจำนวน 8 แสนคน ที่ไม่ใช่กลุ่มผู้สูงอายุและอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยมีช่องทางพิเศษในการรับวัคซีนของคนพิการ (Fast Track) 2) การนำร่องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับคนพิการ ณ อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 3) การแก้ไขระเบียบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการในช่วงสภาวะวิกฤตโควิด-19 โดยขยายอายุบัตรประจำตัวคนพิการออกไปอีก 6 เดือนนับตั้งแต่วันหมดอายุ 4) ขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้เงินกู้ยืมประกอบอาชีพของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสำหรับคนพิการและผู้ดูแล ไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 และ 5) ขยายมาตรการกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (กรณีฉุกเฉิน) เพื่อการประกอบอาชีพในสภาวะวิกฤตโควิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม เรามีเรา ช่วยเหลือเด็กวัย 5 เดือน ขาดคนดูแล เนื่องจากพ่อและแม่ติดเชื้อโควิค-19
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 พม. ทีม เรามีเรา ช่วยเหลือเด็กวัย 5 เดือน ขาดคนดูแล เนื่องจากพ่อและแม่ติดเชื้อโควิค-19 พม. ทีม เรามีเรา ช่วยเหลือเด็กวัย 5 เดือน ขาดคนดูแล เนื่องจากพ่อและแม่ติดเชื้อโควิค-19 วันที่ 8 พ.ค. 64เวลา 16.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เปิดเผยว่าจากกรณีมีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านสายด่วน พม. โทร.1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม เรื่องการขอความช่วยเหลือเด็กวัย 5 เดือน ที่พ่อและแม่ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ไม่มีผู้ดูแลเด็ก จึงได้ประสานมายังกระทรวง พม. เพื่อขอส่งเด็กเข้าระบบการดูแลของกระทรวง พม. โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จากนั้น สายด่วน พม. โทร. 1300 จึงได้แจ้งประสานไปยังสายด่วน 1669 เพื่อประสานเรื่องการเฝ้าดูแลอาการและการกักตัวของเด็กวัย 5 เดือน ในระบบสาธารณสุขก่อน เนื่องจากเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องเฝ้าดูอาการและตรวจโรคซ้ำ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับพ่อและแม่ ทั้งนี้ ดย. ได้เตรียมความพร้อมในการจัดสถานที่รองรับเด็กไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปรับสถานรับเลี้ยงเด็กและศูนย์พัฒนาเด็กบ้านนายแพทย์ประสงค์ สุดสาคร ตู้จินดา ตั้งอยู่ในเขตบางบอนกทม. ซึ่งเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กของ ดย. เป็นศูนย์แรกรับเด็กที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครอง ติดเชื้อโควิด-19 แต่เด็กต้องเข้ารับการตรวจเบื้องต้นแล้ว พบว่าไม่ติดเชื้อควิด-19 ให้มากักตัวเฝ้าดูอาการเพื่อรอตรวจซ้ำ ซึ่งมีการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ จำนวน 6 คน เพื่ออยู่ประจำ โดยสลับช่วงเวลาอยู่ดูแลประจำ และได้จัดเตรียมอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กและได้ประสานเจ้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลเด็ก มีการจัดอาคารสถานที่ สภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ตัวเด็กและเจ้าหน้าที่ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบหลังวิกฤตโควิด-19​ซึ่งมีหลายกลุ่ม​ทั้งเด็ก​ผู้สูงอายุ​คนพิการ​คนไร้บ้าน​และคนไร้ที่พึ่ง​ทาง​กระทรวง พม.​ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต​กทม.​และปริมณฑล​สามารถรองรับได้​ประมาณ​400 คน​ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครือข่ายภาคี พม. ร่วมระดมทุน และมอบสิ่งของบริจาค เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 เครือข่ายภาคี พม. ร่วมระดมทุน และมอบสิ่งของบริจาค เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ เครือข่ายภาคี พม. ร่วมระดมทุน และมอบสิ่งของบริจาค เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ วันที่ 6 พ.ค. 64เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เปิดเผยว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้รับมอบสิ่งของบริจาคจำนวนมากจากหลายภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ รวมทั้งส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนามที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยมีหลายภาคส่วนร่วมกันบริจาค ดังนี้ 1. สถานปฏิบัติธรรมนานาชาติอ่างทองและบริษัทโตโยต้าอ่างทอง บริจาคข้าวสาร จำนวน 5 ตัน ปลากระป๋อง จำนวน 4,000 กระป๋อง และน้ำดื่ม จำนวน 120 แพ็ค 2.บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริจาคแอลกอฮอล์ จำนวน 2,000 ลิตร 3. ชมรมเพื่อนบุญ บริจาคกาแฟ จำนวน 4,500 ซอง 4. บริษัท เอสซีเวอร์ค จำกัด และบริษัท ทูโก จำกัด บริจาคน้ำยาฆ่าเชื้อลาซารัส จำนวน 28 แกลลอน (5 ลิตร) และ 132 ขวด (30 มล. 60 มล. และ 450 มล.) 5. บริษัท โมเดิร์น คาส อินเตอร์เนชั่นแนลคอสเมติคส์ จำกัด บริจาคเจลแอลกอฮอล์ จำนวน 3,602 ขวด 6. สถานธนานุเคราะห์ บริจาค ข้าวสาร จำนวน 200 ถุง น้ำดื่ม จำนวน 500 แพ็ค และนมถั่วเหลือง จำนวน 24 ลัง 7. คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 58 นำโดย พลโท สุรเดช ประเคนรี บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค และเจลแอลกอฮอล์ ขนาด 50 มล. จำนวน 1,000 ขวด มูลค่ารวมทั้งหมด 590,000 บาท 8. บริษัท แปซิฟิค อินเทอร์เน็ต (ประเทศไทย) จำกัด บริจาคเงิน จำนวน 10,000 บาท 9. หจก. เฟเวอร์ริทดีไซน์ มอบเงิน จำนวน 20,000 บาท 10. บริษัท เอบิท มัลติซิสเต็ม จำกัด มอบเงิน จำนวน 10,000 บาท 11. คุณสุวารี พจนานุกูลกิจ มอบเงินจำนวน 10,000 บาท 12. บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มอบเงิน จำนวน 3,000 บาท 13. คุณปาจรีย์ รัตตกุล มอบเงิน จำนวน 1,000 บาท และ 14. คุณศรสกล อดิเทพสถิต มอบเงิน จำนวน 1,000บาท นางสาวแรมรุ้งกล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ดำเนินโครงการการให้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการรับบริจาคสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันโดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สำหรับวันนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น และขอให้มั่นใจได้ว่า สิ่งของบริจาคจะเป็นประโยชน์และส่งถึงมือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างแน่นอน นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ น้ำดื่ม นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" เผย Walk-in ฉีดวัคซีนโควิดเริ่มเมื่อกระจายวัคซีนได้มากใน มิ.ย. และจังหวัดมีความพร้อม
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 "อนุทิน" เผย Walk-in ฉีดวัคซีนโควิดเริ่มเมื่อกระจายวัคซีนได้มากใน มิ.ย. และจังหวัดมีความพร้อม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนนโยบายฉีดวัคซีนโควิด Walk-in ของนายกรัฐมนตรี จะเริ่มเมื่อมีวัคซีนมากเพียงพอในเดือนมิถุนายน และขึ้นกับความพร้อมของแต่ละจังหวัด ส่วนการจัดสรรวัคซีนภายในจังหวัดขึ้นกับคณะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนนโยบายฉีดวัคซีนโควิด Walk-in ของนายกรัฐมนตรี จะเริ่มเมื่อมีวัคซีนมากเพียงพอในเดือนมิถุนายน และขึ้นกับความพร้อมของแต่ละจังหวัด ส่วนการจัดสรรวัคซีนภายในจังหวัดขึ้นกับคณะกรรมโรคติดต่อจังหวัด วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการ Walk-in ฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่า นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เห็นพ้องตรงกันเรื่องนโยบายการฉีดวัคซีนโควิด Walk-in ซึ่งจะเริ่มได้เมื่อมีวัคซีนจำนวนมากคือ ช่วงมิถุนายนนี้เป็นต้นไป กระทรวงสาธารณสุขจะมีวัคซีนหลายล้านโดส ส่วนการเข้าถึงวัคซีนจะมีการนัดผ่านระบบหมอพร้อม ผ่าน อสม. หรือนัดรวมกลุ่มเข้ามาฉีด และการ Walk-in เพื่อความสะดวกจึงต้องมีการเตรียมสถานที่ฉีดที่รองรับคนจำนวนมากได้ เช่น ความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมที่เสนอให้ใช้สถานีกลางบางซื่อ หรือมีหน่วยงานต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา หรือภาคเอกชน ที่มีสถานที่กว้างขวาง เสนอตัวเป็นศูนย์บริการฉีดวัคซีน ช่วยฉีดวัคซีนให้บุคลากรของตนเองและบุคคลในพื้นที่ใกล้เคียง โดยกระทรวงสาธารณสุขยินดีส่งวัคซีนไปให้ ถือเป็นการแบ่งเบาภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข “ทุกศูนย์บริการฉีดวัคซีนจะมีการจัดสรรวัคซีนในส่วนของการนัดผ่านหมอพร้อม 30% นัดเป็นกลุ่มมาฉีด 50% และ Walk-in 20% ซึ่งคนที่จองก็จะได้รับวัคซีนก่อน ดังนั้น คนที่เดินเข้ามาฉีดวัคซีน หากวันนั้นคนเต็มวัคซีนไม่พอก็อาจต้องมาวันหลัง โดยการจัดบริการแบบ Walk-in ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละจังหวัด” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ การกระจายวัคซีนจะจัดสรรไปตามจำนวนที่แต่ละจังหวัดแจ้งเข้ามา จะจัดส่งวัคซีนให้อย่างเพียงพอและไม่ขาดตอน ส่วนการจัดสรรภายในจังหวัดอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ส่วนกรุงเทพมหานคร ขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์โรคโควิด 19 พิจารณาว่า จะให้จัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ไหนอย่างไร กระทรวงสาธารณสุขก็พร้อมให้การสนับสนุน ******************************* 13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ให้เขตสุขภาพที่ 4 ใช้กลไก คกก.โรคติดต่อจังหวัดจัดทำแผนการกระจายวัคซีน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 อนุทิน ให้เขตสุขภาพที่ 4 ใช้กลไก คกก.โรคติดต่อจังหวัดจัดทำแผนการกระจายวัคซีน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 เขตสุขภาพที่ 4 ใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจัดทำแผนการกระจายวัคซีน เน้นฉีดให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรภายในเดือนกันยายน 2564 และฉีดกลุ่ม อสม.ให้ครบทุกคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 เขตสุขภาพที่ 4 ใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจัดทำแผนการกระจายวัคซีน เน้นฉีดให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรภายในเดือนกันยายน 2564 และฉีดกลุ่ม อสม.ให้ครบทุกคน บ่ายวันนี้ (19 พฤษภาคม 2564) ที่โรงพยาบาลบุษราคัม อิมแพค เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 4 เพื่อมอบนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 นายอนุทินกล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ซึ่งตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไปจะมีการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนมาก ขอให้สำรวจความต้องการของประชาชน เสนอจำนวนวัคซีนและแผนการกระจายวัคซีน โดยเน้นย้ำให้เร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้ตามตามเป้าหมายคือร้อยละ 70 ของประชากร ภายในเดือนกันยายน 2564 โดยให้ฉีดผู้ที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมให้ครบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 นอกจากนี้ วัคซีน 1 ขวดซึ่งปกติระบุว่ามี 10 โดส แต่ปริมาณวัคซีนให้มามากกว่า 10 โดส จึงขอให้ฉีดให้ได้ 12 โดส จะช่วยประหยัดงบประมาณและฉีดวัคซีนได้มากขึ้น “แม้จะมีการนัดคิวฉีดวัคซีน แต่ถึงเวลาจริงอาจมีผู้ที่ไม่ได้มาตามนัด ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ เนื่องจากนำวัคซีนออกมาแล้วไม่สามารถนำกลับไปแช่หรือกลับไปสต๊อกได้ ต้องใช้ให้หมด จึงต้องเตรียมผู้เข้ามารับวัคซีนในส่วนนี้ด้วย” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขอให้เร่งฉีดวัคซีนในกลุ่ม อสม.ที่เป็นบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าให้ครบทั้งหมดโดยเร็วเนื่องจากต้องเข้าไปดูแลประชาชนในครัวเรือน ถือว่ามีความเสี่ยง ส่วนหน่วยงาน องค์กรที่รวมกันมาฉีดเป็นกลุ่มจำนวนมาก หากสามารถจัดสถานที่และบุคลากรในการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ****************************************** 19 พฤษภาคม 2564 ***************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งเร่งแก้ปัญหาติดเชื้อในเรือนจำทั่วประเทศ ให้ กทม. ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรใน กทม. อย่างน้อย 5 ล้านคน/ร้อยละ 70 ในเดือน มิ.ย.-ก.ค.เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งเร่งแก้ปัญหาติดเชื้อในเรือนจำทั่วประเทศ ให้ กทม. ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรใน กทม. อย่างน้อย 5 ล้านคน/ร้อยละ 70 ในเดือน มิ.ย.-ก.ค.เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งเร่งแก้ปัญหาติดเชื้อในเรือนจำทั่วประเทศ ให้ กทม. ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรใน กทม. อย่างน้อย 5 ล้านคน/ร้อยละ 70 ในเดือน มิ.ย.-ก.ค. เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ วันนี้ (19 พ.ค.64) เวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงประชาชนและสื่อมวลชน ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ กรณีมาตรการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำ พลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่18พ.ค.ที่ผ่านมาว่า จะเร่งแก้ปัญหาการติดเชื้อในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการตรวจเชิงรุกให้ได้มากและเร็วที่สุด จะจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจำที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก มีการคัดแยกผู้ที่ป่วย หากมีอาการรุนแรงก็จะนำออกมารักษาตามระบบต่อไป แต่หากอาการไม่รุนแรงจะให้พักรักษาในโรงพยาบาลสนามที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการ โดยขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า การรักษาผู้ป่วยในเรือนจำเป็นระบบปิด ดังนั้นโอกาสที่จะมีการแพร่เชื้อออกมาสู่ชุมชนจึงมีน้อยมาก ซึ่งได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดในการดูแลส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด จะไม่ให้มีการเยี่ยมของบุคคลภายนอก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น กรณีการชี้แจงของ ศบค. ในส่วนของตัวเลขผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วถือเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ โดยวันนี้มีผู้ป่วยที่หายป่วยได้กลับบ้านจำนวน 4,450 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้ติดเชื้อ รวมจำนวนผู้หายป่วยสะสมที่ได้กลับบ้านแล้วขณะนี้ 46,942 คน เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า แพทย์ พยาบาล ทั่วประเทศทำงานเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถกลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้ตามปกติ ขณะที่รัฐบาลจะพยายามนำวัคซีนเข้ามาเพื่อฉีดปูพรมให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด กรณีมาตรการดูแลแคมป์คนงานที่พักอาศัยจำนวนมากที่มีการติดเชื้อ ไม่ให้มีการขยายไปในที่ชุมชน นั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายกับกรุงเทพมหานครว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ให้กรุงเทพมหานครดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับคนในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพราะปัจจุบันมีการแพร่เชื้อในชุมชนที่อยู่กันอย่างแออัด โดยจะมีการคัดกรอง ตรวจเชิงรุก ฉีดวัคซีนปูพรม เพื่อป้องกันการระบาด ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และอาจารย์หมอผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อระงับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่เสี่ยง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงการฉีดวัคซีนในส่วนของกรุงเทพมหานคร ว่า ขณะนี้กรุงเทพมหานครมีการจัดสรรวัคซีนให้กับโรงพยาบาล สถานพยาบาล หน่วยงานต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร รวม 231 แห่ง ที่พร้อมจะฉีดวัคซีน นอกจากนี้ จะมีสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล โดยหน่วยงานร่วมกับสถานที่ของเอกชนอีก 25 แห่งที่ได้มีการเปิดทดลองระบบแล้ว ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ไปตรวจเยี่ยมการเตรียมพร้อม ได้แก่ เซ็นทรัลลาดพร้าว สามย่านมิตรทาวน์ เดอะมอลล์ บางกะปิ และขณะนี้มีเปิดให้บริการเพิ่มคือที่บิ๊กซี บางบอน และจะเปิดให้บริการเพิ่มในสถานที่อื่น ๆ เมื่อมีวัคซีนเข้ามา สำหรับความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในกรุงเทพมหานคร มีการฉีดไปแล้ว 556,700 โดส จำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสม 473,000 กว่าราย ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครต้องการให้มีการลงทะเบียนเพื่อจองการฉีดวัคซีนผ่านแอพพลิเคชันหมอพร้อม ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารจัดการการฉีดวัคซีนได้ดีที่สุด ส่วนเรื่องของการจะวอล์คอินหรือไม่อย่างไรนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงช่องทางการลงทะเบียนทั้งหมดมี3ช่องทางหลักคือไลน์หมอพร้อม หรือแอพลิเคชันหมอพร้อมที่จะทราบถึงวันและสถานที่ที่จะฉีดชัดเจนที่ขณะนี้มีกลุ่มผู้ที่ได้รับการจัดลำดับให้ฉีดวัคซีนในเบื้องต้น คือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่อยู่ในกลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม โดยมีผู้ที่ได้ลงทะเบียนอยู่ในระบบของหมอพร้อมมากกว่า 7 ล้านคนแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจประชาชนที่มีความพร้อมที่จะฉีดวัคซีนแล้ว จึงได้มีการทำความเข้าใจกันว่าเรื่องของการที่จะวอล์คอินขอให้ทำความเข้าใจว่าเป็นการวอล์คอินเข้ามาเพื่อรับวัคซีนถ้าหากจุดบริการนั้นมีวัคซีนเพียงพอขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวัคซีนที่จะเข้ามาในประเทศไทยแต่เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือความไม่สะดวกกับประชาชนขอให้ประชาชนเมื่อไปถึงสถานที่ฉีดวัคซีนแล้วแต่ไม่ได้ลงทะเบียนหมอพร้อมมาก่อนก็ขอให้ลงทะเบียนในวันที่วอล์คอินถ้าวันนั้นไปแล้วไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือวัคซีนมีไม่เพียงพอก็จะได้รับทราบวันเวลาที่ชัดเจนที่จะกลับมาอีกครั้ง โดยไม่ต้องกลับมาวอล์คอินอีกในวันรุ่งขึ้นทุก ๆ วันจนกว่าจะได้รับวัคซีนเพราะอาจจะทำให้เกิดความลำบาก ทั้งนี้ การรับวัคซีนสามารถวอล์คอินเข้าไปถ้าวันนั้นมีวัคซีนพอซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้หลายประการเช่นผู้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วไม่มาตามนัดก็จะทำให้มีวัคซีนเหลือในวันนั้นจึงจะจัดให้คนที่เดินเข้ามาฉีดแต่ไม่การันตีว่าจะได้ฉีดในวันนั้นจึงอยากให้ประชาชนได้เข้าใจตรงนี้เมื่อไปแล้ววัคซีนพร้อมก็จะฉีดได้ในวันนั้นแต่ถ้าวัคซีนไม่เพียงพอ จะให้ลงทะเบียนเพื่อที่จะนัดกลับมาอีกครั้งเพื่อความสะดวก นอกจากนี้ ช่องทางที่สาม นายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่า ต้องการปูพรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศให้กับกลุ่มที่พร้อม ซึ่งอาจมีการนัดเป็นกลุ่มคณะต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น พนักงานในส่วนบริการ บุคลากรในโรงงาน ผู้พิการ นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ รวมถึงนักเรียนที่ต้องเดินไปทางศึกษาต่อต่างประเทศ บุคคลกลุ่มเหล่านี้สามารถแสดงความจำนงไปยังสาธารณสุขเพื่อนัดหมายในการเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมจะมีวัคซีนเข้ามาทั้งสิ้น 3,500,000 โดส ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Sinovac ได้มีการเตรียมการกระจายวัคซีนไปยังจุดต่าง ๆ ที่มีการลงทะเบียน รวมถึงบุคลากรด่านหน้าให้ครบถ้วน และสำหรับกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ จะเริ่มฉีดในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ในส่วนของงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่สูงกว่ากระทรวงสาธารณสุข นั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า กระทรวงสาธารณสุขสามารถตั้งงบประมาณภายในกระทรวงได้ ขณะที่หน่วยงานอื่นภายใต้กระทรวงสาธารณสุข สามารถขอรับงบประมาณจากหน่วยงานโดยตรง โดยไม่ผ่านกระทรวงสาธารณสุข ยกตัวอย่าง การตั้งงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมได้มีการปรับลดงบประมาณจากตัวเลขในปี 2563 ลงไปกว่า 18,000 ล้านบาท และในปี 2564 ได้รับจัดสรรงบประมาณลดลงกว่าปี 2563 กว่า 14,200 ล้านบาท โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงกรณีการใช้งบประมาณเพื่อจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม โดยกระทรวงสาธารณสุข ว่า โรงพยาบาลบุษราคัมที่ได้ทำการจัดตั้ง ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ไม่ใช่โรงพยาบาลสนามและไม่ได้เป็นเพียงแค่หอพัก แต่เป็นโรงพยาบาลในลักษณะเต็มรูปแบบ มีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ เครื่องผลิตออกซิเจนที่ทำการต่อท่อเข้าสู่โรงพยาบาลแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไป เครื่องเอกซเรย์เพื่อดูแลคนไข้ไม่ให้มีอาการสาหัสไปมากกว่าเดิม รวมถึงการติดตั้งเครื่องช่วยหายใจด้วย เนื่องจากการจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมมีจุดประสงค์เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยระดับสีเหลืองและสีเขียว รองรับผู้ป่วยเมื่อมีการโทรแจ้งผ่านหมายเลข 1669 และหากผู้ป่วยระดับสีแดงก็จะมีการนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางต่อไป ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากโรงพยาบาลรามาธิบดีและโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลบุษราคัมยังรับรองผู้ป่วยในระดับสีแดงที่ออกจากไอซียูเพื่อทำการรักษาต่อ เพื่อให้โรงพยาบาลมีเตียงรองรับผู้ป่วยที่มีอาการเพิ่มมากขึ้น โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ มากกว่า 20 คน พยาบาล มากกว่า 130 คน และเภสัชกร ผู้ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลบุษราคัม มาจากพื้นที่จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดน้อย รวมถึงบุคลากรจากโรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์ อาทิ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ที่ร่วมอาสาปฏิบัติงานด้วย ขอให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากมีการดูแลเรื่องกายถ่ายเทอากาศตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงระบบบำบัดน้ำเสียด้วยเช่นกัน ในตอนท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมายโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมย้ำว่านายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบในเรื่องของค่าโดยสาร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 205 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมขับเคลื่อนป่าไม้ที่ยั่งยืนเพื่อประชาชน : ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทย-สวีเดน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ทส. ร่วมขับเคลื่อนป่าไม้ที่ยั่งยืนเพื่อประชาชน : ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทย-สวีเดน ทส. ร่วมขับเคลื่อนป่าไม้ที่ยั่งยืนเพื่อประชาชน : ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทย-สวีเดน วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “Sustainable Forestry for the People: Economic benefits and environmental concerns” ภายใต้กิจกรรม “Thailand and Sweden Sustainable Development Forum 2021: From Green and Inclusive Development to Business Opportunities” จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงสตอกโฮล์ม และสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย ในโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สวีเดน 150 ปี ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวชื่นชม สวีเดนในฐานะประเทศผู้นำเศรษฐกิจภาคป่าไม้ที่มีพื้นที่ป่าถึงร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่ประเทศ ซี่งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการป่าไม้กับสวีเดน พร้อมทั้ง ได้น้อมนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง” และได้จัดทำโครงการ “ปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งมีเป้าหมายการปลูกต้นกล้ากว่า 600 ล้านต้น ในพื้นที่ 2.68 ล้านไร่ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงนโยบาย และการดำเนินงานด้านป่าไม้ที่สำคัญของประเทศไทย โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง อาทิ การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน การแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งอนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ไม้เศรษฐกิจที่ปลูกในที่ดินของตนเองได้ และการตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคมที่เข้มแข็ง ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนท้องถิ่นอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่าซึ่งเปรียบเสมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน โดยอาศัยองค์ความรู้ดั้งเดิมของท้องถิ่น นอกจากการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้ตามยุทธศาสตร์ระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ จะเห็นได้ว่าป่าไม้เป็นทรัพยากรที่สามารถจัดการเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มีคุณค่าทั้งในด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและบริการจากระบบนิเวศ การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ป่าไม้จะต้องควบคู่กันไป เพื่อความยั่งยืนสู่ประชาชนทุกภาคส่วน และสามารถส่งต่อสมบัติของเราไปยังคนรุ่นต่อไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้โดยสารสายการบินจะถูกปฏิเสธการเดินทางไปยังภูเก็ต หากฉีดวัคซีนไม่ครบหรือไม่มีเอกสารการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ผู้โดยสารสายการบินจะถูกปฏิเสธการเดินทางไปยังภูเก็ต หากฉีดวัคซีนไม่ครบหรือไม่มีเอกสารการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่จะเดินทางโดยสายการบินต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่สายการบินตั้งแต่ท่าอากาศยานต้นทาง โดยเป็นหลักฐานการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ครบ 2 เข็ม ก่อนหน้านี้จังหวัดภูเก็ตได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยมีการตรวจสอบ Rapid Test ที่ท่าอากาศยานจังหวัดภูเก็ต แต่ล่าสุดตามประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อได้ยกเลิกกระบวนการดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่จะเดินทางโดยสายการบินต้องแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่สายการบินตั้งแต่ท่าอากาศยานต้นทาง โดยเป็นหลักฐานการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ครบ 2 เข็ม หรือเอกสารยืนยันว่าได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการ RT-PCR หรือวิธีการ Antigen Rapid Test ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง และมีผลตรวจเป็นลบหากไม่สามารถแสดงหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้โดยสารจะถูกปฏิเสธการเดินทางโดยสายการบิน นอกจากนี้ ก่อนเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตยังต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” บนสมาร์ทโฟนและยินยอมเปิดแชร์ตำแหน่งที่ตั้ง ตลอดเวลาที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต 2. ลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.gophuget.com ทั้งนี้ เป็นไปตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต และเพื่อให้การเดินทางของผู้โดยสารเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบประกาศของทางจังหวัดปลายทางก่อนการเดินทางเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดปลายทางได้อย่างถูกต้องและมีความสะดวกในการเดินทาง รวมถึงขอให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และสหภาพยุโรป (EU) ยกย่องไทยเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาประมง(IUU) อย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และสหภาพยุโรป (EU) ยกย่องไทยเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาประมง(IUU) อย่างยั่งยืน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และสหภาพยุโรป (EU) ยกย่องไทยเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาประมง(IUU) อย่างยั่งยืน เชิญรัฐมนตรีเกษตร ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ เป็นรัฐมนตรี 1 เดียวของทวีปเอเซียกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีนานาชาติ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (European Commission) ส่งหนังสือเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็น 1 ใน 6 รัฐมนตรี จากประเทศสมาชิก 194 ประเทศ เตรียมขึ้นเวทีระดับโลกกล่าวสุนทรพจน์ (Testimonial Statement) และเข้าร่วมการเสวนา (Panel Discussion) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง (High-Level Event) เรื่อง ข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นี้ นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มอบนโยบายให้กรมประมง ทำงานบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กองทัพเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่างๆ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ กับผู้ประกอบการประมงพานิชย์ และชาวประมงพื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) โดยที่ผ่านมา รัฐบาลไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่และชัดเจน ที่จะขจัดปัญหาการทำประมง IUU เพราะตระหนักดีถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง มิใช่เฉพาะแต่ของไทยแต่หมายถึงทรัพยากรของโลกโดยภาพรวม โดยการแก้ไขปัญหาประมง IUU ได้ถูกกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ได้กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเชื่อมั่นว่าไทยได้วางรากฐานระบบป้องกันการทำประมง IUU ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1. ด้านกฎหมาย 2. ด้านการบริหารจัดการประมง 3. ด้านการบริหารจัดการกองเรือ 4. ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) 5. ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ และ 6. ด้านการบังคับใช้กฎหมายพร้อมกับการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพประมงไทยจนองค์การสหประชาชาติ FAO และสหภาพยุโรป ได้ยกย่องประเทศไทยเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหา IUU อย่างยั่งยืน ทางด้านนายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชทูต (ฝ่ายเกษตร) และผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงโรม (FAO/IFAD/WFP) รายงานเพิ่มเติมว่า การประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในครั้งนี้ จะมีการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและนำเสนอผลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกที่ร่วมลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (Port State Measures Agreement หรือ PSMA) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักต่อการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) และส่งเสริมการดำเนินนโยบายของประเทศสมาชิกให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) เพื่ออนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรประมงและมหาสมุทรอย่างยั่งยืน โดยมีนายฉู ดองหยู ผู้อำนวยการใหญ่ของ FAO นายเวอร์จิเนียส ซิงคาวิสเซียส กรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม มหาสมุทรและประมง และ นางแอ๊กเนส คาลิบาต้า ทูตพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติด้านระบบอาหารโลก ร่วมกล่าวเปิดการประชุมในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ และในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี FAO และประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะร่วมกันจัดกิจกรรมวันต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย (International Day for the Fight against IUU Fishing) เพื่อสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของประเทศสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการประมงให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU Fishing อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ FAO ได้เชิญรัฐมนตรีจาก 6 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา สาธารณรัฐฟิจิ สาธารณรัฐโมซัมบิก สาธารณรัฐเปรู สเปน และประเทศไทย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ และแถลงผลงานความสำเร็จในระดับประเทศในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย เป็นรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียเพียงประเทศเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่สำคัญระดับโลกในครั้งนี้.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน แนะ “อาชีพอิสระ 2021” ทางเลือกสุดปัง เพิ่มรายได้ช่วงโควิด – 19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 กระทรวงแรงงาน แนะ “อาชีพอิสระ 2021” ทางเลือกสุดปัง เพิ่มรายได้ช่วงโควิด – 19 กระทรวงแรงงานเตรียมข้อมูลอาชีพทางเลือก 186 อาชีพ ให้บริการ ผู้มีเวลาว่าง ผู้ว่างงาน หรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม เพิ่มโอกาสมีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำช่วงสถานการณ์โควิด -19 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ที่ส่งผลต่อการประกอบอาชีพของประชาชนเป็นวงกว้าง ทั้งจากการปรับลดกำลังการผลิต การลดการทำงานล่วงเวลา และการลดวันทำงาน ทำให้แรงงานจำนวนไม่น้อยมีชั่วโมงทำงานลดลง กระทรวงแรงงานจึงได้เตรียมข้อมูลอาชีพทางเลือกไว้ให้บริการ สำหรับผู้ที่มีเวลาว่างมากขึ้น ผู้ว่างงาน หรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม เพื่อเพิ่มโอกาสมีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำในช่วงสถานการณ์โควิด -19 หรือเป็นแนวคิดเพื่อจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ และอาจทำเป็นอาชีพหลักได้ในอนาคต โดยข้อมูล “อาชีพอิสระ 2021” แบ่งเป็น 10 ประเภทอาชีพ รวมทั้งสิ้น 186 อาชีพ ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ที่ลงทุนน้อย ผลตอบแทนมาก และทำได้ง่าย ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมข้อมูลอาชีพและคลิปสาธิตการประกอบอาชีพ ได้ทางเว็บไซต์ www.doe.go.th/vgnew ของกองส่งเสริมการมีงานทำ กรมการจัดหางาน ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทำและส่งเสริมประกอบอาชีพให้แก่ประชาชน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรค หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ โดยปรับเปลี่ยนวิธีและช่องทางการให้บริการประชาชนในรูปแบบเดิม เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมีทั้งข้อมูลและคลิปแนะนำการประกอบอาชีพที่ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา รวมทั้งสามารถศึกษาซ้ำได้ด้วยตนเองจนกว่าจะเข้าใจ สำหรับ “อาชีพอิสระ 2021” ที่กรมการจัดหางานรวบรวมไว้ มีด้วยกัน 10 ประเภทอาชีพอิสระ ดังนี้ 1.ประเภทการขายและการให้บริการ อาทิ รับจ้างพาสุนัขเดินเล่น รับจ้างทำเซอไพรส์ รับจ้างเล่นเกม รับกดบัตรคอนเสิร์ตออนไลน์ รับดูดวง และรับจ้างพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล 2.ประเภทการใช้เทคนิคและความรู้เฉพาะด้าน อาทิ รับทำโมเดล รับสร้างและตอบแบบสอบถาม ทำหนังสือ E- book 3.ประเภทการออกแบบ อาทิ รับทำ Sticker Line รับทำ Resume และ Portfolio รับออกแบบโลโก้ 4.ประเภทการสอน อาทิ รับสอนโหราศาสตร์ สอนลงทุน/เล่นหุ้น เทรนเนอร์ออนไลน์ 5.ประเภทงานประดิษฐ์ หัตถกรรม และภูมิปัญญา อาทิ ทำเคสโทรศัพท์ จัดช่อดอกไม้ธนบัตร ทำเย็บหน้ากากอนามัย สายคล้องหน้ากากอนามัย ทำเหรียญโปรยทาน 6.ประเภทการตัด – เย็บ อาทิ รับซ่อมตุ๊กตา เย็บเสื้อผ้าสุนัข รับตัด - เย็บ/แก้ไขเสื้อผ้า 7.ประเภทการทำอาหาร อาทิ ทำอาหารเพื่อสุขภาพ ทำซูชิ เบเกอรี่ โมจิไอศกรีม 8.ประเภทการให้คำปรึกษา อาทิ รับให้คำปรึกษาวางแผนภาษีบุคคลธรรมดา/นิติบุคคล รับวางแผนการเดินทาง ที่ปรึกษาทางกฎหมาย 9.ประเภทการเขียนและรีวิว อาทิ รับรีวิวอาหาร/ร้านอาหาร รับโปรโมทสินค้า รีวิวสินค้าและบริการ 10.ประเภทการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ อาทิ ปลูกผักออแกนิค เพาะเห็ด เพาะพันธุ์ปลา/เลี้ยงปลา ทำปุ๋ยมูลไส้เดือน ทั้งนี้ ผู้สนใจที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41896
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามการใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าในภาคการขนส่งทางน้ำ พร้อมดันเรือไฟฟ้าเจ้าพระยาใช้เต็มรูปแบบ 23 ลำ ในเดือนสิงหานี้
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามการใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าในภาคการขนส่งทางน้ำ พร้อมดันเรือไฟฟ้าเจ้าพระยาใช้เต็มรูปแบบ 23 ลำ ในเดือนสิงหานี้ ... วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงคมนาคม อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมผ่านแอปพลิเคชั่นซูม ร่วมกับอธิบดีกรมเจ้าท่าและผู้บริหารกรมเจ้าท่า เพื่อติดตามความก้าวหน้าการพัฒนายานพาหนะด้วยพลังงานไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตการเดินทางและรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งได้เริ่มให้บริการในเส้นทางต่างๆ รวมทั้งที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ดังนี้ •เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา : ตั้งแต่ท่าเรือพระนั่งเกล้าไปถึงท่าเรือสาทร ปัจจุบันให้บริการเรือไฟฟ้าและมีแผนเพิ่มเติมเรือที่ให้บริการ -เดือนพฤษภาคม เรือให้บริการ 8 ลำ ค่าโดยสาร 20 บ./คน/เที่ยว -เดือนมิถุนายน เรือให้บริการ 12 ลำ ค่าโดยสาร 20 บ./คน/เที่ยว -เดือนกรกฎาคม เรือให้บริการ 23 ลำ ค่าโดยสาร 20 บ./คน/เที่ยว -เดือนสิงหาคม เรือให้บริการ 23 ลำ ค่าโดยสารตามที่กรมเจ้าท่ากำหนด และเรือท่องเที่ยวอีก 4 ลำ รวมทั้งสิ้น 27 ลำ •เส้นทางคลองแสนแสบ : ขณะนี้ผู้ประกอบการได้ต่อเรือเหล็กแล้วจำนวน 5 ลำ และอยู่ระหว่างการปรับปรุงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปี 64 นอกจากนั้น กทม. ได้พัฒนาเส้นทางส่วนต่อขยายตั้งแต่ช่วงวัดศรีบุญเรืองไปจนถึงมีนบุรี ระยะทาง 11.5 ก.ม. ให้บริการด้วยเรือไฟฟ้าจำนวน 12 ลำ โดยจะเริ่มให้บริการภายในเดือนกันยายน 64 นี้ •เส้นทางคลองผดุงกรุงเกษม : ปัจจุบันให้บริการเรือไฟฟ้า -เดือนพฤษภาคม เรือให้บริการ 7 ลำ ไม่จัดเก็บค่าโดยสาร -เดือนมิถุนายน เรือให้บริการ 8 ลำ ไม่จัดเก็บค่าโดยสาร •เส้นทางคลองดำเนินสะดวกจ.ราชบุรี : เป็นโครงการนำร่องเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ปัจจุบันให้บริการจำนวน 3 ลำ และหากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น กรมเจ้าท่ามีแผนเพิ่มจำนวนเรือไฟฟ้า รวมทั้งการขอความร่วมมือประชาชนที่ใช้เรือในการสัญจร ให้ปรับเปลี่ยนจากระบบเครื่องยนต์เป็นระบบไฟฟ้าต่อไป เส้นทางคลองอัมพวา จ.สมุทรสงคราม : มีแผนพัฒนาเรือไฟฟ้าเพื่อใช้ในการท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยริมฝั่งคลอง โดยเฉพาะเรื่องของเสียงและเป็นการรักษาสภาพแวดล้อม การท่องเที่ยวทางทะเล : ปัจจุบันให้บริการจำนวน 1 ลำ ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เส้นทางท่าเรือสิชลถึงท่าเรือเขาพรายดำ และมีแผนเพิ่มเติมอีก 1 ลำ ภายในสิ้นปี 2564 แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น ผู้ประกอบการมีแผนเพิ่มจำนวนเรือให้บริการจำนวน 60 ลำ ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ยังได้เร่งผลักดันโครงการ Taxi Boat : Feeder เพื่อเชื่อมการเดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยากับคลองแขนงต่างๆ ของ กทม.ให้เป็นระบบเดียวกัน โดยนำเรือไฟฟ้าหรือTaxi Boat มาให้บริการรับส่งประชาชนในคลองแขนง เพื่อเป็นการบริการประชาชนในการเดินทางให้สะดวกยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ทีม "เรามีเรา" มอบผักสดให้ครัวกลาง วัดสะพาน เขตคลองเตย ประกอบอาหารให้กลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 พม. ทีม "เรามีเรา" มอบผักสดให้ครัวกลาง วัดสะพาน เขตคลองเตย ประกอบอาหารให้กลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 พม. ทีม "เรามีเรา" มอบผักสดให้ครัวกลาง วัดสะพาน เขตคลองเตย ประกอบอาหารให้กลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 วันที่ 18 พ.ค. 64เวลา 12.00 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมด้วย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ ณ วัดสะพาน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เพื่อมอบผักสดซึ่งได้รับบริจาคจากตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี ให้กับครัวกลางวัดสะพาน นำไปประกอบอาหารและช่วยเหลือแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและประชาชนในชุมชนที่เดือดร้อนจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ภายใต้กิจกรรม “เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย” นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้ง เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน และในวันนี้ กระทรวง พม. ได้นำผักสด จำนวน 5,000 กิโลกรัม ซึ่งได้รับบริจาคจากตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี นำไปมอบให้กับครัวกลางของชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อประกอบอาหารและนำไปช่วยเหลือแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและประชาชนในชุมชนที่เดือดร้อน ได้แก่ 1. ครัวกลางวัดสะพาน เขตคลองเตย 2. ครัวกลางบ้านมั่นคงสภาวังทองหลาง 3. ครัวกลางชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู เขตสาทร 4. ครัวกลางบ้านมั่นคงชุมชนคลองลัดภาชี เขตภาษีเจริญ และ 5. ครัวกลางบ้านมั่นคงประชาสามัคคี บางพลัด นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชน ร่วมบริจาคสิ่งของที่จำเป็น อาทิ อาหารกล่องพร้อมทาน วัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร (อาหารสด และอาหารแห้ง) ข้าวสาร น้ำดื่ม นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน  กำชับนายนายจ้าง/สถานประกอบการ ดูแลคนต่างด้าวตามมาตรการป้องกันโควิด - 19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 กระทรวงแรงงาน กำชับนายนายจ้าง/สถานประกอบการ ดูแลคนต่างด้าวตามมาตรการป้องกันโควิด - 19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงกังวลการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ กำชับนายจ้างดูแลสถานที่ทำงาน และแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 จากกรณีที่พบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้างช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบหมายกรมการจัดหางานเร่งประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกัน และปฏิบัติตัว ในสถานที่ทำงานตามมาตรการของ ศบค. แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เป็นภาษาประจำชาติ(ภาษากัมพูชา ลาวและเมียนมา) ของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีขอให้นายจ้างกำชับให้แรงงานต่างด้าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงานของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 มีการประสานนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่ของตนเอง ให้ทราบมาตรการป้องกันและควบคุมโรค รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบการ โดยกำชับนายจ้างให้ดูแลสถานประกอบการให้มีความสะอาดปลอดภัย ถูกสุขลักษณะตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องควบคุมให้แรงงานต่างด้าวในความดูแลเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อตัวแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ ทานอาหารในจานตนเอง งดเว้นการรวมกลุ่มกัน เน้นทานอาหารปรุงสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อ งดการรวมกลุ่มสังสรรค์หลังเลิกงาน อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีที่ถึงที่พัก เพื่อป้องกันเชื้อที่ติดตามร่างกาย แพร่สู่ครอบครัว และหากมีอาการผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ ควรแจ้งหัวหน้างาน หรือนายจ้างทันที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมหารือ SEAC วางแนวทางในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล เน้นพัฒนานวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ขับเคลื่อนประเทศยุคดิจิทัล
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมหารือ SEAC วางแนวทางในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล เน้นพัฒนานวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ขับเคลื่อนประเทศยุคดิจิทัล ดีอีเอส ร่วมหารือ SEAC วางแนวทางในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล เน้นพัฒนานวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ขับเคลื่อนประเทศยุคดิจิทัล เมื่อวันที่19พฤษภาคม2564นายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ขับเคลื่อนประเทศยุคดิจิทัลณห้องประชุมMDES 2ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีนางอริญญาเถลิงศรีกรรมการผู้จัดการSEAC (ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียนหรือSoutheast Asia Center)ร่วมหารือถึงแนวทางในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล ทั้งนี้ทางSEACได้ร่วมกับHaierบริษัทด้านนวัตกรรมชั้นนำของโลกจัดตั้งศูนย์วิจัยและจัดการนวัตกรรมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมองค์กรและการเรียนรู้เชิงประยุกต์สำหรับองค์กรทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อขับเคลื่อนสู่การทรานส์ฟอร์มองค์กรทางศูนย์ฯยังมุ่งสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมต่างๆเช่นด้านInternet of Things (IoT)ตลอดจนร่วมผลิตกำลังผลด้านนวัตกรรมร่วมกับสถาบันวิทยสิริเมธีย์(VISTEC)ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EECi)ซึ่งดูแลโดยกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) พร้อมกันนี้นายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ได้ให้ข้อมูลว่าทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(depa)ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาบุคลากรดิจิทัลในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล(EECd)ถ้าทางSEACและHaierได้เข้ามาร่วมพัฒนากำลังคนดิจิทัลด้วยก็จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต *********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน”
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พงศศิษฏ์ สิงหทัศน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเวลา ๑๑.๐๐ น. มอบอาหารกลางวัน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลราชวิถี โดยมีนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลราชวิถี โดยมี นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เปิดให้รถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีน COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก เปิดให้รถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีน COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กรมการขนส่งทางบก เปิดให้รถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีน COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะต่างจังหวัด ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัด นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีให้เร่งรัดการฉีดวัคซีน COVID-19 และกำหนดเป็นวาระแห่งชาตินั้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้แก่ผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 24 - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในระบบขนส่งสาธารณะ โดยให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องสำรวจและรวบรวมรายชื่อผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท เพื่อจัดการให้บริการอย่างทั่วถึงและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงขอให้ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ลงทะเบียนภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เพื่อรวบรวมรายชื่อส่งให้กระทรวงคมนาคมจัดกลุ่มการให้บริการวัคซีนแก่ผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมทุกประเภทได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง โดยสามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ 1. รถโดยสารประจำทางหมวด 1 หมวด 4 เอกชน และรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง ลงทะเบียนได้ที่ผู้ประกอบการขนส่งที่ตนสังกัดอยู่ หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. 2. รถยนต์สามล้อรับจ้าง (รถตุ๊กตุ๊ก) ลงทะเบียนได้ที่สหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิก หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. 3. รถจักรยานยนต์สาธารณะ ลงทะเบียนได้ที่หัวหน้าวินที่ผู้ขับขี่เป็นสมาชิกภายในวิน หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. และสำนักงานขนส่งมหานคร พื้นที่ 1 - 5 4. รถแท็กซี่นิติบุคคล ลงทะเบียนได้ที่นิติบุคคลหรือสมาคมที่สังกัด หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. 5. รถแท็กซี่ส่วนบุคคล ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีน ขบ. จะส่งข้อความ SMS แจ้งวันและเวลาให้ทราบก่อนถึงวันที่กำหนดฉีดตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ ดังนั้น ในการลงทะเบียนจึงขอให้ระบุข้อมูลปัจจุบันที่สามารถติดต่อได้และตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย สำหรับข้อปฏิบัติในวันที่เดินทางไปฉีดวัคซีน ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนเตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และแต่งกายด้วยชุดที่ใช้ในการประกอบอาชีพให้บริการรถโดยสารสาธารณะแต่ละประเภท เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถอำนวยความสะดวกและให้เข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. หรือสายด่วน 1584 สำหรับผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาคลงทะเบียนหรือสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดนั้น ๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41865
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง รับลูก นายกฯ สั่ง ดูแลแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุระเบิดในอิสราเอล
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 รมว.เฮ้ง รับลูก นายกฯ สั่ง ดูแลแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุระเบิดในอิสราเอล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี ห่วงใยแรงงานไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากแรงระเบิดในอิสราเอล สั่งการดูแลช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายในทันที เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งมีการโจมตีโดยกลุ่มฮามัสที่โมชาฟ โอฮัด (Ohad) ในเมืองเอชโคล (Eshkol) ซึ่งอยู่ห่างจากฉนวนกาซ่า 14 กิโลเมตรนั้น ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด และสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งลงพื้นที่แจ้งความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้ญาติพี่น้องและครอบครัวของแรงงานไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทราบในทันที จากรายงานของฝ่ายแรงงานฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า ได้รับแจ้งข้อมูลจากนาย Eyal Siso (เอล ไซโซ) รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลว่า จากการโจมตีด้วยจรวดโดยกลุ่มฮามัสที่โมชาฟ โอฮัด (Ohad) ในเมือง เอชโคล (Eshkol) ซึ่งอยู่ห่างจากฉนวนกาซ่า ประมาณ 14 กิโลเมตร เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เวลา 14.35 น.แรงระเบิดทำให้คนงานไทย เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 7 ราย โดยแรงงานไทยที่เสียชีวิต 2 ราย ทราบชื่อคือ 1) นายวีรวัฒน์ การันบริรักษ์ อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดเพชรบูรณ์ และรายที่ 2) คือ นายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 24 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ แรงงานไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้ารับการผ่าตัดรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 ราย คือ นายอัตรชัย ธรรมแก้ว อายุ 28 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี และจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีได้รับบาดเจ็บอีก 7 ราย ดังนี้ 1) นายณรงค์ศักดิ์ รอดชมพู อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี 2) นายเชษฐา ผลาพรม อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี 3) นายธนดล ขันธชัย อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอุดรธานี 4) นายปรีชา แซ่ลี้ อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดเชียงราย 5) นายสมศักดิ์ จันทร์ภักดี อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ 6) นางสาวจรัสศรี กล้าแข็ง อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดหนองคาย 7) นายจักรี รัตพลที อายุ 31 ปี มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดหนองบัวลำภู นายสุชาติยังกล่าวถึง ความช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะได้รับค่าตอบแทนจากสำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของอิสราเอล (National Insurance Institute) กรณีบาดเจ็บหรือพิการ จะได้รับค่าทดแทน ดังนี้ บาดเจ็บหรือพิการ 0-10% ไม่ได้รับค่าทดแทน นอกจากค่าจ้างในช่วงที่ทำงานไม่ได้เพราะบาดเจ็บ บาดเจ็บหรือพิการ 10-19% ได้รับเงินก้อนครั้งเดียว ไม่เกิน 150,000 เชคเกล (ประมาณ 1,500,000 บาท) บาดเจ็บหรือพิการ เกิน 20% ขึ้นไป จะได้รับค่าทดแทนเป็นรายเดือนทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต โดยคำนวณจากเปอร์เซ็นต์สูญเสีย หาก 100% จะได้รับเดือนละประมาณ 6,000 เชคเกล (ประมาณ 60,000 บาท) 2. กรณีเสียชีวิต ภรรยาและบุตรของผู้เสียชีวิตทุกคนจะได้รับเงินช่วยเหลือทุกเดือน จนกว่าภรรยาจะแต่งงานใหม่ หรือลูกมีอายุครบ 18 ปี โดยภรรยาจะได้รับประมาณ 60% ของ 6,000 เชคเกลทุกเดือน (ประมาณ 36,000 บาทบุตร จะได้รับประมาณ 10-20% ของ 6,000 เชคเกลทุกเดือน (ประมาณ 6,000 – 12,000 บาท) 2.2 กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีได้รับบาดเจ็บประสบอันตรายในต่างประเทศ จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 30,000 บาท กรณีสมาชิกเสียชีวิตในต่างประเทศจะได้เงินช่วยเหลือจำนวน 80,000 บาท แบ่งออกเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 40,000 บาท ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการจัดการศพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท สำหรับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศอิสราเอลปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดสรรโควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในภาคเกษตรประเทศอิสราเอล จำนวน 5,099 คน ได้ดำเนินการจัดส่งไปแล้ว จำนวน 3,100 คน โดยรัฐอิสราเอลจะส่งเครื่องบินเหมาลำมารับทุกวันพฤหัสบดี เวลา 09.00 น. สัปดาห์ละประมาณ 250 คน สำหรับค่าใช้จ่ายเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะอยู่ที่คนละ 50,000 บาท สัญญาจ้าง 3 ปี จากนั้นสามารถต่อได้อีก 2 ปี รวมเป็น 5 ปี มีรายได้เฉลี่ยคนละประมาณ 45,000 – 50,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ ได้กำชับไม่ให้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในพื้นที่ที่เสี่ยงภัยหรือเป็นอันตรายต่อแรงงานไทย และได้สั่งการให้ฝ่ายแรงงานไทยฯ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ติดตามดูแลคนไทยที่ไปทำงานอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เชิญชวนรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2564 “เลิกสูบ ลดเสี่ยง คุณทำได้”
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 สธ. เชิญชวนรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2564 “เลิกสูบ ลดเสี่ยง คุณทำได้” กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พ.ค. 2564 #เลิกสูบ ลดเสี่ยง คุณทำได้ เพื่อส่งเสริมให้เลิกสูบผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ลดแพร่กระจายเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก31 พ.ค. 2564 #เลิกสูบ ลดเสี่ยง คุณทำได้ เพื่อส่งเสริมให้เลิกสูบผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ลดแพร่กระจายเชื้อโควิด 19 วันนี้ (19 พฤษภาคม 2564) ณกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ นพ.แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยและศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และประธานคณะอนุกรรมการด้านบำบัดรักษา และฟื้นฟูผู้เสพติดผลิตภัณฑ์ยาสูบ แถลงข่าวการรณรงค์เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2564 พร้อมเปิดตัวสัญลักษณ์รณรงค์ภายใต้คำขวัญ “เลิกสูบ ลดเสี่ยงคุณทำได้” นายอนุทินกล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก และปีนี้ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ว่า “ COMMIT TO QUIT”เพื่อให้ 180 ประเทศสมาชิกร่วมรณรงค์ผลักดันเชิงนโยบายและจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักถึงพิษภัยและอันตรายของบุหรี่ทุกประเภท ส่งเสริมให้ผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกเลิกบุหรี่ให้ได้ 100 ล้านคน สำหรับประเทศไทย ได้กำหนดประเด็นเน้นย้ำสื่อสารไปยังประชาชน ภายใต้คำขวัญ “เลิกสูบ ลดเสี่ยง คุณทำได้” เนื่องจากในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด 19) พบว่า พฤติกรรมการสูบบุหรี่ถือเป็นพฤติกรรมเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายและโอกาสรับหรือสัมผัสเชื้อได้ เนื่องจากขณะสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นสูบบุหรี่ธรรมดา หรือสูบบุหรี่ไฟฟ้า ผู้สูบไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และใช้มือในการหยิบบุหรี่เข้าปาก ส่วนใหญ่ไม่มีการล้างมือให้สะอาดก่อนสูบ และมีรายงานพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 มีประวัติการสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนใหญ่มักมีสุขภาพปอดไม่แข็งแรง ทำให้มีอาการรุนแรง และเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ “ขอเชิญชวนผู้สูบบุหรี่ ใช้โอกาสนี้เริ่มต้นการเลิกสูบบุหรี่ ซึ่งนอกจากจะทำลายสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดโครงการระบบบริการเลิกบุหรี่แบบครบวงจร ช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ทุกสิทธิประโยชน์ได้เข้าถึงบริการและรับคำปรึกษา โทรฟรีสายด่วนเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ โทร.1600 หรือเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศและได้ผลักดันยาช่วยเลิกบุหรี่เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเลิกบุหรี่ได้มากยิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว นพ.แดเนียลเคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยกล่าวว่า มีมากกว่า100 เหตุผลที่เราควรเลิกสูบบุหรี่ และหนึ่งในเหตุผลที่เหมาะสมกับช่วงเวลานี้คือ การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตเมื่อติดโรคโควิด 19 นอกจากนั้น มาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบที่เข้มแข็ง เช่น การขึ้นภาษีบุหรี่ และเพิ่มการเข้าถึงบริการช่วยเลิกบุหรี่จะช่วยลดการบริโภคยาสูบในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรีกล่าวว่า การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการเลิกบุหรี่ในประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ สสส. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จะร่วมมือกันขับเคลื่อนและดำเนินการในทุกด้านไปพร้อมกัน ได้แก่ ด้านระบบบริการ จะร่วมกันผลักดันให้งานบริการเลิกบุหรี่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการทำงานระดับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และผลักดันให้สายด่วนเลิกบุหรี่1600 เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และด้านเวชภัณฑ์ในการบำบัดการเสพติดนิโคติน จะร่วมกันผลักดันให้ยาที่ใช้ในการรักษาการเสพนิโคตินเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะเลิกบุหรี่สามารถเข้าถึงยาและบริการได้ง่ายยิ่งขึ้น ********************************* 19 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูน่าโลก ครั้งที่ 16
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ทูน่าโลก ครั้งที่ 16 “ไทย” เป็นเจ้าภาพร่วมจัดประชุมใหญ่ “ทูน่าโลก ครั้งที่ 16” ใน Theme “การก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก (โควิด - 19) ของอุตสาหกรรมปลาทูน่าโลก” พร้อมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมปลาทูน่าโลกสู่ความยั่งยืน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดการประชุมและจัดแสดงสินค้า “ทูน่าโลก ครั้งที่ 16” (The Sixteenth INFOFISH World Tuna Trade Conference and Exhibition - Virtual) หรือ “INFOFISH TUNA 2021” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 21 พฤษภาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก ทาง www.tuna2021.vfairs.com ว่า การประชุมและจัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง INFOFISH ร่วมกับกรมประมง (DOF) สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย (TTIA) คณะกรรมาธิการปลาทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย (IOTC) คณะกรรมาธิการปลาทูน่าเขตร้อนทวีปอเมริกา (IATTC) และคณะกรรมาธิการประมงแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและตอนกลาง (WCPFC) ที่กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ 2 ปี และประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมมาแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งมุ่งหวังที่จะให้งานดังกล่าวเป็นการประชุมทางด้านวิชาการและการค้าปลาทูน่าของโลกที่ใหญ่ที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในอุตสาหกรรมปลาทูน่าอย่างรอบด้าน อาทิ ความรู้ทางวิชาการ สภาวะทรัพยากรปลาทูน่าทั่วโลก การบริหารจัดการทรัพยากรปลาทูน่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การกำหนดมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ การค้าและการตลาด ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในเชิงธุรกิจ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเจรจาทางธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายภายในงาน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน สำหรับผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปลาทูน่านั้น เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีห่วงโซ่คุณค่าทางการค้าสูง อีกทั้งตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ในปี 2020 มีรายงานว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าของโลก อยู่ที่ประมาณ 3,042,000 ตัน ปริมาณเพิ่มขึ้น 14.20% จากปี 2015 และการประมงปลาทูน่าเชิงพาณิชย์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ไม่ส่งผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Blue economy) ซึ่งปลาทูน่ากระป๋องหรือปลาทูน่าดิบ (ซาชิมิ) ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าที่มีความต้องการสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่สําคัญของโลก และทูน่ายังมีความสำคัญในห่วงโซ่อาหารในน่านน้ำเขตร้อนและเขตอบอุ่น ที่เกื้อกูลวิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวประมงพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมปลาทูน่ากําลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของปลาทูน่า และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าว่าไม่ได้มาจากการประมง IUU และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งเป็นไปเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนของทรัพยากรปลาทูน่าของโลก “ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าที่มีคุณภาพให้กับตลาดโลก ได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของทรัพยากรปลาทูน่า ซึ่งถือว่าเป็นต้นทางที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่า โดยการสร้างระบบการควบคุม และระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบแหล่งที่มาของปลาทูน่าว่ามาจากการทำประมงที่ถูกต้องและได้มาตรฐานสากล และขอสนับสนุนให้ทุกประเทศและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันขับเคลื่อนดำเนินการ เพื่อให้อุตสาหกรรมปลาทูน่าเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และสนับสนุนการทำประมงที่ยั่งยืนภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” นำ WHO-สรพ. เยี่ยมชมระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดของ สบยช.
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 “สาธิต” นำ WHO-สรพ. เยี่ยมชมระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดของ สบยช. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และสรพ. เยี่ยมชมระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ของสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี พัฒนาศักยภาพให้ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลืองได้ 234 เตียง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และสรพ. เยี่ยมชมระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ของสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี พัฒนาศักยภาพให้ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลืองได้ 234 เตียง เน้นผู้ป่วยโควิดติดยาเสพติดและมาเป็นครอบครัว วันนี้ (19 พฤษภาคม 2564) ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) จ.ปทุมธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ดร.ริชาร์ด บราวน์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานหอผู้ป่วยโควิด ฯ ของกรมการแพทย์ ดร.สาธิตกล่าวว่า วันนี้ได้เชิญผู้แทนองค์การอนามัยโลก และสรพ. มาเยี่ยมชมการดำเนินงานหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย ฯ (Extended Cohort Ward)ของสบยช. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยยาเสพติด ได้พัฒนาศักยภาพให้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มสีเขียว (ไม่มีอาการ) และ สีเหลือง (มีอาการปานกลาง) ได้ โดยมีทีมปฏิบัติการฉุกฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะภัยพิบัติ (Thailand Emergency Medical Team : Thailand EMT)วางระบบและแนวทางการรักษาให้กับทีมบุคลากรการแพทย์ที่มาปฏิบัติงาน ซึ่งระบบการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิด 19 เป็นจุดแข็งของประเทศไทย โดยที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามและHospitel (ฮอลพิเทล) เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด 19 อาการสีเขียวจำนวนมาก และเพิ่มจำนวนเตียงสำหรับรับผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลือง ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2564 สบยช. ได้เปิดหอผู้ป่วยโควิดเฉพาะกิจ (Cohort Ward)จำนวน 34 เตียง และได้เปิดหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย (Extended Cohort Ward)เพิ่มอีก 200 เตียง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 รวมทั้งหมด 234 เตียง รับผู้ป่วยโควิดที่ติดยาเสพติดและที่มาเป็นครอบครัว เนื่องจากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยาเสพติดและจิตแพทย์ โดยมีเครือข่ายบุคลากรโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในภูมิภาค 6 แห่ง และ โรงพยาบาลอื่นๆ ในกรมการแพทย์ มาร่วมดูแล เป็นที่มาของชื่อหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย รวมทั้งมีเครือข่ายโรงพยาบาลมะเร็ง มูลนิธิร่วมกตัญญู มาร่วมดูแลด้วย “ผู้ป่วยที่รับมาส่วนใหญ่อาการสีเหลืองและมีสีเขียวบางส่วน หากมีอาการสีแดงจะส่งต่อโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ขณะนี้มีผู้ป่วยอาการสีแดงอยู่ 6 ราย ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยโควิดแล้วประมาณ 472 ราย หายกลับบ้าน223 ราย กำลังรักษา 226 ราย เหลือเตียงว่าง 8 เตียง ผู้ป่วยมีความประทับใจ มีความพึงพอใจมากกว่าร้อยละ 90”ดร.สาธิตกล่าว ทั้งนี้ หอผู้ป่วยส่วนขยายฯ ใช้อาคารในส่วนของการประชุม อบรม สัมมนา มาปรับเป็นหอผู้ป่วย 3 ชั้น ชั้นละ 60 กว่าเตียง มีสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์การใช้ชีวิตประจำวันสำหรับผู้ป่วยตลอด 14 วัน มีกล้องวงจรปิดดูแลตลอด 24 ชั่วโมง แต่ละชั้นมีช่องทางการสื่อสารกับผู้ป่วย ทั้งโทรศัพท์สายใน จุดบริการเว็บซิงค์ ช่วยให้เห็นหน้าคนไข้ สามารถสังเกตอาการเหนื่อยหอบขณะพูดคุยได้ มีการตั้งไลน์กลุ่มกับผู้ป่วย และมีพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ใส่ชุดPPEครบถ้วนตามมาตรฐานเข้าไปสร้างความเข้าใจการทำกิจกรรมแต่ละวัน พร้อมแบ่งผู้ป่วยเป็นโซน มีหัวหน้าโซนต่อ 10 เตียง เพื่อช่วยสื่อสารเรื่องการทำความสะอาด การเก็บขยะ ห้องน้ำ การใช้แอร์หรือไฟฟ้า ******************************************19พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ร่วมประชุมหารือแนวทางการดำเนินการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ร่วมประชุมหารือแนวทางการดำเนินการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา พร้อมด้วย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการชนส่งทางราง และผู้แทนจาก สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมศิลปากร สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมโยธาธิการและผังเมือง และการรถไฟแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา 5 แนวทาง ดังนี้ 1. ก่อสร้างเป็นลักษณะสถานีและทางวิ่งใต้ดิน 2. ก่อสร้างเส้นทางรถไฟเลี่ยงพื้นที่มรดกโลก 3. ก่อสร้างสถานีก่อนถึงสถานีรถไฟอยุธยาเดิม หรือเลยออกไป 4. ก่อสร้างสถานีในตำแหน่งสถานีเดิมพร้อมจัดทําผังเมืองเฉพาะ 5. ก่อสร้างเฉพาะทางวิ่งไปก่อน โดยจะกำหนดที่ตั้งสถานีภายหลัง ทั้งนี้ จะมีการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก พิจารณาในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ยกระดับคุมโควิด ตั้งศูนย์ป้องกันมอบปลัด ยธ. เป็น ผอ. มั่นใจหยุดการแพร่ระบาดได้ ขอให้ผบ.ทุกเรือนจำทำตาม มาตรฐาน SOP
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม ยกระดับคุมโควิด ตั้งศูนย์ป้องกันมอบปลัด ยธ. เป็น ผอ. มั่นใจหยุดการแพร่ระบาดได้ ขอให้ผบ.ทุกเรือนจำทำตาม มาตรฐาน SOP นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยกระดับคุมโควิด ตั้งศูนย์ป้องกันมอบปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ มั่นใจหยุดการแพร่ระบาดได้ พร้อมให้ ผบ.ทุกเรือนจำทำตาม มาตรฐาน SOP เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2564 ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตามตัวเลขขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ตรวจเชื้อโควิด-19 ผู้ต้องขัง พบผู้ติดเชื้อรวมแล้ว ขณะนี้มีทั้งหมด 13,200 ราย โดยรักษาหายแล้ว 433 ราย อยู่ในระหว่างรักษาตัว 12,767 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังเรือนจำพื้นที่ส่วนกลาง เช่น เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เรือนจำกลางคลองเปรม ดังนั้นตนจึงคิดว่าต้องยกระดับการป้องกันได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้อำนวยการศูนย์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นรองผู้อำนวยการ มีอธิบดีกรมต่างๆร่วมเป็นคณะทำงาน โดยในส่วนของแพทย์ มีนายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 4 จ.สระบุรี ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ต้องเอาปลัดกระทรวงยุติธรรมมาเป็นผู้อำนวยการ เพราะเราต้องการตรวจให้ครบทุกกรม และตนยังเห็นว่ามีผู้ต้องขังล้นเรือนจำ บางเรือนจำมีผู้ต้องขังเกินจากความเป็นอยู่ ตามมาตรฐาน 1.2 ตร.ม.ต่อคน หากเรือนจำไหนเกลี่ยคนไม่ให้แออัดไม่ได้ แล้วมีเชื้อโควิดเข้าไป ผบ.เรือนจำต้องรับผิดชอบ และต้องเข้าใจ Standard Operation Procedure (SOP) หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ซึ่งเราได้ประชุมกันเมื่อก่อนหน้าที่จะมีโควิดระบาดละลอกใหม่ และได้ให้ ผบ.เรือนจำทั้งหลายได้รับรู้ความเป็นมาตรฐานต้องปฏิบัติอย่างไร ขอให้ทุกคนอย่าหลงลืม อย่าปล่อยปะละเลยไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติตามกรอบหรือระเบียบที่วางไว้ หากมีคนติดเชื้อขึ้นมาท่านต้องรับผิดชอบ และข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมทุกคนต้องฉีดวัคซีนให้ครบสองเข็มให้เร็วที่สุด หากไม่ครบกระทรวงจะช่วยหาและดูแลให้ อย่านิ่งเฉยในเรื่องของวัคซีน หากกรมไหนยังไม่ครบให้รีบแจ้ง เพราะหากเราไม่ทำให้เรียบร้อยจะกระทบคนอื่นด้วย เราเป็นข้าราชการต้องเป็นผู้นำไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ "การพัฒนาการของโรคยังไม่หยุดแต่เรามั่นใจว่าจะต้องหยุดการแพร่ระบาดได้ เพราะมีแนวทางที่เราเตรียมไว้แล้ว คือ วัคซีน แต่เราต้องเร่งตรวจเชิงรุกให้ครบ 100%ด้วย โดยเมื่อวานมีผู้ต้องขังติดเชื้อ 11,670 ราย ซึ่งสาเหตุที่วันนี้ยอดเพิ่มขึ้นเพราะโรคอยู่ในช่วงของการฟักตัว แต่ผมเชื่อว่ามาตรการต่างๆจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 การประกาศผลทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ความคืบหน้าโครงการเราชนะจะประกาศผลการทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 6 มี.ค.– 13 พ.ค.2564 ตั้งแต่วันที่ 21พ.ค.2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าว่าโครงการเราชนะ (โครงการฯ) จะประกาศผลการทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 6 มีนาคม – 13 พฤษภาคม 2564 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 โดยผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรก จำนวน 8,000 บาท ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 และจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ที่รัฐบาลสนับสนุนเพิ่มเติมอีกจำนวน 1,000 บาท ในวันที่ 28พฤษภาคม 2564 รวม 9,000 บาท ทั้งนี้สามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แจ้งเพิ่มเติมว่าสำหรับประชาชนประชาชนกลุ่มที่แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์โดยได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนดรวมถึงกรณีที่ผลการทบทวนสิทธิ์ในกรณีอื่นๆที่อาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทยฯ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,954 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 116,258 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,685ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,897 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์เดิมจำนวน 7,000 บาท แล้ว จำนวน 25.6 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทยฯโทร. 021111122(ตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2564 ขายได้ใหม่มูลค่ากว่า 3.1 แสนล้าน คาดการณ์มีหน่วยเหลือขายสะสมกว่า 174, 773 หน่วย
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2564 ขายได้ใหม่มูลค่ากว่า 3.1 แสนล้าน คาดการณ์มีหน่วยเหลือขายสะสมกว่า 174, 773 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล นับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล นับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่ามีที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนรวม 210,748 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกปี 2563 ประมาณร้อยละ 0.4 โดยมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 34,575 หน่วยในขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายรวม 176,173 หน่วย โดยในจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมดเป็นหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 51,675 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 235,840 ล้านบาท และคาดการณ์ปี 2564 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมจำนวนประมาณ 174,773 หน่วย มีมูลค่าประมาณ 853,428 ล้านบาท เมื่อประเมินสถานการณ์โดยภาพรวมศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2564 ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยจะส่งผลกระทบต่อตลาดรวมให้มีภาวะที่หดตัวต่อประมาณ 1- 4% โดยตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมาก และสถานการณ์จะดีขึ้นในปี 2565 – 2567 ถ้า Supply ใหม่ปรับตัวลงและยอดขายค่อยๆ ดีขึ้น ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจภาคสนามในช่วงครึ่งแรกปี 2563 พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 1,728 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจำนวน 173,093 หน่วย เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง ปี 2563 มีจำนวนอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 36,414 หน่วย ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 1,728 โครงการ รวมมีจำนวนหน่วยเสนอขาย 210,748 หน่วย และมีอุปทานเหลือขายจำนวน 176,173 หน่วย มูลค่ารวม 909,228 ล้านบาท ภาพรวมของตลาดครึ่งหลังปี 2563 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขายในตลาดหากเทียบกับครึ่งแรกของปี 2563 จะพบว่ามีจำนวน 173,093 หน่วย ขณะที่หน่วยเหลือขายที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีจำนวน 176,173 หน่วย ซึ่งมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเพียง 3,080 หน่วย เทียบกับครึ่งแรกของปี 2563 ที่มีหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ประกอบด้วยอุปทานใหม่เป็นเภทโครงการอาคารชุด จำนวน 17,883 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ - 40.8% ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2563 มีอุปทานเสนอขายทั้งสิ้น 90,215 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ -5.8% ในขณะที่มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 16,403 หน่วย ลดลงประมาณ -15.7% โดยมีหน่วยเหลือขาย 73,812 หน่วย ลดลง -3.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 และมีอัตราดูดซับ 3.0% ซึ่งทำเลเด่นหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขาย 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ อันดับ 2. โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง และอันดับ 3.โซนลําลูกกา-คลองหลวง-ธัญญบุรี-หนองเสือ ประเภทบ้านเดี่ยวประกอบด้วยอุปทานใหม่ จำนวน 4,991 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ -24.8% ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2563 มีอุปทานเสนอขายทั้งสิ้น 31,885 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ 1.9% ในขณะที่มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 4,609 หน่วย เพิ่มขึ้นประมาณ 45.8% โดยมีหน่วยเหลือขาย 27,276 หน่วย ลดลง -3.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 และมีอัตราดูดซับ 2.4% ซึ่งทำเลเด่นหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขาย 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง อันดับที่ 2 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย และอันดับ 3 โซน ลําลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ สำหรับทาวน์เฮ้าส์อุปทานใหม่ มีจำนวน 9,493 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ -41.4% ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2563 มีอุปทานเสนอขายทั้งสิ้น 68,743 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ประมาณ 4.3% ในขณะที่มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 10,790 หน่วย เพิ่มขึ้นประมาณ14.3% โดยมีหน่วยเหลือขาย 57,953 หน่วย เพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 และมีอัตราดูดซับ 2.6% ซึ่งทำเลเด่นหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขาย 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 โซนบางพล-บางบ่อ-บางเสาธง อันดับ 2 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ อันดับ 3 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย อย่างไรก็ตามจากการประมวลผลสำรวจโดยภาพรวมพบว่าในปี 2564 ตลาดบ้านจัดสรรต้องให้ความสำคัญกับปริมาณอุปทานที่เข้ามาในระบบ เนื่องจากมีจำนวน และสัดส่วนสูงกว่าอาคารชุดในตลาดแล้ว โดยเฉพาะบ้านจัดสรร ราคา >10 ล้านบาท มีอุปทานเพิ่มขึ้นทุกครึ่งปี โดยยอดขายปี 2563 เฉลี่ยประมาณ 1,200 หน่วยต่อรอบครึ่งปี นับว่าเป็นจำนวนหน่วยที่ขายดี ขณะที่ก็มีหน่วยเหลือขายสะสมเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนบ้านจัดสรร ราคา <=3 ล้านบาท. เป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูงแต่ไม่ค่อยมีสินค้า ที่เหลืออยู่ก็ยังคงขายได้อย่างต่อเนื่อง ๆ แต่ผู้ประกอบการได้มีการปรับจากการพัฒนาบ้านเดี่ยวมาเป็นบ้านแฝดแทน ซึ่งตลาดยังคงตอบรับไม่ดี และสำหรับทาวเฮ้าความต้องการซื้อก็ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อยู่ในทำเลดี ในขณะที่หน่วยเหลือขายยังคงมีอยู่มาก สำหรับตลาดอาคารชุดยังต้องให้ความสำคัญกับการเร่งระบายหน่วยที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งหน่วยเหลือขายของคอนโดมิเนียมแทบไม่ลดลงเลยแม้ว่าหน่วยเข้าใหม่มีน้อย แต่หน่วยที่ขายได้มีจำนวนน้อยเช่นกัน ทำให้หน่วยเหลือขายไม่ลดลงเท่าที่ควร หน่วยเหลือขายที่เป็น Inventory ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ H2/2562 โดยมาจากส่วนที่เป็นกำลังก่อสร้างทยอยสร้างเสร็จ ดังนั้นการเปิดโครงการใหม่จึงมีความเสี่ยง ต้องมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดและทำเลดี ห้องชุดราคาสูงขายได้น้อยลง ขณะที่ห้องไม่ราคาเกิน 3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ยังพอขายได้ ดร.วิชัย กล่าวถึงภาพรวมครึ่งแรกปี 2564 ว่า หน่วยเปิดขายใหม่ H1/64 คาดว่าจะต่ำกว่า H1/63 ที่ -9.72% และต่ำกว่า H2/63 อีกด้วย โดยมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นชัดใน H2/64 แต่ยังต่ำกว่า H2/63 ที่ -10.3% ซึ่งภาพรวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ประมาณ 59,600 หน่วย มูลค่า 308,400 ล้านบาท ลดลง -10.0% และมูลค่าลดลง-7.7% สำหรับหน่วยขายได้ใหม่ ประมาณการ H1/64 จำนวนหน่วยขายได้ใหม่จะสูงกว่า H1/63 ที่ +1.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นขากฐานต่ำ แต่ก็ยังคงต่ำกว่า H2/63 มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นชัดใน H2/64 ซึ่ง H2/64 ขยายตัว 6.5% เมื่อเทียบกับ H2/63 ทั้งนี้คาดว่ายอดขายปี 2564 จะมีจำนวน 69,996 หน่วย มูลค่าประมาณ 310,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.0% ด้านหน่วยเหลือขายประมาณการ H1/64 หน่วยเหลือขายจะเพิ่มจาก H1/63 เพียง 0.1% ต่อเนื่องจาก H2/63 และมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นชัดใน H2/64 หน่วยเหลือขายจะต่ำลงที่ -0.8% เมื่อเทียบกับ H2/63 โดยมีหน่วยเหลือขายสะสม ปี 2564 จำนวน 174,773 หน่วย มูลค่าหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 คาดว่าจะมีประมาณ 853,400 ล้านบาท ลดลง -0.8% ในส่วนของอุปสงค์ซึ่งสะท้อนจากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยพบว่า H1/64 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงจาก H1/63 ที่ -9.0% ต่อเนื่องจาก H1-H2/63 แต่มูลค่าโอนฯจะเพิ่ม 4.1% ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะปรับตัวใกล้เคียง H2 /64 และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะต่ำลงที่ -5.8% เมื่อเทียบกับ H2/63 โดยหน่วยโอน และมูลค่าการโอนฯ รวมปี 2564 ประมาณ 188,716 หน่วย ลดลง -4.0% มูลค่า 604,800 ล้านบาท ลดลง -1.4% “จากการประมวลผลภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจะสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องชะลอการเพิ่ม Supplies ในตลาด และปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการ เปิดโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับการดูดซับในตลาด เน้นการระบาย stock เสริมความพร้อมให้กับลูกค้าและเร่งการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อเพิ่มกระแสเงินสด” อย่างไรก็ตามมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะมาตรการช่วยสร้าง Demands ในตลาดและดูดซับ Supplies ที่สร้างเสร็จ ขยายกลุ่มเป้าหมายในการสนับสนุนให้ครอบคลุมกลุ่มที่ซื้อบ้านราคา >3 ล้านบาท และกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ ซึ่งในกลุ่มนี้จะเป็นต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนในการค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย และธนาคารรัฐสนับสนุนตลาด เร่งช่วยเหลือและเยียวยา SMEs ในด้านการเงินและการตลาด เนื่องจากเป็นแหล่งงานสำคัญในการจ้างงาน กระตุ้นการท่องเที่ยวจากคนในประเทศ/ต่างประเทศ เร่งฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ครอบคลุมประชาชนส่วนใหญ่โดยเร็วที่สุดเพื่อให้สามารถมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นปกติโดยเร็ว และเศรษฐกิจในภาพรวมสร้างความมั่นใจให้คนต่างชาติให้กล้าเข้ามาเที่ยวในประเทศ และซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบเครื่องเอกซเรย์ปอด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 “อนุทิน” รับมอบเครื่องเอกซเรย์ปอด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบเครื่องเอกซเรย์ปอด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล รวมมูลค่า 4,600,000 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลเกาะสมุยและโรงพยาบาลเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับมอบเครื่องเอกซเรย์ปอด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล รวมมูลค่า 4,600,000 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลเกาะสมุยและโรงพยาบาลเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันนี้ (19 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล 1 เครื่อง มูลค่า 3,500,000 บาท เครื่องเอกซเรย์ปอดเคลื่อนที่1 เครื่องมูลค่า 1,100,000 บาท จากคุณอัจฉราพร ศิริไพรวัน ประธานกรรมการบริหาร และคุณรพิ พินิจชอบกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตัวแทนมูลนิธิเขมไชย รสานนท์ โดย รสา กรุ๊ป และรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 200,000 ชิ้น มูลค่า 400,000 บาท จากบริษัท ซิงเสียนเยอะเป้า จำกัด และสมาคม จิ้นเจียง ฉวนโจว ประเทศไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตัวแทนรัฐบาลขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาที่นำเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล มามอบให้กับโรงพยาบาลเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเครื่องเอกซเรย์ปอด มอบให้กับโรงพยาบาลเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19ซึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้ง 2 เครื่องนี้มีความสำคัญมาก ในการดูแลผู้ติดเชื้อทุกคนจะต้องได้รับการx-ray ก่อนที่นำเข้าสู่ระบบการรักษา และสำหรับหน้ากากอนามัยที่ได้รับในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งกระจายไปยังจังหวัดต่างๆเพื่อนำไปให้บุคลากรทางการแพทย์ อสม. และผู้เกี่ยวข้องในการใช้ปฏิบัติงานต่อไป “ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 การมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ยาและเวชภัณฑ์ที่พร้อม จะสามารถให้การดูแลรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที เกิดความปลอดภัย และลดการเสียชีวิตได้” นายอนุทินกล่าว ******************************************19 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41887
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.วราวุธ นั่งหัวโต๊ะ ประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานอุทยานธรณีของประเทศไทย”
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 “รมว.วราวุธ นั่งหัวโต๊ะ ประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานอุทยานธรณีของประเทศไทย” “รมว.วราวุธ นั่งหัวโต๊ะ ประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานอุทยานธรณีของประเทศไทย” วันนี้ (วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO Conference ณ ห้องประชุมชั้น 17 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยในที่ประชุมได้รับทราบถึงการดำเนินงานการอนุรักษ์มรดกธรณีและอุทยานธรณีที่ผ่านมา มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทั้งด้านนโยบาย ด้านการส่งเสริม ด้านการประเมินพื้นที่ ด้านวิชาการ ด้านเครือข่ายอุทยานธรณีประเทศไทย รวมถึง อนุกรรมการเชิงพื้นที่ของอุทยานธรณีระดับประเทศและระดับโลก พร้อมทั้ง ยังได้รับทราบถึงการจัดการประชุมเครือข่ายอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ครั้งที่ 9 (9th International Conference on UNESCO Global Geoparks) ณ อุทยานธรณีโลกเกาะเชจู ประเทศเกาหลี อีกด้วย ในโอกาสนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาร่างนโยบายการอนุรักษ์มรดกธรณีและการดำเนินงานอุทยานธรณี และแผนปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์แหล่งมรดกธรณีและการดำเนินงานอุทยานธรณีระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 - 2570) และแผนปฏิบัติงานอื่น ๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุก รวมถึง ยังได้พิจารณาการแสดงเจตจำนงของอุทยานธรนีขอนแก่น เพื่อขอรับรองเป็นอุทยานธรณีโลกจากยูเนสโก นอกจากนั้น ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมเครือข่ายอุทยานธรณีประเทศไทย (Thailand Geoparks Network: TGN) ครั้งที่ 1 ณ อุทยานธรณีโลกสตูล จังหวัดสตูล และการจัดการประชุมเครือข่ายอุทยานธรณีภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกครั้งที่ 7 (The 7th Asia Pacific Geoparks Network Symposium) ที่จะจัดขึ้นในเดือน กันยายน 2564 ณ อุทยานธรณีโลก จังหวัดสตูล ด้วย สำหรับการประชุมครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการอนุรักษ์แหล่งมรดกธรณี และถือเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินงานอุทยานธรณีของประเทศไทยเชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยการดำเนินงานอุทยานธรณีจะทำให้เกิดการตระหนักรับรู้ถึงการอนุรักษ์แหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งได้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรร่วมต้านโควิดขยายเวลายกเว้น VATนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์สำหรับบริจาคเพื่อสาธารณกุศล
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 สรรพากรร่วมต้านโควิดขยายเวลายกเว้น VATนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์สำหรับบริจาคเพื่อสาธารณกุศล ครม.อนุมัติหลักการขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 ที่บริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ที่บริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19ที่บริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศลสำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565ช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19ที่กำลังระบาดระลอก 3 อยู่ในขณะนี้ ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนความช่วยเหลือจากภาคเอกชนในการร่วมมือ ช่วยกันแก้ไขการแพร่ระบาดของCOVID - 19เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพกรมสรรพากรจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านCOVID-19 สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล)โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษาวินิจฉัย หรือป้องกันCOVID-19 เช่น ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐและองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดรวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคดังกล่าวโดยต้องไม่นำต้นทุนของสินค้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งนี้ สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 และที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด” นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวสรุปว่า“การขยายเวลาการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้ายาและเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)เพื่อการบริจาคเป็นสาธารณกุศล จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กรมสรรพากรเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID -19)ซึ่งจะเป็นผลดีแก่สุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ยุติธรรม รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ๑๐,๐๐๐ ชุด จาก บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ​รมว.ยุติธรรม รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ๑๐,๐๐๐ ชุด จาก บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ๑๐,๐๐๐ ชุด จาก บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ชุด จาก นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)​ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วม ในการนี้ รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวใจความตอนหนึ่งว่า ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ที่ได้รับมอบมานั้น จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยแจกจ่ายให้กับเรือนจำ/ทัณฑสถานต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เตรียมเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งใหม่ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 วธ.เตรียมเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งใหม่ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก วธ.เตรียมเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งใหม่ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก วธ.เตรียมเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งใหม่ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯพระราชทานชื่อ“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์” เผยปรับปรุงแล้วเสร็จร้อยละ 85 ส่งเสริมเรียนรู้พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ 9ด้านชลประทาน ประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมท้องถิ่น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์และส่งเสริมการรักษาและหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมด้วยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู เผยแพร่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและวัฒนธรรม ให้ชุมชนในท้องถิ่นและประชาชนทั่วไปได้เข้าใจถึงรากเหง้าวิถีชีวิตและมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นดังนั้น วธ.โดยกรมศิลปากร (ศก.) ได้ร่วมมือกับจังหวัดนครนายกมาตั้งแต่ปี 2550 ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์เขื่อนคลองท่าด่านซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น พิพิธภัณฑ์เขื่อนขุนด่านปราการชลต่อมาปี 2562 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(กปร.)ดำเนินการจัดทำโครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวโดยใช้ชื่อโครงการว่า“โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก”ปัจจุบันโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 85 และกรมศิลปากรอยู่ระหว่างเสนอของบฯเพิ่มเติมจากกปร.เพื่อดำเนินการปรับปรุงตามแผนที่กำหนดไว้ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะเปิดให้บริการในอนาคต เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่มีมาตรฐานตามแบบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและมาตรฐานสากล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.โดยกรมศิลปากร (ศก.) ได้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีขอพระราชทานชื่อพิพิธภัณฑสถานเขื่อนขุนด่านปราการชลต่อมาสำนักพระราชวังแจ้งมายังกรมศิลปากรว่าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวว่า“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์” เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพัฒนางานด้านชลประทานของประเทศก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่พสกนิกรชาวไทย ซึ่งเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ กระทรวงวัฒนธรรมได้ออกประกาศจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการส่งประกาศไปลงในราชกิจจานุเบกษา โดยในลำดับต่อไปวธ. จะได้นำเรื่องดังกล่าวรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า สำหรับเนื้อหาที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ ประกอบด้วยนิทรรศการถาวรมีเนื้อหาเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริเขื่อนขุนด่านปราการชล ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา รวมถึงพืชและน้ำ อันเป็นลักษณะทั่วไปของจังหวัดนครนายกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีและตำนานเมืองนครนายก ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมทั้งด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของจังหวัดนครนายกทำให้เด็ก เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจด้านชลประทานของรัชกาลที่ 9 และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ อีกทั้งเกิดความตระหนักในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น รวมถึงช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้แก่ชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืนอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีม เรามีเรา ลงพื้นที่ดินแดง มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 รมว.พม. นำทีม เรามีเรา ลงพื้นที่ดินแดง มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 รมว.พม. นำทีม เรามีเรา ลงพื้นที่ดินแดง มอบถุงยังชีพ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 วันนี้ (19 พ.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหาร นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และศิลปินอาสา อพม. (อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ได้แก่ นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) นักร้อง นักแสดง และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ (ตุ๊กตา) พิธีกรรายการโทรทัศน์ ร่วมลงพื้นที่ ณ ชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์บริการสาธารณสุข 4 ดินแดง แฟลต 64 ซอยประชาสงเคราะห์ 19 เขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับผู้แทนชุมชนนำไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กลุ่มเปราะบางและประชาชนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย นายจุติ กล่าวว่า การลงพื้นที่วันนี้ เรามาดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีใครดูแล ขาดความช่วยเหลือคนพิการ ผู้สูงอายุ และครอบครัวที่ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างกักตัวเพื่อรอดูอาการ ทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ เราจึงเข้ามาดูแลเพราะมีคนจำนวนมาก และทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมไทยได้ ด้วยการบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น โดย กระทรวง พม. จะเป็นส่วนกลางสำหรับของบริจาคที่ทุกคนมอบให้มาและเรายังมีกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ถ้าทุกคนช่วยกัน ตนเชื่อว่าเราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ ไปด้วยกัน นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 กระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถรองรับได้ประมาณ 400 คน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล 24 ชั่วโมง และมีอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทร 1300 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมพร้อม รพ.สนาม รองรับคลัสเตอร์แรงงานและราชทัณฑ์ เร่งตรวจหาเชื้อโควิดให้ผู้ต้องขัง 100%
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 เตรียมพร้อม รพ.สนาม รองรับคลัสเตอร์แรงงานและราชทัณฑ์ เร่งตรวจหาเชื้อโควิดให้ผู้ต้องขัง 100% เตรียมพร้อม รพ.สนาม รองรับคลัสเตอร์แรงงานและราชทัณฑ์ เร่งตรวจหาเชื้อโควิดให้ผู้ต้องขัง 100% วันที่ 19 พ.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ได้มีการเตรียมพร้อมโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากคลัสเตอร์ กลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้างโดยเฉพาะในพื้นที่เขตหลักสี่และวัฒนา ซึ่งพบว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว หากผู้ติดเชื้อมีอาการระดับสีเขียวจะนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลสนาม จ.สมุทรสาคร กลุ่มสีเหลืองมีศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนีได้รองรับบางส่วนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือให้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลบุษราคัม เพื่อช่วยรับบางส่วนด้วย กรณีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ โรงพยาบาลราชทัณฑ์พร้อมให้การดูแลผู้ติดเชื้อทั้งในระดับสีเขียวและสีเหลือง อีกทั้ง ได้มีการสั่งการให้เรือนจำทั่วประเทศจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หากเรือนจำใดไม่มีพื้นที่ จะให้ใช้พื้นที่ของทัณฑสถานเปิด หรือสถานกักกัน หรือเรือนจำเก่า ปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลสนาม มากไปกว่านั้น หากเรือนจำและทัณฑสถานใดที่มีการแพร่ระบาดของโรค จะต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อผู้ต้องขังทั้งเรือนจำและทัณฑสถานให้ครบ 100% รวมทั้งเอกซเรย์ปอดผู้ติดเชื้อจนครบทุกรายเพื่อแยกกลุ่มตามลักษณะอาการและเร่งการรักษาอย่างทันท่วงที โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่าย กรมควบคุมโรคกรมการแพทย์ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณหลักจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่าในที่ประชุมเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลและการบริหารจัดการเตียงในเขต กทม. ได้มีการจัดโซนเพื่อคัดแยกอาการผู้ติดเชื้อ โดยโรงพยาบาลบุษราคัมดูแลกรุงเทพโซนเหนือ ศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติดูแลกรุงเทพฯ โซนกลาง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ดูแลกรุงเทพฯ โซนใต้ โดยใช้ระบบเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดหรือ Co Link ซึ่งรับข้อมูลผู้ติดเชื้อมาจากระบบห้องปฏิบัติการรวม (Co Lab) ระบบการค้นหาเชิงรุกรวม (Co Finding) รวมถึงข้อมูลระบบเตียงรวม (Co Ward) ประเมิน/คัดแยกระดับสีอาการเขียว/เหลือง/แดง เพื่อส่งเข้าสู่ระบบการรักษาตามอาการ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเตียงผู้ติดเชื้อโควิดใน กทม. มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากยิ่งขึ้นด้วย และในขณะเดียวกัน ก็เร่งเสริมเตียงรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดง คือผู้ป่วยอาการรุนแรง ซึ่งขณะนี้ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เป็นอีกหนึ่งที่ที่มีความพร้อม โดยจะเปิดเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการสีแดง 48 เตียง และเตียงอาการสีเหลืองเข้มที่สามารถใช้เครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ได้ 150 เตียง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะทำการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อทุกคนอย่างดีที่สุด บนหลักความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด โอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนน้อย พร้อมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การดูแลอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมญาติจากบุคคลภายนอกจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบเงินสนับสนุน 1 ล้านบาทให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กับกิจกรรม “เรามีเรา”
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ธอส. มอบเงินสนับสนุน 1 ล้านบาทให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กับกิจกรรม “เรามีเรา” ธอส. สนับสนุนงบประมาณ 1 ล้านบาท ให้แก่ พม. สำหรับดำเนินกิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย เพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงน้ำดื่ม และเจลแอลกอฮอล์ เข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สนับสนุนงบประมาณ 1ล้านบาท ให้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำหรับดำเนินกิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย เพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงน้ำดื่ม และเจลแอลกอฮอล์ เข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในชุมชนทั้ง 50 เขต ในพื้นที่กรุงเทพฯพร้อมร่วมปล่อยขบวนรถตู้ พม. นำร่องเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ จำนวน8 เขต นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ในวันนี้(วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564)ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จึงได้ร่วมมอบเงินสนับสนุนจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สำหรับดำเนินกิจกรรม“เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วยโดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประธานในพิธีเป็นผู้รับมอบเงินสนับสนุนจาก ดร.กิริฎาเภาพิจิตร กรรมการธนาคาร ธอส. ในฐานะประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CG&CSR) ธอส. เป็นผู้แทนธนาคารส่งมอบเงินสนับสนุนและมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกรรมการธนาคาร รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของธนาคารร่วมในพิธีโดยก่อนหน้านี้ ธอส. ได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องหน้ากากอนามัย จำนวน 10,420 ชุด ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในชุมชนมาแล้วอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดให้มีกิจกรรมดังกล่าวขึ้นเพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงน้ำดื่ม และเจลแอลกอฮอล์ เข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในชุมชนทั้ง 50 เขตในพื้นที่กรุงเทพฯซึ่งในวันนี้ได้มีกิจกรรมปล่อยขบวนรถตู้ พม. นำร่องลงไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ ๆ มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน8 เขต ประกอบด้วย เขตราชเทวี เขตดุสิต เขตบางเขน เขตดินแดง เขตห้วยขวาง เขตวัฒนาเขตวังทองหลาง และ เขตบางแค สำหรับกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ที่ ธอส. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงและส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด สนับสนุนงบประมาณจำนวน 300,000 บาท ให้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงและส่งมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องรวมถึงน้ำดื่มของธนาคารจำนวน 5,000 ขวด ส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 15,600 ขวด หน้ากากอนามัยและสายคล้องหน้ากากอนามัย พร้อมด้วยอาหาร จำนวน 500 กล่อง ให้แก่สถาบันบำราศนราดูรส่งมอบถุงยังชีพ ธอส.ให้แก่เขตห้วยขวางเพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนวัดอุทัยธารามซึ่งเป็นชุมชนใกล้ธนาคารรวมถึงสนับสนุนน้ำดื่มและอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคารด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประขาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดกิจกรรม "เรามีเรา" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย พร้อมปล่อยขบวนรถลงพื้นที่ 8 เขต กทม. เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 รมว.พม. เปิดกิจกรรม "เรามีเรา" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย พร้อมปล่อยขบวนรถลงพื้นที่ 8 เขต กทม. เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 รมว.พม. เปิดกิจกรรม "เรามีเรา" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย พร้อมปล่อยขบวนรถลงพื้นที่ 8 เขต กทม. เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 วันนี้ (19 พ.ค. 64) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณหน้าอาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. เพื่อนำถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเปราะบางในชุมชนจำนวน 8 พื้นที่ใน 8 เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน นายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในนามรัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงมีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้เตรียมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยมีการระดมการรับบริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและได้นำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ผ่านการประสานความช่วยเหลือร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ที่มีอยู่ในทุกเขตของกรุงเทพมหานคร และยังได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ ให้กลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบแจ้งมายัง สายด่วน พม. โทร. 1300 ของ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนเป็นการเร่งด่วนแล้วมากกว่า 10 ชุมชน อาทิ ชุมชนคลองเตย ชุมชนโค้งรถไฟยมราช ชุมชนภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 9/1 ชุมชนวัดสุวรรณคีรี ชุมชนกุโบร์มัสยิด สี่แยกบ้านแขก ชุมชนตากสินสัมพันธ์ ชุมชนวัดญวน (คลองลำปัก) และชุมชนซอยลูกหลวง 8 และชุมชนหลังบ้านมนังคศิลา เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่อว่า วันนี้ กระทรวง พม. จึงได้เปิดตัว ( Kick Off) กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย ด้วยการปล่อยขบวนรถ พม. ลงไปยังชุมชนในพื้นที่สีแดงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อนำถุงยังชีพ น้ำดื่ม และแอลกอฮอล์เจล ไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว พร้อมทั้งพบปะให้กำลังใจเครือข่าย พม. และชาวชุมชน โดยกำหนดการลงพื้นที่เป้าหมายให้ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขตในกรุงเทพฯ โดยในวันนี้ ขบวนรถ พม. ได้ลงพื้นที่นำร่อง 8 เขต ประกอบด้วย 1) ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร เขตราชเทวี 2) อาคารเอนกประสงค์ วัดประชาระบือธรรม ถนนพระราม 5 เขตดุสิต 3) หมู่บ้านเอื้ออาทร ศูนย์ สนง. ออมทรัพย์มั่นคง ถ.รามอินทรา 71 ซ.คู้บอน 27 แยก 37 เขตบางเขน 4) ชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์บริการสาธารณสุข 4 ดินแดง แฟลต 64 ซ.ประชาสงเคราะห์ 19 เขตดินแดง 5) ที่ทำการชุมชนโรงปูน เขตห้วยขวาง 6) มัสยิดบางมะเขือ ซ.ปรีดี 4 สุขุมวิท 71 เขตวัฒนา 7) ศูนย์ประสานงาน ชุมชนหมู่บ้านพลับพลา 30ไร่ ซ.รามคำแหง 21 เขตวังทองหลาง และ 8) วัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขตบางแค นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับถุงยังชีพที่ประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและชาวชุมชน กระทรวง พม. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายที่ได้ร่วมมือร่วมใจบริจาคสิ่งของจำนวนมาก รวมทั้งเงินบริจาคได้แก่ 1) Mr. Tatsuya Nozaki ประธาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด บริจาคเงินสด จำนวน 1,400,000 บาท 2) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บริจาคเงินสด จำนวน 1,000,000 บาท หน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้อง 9,000 ชุด 3) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บริจาคน้ำดื่ม 3,000 ขวด 4) สถาบันอนุสรีรวมใจให้กันและมูลนิธิพุทธรังษี บริจาคน้ำดื่ม 1,800 ขวด ข้าวสาร 600 กิโลกรัม นมจืด 800 กล่อง ผ้าอ้อมเด็ก 200 แพ็ค ผ้าอ้อมสำหรับผู้สูงอายุ 200 แพ็ค บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 100 กล่อง น้ำเต้าหู้ผง 200 ถุง ยาสามัญ 200 ชุด 5) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 62 บริจาคถุงยังชีพ 330 ชุด มูลค่า 100,000 บาท 6) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 63 บริจาคเงินสด จำนวน 99,999 บาท 7) บริษัท เอ - พลัส ชัพพลาย จำกัด บริจาคเงินสด จำนวน 100,000 บาท ผลิตภัณฑ์ เอ บอนเน่ แอลกอฮอล์เจลล้างมือ 8) บริษัท ชาญกิจเทรดดิ้ง จำกัด บริจาคแอลกอฮอล์เจล 1,900 ชิ้น 9) เอ็มบีเค กรุ๊ป บริจาคน้ำดื่ม 5,000 ขวด และ 10) โลตัส บริจาคผักสด จำนวน 1,000 กิโลกรัม และแตงโม จำนวน 5,000 กิโลกรัม เพื่อนำไปให้ครัวกลางชุมชนใน 29 เขตของ กทม. สำหรับปรุงอาหารแจกจ่ายแก่กลุ่มเปราะบางและประชาชนในพื้นที่ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวศิลปิน อาสา อพม. (อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ได้แก่ นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) นักร้อง / นักแสดง และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ (ตุ๊กตา) พิธีกรรายการโทรทัศน์ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางของกระทรวง พม. ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำป่าสักในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาความตื้นเขิน
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำป่าสักในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาความตื้นเขิน ... นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 2 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำป่าสัก ในพื้นที่ตำบลหล่มสัก และตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่เคยขุดลอกมาก่อน ทำให้มีต้นไม้และวัชพืชในแม่น้ำจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานฯ ได้นำรถขุด นว.4, นว.6 ปฏิบัติการขุดลอก เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ระยะทาง 5,400 เมตร ความกว้าง 10 เมตร ลึกประมาณ 138 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 71,061 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 110 วัน ขณะนี้ผลการดำเนินงานแล้วเสร็จตามแผน ซึ่ง จท. จะจัดแผนดำเนินงานต่อเนื่องในปีงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ การขุดลอกฯ ดังกล่าว ช่วยแก้ไขปัญหาความตื้นเขินของแม่น้ำป่าสัก และรักษาสภาพแม่น้ำให้มีความสมบูรณ์ สามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ป้องกันอุทกภัยในฤดูน้ำหลากและขยายพื้นที่รับน้ำให้ประชาชนสามารถใช้น้ำเพื่ออุปโภค - บริโภค นอกจากนี้ได้ปรับพื้นที่บริเวณริมตลิ่งสำหรับปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อสร้างรายได้และปรับภูมิทัศน์ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สร้างความสุขให้ประชาชนในพื้นที่ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41880
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมรับทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ธ.ก.ส. พร้อมรับทำประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 ธ.ก.ส.พร้อมรับทำการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 หนุนเกษตรกรสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาทต่อไร่ ธ.ก.ส. พร้อมรับทำการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 หนุนเกษตรกรสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาทต่อไร่ และกรณีเป็นเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. จะได้รับเงินสมทบค่าเบี้ยประกันภัยฟรี พร้อมแนะทำประกันภัยส่วนเพิ่มเพื่อขยายวงเงินคุ้มครอง โดยเปิดรับทำประกันภัยแล้วตั้งแต่บัดนี้ ผ่านแอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” และที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต โดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด พื้นที่เป้าหมาย 2.92 ล้านไร่ โดยคุ้มครองในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า วงเงิน 1,500 บาทต่อไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด วงเงินคุ้มครอง 750 บาทต่อไร่ สำหรับเงื่อนไขโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 เกษตรกรที่เป็นผู้เอาประกันภัยต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564/65 กับกรมส่งเสริมการเกษตรหรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกรทุกรายในอัตรารายละ 96 บาทต่อไร่ ซึ่งการรับประกันภัยประกอบด้วย การประกันภัยขั้นพื้นฐาน (Tier 1) กรณีเกษตรกรลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อ ธ.ก.ส. คิดอัตราค่าเบี้ยประกันภัย 160 บาทต่อไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ความเสี่ยง โดยทุก ๆ ยอดสินเชื่อจำนวน 4,000 บาท ธ.ก.ส. จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 64 บาทต่อไร่ ซึ่งเมื่อรวมกับเบี้ยประกันภัยที่รัฐบาลสนับสนุน ทำให้เกษตรกรได้รับประกันภัยฟรี กรณีเกษตรกรทั่วไปและเกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ประสงค์ซื้อเพิ่ม (ส่วนเกินสิทธิ์จากที่ธนาคารกำหนด) จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยตามประเภทพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำ อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 150 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 350 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 550 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) นอกจากนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน รัฐบาลจึงสนับสนุนให้เกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม (Tier 2) พื้นที่เป้าหมาย 6 หมื่นไร่ เพื่อให้สามารถรับความคุ้มครองที่มากขึ้น ซึ่งแบ่งตามระดับความเสี่ยง ค่าเบี้ยประกันกรณีพื้นที่เสี่ยงต่ำ 90 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยจะได้รับวงเงินคุ้มครองเมื่อเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มอีกในวงเงิน 240 บาทต่อไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาทต่อไร่ ระยะเวลาขายกรมธรรม์ รอบ 1 (ข้าวโพดฯ ฤดูฝน) ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2564 และรอบ 2 (ข้าวโพดฯ ฤดูแล้ง) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 – 15 มกราคม 2565 นายธนารัตน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่ออำนวยความสะดวกกับเกษตรกรผู้ที่ได้รับสิทธิ์ประกันภัยฟรี ไม่ต้องมาติดต่อธนาคาร โดย ธ.ก.ส. จะดำเนินการให้ทั้งหมด ส่วนเกษตรกรทั่วไปและเกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ประสงค์ซื้อเพิ่ม (ส่วนเกินสิทธิ์จากที่ธนาคารกำหนด) สามารถซื้อประกันภัยและตรวจสอบสิทธิ์แปลงที่ได้รับการอุดหนุนผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” ในสมาร์ทโฟนทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกษตรกรสามารถใช้บริการให้ง่ายยิ่งขึ้น หรือขอทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติเพิ่ม 2,000 บาท โครงการ "เราชนะ" และ "ม33เรารักกัน" เห็นชอบ ”คนละครึ่งเฟส 3” พร้อมเปิดตัวโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” สนับสนุน E-Voucher 7,000 บาทต่อคน
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ครม. อนุมัติเพิ่ม 2,000 บาท โครงการ "เราชนะ" และ "ม33เรารักกัน" เห็นชอบ ”คนละครึ่งเฟส 3” พร้อมเปิดตัวโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” สนับสนุน E-Voucher 7,000 บาทต่อคน ครม. อนุมัติเพิ่ม 2,000 บาท โครงการ "เราชนะ" และ "ม33เรารักกัน" เห็นชอบ ”คนละครึ่งเฟส 3” พร้อมเปิดตัวโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” สนับสนุน E-Voucher 7,000 บาทต่อคน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน กรอบวงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท โดยขยายเพิ่มวงเงินช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประกันตนใน “โครงการ ม 33 เรารักกัน” จำนวนกลุ่มเป้าหมาย ประมาณ 9.27 ล้านคน กรอบวงเงิน 18,500 ล้านบาทโดยประมาณ และผู้มีสิทธิใน “โครงการเราชนะ” มีกลุ่มเป้าหมายประมาณ 32.9 ล้านคน กรอบวงเงิน 67,000 ล้านบาท และ “โครงการ ม 33 เรารักกัน” โดยทั้งสองโครงการจะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้ประชาชนและผู้ประกันตนตามมาตรา33 สัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยมีระยะเวลาใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2564 นี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบมาตรการในระยะต่อไป เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง โดยมีกรอบวงเงินเบื้องต้น 140,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการเบิกจ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ที่ยังคงเหลืออยู่ดังนี้ 1. มาตรการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนในกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 13.65 ล้านคน โดยช่วยลดภาระค่าครองชีพเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค. - ธ.ค.) และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 2.4 ล้านคน เพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค. - ธ.ค.) 2. มาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้สูง ได้แก่ มาตรการ “คนละครึ่งระยะที่ 3” (Co-pay) ระหว่างรัฐกับประชาชน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน ให้สิทธิ์ใช้จ่ายที่รัฐจะสมทบได้วันละไม่เกิน 150 บาท วงเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน และโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งดี” โดยรัฐบาลจะสนับสนุน E-Voucher ให้กับประชาชนที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า และค่าอาหารเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยภาครัฐจะสนับสนุน E-Voucher ในช่วง ก.ค. - ธ.ค .2564 โดยคาดว่าประชาชนจะเข้าโครงการประมาณ 4 ล้านคน _______________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เร่งควบคุมการแพร่ระบาดคลัสเตอร์คลองเตย
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เร่งควบคุมการแพร่ระบาดคลัสเตอร์คลองเตย นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เร่งควบคุมการแพร่ระบาดคลัสเตอร์คลองเตย วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร สั่งการให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังในการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยใช้โมเดลจัดการการแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาครมาปรับใช้ “ตรวจเชื้อ ติดต่อ คัดกรอง แยกตัว ส่งต่อ และรักษา” เน้นการตรวจเชิงรุก Active Case Finding ที่ระดมตรวจกลุ่มเสี่ยงในชุมชนที่มีการติดเชื้อให้ได้อย่างน้อย 1,000 คนต่อวัน จัดหน่วยเคลื่อนที่และรถเก็บตัวอย่างชีวะนิรภัยพระราชทาน เพื่อตรวจเชิงรุกให้ได้อย่างน้อยทั้งหมด 20,000 คน และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปทันที คือ แยกผู้ป่วยตามระดับอาการ และส่งตัวเข้าสถานพยาบาลแรกรับ เพื่อส่งไปรักษาตัวต่อ เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดให้วงเล็กที่สุด พร้อมกันนี้ ยังสั่งให้เร่งระดมการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงคมนาคม และการท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดพื้นที่ตรวจเชิงรุกให้กับพี่น้องชาวชุมชนคลองเตยเพิ่มเติม 700 คนต่อวันอีกด้วย นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการสำรองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑลว่า ขณะนี้มีเพียงพอ แต่ได้สั่งให้ขยายเพิ่มเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนักในกรณีฉุกเฉิน โดยได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนามที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ เขตทุ่งครุ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มขึ้นอีก 432 เตียง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังจะมีแผนการบริหารจัดการการดูแลผู้ป่วยอาการหนักที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในการอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง โดยได้เน้นย้ำหลักการเน้นที่เป็นหัวใจของการจัดการสถานการณ์ทุกอย่างคือ “ต้องทำทุกทางเพื่อลดการสูญเสียให้มากที่สุด” นายกรัฐมนตรี ยังจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้แก้ปัญหาได้อย่างเร่งด่วน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ และมีหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัดในพื้นที่เป็นกรรมการ โดยมุ่งหวังให้การดำเนินการของศูนย์นี้สามารถเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดอื่น ๆต่อไปได้อีกด้วย นอกจากนั้น เพื่อการจัดการสถานการณ์โควิดในภาพรวมเป็นไปได้อย่างดียิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรียังได้จัดตั้ง “คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข” โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุขเป็นที่ปรึกษา พร้อมมีเลขาสภาความมั่นคงเป็นประธาน โดยมีหัวหน้าหน่วยงานด้านกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการ เพื่อให้เกิดการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานฝ่ายปกครอง ในการบูรณาการทั้งด้านบุคลากรและทรัพยากร ทั้ง การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การตรวจคัดกรอง การควบคุมพื้นที่ และอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงหนึ่งว่าการทำงานของทั้งสองคณะ และศบค. ได้มี “คณะปรึกษาด้านการสาธารณสุขในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19” คอยให้คำปรึกษา ซึ่งมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน รวมทั้งมีอาจารย์แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่นเป็นกรรมการ เพื่อให้ข้อเสนอแนะตามหลักวิชาการสาธารณสุข และสามารถเชื่อมประสานกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้อย่างดีอีกด้วย ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41485
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำเฝ้าระวังเข้มชายแดน สกัดกั้นลักลอบข้ามแดนที่อาจมาพร้อมเชื้อโควิทสายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ย้ำเฝ้าระวังเข้มชายแดน สกัดกั้นลักลอบข้ามแดนที่อาจมาพร้อมเชื้อโควิทสายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ได้ย้ำกับทุกเหล่าทัพ ปฏิบัติตามนโยบายของ นรม.และรมว.กห. ในการกำกับการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดนให้เป็นที่เชื่อมั่นในการสนับสนุนการควบคุมโรค COVID-19 ตามแนวชายแดนให้ได้เด็ดขาด โดยให้ติดตามสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เมียนมาและมาเลเซียอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและเข้มมาตรการควบคุมโรคที่กำหนดอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ที่ต้องเฝ้าระวังสูง กับความเสี่ยงของ COVID-19 สายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย ที่อาจเข้ามาพร้อมกับผู้ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งอาจสร้างปัญหาและจำเป็นต้องคัดกรองอย่างเข้มข้น โดย นรม.และรมว.กห. ยังได้แสดงความห่วงใยเจ้าหน้าที่ทุกนาย ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและมีความปลอดภัยทั่วกัน นอกจากนี้ พล.อ.ชัยชาญ’ ยังได้กำชับ ถึงการทำงานในพื้นที่แนวชายแดนไทย - เมียนม่า ขอให้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความรุนแรงจากสู้รบด้วยกำลังทหาร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่ โดยขอให้ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดไว้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน หากมีผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมาหรือชนกลุ่มน้อยชาวกระเหรี่ยงตามแนวชายแดนที่อพยพข้ามแดนเข้ามา จากผลกระทบความรุนแรงการสู้รบ ขอให้ดำเนินการช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรมและคุมเข้มคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด โดยประสานการทำงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โฆษก กห. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา กกล.ป้องกันชายแดนทางบกในพื้นที่ ทภ.3 และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้ให้การช่วยเหลืออพยพประชาชนที่อาจได้รับอันตรายจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน บ.แม่สามแลบ และ บ.ท่าตาฝั่ง จว.แม่ฮ่องสอน กว่า 600 คน ออกมายังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดเป็นการชั่วคราวและได้เดินทางกลับภูมิลำเนาแล้วหลังสถานการณ์สงบ พร้อมกันนี้ ได้ให้การช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมา จำนวน 2,318 คน ที่อพยพข้ามแดนมายังฝั่งไทย บริเวณ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง และพื้นที่ใกล้เคียงของ จว.แม่ฮ่องสอน โดยจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวรองรับ จำนวน 4 แห่ง ทั้งนี้ต้องขอความร่วมมือ ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานและอยู่ในมาตรการควบคุมโรคเข้มข้นตามที่จังหวัดกำหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในภาพรวม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่องทางการติดต่อสื่อสารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2564 ช่องทางการติดต่อสื่อสารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ขอแจ้งช่องทางการติดต่อสื่อสาร หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้ประชาชนทราบ เพื่อติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานในสังกัดฯ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาล ในการหยุดการแพร่ระบาดของโรคติดเขื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงยุติธรรม ขอแจ้งช่องทางการติดต่อสื่อสาร หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้ประชาชนทราบ เพื่อติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานในสังกัดฯ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาล ในการหยุดการแพร่ระบาดของโรคติดเขื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฯ ✅ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม Website : www.moj.go.th Email : [email protected] สายด่วน 1111 กด 77 TEL. 08 1174 0834 Facebook : กระทรวงยุติธรรม Ministry Of Justice, Thailand ✅ กรมคุมประพฤติ Website : www.probation.go.th Email : [email protected] สายด่วน 1111 กด 78 TEL. 02 141 4749 FAX. 02 143 8835 Facebook : กรมคุมประพฤติ Department of Probation https://www.facebook.com/departmentofprobation ✅ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ Website : www.rlpd.go.th สายด่วน 1111 กด 77 Facebook : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ✅ กรมบังคับคดี Website : www.led.go.th Email : [email protected] สายด่วน 1111 กด 79 TEL. 0 2881 4999 FAX. 0 2433 0801 Facebook : กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ✅ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน Website : www.djop.go.th Email : [email protected] TEL. 0 2141 6473 - 4 FAX. 0 2141 8471 Facebook : กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ✅ กรมราชทัณฑ์ Website : www.correct.go.th Email : [email protected] สายด่วน 1111 กด 77 TEL. 0 2967 2222 FAX. 0 2967 3302 Facebook : ประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์ ✅ กรมสอบสวนคดีพิเศษ Website : www.dsi.go.th สายด่วน 1202 TEL. 0 2831 9888 FAX. 0 2831 9888 Facebook : DSI กรมสอบสวนคดีพิเศษ https://www.facebook.com/DSI2002 ✅ สำนักงานกิจการยุติธรรม Website : www.oja.go.th Email : [email protected] สายด่วน - TEL. 08 1832 9434, 08 1833 2171 FAX. 0 2143 8933 Facebook : สำนักงานกิจการยุติธรรม https://www.facebook.com/weareoja ✅ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ Website : www.cifs.go.th Email : [email protected] สายด่วน 0 2142 2647 , 0 2142 3620 TEL. 0 2142 3492 FAX. 0 2143 9068 Facebook : สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ✅ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) Website : www.oncb.go.th Email : [email protected] สายด่วน 1386 TEL. 0 2247 0901 - 19 FAX. 0 2245 9350 Facebook : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41501
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ห่วงใยประชาชนเดินหน้าเสิร์ฟน้ำประปากว่า 9 แสนลิตรอย่างต่อเนื่อง
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ห่วงใยประชาชนเดินหน้าเสิร์ฟน้ำประปากว่า 9 แสนลิตรอย่างต่อเนื่อง ในทุกสถานการณ์จนกว่าภัยแล้งจะคลี่คลายตามนโยบายรัฐบาล นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า รัฐบาลและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายให้กรมทางหลวงดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยกรมทางหลวงและหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ทั้งสำนักงานทางหลวง 18 แห่ง แขวงทางหลวง 104 แห่ง และหมวดทางหลวง 581 แห่ง ยังคงร่วมมือกับการประปาส่วนภูมิภาคเดินหน้าบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคที่เกิดจากปัญหาภัยแล้งแก่ประชาชนผู้เดือดร้อนทั่วประเทศ ตามโครงการ “กรมทางหลวง – การประปาส่วนภูมิภาครวมใจต้านภัยแล้ง” แม้ในช่วงนี้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แต่การช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน จึงได้กำกับให้เจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติงานปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโรค(D-M-H-T-T-A) ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา มีเจลแอลกอฮอร์ติดตัว มีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนการปฏิบัติหน้าที่ หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและระหว่างประชาชน ทั้งนี้ ล่าสุดให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งแล้วจำนวน 15 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 262 ครัวเรือน และ 1,077 ราย รถบรรทุกน้ำจำนวน 810 คัน ส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 – เดือนเมษายน 2564 ทั้งสิ้น 938,500 ลิตร ซึ่งในเดือนมกราคมเป็นปริมาณน้ำ 18,000 ลิตร เดือนกุมภาพันธ์ 132,500 ลิตร เดือนมีนาคม 535,000 ลิตร และเดือนเมษายน 253,000 ลิตร โดยอยู่ในภาคกลาง 4 จังหวัด เป็นปริมาณน้ำทั้งสิ้น 397,000 ลิตร ภาคเหนือ 3 จังหวัด จำนวน 176,000 ลิตร ภาคใต้ 3 จังหวัด จำนวน 173,000 ลิตร ภาคตะวันตก 2 จังหวัด จำนวน 104,500 ลิตร ภาคตะวันออกเฉียงเหลือ 2 จังหวัด รวม 80,000 ลิตร และภาคตะวันออก 1 จังหวัด จำนวน 8,000 ลิตร และยังคงให้บริการอย่างต่อเนื่องจนกว่าปัญหาภัยแล้งจะคลี่คลาย เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ภัยแล้ง ซึ่งประชาชนหรือหน่วยงานใดประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงทั่วประเทศ และสามารถขอความช่วยเหลือหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41464
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เดินหน้านโยบายพืชแห่งอนาคต (Future Food Future Crop) รับมือวิกฤติโควิด19 เร่งพัฒนาให้ความรู้เกษตรกร ดันงานวิจัย ‘กัญชง’ มอบศูนย์ AIC 77 จังหวัดร่วมขับเคลื่อน
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 “เฉลิมชัย” เดินหน้านโยบายพืชแห่งอนาคต (Future Food Future Crop) รับมือวิกฤติโควิด19 เร่งพัฒนาให้ความรู้เกษตรกร ดันงานวิจัย ‘กัญชง’ มอบศูนย์ AIC 77 จังหวัดร่วมขับเคลื่อน ‘สวพส.’ เตรียมเมล็ดกัญชง (Hemp) ลอตแรก 5,600 กิโลกรัม พร้อมสนับสนุนการพัฒนากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(5พ.ค.)ว่าตามนโยบายของรัฐบาลมุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพรวมทั้งการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ“กัญชา-กัญชง-กระท่อม”เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศหลังจากที่กฎหมายได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถขออนุญาตผลิตนำเข้าส่งออกจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองกัญชงได้ซึ่งประเทศไทยนับว่ามีศักยภาพในการพัฒนาเป็น“ฮับกัญชา-กัญชง-กระท่อม”อีกทั้งยังเป็นโอกาสของไทยที่จะช่วงชิงตลาดกัญชากัญชงและกระท่อมมูลค่า8แสนล้านบาทโดยมีอัตราการเติบโตกว่า30%ต่อปีและอีก4ปีข้างหน้ามูลค่าตลาดจะเพิ่มเป็นกว่า3ล้านล้านบาทซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินหน้าส่งเสริมสนับสนุนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำใน4รูปแบบคือเกษตรอาหาร(คนและสัตว์)เกษตรสุขภาพเกษตรพลังงานและเกษตรท่องเที่ยวเพื่อจะสามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของต้นกัญชากัญชงและกระท่อมทั้งนี้ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายพืชแห่งอนาคต(Future Food Future Crop)ให้เร่งพัฒนาเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรทางด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกัญชากัญชงและกระท่อมในทุกมิติตั้งแต่กฎหมายข้อระเบียบจนถึงสถานการณ์ตลาดและราคาทั้งในและต่างประเทศโดยมอบหมายศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์AICทั้ง77จังหวัดเป็นกลไกสนับสนุนในระดับพื้นที่ทั่วประเทศโดยเฉพาะกัญชงซึ่งกระทรวงเกษตรฯโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(สวพส.)ซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงเกษตรฯได้วิจัยและพัฒนากัญชงและผลิตภัณฑ์กัญชงมากว่า17ปี ทางด้านนายวิรัตน์ปราบทุกข์ผู้อานวยการสวพส.กล่าวว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)หรือสวพส.ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่ศึกษาและวิจัยกัญชงอยู่ในปัจจุบันจึงได้จัดสรรเมล็ดกัญชงที่ผลิตไว้สำหรับการศึกษาและวิจัยของสวพส.นำมาจำหน่ายให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ส่งเสริมของโครงการหลวงและสวพส.หน่วยงานของรัฐหรือภาคเอกชนที่ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสวพส.หน่วยงานของรัฐและบุคคลทั่วไปหรือนิติบุคคลที่สนใจจำนวนรวม5,600กิโลกรัมและได้ตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดแนวทางการควบคุมการจำหน่ายการกำหนดราคาเมล็ดพันธุ์ส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ของเฮมพ์โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา,ผู้แทนมูลนิธิโครงการหลวง,ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.),ผู้แทนสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม,ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.),ผู้แทนองค์การเภสัชกรรมเพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการจำหน่ายและราคาเมล็ดกัญชงที่เหมาะสมสำหรับการสนับสนุนและผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจโดยมีเมล็ดกัญชงที่จะจำหน่าย2พันธุ์คือRPF1ที่เหมาะสำหรับปลูกบนพื้นที่สูงมากกว่า1,000เมตรและพันธุ์RPF3ที่เหมาะสำหรับปลูกบนพื้นที่สูงระดับ500-1,000เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางซึ่งประกอบด้วย 1. เมล็ดพันธุ์รับรอง(Certified seed)จำนวน3,000กิโลกรัมโดยจำหน่ายสำหรับเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงราคา300บาท/กก.หน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา(Partnership)หรือหน่วยงานของรัฐราคา400บาท/กก.และสำหรับบุคคลทั่วไปราคา520บาท/กก.และ2.เมล็ดบริโภค(Grain)จำนวน2,600กิโลกรัมโดยจำหน่ายสำหรับหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา(Partnership)หรือหน่วยงานของรัฐราคา250บาท/กก.และสำหรับบุคคลทั่วไปราคา750บาท/กก. ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการวิจัยพัฒนาและการทดลองปลูกได้อย่างทั่วถึงและเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบันสวพส.ได้พิจารณาและกำหนดปริมาณเมล็ดที่จะจำหน่ายให้แก่ผู้ขอซื้อแต่ละรายตามวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ดังนี้1.เมล็ดพันธุ์รับรอง(Certified seed) :สำหรับเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงไม่เกิน20กก./รายหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา(Partnership)หรือหน่วยงานของรัฐไม่เกิน30กก./รายและสำหรับบุคคลทั่วไปไม่เกิน20กก./ราย2.เมล็ดบริโภค(Grain) :สำหรับหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา(Partnership)หรือหน่วยงานของรัฐไม่เกิน50กก./รายและสำหรับบุคคลทั่วไปไม่เกิน20กก./ราย(R&D) การดำเนินงานที่ผ่านมาสวพส.ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวงสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วิจัยและพัฒนากัญชง(Hemp)เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี2549จนถึงปัจจุบันโดยได้มีการพัฒนาพันธุ์กัญชงจำนวน4พันธุ์คือRPF1, RPF2, RPF3และRPF4สำหรับการปลูกเพื่อผลิตเส้นใยโดยทุกพันธุ์ที่มีปริมาณสารเสพติด(THC) 0.2%ซึ่งต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดมีเปอร์เซ็นต์เส้นใย12-14.7%และมีปริมาณสารที่เป็นประโยชน์(CBD) 0.8-1.2%และได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมวิชาการเกษตรในปีพ.ศ. 2554และพันธุ์ดังกล่าวจัดเป็นเมล็ดพันธุ์รับรองตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท4เฉพาะเฮมพ์ปี2559และเมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศ“กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิตนำเข้าส่งออกจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท5เฉพาะกัญชง(Hemp)พ.ศ.2563”และ“ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท5พ.ศ. 2563”มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่29มกราคม2564ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถขออนุญาตผลิตนำเข้าส่งออกจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองกัญชงได้โดยส่วนของกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดได้แก่ใบเมล็ด(seedและgrain)รากลำต้นและสารสกัดCBDที่มีTHCต่ำกว่า0.2%เป็นผลให้ความสนใจในการทดลองปลูกและศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกัญชงเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในระยะเวลาอันสั้นในขณะที่ยังไม่มีการผลิตเมล็ดกัญชงไว้ล่วงหน้า “สำหรับผู้สนใจที่ต้องการขอซื้อทั้งเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงหน่วยงานภาคีร่วมศึกษาวิจัยและพัฒนา(Partnership)หรือหน่วยงานของรัฐและบุคคลทั่วไปหรือนิติบุคคลสามารถแจ้งความประสงค์ขอซื้อผ่านทางเว็บไซต์ของสวพส. https://www.hrdi.or.th/PublicService/HempInfoหรือยื่นเอกสารด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่https://www.hrdi.or.th/public/files/PublicService/HempInfo/HRDIPurchaseRequestForHemp.pdfระหว่างวันที่26เมษายนถึงวันที่5พฤษภาคม2564โดยปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่กำหนดซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ https://www.hrdi.or.th/หรือFacebook Fanpage :สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)”ผู้อำนวยการสวพส.กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน แนะนายจ้างและคนต่างด้าวอย่าตื่นตระหนก หมั่นติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างต่อเนื่อง
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 กระทรวงแรงงาน แนะนายจ้างและคนต่างด้าวอย่าตื่นตระหนก หมั่นติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างต่อเนื่อง รมว.แรงงาน เผยผลการดำเนินการตามมติครม.วันที่ 29 ธ.ค. 63 หลังขยายเวลาตรวจโควิด-19 และตรวจอัตลักษณ์ ถึง 16 มิ.ย. 64 พบต่างด้าวตรวจหาเชื้อโควิด – 19 แล้ว 409,672 คน จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลแล้ว 480,366 คน ย้ำไม่ต้องกังวล ขอให้ติดตามข่าวสารจากก.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างมาก ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงหลักในการบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวด้าว 3 สัญชาติตามมติครม.วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานและทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติให้ทันภายในกำหนด ซึ่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ครม.ได้มีมติเห็นชอบขยายเวลา ตรวจโควิด-19 และตรวจอัตลักษณ์บุคคล จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ พร้อมทั้งยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางานตามกำหนดเดิม (วันที่ 16 มิถุนายน 2564) เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี กระทรวงแรงงานเข้าใจถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดปัจจุบันที่มีความรุนแรง และการระงับการให้บริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว อย่าเพิ่งกังวลใจ และติดตามข่าวสารจากกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ลืมป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาด หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด “ ข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2564 พบแรงงานต่างด้าวผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 แล้ว 409,672 คน หรือร้อยละ 62.56 และผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 480,366 คน หรือร้อยละ 73.35 จากคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนทั้งสิ้น จำนวน 654,864 คน อย่างไรก็ดีด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์ และโรงพยาบาลต้องทำงานอย่างหนัก จึงขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการพาคนต่างด้าวตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ นัดหมายกับทางโรงพยาบาลก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรค และทราบแนวทางการปฏิบัติที่โรงพยาบาลกำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันตามมาตรการควบคุมโรคของสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ล่าสุดกรมการจัดหางานได้รับการประสานว่า สถานพยาบาลในกรุงเทพมหานคร งดตรวจโควิด 19 แก่แรงงานต่างด้าว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกที่ 3 และได้รับการประสานจากกรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร แจ้งงดให้บริการจัดทำและปรับปรุงทะเบียนประวัติบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 64 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จะคลี่คลายลง สำหรับการจัดเก็บอัตลักษณ์กับกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง สามารถจองคิวออนไลน์ที่ www.IMMBKKLABOUR.com และดำเนินการเก็บอัตลักษณ์บุคคลที่ศูนย์ตลาดสดสี่แยกหนอกจอก และยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานทางระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-workpermit.doe.go.th กับกรมการจัดหางานต่อไป ในส่วนของจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ติดตามข่าวสาร และปฏิบัติตามมาตรการที่หน่วยงานในพื้นที่กำหนด รวมถึงดูแลให้แรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดในสถานประกอบการ และเพื่อความปลอดภัยของแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ “ทั้งนี้หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย โรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัยดูแลผู้ติดเชื้อโควิดได้ 700 เตียง
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สธ.เผย โรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัยดูแลผู้ติดเชื้อโควิดได้ 700 เตียง ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย จ.นนทบุรีพบผู้ติดเชื้อโควิดวันละกว่า 100 ราย เปิดโรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัยรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว 700 เตียง พร้อมรับส่งต่อผู้ป่วยโควิดอาการดีขึ้นจากโรงพยาบาล ช่วยให้มีเตียงว่างดูแลผู้ติดเชื้อ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย จ.นนทบุรีพบผู้ติดเชื้อโควิดวันละกว่า 100 ราย เปิดโรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัยรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว 700 เตียง พร้อมรับส่งต่อผู้ป่วยโควิดอาการดีขึ้นจากโรงพยาบาล ช่วยให้มีเตียงว่างดูแลผู้ติดเชื้ออาการปานกลางถึงหนักรายอื่น วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย และโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี ว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลส่วนจังหวัดอื่นๆ ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ดี ทั้งนี้ จ.นนทบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ยังมีผู้ติดเชื้อรายวันเกิน 100 ราย โดยข้อมูลวันที่ 5 พฤษภาคม มีผู้ติดเชื้อ 176 ราย สะสมของระลอกเมษายน 2664 รวม 2,555 ราย ได้เปิดโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย และโรงพยาบาลบางบัวทอง 2 สำหรับโรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย รองรับผู้ติดเชื้อได้ทั้งหมด 700 เตียง โดยปรับห้องเรียนเป็นห้องพักดูแลผู้ติดเชื้อ 1 ห้องมี 8 เตียง เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 แบ่งเป็น 2 อาคาร อาคารละ 350 เตียง ขณะนี้เปิดใช้ 1 อาคารมีผู้ติดเชื้อเข้ารักษาประมาณ 40-50 รายต่อวัน ขณะนี้มีการครองเตียงแล้วประมาณ 250 เตียง โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลปากเกร็ดเข้ามาดูแล ภาพรวมถือว่าดำเนินการได้อย่างดี นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ผู้ติดเชื้อที่ส่งมายังโรงพยาบาลสนามโรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย จะได้รับการตรวจคัดกรองระดับอาการจากแพทย์ หากเป็นกลุ่มสีเขียวจะรับไว้ดูแลซึ่งทุกรายจะได้รับการประเมินอาการทุกวัน ระหว่างรักษาหากมีอาการเพิ่มมากขึ้นจะส่งไปรักษาในโรงพยาบาลตามระดับอาการที่เหมาะสม เช่น อาการปานกลาง สีเหลืองจะส่งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด (Cohort Ward) โรงพยาบาลบางกรวย, โรงพยาบาลบางใหญ่, โรงพยาบาลบางบัวทอง 1 และโรงพยาบาลบางบัวทอง 2 หากอาการหนักสีแดงจะประสานส่งโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า นอกจากนี้ ยังรับผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นจากโรงพยาบาลต่างๆที่กลับมาเป็นสีเขียวมาดูแลด้วย เพื่อให้โรงพยาบาลมีเตียงมากขึ้น ส่วนโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิดอาการหนักเข้ารับการรักษาประมาณ 9-10 รายต่อวัน เตรียมขยายเตียงรับผู้ติดเชื้ออาการหนักให้ได้ 20 เตียง ********************************5 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-กทม. ร่วมบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่กทม.
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สธ.-กทม. ร่วมบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่กทม. กระทรวงสาธารณสุขจับมือกรุงเทพมหานคร ทำแผนดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ฯทุกเขต เร่งคัดกรองเชิงรุกใน 15 ชุมชนที่มีการติดเชื้อค่อนข้างมาก พร้อมเตรียมเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ขนาด 3,000 เตียง รับผู้ป่วยสีเหลือง บ่ายวันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สุนทร สุนทรชาติ ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมแถลงข่าว ในประเด็นการควบคุมโรคโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. โดย นายแพทย์ณรงค์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยินดีให้การช่วยเหลือสนับสนุนการบริหารจัดการโรคโควิด 19 ในพื้นที่ กทม. โดยในด้านการบริหารจัดการเตียง /การส่งต่อผู้ป่วยได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ได้เข้าไปสนับสนุน รวมทั้งเปิดศูนย์แรก-ส่งต่อ นิมิตรบุตรรองรับผู้ติดเชื้อตกค้างตามบ้าน และล่าสุดเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ขนาด 3,500 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยถึงปานกลาง จาก กทม. โดยใช้สถานที่ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระดมบุคลากร แพทย์ พยาบาล จาก 60 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดน้อยหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ ด้าน นพ.สุนทร สุนทรชาติ ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การบริหารจัดการในพื้นที่ กทม. ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด และดูแลผู้ติดเชื้อ โดยจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ฯมีผู้อำนวยการเขตเป็นผู้บัญชาการในทุกเขตของ กทม. ซึ่งใน กทม.มีชุมชน กว่า 2,000 แห่ง และมี 15 ชุมชน ที่มีการติดเชื้อค่อนข้างมาก เช่น ชุมชนคลองเตย ชุมชนสะพานขาว ได้ส่งทีมเชิงรุกเข้าไปตรวจคัดกรอง โดยที่คลองเตยตรวจทุกวันวันละ 1,500 - 2,000 ราย เมื่อพบผู้ติดเชื้อจะนำรายชื่อเข้าระบบการส่งต่อศูนย์เอราวัณ 1669 และทำการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาล ,โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ตามระดับอาการ โดยในพื้นที่เขตที่มีการระบาดมากจะมีศูนย์พักรอคอยการส่งต่อนำผู้ติดเชื้อในชุมชนมาเตรียมพร้อมก่อนนำส่งโรงพยาบาล สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะได้รับการดูแลให้กักกันตัวเองที่บ้าน มีชุมชนและการสนับสนุนภาคประชาสังคมเข้าไปดูแลเพื่อลดการแพร่เชื้อ มีการช่วยเหลือเรื่องอาหารสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ส่วนการฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดจำนวนมาก เช่น ชุมชนคลองเตยเริ่มดำเนินการไปแล้วทั้งห้างสรรพสินค้า และโรงเรียนต่างๆ ********************************5 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41493
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินหน้าจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เพิ่มจุดคัดกรองและรองรับผู้ป่วยระดับสีเขียว พร้อมเร่งเจรจาจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเดินหน้าจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เพิ่มจุดคัดกรองและรองรับผู้ป่วยระดับสีเขียว พร้อมเร่งเจรจาจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีเดินหน้าจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เพิ่มจุดคัดกรองและรองรับผู้ป่วยระดับสีเขียว พร้อมเร่งเจรจาจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างและเป็นกลุ่มก้อนในหลายจังหวัด ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและได้สั่งการเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ ดังต่อไปนี้ การบริการจัดการเตียงสำหรับผู้ป่วย โดยให้มีการจัดระบบการบูรณาการเตียงและโรงพยาบาลสนามทั้งหมด แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามระดับอาการ เป็น 3 กลุ่ม คือ ระดับสีเขียว คือ ผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการน้อย จัดให้เข้าโรงพยาบาลสนาม, ระดับสีเหลือง คือ ผู้ป่วยอาการปานกลาง จัดให้เข้าโรงพยาบาลทั่วไป ระดับสีแดง คือ ผู้ป่วยอาการรุนแรง จัดให้เข้าโรงพยาบาลเฉพาะทาง และให้ปรับรูปแบบการคัดกรองผู้ป่วย ให้คัดกรองที่โรงพยาบาลสนามแทนโรงพยาบาลทั่วไป เพื่อลดการแออัดที่โรงพยาบาล และรักษาเตียงว่างไว้ให้ผู้ป่วยที่จำเป็น พร้อมมีการเพิ่มเติมผู้รับโทรศัพท์สายด่วน 1668 / 1669 / และ 1330 ให้เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยด้วย ขณะเดียวกัน ยังได้สั่งการให้มีการจัดตั้งศูนย์แรกรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิด เพื่อช่วยแยกตัวผู้ป่วยออกจากชุมชน เพื่อรอส่งไปรักษาตัวต่อไป พร้อมกันนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุข กทม. กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงกลาโหม เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนเตียงทั้งในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามให้มากที่สุด ผลจากการดำเนินการดังกล่าว ทำให้สามารถติดต่อและจัดการให้ผู้ป่วยรอเตียงตกค้างทั้งหมด เข้าสู่ระบบการรักษาตามที่แบ่งไว้ 3 กลุ่ม โดยปัจจุบันไม่มีผู้ป่วยที่ต้องรอเตียงเกิน 48 ชั่วโมง รวมทั้งจัดตั้งศูนย์แรกรับและส่งต่อ ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ทำให้สามารถแยกตัวผู้ป่วยออกมาจากชุมชนได้ทันที นับจากวันจัดตั้งสามารถส่งต่อผู้ป่วยที่รับเข้ามาไปแล้วถึงร้อยละ 96 จากความพยายามในการเพิ่มเตียงให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่มีมากขึ้น ทั้ง Hospitel และโรงพยาบาลสนาม ทำให้มีเตียงเพิ่มขึ้นจากช่วงสงกรานต์เกือบ 10,000 เตียง และมีเตียงว่างรวมทั่วประเทศมากกว่า 30,000 เตียง ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในกรุงเทพที่อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี เพื่อรองรับผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพอีกด้วย นายกรัฐมนตรีย้ำว่า สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของสายด่วนเพื่อรับตัวผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วยทุกคนเข้ารับการรักษาได้อย่างทันการ และการเตรียมเตียงสำหรับผู้ป่วย ขอขอบคุณทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และทุกองค์กรจิตอาสา ที่ได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกันจนสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 เพียงพอ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยยังคงมีเหลือในสต็อก 1.5 ล้านเม็ด และให้กระจายไปยังทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ ซึ่งจะได้รับเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดในเดือนนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขยังได้พิจารณา ศึกษา เพื่อจัดหายาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาแนวทางถึงการจ่ายยาเพิ่มเติมนอกเหนือจากภายหลังการติดเชื้อด้วย ซึ่งตั้งแต่เริ่มมีการระบาดจนถึงขณะนี้ ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสมประมาณ 7 หมื่นคน และรักษาหายกลับบ้านแล้วมากกว่า 4 หมื่นคน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสามารถของทีมแพทย์ไทย ที่อยู่ในเกณฑ์ระดับโลก เป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ รัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยทุกคนในการรักษาโควิด-19 โดยรัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย และในกรณีโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ทุกรายการด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการจัดหาและการฉีดวัคซีนว่า ได้กำหนดให้เป็นมาตรการเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายให้ประชากรในประเทศไทยต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 หรือคิดเป็นประชากร 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งต้องใช้วัคซีนทั้งสิ้น 100 ล้านโดส ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนตามแผนแล้ว 63 ล้านโดส โดย 61 ล้านโดสนี้เป็นวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่จะผลิตในประเทศไทยและจะเริ่มส่งมอบในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวได้ทันทีจำนวน 16 ล้านคน และในเดือนพฤษภาคม จะได้รับวัคซีน ซิโนแวคมาเพิ่มเติมจากแผนอีก 3.5 ล้านโดส เพื่อระดมฉีดให้กับบุคลากรด่านหน้าและผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอแผนการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม คือวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 5 - 20 ล้านโดส วัคซีนสปุตนิก วี วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และวัคซีนซิโนแวค บริษัทละ 5 - 10 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนอื่นที่จะมีการขึ้นทะเบียนในอนาคต โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายและฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบ ผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม ขณะนี้มีประชาชนมาลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 1 ล้านคน รวมทั้งผ่านทางเครือข่ายโรงพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล และเครือข่าย อาสาสมัครสาธารณสุข ทั่วประเทศ โดยใช้แผนบริการการฉีดวัคซีนตามหลักการสาธารณสุขและการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคม จัดลำดับกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เร่งด่วนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการเพิ่มจุดบริการการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น “ตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดส เพื่อเอาชนะสงครามกับโควิดในครั้งนี้ให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้บริการตรวจโควิด-19 ฟรี แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2564 ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้บริการตรวจโควิด-19 ฟรี แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้บริการตรวจโควิด-19 ฟรี แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง กรมราชทัณฑ์ โดยศูนย์บริการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (PCR) ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ พร้อมเปิดให้บริการรับตรวจคัดกรองเชื้อโควิดให้แก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มีประวัติเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ และลดความแออัดในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยจะรับตรวจหาเชื้อสำหรับประชาชนทั่วไป ในวัน-เวลาราชการ วันละ 100 ราย ส่วนวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ รับตรวจวันละ 200 ราย ผู้ที่สนใจสามารถขอเข้ารับบริการได้ที่หน้าตึกอำนวยการ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 08.30 – 14.30 นาฬิกาหรือสอบถามเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2953-3999 ต่อ 1345 (ส่วนการพยาบาล) โดยก่อนให้บริการจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรองตามเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงก่อนทำการตรวจ และจะแจ้งผลให้ทราบภายใน 72 ชั่วโมงหลังการตรวจผ่านทาง SMS (กรณีไม่พบเชื้อ) หรือหากพบการติดเชื้อ จะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์แจ้งผลพร้อมแนะนำการรักษา กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ตลอดจนพี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A อยู่ห่างไว้ ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจหาเชื้อ ใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะและหมอชนะอย่างเคร่งครัด เพื่อให้พวกเราทุกคนผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธารณสุขตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองที่อิมแพค เมืองทองธานี ช่วยลดความแออัดโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วยอาการหนัก
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สาธารณสุขตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองที่อิมแพค เมืองทองธานี ช่วยลดความแออัดโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วยอาการหนัก สาธารณสุขตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองที่อิมแพค เมืองทองธานี ช่วยลดความแออัดโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วยอาการหนัก วันที่ 5 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบการดำเนินการตั้งโรงพยาบาลสนามที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยจะให้เป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเหลือง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการ แต่อาการไม่รุนแรงและเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว จากเดิมผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงซึ่งเป็นกลุ่มมีอาการรุนแรง คือมีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก ปอดอักเสบรุนแรง มีภาวะปอดบวม ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินแล้วว่าการตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองนี้จะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนในกรุงเทพฯและปริมณฑลลง เพื่อให้ส่วนของโรงพยาบาลมีพื้นที่รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหนักได้มากขึ้น ส่วนของพื้นที่รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว คือ ผู้ป่วยที่มีผลยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่มีอการ หรือมีอาการเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก ตาแดง ผื่นขึ้น ซึ่งใช้โรงพยาบาลสนามทั่วไปและHospitel อยู่นั้น เวลานี้มีพื้นที่เพียงพอ ยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดหาพื้นที่เพิ่ม น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับข้อมูลโรงพยาบาลสนาม ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ได้ลงพื้นที่เพื่อวางแผนนั้น ที่นี่จะรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,200 เตียง โดยใช้พื้นที่อาคาร 1 และ 2 อาคารละ 2,000 เตียง ส่วนอาคาร 3 เตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการ ภายในจะตั้งเต็นท์ความดันลบ มีเครื่องช่วยหายใจ สามารถรองรับได้ 1,200 เตียง ทั้งนี้ หลังจากนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าไปจัดการในพื้นที่ ทั้งระบบระบายอากาศ ระบบระบายน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกล้องวงจรปิด ให้ได้ตามมาตรฐานและร่วมกับภาคเอกชนอื่น ๆ ติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตต่อไป รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยังได้รายงานเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ขณะนี้ขั้นตอนการรักษาได้เริ่มมีการให้ยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการในระยะเริ่มต้นด้วย เพื่อเป็นการหยุดยั้งการอักเสบของปอด และยืนยันว่าขณะนี้ปริมาณยามีเพียงพอ จากที่ได้มีการนำเข้ามามา 2 ล้านเม็ดในช่วงปลายเดือนเม.ย. ซึ่งมีการกระจายไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชนแล้ว 1 ล้านเม็ด อยู่ในคลังกลาง 1 ล้านเม็ด อยู่ระหว่างการสั่งซื้ออีก 3 ล้านเม็ด จะเข้ามาในประเทศภายในเดือนพ.ค.นี้ และองค์การเภสัชกรรมยังมีแผนการผลิตยาชนิดนี้เองในประเทศด้วย ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งปิดสาขาคลองเตย และสาขาเทสโก้โลตัส พระราม 4 เป็นการชั่วคราว หลังพบคลัสเตอร์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่ชุมชนคลองเตย
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ออมสิน แจ้งปิดสาขาคลองเตย และสาขาเทสโก้โลตัส พระราม 4 เป็นการชั่วคราว หลังพบคลัสเตอร์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่ชุมชนคลองเตย ธ.ออมสินแจ้งปิดให้บริการสาขาในพื้นที่เขตคลองเตย ซึ่งเป็นคลัสเตอร์การแพร่ระบาดจำนวน 2 สาขา ชั่วคราว คือ สาขาคลองเตย ปิดให้บริการตั้งแต่ 5–19 พ.ค.2564 เป็นเวลา 15 วัน และสาขาเทสโก้โลตัส พระราม 4 ปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 6–10 พ.ค.2564 เป็นเวลา 5 วัน รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. เร่งให้มีการตรวจเชิงรุกอย่างเร่งด่วนในพื้นที่ชุมชนคลองเตย หลังพบรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนคลองเตย เพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งปิดให้บริการสาขาในพื้นที่เขตคลองเตย ซึ่งเป็นคลัสเตอร์การแพร่ระบาด จำนวน 2 สาขา เป็นการชั่วคราว คือ สาขาคลองเตย ปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 5 – 19 พฤษภาคม 2564 เป็นเวลา 15 วัน และสาขาเทสโก้โลตัส พระราม 4 ปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 6 – 10 พฤษภาคม 2564 เป็นเวลา 5 วัน ระหว่างนี้ลูกค้าสามารถใช้บริการจากสาขาพื้นที่ใกล้เคียงได้ตามปกติ ได้แก่ สาขาคอลัมน์ทาวเวอร์ สาขาเกทเวย์เอกมัย สาขาพร้อมพงษ์ และสาขาพระโขนง หรือสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และระบบออนไลน์ต่าง ๆ ของธนาคารฯ เช่น แอปพลิเคชัน MyMo, ตู้ ATM และระบบ Internet Banking เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้าและพนักงาน เป็นสำคัญ จึงขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ โอกาสนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร. 1115 และที่ LINE ID พิมพ์ @GSBsociety
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวธ.แจ้งการบำเพ็ญกุศลศพผู้สร้างตำนานเพลงอมตะตลอดกาลของเมืองไทย
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สวธ.แจ้งการบำเพ็ญกุศลศพผู้สร้างตำนานเพลงอมตะตลอดกาลของเมืองไทย ครูชาลี อินทรวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช ๒๕๓๖ สวธ.แจ้งการบำเพ็ญกุศลศพผู้สร้างตำนานเพลงอมตะตลอดกาลของเมืองไทย ครูชาลี อินทรวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช ๒๕๓๖ https://www.m-culture.go.th/th/article_view.php?nid=128269
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41474
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก แนะนำประชาชนจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานครผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 14 พฤษภาคม 2564
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก แนะนำประชาชนจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพมหานครผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ... นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามประกาศของ ศบค. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงปรับรูปแบบการบริการให้ประชาชนสามารถใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการแพร่กระจายและติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยล่าสุดได้ปรับรูปแบบให้บริการการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ ขบ. https://www.dlt.go.th/site/vei/ ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ในเวลา 08.30 - 16.30 น. ของทุกวัน และงดรับการเดินทางมาจองด้วยตนเอง ณ ขบ. เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ ได้กำหนดเงื่อนไขในการจองหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของรถที่จดทะเบียนหรือผู้เช่าซื้อรถเท่านั้น เลขทะเบียนที่จองแล้วห้ามเปลี่ยนเลขหรือโอนสิทธิ์เปลี่ยนชื่อหรือยกเลิก ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อได้รับหมายเลขทะเบียนแล้วต้องดำเนินการจดทะเบียนภายใน 90 วัน หากไม่มาดำเนินการจดทะเบียนภายในกำหนด ขบ. จะนำหมายเลขทะเบียนที่ได้รับจัดให้กับผู้อื่นต่อไป สามารถจองได้จำนวน 5 หมายเลขตามลำดับที่ต้องการ พร้อมกำหนดหมวดอักษรได้ตามวันที่เปิดจอง หากหมวดอักษรใดมีผู้อื่นเลือกแล้วเจ้าหน้าที่จะดำเนินการเปลี่ยนหมวดอักษรให้ใหม่โดยจะแจ้งผลการจองให้ทราบภายใน 1 - 3 วันทำการ และสามารถตรวจสอบผลการจองด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ ขบ. รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของกรุงเทพฯ สามารถจองได้ด้วยตนเองเช่นกันที่เว็บไซต์ www.tabienrod.com ประกอบด้วย รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู รถตู้ และรถกระบะบรรทุก ซึ่งระบบของรถยนต์จะเปิดให้จองในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น. ทราบผลการจองได้ทันที ช่วยลดขั้นตอนให้ประชาชนไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่ ขบ. โดยหมายเลขทะเบียนที่จองได้จะไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อผู้อื่นได้ กรณีที่จองได้แล้วและเปลี่ยนใจไม่นำรถไปจดทะเบียนภายในเวลาที่กำหนดจะต้องรอให้พ้นระยะเวลาหลังจากจองครั้งแรกไปแล้ว 3 เดือน จึงจะสามารถนำข้อมูลรถคันเดิมไปจองเลขทะเบียนใหม่ได้ โดยเมื่อนำรถมาจดทะเบียนให้แจ้งหมายเลขที่จองได้กับเจ้าหน้าที่และดำเนินการจดทะเบียนตามขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันการจดทะเบียนรถใหม่มีความสะดวก รวดเร็ว กรณีที่หลักฐานครบถ้วนใช้ระยะเวลาภายใน 1 วัน สามารถรับแผ่นป้ายทะเบียนรถได้ทันที ทั้งนี้ การจองหมายเลขทะเบียนรถทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของกรุงเทพฯ ทำได้โดยง่ายดายเพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจอง สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อผ่านบุคคลภายนอก สำหรับต่างจังหวัดติดต่อสอบถามสำนักงานขนส่งจังหวัดโดยตรงหรือสอบถามได้ที่สายด่วนโทร. 1584
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อนหลอกทำงานซาอุฯ
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 กระทรวงแรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อนหลอกทำงานซาอุฯ สนร. ซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) พบพฤติการณ์สาย-นายหน้าเถื่อน ใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝาก Portfolio ติดต่อคนหางาน เพื่อหลอกให้สมัครงานและโอนค่าดำเนินการก่อนเชิดเงินหนี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานแรงงานในประเทศชาอุดีอาระเบียพบว่ามีมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งอาศัยข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝากประวัติเพื่อสมัครงาน (Portfolio / Curriculum Vitae) ติดต่อไปยังคนหางาน โดยแอบอ้างเป็นตัวแทนบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ หรือบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศซาอุฯ เพื่อให้โอนเงินซึ่งอ้างว่าเป็นค่าตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานประมาณ 8 หมื่นบาทไปยังบัญชีธนาคารที่มีชื่อบัญชีเป็นคนไทย เบื้องต้นคาดว่ามิจฉาชีพอาจมีผู้ร่วมขบวนการเป็นคนไทย หรือสามารถเข้าถึงบัญชีที่เปิดโดยไม่ถูกต้องของไทยได้ เป็นเหตุให้เน้นเป้าหมายมาที่กลุ่มคนหางานไทย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพราะเป็นผู้ที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทย และนำความรู้ ทักษะฝีมือ ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานกลับมาต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ ขณะเดียวกันแรงงานก็ได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก จนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ในครอบครัวได้ ทำให้คนหางานจำนวนมากหวังจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ตำแหน่งงานในต่างประเทศที่เปิดรับสมัครนั้น ยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อคนที่ต้องการเดินทางไปทำงาน ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงคนหางานว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ เช่นกรณีที่เกิดในประเทศซาอุฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ล่าสุดได้เร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลวงดังกล่าวในทุกช่องทางของกระทรวงแรงงาน พร้อมประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลบัญชีที่ใช้ในการรับโอนเงิน และประสานสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยเพื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีหลอกลวงข้างต้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายและมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติมจากการหลอกลวงไปทำงานประเทศซาอุฯ ขอให้คนหางานตรวจสอบข้อมูล และคำนึงถึงข้อสังเกตต่อไปนี้ ก่อนหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ใด 1. ปัจจุบันซาอุฯยังไม่มีการตรวจลงตราประเภททำงานอย่างเป็นทางการแก่ผู้ถือสัญชาติไทย โดยบริษัทที่จดทะเบียนในซาอุฯ ต่างทราบถึงข้อจำกัดนี้และมักจะไม่เสนอตำแหน่งงานแก่ผู้ที่มีสัญชาติไทย ดังนั้นการเสนอตำแหน่งงานในซาอุฯ แก่ผู้หางานสัญชาติไทยจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต (ทั้งนี้ไม่รวมถึงการจ้างงานโดยหน่วยงานพิเศษ อาทิ พระราชวัง หรือหน่วยงานรัฐ) 2. อีเมลของตัวแทนนายจ้างควรเป็นทางการใช้โดเมนที่จดทะเบียนในนามบริษัท หรือเอเจนซี่จัดหางาน ไม่ควรเป็นอีเมลฟรี อาทิ @gmail หรือ @yahoo 3. ระมัดระวังอีเมลที่โดเมนจดทะเบียนคล้ายชื่อบริษัท ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือเพิ่มเติม เช่น หากท่านได้รับการติดต่อด้วยอีเมล [email protected] ท่านสามารถตรวจสอบหน้าโฮมเพจโดยพิมพ์ URL เช่น http://www.hyudaicons.com หรือ http:/hyundaicons.com ซึ่งโดยส่วนมากมิจฉาชีพมักจะไม่ได้จัดทำหน้าโฮมเพจไว้ทำให้ไม่สามารถเข้าหน้าเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ดีโปรดระวังการเคลื่อนย้าย (redirect) ไปยังโฮมเพจของบริษัทจริงซึ่งสามารถตรวจสอบจาก URL ที่เปลี่ยนไป 4. ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับบริษัทนายจ้างต้องชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ทั่วไปจากการค้นหาทางอินเตอร์เน็ต หมายเลขโทรศัพท์มักเป็นโทรศัพท์สำนักงาน ไม่ใช่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (สามารถตรวจสอบได้จากรหัสนำหน้าหมายเลข กรณีซาอุดีฯ มีรหัสประเทศ +966 และหากตามด้วยเลข 5 จะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น +966576302632 เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ของมิจฉาชีพ) 5. รูปแบบเอกสาร หรือสัญญาควรมีลักษณะเป็นทางการ ไม่มีคำผิด หรือประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ มีตราประทับบริษัท หรือลงนามจริง มีการจัดหน้า ตัดคำที่เหมาะสม ใบสมัครงานควรมีช่องให้กรอกข้อมูลพอสมควร มิใช่มีเพียงหน้าเดียว เป็นต้น 6. การสมัครงานปกตินั้น กระบวนการตรวจสอบเอกสาร สัมภาษณ์ และการตอบรับมักจะใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร หากพบว่านายจ้างตอบรับการเข้าทำงานเพียงแค่ตรวจสอบเอกสาร Portfolio/CV ใช้เวลา 1-2 วัน โดยไม่มีการสัมภาษณ์ หรือเร่งรัดให้ลงนามในเอกสารต่างๆ ขอให้พึงระวังว่าเป็นการหลอกลวง 7. การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการสมัครงานโดยที่ตัวแทนนายจ้างเป็นผู้ติดต่อคนหางานก่อน (Headhunting) ถือว่าเป็นเรื่องผิดสังเกต “ทั้งนี้ กรมการจัดหางาน มีการตรวจสอบสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ เมื่อมีการโพสต์ข้อความชักชวนคนหางาน ไปทำงานในต่างประเทศที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และเฝ้าระวังพฤติการณ์ของขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเข้มงวด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 3 พฤษภาคม 2564 มีการดำเนินคดีสาย นายหน้าเถื่อน 68 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 14,359,965 บาท ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ และสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ 39 บริษัท” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ห่วงใยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 งดการอบรม ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่ 16 เมษายน 2564
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ห่วงใยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 งดการอบรม ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่ 16 เมษายน 2564 .. กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ห่วงใยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง “ชัยวุฒิ” วอนหยุดแชร์ข่าวปลอมเปิดจองวัคซีนโควิด-19 ครม.ขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีก 1 ปี สบส. แจงเรียกเก็บจ่ายค่ารักษาโควิด 19 เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ สธ.เข้มคัดกรอง ติดตาม และแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชนในพื้นที่กทม. สธ.-กทม. ร่วมบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่กทม.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,722 ล้านบาท ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,722 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 115,150 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,190 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 204,062 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 24.9 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" ตรวจเยี่ยมศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 วอนอย่านำความเห็นส่วนตัวมาสร้างความขัดแย้ง ย้ำทุกฝ่ายต้องสามัคคี เพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 "อนุชา" ตรวจเยี่ยมศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 วอนอย่านำความเห็นส่วนตัวมาสร้างความขัดแย้ง ย้ำทุกฝ่ายต้องสามัคคี เพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 "อนุชา" ตรวจเยี่ยมศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 วอนอย่านำความเห็นส่วนตัวมาสร้างความขัดแย้ง ย้ำทุกฝ่ายต้องสามัคคี เพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.30 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 ณ กรมยุทธบริการทหาร โดยมี พลเอก ธิติชัย เทียนทอง รองเสนาธิการทหาร พลโท อรรถณพ ลาภชุ่มศรี เจ้ากรมยุทธบริการทหาร ร่วมต้อนรับและบรรยายสรุปการดำเนินงานของศูนย์ สำหรับศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นไปตามบัญชาของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ต้องการให้ทุกหน่วยงานมีการบูรณาการความร่วมมือ ช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยทางกรมยุทธบริการทหารได้สนับสนุนยานพาหนะสำหรับขนส่งผู้ติดเชื้อไปยังสถานพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จากข้อมูลการขนย้ายผู้ป่วยของทางศูนย์ ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 609 ราย โดยทางศูนย์มีการจัดสรรยานพาหนะทั้งสิ้น จำนวนกว่า 60 คัน แบ่งเป็นยานพาหนะที่พร้อมใช้งานทันที จำนวน 31 คัน ยานพาหนะสนับสนุนศูนย์เอราวัณ จำนวน 10 คัน ยานพาหนะหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ 21 คัน และมีการจัดเตรียมรถพยาบาล จำนวน 4 คัน โดยการสนับสนุนของ 3 เหล่าทัพ และการประสานงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านทางรายการ NBT รวมใจ สู้ภัยโควิด-19 ทางช่อง NBT รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้น ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานประสานความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกล่าวขอบคุณกรมยุทธบริการทหาร และทุกหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม ที่มีการจัดระบบการขนส่ง ลำเลียงผู้ป่วยโควิด-19 ส่งถึงโรงพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งปัจจุบันพบว่ารถพยาบาลรับส่งผู้ป่วยของสถานพยาบาลไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในยามวิกฤติโรคระบาดที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะเป็นสิ่งที่นำพาประเทศชาติให้ผลวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ วอนขอประชาชนอย่านำความเห็นส่วนตัวมาสร้างความขัดแย้งในสังคม ขอให้ทุกฝ่ายมีความรัก สามัคคี เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ ----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41491
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” วอนหยุดแชร์ข่าวปลอมเปิดจองวัคซีนโควิด-19
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 “ชัยวุฒิ” วอนหยุดแชร์ข่าวปลอมเปิดจองวัคซีนโควิด-19 “ชัยวุฒิ” วอนหยุดแชร์ข่าวปลอมเปิดจองวัคซีนโควิด-19 “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสวอนหยุดแชร์ข่าวปลอมโรงพยาบาลเอกชนเปิดให้จองวัคซีนโควิด-19ของโมเดอร์นาล่าสุดประสานทวิตเตอร์ปิดกั้นแล้ว นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าขณะนี้มีการเผยแพร่และแชร์ต่อข่าวปลอมเกี่ยวกับประเด็นโรงพยาบาลเอกชนเปิดให้จองวัคซีนโควิด-19ของโมเดอร์นา(Moderna)สร้างความเข้าใจผิดและสับสนให้กับประชาชนจึงอยากขอความร่วมมือจากประชาชนและสื่อออนไลน์/โซเชียลต่างๆให้หยุดการแชร์ลิ้งค์และข้อความข่าวปลอมดังกล่าวโดยล่าสุดกระทรวงดิจิทัลฯได้ประสานงานปิดกั้นการแชร์ลิงค์ข้อมูลเท็จนี้ผ่านทวิตเตอร์แล้ว ทั้งนี้จากกรณีที่มีการแชร์ลิงค์และข้อความในสื่อออนไลน์เรื่องโรงพยาบาลเมดพาร์คเปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด-19ของModernaทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางศบค. กระทรวงมหาดไทยพบว่าประเด็นดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จโดยเมดพาร์คชี้แจงว่าโรงพยาบาลฯเปิดให้มีการกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพื่อเตรียมการให้ผู้มีสิทธิ์รับวัคซีนจากรัฐบาลได้มารับการฉีดที่โรงพยาบาลฯโดยไม่มีค่าใช้จ่ายซึ่งไม่ใช่การเปิดจองวัคซีนโควิด-19หรือขายวัคซีนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามกระทรวงดิจิทัลฯขอแนะนําให้ผู้ที่ต้องการลงทะเบียนฉีดวัคซีนจากรัฐบาลเข้าไปลงทะเบียนโดยตรงที่แอปหมอพร้อม หรือLINE IDหมอพร้อมเพื่อจะได้สามารถให้ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสุขภาพโดยตรงกับกระทรวงสาธารณสุขและสามารถนัดวันเวลาฉีดวัคซีนที่สถานพยาบาลที่ผู้ลงทะเบียนสะดวกได้โดยตรง “ขอย้ำเตือนพี่น้องประชาชนอย่าแชร์ข้อมูลเท็จและอย่ากรอกข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองผ่านเว็บไซต์ที่อาจเก็บข้อมูลของเราไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์”นายชัยวุฒิกล่าว ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41497
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอชี้ลงทุนไตรมาสแรก ปี 64 มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 บีโอไอชี้ลงทุนไตรมาสแรก ปี 64 มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท “การแพทย์ - อิเล็กทรอนิกส์” เติบโต รองรับเศรษฐกิจฟื้นหลังโควิด บีโอไอเผยภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี2564ยอดขอรับส่งเสริมรวมกว่า 1.2แสนล้านบาท เติบโตจากไตรมาสแรกปีก่อนมากถึงร้อยละ80พบกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ และอิเล็กทรอนิกส์เติบโตท่ามกลางสถานการณ์โควิด ขณะที่EECยังคงเนื้อหอมเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักของนักลงทุน นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า การลงทุนในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปี2564มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน401โครงการ มูลค่าลงทุนรวม123,360ล้านบาท มีอัตราเติบโตทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี2563โดยจำนวนโครงการเติบโตร้อยละ14และมูลค่าเติบโตร้อยละ80 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น74,830ล้านบาท โดย2อันดับแรกที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด ได้แก่1) อุตสาหกรรมการแพทย์ มูลค่า18,430 ล้านบาท เติบโตขึ้นมากกว่า100เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน2) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์17,410ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าในหมวดการแพทย์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการขยายการลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นอุตสาหกรรมในกลุ่มS-Curveขยายตัวต่อเนื่องจากผลของWork From Homeซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการทำงานในยุคเชื้อโควิดระบาด และการย้ายฐานการผลิตในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง” เลขาธิการบีโอไอกล่าว ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน191โครงการ มูลค่าลงทุน61,979ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ143เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยอันดับประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่มีมูลค่ามากที่สุด3อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์ ซึ่งมีขนาดการลงทุนใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ การลงทุนของเกาหลีใต้ปรับสูงขึ้นในไตรมาสนี้เนื่องจากมีการร่วมทุนในโครงการขนาดใหญ่ด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ สำหรับพื้นที่เป้าหมายที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมมูลค่า64,410ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ39เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็น จังหวัดระยอง มูลค่าลงทุน29,430ล้านบาท จังหวัดชลบุรี24,970ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา10,010ล้านบาท นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาก โดยมีจำนวน 39 โครงการ เงินลงทุน 8,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบ่งเป็นมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านประหยัดพลังงาน พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จำนวน 21 โครงการ เงินลงทุน 5,630 ล้านบาท มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุน 2,470 ล้านบาทและมาตรการวิจัยและพัฒนาหรือออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพจำนวน2โครงการ เงินลงทุน300 ล้านบาท *******************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41467