title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” เผยลงดาบมือโพสต์เฟคนิวส์วัคซีน-โควิดแล้ว 18 ราย | วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564
“ชัยวุฒิ” เผยลงดาบมือโพสต์เฟคนิวส์วัคซีน-โควิดแล้ว 18 ราย
“ชัยวุฒิ” เผยลงดาบมือโพสต์เฟคนิวส์วัคซีน-โควิดแล้ว 18 ราย
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสแถลงร่วมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ลุยสกัดกั้นข่าวปลอมวัคซีน-โควิดระลอก3แจ้งดำเนินคดีมือโพสต์แล้ว6รายและอาศัยอำนาจตามข้อกำหนด(ฉบับที่1 )ข้อ6ในมาตรา9ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯสั่งลบโพสต์อีก12ราย
เมื่อวันที่24พ.ค. 64นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยพล.ต.อ.สุวัฒน์แจ้งยอดสุขผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร)มอบหมายให้พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กิตติประภัสร์รองผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. ( PCT )และพล.ต.ต.พันธนะนุชนารถผบก.สส.สตม./หัวหน้าชุดบังคับบัญชาฝ่ายประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลฯเข้าร่วมแถลงข่าวการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข่าวอันไม่เป็นความจริงบิดเบือน
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รมว.ดีอีเอสกล่าวว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้กระทำการโพสต์เสนอข่าวอันไม่เป็นความจริงทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือบิดเบือนข่าวสารสร้างความเข้าใจผิดส่งผลให้เกิดความเสียหายสร้างความตื่นตระหนกกับประชาชนและสังคมในวงกว้างตลอดจนกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศดังนั้นจึงได้มีความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการตรวจสอบการกระทำความผิดฯและดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข่าวอันไม่เป็นความจริงบิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550และพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามหมายค้นเป้าหมายและติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้แล้ว18รายแบ่งเป็นมีการดำเนินคดี6รายและปฏิบัติการโดยอาศัยอำนาจตามข้อกำหนด(ฉบับที่1 )ข้อ6ซึ่งออกตามความในมาตรา9แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548จำนวน12ราย
สำหรับผู้กระทำความผิดที่อยู่ในกระบวนการดำเนินคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯและพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯกระจายอยู่ในพื้นที่กรุงเทพชลบุรีและพระนครศรีอยุธยาโดยมีข้อมูลได้รับการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าข้อความโพสต์ของทั้ง6รายเป็นข่าวปลอมประกอบด้วย 1.ผู้ใช้เฟซบุ๊กสาวสกล…โพสต์ว่า“พบผู้ติดเชื้อโควิด-19ที่วัดสังฆทานจำนวน300ราย”ผู้ใช้เฟซบุ๊กStanley…โพสต์ว่า“ศบค.ประกาศเคอร์ฟิวเวลา23.00 – 04.00น.พื้นที่สีแดง18จังหวัด”
3.ผู้ใช้เฟซบุ๊กจิ๊บ...โพสต์ว่า“เคอร์ฟิวทั่วประเทศห้ามออกจากบ้านตั้งแต่4ทุ่ม–ตี4เริ่มวันที่23เม.ย.64นี้” 4.ผู้ใช้เฟซบุ๊กกะทิ...โพสต์ว่า“พบผลข้างเคียงรุนแรงเลือดออกในสมองหลังจากฉีดวัคซีนSinovac” 5.ผู้ใช้ทวิตเตอร์@tuykal...โพสต์ว่า“พยาบาลรพ.หนองม่วงแพ้วัคซีนคับ”และ6.ผู้ใช้เฟซบุ๊กWadfhan...โพสต์ว่า“พยาบาลรพ.หนองม่วงแพ้วัคซีนคับ”
โดยจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้โพสต์ข้อความทั้ง6รายข้างต้น ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550มาตรา14มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับและพ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548มาตรา9มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน2ปีหรือปรับไม่เกิน40,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ยังได้ปฏิบัติการโดยอาศัยอำนาจตามข้อกำหนด(ฉบับที่1 )ข้อ6ซึ่งออกตามความในมาตรา9แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548อีก12จุดพบตัวผู้กระทำผิด12รายประกอบด้วย1.ผู้ใช้เฟซบุ๊กThanapol... 2.ผู้ใช้เฟซบุ๊กAom... 3.ผู้ใช้เฟซบุ๊กธัญชนก...และ4.ผู้ใช้เฟซบุ๊กแบงค์...โดยทั้ง4รายนี้ได้โพสต์ว่า“สธ.ประกาศฉุกเฉินระวัง35พื้นที่สีแดงเสี่ยงโควิด-19”ซึ่งทางกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าเป็นข่าวปลอม
5.ผู้ใช้ทวิตเตอร์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔
ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔ ผ่านระบบประชุมออนไลน์ Zoom
วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. พระเทพญาณวิศิษฎ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม และคณะสงฆ์ที่ปรึกษา เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๔ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมฯ นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม และผ่านระบบประชุมออนไลน์ Zoom ไปยังคณะกรรมการฯและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมมือ กสทช. และ 4 เครือข่ายมือถือ นัดประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิดที่สถานีกลางบางซื่อ ย้ำไม่มีการรับ Walk in | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
สธ.ร่วมมือ กสทช. และ 4 เครือข่ายมือถือ นัดประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิดที่สถานีกลางบางซื่อ ย้ำไม่มีการรับ Walk in
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เพิ่มการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ กทม. มี 4 เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือร่วมมือจัดคิวรับจองการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั้งทางออนไลน์และหน้าร้าน (shop) ไม่มีการรับ Walk in
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เพิ่มการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ กทม. มี 4 เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือร่วมมือจัดคิวรับจองการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั้งทางออนไลน์และหน้าร้าน (shop) ไม่มีการรับ Walk in ลดปัญหารอคิวและความแออัด
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือAIS นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม)บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (True) และนายวิโรจน์ โตเจริญวาณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารไร้สาย 1 บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการให้บริการฉีดวัคซีนศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ (CENTRAL VACCINATION CENTER : CVC)
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ และจัดเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องจัดหา กระจาย และระดมฉีดวัคซีนให้ได้มากและเร็วที่สุด ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคมจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เพื่อฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกอบอาชีพขนส่งสาธารณะซึ่งมีความเสี่ยงสูงของกระทรวงคมนาคม และใช้พื้นที่สถานีกลางบางซื่อขยายการฉีดวัคซีนแก่องค์กร หน่วยงานต่างๆ รวมถึงประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นการเพิ่มการเข้าถึงให้ประชาชนได้รับบริการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การระดมเข้ารับการฉีดวัคซีน ประชาชนและผู้ให้บริการอาจมีคำถามเรื่องการจองคิว การได้คิวฉีดและเรื่องความแออัด เป็นต้น กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (Operators) ของประเทศทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ AIS, Dtac, True และ NT ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาและเพิ่มบริการในการรับนัดล่วงหน้าและกระจายจำนวนผู้มารับบริการตามช่วงเวลาต่างๆ อย่างเหมาะสม เนื่องจากคนไทยกว่า 90% เป็นลูกค้าของทั้ง 4 เครือข่าย ซึ่งความร่วมมือนี้ถือเป็น BIG STEP ในการแก้ปัญหา ผลักดันวาระแห่งชาติของการระดมฉีดวัคซีนต้านโควิด19 ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหาวัคซีน ซิโนแวคเพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า และประชาชนในพื้นที่ระบาด ตั้งแต่กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม รวม 6 ล้านโดส และจะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าซึ่งเป็นวัคซีนแผนหลักในเดือนมิถุนายน 2564 และจะเริ่มฉีดให้กับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง เริ่มฉีด 7 มิถุนายนเป็นต้นไป โดยมีวัคซีนที่จะกระจายไปยังทุกจังหวัด 16 ล้านโดสฉีดในเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2564
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ระหว่าง 24 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน2564 เป็นการทดสอบระบบในการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกอบอาชีพขนส่งสาธารณะที่ลงทะเบียนผ่านกระทรวงคมนาคม ได้แก่ คนขับแท็กซี่ ขสมก. วินมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น ไม่มีการรับกลุ่มWalk inและวันที่ 27 พฤษภาคม 2564เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป จะเปิดลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไปผ่าน 4 ค่ายมือถือ ซึ่งมีการเปิดลงทะเบียนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เว็บไซต์ คอลเซ็นเตอร์ และหน้าร้าน (Shop) โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7-30 มิถุนายน 2564 โดยค่ายมือถือจะจัดบุคลากรเข้ามาอำนวยความสะดวกและเพิ่มสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบริเวณจุดฉีดวัคซีนด้วย
สำหรับขั้นตอนการรับบริการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที ดังนี้ จุดที่ 1 วัดอุณหภูมิ (ประตูทางเข้า) ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน รับแบบคัดกรองและใบยินยอมการเข้ารับวัคซีน ผู้เข้ารับบริการที่มีประวัติแพ้ยารุนแรง รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด/ยาละลายลิ่มเลือดที่อาจทำให้เลือดหยุดยาก จะส่งต่อไปคัดกรองโดยแพทย์อีกครั้งหนึ่ง ณ จุดดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง จุดที่ 2 ลงทะเบียน ยืนยันตัวตนโดยแสดง QR code ที่ได้รับจากการนัดหมายพร้อมบัตรประชาชน ลงนามในใบยินยอมเข้ารับวัคซีน และรับใบนัดหมายการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จุดที่ 3 ฉีดวัคซีน และจุดที่ 4 พักรอสังเกตอาการ 30 นาที และลงทะเบียนผ่านไลน์ “หมอพร้อม”เพื่อรับแจ้งข้อมูลการรับวัคซีน ทำแบบประเมินอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน และออกใบรับรองการได้รับวัคซีน
***************************** 24 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42050 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 พฤษภาคม 2564 | วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุน
วิสาหกิจเพื่อสังคม)
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 4 ฉบับ [(ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อ สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 และมาตรการภาษีเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package)]
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ….
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) กรณีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 รวม 2 ฉบับ
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจัดตั้งและการเลิกดำเนินการเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอด
อากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ….
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 พ.ศ. ….
10. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนในที่ดินของรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 พ.ศ. ….
เศรษฐกิจ สังคม
11. เรื่อง การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ
12. เรื่อง ขอยกเลิกโครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทยพื้นที่ประชาชื่น และโอนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับรายการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไปสมทบเป็นค่างานก่อสร้างโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย ระยะที่ 2
13. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ
ครอบคลุมพื้นที่
14. เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการจัดระบบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ
15. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะอนุกรรมการชุดหลักในคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562
16. เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
17. เรื่อง รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564
18. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
19. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานความก้าวหน้าการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เรื่อง การคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และการจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์กลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา
20. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร
21. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
22. เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2563
23. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดตั้งเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา
24. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปฏิบัติตามกฎหมายของโครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ และถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (โฮปเวลล์) ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
25. เรื่อง รายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563)
26. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานด้านการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกรมราชทัณฑ์
27. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
28. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 7/2564
29. เรื่อง ผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาลภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)
30. เรื่อง อนุมัติงบประมาณรายการค่าใช้จ่ายการแก้ไขและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเรือนจำและทัณฑสถาน จากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ต่างประเทศ
31. เรื่อง การแก้ไขเอกสารประกอบสัญญาเงินกู้ระหว่างกระทรวงการคลังกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศเพื่อรองรับการยุติการใช้ London Interbank Offered Rate (LIBOR) เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
32. เรื่อง สรุปผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 5 ผ่านระบบออนไลน์
33. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญากรุงโซลในการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 (Partnering for Green Growth and Global Goals 2030: P4G) ครั้งที่ 2
34. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2021
35. เรื่อง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรไทยกับกรมสิ่งแวดล้อมของสมาพันธรัฐสวิส ในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แต่งตั้ง
36. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง)
37. เรื่อง ขอแจ้งเปลี่ยนแปลงโฆษกสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
40. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของปลัดกระทรวงยุติธรรม (ครั้งที่ 1)
41. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ กค. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ กค. เสนอ เป็นการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่วิสาหกิจเพื่อสังคมและบุคคลซึ่งให้การสนับสนุนกิจการของวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมถึงยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจการของวิสาหกิจเพื่อสังคม
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “วิสาหกิจเพื่อสังคม” “กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม” และ “ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์”
3. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไร ตั้งแต่วันที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ กรณีวิสาหกิจเพื่อสังคมเปลี่ยนแปลงประเภทเป็นประสงค์จะแบ่งปันกำไร ให้หมดสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และต้องนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิไปแล้วไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น
4. กำหนดให้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ โดยสามารถหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้ง หรือเพิ่มทุนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยบุคคลธรรมดาหักลดหย่อนไม่เกิน 100,000 บาทสำหรับปีภาษี และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายได้ตามจริง ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการ
5. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับยกเว้นภาษีเงินได้โดยสามารถหักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยไม่มีค่าตอบแทนผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
6. กำหนดให้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายสำหรับการบริจาคผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยบุคคลธรรมดาหักลดหย่อนเท่าที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเท่าที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
7. กำหนดให้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์สำหรับการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า หรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินตามข้อ 5. หรือการบริจาคตามข้อ 6. โดยต้องไม่นำต้นทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
8. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการและได้รับจดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม)
9. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559 และได้รับการจดทะเบียนแล้ว และผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกานี้
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 4 ฉบับ [(ขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 และมาตรการภาษีเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package)]
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0) 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบอัตโนมัติ) 3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูง) 4. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง) รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 4 ฉบับ ที่ กค. เสนอ เป็นการขอขยายระยะเวลาการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเป็นการจูงใจนักลงทุนให้มีการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักรและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรตามโครงการลงทุนในระบบอัตโนมัติ ส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูง และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคทรัพย์สินให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ที่จัดตั้งโดยสถานศึกษา แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนในระบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้มีการจ้างงานบุคลากรผู้มีทักษะสูง ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ตลอดจนยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูงออกไปอีก 2 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0) เป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือเพื่อระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรเพื่อระบบอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ในส่วนที่จ่ายไป (หักรายจ่ายได้ 3 เท่า) ให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ที่จัดตั้งโดยสถานศึกษาของรัฐ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนสำหรับการบริจาคทรัพย์สินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบอัตโนมัติ) เป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อย (2 เท่า) ของรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรตามโครงการลงทุนในระบบอัตโนมัติ แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูง) เป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบ (1.5 เท่า) ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่การจ้างงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ตามสัญญาจ้างแรงงานในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เฉพาะส่วนที่เป็นเงินเดือน (จำนวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนค่าจ้างที่ไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อเดือน) สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
4. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง) เป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยห้าสิบ (2.5 เท่า) ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่กำหนด สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. ให้ชะลอการเสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของสำนักงาน ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วต่อสภาผู้แทนราษฎร
2. ให้ชะลอการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
3. ให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งไปพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ ไม่ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และกำหนดให้การออกจากราชการของข้าราชการเพราะความตายไม่ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) พิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่ยังมีพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการประเภทต่าง ๆ ในทำนองเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอีก 52 ฉบับ ดังนั้น เพื่อให้มีการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติทุกฉบับที่มีเนื้อหาอย่างเดียวกันต่อสภาผู้แทนราษฎรไปในคราวเดียวกัน จึงเห็นควรให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งสองฉบับ และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมร่างพระราชบัญญัติของทุกส่วนราชการ ที่จะเสนอแก้ไขในทำนองเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวให้ครบถ้วนเสียก่อน แล้วจึงส่งมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาในคราวเดียวกัน
4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามและวาระการดำรงตำแหน่งของประธานคณะกรรมการอัยการ และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ การโอนข้าราชการธุรการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการอัยการ การให้ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน การกำหนดให้การดำเนินการสอบสวนชั้นต้นสามารถมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้โดยไม่ต้องมีการดำเนินการสอบสวนชั้นต้นก่อน และการกำหนดให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยชั้นต้นข้าราชการอัยการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้การปฏิบัติงานของสำนักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการอัยการ และข้าราชการอัยการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามและวาระการดำรงตำแหน่งของประธานคณะกรรมการอัยการ (ประธาน ก.อ.) และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้ประธาน ก.อ. สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิสามารถดำรงตำแหน่งประธาน ก.อ. ได้ และกำหนดให้แต่ละประเภทดำรงตำแหน่งติดต่อกันสองวาระไม่ได้
2. กำหนดให้การโอนข้าราชการธุรการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการอัยการ โดยให้แต่งตั้งผู้นั้นคงอยู่ในลำดับอาวุโสที่เคยครองและได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในชั้นและขั้นเดียวกับข้าราชอัยการที่อยู่ในลำดับอาวุโสเท่ากันในขณะดำรงตำแหน่งข้าราชการอัยการ
3. กำหนดให้ข้าราชการอัยการที่ตกเป็นบุคคลล้มละลายในภายหลังจากที่ได้รับบรรจุเป็นข้าราชการอัยการแล้ว เป็นเหตุให้ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนได้
4. กำหนดเกี่ยวกับการดำเนินการสอบสวนชั้นต้นให้มีการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้ โดยไม่ต้องมีการดำเนินการสอบสวนชั้นต้นก่อน
5. กำหนดให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยชั้นต้นข้าราชการอัยการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ คค. เสนอ เป็นการกำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นอีกแบบหนึ่งของรถยนต์รับจ้าง โดยการเรียกใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนเลือกใช้บริการ และส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวสามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสอดคล้องกับบริบทของสังคมและวิถีการใช้ชีวิตของประชาชนในปัจจุบัน ที่การให้บริการการเดินทางโดยการเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันเป็นที่นิยมของประชาชนมากยิ่งขึ้น และทำให้ทางราชการสามารถควบคุมติดตามตรวจสอบการให้บริการดังกล่าวเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่คนโดยสารได้
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงพบว่า แม้ปัจจุบันการนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ประชาชนให้ความสนใจใช้บริการเป็นอย่างมาก เนื่องจากประชาชนมีความเชื่อมั่นจากหลายปัจจัย เช่น การไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร การรับรู้ค่าโดยสารที่ชัดเจน และความปลอดภัยที่มีการตรวจสอบประวัติผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมเป็นสมาชิก ซึ่งการสนับสนุนให้นำรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันถูกต้องตามกฎหมาย จะช่วยให้ทั้งประชาชนผู้ใช้บริการและผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวเกิดความมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ปลอดภัยและซื่อตรงในการเดินทาง อันจะเป็นการส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นไปได้สะดวกและง่ายขึ้น ตลอดจนส่งเสริมภาคเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่สมดุลได้ รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) ปรับตัวในการพัฒนาการให้บริการได้อีกทางหนึ่ง
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. กำหนดนิยาม “รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า รถยนต์รับจ้างที่เกิดจากการนำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมาจดทะเบียนเปลี่ยนประเภทเป็นรถยนต์รับจ้าง โดยการรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ “รถยนต์รับจ้าง” หมายความว่า รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
2. กำหนดให้รถยนต์รับจ้างที่จะนำมาจดทะเบียน แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยให้จดทะเบียนได้คนละ 1 คัน รวมทั้งกำหนดลักษณะและกำลังในการขับเคลื่อนของรถยนต์รับจ้างที่จะนำมาจดทะเบียน
3. กำหนดลักษณะของรถยนต์รับจ้างที่จะนำมาจดทะเบียนต้องมีลักษณะเป็นรถเก๋งสองตอน รถเก๋งสองตอนแวน รถเก๋งสามตอน รถเก๋งสามตอนแวน รถยนต์นั่งสองตอน รถยนต์นั่งสองตอนแวน รถยนต์นั่งสามตอน รถยนต์นั่งสามตอนแวน หรือรถยนต์ลักษณะอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
4. กำหนดให้รถยนต์รับจ้างต้องมีและใช้อุปกรณ์เครื่องสื่อสารเพื่อรับงานจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมการขนส่งทางบกให้การรับรอง ต้องแสดงเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดไว้ที่ตัวรถ ต้องใช้สีของตัวถังรถตามสีที่ใช้ในการจดทะเบียนรถ และให้รถยนต์รับจ้างมีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 9 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
5. กำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารและค่าบริการอื่นสำหรับรถยนต์รับจ้าง ดังต่อไปนี้
5.1 รถยนต์รับจ้างขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้กำหนดค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร โดยถือเกณฑ์ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรกไม่เกิน 50 บาท และกิโลเมตรต่อ ๆ ไปกิโลเมตรละไม่เกิน 12 บาท ในกรณีที่ไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้ตามปกติวิสัยในอัตรานาทีละไม่เกิน 3 บาท ส่วนค่าบริการกรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารหรือระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนดได้ไม่เกิน 50 บาท และค่าบริการเพิ่มกรณีอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนดไม่เกิน 200 บาท
5.2 รถยนต์รับจ้างขนาดใหญ่ ให้กำหนดค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยถือเกณฑ์ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรกไม่เกิน 200 บาท และกิโลเมตรต่อ ๆ ไป กิโลเมตรละไม่เกิน 50 บาท ในกรณีที่ไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้ตามปกติวิสัยในอัตรานาทีละไม่เกิน 10 บาท ส่วนค่าบริการกรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารหรือระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนดได้ไม่เกิน 100 บาท และค่าบริการเพิ่มกรณีอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนดไม่เกิน 200 บาท
6. กำหนดให้แผ่นป้ายทะเบียนรถของรถยนต์รับจ้างให้ใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคนเดิม โดยให้นายทะเบียนเปลี่ยนประเภทการจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างในใบคู่มือจดทะเบียนรถ
7. กำหนดให้รถยนต์รับจ้างต้องมีการตรวจสภาพตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งต้องรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งภายนอกและภายในตัวรถเป็นอย่างดี ต้องไม่บรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ และเพื่อความปลอดภัยจนทำให้ผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวก รวมทั้งกำหนดให้ผู้ขับรถยนต์รับจ้างต้องแต่งกายให้สะอาด สุภาพเรียบร้อยและรัดกุม
6. เรื่องร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) กรณีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/13 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร และ 2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการจัดทำ การส่ง การรับ การเก็บรักษาที่เกี่ยวข้องด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบรรดาหมายเรียก เอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับกระบวนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศและอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม โดยดำเนินการผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1.ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำ ส่ง รับ และเก็บรักษาเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/13 วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรเป็นการกำหนดการจัดทำ การส่ง การรับ และการเก็บรักษาหมายเรียก หนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากร แบบ รายงานเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศและอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม โดยดำเนินการผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
2.ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับกระบวนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศและอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มในสาระสำคัญ เช่น ชื่อผู้ประกอบการ เว็บไซต์ของผู้ประกอบการและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการ เป็นต้น โดยให้ดำเนินการด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจัดตั้งและการเลิกดำเนินการเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจัดตั้งและการเลิกดำเนินการเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า โดยที่ปัจจุบันได้ออกกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ได้แก่ 1) กฎกระทรวงการอนุญาตจัดตั้งและการเลิกดำเนินการเขตปลอดอากร พ.ศ. 2560 และ 2) กฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร พ.ศ. 2560 โดยกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร พ.ศ. 2560 ได้กำหนดบทนิยาม “โครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” หมายความว่า พื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอเบตง จังหวัดยะลา นั้น ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ขอให้ กค. พิจารณาประกาศเพิ่มเติม เรื่องการกำหนดพื้นที่ปลอดอากร โดยเพิ่มอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้มีการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในฐานะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคตเพื่อรองรับเขตการพัฒนาเศรษฐกิจเฉพาะ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (7 พฤษภาคม 2562) เรื่อง การประกาศให้อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในฐานะเมืองต้นแบบที่ 4 “เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” เป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางของโครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ประชาชนที่เดินทางไปท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าปลอดอากรในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาได้ และเพื่อให้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจัดตั้งเขตปลอดอากรประเภทพาณิชย กรรมมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสมัยใหม่และรองรับการค้าการลงทุนของภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 จึงได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงรวม 2 ฉบับ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจัดตั้งและการเลิกดำเนินการเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 กำหนดบทนิยาม คำว่า “โครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” หมายความว่า พื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพื้นที่อื่นใดที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (เพิ่มคำว่า และพื้นที่อื่นใดที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน)
1.2 เพิ่มลักษณะต้องห้ามของผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด (เดิมระบุไว้ 2 ประการ ได้แก่ เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต และเคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตมาแล้วก่อนวันยื่นคำขออนุญาตเกินสามปี)
1.3 กำหนดให้ในกรณีมีความจำเป็นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้อธิบดีผ่อนผันหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของผู้ขอรับอนุญาตการขอจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อการประกอบพาณิชยกรรม และการขอจัดตั้งเขตปลอดอากร ณ สนามบินระหว่างประเทศ หรือท่าเรือรับอนุญาต หรือพื้นที่อื่นที่อธิบดีเห็นชอบได้
2. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดบทนิยาม คำว่า “โครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” หมายความว่า พื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพื้นที่อื่นใดที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (เพิ่มคำว่า และพื้นที่อื่นใดที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน)
2.2 แก้ไขรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขเกี่ยวกับการขอเลิกประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (ข้อ 9 ของกฎกระทรวงฯ) โดยระบุรายละเอียดการดำเนินการหลังผู้ประกอบกิจการได้รับใบอนุญาตเลิกประกอบกิจการแล้ว ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) นำของออกจากเขตปลอดอากร พร้อมทั้งเสียอากรให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด หรือ
(2) ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร หรือนำของไปเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน เขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือจำหน่ายให้แก่ผู้นำของเข้าตามมาตรา 29 หรือผู้มีสิทธิได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหรือกฎหมายอื่น แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พณ. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 บัญญัติให้ทุก 5 ปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ผู้อนุญาตพิจารณากฎหมายที่ให้อำนาจในการอนุญาตว่าสมควรปรับปรุงกฎหมายนั้น เพื่อยกเลิกการอนุญาตหรือจัดให้มีมาตรการอื่นแทนการอนุญาตหรือไม่ ประกอบกับ พณ. ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อทบทวนมาตรการนำเข้า-ส่งออกตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ทุกฉบับ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ทบทวนและแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์ หรือระเบียบกระทรวงพาณิชย์หลายฉบับ รวมถึงให้ทบทวนและแก้ไขปรับปรุงมาตรการตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 113) พ.ศ. 2539 (การนำรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร) ด้วย ประกอบกับนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้ พณ. ติดตามและแก้ไขปัญหาการนำเข้ารถยนต์และรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปที่ใช้แล้วจากต่างประเทศและนำมาจดทะเบียนในราชอาณาจักรให้เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย
2. กรมการค้าต่างประเทศจึงได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อพิจารณาทบทวนมาตรการควบคุมการนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว โดยมีมติ ดังนี้
2.1 ห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว รถโมเพ็ดใช้แล้ว (Moped) รถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย (รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว) และรถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน 100 ปี
2.2 กำหนดประเภทรถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่อนุญาตให้นำเข้าภายใต้กำกับดูแลของหน่วยงานอื่น เพื่อปรับลดขั้นตอนการทำงานและอำนวยความสะดวกประชาชน เช่น การนำเข้าของผู้ที่ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต การนำเข้าเป็นการชั่วคราว การนำเข้าเพื่อเป็นต้นแบบในการวิจัยพัฒนา เป็นต้น
2.3 กำหนดบทลงโทษกรณีฝ่าฝืนมาตรการห้ามนำเข้า โดยให้กรมศุลกากรทำลายรถจักรยานยนต์ใช้แล้วดังกล่าว เช่นเดียวกับการกำหนดบทลงโทษที่บัญญัติในประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2562
3. ประกอบกับปัจจุบันปัญหาด้านมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การลดปริมาณนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่ไม่จำเป็น เช่น การห้ามนำเข้าจักรยานยนต์ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัว และการกำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามนำเข้าให้กรมศุลกากรทำลาย จะช่วยลดปัญหาด้านมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน รวมทั้งการยกเว้นให้รถบางประเภทสามารถนำเข้าได้ภายใต้กำกับดูแลของหน่วยงานอื่น โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก พณ. เช่น การนำเข้าเป็นการชั่วคราว การนำเข้าเพื่อเป็นต้นแบบในการวิจัยพัฒนา เป็นการปรับลดขั้นตอนการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
4. พณ. พิจารณาแล้ว จึงได้ดำเนินการยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. และได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง รวม 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 รวม 78 วัน ผ่านเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) และได้ชี้แจงข้อเท็จจริงประเด็นการอนุรักษ์รถจักรยานยนต์เก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และการศึกษา ซึ่งประเด็นนี้ผู้นำเข้ารถโบราณหรือรถที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สามารถนำเข้าได้ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากร
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรและขอบเขตสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้า
พิกัดอัตราศุลกากร
สินค้าต้องห้ามนำเข้า
ประเภท 87.11
รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว รถโมเพ็ดใช้แล้ว (Moped) รถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย (รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว) รวมทั้งรถพ่วงข้าง แต่ไม่รวมรถพ่วงข้างที่ไม่ได้ติดตั้งมากับรถ
2. กำหนดประเภทรถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของหน่วยงานอื่น โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก พณ. เพื่อปรับลดขั้นตอนการทำงาน และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
หน่วยงาน
ประเภทการนำเข้า
การกำกับดูแล
1. กระทรวงการต่างประเทศ
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่นำเข้าโดยสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของต่างประเทศ องค์กรต่างประเทศที่ได้รับเอกสิทธิ์หรือบุคคลซึ่งได้รับเอกสิทธิ์
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่ได้รับบริจาคจากต่างประเทศภายใต้แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
ออกหนังสือรับรองประกอบพิธีการศุลกากร
2. กรมศุลกากร
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่นำเข้าหรือส่งออกเป็นการชั่วคราว (รวมรถที่ใช้ประโยชน์สุทธินำกลับ รถเพื่อจัดแสดง และรถเพื่อการท่องเที่ยว)
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่ไม่สามารถจดทะเบียนหรือไม่สามารถนำเข้าไปในต่างประเทศได้
เป็นไปตามกฎหมายศุลกากร
3. กรมสรรพสามิต
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่นำเข้ามาเพื่อใช้เป็นรถต้นแบบสำหรับการวิจัย พัฒนาหรือทดสอบสมรรถนะ
ออกหนังสือรับรองประกอบพิธีการศุลกากร
4. กรมศิลปากร
- รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่นำเข้ามาเพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น
ออกหนังสือรับรองประกอบพิธีการศุลกากร
5. กระทรวงกลาโหม
รถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่เป็นยุทธภัณฑ์
เป็นไปตามกฎหมายกระทรวงกลาโหม
9. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พณ. เสนอว่า ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง พุทธศักราช 2482 กำหนดห้ามส่งออกสินค้าเทวรูป ชิ้นส่วนของเทวรูป พระพุทธรูปและชิ้นส่วนของพระพุทธรูป แต่ไม่รวมถึงพระเครื่องและชิ้นส่วนของพระเครื่อง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย เพื่อป้องกันการลักและทำลายพระพุทธรูปหรือเทวรูปออกเป็นชิ้นส่วนส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ แต่ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้มาขออนุญาตส่งออกสินค้าดังกล่าวแต่อย่างใด
ต่อมา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ประชุมร่วมกับกรมศิลปากร และกรมศุลกากร เพื่อพิจารณายกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย เนื่องจากกรมศิลปากรอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 กำกับดูแลการส่งออกสินค้าตาม พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอยู่แล้ว
ดังนั้น เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติที่ประชุมวันที่ 17 ธันวาคม 2563 พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศจึงดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 พ.ศ. …. และได้ดำเนินการรับฟังความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว โดยกรมศิลปากรและกรมศุลกากรแจ้งเห็นด้วยกับการยกเลิกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
10. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนในที่ดินของรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนในที่ดินของรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 กำหนดให้ กค. ต้องกำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ กค. กรณีที่มีการเวนคืนที่ดินของรัฐ 4 ประเภท ได้แก่ (1) ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน (2) ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือที่ดินที่ได้สงวนหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ (3) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน และที่ดินนั้นอยู่นอกเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และ (4) ที่ดินที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ
2. ประกอบกับได้มีคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ 70/2562 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนดเนื้อหาและรายละเอียดกฎหมายลำดับรองที่จะต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
3. กค. โดยกรมธนารักษ์ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการตามข้อ 2. ซึ่งในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ขึ้น รวมทั้งสิ้นจำนวน 10 ฉบับ
4. ต่อมากระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือถึง กค. ขอให้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนในที่ดินของรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 พ.ศ. ….
5. กค. โดยกรมธนารักษ์จึงได้มีคำสั่ง ที่ 630/2562 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างประกาศกระทรวงการคลังกำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 และได้ยกร่างประกาศดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
กำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทน ให้แก่ กค. ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่เวนคืนได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว แต่มีที่ดินที่อยู่ในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ 4 ประเภท ได้แก่ (1) ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน (2) ที่ดินสาธารณชนสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือที่ดินที่ได้สงวนหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ (3) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน และที่ดินนั้นอยู่นอกเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และ (4) ที่ดินที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เวนคืนนั้นมีอำนาจเข้าครอบครอง ดูแล และใช้ประโยชน์ โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ กค. ตามอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่ กค. กำหนดแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นตกเป็นของหน่วยงานของรัฐที่เวนคืน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “กิจการลงทุน” และ “กิจการสาธารณะ”
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนที่ดินของรัฐ ประกอบด้วยคณะกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ (1) ในเขตกรุงเทพมหานคร (2) ในเขตจังหวัดอื่น โดยคณะกรรมการมีหน้าที่กำหนดค่าตอบแทนที่ดินของรัฐตามอัตราที่กำหนด เช่น กรณีเป็นกิจการลงทุนให้กำหนดค่าตอบแทนที่ดินของรัฐให้ได้ราคาเทียบเคียงราคาซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาด หรือกรณีเป็นกิจการสาธารณะให้กำหนดค่าตอบแทนที่ดินของรัฐให้ได้เทียบเคียงกับราคาประเมินที่ดิน
3. กำหนดวิธีในการรับชำระเงินค่าตอบแทน โดยให้เจ้าหน้าที่ชำระเงินผ่านบัญชีของกรมธนารักษ์
เศรษฐกิจ สังคม
11. เรื่อง การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอดังนี้
1. ให้ กษ. (กรมชลประทาน) ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2541 และอนุมัติในหลักการให้กรมชลประทานจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานโครงการของรัฐ กรณีโครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ ในอัตราไร่ละ 42,000 บาท ในท้องที่อำเภอหนองบัวระเหว จำนวน 150 แปลง เนื้อที่ 1,754-0-89 ไร่ คิดเป็นเงิน 73,677,345 บาท และในท้องที่อำเภอเทพสถิตจำนวน 22 แปลง เนื้อที่ 221-1-53 ไร่ คิดเป็นเงิน 9,298,065 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 82,975,410 บาท โดยผู้มีสิทธิจะต้องมีชื่อปรากฏในแผนที่ ร.ว. 43 ก. ตามผลการรังวัดโดยช่างรังวัดของกรมที่ดินและเคยได้รับค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ไปแล้วในอัตราไร่ละ 8,000 บาท
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากสามารถดำเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เห็นสมควรให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อมาดำเนินการเป็นลำดับแรก โดยให้จัดทำแผนรายละเอียดการจ่ายเงินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
2. เพื่อให้การจ่ายเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร เห็นควรอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายละเอียดที่ดินของราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ (กลุ่มที่ 1) โครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ ตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ ประกอบด้วย
1) ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
ประธานกรรมการ
2) อัยการจังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
3) คลังจังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
4) ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
5) เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
6) ปฏิรูปที่ดินจังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
7) เกษตรและสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ
กรรมการ
8) ผู้อำนวยการโครงการชลประทานชัยภูมิ
กรรมการ
9) นายอำเภอหนองบัวระเหว
กรรมการ
10) นายอำเภอเทพสถิต
กรรมการ
11) นายบัวลอย บำรุงสวัสดิ์ (ตัวแทนเกษตรกร)
กรรมการ
12) นายศักดา กาญจนเสน (ตัวแทนเกษตรกร)
กรรมการ
13) นายสาคร ศรีใส (ตัวแทนเกษตรกร)
กรรมการ
14) หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดินที่ 2 ส่วนจัดหาที่ดิน 2 สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน
กรรมการและเลขานุการ
15) ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 13 กรมชลประทาน
กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าว ตรวจสอบบุคคลผู้มีสิทธิ จำนวน 172 ราย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชยให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย สำหรับการจ่ายเงินกรณีนี้เห็นสมควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการฯ หรือทายาทของบุคคลดังกล่าว โดยให้ถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานประกอบการจ่ายเงิน และให้ระบุในหลักฐานการรับเงินด้วยว่า “ข้าพเจ้ายินยอมรับเงินค่าขนย้ายในครั้งนี้ และจะไม่มาเรียกร้องหรือขอรับความช่วยเหลือใด ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการโปร่งขุนเพชรจากทางราชการอีก”
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (8 เมษายน 2532) อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนโครงการโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ ในท้องที่อำเภอหนองบัวระเหวและอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ และคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2532 ได้กำหนดค่าขนย้าย กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิในอัตราไร่ละ 8,000 บาท ซึ่งกรมชลประทานได้จ่ายค่าขนย้ายดังกล่าวให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ จำนวน 272 แปลง แล้ว ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (22 เมษายน 2539) ให้ชะลอการดำเนินการก่อสร้างโครงการไว้ก่อน ส่งผลให้ราษฎรกลุ่มดังกล่าวยังไม่ได้มีการย้ายออกจากพื้นที่ และภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติ (20 กันยายน 2548) ให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการโปร่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี 2557 โดยคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินและคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2532 ได้พิจารณากำหนดจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือมาก่อนในอัตราไร่ละ 50,000 บาท ส่งผลให้ราษฎรกลุ่มที่เคยได้รับค่าขนย้ายในอัตราไร่ละ 8,000 บาท ต้องการขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาส่วนต่างในอัตราไร่ละ 42,000 บาท ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการและผู้แทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการของรัฐได้มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาชดเชยส่วนต่างดังกล่าว ให้แก่เกษตรกรผู้ครอบครองที่ดินรายเดิม จำนวน 172 แปลง คิดเป็นจำนวนเงิน 82,975,410 บาท
2. เดิมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอเรื่องนี้มายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 และนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ส่งเรื่องนี้คืนเพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเจรจากับราษฎรอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน เหมาะสม และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่ายก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสานได้หารือร่วมกับผู้แทนกรมชลประทานและจัดทำบันทึกการเจรจาร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสานและผู้แทนกรมชลประทาน เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 สรุปความว่า ต้องดำเนินการเยียวยาความเดือดร้อนความเสียหายแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า และขอให้กรมชลประทานนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ทั้งนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า การจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎร เห็นสมควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
12. เรื่อง ขอยกเลิกโครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทยพื้นที่ประชาชื่น และโอนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับรายการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไปสมทบเป็นค่างานก่อสร้างโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย ระยะที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) ยกเลิกรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการ บก.ทท. พื้นที่ประชาชื่น (โครงการฯ ประชาชื่น) และโอนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับรายการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 79.91 ล้านบาท ไปสมทบเป็นค่างานก่อสร้างโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการ บก.ทท. ระยะที่ 2 (โครงการฯ ระยะที่ 2) ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กห. รายงานว่า บก.ทท. ได้ดำเนินการก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการ บก.ทท. และครอบครัว รวม 2 โครงการ ดังนี้
1. โครงการฯ ประชาชื่น มีการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
1.1 บก.ทท. มีแผนการก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการ บก.ทท. และครอบครัว ในพื้นที่ราชพัสดุของ บก.ทท. พื้นที่ประชาชื่น โดยสร้างเป็นอาคารสูง 25 ชั้น จำนวน 3 อาคาร เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่พักอาศัยของข้าราชการที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2567 (4 ปี) วงเงิน 475.40 ล้านบาท (ไม่รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) (ตามมติคณะรัฐมนตรี 20 ตุลาคม 2563) เพื่อก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยดังกล่าว รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภค จำนวน 1 อาคาร จำนวนห้องพัก 154 ห้อง
1.2 ต่อมาได้มีผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ประชาชื่น เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงมีความกังวลว่าจะได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง การระบายน้ำ แรงสั่นสะเทือน การจราจร ตลอดจนอันตรายจากเศษวัสดุการก่อสร้าง โดยเสนอขอให้พิจารณายกเลิกการดำเนินการก่อสร้างอาคารสูง 25 ชั้น จำนวน 3 อาคาร หรือปรับรูปแบบอาคารเป็นแบบอาคารที่มีความสูงไม่เกิน 8 ชั้น และจัดแผนผังอาคารให้มีระยะห่างจากพื้นที่ข้างเคียง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) จึงขอให้สำนักยุทธโยธาทหาร บก.ทท. ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
1.3 ปัจจุบันโครงการฯ ประชาชื่น อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งทางบริษัทที่ปรึกษาได้ดำเนินการตามกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ได้กำหนดไว้ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูล การสัมภาษณ์รายบุคคล การใช้แบบสอบถามและการสนทนากลุ่มย่อย และได้แจกจ่ายมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชนรอบโครงการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ร้องเรียนยังคงมีความวิตกกังวลว่าจะได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามมาภายหลังในระหว่างดำเนินการก่อสร้างและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งหากดำเนินโครงการฯ ประชาชื่นต่อไปอาจมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างไม่สำเร็จ และจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อข้าราชการที่พักอาศัยกับผู้พักอาศัยโดยรอบโครงการดังกล่าวในอนาคต ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงได้อนุมัติหลักการให้ชะลอโครงการฯ ประชาชื่น และขอให้พิจารณาพื้นที่ก่อสร้างแห่งใหม่ พร้อมทั้งให้มีหนังสือถึง สผผ. เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง และต่อมาได้เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการฯ ประชาชื่น แล้ว
2. โครงการฯ ระยะที่ 2 มีการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
2.1 บก.ทท. ได้ทำสัญญาจ้างบริษัทที่ 1 ดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ในวงเงิน 184 ล้านบาท เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2561 และมีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2562 ซึ่ง บก.ทท. ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2562 จำนวน 140.50 ล้านบาท และได้เบิกจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว วงเงิน 74.52 ล้านบาท คงเหลืองบประมาณ จำนวน 65.98 ล้านบาท แต่โดยที่บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนด บก.ทท. จึงได้บอกเลิกสัญญาจ้างกับบริษัทที่ 1
2.2 บก.ทท. ได้ทำสัญญาจ้างบริษัทที่ 2 เพื่อดำเนินการในส่วนที่เหลือ ในวงเงิน 145.89 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563 และมีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 โดยมีรายละเอียดการเบิกจ่ายงบประมาณ ดังนี้
(1) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
บก.ทท. ได้ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ได้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงเดือนกันยายน 2563 จำนวน 65.98 ล้านบาท (เหลือจ่ายจากการเบิกจ่ายให้บริษัทที่ 1) จ่ายให้แก่บริษัทที่ 2 จำนวน 49.92 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่ต้องเบิกจ่ายให้บริษัทที่ 2 จำนวน 95.97 ล้านบาท (145.89 - 49.92)
(2) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
บก.ทท. ได้เสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 79.91 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จึงได้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อขอโอนเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จากโครงการก่อสร้างอาคารนักเรียนนายสิบแผนที่และอาคารแผนกขนส่งพื้นที่โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ทหาร วงเงิน 16.06 ล้านบาท ไปตั้งจ่ายโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่ง สงป. ได้อนุมัติให้ บก.ทท. โอนเงินจัดสรรดังกล่าวแล้วทำให้คงเหลืองบประมาณที่ต้องเบิกจ่ายให้บริษัทที่ 2 จำนวน 79.91 ล้านบาท (145.89 - 49.92 - 16.06)
3. โดยที่ บก.ทท. มีความต้องการงบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งมีกำหนดส่งมอบงานภายในเดือนพฤษภาคม 2564 วงเงิน 79.91 ล้านบาท บก.ทท. จึงมีแผนที่จะใช้งบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับโครงการฯ ประชาชื่น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ซึ่งยกเลิกไปแล้วตามข้อ 1.3) และโอนงบประมาณดังกล่าวมาใช้สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 2
4. สงป. เห็นว่า การยกเลิกรายการก่อหนี้ผูกพันโครงการฯ ประชาชื่นย่อมมีผลทำให้ไม่มีรายการดังกล่าวที่จะต้องตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2567 รองรับอีกต่อไป ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้ บก.ทท. จึงต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยขอยกเลิกรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการฯ ประชาชื่น และขอโอนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับรายการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงิน 79.91 ล้านบาท ไปสมทบเป็นค่างานก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 2 ในคราวเดียวกัน
13. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติการดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่
2. อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ วงเงิน 1,329.22 ล้านบาท ประกอบด้วย
2.1 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,264.20 ล้านบาท แบ่งเป็น
รายการ
จำนวน (ล้านบาท)
(1) งบอุดหนุนทั่วไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยการทำลายต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างและกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบ
864.00
(2) งบดำเนินงาน
- ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกมันสำปะหลังสะอาดและทนทานต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง
- ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
400.20
400.00
0.20
2.2 งบดำเนินงาน จำนวน 65.02 ล้านบาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรพิจารณาปรับจากแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ
3. อนุมัติการดำเนินโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร กษ. ทั้งที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิ
โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
1) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบไม่ให้มีการนำเข้าหรือลักลอบนำเข้าต้นพันธุ์หรือท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่าง และการกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบที่เป็นพาหะของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ด้วย
2) พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่ได้รับการชดเชยตามโครงการฯ ไปแล้ว แต่ภายหลังพบว่ามีการลักลอบนำมันสำปะหลังที่ติดโรคมาปลูกใหม่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว
3) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดให้เกษตรกรมีการทำประกันภัยผลผลิตมันสำปะหลังเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาในกรณีต่าง ๆ ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. ภายหลังจากที่กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง (ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 กันยายน 2562 และ 24 กันยายน 2562) กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำจัดต้นมันสำปะหลังเป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบได้ทั้งสิ้น 26,109.225 ไร่ ในพื้นที่ 11 จังหวัด1 (ไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายและพื้นที่ระบาดนอกเหนือจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ) และจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรไปแล้วทั้งหมด 2,413 ราย แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ เนื่องจากการแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่เป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบพาหะนำโรค รวมถึงการดำเนินโครงการไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิและพื้นที่ระบาดส่งผลให้สถานการณ์การระบาดมีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ 27 จังหวัด2 รวมจำนวนพื้นที่ระบาด 400,000 ไร่
2. กษ. จึงได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ขึ้นเพื่อกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคในทุกพื้นที่และตัดวงจรการระบาดของโรค ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน) ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว รายละเอียดของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
รายละเอียด
1. วัตถุประสงค์
(1) เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง
(2) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์สะอาดและทนทานต่อโรคใบด่างมันสำปะหลังทดแทนมันสำปะหลังเป็นโรคในพื้นที่ระบาด
(3) เพื่อควบคุมไม่ให้การระบาดของโรคขยายตัวไปยังพื้นที่อื่น ๆ
(4) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง
2. พื้นที่ดำเนินการ
พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทุกจังหวัด
3. ระยะเวลา
ดำเนินโครงการ
ตั้งแต่เดือนธันวาคม 25633 - กันยายน 2564
4. กิจกรรม
(1) กำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างและชดเชยค่าทำลายต้นมันสำปะหลังให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
(1.1) เป็นแปลงที่พบต้นมันสำปะหลังที่มีสภาพที่สงสัยหรือส่อว่าจะมีการติดเชื้อและจะเป็นต้นตอของการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังยืนต้นอยู่ในแปลง
(1.2) วิธีการทำลายต้องเป็นตามหลักวิชาการที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำและต้องทำลายต้นที่เป็นโรคทิ้งหลังจากคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังระดับตำบลพิจารณารับรอง และเมื่อผ่านไป 30 วัน ต้องไม่มีต้นงอกใหม่
(1.3) อัตราค่าชดเชยการทำลายให้กับเกษตรกรที่กำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบพาหะนำโรค ไร่ละ 2,160 บาท (เป็นอัตราที่ กค. เห็นชอบความเหมาะสมแล้ว)
(1.4) กรณีเกษตรกรไม่ยินยอมให้ทำลายต้นมันสำปะหลัง ให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม4
(2) ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พันธุ์มันสำปะหลังสะอาดและทนทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(2.1) คัดเลือกพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดและทนทานต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง ในโครงการมันสำปะหลังแปลงใหญ่หรือแปลงเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ไม่พบการระบาด หรือไม่มีการระบาดของโรค
(2.2) แปลงที่เข้าร่วมโครงการต้องผ่านการตรวจประเมินแหล่งท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาด
(2.3) ผู้ทำหน้าที่ตรวจประเมินแปลงต้องผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ตรวจประเมินแปลงพันธุ์มันสำปะหลังสะอาด หรือได้รับการถ่ายทอดความรู้ หลักเกณฑ์วิธีการตรวจประเมินแปลงจากเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ตรวจประเมินแปลงพันธุ์มันสำปะหลังสะอาด
(2.4) มีการสำรวจเพื่อค้นหาต้นเป็นโรคจากพื้นที่ที่คัดเลือก
(2.5) มีการขึ้นทะเบียนแปลงพันธุ์สะอาดที่ผ่านการประเมิน
(2.6) การสนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดและทนทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง ให้กับเกษตรกรที่พบการระบาดในพื้นที่ดำเนินการ อัตราไร่ละ 500 ลำ
(3) ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อกำจัดต้นที่เป็นโรคและควบคุมการเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์ที่เป็นโรค กรณีเกษตรกรไม่ยินยอมให้ทำลายต้นมันสำปะหลังให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(4) สร้างการรับรู้และชี้แจงโครงการ โดยอบรมและชี้แจงการดำเนินโครงการ
ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระดับอำเภอ จังหวัด และส่วนกลาง จำนวน 700 รายและอบรมเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 40,000 ราย
(5) ประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ป้ายประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
(6) ติดตามและประเมินผลโครงการ เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเตือนหากเกิดการระบาดซ้ำ
5. งบประมาณ
กรอบวงเงินในการดำเนินโครงการฯ 1,329.22 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,264.2 ล้านบาท และงบประมาณของกรมส่งเสริมการเกษตร วงเงิน 65.02 ล้านบาท
6. หน่วยงานดำเนินการ
(1) กรมส่งเสริมการเกษตร
(2) กรมวิชาการเกษตร
(3) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(4) ธ.ก.ส.
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางปี 2561 ในแถบ 7 จังหวัด ใกล้บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดว่าเป็นการระบาดจากแปลงมันสำปะหลังที่เป็นโรคในประเทศกัมพูชา โดยมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นพาหะ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ (24 กันยายน 2562) อนุมัติให้ดำเนินโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคดังกล่าว โดยดำเนินการเฉพาะพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรคระบาดดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปี 2563 ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการดำเนินโครงการไม่ได้ดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีการระบาดทั้งหมด คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ (18 สิงหาคม 2563) ให้ขยายพื้นที่ดำเนินโครงการจากเดิมครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัด เป็นดำเนินโครงการในทุกจังหวัดที่ปลูกมันสำปะหลัง โดยครอบคลุมทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิ แต่โดยที่ระยะเวลาดำเนินโครงการสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2563 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่สามารถดำเนินการได้ทันกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ดำเนินการทำลายต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างเพิ่มเติมบางส่วนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว รวมทั้งได้เสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ขึ้น โดยมีกรอบวงเงินรวม 1,329.22 ล้านบาท ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการจ่ายเงินค่าชดเชยการทำลายต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างและกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบให้แก่เกษตรกร (วงเงิน 864 ล้านบาท) รวมทั้งสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกมันสำปะหลังพันธุ์สะอาดและทนทานต่อโรค (วงเงิน 400 ล้านบาท) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นควรดำเนินการทั้งในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิเพื่อกำจัดโรคอย่างเด็ดขาดไม่ให้มีการระบาดอีก
__________________
111 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นครราชสีมา สระแก้ว สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
216 จังหวัดที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยนาท ชัยภูมิ นครสวรรค์ มหาสารคาม มุกดาหาร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ร้อยเอ็ด ลพบุรี จันทบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี อำนาจเจริญ และอุทัยธานี
3เดิมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการฯ โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 - กันยายน 2564 แต่ กษ. ได้ปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
4กรณีที่มีศัตรูพืชที่ก่อความเสียหายร้ายแรงซึ่งหากไม่รีบทำลายอาจระบาดลุกลามทำความเสียหายได้มาก เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้เจ้าของจัดการทำลายพืช ศัตรูพืช และพาหะนั้นได้ หรือเจ้าหน้าที่จะทำลายเองโดยเจ้าของเป็นผู้เสียค่าทำลาย ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามนัยพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507
14. เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการจัดระบบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้จัดระบบหลักประกันสุขภาพ* สำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าว จำนวน 16,000 คน [จำนวนกลุ่มผู้ต้องขังดังกล่าวมีจำนวนจริง 19,506 คน ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 3,506 คน ยังมีความคลาดเคลื่อนทางทะเบียน] โดยให้มีการลงทะเบียนเพื่อเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพ พร้อมกับเสนอให้มีงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าถึงบริการสุขภาพตามชุดสิทธิประโยชน์** ในอัตราเทียบเท่ากับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (Universal Coverage: UC) (ปัจจุบันสิทธิในระบบดังกล่าวคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 3,719.23 บาทต่อผู้มีสิทธิ) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นผู้จัดระบบดังกล่าวไปพลางก่อน
สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ ค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 13.71 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ขอให้ สธ. ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ (เงินบำรุงโรงพยาบาล) เป็นลำดับแรกก่อน เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด หากไม่เพียงพอขอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้ ยธ. เป็นหน่วยงานหลักหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดระบบบริการและประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในระยะยาวให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม และให้ ยธ.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดแนวทางในการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้กระทำความผิดให้ถูกต้อง ชัดเจน รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนของผู้กระทำความผิดได้ด้วย
_________________________
หมายเหตุ *ระบบหลักประกันสุขภาพ คือ เครื่องมือทางการคลังเพื่อจัดการความแตกต่างของราคาบริการสุขภาพและความเสี่ยงซึ่งเชื่อมโยงกับการผันแปรของค่าใช้จ่ายสุขภาพส่วนบุคคล โดยกระจายความเสี่ยงเหนือตัวบุคคล (Across Individuals) และเวลา (Over Time) ด้วยการนำคนที่มีความเสี่ยงน้อยหรือป่วยน้อย เช่น คนวัยหนุ่มสาวมาเฉลี่ยความเสี่ยงกับคนที่มีความเสี่ยงมากหรือป่วยมาก เช่น ผู้สูงอายุและเด็ก เพื่อให้สามารถเก็บเบี้ยประกันซึ่งเมื่อรวมกันแล้วควรได้อย่างน้อยเท่ากับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
**ชุดสิทธิประโยชน์ คือ การกำหนดรายการบริการในสิทธิประโยชน์ โดยกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ชนิดบริการ วิธีการให้บริการ ข้อจำกัดในการใช้บริการ และราคา เป็นต้น
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. (กรมราชทัณฑ์) รายงานว่า
1. คนไทยทุกคนมีสิทธิและสามารถเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้จาก 3 สิทธิ/กองทุน ได้แก่ (1) สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (2) กองทุนประกันสังคม และ (3) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่สิทธิดังกล่าวไม่ครอบคลุมถึงผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ และเมื่อผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวเกิดการเจ็บป่วยจำเป็นซึ่งเกินศักยภาพการรักษาจากสถานพยาบาลเรือนจำ จะต้องส่งตัวกลุ่มผู้ต้องขังดังกล่าวออกมารักษาภายนอกเรือนจำ โดยโรงพยาบาลในพื้นที่ต้องเป็นผู้รับภาระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้เคยมีการมอบหมายให้ สธ. จัดประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดบริการทางการแพทย์ในเรือนจำทั้งระบบแล้ว
2. กรมราชทัณฑ์จึงได้รวบรวมข้อมูลการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวระหว่างเดือนมกราคม - ธันวาคม 2563 จากเรือนจำและทัณฑสถาน จำนวน 127 แห่ง [จากจำนวนทั้งสิ้น 142 แห่ง (คิดเป็นร้อยละ 89)] พบว่า มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังรวม 13.71 ล้านบาท ซี่งโรงพยาบาลในพื้นที่ต้องเป็นผู้รับภาระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว จากปัญหาดังกล่าว ยธ. จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดระบบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ เพื่อเสนอแนวทาง วิธีการ กลไก และงบประมาณในการจัดระบบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับกลุ่มบุคคลดังกล่าวให้สามารถปฏิบัติได้จริง และต่อมากรมราชทัณฑ์ สปสช. กรมการปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดทำฐานทะเบียนผู้ต้องขังเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดการสิทธิด้านการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ต้องขัง ซึ่งผลการดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 - 2563 สามารถสรุปได้ ว่า ผู้ต้องขังที่สามารถใช้สิทธิในการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพจากสิทธิ UC และสิทธิอื่นในปี พ.ศ. 2563 มีจำนวน 325,711 คน (คิดเป็นร้อยละ 94.35 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด) ส่วนผู้ต้องขังที่ไม่สามารถใช้สิทธิในการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพเนื่องจากมีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าวมีจำนวน 19,506 คน (คิดเป็นร้อยละ 5.65 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด) ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง
3. จากปัญหาข้างต้น คณะทำงานฯ จึงได้ยกร่างข้อเสนอเชิงนโยบายในการจัดระบบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าว เพื่อให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิในการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้เมื่อเจ็บป่วยจำเป็น และมีสิทธิที่เทียบเท่ากับประชาชนภายนอกเรือนจำ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ 24 (1) ของข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการสำหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง [The United Nations Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners (Mandela Rules)] ที่กำหนดให้การให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ต้องขังเป็นความรับผิดชอบของรัฐ โดยผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่รัฐจัดให้กับประชาชนอื่น และจะต้องสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นโดยไม่คิดมูลค่าและไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสถานภาพด้านกฎหมายของตน
15. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะอนุกรรมการชุดหลักในคณะกรรมการการอุดมศึกษา และคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะอนุกรรมการชุดหลักในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป และให้ อว. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
เดิมคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (24 มีนาคม 2563) อนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะอนุกรรมการชุดหลักในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) รวม 6 คณะ ไว้แล้ว แต่เนื่องจากข้อมูลที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดค่าตอบแทนฯ ในคราวนั้นอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนจะมีการแต่งตั้ง กกอ. ชุดใหม่ (คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563) และการแต่งตั้ง กมอ. (ตามประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2563) ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 ซึ่งต่อมา กกอ. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดหลักเพิ่มเติมอีก จำนวน 6 คณะ (เดิมมีคณะอนุกรรมการชุดหลักจำนวน 5คณะ*) และ กมอ. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดหลัก จำนวน 6 คณะ รวมคณะอนุกรรมการชุดหลักใน กกอ. และ กมอ. ในปัจจุบันทั้งสิ้น 17 คณะ ซึ่งที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการชุดหลักใน กกอ. และ กมอ. ได้จัดประชุมไปแล้ว และได้เบิกจ่ายเบี้ยประชุมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ในอัตราที่แตกต่างกัน กล่าวคือ คณะอนุกรรมการชุดหลัก จำนวน 6 คณะแรก (กกอ. 5 คณะ และ กมอ. 1 คณะ) ได้เบิกจ่ายเบี้ยประชุมในอัตราเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการชุดหลัก สำหรับคณะอนุกรรมการชุดหลักใน กกอ. ที่ได้แต่งตั้งเพิ่มเติมภายหลังอีก จำนวน 6 คณะ และคณะอนุกรรมการชุดหลักใน กมอ. ที่ได้แต่งตั้งขึ้น จำนวน 6 คณะ นั้น ได้เบิกจ่ายเบี้ยประชุมในอัตราของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ (อ้างอิงจากอัตราเบี้ยประชุมสำหรับคณะอนุกรรมการทั่วไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. 2547) ในครั้งนี้ อว. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะอนุกรรมการชุดหลักใน กกอ. และ กมอ. เพิ่มเติมอีก รวมทั้งสิ้น 12 คณะ โดยให้สามารถเบิกจ่ายเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับคณะอนุกรรมการชุดหลักตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ได้
____________________
* หมายเหตุ เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (24 มีนาคม 2563) อนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทนฯ ของอนุกรรมการชุดหลัก จำนวน 6 คณะ ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้ง กมอ. (ตามประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2563) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานการอุดมศึกษา (เดิมอยู่ภายใต้ กกอ.) ได้ย้ายไปอยู่ภายใต้ กมอ.ส่งผลให้คณะอนุกรรมการชุดหลักในกกอ. (เดิม) เหลือจำนวน 5 คณะ ทั้งนี้ หากรวมกับคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งเพิ่มเติมภายหลังจะรวมเป็น 11 คณะ
16. เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 (จำนวน 5 เรื่อง) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2538 ที่ให้ถือว่าการประชุม กก.วล. เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องสิ่งแวดล้อม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 (เรื่อง มติ กก.วล. ครั้งที่ 10/2548 ครั้งที่ 11/2548 และครั้งที่ 12/2548) รับทราบมติ กก.วล. ครั้งที่ 10/2548 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 ที่ให้นำมติ กก.วล. เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่สำคัญ และเรื่องที่ กก.วล. พิจารณาได้ข้อยุติแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ สรุปได้ ดังนี้
เรื่อง
มติ กก.วล.
1. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (จำนวน 4 โครงการ)
1.1 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา - ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน
เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้ง 4 โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ดังนี้
1) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
2) ให้ตั้งบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการฯ ที่กำหนดไว้
3) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ให้พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น การกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการก่อสร้าง และการพิจารณาจุดจอดที่สถานี YLEX01 (บริเวณสำนักงานศาลยุติธรรม) และทางเชื่อมยกระดับที่เหมาะสม
4) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออกฯ ให้พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นการป้องกัน เฝ้าระวังการรุกล้ำใช้ประโยชน์และการขยายตัวของชุมชนในพื้นที่ที่ผ่านป่าชายเลนเสื่อมโทรม และมาตรการด้านสาธารณสุขสำหรับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง
5) โครงการทางหลวงหมายเลข 203 ให้ประสานกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เกี่ยวกับการควบคุมไม่ให้มีผลกระทบต่อภูมิทัศน์และพื้นที่ป่าไม้บริเวณนอกพื้นที่ก่อสร้าง
1.2 โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก ตำบลคลองขุด ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล
1.3 โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
1.4 โครงการทางหลวงหมายเลข 203 (หล่มสัก – หล่มเก่า - เลย)
เรื่อง/โครงการ
มติ กก.วล.
2. การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท
เห็นชอบร่างประกาศ ทส. เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท (ได้แก่ ท่าเทียบเรือประมงพาณิชย์ ท่าเทียบเรือประมงสำหรับการนำเข้าสัตว์น้ำ ท่าเทียบเรือประมงของโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ และท่าเทียบเรือประมงที่มีการขนถ่ายสัตว์น้ำสำหรับการผลิตอาหารสัตว์) ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ในการประชุมครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 และมอบให้ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป
17. เรื่อง รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 [เป็นการดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจ กค. กู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (พ.ร.ก. กู้เงินฯ พ.ศ. 45) มาตรา 6 ที่บัญญัติให้ในการกู้เงินแต่ละคราวต้องรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันนับแต่วันทำสัญญากู้หรือวันออกพันธบัตรหรือตราสารอื่น] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กค. ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 จำนวน 69,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินฯ พ.ศ. 45 โดยการชำระคืนต้นเงินพันธบัตรรัฐบาลจากเงินนำส่งจากบัญชีผลประโยชน์ จำนวน 18,946.74 ล้านบาท และดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น จำนวนรวม 50,053.26 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดผลการกู้เงิน ดังนี้
(หน่วย : ล้านบาท)
วันที่ประมูล
วันที่เบิกเงินกู้
อายุ
วงเงิน
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
(ร้อยละต่อปี)
1. การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. กู้เงินฯ พ.ศ. 45) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ครั้งที่ 1
16 มีนาคม 2564
31 มีนาคม 2564
3 ปี
17,448.50
BIBOR 6M – 0.01146
2. การกู้เงินระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. กู้เงินฯ พ.ศ. 45) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ครั้งที่ 1
16 มีนาคม 2564
31 มีนาคม 2564
9 เดือน
7,604.76
0.62022
ครั้งที่ 2
16 มีนาคม 2564
31 มีนาคม 2564
3 เดือน
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทันสถานการณ์ เลขาธิการ คปภ.ออกคำสั่งให้ประกันภัยการแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองกรณีฉีดวัคซีนโควิด ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาลฯ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองเต็มที่ | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
ทันสถานการณ์ เลขาธิการ คปภ.ออกคำสั่งให้ประกันภัยการแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองกรณีฉีดวัคซีนโควิด ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาลฯ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองเต็มที่
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนโควิด-19 จึงมีความจำเป็นอย่างมากในการป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งภาครัฐกำหนดแผนการเร่งฉีดวัคซีนตามแนวทางการขยายหน่วยบริการ
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนโควิด-19 จึงมีความจำเป็นอย่างมากในการป้องกันการแพร่ระบาด และลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ ซึ่งภาครัฐได้กำหนดแผนการเร่งฉีดวัคซีนตามแนวทางการขยายหน่วยบริการ โดยสนับสนุนให้องค์กร หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล/สถานพยาบาลเวชกรรม เช่น จุดบริการในห้างสรรพสินค้า หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและการเข้าถึงวัคซีนของประชาชน รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการฉีดวัคซีนให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยการแพ้วัคซีนโควิด-19 เพื่อเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยการประกันภัยแพ้วัคซีนโควิด-19 จะให้ความคุ้มครอง หากผู้เอาประกันภัยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการแพ้หรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งในปัจจุบันมีผลประโยชน์ความคุ้มครองหลายรูปแบบให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อได้ อาทิ เช่น ผลประโยชน์การเกิดเจ็บป่วยระยะสุดท้าย และ/หรือภาวะโคม่า และ/หรือภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว ผลประโยชน์การรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน และผลประโยชน์เงินชดเชยรายวันจากการเป็นผู้ป่วยใน เป็นต้น โดยบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขผลประโยชน์ที่ระบุไว้ และโดยปกติจะเป็นการฉีดวัคซีนในโรงพยาบาลทั่วไป
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรองรับนโยบายของภาครัฐและสนับสนุนแผนดำเนินการของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ในการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยง รวมทั้งเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยที่ซื้อความคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังคงได้รับความคุ้มครองเช่นเดิมตามเงื่อนไขทั่วไปของกรมธรรม์ประกันภัย ดังนั้น ตนในฐานะนายทะเบียนจึงได้ออกคำสั่ง นายทะเบียนที่ 26/2564 เรื่อง การให้ความคุ้มครองกรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือสัญญาเพิ่มเติม สําหรับบริษัทประกันชีวิต และคำสั่งนายทะเบียนที่ 27/2564 เรื่อง การให้ความคุ้มครองกรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือเอกสารแนบท้าย สําหรับบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งคำสั่งนายทะเบียนทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว กำหนดให้บริษัทประกันภัยให้ความคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่กระทำการโดยแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรที่ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะดําเนินการ ณ สถานที่ใดก็ตาม ผู้เอาประกันภัยจะยังได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย เช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนในโรงพยาบาลทั่วไป
จากข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 มีบริษัทประกันภัยได้รับความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 25 บริษัท และมี 10 บริษัทที่จำหน่ายแก่บุคคลทั่วไปแล้ว โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2564 มียอดซื้อประกันภัยรวมทั้งสิ้น 800,269 ฉบับ เบี้ยประกันภัย 96,931,810 บาท และมียอดการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 105,190 บาท
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงขยายวงกว้าง และเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ๆ ในหลายพื้นที่ รวมถึงมีการติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ด้วย ดังนั้น ทุกคนต้องระมัดระวังและช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาด อีกทั้งเตรียมความพร้อมในการเข้ารับฉีดวัคซีน ในขณะเดียวกันเมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ระบบประกันภัยก็พร้อมเข้าไปช่วยเยียวยาได้อย่างเต็มที่ในทุกมิติ จึงหวังว่าการออกคำสั่งนายทะเบียนทั้งสองฉบับนี้จะช่วยลดข้อโต้แย้ง และเป็นการดูแลประชาชนผู้ทำประกันภัยแพ้วัคซีนโควิด-19 มีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า เมื่อเกิดอาการไม่พึ่งประสงค์จากการแพ้วัคซีนที่มีการฉีดในสถานที่ใด ๆ ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ก็จะได้รับความคุ้มครองจากสัญญาประกันภัยที่ทำไว้ทุกประการ โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะดูแลด้านการประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยัน ศบค. รับฟังข้อเสนอของทุกจังหวัด เพื่อปรับแผนกระจายวัคซีนที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความเหมาะสมในแต่ละจังหวัดแล้ว และจะประกาศในเร็ววันนี้ | วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยัน ศบค. รับฟังข้อเสนอของทุกจังหวัด เพื่อปรับแผนกระจายวัคซีนที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความเหมาะสมในแต่ละจังหวัดแล้ว และจะประกาศในเร็ววันนี้
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยัน ศบค. รับฟังข้อเสนอของทุกจังหวัด เพื่อปรับแผนกระจายวัคซีนที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความเหมาะสมในแต่ละจังหวัดแล้ว และจะประกาศในเร็ววันนี้
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตอบคำถามสื่อมวลชนต่อข้อสงสัยเรื่องแผนการกระจายวัคซีนว่ามีการปรับหลักเกณฑ์หรือไม่ อย่างไร ซึ่งผู้ช่วยโฆษก ศบค. ได้ชี้แจงต่อกรณีนี้ว่า เบื้องต้น กรมควมคุมโรคให้หลักเกณฑ์การกระจายวัคซีนว่าขึ้นกับจำนวนวัคซีน จำนวนประชากร แปรผันไปตามการระบาด และกลุ่มเป้าหมาย อาทิ จ. สมุทรสาคร มีการแพร่ระบาดหนักต้องได้รับวัคซีนในพื้นที่ก่อนเพื่อควบคุมวงในการแพร่ระบาด บางจังหวัดอยากให้ฉีดในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวก่อน บางจังหวัดเป็นจังหวัดด้านการท่องเที่ยว ขอสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจก่อน จึงขอฉีดให้ผู้มีส่วนผลักดันทางเศรษฐกิจก่อน ซึ่ง ศบค. น้อมรับ และขอรับฟังแนวความคิดจากทุกจังหวัด และขอให้เสนอเข้ามา เพราะไม่มีใครเข้าใจพื้นที่ได้ดีกว่าคนในพื้นที่
อย่างไรก็ดี เมื่อวาน ผอ.ศบค. ได้เห็นชอบให้รับฟังความคิดเห็นจากพื้นที่ และขอให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควมคุมโรค และกรมการแพทย์สาธารณสุข ได้พิจารณาร่วมกันเพื่อปรับแผนการรับวัคซีนให้เหมาะสม ซึ่งจะมีการประกาศแผนดังกล่าวในเร็ววันนี้ เพื่อให้เป็นแผนการกระจายวัคซีนที่สอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42074 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ผนึกสภาอุตสาหกรรมฯ ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม 2 ล้านไร่ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ ผนึกสภาอุตสาหกรรมฯ ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม 2 ล้านไร่
กระทรวงเกษตรฯ ผนึกสภาอุตสาหกรรมฯ ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม 2 ล้านไร่
นางดาเรศร์กิตติโยภาสผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแนวทางส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตและการปลูกพืชที่เหมาะสมกล่าวว่าภายใต้นโยบาย“การตลาดนำการเกษตร“ของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท)ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ(Precision Agriculture)สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม2ล้านไร่สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่โดยมีแนวทางการดำเนินงานให้เกษตรกรรวมกลุ่มและบริหารจัดการแผนการผลิตสินค้าร่วมกันโดยมีตลาดที่เป็นอุตสาหกรรมรองรับที่แน่นอนและเน้นกระบวนการจัดการที่ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นโดยสนับสนุนแผนการตลาดที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมทั้งด้านปริมาณคุณภาพและช่วงเวลาการรับซื้อสนับสนุนองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต ที่ทันสมัยและแม่นยำ
ทั้งนี้ดำเนินการภายใต้การบูรณาการของหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯและส.อ.ท.ประกอบด้วย9กิจกรรมหลักคือ(1)ส.อ.ท.กำหนดแผนความต้องการผลผลิตและราคารับซื้อที่ชัดเจน (2)กระทรวงเกษตรฯกำหนดขอบเขตพื้นที่การผลิตให้สอดรับกับที่ตั้งของอุตสาหกรรมและมิติด้านโลจิสติกส์(3)ส่งเสริมการผลิตวัตถุดิบป้อนสู่อุตสาหกรรมด้วยระบบเกษตรแบบแปลงใหญ่(4)วิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่การผลิตด้วยระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก(Agri-Map) (5)พัฒนาเกษตรกรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.) พร้อมเชื่อมโยงนวัตกรรมจากศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(Agritech and Innovation Center: AIC)ผ่านศพก. (6)ลดต้นทุนการผลิตและสนับสนุนการใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมเช่นการให้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินโดยศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน(ศดปช.) (7)ส่งเสริมstart upให้บริการทางการเกษตร(Agricultural Service Provider: ASP)เช่นเครื่องจักรกลการเกษตร,โดรน(8)มีระบบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามมาตรฐานที่อุตสาหกรรมต้องการ(9)ใช้กลไกการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในจังหวัดในการขับเคลื่อนงานคือคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรระดับจังหวัด(Chief of Operation : CoO)ที่มีเกษตรจังหวัดเป็นประธานและมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่บูรณาการงานและปัจจัยในพื้นที่เช่นชลประทานแหล่งน้ำที่ดินเป็นต้นโดยในระยะแรกขับเคลื่อน5ชนิดสินค้าเป้าหมายตามความต้องการของสภาอุตสาหกรรมได้แก่ยางพาราปาล์มน้ำมันอ้อยโรงงานข้าวโพดหวานและมะเขือเทศในชั้นนี้กำหนดพื้นที่ดำเนินงานไว้ประมาณ400,000ไร่เศษและจะทยอยวางแผนให้ครบ2ล้านไร่ตามเป้าหมายที่ภาคอุตสาหกรรมจะเสนอความต้องการเพิ่มเข้ามาทั้งนี้ได้รับแจ้งจากส.อ.ท.ได้เสนอยูคาลิปตัสเป็นพืชชนิดต่อไปที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ
โดยเมื่อวันที่8และ29เมษายนและวันที่6-7พฤษภาคม2564นางดาเรศร์กิตติโยภาสผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำแนวทางส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตและการปลูกพืชที่เหมาะสมพร้อมด้วยนายสมัยลี้สกุลและนายศักดิ์ชัยอุ่นจิตติกุลรองประธานส.อ.ท.และผู้บริหารของอุตสาหกรรมเกษตร7บริษัทได้แก่1.บริษัทไทยอิสเทิร์นรับเบอร์จำกัด(ยางพารา) 2.บริษัททักษิณปาล์มจำกัด(ปาล์มน้ำมัน) 3.โรงงานน้ำตาลเกษตรไทยโรงงานน้ำตาลรวมผลและโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์(อ้อยโรงงาน) 4.บริษัทซันสวีทจำกัด(มหาชน) (ข้าวโพดหวาน)และ5.บริษัทศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรมจำกัด(มะเขือเทศ)เพื่อขับเคลื่อนทำความเข้าใจและหารือความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ(ร่าง)แผนปฏิบัติงาน(Action Plan)ของโครงการฯทั้ง5สินค้าร่วมกับหน่วยงานกษ.ในระดับจังหวัดและอำเภอรวม31จังหวัด9หน่วยงานพร้อมกับอุตสาหกรรมทั้ง5อุตสาหกรรม7แห่งรวมถึงหน่วยงานภายนอกได้แก่ธกส.
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรมเชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวนี้จะผลักดันให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเติบโตไปด้วยกันสนับสนุนให้เกิดsupply chainที่ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบและมีแผนงานสร้างvalue chainและสร้างงานในทุกห่วงโซ่ของระบบสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมทั้งนี้ผู้เกี่ยวข้องในระดับภูมิภาคให้ความเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงพึ่งพาตนเองได้”นางดาเรศร์กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยนนทบุรี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ ลุยนนทบุรี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำคณะลงพื้นที่นนทบุรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของแก่ลูกจ้างที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของและให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายอภิชัย อร่ามศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ผมจึงได้ลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนนทบุรีได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24 – 48 ชั่วโมง โดยที่โรงงานแห่งนี้มีลูกจ้าง จำนวน 637 คน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41598 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เตรียมพร้อมเฝ้าระวังรองรับอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มช่วงฤดูฝนทั่วประเทศ พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้เส้นทางทันที | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
กรมทางหลวง เตรียมพร้อมเฝ้าระวังรองรับอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มช่วงฤดูฝนทั่วประเทศ พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้เส้นทางทันที
เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่าขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน เกิดฝนตกและลมกรรโชกแรงในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก เกิดวาตภัย ต้นไม้ล้มทับทาง ดินโคลนถล่ม ส่งผลกระทบต่อระบบคมนาคมขนส่งและการสัญจรของประชาชนผู้ใช้เส้นทาง และเพื่อเป็นการป้องกันและบรรเทาสถานการณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดประกอบด้วย สำนักงานทางหลวง ศูนย์สร้างทาง ศูนย์สร้างและบูรณะสะพาน แขวงทางหลวง และหมวดทางหลวงทั่วประเทศ ดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องจักรตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดังนี้
- ตรวจสอบสภาพความเรียบร้อยของผิวทาง ต้องไม่มีหลุมบ่อ พร้อมสำรวจพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ สะพาน ท่อระบบน้ำ ร่องน้ำในเขตทางให้อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานและดำเนินการขุดลอกร่องระบายบริเวณสองข้างทาง ทำความสะอาดช่องทางระบายน้ำ กำจัดเศษขยะวัชพืชมิให้กีดขวางทางระบบน้ำ ตัดแต่งกิ่งไม้ และจัดเตรียมเครื่องจักร ยานพาหนะ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องสูบน้ำ สิ่งอำนวยความปลอดภัยป้ายจราจร หรือป้าย Knock Down ป้ายแนะนำเส้นทาง หลักนำทาง ไฟกระพริบ ฯลฯ ให้สามารถใช้งานได้ทันที เมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติ
- สำหรับในกรณีเมื่อเกิดภัยพิบัติให้หน่วยงานในพื้นที่เข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุดรวมถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น
- เมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงหรือมีความจำเป็นเร่งด่วนให้ผู้บริหารในพื้นที่เข้าไปดำเนินแก้ไขปัญหาทันที และรายงานผู้บริหารในส่วนกลางจนกว่าเหตุการณ์จะยุติ และเมื่อเกิดเหตุทางขาด สะพานขาดหรือชำรุด ให้ขอความร่วมมือจากศูนย์สร้างทาง ศูนย์สร้างและบูรณะสะพาน เพื่อขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่เครื่องจักรและสะพานเบลีย์ (สะพานเหล็กชั่วคราว) ให้เข้าดำเนินการให้เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับแขวงทางหลวงโดยทันที
. - ให้ทุกหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังและรายงานข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าระบบบริหารงานภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินของกรมทางหลวงอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ รวมถึงให้ติดตามการเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังได้กำชับหน่วยงานในสังกัดกรณีเกิดภัยพิบัติให้ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักร ยานพาหนะ กรณีมีการร้องขอจากหน่วยงานอื่นๆ หรือประชาชน พร้อมขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41596 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังมีแหล่งเงินและเครื่องมือการกู้เงินเพียงพอในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
กระทรวงการคลังมีแหล่งเงินและเครื่องมือการกู้เงินเพียงพอในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ตามที่เวปไซต์มติชนออนไลน์ (https://www.matichon.co.th/politics/news_2712734) ได้เผยแพร่ประเด็นคำถามของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับแหล่งเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ นั้น
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะโฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอเรียนดังนี้
พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (พ.ร.ก. COVID-19) กำหนดให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศ โดยจะต้องลงนามในสัญญากู้เงินหรือออกตราสารหนี้ไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2564 ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุข การช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดย ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วจำนวน 703,841 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 92 ของกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะวางแผนและดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 อย่างรอบคอบโดยใช้กลยุทธ์การระดมทุนที่เป็นการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้ได้วงเงินกู้ที่ครบถ้วนภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแย่งสภาพคล่องจากภาคเอกชน และส่งเสริมการพัฒนาตลาดราสารหนี้ในประเทศ โดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่ผสมผสานทั้งระยะสั้นและระยะยาว อาทิ ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) สัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) พันธบัตรรัฐบาล (Loan Bond) และพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bond) อีกทั้ง ได้คำนึงถึงแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะปานกลางและระยะยาว โดยใช้พันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ความต้องการของนักลงทุน และสภาวะตลาดการเงินในประเทศ
อย่างไรก็ดี หากในอนาคตรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะวางแผนการกู้เงินอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงต้นทุน สภาวะตลาดการเงิน และจะพัฒนานวัตกรรมทางการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนและตลาดการเงิน โดยจะมุ่งเน้นตราสารทางการเงินที่ส่งเสริมการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นทางเลือกในการระดมทุนสำหรับโครงการที่สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่าการบริหารหนี้สาธารณะได้มีการดำเนินการ อย่างรอบคอบ ครบถ้วน และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
https://fb.watch/5okeqZRUvL/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41599 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชน เฮ!! ก.แรงงาน จับมือ กทม. สปสช.ขยายตรวจโควิด-19 เชิงรุก ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อไปจนถึง 31 พ.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ประชาชน เฮ!! ก.แรงงาน จับมือ กทม. สปสช.ขยายตรวจโควิด-19 เชิงรุก ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อไปจนถึง 31 พ.ค.นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ก.แรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย กทม. สปสช. ขยายเวลาตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบและประชาชนทั่วไป เพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระและพี่น้องประชาชนทั่วไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขยายระยะเวลาของศูนย์คัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ออกไปอีกจนถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้ เพื่อให้สามารถตรวจคัดกรองโควิดเชิงรุกได้ครอบคลุมและเร่งคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดโดยเร็ว ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการความร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. ดำเนินการขยายระยะเวลาการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนแรงงานนอกระบบ และพี่น้องประชาชนทั่วไปตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. โดยในแต่ละวันตรวจได้ไม่เกิน 3,000 คน รอบเช้า 1,500 คน และรอบบ่าย 1,500 คน ให้บริการตรวจไปจนถึงวันที่ 31 พ.ค.นี้
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผู้ที่ต้องการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ขอให้ผู้ที่มาตรวจนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 1506 กด 6 เพื่อหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” Bubble and Seal และตั้ง Factory Quarantine กักตัวกลุ่มเสี่ยงที่สมุทรปราการ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
“อนุทิน” Bubble and Seal และตั้ง Factory Quarantine กักตัวกลุ่มเสี่ยงที่สมุทรปราการ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย จ.สมุทรปราการ พบการระบาดโรคโควิด19 ในโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนใกล้เคียง ให้ปิดทำความสะอาดโรงงานที่พบผู้ติดเชื้อ ใช้กลยุทธ์ Bubble and Seal และจัดตั้ง Factory Quarantine
เพื่อกักตัวกลุ่มผู้สัมผัสภายในโรงงาน จำกัดวงการแพร่ระบาดป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวและชุมชน
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2564) ที่ จ. สมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ติดตามสถานการณ์และการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ และให้กำลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์สวาทยานนท์ และโรงพยาบาลบางจาก พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ ถุงมือทางการแพทย์ หน้ากาก N95 หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากากเฟสชิวล์ ชุด Covrer All เครื่องฟอกอากาศ และยาฟ้าทะลายโจร
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ได้มาติดตามสถานการณ์โควิด 19 จ.สมุทรปราการ หลังพบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง จากการค้นหาเชิงรุกในโรงงานและในชุมชนใกล้เคียง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อจำนวน 3,240 ราย เฉพาะวันนี้พบ 116 ราย โดยจังหวัดสมุทรปราการมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ มีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 6,000 แห่ง จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อควบคุมโรคโดยเร็ว ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กระทรวงแรงงานฯ สภาอุตสาหกรรมได้เข้าไปดำเนินการควบคุมโรค และเข้มมาตรการองค์กรในโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถานประกอบการ โดยในสถานประกอบการที่พบผู้ติดเชื้อ ได้ปิดทำความสะอาด ใช้กลยุทธ์ Bubble and Seal ที่เคยใช้และประสบความสำเร็จใน จ.สมุทรสาคร จัดตั้ง Factory Quarantine เพื่อกักตัวกลุ่มผู้สัมผัสภายในโรงงาน เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดและป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวและชุมชน
นอกจากนี้ หน่วยงานท้องถิ่นได้สำรวจคัดกรองในชุมชนเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อ นำเข้าสู่ระบบการรักษาตามอาการโดยเร็ว ตามกลุ่มอาการที่เหมาะสม ส่วนผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อจากหน่วยบริการต่างๆ นอกจังหวัด เช่น สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลในเขต กทม. จะรับกลับเข้ารักษาใน จ.สมุทรปราการ โดยผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ (กลุ่มสีเขียว)จะเข้ารับการรักษาใน Hospitel ส่วนผู้ที่มีอาการ (กลุ่มสีเหลือง) และมีอาการหนัก(กลุ่มสีแดง) จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ภายในจังหวัด ทั้งนี้ได้ปรับการให้ยาฟาวิพิราเวียร์แก่ผู้ป่วยที่มีอาการเร็วขึ้น
ส่วนภาพรวมสถานการณ์เตียงใน จ.สมุทรปราการ ทั้งภาครัฐ และเอกชน มีเพียงพอสำหรับผู้ติดเชื้อ Hospitel ประมาณ 2,000 เตียง ขณะนี้ว่างอยู่ ประมาณร้อยละ 40 อย่างไรก็ตามอีกมาตรการควบคุมโรคที่จะมีประสิทธิภาพสูงสุดประชาชนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันลดอัตราการป่วยที่รุนแรงและการเสียชีวิต โดย นายวันชัย คงเกษมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ได้ร้อยละ 70 ของประชากรในพื้นที่รวมถึงแรงงานต่างชาติ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป เป็นเวลา 6 เดือน คาดว่าจะมีการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 5,000 คนต่อวัน เดือนละ 1.5 แสนคน โดยเตรียมพร้อมรับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม และ Walk in
“กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหาและสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ไว้เพียงพอสำหรับรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ดูแลผู้ติดเชื้อ ส่วนวัคซีนได้กระจายไปยังหน่วยบริการต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนทุกคน ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด และทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดลดอัตราการเจ็บป่วยที่รุนแรงและการเสียชีวิต และขอให้มั่นใจว่า วัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาให้มีความปลอดภัย ไม่ด้อยกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆ ขออย่าให้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างที่ไม่มีข้อยืนยันเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน โดยอาการข้างเคียง อาจเกิดขึ้นได้บ้าง แต่กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบเฝ้าระวังติดตามอาการไว้แล้วเพื่อความปลอดภัย” นายอนุทิน กล่าว
********************************** 10 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41615 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยโรงพยาบาลบุษราคัม มีความคืบหน้า เตรียมเปิดสัปดาห์นี้ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
อนุทิน เผยโรงพยาบาลบุษราคัม มีความคืบหน้า เตรียมเปิดสัปดาห์นี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขติดตามความคืบหน้าในวันที่ 4 ของการจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมเป็นที่น่าพอใจ ขณะนี้การจัดสถานที่สำหรับผู้ป่วยแล้วเสร็จอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบท่อออกซิเจนและก่อสร้างห้องอาบน้ำ
ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้ทยอยนำเข้าพื้นที่แล้ว ทันเปิดใช้งานภายในสัปดาห์นี้
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2564) ที่ อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม โดยนายอนุทินกล่าวว่า ภาพรวมการจัดตั้งโรงพยาบาลความคืบหน้าเป็นไปอย่างน่าพอใจ ขณะนี้ได้มีการจัดเตรียมพื้นที่ในโซนแรกสำหรับผู้ติดเชื้อ ในอาคารชาเลนเจอร์ 3 ได้ประมาณ 1,092 เตียง โดยจัดแบ่งเป็น 4 โซน ดังนี้ โซนA จำนวน 270 เตียง B จำนวน 242 เตียง C จำนวน 290 เตียง และ D จำนวน 290 เตียง ดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว สีเหลือง ขณะนี้ได้วางเตียง เครื่องนอน พร้อมติดตั้งท่อช่วยหายใจไว้บริเวณหัวเตียงสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อสีเหลืองที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ก่อสร้างห้องอาบน้ำสำหรับผู้ติดเชื้อจำนวน 364 ห้องแยกโซนหญิง-ชาย โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในประเทศ ทั้งบริษัทก่อสร้าง-อสังหาริมทรัพย์ บริษัทผลิตเครื่องนอน และโรงงานกระดาษที่ช่วยผลิตเตียงนอน
“จากการติดตามในวันนี้ โครงสร้างหลักได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการนำอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ยา เวชภัณฑ์ พร้อมแผนการหมุนเวียนบุคลากรในสังกัดทั่วประเทศเข้ามาปฏิบัติงาน มั่นใจว่าพร้อมเปิดให้บริการผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลือง และกลุ่มสีเขียวภายในสัปดาห์นี้แน่นอน ต้องขอบคุณทีมงานเจ้าหน้าที่ที่ทุ่มเททำงาน รวมทั้งภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขมาอย่างต่อเนื่อง” นายอนุทิน กล่าว
**********************************10 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. ส่งความห่วงใย มอบฟรี! ประกันภัยแพ้วัคซีนโควิด-19ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ 2 โครงการ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ธพส. ส่งความห่วงใย มอบฟรี! ประกันภัยแพ้วัคซีนโควิด-19ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ 2 โครงการ
ธพส. ตระหนักถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยในชีวิต จึงขอส่งความห่วงใย ด้วยการมอบแผนความคุ้มครองประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ตระหนักถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)และได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยในชีวิต จึงขอส่งความห่วงใย ด้วยการมอบแผนความคุ้มครองประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ประเภทการแพ้และได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือนสามัญ(บนที่ดินราชพัสดุแปลงบางจาก แปลงห้วยขวาง แปลงยานนาวา กรุงเทพมหานคร และแปลงบางกระสอ จังหวัดนนทบุรี) 2. โครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ-ธนารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัดเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ที่กำลังแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกคน ธพส. มีความห่วงใยผู้ที่จองสิทธิ์ในโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุรามาฯ-ธนารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ และโครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการสำหรับข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้สนับสนุนให้ประชาชนทุกคนได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ทว่าผู้ได้รับวัคซีนบางรายอาจแพ้หรือมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนและสร้างความมั่นใจในการฉีดวัคซีน ธพส. จึงได้มอบแผนความคุ้มครองประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประเภทการแพ้และได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ทั้ง 2 โครงการ โดยมีรายละเอียดการคุ้มครอง ดังนี้
1. การเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่า (Coma) กรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จำนวนเงินเอาประกัน 100,000 บาท
2.ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) หรือ ผู้ป่วยนอก (OPD) กรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (แบบจ่ายตามจริง) จำนวนเงินเอาประกัน 1,000 บาท ต่อปี
3.เงินชดเชยรายวันจากการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในกรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จำนวนเงินเอาประกัน 200 บาท/วัน (สูงสุด 15 วันต่อปี)
ทั้งนี้เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ธพส.โทรศัพท์ 0 2142 2259โทรสาร 0 2143 8888
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41606 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันพืชมงคล | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
วันพืชมงคล
หมายถึง วันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่สืบทอดมาแต่โบราณ เพื่อเป็นศิริมงคลแด่พืชพันธ์ธัญญาหาร บำรุงขวัญเกษตรกรและเตือนให้เริ่มเพาะปลูกข้าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41593 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน ย้ำบูรณาการทำงานอย่างเป็นระบบ ทันต่อสถานการณ์ และสร้างการรับรู้ประชาชนทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน ย้ำบูรณาการทำงานอย่างเป็นระบบ ทันต่อสถานการณ์ และสร้างการรับรู้ประชาชนทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน ย้ำบูรณาการทำงานอย่างเป็นระบบ ทันต่อสถานการณ์ และสร้างการรับรู้ประชาชนทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (10 พ.ค. 64) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดหมายลักษณะอากาศช่วงฤดูฝนของประเทศไทยปี 2564 ว่า ฤดูฝนของประเทศไทยปีนี้จะเริ่มต้นประมาณกลางสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม 2564 และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนตุลาคม 2564 คาดการณ์ปริมาณฝนรวมของทั้งประเทศในช่วงฤดูฝนปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้ว โดยช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน เป็นช่วงที่มีฝนตกชุกหนาแน่นที่สุด มีโอกาสสูงที่จะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน จะส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่และเกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในบางพื้นที่
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2564 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2564 โดยในด้านการเตรียมความพร้อม ให้ดำเนินการ 1) เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัย ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ ทำหน้าที่ติดตาม วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจของผู้อำนวยการแต่ละระดับ 2) จัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย โดยทบทวนและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุอุทกภัยของจังหวัดให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้ความสำคัญกับการจัดทำรายละเอียดครอบคลุมข้อมูลพื้นที่เสี่ยงในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย การกำหนดจุดพื้นที่ปลอดภัยประจำหมู่บ้าน/ชุมชน เส้นทางการอพยพ การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก การจัดเตรียมแผนจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 รวมทั้งกำหนดโครงสร้างศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด เช่น ศูนย์ประสานการปฏิบัติ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ร่วม คณะที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนปฏิบัติการ ส่วนอำนวยการ และส่วนสนับสนุน เป็นต้น และให้ซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเน้นย้ำบทบาทหน้าที่ ตลอดจนสร้างความเข้าใจกลไกการทำงานร่วมกันเมื่อเกิดสถานการณ์อุทกภัย 3) การระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแต่ละระดับ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะตามรอยต่อเขตรับผิดชอบที่เป็นเส้นทางน้ำไหลผ่าน และให้ความสำคัญกับพื้นที่เสี่ยงในเขตชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเส้นทางคมนาคมที่มักเกิดอุทกภัยเป็นประจำ ด้วยการเร่งขุดลอกท่อระบายน้ำ ดูดเลน ทำความสะอาดร่องน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางออกจากทางระบายน้ำ รวมทั้งเร่งกำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำ บริเวณคู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อสามารถรองรับน้ำฝนและน้ำจากท่อระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และกำหนดแนวทาง วิธีการในการลำเลียงน้ำที่มีการระบายไปยังพื้นที่รองรับน้ำต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในกรณีเกิดสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง 4) ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บน้ำ/กั้นน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำ พนังกั้นน้ำ เพื่อสามารถรองรับกรณีฝนตกหนัก หรือน้ำไหลเข้าป่าในปริมาณมาก และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ 5) เมื่อมีแนวโน้มการเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม ให้แจ้งเตือนไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละระดับ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย ให้พร้อมเผชิญเหตุ และเตรียมการในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นการล่วงหน้า พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทราบในทุกช่องทาง ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ วิทยุชุมชน หอกระจายข่าวหมู่บ้านชุมชน เพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสาร แนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการแจ้งข้อมูลและขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยในกรณีจังหวัดที่มีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อกัน ให้มีการประเมินสถานการณ์ร่วมกัน และแจ้งเตือนระหว่างจังหวัดต้นน้ำและจังหวัดปลายน้ำอย่างใกล้ชิด
สำหรับในด้านการเผชิญเหตุ เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ ให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยในภาวะฉุกเฉินตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ 1) จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำหน้าที่ศูนย์ควบคุม สั่งการ และอำนวยการหลักในการระดมสรรพกำลัง ตลอดจนการประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 2) มอบหมายฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงในชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สำคัญต่าง ๆ และร่วมกันกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ โดยหากมีกรณีน้ำท่วมขังสร้างความเดือดร้อนความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน ให้เร่งกำหนดแนวทางการระบายน้ำ พร้อมทั้งสั่งใช้เครื่องจักรกลในพื้นที่ของหน่วยงาน เพื่อเร่งระบายน้ำและเปิดทางน้ำในพื้นที่ 3) จัดชุดปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือด้านการดำรงชีพแก่ประชาชนที่ประสบภัยตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม การรักษาพยาบาล โดยไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และเชิญชวนประชาชนจิตอาสามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย 4) กรณีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย ให้บูรณาการหน่วยงาน ทั้งหน่วยทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจิตอาสา เป็นทีมช่าง เร่งซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนโดยเร็ว 5) กรณีเส้นทางคมนาคมได้รับความเสียหายหรือถูกน้ำท่วมจนประชาชนไม่สามารถใช้สัญจรได้ ให้จัดทำป้ายแจ้งเตือนพร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจรแนะนำเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย รวมทั้งจัดยานพาหนะที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือประชาชนพร้อมทั้งเร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ชำรุด ถูกตัดขาด เพื่อประชาชนใช้สัญจรได้โดยเร็ว และ 6) สื่อสารสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในช่วงเกิดสถานการณ์อุทกภัยทุกช่องทาง เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดเร่งเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนนี้ เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาดำเนินไปอย่างเป็นระบบ และสามารถให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ พร้อมสร้างการรับรู้ทุกช่องทาง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ราชวิถี เปิดหอไอซียูส่วนต่อขยาย 10 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
รพ.ราชวิถี เปิดหอไอซียูส่วนต่อขยาย 10 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการเพิ่มหอไอซียูส่วนต่อขยาย โรงพยาบาลราชวิถี 10 เตียง รองรับผู้ป่วยวิกฤตโควิด 19 กลุ่มสีเหลือง-แดง ในเขต กทม. เริ่มเปิดให้บริการ 11 พฤษภาคมนี้
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2564 ) ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี ติดตามความคืบหน้าการเปิดหอไอซียูส่วนต่อขยายรองรับผู้ป่วยวิกฤตโควิด 19ของโรงพยาบาลราชวิถี โดย ดร.สาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ระลอกเมษายนนี้ มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น โดยในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลมีผู้ติดเชื้อมากร้อยละ 50-70 ของการติดเชื้อทั้งประเทศ และพบผู้ติดเชื้ออาการปานกลางจนถึงอาการหนักรุนแรงเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังและผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ในพื้นที่ กทม.กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้กรมการแพทย์ รับผิดชอบในการบริหารจัดการเตียงร่วมกับภาคีเครือข่าย อาทิ โรงเรียนแพทย์ กทม. กองทัพ เอกชน ได้มีแผนเพิ่มจำนวนเตียงให้เพียงพอกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้โรงพยาบาลราชวิถีเป็นต้นแบบในการขยายเตียงไอซียู ได้รับความร่วมมือจากบริษัท เอสซีจี จำกัด มหาชน ออกแบบและก่อสร้างหอผู้ป่วยไอซียูส่วนขยาย ขนาด 10 เตียง โดยใช้เวลาก่อสร้างและจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยอาการวิกฤต อาทิ เครื่องช่วยหายใจการไหลเวียนออกซิเจนสูง เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด เป็นต้น ภายในเวลารวดเร็ว 7-10 วันพร้อมระดมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำงานในหอผู้ป่วยไอซียู ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำงาน เปิดให้บริการวันที่ 11 พฤษภาคม นี้
“ขอขอบคุณบริษัท เอสซีจี จำกัด มหาชน ที่ช่วยออกแบบและก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและต้องขอชื่นชมโรงพยาบาลราชวิถีที่มีการเตรียมความพร้อมใช้พื้นที่ในโรงพยาบาลเพิ่มห้องไอซียูส่วนต่อขยาย จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีแดงเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที เป็นตัวอย่างให้แก่สถานพยาบาลอื่นๆ ”ดร.สาธิต กล่าว
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลราชวิถีมีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด ทั้งหมด 62 เตียง ใช้ไปแล้ว 58 เตียง เฉพาะเตียงไอซียูมีอยู่ 21 เตียงใช้ไปแล้ว 18 เตียง และการเพิ่มเตียงไอซียูส่วนต่อขยายครั้งนี้จะช่วยให้การหมุนเวียนการใช้เตียงทำได้ดีขึ้น ซึ่งมีระบบการทำงานเหมือนไอซียูปกติ โดยจัดแบ่งพื้นที่การใช้งาน และระบบการกำจัดขยะติดเชื้อที่ได้มาตรฐาน รวมถึงมีระบบการจัดการอากาศปลอดเชื้อแยกระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ติดเชื้อ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน ทั้งนี้ สามารถควบคุมแรงดันอากาศได้ทั้งระบบความดันบวก (POSITIVE PRESSURE ROOM) กำจัดเชื้อโรคและฝุ่น พร้อมระบบความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM) จำกัดการแพร่กระจายและลดการติดเชื้อไวรัสภายนอกอาคารได้ตามมาตรฐาน
******************************* 10 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เปิดรับคนซื้อบ้านต่างชาติ” นโยบายเสริมช่วยกระตุ้นอสังหาฯไทย | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
“เปิดรับคนซื้อบ้านต่างชาติ” นโยบายเสริมช่วยกระตุ้นอสังหาฯไทย
นับจากวันที่ 25 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษแล้วที่ได้ทราบถึงแนวนโยบายการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” ที่มุ่งเน้นดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อ (Freehold) และ/หรือเช่าระยะยาว (Leasehold) อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้มากขึ้น
นับจากวันที่ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษแล้วที่ได้ทราบถึงแนวนโยบายการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” ที่มุ่งเน้นดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อ (Freehold) และ/หรือเช่าระยะยาว (Leasehold) อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้มากขึ้น ทั้งกลุ่มที่เกษียณอายุแล้วให้มาพำนักระยะยาวในประเทศไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการใช้จ่ายเงินสูงจากเงินบำนาญ เงินเก็บออมและประกันสุขภาพจากรัฐสวัสดิการ รวมถึง กลุ่มที่ต้องการเข้ามาซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ
โดยรัฐบาลจะมีการแก้กฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้คนต่างชาติมาซื้อ และ/หรือเช่าระยะยาวอสังหาริมทรัพย์ได้สะดวกขึ้น ผ่านแนวทางเชิงนโยบาย 3 เรื่องหลักๆ คือ
1. ขยายเพดานสัดส่วนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุด เป็น 70-80% (จากปัจจุบัน 49%)
2. ปลดล็อกต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม
3. กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 30 ปี จะมีการขยายเพิ่มเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางข้อมูลด้านอสังหาฯของประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยมากที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่สะท้อนภาวะของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ (Freehold) และข้อมูลการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวของคนต่างชาติ (Leasehold) มาสรุปภาวะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นเงื่อนไขสิ่งที่เกิดขึ้น
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าในภาพรวมทั้งประเทศการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในช่วงปี 2561 – 2563 มียอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 3 ปีสะสมรวมประมาณ 34,651 หน่วย (มูลค่า 145,577 ลบ.) เฉลี่ยปีละ 11,550 หน่วย (มูลค่า 48,526 ลบ.) และเมื่อพิจารณา 5 จังหวัดที่คนต่างชาติมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดสูงสุดถึง 96.2% ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั้งประเทศแล้ว พบว่าภาพรวมสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั้งประเทศ ในช่วงปี 2561 – 2563 มีเพียงประมาณ 9.0% (มูลค่าเท่ากับ 14.7%) และโดยจังหวัดที่มีสัดส่วนสูงสุด คือ ชลบุรี 30.3% รองลงมาคือ เชียงใหม่ 18.5%, ภูเก็ต 17.0%, กรุงเทพมหานคร 7.8% และสมุทรปราการ 6.3% สำหรับจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นมาแสดง มีสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดน้อยมากอย่างไม่มีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ หากมองสัดส่วนในกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในมิติของราคาห้องชุด พบว่าคนต่างชาติส่วนใหญ่ 77.6% มีหน่วยที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท แต่มีสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพียง 7.7% ของหน่วย โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งประเทศขณะที่ห้องชุดในราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รวมกันเพียง 22.4% กลับมีสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงกว่า โดยมีประมาณ 20.0% ข้อมูลข้างต้นได้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น คือ
(1) ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติมีความสนใจที่จะซื้อห้องชุดในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางทางภูมิภาค เมืองขนาดใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว
(2) ในภาพรวมอัตราส่วนหน่วยกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของคนต่างชาติน่าจะยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจมีอาคารชุดในบางพื้นที่อาจเป็นที่ต้องการของคนต่างชาติมาก จึงทำให้อัตราส่วนในกรรมสิทธิ์ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายไม่เพียงพอ
(3) ห้องชุดที่คนต่างชาติซื้อส่วนใหญ่ซื้อในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ด้วยห้องชุดประเภทนี้มีอุปทานในตลาดมากจึงทำให้ยังมีสัดส่วนหน่วยกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของคนต่างชาติไม่ถึง 10% ขณะที่ระดับราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 20% แต่โดยภาพรวมทุกระดับราคาของห้องชุดยังมีสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด
“จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เห็นข้อสังเกตได้ว่า การขยายสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับคนต่างชาติให้สามารถมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่า 49% นั้น อาจจะมีความจำเป็นเพียงในบางพื้นที่เท่านั้น และห้องชุดในระดับราคาที่ควรส่งเสริมให้เพิ่มสัดส่วนในหน่วยกรรมสิทธิ์ให้สูงขึ้นสำหรับคนต่างชาติในการซื้อห้องชุดให้สูงขึ้นควรเป็นห้องชุดระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้ห้องชุดระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทถูกซื้อไปโดยคนต่างชาติมากเกินควร นอกจากนี้ หากมีการเพิ่มสัดส่วนในกรรมสิทธิ์ห้องชุดสำหรับคนต่างชาติให้มากกว่า 49% แล้ว ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในอาคารชุดให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมของไทย โดยผ่านการกำหนดสิทธิในการโหวต (Voting Right) ในนิติบุคคลอาคารชุดของเจ้าของร่วมที่ควรให้ชาวต่างชาติให้มีน้อยกว่าของเจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย”
สำหรับแนวทางเชิงนโยบายในเรื่องการเปิดให้คนต่างชาติสามารถซื้อและมีกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินนั้น ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกฎหมายยังคงจำกัดสิทธิของคนต่างชาติในการถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินอย่างมาก แต่ยังไม่มีข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า คนต่างชาติบางรายมีการใช้ตัวแทน (Nominee) ในการถือครองกรรมสิทธิ์แทน หรือ อาจถือในนามนิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่
ดังนั้น หากประเทศไทยเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีคนต่างชาติที่ต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพอสมควร เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินในประเทศไทยยังคงมีราคาต่ำกว่าในหลายประเทศมาก และบางประเทศกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของรัฐ
ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณากำหนดให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินในบ้านที่มีราคาสูงกว่า 15 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากในปัจจุบันผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นบ้านจัดสรรในระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของราคาบ้านปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป
นอกจากนี้ควรการกำหนดสิทธิในการโหวต (Voting Right) ของคนต่างชาติในนิติบุคคลบ้านจัดสรรให้มีได้ไม่เกิน 49% เพื่อให้เจ้าของร่วมที่เป็นคนไทยสามารถมีสิทธิในการกำหนดกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชุมชนอาคารชุดให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมตามบริบทของสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาคนต่างชาติมีรูปแบบการครอบครองที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านและที่ดินในประเทศไทยอีกรูปแบบหนึ่งในการมีสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยด้วย การทำสัญญาเช่าระยะยาว (Leasehold) ซึ่งตามกฎหมายที่ดินปัจจุบันกำหนดให้สามารถเช่าได้ไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่ออายุได้รอบละ 30 ปี แต่ในทางปฏิบัติมักมีการทำสัญญาต่ออายุไว้เลยอีก 2 รอบ รวมเป็น 90 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีคนต่างชาติที่ให้ความสนใจในรูปแบบนี้มีจำนวนไม่มากนัก ดังจะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาเช่าระยะยาวในระหว่างปี 2561 – 2563 สะสมรวมทั้งหมด 1,483 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 5,390 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 494 หน่วย มูลค่า 1,797 ล้านบาท)
โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 1,280 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 4,503 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 427 หน่วย มูลค่า 1,501 ล้านบาท) และบ้านและที่ดิน 203 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 888 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 68 หน่วย มูลค่า 296 ล้านบาท) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในช่วงที่ผ่านมาจึงมีขนาดเล็กมาก ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 93.4% อยู่ในเมืองท่องเที่ยว คือ ภูเก็ต 78.8% ชลบุรี 10.3% และเชียงใหม่ 6.3%
นอกจากนี้ สัญชาติของคนต่างชาติที่เข้ามาเช่าระยะยาว ที่โดดเด่นมี 2สัญชาติ คือ รัสเซีย ที่มีสัดส่วนการเช่าถึง 43.2% ของการเช่าทั้งหมด และ จีน มีสัดส่วนการเช่าถึง 23.5% ของการเช่าของคนต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนิยมเช่าห้องชุดมากกว่าประเภทแนวราบ
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าระยะยาวปัจจุบันยังมีขนาดเล็กมาก ซึ่งอาจเป็นผลจากระยะเวลาในการให้เช่ามีเพียง 30 ปี และสามารถต่อคราวละ 30 ปี อาจยังไม่จูงใจให้คนต่างชาติเข้ามาเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทย ดังนั้น หากขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ก็น่าจะสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจของต่างชาติมากขึ้น และถือเป็น Lifetime Tenant หรือ สิทธิ์ในการอยู่อาศัยต้นในชั่วชีวิตของคนเช่า เพราะชาวต่างชาติอาจกังวลว่าการต่อสัญญาอาจมีความไม่แน่นอนในการปรับราคาขึ้นของที่ดิน หรือ การเปลี่ยนแปลเงื่อนไขการเช่า หรือ เจ้าของต้องการใช้ที่ดินในลักษณะอื่น เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติสามารถเช่าได้ถึง 90 ปี ด้วยการการทำสัญญา 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น 3 ครั้ง เท่ากับสามารถลดความเสี่ยงไปได้ 1 ใน 3
จากข้อมูลต่างๆ ข้างต้น ถ้านโยบายเหล่านี้สามารถทำได้จริง ก็จะเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะเป็นนโยบายที่สามารถสร้าง Demand ใหม่ๆ จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต่างชาติในปัจจุบันยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเพียงประมาณ 10% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งหมด และยังมีอุปสรรคในการขยายฐานจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ชาวต่างชาติอาจขาดแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างแรงซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนนโยบายเสริมในการช่วยฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนโยบายเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลบวกอย่างเป็นรูปธรรมทันที แต่น่าจะส่งผลในเชิง Sentiment และการวางแผนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างดี
การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะต้องชัดเจนในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะแก้ไขด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวมถึงการกำหนดไทม์ไลน์สำหรับดำเนินการให้ชัดเจน โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในความสำเร็จของนโยบายนี้คือการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และสามารถเร่งเปิดประเทศเพื่อรับชาวต่างชาติเข้าประเทศให้เร็วที่สุดเพื่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจการค้า การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และการท่องเที่ยว เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับสนใจคนต่างชาติดังเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสิ่งเหล่านี้ในภูมิภาค ASEAN นี้
อย่างไรก็ตาม จากที่ในปัจจุบันคนไทยยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอยู่มาก การขยายสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้แก่คนต่างชาติ ทั้งการเพิ่มอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้กับคนต่างชาติ หรือ การอนุญาตให้คนต่างชาติสามารถมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน หรือ การขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อ 40 ปี นั้น จึงควรจะต้องพิจารณาในจุดที่มีความเหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดให้มีการขยายสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยให้แก่คนต่างชาติในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ศูนย์กลางธุรกิจและพาณิชยกรรม เช่น กรุงเทพฯ EEC เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้นและ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา เกินกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีกระทบน้อยมากต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย
ข้อความจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นำข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบตามความเหมาะสม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. คุมเข้มความปลอดภัย เว้นระยะห่าง จัดที่นั่งรองรับผู้โดยสารเพียง 70% ต่อเที่ยววิ่ง | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
บขส. คุมเข้มความปลอดภัย เว้นระยะห่าง จัดที่นั่งรองรับผู้โดยสารเพียง 70% ต่อเที่ยววิ่ง
ขอร่วมมือประชาชนงดการเดินทาง และให้ลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 -04.00 น. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ประกอบกับรัฐบาลได้ขอร่วมมือประชาชนงดการเดินทาง และให้ลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 -04.00 น. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ บขส. ได้ปรับลดจำนวนเที่ยววิ่งให้สอดคล้องกับสถานการณ์และจำนวนผู้โดยสาร มาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นมา โดยข้อมูลการเดินทาง ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2564 พบว่า ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารลดลงเหลือเพียงวันละกว่า 15,000 คน
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และสอดคล้องกับประกาศของกรมการขนส่งทางบก บขส.ได้ปรับอัตราบรรทุกผู้โดยสาร เหลือ 70% ของจำนวนที่นั่งปกติ และให้ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจวัดอุณภูมิผู้โดยสารที่เข้าใช้สถานีขนส่ง และรถโดยสาร , ห้ามรับประทานอาหารบนรถโดยสารหากไม่จำเป็น , ไม่จอดรับ-ส่ง นอกจุดจอดที่ได้รับอนุญาต และเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดสถานีขนส่งฯ รวมทั้งได้กำชับให้พนักงานบริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41597 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ขยายเวลารับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ธ.ก.ส. ขยายเวลารับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
ธ.ก.ส.ขยายระยะเวลาเปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ไปสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ในพื้นที่ 42 จังหวัด จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย
ธ.ก.ส.ขยายระยะเวลาเปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564ไปสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ในพื้นที่ 42 จังหวัด จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยและกรณีเป็นลูกค้าที่ใช้สินเชื่อกับ ธ.ก.ส. จะได้รับเงินสมทบค่าเบี้ยประกันภัยฟรีสามารถซื้อหรือตรวจสอบการทำประกันภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” และที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าตามที่ธ.ก.ส. ได้เปิดโครงการประกันภัยข้าวนาปีปีการผลิต 2564เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิตโดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นั้น เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ระลอกใหม่ ซึ่งกระจายตัวอย่างรวดเร็ว ธ.ก.ส. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้หารือร่วมกัน และเห็นชอบในการขยายระยะเวลาในการขายกรมธรรม์โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2564ในกลุ่มที่ 1 พื้นที่ 42 จังหวัดได้แก่ กําแพงเพชรนครสวรรค์ พิจิตรพิษณุโลกเพชรบูรณ์สุโขทัย อุทัยธานีนครพนมมหาสารคามร้อยเอ็ดสกลนครหนองคาย อุดรธานีนครราชสีมาบุรีรัมย์ยโสธรศรีสะเกษสุรินทร์อุบลราชธานี อํานาจเจริญชัยนาทนนทบุรีปทุมธานีพระนครศรีอยุธยาลพบุรีสระบุรีสิงห์บุรี อ่างทองชลบุรีฉะเชิงเทราระยองสระแก้วจันทบุรีปราจีนบุรีตราดนครนายก สมุทรปราการนครปฐมสมุทรสงครามสมุทรสาคร สุพรรณบุรีและกรุงเทพมหานคร
สำหรับจังหวัดอื่น ๆ ยังคงสิ้นสุดตามระยะเวลาเดิม ได้แก่ กลุ่มที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ได้แก่ จังหวัดเชียงรายเชียงใหม่น่านแพร่พะเยาแม่ฮ่องสอนลําปาง ลําพูนอุตรดิตถ์กาฬสินธุ์ขอนแก่นบึงกาฬมุกดาหารเลย หนองบัวลําภูและชัยภูมิกลุ่มที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ได้แก่ จังหวัดตากกาญจนบุรีราชบุรีเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ และกลุ่มที่ 4 พื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ได้แก่ กระบี่ชุมพรพังงาภูเก็ตระนอง สุราษฎร์ธานีตรังนครศรีธรรมราชนราธิวาสปัตตานีพัทลุงยะลาสงขลา และสตูล
กรมธรรม์การประกันภัยข้าวนาปีในส่วนของการประกันภัยขั้นพื้นฐาน (Tier 1) อัตราค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 55 บาทถึง 230 บาทต่อไร่ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ความเสี่ยงโดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 58 บาทต่อไร่ และกรณีเป็นเกษตรกรลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อ ธ.ก.ส.ธนาคารจะจ่ายสมทบส่วนที่เหลือให้เต็มจำนวน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับประกันภัยฟรี โดยให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า วงเงินคุ้มครองจำนวน 1,260 บาทต่อไร่ และในกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด วงเงินคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ เป้าหมายการทำประกันภัยบนพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ 46 ล้านไร่ กรณีทำประกันภัยส่วนเพิ่ม(Tier 2)ค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 24 บาทถึง 101 บาทต่อไร่ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ความเสี่ยงเมื่อเกิดภัยธรรมชาติจะได้รับวงเงินเพิ่มอีก 240 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 1,500 บาทต่อไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 750 บาทต่อไร่
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อธ.ก.ส. และเกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงต่ำจะได้รับสิทธิ์ประกันภัยฟรี ไม่ต้องมาติดต่อธนาคารโดย ธ.ก.ส. จะดำเนินการให้ทั้งหมด ส่วนเกษตรกรทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลางและสูง สามารถซื้อประกันภัยผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” โดยเป็นการซื้อประกันภัยด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน ได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติ IOS และ Android หรือขอทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ เพียงนำบัตรประชาชนไปติดต่อก็สามารถทำประกันภัยได้ทันทีทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41600 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินขานรับมติ ครม. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ ปล่อยสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อน รายละ 10,000 บาท ให้ยี่นกู้ผ่าน MyMo ได้ตั้งแต่ 13 พ.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ออมสินขานรับมติ ครม. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ ปล่อยสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อน รายละ 10,000 บาท ให้ยี่นกู้ผ่าน MyMo ได้ตั้งแต่ 13 พ.ค.นี้
ธนาคารออมสินขานรับมติ ครม. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ ปล่อยสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อน รายละ 10,000 บาท ให้ยี่นกู้ผ่าน MyMo ได้ตั้งแต่ 13 พ.ค.นี้ เฟสแรกเน้น 6 จังหวัดสีแดงเข้ม ก่อนขยายผลช่วยเหลือทั่วประเทศในเฟสต่อไป
ออมสินขานรับมติ ครม. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ ปล่อยสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อน รายละ 10,000 บาท ให้ยี่นกู้ผ่าน MyMo ได้ตั้งแต่ 13 พ.ค.นี้ เฟสแรกเน้น 6 จังหวัดสีแดงเข้ม ก่อนขยายผลช่วยเหลือทั่วประเทศในเฟสต่อไป
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 โดยรัฐบาลได้มอบหมายธนาคารออมสินเป็นผู้จัดทำมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที ด้วยมาตรการ "สินเชื่อสู้ภัย COVID-19" วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดรายได้อันเนื่องมาจากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นขึ้น โดยผู้มีสิทธิ์ขอสินเชื่อนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งผู้มีรายได้ประจำของหน่วยงานเอกชนที่ได้รับผลกระทบกระทบจาก COVID-19 (ไม่รวมผู้มีรายได้ประจำจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ) มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับวงเงินสินเชื่อกำหนดให้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ไม่ต้องมีหลักประกันการกู้ ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก
สำหรับในระยะแรกของโครงการ เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าธนาคารที่เปิดใช้แอป MyMo อยู่แล้วก่อนวันที่ 1 พ.ค. 2564 ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 9 ล้านคน โดยเริ่มจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 6 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี สมุทรปราการ และเชียงใหม่ สามารถยื่นกู้ได้ทางแอป MyMo ในวันที่ 13 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป หลังจากนั้นในระยะต่อไปจึงขยายให้บริการลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 20 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ตามด้วยลูกค้ากลุ่มอื่นที่ไม่มีแอป MyMo กำหนดสิ้นสุดระยะเวลาโครงการวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าจะครบจำนวนวงเงินโครงการ
ทั้งนี้ ขอแจ้งย้ำว่าธนาคารให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอป MyMo เท่านั้น จึงขอแจ้งเตือนโปรดระมัดระวังอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อและโลโก้ธนาคารออมสินติดต่อประชาชนด้วยช่องทางอื่น เช่น LINE หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ใช่ MyMo โปรดใช้ความระมัดระวังพิจารณาตรวจสอบจากธนาคารออมสินก่อนทุกครั้ง โดยสามารถติดต่อธนาคารที่ Call Center โทร. 1115 และที่ Facebook : GSB Society
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr18/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ ลุยศรีราชา ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ ลุยศรีราชา ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ศรีราชา ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน ม.33 ในสถานประกอบการ
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการในพื้นที่อำเภอศรีราชา ณ โรงแรมโนโวเทล มารีนา ศรีราชา แอนด์ เกาะสีชัง จ.ชลบุรี
โดย นายสุรชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ผมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้าง ประเภทกิจการ โรงแรม ร้านอาหาร โรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จำนวน 200 คน ทั้งนี้ คาดว่าจะทราบผลการตรวจภายใน 24 ชม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. สนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท จัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สู้ภัย COVID-19 | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ธอส. สนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท จัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สู้ภัย COVID-19
ธอส.สนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท ให้แก่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก เพื่อให้บริการผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงได้เข้ารับการรักษาโรคติดเชื้อ COVID-19 ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารอาคารสงเคราะห์สนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยก เพื่อให้บริการผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงได้เข้ารับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร
นายยุทธนา หยิมการุณ ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน 2564 ที่มีการระบาดขยายเป็นวงกว้าง ทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมทั้งผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นับเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลหลักที่ รับส่งต่อตลอดจนดูแลและให้การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มาโดยตลอด ด้วยการจัดตั้งหอผู้ป่วย Cohort หอผู้ป่วยเฝ้าระวัง (PUI) หอผู้ป่วยความดันลบ รวมถึงโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ เป็นต้น และเพื่อเป็นการสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ได้อย่างเต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน”
ได้ตระหนักถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมสนับสนุนงบประมาณสู้ภัย COVID-19 จำนวน 2,000,000 บาท มอบให้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง โดยมีศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นผู้รับมอบ และมีคณะกรรมการธนาคาร ประกอบด้วย ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง นายชาญวิทย์ นาคบุรี และนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงร่วมในพิธี ส่งมอบ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัย COVID-19 ที่ธนาคารดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ส่งมอบหน้ากากอนามัย พร้อมสายคล้องหน้ากากอนามัย จำนวน 10,420 ชุด ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในชุมชน อีกทั้งในด้านงบประมาณ สนับสนุนน้ำดื่ม และอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น
ทั้งนี้ ธอส. มีภารกิจหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และปานกลาง ให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา สังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์/ศาสนา/ศิลปวัฒนธรรม และการกีฬา โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร รวมทั้งการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยสวจ.ทั่วประเทศผนึกชุมชนคุณธรรม หน่วยงานรัฐ เอกชนดำเนินโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวร มอบเครื่องอุปโภคบริโภค จัดตั้งโรงทาน ทำอาหารกล่อง | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
วธ.เผยสวจ.ทั่วประเทศผนึกชุมชนคุณธรรม หน่วยงานรัฐ เอกชนดำเนินโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวร มอบเครื่องอุปโภคบริโภค จัดตั้งโรงทาน ทำอาหารกล่อง
วธ.เผยสวจ.ทั่วประเทศผนึกชุมชนคุณธรรม หน่วยงานรัฐ เอกชนดำเนินโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวร มอบเครื่องอุปโภคบริโภค จัดตั้งโรงทาน ทำอาหารกล่อง
วธ.เผยสวจ.ทั่วประเทศผนึกชุมชนคุณธรรม หน่วยงานรัฐ เอกชนดำเนินโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวร มอบเครื่องอุปโภคบริโภค จัดตั้งโรงทาน ทำอาหารกล่อง มอบถุงยังชีพ-ตั้งตู้ปันสุข ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19และบุคลากรทางการแพทย์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยจัดโครงการ“ปันน้ำใจ คนไทย ไม่ทิ้งกัน”โดยใช้พลังบวรด้วยการมอบสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ทั้ง 76 จังหวัดประสานเครือข่ายศาสนาและวัฒนธรรม ชุมชนคุณธรรม หน่วยงานภาครัฐ เอกชนหรือภาคประชาสังคมที่มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ของจังหวัด ล่าสุดสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมรายงานว่า ขณะนี้สวจ.ทั่วประเทศดำเนินโครงการฯ แล้ว เช่น สวจ.เชียงราย ร่วมกับชุมชนคุณธรรมวัดศรีบุญยืน ชุมชนคุณธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัย ชุมชนคุณธรรมวัดสันละคร จัดตั้งจุดมอบสิ่งของอุปโภค-บริโภค จัดตั้งโรงทานทำอาหารปรุงสุกมอบให้แก่ผู้ที่ถูกกักตัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สวจ.นครสวรรค์ ร่วมกับผู้นำชุมชนคุณธรรมวัดเกยไชยเหนือ มอบสิ่งของอุปโภค-บริโภค แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลชุมแสง สวจ.ลพบุรีร่วมกับ วัดเสาธงทอง คณะสงฆ์จังหวัดลพบุรีและสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลพบุรี จัดตั้งโรงทานทำอาหารปรุงสุกมอบให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขณะเดียวกันสวจ.นครปฐมร่วมกับวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหารมอบอาหารกล่องสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่กักตัวและผู้ติดเชื้อให้แก่โรงพยาบาลกำแพงแสน สวจ.จังหวัดปทุมธานีร่วมกับชุมชนคุณธรรมวัดชินวรารามโดยพระมงคลวโรปการ เจ้าอาวาสวัดชินวรารามมอบเครื่องอุปโภคบริโภคและจัดทำอาหารมอบให้แก่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นที่พำนักชั่วคราวของผู้ที่รักษาโรคโควิด-19 สวจ.ระยองร่วมกับคณะสงฆ์ในชุมชนคุณธรรมอำเภอนิคมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ชุมชนคุณธรรมวัดมาบข่า สวจ.กาฬสินธุ์ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ทำการปกครองจังหวัด เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ คลังจังหวัดกาฬสินธุ์และสถิติจังหวัดกาฬสินธุ์ จัดอาหารกลางวันมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งจัดทำถุงยังชีพและตู้ปันสุขช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สวจ.พัทลุงร่วมกับชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ต.ชะมวง และนายอำเภอปากพะยูนมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ผลจากการดำเนินโครงการฯ ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามและอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่มีน้ำใจ แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ทอดทิ้งกันและให้กำลังใจกันระหว่างพี่น้องคนไทยเพื่อร่วมกันฝ่าฟันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำแก่บุคลากรของวธ.ในการลงพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายทางวัฒนธรรม จะต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รวมทั้งประกาศ/คำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานครอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว อีกทั้งวธ.ได้เปิดสายด่วนวัฒนธรรม 1765 เพื่อสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ในการรับเรื่องร้องเรียน และช่วยประสานงาน หรือส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 10 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
1) หัวหน้างานธุรการ ฝ่ายบริหาร
2) ผู้จัดการสาย 1, 180 เขตการเดินรถที่ 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”สั่ง กนอ.ป้องกันโควิดระบาดในนิคมฯ ด้าน“วีริศ”เผยจับมือ ส.อ.ท.เสนอใช้พื้นที่นิคมฯทั่ว ปท.เป็นศูนย์กลางฉีดวัคซีนให้ ปชช. | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
“สุริยะ”สั่ง กนอ.ป้องกันโควิดระบาดในนิคมฯ ด้าน“วีริศ”เผยจับมือ ส.อ.ท.เสนอใช้พื้นที่นิคมฯทั่ว ปท.เป็นศูนย์กลางฉีดวัคซีนให้ ปชช.
“สุริยะ”สั่ง กนอ.ป้องกันโควิดระบาดในนิคมฯ ด้าน“วีริศ”เผยจับมือ ส.อ.ท.เสนอใช้พื้นที่นิคมฯทั่วประเทศ เป็นศูนย์กลางฉีดวัคซีนให้ประชาชน เตรียมหารือ กกร.ฉีดวัคซีนคนในนิคมฯ ให้ได้โดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาคการผลิต
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรมตลอดจนโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้เร่งวางมาตรการป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19โดยเพิ่มการเฝ้าระวังและกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆของภาครัฐเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของไทยโดยนิคมอุตสาหกรรมถือได้ว่าเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นแหล่งสร้างรายได้อันดับต้นๆของประเทศซึ่งหากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในวงกว้างจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับเศรษฐกิจของไทยและกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain)สินค้าต่างๆไปทั่วโลกโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
นายวีริศอัมระปาลผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)กล่าวว่าวัคซีนเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้หลุดพ้นจากวิกฤตโควิด-19ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นมีบุคลากรในโรงงานและเจ้าหน้าที่ของกนอ.ในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศประมาณ1ล้านคนที่ต้องได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19โดยในจำนวนนี้มีบุคลากรประมาณ5แสนคนที่ยินดีรับภาระค่าใช้จ่ายในการฉีดรายละ1,000บาทเองอย่างไรก็ดีขณะนี้ทราบว่ารัฐบาลได้มีการนำเข้าวัคซีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆดังนั้นกนอ.จะขออาสาทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานงานเพื่อให้ได้วัคซีนจากภาครัฐมาโดยเร็ว
ทั้งนี้กนอ.จะร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องและเร่งหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3สถาบัน(กกร.)ที่ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทยในการจัดหาวัคซีนให้กับบุคลากรในทุกช่องทางที่สำคัญคือได้มีการหารือกับส.อ.ท.และเห็นตรงกันว่าจะร่วมกันอำนวยความสะดวกในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนโดยได้เสนอให้ใช้พื้นที่ของกนอ.ที่มีอยู่ในชุมชนต่างๆทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ซึ่งโดยศักยภาพของกนอ.แล้วมีความพร้อมทั้งด้านพื้นที่และบุคลากรสามารถจัดสถานที่ฉีดวัคซีนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขโดยสามารถเตรียมการฉีดวัคซีนได้ทันที
“การได้รับวัคซีนสำหรับคนที่ทำงานในนิคมฯต่างๆโดยเร็วจะเกิดประโยชน์อย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจภาคการผลิตซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากอยากได้วัคซีนไปฉีดให้กับแรงงานเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่(Herd Immunity)เพราะหากเกิดการแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรมแล้วจะเกิดผลกระทบต่อกระบวนการผลิตจนเกิดความเสียหายต่อธุรกิจอย่างรุนแรงได้จึงพร้อมที่จะจ่ายค่าวัคซีนเองโดยทางผู้ประกอบการได้สอบถามเข้ามาเพราะอยากให้ภาครัฐจัดหาวัคซีนทางเลือกให้อย่างเร่งด่วนเนื่องจากบุคลากรในภาคการผลิตมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าบุคลากรในด้านอื่นๆดังนั้นหากมีการร่วมมือร่วมใจให้แรงงานได้รับวัคซีนให้มากที่สุดจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาการระบาดในประเทศและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมได้”นายวีริศกล่าว
อย่างไรก็ตามล่าสุดได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กนอ.ติดตามสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศพบว่ามีจำนวนผู้ปฏิบัติงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ติดเชื้อไวรัสโควิด- 19ในระลอกเดือนเม.ย.64 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม298รายหายป่วยแล้ว12รายและยังเหลือผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาทั้งสิ้น286รายซึ่งทางกนอ.ได้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้เพื่อลดการติดเชื้อภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ได้มากที่สุดโดยเป้าหมายสุดท้ายคือให้ตัวเลขการติดเชื้อเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความยินดีกับโปรเมที่คว้าชัยชนะในศึก Honda LPGA Thailand 2021 และขอบคุณนักกีฬาไทยทุกคน ที่ร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
นายกฯ แสดงความยินดีกับโปรเมที่คว้าชัยชนะในศึก Honda LPGA Thailand 2021 และขอบคุณนักกีฬาไทยทุกคน ที่ร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ
นายกฯ แสดงความยินดีกับโปรเมที่คว้าชัยชนะในศึก Honda LPGA Thailand 2021 และขอบคุณนักกีฬาไทยทุกคน ที่ร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมร่วมแสดงความยินดีกับชัยชนะของโปรเมเอรียาจุฑานุกาลที่ได้รับชัยชนะแชมป์Honda LPGA Thailand 2021ที่สนามกอล์ฟสยามคันทรีคลับพัทยาโอลด์คอร์สจ.ชลบุรีเมื่อวันที่9พฤษภาคม2564รวมทั้งภูมิใจกับนักกีฬาไทยทุกคนที่ทุ่มเทซ้อมอย่างหนักจนมีผลงานที่ดีในการแข่งขันครั้งนี้ร่วมต่อสู้ในการแข่งขันอย่างมีน้ำใจนักกีฬาและร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าชัยชนะของโปรเมครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้นักกอล์ฟไทยเพราะเป็นนักกอล์ฟไทยคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์Honda LPGA Thailandนับตั้งแต่มีการแข่งขันมาเมื่อปี2549 (2006)ทั้งนี้เป็นการแข่งขันที่มีความตื่นเต้นและน่าประทับใจเชื่อมั่นว่าโปรเมคือตัวอย่างของความพยายามไม่ย่อท้อและมีความเชื่อมั่นส่วนอันดับ2โปรจีนอาฒยาฐิติกุล
และอันดับ3โปรเหมียวปภังกรธวัชธนกิจก็เป็นนักกีฬากอล์ฟสาวไทยที่มีผลงานน่าประทับใจเช่นกันซึ่งขออวยพรให้การแข่งขันครั้งต่อๆไปของโปรเมและนักกีฬาทุกๆคนประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีขอบคุณพร้อมชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ทำงานอย่างหนักเพื่อดำเนินการจัดการแข่งขันฯจนประสบความสำเร็จภายใต้การดำเนินการตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวดและรัดกุมจนได้รับการชื่นชมและนับเป็นอีกหนึ่งรายการของการจัดการแข่งขันกีฬาแบบNew Normalที่ประสบผลสำเร็จในช่วงที่ทั่วโลกยังประสบกับสถานการณ์จากโรคโควิด-19และจะเป็นแนวปฎิบัติในการจัดการแข่งขันระดับโลกในประเทศไทยในประเภทกีฬาอื่นๆต่อไป
..............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41595 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ช่วยต่อเนื่อง ดันมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นยาวถึงสิ้นปี 64 คู่เติมทุนเสริมสภาพคล่อง พยุงเอสเอ็มอีอยู่รอดพร้อมกลับมายืนได้อีกครั้ง | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
SME D Bank ช่วยต่อเนื่อง ดันมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นยาวถึงสิ้นปี 64 คู่เติมทุนเสริมสภาพคล่อง พยุงเอสเอ็มอีอยู่รอดพร้อมกลับมายืนได้อีกครั้ง
SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อเนื่อง ดันมาตรการให้สิทธิ์ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้นยาวถึงสิ้นปี 2564
SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อเนื่อง ดันมาตรการให้สิทธิ์ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้เงินต้นยาวถึงสิ้นปี 2564 มุ่งลดภาระทางการเงิน รักษาการจ้างงาน ควบคู่เติมทุนใหม่ เสริมสภาพคล่อง ประคับประคองรอสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ธุรกิจเอสเอ็มอีกลับมายืนและเดินได้อีกครั้ง
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ธนาคารดำเนินการเชิงรุกช่วยเหลือลูกค้าด้านลดภาระชำระหนี้ต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ก่อนกลางปีที่แล้ว (2563) ได้ส่งเจ้าหน้าที่สาขา ติดต่อสอบถาม และตรวจเยี่ยมกิจการลูกค้าทุกกลุ่มทั่วประเทศ ทั้งรายที่ยังมีศักยภาพชำระหนี้ได้ตามปกติ และรายที่ได้รับผลกระทบแล้ว เพื่อแนะนำและพาเข้าสู่มาตรการช่วยเหลือได้เหมาะสม รวมถึง นำเทคโนโลยีการรับส่งเอกสารผ่านออนไลน์มาใช้ ช่วยลดการเดินทาง สร้างความสะดวกปลอดภัยแก่ลูกค้าและพนักงาน โดยตั้งแต่หลังครบมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 6 เดือน เมื่อปลายปี 2563 ธนาคารได้ให้สิทธิลูกค้า พักชำระหนี้เงินต้น ได้อีก 6 เดือน หลังจากนั้นเมื่อเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เมื่อต้นปี 2564 จึงได้ขยายสิทธิขยายระยะพักชำระหนี้เงินต้นให้อีก 6 เดือน โดยนับเฉพาะช่วงเดือนมกราคม 2564 ถึงสิ้นเดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา ช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วประมาณ 10,000 ราย วงเงินประมาณ 17,000 ล้านบาท เมื่อรวมตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วประมาณ 27,000 ราย วงเงินประมาณ 44,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นอีกเป็นระลอกที่ 3 ธนาคารตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่กำลังได้รับ รวมถึง เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจ ธนาคารจึงมีมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง โดยให้สิทธิลูกค้า สามารถแจ้งความประสงค์ขอพักชำระหนี้เงินต้นได้อีกไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 โดยพิจารณาแนวทางช่วยเหลือตามผลกระทบของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถรักษาการจ้างงาน และประคับประคองธุรกิจให้ผ่านปี 2564 ไปได้ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย กิจการพร้อมกลับมาฟื้นตัวในอนาคต ขณะที่ ภาระหนี้ที่พักชำระไว้ จะนำยอดดังกล่าว ไปรวมให้ชำระในช่วงท้ายของสัญญา และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต
ควบคู่กับ SME D Bank จัดเตรียมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษไว้รองรับเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ เพื่อใช้เสริมสภาพคล่อง ไฮไลท์สำคัญ เช่น “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” กู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ต่อปีใน 2 ปีแรก ระยะผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ที่สำคัญ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน กำหนดระยะเวลายื่นกู้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 นี้ และ “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” อัตราดอกเบี้ย นิติบุคคล 2.875%ต่อปี นาน 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท และบุคคลธรรมดา 4.875%ต่อปี นาน 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี เป็นต้น
สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าสู่มาตรการพักชำระหนี้เงินต้น และแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ รวมถึง เพื่อความสะดวก และลดความเสี่ยงจากการเดินทาง สามารถแจ้งผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น เว็บไซต์ของธนาคาร https://www.smebank.co.th/ , แอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android , LINE Official Account: SME Development Bank เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงแรงงานต่างชาติลักลอบนำเชื้อโควิด 19 เข้าไทย เร่งค้นหา ขอประชาชนแจ้งเบาะแส | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
สธ.ห่วงแรงงานต่างชาติลักลอบนำเชื้อโควิด 19 เข้าไทย เร่งค้นหา ขอประชาชนแจ้งเบาะแส
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาแรงงานต่างชาติลักลอบเข้าประเทศ อาจนำเชื้อโควิด 19 มาแพร่ในประเทศ กำชับให้จังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนเฝ้าระวัง ขอฝ่ายปกครองกำกับติดตาม และขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแส
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,630 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,622 รายจากต่างประเทศ 8 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,603 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม 29,376 รายในจำนวนนี้ปอดอักเสบ 1,151 ราย ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 389 ราย และมีผู้เสียชีวิต 22 ราย ในกทม. 13 ราย เชียงใหม่ 2 ราย ปทุมธานี สุพรรณบุรี ระยอง สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น มหาสารคาม จังหวัดละ 1 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง อ้วน มะเร็ง ปอดเรื้อรังไตเรื้อรัง และติดเตียง โดยติดเชื้อในครอบครัว จากเพื่อนร่วมงาน สัมผัสผู้ติดเชื้อ ไปที่คนแออัด (ตลาดร่วมงานศพ) ขับรถแท็กซี่และจากจังหวัดเสี่ยง
โดยวันนี้ กทม.และ 5 จังหวัดปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อรวม 1,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของการติดเชื้อทั้งหมด แนวโน้มการระบาดชะลอตัว ยังพบผู้ติดเชื้อในชุมชน เช่น คลองเตย สี่แยกมหานาค ปากคลองตลาด แฟลตดินแดง บางแคบริเวณห้างสรรพสินค้าและชุมชนใกล้เคียง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งคัดกรองนำผู้ติดเชื้อออกมาดูแลและกักกันกลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่ 1 เม.ย ถึง 9 พ.ค.คัดกรองไปแล้ว 113,642 ราย พบการติดเชื้อร้อยละ 2.84 ส่วนปริมณฑลยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง แนวโน้มการระบาดของโรคคงตัว เน้นคัดกรองเชิงรุกใน ชุมชน และสถานที่เสี่ยง ที่อาจมีแรงงานต่างด้าวลักลอบอาศัย พร้อมมอบกรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพหารูปแบบรองรับผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมาก เช่น ในกลุ่มสีเขียวให้มีระบบกักตัวในชุมชน อาจใช้พื้นที่ส่วนกลางของชุมชน โรงเรียน เป็นพื้นที่กักตัว
“ในภูมิภาค 71 จังหวัด การระบาดมีแนวโน้มลดลงวันนี้พบผู้ติดเชื้อรวม 622 ราย ได้กำชับให้จังหวัดที่มีพื้นที่ติดประเทศเพื่อนบ้านคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งประสานฝ่ายปกครองกำกับติดตามป้องกันการลักลอบเข้าประเทศ และเพิ่มการฉีดวัคซีนในกลุ่มเจ้าหน้าที่ด่าน ตำรวจ และทหาร ที่ทำหน้าที่จับกุมผู้ลักลอบผ่านช่องทางธรรมชาติ ขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแสหากพบการขนส่งแรงงานลักลอบเช้าประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในประเทศ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศ ขณะนี้จัดสรรวัคซีนไปแล้ว 2,427,452 โดส จำนวนการฉีดสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ.-9 พ.ค. 2564 รวม 1,809,894 โดส มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรก 1,296,440 ราย วัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 513,454 ราย ส่วนภาพรวมการบริหารจัดการเตียงโควิด ใน กทม. วันที่ 9 พ.ค. มีผู้ติดเชื้อติดต่อสายด่วนต่างๆจำนวน 387 ราย ได้เตียงแล้ว 197 ราย ประสานได้เตียงแล้วรอดำเนินการต่อ 177 ราย โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดทีมจิตอาสารับ-ส่งผู้ติดเชื้อ ใน 6 โซน กทม. ขอนำส่ง 165 ราย นำส่งได้ 158 ราย ปฏิเสธ 7 ราย มีทีมพร้อมในพื้นที่ 33 ทีม และทีมพร้อมในที่ตั้ง 121 ทีม
******************************* 10 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ขานรับกระทรวงการคลัง ออก ‘มาตรการสมัครใจพักหนี้’ ช่วยลูกค้าทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs | วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564
EXIM BANK ขานรับกระทรวงการคลัง ออก ‘มาตรการสมัครใจพักหนี้’ ช่วยลูกค้าทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs
EXIM BANK ได้ออก “มาตรการสมัครใจพักหนี้” ให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบการดำเนินกิจการจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการให้สามารถฟื้นฟูธุรกิจได้เร็วขึ้น
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในส่วนของมาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อยจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามความสมัครใจนั้น EXIM BANK ได้ออก “มาตรการสมัครใจพักหนี้” ให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบการดำเนินกิจการจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการให้สามารถฟื้นฟูธุรกิจได้เร็วขึ้น
• ลูกค้า SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สามารถพักชำระหนี้เงินต้นหรือต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินสูงสุด 6 เดือน โดยจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับมาตรการได้ที่เจ้าหน้าที่ธนาคาร
• ลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาทขึ้นไป ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่เจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อขอพิจารณาผ่อนผันเป็นรายกรณี
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ติดต่อสอบถามได้ที่ EXIM HOTLINE เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบการจากโควิด-19 โทร. 0 2037 6099
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41605 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าจัดระบบหลักประกันสุขภาพ ผู้ต้องขังที่มีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลเดินหน้าจัดระบบหลักประกันสุขภาพ ผู้ต้องขังที่มีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ
รัฐบาลเดินหน้าจัดระบบหลักประกันสุขภาพ ผู้ต้องขังที่มีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (25 พ.ค. 2564) ว่า ครม.อนุมัติหลักการนโยบายการจัดระบบหลักประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาทางสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ และให้จัดสรรงบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการเข้าถึงบริการสุขภาพให้เทียบเท่ากับผู้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นการดูแลผู้ต้องขังที่มีปัญหาสถานะบุคคลและต่างด้าวในเรือนจำ ประมาณ 16,000 คน เช่น ผู้ต้องขังสัญชาติอื่น บุคคลที่ไม่มีเอกสารหลักฐานการยืนยันตัวตนใดๆ บุคคลต่างด้าว เป็นต้น ที่ผ่านมา ผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิในการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพ เมื่อเจ็บป่วยจนเกินศักยภาพการรักษาของสถานพยาบาลเรือนจำ จึงต้องส่งตัวไปรับการรักษานอกเรือนจำ ทำให้โรงพยาบาลในพื้นที่ต้องเป็นผู้รับภาระค่ารักษาพยาบาล โดยในปี 2563 มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจำนวน 13.71 ล้านบาท จากเรือนจำและทัณฑสถาน จำนวน 127 แห่ง
สำหรับการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพ ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการใน 2 ระยะ คือ 1)ระยะสั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ตั้งงบประมาณเป็นการเฉพาะในเรื่องนี้ โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 13.71 ล้านบาท 2)ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ดูแลจัดระบบริการและระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ต้องขัง และในกรณีที่มีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคกับการดำเนินงาน ให้ สปสช. ไปศึกษาและดำเนินการแก้ไขให้สามารถดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42102 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ขานรับ‘ลุงป้อม’ส่งทีมตรวจสอบต่างด้าวสมุทรสาคร ควบคุมโควิดในสถานประกอบการ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รมว.เฮ้ง ขานรับ‘ลุงป้อม’ส่งทีมตรวจสอบต่างด้าวสมุทรสาคร ควบคุมโควิดในสถานประกอบการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขานรับข้อสั่งการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พลตำรวจตรีนันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สมุทรสาคร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว ควบคุมโควิด - 19
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ พลตำรวจตรีนันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับชุดเฉพาะกิจฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานประกอบการ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานไทยและต่างด้าวในสถานประกอบการ ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จากการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เน้นย้ำให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และกระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แก่แรงงานในสถานประกอบการอีกด้วย พล.ต.ต.นันทชาติ กล่าวว่า ในวันนี้ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้มอบหมายให้ผมและคณะลงพื้นที่สมุทรสาครร่วมกับชุดเฉพาะกิจฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานประกอบการ พบปะกับลูกจ้าง นายจ้าง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเพื่อคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้วย โดยมี จนท.กทค. ร่วมกับ สจจ.สมุทรสาคร และ กก.สส.ตม.3 เข้าร่วมดำเนินการในสถานประกอบการจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ 1) โครงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ริมถนนธนบุรี – ปากท่อ ตั้งอยู่ที่ ตำบลกาหลง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครประเภทกิจการก่อสร้าง ไม่มีการจ้างแรงงานไทย มีการจ้างแรงงานต่างด้าว จำนนวน 18 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 8 คน สัญชาติลาว 15 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 7 คน สัญชาติกัมพูชา 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คนแรงงานต่างด้าวมีเอกสารการอนุญาตทำงานและเอกสารการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถูกต้อง 16 คน ส่วนอีก 2 คน คือ ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และมีใบอนุญาตทำงานแต่ใบอนุญาตทำงานสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 63 มีความผิด คือ ไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางมาแสดง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวทั้ง 2 คนส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ตามมาตรา 8 มีโทษตามมาตรา 101 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ และข้อหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุด หรือถูกเพิกถอน ตามมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ส่วนนายจ้าง เจ้าหน้าที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางโทรัดในข้อหาให้คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต ตามมาตรา 9 มีโทษตามมาตรา 102 2) บริษัท แฮปปี้ ไม้หลิน ซีฟู้ดส์ จำกัดตั้งอยู่เลขที่ 29/1 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าจีน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ประเภทกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ มีการจ้างคนไทย 3 คน มีการจ้างแรงงานต่างด้าว 36 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 26 คน เป็นสัญชาติเมียนมาทั้งหมด แรงงานต่างด้าวมีเอกสารการอนุญาตทำงานและเอกสารการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถูกต้อง 3) ล้งปลานายกิตติพงษ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดกระเซ้าขาว ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ประเภทกิจการแปรรูปสัตว์มีการจ้างแรงงานไทย 1 คน มีการจ้างแรงงานต่างด้าว 10 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 5 คน เป็นสัญชาติเมียนมาทั้งหมด แรงงานต่างด้าวมีเอกสารการอนุญาตทำงานและเอกสารการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถูกต้อง และ (4 บริษัท มิราเคิล เคมีภัณฑ์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 58 หมู่ 9 ตำบลบางกระเจ้า อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครประเภทกิจการผลิต/จำหน่ายพลาสติกรีไซเคิล มีการจ้างคนไทย 7 คน มีการจ้างแรงงานต่างด้าว 32 คน เป็นชาย32 คน เป็นสัญชาติเมียนมาทั้งหมด แรงงานต่างด้าวมีเอกสารการอนุญาตทำงานและเอกสารการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถูกต้อง
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเพื่อคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แก่แรงงานในสถานประกอบการอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42103 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมรับมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทันท่วงที | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมรับมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทันท่วงที
กรมทางหลวงชนบท ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมรับมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทันท่วงที
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าในระยะนี้จะมีมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ ทช. จึงได้ทบทวนแนวทางการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาคดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน ประกอบด้วย สำนักงานทางหลวงชนบท แขวงทางหลวงชนบท และหมวดบำรุงทางหลวงชนบทในพื้นที่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทันท่วงที โดยแบ่งการเตรียมความพร้อมรับมือ เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ก่อนเกิดเหตุ
- ดำเนินการทำความสะอาดช่องทางระบายน้ำ ตัดหญ้า กำจัดวัชพืชที่ขวางทางระบายน้ำ ท่อลอด สะพาน
- เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ สะพานเบลีย์ สนับสนุนยานพาหนะ อุปกรณ์การขนส่ง พร้อมสนับสนุนการอพยพเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัยหรือพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุอุทกภัยเพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย
- เตรียมป้ายเตือน ป้ายแนะนำเส้นทาง หลักนำทาง (กำหนดช่องจราจร) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน กรณีมีน้ำท่วมสูง ถนนขาด/สะพานขาด ไม่สามารถสัญจรไปมาได้
- ตัดแต่งกิ่งไม้ในเขตทางหลวงชนบท เพื่อป้องกันกิ่งไม้ตกหล่น หักโค่น เมื่อเกิดพายุ หรือลมพัดรุนแรง
- ตรวจสอบข้อมูลสายทางที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงกรณีดินถล่มบริเวณไหล่เขาและสายทางที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย โดยให้หน่วยงานในสังกัด จัดชุดลาดตระเวนสำรวจพื้นที่เสี่ยงและเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุการณ์
2. ขณะเกิดเหตุ
- บริหารจัดการเส้นทางและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน กรณีเส้นทางผ่านไม่ได้ให้จัดหาทางเลี่ยงพร้อมทั้งประสานกับหน่วยงานของจังหวัดในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันที เมื่อได้รับการร้องขอ
- กรณีถนน/สะพานขาด ให้เร่งดำเนินการซ่อมแซมเบื้องต้นให้ประชาชนสามารถใช้เส้นทางสัญจรไปมาได้ชั่วคราว เช่น วางสะพานเบลีย์ถมดินคอสะพาน
- กรณีต้นไม้หักโค่น ปิดทับ/กีดขวางเส้นทาง ให้รีบนำเครื่องมือเครื่องจักรเข้าดำเนินการทันที เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านได้
- ให้หน่วยงานในพื้นที่ ประสานกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานทหารในพื้นที่ เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนรายงานข้อมูลสายทางที่ประสบอุทกภัยให้ผู้บริหารได้รับทราบจนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ
3. หลังน้ำลด
- หลังจากเข้าสู่ภาวะปกติ หากตรวจพบสายทางที่เกิดความเสียหายรุนแรง ให้ดำเนินการซ่อมแซมเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้ภายใน 7 วัน
- เข้าดำเนินการสำรวจ ออกแบบ ประมาณราคา พร้อมภาพถ่ายสภาพความเสียหายหลังน้ำลด เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูต่อไป
ทั้งนี้ ทช. ขอความร่วมมือประชาชน โปรดระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนเป็นพิเศษและโปรดสังเกตป้ายจราจรเตือน และ ทช. จะติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ทันท่วงที โดยประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุอุทกภัย ได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมือพายุไซโคลน “ยาอาส” | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รับมือพายุไซโคลน “ยาอาส”
“เฉลิมชัย” สั่งกรมชลประทาน-กรมประมงรับมือพายุไซโคลน “ยาอาส” เต็มพิกัดพร้อมช่วยเหลือประชาชนทันที
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์วันนี้(26พ.ค. 64)ว่า
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลน”ยาอาส”จึงสั่งการให้กรมชลประทานและกรมประมงเตรียมความพร้อมเต็มพิกัดเพื่อรับมือพายุไซโคลน”ยาอาส”ซึ่งเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นพัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทยและอ่าวไทยทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งโดยระดมเครื่องจักรเครื่องมือและเจ้าหน้าที่ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนและชาวประมงได้ทันทีตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนมาล่าสุดว่าพายุไซโคลน“ยาอาส”จะเคลื่อนขึ้นฝั่งรัฐโอริสสา-รัฐกัลกัตตาของอินเดียในวันนี้ส่งผลให้4จังหวัดภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งจนถึงวันที่27พ.ค. 64โดยคลื่นลมในทะเลอันดามันมีกำลังแรงมีคลื่นสูง2-4เมตรบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า4เมตรส่วนอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูงประมาณ2เมตร
“ท่านรัฐมนตรีเกษตรฯยังกำชับให้หน่วยงานกรมชลประทานและกรมประมงในพื้นที่ประชาสัมพันธ์ถึงสถานการณ์น้ำรวมทั้งการแจ้งเตือนต่างๆไปยังประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด”นายอลงกรณ์กล่าว
ทางด้านนายประพิศจันทร์มาอธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่ากรมชลประทานได้เตรียมความพร้อมรับมือพายุไซโคลน”ยาอาส”ตามข้อสั่งการของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยการกำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยซ้ำซากกำหนดเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยงเพื่อร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแจ้งเตือนประชาชนการจัดสรรทรัพยากรเครื่องจักรเครื่องมืออาทิเครื่องสูบน้ำเครื่องผลักดันน้ำเข้าไปประจำพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีรวมทั้งติดตามวิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เก็บกัก(RULE CURVE)โดยพิจารณาปรับลดการระบายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ใช้อาคารชลประทานในการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่านอกจากการรับมือพายุไซโคลน”ยาอาส”แล้วดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ติดตามสถานการณ์ฝนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณฝนลดลงในพื้นที่ตอนบนของประเทศจึงสั่งการให้กรมชลประทานเร่งดูแลบริหารจัดการน้ำและประสานการทำงานกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเพื่อปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ทางตอนบนของประเทศเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากในช่วงนี้ทางตอนบนยังคงมีฝนตกน้อยประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนต่างๆไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกข้าวต่อเนื่องหรือข้าวนาปีได้อย่างเต็มศักยภาพ
สำหรับสถานการณ์น้ำและการจัดสรรน้ำล่าสุดวันนี้กรมชลประทานรายงานว่าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น35,564ล้านลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ47ของความจุอ่างฯรวมกันยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันประมาณ40,504ล้านลบ.ม.เฉพาะ4เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพลเขื่อนสิริกิติ์เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์)มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ8,540ล้านลบ.ม.หรือร้อยละ34ของความจุอ่างฯรวมกันยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกประมาณ16,331ล้านลบ.ม.สำหรับการเตรียมพร้อมใช้พื้นที่ลุ่มต่ำรองรับน้ำนองกรมชลประทานได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี2560ด้วยการใช้พื้นที่อย่างเต็มศักยภาพทั้งพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำและพื้นที่ลุ่มต่ำเจ้าพระยา13ทุ่งได้แก่1)ทุ่งฝั่งซ้ายชัยนาท-ป่าสัก2)ทุ่งป่าโมก3)ทุ่งเจ้าเจ็ด4)ทุ่งบางกุ้ง5)ทุ่งผักไห่6)ทุ่งโพธิ์พระยา7)ทุ่งเชียงราก8 )ทุ่งท่าวุ้ง9)ทุ่งบางกุ่ม10)ทุ่งบางบาล-บ้านแพน11)ทุ่งพระยาบรรลือ12)ทุ่งรังสิตใต้13)ทุ่งบางระกำรวมพื้นที่รับน้ำประมาณ1,410,267ไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42111 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเน้นย้ำผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน ใช้กลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
มหาดไทยเน้นย้ำผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน ใช้กลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
มหาดไทยเน้นย้ำผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน ใช้กลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง บูรณาการหน่วยงานความมั่นคง ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 จากผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
วันนี้ (26 พ.ค. 64) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีบัญชาให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติ แบ่งพื้นที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจนเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี โดยบูรณาการสั่งการและกวดขันการดำเนินมาตรการควบคุมการเดินทางเข้า-ออกประเทศอย่างผิดกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ได้สั่งการให้จังหวัดดำเนินการแบ่งพื้นที่และความรับผิดชอบเป็น 3 ส่วนได้แก่ การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน การปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน และการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนและทุกภาคส่วนในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจผู้ประกอบการโรงงาน สถานประกอบการ หอพัก และกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ไม่ให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการ ศบค.
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ในการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของจังหวัดชายแดน ภายใต้ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 64 ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน ได้มีข้อสั่งการสำคัญ ในการให้จังหวัดชายแดนเข้มงวดการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมือง โดยบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านกลไกศูนย์สั่งการใช้แดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัดและคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางตามที่ ศบค.มท. ได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดก่อนหน้านี้แล้ว
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนและผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ดำเนินการตามข้อสั่งการต่าง ๆ ของ ศบค.มท. โดยเคร่งครัด และใช้กลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด และคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการปฏิบัติงานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ และให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนร่วมกับทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ระบบให้บริการกว่า 1,000 คนต่อชั่วโมง | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
อนุทิน ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ระบบให้บริการกว่า 1,000 คนต่อชั่วโมง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อจัดระบบไหลเวียนประมาณ 1,000 คน ต่อชั่วโมง และจะเพิ่มการให้บริการได้ถึง 20,000 คนต่อวัน ตั้งแต่ 24-26 พ.ค. มีผู้รับบริการแล้ว 17,535 คน
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) ที่สถานีรถไฟกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยนายอนุทินกล่าวว่า วันนี้มาเยี่ยมให้กำลังใจทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่รับการฉีดวัคซีน จากกการทดสอบระบบ 2 วันที่ผ่านมา การให้บริการฉีดวัคซีน และการไหลเวียนของผู้ที่เข้ารับบริการคล่องตัวดีเป็นที่น่าพอใจ ให้บริการได้มากกว่า 1,000 คนต่อชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ข้อมูลถึงวันนี้ (เวลา 15.00 น.) มีกลุ่มบุคลากรกระทรวงคมนาคม ขนส่งสาธารณะ และองค์กรต่างๆ รับการฉีดวัคซีนแล้วรวม 17,535 คน เฉพาะในวันนี้ 5,559 คน โดยจะเพิ่มการให้บริการให้ได้ถึง 20,000 คนต่อวัน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการให้บริการประชาชนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อที่กระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุนสถานที่เป็นระยะเวลารวม 28 วัน ในระยะแรกเปิดให้บริการกับบุคลากรขนส่งสาธารณะ และในรูปแบบองค์กร และระยะต่อไปจะจัดอัตราส่วนให้ประชาชนทั่วไปเข้ารับบริการ ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเดลที่จะนำไปใช้ที่จุดบริการต่างๆ นอกสถานพยาบาล ในส่วนกรุงเทพมหานคร เช่น จามจุรีสแควร์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงในต่างจังหวัด เช่น ภูเก็ต โคราช มีการจัดระบบที่ดีเช่นกัน
********************************* 26 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42124 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงผู้ที่ได้ลงทะเบียนทาง “หมอพร้อม” และยืนยันวันเวลาและสถานที่แล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามกำหนดเวลานัดเดิมได้ทั้งหมด | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ที่ได้ลงทะเบียนทาง “หมอพร้อม” และยืนยันวันเวลาและสถานที่แล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามกำหนดเวลานัดเดิมได้ทั้งหมด
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ที่ได้ลงทะเบียนทาง “หมอพร้อม” และยืนยันวันเวลาและสถานที่แล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามกำหนดเวลานัดเดิมได้ทั้งหมด
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนหลายสำนัก ได้นำเสนอข่าวเรื่อง นายกรัฐมนตรี สั่งเบรกการลงทะเบียนทาง “หมอพร้อม” นั้น ขอชี้แจงว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศบค. ได้แจ้งให้ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาฯ สมช.ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอธิบดีกรมควบคุมโรค โดยให้พิจารณาการปรับแผนการกระจายวัคซีนใหม่จากเดิมที่มีการจัดสรรวัคซีนตามโควต้าการลงทะเบียนในแต่ละจังหวัด โดยปรับมาเป็นการจัดสรรให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งจำเป็นต้องนำหลักเกณฑ์อื่นมาพิจารณาในเรื่องของการกระจายวัคซีน เช่น การใช้เกณฑ์การติดเชื้อโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่มาจัดสรรวัคซีนให้เหมาะสมกับแผนการกระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ โดยมอบให้ทาง ผอ.ศปก.ศบค. หารือเรื่องนี้ในที่ประชุม ศปก.ศบค. ตามความเหมาะสม และดำเนินการในรายละเอียด ซึ่งที่ประชุมฯ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรมีการปรับแผนการกระจายวัคซีนตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่มากกว่าการกระจายวัคซีนตามจำนวนการลงทะเบียน เนื่องจากบางจังหวัดนั้นมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่สูง มีผู้ติดเชื้อน้อย แต่มีผู้ลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนค่อนข้างมาก ในขณะที่บางจังหวัดมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สูง มีผู้ติดเชื้อมาก แต่มีผู้ลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนจำนวนน้อย ดังนั้น ที่ประชุมฯ จึงมีความเห็นให้ชะลอการลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” ไปก่อน เพื่อความเหมาะสมในการจัดสรรวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้ลงทะเบียนทาง “หมอพร้อม” และได้รับการยืนยันวันเวลาและสถานที่แล้ว ยังคงสามารถรับการฉีดวัคซีนได้ตามกำหนดเวลานัดเดิมได้ทั้งหมด
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน รวมกว่า 3 ล้านโดสแล้ว | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ประเทศไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน รวมกว่า 3 ล้านโดสแล้ว
ประเทศไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน รวมกว่า 3 ล้านโดสแล้ว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้รัฐบาลเร่งระดมฉีดวัคซีนให้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข อสม. ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว จากรายงานล่าสุดเมื่อ 25 พฤษภาคม 2564 ไทยมีจำนวนการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วถึง 3,024,313 โดส เป็นอันดับ 5 ของอาเซียนและจะเลื่อนขึ้นเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ด้วยการระดมฉีดวัคซีนอีก 6-8 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งขณะนี้ มีผู้ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อมแล้วกว่า 7,931,765 ล้านด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมอำนวยความสะดวกการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทุกคนที่พร้อมฉีดวัคซีนและได้ลงทะเบียนเพื่อขอรับวัคซีน ให้เป็นไปอย่างสะดวก เรียบร้อย เพื่อร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ควบคู่ไปกับการปฎิบัติตามมาตรการสาธารณสุข สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและควบคุมโรคแก่ประชาชนที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนในสถานที่พยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42109 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม ทางหลวงสวยขึ้น หลังปลูกต้นไม้เสริมทัศนียภาพ สั่ง หน่วยราชการ ปลูกเพิ่ม สร้างเอกลักษณ์ ต่อยอดการท่องเที่ยว | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ปลื้ม ทางหลวงสวยขึ้น หลังปลูกต้นไม้เสริมทัศนียภาพ สั่ง หน่วยราชการ ปลูกเพิ่ม สร้างเอกลักษณ์ ต่อยอดการท่องเที่ยว
นายกฯ ปลื้ม ทางหลวงสวยขึ้น หลังปลูกต้นไม้เสริมทัศนียภาพ สั่ง หน่วยราชการ ปลูกเพิ่ม สร้างเอกลักษณ์ ต่อยอดการท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ติดตามข้อสั่งการในการดำเนินงานปรับปรุงภูมิทัศน์บนท้องถนนของกรมทางหลวง ที่ได้ดำเนินโครงการปลูกต้นไม้ในในหลายพื้นที่ พบว่าผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ,ทางหลวงหมายเลข 12 ตอน บ้านฝาง-ขอนแก่น ,ทางหลวงหมายเลข 1021 สายพะเยา - เชียงคำ, ทางหลวงหมายเลข 33 ตอน คลองยาง-นครนายก ฯลฯ ได้มีการปรับปรุง ปลูกต้นไม้ที่มีสีสันสวยงาม ช่วยให้ทัศนียภาพตลอดสองข้างทางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงขอชื่นชม และสนับสนุนให้ดำเนินงานต่อไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังสั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งหน่วยงานรัฐ ดำเนินโครงการปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองและถนนหนทางให้มีความสวยงาม ร่มรื่น โดยเลือกปลูกต้นไม้ที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ เพื่อความง่ายในการดูแลรักษา ทั้งยังจะเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ด้วย โดยการปลูกต้นไม้ที่สร้างความสวยงานให้กับเมืองและท้องถนนนั้น จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายหน่วยงาน ได้เสนอตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีบางส่วนเสนอโครงการเกี่ยวกับการปรับภูมิทัศน์เมืองด้วยการปลูกต้นไม้ และปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองที่มีต้นไม้เป็นส่วนประกอบ นายกรัฐมนตรี กำชับให้มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า โปร่งใส คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดแก่พื้นที่ หรือท้องถิ่น และขอให้ทำด้วยความตั้งใจ เพราะการพัฒนาในส่วนนี้ ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อความสวยงาม แต่จะส่งผลบวกทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามมาด้วย
"นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ ทั้งการปลูกต้นไม้เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการปลูกต้นไม้เพื่อปรับปรุงทัศนียภาพ สร้างสีสันให้กับเมืองและถนนหนทาง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความสวยงาม แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นแรงดึงดูดส่งเสริมการท่องเที่ยว และต่อยอดการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ทั้งยังทำให้เมืองน่าอยู่ ถนนหนทางร่มรื่น สวยงาม จึงขอเชิญชวนประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีและทัศนียภาพที่น่ามอง" น.ส.ไตรศุลี กล่าว
.............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42107 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งเปิดลงทะเบียนยื่นกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่าน MyMo อีกครั้ง วันที่ 26 พ.ค. 64 นี้ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ออมสินแจ้งเปิดลงทะเบียนยื่นกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่าน MyMo อีกครั้ง วันที่ 26 พ.ค. 64 นี้
จากที่ธนาคารแจ้งปิดระบบกดรับสิทธิ์ขอกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอคงค้างกว่าแสนรายการ ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดระบบลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์การยื่นกู้อีกครั้ง ตั้งแต่วันพุธที่ 26 พ.ค. 2564 เวลา 16.00 น.
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารฯ ได้แจ้งปิดระบบกดรับสิทธิ์ขอกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ไว้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอคงค้างซึ่งมีจำนวนมากถึงกว่าแสนรายการ ขณะนี้ธนาคารฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และจะเปิดให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการ ซึ่งมีจำนวนกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ เข้าระบบลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์การยื่นกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ได้อีกครั้ง ตั้งแต่วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป โดยมีขั้นตอนการลงทะเบียน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ ผ่านแอป MyMo โดยระบบจะกำหนดวันที่นัดหมายให้ลูกค้าล็อกอินเข้าแอปเพื่อกดยื่นขอกู้อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 กดยื่นขอกู้ผ่านแอป MyMo ตามกำหนดวันที่นัดหมาย
ระบบจะจัดสรรวันและช่วงเวลานัดหมายให้ลูกค้ายื่นขอกู้ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 กำหนดโควต้าวันละ 100,000 ราย เพื่อป้องกันความแออัดและข้อจำกัดกรณีมีผู้ล็อกอินเข้าทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกันเป็นจำนวนมาก โดยธนาคารฯ จะเริ่มจ่ายเงินกู้เข้าบัญชีลูกค้าตั้งแต่วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ผู้ที่ยื่นขอกู้แล้วและอยู่ระหว่างรอผลการอนุมัติ ธนาคารฯ จะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบทาง SMS และแอป MyMo (Notification) ภายในวันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564 และผู้ที่ทราบว่าได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงิน (Digital Contract) ลูกค้าสองกลุ่มนี้สามารถล็อกอินเข้าแอป MyMo เพื่อทำสัญญาฯ ได้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr25/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42119 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-พม.-อว.ร่วมจัดตั้ง รพ.สนามรองรับคนพิการติดโควิดที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เริ่ม 1 มิ.ย.นี้ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
สธ.-พม.-อว.ร่วมจัดตั้ง รพ.สนามรองรับคนพิการติดโควิดที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เริ่ม 1 มิ.ย.นี้
กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกระทรวงอุดมศึกษาฯ และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการติดโควิด 19 แห่งแรก รับผู้พิการที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการและช่วยเหลือตัวเองได้ รองรับได้ 224 เตียง
กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกระทรวงอุดมศึกษาฯ และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการติดโควิด19 แห่งแรก รับผู้พิการที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการและช่วยเหลือตัวเองได้ รองรับได้ 224 เตียง เปิดดำเนินการวันที่ 1 มิถุนายนนี้
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดตั้ง รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อโควิดแต่ละกลุ่มมีความต้องการการดูแลรักษาแตกต่างกัน โดยเฉพาะคนพิการที่ต้องการการดูแลมากกว่าคนทั่วไป กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับ อว.และพม.จัดตั้ง โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการเป็นแห่งแรก รับผู้พิการติดโควิดที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการและช่วยเหลือตัวเองได้ เปิดบริการวันที่1 มิถุนายน 2564 ใช้พื้นที่ชั้น 5-10 ของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร รวม 224 เตียง นำ 11 นวัตกรรมของ สวทช.มาดูแล เช่น รถเข็นบังคับส่งของระยะไกล เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี เครื่องช่วยสื่อสารคนหูหนวก เป็นต้น โดยติดต่อเข้ารับการรักษาผ่านสายด่วน 1668 มีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดบุคลากรที่ผ่านการอบรมเกี่ยวกับการรับส่งผู้พิการที่ติดโควิดมาดำเนินการ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ เนื่องจากปกติจะให้ผู้ติดเชื้อขึ้นรถเอง ไม่มีการแตะตัว แต่ผู้พิการ เช่น พิการทางสายตาต้องช่วยจูงขึ้นรถ ทำให้มีการสัมผัสใกล้ชิด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอ ศบค.ให้จัดลำดับการให้วัคซีนโควิด 19 ในคนพิการทุกกลุ่ม โดยวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 จะเริ่มฉีดวัคซีนให้คนพิการทางสายตาที่สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติเข้ามาช่วยวางระบบในการดูแลผู้พิการที่ติดเชื้อโควิด โดยโรงพยาบาลสนามมีห้องพักแบบ4 เตียงทำให้ผู้พิการและครอบครัวที่ติดเชื้อเข้าพักด้วยกันและดูแลกันได้ หากผู้พิการมาคนเดียวจะให้พักร่วมกับรายอื่นเพื่อช่วยเหลือดูแลกัน เช่น พิการทางสายตาอาจพักกับผู้พิการด้านอื่นที่ไม่มีปัญหาสายตา เป็นต้น และจัดอุปกรณ์สนับสนุนการสื่อสารผู้พิการแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้พิการทางการได้ยินมีจัดระบบสื่อสารแบบเห็นภาพเพื่อให้สื่อสารภาษามือได้ เป็นต้น โดยโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นต้นแบบพัฒนาดำเนินการในพื้นที่ต่างๆ ต่อไป
*************************************** 26 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42121 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ รมว.เฮ้ง จัดการส่งศพแรงงานไทยกลับภูมิลำเนา และดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอิสราเอล | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
นายกฯ กำชับ รมว.เฮ้ง จัดการส่งศพแรงงานไทยกลับภูมิลำเนา และดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอิสราเอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกำชับให้กระทรวงแรงงานจัดการส่งศพแรงงานไทยกลับภูมิลำเนาและดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีทางอากาศในอิสราเอล โดยประสานเอกอัครราชทูตอิสราเอล นำ 2 ศพแรงงานไทยเดินทางกลับมาถึงประเทศ
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรับศพแรงงานไทยกรณีเสียชีวิตจากเหตุโจมตีทางอากาศโดยกลุ่มฮามาสในประเทศอิสราเอล โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน Ms.ETTY MIZRACHI (เอ็ตตี มิชราคี) อัครราชทูต กงสุลประจำสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้จัดพิธีไว้อาลัยและส่งศพนายวีรวัฒน์ การุญบริรักษ์ และนายสิขรินทร์ สงำรัมย์ แรงงานไทยจากนิคมเกษตร (โมชาฟ) โอฮาด 2 ราย ที่เสียชีวิตจากจรวดโจมตีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ ท่าอากาศยานแบนกูเรียน ในโอกาสนี้ ผู้เข้าร่วมพิธีได้ยืนสงบนิ่งและจุดเทียนไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต ก่อนที่โลงศพของเสียชีวิตจะถูกลำเลียงไปยังเครื่องบินของสายการบิน EI AI เที่ยวบินที่ LY081 ซึ่งเป็นเที่ยวบินอำนวยความสะดวกนำคนไทยในอิสราเอลกลับประเทศไทยที่สถานเอกอัครราชทูตฯ จัดขึ้นและได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานเบนกูเรียนเวลา 22.00 น. ของวันที่ 25 พ.ค.64 และมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันนี้ (26 พ.ค.64) เวลา 12.30 น.โดยศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายจะถูกนำส่งถึงภูมิลำเนาที่จังหวัดเพชรบูรณ์และบุรีรัมย์ทันทีที่เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยังได้ดำเนินการจัดให้แรงงานจากโมชาฟโอฮาดที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยจรวดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวน 18 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวรวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ราย ได้แก่ นายจักรี รัตพลทีและนายธนดล ขันธชัย เดินทางกลับประเทศไทยด้วยเที่ยวบินนี้ด้วย
นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้แสดงความเสียใจกรณีแรงงานไทยเสียชีวิตและห่วงใยแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บและได้กำชับให้กระทรวงแรงงานจัดการส่งศพแรงงานไทยกลับภูมิลำเนาและดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีทางอากาศในอิสราเอลในครั้งนี้ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งรับคนงานที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยอีกจำนวน 18 คน ที่ได้เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ เวลา 12.30 น.ซึ่งบริษัทจัดส่งคนงานจะอำนวยความสะดวกในการจัดส่งไปยังสถานที่กักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการของ ศบค. ก่อนที่จะกลับภูมิลำเนาของแรงงาน โดยคาดว่าจะไปถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนของคืนนี้ จากนั้นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จะลงไปเยี่ยมครอบครัวของแรงงานและมอบสิทธิประโยชน์การช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
สำหรับแรงงานไทยที่เสียชีวิตทั้ง 2 รายคือ นายวีรวัฒน์ การุญบริรักษ์ ทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์ในประเทศไทย รวม 94,798.81 บาท ประกอบด้วย (1) เงินสงเคราะห์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ 40,000 บาท และ (2) สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมประเทศไทย 54,798.81 บาท และจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอล ดังนี้ (1) เงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง (ปิซูอิม) ประมาณ 102,820 บาท (2) เงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล เดือนละประมาณ 52,380 บาท และ (3) ค่าจ้างค้างจ่าย และ นายสิขรินทร์ สงำรัมย์ ทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์ในประเทศไทย รวม 90,389 บาท ประกอบด้วย (1) เงินสงเคราะห์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ 40,000 บาท และ (2) สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมประเทศไทย 50,389 บาท และจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอล ดังนี้ (1) เงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล เดือนละประมาณ 52,380 บาท และ (2) ค่าจ้างค้างจ่าย (ไม่ได้รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง เนื่องจากทำงานไม่ครบ 1 ปี) โดยทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานในประเทศไทย ในวันที่ 25 – 26 พฤษภาคม 2564 สำหรับสิทธิประโยชน์จากการทำงานในประเทศอิสราเอลเป็นค่าประมาณการ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาทายาทเพื่อรับเพื่อเงินทดแทนรายเดือนจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอลนั้น ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย ได้แก่ บิดา มารดา ภรรยาที่สมรสตามกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย อายุไม่เกิน 18 ปี โดยส่วนแบ่งที่ทายาทแต่ละคนจะได้รับพิจารณาจากภาวการณ์พึ่งพิงหรือการดูแลที่ได้รับจากผู้เสียชีวิต และความสามารถในการเลี้ยงชีพของทายาท ระยะเวลาการได้รับเงินชดเชย บิดา มารดา ได้รับทุกเดือนจนเสียชีวิตภรรยาที่สมรสตามกฎหมาย ได้รับทุกเดือนจนเสียชีวิต หรือสมรสใหม่ บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับทุกเดือนจนอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะเร่งติดตามความคืบหน้าต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42114 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยัน 7 มิ.ย.เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
สธ.ยัน 7 มิ.ย.เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยันวันที่ 7 มิ.ย.เป็นต้นไป ไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 มีทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคตามการจัดสรรแต่ละช่วงเวลา กระจายลงพื้นที่ จังหวัด หรือหน่วยงานต่างๆ ตามการพิจารณาของ ศบค.
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยันวันที่7 มิ.ย.เป็นต้นไป ไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 มีทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวคตามการจัดสรรแต่ละช่วงเวลา กระจายลงพื้นที่ จังหวัด หรือหน่วยงานต่างๆ ตามการพิจารณาของ ศบค. อนาคตอาจมีวัคซีนอื่นเพิ่ม เผยสถาบันบำราศนราดูรฉีดวัคซีนได้ปกติไม่มีเลื่อนนัด
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยมีการใช้วัคซีน 2 ยี่ห้อ คือ แอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค ส่วนการฉีดขึ้นกับวันเวลาที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนตัวใด ซึ่งบางที่จัดส่งทุกวัน ทุก 3 วัน หรือสัปดาห์ละครั้ง แต่วัคซีนทุกชนิดที่ฉีดให้กับประชาชนมีมาตรฐาน ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และฉีดได้ในคนอายุ 18 ปีขึ้นไปได้เหมือนกัน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม เช่น ไฟเซอร์และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่อยู่ในขั้นการตกลงเงื่อนไขสัญญาจัดซื้อจัดหาโดยวัคซีนที่จัดหาต้องมีความปลอดภัยนำมาใช้เพื่อลดการติดเชื้อ การแพร่เชื้อ ลดอาการรุนแรงและเสียชีวิต
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กรณีสถาบันบำราศนราดูรมีการประกาศเลื่อนฉีดวัคซีนโควิด19 ยืนยันว่ามีการฉีดตามกำหนดนัดหมายเหมือนเดิม สำหรับการชะลอลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านหมอพร้อมเป็นนโยบายของทาง ศบค. โดยให้แต่ละจังหวัดไปจัดทำระบบลงทะเบียนของตัวเอง แต่คนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมแล้วยังได้รับการฉีดวัคซีนแน่นอน กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่จัดหาและกระจายจัดส่งวัคซีนไปยังพื้นที่ จังหวัด หรือหน่วยงานต่างๆ ตามที่ ศบค.พิจารณากำหนด ส่วนการฉีดให้กลุ่มเป้าหมายเป็นการพิจารณาของแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม หลังการฉีดวัคซีนจำนวนมากการติดเชื้อย่อมลดลง
************************************* 26 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ชวนชาวพุทธร่วม "เวียนเทียนออนไลน์" วันวิสาขบูชา รักษาประเพณีไทยl รักษาศีล ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รมต.อนุชา ชวนชาวพุทธร่วม "เวียนเทียนออนไลน์" วันวิสาขบูชา รักษาประเพณีไทยl รักษาศีล ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
รมต.อนุชา ชวนชาวพุทธร่วม "เวียนเทียนออนไลน์" วันวิสาขบูชา รักษาประเพณีไทยl รักษาศีล ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ยังมีปริมาณตัวเลขผู้ติดเชื้อจำนวนมากทุกวันนี้ ส่งผลให้ต้องมีการปรับตัวสู่การใช้ชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ซึ่งรวมถึงการประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา โดยพุทธศาสนิกชนจะร่วมกิจกรรมเวียนเทียนตามประเพณีมาแต่โบราณ ซึ่งในปีนี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ประกอบกับมาตรการของรัฐให้งดการทำกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวน 20 คนขึ้นไป จึงสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานวัดทั่วประเทศงดการจัดกิจกรรมเวียนเทียนเนื่องในวันวิสาขบูชา และขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเวียนเทียนออนไลน์ ผ่าน www.เวียนเทียนออนไลน์.com พร้อมกันทั่วโลก โดยสามารถเลือกเวียนเทียนวัดไทยในต่างประเทศที่มีครบทั่วโลก และยังสามารถเลือกเวียนเทียนที่สังเวชนียสถาน 4 ที่ ซึ่งถือเป็นสถานสำคัญที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานได้อีกด้วย
รัฐมนตรึประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญทางศาสนา หากไม่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีการจัดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาที่บริเวณท้องสนามหลวงเป็นประจำทุกปี รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละปีมีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาของหลากหลายหน่วยงาน ทั้งทางราชการ และเอกชน ทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่สร้างความศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชนบำเพ็ญกุศล ในปีนี้ขอให้ประชาชนเวียนเทียนที่บ้าน ตั้งจิตอธิษฐานบูชาพระรัตนตรัย และตั้งมั่นที่จะนำคุณธรรมแห่งพระรัตนตรัยมาเป็นวิถีชีวิตของตน พร้อมกับขอให้ร่วมกันทำความดี โดยการนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ละเว้นความชั่ว ละเว้นอบายมุขต่างๆ รักษาศีล และทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคม
...........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเวที ESCAP หารือแผนปฏิบัติการข้อริเริ่มทางด่วนข้อมูลเอเชียแปซิฟิก AP - IS (2022 – 2026) | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ดีอีเอส ร่วมเวที ESCAP หารือแผนปฏิบัติการข้อริเริ่มทางด่วนข้อมูลเอเชียแปซิฟิก AP - IS (2022 – 2026)
ดีอีเอส ร่วมเวที ESCAP หารือแผนปฏิบัติการข้อริเริ่มทางด่วนข้อมูลเอเชียแปซิฟิก AP - IS (2022 – 2026)
เมื่อวันที่25พฤษภาคม2564นางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นผู้แทนระดับสูงเข้าร่วมการประชุมThe First Meeting of The Drafting Group for Developing The Action Plan of The Asia - Pacific Information Superhighway [AP-IS]ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักเลขาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก(ESCAP)ผ่านระบบการประชุมทางไกลณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการข้อริเริ่มทางด่วนข้อมูลเอเชียแปซิฟิกAP - IS (2022 – 2026)รวมถึงพัฒนาสิ่งที่ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องจากแผนฉบับเดิมAP - IS (2019 – 2022)ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42110 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม เดินหน้ารถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
กระทรวงคมนาคม เดินหน้ารถยนต์รับจ้างทางเลือกผ่านแอปพลิเคชันภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ....
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ซึ่งจะทำให้สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาขึ้นทะเบียนเป็นรถสาธารณะให้บริการผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน โดยเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคม เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและการจัดการระบบขนส่งสาธารณะผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ทำหน้าที่ควบคุม กำกับ ดูแลการให้บริการอย่างปลอดภัยและเป็นธรรม เนื่องจากปัจจุบันการเรียกใช้บริการรถผ่านแอปพลิเคชันได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกสบาย รวดเร็ว แต่ที่ผ่านมารถยนต์ที่นำมาให้บริการบางส่วนยังไม่สามารถนำมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจึงได้กำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้เป็นทางเลือกในการเดินทางอย่างถูกต้องตามกฎหมายสำหรับประชาชน ส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวสามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้อง และเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามขั้นตอนหลังจากผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จะเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากผ่านขั้นตอนการพิจารณาข้อกฎหมายทั้งหมดแล้วจะพิจารณาลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาขั้นตอนดังกล่าวประมาณ 1 เดือน โดยระหว่างนี้ ขบ. ต้องเร่งดำเนินการออกระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการรับรองระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่จะนำมาให้บริการ และผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงระเบียบในการดำเนินการจดทะเบียน ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีความประสงค์จะนำมาให้บริการสามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจดทะเบียนดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายได้ต่อไป
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ขบ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ภาควิชาการ รวมถึงผู้แทนผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ในทุกขั้นตอน ซึ่งรายละเอียดในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้กำหนดให้รถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจะต้องขึ้นทะเบียนกับ ขบ. โดยกำหนดอายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปี ซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน และมีการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับรถสาธารณะในปัจจุบัน ภายใต้การกำกับดูแลของ ขบ. ผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้โดยสาร มีการติดเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างทางเลือกซึ่งจะให้บริการผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น รวมทั้งต้องมีการขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเพื่อให้สามารถควบคุมกำกับดูแลให้เกิดความปลอดภัยและเป็นธรรมในการให้บริการ ทั้งนี้ ขบ. จะเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนและผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42112 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลุยกำจัดลัมปี สกิน จ.มุกดาหาร | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ลุยกำจัดลัมปี สกิน จ.มุกดาหาร
รมช.ประภัตร ลุยยับยั้งการระบาดลัมปี สกิน จ.มุกดาหาร ผนึกความร่วมมือทุกฝ่าย เร่งสำรวจความเสียหาย มั่นใจ เอาอยู่ ! ชูเนื้อสหกรณ์การเกษตรหนองสูง อร่อย สะอาด ได้มาตรฐานสูง
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดมุกดาหาร และมอบเวชภัณฑ์ ให้แก่ปศุสัตว์อำเภอ เพื่อนำไปมอบต่อให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน ณ สหกรณ์การเกษตรหนองสูง จำกัด อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร พร้อมตรวจเยี่ยม สหกรณ์การเกษตรหนองสูง จำกัด โดยมีนายเชวงศักดิ์ พลเยี่ยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม ว่า สถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin Disease) ใน 7 อำเภอ ของจังหวัดมุกดาหาร พบโค-กระบือ ติดเชื้อรวม 4,291 ตัว มีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 1,700 ราย สัตว์ตาย 13 ตัว โดยทางจังหวัดมุกดาหารได้ทำการสั่งปิดตลาดนัดโค-กระบือ เป็นเวลา 1 เดือน ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ข้อมูลกับเกษตรกรเบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดมุกดาหาร ได้รับรายงานจากอำเภอนิคมคำสร้อย ว่า ในพื้นที่มีการแพร่ระบาดของโรค และได้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย สำหรับอำเภออื่นๆ อยู่ระหว่งการสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และจะได้ประสานสำนักงานปภ.จังหวัดเพื่อประกาศเป็นพื้นที่ประสบสาธารณภัยต่อไป
"วันนี้เป็นการรวมตัวและร่วมมือกันของทุกฝ่าย ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค พี่น้องเกษตรกร รวมทั้งอาสาสมัครปศุสัตว์ทุกคน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เชื่อมั่นว่าควบคุมได้ โดยขณะนี้การระบาดของโรคเกิดขึ้น มีแมลงและยุงเป็นพาหะ ขอให้หน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนเร่งทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุก ให้เกษตรกรทราบถึงวิธีการป้องกัน วิธีการดูแลสัตว์ในสถานการณ์การระบาดของโรค และวิธีสังเกตุอาการของสัตว์ที่ป่วยอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เพื่อคลายความกังวลของเกษตรกรต่อโรคระบาดนี้ และขอยืนยัน โรคลัมปี สกิน โค-กระบือ เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน จึงขอให้พี่น้องมั่นใจ และรับฟังแนวทางการควบคุมป้องกันรักษาโรคนี้ จากเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายดำเนินการกันทั่วประเทศ เพื่อที่จะระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ให้สงบลงโดยเร็วที่สุด ซึ่งในสถานการณ์การระบาดขณะนี้ ต้องขอความร่วมมือทางจังหวัด ประชาสัมพันธ์โครงการประกันสัตว์ ซึ่งเกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการ โดยจ่ายเบี้ย 400 บาทต่อ 6 เดือน คุ้มครองสัตว์ตายทุกกรณี จ่าย 30,000 บาท โดยเกษตรกรที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) หรือหน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่" รมช.ประภัตร กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงโครงการล้านละร้อยของรัฐบาล โดยการเข้าร่วมโครงการนั้น ขอให้เกษตรกรรวมตัวกันให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อทำเรื่องยื่นกู้กับ ธกส. โดย 1 วิสาหกิจชุมชนสามารถกู้ได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ดังนั้นขอความร่วมมือจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลในเรื่องนี้ เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจได้เข้าร่วมโครงการ นำเงินกู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับปศุสัตว์ เลี้ยงวัว หรือเลี้ยงสัตว์ประเภทอื่นที่มีตลาดรองรับ เป็นการสร้างอาชีพ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รมช.ประภัตรกล่าว
สำหรับงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดมุกดาหาร มีกิจกรรมประกอบด้วย 1.ปล่อยขบวนสัตวแพทย์เคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรักษาโค -กระบือ ที่ป่วย โดยเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น 2. ปล่อยขบวนหน่วยพ่นยาทำลายเชื้อโรคและพ่นสารเคมีกำจัดแมลง ซึ่งเป็นพาหะของโรค เพื่อยับยั้ง ชะลอการแพร่ระบาด 3. แจกสารเคมีกำจัดแมลงที่เป็นพาหะ แจกยารักษาแผลภายนอก ยาบำรุง แร่ธาตุ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจโรคและการป้องกันให้กับเกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42115 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' ปลูกต้น “มะเกลือ” เปิดกิจกรรมเนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 ชวนคนไทยร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน สืบสานสู่ 100 ล้านต้น | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
'วราวุธ' ปลูกต้น “มะเกลือ” เปิดกิจกรรมเนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 ชวนคนไทยร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
'วราวุธ' ปลูกต้น “มะเกลือ” เปิดกิจกรรมเนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 ชวนคนไทยร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
'วราวุธ' ปลูกต้น “มะเกลือ” เปิดกิจกรรมเนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 ชวนคนไทยร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน สืบสานสู่ 100 ล้านต้น
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว. ทส.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 และร่วมปลูกต้นไม้ พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท. ทส.) และผู้บริหารกระทรวงฯ โดยมี นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับและรับแจกกล้าไม้ ณ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี
นายวราวุธ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2532 กำหนดให้ “วันวิสาขบูชา” ของทุกปี เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ ในปีนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดกิจกรรมวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 ขึ้น เพื่อเชิญชวนให้ประชาชน และหน่วยงานทุกภาค ตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ และมีส่วนร่วมในการปลูก และบำรุงรักษาต้นไม้ เพื่อขยายพื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุมทั้งประเทศ
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทย มาร่วมกันปลูกต้นไม้ และดูแล บำรุง รักษาต้นไม้ที่ปลูก พร้อมลงทะเบียนในโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น ได้ที่เว็บไซต์กรมป่าไม้ https://plant.forest.go.th/statistic โดยในขณะนี้ มีผู้ลงทะเบียนและร่วมปลูกต้นไม้กับโครงการไปแล้วกว่า 44,417,749 ต้น เพื่อให้ประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นตามยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงมีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตอย่างยั่งยืน
“การปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปลูกแล้วต้องช่วยกันดูแล ช่วยกันรักษาให้เค้าเติบโตขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่มาช่วยกันปลูกคนละ 1 ต้น ซึ่งมั่นใจว่าแผ่นดินไทยของเราจะกลับมาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ หมดปัญหาเรื่องภัยแล้ง หมดปัญหาเรื่องน้ำท่วมต่อไปอีกตราบนานเท่านาน ดังนั้น มาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ และบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูก นะครับ เพื่อผืนแผ่นดินไทย เพื่อลูกหลานไทยในอนาคต” นายวราวุธ กล่าวย้ำ และเชิญชวนในช่วงท้าย
ในโอกาสนี้ นายวราวุธ ยังได้ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงฯ และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ปลูกต้นมะเกลือ ณ บริเวณวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร โดย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปกท. ทส. ผู้ว่าราชการ จ.สุพรรณบุรี และอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ร่วมปลูกต้นประดู่ป่า
ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่สนใจปลูกต้นไม้ สามารถติดต่อขอรับกล้าไม้ได้จากหน่วยงานเพาะชำกล้าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ในพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ และสามารถสืบค้นข้อมูลหน่วยเพาะชำกล้าไม้ได้ที่ www.forest.go.th/nursery หรือติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 561 4292-3 ต่อ 5551
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ระยะที่ 2 | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ระยะที่ 2
เกษตรฯ-พาณิชย์เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ระยะที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงให้มีการซื้อขายข้าวกับผู้ประกอบการค้าข้าวได้ในราคาตามคุณภาพที่เป็นธรรม มีตลาดรองรับที่แน่นอน
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังประชุมหารือโครงการ เชื่อมโยงตลาดข้าวคุณภาพระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการค้าข้าว ปี 2565 – 2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom meeting ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเชื่องโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ระยะที่ 2 (ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี 2565 – 2568) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ให้มีการซื้อขายข้าวกับผู้ประกอบการค้าข้าวได้ในราคาตามคุณภาพที่เป็นธรรม มีตลาดรองรับที่แน่นอน อีกทั้งยังเป็นการรักษาและขยายพื้นที่การผลิตข้าวคุณภาพที่ได้รับการรับรอง มาตรฐานข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ให้เกิดความต่อเนื่อง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันการตลาดข้าวโลกได้ ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการ 20 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี ลำปาง เชียงใหม่ พิจิตร ชัยนาท และสุพรรณบุรี โดยที่ประชุมขอให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มเติมกิจกรรมด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องในข้อเสนอโครงการ รวมทั้งงบประมาณในการดำเนินการและรวบรวมข้อมูลความต้องการผลผลิตข้าวทั้งในและต่างประเทศ ให้แก่กรมการข้าวในแต่ละปีก่อนฤดูการผลิต นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายกรมการข้าวนำเสนอโครงการฯ ดังกล่าว ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เพื่อเห็นชอบในหลักการแนวทางและหลักการเพื่อให้คณะรัฐมนตรี เห็นชอบต่อไป
สำหรับวิธีดำเนินการ/ขั้นตอนการดำเนินงาน จะมีการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP การสนับสนุน จัดสรรโควตาส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรป (EU) ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวอินทรีย์ การตรวจรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ต่างประเทศ และการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดยคาดว่าเกษตรกรจะมีตลาดรองรับซื้อผลผลิตข้าวคุณภาพที่แน่นอน ไม่น้อยกว่า 30,000 ครัวเรือน ในราคาตามคุณภาพที่เป็นธรรม และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 350 ล้านบาท (ข้าว GAP เพิ่มขึ้นตันละ 500 บาท และข้าวอินทรีย์เพิ่มขึ้นตันละ 2,000 บาท) รวมถึงรักษาและขยายพื้นที่การผลิตข้าวคุณภาพที่ ได้รับการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์และข้าว GAP อย่างน้อย 700,000 ไร่ อีกทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น เป็นการประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาลของรัฐบาล จากโรคที่เกิดจากการบริโภคและใช้สารเคมีทางการเกษตร ลดการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรและผลกระทบจากสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อม
“ปัจจุบันความต้องการอาหารปลอดภัย อาหารที่ได้รับรอง GAP โดยเฉพาะอินทรีย์ มีความต้องการอย่างมากทั้ง ตลาดในประเทศและต่างประเทศ จึงขอให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะหน่วยงานที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งทูตเกษตรและทูตพาณิชย์ ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการประสานและหาช่องทางการตลาด โดยเฉพาะตลาดข้าวอินทรีย์ เพื่อส่งเสริม สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้ปฏิบัติงาน เพื่อจะสามารถดำเนินการตามนโยบายตลาดนำการผลิตได้อย่างชัดเจน” นายระพีภัทร์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม กำชับ กรมพินิจฯ ปฏิบัติตามมาตรฐาน SOP หลังมีเยาวชนติดโควิดเพิ่ม ให้ยกระดับป้องกันพร้อมตรวจเชิงรุก อธิบดีขานรับสั่งดำเนินการเคร่งครัด เชื่อคุมสถานการณ์ได้ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รมว.ยุติธรรม กำชับ กรมพินิจฯ ปฏิบัติตามมาตรฐาน SOP หลังมีเยาวชนติดโควิดเพิ่ม ให้ยกระดับป้องกันพร้อมตรวจเชิงรุก อธิบดีขานรับสั่งดำเนินการเคร่งครัด เชื่อคุมสถานการณ์ได้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำชับ กรมพินิจฯ ปฏิบัติตามมาตรฐาน SOP หลังมีเยาวชนติดโควิดเพิ่ม ให้ยกระดับป้องกันพร้อมตรวจเชิงรุก อธิบดีขานรับสั่งดำเนินการเคร่งครัด เชื่อคุมสถานการณ์ได้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากการรายงานมีเยาวชนจากสถานพินิจฯ ติดเชื้อโควิด-19 ตนได้หารือและเน้นย้ำกับ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ให้ยึดตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) อย่างเคร่งครัด และฝากความห่วงใยแก่เยาวชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้เข้มแข็ง และร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่กระทรวงยุติธรรมและกรมกำหนด โดยเฉพาะ มาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOP) หากปฏิบัติตามจะช่วยให้ไม่มีผู้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อย และจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังให้ยกระดับการเฝ้าระวัง ประสานงานกับ ศบค.จังหวัด หรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ตรวจหาเชื้อกับเยาวชนเชิงรุก ให้ชะลอการย้ายเด็กและเยาวชนไปก่อน ให้เพิ่มวันเวลาการให้บริการเยี่ยมญาติทางไกล เพื่อลดความวิตกกังวล รวมถึงการจัดเตรียมพื้นที่ในสถานพินิจฯ เป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวเพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยในสถานพินิจฯ ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ไว้ด้วยแล้ว
พ.ต.ท. วรรณพงษ์ กล่าวว่า กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้เร่งการตรวจเชิงรุกเพิ่มเติม และประกาศใช้มาตรการ COVID Measures เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมจากหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ซึ่งมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 1. Protect ป้องกันและเฝ้า ระวัง กักตัว คัดกรอง ลดปริมาณเด็กและเยาวชน และเข้มงวดห้ามเจ้าหน้าที่ไปพื้นที่เสี่ยงอย่างเด็ดขาด รวมถึงครอบครัวด้วย และงดกิจกรรมภายนอกต่างๆ 2. Early Detection ค้นหา แยกกลุ่มให้เร็ว Swab หรือ Rapid Test ยืนยันให้ได้มากที่สุด และ 3. Treatment รักษาโดยเร็ว ลดความเสี่ยง และเร่งการฉีดวัคซีนโดยให้ศูนย์ฝึกและอบรมฯ และสถานพินิจฯ ทุกแห่งดำเนินการในระดับพื้นที่เป็นสำคัญ ร่วมกับทาง ศบค.จังหวัด ซึ่งกรมพินิจฯ จะกำกับติดตาม สนับสนุน และผลักดันผ่านระบบสาธารณสุขหลักโดยให้ทุกหน่วยเร่งดำเนินการอย่างเคร่งครัดและเข้มงวด ยืนยันว่ายังคงควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ พร้อมให้จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นลงไปยังพื้นที่เป้าหมายแล้วทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการและรายงานผลการปฏิบัติต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยธ. และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ของกระทรวงยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ของกรมพินิจฯ ให้สาธารณะ ได้รับทราบทุกวัน ผ่านช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42104 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการใช้ "ฟ้าทะลายโจร" รักษาอาการเจ็บป่วยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวีย | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการใช้ "ฟ้าทะลายโจร" รักษาอาการเจ็บป่วยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวีย
นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการใช้ "ฟ้าทะลายโจร" รักษาอาการเจ็บป่วยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวีย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” ควบคู่กับยาฟาวิพิราเวียในการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่มีภาวะอักเสบ ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้ยืนยันว่า “ฟ้าทะลายโจร” ไม่มีฤทธิ์ป้องกันโควิด-19 แต่อาจใช้เพื่อปรับระบบภูมิคุ้มกันได้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยืนยันว่า “ฟ้าทะลายโจร” มีแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งเป็นสารสำคัญมีฤทธิ์ต้านไวรัส และในการวิจัยพบว่า สามารถฆ่าไวรัสในหลอดทดลอง และยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางตัวในหลอดทดลองได้ด้วย นอกจากนี้ “ฟ้าทะลายโจร” ยังเป็นยาลดไข้ บรรเทาอาการหวัดที่ดี และลดการอักเสบ โดยได้ใช้เป็นยาในบัญชียาหลักในการรักษาโรคหวัดตั้งแต่ปี 2559 และสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีภาวะอักเสบ “ฟ้าทะลายโจร” สามารถช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมภูมิคุ้มกันได้ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยกำลังศึกษาวิจัยเพิ่มเติมการใช้ “ฟ้าทะลายโจร” เพื่อป้องกันโควิด-19 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันประชาชนยังมีจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 และปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T เพื่อป้องกันการแพร่หรือติดเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำความสำคัญในการดูแลความปลอดภัยสุขภาพสูงสุด เพราะคนไทยทุกคนคือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย
นายอนุชา กล่าวว่า “นอกจากเรื่องการรักษาโควิด-19 ด้วยยาจากสมุนไพรไทยแล้ว ปัจจุบันความต้องการสมุนไพรในตลาดโลกมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกระแสความใส่ใจในการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรคด้วยวิถีธรรมชาติด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงเร่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสมุนไพรไทยในตลาดต่างประเทศ ซึ่งสมุนไพรและเครื่องเทศในตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ รวมทั้งมั่นใจว่าสมุนไพรไทยจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น เครื่องสำอาง และอาหารเสริม ตามนโยบาย BCG ของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วย”
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42101 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการถูกหลอกให้กู้ยืมเงินผ่านสื่อดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ต่างๆ | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการถูกหลอกให้กู้ยืมเงินผ่านสื่อดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ต่างๆ
ขณะนี้มีกลุ่มบุคคลที่เป็นมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน โดยใช้ชื่อนิติบุคคลและสถานที่ตั้งสำนักงานที่ได้รับอนุญาตจาก รมว.คลัง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือผ่านสื่อดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มบุคคลที่เป็นมิจฉาชีพได้แอบอ้างเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน โดยใช้ชื่อนิติบุคคลและสถานที่ตั้งสำนักงานที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือผ่านสื่อดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ โดยพฤติการณ์ของกลุ่มบุคคลที่เป็นมิจฉาชีพเหล่านี้จะหลอกลวงประชาชนที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินให้ทำสัญญากู้ยืมเงินและแจ้งว่าเงินกู้ที่ทำสัญญากู้ยืมเงินได้รับการอนุมัติแล้วขอให้โอนเงินตามจำนวนที่กลุ่มบุคคลที่เป็นมิจฉาชีพแจ้งเพื่อเป็นค่าดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมเข้าบัญชีผู้ให้กู้ (บุคคลธรรมดา) ก่อนหลังจากนั้นจะโอนเงินตามสัญญาเงินกู้ให้กับผู้กู้ในภายหลัง ทำให้มีประชาชนหลายรายหลงเชื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลและโอนเงินค่าดำเนินการหรือค่าธรรมเนียมไปให้ผู้แอบอ้างและไม่ได้รับเงินกู้ตามความประสงค์ที่จะขอกู้ยืมเงิน ดังนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจึงขอแจ้งเตือนประชาชนที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงิน โปรดอย่าหลงเชื่อกลุ่มบุคคลที่เป็นมิจฉาชีพที่มีการแอบอ้างในลักษณะดังกล่าว และโอนเงินไปก่อนที่จะได้รับเงินกู้ตามที่ต้องการ โดยหากมีการขอให้โอนเงินค่าดำเนินการ ค่าธรรมเนียม หรือค่าค้ำประกันการกู้เงิน ขอให้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นการถูกหลอกลวงรวมทั้งขอเตือนให้ประชาชนที่ประสงค์จะกู้ยืมเงินจากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non – bank)ตรวจสอบรายชื่อและรายละเอียดของผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อภายใต้การกำกับที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ถูกต้องตามกฎหมาย (รายชื่อ ที่อยู่สำนักงาน และเบอร์โทรศัพท์ของผู้ประกอบธุรกิจ) ได้ดังนี้
1. สำหรับกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)ได้ที่เว็บไซต์ www.1359.go.thหรือ http://164.115.61.50/picofinance/public/
2. สำหรับกรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์) และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ได้ที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/WebsiteFI/pages/instlist.aspx
โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359ก่อนที่จะดำเนินการใด ๆที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมกู้ยืมเงิน เช่น การทำสัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงและการฉ้อโกงทรัพย์สินหรือ ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดได้รับความเสียหายจากพฤติการณ์ดังกล่าวหรือพบเบาะแสบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสามารถแจ้งความร้องทุกข์โดยตรงได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติสายด่วน 1599
ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. สายด่วน 1359
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42117 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อผู้พิการ 1 มิ.ย. โมเดลระดับภูมิภาค ใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วย | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อผู้พิการ 1 มิ.ย. โมเดลระดับภูมิภาค ใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วย
รัฐบาลพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อผู้พิการ 1 มิ.ย. โมเดลระดับภูมิภาค ใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วย
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้(26 พ.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงาน 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ ก.สาธารณสุข ก.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และก.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะเปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยพิการอายุ 15-65ปี ในวันที่ 1 มิ.ย. โดยมี ศ.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกรระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และนายกสมาคมผู้พิการ ร่วมลงพื้นที่ด้วย
รพ.สนามแห่งนี้ถือเป็นโมเดลระดับภูมิภาค ในการดูแลผู้พิการที่ป่วยด้วยโรคไวรัสโควิด19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่มาก สามารถรองรับผู้ป่วยพิการได้จำนวน 224 เตียง และความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ มีการใช้นวัตกรรมและระบบเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยระหว่างการรักษาตัว อาทิ รถเข็นบังคับระยะไกลส่งของให้ผู้ป่วยโควิด19 เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี เพื่อลดการแพร่เชื้อ ระบบTTRS (เครื่องช่วยสื่อสารสำหรับคนหูหนวก) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ ทั้งนี้ผู้พิการที่ติดเชื้อโควิด19 สามารถติดต่อรับการดูแลได้หลายช่องทาง กล่าวคือ ผ่านสายด่วนสาธารณสุข 1668 ศูนย์บริการช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 และสายด่วนคนพิการ 1479 รวมถึงแอปพลิเคชั่น TTRS กรณีคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายจุรินทร์ฯ ได้เน้นย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะดูแลกลุ่มคนเปราะบางให้ดีที่สุด และทุกส่วนราชการได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งผู้พิการเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมาย โดยภายใต้สถานการณ์โควิด19 คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้เห็นชอบมาตรการ อาทิ การขยายเวลาบัตรผู้พิการที่บัตรหมดอายุ เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์สวัสดิการต่างๆ การขยายเวลาพักหนี้กองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ การขยายเวลายื่นเรื่องขอกู้ฉุกเฉิน ปลอดดอกเบี้ย ปลอดคนค้ำ จากกองทุนฯ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงเวลาของความยากลำบากนี้
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42108 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ "ลุย" แหลมฉบัง ! นำตรวจ "เรือสินค้าขนาดใหญ่" แก้ตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน ช่วยส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 35,000 ล้านบาท ชี้ชัด งานเป็นรูปธรรมความร่วมมือ "พาณิชย์-ภาคเอกชน-กรมเจ้าท่า" | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
จุรินทร์ "ลุย" แหลมฉบัง ! นำตรวจ "เรือสินค้าขนาดใหญ่" แก้ตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน ช่วยส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 35,000 ล้านบาท ชี้ชัด งานเป็นรูปธรรมความร่วมมือ "พาณิชย์-ภาคเอกชน-กรมเจ้าท่า"
จุรินทร์ "ลุย" แหลมฉบัง ! นำตรวจ "เรือสินค้าขนาดใหญ่" แก้ตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน ช่วยส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 35,000 ล้านบาท ชี้ชัด งานเป็นรูปธรรมความร่วมมือ "พาณิชย์-ภาคเอกชน-กรมเจ้าท่า"
วันที่ 26 พฤษภาคม 2564 เวลา 15.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยมเรือสินค้า MSC Amsterdam และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
นายจุรินทร์ กล่าวว่าสถานการการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในปี 2564 ตัวขับเคลื่อนสำคัญคือการส่งออกและต้นปีนี้การส่งออกก็เป็นบวก เดือนมีนาคมเป็นบวกถึง 8.47% และเดือนเมษายนบวกถึง 13.09% และยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น การส่งออกเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การแก้ปัญหาการส่งออกจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ การส่งออกประกอบด้วยการขนสินค้าทางบก ทางอากาศและทางเรือ การขนส่งสินค้าทางเรือมีประเด็นปัญหาคือตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าเพื่อลงเรือส่งออกขาดแคลนเนื่องจากก่อนเกิดสถานการณ์โควิดมีการส่งสินค้าไปสหรัฐและสหภาพยุโรปจำนวนมากแต่ส่งสินค้ากลับมาน้อย ตู้ไปค้างอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แต่ประเทศจีนมีศักยภาพสามารถนำตู้ไปใช้ในการส่งออกได้มาก สำหรับประเทศไทยเมื่อผมได้ประชุม กรอ.พาณิชย์ การท่าเรือร่วมกับภาคเอกชนมาโดยใกล้ชิดได้ข้อสรุปว่าจากนี้ไปเราจะแก้ปัญหาโดยจะเปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาแหลมฉบังให้เรือขนาด 300-400 เมตรเข้ามาเทียบท่าได้จะช่วยให้ เราสามารถไปปลายทางได้เลยช่วยลดต้นทุนสามารถขนตู้เปล่าและตู้ที่มีสินค้าเข้ามา จะมีตู้เปล่าที่ส่งสินค้าออกได้มากขึ้น หลังจากที่ตนเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้การท่าเรือแก้ประกาศจับประกาศใหม่อนุญาตให้เรือ 300-400 เมตรเข้าเทียบท่าได้ มีมาหลายลำแล้วตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 และ 17 เมษายน 2564 20 เมษายน 2564 และวันที่ 5 พฤษภาคม เป็นลำใหญ่ขนาด 399 เมตร สามารถบรรทุกตู้เข้ามาได้ประมาณ 12,000 ตู้ และวันนี้เรือสินค้า MSC Amsterdam ขนาด 399 เมตรสามารถบรรทุกตู้เปล่าเข้ามาได้ประมาณ 4,000 ตู้ สามารถบรรจุสินค้าลงไปได้ประมาณ 80,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าสินค้าที่ส่งออกประมาณ 6,000 ล้านบาท และยังมีอีกสองลำที่จะเข้ามาวันที่ 2 มิถุนายน 395 เมตรและ 19 มิถุนายน 398 เมตร
" รวมแล้วทั้งหมดจะเป็น 7 ลำ สามารถบรรทุกตู้เปล่าเข้ามาประมาณ 23,000 ตู้ สามารถขนสินค้าออกไปได้ประมาณ 458,000 ตันรวมมูลค่าให้การส่งออกเพิ่มขึ้นจากการได้ตู้เปล่าประมาณ 35,000 ล้านบาท คือผลที่เป็นรูปธรรมจากการร่วมกันแก้ปัญหาระหว่างกระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชนและกรมเจ้าท่าขณะนี้ตู้เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลความต้องการใช้ตู้เปล่าเดือนหนึ่งประมาณ 128,000 ตู้ เรามีตู้ประมาณ 130,000 ตู้ เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลแล้ว แต่ต้องติดตามสถานการณ์และกรมเจ้าท่าต้องอำนวยความสะดวกโดยเร็วที่สุด เปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่เอาตู้เปล่าเข้ามาและเราส่งสินค้าออกไปได้มากขึ้นจะช่วยให้ตัวเลขส่งออกของเราเป็นบวกได้ต่อและจะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป
ผมเชื่อว่าศักยภาพการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศยังมีเพิ่มขึ้น ภาคเอกชนสายการเดินเรือต้องเข้ามาช่วยในการจัดหาตู้และกรมเจ้าท่าต้องอนุญาตโดยเร็วในการดำเนินการ และได้มีประกาศใหม่ให้ใบอนุญาตสำหรับเรือขนตู้ขนาด 300-400 เมตรภายในเวลา 2 ปี แต่ตนจะไปเจรจาว่าทำไมไม่เป็นตลอดไปเพราะการส่งออกยังเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ หากจำเป็นต้องปรับปรุงร่องน้ำหรือปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ก็จะต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อแลกกับตัวเลขการส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศตนเชื่อว่าคุ้มแน่นอน " รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
..............................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค ที่จังหวัดภูเก็ต สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 83.3 | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
สธ. เผยผลการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค ที่จังหวัดภูเก็ต สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 83.3
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 83.3 ลดความรุนแรงกรณีที่มีการติดเชื้อ ไม่พบปอดอักเสบ ย้ำยังต้องเข้มมาตรการส่วนบุคคล
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนซิโนแวค ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 83.3 ลดความรุนแรงกรณีที่มีการติดเชื้อ ไม่พบปอดอักเสบย้ำยังต้องเข้มมาตรการส่วนบุคคล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด แม้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในที่ประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ว่า การควบคุมโรคโควิด 19 ในคลัสเตอร์ต่าง ๆในต่างจังหวัด ระบบสาธารณสุขสามารถค้นหาผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว และมีการบริหารจัดการได้ดี เช่นที่จังหวัดเพชรบุรี สามารถสร้างโรงพยาบาลสนามได้อย่างรวดเร็ว มีการบริหารจัดการเตียงรับผู้ติดเชื้อ สำหรับเรื่องวัคซีนจะต้องฉีดเข็มแรกให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ภายในเดือนตุลาคมนี้
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับการฉีดวัคซีนที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อฟื้นฟูพื้นที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวนั้น ขณะนี้ มีผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ร้อยละ 22 และได้รับเข็มแรกแล้ว ร้อยละ 45 ของประชากรในจังหวัดภูเก็ต จากการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคต่อโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ครบระยะเวลากักตัว 14 วัน ในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 1,366 ราย พบว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคอย่างน้อย 1 เข็ม จะมีประสิทธิผลในการลดโอกาสการติดเชื้อร้อยละ 73.1 ส่วนกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ลดโอกาสการติดเชื้อร้อยละ 83.3 นอกจากนี้ ได้ศึกษาในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 386 ราย (ผู้ป่วยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 237 ราย และผู้ป่วยโรงพยาบาลสนาม 149 ราย) พบว่าผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม จำนวน 6 ราย ทุกรายไม่พบภาวะปอดอักเสบ ส่วนผู้ติดเชื้อหลังได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 31 ราย มี 4 รายที่มีภาวะปอดอักเสบ คิดเป็นร้อยละ 12.9 ซึ่งความชุกของการเกิดปอดอักเสบ ในกลุ่มนี้ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน รวมทั้งในเดือนพฤษภาคม 2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2564) จังหวัดภูเก็ตไม่พบผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว
ข้อมูลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มตามแผนการฉีดวัคซีน สามารถลดการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 83 และลดความรุนแรงกรณีที่มีการติดเชื้อได้ดี สำหรับผู้ที่ฉีดเข็มเดียวยังพบติดเชื้อมีอาการรุนแรงอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก จึงยังคงต้องระมัดระวังแม้จะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ทั้งการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล
******************************** 26 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตออกมาตรการขยายระยะเวลาปรับขึ้นอัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไป 1 ปี | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
สรรพสามิตออกมาตรการขยายระยะเวลาปรับขึ้นอัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไป 1 ปี
ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ รมว.คลังเสนอให้ออกมาตรการขยายระยะเวลาบังคับใช้อัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาลออกไป 1 ปี ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ในวันที่ 1 ต.ค.2564 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจากโควิด-19
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอให้ออกมาตรการขยายระยะเวลาบังคับใช้อัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาลออกไป 1 ปี ซึ่งปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่ากรมสรรพสามิตได้เริ่มจัดเก็บภาษีตามปริมาณน้ำตาลในสินค้าเครื่องดื่ม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีการปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลเพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด และปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งจะมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีทำให้เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำตาล 10 กรัม ถึง 14 กรัม เสียภาษีตามปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ส่งผลให้เครื่องดื่มปรับราคาสูงขึ้นร้อยละ 10 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยังไม่ดีขึ้นเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงมีมาตรการขยายเวลาบังคับใช้อัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไป 1 ปี นอกจากจะไม่ทำให้ผู้บริโภคมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากราคาเครื่องดื่มที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้วยังเป็นการช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกด้วย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42118 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มช่องทางลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 พร้อมปรับแผนกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ยึดจำนวนผู้ติดเชื้อ พื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มเสี่ยงจำเป็น | วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564
เพิ่มช่องทางลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 พร้อมปรับแผนกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ยึดจำนวนผู้ติดเชื้อ พื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มเสี่ยงจำเป็น
เพิ่มช่องทางลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 พร้อมปรับแผนกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ยึดจำนวนผู้ติดเชื้อ พื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มเสี่ยงจำเป็น
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.45 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพิ่มช่องทางลงทะเบียนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านแอพลิเคชันของแต่ละจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวก และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงประเด็นการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า ประชาชนสามารถลงทะเบียนรับวัคซีนผ่านโรงพยาบาล อสม. รวมทั้งผ่านแอพพลิเคชันของแต่ละจังหวัดได้ เช่น แอพลิเคชันที่เป็นระบบของกรุงเทพมหานคร นนทบุรี รวมทั้งที่ได้มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยขอให้ชะลอการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชัน “หมอพร้อม” ดังกล่าวออกไปก่อน โดยจะปรับ “หมอพร้อม” เน้นติดตามการฉีดวัคซีนและการออกใบรับรองเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยืนยันสำหรับ 2 กลุ่มที่ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และผู้ที่อยู่ในกลุ่ม7 โรคเสี่ยงนั้น จะได้รับวัคซีนในช่วงวัน เวลาที่เหมาะสมในลำดับต้นและสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนด้วย
นอกจากนี้โฆษก ศบค. ยังเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เลขา สมช. หารือเพิ่มเติมสำหรับแผนการแจกจ่ายวัคซีน จากเดิมที่จัดสรรวัคซีนตามจำนวนยอดจอง ปรับให้เป็นการแจกจ่ายวัคซีนตามสถานการณ์การระบาด โดยนำจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งอัตราการติดเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน รวมทั้งพื้นที่ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น แรงงาน กลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ และการเตรียมพร้อมสำหรับเปิดการศึกษาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ แผนการแจกจายวัคซีนจะเกณท์และปัจจัยพิจารณาที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ. ศบค. ติดตามข้อมูลและรับฟังข้อเสนอต่างๆ เพื่อนำมาปรับการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42113 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและครม. พร้อมแจงร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ 2565 ถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีและครม. พร้อมแจงร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ 2565 ถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรีและครม. พร้อมแจงร่างพ.ร.บ. งบประมาณฯ 2565 ถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมชี้แจ้งรายละเอียดถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 ในวาระที่ 1 ในช่วงวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2564 นี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับคณะรัฐมนตรีในการประชุมครม.ครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า การประชุมสภาฯในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการชี้แจงให้ ส.ส.ทราบถึงพรบ.งบประมาณฯในรายละเอียดแล้ว ยังถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อได้รับทราบถึงการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้ด้วย และย้ำให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเข้าร่วมประชุมสภาฯ เพื่อชี้แจงข้อสงสัยของ ส.ส. และสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบไปในคราวเดียวกัน
สำหรับวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 3.1 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน 2,360,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.15 ของวงเงินงบประมาณ สำหรับรายจ่ายลงทุนมีจำนวนทั้งสิ้น 624,399.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.14 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลที่มีจำนวน 7 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม การที่งบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ไม่เป็นปัญหาในการจัดงบประมาณในครั้งนี้แต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลสามารถเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่าย ซึ่งประกอบด้วย
1. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership: PPP) ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คาดว่าจะมีโครงการตามแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนในปี 2565 รวม 52,320.63 ล้านบาท
2. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประมาณการแผนการใช้จ่ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 9,983.98 ล้านบาท
3. การใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสิ้น 109 รายการ วงเงินรวม 91,705.5119 ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วว่าเป็นรายการลงทุนที่มีความพร้อมในการดำเนินการ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมและสามารถใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้
นอกจากนี้ หากจำแนกงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ที่มีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 23.67 ตามด้วยยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลย์และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีสัดส่วนร้อยละ 18.05 และด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ที่มีสัดส่วนร้อยละ 17.68
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเน้นว่า นายกรัฐมนตรีจะได้ใช้โอกาสนี้ ชี้แจ้งหลักการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญในการดำเนินนโยบายภายใต้แผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจากสถานการณ์โควิด - 19 (พ.ศ. 2564 – 2565) รวมทั้งแผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) โดยได้พิจารณาทั้งแหล่งเงิน ศักยภาพหน่วยงาน และได้ดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องครบถ้วนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42220 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ย้ำ เปิดตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ถึง 31 พ.ค.วันสุดท้าย | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ ย้ำ เปิดตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ถึง 31 พ.ค.วันสุดท้าย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำให้ผู้ประกันตน ประชาชนทั่วไปรีบไปตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง เปิดถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้เป็นวันสุดท้าย เพื่อเร่งปรับปรุงสถานที่เตรียมฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตนมาตรา 33
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนทั่วไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 และได้กำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี บูรณาการความร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. ดำเนินการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 17-30 เม.ย.64 และขยายระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 5-31 พ.ค.64 นั้น ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.64) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร จะเปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก เป็นวันสุดท้าย เนื่องจากจะให้เจ้าหน้าที่ได้ปรับปรุงสถานที่ดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยจะเริ่มดำเนินการฉีดในเดือนมิถุนายนนี้
“พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่สนามไทย – ญี่ปุ่น เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร จะเปิดให้บริการตรวจโควิด-19 เพื่อปรับปรุงสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน ผมจึงขอให้ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และพี่น้องประชาชนทั่วไปที่ต้องการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจได้ที่เว็บไซต์https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php โดยกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เมื่อตรวจเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ขอให้ท่านนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย ทั้งนี้ที่ผ่านมา ได้ตรวจไปแล้วเกือบ 90,000 คน กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี ”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการตรวจโควิด -19 หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 กด 6
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ลุยกาฬสินธุ์ เฝ้าระวังเข้มโรคลัมปี สกินในโค กระบือ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
“รมช.มนัญญา” ลุยกาฬสินธุ์ เฝ้าระวังเข้มโรคลัมปี สกินในโค กระบือ
“รมช.มนัญญา” ลุยกาฬสินธุ์ เฝ้าระวังเข้มโรคลัมปี สกินในโค กระบือ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยตรวจเยี่ยมและพบปะกลุ่มผู้เลี้ยงโคบ้านโนนสูง ต.โนนสูง อ.ยางลาด จ.กาฬสินธุ์ และกลุ่มผู้เลี้ยงโคบ้านหนองเม็ก ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ เพื่อรับฟังปัญหาและมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง และชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ตลอดจนให้กำลังใจกับเกษตรกร พร้อมด้วย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร เข้าร่วม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โรคลัมปี สกิน ในโค กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อย่างมาก ได้กำชับให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ตนในฐานะกำกับดูแลกรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับ จ.กาฬสินธุ์ เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงโคเนื้อเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจ มีเกษตรกรผูู้เลี้ยงโคเนื้อ จำนวน 88,771 ราย มีจำนวนโคเนื้อ 108,411 ตัว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2,700 ล้านบาท ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ในโค กระบือ ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ จึงได้มีประกาศ เรื่อง กำหนดเขตโรคระบาดชนิดโรคลัมปี สกิน ในสัตว์ชนิดโค กระบือ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 โดยกำหนดให้ทุกพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เป็นเขตโรคระบาด ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ชนิดโค กระบือ หรือซากสัตว์ดังกล่าว เว้นแต้จะได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานสถานการณ์โรคลัมปี สกิน ว่า ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ - 29 พฤษภาคม 2564 พบโค กระบือ ของเกษตรกรป่วยในพื้นที่ 18 อำเภอ เกษตรกรได้รับผลกระทบ จำนวน 5,586 ราย โคกระบือป่วยสงสัยโรคลัมปีสกิน จำนวน 9,994 ตัว แบ่งเป็น โคเนื้อ 9,978 ตัว โคนม 6 ตัว กระบือ 10 ตัว ในส่วนของสหกรณ์การเกษตรยางลาด จำกัด อ.ยางตลาด มีสมาชิก 2,100 คน จำนวนโคที่เลี้ยง 6,837 ตัว โคป่วย 710 ตัว และสหกรณ์การเกษตรฆ้องชัย จำกัด อ.ฆ้องชัย มีสมาชิก 2,215 คน จำนวนโคที่เลี้ยง 2,020 ตัว โคป่วย 765 ตัว ทั้งนี้ ปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์ได้แจ้งให้ปศุสัตว์อำเภอทุกอำเภอเข้มงวดการเฝ้าระวังและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคกรณีสงสัยโรคลัมปี สกิน ให้เจ้าหน้าลงพื้นที่ทำการรักษาและช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่อย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ รมช.เกษตรฯ ได้เน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือในด้านการสนับสนุนเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมกำจัดแมลงดูดเลือด การใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นในพื้นที่เกิดโรค น้ำยาฆ่าเชื้อ และยารักษาโรคสัตว์ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้กระจายไปสู่พื้นที่ที่ยังไม่เกิดโรค
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งหาแนวทางให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ของโรคดังกล่าวได้ อีกทั้ง ในวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นประธานในพิธีส่งมอบวัคซีนลอตแรก จำนวน 60,000 โด๊ส เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน พร้อมด้วยนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ด่านกักกันสัตว์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งปล่อยขบวนรถขนส่งวัคซีนลัมปี สกิน และทีมสัตวแพทย์ออกปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อไป
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำชับด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่าน ให้เข้มงวดโดยเฉพาะการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรในประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันไม่ทอดทิ้งเกษตรกร โดยมอบหมายให้หน่วยงานเร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มอบยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรค ในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มอบหมายให้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ กำจัดและป้องกันแมลงในพื้นที่ ทำความสะอาดคอกและอุปกรณ์ในการเลี้ยง ทั้งนี้ โรคดังกล่าวไม่สามารถติดต่อสู่คนได้ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดทางผิวหนัง เมื่อโค กระบือ หายแล้ว สามารถรับประทานได้” รมช.มนัญญา กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมอบวัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปี สกิน ล๊อตแรกจำนวน 60,000 โด๊ส | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
รับมอบวัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปี สกิน ล๊อตแรกจำนวน 60,000 โด๊ส
กระทรวงเกษตรฯ รับมอบวัคซีน LSDV ป้องกันโรคลัมปี สกิน ล๊อตแรกจำนวน 60,000 โด๊ส เตรียมกระจายไปปศุสัตว์จังหวัด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โค-กระบือทุกตัวในพื้นที่การระบาด จะได้รับการฉีดวัคซีนให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีส่งมอบวัคซีน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน พร้อมด้วยนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ด่านกักกันสัตว์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งปล่อยขบวนรถขนส่งวัคซีนลัมปี สกิล และทีมสัตวแพทย์ออกปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า จากสถานการณ์โรคลัมปี สกินซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ ได้เกิดการระบาดในพื้นที่หลายจังหวัด สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือเป็นอย่างมาก กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ในการควบคุมโรค โดยให้เข้มงวดเรื่องการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ตามแนวชายแดนทุกแห่ง นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือเกษตรกร โดยการพ่นยาฆ่าเชื้อ พ่นสารกำจัดแมลงให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบปัญหาและได้รับผลกระทบจากโรคลัมปีสกิน พร้อมทั้งเร่งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน จำนวน 60,000 โด๊ส และกระจายไปปศุสัตว์จังหวัด พร้อมเวชภัณฑ์ยาและหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือตามความต้องการของเกษตรกรต่อไป
“สำหรับวัคซีน LSDV ล๊อตแรกจำนวน 60,000 โดสที่ได้รับในวันนี้ จะนำไปฉีดให้กับโค-กระบือของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดเป็นหลักก่อน โดยต้องฉีดรอบจุดเกิดโรคเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคออกจากจุดเกิดโรคให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และดำเนินการโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ ยังได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 300,000 โดส เพื่อให้เพียงพอและสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศไทย ที่สำคัญต้องขอฝากเรียนถึงพี่น้องเกษตรกรทุกคนที่กำลังประสบความเดือดร้อนว่า การฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกินให้กับโค-กระบือนี้ เป็นมาตรการช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น โค-กระบือทุกตัวในพื้นที่การระบาด จะได้รับการฉีดให้ฟรี ดังนั้นหากพบการเรียกร้องค่าใช้จ่าย จะดำเนินการจัดการด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์ของโรคลัมปี สกิน อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันได้ข้อสรุปของโรคแล้ว จึงขอรับรองว่าโรคดังกล่าว สามารถรักษาหาย เนื้อทานได้ และไม่ติดต่อถึงคน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางมาตรการป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกินแล้ว ขอให้เกษตรกรอย่าวิตกกังวล ให้ติดตามข้อมูลจากเจ้าที่ปศุสัตว์เป็นหลัก โดยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะลงพื้นที่เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกรต่อไป
ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือเบื้องต้น หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคลัมปี สกิน สามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่ของท่าน หรือติดต่อสำนักควบคุมโรค ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ (สบค.) กรมปศุสัตว์ หรือสายด่วนแจ้งโรคระบาดกรมปศุสัตว์ โทร 063 - 225 - 6888 หรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 "แจ้งการเกิดโรคระบาด" ได้ตลอดเวลา และสามารถติดตามสถานการณ์การระบาดและศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคลัมปี สกิน ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักควบคุม ป้องกันแบะบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ www.sites.google.com/view/dldlsd/home.com
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้แจงข้อสงสัยกรณีหญิงสาวฉีดวัคซีนซิโนแวคเสียชีวิต เพราะทานยาคุมกำเนิด | วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
สธ. ชี้แจงข้อสงสัยกรณีหญิงสาวฉีดวัคซีนซิโนแวคเสียชีวิต เพราะทานยาคุมกำเนิด
สธ. ระบุกรณีข้อสงสัยหญิงสาวฉีดวัคซีนซิโนแวคเสียชีวิต เพราะทานยาคุมกำเนิดนั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอต่อคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเหตุการณ์การไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจังหวัดสงขลา เพื่อสรุปสาเหตุการเสียชีวิต
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีข้อสงสัยกรณีหญิงสาวฉีดวัคซีนซิโนแวคเสียชีวิตเพราะทานยาคุมกำเนิด โดยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้โรงพยาบาลและจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 จัดระบบบริการวัคซีนตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐาน มีการเฝ้าระวังสังเกตอาการหลังฉีด 30 นาที การติดตามอาการทางไลน์หมอพร้อมหลังฉีด 1 วัน, 7 วัน และ 30 วัน จากการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 3.5 ล้านโดส พบอาการไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปหลังการฉีดวัคซีน เช่น เจ็บ บวม มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ส่วนอาการแพ้วัคซีนรุนแรง พบน้อยมาก มักมีอาการในขณะที่พักสังเกตอาการ 30 นาที ได้รับการดูแลรักษาทันท่วงที ไม่มีผู้เสียชีวิต รวมทั้งจัดระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Adverse Events Following Immunization : AEFI) โดยมีคณะกรรมการ AEFI ระดับประเทศ และระดับจังหวัด มีแนวทางปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ กรณีที่พบเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการทุกกรณี
สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น ได้รับรายงานเบื้องต้นว่า ศูนย์ประสานงานฯ AEFI ของโรงพยาบาลหาดใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ประวัติการรักษา เพื่อเสนอต่อคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเหตุการณ์การไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจังหวัดสงขลา กำหนดประชุมร่วมกันในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 เพื่อสรุปสาเหตุการเสียชีวิต ตามระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Adverse Events Following Immunization : AEFI) ที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม จะต้องรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมตามแนวทางปฏิบัติการการเฝ้าระวัง AEFI กรณีที่มีผู้เสียชีวิต โดยประสานขออนุญาตครอบครัวทำการพิสูจน์ศพ หรือการตรวจศพ โดยการเอกซเรย์ และเก็บตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต รวมทั้งติดตามผู้รับวัคซีนในล็อตเดียวกัน โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยข้อสรุปจากคณะกรรมการ AEFI จังหวัด จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ AEFI ระดับประเทศ ที่ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจกับครอบครัว สังคม ต่อไป
สำหรับรายงานการสอบสวนโรคเบื้องต้น โดยทีมสอบสวนควบคุมโรคระบาดวิทยา รพ.หาดใหญ่ ผู้เสียชีวิตเป็นหญิง อายุ 32 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ หลังฉีดสังเกตอาการ 30 นาทีไม่มีอาการผิดปกติ ไลน์หมอพร้อมติดตามอาการวันที่ 1 มีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ วันที่ 7 หลังฉีด มีอาการปวดศีรษะ เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เช้าวันที่ 27 พ.ค. หมดสติ รถพยาบาลส่งห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ แพทย์ประเมินอาการแรกรับ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ได้ช่วยฟื้นคืนชีพ ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์วินิจฉัยมีภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการประชาสัมพันธ์การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนเป็นระยะ ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ และไลน์/ แอปพลิเคชันหมอพร้อม รวมทั้งก่อนรับการฉีดวัคซีน จะมีการตรวจร่างกายเบื้องต้น วัดไข้ วัดความดันโลหิต ซักประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร แพ้วัคซีน โรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำ โดยมีแพทย์เป็นผู้พิจารณาว่ามีความพร้อมรับการฉีดวัคซีนหรือไม่ หากพบว่ามีความเสี่ยงจะเลื่อนการฉีดออกไป เพื่อความปลอดภัยของผู้มารับวัคซีน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42232 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเกษตรจังหวัดปรับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลน้ำกับเกษตรกรในฤดูเพาะปลูกรวดเร็ว-ทั่วถึงลดความเสียหายพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
นายกฯ กำชับเกษตรจังหวัดปรับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลน้ำกับเกษตรกรในฤดูเพาะปลูกรวดเร็ว-ทั่วถึงลดความเสียหายพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด
นายกฯ กำชับเกษตรจังหวัดปรับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลน้ำกับเกษตรกรในฤดูเพาะปลูกรวดเร็ว-ทั่วถึงลดความเสียหายพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน พ.ค.เป็นต้นไป ถือว่าเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกข้าว และพืชพันธุ์ต่างๆของเกษตรกร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะปัญหาด้านน้ำ
โดยเฉพาะข้าวนาปีต้องอาศัยน้ำฝน แต่ปีนี้เกษตรกรต้องเผชิญกับฝนขาดช่วงในต้นฤดูกาล ทำให้บางพื้นที่ขาดแคลนน้ำในช่วงต้น โดยฝนเริ่มตกลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือน พ.ค. แต่หลายพื้นที่ยังขาดแคลนน้ำอยู่ จึงให้กรมชลประทาน เร่งให้การช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายของนาข้าวที่ได้มีการเพาะปลูกไปแล้ว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี กำชับให้สำนักงานเกษตรแต่ละจังหวัด ติดตามการพยากรณ์อากาศโดยกรมอุตุนิยมวิทยา และการรายงานสถานการณ์น้ำของสํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำ หากพื้นที่ใดยังไม่เหมาะต่อมาการเพาะปลูก ให้มีการประชาสัมพันธ์แก่เกษตรกรได้รับทราบอย่างทั่วถึง พร้อมมีการแจ้งถึงแนวทางการดูแลการเพาะปลูกอย่างเหมาะสม โดยช่วงเวลาของการเพาะปลูก ซึ่งต้องคำนึงฤดูน้ำหลากที่จะมาถึงด้วย
.
“พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่าที่ผ่านมา แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการประชาสัมพันธ์สื่อสารกับเกษตรกร แต่ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทำให้บางครั้งแม้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว แต่ก็ไม่มีการปฎิบัติตามข้อแนะนำ ส่งผลให้การเพาะปลูกได้รับความเสียหาย จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการ ในการปรับปรุงระบบประชาสัมพันธ์ ให้เข้าถึงเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วและมากที่สุด โดยนอกจากช่องทางการสื่อสารหลักที่มีอยู่แล้ว ควรพิจารณานำรูปแบบการสื่อสารระบบออนไลน์มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะถือเป็นรูปแบบการสื่อสารใหม่ ที่เข้าถึงประชาชนได้ง่ายและทั่วถึง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำให้แต่ละพื้นที่ปรับปฏิทินการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม ให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำตามมาตรการที่วางไว้ พร้อมการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอตลอดทั้งปีด้วย ควบคู่ไปกับการวางแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย พร้อมมีระบบการแจ้งเตือนประชาชนที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันความเสียหายท่ีจะเกิดขึ้นกับพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำนโยบายการพัฒนาข้าวรวมถึงพืชเศรษฐกิจต่างๆ ให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมให้ยึดหลักการการตลาดนำการเพาะปลูก ผลผลิตต้องไม่เกินความต้องการ โดยมีฐานข้อมูลวิเคราะห์ประเมินอุปสงค์อุปทานของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศควบคู่กันไป ซึ่งตัวเลขความต้องการสินค้าเกษตรจะเป็นข้อมูลสำคัญในวางแผนการการปลูก
ปัจจุบันหน่วยงานรัฐได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ พัฒนาต่อยอดอาชีพ เช่น การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการเพาะปลูกและการจำหน่าย เปลี่ยนจากเกษตรกรแบบดั้งเดิมให้เป็นสมาร์ท ฟาร์เมอร์ อยากให้มีการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเข้ามาใช้ข้อมูลเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้นด้วย
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42223 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยโรงพยาบาลบุษราคัมรักษาผู้ป่วยสีเหลืองหายกลับบ้านได้แล้ว 325 ราย | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
อนุทิน เผยโรงพยาบาลบุษราคัมรักษาผู้ป่วยสีเหลืองหายกลับบ้านได้แล้ว 325 ราย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 16 วัน โรงพยาบาลบุษราคัม รักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง 1,154 ราย รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 325 ราย ช่วยคลี่คลายการขาดแคลนเตียง เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการหนักในโรงพยาบาลในพื้นที่ ก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย 16 วัน โรงพยาบาลบุษราคัม รักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง 1,154 ราย รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 325 ราย ช่วยคลี่คลายการขาดแคลนเตียง เพื่อรักษาผู้ป่วยอาการหนักในโรงพยาบาลในพื้นที่ กทม.
วันนี้ (30 พฤษภาคม 2564) ที่โรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารอิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน โดยกล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัมให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะ และมีอัตราการครองเตียงมากกว่าร้อยละ 70 จากที่ได้ขยายพื้นที่ระยะที่ 2 ทำให้มีเตียงรวมทั้งสิ้น 2,159 เตียง ซึ่งตลอด 16 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 14 – 29 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 72 ราย มีผู้ป่วยสะสม 1,154 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 325 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 780 ราย โดยผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายโรงเรียนแพทย์ และกรมการแพทย์ แล้วจำนวน 49 ราย เป็นการช่วยคลี่คลายการขาดแคลนเตียง และช่วยให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตกทม. ดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนักได้อย่างเต็มที่
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทีมสุขภาพจิตเอ็มแคท (MCATT) ได้มีการเฝ้าระวังประเมินสุขภาพจิตในผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา เพื่อประเมินสถานการณ์ สภาพปัญหาผลกระทบทางจิตใจ นำไปวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสม โดยตั้งแต่วันที่ 14 – 29 พฤษภาคม 2564 พบผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล เนื่องจากต้องมีการปรับตัว และมีความเป็นห่วงบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะผู้ที่มีการติดเชื้อในครอบครัว บางรายต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความเครียด ทางทีมสุขภาพจิตจึงได้เฝ้าระวังและดูแลให้คำปรึกษา ส่วนผู้ป่วยที่มีประวัติจิตเวช 2 ราย ได้รับการดูแลจนแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ 1 ราย และส่งต่อรักษาตามอาการอีก 1 ราย
“การทำงานของบุคลากรที่โรงพยาบาลบุษราคัมหรือในโรงพยาบาลสนามทุกพื้นที่ เป็นการทำงานที่ไม่เหมือนกับงานประจำในโรงพยาบาล ขอขอบคุณและส่งกำลังใจให้ทุกๆ คน ขอให้ศึกษาเรียนรู้ระบบงานการประสานงาน และแบ่งปันข้อมูลความรู้ซึ่งกันและกัน ถือเป็นประสบการณ์สำคัญ สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสร้างประโยชน์ให้แก่การทำงานด้านการแพทย์และสาธารสุขต่อไปในอนาคตได้” นายอนุทิน กล่าว
***************************************** 30 พฤษภาคม 2564
********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ นำมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ นำมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่
ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ นำมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่
วันนี้ (30 พ.ค. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้มีมติในประชุมเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยที่ต้องประสานการปฏิบัติกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดพิจารณาดำเนินการนำมาตรการด้านการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในแคมป์คนงานก่อสร้างของกรุงเทพมหานคร อาทิ มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายของแรงงานข้ามเขตภายในจังหวัดที่กำหนด ให้มีการแจ้งล่วงหน้าไปยังปลายทางไม่น้อยกว่า 7 วัน การจัดทำบัญชีหรือทะเบียนแรงงานที่มีการเดินทางออกนอกพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการติดตามตัวและควบคุมโรค มาพัฒนารายละเอียดเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับจังหวัดอื่น ๆ นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42231 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" สั่งการยกระดับความปลอดภัยในการจัดส่ง บริการ Delivery กำชับ คคบ.ขับเคลื่อนช่วยเหลือผู้บริโภคเชิงรุก ช่วงโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
"อนุชา" สั่งการยกระดับความปลอดภัยในการจัดส่ง บริการ Delivery กำชับ คคบ.ขับเคลื่อนช่วยเหลือผู้บริโภคเชิงรุก ช่วงโควิด-19
"อนุชา" สั่งการยกระดับความปลอดภัยในการจัดส่ง บริการ Delivery กำชับ คคบ.ขับเคลื่อนช่วยเหลือผู้บริโภคเชิงรุก ช่วงโควิด-19
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุแบบ Delivery ว่า สคบ. ได้ทำปฏิญญาความร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจแล้วจำนวน 17 ราย เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการจัดส่งอาหารและพัสดุ โดยได้กำชับให้ สคบ. เร่งรณรงค์และสร้างการรับรู้ให้ผู้ประกอบการรวมถึงให้ผู้บริโภคร่วมปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด พร้อมเปิดรับข้อมูลประชาชนผ่านสายด่วน สคบ. 1166 และสายด่วนของรัฐบาล 1111
พร้อมกำชับให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขับเคลื่อนการดำเนินงานช่วยเหลือผู้บริโภคเชิงรุกในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งพบว่ามีผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายจากการละเลยและประมาทของผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ อย่างเช่น กรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ข้อมูลเรื่องระบบระบายอากาศของร้านอาหารที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย และไม่ป้องกันจนทำให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ทาง สคบ. ตรวจสอบแล้วพบว่ามีกฎหมาย ข้อกำหนดและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ และมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง อาทิ กรมโยธาธิการและผังเมือง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ซึ่งจะได้เตรียมเชิญหน่วยงานดังกล่าวมาหารือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อไป
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42224 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 93 เขตการเดินรถที่ 2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42226 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ปล่อยขบวนรถพ่นยาฆ่าเชื้อ รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.อำนาจเจริญ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
“รมช.มนัญญา” ปล่อยขบวนรถพ่นยาฆ่าเชื้อ รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.อำนาจเจริญ
“รมช.มนัญญา” ปล่อยขบวนรถพ่นยาฆ่าเชื้อ รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.อำนาจเจริญ
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิด“โครงการรณรงค์ป้องกันโรคลัมปี สกิน” (Lumpy Skin Disease) ณ ฟาร์มโค นายสนธยา โสระเวช หมู่ที่ 3 ต.นาป่าแซง อ.ทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ พร้อมด้วย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สหกรณ์จังหวัดอำนาจเจริญ ปศุสัตว์จังหวัดอำนาจเจริญ หัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปทุมราชวงศา สหกรณ์นิคมนาหว้าใหญ่ จำกัด เข้าร่วม ตลอดจนมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลงให้สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร พร้อมชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ก่อนปล่อยขบวนรถพ่นยาฆ่าเชื้อ สำนักงานปศุสัตว์จังหวีดอำนาจเจริญ ว่า โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันตั้งแต่เดือนธันวาคม2563 ตลอดจนออกมาตรการเข้มงวดในการเคลื่อนย้ายโค กระบือ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และยับยั้งโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อคลายความวิตกกังวลของพี่น้องเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้จัดให้มีการรณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
สำหรับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปทุมราชวงศา มีสมาชิก 153 ราย เลี้ยงโค จำนวน 730 ตัว โดยปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปทุมราชวงศา ได้รับอนุมัติเงินกู้จาก ธกส. จำนวน 10 ล้านบาท ตามโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เพื่อดำเนินการส่งเสริมการเลี้ยงโคอย่างครบวงจร ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงชำแหละโค แต่เนื่องจากมีการระบาดของโรคลัมปีสกินค่อนข้างมาก หากยังมีการระบาดต่อเนื่องจะกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือเป็นอย่างมาก การรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกินในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือได้ตระหนักและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกินในโค กระบือ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42230 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เร่งดันร่าง พ.ร.บ. พืชกระท่อมเข้า ครม. หลังกฤษฎีกาปรับเสร็จแล้วเพิ่มมาอีก 30 มาตรา ย้ำยังไม่ได้ปลดล็อกต้องประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเข้าใจ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
รมว.ยุติธรรม เร่งดันร่าง พ.ร.บ. พืชกระท่อมเข้า ครม. หลังกฤษฎีกาปรับเสร็จแล้วเพิ่มมาอีก 30 มาตรา ย้ำยังไม่ได้ปลดล็อกต้องประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเข้าใจ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งดันร่าง พ.ร.บ. พืชกระท่อมเข้า ครม. หลังกฤษฎีกาปรับเสร็จแล้วเพิ่มมาอีก 30 มาตรา เพิ่มรายละเอียดให้รัดกุมขึ้นขณะนี้อยู่ระหว่างสภาฯ ปรับแก้ เล็งสมัครนั่งประธาน กมธ. เพื่อให้ดำเนินงานทันตามกรอบเวลา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการร่าง พ.ร.บ. พืชกระท่อม ว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดทำร่างเสร็จแล้ว และได้ส่งมาให้กระทรวงยุติธรรม เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งในวันที่ 1 มิ.ย. ตนจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. หากพิจารณาเสร็จก็จะส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างฯ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้นั้น มีการเพิ่มมาตราจากที่เราส่งไป 19 มาตรา เป็น 49 มาตรา แต่ดูแล้วยังคงสาระสำคัญเดิมโดยเป็นการเพิ่มรายละเอียดต่างๆ ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขออนุญาตปลูก นำเข้าและส่งออกเชิงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ที่มีรายละเอียดในการขอใบอนุญาต บทลงโทษต่างๆหากมีการฝ่าฝืน แต่หากเป็นการปลูกและใช้ตามวิถีชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
เมื่อถามว่าการเพิ่มของคณะกรรมการกฤษฎีกาอีก 30 มาตราจะทำให้กระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ล่าช้าหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรามีเวลาในการจัดทำกฎหมายฉบับนี้ 90 วันตามที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2564 (กฎหมายปลดล็อกพืชกระท่อม) กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ที่ขั้นตอนในการพิจารณาของสภาฯ ว่าจะทำได้เร็วมากน้อยขนาดไหน และจะปรับแก้ในส่วนใดบ้าง ซึ่งตนจะขอสมัครเป็น ประธานกรรมาธิการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ด้วย เพื่อความรวดเร็วในการชี้แจงต่างๆ และเร่งผลักดันให้เสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนด
เมื่อถามว่าขณะนี้ดูเหมือนยังมีประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าพืชกระท่อมปลดล็อกแล้วหลังมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนต้องขอย้ำกับประชาชนอีกครั้งว่าตอนนี้พืชกระท่อมยังไม่ได้ปลดล็อกถูกกฎหมาย แม้ว่ากฎหมายจะประกาศในราชกิจจานุกเบกษาแล้ว เพราะการบังคับใช้จะเกิดขึ้นในอีก 90 วันหรือวันที่ 24 ส.ค. 2564 ขอให้ทุกคนอดใจรออีกนิดหนึ่งก่อน และเราต้องเร่งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับชาวบ้านด้วย เพื่อไม่ให้พวกเขาทำผิดกฎหมาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42219 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐ-ธปท-สมาคมธนาคาร จับมือเร่งช่วยSME เข้าถึงสภาพคล่องและโครงการพักทรัพย์พักหนี้ | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
รัฐ-ธปท-สมาคมธนาคาร จับมือเร่งช่วยSME เข้าถึงสภาพคล่องและโครงการพักทรัพย์พักหนี้
รัฐ-ธปท-สมาคมธนาคาร จับมือเร่งช่วยSME เข้าถึงสภาพคล่องและโครงการพักทรัพย์พักหนี้
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือพ.ร.ก.ซอฟต์โลน ฉบับใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 1)มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูวงเงิน 250,000 ล้านบาท โดยช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก เฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตลอดระยะเวลามาตรการ และ 2)มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิ์ซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง หรือมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ วงเงิน 100,000 ล้านบาท มีผลบังคับใช้ เมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมาแล้วนั้น ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทยตระหนักถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้ และได้มีการหารือกันไปแล้วเพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ให้รวดเร็ว เพียงพอ และถูกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มSME สำหรับยอดการให้ความช่วยเหลือจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ฯ ล่าสุด ธปท. รายงานว่า อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ 6พันกว่าราย โดย 63% กระจายไปยัง SMEs ขณะที่มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับโอน 910 ล้านบาท
ในส่วนของธนาคารรัฐ ได้มีการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอย่างหลากหลาย อาทิ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ ดอกเบี้ย 2% 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ยืมสูงสุด 7 ปี สินเชื่อรายเล็กครอบคลุมธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ทั้งทางตรงทางอ้อม ที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว ดอกเบี้ยปีแรก 0.10% แล้วปรับเพิ่มในปีต่อไป ชำระเงินต้นภายใน 3 ปี และยังมีสินเชื่อให้กับ Startup และผู้ประกอบการ Non-Bank ส่วนธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อธุรกิจ ดอกเบี้ย 2% 2 ปีแรก ค้ำประกันโดย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นต้น มากไปกว่านั้น ยังมีความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กับธนาคารรายใหญ่ 5 แห่ง ในการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการSMEในห่วงโซ่ค้าปลีก เพื่อให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ผ่าน digital factoring platform เบื้องต้น มีการอนุมัติสินเชื่อแก่ SMEs แล้วมากกว่า 1พันราย โดย 70% เป็นผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาก่อน
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า สำหรับมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ มีความคืบหน้าไปพอสมควร เนื่องจากเป็นมาตรการใหม่ ลูกหนี้จึงอยู่ในช่วงของการทำความเข้าใจในรายละเอียด กฎระเบียบ และวิธีการปฏิบัติ โดยกลุ่มที่ให้ความสนใจเข้าโครงการ อาทิ ธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และอสังหาฯให้เช่า กระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างๆคาดว่า จะมีผู้เข้าโครงการเพิ่มขึ้นอีกมากในเร็วๆนี้
“ทั้งนี้ ในภาพรวม รัฐบาลได้เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศ ครอบคลุมการส่งออก การลงทุนจากภาครัฐที่เน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนจากต่างประเทศ และการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการดูแลผู้ประกอบการSMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำร่วมกับ ธปท. พร้อมไปกับการรักษาระดับการจ้างงาน การช่วยเหลือนักศึกษาจบใหม่ให้มีงานทำ” รองโฆษกฯ กล่าว
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42218 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 (P4G) ครั้งที่ 2 เน้นย้ำการเจริญเติบโตที่เสริมสร้างความสมดุลกับธรรมชาติ และโมเดลเศรษฐกิจ BCG | วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564
นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 (P4G) ครั้งที่ 2 เน้นย้ำการเจริญเติบโตที่เสริมสร้างความสมดุลกับธรรมชาติ และโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นายกฯ เตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 (P4G) ครั้งที่ 2 เน้นย้ำการเจริญเติบโตที่เสริมสร้างความสมดุลกับธรรมชาติ และโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว และเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 ครั้งที่ 2 ( 2nd Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 Summit : 2nd P4G Summit) ซึ่งประเทศเกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพ ภายใต้หัวข้อหลัก “การฟื้นฟูสีเขียวอย่างครอบคลุมเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Inclusive Green Recovery towards Carbon Neutrality) ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 เวลา 20.00 น. เวลาประเทศไทย ผ่านระบบการประชุมทางไกล
กรอบหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี ค.ศ. 2030 เป็นกลุ่มความร่วมมือพหุภาคีที่ริเริ่มเมื่อปี 2560 ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 12 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เวียดนาม ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เอธิโอเปีย เคนยา และแอฟริกาใต้ องค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนเชิงนวัตกรรมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ด้วยการระดมทุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรอิสระด้านการพัฒนา และการเชื่อมโยงโครงการเพื่อการพัฒนาของประเทศสมาชิกกับความร่วมมือใน 5 สาขาหลัก ได้แก่ (1) อาหารและการเกษตร (2) น้ำสะอาด (3) พลังงานสะอาด (4) เมืองยั่งยืน และ (5) เศรษฐกิจหมุนเวียน
สำหรับประเด็นที่ไทยจะให้ความสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ 1) การฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กลับมาเข้มแข็ง สอดคล้องกับการขับเคลื่อน SDGs และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน 2) เน้นการเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่มีสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยนำเสนอการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) 3) ขับเคลื่อน
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนผ่านกลไกจตุภาคี คือ รัฐ-เอกชน-วิชาการ-ประชาชน และให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 4) สนับสนุนให้ทุกประเทศร่วมแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียวระหว่างกันผ่านช่องทางทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตสีเขียวอย่างแท้จริง ส่งเสริมความเท่าเทียมและการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
ทั้งนี้ เดิมทีเกาหลีใต้กำหนดจัดการประชุมระดับผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ในวันที่ 29-30 มิถุนายน 2563 ณ กรุงโซล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ตอบรับคำเชิญของนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 เกาหลีใต้จึงเลื่อนการจัดการประชุม P4G ครั้งที่ 2 มาเป็นระหว่างวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2564 ในรูปแบบการประชุมทางไกล และคาดว่าจะมีการรับรองร่างปฏิญญากรุงโซล (Seoul Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศที่ร่วมการประชุม P4G ครั้งที่ 2 นี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42227 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ คุมเข้มสกัดโควิด -19 สั่งทุกหน่วยในสังกัด WFH ถึงสิ้น 31 พ.ค.นี้ ย้ำพร้อมให้บริการ ปชช.ทุกช่องทาง | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ก.อุตฯ คุมเข้มสกัดโควิด -19 สั่งทุกหน่วยในสังกัด WFH ถึงสิ้น 31 พ.ค.นี้ ย้ำพร้อมให้บริการ ปชช.ทุกช่องทาง
กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบรับมาตรการรัฐควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) เต็มพิกัด (90%) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคมนี้
กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบรับมาตรการรัฐควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) เต็มพิกัด (90%) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคมนี้ ลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของเชื้อ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกพื้นที่ มั่นใจยังสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ!
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ได้ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาดำเนินการ Work from Home มาตรการขั้นสูงสุดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อลดการรวมกลุ่มของบุคคล อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะลดการแพร่เชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรม นั้น
กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ขอให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกแห่ง ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดส่วนกลางปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) เต็มพิกัด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของสัดส่วนจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้มาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานที่ตั้งส่วนกลาง รวมทั้งให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคน สามารถเหลื่อมเวลาปฏิบัติงานได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของโรคโควิด -19 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1–31 พฤษภาคม 2564 "เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงฯได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายลง พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตัวตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาหากจำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติงานในสถานที่ราชการ พร้อมจัดตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคนก่อนเข้าอาคาร โดยขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด”ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินงานจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอพพลิเคชั่นไลน์ หรืออีเมล์ มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดหรือเกิดปัญหากับการให้บริการประชาชนได้ ทั้งนี้ หากประชาชนที่ต้องการจะติดต่อสอบถามกับทางกระทรวงฯ หรือหน่วยงานอื่นๆ ในสังกัด สามารถติดต่อได้ทางช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้ ดังนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41386 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำรัฐบาลไม่ปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีน ยืนยันรัฐบาลร่วมมือเอกชนฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามแผนที่กำหนด 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
โฆษกรัฐบาลย้ำรัฐบาลไม่ปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีน ยืนยันรัฐบาลร่วมมือเอกชนฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามแผนที่กำหนด 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลไม่ปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีน ยืนยันรัฐบาลร่วมมือเอกชนฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามแผนที่กำหนด 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้
วันนี้ (30 เม.ย.64) เวลา 09.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ภายหลังประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 64 ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของการจัดหาวัคซีน ยืนยันรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นเอกชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมแต่อย่างใด ซึ่งจากการที่ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกในเรื่องดังกล่าวนั้น เอกชนได้ชี้แจงถึงการจัดหาวัคซีนว่าได้มีการติดต่อกับผู้ผลิตในต่างประเทศไปแล้ว แต่การส่งมอบอาจจะมีความล้าช้า โดยผู้ผลิตแต่ละที่แจ้งว่าจะสามารถส่งมอบได้ในไตรมาสที่ 4 หรือปลายปี ทั้งนี้ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศ โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย เห็นว่ากรณีที่จะสามารถส่งมอบวัคซีนได้ปลายปี 2564 อาจจะทำให้ทับซ้อนกับในส่วนของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาได้ ดังนั้นจึงให้รัฐบาลเป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ตามแผนที่กำหนดไว้ คือ ภายในสิ้นปีนี้จะมีวัคซีนเข้ามา 100 ล้านโดส
อย่างไรก็ตาม สมาคมโรงพยาบาลเอกชนได้ออกมาชี้แจงว่า วัคซีนต่าง ๆ ที่ภาคธุรกิจเอกชนจัดหาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโรงพยาบาลเอกชน โดยในส่วนของโรงพยาลเอกชนยังคงดำเนินการตามกลไกของคณะกรรมการพิจารณาจัดหาวัคซีนที่มี นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานอยู่ ซึ่งเป็นการจัดหาวัคซีนอีกทางเลือกหนึ่ง จึงยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นเรื่องวัคซีน หากภาคเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนมาได้ทันตามห้วงเวลาที่กำหนดก็สามารถที่จะดำเนินการได้
สำหรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนนั้น ประชาชนสามารถลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนได้ผ่านแอปพลิเคชัน "หมอพร้อม V.2" โดยรัฐบาลมีการวางแผนการฉีดวัคซีน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 คือฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีประมาณ จำนวน 3 ล้านคน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบันได้มีการฉีดวัคซีนให้บุคลากรกลุ่มดังกล่าวครอบคลุมไปแล้ว 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้วัคซีนที่เข้ามาสามารถฉีดไปแล้วประมาณ 1,200,000 โดส เป็นผู้ที่รับวัคซีนเข้มแรกประมาณ 1 ล้านคน และรับวัคซีนเข้มที่ 2 ประมาณ 2 แสนคน โดยมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกประมาณ 5 แสนโดส ซึ่งจะดำเนินการฉีดอย่างต่อเนื่องให้ครบตามเป้าหมาย
ระยะที่ 2 คือ ฉีดให้กับประชาชน ประมาณ 16 ล้านคน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 11,700,000 คน กลุ่มที่ 2 ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ประมาณจำนวน 4,300,000 คน ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด ไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรงมะเร็ง โรงเบาหวาน และโรคอ้วน โดยกลุ่มดังกล่าวต้องการให้ลงทะเบียนก่อนบุคคลทั่วไปเพื่อที่จะได้รับวัคซีนก่อน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้กลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัวสามารถลงเบียนจองคิวฉีดวัคซีนได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน "หมอพร้อม V.2" เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป หรือหากไม่มีสมาทร์โฟนก็สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษาอยู่ หรือกรณีต่างจังหวัดสามารถไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือติดต่อ อสม. ในพื้นที่ได้ โดยกลุ่มประชาชนจำนวน 16 ล้านคน จะเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป และคาดว่าจะสามารถฉีดให้ได้ครบทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564
ระยะที่ 3 คือ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี - 59 ปี ประมาณ 31 ล้านคน โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชัน "หมอพร้อมV.2" ได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป และเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าดังนั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 จึงขอให้กลุ่มประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว 7 โรคดังกล่าว ได้ลงทะเบียนฉีดก่อน เพื่อให้กลุ่ม ดังกล่าวสามารถที่จะลงทะเบียนได้อย่างสะดวก และให้ประชาชนกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี – 59 ปี ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "หมอพร้อมV.2" ได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 เพื่อที่จะฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
ในส่วนข้อกังวลสำหรับติดเชื้อและยังไม่สามารถรักษา หรือหาเตียงได้นั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ารัฐบาลได้พยายามที่จะดำเนินการเพิ่มเติม โดยจะมีการเปิดศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยบริหารจัดการสำหรับผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งยังตกค้างอยู่ที่บ้านและยังไม่สามารถหาเตียงในสถานพยาบาลได้ เบื้องต้นจะมีการตรวจคัดกรองเพื่อแยกระดับอาการของโรค แบ่งตามสี ได้แก่ สีเขียว สีเหลือง และสีแดง ก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามอาการต่อไป ซึ่งจะสามารถลดปัญหาผู้ป่วยที่ติดค้าอยู่ที่บ้านได้
ทั้งนี้ หลังจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายแล้ว สถานที่ต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ หรือศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว จะมีการเปลี่ยนให้เป็นสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สะดวกในการลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เป็นต้น
สำหรับการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมในส่วนของเอกชน ได้มีการประชุมหารือกันโดยภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะมีส่วนในการกระจายวัคซีนและฉีดวัคซีน เมื่อวัคซีนได้เข้ามาครบตามจำนวนการส่งมอบ ซึ่งภาคเอกชนจะช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ในส่วนของการลงทะเบียน และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41364 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
“เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย
ผลงานชิ้นโบว์แดงกระทรวงเกษตร “เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย ดีเดย์ 29 เมษายน 2564 “อลงกรณ์” ขอบคุณจีนเปิดด่านตงชิงทันฤดูผลไม้ มั่นใจยอดส่งออกปีนี้ทะลุแสนล้านหลังใช้ด่านใหม่ควบ “โมฮ่าน-โหยวอี้กวน-ผิงเสียง”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (30 เม.ย.) ว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศตลาดจีนถือเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลไม้ของไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงที่ผลไม้ของไทยมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก พร้อมๆ กับผลไม้เวียดนามและมักจะพบกับปัญหาการจราจรบริเวณด่านโหย่วอี้กวซึ่งอยู่พรมแดนจีน-เวียดนามแออัดถึงขั้นวิกฤต มีรถติดสะสมยาวหลายกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่สุกก่อนถึงมือผู้บริโภค กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เร่งติดตามงานเจรจากับกระทรวงศุลกากรแห่งชาติของจีน (GACC) ซึ่งในช่วงที่ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ได้มีการเจรจาและทำความตกลงกับกระทรวงศุลกากรจีน (GACC) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้บรรจุด่านตงซิงเข้าไปในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดและผลักดันให้ด่านตงซิงสามารถนำเข้าผลไม้จากไทยได้โดยเร็วอย่างต่อเนื่อง และมอบหมายให้ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศให้ด่านตงซิงเป็นด่านนำเข้าผลไม้ และฝ่ายเกษตรฯ ได้รับแจ้งจากศุลกากรหนานหนิงซึ่งดูแลด่านตงซิง ว่า ผลไม้ของไทยจะนำเข้ามาทางด่านตงซิง (สะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนแห่งที่ ๒) ได้ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ด่านตงซิงตั้งอยู่ที่อำเภอตงซิง เมืองฝางเฉิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อยู่ห่างจากด่านหมงก๋าย จังหวัดกว่างนินห์ ของเวียดนาม เพียง 100 เมตร และได้รับอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทางบกเป็นแห่งที่ 3 ของเขตฯ กว่างซีจ้วง ต่อจากด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งด่านตงซิงสามารถรองรับรถบรรทุกสินค้าเข้าออกได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คันต่อวัน จึงเป็นด่านทางบกที่มีศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทย นอกเหนือจากด่านโมฮ่าน มณฑลยูนนาน และด่านโหย่วอี้กวน กับด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้ มั่นใจว่าการส่งออกผ่านช่องทางด่านใหม่จะเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยได้มากกว่าปี 2563 ผสานกับกลยุทธ์การขายบนแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์ (pre order) ที่เปิดตัวสำเร็จอย่างดียิ่งเมื่อ 27 เมษายนที่ผ่านมา ต้องขอบคุณรัฐบาลจีนโดยกระทรวง GACC ที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ เป็นอย่างดียิ่ง
“ด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้” นายอลงกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร พบว่า การส่งออกผลไม้ไทยไปจีน เมื่อปี 2563 มีปริมาณ 1,623,523 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 102,716.72 ล้านบาท โดยผลไม้ไทยที่มีปริมาณส่งออกไปจีนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าวอ่อน และขนุน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41375 |
รัฐบาลไทย-ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 22 โดยเคร่งครัด | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 22 โดยเคร่งครัด
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 22 โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างความรับรู้กับผู้ประกอบการและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
วันนี้ (30 เม.ย.64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 22) ลงวันที่ 29 เม.ย. 64 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 64 เป็นต้นไป ซึ่งมีข้อกำหนดและข้อปฏิบัติ คือ 1) การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่โรคเมื่ออยู่นอกเคหสถานอยู่ในที่สาธารณะ 2) การกำหนดพื้นที่สถานการณ์ 3) การจัดกิจกรรมรวมกลุ่มสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 4) มาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 5) มาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุม และ 6) การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 22) โดยเคร่งครัด พร้อมสร้างการรับรู้ข้อกำหนดฯ ฉบับดังกล่าว แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ และกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้มีมติให้ออกประกาศหรือคำสั่ง ให้ส่งประกาศและคำสั่งมายัง ศบค.มท. ทราบโดยเร็ว เพื่อรายงานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมทั้งประชาสัมพันธ์ประกาศและคำสั่งให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41360 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยเปิดบริการ PromptPay Inter โอนไปสิงคโปร์เรทดีกว่าใคร | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
กรุงไทยเปิดบริการ PromptPay Inter โอนไปสิงคโปร์เรทดีกว่าใคร
ธ.กรุงไทยเปิดบริการโอนเงินระหว่างประเทศ PromptPay International ภายใต้ความร่วมมือกับ ธปท.และธนาคารกลางสิงคโปร์ ยกระดับบริการโอนเงินแบบเรียลไทม์ให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ทำรายการด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Krungthai NEXT
ธนาคารกรุงไทยเปิดบริการโอนเงินระหว่างประเทศ “PromptPay International” ภายใต้ความร่วมมือกับธปท.และธนาคารกลางสิงคโปร์ ยกระดับบริการโอนเงินแบบเรียลไทม์ให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ทำรายการด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน Krungthai NEXT ตัดบัญชีเงินโอนผ่าน Inter Wallet รับเรทพิเศษที่เดียว ค่าธรรมเนียมเพียง 75 บาท
ธนาคารกรุงไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ PromptPay-PayNow ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางสิงคโปร์ ในการเชื่อมต่อระบบ PromptPay ประเทศไทยและ Paynow ของประเทศสิงคโปร์ โดยเชื่อมต่อบริการโอนเงินระหว่างไทยและสิงคโปร์ ด้วยระบบพร้อมเพย์ผ่านหมายเลขโทรศัพท์มือถือแห่งแรกของโลก ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารได้เปิดตัวบริการโอนเงินระหว่างประเทศ “PromptPay International” ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ทำให้การโอนเงินไปปลายทางสิงคโปร์เป็นเรื่องง่าย ทำรายการด้วยตนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยปลายทางต้องมีหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่ลงทะเบียน Paynow กับธนาคารดีบีเอส ธนาคารยูโอบี และธนาคารโอซีบีซีในประเทศสิงคโปร์ กำหนดวงเงินโอนได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อวัน หรือ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ นับเป็นทางเลือกใหม่ในการโอนเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รับเงินโอนแบบเรียลไทม์ สามารถตรวจสอบรายการย้อนหลังได้ตลอดเวลา โดยธนาคารมีแผนจะขยายบริการ PromptPay International กับประเทศอื่นในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ กรุงไทยเป็นธนาคารเดียวที่สามารถเลือกตัดบัญชีเงินโอนที่ครอบคลุมทั้งบัญชีออมทรัพย์ บัญชีกระแสรายวัน บัญชีเงินตราต่างประเทศ และ Inter Wallet สกุล SGD หรือ บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สกุลต่างประเทศ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด พิเศษลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือเพียง 75 บาทต่อครั้ง จากปกติ 150 บาทต่อครั้ง วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.krungthai.com หรือ Krungthai Call Center โทร. 02-111-1111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41347 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 23 - 29 เมษายน 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 364 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.45 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 23 – 29 เมษายน 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 364 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.45 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 206 คดี ค่าปรับ 3.26 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 65 คดี ค่าปรับ 1.30 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 5 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 38 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 4 คดี ค่าปรับ 0.10 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 0.76 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 19 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,289,925.685 ลิตร ยาสูบ จำนวน 205,109 ซอง ไพ่ จำนวน 24 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 21,811.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 1,755 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 61 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 29 เมษายน 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 16,651 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 297.93 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 9,520 คดี ค่าปรับ 84.15 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,738 คดี ค่าปรับ 105.51 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 357 คดี ค่าปรับ 5.60 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 762 คดี ค่าปรับ 45.27 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 75 คดี ค่าปรับ 2.80 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 826 คดี ค่าปรับ จำนวน 24.02 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 373 คดี ค่าปรับ 30.58 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,603,630.249 ลิตร ยาสูบ จำนวน 527,594 ซอง ไพ่ จำนวน 29,494 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,351,049.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 103,432 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,553 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41353 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เดินหน้าหารือ ระเบียบบริหาร และกรอบแนวทางปฏิบัติงานฯ ของสำนักงานฯ สกมช. ผ่าน กบส. | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ดีอีเอส เดินหน้าหารือ ระเบียบบริหาร และกรอบแนวทางปฏิบัติงานฯ ของสำนักงานฯ สกมช. ผ่าน กบส.
ดีอีเอส เดินหน้าหารือ ระเบียบบริหาร และกรอบแนวทางปฏิบัติงานฯ ของสำนักงานฯ สกมช. ผ่าน กบส.
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กบส.) ครั้งที่ ๒-๒๕๖๔ (ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์) ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยทีประชุมพิจารณาวาระสำคัญ ได้แก่ การพิจารณาทบทวนมติคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เรื่อง สถานที่ตั้งสำนักงาน ,(ร่าง) ประกาศคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เรื่อง โครงสร้างบัญชีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. ... (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการของรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ว่าด้วยวันเวลาปฏิบัติงาน การปฏิบัติงานล่วงเวลา เวลาพัก และวันหยุดพนักงาน พ.ศ. .... และ (ร่าง) ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการของรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ว่าด้วยสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับพนักงาน พ.ศ. ....นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของ สกมช. อาทิ รายงานเหตุการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ ผลการดำเนินงานรายไตรมาส (ไตรมาสที่ ๒) (มกราคม - มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้น
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41379 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งปรับปรุงกฎหมายลำดับรอง พรบ. คอมฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในปัจจุบัน | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ดีอีเอส เร่งปรับปรุงกฎหมายลำดับรอง พรบ. คอมฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ดีอีเอส เร่งปรับปรุงกฎหมายลำดับรอง พรบ. คอมฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานปรับปรุงกฎหมายลำดับรอง พรบ. คอมฯ (ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์) ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับการประชุมคณะทำงานปรับปรุงกฎหมายลำดับรอง พ.ร.บ.คอมฯ จัดขึ้นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมให้กฎหมายลำดับรองให้มีความเหมาะสม กับสภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญด้าน พ.ร.บ.คอมฯ ผู้แทนหน่วยงาน BOI สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาดิจิทัลฯ และ กสทช. ทั้งนี้ เป็นการประชุมพิจารณาปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ อาทิ ผู้ให้บริการคราวน์ ดิจิทัล และแพลตฟอร์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากลและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41378 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยเปิดศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตรวันแรก ส่งต่อผู้ติดเชื้อโควิดตกค้างแล้ว 20 ราย | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
“อนุทิน” เผยเปิดศูนย์แรกรับ-ส่งต่อนิมิบุตรวันแรก ส่งต่อผู้ติดเชื้อโควิดตกค้างแล้ว 20 ราย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเปิดศูนย์แรกรับและส่งต่อ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ วันแรกมีผู้ติดเชื้อโควิดตกค้างติดต่อเข้ามาแล้ว 20 ราย คัดกรองและประสานหาเตียงส่งไปรักษาได้ทั้งหมด ยันระบบมีความพร้อมและปลอดภัย
วันนี้ (30 เมษายน 2564) ที่อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมศูนย์แรกรับและส่งต่อ กระทรวงสาธารณสุข (Pre-Admission Center MOPH) หลังเริ่มให้บริการวันแรก โดยนายอนุทิน กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานวันแรกพบว่าศูนย์แรกรับและส่งต่อมีความพร้อมที่จะรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ยังตกค้างอยู่ที่บ้าน เพื่อประสานนำส่งต่อเข้าสู่การรักษาที่เหมาะสมกับระดับอาการของผู้ติดเชื้อ โดยเมื่อรับทราบข้อมูลผู้ติดเชื้อแล้วจะเร่งประสานจัดหาเตียง เมื่อได้เตียงแล้วจะส่งต่อไปรักษาทันที ทำให้เตียงภายในศูนย์แรกรับมีการหมุนเวียนตลอด ไม่มีผู้ติดเชื้อตกค้างอยู่ที่ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นเวลานาน ซึ่งคาดว่าประมาณ 1 สัปดาห์จะช่วยผู้ติดเชื้อตกค้างเข้าสู่ระบบได้
“ขณะนี้ได้จัดเตรียมระบบต่างๆ เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการติดตั้งเตียงสำหรับผู้ป่วยพร้อมอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัว มีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลการจัดระบบระบายอากาศ การกำจัดขยะของเสีย และการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐาน โดยได้จัดแบ่งพื้นที่การใช้งานอย่างเหมาะสมกับผู้ติดเชื้อและบุคลากรเพื่อความปลอดภัย”นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เวลา 14.00 น. วันที่ 30 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อติดต่อเข้ามายังศูนย์แรกรับและส่งต่อแล้ว จำนวน 20 ราย เป็นการโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ 02-079-1000 จำนวน 18 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 8 ราย สีเหลือง 9 ราย และสีแดง 1 ราย ได้ตรวจคัดกรองเบื้องต้นพร้อมประสานส่งต่อหาเตียงเข้ารับการรักษาได้ทั้งหมด และเป็นการเดินทาง เข้ามาเองจำนวน 2 ราย ได้ส่งต่อไปรักษาแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ ขอย้ำว่าศูนย์แห่งนี้รับเฉพาะผู้ติดเชื้อตกค้าง ไม่ได้เป็นจุดรับการตรวจหาเชื้อแต่อย่างใด
************************************ 30 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41380 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ย้ำมาตรการ ส่งออกแรงงานช่วงโควิด เน้นความปลอดภัยแรงงานเป็นอันดับแรก | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
กระทรวงแรงงาน ย้ำมาตรการ ส่งออกแรงงานช่วงโควิด เน้นความปลอดภัยแรงงานเป็นอันดับแรก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับข้อสั่งการนายกฯให้ความสำคัญการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศในช่วงโควิด 19 นี้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของแรงงานเป็นอันดับแรก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสรับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนำกลับมาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 แรงงานไทยในต่างประเทศถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถนำเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก นับจากเดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว จำนวน 17,480 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นเงินจำนวน 79,449 ล้านบาท
นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงแรงงาน อยู่ระหว่างหาแนวทางเพิ่มการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ คาดว่าจะมีการปรับปรุง กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดส่งแรงงานไทย เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งอาจมีการเจรจาเพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการจัดส่งแรงงานฯด้วย สำหรับผู้สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสาร ประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
“อย่างไรก็ดี นอกจากให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยฯแล้ว ในช่วงโควิด 19 นี้ ท่านนายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของแรงงานเป็นอันดับแรก โดยกระทรวงแรงงานได้กำหนดให้ แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ได้รับหนังสือแจ้งสถานการณ์ในประเทศที่กำลังเดินทางไป รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ด้วย และการเดินทางในทุกประเทศและทุกวิธีการเดินทางในช่วงสถานการณ์นี้ ต้องลงนามในหนังสือรับทราบและยินยอมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และจัดทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกจากนี้กระทรวงแรงงานยังมีกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศซึ่งมีค่าสมัครเป็นสมาชิกเพียง 300-500 บาทต่อคน เพื่อมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือหากประสบปัญหาในต่างประเทศ โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาได้ให้การสงเคราะห์สมาชิกกองทุนฯแล้ว จำนวน 13,895,785 บาท เป็นกรณีรับผลกระทบจากโควิด 19 ถึง 599 ราย มูลค่า 8,845,000 บาท “ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจในการส่งเสริม และกำกับดูแลให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย
“นอกจากนี้ผู้เดินทางตาม 5 วิธีดังกล่าว ยังได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนการเดินทาง อาทิ การชี้แจงรายละเอียดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย การอบรมเรื่องภาษา วัฒนธรรม การปฏิบัติตัว ช่องทางติดต่อหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่แรงงานไทย และกฎหมายว่าด้วยการจ้างแรงงานต่างชาติของประเทศนั้นๆ ซึ่งล่าสุด กรมการจัดหางานได้ปรับขั้นตอนการเตรียมความพร้อมแก่แรงงาน ตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนขึ้นอาคาร และก่อนเข้าห้องอบรม การลดระยะเวลาเข้าอบรม ตลอดจนจำกัดจำนวนผู้เข้าอบรมให้เหมาะสมกับขนาดห้องอบรม โดยใช้วิธีเพิ่มรอบการอบรมแทนเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม นอกจากนี้ยังมีการพักห้องอบรมเพื่อทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส ก่อนเข้าอบรมในรอบต่อไป “นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41387 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป
รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยปัญหาหนี้ทั้ง กยศ. และปัญหาหนี้สินครู และมอบหมายให้หน่วยงานเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ดังนั้น รัฐบาลโดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงได้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินและทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564 พร้อมขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ จะชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปี 2564 ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการเปิดตัว “กยศ. Connect” เพื่อเป็นช่องทางดิจิทัลสำหรับการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป มียอดดาวน์โหลด (ณ 28เม.ย.64) ถึง 2,580,553 ราย โดยเงื่อนไขการกู้ยืมยังเป็น 4 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 นักเรียน/นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษา ที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี เพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยเปิดให้กู้ในระดับปริญญาโทด้วยซึ่งเป็นตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องเห็นเด็กไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาทุกคน
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41372 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 พ.ค. นี้ ยกระดับมาตรการ "พื้นที่สีแดงเข้ม" ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
1 พ.ค. นี้ ยกระดับมาตรการ "พื้นที่สีแดงเข้ม" ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
...
6 จังหวัด กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ
.
มาตรการ
- ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มมากกว่า 20 คน
- ร้านอาหารให้ซื้อกลับเท่านั้น และเปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม
- สถานที่ออกกำลังกายในร่ม ให้ปิด กลางแจ้ง เปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม
- ห้าง ศูนย์การค้า เปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม โซนเครื่องเล่น สวนสนุก ปิด
- ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัดกลางคืน เปิดไม่เกิน 5 ทุ่ม
- ร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชม. ให้เปิด ตี 4 - 5 ทุ่ม
- งดเดินทางออกนอกพื้นที่
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41349 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งเป้า 100 ล้านโดส ในปี 64 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
เปิดแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งเป้า 100 ล้านโดส ในปี 64
...
ย้ำกันชัด ๆ ถึงแผนการฉัดวัคซีนโควิด-19 สำหรับประชาชน...รัฐตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมคนไทย จำนวน 50 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 70% ของจำนวนประชากร ให้สำเร็จภายในปี 2564
.
ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดหาวัคซีนแล้ว 63 ล้านโดส และกำลังเร่งจัดหาเพิ่มอีก 37 ล้านโดส เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย
.
โดยไทยจะได้รับวัคซีนล็อตใหญ่ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้กว่า 5 แสน – 1 ล้านโดส/วัน
.
นอกจากนี้ ได้มีการเตรียมจุดให้บริการฉีดวัคซีน ทั้งในและนอก รพ. เช่น สนามกีฬา มหาวิทยาลัย ศูนย์การประชุม ฯลฯ รวมกว่า 1,000 แห่ง ทั่วประเทศ เรียบร้อยแล้ว
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดตัว COXY-AMP ชุดตรวจโควิดเชิงรุก
1 พ.ค. นี้ ยกระดับมาตรการ "พื้นที่สีแดงเข้ม" ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
สำเร็จ! กทม. เคลียร์ผู้ป่วยตกค้างเป็นศูนย์ พร้อมนำส่งผู้ป่วยแบบเรียลไทม์
เคาะเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 เป็นวันที่ 1 มิ.ย. 64
เปิดตัว 4 ทีม รัฐ – เอกชน ผนึกกำลังกระจายวัคซีนโควิด 100 ล้านโดส ในปี 64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41367 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลชี้แจง การประกาศกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
โฆษกรัฐบาลชี้แจง การประกาศกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3)
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการประกาศกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3)
วันนี้ (30 เม.ย.64) เวลา 09.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) เพื่อโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมาย จำนวน 31 ฉบับ โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว นั้น บัดนี้ ได้มีประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ตามประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้ส่วนราชการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว ดำเนินการ โดยการโอนอำนาจหน้าหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านั้น มิได้มีการโอนอำนาจหน้าที่ในส่วนของคณะกรรมการตามกฎหมายมาเป็นของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาตามกฎหมายพระราชบัญญัติทั้ง 31 ฉบับ ยังสามารถดำเนินการประชุม หรือทำงานต่อไปได้ตามปกติ โดยให้รัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชา หรือเป็นประธานคณะกรรมการตามกฎหมายในลักษณะเช่นเดิม คงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามปกติ เว้นแต่มีกรณีใดที่คณะกรรมการชุดใดที่นายกรัฐมนตรีอาจจะมีการเข้าดำเนินการ หรือมีการเข้าประชุมร่วม หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ในส่วนที่เพิ่มเติมคือ ให้หน่วยงานตามกฎหมายดังกล่าว รายงานปัญหา อุปสรรค และวิธีแก้ไขปัญหาเสนอนายกรัฐมนตรี หรือ ศบค. ทราบทุกครั้งที่มีกรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือประชาชนควรทราบเฉพาะในดังต่อไปนี้ 1. หน้ากากอนามัย 2. เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคโควิด-19 3. ยา เช่น ฟาวิพิราเวียร์ 4. การยื่นเรื่องขออนุญาต การขอขึ้นทะเบียน การนำเข้า การจัดหา การประสานหรือติดต่อกับต่างประเทศ และการจัดสรรวัคซีนที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 5. ออกซิเจนที่ใช้ทางการแพทย์ 6. เตียงผู้ป่วยหนักในสถานพยาบาล การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 7. การรับแจ้งเหตุเกี่ยวกับผู้ป่วย การอำนวยความสะดวกและการขนย้ายลำเลียงผู้ป่วย 8. การควบคุมเส้นทางคมนาคม ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41365 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวเปิดด่านตงซิงนำเข้าผลไม้ไทย | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ เจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวเปิดด่านตงซิงนำเข้าผลไม้ไทย
กระทรวงเกษตรฯ เจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวเปิดด่านตงซิงนำเข้าผลไม้ไทย
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าในช่วงนี้ถือเป็นฤดูกาลที่ผลไม้ของไทยมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากโดยตลาดจีนถือเป็นตลาดที่สำคัญของไทยที่ผ่านมาการส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศจีนผ่านเส้นทางบกมักจะพบกับปัญหาการจราจรบริเวณด่านโหย่วอี้กวนแออัดถึงขั้นวิกฤตมีรถติดสะสมยาวหลายกิโลเมตรส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนที่สุกก่อนถึงมือผู้บริโภคกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมวิชาการเกษตรสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ได้เจรจากับกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน(GACC)อย่างต่อเนื่องและในช่วงที่ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน2562ได้มีการเจรจาและทำความตกลงกับกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน(GACC)เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้บรรจุด่านตงซิงเข้าไปในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่เดือนเมษายน2563
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พยายามผลักดันให้ด่านตงซิงสามารถนำเข้าผลไม้จากไทยได้โดยเร็วโดยนายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผู้กำกับดูแลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้ฝ่ายเกษตรประจำสถานกงสุลใหญ่ณนครกว่างโจวติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดโดยล่าสุดกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน(GACC)ได้ประกาศให้ด่านตงซิงเป็นด่านนำเข้าผลไม้และฝ่ายเกษตรฯได้รับแจ้งจากศุลกากรหนานหนิงซึ่งดูแลด่านตงซิงว่าผลไม้ของไทยจะนำเข้ามาทางด่านตงซิง(สะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนแห่งที่2)ได้ตั้งแต่วันที่29เมษายน2564เป็นต้นไป
สำหรับด่านตงซิงถือเป็นด่านได้รับอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทางบกเป็นแห่งที่3ของเขตฯกว่างซีจ้วงต่อจากด่านโหย่วอี้กวนและด่านรถไฟผิงเสียงซึ่งด่านตงซิงสามารถรองรับรถบรรทุกสินค้าเข้าออกได้ไม่ต่ำกว่า2,000คันต่อวันจึงเป็นด่านทางบกที่มีศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทยนอกเหนือจากด่านโม่ฮานมณฑลยูนนานด่านโหย่วอี้กวนและด่านรถไฟผิงเสียงเขตฯกว่างซีจ้วงซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีนช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวนโดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้
ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตรพบว่าการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนเมื่อปี2563มีปริมาณ1,623,523ตันคิดเป็นมูลค่ากว่า102,716.72ล้านบาทโดยผลไม้ไทยที่มีปริมาณส่งออกไปจีนสูงสุด5อันดับแรกได้แก่ทุเรียนลำไยมังคุดมะพร้าวอ่อนและขนุนตามลำดับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41363 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ขอคนไทยมั่นใจดาวน์โหลดหมอชนะ | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
“ชัยวุฒิ” ขอคนไทยมั่นใจดาวน์โหลดหมอชนะ
“ชัยวุฒิ” ขอคนไทยมั่นใจดาวน์โหลดหมอชนะ
“ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส วอนประชาชนมั่นใจใช้งานแอปหมอชนะ ย้ำการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัย เชิญชวนเข้าไปดาวน์โหลดได้ทั้งจาก App Store ของค่ายแอปเปิล และ Play Store สำหรับมือถือระบบแอนดรอยด์
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวว่า ขณะนี้แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” กลับมาให้บริการได้ตามปกติแล้วในเวอร์ชั่นอัพเดทล่าสุด ที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัย รองรับการใช้งานได้แล้วทั้งบนมือถือระบบแอนดรอยด์ และ IOS โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ผ่าน Play Store และ App Store
พร้อมกันนี้ เตรียมวางแนวทางรองรับการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ประชาชนเข้ามาดาวน์โหลดแอปหมอชนะไปใช้บริการกันมากๆ เพื่อประโยชน์ในการแจ้งเตือนกลุ่มเสี่ยง ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ตลอดจนเพิ่มความรวดเร็วของกระบวนการสอบสวนโรคเมื่อพบกรณีผู้ติดเชื้อ
“ทั้งนี้ บริหารจัดการแอปหมอชนะ ถือเป็นภารกิจของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านส่งเสริมการให้บริการแก่ประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนในรูปแบบดิจิทัล นำมาใช้ในการช่วยติดตามและสอบสวนโรคให้ครอบคลุมและแม่นยำได้มากขึ้น โดยบันทึกข้อมูลด้วยเทคโนโลยี GPS และ Bluetooth เพื่อช่วยแจ้งประชาชนเมื่ออยู่ในบริเวณใกล้ชิด หรือสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด-19 ให้เฝ้าระวังและเข้าพบกับเจ้าหน้าที่สอบสวนโรคได้ทันท่วงที” นายชัยวุฒิกล่าว
นอกจากนี้ ขอย้ำว่าประชาชนผู้ใช้งานแอปหมอชนะ สามารถเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล เพราะมีเพียงกรมควบคุมโรคเรียกใช้ได้ ขณะที่ กระทรวงดิจิทัลฯ โดย NT มีความพร้อมขยายพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ รองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีระบบคลาวด์กลางภาครัฐอยู่แล้ว ดังนั้น อยากเชิญชวนให้ประชาชนช่วยกันดาวน์โหลดแอปหมอชนะ มาใช้งานกันมากๆ เพื่อช่วยกันลดความเสี่ยงในการแพร่กระจาย
ของโควิด-19
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41352 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ รุดให้กำลังใจ จนท.ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราว | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ รุดให้กำลังใจ จนท.ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเปิดเป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 -11 พ.ค.นี้
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย -ญี่ปุ่น) เขตดินแดงนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ซึ่งเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 – 11 พฤษภาคมนี้ เช่นเดียวกับศูนย์ตรวจโควิด-19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานีจะเปิดในวันนี้ (30 เม.ย.64) เป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5-11 พ.ค.นี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ได้หยุดพักและดำเนินการกลุ่มที่ตกค้างให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งนายสุชาติกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.เปิดศูนย์ตรวจคัดกรองโรคโควิด -19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ซึ่งจากการดำเนินงานใน 5 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งภาพรวมตรวจแล้วทั้งหมด 40,353 คน พบผู้ติดเชื้อ 690 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เม.ย.64 เวลา 17.00 น.) ซึ่งแต่ละศูนย์มีผลการตรวจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ตรวจแล้ว 27,095 คน พบผู้ติดเชื้อ 679 คน ซึ่งได้ประสานส่งเข้าโรงพยาบาลแล้วจำนวน 104 คน ส่งเข้า Hospitel จำนวน 397 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ชลบุรี ตรวจแล้ว 1,094 คน พบผู้ติดเชื้อ 11 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ปทุมธานี ตรวจแล้ว 7,389 คน เชียงใหม่ ตรวจแล้ว 2,783 คน นนทบุรี ตรวจแล้ว 1,992 คน ในส่วน 3 จังหวัดยังรอผลตรวจ
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 รวมทั้งกรณีที่ต้องการรถพยาบาลให้ไปรับที่บ้านเพื่อไปตรวจรักษา ประสานหาเตียงให้ผู้ที่ติดเชื้อ กระทรวงแรงงาน ยังมีสายด่วน 1506 กด 6 ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -17.00 น. ทั้งที่สำนักงานประกันสังคมและทีมงานหน้าห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด
“ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41369 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ.ยืนยัน ยารักษาโควิดมีเพียงพอ ไม่ขาด พฤษาคมนี้ได้อีก 3 ล้านเม็ด | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
อภ.ยืนยัน ยารักษาโควิดมีเพียงพอ ไม่ขาด พฤษาคมนี้ได้อีก 3 ล้านเม็ด
องค์การเภสัชกรรม ยืนยัน ขณะนี้ ไทยมียาฟาวิพิราเวียร์ รักษาผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอ กระจายไปโรงพยาบาลทุกภาคส่วนแล้ว ยอดคงคลังกว่า 1.5 ล้านเม็ด จะเข้ามาเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดในเดือนพฤษภาคม
องค์การเภสัชกรรม ยืนยัน ขณะนี้ ไทยมียาฟาวิพิราเวียร์ รักษาผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอ กระจายไปโรงพยาบาลทุกภาคส่วนแล้ว ยอดคงคลังกว่า 1.5 ล้านเม็ด จะเข้ามาเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดในเดือนพฤษภาคมส่วนวัคซีนซิโนแวค จะได้รับเพิ่มทั้งจากการจัดซื้อและบริจาค รวม 3.5 ล้านโดสในเดือนพฤษภาคมนี้
วันนี้ (30 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม แถลงกรณีข่าวยารักษาโรคโควิด 19มีไม่พอเพียงรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในขณะนี้ ว่า องค์การเภสัชกรรมได้กระจายยาฟาวิพิราเวียร์ที่มาถึงไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 เมษายน 2564) ไปยังสถานพยาบาลทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว ยอดคงคลังกว่า 1.5 ล้านเม็ด ขณะนี้ ใช้ยาวันละประมาณ 4-5 หมื่นเม็ด ตามข้อบ่งชี้ใหม่ที่ให้ยาเร็วขึ้น และจำนวนผู้ป่วยที่มีมากขึ้น องค์การเภสัชกรรม ได้เตรียมแผนจัดหายาเพิ่มไว้แล้ว ซึ่งจะได้รับเพิ่มในเดือนพฤษภาคมนี้อีก 3 ล้านเม็ด เชื่อว่าเพียงพอในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 และจะมีการประเมินสถานการณ์ สั่งซื้อเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะผลิตยาได้เองในประเทศ
สำหรับวัคซีนโควิด 19 ได้รับการยืนยันว่าจะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามาเพิ่มอีก 1 ล้านโดสในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ และหลังวันที่ 14 พฤษภาคม จะมีวัคซีนซิโนแวคที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลจีนมาเพิ่มอีก 5 แสนโดส รวมทั้งองค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อเพิ่มจะได้รับสิ้นเดือนพฤษภาคมอีกจำนวน 2 ล้านโดส รวมเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนเข้ามารวม 3.5 ล้านโดส เพิ่มจากที่ได้รับและเริ่มฉีดไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 จำนวน 2.5 ล้านโดส
************************************ 30 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41373 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เผยความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ปลัดเกษตรฯ เผยความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
ปลัดเกษตรฯ เผยความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ว่า ความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เม.ย. 64) มีเกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 29,813 ราย จากเป้าหมาย 32,000 ราย (จาก 4,009 ตำบล) และมีแรงงานได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 13,370 ราย จากเป้าหมาย 16,000 ราย โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการฝึกอบรมกระบวนการเรียนรู้ครั้งที่ 1 ให้เกษตรกร ในหลักสูตรปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นเวลา 2 วันๆ ละ 6 ชั่วโมง โดยดำเนินการอบรมเสร็จแล้ว 19 จังหวัด อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 52 จังหวัด และจะขยายระยะเวลาการอบรมเกษตรกรไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2564 โดยในจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การอบรมเกษตรกรจะดำเนินการโดยคำนึงตามประกาศ มาตรการ แนวทาง ข้อกำหนดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) และประกาศของแต่ละจังหวัด
ส่วนความก้าวหน้าในการดำเนินงานขุดสระเก็บกักน้ำในพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ กรมพัฒนาที่ดินอนุมัติให้สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดดำเนินการขุดสระเก็บกักน้ำ รอบที่ 1 จำนวน 19,098 ราย ในขณะนี้ดำเนินการขุดสระเสร็จแล้วจำนวน 1,129 บ่อ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการขุดสระแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยเป็นสระกักเก็บน้ำตามรูปแบบมาตรฐานของกรมพัฒนาที่ดิน มีรูปทรงของสระที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ของเกษตรกรซึ่งสามารถตรวจนับปริมาณดินขุดได้ โดยให้มีปริมาณดินขุดตามเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับการส่งเสริมองค์ความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ แบ่งเป็น ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และการปรับปรุงบำรุงดินนั้น ขณะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ และกรมพัฒนาที่ดิน ได้จัดทำคู่มือการดำเนินโครงการฯ ส่งให้หน่วยงานระดับจังหวัดแล้ว และสำรวจความต้องการปัจจัยการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับการขุดสระเก็บกักน้ำแล้ว 70% ซึ่งการดำเนินงานระยะต่อไปได้เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกร จำนวน 24,241 ราย และรอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่เกษตรกรอีก 4,205 ราย ในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงเร่งดำเนินงานโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ สามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์ ntag.moac.go.th หรือ Facebook “๑ตำบล๑กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” หรือสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด/สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่านได้อีกด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41371 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล ต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มฯ | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
บอร์ดปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล ต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มฯ
บอร์ดปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล ต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มฯ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้ (30เม.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธานฯ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เพื่อเป็นการยกระดับรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน อีกทั้ง ลดผลกระทบจากแนวโน้มที่จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยแนวทางการขับเคลื่อนฯ มุ่งเป้าที่การพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล (หรืออุตสาหกรรมการผลิตสารสกัดธรรมชาติจากปาล์มน้ำมันเพื่อพัฒนาเป็นสินค้ามูลค่าสูง) ประกอบด้วย 6 ผลิตภัณฑ์หลัก คือ 1)ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน 2)น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า 3) สารตั้งต้น MES ใช้ผลิตผงซักฟอกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4)น้ำมันหล่อลื่นและจารบีชีวภาพ 5)พาราฟิน 6)สารกำจัดศัตรูพืช/แมลง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีความต้องการต่อปีของตลาดโลกขยายตัวต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นพื้นฐาน ความต้องการ 14 ล้านตัน อัตราการขยายตัว 3% น้ำมันหมอแปลงไฟฟ้าชีวภาพ 2 ล้านตัน ขยายตัว 8.3% ผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1ล้านตัน ขยายตัว 9% น้ำมันหล่อลื่นและจารบีชีวภาพ ปริมาณ 36 ล้านตัน ขยายตัว 1%
ในส่วนการดำเนินการ นางสาวรัชดา กล่าวว่า จะเป็นการบูรณาการของหลายภาคส่วน ร่วมกัน ดังนี้
1) ด้านกระบวนผลิต/เทคโนโลยี/วิจัย นวัตกรรม จะมี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และกรมควบคุมมลพิษ รับผิดชอบเรื่องการขึ้นทะเบียนสินค้าและบริการ ทั้งที่เป็นนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้การส่งเสริมการวิจัยด้านวัตถุดิบและกระบวนการผลิต
2)ด้านมาตรฐานและการทดสอบ อาทิ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมวิชาการเกษตร กรมธุรกิจพลังงาน รับผิดชอบเรื่อง การพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการทดสอบ การตรวจสอบรับรองอ้างอิงตามมาตรฐานของต่างประเทศได้แก่ JASO API NSF International เป็นต้น
3)ด้านสิทธิประโยชน์และการลงทุน อาทิ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง รับผิดชอบเรื่อง มาตรการส่งเสริมการลงทุน การยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
4) ด้านอุปสงค์ อาทิ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ กรมบัญชีกลาง รับผิดชอบเรื่อง การจัดซื้อสินค้าและจัดจ้างบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green procurement) ผลักดันการรับรองสีเขียว (Green label)
และ 5) ด้านอื่นๆ เช่น คณะกรรมการEEC เกี่ยวข้องกับมาตรการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ภายใต้ EEC เพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมโอลิโอเคมีคอล
“แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคัล ที่เห็นชอบในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศที่หลักๆคือการอุปโภคบริโภค และการใช้ด้านพลังงาน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เชื่อมั่นว่า แนวทางดังกล่าวจะสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่การผลิตของปาล์มน้ำมัน สร้างเสถียรภาพด้านราคา เพิ่มทางเลือกให้กับเกษตรกร พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ลดการนำเข้าเคมีภัณฑ์จากต่างประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนยกระดับเทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยต่อไป” รองโฆษกฯ กล่าว
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41368 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2564
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการของตลาดโลกและความสามารถส่งออกผลผลิตมีมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเดือน พ.ค.2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ กุ้งขาวแวนนาไม สุกร และโคเนื้อ มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการของตลาดโลก และความสามารถในการส่งออกผลผลิตมีมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนพฤษภาคม 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ กุ้งขาวแวนนาไม สุกร และโคเนื้อ มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 12,037 - 12,100 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.53 - 2.06 เนื่องจากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิของไทยใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งขัน อาทิ ราคาข้าวหอมผกามะลิจากกัมพูชา ส่งผลให้ประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มการนำเข้าข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 11,006 - 11,142 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.73 - 2.99 เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังออกสู่ตลาดไปแล้ว และสต็อก ข้าวเหนียวของผู้ประกอบการเริ่มลดลง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 8.12 - 8.36 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.50 - 5.50 เนื่องจากเป็นช่วงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่นที่ 1 ช่วงต้นฤดูฝน (เดือนเมษายน - มิถุนายน) ปริมาณผลผลิตจึงออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ที่ยังขยายตัวได้ดี
น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 16.92 - 17.14 เซนต์/ปอนด์ (11.71 - 11.86 บาท/กก.)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.20 - 2.50 เนื่องจากความกังวลต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลทั่วโลกที่คาดว่าจะลดลงจากปัญหาสภาพอากาศ โดยสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้พื้นที่ปลูกชูการ์บีท (Sugar Beet) ของประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปได้รับความเสียหาย และสภาพอากาศที่แห้งแล้งในประเทศบราซิลทำให้ปริมาณอ้อยลดลง กุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 156.06 - 157.90 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.00 - 3.20 เนื่องจากผลผลิตกุ้งออกสู่ตลาดน้อยจากการที่เกษตรกรชะลอการลงลูกกุ้งในช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ยังไม่กระทบต่อคำสั่งซื้อและการส่งออกไปประเทศคู่ค้าสำคัญ ประกอบกับแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลดีต่อการส่งออกกุ้งมีชีวิตและกุ้งสดแช่เย็นของไทย สุกร ราคาอยู่ที่ 77.69 - 78.84 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.88 – 2.24 เนื่องจากประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดส่งออกสุกรมีชีวิตอันดับ 1 ของไทย ผ่อนคลายมาตรการจำกัดการนำเข้าสุกรจากไทย และผู้ส่งออกสุกรมีแผนการส่งออกไปประเทศเวียดนามมากขึ้น ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกสุกรมีชีวิตได้มากขึ้น และโคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 98.33 – 98.40 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.01 - 0.08 เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อโคทั้งภายในประเทศและเพื่อการส่งออกยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลผลิตเนื้อโคอาจลดลง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกินในโคและกระบือ
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,997 - 9,061 บาท/ตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.76 - 1.47 เนื่องจากประเทศอินเดียซึ่งเป็น ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก มีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นและปริมาณข้าวในสต็อกอยู่ในระดับสูง ทำให้มีปริมาณข้าวส่วนเกินที่ระบายออกสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 52.85 - 53.55 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.56 - 2.85 เนื่องจากปริมาณยางพาราจากการประมูลสต็อกยางพาราเก่าออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงงานกดราคารับซื้อยางพาราจากเกษตรกร มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.05 - 2.10 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.47 – 2.88 เนื่องจากลานมันเส้นเริ่มทยอยปิดลานรับซื้อผลผลิตมันสำปะหลังที่ออกสู่ตลาด ส่วนใหญ่จะถูกจำหน่ายไปยังโรงงานแป้งมันสำปะหลัง จึงเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาปรับตัวลดลง ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 4.34 - 4.77 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.24 - 10.15 เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และคาดว่าในเดือนพฤษภาคมจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดประมาณ 1.99 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 12 ของปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันทั้งปี 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสารชั่วคราว | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสารชั่วคราว
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ประกาศปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสารชั่วคราว ระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ยังคงมีขบวนรถให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วประเทศ
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ประกาศปรับแผนให้บริการเดินรถโดยสารชั่วคราว ระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ยังคงมีขบวนรถให้บริการแก่ผู้โดยสารทั่วประเทศได้อย่างเพียงพอ พร้อมแจ้งผู้โดยสารขอคืนเงินค่าตั๋วได้เต็มราคา
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 (ศบค.) มีนโยบายขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ รฟท. จึงมีการปรับเปลี่ยนขบวนรถที่ให้บริการเส้นทางต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์โดยงดการให้บริการขบวนรถเชิงพาณิชย์(รถทางไกล) ขบวนรถเชิงสังคม(รถระยะสั้น) รวมทั้งสิ้น 121 ขบวน เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564
อย่างไรก็ตาม ในการปรับเปลี่ยนการให้บริการขบวนรถโดยสาร รฟท. ได้คำนึงถึงความเหมาะสมในการให้บริการแก่ประชาชน โดยพิจารณางดเดินขบวนรถเฉพาะเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อยและไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน ทำให้ไม่กระทบต่อภาพรวมในการให้บริการ และยังคงมีขบวนรถโดยสาร ทั้งขบวนรถเชิงพาณิชย์(รถทางไกล) ขบวนรถเชิงสังคม(รถระยะสั้น) มากถึง 115 ขบวน ให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอทุกเส้นทาง
ส่วนประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางในขบวนรถที่งดให้บริการ สามารถติดต่อขอคืนเงินได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน รฟท. ยังเพิ่มความมั่นใจในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในการให้บริการแก่ผู้โดยสารทั้งในขบวนรถโดยสาร สถานีรถไฟทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ตลอดการเดินทาง
สำหรับขบวนรถโดยสารที่ให้บริการ ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 จำนวน 115 ขบวน มีดังนี้
1. ขบวนรถเชิงพาณิชย์
สายเหนือ จำนวน 4 ขบวน
- ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 13/14 กรุงเทพ - เชียงใหม่ - กรุงเทพ
- ขบวนรถเร็วที่ 109/102 กรุงเทพ - เชียงใหม่ - กรุงเทพ (ขบวนรถเร็วที่ 109 ปรับเวลาขบวนรถใหม่)
สายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 6 ขบวน
- ขบวนรถด่วนที่ 67/68 กรุงเทพ - อุบลราชธานี - กรุงเทพ
- ขบวนรถเร็วที่ 133/134 กรุงเทพ - หนองคาย - กรุงเทพ
- ขบวนรถเร็วที่ 135/136 กรุงเทพ - อุบลราชธานี - กรุงเทพ
สายใต้ จำนวน 6 ขบวน
- ขบวนรถด่วนที่ 85/86 กรุงเทพ - นครศรีธรรมราช - กรุงเทพ
- ขบวนรถเร็วที่ 167/168 กรุงเทพ - กันตัง - กรุงเทพ
- ขบวนรถเร็วที่ 171/172 กรุงเทพ - สุไหงโกลก - กรุงเทพ
2. ขบวนรถเชิงสังคม
สายเหนือ จำนวน 20 ขบวน
- ขบวนรถธรรมดาที่ 201/202 กรุงเทพ - พิษณุโลก - กรุงเทพ
- ขบวนรถธรรมดาที่ 211/212 กรุงเทพ - ตะพานหิน - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 311/376 กรุงเทพ - รังสิต - หัวตะเข้
- ขบวนรถชานเมืองที่ 301/302 กรุงเทพ - ลพบุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 303/304 กรุงเทพ - ลพบุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 313/314 กรุงเทพ - บ้านภาชี - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 317/318 กรุงเทพ - ลพบุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 401/402 ลพบุรี - พิษณุโลก - ลพบุรี
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 403/410 พิษณุโลก - ศิลาอาสน์ - พิษณุโลก
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 407/408 นครสวรรค์ - เชียงใหม่ - นครสวรรค์
สายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 16 ขบวน
- ขบวนรถธรรมดาที่ 233/234 กรุงเทพ - สุรินทร์ - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 341/342 กรุงเทพ - แก่งคอย - กรุงเทพ
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 415/418 หนองคาย - นครราชสีมา - หนองคาย
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 421/426 อุบลราชธานี - นครราชสีมา - อุบลราชธานี
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 427/428 นครราชสีมา - อุบลราชธานี - นครราชสีมา
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 429/430 นครราชสีมา - บัวใหญ่ - นครราชสีมา
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 431/432 แก่งคอย - ขอนแก่น - แก่งคอย
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 433/434 แก่งคอย - บัวใหญ่ - แก่งคอย
สายใต้ จำนวน 22 ขบวน
- ขบวนรถธรรมดาที่ 255/254 ธนบุรี - หลังสวน - ธนบุรี
- ขบวนรถธรรมดาที่ 257/258 ธนบุรี - น้ำตก - ธนบุรี
- ขบวนรถธรรมดาที่ 261/262 กรุงเทพ - หัวหิน - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 351/352 ธนบุรี - ราชบุรี - ธนบุรี
- ขบวนรถชานเมืองที่ 355/356 กรุงเทพ - สุพรรณบุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445/446 ชุมพร - หาดใหญ่ - ชุมพร
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447/448 สุราษฎร์ธานี - สุไหงโกลก - สุราษฎร์ธานี
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451/452 นครศรีธรรมราช - สุไหงโกลก - นครศรีธรรมราช
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 ยะลา - สุไหงโกลก - ยะลา
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 พัทลุง - สุไหงโกลก - พัทลุง
- ขบวนรถท้องถิ่นที่ 489/490 สุราษฎร์ธานี - คีรีรัฐนิคม - สุราษฎร์ธานี
สายตะวันออก จำนวน 21 ขบวน
- ขบวนรถธรรมดาที่ 275/276 กรุงเทพ - อรัญประเทศ - กรุงเทพ (ไม่มีเดินช่วง อรัญประเทศ - ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก)
- ขบวนรถธรรมดาที่ 277/278 กรุงเทพ - กบินทร์บุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถธรรมดาที่ 279/280 กรุงเทพ - อรัญประเทศ - กรุงเทพ (ไม่มีเดินช่วง อรัญประเทศ - ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก)
- ขบวนรถธรรมดาที่ 281/282 กรุงเทพ - กบินทร์บุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถธรรมดาที่ 283/284 กรุงเทพ - พลูตาหลวง - กรุงเทพ
- ขบวนรถธรรมดาที่ 285/286 กรุงเทพ - ฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 371/372 กรุงเทพ - ปราจีนบุรี - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 367 กรุงเทพ - ฉะเชิงเทรา
- ขบวนรถชานเมืองที่ 378 หัวตะเข้ - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 383/384 กรุงเทพ - ฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 388 ฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ
- ขบวนรถชานเมืองที่ 390/391 กรุงเทพ - ฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ
สายมหาชัย - วงเวียนใหญ่ - มหาชัย จำนวน 16 ขบวน
- ขบวนรถที่ 4304/4305
- ขบวนรถที่ 4306/4307
- ขบวนรถที่ 4310/4311
- ขบวนรถที่ 4312/4313
- ขบวนรถที่ 4324/4325
- ขบวนรถที่ 4328/4329
- ขบวนรถที่ 4342/4343
- ขบวนรถที่ 4344/4345
สายแม่กลอง - บ้านแหลม - แม่กลอง จำนวน 4 ขบวน
- ขบวนรถที่ 4380/4383
- ขบวนรถที่ 4386/4387
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41355 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง หัวหน้ากลุ่มงานบัญชีและการเงิน เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง หัวหน้ากลุ่มงานบัญชีและการเงิน เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 หัวหน้ากลุ่มงานบัญชีและการเงิน เขตการเดินรถที่ 6 เพศหญิง ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 หัวหน้ากลุ่มงานบัญชีและการเงิน เขตการเดินรถที่ 6 เพศหญิง อายุ 60 ปี ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อจึงให้พนักงานอยู่ที่บ้าน เพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร ในเวลา 16.20 น.
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 6 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 17 - 18 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 19 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี เวลา 15.00 น. ร่วมเดินทางกับเจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อฯ ตามที่ ขสมก. ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 เพื่อไปสอบพยาน ณ ร้านอัดรูป มาสเตอร์ ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น. ถึงบ้านเวลา 18.00 น. โดยพนักงานเริ่มมีไข้และน้ำมูก
- วันที่ 20 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 21 เมษายน 2564 ลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 22 - 23 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 24 - 25 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 27 เมษายน 2564 ลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 12.30 น. เดินทางไปที่ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น. ถึงบ้านเวลา 17.30 น. และออกไปทำผมที่ร้านในหมู่บ้านตะวันฉาย กลับถึงบ้าน เวลา 18.30 น.
- วันที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 11.30 น. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนลว่าเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้รออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร ในเวลา 16.20 น.
3. ผู้ติดเชื้อเป็นหัวหน้ากลุ่มงานบัญชีและการเงิน จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถยนต์ส่วนกลาง ของเขตการเดินรถที่ 6 รวมถึงห้องทำงาน และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ
4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับหัวหน้างานผู้ติดเชื้อฯ หยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41357 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมช.สธ.เผย “หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2 เพิ่มการประเมินตัวเองก่อนฉีดวัคซีนเพื่อความปลอดภัย | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ที่ปรึกษา รมช.สธ.เผย “หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2 เพิ่มการประเมินตัวเองก่อนฉีดวัคซีนเพื่อความปลอดภัย
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย Line Official Account “หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2 ปรับรูปแบบการลงทะเบียน เพิ่มการประเมินสุขภาพตนเองก่อนฉีดวัคซีน ช่วยแพทย์ประเมินอาการและฉีดวัคซีนได้อย่างปลอดภัย เริ่มเปิดรับลงทะเบียนฉีดวัคซีน วันที่ 1 พฤษภา
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย Line Official Account “หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2ปรับรูปแบบการลงทะเบียน เพิ่มการประเมินสุขภาพตนเองก่อนฉีดวัคซีน ช่วยแพทย์ประเมินอาการและฉีดวัคซีนได้อย่างปลอดภัย เริ่มเปิดรับลงทะเบียนฉีดวัคซีน วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เวลา 9.00 น. สำหรับ ประชาชน 7 กลุ่มโรคเสี่ยงและผู้สูงอายุ
วันนี้ (30 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวประเด็น Line Official Account “หมอพร้อม” ว่า แพลตฟอร์มหมอพร้อมเป็นเครื่องมือในการลงทะเบียนจองและนัดฉีดวัคซีน ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนให้เข้าถึงบริการ ผ่านระบบแอปพลิเคชันไลน์ที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเวอร์ชั่นแรกจัดทำขึ้นเพื่อให้บุคลากรทางสาธารณสุข /บุคลากรด่านหน้า / อสม. ได้ใช้เพื่อติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนโควิด 19 และนัดหมายในการฉีดเข็มที่ 2 ส่วน “หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2 ที่ได้พัฒนาเพื่อใช้งานสำหรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับประชาชน 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ได้แก่โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวานโรคอ้วน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประมาณ 16 ล้านคน โดยมีการปรับปรุงรูปแบบการลงทะเบียนให้ประชาชนประเมินสุขภาพตนเอง ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถประเมินอาการและฉีดวัคซีนได้อย่างปลอดภัย ส่งผลให้กระบวนการรับบริการมีความรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถลงทะเบียน ให้กับสมาชิกในครอบครัวได้ด้วย โดย Line Official Account“หมอพร้อม” เวอร์ชั่น 2 จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00 น. ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ และจะเริ่มทำการฉีดวัคซีนในวันที่ 7 มิถุนายน เป็นต้นไป กรณีประชาชนที่ไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมได้ ให้แจ้งความประสงค์ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน/ โรงพยาบาลที่มีประวัติการรักษา หรือแจ้งที่อาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงระบบบริการอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุ ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน เนื่องจากเมื่อหากติดเชื้อจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไป ส่วนประชาชนกลุ่มอื่นขอให้คิดว่าเป็นหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศด้วยการรักษาชีวิตผู้ที่มีความเปราะบาง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะทยอยฉีดให้แก่ประชาชนกลุ่มอื่นเป็นลำดับถัดไป สำหรับกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ หากมีความจำเป็นที่จะต้องรับการฉีดวัคซีนเร่งด่วน กระทรวงสาธารณสุขมีคณะทำงานในการพิจารณาความเหมาะสม เพื่อให้การควบคุมโรคในประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน มีความพยายามอย่างเต็มที่ในการควบคุมโรคโควิด เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและปลอดภัยจากการติดเชื้อ อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ว่าจะได้รับฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ การออกจากบ้านทุกครั้งขอให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ รวมถึงรักษาระยะห่าง เพื่อที่จะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว” นายธนิตพลกล่าว
************************************ 30 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41384 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564
วันนี้ (30 เม.ย.64) ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลเห็นสมควรดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยที่ในขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ขึ้น จึงเห็นควรจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ให้สอดคล้องกับมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่ให้กระจายไปในวงกว้าง
.
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ จึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเครื่องราชสักการะ บริเวณอาคารสำนักงาน ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองร่วมกับผ้าระบายสีขาวบริเวณรั้วอาคารสำนักงานตลอดเดือนพฤษภาคม 2564 รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานให้สวยงามในระยะเวลาที่เห็นสมควร รวมถึงจัดทำคำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ และสมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคลอิเล็กทรอนิกส์ลงบนหน้าหลักเว็บไซต์จังหวัด พร้อมทั้งเชิญชวนผู้บริหารและบุคลากรในสังกัด ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลผ่านระบบออนไลน์ ตลอดเดือนพฤษภาคม 2564 และแจ้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดดำเนินการจัดทำด้วย นอกจากนี้ ให้เชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ร่วมประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ตลอดเดือนพฤษภาคม 2564 ด้วยความสมัครใจ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41374 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง พนักงานธุรการ ระดับ 1 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
ขสมก. ออกประกาศ เรื่อง พนักงานธุรการ ระดับ 1 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานธุรการ ระดับ 1 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 พนักงานธุรการ ระดับ 1 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 เพศชาย อายุ 50 ปี ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เขตการเดินรถที่ 6 อู่บรมราชชนนี ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร ได้แจ้งให้ทราบว่า พนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานอยู่ที่บ้าน เพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม โรงแรมรอยัล คิงส์ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 30 เมษายน 2564
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 6 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 17 - 18 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 19 - 20 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี
และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 21 เมษายน 2564 พนักงานทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home)
- วันที่ 22 - 23 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี
และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 24 - 25 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 26 เมษายน 2564 พนักงานทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home)
- วันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 13.00 น. ขี่รถจักรยานยนต์ไปกดเงินที่ตู้ ATM ที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 5 และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น. โดยพนักงานเริ่มมีอาการเจ็บคอ
- วันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 12.30 น. เดินทางไปที่ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 29 เมษายน 2564 พนักงานได้ขออนุญาตหัวหน้างานลาหยุด เนื่องจากมีอาการไข้ เวลา 07.00 น. เดินทางไปกดเงินที่ตู้ ATM ที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณวัดไร่ขิง ต่อมาเวลา 11.30 น. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนลว่าเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานอยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม โรงแรมรอยัล คิงส์ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 30 เมษายน 2564
3. ผู้ติดเชื้อเป็นพนักงานธุรการ ระดับ 1 งานบริหารงานบุคคล จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถยนต์ส่วนกลาง
ของเขตการเดินรถที่ 6 รวมถึงห้องทำงาน และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ
4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับหัวหน้างานผู้ติดเชื้อฯ หยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41358 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดอนุกก.มรดกโลกวัฒนธรรมมอบกรมศิลป์ปรับปรุงเอกสารเสนอ“เมืองโบราณศรีเทพ” เข้าสู่บัญชีมรดกโลกเสนอศูนย์มรดกโลกอีกรอบภายในเดือน ก.ย.นี้ | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
บอร์ดอนุกก.มรดกโลกวัฒนธรรมมอบกรมศิลป์ปรับปรุงเอกสารเสนอ“เมืองโบราณศรีเทพ” เข้าสู่บัญชีมรดกโลกเสนอศูนย์มรดกโลกอีกรอบภายในเดือน ก.ย.นี้
บอร์ดอนุกก.มรดกโลกวัฒนธรรมมอบกรมศิลป์ปรับปรุงเอกสารเสนอ“เมืองโบราณศรีเทพ” เข้าสู่บัญชีมรดกโลกเสนอศูนย์มรดกโลกอีกรอบภายในเดือน ก.ย.นี้
บอร์ดอนุกก.มรดกโลกวัฒนธรรมมอบกรมศิลป์ปรับปรุงเอกสารเสนอ“เมืองโบราณศรีเทพ” เข้าสู่บัญชีมรดกโลกเสนอศูนย์มรดกโลกอีกรอบภายในเดือนก.ย.นี้ จ.นครศรีธรรมราชเร่งปรับปรุงเอกสารเสนอวัดพระมหาธาตุฯเป็นมรดกโลกคาดชงเข้าอนุกก.เดือนมิ.ย.นี้
วันที่ 29 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุม 2 ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) และประธานอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 3/2564 ผ่านทางระบบออนไลน์ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบข้อกำหนดการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบแหล่งมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา (Heritage Impact Assessment – HIA) ซึ่งเป็นเอกสารที่ศูนย์มรดกโลกเสนอให้ประเทศไทยดำเนินการ เพื่อสร้างมาตรการลดผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยกรมศิลปากรจะนำกรอบข้อกำหนดดังกล่าวไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการเสนอเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อเข้าสู่บัญชีมรดกโลกตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกได้จัดส่งเอกสารดังกล่าวไปยังศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า ศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส มีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยปรับปรุงเอกสารเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยที่ประชุมได้มอบหมายกรมศิลปากรปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส ตรวจสอบอีกครั้ง ภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 เพื่อให้เสนอเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์เข้าสู่บัญชีมรดกโลกได้ทันในปี 2565
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำเอกสารนำเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งได้เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลก (Tentative List) เมื่อปี 2556 ขณะนี้จังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่ระหว่างปรับปรุงเอกสารตามขอพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯในเดือนมิถุนายน2564 และแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และเสนอขอรับความเห็นชอบจากครม.ในเดือนสิงหาคม 2564 หลังจากนั้นไทยจะส่งเอกสารดังกล่าวไปยังศูนย์มรดกโลกภายในเดือนพฤศจิกายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41370 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย | วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564
“เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย
ผลงานชิ้นโบว์แดงกระทรวงเกษตร “เฉลิมชัย” ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จจีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย ดีเดย์ 29 เมษายน 2564 “อลงกรณ์” ขอบคุณจีนเปิดด่านตงชิงทันฤดูผลไม้ มั่นใจยอดส่งออกปีนี้ทะลุแสนล้านหลังใช้ด่านใหม่ควบ “โมฮ่าน-โหยวอี้กวน-ผิงเสียง”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (30 เม.ย.) ว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศตลาดจีนถือเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลไม้ของไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงที่ผลไม้ของไทยมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก พร้อมๆ กับผลไม้เวียดนามและมักจะพบกับปัญหาการจราจรบริเวณด่านโหย่วอี้กวซึ่งอยู่พรมแดนจีน-เวียดนามแออัดถึงขั้นวิกฤต มีรถติดสะสมยาวหลายกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่สุกก่อนถึงมือผู้บริโภค กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เร่งติดตามงานเจรจากับกระทรวงศุลกากรแห่งชาติของจีน (GACC) ซึ่งในช่วงที่ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ได้มีการเจรจาและทำความตกลงกับกระทรวงศุลกากรจีน (GACC) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้บรรจุด่านตงซิงเข้าไปในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดและผลักดันให้ด่านตงซิงสามารถนำเข้าผลไม้จากไทยได้โดยเร็วอย่างต่อเนื่อง และมอบหมายให้ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศให้ด่านตงซิงเป็นด่านนำเข้าผลไม้ และฝ่ายเกษตรฯ ได้รับแจ้งจากศุลกากรหนานหนิงซึ่งดูแลด่านตงซิง ว่า ผลไม้ของไทยจะนำเข้ามาทางด่านตงซิง (สะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนแห่งที่ ๒) ได้ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ด่านตงซิงตั้งอยู่ที่อำเภอตงซิง เมืองฝางเฉิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อยู่ห่างจากด่านหมงก๋าย จังหวัดกว่างนินห์ ของเวียดนาม เพียง 100 เมตร และได้รับอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทางบกเป็นแห่งที่ 3 ของเขตฯ กว่างซีจ้วง ต่อจากด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งด่านตงซิงสามารถรองรับรถบรรทุกสินค้าเข้าออกได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คันต่อวัน จึงเป็นด่านทางบกที่มีศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทย นอกเหนือจากด่านโมฮ่าน มณฑลยูนนาน และด่านโหย่วอี้กวน กับด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้ มั่นใจว่าการส่งออกผ่านช่องทางด่านใหม่จะเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยได้มากกว่าปี 2563 ผสานกับกลยุทธ์การขายบนแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์ (pre order) ที่เปิดตัวสำเร็จอย่างดียิ่งเมื่อ 27 เมษายนที่ผ่านมา ต้องขอบคุณรัฐบาลจีนโดยกระทรวง GACC ที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ เป็นอย่างดียิ่ง
“ด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียนในขณะนี้” นายอลงกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร พบว่า การส่งออกผลไม้ไทยไปจีน เมื่อปี 2563 มีปริมาณ 1,623,523 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 102,716.72 ล้านบาท โดยผลไม้ไทยที่มีปริมาณส่งออกไปจีนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าวอ่อน และขนุน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41376 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.