title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เร่งตั้ง โรงพยาบาลสนามราชทัณฑ์ ป้องกัน ผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด19  500 เตียง รับมือผู้ต้องขังป่วยที่รับเชื้อก่อนเข้าเรือนจำ
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม เร่งตั้ง โรงพยาบาลสนามราชทัณฑ์ ป้องกัน ผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด19500เตียง รับมือผู้ต้องขังป่วยที่รับเชื้อก่อนเข้าเรือนจำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เร่งตั้ง โรงพยาบาลสนามราชทัณฑ์ ป้องกัน ผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด19500เตียง รับมือผู้ต้องขังป่วยที่รับเชื้อก่อนเข้าเรือนจำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความพร้อมในการทำโรงพยาบาลสนามของกรมราชทัณฑ์เพื่อรองรับการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID19) ว่า เรื่องดังกล่าวได้ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2564 มีการปรับปรุงอาคารบริเวณโดยรอบเรือนจำกลางคลองเปรม ทั้งหมด 5 ตึก เพื่อรองรับผู้ต้องขัง 7 เรือนจำ อาทิ เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทัณฑสถานหญิงกลาง เป็นต้น ซึ่งเวลานี้จากการดำเนินการเบื้องต้นสามารถใช้ได้แล้ว 2 ตึก รองรับได้ 170 คน จากนี้จะเร่งดำเนินการใน 3 ตึกที่เหลือ ซึ่งตนจะลงไปดูด้วยตัวเองและคาดว่าอีกไม่นานจะแล้วเสร็จ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นตามแผน 5 ตึก จะสามารถรองรับผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด 19 ได้สูงสุดถึง 500 คน ส่วนมาตรฐานอาคารนั้นตึกมีสภาพอากาศถ่ายเท ที่หลับนอนมีการจัดอย่างเป็นระเบียบ มีพยาบาลดูแล และยาที่เตรียมไว้ในการรักษาเป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุข ขณะเดียวกันโรงพยาบาลสนามราชทัณฑ์ไม่สามารถรับประชาชนภายนอกได้เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง “เรื่องนี้เราต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ ผมจะลงไปติดตามด้วยตัวเองเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะผู้ต้องขังมีเข้าใหม่ทุกวันจึงไม่แปลกที่จะมีบางคนอาจรับเชื้อโควิด 19 ปะปนเข้ามา แต่การคัดกรองของราชทัณฑ์ก็ทำอย่างเข้มงวดตามที่ตนได้ย้ำเสมอว่าอย่าให้เชื้อหลุดเข้าในแดนคุมขัง การสร้างโรงพยาบาลสนามราชทัณฑ์ 500 เตียง เป็นการเตรียมความพร้อมตามศักยภาพที่ราชการมีอยู่” รมว.กระทรวงยุติธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุริยะ” สั่งการ กรอ. คุมเข้มการระบายมลพิษโรงงานอุตสาหกรรม กรอ.รับลูกผุดแนวคิดพัฒนา“Mobile App”เช็คสถานะมลพิษแบบ Real Time!
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 “สุริยะ” สั่งการ กรอ. คุมเข้มการระบายมลพิษโรงงานอุตสาหกรรม กรอ.รับลูกผุดแนวคิดพัฒนา“Mobile App”เช็คสถานะมลพิษแบบ Real Time! “สุริยะ”สั่งการ กรอ. คุมเข้มป้องกันโรงงานแตกแถวปล่อยมลพิษสร้างความเดือดร้อนชาวบ้าน ด้าน กรอ.เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน (Mobile Application) ตรวจเช็คการระบายมลพิษเป้าหมายกว่า 7,000 โรง ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที “สุริยะ”สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มป้องกันโรงงานแตกแถวปล่อยมลพิษสร้างความเดือดร้อนชาวบ้าน ด้าน กรอ.เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน (Mobile Application) ตรวจเช็คการระบายมลพิษเป้าหมายกว่า 7,000 โรง ซึ่งสามารถทราบผลได้ทันที (Real time) พร้อมดึงชุมชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฝ้าระวัง ติดตาม และกำกับดูแลโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ คาดสามารถเปิดตัว Mobile App และใช้งานได้ภายในปี 2564 นี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดการมลพิษจากการประกอบกิจการในโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนรอบข้างจากมลพิษอากาศหรือปัญหากลิ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องมีการปรับปรุงทั้งทางด้านเทคนิคด้วยการสร้างอุปกรณ์บำบัดมลพิษให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามหลักวิชาการ โดยในปี 2564 กระทรวงฯได้จัดสรรงบประมาณให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ไปดำเนินการจัดการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศและทางน้ำ โดยสั่งการให้กำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปลดปล่อยมลมพิษที่ส่งผลผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและประชาชนในชุมชนโดยรอบอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันให้ดึงประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้โรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างเป็นสุข นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารบนระบบสมาร์ทโฟนมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งมีความสามารถในการแสดงข้อมูลได้หลายรูปแบบ ดังนั้น กรอ.จึงได้มีแนวคิดในการพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน (Mobile Application) เพื่อสื่อสารแสดงข้อมูลด้านการระบายมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยที่ประชาชนสามารถรับทราบข้อมูลสถานการณ์การระบายมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นปัจจุบัน (Real Time) เสริมสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการเฝ้าระวัง ติดตาม รับทราบการระบายมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมตลอดเวลา “ระบบแอปพลิเคชันนี้จะแสดงข้อมูลด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลพื้นฐาน พิกัดที่ตั้งโรงงาน พื้นที่/สถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณโดยรอบโรงงาน ประเภทการประกอบกิจการ ตลอดจนข้อมูลการระบายมลพิษโรงงาน ทั้งในรูปแบบที่เป็นปัจจุบัน (Real Time) และผลการตรวจวัดที่ กรอ. ดำเนินการตรวจกำกับดูแลล่าสุด เพื่อเสริมสร้างการรับรู้เข้าถึงข้อมูลด้านมลพิษโรงงานสู่ภาคประชาชนได้อย่างเปิดเผย สะดวกและรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม ในการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงของการระบายมลพิษจากการประกอบกิจการ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเช็คสถานะของการปล่อยมลพิษว่าเกินหรือไม่ ยังสามารถช่วยในการดูแลป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุและอุบัติภัยอีกด้วย โดยขณะนี้ กรอ. อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาการวางระบบแอปพลิเคชันนี้ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุมกับโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประมาณ 7,000 โรงงาน โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวระบบแอปพลิเคชัน (Mobile Application) และใช้งานได้ภายในปี 2564”นายประกอบ วิวิธจินดา กล่าว การพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน (Mobile Application) จะมีรูปแบบที่ใช้งานง่าย ตรงความต้องการของประชาชนทั่วไป และเจ้าหน้าที่สามารถกำกับดูแลโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสามารถแสดงข้อมูล ดังนี้ 1) แสดงจุดที่ตั้งของโรงงานเชิงพื้นที่ ในรัศมี 5 กิโลเมตร หรือแสดงในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จากจุดที่โทรศัพท์มือถืออยู่บนแผนที่พร้อมแสดงรายละเอียดประกอบต่าง ๆ เช่น ชื่อถนน สถานที่สำคัญต่าง ๆ บริเวณใกล้เคียง ทำให้รับทราบว่าโรงงานตั้งอยู่ใกล้เคียงสถานที่บริเวณใด 2) แสดงข้อมูลพื้นฐานโรงงาน ชื่อ ประเภทการประกอบกิจการ ทำให้ทราบว่าโรงงานนั้น ๆ ผลิตหรือประกอบกิจการอะไร และแสดงจุดที่ระบายน้ำทิ้งออกนอกโรงงาน หรือจุดกักเก็บน้ำ หรือจุดที่มีการตรวจวัดคุณภาพน้ำ และจุดที่ตั้งปล่องระบาย 3) แสดงสถานะการระบายสารมลพิษของรายโรงงานในขอบข่ายพื้นที่ที่กำหนด โดยถ้าเป็นโรงงานที่ติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษระยะไกลอย่างต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ (มลพิษน้ำทิ้งระบายออกนอกโรงงาน BOD/COD online , มลพิษอากาศจากปล่องระบาย CEMs) ก็จะแสดงข้อมูลการระบายมลพิษที่มีการตรวจวัด ณ เวลานั้น ๆ พร้อมสัญลักษณ์แสดงสถานะระดับการระบายมลพิษเมื่อเทียบกับมาตรฐาน ระดับปกติ ระดับเฝ้าระวัง และระดับเตือนภัย (หากเกินมาตรฐาน) ทั้งนี้ ระบบจะช่วยในการตรวจกำกับดูแลการระบายมลพิษโรงงานเชิงพื้นที่ สามารถทำการสืบค้นข้อมูลรายโรงงานในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำกับดูแลย้อนหลังได้จากระบบฐานข้อมูลมลพิษโรงงานของ กรอ. โดยระบบจะเชื่อมต่อเข้ากับระบบเตือนภัยมลพิษโรงงานหลักของ กรอ. ในการประเมินผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เชิงประเภทการประกอบกิจการ และสภาพความสกปรกหรือระดับปริมาณการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม (Pollution Loading)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ขานรับ ธปท. ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ พร้อมแถลงผลการดำเนินงานขยายสินเชื่อและประกันการส่งออกได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ปี 64
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 EXIM BANK ขานรับ ธปท. ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ พร้อมแถลงผลการดำเนินงานขยายสินเชื่อและประกันการส่งออกได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ปี 64 EXIM BANK ได้ออกมาตรการความช่วยเหลือ โดยสอดรับกับมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จำนวน 2 มาตรการ EXIM BANK ขานรับ ธปท. ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ พร้อมแถลงผลการดำเนินงานขยายสินเชื่อและประกันการส่งออกได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ปี 64 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้ออกมาตรการความช่วยเหลือ โดยสอดรับกับมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จำนวน 2 มาตรการ ดังนี้ 1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) เป็นสินเชื่อหมุนเวียนสูงสุด 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4.2% ต่อปี ทั้งนี้ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี • ลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อกับ EXIM BANK ไม่เกิน 500 ล้านบาท สามารถขอกู้เพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาทต่อราย (รวมสินเชื่อ Soft Loan เดิมที่เคยได้รับตาม พ.ร.ก. ช่วยเหลือในปี 2563) • ผู้ประกอบธุรกิจที่ยังไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินใด ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขอกู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย (รวมทุกสถาบันการเงิน) 2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (พักทรัพย์ พักหนี้) EXIM BANK รับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันของลูกหนี้ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อนำมาชำระหนี้กับ EXIM BANK เป็นการช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินชั่วคราว โดยไม่ถูกกดราคาทรัพย์สินและมีสิทธิ์ซื้อทรัพย์คืนได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปีนับแต่วันที่รับโอน ปัจจุบันมีลูกค้า EXIM BANK สนใจขอรับมาตรการความช่วยเหลือดังกล่าวจำนวนประมาณ 940 ราย เป็นวงเงินรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถแจ้งความจำนงขอรับมาตรการ หรือสอบถามได้ที่ EXIM HOTLINE เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบการจากโควิด-19 โทร. 0 2037 6099 นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของธนาคารในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 (เดือนมกราคม-มีนาคม 2564) ว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 EXIM BANK ได้ขยายบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในด้านการเงิน ทั้งสินเชื่อและประกัน และด้านที่ไม่ใช่การเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินเชื่อคงค้าง 134,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,276 ล้านบาทหรือร้อยละ 6.56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 31,648 ล้านบาทและสินเชื่อเพื่อการลงทุน 102,764 ล้านบาท การให้สินเชื่อของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 42,246 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เท่ากับ 14,399 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.08 ด้านการสนับสนุนการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 EXIM BANK มีวงเงินสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวม 92,907 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 60,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,605 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อคงค้างเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ส่งออกและลงทุนในตลาดใหม่ (New Frontiers) ซึ่งรวมถึงกลุ่ม CLMV จำนวน 43,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,273 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยรุกตลาดใหม่ โดยเฉพาะเวียดนามที่มีเสถียรภาพและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ด้านการให้บริการประกันการส่งออกและการลงทุน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย ท่ามกลางความเสี่ยงจากการได้รับชำระเงินล่าช้าหรือปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 52,366 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 15,676 ล้านบาท หรือร้อยละ 42.73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 EXIM BANK มีกำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 502 ล้านบาท แต่ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ร้อยละ 4.19 โดยมี NPLs จำนวน 5,625 ล้านบาท และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 12,396 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPLs (Coverage Ratio) สูงถึงร้อยละ 220.36 ซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่ง ทำให้ EXIM BANK มีกำไรสุทธิในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2564 เท่ากับ 92 ล้านบาท “ในปี 2564 EXIM BANK จะทำหน้าที่เป็น ‘เครื่องยนต์รุ่นใหม่’ ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยและภาคการส่งออกเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยขับเคลื่อนแบบ 2 เครื่องยนต์ (Twin Turbo) ได้แก่ การเป็น ‘ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)’ เพื่อสร้างการลงทุนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการเป็น ‘ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)’ เพื่อสร้างนักรบเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์แนวโน้มใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ และดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง” ดร.รักษ์ กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Responds to BOT with Launch of Rehabilitation Credit and Debt Set-off Asset Transfer Schemes and Announces Growth of Loan and Export Insurance in Q1/2021 Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), said that EXIM Thailand has launched two relief schemes in response to the additional financial measures rolled out by the Bank of Thailand (BOT) to assist and revive entrepreneurs affected by the COVID-19 pandemic as follows: 1. Credit Facility Support Scheme for Entrepreneurs (Rehabilitation Credit) offering a revolving credit facility with a maximum tenure of 5 years at an average interest rate of 4.2% per annum whereby the interest rate in the 1st-2nd years is 2% per annum. • Client having credit line of not exceeding 500 million baht with EXIM Thailand may apply for an additional credit amount of not exceeding 30% of the credit line as of December 31, 2019 or as of February 28, 2021, whichever is higher, but not exceeding 150 million baht per client (including the soft loan amount earlier received pursuant to the Emergency Decree on Provision of Financial Assistance enacted in 2020). • Entrepreneur having no credit line with any financial institution as of February 28, 2021 may apply for a credit amount of not exceeding 20 million baht per entrepreneur (including all credit amounts from all financial institutions). 2. Debt Set-off Asset Transfer Scheme (Asset Warehousing) EXIM Thailand will accept transfer of collateral assets of the Bank’s existing debtors affected by the COVID-19 for debt payment to the Bank. This aims to temporarily reduce business operators’ financial costs and shield them from having to sell their assets at fire-sale prices. They also have an option to buy back the assets within 3-5 years from the asset transfer date. At present, around 940 clients of the Bank have shown their interest in applying for assistances under the above schemes, involving a total amount of approximately 5,000 million baht. Interested entrepreneurs may apply for or enquire about the assistances under the above schemes via EXIM HOTLINE for Assistances to Clients and Entrepreneurs Affected by COVID-19 Tel. 0 2037 6099. EXIM Thailand President revealed that in the first 3 months (January-March) of 2021, as Thai and global economies had yet to fully recover from the COVID-19 crisis, EXIM Thailand has expanded its role in supporting Thai entrepreneurs financially with provision of credit and insurance facilities and non-financially with offering of other assistances on a consistent basis. The Bank recorded total outstanding loans of 134,412 million baht, an 8,276 million baht or 6.56% growth year-on-year, comprising 31,648 million baht in trade finance and 102,764 million baht in project finance. The Bank’s loan approvals contributed to a business turnover of 42,246 million baht, of which 14,399 million baht or 34.08% came from SMEs. In the support for Thai entrepreneurs’ expansion of trade and investment abroad, as of the end of March 2021, EXIM Thailand recorded a total accumulated loan approval amount of 92,907 million baht for international projects, with outstanding loans accounting for 60,145 million baht, an 8,605 million baht or 16.69% growth year-on-year. Of this total outstanding loan amount, 43,485 million baht was to support entrepreneurs with export and investment in new frontier markets, including CLMV, constituting a year-on-year growth of 4,273 million baht or 10.90%. This has reflected EXIM Thailand’s commitment to encouraging Thai entrepreneurs to penetrate new frontiers, particularly Vietnam which has high economic stability and growth. As regards provision of export credit and investment insurance facilities to enhance Thai exporters and investors’ confidence under the current circumstances where buyers overseas are likely to delay payment or make no payment, in the first 3 months of 2021, the Bank recorded 52,366 million baht in export credit and investment insurance business turnover, up by 15,676 million baht or 42.73% year-on-year. In the first quarter of 2021, EXIM Thailand recorded an operating profit of 502 million baht. However, due to the impacts from the COVID-19 pandemic, the Bank recorded NPL ratio of 4.19% as of the end of March 2021 with total NPL amount of 5,625 million baht. As the Bank set aside allowance for expected credit loss of 12,396 million baht, its NPL coverage ratio was as high as 220.36%. This has resulted in the Bank’s strong financial position. The Bank thus posted a net profit of 92 million baht in January-March 2021. “In 2021, EXIM Thailand will perform as a ‘new model engine’ to drive Thailand’s long-term sustainable export and economic growth with twin turbo propeller, i.e. being ‘Thailand Development Bank’ to grow Thai investment both at home and abroad on a sustainable basis alongside ‘One Stop Trading Facilitator for SMEs’ to build Thai economic warriors in conjunction with development of products and services in response to new preference trends. This aims to support and take appropriate action to assist Thai entrepreneurs amid the highly uncertain business environment today,” added Dr. Rak. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41476
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีก 1 ปี
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ครม.ขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีก 1 ปี ครม.ขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีก 1 ปี คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบตามกระทรวงดิจิทัลฯขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีก1ปีหวังลดผลกระทบทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานรัฐธุรกิจทุกขนาดและประชาชนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้(5พ.ค.64)มีมติเห็นชอบในหลักการ(ร่าง)พระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ.2562 (ฉบับที่..)พ.ศ. ....เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาฯพ.ศ. 2563ในส่วนที่กำหนดระยะเวลาใช้บังคับทำให้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯจะมีผลใช้บังคับในวันที่1มิถุนายน2565 ทั้งนี้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562เป็นกฎหมายกลางที่กำหนดหลักเกณฑ์กลไกหรือมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีประสิทธิภาพสร้างความเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีมาตรการเยียวยาเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากการถูกละเมิดอย่างเหมาะสมแต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและรุนแรงยิ่งขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้ทั้งฉบับจะทำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่-เล็กรวมทั้งประชาชนทั่วไปถ้ามีการเก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562ซึ่งมีรายละเอียดมากและซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีการกำหนดโทษปรับทางปกครองความรับผิดทางแพ่งและทางอาญาด้วยโดยในสถานการณ์โควิด-19จะเป็นการเพิ่มภาระและความยากลำบากให้กับทุกกลุ่มที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายฉบับนี้ “ที่ผ่านมาภาคธุรกิจประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและกลุ่มสมาคมด้านการท่องเที่ยวได้ร่วมกันขอให้รัฐบาลบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความไม่พร้อมในการปฏิบัติตามรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้ดีอีเอสจึงได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.และได้รับความเห็นชอบให้ขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯไปอีก1ปี”นายชัยวุฒิกล่าว โดยพ.ร.ฎ.กำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562พ.ศ. 2563ซึ่งมีผลให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางหมวดกับกิจการ22ประเภทไปจนถึง31พฤษภาคม2564จะขยายเวลาบังคับใช้ไปเป็นปี2565 อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรฐานรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่กระทรวงดิจิทัลฯประกาศกำหนดโดยต้องจัดให้มีมาตรการเรื่องการเข้าถึงและการควบคุมการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคล(Access Control)และแจ้งมาตรการดังกล่าวพร้อมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ดีอีเอสได้จัดทำร่างกฎหมายลำดับรองและร่างแผนแม่บทการส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นสาธารณะไว้แล้วรวมทั้งอยู่ระหว่างการจัดทำแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับ7ด้านได้แก่ด้านการท่องเที่ยวด้านสาธารณสุขด้านการศึกษาด้านค้าปลีกและค้าออนไลน์ด้านการคมนาคมและขนส่งด้านอสังหาริมทรัพย์และด้านภารกิจของหน่วยงานรัฐ นอกจากนี้ยังมีแผนงานเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจเรื่องการคุ้มครองบุคคลให้ผู้ประกอบการทุกประเภทกิจการและทุกขนาดโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเกิดความเชื่อมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนานวัตกรรมได้อย่างเหมาะสม **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41496
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ดีเดย์!! เปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบรอบใหม่ ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวฯ ปทุมธานี วันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ เผย ดีเดย์!! เปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบรอบใหม่ ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวฯ ปทุมธานี วันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ก.แรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย กทม. สปสช. เปิดบริการจุดตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบรอบใหม่อีกครั้งเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ก.แรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย กทม. สปสช. เปิดบริการจุดตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบรอบใหม่อีกครั้งเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี วันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ เน้น อำนวยความสะดวก รวดเร็ว ลดแออัด สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด – 19 ให้ได้เข้ารับการรักษา ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สอบถามเพิ่มเติมโทร.1506 กด 6 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระและประชาชนทั่วไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก พร้อมแรงงานนอกระบบในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการความร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. ดำเนินการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งในวันนี้ (5 พ.ค.64) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้เปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก อีกครั้ง โดยให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. โดยในแต่ละวันตรวจได้ไม่เกิน 3,000 คน รอบเช้า 1,500 คน และรอบบ่าย 1,500 คน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ กระทรวงแรงงานยังได้เปิดศูนย์ตรวจโควิด- 19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี ให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเช่นกัน โดยตรวจได้วันละ 1,000 คน รอบเช้า 500 คน รอบบ่าย 500 คน ผู้ที่ต้องการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ขอให้ผู้ที่มาตรวจนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย ซึ่งทั้งสองแห่งจะเปิดตรวจตั้งแต่วันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 1506 กด 6 เพื่อหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 2/2564
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 การประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 2/2564 รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 2/2564 วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมผ่านโปรแกรม Zoom ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมได้รายงานการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ โครงการประกวดการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Start up) ภายใต้สินเชื่อเสริมพลังสร้างอนาคต เอสเอ็มอีไทย ปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนขยาย ปรับปรุงกิจการและเพื่อเสริมสภาพคล่อง รวมถึงภาพรวมของการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังได้รายงานความก้าวหน้าข้อเสนอ Conceptual Model Project เพื่อนำเสนอเป็นโครงการ Show case ในการประชุม APEC ปี พ.ศ. 2565 โดยการบูรณาการร่วมกันระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ โครงการนำร่องสาธิตการใช้แผงโซลาร์ปลดระวางจากโซล์ฟาร์มเพื่อสร้างประโยชน์ต่อชุมชน (Solar Module Second Life for Better Life) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ เพิ่มความคุ้มค่า เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41477
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เผย ศูนย์เฟคนิวส์ ดีเอสไอ ล่า มือป่วนโพสต์ “โควิดสายพันธุ์อินเดีย” พบเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เตรียมให้ข้อมูลโครงข่ายเชิงลึก ต่อ บก.ปอท. ดำเนินการเอาผิด เตือนประชาชนเช็
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม เผย ศูนย์เฟคนิวส์ ดีเอสไอ ล่า มือป่วนโพสต์ “โควิดสายพันธุ์อินเดีย” พบเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เตรียมให้ข้อมูลโครงข่ายเชิงลึก ต่อ บก.ปอท. ดำเนินการเอาผิด เตือนประชาชนเช็ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกร เผย ศูนย์เฟคนิวส์ ดีเอสไอ ล่า มือป่วนโพสต์ “โควิดสายพันธุ์อินเดีย” พบเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เตรียมให้ข้อมูลโครงข่ายเชิงลึก ต่อ บก.ปอท. ดำเนินการเอาผิด เตือนประชาชนเช็คก่อนแชร์ก่อนตกเป็นเครื่องมือกลุ่มคนไม่หวังดี ภายหลังที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ตั้งศูนย์สืบสวนต่อต้านข่าวสารอันเป็นเท็จในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า ( COVID-19 ) หรือ เฟคนิวส์ ล่าสุดการประชุมมีข้อสรุป หลังทำการตรวจสอบกรณีการบิดเบือนข้อมูลทั้งยังมีการแชร์ เรื่องการแพร่ระบาดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย บริเวณห้างดิโอลด์สยาม จากนักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาในประเทศอินเดีย นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้เผยแพร่ข้อมูล โควิดสายพันธุ์อินเดีย ที่เป็นเท็จจนสังคมเข้าใจผิดจนมีการแชร์ต่อๆกันไปในโลกโซเชียลมีเดีย เป็นนักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดหนึ่งเป็นคนเผยแพร่ จากนี้ ดีเอสไอ จะรวบรวมหลักฐานและส่งข้อมูลความเชื่อมโยงของกลุ่มที่บิดเบือนข้อมูลความเป็นจริงในเรื่อง โควิด 19 ให้กับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) หรือ ประสานข้อมูลต่อไปยัง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อให้ไปดำเนินการต่อ แต่หากประเด็นใดที่ ศูนย์เฟคนิวส์ ดีเอสไอสามารถดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายได้ด้วยตัวเองก็จะทำในทันที “เวลานี้กลุ่มคนที่ให้ข่าวอันเป็นเท็จ มีความจงใจให้ประชาชนเกิดความสับสน ตระหนกตกใจ ทั้งยังหวังดิสเครดิตรัฐบาล หวังสร้างความเกลียดชัง ดังนั้นเรื่องนี้กระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลดีเอสไอจะเข้ามามีส่วนร่วมในการหาข้อมูลเชิงลึกของผู้กระทำผิด เพราะเวลานี้รัฐบาลทำทุกทางในการแก้ปัญหาโควิด19 ให้สถานการณ์ดีขึ้น และขอให้กลุ่มที่สร้างข่าวปลอมที่เกี่ยวกับโควิด 19 หยุดพฤติกรรมซ้ำเติมสังคมเสียที นอกจากนี้ผมอยากฝากให้ประชาชน เช็คก่อนแชร์ข่าวสารในโซเชียลมีเดีย ตรวจสอบข้อมูลโดยตรงจากรัฐบาลว่าอันไหนจริงหรือเท็จไม่งั้นจะตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ไม่หวังดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41499
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนชน ลดค่าประปา-ไฟฟ้า พร้อมเพิ่มวงเงินโครงการ “เราชนะ” และ “ม.33 เรารักกัน” 1,000/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ครม. ไฟเขียว มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนชน ลดค่าประปา-ไฟฟ้า พร้อมเพิ่มวงเงินโครงการ “เราชนะ” และ “ม.33 เรารักกัน” 1,000/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ครม. ไฟเขียว มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนชน ลดค่าประปา-ไฟฟ้า พร้อมเพิ่มวงเงินโครงการ “เราชนะ” และ “ม.33 เรารักกัน” 1,000/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงถึงการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เนื่องพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เพื่อพิจารณาความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมาได้ออกมาตรการจำนวนมาก อาทิ โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน และมาตรการทางการเงิน อาทิ มาตรการสินเชื่อ พักทรัพย์ พักหนี้ และมาตรการทางภาษี การลดภาษี และมาตรการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนเพิ่มเติมโดยเร่งด่วน โดยสรุปได้เป็นมาตรการ ดังต่อไปนี้ มาตรการระยะที่ 1 ประกอบด้วย 3 มาตรการหลักที่สามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ 1) มาตรการด้านการเงิน มี 2 มาตรการ คือ (1.1) มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ และเกษตรกร โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายละ 10,000 บาท ด้วยหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติ ดอกเบี้ย ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 ปี ปลอดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก และ (1.2) มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs ขยายระยะเวลาพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ ออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อลดภาระ และสามารถนำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นเสริมสภาพคล่อง ซึ่งจะจากผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลลูกหนี้ได้อย่างเหมาะสม 2) มาตรการด้านการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย โดยภาครัฐจะลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปาของประชาชน และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและกิจการที่ถูกปิด 3) มาตรการต่อเนื่องด้านการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ประกอบด้วย 2 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท ได้แก่การเพิ่มวงเงินโครงการเราชนะ อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิถุนายน 2564 วงเงินรวมประมาณ 67,000 ล้านบาท และ การเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิถุนายน 2564 วงเงินรวมประมาณ 18,500 ล้านบาท มาตรการระยะที่ 1 นั้น ในวันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการในส่วนของมาตรการด้านการเงินทั้ง 2 เรื่องตามที่กระทรวงการคลังเสนอ พร้อมเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปา และไฟฟ้า ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 สำหรับการเพิ่มเงินในโครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งนำเสนอโครงการให้พิจารณาตามขั้นตอนเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการต่อเนื่องอื่น ๆ อาทิ การช่วยเหลือลูกหนี้กยศ. โดยการขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดออกไปจนสิ้นปี 2564 และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ซึ่งจะมีผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ประมาณ 3 ล้านคน รวมทั้งการชดเชยผู้ประกันตนตาม ม.33 ที่ต้องกักตัวหรือต้องหยุดทำงาน นายกรัฐมนตรีเผยว่านอกจากโครงการระยะสั้นแล้ว รัฐบาลยังได้วางแผนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องไปอีกถึงอย่างน้อยสิ้นปีนี้ ด้วยมาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าถ้าทุกคนร่วมมือกันเพื่อจำกัดการระบาดอย่างเต็มที่ สถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการในระยะที่ 2 ได้ โดยมาตรการในระยะที่ 2 ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก กรอบวงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท ได้แก่ 1. มาตรการลดภาระค่าครองชีพ ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม - ธันวาคม 2564 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 13.6 ล้านคน และ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม - ธันวาคม 2564 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2.5 ล้านคน 2. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง และรายได้สูง ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ซึ่งโครงการที่ประชาชนมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว และเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานรากได้โดยตรง และโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็นโครงการใหม่ โดยภาครัฐจะสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เมื่อชำระเงินผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการร้านค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อสูงให้นำเงินออกมาใช้จ่ายและสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ มาตรการในระยะที่ 2 ทั้ง 4 โครงการ จะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า 51 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการได้มากยิ่งขึ้น โดยมาตรการในระยะที่ 2 นี้ คณะรัฐมนตรีได้รับทราบในหลักการ พร้อมให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจะเร่งดำเนินการเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีต่อไป นายกรัฐมนตรีย้ำว่าทั้งหมดนี้คือการดำเนินการอย่างเต็มที่ของรัฐบาลและศบค. ในการบริหารจัดการ แก้ปัญหาวิกฤตโควิด ทั้งด้านการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด และการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีและในฐานะผู้อำนวยการศบค. ไม่มีวันท้อถอยหรือท้อแท้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาใด ๆ และจะไม่หยุดในการคิดและทำเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และให้ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แข็งแรงและยั่งยืน .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41486
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ปรับแผนงาน โครงการ กิจกรรมให้สอดรับสถานการณ์โควิด-19 มุ่งสร้างเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชน พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสใช้ช่วงงดรับนักท่องเที่ยว เตรียมความพร้อมสถานที่ อบรมมัคคุเทศก์
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 วธ. ปรับแผนงาน โครงการ กิจกรรมให้สอดรับสถานการณ์โควิด-19 มุ่งสร้างเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชน พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสใช้ช่วงงดรับนักท่องเที่ยว เตรียมความพร้อมสถานที่ อบรมมัคคุเทศก์ วธ. ปรับแผนงาน โครงการ กิจกรรมให้สอดรับสถานการณ์โควิด-19 มุ่งสร้างเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชน พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสใช้ช่วงงดรับนักท่องเที่ยว เตรียมความพร้อมสถานที่ อบรมมัคคุเทศก์ในชุมชนคุณธรรมฯ “บวร On Tour” ไว้รับนักท่องเที่ยวหลังโควิดคลี่คลาย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.) และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ทั่วประเทศผ่านการประชุมทางออนไลน์ โดยที่ประชุมได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ในช่วงไตรมาสที่ 3 (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2564) ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้มากที่สุด และได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดไปจัดทำแผนดำเนินงานในช่วง 6 เดือน (เมษายน-กันยายน 2564) เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้น อีกทั้งให้แต่ละหน่วยงานปรับเปลี่ยนวิธีทำงานโดยมุ่งสร้างเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชน เพื่อขับเคลื่อนภารกิจต่างๆไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง เช่น การเร่งพัฒนา ต่อยอดและยกระดับผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) การส่งเสริมชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร การยกระดับให้เป็นชุมชนคุณธรรมฯ “บวร On Tour” เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืน ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า แม้ขณะนี้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ชุมชนคุณธรรมฯ “บวร On Tour” ต้องงดจัดกิจกรรมต่างๆ และงดต้อนรับนักท่องเที่ยวชั่วคราว แต่ถือว่าวิกฤตนี้เป็นโอกาสที่จะให้ สวจ.ร่วมกับชาวชุมชนจัดเตรียมความพร้อมทุกด้าน เช่น สถานที่ต่างๆ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ฝึกอบรมอาชีพ การอบรมมัคคุเทศก์ การจัดทำโฮมสเตย์เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ล่าสุดได้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาต่อยอดโครงการชุมชนคุณธรรมฯ “บวร On Tour” ให้สวจ. แล้วกว่า 6 ล้านบาท ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมต่างๆได้กำชับให้สวจ.พิจารณาความเหมาะสมและปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบส. แจงเรียกเก็บจ่ายค่ารักษาโควิด 19 เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สบส. แจงเรียกเก็บจ่ายค่ารักษาโควิด 19 เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ชี้แจง หลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่ารักษาโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลเอกชน ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ครม.มีมติเห็นชอบ ทั้ง 3 ฉบับ ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ชี้แจง หลักเกณฑ์การเรียกเก็บค่ารักษาโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลเอกชน ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ครม.มีมติเห็นชอบ ทั้ง 3 ฉบับ ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เป็นสิทธิของผู้ป่วย และญาติที่จะเลือกรับบริการโดยชำระค่าใช้จ่ายเอง บ่ายวันนี้ (5 พฤษภาคม 2564 ) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ระบบการดูแลประชาชน รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักดีว่า ในภาวะเช่นนี้การลดภาระให้กับประชาชนในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลเป็นเรื่องสำคัญ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ประกาศว่า โรคโควิด 19 เป็นโรคฉุกเฉินและติดต่ออันตราย เป็นสภาวะฉุกเฉินที่ทุกคนในแผ่นดินไทยต้องได้รับการรักษาพยาบาล ทั้งในภาครัฐ และเอกชน ซึ่งเป็นไปตามมติครม.ที่ประกาศเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยทั้ง 3 ฉบับมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขการเบิกจ่าย ดังนี้ ฉบับที่ 1 ประกาศใช้วันที่ 31 มีนาคม 2563 รายการยา ค่าห้อง ค่าเครื่องมือแพทย์ ค่าบุคลากร ครอบคลุมความจำเป็นในการดูแล ฉบับที่ 2 ประกาศใช้วันที่ 21 เมษายน 2563 ปรับเพิ่มรายการยาให้ครอบคลุม และฉบับที่ 3 ประกาศใช้วันที่ 27 เมษยน 2563 เพิ่มเติมให้ครอบคลุมในเรื่องรถรับส่งผู้ป่วย ค่าทำความสะอาดรถ และค่ารักษาอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน สำหรับสถานพยาบาลเอกชนให้ดำเนินการเรียกเก็บจากสปสช.ตามบัญชีและอัตราแนบท้ายประกาศในส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม ให้เป็นสิทธิของผู้ป่วย และญาติที่จะเลือกรับบริการโดยชำระค่าใช้จ่ายเองโดยเมื่อผู้ป่วยเข้าไปรับการรักษาสถานพยาบาลจะต้องได้รับการดูแล 2 เรื่อง คือ ดูแลผู้ป่วยให้เกิดความปลอดภัย เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากไม่ดำเนินตามประกาศ มีโทษในมาตรา 66 ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา พบสถานพยาบาลเอกชนฝ่าฝืนดำเนินการเรียกค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วย จำนวน 44 เรื่อง ผู้รับบริการ 74 ราย ขณะนี้ได้ดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งสถานพยาบาลได้คืนเงินผู้ป่วยทั้ง 74 รายแล้ว สำหรับเดือนเมษายนมีเรื่องคงค้างอยู่ระหว่างสอบสวน หากมีข้อสงสัยหรือสอบถามเพิ่มเติมในเรื่องการเก็บค่ารักษาพยาบาล ได้ที่สายด่วน 1330 สปสช และสายด่วน 1426 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ********************************5 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41495
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก เผย สปสช. ให้ความมั่นใจ ช่วยเหลือหากได้รับความเสียหายหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยรัฐ
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 รองโฆษก เผย สปสช. ให้ความมั่นใจ ช่วยเหลือหากได้รับความเสียหายหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยรัฐ รองโฆษก เผย สปสช. ให้ความมั่นใจ ช่วยเหลือหากได้รับความเสียหายหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยรัฐ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาล โดย สปสช. ช่วยเหลือดูแลคนไทยทุกสิทธิ์ทั้งสิทธิประกันสังคม บัตรทอง และสิทธิราชการ รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุข หากได้รับความเสียหายจากการรับการฉีด “วัคซีนโควิด-19” โดยรัฐ โดยเริ่มให้ความคุ้มครองตั้งแต่วัคซีนเข็มแรกที่ฉีดให้คนไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือ มาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ย้ำหลักการไม่ใช่พิสูจน์ถูกผิด โดยประชาชนสามารถยื่นเรื่องได้ทั้งที่โรงพยาบาล สาธารณสุขจังหวัด และเขต สปสช. ซึ่งจะมีคณะกรรมการพิจารณาอัตราช่วยเหลือเยียวยา ภายใน 5 วัน หลังจากที่อนุกรรมการได้รับเรื่อง ซึ่งจะเป็นใช้จ่ายงบประมาณจากงบใช้จ่ายเงิน (กู้) เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 “ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลดูแลความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทยทุกคน อย่างดีที่สุดรวมทั้งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งประชาชนบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ด่านหน้า หากท่านได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขหรือกรณีของการรับวัคซีนโควิด-19 ของภาครัฐ ที่บางรายเท่านั้นที่เกิดอาการหรือผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ จะได้รับการดูแลช่วยเหลือจากรัฐบาล” นางรัชดา ย้ำ สำหรับ ผู้ลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 จนถึงวันนี้ (ณ เวลา 08.00 น.) รวมจำนวน 1,016,893 คน โดยลงทะเบียนผ่านไลน์ 818,962 คน และแอปพลิเคชั่น 197,931 คน โดยได้มีการรายงานให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 1,573,075 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 1,150,564 ราย และมีผู้ได้รับแล้ว 2 เข็มจำนวน 422,511 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สะสมแล้ว 285,735 โดส ในส่วนจังหวัดภูเก็ตมีรายงานว่า มีประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วราว 1 แสนคน โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตร่วมกับภาคเอกชน กระจายจุดฉีดวัคซีน 5 จุดใน 3 อำเภอ ที่ รร.อังสนา ลากูนา / สะพานหิน / ภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท / ห้างจังซีลอน ด้วย .........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41473
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2564 พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) หลายจุดมีการแพร่ระบาดทั้งในแหล่งที่พักอาศัยและในชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้างและแม้ว่าประเทศไทยจะมีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วแต่สถานการณ์ COVID-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและยังอยู่ในจุดที่ต้องเฝ้าระวัง ดังนั้นเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการและประชาชนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำผู้ประกอบอาชีพอิสระผู้ประกอบการรายย่อยรวมไปถึงเกษตรกรรายย่อย โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายละ 10,000 บาท ด้วยหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติดอกเบี้ยร้อยละ0.35ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 3 ปีปลอดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก 2. มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายระยะเวลาพักชำระหนี้โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราวให้แก่ลูกหนี้หรือนำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นสภาพคล่องเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือประกอบธุรกิจในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูงโดยจะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ลูกหนี้มากจนเกินไปและพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่มากไปหาน้อยเพื่อดูแลลูกหนี้ในแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์ของลูกหนี้เป็นสำคัญ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอความร่วมมือให้ผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ เช่น Non-bank เป็นต้น เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นหลัก ทั้งนี้ อาจให้ความสำคัญกับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่มากไปน้อยในลักษณะเช่นเดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป นอกจากนี้ ยังมีมาตรการด้านการเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการได้แก่ 1) พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ 2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS9 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม 3) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ ของธนาคารแห่งประเทศไทย 4) มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 5) การปรับวิธีคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ และ 6) การแก้ไขเพิ่มเติมอัตราดอกเบี้ยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กระทรวงการคลังจะมีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที รวมไปถึงการออกมาตรการเพื่อดูแลและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเมื่อสถานการณ์ต่างๆได้คลี่คลายลงในระยะต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม o ธนาคารออมสิน โทร. 1115 o ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02-555-0555 o ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 0-2645-9000 o ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 1357 o ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 0-2617-2111 o ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 1302 o บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 0-2890-9999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อีก 6 ปี เพิ่มแหล่งนำเข้าสินค้าทางเลือก
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อีก 6 ปี เพิ่มแหล่งนำเข้าสินค้าทางเลือก ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อีก 6 ปี เพิ่มแหล่งนำเข้าสินค้าทางเลือก นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ว่า ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อาทิ อัฟกานิสถาน แองโกลา บังกลาเทศ และเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีของไทยในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) โดยยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (Duty Free Quota Free Scheme : DFQF) ขยายระยะเวลาออกไปอีก 6 ปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2569 (จากเดิม โครงการระยะที่ 1 สิ้นสุดเมื่อ 31 ธันวาคม 2563) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งการต่ออายุโครงการในครั้งนี้ มีจำนวนสินค้าที่ไทยให้สิทธิพิเศษภายใต้โครงการรวมทั้งสิ้น 7,187 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 66.47 ของรายการสินค้าทั้งหมดในระบบ HS 2017 (ระบบพิกัดศุลกากรสากล) ส่วนประเทศที่ต้องการใช้สิทธิพิเศษ จะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามประกาศกรมศุลกากร สำหรับผลการดำเนินโครงการ DFQF ระยะที่ 1 ซึ่งไทยเข้าร่วมตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2558 และสิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีมูลค่าและสัดส่วนการนำเข้าภายใต้โครงการน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าจากทั่วโลก ในปี 2562 มีมูลค่าการนำเข้ารวม 39.37 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.0005 ของการนำเข้าจากทั่วโลก และในปี 2563 มีมูลค่าการนำเข้ารวม 98.09 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.0015 ของการนำเข้าจากทั่วโลก โดยเป็นการนำเข้าสินค้าจากประเทศเอธิโอเปียและบังกลาเทศ รวม 11 รายการ ซึ่งสินค้าที่มีการใช้สิทธิพิเศษ 3 อันดับแรก คือ 1)เมล็ดงานที่บริโภคได้ 2)กางเกงขายาว ชุดหมี กางเกงสามส่วน กางเกงขาสั้นทำจากเส้นใยสังเคราะห์ และ 3)เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัวอื่นๆ ที่ทำจากพลาสติก นางสาวรัชดากล่าวว่า การต่ออายุโครงการดังกล่าว แม้จะเป็นการยกเว้นภาษี ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 32 - 36 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทยทำให้มีแหล่งนำเข้าทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มวัตถุดิบและสินค้าขั้นต้น และมีราคาสินค้าที่ถูกกว่าหลายรายการ เมื่อเทียบกับราคานำเข้าเฉลี่ยจากทั้งโลกและจากแหล่งนำเข้าอื่นๆ ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41489
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เข้มคัดกรอง ติดตาม และแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชนในพื้นที่กทม.
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สธ.เข้มคัดกรอง ติดตาม และแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชนในพื้นที่กทม. กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกทม. เข้มคัดกรอง ค้นหาเชิงรุก ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง-ต่ำ แยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน นำเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็วที่สุด กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกทม. เข้มคัดกรอง ค้นหาเชิงรุก ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง-ต่ำ แยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน นำเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็วที่สุด ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ชุมชนโปโล ชุมชนพระเจน ชุมชนกุหลาบแดง ชุมชนร่วมฤดี ชุมชนเคหะบ่อนไก่เขตปทุมวันพบผู้ไม่ติดเชื้อถึงร้อยละ 99 เร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่ สร้างภูมิคุ้มกันลดป่วยรุนแรง ลดเสียชีวิต บ่ายวันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ระลอก เมษายน 2564 จำนวน 2,112 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,955 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 152 ราย จากต่างประเทศ 5 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,886 ราย หายป่วยสะสม 16,934 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 30,222 ราย อาการหนัก 1,042 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 343 ราย และมีผู้เสียชีวิต 15 ราย เป็นชาย 8 ราย หญิง 7 ราย อายุระหว่าง 50-86 ปี อยู่ใน กทม. 4 ราย นนทบุรี สุโขทัย จังหวัดละ 2 ราย ปทุมธานี ระยอง ยะลา อยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ นครพนม นครปฐม จังหวัดละ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงการติด เชื้อยังคงมาจากการสัมผัสในครอบครัว เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน สัมผัสกับผู้ติดเชื้อยืนยันก่อนหน้า เดินทางและอาศัยในพื้นที่เสี่ยง สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,573,075 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,150,564 ราย และครบ 2 เข็ม 422,511 ราย โดยในวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีน 74,458 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 44,493 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 29,965 ราย นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมประเทศในขณะนี้ พบว่าพื้นที่ต่างจังหวัด สามารถควบคุมได้ค่อนข้างดี ยังคงต้องเฝ้าระวังติดตามการแพร่กระจายสู่ครอบครัว เพื่อน และที่ทำงาน ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขได้ ร่วมกับกทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่คัดกรอง ค้นหาเชิงรุก ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำ แยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษาให้เร็วที่สุด ข้อสังเกตพบว่าใน 6 ชุมชนอัตราการ ติดเชื้อไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันมีผู้ไม่ติดเชื้อในชุมชนมากถึงร้อยละ 99 จึงเร่งดำเนินการ เพื่อจำกัด พื้นที่และวงจรการระบาด โดยการเร่งฉีดวัคซีน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันลดการป่วยที่รุนแรงและเสียชีวิต สำหรับการค้นหาเชิงรุกที่ชุมชนแออัดในเขตปทุมวัน พบผู้ติดเชื้อในชุมชนพัฒนาบ่อนไก่พบ 61 รายคิดเป็นร้อยละ 1.53 ชุมชนเคหะบ่อนไก่ 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.14 เป็นต้น ชุมชนโปโล 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.67 ชุมชนพระเจน8 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.32 ชุมชนกุหลาบแดง 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.11ชุมชนร่วมฤดี 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.13 ********************************5 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41494
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำการฉีดวัคซีน ป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและลดเสียชีวิต ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำการฉีดวัคซีน ป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและลดเสียชีวิต ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำการฉีดวัคซีนมีประโยชน์ ป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและลดเสียชีวิต ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง และปกป้องครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือกวัคซีนให้กับคนไทย นอกจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว สิ่งสำคัญคือความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้จากการฉีดวัคซีนทั่วโลก 1 พันกว่าล้านโดส ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตแม้จะมีเหตุการณ์พบผู้เสียชีวิตภายหลังการฉีดวัคซีน แต่เมื่อชันสูตรแล้วพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ส่วนกรณีพบอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน เช่น การเกิดลิ่มเลือด องค์การอนามัยโลกได้ให้ข้อมูลว่าหลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าฉีด 1 ล้านคน พบการเกิดลิ่มเลือด 1 คน ถือว่าน้อยมาก ขอให้ประชาชนมั่นใจ สำหรับประเทศไทย ขณะนี้มีวัคซีน2ชนิด คือ ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งซิโนแวคข้อมูลล่าสุดชัดเจนว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อที่ไม่มีอาการได้ถึงร้อยละ78ส่วนแอสตร้าเซนเนก้ากับไฟเซอร์ ได้มีการศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบกันในประเทศอังกฤษ พบว่าหลังฉีด 1 เข็ม ทั้ง2ยี่ห้อ ได้ผลในการป้องกันโรคถึงร้อยละ 65และป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้าไอซียูหรือเสียชีวิต ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เท่ากัน ย้ำว่าประสิทธิภาพประสิทธิผล มีความชัดเจนและมีประโยชน์แน่นอน ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม กล่าวต่อว่า สำหรับประโยชน์ที่ได้จากวัคซีนนั้น จะทำให้ตนเองมีภูมิคุ้มกัน ปกป้องครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติ อย่างไรก็ตามหลังฉีดวัคซีนแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ปรับพฤติกรรมตนเอง ไม่รับความเสี่ยงหรือทำให้ผู้อื่นมีความเสี่ยงเพราะวัคซีนที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่วัคซีนที่อยู่ในขวดแต่อยู่ที่พฤติกรรมโอกาสการแพร่เชื้อให้กัน เกิดจากการอยู่ใกล้กัน หากอยู่ห่างกันเกิน2เมตรและสวมหน้ากาก โอกาสติดแทบจะเป็นศูนย์ “การที่จะผ่านวิกฤตโควิด19ครั้งนี้ไปได้ ทุกคนจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง และครอบครัว ประเทศชาติ โดยช่วยกันฉีดวัคซีน ขอยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสูงมาก ดีกว่าการที่ไม่ได้รับการฉีดแน่นอน ทำให้เกิดภูมิต้านทาน ไม่ติดเชื้อ ที่สำคัญคือ วัคซีนไม่ทำให้เสียชีวิต” ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดมกล่าว *****************************5 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41480
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 พฤษภาคม 2564
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 พฤษภาคม 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (5 พฤษภาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ) 3. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างภาคผนวก 6 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และร่างภาคผนวก 7 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษณ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดวัตถุอื่นเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) 11. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... 12. เรื่อง รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และการเสนอร่าง พระราช กฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การให้ความช่วยเหลือ เยียวยาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัยสภาผู้แทนราษฎร 14. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น 15. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านคนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) 16. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 1/2564 17. เรื่อง รายงานประจำปี 2562 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 18. เรื่อง รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2563 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 19. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนมีนาคม 2564 20. เรื่อง ความก้าวหน้าการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากไฟป่าและการเผาในที่โล่ง ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2564 21. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2564 22. เรื่อง ผลการสอบบัญชี สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 และรายงานประจำปี 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 23. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) ครั้งที่ 6/2564 24. เรื่อง ผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน 25. เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 26. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2564 และครั้งที่ 14/2564 27. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ 28. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ต่างประเทศ 29. เรื่อง โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 30. เรื่อง การต่ออายุโครงการการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (Duty Free Quota Free Scheme : DFQF) ของไทย ระยะที่ 2 31. เรื่อง การยื่นขอเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และการอุดหนุน (Countervailing : CVD) สินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย ในรูปแบบการกำหนดราคาขั้นต่ำและ/หรือโควตาภาษี (Undertaking Agreement) แต่งตั้ง 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงบประมาณ) 33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ 34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ 36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ) 37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ อว. เสนอ 3. ให้ อว. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ อว. เสนอ เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2548 โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ที่เป็นส่วนราชการ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ซึ่งสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น 2. กำหนดให้กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน 3. กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น อำนาจในการซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ จำหน่าย และแลกเปลี่ยน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของมหาวิทยาลัย ตลอดจนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ในทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อำนาจในการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน และลงทุนหรือร่วมลงทุน และอำนาจในการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และอำนาจในการกำหนดค่าตอบแทนหรือค่าตอบแทนพิเศษ รวมทั้งสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ และประโยชน์อย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย 4. กำหนดให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือกฎหมายอื่น 5. กำหนดให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้บริการทางวิชาการและวิชาชีพ และการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมโดยตรงไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดีทั้งปวง รวมทั้งการบังคับทางปกครอง บุคคลใดจะยกอายุความหรือระยะเวลาในการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับมหาวิทยาลัยในเรื่องทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยมิได้ 6. กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย กำหนดการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การเงิน และวิชาการ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยมากกว่าบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ 7. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดี หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีตามจำนวนที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมายก็ได้ โดยอธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้ 8. กำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินส่วนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และต้องจัดให้มีการตรวจสอบระบบบัญชี และให้มีการเผยแพร่บัญชีที่ได้รับรองแล้วในรายงานประจำปี รวมทั้งกำหนดให้รัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย 9. กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2548 มาเป็นข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ 10. กำหนดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสถานภาพข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย โดยกำหนดให้ต้องแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แต่หากข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งมิได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย หรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ให้ยังคงสถานะความเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการต่อไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น 11. กำหนดให้พนักงานมหาวิทยาลัยและลูกจ้างของมหาวิทยาลัยต้องได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่ก่อนเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. และกระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. สืบเนื่องจากพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 704) พ.ศ. 2563 ได้สิ้นสุดการบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ยธ. จึงได้มีหนังสือขอให้ กค. พิจารณาขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการจ้างงานผู้พ้นโทษเข้าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวออกไป เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้กับผู้พ้นโทษสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างมั่นคงและเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง 2. กค. พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการในการจ้างผู้พ้นโทษเข้าทำงาน จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคมท พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยตราเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ) เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานผู้พ้นโทษเข้าทำงานในสถานประกอบการ อันเป็นการส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานผู้พ้นโทษเข้าทำงาน ช่วยให้ผู้พ้นโทษสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีอาชีพก่อให้เกิดรายได้และไม่กลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก 3. กค. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่ามาตรการทางภาษีดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1,935 ล้านบาท แต่มีประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 3.1 สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษให้มีอาชีพ ก่อให้เกิดรายได้พึ่งพาตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี 3.2 สร้างโอกาสให้ผู้พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมั่นคง ก่อให้เกิดการสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากการลดการกลับมากระทำความผิดซ้ำ 3.3 เสริมสร้างด้านเศรษฐกิจตลาดแรงงานในประเทศไทยที่ขาดแคลนโดยไม่ต้องพึ่งแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน อันจะช่วยสร้างประโยชน์ในทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่ง สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ผู้พ้นโทษ” หมายความว่า นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีสัญชาติไทยที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ เนื่องจากครบกำหนดโทษตามหมายศาล ลดวันต้องโทษจำคุก หรือพักการลงโทษ 2. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรับผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัว เข้าทำงาน สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานผู้พ้นโทษเฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 3. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากรสำหรับการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ตั้งแต่เดือนที่รับผู้พ้นโทษเข้าทำงานจนถึงเดือนสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ 4. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานผู้พ้นโทษ ต้องไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากรายจ่ายในการจ้างงานบุคคลดังกล่าวตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรอีก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน 3. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างภาคผนวก 6 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และร่างภาคผนวก 7 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างภาคผนวก 6 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และร่างภาคผนวก 7 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจัดทำโดยคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงระบบงานสารบรรณ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและร่างภาคผนวก ซึ่งจัดทำโดยคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงระบบงานสารบรรณ ตามที่ สปน. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้ส่วนราชการต้องปฏิบัติงานสารบรรณด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการปฏิบัติงานสารบรรณด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้รองรับและสนับสนุนการปฏิบัติงานสารบรรณทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีมาตรฐานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และความมั่นคงปลอดภัยในการดำเนินงานของภาครัฐ และให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการติดต่อกับส่วนราชการ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบและร่างภาคผนวกดังกล่าวด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและร่างภาคผนวก 1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 1.1 กำหนดให้การติดต่อราชการต้องดำเนินการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก เว้นแต่กรณีที่เป็นข้อมูลข่าวสารลับชั้นลับที่สุด เป็นสิ่งที่เป็นความลับของทางราชการชั้นลับที่สุด หรือมีเหตุจำเป็นอื่นใดที่ไม่สามารถดำเนินการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยให้กรณีที่ส่งหนังสือทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนราชการผู้ส่งไม่ต้องจัดส่งหนังสือเป็นเอกสารตามไปอีก (จากเดิมที่กำหนดให้การปฏิบัติงานสารบรรณทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นทางเลือก) 1.2 ปรับปรุงความหมายของ “สื่อกลางบันทึกข้อมูล” ให้หมายความรวมถึงคลาวด์ (cloud) ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน (จากเดิมที่หมายถึงเฉพาะสื่อใด ๆ ที่อาจใช้บันทึกข้อมูลได้ด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นซีดี – อ่านอย่างเดียวหรือแผ่นดิจิทัลอเนกประสงค์ เป็นต้น) และแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์” เพื่อให้หมายความรวมถึงการใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) รวมทั้งระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นในการรับส่งหนังสือราชการ เพื่อให้เกิดความชัดเจน 1.3 กำหนดให้ในกรณีที่บันทึกจัดทำในระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ หรือโดยการพิมพ์ข้อความในไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบสื่อสารอื่นใดที่มีการยืนยันตัวตน จะพิมพ์ชื่อผู้บันทึกแทนการลงลายมือชื่อก็ได้ และจะไม่ลงวัน เดือน ปีที่บันทึกก็ได้หากระบบมีการบันทึกวัน เดือน ปีไว้อยู่แล้ว 1.4 กำหนดให้ส่วนราชการจัดให้มีทะเบียนหนังสือรับ ทะเบียนหนังสือส่ง บัญชีหนังสือส่งเก็บ ทะเบียนหนังสือเก็บ บัญชีส่งมอบหนังสือครบ 20 ปี บัญชีหนังสือครบ 20 ปีที่ขอเก็บเอง บัญชีฝากหนังสือ และบัญชีหนังสือขอทำลาย ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยกรอกรายละเอียดเช่นเดียวกับทะเบียนหรือบัญชีในรูปแบบเอกสาร 1.5 กำหนดในกรณีที่หน่วยงานสารบรรณกลางได้ส่งหนังสือด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ให้ถือว่าการเก็บสำเนาหนังสือไว้ในระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งนั้นเป็นการเก็บสำเนาไว้ที่หน่วยงานสารบรรณกลางแล้วโดยไม่ต้องเก็บเป็นเอกสารอีก 1.6 กำหนดให้ส่วนราชการจัดให้มีระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์สำหรับปฏิบัติงานสารบรรณ หรืออย่างน้อยต้องมีที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์กลางสำหรับการรับและการส่งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของส่วนราชการนั้น และให้ส่วนราชการประกาศเผยแพร่ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์กลางในเว็บไซต์ของส่วนราชการนั้น และให้แจ้งไปยังสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) เพื่อรวบรวมเผยแพร่พร้อมกับหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ตรวจสอบหนังสือ ที่ส่งมายังที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวด้วย 1.7 กำหนดให้การพัฒนาระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของส่วนราชการ หรือกรณีที่มีปัญหาอุปสรรคทางเทคนิคในการปฏิบัติงานสารบรรณด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ หรือในการเชื่อมโยงข้อมูลหรือระบบกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่น ส่วนราชการอาจขอรับการสนับสนุนหรือขอความช่วยเหลือจาก สพร. หรือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ได้ 2. ร่างภาคผนวก 6 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะ วิธีการดำเนินการ และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบสารบัญอิเล็กทรอนิกส์จะต้องสนับสนุนการสร้างหนังสือตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ สามารถรองรับหนังสือที่สร้างโดยใช้กระดาษแล้วแปลงเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถรับส่งหนังสือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ 3. ร่างภาคผนวก 7 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรูปแบบที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์กลางของส่วนราชการ หลักเกณฑ์วิธีการในการรับส่งหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และการกำหนดหลักเกณฑ์ในการตั้งชื่อไฟล์เอกสารที่จะส่งโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2556 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง 1. สำนักงานเลขาธิการ 2. กองกฎหมายและระเบียบราชการ 3. กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น 4. กองพัฒนาระบบราชการ 1 5. กองพัฒนาระบบราชการ 2 6. กองติดตามและประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ 7. กองส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ 8. กองบริหารการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม 9. กองเผยแพร่และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ 10. กองพัฒนาระเบียบราชการส่วนภูมิภาคและความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1. สำนักงานเลขาธิการ (คงเดิม) 2. กองกฎหมายและระเบียบราชการ (คงเดิม) 3. กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงาน ของรัฐรูปแบบอื่น (คงเดิม) 4. กองพัฒนาระบบราชการ 1 (คงเดิม) 5. กองพัฒนาระบบราชการ 2 (คงเดิม) 6. กองติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ (ยุบรวมเหลือ 1 กอง) 7. กองนวัตกรรมบริการภาครัฐ (เปลี่ยนชื่อ) 8. กองขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล (เปลี่ยนชื่อ) 9. กองพัฒนาระบบบริหารงานส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น (เปลี่ยนชื่อ) 10. กองยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (จัดตั้งใหม่) 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป 2. ให้ มท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 3. ให้หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎกระทรวงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการเสนอร่างกฎกระทรวงจะต้องไม่มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นการมอบอำนาจช่วง โดยกฎหมายแม่บทมิได้ให้อำนาจไว้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ มท. เสนอว่า 1. โดยที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) กฎกระทรวง ฉบับที่ 48 (พ.ศ. 2540) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 60 (พ.ศ. 2549) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว ประกอบกับปัจจุบันเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารในประเทศไทยได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มีการควบคุมคุณภาพวัสดุให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น มีการวิจัยและพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มาตรฐานการออกแบบโครงสร้างอาคารในสากลได้มีการแก้ไขและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กฎกระทรวงดังกล่าวข้างต้นที่ใช้เป็นข้อกำหนดสำหรับการออกแบบอาคารในประเทศไทยไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีการก่อสร้างในปัจจุบัน รวมทั้งการออกแบบตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงบางข้อทำให้เกิดความสิ้นเปลืองต่อค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอันส่งผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ตลอดจนกฎกระทรวงด้านวิศวกรรมโครงสร้างที่มีอยู่มิได้ครอบคลุมรายละเอียดที่สำคัญหลายเรื่อง และมีเนื้อหากระจัดกระจายไม่เป็นหมวดหมู่ 2. ดังนั้น สมควรแก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มเติมเนื้อหาให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยรวบรวมเนื้อหาของกฎกระทรวงเดิมที่เกี่ยวกับการคำนวณออกแบบทางด้านวิศวกรรมโครงสร้างให้เป็นฉบับเดียวกัน เพื่อความสะดวกต่อการนำไปปฏิบัติและเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับวิศวกร และเพื่อใช้ในการคำนวณและออกแบบอาคารด้านวิศวกรรมโครงสร้างในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชน มท. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งคณะกรรมการควบคุมอาคารได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) กฎกระทรวง ฉบับที่ 48 (พ.ศ. 2540) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 60 (พ.ศ. 2549) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 2. กำหนดบทนิยามให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและทฤษฎีด้านงานวิศวกรรมในปัจจุบัน กำหนดความปลอดภัยของอาคารในเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และกำหนดวิธีการคำนวณวิธีการออกแบบให้เป็นปัจจุบันและเป็นสากล 3. กำหนดชุดตัวคูณน้ำหนัก ตัวคูณลดกำลัง และตัวคูณความต้านทานให้มีความชัดเจนและเกิดความปลอดภัยเพิ่มขึ้นสำหรับการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กและโครงสร้างเหล็ก 4. กำหนดการคำนวณน้ำหนักบรรทุกคงที่ของวัสดุก่อสร้างให้มีความชัดเจนในทางปฏิบัติสำหรับการออกแบบ การคำนวณค่าน้ำหนักบรรทุกจรสำหรับประเภทและส่วนต่าง ๆ ของอาคารนอกเหนือจากน้ำหนักของตัวอาคารหรือเครื่องจักรหรืออุปกรณ์อย่างอื่นให้สอดคล้องกับการใช้งาน การคำนวณแรงกระแทกซึ่งอาจเกิดจากเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือน้ำหนักบรรทุกและปรับปรุงวิธีการคำนวณแรงลม รวมทั้งเพิ่มเติมการคำนวณออกแบบอาคารในการต้านแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว 5. กำหนดให้การคำนวณส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ประกอบด้วยวัสดุไม้ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อิฐหรือคอนกรีตบล็อกประสานด้วยวัสดุก่อ คอนกรีตเสริมเหล็กหรือคอนกรีตอัดแรง ให้ใช้ค่าหน่วยแรง วิธีการ คุณภาพและเกณฑ์การออกแบบ และกำหนดให้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคาร ช่องทางหนีไฟ หรือโครงสร้างหลักของอาคารต้องไม่เป็นวัสดุติดไฟ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศและส่งเสริมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1462 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5990 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าใช้ในที่อยู่อาศัย – คุณลักษณะที่ต้องการด้านประสิทธิภาพพลังงาน ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศและส่งเสริมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 344 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5989 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขั้วรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์และขั้วรับสตาร์ตเตอร์ ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษณ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษณ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ คค. เสนอว่า 1. เนื่องจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 – อุบลราชธานี (บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กับจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันยังคงเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร ที่มีปริมาณจราจรหนาแน่น ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 ฯ ให้เป็น 4 ช่องจราจร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ลดอุบัติเหตุ สนับสนุนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ และเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศทางหนึ่งด้วย 2. กรมทางหลวงจึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะในการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 – อุบลราชธานี (บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษณ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีจุดเริ่มต้น ที่ กม.13+000.000 – กม.22+725.000 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085) และ กม.44+500.000 – กม.45+590.429 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2178) รวมระยะทาง 10.815 กิโลเมตร วงเงินการก่อสร้าง 278,020,000 บาท มีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินประกอบด้วย ที่ดินประมาณ 105 แปลง สิ่งปลูกสร้างประมาณ 94 ราย และต้นไม้ยืนต้นประมาณ 47 ราย ค่าทดแทนและค่าเสียหายอื่น ๆ และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดรวมค่าทดแทนในการเวนคืน รวมเป็นเงินประมาณ 52,428,250 บาท ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด 3. กรมทางหลวงได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการดังกล่าวตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมต่อโครงการมีประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว 4. สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับกรมทางหลวงเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษณ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2085 และ 2178 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 – อุบลราชธานี (บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดวัตถุอื่นเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดวัตถุอื่นเป็นเครื่องสำอาง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอ เป็นการกำหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอาง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ สุขอนามัย และความปลอดภัยของผู้ใช้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และคณะกรรมการเครื่องสำอางได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดที่ใช้สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อซับเลือดประจำเดือนเป็นเครื่องสำอาง 10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) เป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ดังนี้ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจแก่ภาคเอกชนทั้งบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา การผลิต และการกระจายวัคซีนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมสุขภาพอนามัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น จึงเห็นควรกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีนภายใต้หลักการและแนวทางการปรับปรุงกฎหมาย ดังนี้ 1. กำหนดให้บุคคลธรรมดาบริจาคเงินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว 2. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติสามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ 3. การบริจาคตามข้อ 1 และ 2 ต้องบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 4. กำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริจาคทรัพย์สินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา การผลิต และการกระจายวัคซีนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด 11. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. ด้วยพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 มาตรา 5 บัญญัติว่า “พระราชกำหนดนี้ไม่ใช้บังคับแก่ (3) การประชุมเพื่อดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ” มีผลให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ไม่อาจนำการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับการประชุมเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างได้ตามนัยมาตรา 5 (3) แห่งพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 2. ในคราวการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (คณะกรรมการวินิจฉัย) ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 มีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งส่งผลให้การประชุมเพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอาจเกิดความไม่คล่องตัว และแม้ว่าพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 จะเป็นกฎหมายกลางที่กำหนดในเรื่องการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม แต่เนื่องจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 บัญญัติในเรื่ององค์ประกอบและองค์ประชุมซึ่งกระทำโดยคณะกรรมการ และหน้าที่ของผู้รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้างไว้เฉพาะ โดยให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ประกอบกับปัจจุบันระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดการประชุมของคณะกรรมการแต่ละคณะไว้ตามนัยข้อ 27 ดังนั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันและในอนาคต การจะกำหนดให้การประชุมเพื่อดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสามารถประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ นั้น จำเป็นต้องเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 27 โดยกำหนดเพิ่มเติมให้การประชุมดังกล่าวสามารถกระทำได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการประชุมในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐเกิดความคล่องตัวเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องออกร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... สาระสำคัญของเรื่อง เนื่องจากการประชุมในปัจจุบันมีรูปแบบการประชุมทั้งประชุมแบบเผชิญหน้าและประชุมแบบผ่านวิดีโอ ซึ่งที่ผ่านมาการประชุมเพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นการประชุมแบบเผชิญหน้า แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในเรื่องของการประชุม ดังนั้น เพื่อให้การประชุมในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงจำเป็นต้องแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยเพิ่มข้อความนัยข้อ 27 วรรคหก แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็น “การประชุมของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง อาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด” 12. เรื่อง รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติ ดังนี้ 1. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ 2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... ตามที่ ดศ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ 3. ให้ ดศ. เร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมี เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 2. ที่ ดศ. เสนอ เป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 ออกไป 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นหน่วยงานและกิจการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สาระสำคัญของเรื่อง 1. รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ (27 พฤษภาคม 2563) ที่ ดศ. เสนอ เป็นรายงานตามมาตรา 16 (4) ประกอบมาตรา 96 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 โดย ดศ. รายงานว่า เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการออกประกาศหรือระเบียบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ แต่อย่างไรก็ตาม ดศ. ได้มีการจัดทำกฎหมายลำดับรองดังกล่าวแล้ว โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อมีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว ดศ. จะได้เสนอร่างกฎหมายต่อไป 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดมิให้นำบทบัญญัติในหมวด 2 การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หมวด 3 สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมวด 5 การร้องเรียน หมวด 6 ความรับผิดทางแพ่ง หมวด 7 บทกำหนดโทษ และมาตรา 95 เกี่ยวกับวิธีการดำเนินงานของผู้ควบคุมข้อมูลแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาใช้บังคับแก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหน่วยงานหรือกิจการตามบัญชีท้ายร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ ให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ ดศ. กำหนด เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป เรื่องเดิม 1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลกระทบของความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ และสังคมของเด็ก เยาวชน และครอบครัว และผลการดำเนินงานการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีข้อสังเกตในประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กที่มาจากครอบครัวที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับรองจากภาครัฐ 3 ฝ่าย (ทหาร ตำรวจ และปกครอง) เป็นเหตุให้เด็กเหล่านั้นไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐตามนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ และประเด็นการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก สตรี และครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ ศอ.บต. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ข้อเท็จจริง ศอ.บต. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ 2 พิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ดังนี้ ข้อสังเกต ผลการพิจารณา 1. ประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กที่มาจากครอบครัวที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับการรับรองจากภาครัฐ 3 ฝ่าย (ทหาร ตำรวจ และปกครอง) ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กเหล่านั้นไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐตามวัตถุประสงค์ตามนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ “เพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมและการเยียวยาให้เป็นธรรมที่ทั่วถึง รวมทั้งลดความหวาดระแวงทุกรูปแบบและฟื้นคืนความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน” - ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2563 กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่ไม่ผ่านการรับรอง 3 ฝ่าย มีจำนวน 311 ราย กลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว ยาเสพติด และอื่น ๆ หากกลุ่มดังกล่าวคิดว่าตนเองบริสุทธิ์ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดสามารถขอรับการช่วยเหลือเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 กรณีมีความเดือดร้อนเรื่องคุณภาพชีวิต กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สามารถช่วยเหลือและให้การสงเคราะห์เบื้องต้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือติดตามภารกิจของหน่วยงานได้ - กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ศอ.บต. ได้ประสานขอข้อมูลกลุ่มผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่อยู่ในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเร่งสร้างความเข้าใจ เปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค มีการชี้แนะการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยแนวทางสันติวิธีด้วยกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านเพื่อให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่โดยการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ กำหนดแนวทางการดำเนินงานต่อผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้กฎหมายพิเศษด้วยการจัดทำระบบข้อมูลผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศและประสานการพิจารณาให้การช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นระบบต่อไป - ศอ.บต. กำลังดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์เป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยการปรับปรุงโครงสร้างการช่วยเหลือเยียวยา กลไกเกี่ยวกับระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการช่วยเหลือเยียวยา และการช่วยเหลือด้านคุณภาพชีวิตในรูปแบบ case management 2. ประเด็นการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็ก สตรี และครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการบูรณาการและบทบาทหน่วยงานที่รับหน้าที่ช่วยเหลือเยียวยาระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติในพื้นที่ของภาครัฐ และภาคเอกชนตลอดจนหน่วยงานความมั่นคง การปรับระบบหลักเกณฑ์ นิยาม การให้ความช่วยเหลือเยียวยาบุคคลที่ได้รับผลกระทบ การพัฒนาคุณภาพคน โดยจัดทำแผนการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน โครงการพัฒนาคุณภาพผู้ดูแล และการมีระบบติดตามและเก็บข้อมูลของเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินการในการช่วยเหลือ ดูแล และติดตาม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ - การลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันในการเชื่อมต่อฐานข้อมูลสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ - ร่างระเบียบการช่วยเหลือเยียวยานอกเหนือหลักเกณฑ์ โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน - สร้างความเข้าใจในระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเยียวยาในกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ - สนับสนุนองค์กรและหน่วยงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ได้รับผลกระทบ เช่น รายได้ ความเป็นอยู่ เป็นต้น 14. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงาน จากเดิมขั้นที่ 46.5 อัตรา 113,520 บาท เป็นขั้นที่ 53 อัตรา 142,830 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ดังนี้ ระดับ อัตรา (บาท) เดิม ใหม่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 5 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี งานบัญชีและงบประมาณ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน เขตการเดินรถที่ 6 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41481
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รัฐบาลแจง 3 ประเด็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมใช้เวทีสภาสร้างความกระจ่างงบประมาณ 65
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลแจง 3 ประเด็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมใช้เวทีสภาสร้างความกระจ่างงบประมาณ 65 รัฐบาลแจง 3 ประเด็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมใช้เวทีสภาสร้างความกระจ่างงบประมาณ 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงวาระการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 31 พ.ค. - 2 มิ.ย.ว่า ถือเป็นพื้นที่การทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลพร้อมชี้แจงให้ข้อมูลถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณปี 65 และขณะเดียวกัน ส.ส.จะได้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง หากการใช้เวลาอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับทุกฝ่ายรวมถึงประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากบางกลุ่มเกี่ยวข้องกับร่างพรบ.งบประมาณฯ จึงขอชี้แจงดังนี้ 1)การที่งบประมาณรายจ่ายลงทุนปี 65 วงเงิน 624,399 ล้านบาท (20.14% ของงบประมาณรายจ่าย) น้อยกว่าการขาดดุลงบประมาณที่ตั้งไว้ 700,000 ล้านบาท ไม่ได้ขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง ตามที่เข้าใจผิดกัน แม้กฎหมายได้กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาในวรรคสอง ของมาตรา20 ด้วย ซึ่งกำหนดข้อยกเว้น กรณีที่การตั้งงบประมาณรายจ่ายไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ในวรรคหนึ่งได้ ให้รัฐบาลแสดงเหตุผลความจำเป็นและมาตรการในการแก้ไขต่อรัฐสภาพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย และเพื่อให้เป็นตามที่กฎหมายกำหนด ครม. เมื่อ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบหลักการมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนขาดดุล และจะรายงานให้สภาฯได้ทราบ โดยการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศ ประกอบด้วย 1. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership: PPP) 2. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) 3. การใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานการพัฒนาระบบน้ำ การสร้างคุณภาพชีวิต และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การลงทุนเพื่อการให้บริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งของประเทศ 2)ข้อวิจารณ์ว่า กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในความเป็นจริง งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับทางด้านสาธารณสุขนั้น ยังมีในส่วนของกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเมื่อรวมงบประมาณเข้าด้วยกันแล้ว ด้านการสาธารณสุขได้รับการจัดสรรมากกว่ากลาโหม กว่า 9.2 หมื่นล้านบาท 3)ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเลขการรายงานเงินขาดทุนสะสมของธนาคารแห่งประเทศไทย มูลค่า 1.069 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ใช่หนี้สาธารณะ ตามที่ไปลือกัน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอธิบายว่า รายงานดังกล่าวเป็นการแสดงรายการงบการเงินของ ธปท. และเป็นธุรกรรมที่เกิดจากการทำหน้าที่ปกติของธนาคารฯ ในการดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกันทั่วโลก ตามนิยามของ IMF ที่กำหนดมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจการเงินเพื่อการเปรียบเทียบและติดตามการทำนโยบายของประเทศสมาชิก นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ส่งผลให้ประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 มีจำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากงบประมาณปีก่อน ที่กำหนดไว้ 3,285,962.5 ล้านบาท ประเด็นข้อสงสัยจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลพร้อมชี้แจงข้อมูลถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งบประมาณแผ่นดินในแผนงานและโครงการต่างๆ รวมถึงความสอดคล้องต่อสถาณการณ์ของประเทศ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส ประเทศจะได้เดินหน้าบนพื้นฐานความเข้าใจ แม้อาจมีความเห็นต่างกันบ้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ลุงป้อม’ สั่ง รมว.เฮ้ง ใช้สมุทรสาครโมเดล ตั้ง รพ.สนามในโรงงานดูแลลูกจ้างติดโควิดที่เพชรบุรี
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ‘ลุงป้อม’ สั่ง รมว.เฮ้ง ใช้สมุทรสาครโมเดล ตั้ง รพ.สนามในโรงงานดูแลลูกจ้างติดโควิดที่เพชรบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ใช้สมุทรสาครโมเดล ตั้ง รพ.สนามในโรงงานดูแลลูกจ้างที่ติดโควิดในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ใช้สมุทรสาครโมเดล ตั้ง รพ.สนามในโรงงานดูแลลูกจ้างที่ติดโควิดในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี เบื้องต้นได้มอบหมายให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่สถานประกอบการ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี สนับสนุนล่ามจำนวน 4 คน ในการสื่อสารกับลูกจ้างต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 รับฟังปัญหา สร้างขวัญและกำลังใจเพื่อให้ลูกจ้างที่ต้องกักตัวรู้สึกผ่อนคลายพร้อมมอบเตียงกระดาษจากบริษัทเอสซีจี จำนวน 2,100 เตียง น้ำดื่ม 500 แพ็ค และรถสนับสนุนในการรับ-ส่งผู้ติดเชื่อโควิด จำนวน 5 คัน สำหรับใช้ดูแลลูกจ้างที่โรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (Factory Quarantine) เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิดอีกด้วย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดูแลลูกจ้างในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยเฉพาะลูกจ้างในสถานประกอบการที่จังหวัดเพชรบุรี จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานนำสมุทรสาครโมเดลมาแก้ไขปัญหา เบื้องต้นในวันนี้ผมได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ลงพื้นที่สถานประกอบการอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสนับสนุนล่ามจำนวน 4 คน ในการสื่อสารกับลูกจ้างต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 รับฟังปัญหา สร้างขวัญและกำลังใจเพื่อให้ลูกจ้างที่ต้องกักตัวรู้สึกผ่อนคลายพร้อมมอบเตียงกระดาษจากบริษัทเอสซีจี จำนวน 2,100 เตียง น้ำดื่ม 500 แพ็ค และรถสนับสนุนในการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด จำนวน 5 คันสำหรับใช้ดูแลลูกจ้างภายในโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (Factory Quarantine) เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด นางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีมายังสถานประกอบการดังกล่าวเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยกระทรวงแรงงานได้สนับสนุนล่ามในการสื่อสารกับลูกจ้างต่างด้าว และรับฟังปัญหา สร้างขวัญและกำลังใจเพื่อให้ลูกจ้างที่ต้องกักตัวรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น รวมทั้งได้มอบที่นอนกระดาษ น้ำดื่ม และรถรับส่งผู้ป่วยสำหรับดูแลลูกจ้างที่ต้องกักตัวที่โรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (Factory Quarantine) อีกด้วย นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า จากการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เวลา 15.30 น.ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ชั้น 5 โดยมีนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานฯ พบว่า ข้อมูลการติดเชื้อของสถานประกอบการขนาดใหญ่ อำเภอเขาย้อย เก็บตัวอย่างส่งตรวจ (Swab) จำนวน 5,153 ราย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 421 ราย มีผู้ติดเชื้อสะสม จำนวนทั้งสิ้น 2,111 ราย ไทย 781 ราย เมียนมา 1,297 ราย กัมพูชา 19 ราย อินเดีย 7 ราย ลาว 4 ราย จีน 3 ราย และนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งในส่วนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี สนับสนุนล่ามในการสื่อสารกับลูกจ้างต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 และให้จัดทำหนังสือขอความร่วมมือสถานประกอบการจัดเตรียมความพร้อม ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ และใช้เจ้าหน้าที่พยาบาลของสถานประกอบการ หากมีการติดเชื้อและแพร่ระบาด รวมทั้งให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดเก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแล้ว มอบหมายนางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เป็นหัวหน้าคณะทำงาน หัวหน้าหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เป็นคณะกรรมการ จัดตั้งวอร์รูมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์โควิด -19 ณ ห้องปฏิบัติการชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42010
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ 58 ปี กรมพัฒนาที่ดิน
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ครบรอบ 58 ปี กรมพัฒนาที่ดิน ครบรอบ 58 ปี กรมพัฒนาที่ดิน “ธรรมนัส” มุ่งสร้างการมีส่วนร่วม แก้ปัญหาดินเสื่อมโทรม นำเทคโนโลยีมาใช้ สร้างวิถีการทำงานแบบ New Normal ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันสถาปนากรมพัฒนาที่ดินครบรอบ58ปีณกรมพัฒนาที่ดินว่าจากนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีความมุ่งเน้นในการดูแลรักษาปรับปรุงบำรุงฟื้นฟูดินเพื่อให้ทรัพยากรดินและที่ดินสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืนโดยวางแผนการใช้ที่ดินในพื้นที่ทำการเกษตรสำรวจและจำแนกดินกำหนดบริเวณการใช้ที่ดินผลิตแผนที่และทำสำมะโนที่ดินทั้งให้ความรู้วิชาการผ่านการสาธิตและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินที่เน้นการทำเกษตรสมัยใหม่การพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์การเกษตรผสมผสานเพื่อให้สามารถผลิตอาหารได้หลากหลายมีคุณค่าทางโภชนาการมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้อย่างเพียงพอ “เนื่องด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า(COVID – 19)ล้วนส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารและการเข้าถึงอาหารของประชากรโลกดังนั้นในโอกาสครบรอบปีที่58ของกรมพัฒนาที่ดินจึงมุ่งมั่นต่อการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรดินเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพดินที่เสื่อมโทรมดินขาดความอุดมสมบูรณ์และเป็นกลไกสนับสนุนการพัฒนาการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกระบวนความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจึงจะประสบความสำเร็จทั้งจากภาครัฐประชาชนเกษตรกรและภาคส่วนอื่นๆโดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานให้เหมาะสมเพื่อสร้างวิถีการทำงานแบบNew Normalและเป็นการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ระบบราชการ4.0”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดินยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างอาชีพแก่เกษตรกรในพื้นที่ด้วยการสนับสนุนปัจจัยการผลิตวัสดุปรับปรุงบำรุงดินและผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพด้านการพัฒนาที่ดินผ่านผลิตภัณฑ์พด.ชนิดต่างๆพร้อมทั้งสร้างและพัฒนาเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรให้เกิดความเข้มแข็งพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมพัฒนาและประยุกต์ใช้Big Data & AIกรมพัฒนาที่ดินเพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่และเกษตรกรสำหรับนำไปใช้วางแผนการใช้ที่ดินให้เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ตลอดจนใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อาทิเช่นโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ซึ่งเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวเบญจพรชาครานนท์อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินกล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดงานวันสถาปนากรมพัฒนาที่ดินครบรอบ58ปีในปีนี้กรมพัฒนาที่ดินได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดงานให้เข้ากับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19)โดยใช้แนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม(Social Distancing)เพื่อลดปัญหาการแออัดของคนที่จะเข้ามาร่วมงานซึ่งกิจกรรมภายในงานจะมีพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิธีเปิดศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ดินมอบรางวัลผลงานดีเด่นแก่หน่วยงานและบุคคลดีเด่นมอบทุนการศึกษามูลนิธิพัฒนาที่ดินสงเคราะห์และทุนการศึกษาสหกรณ์ออมทรัพย์กรมพัฒนาที่ดินจำกัดผ่านVDO Conferenceและถ่ายทอดสด(Live)ผ่านFacebookกรมพัฒนาที่ดินเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับชมงานและสามารถร่วมคอมเม้นต์แสดงความยินดีผ่านLive Facebookได้นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางให้ประชาชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมอวยพรแสดงความยินดีผ่านเว็ปไซต์กรมพัฒนาที่ดินเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมพัฒนาที่ดินครบรอบ58ปีผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาที่ดินอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. จับมือ พณ. แก้ปัญหาราคาเหล็กแพง หวั่นกระทบต้นทุนผู้ประกอบการ สั่งดูแลผู้ผลิต ไม่ให้สินค้าขาดตลาด
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 อก. จับมือ พณ. แก้ปัญหาราคาเหล็กแพง หวั่นกระทบต้นทุนผู้ประกอบการ สั่งดูแลผู้ผลิต ไม่ให้สินค้าขาดตลาด กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกับกระทรวงพาณิชย์ เร่งแก้ไขปัญหาราคาเหล็กแพง บรรเทาผลกระทบต้นทุนผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรมหลักและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง หวั่นกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้าง หลังราคาเหล็กในตลาดโลกมีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)จับมือกับกระทรวงพาณิชย์(พณ.)เร่งแก้ไขปัญหาราคาเหล็กแพงบรรเทาผลกระทบต้นทุนผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรมหลักและอุตสาหกรรมต่อเนื่องหวั่นกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้างหลังราคาเหล็กในตลาดโลกมีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ความมั่นใจกำลังการผลิตอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเพียงพอไม่ขาดตลาดพร้อมเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์พัฒนากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่าตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่27เมษายน2564ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพื่อลดบรรเทาและผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบการอุตสาหกรรมที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อไม่ให้กระทบทั้งอุตสาหกรรมหลักและอุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจ้างแรงงานต่อไปนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์จึงได้ประชุมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการทั้งกลุ่มผู้ใช้และกลุ่มผู้ผลิตเหล็กเพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วนโดยมีข้อสรุปร่วมกันเรื่องการแก้ปัญหาราคาที่กระทบต้นทุนของผู้ใช้เหล็กเป็นหลักคือกลุ่มก่อสร้างที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐจะมีการพิจารณาทบทวนตัวเลขค่าKหรือดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างานของงานโครงการภาครัฐระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่ายและการกำหนดค่าKให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้นรวมทั้งจัดทำBusiness Matchingระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้เหล็กเพื่อวางแผนการใช้และการผลิตร่วมกันและขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเหล็กตรึงราคาและจำหน่ายสินค้าเหล็กในราคาที่สอดคล้องต้นทุนที่แท้จริงโดยกรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์ต้นทุนการนำเข้าและราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือCircular EconomyตามนโยบายBCG Economyของรัฐบาลตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว(Bio-Circular-Green: BCG Economy)ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมาย4หน่วยงานหลักทั้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)และกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.)ให้เข้าไปดูแลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กอย่างใกล้ชิดพร้อมกำชับหน่วยงานกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กเร่งพัฒนาประสิทธิภาพโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ตลอดจนใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “ผู้ผลิตเหล็กโดยสมาคมเหล็กฯยืนยันว่าจากสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กในประเทศไทยปัจจุบันมีการผลิตประมาณร้อยละ30ของกำลังการผลิตที่สามารถผลิตได้ปัญหาการขาดแคลนสินค้าเหล็กในประเทศไทยจะไม่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมจากกลุ่มผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าเหล็กในประเทศแทนเพื่อลดการนำเข้าสำหรับดัชนีอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานของเดือนมีนาคม2564ที่ผ่านมามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ19.19เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเหล็กแผ่นรีดเย็นเหล็กเคลือบสังกะสีเหล็กลวดเหล็กรูปพรรณรีดร้อนและเหล็กเส้นกลมเป็นหลักโดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลงและเป็นช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นความต้องการใช้เหล็กของโลกจึงปรับตัวสูงขึ้นไปด้วยทำให้ราคาเหล็กโลกปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกของตลาดโลก”ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับบังคับใช้กฎหมายป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศเข้มงวด
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีกำชับบังคับใช้กฎหมายป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศเข้มงวด นายกรัฐมนตรีกำชับบังคับใช้กฎหมายป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศเข้มงวด ดูแลภาคส่งออกควบคู่กับการดูแลประมงพื้นบ้าน วันที่ 23 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาและมาตรการป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าให้บังคับใช้กฎหมายที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วให้เข้มงวด และต่อเนื่อง เพราะการดำเนินงานการที่เข้มงวดได้ จะส่งผลสำคัญต่อทั้งภาพลักษณ์ และความสามารถในการส่งออกอาหารทะเลของประเทศไทยในระยะยาว “สภาพัฒน์ได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงข้อมูลว่าการส่งออกของไทยได้กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักๆ นายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับให้มีการการดำเนินทุกมาตรการที่จะสนับสนุนการส่งออก ซึ่งอาหารทะเลเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทยด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แต่นายกรัฐมนตรีก็ย้ำว่า การดำเนินการตามกฎหมายต่างๆ จะต้องทำควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบต่อประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของประชาชน โดยให้มีกลไกการแก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบที่มีทุกภาคส่วนเข้ารวมทั้งประชาชน ประชาสังคม ภาครัฐ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาครอบคลุมประเด็นที่รอบด้าน สร้างความเชื่อมั่นต่ออาหารทะเลไทยของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ไปพร้อมกับการทำประมงที่ยั่งยืน ทั้งนี้ รายงานของคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมาประเทศไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ในหลายด้าน เช่น การปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 17 ฉบับ การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย โดยมีการบริหารจัดการจำนวนเรือประมงเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณทรัพยากรประมง การออกใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์และใบอนุญาตทำการประมงนอกน่านน้ำ มีการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงให้เป็นไปตามกฎระเบียบทั้งในและระเบียบระหว่างประเทศ บังคับใช้กฎหมายด้วยมาตรการทางปกครองควบคู่กับการใช้บทลงโทษทางอาญา การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยมาตรการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไปยังแหล่งที่มาของสัตว์น้ำ ตลอดจนจัดระเบียบแรงงานประมง โดยมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของคนประจำเรือและป้องกันการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ปราบปรามการค้ามนุษย์ และดำเนินมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU-Free Thailand)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42006
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!!
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 “ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!! “ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!! “ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!! อัปเดตความคืบหน้า ภายหลังจากที่รัฐบาลเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเพิ่มวงเงินให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 ตามโครงการ “ม.33 เรารักกัน” อีกคนละ 2,000 บาท แบ่งจ่าย 2 งวด งวดละ 1,000 บาท ดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 24 พ.ค. 64 จำนวน 1,000 บาท ครั้งที่ 2 วันที่ 31 พ.ค. 64 จำนวน 1,000 บาท ซึ่งระบบจะโอนวงเงินผ่านช่องทางที่เคยได้รับโดยอัตโนมัติ และไม่ต้องกดยอมรับหรือลงทะเบียนเพิ่มเติม สำหรับผู้ได้รับสิทธิ ม33 เรารักกันรอบแรก 4,000 บาท แต่ยังใช้ไม่หมด และกังวลว่าต้องใช้ก่อนวันที่ 31 พ.ค. 64 หรือไม่ ตรงนี้ยืนยันได้ว่า ไม่จำเป็นต้องรีบใช้ เนื่องจากเงินรอบใหม่ที่โอนเข้ามา จะรวมกับยอดเงินเก่าที่มีอยู่ ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64 ครับ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42011
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยควบคุมโควิดตากใบได้ คนติดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ 3 ราย หายแล้ว วัคซีนยังลดป่วย-เสียชีวิตได้
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 สธ.เผยควบคุมโควิดตากใบได้ คนติดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ 3 ราย หายแล้ว วัคซีนยังลดป่วย-เสียชีวิตได้ สธ.เผยโควิดคลัสเตอร์ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พบผู้ติดเชื้อรวม 83 ราย มีการปิดพื้นที่เข้าออก กักตัวผู้สัมผัส แนวโน้มไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนการตรวจพบสายพันธุ์แอฟริกาใต้มี 3 ราย รักษาหายแล้ว อาการไม่รุนแรง ต้นตอมาจากมาเลเซีย กระทรวงสาธารณสุขเผยโควิดคลัสเตอร์ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พบผู้ติดเชื้อรวม 83 ราย มีการปิดพื้นที่เข้าออก กักตัวผู้สัมผัส แนวโน้มไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนการตรวจพบสายพันธุ์แอฟริกาใต้มี 3 ราย รักษาหายแล้ว อาการไม่รุนแรง ต้นตอมาจากมาเลเซีย วัคซีนลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ยังต้องคงมาตรการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่างช่วยป้องกันโรค วันนี้ (23 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการพบเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์B.1.351 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ว่า ประเทศไทยมีการเฝ้าระวังเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ต่างๆ ดังนั้น เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุขมีความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการเครือข่ายการตรวจหาเชื้อกลายพันธุ์ทั้งภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย เพื่อให้ทราบสายพันธุ์ที่ระบาดในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมามีการรายงานพบสายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์อินเดีย ล่าสุดได้รับรายงานจากห้องปฏิบัติการเครือข่ายของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จำนวน 3 ราย จากคลัสเตอร์ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นชายไทย อายุ 32 ปี ในหมู่ 9 ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ มีภรรยาชาวมาเลเซียเดินทางมาเยี่ยม เริ่มป่วยวันที่ 26 เมษายน มีอาการไข้ ปวดเมื่อย ปวดท้อง และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโควิด 19 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะนี้รักษาหายแล้ว ส่วนภรรยาเดินทางกลับมาเลเซีย เมื่อพบกรณีดังกล่าวได้มีการเฝ้าระวัง ค้นหาผู้สัมผัสในครอบครัวและชุมชน พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 698 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 160 รายพบผู้ติดเชื้อรวม 83 ราย มีอาการน้อยรักษาในโรงพยาบาลชุมชน 35 ราย โรงพยาบาลสนาม 41 ราย และมีอาการปานกลางรักษาในโรงพยาบาลนราธิวาส 7 ราย ปัจจุบันรักษาหายแล้ว 16 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 67 ราย สุ่มตรวจพบสายพันธุ์แอฟริกาใต้ 3 ราย รักษาหายแล้วทั้ง 3 ราย “มาตรการควบคุมโรคได้มีการปิดพื้นที่เพื่อควบคุมและจำกัดการเดินทางเข้าออกตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ถึงปัจจุบัน โดยตั้งด่านตรวจที่หมู่ 4, 7 , 8 และ 9 มีการค้นหาเชิงรุกและสอบสวนโรค ผู้สัมผัสทุกรายได้รับการกักตัวในสถานที่กักกัน ตรวจตราการลักลอบเข้าเมือง และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (อีโอซี) อ.ตากใบ และ จ.นราธิวาส มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้ควบคุมสถานการณ์ได้ แนวโน้มไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม” นายแพทย์โอภาสกล่าว นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่พบมีลักษณะใกล้เคียงกับที่พบในมาเลเซีย รวมกับประวัติที่สอดคล้องว่าผู้ป่วยคนแรกมีประวัติสัมผัสญาติที่ลักลอบมาจากมาเลเซีย เชื่อได้ว่ามีการติดมาจากมาเลเซีย จึงขอความร่วมมือประชาชนหากพบผู้เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ส่วนความสามารถการกระจายโรคของสายพันธุ์แอฟริกาใต้ใกล้เคียงกับสายพันธุ์อังกฤษและอินเดีย ความรุนแรงของโรคไม่ได้มากกว่าปกติ จะเห็นว่าผู้ป่วย 83 ราย ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง สำหรับการตอบสนองของวัคซีนในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ มีข้อมูลบ่งชี้ว่า อาจไม่ดีเท่าสายพันธุ์อื่น แต่วัคซีนทุกชนิดยังสามารถลดการเกิดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ จึงมีประโยชน์ในการให้วัคซีน ส่วนมาตรการป้องกันยังใช้มาตรการทางสาธารณสุข คือ ค้นหาผู้ป่วย แยกผู้ป่วย ค้นหาผู้สัมผัส กักตัว และตรวจหาเชื้อ และมาตรการส่วนบุคคลที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสายพันธุ์ไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ ********************** 22 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42012
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดึงภาคประชาชนร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่บริเวณพื้นที่ชายแดน
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ศบค.มท. เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดึงภาคประชาชนร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่บริเวณพื้นที่ชายแดน ศบค.มท. เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดึงภาคประชาชนร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่บริเวณพื้นที่ชายแดน พร้อมสร้างการรับรู้ทุกภาคส่วน เฝ้าระวังและตรวจสอบผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย วันนี้ (23 พ.ค. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศบค.มท. ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ กองกำลังป้องกันชายแดน ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของผู้ลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านบริเวณพื้นที่ชายแดน โดยเข้มงวดตรวจตรามิให้มีผู้ลักลอบเข้าเมืองและเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายตามเส้นทางหรือช่องทางธรรมชาติ รวมทั้งลาดตระเวนบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การควบคุมและป้องกันผู้ลักลอบเข้าเมืองที่ไม่ผ่านการตรวจและคัดกรองโรคตามมาตรการทางสาธารณสุข ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและอาสาสมัครด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ ที่มีศักยภาพและความพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในการลาดตระเวน ตรวจตรา เฝ้าระวัง การลักลอบเข้าเมือง ผ่านช่องทางธรรมชาติตลอดแนวชายแดน 24 ชั่วโมง ด้วยการร่วมปฏิบัติงานตามความพร้อมและความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ ด้วยการร่วมปฏิบัติงานช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจ/จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค ในเส้นทางหลัก เส้นทางรอง รวมถึงในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน นอกจากนี้ ให้สร้างการรับรู้ต่อทุกภาคส่วน ร่วมเฝ้าระวังและตรวจสอบผู้ลักลอบเข้าเมืองในทุกพื้นที่ หากตรวจพบหรือรับทราบข่าวสาร/เบาะแสให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายโดยเร่งด่วน รวมถึงชี้แจงทำความเข้าใจผู้ประกอบการโรงงาน สถานประกอบการ และหอพัก ให้ตรวจสอบแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง หากพบว่ามีการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองหรือให้อาศัยพักพิง จะมีความผิดและถูกดำเนินการทางกฎหมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42016
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 32 เขตการเดินรถที่​ 7 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 47 เขตการเดินรถที่​ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42014
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำเรื่องการวางแผนฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังทุกรายเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 โดยเร็วที่สุด โดยให้แต่ละเรือนจำและทัณฑสถานที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ เร่งประสานกับโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ทำการตรวจคัดกรองเชื้อในเจ้าหน้าที่ทุกรายและสุ่มตรวจผู้ต้องขังเพื่อยืนยันว่าเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ เพื่อจะได้ดำเนินการฉีดวัคซีนก่อน โดยพิจารณาถึงความจำเป็นเร่งด่วนเป็นหลัก รวมทั้งให้ประสานบุคลากรทางการแพทย์ของกรมราชทัณฑ์ที่เกษียณอายุราชการแล้ว และเจ้าหน้าที่พยาบาลในสถานพินิจฯ สังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เข้ามาสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อฯ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพและยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคฯ ในวงกว้างต่อไป นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำไปยังผู้บริหารเรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่ง หากมีความต้องการวัสดุ อุปกรณ์ใด ให้รีบประสานงานมาที่ ศบค.รท. เพื่อดำเนินการจัดสรรให้เพียงพอต่อการใช้งานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42013
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๔๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค covid-19 ในการนี้ ที่ประชุม เตรียมให้ทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน จัดทำข้อมูลของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตามแบบฟอร์มที่ส่วนกลางกำหนด พร้อมกับติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหลายๆเรือนจำ โดยเน้นการติดตามการฉีดวัคซีน และการ SWAB เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง และมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ ติดตามข้อมูลกำหนดลงในปฏิทิน เพื่อนำมาพิจารณาว่ามีที่ใดมีกำหนดช้าไปหรือไม่ หากพบปัญหาจะได้ประสานส่วนกลางช่วยให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ได้พิจารณาในส่วนของสิ่งของ เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยังมีจำนวนเพียงพอสำหรับการดูแล รักษาผู้ต้องขัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งเดินหน้าสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมปลดล็อกปัญหาประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 นายกฯ เร่งเดินหน้าสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมปลดล็อกปัญหาประเทศ นายกฯ เร่งเดินหน้าสร้างโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมปลดล็อกปัญหาประเทศ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาประเทศไทยต่อเนื่องทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง หลังจากรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประสบความสำเร็จ “ปลดธงแดง” ICAO ไทยถูกถอดจากรายชื่อประเทศที่มีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (SSC) จาก ICAO หรือ ได้สำเร็จเมื่อ 6 ตุลาคม 2560 และสามารถปลด “ใบเหลืองการทำประมง IUU” ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2562 รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาปรับสถานการณ์ปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย จากประเทศที่มีสถานการณ์การค้ามนุษย์เลวร้ายที่สุด Tier 3 ให้อยู่ในระดับTier 2 ประเทศที่พยายามแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ตั้งแต่ปี 2561 –ปัจจุบัน ซึ่งเป็นลำดับที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี เป็นเครื่องยันความสำเร็จของรัฐบาลในการเดินหน้าแก้ปัญหาที่คั่งค้างมาอย่างยาวนาน “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังเดินหน้าแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติอย่างต่อเนื่องทั้ง การปราบปรามยาเสพติดและการทุจริตคอรัปชัน การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสการทำกินกับกลุ่มประชาชนฐานราก โดยเฉพาะเรื่องการจัดที่ดินทำกินให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวม และอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งได้ดำเนินการจัดพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทากินให้ชุมชน ตั้งแต่ปี 2558 – 2564 จำนวน 1,071 พื้นที่ 71 จังหวัด เนื้อที่ประมาณ 1.9 ล้านไร่ ซึ่งมีการจัดคนลงในพื้นที่แล้ว 60,419 ราย ใน 285 พื้นที่ 66 จังหวัด รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามกฎกติกาของบ้านเมืองที่สำคัญ ได้แก่ การปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนและสังคม ตลอดจนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำการเอารัดเอาเปรียบในสังคม รวมทั้งเร่งวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้พ้นกับดับประเทศรายได้ปานกลาง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยโมเดล BCG และเทคโนโลยี 5G ด้วย” โฆษกรัฐบาลกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42003
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายแพทย์โอภาส ย้ำวัคซีนทุกชนิดยังเป็นประโยชน์สามารถลดความรุนแรงของโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลต่างๆ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์โอภาส ย้ำวัคซีนทุกชนิดยังเป็นประโยชน์สามารถลดความรุนแรงของโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลต่างๆ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง นายแพทย์โอภาส ย้ำวัคซีนทุกชนิดยังเป็นประโยชน์สามารถลดความรุนแรงของโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลต่างๆ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง วันนี้ 23 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นคำถามที่เป็นที่สนใจของสังคมในช่วงนี้ ดังนี้ คำถามต่อประเด็นการพบการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ B.1.351.2 พบที่ อำเภอ ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งระบาดเป็นกลุ่มก้อน จำนวน 83 ราย พบว่าผู้ป่วยรายแรก เป็นผู้ชาย สัญชาติไทย อายุ 32 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว โดยมารดา ภรรยาและบุตร เดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซีย ผ่านช่องทางธรรมชาติเพื่อมาเยี่ยมและพักในไทย โดยเบื้องต้นมีอาการเป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดท้อง จึงไปพบแพทย์อยู่หลายแห่ง จนกระทั่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อโควิด-19 แล้วถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 ขณะนี้หายดีแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการดำเนินการตามขั้นตอน ปิดพื้นที่เพื่อไม่ให้มีการเข้าออก มีการค้นหาเชิงรุก และการสอบสวนโรค จึงทำให้ทราบว่ามีการระบาดในกลุ่มก้อน ทั้งนี้ ผู้สัมผัสเชื้อทุกรายได้รับการกักตัวอยู่ในสถานกักกันโรคของรัฐที่เรียกว่า Local quarantine อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีนี้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินหรือที่เรียกว่า EOC ตากใบ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และมีแนวโน้มไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี กรณีนี้ทำให้ทราบว่าประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรามีสถานการณ์การติดเชื้อที่ค่อนข้างรุนแรง และพบเชื้อในหลากหลายสายพันธุ์ จึงต้องมีความระมัดระวังในการเดินทางข้ามไปมา รวมทั้งขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่พบผู้ที่เดินทางเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ทั้งนี้ นายแพทย์โอภาสเน้นย้ำว่า แม้การตอบสนองของวัคซีนในสายพันธุ์นี้อาจจะไม่ดีเท่ากับสายพันธุ์อื่นๆ ที่ผ่านมา แต่วัคซีนทุกชนิดยังสามารถลดการเกิดอาการรุนแรงของโรคได้ วัคซีนจึงยังเป็นประโยชน์และต้องใช้อย่างต่อเนื่องควบคู่กับมาตรการส่วนบุคคลต่างๆ ที่ต้องดำเนินไป อย่างเช่น การใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ และการเว้นระยะห่าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42008
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ยกระดับโรงงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำ นำร่องพื้นที่สมุทรปราการ ตั้งเป้าปีนี้ 10 โรง ต้องได้รับประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ก.อุตฯ ยกระดับโรงงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำ นำร่องพื้นที่สมุทรปราการ ตั้งเป้าปีนี้ 10 โรง ต้องได้รับประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ กระทรวงอุตสาหกรรม พัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ(Low Carbon Industry) ตามนโยบายของรัฐบาลด้านการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ นำร่องพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งเป้าพัฒนาโรงงาน 10 แห่งต้องได้รับประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งต้องการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดอาเซียนและเวทีการค้าโลก ด้วยเหตุนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางในการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโรงงานหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิต สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมสถานประกอบการมุ่งสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรม เชิงนิเวศ จังหวัดสมุทรปราการ ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเป็นอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม และเป็นไปตามนโยบายเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ตามนโยบายรัฐบาลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตลอดจนแผนปฏิรูปประเทศด้านที่เกี่ยวข้อง “รัฐบาลให้ความสำคัญกับมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด (พลังงานที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและหันมาใช้พลังงานอื่นๆ แทน รวมทั้งลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล) ซึ่งกระทรวงฯ มีนโยบายที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการในการปรับตัวรับกับมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการพยายามที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint ) ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง จนถึงขั้นตอนการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ โดยได้นำร่องการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาดในสาขาอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ จากหนังสัตว์ สิ่งทอ อุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์” นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ กล่าว สำหรับการดำเนินโครงการฯ กระทรวงฯได้จัดให้มีการอบรมให้ความรู้กับสถานประกอบการเรื่องของคาร์บอนฟรุตปริ้นท์ และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพริ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ โดยจะทำการสำรวจข้อมูล และให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกแก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการโดยในปีนี้ซึ่งเป็นปีแรกของการดำเนินโครงการฯ ตั้งเป้ามีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร่วม จำนวน 10 แห่ง ที่ต้องได้รับประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (รางวัลฉลากคาร์บอน) อาทิ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามสตีลซินดิเกต จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยัง เคมิคอล จำกัด บริษัท ไทยนิปปอน สตีล เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อีจีอาร์ กรุ๊ป สยาม จำกัด เป็นต้น ซึ่งนอกจากได้รับประกาศนียบัตรแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดของเสียในกะบวนการผลิตได้อีกด้วย “การพัฒนาไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นการปรับจากสังคมที่ต้องพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่ สังคมที่มีการพึ่งพาพลังงานทดแทนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่ยั่งยืน เป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยพึ่งพาภูมิปัญญาท้องถิ่นและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน จำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำเพื่อทดแทนเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ต้องมีการปรับโครงสร้างทางสังคม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค และแนวทางการดำรงชีวิต” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิคเค มั่นใจการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และแผนกระจายวัคซีน พร้อมเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้ารองรับการลงทุนจากต่างชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิคเค มั่นใจการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และแผนกระจายวัคซีน พร้อมเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้ารองรับการลงทุนจากต่างชาติ นายกฯ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิคเค มั่นใจการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และแผนกระจายวัคซีน พร้อมเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้ารองรับการลงทุนจากต่างชาติ วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) เวลา 11. 40 น. (หรือ 13.40 น. เวลาท้องถิ่น ณ กรุงโตเกียว) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิคเค เนื่องในการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์นิคเค โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามถึงประเด็นการบริหารสถานการณ์ภายในประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ว่าขณะนี้ไทยยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี ไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ด้วยระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง บุคลากรทางสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ การดูแลประชาชนได้ทั่วถึง รวมทั้งการมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย ซึ่งรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค และได้ดำเนินการทั้งเชิงป้องกันและการรักษาผู้ติดเชื้อ รวมทั้งดำเนินการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชากร อย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ โดยจะฉีดวัคซีนให้คนต่างชาติในไทยด้วย และเมื่อเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนกลุ่มใหญ่ในเดือนมิถุนายนได้ตามแผน เชื่อว่าสถานการณ์จะยิ่งดีขึ้น ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ยังคงมีสัญญานบวกในบางสาขา อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ การอุปโภคบริโภค ภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัว ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก และ SMEs ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อการบริโภคภายในประเทศ และคงการไหลเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ 2.มาตรการทางการเงินและทางภาษี 3.มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงาน ซึ่งจากมาตรการเศรษฐกิจและแผนการด้านวัคซีนของรัฐบาลตามเป้าหมาย เชื่อว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยคาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ที่ร้อยละ 2.3-2.5 ส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 การท่องเที่ยวฟื้นตัว เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7 ในปีหน้าทั้งนี้ ไทยยินดีที่รัฐบาลและและเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจของไทย ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 เป็นโอกาสให้ไทยและญี่ปุ่นร่วมมือเพื่อเสริมสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ไทยคำนึงถึงข้อแนะนำของเอกชนญี่ปุ่นและพร้อมร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ การสร้างเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม การเสริมสร้างอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสามารถร่วมมือกันในลักษณะ win-win ด้านแผนและมาตรการเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งไทยได้เปรียบเรื่องที่ตั้งที่เป็น “connecting point” ของภูมิภาค จึงมีศักยภาพสำหรับการขับเคลื่อนการลงทุน โดยได้ผลักดันเขตพัฒนเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียนและของภูมิภาค โดยมุ่งเน้นสาขาที่ไทยมีศักยภาพ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดการปัญหาโลกร้อน รัฐบาลไทยพร้อมดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งค่าเป้าหมายขั้นต่ำในการลดก๊าซเรือนกระจกไว้ที่ร้อยละ 20 และขั้นสูงไว้ที่ร้อยละ 25 จากกรณีปกติภายในปี ค.ศ. 2030 โดยไทยยึดมั่นที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหานี้ตามพันธกรณีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส รวมทั้งได้บูรณาการประเด็นดังกล่าวในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดรับกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 514 เขตการเดินรถที่ 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไต้หวัน ประกาศชะลอให้แรงงานเดินทางไปทำงาน
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ไต้หวัน ประกาศชะลอให้แรงงานเดินทางไปทำงาน กระทรวงแรงงานชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานไต้หวัน ถึง 18 มิ.ย. 64 ตามมาตรการควบคุมโรคของไต้หวัน เผยยังไม่พบผู้เสียชีวิตหรือติดเชื้อโควิด -19 ในกลุ่มแรงงานไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ได้รับการประสานจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ว่าเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลไต้หวันโดยศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวัน ได้ประกาศการชะลอการเดินทางเข้าไต้หวันชั่วคราวสำหรับแรงงานต่างชาติทุกชาติ ชาวต่างชาติที่ไม่มีบัตรสำหรับการพำนักอยู่ในไต้หวัน (Alien Resident Card: ARC) และชาวต่างชาติที่ต่อเครื่องบินที่ไต้หวัน ยกเว้นในกรณีที่เกี่ยวกับหลักมนุษยธรรม เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2564 เป็นเวลา 1 เดือน ทำให้กระทรวงแรงงานต้องชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน จนกว่าทางการไต้หวันจะประกาศให้แรงงานต่างชาติเดินทางเข้าไปทำงานได้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไต้หวันได้ยกระดับมาตรการป้องกันไวรัสโควิด - 19 ทั่วเกาะเป็นระดับ 3 เพื่อให้การป้องกันโรคเป็นมาตรฐานเดียวกันแล้ว ​ “รายงานผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ในไต้หวันล่าสุด (วันที่ 20 พฤษภาคม 2564) พบว่ามีผู้ติดเชื้อสะสม 2,828 ราย ผู้รักษาหาย 1,133 ราย และผู้เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งได้รับการยืนยันจากสำนักงานแรงงานไทย ในไต้หวันแล้วว่า ไม่มีแรงงานไทยและบุคลากรเสียชีวิตหรืออยู่ในรายชื่อผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ยังคงห่วงใยและกำชับกระทรวงแรงงานให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพร้อมให้การดูแลแรงงานไทย โดยที่ผ่านมาสำนักงานแรงงานไทยฯ มีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารภาครัฐ และวิธีป้องกันตัวจากโรคโควิด -19 ให้แรงงานไทยทราบผ่านแอปพลิเคชันไลน์ Facebook และเว็บไซต์ รวมทั้งขอความร่วมมือจากแรงงานไทยให้ดูแลสุขภาพของตัวเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ และให้ความร่วมมือกับนายจ้าง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่นายจ้างและหน่วยงานรัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด หากต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อที่ศูนย์บริการสายด่วนคุ้มครองแรงงาน 1955 หรือใช้บริการกลุ่มไลน์ 1955 E-Line(TH) ของกระทรวงแรงงานไต้หวัน ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลและมาตรการต่างๆ ในภาษาไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ​ ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 การจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศจะดำเนินการภายใต้นโยบายของรัฐบาลโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของแรงงานเป็นอันดับแรก ทั้งนี้แรงงานไทยที่ประสงค์เดินทางไปทำงานต่างประเทศ จะต้องขออนุญาตเดินทางและไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อได้รับการคุ้มครอง และการดูแลตามสิทธิที่พึงมี ในกรณีที่แรงงานเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ หากประสบอันตราย หรือประสบปัญหาในต่างประเทศ จะได้รับการเยียวยาและสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯด้วย ​ “ปัจจุบันคนไทยเดินทางไปทำงานในไต้หวันสูงสุด เป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นประเทศอิสราเอล ญี่ปุ่น ลาว และสาธารณรัฐเกาหลี ตามลำดับ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในไต้หวัน จำนวน 9,107 คน และ Re-entry จำนวน 3 คน รวม 9,110 คน และสำหรับผู้ที่สนใจจะไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas หรือติดต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือสอบถามสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพินิจฯ เดินหน้าตรวจโควิดเชิงรุกพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม 4 จังหวัด ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ เร่งเดินหน้าให้เจ้าหน้าที่-เยาวชน เข้ารับฉีดวัคซีนเร็วที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 กรมพินิจฯ เดินหน้าตรวจโควิดเชิงรุกพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม 4 จังหวัด ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ เร่งเดินหน้าให้เจ้าหน้าที่-เยาวชน เข้ารับฉีดวัคซีนเร็วที่สุด กรมพินิจฯ เดินหน้าตรวจโควิดเชิงรุกพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้ม 4 จังหวัด ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ เร่งเดินหน้าให้เจ้าหน้าที่-เยาวชน เข้ารับฉีดวัคซีนเร็วที่สุด พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำชับให้กรมพินิจฯ ติดตามเก็บข้อมูลสถิติสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ทุกวัน พร้อมเผยแพร่ผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก (www.facebook.com/pr.djop.moj) เว็บไซต์กรม (www.djop.go.th/) รวมไปถึงช่องทางของแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือประชาชน ตลอดจนบุคลากรในสังกัด ได้รับรู้ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมของประเทศ และทั้งของกรมพินิจฯ รวมถึงเพื่อให้ผู้ปกครองมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่มีการดูแลบุตรหลานของท่านเป็นอย่างดี แม้ว่าขณะนี้กรมจะยังงดให้บริการผู้ปกครองเข้าเยี่ยมเยาวชนแบบใกล้ชิด แต่กรมได้ดำเนินการให้สามารถเยี่ยมทางไกลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ได้ พร้อมทั้งเพิ่มเวลาและความถี่ในการสื่อสารทางไกลให้แก่เยาวชนมากขึ้น เพื่อลดความเครียดและความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ให้เข้ามายังเขตควบคุม โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมพินิจฯ ได้ดำเนินการตรวจเชิงรุกในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด สีแดงเข้ม 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากจังหวัดในการส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้ามาตรวจเชิงรุกแก่เยาวชนและเจ้าหน้าที่ในสถานที่ควบคุม ซึ่งผลตรวจของ 4 จังหวัดที่พบในขณะนี้ ยังไม่มีผู้ใดติดเชื้อ ทั้งนี้กรมพินิจฯ จะขยายการตรวจเชิงรุกหน่วยงานในสังกัดพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ให้ครบ 100% และจะรายงานผลให้ทราบอีกครั้งผ่านสื่อต่างๆ ของกรม เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองสบายใจว่ากรมพินิจฯ มีการดูแลเด็กและเยาวชนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด “กรมพินิจฯ ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงเด็กและเยาวชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เช่นเดียวกับข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมทุกคน ก็ต้องฉีดวัคซีนให้ครบสองเข็มให้เร็วที่สุดด้วย ซึ่งสถานการณ์ของกรมพินิจฯ ในขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ยังคงใช้มาตรการเข้มงวดอย่างสูงต่อไป” พ.ต.ท. วรรณพงษ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งขอปิดรับการยื่นกู้ผ่าน MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอคงค้างทั้งหมด ก่อนเปิดสิทธิ์ให้ ยื่นกู้ได้อีกครั้งเร็วๆ นี้ เผยยอดอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 250,000 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ออมสิน แจ้งขอปิดรับการยื่นกู้ผ่าน MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอคงค้างทั้งหมด ก่อนเปิดสิทธิ์ให้ ยื่นกู้ได้อีกครั้งเร็วๆ นี้ เผยยอดอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 250,000 ราย ธ.ออมสินขอแจ้งปิดการให้บริการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอสินเชื่อที่คงค้างอยู่กว่าแสนรายการโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดระบบให้เข้ากดรับสิทธิ์ได้อีกครั้งราวต้นสัปดาห์หน้า นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารฯ ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 บนแอป MyMo มาตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นั้น พบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่เข้ามากดรับสิทธิ์ขอกู้ ธนาคารฯ จึงขอแจ้งปิดการให้บริการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอสินเชื่อที่คงค้างอยู่กว่าแสนรายการโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดระบบให้เข้ากดรับสิทธิ์ได้อีกครั้งราวต้นสัปดาห์หน้า สำหรับผู้ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว และยังไม่ได้ดำเนินการทำสัญญาผ่าน MyMo (Digital Contract) ธนาคารฯ จะขยายระยะเวลาการกดทำสัญญาผ่าน MyMo ออกไปให้จนกว่าจะเปิดระบบอีกครั้ง ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 กำหนดวงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท รองรับการให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้มากกว่า 1 ล้านราย ปัจจุบันหลังเปิดให้ยื่นขอสินเชื่อผ่านแอป MyMo 5 วันทำการที่ผ่านมา ธนาคารฯ อนุมัติสินเชื่อให้ประชาชนแล้วจำนวนกว่า 250,000 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum)
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 คำกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) คำกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) หัวข้อ “Shaping the post-COVID era: Asia’s Role in the Global Recovery” วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล คำกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) หัวข้อ “Shaping the post-COVID era: Asia’s Role in the Global Recovery” วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ท่านประธานและผู้บริหารระดับสูงของนิคเค แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอบคุณคุณทาคาฮาชิ สำหรับการกล่าวแนะนำครับ ผมรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุม Future of Asia ตามคำเชิญของหนังสือพิมพ์นิคเคในวันนี้ และขอใช้โอกาสนี้แบ่งปันมุมมองของไทยในการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ตลอดจนผลักดันความร่วมมือกับหุ้นส่วนภายนอกในระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อขับเคลื่อนบทบาทของเอเชียในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด-๑๙ เมื่อปีที่แล้ว วิถีชีวิตที่พวกเรารู้จักคุ้นเคยได้หยุดชะงักลง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าผลกระทบของโควิด-๑๙ จะมีความรุนแรงถึงกับทำให้การเดินทางถูกตัดขาด ห่วงโซ่อุปทานพังทลาย และที่สำคัญที่สุด คือ ประชาชนต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบัน การแพร่ระบาดของ โควิด-๑๙ ยังคงมีความรุนแรงในบางประเทศ ขณะที่อีกหลายประเทศก็กำลังพยายามฟื้นฟูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องเร่งปรับตัว และแก้ไขจุดอ่อน เพื่อกลับมาลุกขึ้นยืนและเข้มแข็งกว่าเดิมให้ได้เร็วที่สุด ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองให้ไกลกว่าความท้าทายต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้าและค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ร่วมกัน โดยความร่วมมือพหุภาคีเป็นกุญแจที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งและดีกว่าเดิม ถึงแม้เอเชียจะเป็นภูมิภาคแรกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ แต่เศรษฐกิจในเอเชียเป็นกลุ่มแรกที่แสดงสัญญาณของการฟื้นตัว สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า เอเชียเป็นภูมิภาคแห่งความเข้มแข็ง มุ่งมั่น และยืดหยุ่น อีกทั้งยังเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก โดยในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เอเชียประสบกับวิกฤตนับครั้งไม่ถ้วนในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายระดับ นับตั้งแต่วิกฤตการเงินเอเชีย โรคระบาด หรือแม้แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ แต่เราก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ทุกครั้ง ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ นี้ ผมเชื่อมั่นว่า เอเชียจะสามารถมีบทบาทนำในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โลก ให้มีการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น โดยมีญี่ปุ่นและไทยเป็นผู้เล่นที่สำคัญ ผมเห็นว่า ความเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่และใกล้ชิด รวมทั้งการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูแบบองค์รวมได้ และในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความยินดีในโอกาสจะครบรอบ ๑๓๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศในปีหน้า ญี่ปุ่นมีบทบาททางธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานหลายทศวรรษ และจนถึงปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับหนึ่ง ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตและพัฒนาการ ทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน ไทยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลก โดยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางกระจายสินค้า ให้แก่บริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในไทยกว่า ๕,๘๐๐ แห่ง ขณะเดียวกันไทยยังเป็นฐานสำหรับการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยจนถึงปี ๒๕๖๓ FDI สะสมของญี่ปุ่นในไทยมีมูลค่าสูงกว่า ๙๓,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ รัฐบาลไทยขอขอบคุณรัฐบาล นักลงทุน และนักธุรกิจญี่ปุ่นที่ได้ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในประเทศไทยเสมอมา และขอยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนจากทุกประเทศรวมทั้งจากญี่ปุ่น ให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนจะสนับสนุนการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามนโยบาย Thailand + 1 ต่อไป โดยจะพยายามอย่างเต็มเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของบริษัทญี่ปุ่นในไทย ซึ่งครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้ หนึ่ง การรักษาความต่อเนื่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงใน EEC ซึ่งเมื่อปี ๒๕๖๐ นักธุรกิจและสื่อมวลชนญี่ปุ่นเกือบ ๖๐๐ คน ที่เดินทางเยือนไทยในโอกาสการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น ครบ ๑๓๐ ปี และได้พบหารือกับผมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล เพื่อรับฟังแนวนโยบายและแสวงหาลู่ทางในการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน ก็น่าจะเกิดความเชื่อมั่นและได้ประจักษ์ถึงศักยภาพของไทยและโครงการ EEC ที่มีต่อภูมิภาคแล้ว สอง การพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมา ไทยได้รับความร่วมมือจาก ญี่ปุ่นเป็นอย่างดี เช่น โครงการระบบราง โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และโครงการการพัฒนา smart city รอบสถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น ทั้งนี้ ไทยพร้อมจะขยายความร่วมมือกับญี่ปุ่นในโครงการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต สาม การพัฒนาแรงงานทักษะ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม สำคัญ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน ผมยินดีที่รัฐบาลญี่ปุ่นและรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันการเรียนการสอนแบบโคเซ็นในไทยเพื่อสร้างวิศวกรนักปฏิบัติตามเป้าหมาย โดยเรามุ่งหวังที่จะให้โคเซ็นในไทยเป็นศูนย์การอบรมทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป สี่ การปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพิธีการศุลกากรและภาษีนิติ บุคคล ผมยินดีที่จะแจ้งว่ารัฐบาลไทยมีแผนจะเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการจากต่างชาติมากขึ้นด้วย และ ห้า การเสริมสร้างโอกาสการค้าที่เสรี เป็นธรรมและเปิดกว้าง รวมถึงการพิจารณา เรื่องการเข้าเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP ซึ่งผมจะกล่าวถึงรายละเอียดในภายหลัง นอกจากความร่วมมือในระดับทวิภาคีแล้ว ความร่วมมือพหุภาคีก็มีความสำคัญ อย่างยิ่งในการผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรอบด้าน โดยกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่าง อาเซียน เอเปค RCEP และ CPTPP ล้วนเป็นกลไกสำคัญต่อกระบวนการฟื้นฟูดังกล่าว เมื่อปีที่แล้ว อาเซียนได้จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-๑๙ เพื่อจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น รวมถึงพัฒนาวัคซีนและยารักษา ซึ่งได้รับ การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศอาเซียนบวกสาม ทั้งในรูปแบบ in cash และ in kind โอกาสนี้ ผมขอยืนยันความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ในการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากวิกฤตด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งจากภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน ภายใต้กรอบความร่วมมือเอเปค ซึ่งไทยจะรับตำแหน่งเจ้าภาพปี ค.ศ. ๒๐๒๒ ในปลายปีนี้ เราจะต่อยอดจากวาระของมาเลเซียและนิวซีแลนด์ และจะกำหนดประเด็นให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค ค.ศ. ๒๐๔๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนที่เสรีและเปิดกว้าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเอเปคเพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมในระยะยาว นอกจากนี้เราจะริเริ่มการพูดคุยเกี่ยวกับหนทางที่จะนำไปสู่เขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก หรือเอฟแทป อีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าก็เป็นประเด็นที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญเช่นกัน จึงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดนี้ร่วมกันต่อไป ในเรื่องหนทางไปสู่เอฟแทป นั้น นอกเหนือจากความตกลง RCEP ที่ลงนามกันไปเมื่อ ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วม TPP ซึ่งต่อมากลายเป็น CPTPP อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ โดยไทยขอขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนไทยด้วยดีมาโดยตลอด และในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรและผู้ลงทุนรายใหญ่ในประเทศไทย ผมตระหนักดีว่า การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยยกระดับการบูรณาการของ value chain ในโลกและเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมากขึ้น เพิ่มเติมจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ เจเท๊ปป้า (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น หรือ เอเจเซ็ป (AJCEP) ที่มีอยู่แล้ว ปัจจุบัน หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความพร้อมของไทยในการเข้าร่วม CPTPP แล้ว คณะรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือ กนศ. หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเพื่อเตรียมความพร้อมของภาคส่วนต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมทั้งการพิจารณามาตรการเยียวยาที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ คาดว่า กนศ. จะนำเสนอผลการดำเนินการและข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในกลางเดือนมิถุนายนนี้ กรกฎาคมนี้ นอกจากนั้น ในระดับโลก ไทยสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎเกณฑ์การค้าเป็นพื้นฐานที่สามารถกำกับตลาดโลกที่เสรีและเปิดกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยหวังว่าสหรัฐฯ และจีนจะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในบริบทโลกใหม่หลังโควิด และขอถือโอกาสนี้ยินดีกับผู้อำนวยการ WTO คนใหม่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมระดับรัฐมนตรีของ WTO ครั้งที่ ๑๒ ในปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน ไทยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ e-commerce และการค้าดิจิทัล เพื่อตอบสนองต่อยุคสมัยแบบ new normal โดยจะเพิ่มขีดความสามารถให้ทุกคนมีความพร้อมและมีทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลจะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงสนับสนุนธุรกิจ start-ups โดยไทยยินดีที่ธุรกิจ start-up จากญี่ปุ่นหลายรายได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งเราจะให้การสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ต่อไปและพร้อมต้อนรับธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาดำเนินกิจการเพิ่มเติมในอนาคต การฟื้นฟูของโลกขึ้นอยู่กับความสามารถในการฟื้นฟูความเชื่อมโยง โดยเฉพาะในเรื่องการเดินทางข้ามพรมแดนด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังนั้น ผมเห็นว่า เราต้องเร่งดำเนินการในขั้นต้น ดังนี้ หนึ่ง ประชาชนต้องเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม โดยขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นที่น่ายินดีว่า ทั่วโลกได้เริ่มการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ก็พบว่ายังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาอยู่พอสมควร ดังนั้น ไทยจึงขอเน้นย้ำและเรียกร้องให้วัคซีน โควิด-๑๙ จัดเป็นสินค้าสาธารณะของโลก และขอให้ทุกประเทศร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตลอดจนป้องกันไม่ให้เกิดความคิดวัคซีนชาตินิยมและการใช้วัคซีนเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง สอง เราต้องยอมรับเอกสารการฉีดวัคซีนระหว่างกัน และพัฒนาบัตรสุขภาพแบบดิจิทัล ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบของประเทศต่าง ๆ ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ปัจจุบัน เราเริ่มเห็นความร่วมมือจัดทำ travel bubbles ในระดับทวิภาคีระหว่างประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก ขณะที่ในระดับพหุภาคี เช่น อาเซียน อียู และเอเปค ได้เริ่มการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วในกลุ่มของตน นอกจากนี้ เราต้องพิจารณาและพัฒนาแนวปฏิบัติสำหรับการเดินทางของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไปพร้อมกันด้วย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและหุ้นส่วนอื่น ๆ ในเรื่องนี้ภายใต้กรอบความร่วมมือที่เกี่ยวข้องต่อไป สาม เราต้องเปิดพรมแดนและอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการที่จำเป็น ในฐานะเจ้าภาพเอเปคในปีหน้า ไทยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการฟื้นฟูความเชื่อมโยง ในทุกมิติ โดยเฉพาะการเดินทางและท่องเที่ยว นอกจากนั้น การฟื้นฟูความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือและฟื้นฟูจากโควิด-๑๙ โดยภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเชื่อมโยงนี้ อีกทั้งยังสามารถช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย ในการนี้ รัฐบาลไทยจึงมุ่งมั่นที่จะผลักดันความร่วมมือแบบประชารัฐ เพื่อเพิ่มการผลิตและการกระจายสินค้าและบริการให้ตอบสนองต่ออุปสงค์ของคู่ค้าต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากนั้น ไทยได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ธุรกิจ MSMEs ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญของความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานโลก สามารถเข้าถึงตลาดในประเทศและระหว่างประเทศให้มากและสะดวกยิ่งขึ้น ในส่วนของประเทศไทย เราได้เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เป็นด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยง ทั้งไทยและต่างชาติ ตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์แล้ว และมีเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและอยู่ในข่ายที่สามารถฉีดได้ บนพื้นฐานของความสมัครใจ อย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า ๕๐ ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ ๗๐ ของประชากรทั้งหมด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ อย่างไรก็ดี รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกประมาณ ๕๐ ล้านโดส รวมเป็น ๑๕๐ ล้านโดส เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับประชาชนทุกคนในโอกาสแรกสุดที่จะเป็นไปได้ พร้อมกันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือเพื่อบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนตามเวลาจริง ซึ่งระบบดังกล่าวจะสามารถเชื่อมต่อกับระบบของประเทศอื่นได้หากมีการตกลงกัน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไทยได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเกือบทุกประเภทสามารถเดินทาง เข้าประเทศได้ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังด้านสาธารณสุขที่กำหนด ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ไทยได้อำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจที่เดินทางจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทยแล้วกว่า ๑๓,๐๐๐ คน และในส่วนของภาคการท่องเที่ยว นั้น ไทยจะเริ่มดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ซึ่งจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางเข้าภูเก็ตโดยไม่ต้องกักตัว โดยได้เร่งฉีดวัคซีนแก่ผู้ให้บริการและประชาชนในจังหวัดภูเก็ตแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งหากประสบผลสำเร็จ รัฐบาลจะพิจารณาขยายโครงการไปยังจังหวัดและเมืองอื่น ๆ ต่อไป ผมเชื่อมั่นว่าข้อริเริ่มดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวมายังประเทศไทยอย่างปลอดภัย และหวังว่าจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นผ่านข้อริเริ่มนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า โควิด-๑๙ สร้างโอกาสสำหรับการพัฒนาภูมิภาคและโลกให้ดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม โดยทุกภูมิภาครวมถึงเอเชียจำเป็นต้องบูรณาการนโยบายด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ในระดับ ที่สูงยิ่งขึ้น ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะผลักดันวาระเรื่องการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมกับประชาคมระหว่างประเทศ โดยเราจะส่งเสริมแนวปฏิบัติและการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ รวมทั้งสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจแบบ low-carbon และ zero-waste ซึ่งรัฐบาลไทยได้เห็นชอบให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูจากโควิด-๑๙ ให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนช่วยเร่งการบรรลุ SDGs ให้สำเร็จโดยเร็ว ไทยวางแผนที่จะร่วมมือกับหุ้นส่วนของเราและประชาคมระหว่างประเทศในการขับเคลื่อน BCG Model ซึ่งผมเห็นว่าเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียวของญี่ปุ่น จึงน่าจะสามารถร่วมมือกันได้ เช่น ด้านสาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร เกษตรอัจฉริยะ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น หนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของ BCG model คือ การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้กลายเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปลอดมลพิษ หรือ zero-emission vehicles อย่างสมบูรณ์ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ ZEV (แซด อี วี) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี ๒๕๗๘ โดยเชื่อมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เนื่องจากไทยมีประสบการณ์ในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สำหรับตลาดโลกมามากกว่า ๓๐ ปี ตลอดจนมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดจากญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง BCG Model จะเป็นประเด็นสำคัญที่ไทยจะผลักดันในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ในปีหน้า เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า BCG สามารถเป็นวาระร่วมกันของเอเปคได้ ทั้งเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนา เนื่องจากสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอเปคในการบรรลุการฟื้นฟูที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งสำหรับเอเชีย-แปซิฟิกและนอกภูมิภาค โดยผมหวังว่า ญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนไทยอย่างแข็งขันในการผลักดันวาระที่สำคัญนี้ เอเชียมีบทบาทนำที่สำคัญในการฟื้นฟูของโลกจากโควิด-๑๙ เราสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างโลกในยุคหลังโควิด-๑๙ ที่เข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งไทยมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โอกาสนี้ ผมขอเน้นย้ำการสนับสนุนและส่งกำลังใจจากไทยต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคและพาราลิมปิคที่กรุงโตเกียวในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ไทยและทัพนักกีฬาของเรามุ่งหวังและตั้งตารอที่จะเข้าร่วมการแข่งขันที่สำคัญนี้ นอกจากนั้น ไทยขอยืนยันการสนับสนุนและการเข้าร่วมจัดแสดงศาลาไทยในงานมหกรรม Expo 2025 ที่นครโอซากาในปี ๒๕๖๘ ซึ่งงานดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นฟูของโลกในยุคหลังโควิด-๑๙ ได้เป็นอย่างดี สุดท้ายนี้ ผมขอส่งความปรารถนาดีและความนับถือไปยังท่านนายกรัฐมนตรีซูกะ รัฐบาลญี่ปุ่น และประชาชนชาวญี่ปุ่นทุกคน ผมขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า ไทยสนับสนุนญี่ปุ่นเสมอ ในฐานะเพื่อน และเราจะชนะวิกฤตโรคระบาดนี้ พร้อมกับสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้แก่ชนรุ่นหลัง ไปด้วยกัน อะริกะโตะ โกะไซมัส ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมี นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค covid-19 ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ติดตามสอบถามความคืบหน้าการดำเนินงานของแต่ละเรือนจำ โดยได้แบ่งประเภทเรือนจำออกเป็น ๒ ประเภท คือ เรือนจำสีเขียว และเรือนจำสีเหลือง และกำหนดเงื่อนไขสำหรับการติดตาม ดังนี้ ๑. ตรวจ Swab เจ้าหน้าที่ ในระยะเวลา ๗ วัน ๒. ตรวจ Swab ผู้ต้องขัง ให้ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ หากดำเนินการครบสองเงื่อนไขถือเป็นเรือนจำสีเขียว ส่วนเรือนจำที่ไม่ผ่านเงื่อนไขทั้งสองข้อถือเป็นเรือนจำเหลือง เพื่อให้ง่ายต่อการติดตาม อีกทั้ง ให้ทุกเรือนจำจัดห้องกักโรคสำหรับผู้ต้องขัง มีระบบการเข้า-ออกในห้องกักกันโรค โดยต้องระบุวันเข้า-ออก ให้ชัดเจน รวมถึงการตรวจ Swab ผู้ต้องขัง ทั้งก่อนเข้าห้องกักโรค และก่อนออกจากห้องกักโรค ๑ -๒ วัน พร้อมเน้นย้ำให้ทุกเรือนจำปฏิบัติตามมาตรฐาน SOPs อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41948
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการรถไฟระหว่างเมือง ครั้งที่ 1/2564
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการรถไฟระหว่างเมือง ครั้งที่ 1/2564 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมทางไกล ผ่านระบบ Zoom นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการรถไฟระหว่างเมือง ครั้งที่ 1/2564 พร้อมด้วย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการชนส่งทางราง กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมการขนส่งทางราง และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเป็นประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และทางสายใหม่ ซึ่งได้มีการติดตามความคืบหน้า ปัญหาและอุปสรรคโครงการ ความคืบหน้าการดำเนินการตามผลการประชุมติดตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เรื่องโครงการรถไฟทางคู่ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 และเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีข้อสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 การนำแนวคิดเรื่อง MR-MAP มาพิจารณาร่วมกับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 และทางสายใหม่ การจัดทำแผนการดำเนินงานในรายละเอียด รูปแบบการก่อสร้างโครงการรถไฟช่วงที่ผ่านตัวเมือง จุดตัดทางรถไฟที่ต้องกำหนดรูปแบบมาตรฐาน และการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟกับสถานีขนส่งสินค้า รวมทั้งติดตามความคืบหน้าการทบทวนกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร – ชุมทางถนนจิระ 2) ความคืบหน้าการเสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ซึ่งต้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ให้ครบถ้วนก่อนนำเสนอกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่และทางสายใหม่ และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย นำเสนอการดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการประชุมติดตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในเรื่องโครงการรถไฟทางคู่ในครั้งต่อไป และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งเสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ต่อกระทรวงคมนาคมโดยเร็ว ภาพข้อมูล : การรถไฟแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41906
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลตำรวจ และสถาบันบำราศนราดูร เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ผู้ตรวจราชการ วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลตำรวจ และสถาบันบำราศนราดูร เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลตำรวจ และสถาบันบำราศนราดูร เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" นที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการ กระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี พันตำรวจเอกหญิง กัลยาณี พฤกษารุ่งเรือง รองผู้บังคับการ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้รับมอบ ณ ตึกคุณวิศาล ชั้น ๕ โรงพยาบาลตำรวจ และเวลา ๑๑.๐๐ น.มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับสถาบันบำราศนราดูร เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ โดยมี นายรังสรรค์ ถามูลแสน รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มภารกิจด้านอำนวยการ สถาบันบำราศนราดูร เป็นผู้รับมอบ ณ อาคาร โภชนาการ สถาบันบำราศนราดูร โดยมี นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เพิ่มจุดฉีดวัคซีนโควิด 19 เก็บตกกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 “อนุทิน” เพิ่มจุดฉีดวัคซีนโควิด 19 เก็บตกกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ส่วนกลาง และหน่วยงาน/ องค์กรที่ขอรับการสนับสนุนล่วงหน้า ระยะต่อไปจะช่วยฉีดให้ประชาชนพื้นที่ชุมชนรอบกระทรวงฯ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ส่วนกลาง และหน่วยงาน/ องค์กรที่ขอรับการสนับสนุนล่วงหน้า ระยะต่อไปจะช่วยฉีดให้ประชาชนพื้นที่ชุมชนรอบกระทรวงฯ ที่ลงทะเบียนผ่านสถานบริการในจังหวัดนนทบุรี วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการทดสอบระบบให้บริการวัคซีนโควิด 19 ที่ศูนย์บริการฉีดวัคซีน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จัดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขให้ได้รับการฉีดครอบคลุมทุกคนโดยเร็ว ลดภาระของสถานบริการที่จะต้องให้บริการประชาชน ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมตามเป้าหมาย ระยะต่อไปจึงจะฉีดให้ประชาชนพื้นที่ชุมชนรอบกระทรวงสาธารณสุขที่ลงทะเบียนผ่านสถานบริการในจังหวัดนนทบุรี ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการฉีดวัคซีนได้จัดขั้นตอนครบตามมาตรฐานกรมควบคุมโรค มีการเว้นระยะห่างทุกขั้นตอน จุดพักสังเกตอาการ 30 นาที พร้อมจุดปฐมพยาบาล ให้บริการได้วันละ 300 คน มีอาจารย์พยาบาลจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีกรุงเทพมหานคร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นพรัตน์วชิระ เป็นผู้ฉีดวัคซีน โดยระยะแรกฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมต่างๆ ที่ลงทะเบียนไว้ รวมทั้งหน่วยงาน องค์กรที่ขอรับการสนับสนุนล่วงหน้า หลังจากฉีดได้ครบแล้ว ในระยะต่อไปจะประสานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีส่งรายชื่อประชาชนในชุมชนรอบกระทรวงฯ ที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อมารับการฉีดต่อไป *************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาพระราชทานเจลแอลกอฮอล์ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช รวม 210 แกลลอน
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาพระราชทานเจลแอลกอฮอล์ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช รวม 210 แกลลอน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พระราชทานเจลแอลกอฮอล์ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 210 แกลลอนๆ ละ 4 ลิตร เพื่อจัดส่งให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พระราชทานเจลแอลกอฮอล์ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 210 แกลลอนๆ ละ 4 ลิตรเพื่อจัดส่งให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบการป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น วันนี้ (20 พฤษภาคม 254) ที่อาคารกองงานส่วนพระองค์ 904 วังศุโขทัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้พระราชทานเจลแอลกอฮอล์ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 210 แกลลอนๆ ละ 4 ลิตร เพื่อจัดส่งให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง แห่งละ 10 แกลลอน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วยนายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิฯ นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุรสิทธิ์ จิตรพิทักษ์เลิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว แพทย์หญิงผกาพันธุ์ เปี่ยมคล้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง และคณะ เข้ารับมอบเจลแอลกอฮอล์พระราชทาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อกระทรวงสาธารณสุขและประชาชนชาวไทยที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างใกล้ชิด ทรงคำนึงถึงการใช้ชีวิตประจำวันของบุคลากรทางการแพทย์ ในการนี้ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ได้ถวายหนังสือ จำนวน 2 เล่ม ประกอบด้วย 1.หนังสือโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 4 ทศวรรษ 2 แผ่นดิน และ2.หนังสือแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชในทศวรรษที่ 5 (พ.ศ.2560-2569) *************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41937
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แจงข้อสงสัยกรณีรายการช่องท็อปนิวส์ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แจงข้อสงสัยกรณีรายการช่องท็อปนิวส์ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ ยืนยันพิจารณาคัดเลือกโครงการ “ลายกนก ยกสยามสัญจร” อย่างรัดกุม รอบคอบและเป็นไปตามระเบียบทุกประการ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่าได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนประจำปีงบประมาณ 2564 ด้วยความรัดกุม รอบคอบ เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. บริษัท ท็อปนิวส์ดิจิตัลมีเดีย จำกัด เสนอ โครงการ “ลายกนก ยกสยามสัญจร” ตามการประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งประกาศเปิดรับระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ได้รับรหัสโครงการ 2564-T2/0511 โดยเสนองบประมาณขอรับการสนับสนุน 15 ล้านบาท ในโครงการประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นที่ 3 การสร้างจิตสำนึกผ่านการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย และผ่านการพิจารณาได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการจำนวน 4.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาที่ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ 2. โครงการลายกนก ยกสยามสัญจร มีการให้เหตุผลในการพิจารณาของคณะทำงานและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ดังนี้ ในชั้นคณะทำงานฯ ที่ประชุมเห็นว่าโครงการมีข้อเสนอที่ดี เนื่องจากเป็นการต่อยอดรายการเดิมที่มีอยู่แล้วของผู้ขอรับการสนับสนุนให้มีรายละเอียดและมีความสมบูรณ์มากขึ้น สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และยุทธศาสตร์ของกองทุนที่มุ่งส่งเสริมสนับสนุนการใช้สื่อเพื่อสร้างการเรียนรู้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชน รวมทั้งการสอดแทรกสาระความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีฐานผู้ชมจำนวนมาก แต่เนื่องจากโครงการที่เสนอมีมูลค่าสูง เห็นควรให้สนับสนุนงบประมาณในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท พร้อมกับมีข้อเสนอแนะให้การผลิตและเผยแพร่ให้มีความละเอียดเกี่ยวกับประเด็นประวัติศาสตร์มากขึ้น และหากได้รับการอนุมัติมีข้อเสนอให้ปรับลดงบประมาณ ในชั้นคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ ที่ประชุมเห็นควรสนับสนุนโครงการลายกนก ยกสยามสัญจร งบประมาณไม่เกิน 5 ล้านบาทตามที่คณะทำงานฯ เสนอ ในชั้นคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้โครงการลายกนก ยกสยามสัญจร ได้รับงบประมาณสนับสนุน จำนวน 4.8 ล้านบาท โดยมีเหตุผลในการอนุมัติว่า เป็นรายการมีความน่าสนใจ เป็นการต่อยอดรายการเดิมที่ผลิตสารคดีท่องเที่ยวชุมชน สอดแทรกเกร็ดความรู้ประเด็นประวัติศาสตร์ มานำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย สนุกสนาน มีฐานผู้ชมจำนวนมาก ทั้งนี้รายการไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจึงเห็นควรให้โอกาส ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาสื่อฯ ใช้กระบวนการพิจารณาระหว่างวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 3. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ฯ ได้ดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนตามข้อบังคับคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินแก่โครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาระดับต่างเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ ดังนี้ (1) เมื่อได้รับคำขอ สำนักงานกองทุนฯ จะตรวจสอบแบบคำขอรับการสนับสนุน ข้อมูลเอกสาร และหลักฐานภายในสามสิบวันนับจากวันรับแบบคำขอรับการสนับสนุน และรวมทั้งหลักฐานเพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการพิจารณา (2) กระบวนการพิจารณาขั้นต้นเริ่มจากคณะทำงานชุดต่างๆ จำนวน 11 คณะ ซึ่งสำนักงานแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับประเด็นพิจารณา โดยรายชื่อคณะทำงานทุกคณะสำนักงานได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมีคำสั่งแต่งตั้ง การพิจารณาเป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนดไว้อย่างชัดเจน (3) คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ พิจารณาโครงการหรือกิจกรรมที่ผ่านการพิจารณาชั้นต้นมาจากคณะทำงาน โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการอาจเห็นพ้องหรือเห็นต่างกับคณะทำงานก็ได้ แล้วสรุปผลการพิจารณาเสนอต่อคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อพิจารณาอนุมัติ (4) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนฯ ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการอนุมัติโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุน ได้พิจารณาโครงการหรือกิจกรรมที่ผ่านการเห็นชอบจากอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ โดยได้พิจารณาลงในรายละเอียดรายโครงการ มุ่งเน้นประเด็นต่างๆ อาทิ ขอบเขตการดำเนินงานหรือกิจกรรม งบประมาณ และความเป็นไปได้ในการติดตามประเมินซึ่งจะนำไปกำหนดเป็นตัวชี้วัดผล รวมตลอดถึงความเสี่ยง และความน่าเชื่อถือของผู้รับทุน (5) เมื่ออนุกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติโครงการหรือกิจกรรมเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงานกองทุนฯ จัดทำวาระเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อทราบต่อไป กระบวนการต่างๆ ข้างต้นนี้ใช้เวลาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมกล่าวปาฐกถา Nikkei Forum ย้ำจุดยืนไทยภายหลังฟื้นฟูโควิด-19 พร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ร่วมกล่าวปาฐกถา Nikkei Forum ย้ำจุดยืนไทยภายหลังฟื้นฟูโควิด-19 พร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืน นายกฯ ร่วมกล่าวปาฐกถา Nikkei Forum ย้ำจุดยืนไทยภายหลังฟื้นฟูโควิด-19 พร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืน วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) เวลา 11.20 น. (หรือ 13.20 น. เวลาท้องถิ่น ณ กรุงโตเกียว) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวปาฐกถาเนื่องในการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์นิคเค ในหัวข้อหลัก “การสร้างรูปแบบของอนาคตยุคหลังโควิด-19: บทบาทของภูมิภาคเอเชียต่อการฟื้นตัวของโลก”(Shaping the post-COVID era: Asia’s Role in the Global Recovery) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้แบ่งบันมุมมองของไทยเพื่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่นให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องเร่งปรับตัวและแก้ไขจุดอ่อน เพื่อกลับมาลุกขึ้นยืนและเข้มแข็งกว่าเดิมให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งต้องร่วมกันค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ความร่วมมือพหุภาคีจะเป็นกุญแจที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งและดีกว่าเดิม และเชื่อมั่นว่า เอเชียจะสามารถมีบทบาทนำในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้มีการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูแบบองค์รวมได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า ญี่ปุ่นมีบทบาททางธุรกิจในไทยมายาวนานซึ่งไทยก็มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลก เป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางกระจายสินค้าให้แก่บริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในไทยกว่า 5,800 แห่ง และยังเป็นฐานสำหรับการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซึ่งการลงทุนสะสมของญี่ปุ่น(FDI)ในไทยจนถึงปี 2563 มีมูลค่าสูงกว่า 93,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขอยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนจากทุกประเทศให้ดียิ่งขึ้นตามนโยบาย Thailand + 1 ต่อไป โดยจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะของบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้ครอบคลุมประเด็น ดังนี้ 1. รักษาความต่อเนื่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงโครงการใน EEC เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน 2. พัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการระบบราง โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการการพัฒนา smart city รอบสถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น 3. พัฒนาแรงงานทักษะ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสำคัญ ดังเช่นที่รัฐบาลญี่ปุ่นและไทยร่วมมือกันจัดตั้งสถาบันการเรียนการสอนแบบโคเซ็นในไทย มุ่งหวังให้เป็นศูนย์การอบรมทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป 4. ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพิธีการศุลกากรและภาษีนิติบุคคล ซึ่งไทยมีแผนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติ และ 5. เสริมสร้างโอกาสการค้าที่เสรี เป็นธรรมและเปิดกว้าง รวมถึงการพิจารณาเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ความร่วมมือพหุภาคีก็สำคัญในการผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรอบด้าน ผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่าง อาเซียน เอเปค RCEP และ CPTPP ล้วนเป็นกลไกสำคัญต่อกระบวนการฟื้นฟู โดยเมื่อปีที่แล้ว อาเซียนได้จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 เพื่อจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พัฒนาวัคซีนและยารักษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศอาเซียนบวกสาม และไทยพร้อมจะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ในการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากวิกฤตด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทั้งจากภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนให้เสรีและเปิดกว้าง ไทยจะเป็นเจ้าภาพกรอบความร่วมมือเอเปค ในปี ค.ศ. 2022 จะริเริ่มการพูดคุยถึงเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก หรือเอฟแทป ซึ่งหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมในระยะยาว และเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมากขึ้นให้เพิ่มเติมจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ไทยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ e-commerce และการค้าดิจิทัล เช่น การสนับสนุนธุรกิจ start-ups ตอบสนองต่อยุคสมัยแบบ new normal เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ทุกคนมีความพร้อมและมีทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัล 2. ด้านการฟื้นฟูความเชื่อมโยงของโลก ได้แก่ การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม การยอมรับเอกสารการฉีดวีคซีนระหว่างกัน การพัฒนาบัตรสุขภาพแบบดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบของประเทศต่าง ๆ ได้ ตลอดจนการเปิดพรมแดนและอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการที่จำเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ โดยเฉพาะการเดินทางและท่องเที่ยว ทั้งนี้ไทยขอเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 จัดเป็นสินค้าสาธารณะของโลกและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม ซึ่งไทยมีข้อริเริ่มการกระตุ้นการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างปลอดภัย จึงหวังว่าจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นผ่านข้อริเริ่มนี้ 3. ด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคและโลกให้ดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยผลักดันวาระเรื่องการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยส่งเสริมแนวปฏิบัติและการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ รวมทั้งเห็นชอบให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูจากโควิด-19 ให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบสีเขียวของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเร่งการบรรลุ SDGs ให้สำเร็จโดยเร็ว ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียว่า สามารถสร้างโลกในยุคหลังโควิด-19 ที่เข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น ขอส่งกำลังใจให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคและพาราลิมปิคในปีนี้ ซึ่งทัพนักกีฬาไทยพร้อมเข้าร่วม รวมทั้งขอส่งความปรารถนาดีและความนับถือไปยังนายกรัฐมนตรีซูกะ รัฐบาลญี่ปุ่น และประชาชนชาวญี่ปุ่นทุกคน ขอให้มั่นใจว่า ไทยสนับสนุนญี่ปุ่นเสมอในฐานะเพื่อนและเราจะชนะวิกฤตโรคระบาดนี้ พร้อมกับสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้แก่ชนรุ่นหลังไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41919
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีแนะลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเจรจาตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ได้
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ก.ยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีแนะลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเจรจาตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ได้ กรมบังคับคดีแนะลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเจรจาตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ได้ ตามที่มีข่าว นายวิเชียร ยอรัมย์ ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับความเดือดร้อน บ้านที่อาศัยอยู่ถูกยึดและอาจถูกขายทอดตลาด เนื่องจากครอบครัวลำบากไม่สามารถชำระหนี้ตามข้อตกลงได้ นั้น นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดวิเชียรบุรี หมายเลขแดงที่ ผบ.๓๕๓๓/๒๕๖๓ ระหว่างบริษัท พระนคร ยนตรการ จำกัด โจทก์ นายชูชัย ยอรัมย์ ที่ 1 นายไพฑูรย์ ยอรัมย์ ที่ 2 จำเลย โดยโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๙๓๑ ตำบลกันจุ อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ มีชื่อนายฉัตรชัย ยอรัมย์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์และในฐานะผู้รับมรดกของนายไพฑูรย์ ยอรัมย์ จำเลยที่ ๒ ในที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ ต่อมานายชูชัย ยอรัมย์ จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และสามารถตกลงกันได้โดยจำเลยที่ ๑ ยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท ภายในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระภายใน ๑๘ เดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการบังคับคดีไว้ ๓ เดือนตามคำขอของโจทก์แล้ว แต่หากนายวิเชียร์ ยอรัมย์ บุตรของจำเลยที่ ๒ เกรงว่าจะไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ก็สามารถให้จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อีก ซึ่งหากเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถเจรจาตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ได้ และมีการชำระหนี้ครบตามข้อตกลงก็จะไม่ต้องขายทอดตลาดบ้านและที่ดินที่ยึดไว้ กรมบังคับคดี ๐ ๒๘๘๑ ๔๙๙๙ หรือสายด่วนกรมบังคับคดี ๑๑๑๑ กด ๗๙ เว็บไซต์ www.led.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้โดยสารเครื่องบินที่จะเดินทางเข้าเชียงรายต้องมีเอกสารรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 ครบ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ผู้โดยสารเครื่องบินที่จะเดินทางเข้าเชียงรายต้องมีเอกสารรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 ครบ ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หากเข้าพื้นที่จังหวัดเชียงรายจะต้องมีผลการตรวจเชื้อ COVID-19 ด้วยวิธี RT PCR หรือAntigen Rapid Test ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือได้รับวัคซีน COVID-19 ครบ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายได้มีประกาศ เรื่อง กำหนดมาตรการปฏิบัติต่อผู้เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เข้าพื้นที่จังหวัดเชียงราย สั่ง ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หากเข้าพื้นที่จังหวัดเชียงรายจะต้องมีผลการตรวจเชื้อ COVID-19 ด้วยวิธี RT PCR หรือAntigen Rapid Test ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือได้รับวัคซีน COVID-19 ครบ 2 เข็ม โดยให้ผู้เดินทางปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด และหากผู้เดินทางไม่มีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงราย ให้กักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดหาให้เป็นเวลา 14 วัน หรือเท่าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แต่หากมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงราย ต้องกักกันตนเองอย่างเข้มข้นที่บ้านหรือที่พักอาศัย เป็นเวลา14 วัน หรือเท่าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จึงขอให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายโดยเครื่องบิน จัดเตรียมหลักฐานผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT PCR หรือ Antigen Rapid Test ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือหลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็ม เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่สายการบินตั้งแต่ท่าอากาศยานต้นทาง และปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายที่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรมและห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เนวินธุ์” โชว์ 42 ปท. ไทยบูรณาการดิจิทัลบริหารจัดการ รพ.สนามสู้โควิดฯ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 “เนวินธุ์” โชว์ 42 ปท. ไทยบูรณาการดิจิทัลบริหารจัดการ รพ.สนามสู้โควิดฯ “เนวินธุ์” โชว์ 42 ปท. ไทยบูรณาการดิจิทัลบริหารจัดการ รพ.สนามสู้โควิดฯ “เนวินธุ์”ผู้ช่วยรมว.ดีอีเอสร่วมประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีจาก42ประเทศโชว์ความสำเร็จประเทศไทยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนนำเทคโนโลยีดิจิทัลใช้บริหารจัดการรพ.สนามสู้โควิด-19 นายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวานนี้(19พ.ค.64)ได้รับมอบหมายจากนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รมว.ดีอีเอสเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีภายใต้งานWorld Summit on the Information Society Forum (WSIS) 2021ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกในกรอบสหประชาชาติสำหรับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT)และเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลการพัฒนาองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศรวมถึงการกำหนดแนวทางการพัฒนาและสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน โดยการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีได้จัดขึ้นในรูปแบบการประชุมทางไกลประกอบด้วยผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีจาก42ประเทศและผู้บริหารระดับสูงของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU) “ในการประชุมครั้งนี้ผมได้แลกเปลี่ยนความเห็นและแนวปฏิบัติที่ดีของไทยในเรื่องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19อาทิการจัดหาเตียงผู้ป่วยการจองวัคซีนการสนับสนุนจากผู้ประกอบการติดตั้งฟรีอินเทอร์เน็ตและติดตั้งCCTVให้กับโรงพยาบาลสนามเพื่ออำนวยความสะดวกแก่บุคลากรทางการแพทย์”นายเนวินธุ์กล่าว นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำถึงนโยบายหลัก5ด้านของรมว.ดีอีเอสต่อที่ประชุมประกอบด้วย1.การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล2.การส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมการพัฒนาe - serviceภาครัฐ3.การส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5G 4.การพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าสู่โลกของดิจิทัลและ5.การปกป้องคุ้มครองประชาชนจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตในทางมิชอบโดยนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับWSIS Action Linesที่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาตินายเนวินธุ์กล่าวว่ายังได้ใช้โอกาสในการร่วมประชุมเวทีระดับโลกครั้งนี้เรียกร้องITUและประเทศสมาชิกให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกรูปแบบโดยใช้ICTและเทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภาอุตฯ ขอบคุณรัฐบาล มั่นใจแผนกระจายฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ลดความแออัด มีประสิทธิภาพ
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 สภาอุตฯ ขอบคุณรัฐบาล มั่นใจแผนกระจายฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ลดความแออัด มีประสิทธิภาพ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ที่เห็นความสำคัญของแผนการกระจายวัคซีนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจจะช่วยทำให้ลดความแออัดในโรงพยาบาล และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วยระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธาน นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธาน และคณะร่วมหารือในการเตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีนโควิด – 19 แก่ผู้ประกันตน พร้อมให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด – 19 แก่ผู้ประกันตน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอแผนการฉีดวัคซีนนกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในระยะแรก จำนวน 6 ล้านโดส โดยแยกเป็นเดือนมิถุนายน จำนวน 1.5 ล้านโดส ฉีดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดือนกรกฎาคม จำนวน 4.5 ล้านโดส ฉีดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1.5 ล้านโดส และในพื้นที่ 9 จังหวัดเศรษฐกิจอื่น 3 ล้านโดส ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนในกรุงเทพมหานครไว้ จำนวน 45 จุด โดยใช้บุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล เภสัชกรของโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม 20 แห่ง เป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมอุปกรณ์และฉีดวัคซีน และได้จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการฉีดวัคซีนไว้พร้อมแล้ว ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผมในฐานะประธานสภาอุตสาหกรรมได้ประชาสัมพันธ์ให้สถานประกอบการเร่งลงทะเบียนผ่านระบบ Web – Service โดยมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ประสงค์จะฉีดวัคซีนมากถึง 80% จึงขอชื่นชม ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ที่เห็นความสำคัญของผู้ประกันตนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการจัดทำแผนการกระจายวัคซีนไปยังผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภาอุตสาหกรรมมั่นใจว่า แผนการเหล่านี้จะช่วยลดความแออัดการฉีดวัคซีนในโรงพยาบาล และจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อันจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41943
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เผย รพ.บุษราคัมดูแลผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เตรียมเปิดอีก 1 พันเตียงรองรับ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ปลัด สธ.เผย รพ.บุษราคัมดูแลผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เตรียมเปิดอีก 1 พันเตียงรองรับ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยโรงพยาบาลบุษราคัมดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แล้ว 427 ราย หายกลับบ้าน 6 ราย ส่งต่อรักษา 15 ราย ยังอยู่ระหว่างรักษา 406 ราย ส่วนใหญ่เป็นอาการเล็กน้อย เตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 พันเตียง ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยโรงพยาบาลบุษราคัมดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แล้ว 427 ราย หายกลับบ้าน 6 ราย ส่งต่อรักษา 15 ราย ยังอยู่ระหว่างรักษา 406 ราย ส่วนใหญ่เป็นอาการเล็กน้อย เตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 พันเตียง หลังรับดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน บุคลากรทางการแพทย์มีเพียงพอ พร้อมมีระบบผู้ป่วยจิตอาสาช่วยดูแลกันเองภายในโรงพยาบาล วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลบุษราคัม อิมแพค เมืองทองธานี ว่า ขณะนี้โรงพยาบาลบุษราคัมรับผู้ป่วยโควิด 19 เข้ามาดูแลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากวันที่ 14 พฤษภาคมที่เปิดดำเนินการเป็นวันแรกรับผู้ป่วย 48 ราย ล่าสุดข้อมูลเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2564 รับผู้ป่วยใหม่อีก 91 ราย ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยรวม 427 ราย โดยผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้วางระบบการส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 , 5 และ 6 เครือข่ายโรงเรียนแพทย์ และกรมการแพทย์ โดยมีการส่งต่อแล้วจำนวน 15 ราย ส่วนผู้ที่รักษาหายกลับบ้านมี 6 ราย เหลือผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา 406 ราย เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย 323 ราย และกลุ่มอาการปานกลาง 83 ราย มีเตียงรองรับอีก 677 เตียง “แต่ละวันคาดว่าจะมีการส่งผู้ป่วยโควิด 19 เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลบุษราคัมเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงมีแผนขยายเตียงรองรับเพิ่มอีก 1 พันเตียง ภาพรวมขณะนี้ถือว่าระบบการบริหารจัดการและการดูแลผู้ป่วยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บุคลากรทางการแพทย์ที่สลับกันเข้ามาดูแลผู้ป่วยมีเพียงพอ ใช้ระบบติดตามดูแลผู้ป่วยผ่านกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีและการสื่อสารภายใน รวมถึงมีระบบจิตอาสาในกลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 ที่ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน โดยผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงคอยช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นภายในโรงพยาบาลบุษราคัม” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ****************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยากมีบ้านง่ายนิดเดียว!! ธอส. ขนบ้านมือสองกว่า 1,000 รายการ เปิดประมูลออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดสูงสุดถึง 56% ศุกร์ที่ 21 พ.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 อยากมีบ้านง่ายนิดเดียว!! ธอส. ขนบ้านมือสองกว่า 1,000 รายการ เปิดประมูลออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ลดสูงสุดถึง 56% ศุกร์ที่ 21 พ.ค.นี้ ธอส.จัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ดีทั่วประเทศ 1,006 รายการ ให้เลือกซื้อ เริ่มประมูลพร้อมกันวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.00-13.00 น.เท่านั้น ธนาคารอาคารสงเราะห์ สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน จัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ดีทั่วประเทศ 1,006 รายการ ให้เลือกซื้อ ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 56% จากราคาปกติ เริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 82,000 บาทเท่านั้น พร้อมรับสิทธิ์ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลย มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นาน 12-48 เดือน พิเศษ!! มอบส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลหากทำสัญญาและทำนิติกรรมภายใน 31 กรกฎาคม 2564 เริ่มประมูลพร้อมกันวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.00-13.00 น.เท่านั้น นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารพร้อมสนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน ด้วยวิธีง่ายๆ กับงาน “ประมูลออนไลน์ บ้านถูกใจ หาได้ที่ธอส.” ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.เท่านั้น โดยธนาคารได้คัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศทั้งประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ ที่ดินเปล่า รวมกว่า 1,006 รายการ มาเปิดประมูล โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ให้ส่วนลดพิเศษสูงถึง 56% จากราคาปกติ และผู้ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และยังได้เลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลย มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ได้นาน 12-48 เดือน (ระยะเวลาดอกเบี้ย 0% กำหนดตามระยะเวลาการถือครองทรัพย์ของธนาคาร) สำหรับทรัพย์ที่นำมาเปิดประมูลในครั้งนี้แบ่งเป็น ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 488 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 145,000 บาท ได้แก่ ห้องชุด ชั้น 4 ขนาด 26.42 ตารางเมตร โครงการพุทธมณฑลคอนโดทาวน์ อ.สามพราน จ.นครปฐม ส่วนรายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 30% คือ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ 1 ชั้น เนื้อที่ 19.5 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านตะวันงาม อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี มีราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 690,000 บาท ส่วนรายการที่มีราคาจำหน่ายสูงสุดและเป็นทรัพย์เด่นทำเลทอง ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่กว้างถึง 106.9 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านมัณฑนา รังสิตคลอง 2 จ.ปทุมธานี ราคาเริ่มต้นประมูล 7,780,000 บาท เพราะเป็นทรัพย์ที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล และเดินทางไปยังเส้นทางต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก เนื่องจากใกล้กับถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอกตะวันออก และทางด่วน Tollway ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นำออกประมูลมีจำนวน 518 รายการ แบ่งเป็นรายการที่น่าสนใจ อาทิ รายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 56.33% จากราคาปกติ ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 229 ตารางวา ในโครงการสวนชมดอย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 100,000 บาท รายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 204 ตารางวา ในโครงการสวนไม้ผลหนองนกกระเรียน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี มีราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 82,000 บาท ส่วนรายการที่มีราคาเริ่มต้นสูงสุดที่ 8,500,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 425 ตารางวา โครงการบางปะกงเลคไซด์ วิลล่า อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนได้จนถึงเวลา 12.45 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 (เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาคโทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยองค์การอนามัยโลก เห็นว่าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่า 10 คนต่อขวด ทำได้
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 สธ. เผยองค์การอนามัยโลก เห็นว่าฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่า 10 คนต่อขวด ทำได้ กระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกเห็นว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่าจำนวนโดสที่กำหนดไว้บนฉลากข้างขวด สามารถทำได้และเกิดประโยชน์ ประสิทธิภาพไม่ลดลง เพราะให้วัคซีนมาเกินจำนวน 10 โดส ใช้เทคนิคดูดวัคซีนอย่างประณีต Low Dead Space Syringes กระทรวงสาธารณสุข เผยองค์การอนามัยโลกเห็นว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่าจำนวนโดสที่กำหนดไว้บนฉลากข้างขวด สามารถทำได้และเกิดประโยชน์ ประสิทธิภาพไม่ลดลง เพราะให้วัคซีนมาเกินจำนวน 10 โดส ใช้เทคนิคดูดวัคซีนอย่างประณีตLow Dead Space Syringesด้วยไซริงค์พิเศษ ได้วัคซีนครบ 0.5 ซีซีแน่นอน และฉีดได้โดยไม่เหลือวัคซีนค้างในไซริงค์ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า ศบค.ได้อนุมัติแผนการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าซึ่งเป็นวัคซีนหลัก รัฐบาลมีนโยบายให้ทั้งคนไทยและต่างชาติจะต้องได้รับการฉีดเข็มที่ 1 ร้อยละ 70 ภายในเดือนกันยายน 2564 โดยในเดือนมิถุนายนมีวัคซีนประมาณ 6.3 ล้านโดส จัดสรรให้กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดสูงจำนวน 2.5 ล้านโดส เพื่อควบคุมการระบาดให้สงบโดยเร็ว ส่วนที่เหลือจัดสรรไปยังจังหวัดต่าง ๆเน้นในพื้นที่ระบาดสูง และพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว และการเปิดประเทศตามแผนที่กำหนด สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 ขวดบรรจุ 6.5 ซีซี และกำหนดไว้สำหรับฉีดจำนวน 10 โดส โดสละ 0.5 ซีซีจะมีปริมาณวัคซีนในขวดที่เกินมาอีกประมาณ 1.5 ซีซี จะมีวัคซีนเหลือในขวดฉีดเพิ่มได้อีก 1 – 2 คน เมื่อดูดวัคซีนอย่างประณีตด้วยเทคนิคLow Dead Space Syringesและจัดสรรไซริงค์พิเศษที่ช่วยดูดวัคซีนได้แม่นยำมากขึ้นทำให้ได้วัคซีนครบ 0.5 ซีซีแน่นอน และฉีดได้โดยไม่เหลือวัคซีนค้างในไซริงค์ ประสิทธิภาพวัคซีนจึงไม่ลดลง ทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้นถึงร้อยละ10-20 ซึ่งองค์การอนามัยโลกเห็นว่าการฉีดได้มากกว่าจำนวนโดสที่กำหนดไว้บนฉลากข้างขวด สามารถทำได้และเกิดประโยชน์ สำหรับประชาชนทั่วไป ลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนได้ทั้งทางไลน์/ แอปพลิเคชัน หมอพร้อม โรงพยาบาล/ อสม.นัดหมาย หรือการลงทะเบียนOn siteโดยเริ่มการฉีดวัคซีนทั้งระบบเป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เป็นต้นไป คือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เจ้าหน้าที่ด่านหน้าและกลุ่มอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ รวมทั้งผู้มีอาชีพ/ กิจการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน และกลุ่มพิเศษที่ต้องเร่งดำเนินการคือ บุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับการฉีดก่อนเปิดภาคเรียน ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ประชาชนทั่วไป *********************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พนักงาน บริษัท ขนส่ง จำกัด และรถร่วม พร้อมเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 พนักงาน บริษัท ขนส่ง จำกัด และรถร่วม พร้อมเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 โดย บขส. ได้เปิดจุดประสานงานให้คำแนะนำ แก่ผู้ประกอบการรถร่วมฯ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสำรวจและรวบรวมรายชื่อผู้ปฏิบัติงานและให้บริการด้านระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อทำการฉีดวัคซีน COVID-19 อย่างทั่วถึงและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งรัดการฉีดวัคซีน COVID-19 และได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ นั้น บขส. จึงได้เร่งดำเนินการ โดยแจ้งให้พนักงาน บขส. และรถร่วมที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน ลงทะเบียนผ่านแบบฟอร์มที่กำหนด เพื่อจัดส่งรายชื่อให้กระทรวงคมนาคมทราบ พร้อมกันนี้ได้ตั้งจุดประชาสัมพันธ์ให้คำแนะนำ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนรับการฉีดวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ ให้กับผู้ประกอบการรถร่วม ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร เอกมัย และบรมราชชนนี) สถานีขนส่งผู้โดยสารปิ่นเกล้า และสถานีเดินรถโดยสารขนาดเล็ก (จตุจักร) ในเบื้องต้นมีพนักงานและผู้ประกอบการรถร่วม แจ้งความประสงค์ขอรับการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วประมาณ 2,800 คน ทั้งนี้ผู้ที่ลงทะเบียนไว้จะได้รับการฉีดวัคซีน ระหว่างวันที่ 24 พ.ค. - 31 พ.ค. 2564 ณ สถานีกลางบางซื่อ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม สั่งอธิบดีทุกกรมจัดหาวัคซีนฉีด ขรก.-พนักงานทุกคน เข้มหากใครยังไม่ฉีดห้ามเข้ามาทำงาน ลดการแพร่ระบาดไม่ให้งานสะดุด เป็นตัวอย่างที่ดีรับผิดชอบต่อสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม สั่งอธิบดีทุกกรมจัดหาวัคซีนฉีด ขรก.-พนักงานทุกคน เข้มหากใครยังไม่ฉีดห้ามเข้ามาทำงาน ลดการแพร่ระบาดไม่ให้งานสะดุด เป็นตัวอย่างที่ดีรับผิดชอบต่อสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งอธิบดีทุกกรมจัดหาวัคซีนฉีด ขรก.-พนักงานทุกคน เข้มหากใครยังไม่ฉีดห้ามเข้ามาทำงาน ลดการแพร่ระบาดไม่ให้งานสะดุด เป็นตัวอย่างที่ดีรับผิดชอบต่อสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์มีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมาก กระทรวงยุติธรรมจึงต้องยกระดับมาตรการป้องกัน โดยการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยตนได้สั่งการให้ อธิบดีทุกคน ต้องดำเนินการประสานหาวัคซีนเพื่อฉีดให้ทุกคนในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง ต้องได้ฉีดวัคซีนทั้งหมด รวมทั้งอธิบายให้ความรู้ว่าวัคซีนไม่ได้น่ากลัว ขอให้เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ตนได้สั่งการไปแล้ว ดังนั้นการจะให้ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างเข้ามาทำงานในกรมหรือหน่วยงานในสังกัด หากยังไม่ได้รับวัคซีนจะไม่ให้เข้าพื้นที่ แต่หากได้รับเข็มแรกแล้ว มีหลักฐานมาแสดง เช่น ใบแสดงผล ก็ให้เข้ามาทำงานได้ คำสั่งนี้ขอให้เป็นคำสั่งของกระทรวงทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะตนไม่ต้องการทำให้สังคมเห็นว่า ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมขาดความตื่นตัวในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เพราะหากมีคนติดเชื้อจะเดือดร้อนทั้งกรม การทำงานต่างๆ ในการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนจะสะดุดได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตาม ความก้าวหน้าการนำเสนอ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตาม ความก้าวหน้าการนำเสนอ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... และการจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 เวลา เวลา 15.30 น. ด้วย Application “Zoom” โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมเพื่อดำเนินการติดตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เร่งรัดการนำเสนอ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ ภารกิจของกรมการขนส่งทางรางในการกำกับดูแลเสนอแนะนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนการพัฒนาด้านการขนส่งทางราง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางให้มีโครงข่ายที่สมบูรณ์ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เชื่อมต่อกับการขนส่งระบบอื่น และประเทศเพื่อนบ้าน การกำกับดูแลมาตรฐานด้านความปลอดภัย การบำรุงทาง และการประกอบกิจการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และปลอดภัยในการเดินทาง โดยกรมการขนส่งทางรางได้นำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกลับมาพิจารณาทบทวนปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงคมนาคม ปี พ.ศ. 2560 - พ.ศ. 2564 และให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเติมร่างบทบัญญัติ เช่นการจัดสรรความจุ ตารางเวลาเดินรถและเส้นทาง, การสอบสวนอุบัติเหตุ และการจดทะเบียนรถขนส่งทางราง เป็นต้น และได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการต่อไป โดยคาดว่าจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และจะประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ จัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ร่วมมือกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง พัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และจัดทำฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีระบบราง โดยมีเป้าหมายเร่งด่วน คือ การวิจัยชิ้นส่วนในระบบรางเพื่อให้สามารถผลิตรถไฟในประเทศ (Local Content) ได้ตามนโยบาย Thai First รวมทั้งการวิจัยเพื่อสร้างรถไฟ EV มาใช้ในประเทศไทย พร้อมกับการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยคาดว่าร่าง พ.ร.ฎ. จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมปีนี้ ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับทราบการดำเนินการของกรมการขนส่งทางราง และได้สั่งการเพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กรมการขนส่งทางรางเตรียมความพร้อมกฎหมายลำดับรอง ประเภทร่างกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. การขนส่งทางราง คู่ขนานเพื่อมิให้มีความล่าช้า ในการบังคับใช้กฎหมายตามที่กำหนดไว้ รวมถึงให้จัดทำข้อมูลในมิติต่างๆ เช่น เรื่องราคาค่าโดยสาร ความปลอดภัย มาตรฐานการประกอบการกิจการ มาตรฐานผู้ประจำหน้าที่ เป็นต้น โดยจำแนกตามประเภทของกฎหมายลำดับรองว่ามีกี่ฉบับ โดยจะมีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่อไป ๒. มอบหมายให้พิจารณาเรื่องบุคลากรที่จะมาช่วยดำเนินงานวิจัยในสถาบันวิจัยฯโดยให้มีการบูรณาการร่วมกับมหาวิทยาลัยท้องถิ่นที่มีโครงการพัฒนาเทคโนยีระบบรางด้วย ๓. มอบหมายใหกรมการขนส่งทางรางพิจารณาที่มาของทุนสถาบันฯ เพิ่มเติม และพิจารณาขอความร่วมมือจากประเทศที่ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ เช่น ประเทศเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เป็นต้น โดยขอให้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในการจัดตั้งสถาบันฯ เนื่องจากมีประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งสถาบันได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เร่งฉีดวัคซีน COVID-19 ให้กับพนักงานทุกคน เพื่อลดการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เร่งฉีดวัคซีน COVID-19 ให้กับพนักงานทุกคน เพื่อลดการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมให้พนักงานประจำรถโดยสารของ ขสมก. ทุกคน และพนักงานประจำรถโดยสารเอกชนร่วมบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ขสมก. เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ณ สถานีกลางบางซื่อ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมให้พนักงานประจำรถโดยสารของ ขสมก. ทุกคน และพนักงานประจำรถโดยสารเอกชนร่วมบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ขสมก. เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ณ สถานีกลางบางซื่อ ตั้งแต่วันที่ 24 - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อลดการติดเชื้อ ลดการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกที่ 3 ที่มีความรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ใช้บริการอาจมีความกังวลว่าจะได้รับการแพร่เชื้อจากพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยที่ผ่านมา ขสมก. ได้มีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด อย่างเคร่งครัด อาทิ การให้พนักงานประจำรถสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ทั้งก่อนและหลังปฏิบัติหน้าที่ บนรถโดยสาร การหมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและการฉีดพ่นผลิตภัณฑ์ ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ภายในรถโดยสาร ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ “การฉีดวัคซีน” คือวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ได้รับวัคซีนในแง่ของการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิต และยังเป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้างอีกด้วย ขสมก. จึงเตรียมความพร้อมให้พนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกคน รวมถึงพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารของรถเอกชนร่วมบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ขสมก. เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ณ สถานีกลางบางซื่อ ตั้งแต่วันที่ 24 - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อลดการติดเชื้อลดการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการรถโดยสารของ ขสมก. และรถเอกชนร่วมบริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 “อนุทิน” รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ และแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด เพื่อดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุษราคัม สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ และแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด เพื่อดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุษราคัม สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์ วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร รับมอบออกซิเจนเหลวทางการแพทย์ จากบริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มูลค่า 5 ล้านบาท และรับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด จาก ดร.ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ และกรรมการบริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมขึ้น โดยใช้เวลาจัดตั้งไม่นาน ซึ่งเป็นความตั้งใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่จัดระบบนี้ขึ้นมา เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยจนถึงอาการปานกลางระดับสีเหลือง รักษาให้อยู่ในระดับสีเขียว ไม่ให้อาการหนัก ซึ่งโรงพยาบาลมีระบบการรักษาเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข มีท่อออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการใช้ วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่ภาคเอกชนมีจิตกุศล นำออกซิเจนเหลวทางการแพทย์พร้อมอุปกรณ์มามอบให้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ทำลายปอด ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก หากรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิต และสำหรับแอลกอฮอล์ล้างมือ มีความสำคัญเช่นกัน ถือว่าเป็นเครื่องมือด่านหน้าที่ป้องกันและลดการติดเชื้อได้ กระทรวงสาธารณสุขจะนำสิ่งของได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเร็วที่สุดตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค “ผมในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณ ผู้บริจาคทุกท่านที่นำผลิตภัณฑ์ สิ่งของต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยและประเทศไทย เหมาะสมกับช่วงเวลานี้อย่างยิ่ง สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานอย่างมาก ถ้าเรามีอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ ยารักษาโรค สถานพยาบาล แพทย์ เพียงพอก็จะสามารถดูแลรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วย” นายอนุทินกล่าว *************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีประภัตร เร่งรัดนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน ในโค-กระบือ (LSDV) ถึงไทยแน่นอนปลายเดือน พ.ค. 64 นี้
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 รัฐมนตรีประภัตร เร่งรัดนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน ในโค-กระบือ (LSDV) ถึงไทยแน่นอนปลายเดือน พ.ค. 64 นี้ รัฐมนตรีประภัตร เร่งรัดนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน ในโค-กระบือ (LSDV) ปลายเดือน พ.ค.นี้ นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่ากระทรวงเกษตรฯได้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกินในโค-กระบือที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้จึงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดกับอธิบดีกรมปศุสัตว์และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เร่งรัดให้นำเข้าวัคซีนLSDVเพื่อใช้ในการควบคุมและป้องกันโรคลัมปีสกินในโค-กระบือที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ราว20จังหวัดซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่นำมาใช้ร่วมกับมาตรการด้านอื่นๆตามที่กรมปศุสัตว์ได้มีการเผยแพร่ไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบืออย่างต่อเนื่องและกว้างขวางเพื่อเร่งสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือในการควบคุมและป้องกันโรคดังกล่าวให้สงบลงโดยเร็ว นายประภัตรได้กล่าวเพิ่มเติมว่าตั้งแต่ต้นปี2564ได้เกิดการระบาดในโค-กระบือในประเทศเมียนมาร์และจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในทุกด่านตามแนวชายแดนจึงได้นำคณะลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ที่จังหวัดตากทันทีซึ่งมีการหารือร่วมกันกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเมื่อวันที่24-25ก.พ. 64จนมีการปิดด่านตามแนวชายแดนและเข้มงวดตรวจการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์อย่างเข้มข้นตามแนวทางที่กรมปศุสัตว์เสนอมาจนถึงปัจจุบันอย่างไรก็ตามแม้ว่าได้ดำเนินมาตรการต่างๆมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ปรากฏว่าได้เกิดโรคดังกล่าวนี้ครั้งแรกในประเทศไทยที่จังหวัดร้อยเอ็ดและปัจจุบันก็ได้เกิดโรคนี้ลุกลามในพื้นที่จังหวัดต่างๆแล้วราว20จังหวัดแม้ว่าสัตว์เลี้ยงที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอัตราการตายที่ค่อนข้างต่ำแต่ก็ทำให้เกิดความเสียหายด้านอื่นๆตามมากระทรวงเกษตรฯไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าวได้กำชับและให้แนวทางแก่กรมปศุสัตว์ในการดำเนินมาตรการต่างๆให้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ "พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีฯได้มีความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบืออย่างยิ่งโดยได้กำชับผมในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมปศุสัตว์เร่งรัดในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่"นายประภัตรกล่าว นายสัตวแพทย์สรวิศธานีโตอธิบดีกรมปศุสัตว์ได้กล่าวเสริมว่ากรมปศุสัตว์ได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆหลายด้านอย่างเข้มข้นรวมถึงได้มีการสั่งซื้อวัคซีนLSDVจากบ. Inter vet intetnational BVประเทศเนเธอร์แลนด์มีโรงงานผลิตในประเทศแอฟริกาใต้รวม60,000โด๊สขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประสานงานเพื่อส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยซึ่งหากกระบวนการดังกล่าวไม่มีอะไรติดขัดทางผู้ขายจะใช้เวลาในการส่งมอบทางเครื่องบิน3วันซึ่งประเมินไว้ในเบื้องต้นว่าเราจะได้รับวัคซีนLSDVในวันที่28พฤษภาคม2564หลังจากผ่านกระบวนการต่างๆตามขั้นตอนในประเทศไทยแล้วกรมฯจะกระจายวัคซีนให้ถึงเกษตรกรเป้าหมายในพื้นที่เกิดโรคและในพื้นที่เสี่ยงสูงโดยเร็วที่สุดภายใต้การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์อย่างใกล้ชิดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ​ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ​ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ที่กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) โดยมี นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค covid-19 ต่อจากนั้นในเวลา ๑๓.๑๕ น. ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมด้วยคณะทำงานฯ เข้าร่วมประชุม ปลัดกระทรวงยุติธรรม เผยว่า หลังจากมีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตนในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้สั่งการให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขการแพร่ระบาด ดังนี้ ๑. กรมราชทัณฑ์ ต้องเร่งดำเนินการและแจ้งคำสั่งโดยเร็วที่สุดหลังมีคำสั่งให้มีผู้ประสานงานแต่ละเขต ประสานงานหลักกับผู้ประสานงานทั้ง ๙ เขต ๒. ต้องรายงานสถิติปัจจุบันของการติดเชื้อทั้งในส่วนของผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ รวมถึงสถานที่ที่จะทำห้องตรวจและกักกันโรค เพื่อดำเนินการ quarantine ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข๓. การตรวจ SWAB ของเจ้าหน้าที่ ผู้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และผู้ต้องขัง ควรสั่งการให้ชัดเจนว่าในแต่ละวันจะมีการตรวจ SWOP จำนวนเท่าไหร่ กี่ครั้งต่อคน และคนที่เข้ามาสู่ระบบแล้วต้องมีห้องพักตรวจในแต่ละเรือนจำ ซึ่งหากผลตรวจเป็นลบจะต้องนำผู้ต้องขังเข้าห้องกักโรคเป็นเวลาจำนวนกี่วัน และมีระบบการเข้า-ออกในห้องกักกันโรค (โดยต้องระบุวันเข้า-ออก) ดังนั้น ให้กองบริการทางการแพทย์ดำเนินการออกข้อสั่งการ ได้แก่ ดำเนินการให้มีห้องพักตรวจโรคในแต่ละเรือนจำ กำหนดวิธีการในการกักกันโรคให้มีมาตรฐานเดียวกันกับเรือนจำทั่วประเทศ และกำหนดให้มีการตรวจ SWAB ทุกวัน ๔. กรมราชทัณฑ์ต้องเช็คสต๊อกของบริจาค เช่น อุปกรณ์การแพทย์ และอื่น ๆ ในเรือนจำทุกเขต หากมีเรือนจำใดขาดแคลนสิ่งของเหล่านี้ให้ผู้บริจาคสามารถบริจาคสิ่งของไปยังเรือนจำนั้นได้โดยตรง ๕. กรณีการปล่อยผู้ต้องขังที่กักตัวในเรือนจำครบ ๑๔ วันแล้ว เห็นควรต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค เพื่อกักกันตัวต่ออีก ๑๔ วัน จึงต้องเตรียมหาสถานที่กักกันตัวผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วกลุ่มนี้ในพื้นที่หน้าเรือนจำ และขอให้มีการประสานงานเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณค่าอาหารไปยัง ปภ. กระทรวงมหาดไทย เพื่อดูแลกลุ่มคนกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ กองบริการทางการแพทย์ ต้องดำเนินการจัดทำแผนงาน ๕ แผนงาน ได้แก่ ๑. แผนงานตรวจสอบ ป้องกันการติดเชื้อในเรือนจำ ซึ่งรวมถึง การ Quarantine และระยะเวลาในการ SWAB ๒. แผนงานจัดการผู้ติดเชื้อเมื่อพบผู้ติดเชื้อ การส่งต่อ การดูแลด้วยการจัดกลุ่มเตียงแดง เตียงเหลือง และเตียงเขียว ๓. แผนการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงการเช็คสต๊อก ๔. แผนงานสนับสนุนผู้ติดเชื้อออกจากเรือนจำโดยการสร้าง Shelter หน้าเรือนจำ ๕. แผนโครงการเรื่องฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่ ผู้ช่วยเหลือ และผู้ต้องขัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ บันทึกเทปแถลงข่าวการจัดประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ บันทึกเทปแถลงข่าวการจัดประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ บันทึกเทปแถลงข่าวการจัดประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปแถลงข่าวการจัดประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” ผ่านระบบ True VROOM ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมร่วมมือเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมร่วมมือเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ พร้อมร่วมมือเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายตีแยรี มาตู (H.E. Mr. Thierry Mathou) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีต้อนรับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยในนามของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ชื่นชมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอย่างยาวนานในทุกมิติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีไปยังนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส และภรรยา ซึ่งได้พบหารือร่วมกันหลายครั้ง ตลอดจนยืนยันพร้อมยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างรอบด้าน ด้านเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้สละให้เข้าพบหารือในวันนี้ ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่มีมาอย่างยาวนาน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสัมพันธ์มีพลวัตมากขึ้น ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ เห็นพ้องกับการยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนแนวทางการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกัน โดยไทยประสงค์ที่จะมีความร่วมมือกับฝรั่งเศสด้านวัคซีน เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนเร็วขึ้น เป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือในประเด็นความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันในหลายด้าน โดยในด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลฝรั่งเศสที่ดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทยมาโดยตลอด โดยขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนฝรั่งเศสในไทยเป็นอย่างดีเช่นกัน และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 ในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันเช่นที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนยินดีให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน สำหรับประเด็นความร่วมมือพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือโดยยึดถือตามหลักสากลของโลก โดยไทยพร้อมยกระดับทางการค้า ผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (Thailand-EU FTA) ที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ไทยยินดีที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับไทยและยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และพร้อมผลักดันให้ฝรั่งเศสมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในอาเซียน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนสื่อฯ แจง กระบวนการพิจารณาทุนปี ๖๔ เป็นไปด้วยความรอบคอบ ตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์ของกองทุน
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 กองทุนสื่อฯ แจง กระบวนการพิจารณาทุนปี ๖๔ เป็นไปด้วยความรอบคอบ ตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์ของกองทุน กระบวนการพิจารณาทุนปี ๖๔ เป็นไปด้วยความรอบคอบ ตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์ของกองทุน กรณีรายการ “ลายกนก” เห็นว่าเนื้อหารายการมีความน่าสนใจ เป็นรายการสารคดีท่องเที่ยวชุมชน ด้วยเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ที่เชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก ตามที่กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้ประกาศผลการพิจารณาโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ และรายการ “ลายกนก ยกสยามสัญจร” ของบริษัทท็อปนิวส์ดิจิตัลมีเดีย จำกัด (ช่องท็อปนิวส์) ซึ่งได้การสนับสนุนงบประมาณ ๔.๘ ล้านบาทด้วย ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการพิจารณาที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากจุดประสงค์หลักของกองทุนฯ คือการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ขณะที่สื่อท็อปนิวส์และพิธีกรในรายการดังกล่าว ถูกมองว่าไม่เป็นกลางและแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจน กรณีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากในสื่อสังคมออนไลน์ ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสรรค์กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ด้วยความรัดกุม รอบคอบ เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุน ผลการพิจารณาขึ้นอยู่กับคณะทำงาน ๑๑ ชุด และคณะอนุกรรมการ๒ คณะ แต่ละคณะต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนว่าทำไมควรได้หรือไม่ได้ กรณีโครงการลายกนก ยกสยามสัญจร มีการให้เหตุผลในการพิจารณาของคณะทำงานและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ อย่างชัดเจน กล่าวคือ ในชั้นคณะทำงานฯ ที่ประชุมเห็นว่าโครงการมีข้อเสนอที่ดี เนื่องจากเป็นการต่อยอดรายการเดิมที่มีอยู่แล้วของผู้ขอรับการสนับสนุนให้มีรายละเอียดและมีความสมบูรณ์มากขึ้น สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และยุทธศาสตร์ของกองทุนที่มุ่งส่งเสริมสนับสนุนการใช้สื่อเพื่อสร้างการเรียนรู้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชน รวมทั้งการสอดแทรกสาระความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีฐานผู้ชมจำนวนมาก แต่เนื่องจากโครงการที่เสนอมีมูลค่าสูง เห็นควรให้สนับสนุนงบประมาณในวงเงินไม่เกิน ๕ ล้านบาท พร้อมกับมีข้อเสนอแนะให้การผลิตและเผยแพร่ให้มีความละเอียดเกี่ยวกับประเด็นประวัติศาสตร์มากขึ้น และหากได้รับการอนุมัติมีข้อเสนอให้ปรับลดงบประมาณ ต่อมาในชั้นคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ ที่ประชุมเห็นควรสนับสนุนโครงการลายกนก ยกสยามสัญจร งบประมาณไม่เกิน ๕ ล้านบาทตามที่คณะทำงานฯ เสนอ และเมื่อโครงการเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารฯ ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้โครงการลายกนก ยกสยามสัญจร ได้รับงบประมาณสนับสนุน จำนวน ๔.๘ ล้านบาท โดยมีเหตุผลในการอนุมัติว่า เป็นรายการมีความน่าสนใจ เป็นการต่อยอดรายการเดิมที่ผลิตสารคดีท่องเที่ยวชุมชน สอดแทรกเกร็ดความรู้ประเด็นประวัติศาสตร์ มานำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย สนุกสนาน มีฐานผู้ชมจำนวนมาก ทั้งนี้รายการไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจึงเห็นควรให้โอกาส ผู้จัดการกองทุนกล่าวอีกว่า ทุกโครงการต้องผ่านกระบวนการพิจารณาตามลำดับชั้นเหมือนกันทุกโครงการ ตั้งแต่ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นพิจารณาอนุมัติ ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของกองทุนฯ ดังนี้ (๑) เมื่อได้รับคำขอ สำนักงานกองทุนฯ จะตรวจสอบแบบคำขอรับการสนับสนุน ข้อมูลเอกสาร และหลักฐานภายในสามสิบวันนับจากวันรับแบบคำขอรับการสนับสนุน และรวมทั้งหลักฐานเพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการพิจารณา (๒) กระบวนการพิจารณาขั้นต้นเริ่มจากคณะทำงานชุดต่างๆจำนวน ๑๑ คณะซึ่งสำนักงานแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่สอดคล้องกับประเด็นพิจารณา โดยรายชื่อคณะทำงานทุกคณะสำนักงานได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมีคำสั่งแต่งตั้ง การพิจารณาเป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนดไว้อย่างชัดเจน (๓) คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ พิจารณาโครงการหรือกิจกรรมที่ผ่านการพิจารณาชั้นต้นมาจากคณะทำงาน โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการอาจเห็นพ้องหรือเห็นต่างกับคณะทำงานก็ได้ แล้วสรุปผลการพิจารณาเสนอต่อคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อพิจารณาอนุมัติ (๔) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนฯ ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการอนุมัติโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุน ได้พิจารณาโครงการหรือกิจกรรมที่ผ่านการเห็นชอบจากอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ โดยได้พิจารณาลงในรายละเอียดรายโครงการ มุ่งเน้นประเด็นต่างๆ อาทิ ขอบเขตการดำเนินงานหรือกิจกรรม งบประมาณ และความเป็นไปได้ในการติดตามประเมินซึ่งจะนำไปกำหนดเป็นตัวชี้วัดผล รวมตลอดถึงความเสี่ยง และความน่าเชื่อถือของผู้รับทุน (๕) เมื่ออนุกรรมการบริหารพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติโครงการหรือกิจกรรมเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงานกองทุนฯ จัดทำวาระเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เพื่อทราบต่อไป กระบวนการต่างๆข้างต้นนี้จะเห็นว่าการพิจารณามีกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งการพิจารณาข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมที่ขอมาในปีนี้ใช้เวลาตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ถือเป็นระยะเวลาที่เพียงพอในการสอบทานให้เกิดความรอบคอบ “กองทุนฯ ขอยืนยันว่า การพิจารณาอนุมัติโครงการหรือกิจกรรมการให้ทุนทุกประเภทได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ กฎ กติกา ตามที่คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์กำหนดและปฏิบัติถูกต้องตามข้อบังคับซึ่งเป็นวิธีการและกลไกที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แล้ว” ผจก.กองทุนสื่อฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ร่วมกับ บจ.เงินสดทันใจ ช่วยผู้เดือดร้อนจาก COVID-19 แก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง เปิดจุดบริการรับจำนำทะเบียนในสาขาธนาคารกว่า 550 แห่ง พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 0.49%
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ออมสิน ร่วมกับ บจ.เงินสดทันใจ ช่วยผู้เดือดร้อนจาก COVID-19 แก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง เปิดจุดบริการรับจำนำทะเบียนในสาขาธนาคารกว่า 550 แห่ง พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 0.49% ธ.ออมสินร่วมกับบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ลงชั่วคราว เหลือเพียง 0.49% (หรือเท่ากับ 11% ต่อปี) สำหรับผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อในช่วงเวลาโปรโมชัน 2 เดือน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนี้ตลอดอายุสัญญา นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงการเดินหน้าบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ที่ธนาคารฯ เร่งเพิ่มช่องทางช่วยเหลือประชาชนหรือผู้ที่ขาดสภาพคล่องเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินต้นทุนต่ำและได้รับเงินเร็ว อีกทั้งเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลในการช่วยประชาชนกลุ่มฐานรากที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบในครั้งนี้ โดยธนาคารฯ ร่วมกับบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ลงชั่วคราว เหลือเพียง 0.49% (หรือเท่ากับ 11% ต่อปี) สำหรับผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อในช่วงเวลาโปรโมชัน 2 เดือน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนี้ตลอดอายุสัญญา ทั้งนี้ เปิดรับจำนำทะเบียนทั้งที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ปลอดภาระหนี้ และที่ประสงค์รีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระดอกเบี้ยสัญญาเดิม ซึ่งคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือเพิ่มสภาพคล่องในชีวิตประจำวันของผู้ที่เดือดร้อนได้ นอกจากนี้ ธนาคารฯ ได้เปิดจุดบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนภายในสาขาธนาคารออมสิน จำนวนกว่า 550 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางแก่ผู้ที่สะดวกใช้บริการที่สาขาของธนาคาร โดยมีทีมงานของ บจ. เงินสดทันใจ พร้อมมอบบริการด้วยขั้นตอนที่สะดวกรวดเร็ว ให้ผู้ที่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อสามารถรับเงินได้ภายใน 15 นาที ผู้ที่สนใจสามารถไปติดต่อขอสินเชื่อที่จุดบริการเงินสดทันใจภายในสาขาธนาคารออมสินกว่า 550 สาขา ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ตรวจสอบรายชื่อสาขาธนาคารให้บริการได้ที่ www.gsb.or.th) และที่สาขาของศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ จำนวนกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ให้บริการโดยบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสิน กับ SAWAD มีเป้าหมายเพื่อผลักดันภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่าย ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า โดยบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ นำเสนอดอกเบี้ยที่เป็นธรรม และมีกำไรทางธุรกิจที่เหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 “อนุทิน” รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ และแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด เพื่อดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุษราคัม สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบออกซิเจนทางการแพทย์ และแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด เพื่อดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุษราคัม สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์ วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร รับมอบออกซิเจนเหลวทางการแพทย์ จากบริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มูลค่า 5 ล้านบาท และรับมอบแอลกอฮอล์ล้างมือ 8,000 ชุด จาก ดร.ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ และกรรมการบริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมขึ้น โดยใช้เวลาจัดตั้งไม่นาน ซึ่งเป็นความตั้งใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่จัดระบบนี้ขึ้นมา เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยจนถึงอาการปานกลางระดับสีเหลือง รักษาให้อยู่ในระดับสีเขียว ไม่ให้อาการหนัก ซึ่งโรงพยาบาลมีระบบการรักษาเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข มีท่อออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการใช้ วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่ภาคเอกชนมีจิตกุศล นำออกซิเจนเหลวทางการแพทย์พร้อมอุปกรณ์มามอบให้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ทำลายปอด ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก หากรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิต และสำหรับแอลกอฮอล์ล้างมือ มีความสำคัญเช่นกัน ถือว่าเป็นเครื่องมือด่านหน้าที่ป้องกันและลดการติดเชื้อได้ กระทรวงสาธารณสุขจะนำสิ่งของได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเร็วที่สุดตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค “ผมในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณ ผู้บริจาคทุกท่านที่นำผลิตภัณฑ์ สิ่งของต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยและประเทศไทย เหมาะสมกับช่วงเวลานี้อย่างยิ่ง สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานอย่างมาก ถ้าเรามีอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ ยารักษาโรค สถานพยาบาล แพทย์ เพียงพอก็จะสามารถดูแลรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วย” นายอนุทินกล่าว *************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา หารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 รมช.มนัญญา หารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รมช.มนัญญา หารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับตัวแทนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำโดย นายทอง วิริยะจารุ ประธานกรรมการเจ้าหนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด โดยมี นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และนายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้อง 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของสหกรณ์เจ้าหนี้ 73 แห่ง และสมาชิกสหกรณ์ประมาณ 350,000 ราย กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จะครบกำหนด 5 ปีตามกฎหมายล้มละลาย และหากสหกรณ์ไม่สามารถชำระหนี้ภายในเดือน มิ.ย. 2564 ศาลล้มละลายต้องพิจารณามีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือให้ล้มละลาย ดังนั้น สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จึงต้องหาแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับสหกรณ์ โดยเสนอแนวทาง อาทิ การประสานให้ธนาคารของรัฐพิจารณาสนับสนุนวงเงินกู้ยืมให้สหกรณ์ฯ สำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนฉุกเฉิน รวมถึงการระดมทุนจากสหกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมรับข้อเสนอเพื่อพิจารณา และจะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปแนวทางช่วยเหลือต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำ 3 ช่องทางการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ปรับวอร์คอินเป็นลงทะเบียน On-site เพิ่มฉีดให้กลุ่มคนทำงานในระบบประกันสังคมให้เร็วขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ย้ำ 3 ช่องทางการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ปรับวอร์คอินเป็นลงทะเบียน On-site เพิ่มฉีดให้กลุ่มคนทำงานในระบบประกันสังคมให้เร็วขึ้น นายกฯ ย้ำ 3 ช่องทางการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ปรับวอร์คอินเป็นลงทะเบียน On-site เพิ่มฉีดให้กลุ่มคนทำงานในระบบประกันสังคมให้เร็วขึ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ต้องการเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ 1) ระบบหมอพร้อม ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคลงทะเบียน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนแล้ว 7.4 ล้านคน โดยเป็นการลงทะเบียนในกรุงเทพมหานครแล้วกว่า 8 แสนคน และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปอายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อดีคือประชาชนสามารถเลือกวันเวลาและสถานที่ได้เอง 2) การลงทะเบียน ณ จุดบริการ หรือ On-site Registration ช่องทางนี้ปรับจากการเรียกว่า วอร์คอิน (Walk in) เนื่องจากหากใช้คำว่าวอร์คอินแล้ว อาจเกิดความเข้าใจผิดว่าทุกคนที่เดินทางไปจะได้ฉีดในวันนั้น จนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ แต่การลงทะเบียน ณ จุดบริการ จะมีระบบรองรับและแจ้งประชาชนเมื่อเดินทางไปลงทะเบียนว่า มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการในวันนั้นหรือไม่ หากพร้อมฉีดแต่วัคซีนไม่พอในวันนั้นก็สามารถทำการลงทะเบียนเพื่อนัดฉีดในวันอื่นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลามารอฉีดอีกในวันต่อไปแต่สามารถมาฉีดได้เลยตามที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว และขอย้ำว่าช่องทางนี้เป็นการบริการเสริม และสำหรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางกทม.ได้จัดให้มีการกระจายจุดบริการวัคซีนทั่วพื้นที่ในโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยงาน จำนวน 231 แห่ง นอกจากนี้ยังได้เตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลอีก 25 แห่ง โดยเตรียมความพร้อมจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้เปิดทดลองระบบแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ 1.เซ็นทรัล ลาดพร้าว 2.สามย่านมิตรทาวน์ 3.เดอะมอลล์ บางกะปิ และ 4.บิ๊กซี บางบอน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ถ้าหากในแต่ละจุดที่บริการ มีวัคซีนเพียงพอในแต่ละวัน และมีวัคซีนสำรองเนื่องจากมีคนที่นัดแล้วแต่ไม่ได้มาฉีดตามนัดอยู่บ้าง รัฐบาลก็มีแผนในการเปิดการฉีดวัคซีนแบบวอร์คอินได้ แต่เนื่องจากสถานะการณ์การแพร่ระบาดและความรุนแรงนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งมีการระบาดในหลายคลัสเตอร์ในหลายพื้นที และเป็นสาเหตุให้นายกรัฐมนตรีมีความจำเป็นต้องตัดสินใจปรับแผนเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนบริการหลักยังเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม และการวอร์คอินจะเป็นการบริการเสริมในช่วงนี้ 3) การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ หรือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นจัดสรรวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต เช่น บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถติดต่อนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. ได้โดยตรง หรือหากเป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาคมที่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถยื่นเรื่องต่อกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังมีนโยบายให้เตรียมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.นี้ โดยกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และภาคเอกชนจะร่วมมือกัน สนับสนุนให้บุคลากรกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม การผลิต และภาคบริการ ฟื้นตัวได้โดยเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมในกทม. ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนนี้ (มิ.ย.-ก.ค.64) และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศให้ครบ 50 ล้านคนภายในปี 2564 ----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุญาตให้สมาคมการค้าการส่งออกและการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง เข้าพบ
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 อนุญาตให้สมาคมการค้าการส่งออกและการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง เข้าพบ รัฐมนตรีเกษตรฯ อนุญาตให้สมาคมการค้าการส่งออกและการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง เข้าพบ พร้อมแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการต่อได้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้สมาคมการค้าการส่งออกและการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง เข้าพบ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อหารือในเรื่องการกำหนดค่าธรรมเนียมการนำเข้า-ส่งออกสัตว์ชนิดนอก พ.ร.บ. ตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2559 ที่กำลังจะประกาศใช้ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นี้ อาทิ เม่นแคระ กิ้งก่าสายพันธุ์ต่าง ๆ และกระต่าย เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จะขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไป 180 วัน และจะแก้ไขกฎกระทรวงที่สามารถดำเนินการได้ โดยไม่เกิดผลกระทบต่อราชการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน อีกทั้งได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์หารือร่วมกับสมาคมและผู้ประกอบการในรายละเอียด เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการต่อได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่วมหารือและให้ข้อคิดเห็นต่อการเข้าร่วมความตกลง CPTPP
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ร่วมหารือและให้ข้อคิดเห็นต่อการเข้าร่วมความตกลง CPTPP กระทรวงเกษตรฯ ร่วมหารือและให้ข้อคิดเห็นต่อการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรและประเทศไทยเป็นหลัก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง CPTPP ด้านการเกษตรและพันธุ์พืช ผ่านระบบ VDO Conference (Zoom) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในวันนี้ คือ 1) การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช 2542 ให้มีผลใกล้เคียงกับอนุสัญญา UPOV 1991 2) การแจ้งสหภาพ UPOV ให้นำชื่อประเทศไทยออกจากเว็บไซต์ของ UPOV และ 3) สินค้าเกษตรที่มีมาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard : SSG) ในเบื้องต้น กระทรวงเกษตรฯ ไม่ปฏิเสธในการเข้าร่วมความตกลง CPTPP แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรและประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งการหารือในวันนี้ เป็นการนำเสนอปัญหาในด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การเจรจาแก้ไข จึงต้องมีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อม ทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร ความพร้อมของเกษตรกร เทคโนโลยี และการสื่อสารทำความเข้าใจต่อประชาชน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของกระทรวงเกษตรฯ มีการดำเนินการในด้านต่างประเทศในหลายมิติ โดยมีความพร้อมในการประสานในด้านต่าง ๆ ซึ่งฑูตเกษตรถือเป็นหน่วยงานในต่างประเทศที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การขับเคลื่อนงานดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การปรับตัวของเกษตรกร การยกระดับเกษตรกรให้สามารถแข่งขันได้ การดึงเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ และการสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศ ล้วนเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร และถึงแม้ว่าจะไม่มี CPTPP หรือโควิด-19 นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ก็มีการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ของโลกอย่างชัดเจน และพร้อมปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41944
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ณ สถาบันการแพทย์บางรัก
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 สธ. เปิดศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ณ สถาบันการแพทย์บางรัก กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก ณ สถาบันการแพทย์บางรัก ระยะแรกเป็นวัคซีนซิโนแวคล็อตที่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 5 แสนโดส ฉีดคนจีนที่พำนักในประเทศไทยตามรายชื่อของสถานทูต ตลอดจนนักเรียนไทย และบุคลากรของหน่วยงาน กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก ณ สถาบันการแพทย์บางรัก ระยะแรกเป็นวัคซีนซิโนแวคล็อตที่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 5 แสนโดส ฉีดคนจีนที่พำนักในประเทศไทยตามรายชื่อของสถานทูต ตลอดจนนักเรียนไทย และบุคลากรของหน่วยงานที่ไปศึกษา หรืออบรมที่ต่างประเทศ ให้บริการได้อย่างน้อยวันละ 180 คน วันนี้ (20 พฤษภาคม 2564) ที่สถาบันการแพทย์บางรัก กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย Mr. Yang Xin อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก ณ สถาบันการแพทย์บางรัก นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลจีนมายาวนาน โดยที่ผ่านมาท่านอุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้ช่วยประสานงานให้ไทยสามารถสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคมาใช้ในระยะเร่งด่วนตั้งแต่เมื่อเกิดการระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 ช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต และปกป้องกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า เพื่อรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยมีวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนทยอยนำเข้ามาฉีดให้กับคนในประเทศก่อนที่จะได้รับวัคซีนหลักตามแผนในเดือนมิถุนายน 2564 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 20 พฤษภาคม นำเข้ามารวม 5.5 ล้านโดส นอกจากนี้ รัฐบาลจีน ได้บริจาควัคซีนให้อีกจำนวน 1 ล้านโดส ได้รับแล้ว5 แสนโดส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ซึ่งวัคซีนที่ได้รับบริจาคล็อตนี้ จะฉีดให้กับคนจีนที่ถือพาสปอร์ตจีนที่สถานทูตส่งมา จำนวนกว่า 100,000 คน และจะใช้ฉีดให้กับคนไทย เช่น นักเรียนไทย และบุคลากรของหน่วยงานที่ไปศึกษาหรืออบรมที่ต่างประเทศ รวมทั้งชาวต่างชาติในระยะต่อไป “ตามที่รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนทุกคนในแผ่นดินไทยเพื่อความปลอดภัย เป็นการช่วยเติมเต็มการบริการวัคซีนให้เกิดความครอบคลุมในทุกกลุ่มประชากร รวมถึงชาวต่างชาติที่จะได้รับการฉีดที่เร็วขึ้น ช่วยให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทยเร็วขึ้นด้วย” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาศูนย์ฉีดวัคซีนและสุขภาพบางรัก (Bangrak Vaccination and Health Center) โดยใช้พื้นที่ชั้น 11 ของสถาบันการแพทย์บางรัก ซึ่งเป็นอาคารใหม่ของกรมควบคุมโรค มีตู้เย็นสำหรับการจัดเก็บวัคซีน เครื่องสำรองไฟ ครุภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ในการดูแลผู้ที่มารับการฉีดวัคซีน และจัดระบบบริการ 8 ขั้นตอนตามมาตรฐานกรมควบคุมโรค ให้บริการได้อย่างน้อยวันละ 180 คน *************************************** 20 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล “ชัยวุฒิ”เรียกประชุมคกก.ป้องกันฯการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางโซเชียลนัดแรกไฟเขียวเตรียมออกร่างประกาศกระทรวงฯหลักเกณฑ์เก็บLog filesหนุนพรบ.คอมพ์ฯตามทันยุคโซเชียล นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(20พ.ค.64)ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ครั้งที่1/2564โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานด้านการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อปรับปรุงประกาศกระทรวงฯตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯที่ใช้บังคับมานานเพื่อให้ทันสมัยสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากลและสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานทั้งในโซเชียลมีเดียและดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆโดยคณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณา(ร่าง)ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเรื่องหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการพ.ศ. ....และแนวทางการกำกับดูแลและการลงทะเบียนผู้ใช้งานSocial Media โดยดูจากแนวทางของต่างประเทศเป็นต้นแบบคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้และจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับสรุปผลการดำเนินงานด้านการป้องกันปราบปรามของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโดยกระทรวงดิจิทัลฯกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(สอท.)ศปอส.ตร. (PCT)ในช่วง2เดือนนี้(เม.ย.-พ.ค. 64) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง(Verify)ทั้งหมดจำนวน683เรื่องได้รับการตรวจสอบแล้ว348เรื่องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบแล้ว160เรื่องแบ่งเป็นข่าวปลอม121เรื่องข่าวจริง15เรื่องบิดเบือน24เรื่อง นอกจากนี้กระทรวงฯได้ดำเนินการปิดกั้นข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอปิดกั้นจำนวน16คำร้อง349ยูอาร์แอลศาลมีคำสั่งให้ระงับแล้ว4คำร้องและเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจำนวน12เรื่อง256ยูอาร์แอลอีกทั้งได้ดำเนินการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มให้ปิดกั้นข้อมูลตามคำสั่งศาล35คำสั่ง726ยูอาร์แอลและแจ้งความดำเนินคดีในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลตามมาตรา27แบ่งเป็นเฟซบุ๊ก321ยูอาร์แอลทวิตเตอร์155ยูอาร์แอล ขณะที่(ศปอส.ตร.)ได้ดำเนินคดีตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯจำนวน4เรื่อง6รายและดำเนินการตักเตือนให้ลบโพสต์และแก้ไขข่าวโดยใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯจำนวน4เรื่อง12รายกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(สอท.)ได้ดำเนินการสืบสวนพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้บัญชีSocial Mediaที่ใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับข่าวปลอมเรื่องโรงพยาบาลเมดพาร์คเปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด-19ของModernaจำนวน11กรณีระบุตัวตนได้5รายอยู่ระหว่างสืบสวน(อวาตาร) 6รายและกรณีบิดเบือนวัคซีนไฟเซอร์จำนวน25กรณีระบุตัวตนได้19รายและอยู่ระหว่างสืบสวน6ราย นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯกล่าวว่าแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ในวันนี้มีความพร้อมและจะเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมโดยจะมีการแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/ส่วนราชการร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯเพื่อประสานและดำเนินการตอบโต้ข่าวปลอมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยมีแนวทางให้ทุกกระทรวงจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงขึ้นโดยด่วนเพื่อติดตามตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างรวดเร็วและเพื่อประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯกับกระทรวงดิจิทัลฯอย่างใกล้ชิดรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกำชับให้กระทรวง/ส่วนราชการที่ได้รับความเสียหายจากการให้ข้อมูล/ข่าวสารที่เป็นเท็จ/บิดเบือนรีบดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งนี้ให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็วรวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติเพื่อประกอบการประเมินผลการดำเนินงานตามวงรอบที่เหมาะสมต่อไป **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตมองโกเลีย เข้าพบ ‘จุรินทร์’ ตั้งเป้าการค้า 3,000 ล้านบาท ดันส่งออก ‘ข้าว-ยาง-อาหาร’ เพิ่ม พร้อมจับมือหาเส้นทางขนสินค้าทางบก ลดต้นทุน
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ทูตมองโกเลีย เข้าพบ ‘จุรินทร์’ ตั้งเป้าการค้า 3,000 ล้านบาท ดันส่งออก ‘ข้าว-ยาง-อาหาร’ เพิ่ม พร้อมจับมือหาเส้นทางขนสินค้าทางบก ลดต้นทุน ‘จุรินทร์’ หารือเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เตรียมขยายตลาดส่งออกข้าว ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ยางและเครื่องมือแพทย์ และกระดาษ ไปมองโกเลีย พร้อมเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการทางการแพทย์ในไทย ตั้งเป้าผลักดันมูลค่าการค้าสองฝ่ายแตะ 3,000 ล้านบาท ให้ได้ในปี 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับนายทูมูร์ อามาร์ซานา (H.E. Mr. Tumar Amarsanaa) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีโอกาสต้อนรับท่านทูตจากมองโกเลียหลังจากมีความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ มา 47 ปี โดยมองโกเลียมีประชากร 3,300,000 คน มี GDP ประมาณ 440,000 ล้านบาท ซึ่งไทยยังสามารถใช้มองโกเลียเป็นประตูการค้าสู่รัสเซียหรือกลุ่มประเทศที่แตกตัวจากรัสเซียได้ ขณะเดียวกันมองโกเลียก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูการค้าสู่อาเซียนได้ “จากการหารือมองโกเลียต้องการขยายความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน และส่งออกเนื้อสัตว์ และนมมาไทย ตลาดใหญ่มองโกเลียคือ จีนและรัสเซีย โดยไทยยินดีให้การสนับสนุนโดยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยด้านอาหาร ผ่านกรมวิชาการเกษตรและกรมปศุสัตว์ของไทย และดำเนินการขั้นตอนให้ครบถ้วน จากนั้นกระทรวงพาณิชย์ยินดีให้การสนับสนุน และท่านทูตขอให้ช่วยสนับสนุนการจัดทำข้อตกลงเรื่องการคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งขณะนี้ไทยกำลังจะทำโมเดลกลางรูปแบบการคุ้มครองการลงทุนที่เป็นมาตรฐาน จะสามารถนำไปใช้กับทุกประเทศในโลก และยังสนใจทำข้อตกลงเรื่องการไม่จัดเก็บภาษีซ้อน และมีความเห็นเรื่องการลดต้นทุนการขนส่งสินค้าจากไทยไปมองโกเลีย เนื่องจากต้นทุนค่อนข้างสูง เพราะห่างไกลและเน้นการขนส่งสินค้าทางเรือเป็นหลัก ควรเพิ่มเส้นทางทางบกเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และมองโกเลียสนใจที่จะต้อนรับการลงทุนทางด้านสุขภาพจากนักลงทุนชาวไทยเพราะมีโรงพยาบาลบางแห่งเริ่มไปลงทุนในมองโกเลีย” นายจุรินทร์กล่าว นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน และได้เชิญให้ท่านทูตประสานเอกชนหรือผู้นำเข้าของมองโกเลีย เข้าร่วมชมงาน และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ในงาน THAIFAX ที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2564 สนับสนุนการนำเข้าสินค้าอาหารของไทย เช่น ข้าว เครื่องปรุงรส อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยางและเครื่องมือแพทย์ และกระดาษ เป็นต้น สำหรับประเด็นถัดมา เมื่อสถานการณ์การเดินทางระหว่างประเทศกลับมาเป็นปกติ จะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจากมองโกเลียเข้ามาท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะการเข้ามารับบริการด้านสุขภาพ ภายหลังการหารือได้ข้อสรุปร่วมกัน คือ ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน จากมูลค่า 1,140 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 3,000 ล้านบาท ในปี 2566 เสนอให้มีการจัดตั้งอนุกรรมการทางการค้าภายใต้คณะทำงานร่วมเจรจาระหว่างไทยกับมองโกเลีย โดยกระทรวงพาณิชย์รับจะเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งจะเร่งกำหนดข้อตกลงเรื่องการคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน และเร่งบังคับใช้ข้อตกลงการจัดเก็บภาษีซ้อนโดยเร็ว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง ปัจจุบัน มองโกเลียเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 6 ของไทยในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออก และอันดับที่ 126 ในตลาดโลก มูลค่าการค้าในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2563) เฉลี่ยปีละ 49.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,540 ล้านบาท) โดยในปี 2563 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 36.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,150 ล้านบาท) ลดลง 0.63% จากปี 2562 สำหรับในช่วง 3 เดือน ของปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) การค้าสองฝ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20.21% มูลค่ารวม 13.46 ล้านเหรียญสหรัฐ (423 ล้านบาท) สินค้าส่งออกศักยภาพของไทย ได้แก่ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ สิ่งปรุงรสอาหาร และผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากมองโกเลีย ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันสังคมเปิดแผนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มผู้ประกันตน มิ.ย.-ก.ค.นี้ พร้อมเยียวยาลูกจ้างผู้ประกันตนฯ ที่โดนเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2564 ประกันสังคมเปิดแผนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มผู้ประกันตน มิ.ย.-ก.ค.นี้ พร้อมเยียวยาลูกจ้างผู้ประกันตนฯ ที่โดนเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกันสังคมเปิดแผนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มผู้ประกันตน มิ.ย.-ก.ค.นี้ พร้อมเยียวยาลูกจ้างผู้ประกันตนฯ ที่โดนเลิกจ้างไม่เป็นธรรม แนะให้ผู้ประกันตนที่อยู่พื้นที่ชุมชนที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ติดต่อสายด่วน 1506 ประสานการรักษาที่รวดเร็วขึ้น วันนี้ (20 พ.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงของการสนทนา นายนนทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ โฆษกประจำสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึงแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน ว่า นายกรัฐมนตรีได้เล็งเห็นถึงกลุ่มผู้ประกันตน กลุ่มคนที่ออกไปทำงานนอกบ้าน ว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อค่อนข้างสูง อาจทำให้กลุ่มคนเหล่านี้นำเชื้อไปสัมผัสกับญาติพี่น้องเวลากลับบ้าน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเร่งตรวจสอบฐานข้อมูลของกลุ่มผู้ประกันตนตามสถานประกอบการต่าง ๆ พบผู้ประกันตนจำนวนประมาณ 6 ล้านคน มีผู้ประกันตนประมาณร้อยละ 80 ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 80 แห่งทั่วประเทศยินดีให้ความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีน ซึ่งในเดือนมิถุนายน ที่มีวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวน 1.5 ล้านโดส ได้วางแผนเตรียมการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ลงทะเบียนเข้ามาแล้ว จำนวนประมาณ 2 ล้านคน และอาจมีเพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะรับลงทะเบียนถึงวันศุกร์ที่ 21 พ.ค. นี้ โดยผู้ประกันตนสามารถแจ้งความจำนงให้ผู้ประกอบการส่งรายชื่อผู้ประกันตนเข้ามาที่สำนักงานประกันสังคม ในเบื้องต้น ผู้ประกอบการใดที่แจ้งเข้ามาก่อนจะได้สิทธิก่อน โดยจะทยอยดำเนินการในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม นี้ โดยให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 12 เขต ประสานหน่วยงานในท้องที่ ทั้งในส่วนราชการ โรงพยาบาลเอกชน ในการจัดพื้นที่ในการฉีดวัคซีน เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา ที่ใกล้เคียงกับสถานประกอบการ ซึ่งขณะนี้มีการเตรียมความพร้อมและวางแผนอย่างชัดเจน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้จัดตั้งคณะทำงานจำนวน 6 ชุดเพื่อดำเนินการตามแผนการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนแล้ว โฆษกประจำสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า กรณีการลงทะเบียนรับวัคซีนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ นั้น ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมกำลังดำเนินการที่ชัดเจน ขอให้มั่นใจว่า การลงทะเบียนจะไม่ซ้ำซ้อน เนื่องจากข้อมูลที่ลงทะเบียนจะไปอยู่ในฐานเดียวกัน สำหรับโรงพยาบาลที่ใช้รองรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมนั้น เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้มีการเชิญชวนเข้ามาเป็นโรงพยาบาลคู่สัญญา ซึ่งมีกว่า 80 แห่ง โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในการตรวจ Swab หากพบว่าบุคคลใดติดเชื้อโควิด-19 จึงจะส่งรักษาตามสิทธิ์ของแต่ละบุคคล ยืนยันว่า Hospitel มีจำนวนเพียงพอ สามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้อีก 5 - 6 พันเตียง สำหรับผู้ประกันตนที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 แล้ว สามารถติดต่อไปยังสายด่วน 1506 มีคู่สายในช่วงเวลาทำการกว่า 200 คู่สาย เพื่อช่วยให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โฆษกประจำสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงถึงการเยียวยาลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมและโดนเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากนายจ้างมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการ หรือลดคนงาน นั้น นายจ้างจะต้องแจ้งประกันสังคมก่อนเลิกจ้าง เพื่อให้ประกันสังคมจ่ายเงินว่างงานแก่ลูกจ้างที่โดนเลิกจ้างหรือลาออก ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์จากเดิมร้อยละ 50 ของเงินเดือน เป็นร้อยละ 70 ของเงินเดือน ภายในระยะเวลา 200 วัน โดยร่วมกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดูแลผู้ประกันตน หากลูกจ้างเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเลิกจ้าง ในตอนท้ายโฆษกประจำสำนักงานประกันสังคม ยังเผยถึงมาตรการช่วยเหลือนายจ้าง ผู้ประกอบการ อาทิ การลดอัตราเงินสมทบทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง ในเดือนมิถุนายน – สิงหาคม จากเดิมร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 2.5 รวมกับมาตรการต่อระยะเวลาโครงการ ม. 33 เพิ่มเงินให้แก่ผู้ร่วมโครงการอีก 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1,000 บาท จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจกว่าหนึ่งแสนล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังมีโครงการเสริมสภาพคล่องให้แก่นายจ้าง โดยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) กรณีขอสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี กรณีการขอสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือใช้บุคคลค้ำประกันดอกเบี้ยร้อยละ 4.75 ต่อปี โดยกระทรวงแรงงานยังขอความร่วมมือให้คงการจ้างงานอย่างน้อยร้อยละ 80 เพื่อให้ลูกจ้างได้มีงานทำ และกระทรวงแรงงานยังเร่งเดินหน้าเรื่องการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้เนื่องจากเหตุสุดวิสัยร้อยละ 50 แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากประกาศปิดสถานประกอบการในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ๆ ด้วย .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามและจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 จังหวัดชลบุรี พร้อมขอ อสม.เป็นกำลังสำคัญรวบรวมข้อมูลประชาชนเพื่อเป้าหมายคนไทยทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามนโย
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามและจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 จังหวัดชลบุรี พร้อมขอ อสม.เป็นกำลังสำคัญรวบรวมข้อมูลประชาชนเพื่อเป้าหมายคนไทยทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามนโย รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามและจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 จังหวัดชลบุรี พร้อมขอ อสม.เป็นกำลังสำคัญรวบรวมข้อมูลประชาชนเพื่อเป้าหมายคนไทยทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล วันที่ 29 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าววว่า วันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด-19 ณ โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จังหวัดชลบุรี พร้อมตรวจศักยภาพการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ พบปะคณะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ณ จุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ศาลาประชาคมเทศบาลเมืองบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ จังหวัดชลบุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายที่รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญทั้งในด้านการเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจอีอีซี มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งคนไทยและต่างชาติ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมกับการเตรียมความพร้อมของจังหวัดชลบุรี ทั้งในด้านการเฝ้าระวังการแพร่กระจายของโรค การดูแลรักษาประชาชนผู้ติดเชื้อ และการจัดพื้นที่สำหรับฉีดวัคซีนที่มีขั้นตอนตามมาตรฐาน ให้บริการที่รวดเร็ว โดยมีศักยภาพฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ถึงวันละ 2,000-3,000 คน รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างพูดคุยให้กำลังใจกับ อสม.จังหวัดชลบุรีว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีความพยายามพัฒนาช่องทางให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีนอย่างเป็นระบบมากที่สุดโดยเฉพาะการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ แต่จากการประเมินร่วมกับกรมควบคุมโรคแล้ว ช่องทางที่จะดึงประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีนได้มากที่สุดก็ยังคงเป็นช่องทางของ อสม. ซึ่งเข้าถึงประชาชนในระดับหมู่บ้านโดยเฉพาะประชาชนในต่างจังหวัดและไม่สามารถเข้าลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชั่น “รองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้พี่น้อง อสม. เป็นหนึ่งในการเป็นกำลังสำคัญรวบรวมข้อมูลประชาชนในพื้นที่ที่ตนเองดูแล และประสานงานส่งข้อมูลกับหัวหน้า รพสต. เพื่อประสานส่งข้อมูลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงตามนโยบายของรัฐบาลคือคนไทยทุกคนจะได้รับวัคซีนโควิด-19” น.ส.ไตรศุลี กล่าว .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป 25 อัตรา
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป 25 อัตรา กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป ระดับปริญญาตรี 8 ตำแหน่ง ประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) 1 ตำแหน่ง รวม 25 อัตรา เงินเดือน 13,800 – 19,500 บาท รับสมัครทางอินเตอร์เน็ต วันที่ 7 – 11 มิ.ย. 64 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป จำนวน 25 อัตรา อัตราค่าตอบแทนเดือนละ 13,800 – 19,500 บาท แบ่งเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ 4 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 19,500 บาท นักวิชาการแรงงาน 7 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักวิชาการแรงงาน (ด้านการวิจัย) 8 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักวิชาการแรงงาน (ด้านการออกแบบสื่อ) 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักวิชาการแรงงาน (ด้านภาษาอังกฤษ) 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักวิชาการเงินและบัญชี 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักสถิติ 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท นักทรัพยากรบุคคล 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 18,000 บาท และผู้สำเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) ตำแหน่งเจ้าพนักงานแรงงาน 1 อัตรา อัตราค่าตอบแทน 13,800 บาท โดยรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 7 – 11 มิถุนายน 2564 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เกิน 60 ปี ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคลล้มละลาย ผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่เว็บไชต์ https//doe.thaijobjob.com หัวข้อ "รับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป" หรือ www.doe.go.th หัวข้อ "งานราชการกรมการจัดหางาน” โดยเลือกสมัครได้เพียง 1 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งผู้สมัครสอบต้องมีวุฒิการศึกษาตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ตามประกาศรับสมัครสอบฯ ทั้งนี้หากตรวจสอบภายหลังพบว่าไม่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด กรมการจัดหางานจะถือว่าขาดคุณสมบัติ โดยผู้สมัครสามารถตรวจสอบการรับรองคุณวุฒิด้วยตนเองได้ จากระบบรับรองคุณวุฒิของสำนักงาน ก.พ. ผู้สมัครที่มีสิทธิเข้ารับการประเมินสมรรถนะ ต้องเข้ารับการประเมินสมรรถนะ 3 ภาค ได้แก่ ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ภาคความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง โดยวิธีการสอบข้อเขียน และภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง โดยวิธีการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งผู้ผ่านการเลือกสรรจะต้องเป็นผู้ที่ได้คะแนนแต่ละภาคไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 60 “ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครเข้าทำงานกับกรมการจัดหางาน อย่าหลงเชื่อ ผู้มาแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ท่านได้รับการเลือกสรร หรือมีพฤติกรรมในทำนองเดียวกัน กรมการจัดหางานจะดำเนินการสอบแข่งขันด้วยความโปร่งใส ยุติธรรมและเสมอภาค โดยสามารถสมัครสอบได้ทางอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 7 – 11 มิถุนายน 2564 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ค่าธรรมเนียมสมัครสอบ จำนวน 330 บาท สามารถ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2248 6896 กลุ่มงานสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง กองบริหารทรัพยากรบุคคล หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ในวันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้แทนกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมให้ติดตามประเมินสถานการณ์เพื่อจัดเตรียมยา และเวชภัณฑ์ ให้เพียงพอต่อการรักษาผู้ต้องขังที่ป่วยติดเชื้อ รวมทั้ง ติดตามการสนับสนุนบุคลากรเข้ามาช่วยดำเนินการในเรือนจำต่าง ๆ โดยเน้นย้ำเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ต้องขังเป็นหลัก เพื่อเสริมศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในเรือนจำ ทั้งนี้ ได้ให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นำหลักการบริหารจัดการของกรมราชทัณฑ์ ไปปรับใช้ในสถานพินิจฯ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำเรื่องการสื่อสาร การสร้างความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสถานการณ์ การป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้สาธารณชนได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการที่เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดยนายถนอม รัตนเศรษฐ ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 800 กล่อง ให้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ณ อาคารอำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาล เนื่องจากการแพร่ระบาดของฝชื้อไวรัส COVID – 19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ได้แก่ ร้านเด็ดสะระตี่หมูทอด(สถานีสุทธิสาร) ร้านหนูเมย์ ฟู้ดส์ (สถานีห้วยขวาง) ร้านศิรินทร์ภัตตาคาร (สถานีคลองเตย) ร้านครัวคุณโต้ง (สถานีสามย่าน)และร้านเฮงซีฟู้ดเยาวราช (สถานีวัดมังกร) ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริงการประมูลโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริงการประมูลโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ รฟท. ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ในวงเงินรวม 85,345.00 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ตามที่สื่อมวลชนบางสื่อทำการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง นั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงขอเรียนชี้แจงและให้ข้อมูลดังนี้ รฟท. ดำเนินการตามมติ ครม. ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 61 อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ในวงเงินรวม 85,345.00 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยให้ รฟท. แบ่งสัญญาการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย - งาว ค่าก่อสร้าง 26,704.00 ล้านบาท สัญญาที่ 2 งาว - เชียงราย ค่าก่อสร้าง 28,735.00 ล้านบาท สัญญาที่ 3 เชียงราย - เชียงของ ค่าก่อสร้าง 17,482.00 ล้านบาท หมายเหตุ วงเงินรวม 3 สัญญา 72,921.00 ล้านบาท ราคากลาง : เป็นราคาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งปัจจุบันปี 2564 ราคาก่อสร้างได้พุ่งสูงขึ้นมาก ในส่วนของการจัดทำราคากลาง รฟท. ได้คำนึงถึงประโยชน์ของภาครัฐและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้มอบหมายให้บริษัทที่ปรึกษาจัดทำรายละเอียดราคาในปี 59 ซึ่งในปี 61 ครม. อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง เป็นวงเงินรวม 72,921.00 ล้านบาท และได้ปรับปรุงแบบให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันและจัดทำราคากลางโดยใช้ฐานราคาเดือน ต.ค. 63 ซึ่งฐานราคาดังกล่าวสูงกว่าฐานราคาในปี 59 เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ หากพิจารณาราคาเหล็กในวันที่ยื่นเสนอราคาพบว่า ราคาเหล็กเพิ่มสูงขึ้นจากเดือน ต.ค. 63 ประมาณ 40% ซึ่งจะทำให้ราคาค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 950 , 1,080 และ 670 ล้านบาท สำหรับสัญญาที่ 1 , 2 และ 3 ตามลำดับ แต่จากผลการเสนอราคาเบื้องต้น ผู้เสนอราคาต่ำสุดยังคงเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางในทุกสัญญาจากข้อเท็จจริงนี้ทางราชการไม่ได้เสียประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งราคากลางดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของภาครัฐ และดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอน ขั้นตอนการจัดทำ TOR : ถูกต้องตามกฎระเบียบ พร้อมมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมสังเกตการณ์ ติดตาม และตรวจสอบ รฟท. ได้จัดทำร่าง TOR ลงเผยแพร่ทางเว็บไซต์ เปิดโอกาสให้มีการรับฟังคำวิจารณ์ ปรับปรุง TOR จำนวน 5 ครั้ง เพื่อชี้แจงผู้วิจารณ์จนหมดข้อสงสัย พร้อมทำการเผยแพร่ผ่านชองทางเว็ปไซต์เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม ตรวจสอบได้ (ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560) นอกจากนี้ กระบวนการดังกล่าวยังอยู่ภายใต้โครงการข้อตกลงคุณธรรม ซึ่งเป็นความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยมีผู้สังเกตการณ์ที่กรมบัญชีกลางแต่งตั้ง จำนวน 3 คน เข้าร่วมสังเกตการณ์ติดตาม ตรวจสอบทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำร่างขอบเขตงาน (TOR) กระบวนการประกวดราคา กระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนถึงการเบิกจ่ายเงินงวดงานจนโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการประเมินคุณสมบัติ ข้อเสนอด้านเทคนิคของผู้ยื่นเสนอราคาและยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่างๆอีกหลายขั้นตอน รฟท. เผยแพร่ประกาศและเอกสารประกวดราคาตามระเบียบทุกประการ รฟท. ได้ดำเนินการเผยแพร่ประกาศและเอกสารประกวดราคา ลงเผยแพร่ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. – 17 พ.ค. 64 รวมระยะเวลา 60 วัน ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์จะเสนอราคาสามารถสอบถามรายละเอียดขั้นตอนต่างๆเพิ่มเติมได้ โดยมีผู้ส่งคำถาม ระหว่าง 19 มี.ค. – 2 เม.ย. 64 จำนวน 322 คำถาม และ รฟท. ตอบชี้แจง เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 64 ตามขั้นตอน โดยรวบรวมคำถามเข้าสู่คณะกรรมการร่าง TOR พิจารณาและนำขึ้นสู่ระบบ e-GP เพื่อชี้แจงและทำการเผยแพร่ หมายเหตุ : ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 48 และ 51/กำหนดเผยแพร่ไม่น้อยกว่า 20 วันทำการ กระบวนการ e-Bidding : ขั้นตอนถูกต้อง ตามระเบียบทุกประการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ดำเนินการประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตร (กม.) วงเงินก่อสร้าง 72,921 ล้านบาท อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยวิธีการประกวดราคาแบบ e-Bidding ซึ่งตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ได้พัฒนารูปแบบจากการประกวดราคาโดยวิธีการยื่นซอง การประกวดราคาแบบ e-Auction จนกระทั่งเป็นการประกวดราคาแบบ e-Bidding ซึ่งถือว่าเป็นระเบียบข้อบังคับที่มีความโปร่งใสมากที่สุดในปัจจุบัน โดยการประกวดราคาโครงการรถไฟทางคู่ครั้งนี้ รฟท. ได้ถือปฏิบัติตามขั้นตอนการประกวดราคาแบบ e-Bidding และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัด รฟท. เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามาแข่งขันได้ ด้วยการเข้าร่วมเป็นกิจการร่วมค้า สำหรับเส้นทางสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของมีงานอุโมงค์อยู่ด้วยทุกสัญญา ซึ่งเป็นงานเฉพาะทางการกำหนดผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอจึงต้องปฏิบัติตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ที่ผู้เสนอราคาต้องเคยมีผลงานประเภทเดียวกันกับงานจ้างก่อสร้างนี้ แต่เพื่อเป็นการเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าร่วมเสนอราคาด้วย การรถไฟฯ จึงกำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวสามารถเข้าร่วมงานกันได้ในลักษณะกิจการร่วมค้า ซึ่งการรถไฟฯได้ปฏิบัติตามหนังสือแจ้งเวียนจากกรมบัญชีกลาง เลขที่ กค (กวจ.) 0405.2/ว.581 ลงวันที่ 7 ธ.ค. 63 เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า โดยผู้ที่ยื่นข้อเสนอจะต้องซื้อเอกสารประกวดราคาทุกราย ซึ่งคุณสมบัติที่กำหนดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทั่วไปที่ไม่มีความเชี่ยวชาญงานเฉพาะทางสามารถเข้าร่วมงานประกวดราคาได้ด้วย ส่งผลให้การประกวดราคาดังกล่าวมีจำนวนผู้ซื้อเอกสารประกวดราคารวมมากถึง 18 ราย ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย - งาว ระยะทาง 104 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 2 ราย รวม 5 ราย สัญญาที่ 2 งาว - เชียงราย ระยะทาง135 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 1 ราย รวม 4 ราย สัญญาที่ 3 เชียงราย - เชียงของ ระยะทาง 84 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 1 ราย รวม 4 ราย การเข้าร่วมในกลุ่มกิจการร่วมค้า สมาชิกทุกรายต้องซื้อเอกสารเป็นการปฏิบัติตามคู่มือการเสนอราคาด้วยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (ตามระเบียบ e-Bidding) สำหรับผู้ค้ากับภาครัฐ กรณีกิจการร่วมค้า (Joint venture) ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่กับการพัฒนาธุรกิจการค้าและกิจการค้าร่วม (Consortium) และกำหนดเป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา การเปิดเผยราคากลางเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 63 การเปิดเผยราคากลางเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 63 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐประกาศรายละเอียดข้อมูลราคากลาง และการคํานวณราคากลางในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด ดังนั้น ผู้ยื่นข้อเสนอทุกรายทราบราคากลางตั้งแต่ขั้นตอนการเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็น ราคาวัสดุผันผวนปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้นด้วย ตามระเบียบฯ ข้อ 166 (4) กำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอหรือผู้เสนอราคาส่งหลักประกันการเสนอราคาในวันเสนอราคา และให้หน่วยงานของรัฐกำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอ หรือผู้เสนอราคาต้องส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าว มาให้หน่วยงานของรัฐตรวจสอบความถูกต้อง ตามวันและเวลาที่กำหนด ภายใน 5 วันทำการ หากผู้ชนะการประกวดราคาไม่เข้าทำสัญญากับ รฟท. จะถูกริบหลักประกันการเสนอราคา และอาจถูกพิจารณาเป็นผู้ทิ้งงานได้อีกด้วย ราคากลางเป็นประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐและประเทศชาติ ราคากลางที่ใช้ฐานราคา ตุลาคม 2563 มีรายละเอียดดังนี้ สัญญาที่ 1 ราคากลาง 26,599.16 ล้านบาท สัญญาที่ 2 ราคากลาง 26,913.78 ล้านบาท สัญญาที่ 3 ราคากลาง 19,406.31 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 72,919.25 ล้านบาท ไม่เกินกรอบวงเงิน 72,921.00 ล้านบาท หากใช้ฐานราคาเหล็ก ณ วันยื่นข้อเสนอเป็นราคากลางจะทำให้ราคากลางสูงขึ้น มีรายละเอียดดังนี้ สัญญาที่ 1 ราคากลาง 27,546.23 ล้านบาท สัญญาที่ 2 ราคากลาง 27,993.63 ล้านบาท สัญญาที่ 3 ราคากลาง 20,072.65 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 75,612.51 ล้านบาท เกินกรอบวงเงิน 72,921.00 ล้านบาท หลังจากวันที่ทำราคากลาง ราคาเหล็กในท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การรถไฟฯ ไม่ได้ปรับราคากลางให้เป็นราคาปัจจุบัน เพราะงานเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว หากปรับราคากลางใหม่จะทำให้ราคาต้องสูงขึ้นและต้องเริ่มกระบวนขออนุมัติปรับกรอบวงเงินใหม่ถึงจะเริ่มการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่ รฟท. ได้ดำเนินการนี้ จึงถือได้ว่าเป็นประโยชน์สูงสุดกับทางภาครัฐและประเทศชาติ หากพบหลักฐานการสมยอมการเสนอราคาแจ้งได้ที่ รฟท. และ รฟท. พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ก่อนจะมีการกล่าวหาในเรื่องใดๆ ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ตามระเบียบของการรถไฟฯ สามารถตรวจสอบในประเด็นของการเป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันได้ รวมถึงการสมยอมการเสนอราคาซึ่งหากมีหลักฐานที่ชัดเจนก็สามารถดำเนินการตามความผิดนั้นได้ การกล่าวอ้างว่ามีการฮั้วประมูลจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกียรติคุณและชื่อเสียงของการรถไฟแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องผู้สังเกตการณ์ที่กรมบัญชีกลางแต่งตั้ง บริษัทที่เข้าร่วมประมูล รวมถึงบริษัทที่เข้ามาซื้อซองทุกราย ในกรณีที่มีหลักฐานการสมยอมการเสนอราคาที่ชัดเจน รฟท. ยินดีที่จะเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานในการให้ความร่วมมือแจ้งไปยังกรมบัญชีกลาง และจะประสานส่งเรื่องไปยังหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการประมูลใหม่ หากประกวดราคาใหม่ต้องปรับราคากลางให้เป็นราคาปัจจุบัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงราคาเหล็กในท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 40% จะส่งผลให้ราคากลางใหม่สูงขึ้นเกินกว่ากรอบวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. และต้องเริ่มกระบวนการขออนุมัติปรับกรอบวงเงินใหม่ จึงจะเริ่มการจัดซื้อจัดจ้างได้ ทำให้ภาครัฐและประเทศชาติได้รับความเสียหายจากการที่ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น ในส่วนภาพรวมของการพัฒนาประเทศ จะทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาทางด้านการคมนาคม การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การค้าชายแดน เส้นทางรถไฟสายใหม่ที่จะเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ ที่จะสามารถช่วยเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าจากไทยไปลาว จีน เวียดนาม และเขตเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการแข่งขันและประโยชน์จากการเป็นประชาคมอาเซียนอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งสอบข้อเท็จจริงกรณีหญิงเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด 2 สัปดาห์
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 สธ.เร่งสอบข้อเท็จจริงกรณีหญิงเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด 2 สัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข เร่งสอบสวนโรคกรณีหญิงเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 สัปดาห์ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเสนอที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจังหวัดสงขลา เพื่อสรุปสาเหตุการเสียชีวิต ในวั กระทรวงสาธารณสุข เร่งสอบสวนโรคกรณีหญิงเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 สัปดาห์ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเสนอที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจังหวัดสงขลา เพื่อสรุปสาเหตุการเสียชีวิต ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 พร้อมติดตามผู้รับวัคซีนในล็อตเดียวกัน วันนี้ (29 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์กรณีสื่อมวลชนเสนอข่าวมีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเพื่อนหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19ของซิโนแวคประมาณ 2 สัปดาห์ ว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับรายงานเบื้องต้นว่า ขณะนี้ ศูนย์ประสานงานฯAEFI ของโรงพยาบาลหาดใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ประวัติการรักษาเพื่อเสนอต่อคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเหตุการณ์การไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจังหวัดสงขลา กำหนดประชุมร่วมกันในวันที่30 พฤษภาคม 2564 เพื่อสรุปสาเหตุการเสียชีวิต ตามระบบการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Adverse Events FollowingImmunization : AEFI) ที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม จะต้องรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมตามแนวทางปฏิบัติการการเฝ้าระวัง AEFIกรณีที่มีผู้เสียชีวิต โดยประสานขออนุญาตครอบครัวทำการพิสูจน์ศพ หรือการตรวจศพ โดยการเอกซเรย์ และเก็บตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต รวมทั้งติดตามผู้รับวัคซีนในล็อตเดียวกัน โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยข้อสรุปจากคณะกรรมการ AEFI จังหวัด จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ AEFI ระดับประเทศ ที่ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจกับครอบครัว สังคม ต่อไป ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคของทีมสอบสวนควบคุมโรคระบาดวิทยา รพ.หาดใหญ่ ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงอายุ32 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่หลังฉีดสังเกตอาการ 30 นาทีไม่มีอาการผิดปกติ ไลน์หมอพร้อมติดตามอาการวันที่ 1 มีอาการปวดศีรษะปวดกล้ามเนื้อ วันที่ 7 หลังฉีด มีอาการปวดศีรษะ เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เช้าวันที่ 27 พ.ค. หมดสติ รถพยาบาลส่งห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ แพทย์ประเมินอาการแรกรับ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ช่วยฟื้นคืนชีพ ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์วินิจฉัยมีภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ในการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายแข็งแรง ไม่มีไข้ ไม่มีอาการป่วย ดื่มน้ำให้เพียงพอ และแจ้งประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีน โรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบสำหรับอาการไม่พึงประสงค์ ส่วนใหญ่เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปหลังการฉีดวัคซีน เช่น เจ็บ บวม มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลียปวดศีรษะ ส่วนอาการแพ้วัคซีนรุนแรง จะเหมือนคนแพ้อาหารทะเล ไรฝุ่น โปรตีนในนมวัว มีอาการตั้งแต่แพ้ไม่มากมีผื่น จนถึงความดันตกรุนแรงได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ปวดศีรษะรุนแรง ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรงมักพบหลังการฉีด 15 นาที ***************************************** 29 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ตีธงฟัน “แอคแคปฯ-ดวงฤทธิ์” ปมปั่นข่าวซิโนฟาร์ม เชื่อขบวนการดิสเครดิต รบ.
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ตีธงฟัน “แอคแคปฯ-ดวงฤทธิ์” ปมปั่นข่าวซิโนฟาร์ม เชื่อขบวนการดิสเครดิต รบ. “ชัยวุฒิ” ตีธงฟัน “แอคแคปฯ-ดวงฤทธิ์” ปมปั่นข่าวซิโนฟาร์ม เชื่อขบวนการดิสเครดิต รบ. “ดีอีเอส”รวบตึงหลักฐานฟัน“แอคแคปฯ-ดวงฤทธิ์”ปมปั่นข่าวซิโนฟาร์ม20ล้านโดสอ้างต้องจ่ายผลประโยชน์ให้รบ.ล่า2กก.บห.ลงนามหนังสือกำมะลอพิรุธผู้เกี่ยวข้องปฏิเสธยังจ้อคลับเฮาส์ต่อเชื่อทำเป็นขบวนการชี้“ดวงฤทธิ์”จงใจสร้างความสับสนหลายหนซัดจุดยืนการเมืองชัดตอกเจอจับได้กลับอ้างมีอันตราย-ไม่พูดต่อเจตนาให้สังคมสับสนชี้ความผิดสำเร็จแล้วสั่งเอาเรื่องถึงที่สุด จากกรณีที่ในสังคมออนไลน์ได้เผยแพร่หนังสือบริษัทแอคแคปแอสเซ็ทส์จำกัด(บริษัทแอคแคปฯ)ที่ทำถึงราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์โดยมีเนื้อหาอ้างว่าบริษัทแอคแคปฯสามารถจัดหาวัคซีนชิโนฟาร์มจำนวน20ล้านโดสและสามารถจัดส่งให้ได้ภายใน2สัปดาห์แต่ไม่สามารถติดต่อขอเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและนายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขได้จนมีการเผยแพร่หนังสือฉบับดังกล่าวอย่างกว้างขวางส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ของรัฐบาลเมื่อวันที่27พ.ค.64ที่ผ่านมานั้น วันนี้(29พ.ค.64)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดเผยว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม(Anti Fake News Center)ตรวจสอบเบื้องต้นกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)พบว่าบริษัทแอคแคปฯไม่มีชื่อยื่นขึ้นทะเบียนนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มรวมทั้งยังจดทะเบียนทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่มีคุณสมบัตินำเข้ายาและเวชภัณฑ์และไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ผลิตวัคซีนซิโนฟาร์มจริงซึ่งภายหลังปรากฏเป็นข่าวศ.นพ.นิธิมหานนท์เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และผู้อำนวยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ก็ได้ปฏิเสธพร้อมชี้แจงแล้วว่าลักษณะของบริษัทไม่น่าเชื่อถือและไม่มีDossierหรือเอกสารประกอบรายการประกอบยาและการผลิตจากบริษัทเจ้าของวัคซีนเพื่อมาใช้ขอใบอนุญาตต่ออย.แต่อย่างใดดังนั้นหนังสือฉบับดังกล่าวนั้นจึงเป็นข้อความที่บิดเบือนและทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนเป็นการกระทำดังกล่าวที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ)เช่นเดียวกับผู้ที่นำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่หรือส่งต่อก็จะเข้าข่ายมีความผิดเช่นกัน “กระทรวงดีอีเอสกำลังประสานข้อมูลกับบก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์)รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขเพื่อรวบรวมหลักฐานแล้วและดำเนินการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวกรรมการผู้จัดการผู้ลงนามทั้ง2รายในหนังสือมาให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือฉบับดังกล่าวเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป”นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังมีบุคคลและกลุ่มบุคคลนำไปวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวหาในทำนองว่ารัฐบาลมีการเรียกรับผลประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนและจัดหาวัคซีนโควิด-19ซึ่งเข้าข่ายการหมิ่นประมาทและเสนอข้อมูลเท็จอย่างชัดเจนเช่นกันเพราะการขึ้นทะเบียนและนำเข้าวัคซีนมีระเบียบขั้นตอนการดำเนินการตามช่องทางกฎหมายอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเข้าพบใครเป็นพิเศษน่าสังเกตว่าที่ผ่านมาเกิดความพยายามในการตั้งประเด็นโจมตีการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19ของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นมองได้ว่ามีการวางแผนเป็นขบวนการเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลหรือไม่เห็นได้ชัดจากกรณีบริษัทแอคแคปฯที่ผู้เกี่ยวข้องในส่วนของภาครัฐต่างออกมาปฏิเสธไปแล้วแต่ทราบว่าเมื่อคืนวันที่27พ.ค.64นายดวงฤทธิ์บุนนาคสถาปนิกและแกนนำกลุ่มแคร์คิดเคลื่อนไทยที่มักร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยนำไปพูดคุยแสดงความคิดเห็นผ่านแอปพลิเคชันคลับเฮาส์โดยมีเนื้อหาสาระให้เกิดความสับสนขึ้นในสังคมตลอดจนสร้างความเสียหายให้แก่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องมีการพูดถึงขั้นว่ามีคนเรียกค่าพาเข้าพบนายกรัฐมนตรีกับบริษัทดังกล่าวเพื่อให้มีช่องทางเจรจานำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มโดยแลกกับเงิน5ล้านบาทอีกด้วยและเมื่อต้นเดือนพ.ค.64นายดวงฤทธิ์ก็เคยทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์อ้างว่ามีรุ่นน้องที่รู้จักกันพยายามนำวัคซีนซิโนฟาร์ม20ล้านโดสให้รัฐบาลและระบุว่า“ประสานไปที่คนของรัฐบาลทุกช่องทางแล้วมันถามหาผลประโยชน์ตอบแทนกันก่อนหมดเลย”จนมีผู้มารีทวิตหรือเผยแพร่ข้อความต่อจำนวนมากและยังมีหลักฐานว่ามีความสนิทสนมกับนายกรกฤษณ์กิติสินหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทแอคแคปฯด้วยหรือเมื่อต้นเดือนม.ค.64ก็ทวีตในทำนองว่ามีคนบางกลุ่มได้สิทธิซื้อวัคซีนโควิด-19แล้วทั้งที่กระบวนการทุกอย่างมีการเปิดเผยโปร่งใสโดยตลอด “ทั้งการที่บริษัทแอคแคปฯถูกเปิดโปงว่าไม่ใช่ผู้แทนซิโนฟาร์มจริงและการทวีตข้อความในประเด็นเดียวกันล่วงหน้าของคุณดวงฤทธิ์ทำให้สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่าอาจเป็นขบวนการเดียวกันที่ต้องการสร้างความสับสนและดิสเครดิตรัฐบาลเรื่องนี้กระทรวงดีอีเอสได้รวบรวมหลักฐานการเผยแพร่ข้อความในแพลตฟอร์มต่างๆรวมทั้งการพูดคุยในแอปฯคลับเฮาส์ล่าสุดไว้ทั้งหมดแล้วขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายทำการสรุปว่ามีผู้กระทำผิดกี่รายอย่างไรบ้างเพื่อดำเนินคดีอย่างเร่งด่วนต่อไป”รมว.ดีอีเอสกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวอีกว่าการที่มีการออกมาโพสต์ว่ามีการเรียกเงิน5ล้านบาทหรือมีการเรียกผลประโยชน์จากการจัดหาวัคซีนโควิด-19นั้นหากมีหลักฐานยืนยันชัดเจนก็เปิดเผยได้อยู่แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการตามกฎหมายเพราะเป็นการแอบอ้างหาประโยชน์ซึ่งไม่สมควรให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาการระบาดโควิด-19แต่ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นการพูดลอยๆผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อดิสเครดิตนายกฯและรัฐบาลเท่ากับเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เมื่อภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายคนเหล่านี้ก็มักจะออกมาเรียกร้องว่าเป็นการละเมิดสิทธิปิดหูปิดตาประชาชนซึ่งเป็นรูปแบบของขบวนการเฟคนิวส์และต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม “เชื่อว่าสังคมพอจะเข้าใจถึงเจตนาของกลุ่มคนดังกล่าวหลายคนก็เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลและนิยมชมชอบกลุ่มการเมืองบางกลุ่มจุดยืนทางการเมืองของคุณดวงฤทธิ์ก็ชัดเจนพอถูกจับได้ไล่ทันก็อ้างว่าชนตอมีอันตรายถึงตายไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้อีกทั้งที่หากไม่มีเจตนาก็ควรออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเหมือนมีเจตนาให้สังคมสับสนไปเรื่อยๆซึ่งกรณีของคุณดวงฤทธิ์ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังรวบรวมหลักฐานและจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดแน่นอน"นายชัยวุฒิระบุ. ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างไทยและสวิส
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 รมว.ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างไทยและสวิส รมว.ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างไทยและสวิส รมว.ทส. ร่วมเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างไทยและสวิส วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.45 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) และ Ms. Simonetta Sommaruga รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม คมนาคม พลังงาน และการสื่อสารของสมาพันธรัฐสวิส ร่วมเป็นสักขีพยานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ในพิธีลงนามในแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรไทย กับกรมสิ่งแวดล้อมของสมาพันธรัฐสวิส ในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี ดร. รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ Mrs. Helene Budliger Artieda เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ประจำประเทศไทย ร่วมลงนาม บนเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ณ ท่าเทียบเรือ CAT Tower ซึ่งนับเป็นความร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างสองประเทศ โดยโอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ดร. อัษฎาพร ไกรพานนท์ รองปลัดกระทรวงฯ และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามดังกล่าวผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ด้วย โดยนายวราวุธ ได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 90 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาพันธรัฐสวิสในวันนี้ และในโอกาสพิเศษนี้ กระทรวงฯ ได้มี การดำเนินการความร่วมมือสำคัญกับสมาพันธรัฐสวิส 2 ประเด็น คือ การจัดทำแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสองประเทศในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโครงการพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยแถลงการณ์ร่วมฯ มีเนื้อหาแสดงถึงความมุ่งมั่นของสองประเทศในการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก การมุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่วิถีการพัฒนาที่มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตั้งใจที่จะร่วมยกระดับความร่วมมือตามความตกลงปารีส โดยเฉพาะการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีส อันจะนำไปสู่การดำเนินงานและการบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution) ของทั้งสองประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประชุมทางไกล เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด พร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิ.ย.
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 สธ.ประชุมทางไกล เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด พร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิ.ย. กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป เตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ที่จะกระจายไปยัง 76 จังหวัดตามแผนการจัดสรรของ ศบค. มีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาการฉีดในกลุ่มเป้าหมา กระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป เตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ที่จะกระจายไปยัง 76 จังหวัดตามแผนการจัดสรรของ ศบค. มีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาการฉีดในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เริ่มพร้อมกันทั่วประเทศ 7 มิถุนายนนี้ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดีที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ชี้แจงแนวทางการดำเนินงานจัดบริการวัคซีนโควิด 19 เตรียมความพร้อมสำหรับการฉีดให้ประชาชนในเดือนมิถุนายน 2564 นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ ทุกจังหวัดได้มีการซักซ้อมระบบและฉีดได้ตามเป้าหมาย ก่อนที่จะฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิถุนายน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะกระจายวัคซีนไปยัง 76 จังหวัดตามแผนการจัดสรรของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาการฉีดในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และให้ทุกจังหวัดจดบันทึกข้อมูลการให้บริการ และจำนวนคงคลังในระบบMOPH Immunization Center (MOHP IC) ให้ครบ เตรียมความพร้อมในการออกเอกสารรับรองในผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม สำหรับผู้เดินทางไปต่างประเทศ โดยจะมอบอำนาจให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลระดับจังหวัด ในการออกเอกสารรับรองตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ได้ย้ำให้ทุกจังหวัดเน้นการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มครู บุคลากรทางการศึกษารองรับการเปิดภาคการศึกษา สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังที่ลงทะเบียนมาแล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่จะได้รับวัคซีนในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยการลงทะเบียนรับวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไปในต่างจังหวัด (76 จังหวัด ไม่รวมกทม.) มีหลากหลายช่องทาง เริ่มลงทะเบียนวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปได้แก่ ไลน์/ แอปพลิเคชัน หมอพร้อม แอปพลิเคชันของจังหวัด ผ่านอสม. และ รพ.สต. หรือติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้าน เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะสู่ระบบฐานข้อมูลMOHP IC และหมอพร้อม จะติดตามอาการนัดหมายฉีดครั้งที่ 2 รวมทั้งออกเอกสารการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้ได้ประชุมทำความเข้าใจเรื่องการกระจายวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ทุกจังหวัด ซึ่งตามนโยบายของ ศบค.มีเป้าหมายฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกจำนวน 50 ล้านโดสให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2564 กำหนดเริ่มฉีดวัคซีนอย่างเป็นทางการวันที่ 7 มิถุนายน 2564ยืนยันว่าทุกจังหวัดจะมีวัคซีนฉีดแน่นอน วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาทั้งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค สามารถฉีดได้ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไปเหมือนกัน โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาฉีดให้ โดยยึดหลักวิชาการทางการแพทย์ สำหรับการกระจายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ทาง ศบค.จะเป็นผู้กำหนดในการจัดส่งให้แต่ละจังหวัด กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดส่งวัคซีนไปตามนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาการฉีดในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยพิจารณาทั้งจากจำนวนประชากร, สถานการณ์การระบาด, กลุ่มเป้าหมาย, พื้นที่นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เช่น จ.ภูเก็ต ที่จะเปิดเรื่องท่องเที่ยวเดือนกรกฎาคมนี้ จึงต้องฉีดให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายน เป็นต้น, กลุ่มผู้สูงอายุและ 7 โรคเรื้อรังที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมที่ต้องพิจารณาฉีดให้เป็นกลุ่มแรกๆ “การจัดส่งวัคซีนจากเดิมที่ส่งให้จังหวัดเป็นรายเดือนจะเปลี่ยนเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และมีการติดตามผลการฉีดว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ โดยขอให้รายงานจำนวนการฉีดและสต๊อกวัคซีนที่เหลือ หากฉีดได้ตามเป้าหมายจะจัดส่งวัคซีนไปเพิ่มเติม สำหรับการจัดสรรวัคซีนในกลุ่มประชากรของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคม และกทม. เมื่อรับวัคซีนแล้วจะไปดำเนินการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเอง” นายแพทย์โอภาสกล่าว ***************************************** 29 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 5 ราย
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 5 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 5 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 5 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 136 เขตการเดินรถที่ 4 คนที่ 1 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 136 เขตการเดินรถที่ 4 คนที่ 2 4) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 47 เขตการเดินรถที่ 4 5) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 72 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ในวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.ณ ห้องประชุม ๑๐-๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานอนุกรรมการ มอบหมายให้นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรมเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในฐานะอนุกรรมการนางทัศนีย์ เปาอินทร์ ในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการ นางสุจิตรา แก้วไกร ผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพพร้อมด้วย หน่วยงานต่างๆ และผู้แทนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เข้าร่วม สำหรับการประชุมในครั้งนี้ เพื่อรับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลง และพิจารณาให้ความเห็นชอบดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้ ฝ่ายเลขาฯ จะรวบรวบความเห็นและประเด็นต่างๆ เสนอต่อคณะกรรมการ แก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และคณะทำงานศึกษาร่างกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมฯ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย แจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 มหาดไทย แจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 มหาดไทย แจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลบนหน้าเว็บไซต์ของทุกจังหวัดทั่วประเทศ วันนี้ (29 พ.ค. 64) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่า วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระชนมพรรษา 43 พรรษา โดยเชิญชวนหน่วยงานร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ จึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดำเนินการประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมเครื่องราชสักการะ บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด ประดับธงชาติคู่ธงอักษรพระนามาภิไธย ส.ท. ผ้าระบายสีม่วงร่วมกับผ้าระบายสีขาว ตลอดเดือนมิถุนายน 2564 และประดับไฟบริเวณศาลากลางจังหวัดและถนนสายสำคัญให้สวยงาม ระยะเวลาตามความเหมาะสม และเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ร่วมประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ด้านหน้าอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย ประดับธงชาติคู่ธงอักษรพระนามาภิไธย ส.ท. ผ้าระบายสีม่วงร่วมกับผ้าระบายสีขาว ตลอดเดือนมิถุนายน 2564 และประดับไฟบริเวณอาคารให้สวยงาม ระยะเวลาตามความเหมาะสม นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวต่อว่า สำหรับการลงนามถวายพระพรชัยมงคล ให้ทุกจังหวัดจัดทำคำถวายพระพรชัยมงคล และสมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคลอิเล็กทรอนิกส์ บนหน้าหลักของเว็บไซต์จังหวัด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนบุคลากรและประชาชน ร่วมลงนามผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอดทั้งเดือนมิถุนายน 2564 พร้อมเผยแพร่ภาพพระราชกรณียกิจ ที่ทรงปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดบนเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของจังหวัด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทุกจังหวัดจะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ "มีแล้วแบ่งปัน" ตามความเหมาะสม โดยเป็นการรวบรวมสิ่งของอุปโภค-บริโภค ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่โดยตรง งดการจัดพิธีการต่าง ๆ และให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และแจ้งหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด ดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมพิจารณาร่างกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-๑๙
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมพิจารณาร่างกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-๑๙ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ในวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ โดยมีคณะอนุกรรมการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๖ ชั้น ๑๐ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม และระบบการประชุมทางไกล (Vedio Conference) ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และรับทราบข้อเสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดเฟซบุ๊ก-เว็บไซต์ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนให้บริการ-เผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาด
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 วธ.เปิดเฟซบุ๊ก-เว็บไซต์ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนให้บริการ-เผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาด วธ.เปิดเฟซบุ๊ก-เว็บไซต์ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนให้บริการ-เผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาด พร้อมเผยแพร่นิทรรศการเสมือนจริง “อาเซียนลี้ลับ: ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” วธ.เปิดเฟซบุ๊ก-เว็บไซต์ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนให้บริการ-เผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนช่วงโควิด-19 ระบาด พร้อมเผยแพร่นิทรรศการเสมือนจริง “อาเซียนลี้ลับ: ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ บริเวณชั้น 3 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้วัฒนธรรมอาเซียนระดับภูมิภาค และสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน โดยการนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของอาเซียนที่มีความงดงาม หลากหลาย รวมถึงสะท้อนวิถีชีวิต รากเหง้าวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ความเป็นมา ภูมิปัญญาของภูมิภาคอาเซียนนั้น เนื่องจากขณะนี้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทางศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ได้ปิดให้บริการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 18 - 31 พฤษภาคม 2564 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าทางศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนพร้อมเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 หรือเปิดตามมติคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครกำหนดต่อไป ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนปิดให้บริการนั้น ทาง วธ. ได้เปิดช่องทางให้บริการความรู้ ข้อมูลแก่ประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้ 1.เฟซบุ๊ก Facebook : ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ASEAN Cultural Center (https://www.facebook.com/aseanculturalcenter) บริการบทความและข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมอาเซียน ข่าวสารประชาสัมพันธ์กิจกรรม โครงการ ทุนการศึกษาภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน 2.เว็บไซต์ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน (https://www.acc-th.com/EN/home.html) ให้บริการข่าวสาร กิจกรรมและโครงการของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน บทความ คลิปวิดีโอ สารคดี หนังสืออิเล็คทรอนิกส์ และข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีการเผยแพร่นิทรรศการเสมือนจริง “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ (ASEAN after Dark: Tales of Spirits and Supernatural of ASEAN) ” จัดทำโดย หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.rcac84.com/virtual_tour/aseanafterdark/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยันพ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีกรอบการใช้เงินชัดเจนโปร่งใส รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 โฆษกรัฐบาลยืนยันพ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีกรอบการใช้เงินชัดเจนโปร่งใส รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โฆษกรัฐบาลยืนยันพ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีกรอบการใช้เงินชัดเจนโปร่งใส รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่าพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019เพิ่มเติมพ.ศ. 2564หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าพรก.เงินกู้5แสนล้านบาทซึ่งได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่25พฤษภาคม2564นั้นพรก.ฉบับดังกล่าวมีการกำหนดแผนการใช้เงินกู้อย่างชัดเจนโดยการใช้จ่ายต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานหรือโครงการตามบัญชีแนบท้ายพระราชกำหนดซึ่งประกอบด้วย3แผนงานได้แก่ (1)แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของCOVID-19วงเงิน30,000ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุขการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ (2)แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยาหรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของCOVID-19วงเงิน300,000ล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง (3)แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของCOVID-19วงเงิน170,000ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน/โครงการเพื่อรักษาระดับการจ้างงานกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคทั้งนี้ในกรณีจำเป็นคณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินภายใต้แผนงานหรือโครงการภายใน3วัตถุประสงค์นี้ได้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนในพรก.ฉบับนี้ว่าเงินกู้5แสนล้านบาทนี้จะนำไปใช้เพื่อการอื่นนอกจาก3แผนงานดังที่กล่าวมาแล้วไม่ได้อย่างเด็ดขาดจึงขอให้ประชาชนได้มีความมั่นใจถึงเจตนาของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19ในครั้งนี้อย่างแท้จริงและขอให้ประชาชนได้มั่นใจถึงความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินกู้5แสนล้านและเจตนาของรัฐบาลในการใช้จ่ายเงินกู้นี้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับพรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019พ.ศ. 2563หรือที่เรียกกันว่าพรก.เงินกู้1ล้านล้านบาทนั้นณวันที่21พฤษภาคม2564คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการแล้วจำนวน287โครงการรวมวงเงินทั้งสิ้น817,223ล้านบาทและได้มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน680,099ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ83.22ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)ปี2563มีอัตราตัวเลขที่หดตัวในปริมาณที่ดีกว่าที่หลายหน่วยงานอย่างเช่นธนาคารแห่งประเทศไทยหรือที่IMFได้คาดการณ์ไว้นอกจากนี้วงเงินกู้ส่วนที่ยังเหลืออยู่ในพรก.เงินกู้1ล้านล้านบาทนั้นรัฐบาลได้เตรียมการที่จะออกมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่นๆซึ่งได้รับการอนุมัติในหลักการจากครม.เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นโครงการคนละครึ่งระยะที่3,โครงการ”ยิ่งใช้ยิ่งได้”และโครงการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษทั้งนี้กระทรวงการคลังจะเสนอรายละเอียดของโครงการเพื่อให้ครม.พิจารณาในระยะต่อไป นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมว่า“สถานการณ์การระบาดของเชื้อCOVID-19ในระลอกนี้เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมีการติดเชื้อเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจรัฐบาลจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบจากการระบาดระลอกนี้และมีความจำเป็นที่ต้องออกพรก.เงินกู้5แสนล้านบาทนี้เพื่อให้มีงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอันเนื่องมาจากการระบาดของCOVID-19เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศกลับมาสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วรวมทั้งสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังจากการระบาดของCOVID-19บรรเทาหรือยุติลง” ทั้งนี้กรอบวงเงินกู้500,000ล้านบาทภายใต้พ.ร.กนี้เป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขช่วยเหลือเยียวยาตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของของCOVID-19ระลอกนี้ได้อย่างต่อเนื่องกับพ.ร.ก.เงินกู้1ล้านล้านบาทโดยคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงปี2564–2565สามารถขยายตัวได้เพิมขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่าการออกพรก.เงินกู้5แสนล้านบาทในครั้งนี้จะส่งผลให้ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อGDPอยู่ที่ร้อยละ58.56และยังอยู่คงภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งรัฐบาลได้ระมัดระวังในการบริหารจัดการเงินกู้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลยังคงมุมมองที่ดีต่อภาคการคลังที่แข็งแกร่งของประเทศไทยด้วย ..................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน-สาธิต ติดตามการบริหารจัดการวัคซีนเขตสุขภาพที่ 6 ให้ ศบค. จัดสรรมากและเร็ว เตรียมพร้อมเดินหน้าภาคเศรษฐกิจประเทศ
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 อนุทิน-สาธิต ติดตามการบริหารจัดการวัคซีนเขตสุขภาพที่ 6 ให้ ศบค. จัดสรรมากและเร็ว เตรียมพร้อมเดินหน้าภาคเศรษฐกิจประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขติดตามการบริหารจัดการวัคซีนเขตสุขภาพที่ 6 ให้จังหวัดเสนอแผน ศบค. เพื่อให้มีการจัดสรรมากและเร็วที่สุดเตรียมพร้อมเดินหน้าภาคเศรษฐกิจของประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขติดตามการบริหารจัดการวัคซีนเขตสุขภาพที่ 6 ให้จังหวัดเสนอแผน ศบค. เพื่อให้มีการจัดสรรมากและเร็วที่สุดเตรียมพร้อมเดินหน้าภาคเศรษฐกิจของประเทศ วันนี้ (29 พฤษภาคม 2564) ที่ จ.ชลบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิวงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้เยี่ยมให้กำลังใจตัวแทนอสม.ในจังหวัดชลบุรีที่มุ่งมั่นเสียสละทำงานเพื่อประชาชน โดยฝากให้อสม.เป็นกำลังสำคัญนำประชาชนในพื้นที่มาฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนมากเพื่อความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ นายอนุทินกล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 6 เป็นเขตที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของประเทศมีทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว พื้นที่ชายแดน และมีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางของระบบขนส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดสรรและกระจายวัคซีนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากวัคซีนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศในครบทุกมิติ รวมถึงสร้างภูมิคุ้มกันในพื้นที่ เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ต่อเนื่อง เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ ศบค.เป็นผู้บริหารจัดการตามสูตรเทียบอัตราส่วนจากจำนวนประชากร จำนวนจังหวัดให้สอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ได้รับในแต่ละสัปดาห์ ร่วมกับพิจารณาตามสถานการณ์และแผนการประมาณการจากผู้ว่าราชการจังหวัดและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประกอบ ซึ่งการกระจายวัคซีนในแต่ละจังหวัดจะมีความเสมอภาคกัน นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ขณะนี้วัคซีนที่ประเทศไทยใช้อยู่ มี 2 ยี่ห้อ คือ ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งมีคุณสมบัติเท่ากัน คือป้องกันการป่วยที่รุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ ยกเว้นข้อจำกัดด้านกายภาพซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ในการเลือกใช้ นอกจากนี้ขอให้เน้นในกลุ่มที่มีความจำเป็น เช่น ต้องสัมผัสกับคนจำนวนมาก ให้ได้รับการฉีดโดยเร็วที่สุด “ขอให้มั่นใจว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาและทำการฉีดให้กับประชาชนตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป มีความพร้อมไม่ขาดตามที่เป็นข่าว วันนี้จึงได้มาตรวจความพร้อมในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนให้มีความสะดวกในการให้บริการ รวมถึงจัดกระบวนการให้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้ฉีดได้ทั้งในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมจะเปิดรับภาคเอกชน เช่น ศูนย์แสดงสินค้า ห้างสรรพสินค้า สนับสนุนพื้นที่จัดตั้งเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนจะทำให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายอนุทินกล่าว ด้าน ดร.สาธิต กล่าวว่า ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ปฏิบัติงานในการควบคุมโรคในพื้นที่ ดูแลผู้ติดเชื้อ ทั้งในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม จากนี้ให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มความสามารถในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ให้เกิดความครอบคลุมมากที่สุดและเร็วที่สุด นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า ภาพรวมที่ผ่านมา เขตสุขภาพที่ 6 ซึ่งมี 8 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ตราด สระแก้ว และปราจีนบุรี ได้รับการจัดสรรวัคซีนไปแล้ว รวม 318,960 โดส ฉีดให้กับประชาชนไปแล้ว 318,572 โดส นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีนในพื้นที่พิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยได้ฉีดให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในท่าอากาศยาน จำนวน 38,061 คน ภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดี ดำเนินการได้รวดเร็วตามเป้าหมายที่วางไว้ ******************* 29 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลระดมตรวจเชิงรุก มุ่งเป้าคัดกรองผู้ป่วยออกจากชุมชน หวังลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลระดมตรวจเชิงรุก มุ่งเป้าคัดกรองผู้ป่วยออกจากชุมชน หวังลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน รัฐบาลระดมตรวจเชิงรุก มุ่งเป้าคัดกรองผู้ป่วยออกจากชุมชน หวังลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์โควิด-19 พบว่าจังหวัดส่วนใหญ่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้มากขึ้นแล้ว แต่ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในกทม. และปริมณฑลระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน จำนวน 16,045 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.2 ของการติดเชื้อทั้งประเทศที่มีจำนวน 36,290 ราย ซึ่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เน้นให้ขยายการตรวจเชิงรุกเพื่อเร่งแยกผู้ป่วยออกจากประชากรทั่วไปให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง ที่ผ่านมา ในชุมชนพื้นที่กทม. ตั้งแต่วันที่ 5 - 30 เม.ย. ได้ให้บริการตรวจคัดกรองเชิงรุกไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงาน ได้ให้บริการตรวจเชิงรุกแก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 39 และ 40 ช่วงระหว่างวันที่ 17-30 ในกทม. และระหว่างวันที่ 24-30 เม.ย. ในปทุมธานี ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ตรวจไปแล้วรวม 4.5 หมื่นราย ซึ่งจะส่งต่อผู้ป่วยติดเชื้อทุกคน ไปรักษาที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ทันทีตามอาการ และตั้งแต่วันนี้ - 15 พ.ค. นี้ กระทรวงสาธารณสุขเปิดตรวจคัดกรองโควิด-19 โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน สำหรับประชาชนกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 และผู้ไปในสถานที่เสี่ยง ณ สนามกีฬาธูปะเตมีย์ พร้อมรับ walk in วันละ 1,000 คน แจกบัตรคิวหน้างานช่วงเช้ารอบเดียวจนกว่าจะหมด ขณะที่กระทรวงแรงงานจะให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ในพื้ที่สมุทรปราการ ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานวันนี้ถึง - 7 พ.ค. และกรุงเทพหมานครและปทุมธานี อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 5 - 11 พ.ค ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย -ญี่ปุ่น) และวิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี พร้อมประเมินเพื่อปรับการบริการให้สอดคล้องสถานการณ์ด้วย อนึ่ง ปัจจุบันโรงพยาบาลสนาม ในสังกัด กทม. ข้อมูล ณ 28 เม.ย. มีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วย จำนวน 1,700 เตียง ประกอบด้วย โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เขตบางขุนเทียน รองรับได้ 1,000 เตียง ครองเตียง 451 เตียง ยังว่างอยู่ 549 เตียง รพ.ราชพิพัฒน์ 200 เตียง ครองเตียง 230 เตียง (เสริม 30 เตียง) รพ.เอราวัณ 1(ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางบอน) 100 เตียงครองเตียง 38 เตียง ยังว่างอยู่ 62 เตียง และรพ.เอราวัณ 2 (บางกอกอารีนา) 400 เตียง ครองเตียง 287 ยังว่างอยู่ 113 เตียง และเข้าHospitel 60 เตียง รวมครองเตียง 1,066 เตียง เตียงคงเหลือ 724 เตียง ซึ่งกทม. จะเร่งนำผู้ป่วยติดเชี้อ เข้าสู่สถานพยาบาล / รพ. สนาม/ hospitel ตามอาการ โดยศูนย์ เอราวัณ 1669 ตั้งเป้าต้องไม่มีผู้ป่วยตกค้างในระบบ สามารถส่งตัวแบบวันต่อวันได้ ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งสารถึงผู้ใช้แรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2564
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 รมว.แรงงาน ส่งสารถึงผู้ใช้แรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2564 ก.แรงงาน ส่งสารขอบคุณพี่น้องผู้ใช้แรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ที่แรงงานทั้งในและต่างประเทศมีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทย และพร้อมดำเนินงานเพื่อพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพสูง และยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในนามกระทรวงแรงงาน ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และท่านพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลและกำกับกระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสำคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ได้มอบให้กระทรวงแรงงานส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกสาขาอาชีพทั้งในและต่างประเทศ เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ. 2564 และถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทยมาโดยตลอด กระทรวงแรงงานพร้อมดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพสูงและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานและครอบครัว ให้มีความมั่นคง สามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน ในปีนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาคแรงงาน กระทรวงแรงงานจึงได้ผลักดันและดำเนินมาตรการโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาแรงงานทุกกลุ่มเช่น โครงการ ม.33 เรารักกัน และโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ไม่ให้ขยายออกไปในวงกว้างจนทำให้เกิดความเสียหายแก่ทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการดำเนินการเพื่อคุ้มครองแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 เกิดการระบาดระลอกใหม่ และสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามลำดับ คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2564 จึงมีมติงดจัดงานวันแรงงานแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2564 แต่ได้มีการยื่นข้อเรียกร้องเสนอต่อรัฐบาล โดยผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จำนวน 7 ข้อ 16 ประเด็น และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ได้ยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 22 ข้อ ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะนำข้อเรียกร้องไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาและดำเนินงานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศหญิง อายุ 52 ปี (ปฏิบัติหน้าที่เก็บค่าโดยสารช่วงกะบ่าย) ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศหญิง อายุ 52 ปี (ปฏิบัติหน้าที่เก็บค่าโดยสารช่วงกะบ่าย) ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบางพลี ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานอยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลไปรับ แต่พนักงานได้ให้ญาติพาไปส่งที่โรงพยาบาลบางพลี ในเวลา 13.00 น. ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ส่งพนักงานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 4 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้ 1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข 2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 16 - 25 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้ - วันที่ 16 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 22.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 17 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 09.00 น. เดินทางไปฝังเข็ม เพื่อรักษาอาการปวดขา ณ โรงพยาบาลบางใหญ่ และเดินทางกลับบ้าน เวลา 13.00 น. - วันที่ 18 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 15.00 - 23.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 19 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 21.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 20 - 21 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.45 - 22.00 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 22 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 14.30 - 23.20 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที โดยพนักงานได้รับประทานอาหารเย็นบนโต๊ะเดียวกับพนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศชาย อายุ 37 ปี ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อฯ ตามที่ ขสมก. ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 - วันที่ 23 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.30 - 21.30 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที โดยพนักงานเริ่มมีอาการปวดศีรษะ เวียนหัวและอาเจียน - วันที่ 24 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 09.00 น. เดินทางไปฝังเข็มเพื่อรักษาอาการปวดขา ณ โรงพยาบาลบางใหญ่ และเดินทางกลับบ้าน เวลา 13.00 น. - วันที่ 25 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 15.30 - 23.40 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 26 เมษายน 2564 พนักงานขออนุญาตหัวหน้างานลาหยุด เนื่องจากมีอาการปวดศีรษะเวลา 10.00 น. ได้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการปวดศีรษะ ณ โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยแพทย์ให้พนักงานมาตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ในช่วงเย็น ต่อมาเวลา 19.00 น. พนักงานได้เดินทางไปตรวจหาเชื้อฯ ที่โรงพยาบาลบางพลี และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 19.30 น. - วันที่ 27 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน - วันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบางพลี ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานอยู่ที่บ้าน เพื่อรอรถพยาบาลไปรับ แต่พนักงานได้ให้ญาติพาไปส่งที่โรงพยาบาลบางพลี ในเวลา 13.00 น. ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ได้ส่งพนักงานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ 3. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกะบ่าย ซึ่งเป็นกะสุดท้ายของแต่ละวัน จึงไม่มีพนักงานขับรถคนใดนำรถไปขับต่อ อีกทั้งเมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบจะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70 % จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารของ ขสมก. มีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารธรรมดา สาย 4 จำนวน 1 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ คือ รถโดยสารหมายเลข 4 - 80368 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่น ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึงอู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร 4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบพบว่าพนักงานขับรถโดยสาร จำนวน 2 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานขับรถโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อมาพบว่าพนักงานขับรถโดยสาร สาย 4 เพศหญิง อายุ 56 ปี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ ส่วนพนักงานขับรถโดยสารอีก 1 ราย อยู่ระหว่างรอผลการตรวจ หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41392
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2564”
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2564” คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2564” คำปราศรัย พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส“วันแรงงานแห่งชาติประจำปีพุทธศักราช2564” สวัสดีพี่น้องแรงงานที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติวันที่1พฤษภาคม2564ผมขอส่งความรักและความปรารถนาดีมายังพี่น้องแรงงานไทยทุกท่านที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตลอดมา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ปีนี้ต้องงดจัดกิจกรรมวันแรงงานแห่งชาติอีกปีหนึ่งด้วยรัฐบาลมีความห่วงใยในความปลอดภัยด้านสุขภาพอนามัยของพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกคนทั้งนี้มิได้นิ่งนอนใจในการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจการสร้างโอกาสทางการค้าการลงทุนและการมีงานทำของพี่น้องประชาชนและพี่น้องแรงงานในระบบแรงงานนอกระบบและแรงงานกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจในขณะนี้ ที่ผ่านมาได้มีมาตรการต่างๆเพื่อช่วยเหลือพี่น้องแรงงานได้แก่โครงการเราไม่ทิ้งกันโครงการคนละครึ่งโครงการเราชนะโครงการม.33เรารักกันรวมถึงขยายเวลาลดหย่อนส่งเงินสมทบประกันสังคมลดค่าน้ำและค่าไฟลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และมาตรการอื่นๆเพื่อให้พี่น้องแรงงานทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้และพร้อมที่จะเดินไป ข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้มแข็งในเร็ววันพร้อมกันนี้ยังให้การสนับสนุนด้านสวัสดิการการคุ้มครองแรงงานให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลและการพัฒนาความสามารถและศักยภาพแรงงานอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19คลี่คลายเพื่อให้พี่น้องแรงงานมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น ผมมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานทุกคนขอให้ดูแลรักษาสุขภาพดำเนินชีวิต วิถีใหม่(New Normal)และปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด19อย่างเคร่งครัดด้วยการกินร้อนช้อนเราหมั่นล้างมือบ่อยๆสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลไม่ไปในพื้นที่เสี่ยงและพบแพทย์เมื่อมีอาการซึ่งจะช่วยทุกกคนปลอดการติดเชื้อโรคและเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรค ในโอกาส“วันแรงงานแห่งชาติ”ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลอีกทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องแรงงานพร้อมทั้งครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญมีกำลังกายกำลังใจที่เข้มแข็งและสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการเพื่อร่วมกันเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงสืบไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานขับรถโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 พนักงานขับรถโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศหญิง อายุ 56 ปี (ปฏิบัติหน้าที่ขับรถโดยสารช่วงกะบ่าย) ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. พนักงานขับรถโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศหญิง อายุ 56 ปี (ปฏิบัติหน้าที่ขับรถโดยสารช่วงกะบ่าย) ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มศว. องครักษ์ ต่อมาเวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้อยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์ฯ ในวันที่ 29 เมษายน 2564 ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 4 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้ 1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข 2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 16 - 25 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้ - วันที่ 16 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 22.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 17 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 09.00 น. เดินทางไปฝังเข็มเพื่อรักษาอาการปวดขา ณ โรงพยาบาลบางใหญ่ และเดินทางกลับบ้านเวลา 13.00 น. - วันที่ 18 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 15.00 - 23.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 19 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 21.50 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 20 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อน เวลา 08.00 น. เดินทางไปพบแพทย์ เพื่อรักษาโรคเบาหวาน ความดัน ณ ศูนย์การแพทย์ฯ และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.00 น. - วันที่ 21 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.45 - 22.00 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 22 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 14.30 - 23.20 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 23 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 13.30 - 21.30 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 24 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 09.00 น. เดินทางไปฝังเข็มเพื่อรักษาอาการปวดขา ณ โรงพยาบาลบางใหญ่ ต่อมาเวลา 13.00 น. เดินทางไปเข้าร่วมประชุมที่สหกรณ์ออมทรัพย์พนักงาน ขสมก. 06 และเดินทางกลับบ้านในเวลา 19.00 น. - วันที่ 25 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80368 ตั้งแต่เวลา 15.30 - 23.40 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 26 - 27 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน - วันที่ 28 เมษายน 2564 พนักงานได้รับแจ้งว่า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศหญิง อายุ 52 ปี ที่ปฏิบัติหน้าที่บนรถด้วยกันเป็นประจำทุกวัน เป็นผู้ติดเชื้อฯ เวลา 14.00 น. พนักงานได้เดินทางไปตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์การแพทย์ฯ และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.00 น. ต่อมาเวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้อยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์ฯ ในวันที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. 3. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกะบ่าย ซึ่งเป็นกะสุดท้ายของแต่ละวัน จึงไม่มีพนักงานขับรถคนใดนำรถไปขับต่อ อีกทั้งเมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบจะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70 % จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารของ ขสมก. มีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารธรรมดา สาย 4 จำนวน 1 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่คือ รถโดยสารหมายเลข 4 - 80368 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึงอู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร 4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบ พบว่าพนักงานขับรถโดยสาร จำนวน 1 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานขับรถโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2564 ได้กระจายยาไปโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยแล้วกว่า 7 แสนเม็ด
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 สธ.เผยตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2564 ได้กระจายยาไปโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยแล้วกว่า 7 แสนเม็ด กระทรวงสาธารณสุข เผยรอบ 5 วัน 26 -30 เมษายน 2564 ส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับทุกจังหวัดที่มีผู้ป่วยพร้อมทั้งสำรองไว้ในโรงพยาบาลแม่ข่ายทุกเขตสุขภาพไว้รักษาผู้ป่วยโควิดกว่า 765,600 เม็ด นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ในฐานะประธานคณะทำงานภารกิจด้านการจัดหาและกระจายทรัพยากรทางการแพทย์ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวขั้นตอนการเบิกยาฟาวิพิราเวียร์มีความยากลำบากบางโรงพยาบาลไม่มียาเก็บไว้ ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีระบบบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)โดยส่วนกลางเป็นหน่วยสำรองยาระดับประเทศ และกระจายยาไปทุกจังหวัดที่รับผู้ป่วย พร้อมทั้งสำรองในโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาคทุกเขตสุขภาพมากกว่า 20 โรงพยาบาล เช่น ในกรุงเทพมหานครโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย สังกัดกรุงเทพมหานครเป็นแม่ข่าย กระจายยาให้ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกสังกัด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 26 -30 เมษายน 2564มีการกระจายยาไปยังทุกจังหวัดที่มีผู้ป่วย ทุกเขตสุขภาพแล้ว 765,600 เม็ด อาทิ โรงยาบาลราชวิถี 190,500 เม็ด โรงพยาบาลนครพิงค์ 48,000 เม็ด โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 78,200 เม็ด โรงพยาบาลชลบุรี 70,000 เม็ด โรงพยาบาลหาดใหญ่ 18,500 เม็ด โรงเรียนแพทย์แห่งละ 4,000 – 6,000 เม็ด และโรงพยาบาลภาคเอกชนกว่าแสนเม็ด รวมทั้งมีการวางแผนจัดส่งยาฉุกเฉินโดยองค์การเภสัชกรรมผ่านทางสายการบินพาณิชย์ และรถโดยสารในจังหวัดที่ไม่มีสนามบินไว้ด้วย นายแพทย์ไพศาล กล่าวต่อว่า เนื่องจากยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ให้ในผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ ตามแนวทางการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจึงพร้อมกระจายยาและสำรองยาให้กับทุกโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วย มีอาการอย่างทันท่วงที และเพียงพอกับความต้องการใช้ เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ***************************** 1 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ร้อยละ 76 มาจากคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ดูแลผู้ป่วย
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 สธ.เผยสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ร้อยละ 76 มาจากคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ดูแลผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุข เผยสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ร้อยละ 76 มาจากคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ดูแลผู้ป่วย เน้นย้ำการอยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว ต้องมีระยะห่าง สวมหน้ากากป้องกัน หากรู้ว่าติดเชื้อเร็วเข้าสู่ระบบการรักษาเร็ว กระทรวงสาธารณสุข เผยสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ร้อยละ 76 มาจากคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ดูแลผู้ป่วย เน้นย้ำการอยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว ต้องมีระยะห่าง สวมหน้ากากป้องกัน หากรู้ว่าติดเชื้อเร็วเข้าสู่ระบบการรักษาเร็ว ทำให้อาการรุนแรงลดลง และลดการสูญเสียการเสียชีวิตได้ บ่ายวันนี้ (1 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,891 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,799 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 85 ราย จากต่างประเทศ 7 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,821 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 28,745 ราย อาการหนัก 829 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 270 ราย และมีผู้เสียชีวิตวันนี้ 21 ราย เป็นชาย 9 ราย หญิง 12 รายอายุระหว่าง 39-90 ปี อยู่ใน กทม. 10 ราย ชลบุรี สมุทรปราการ จังหวัดละ 2 ราย อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ เชียงราย ปทุมธานี เพชรบุรี จังหวัดละ 1 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดสมอง ภาวะอ้วน โรคปอดเรื้อรัง ไตเรื้อรัง และติดบ้านติดเตียง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการติดเชื้อของผู้เสียชีวิตถึงร้อยละ 76 มาจากการสัมผัสคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน สัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ และผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ส่วนประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการรักษา คือจำนวนวันที่ทราบผลการติดเชื้อ หากทราบว่าติดเชื้อเร็ว นำเข้าสู่ระบบการรักษาเร็ว จะส่งผลให้อาการรุนแรงลดลง ลดการเสียชีวิต ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า กทม.และปริมณฑลยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกทม.4 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า การกระจายตัวของผู้ป่วยติดเชื้ออยู่ทุกเขต บางเขตพบสูง สำหรับต่างจังหวัดยังพบจังหวัดที่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนอีก 21 จังหวัด ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง มีภาคกลาง 7 จังหวัด ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ภาคเหนือ 2 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด และภาคใต้ 6 จังหวัด สาเหตุของการติดเชื้อในระบบการรายงานประเภทผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อในระลอกเม.ย. ในรายสัปดาห์ที่ 14-17 ปี 2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ค.2564) พบว่า ผู้ป่วยจากระบบบริการ/เฝ้าระวัง สะสม 31,850 ราย สำหรับรายงานการค้นหาเชิงรุกสะสม 6,133 รายคิดเป็นร้อยละ 16.10 ซึ่งน้อยลง ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้มารับบริการในสถานพยาบาลพบการติดเชื้อที่มีปัจจัยเสี่ยง เป็นผู้ติดเชื้อมาจากสัมผัสในครอบครัว และเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานที่ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ทราบว่าเขาติดเชื้อถึงร้อยละ 54 ทำให้มีผู้ป่วยและผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเพิ่มจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวทางในปัจจุบันเมื่อเราเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องกักตัว 14 วัน ตรวจหาเชื้อ2 ครั้ง ไม่เดินทางไปไหน กักตัวอยู่ที่บ้าน และสังเกตอาการตนเอง หากมีไข้ เจ็บคอ ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่นให้รีบประสานศูนย์แรกรับเพื่อเข้ารับการรักษาใน รพ.สนาม/Hospitel หรือรพ. สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และต้องมีการป้องกันตัวเอง ดังนั้น การอยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว ต้องมีระยะห่าง และป้องกันตัวเอง เพราะไม่ทราบว่ามีคนในครอบครัวติดเชื้อหรือไม่ สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,477,078 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,095,230 ราย และครบ 2 เข็ม 381,848 ราย โดยในวันที่ 30 เมษายน 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 65,464 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 19,474 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 45,990 ราย ซึ่งในขณะนี้เร่งฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่มีการสัมผัสกับผู้ป่วย ทุกสังกัด และสำหรับวัคซีนที่จะฉีดให้กลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง 7 โรคนั้น จะเริ่มฉีดให้เดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ ************************************ 1 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ! เรื่องที่ต้องรายงานนายกฯ ทุกครั้ง
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 ประกาศ! เรื่องที่ต้องรายงานนายกฯ ทุกครั้ง ... อังคารที่ผ่านมา (27 เม.ย.64) ครม. เห็นชอบให้โอนอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด ตามกฎหมาย 31 ฉบับ มาไว้ที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว โดยออกประกาศ ตามมา . ล่าสุดมีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่ประชาชนควรทราบ โดยให้แต่ละกระทรวงรายงานนายกรัฐมนตรีและ ศบค. ทุกครั้ง เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการต่อไปดังนี้ . >หน้ากากอนามัย >เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่เกี่ยวกับการรักษาโรคโควิด-19 >ยา เช่น ฟาวิพิราเวียร์ >การขออนุญาต ขอขึ้นทะเบียน การนำเข้า การจัดหา การประสาน หรือติดต่อกับต่างประเทศ และการจัดสรรวัคซีนเกี่ยวกับโรคโควิด-19 >ออกซิเจนที่ใช้ทางการแพทย์ >เตียงผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสนาม >การรับแจ้งเหตุเกี่ยวกับผู้ป่วย การอำนวยความสะดวก การขนย้ายผู้ป่วย >การควบคุมเส้นทางคมนาคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 . มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.64 เป็นต้นไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41401
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวปราศรัย เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 2564 ย้ำดูแล “แรงงาน” เป็นกลจักรขับสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีกล่าวปราศรัย เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 2564 ย้ำดูแล “แรงงาน” เป็นกลจักรขับสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวปราศรัย เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 2564 ย้ำดูแล “แรงงาน” เป็นกลจักรขับสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปราศรัยเนื่องในโอกาส “วันแรงงานแห่งชาติ” 2564 พร้อมส่งมอบความรักและความปรารถนาดีมายังพี่น้องแรงงานไทย ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตลอดมา นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความจำเป็นต้องงดจัดกิจกรรมวันแรงงานแห่งชาติอีกปีหนึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างโอกาสทางการค้า การลงทุน และการมีงานทำของประชาชนและแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ และแรงงานกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับผลกระทบทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ในขณะนี้ที่ผ่านมาได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน ได้แก่ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน รวมถึงขยายเวลาลดหย่อนส่งเงินสมทบประกันสังคม ลดค่าน้ำและค่าไฟ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และมาตรการอื่น ๆ พร้อมยังให้การสนับสนุนด้านสวัสดิการ การคุ้มครองแรงงาน ให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล และการพัฒนาความสามารถและศักยภาพแรงงานอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 คลี่คลาย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของแรงงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ฝากความห่วงใยถึงแรงงาน ให้ดูแล รักษาสุขภาพ ดำเนินชีวิต วิถีใหม่ (New Normal) และปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด ด้วยการ กินร้อน ช้อนเรา หมั่นล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ไม่ไปในพื้นที่เสี่ยง และพบแพทย์เมื่อมีอาการ เพื่อทุกคนปลอดการติดเชื้อโรคและเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคอีกด้วย --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41400
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่และบุคลากรของกระทรวงคมนาคม ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่และบุคลากรของกระทรวงคมนาคม ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ... ตามที่ปรากฏข่าว ณ วันที่ 29 เมษายน 2564 กระทรวงฯ ขอชี้แจงว่า จำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ปรากฎตามข่าวเป็นยอดสะสมผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2563 - 29 เมษายน 2564 ของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด รวม 20 หน่วยงานทั่วประเทศ ประกอบด้วย 8 หน่วยงานราชการ และ 11 รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีบุคลากรทั้งหมด จำนวน 112,662 คน (ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง) ในการนี้ กระทรวงฯ ขอสรุปรายงานสถานการณ์ COVID-19 ของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด จำนวน 20 หน่วยงาน ยอดสะสมระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2563 - 30 เมษายน 2564 ดังนี้ 1. มีผู้ติดเชื้อใหม่ในวันที่ 30 เมษายน 2564 จำนวน 7 คน 2. มีผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 - 30 เมษายน 2564 จำนวน 202 คน อยู่ระหว่างการรักษาจำนวน 168 คน หายแล้ว 33 คน และเสียชีวิต 1 คน 3. มีบุคลากรอยู่ระหว่างกักตัวเพื่อเฝ้าระวัง (Quarantine) เป็นไปตามมาตรสาธารณสุขของรัฐบาล ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. และ กระทรวงฯ อย่างเคร่งครัด จำนวน 1,621 คน คิดเป็นร้อยละ 1.44 ของบุคลากรทั้งหมด ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีนโยบายให้หัวหน้าหน่วยดำเนินการตามมาตรการกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กักตัวเจ้าหน้าที่ทั้งหมดทันที 14 วัน ในพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อเพื่อจำกัดการแพร่ระบาด จึงอาจทำให้ตัวเลขผู้กักตัวมีจำนวนสูง และตามรายงานพบว่าส่วนใหญ่ที่ตรวจสอบผู้ที่ติดเชื้อ มีสาเหตุมาจากภายนอกหน่วยงานทั้งสิ้น ไม่มีการระบาดภายในหน่วยงานแต่อย่างใด เนื่องจากมีนโยบายให้ดำเนินการตามมาตรการกรมควบคุมโรคทันที กระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำชับให้ทุกหน่วยงานดูแล เจ้าหน้าที่และบุคลากร และป้องกันการแพร่ระบาดในระดับสูงสุด โดยปฏิบัติตามคำสั่ง ศบค. อย่างเคร่งครัดในทุกระบบการคมนาคมขนส่งของกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ให้กำลังใจผู้ใช้แรงงาน ในวันแรงงานแห่งชาติ ยัน ก.แรงงาน มุ่งขับเคลื่อนนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต ดูแลแรงงานดุจคนในครอบครัว
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ ให้กำลังใจผู้ใช้แรงงาน ในวันแรงงานแห่งชาติ ยัน ก.แรงงาน มุ่งขับเคลื่อนนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิต ดูแลแรงงานดุจคนในครอบครัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้กำลังใจผู้ใช้แรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2564 ก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน ยืนยัน รัฐบาลและกระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสำคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสำคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกสาขาอาชีพทั้งในและต่างประเทศ และเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจและสังคมมาโดยตลอด และขออวยพรให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่านมีความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 นายสุชาติ ยังกล่าวถึงนโยบายของกระทรวงแรงงาน ที่จะดำเนินการใน 5 ด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ดังนี้ 1) ด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดย Up-Skills & RE-Skills และ New-Skills โดยเน้นอาชีพใหม่ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จัดฝึกอบรมหลักสูตรออนไลน์เพื่อแรงงานทั้งในและนอกระบบ เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เทคนิคการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น สนับสนุนเงินทุนจากกองทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปพัฒนาทักษะฝีมือลูกจ้างในสถานประกอบการ 2) ด้านการหางานให้ทำ จัดหาตำแหน่งงานว่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีตำแหน่งงานว่างแล้วจำนวนกว่า 200,000 อัตรา รวมทั้ง สนับสนุนการจ้างงานในพื้นที่ เพื่อรักษาสภาพการจ้าง พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการสมัครงาน โดยพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้สามารถเชื่อมโยงระหว่างนายจ้าง แรงงาน และสถาบันฝึกอบรมได้อย่างง่าย สะดวก รวดเร็วมากขึ้น เพิ่มทักษะแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ โดยอบรมให้ความรู้แก่แรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เช่น ทักษะด้านภาษา เทคโนโลยี กฎหมาย วัฒนธรรมความเป็นอยู่แต่ละประเทศ เป็นต้น 3) ด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานหลังเกษียณ ภายใต้โครงการ ‘แรงงานพันธุ์ดี’ โดยจะดำเนินการนำร่องในสถานประกอบการเพื่อเป็นต้นแบบ จำนวน 9 แห่ง เพื่อให้แรงงานที่เตรียมตัวจะเกษียณสามารถนำความรู้ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้และเลี้ยงดูตนเองหลังเกษียณ ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยการพิจารณากฎหมายของกระทรวงแรงงานทุกฉบับไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน และแก้ไขปรับปรุงสาระสำคัญให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ด้านแรงงานที่เป็นปัจจุบัน แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานเพื่อมุ่งสู่เทียร์ 1 โดยกำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสถานประกอบการอย่างเคร่งครัด บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด รวมทั้ง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้นายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ โดยให้การดูแล คุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนาด้านอาชีพ โดยการปรับปรุงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำงานที่บ้านให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบในทุกกลุ่มอาชีพ ดูแลและคุ้มครองแรงงานกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม) ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาด้านการประกอบอาชีพ หางานที่เหมาะสมให้ทำ และสร้างหลักประกันทางสังคม 4) ด้านการสร้างหลักประกันทางสังคม ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และ สปสช. ดำเนินการตรวจโควิด-19 ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ซึ่งจะดำเนินการจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลาย เร่งจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเงินเยียวยาสำหรับนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในช่วงที่การแพร่ระบาดยังไม่คลี่คลาย ปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการในการรักษาการจ้างงานในวงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ให้คงสภาพการจ้างงาน จัดตั้งสถาบันการแพทย์เพื่อผู้ใช้แรงงาน เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานประกันสังคม เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และ 5) ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อบริการด้านแรงงาน ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลด้านแรงงานให้มีประสิทธิภาพ โดยการสร้าง Big Data ด้านแรงงานให้ครอบคลุมทุกภารกิจและสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบให้บริการแก่แรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ โดยพัฒนาระบบ Line official account ชื่อ ‘น้องสิทธิ’ เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร สอบถามสิทธิประโยชน์ต่างๆ สามารถดาวน์โหลดคู่มือสิทธิประโยชน์และข้อมูลพื้นฐานในประเทศที่ไปทำงาน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน วันหยุด เป็นต้น “ผมขอให้กำลังใจพี่น้องผู้ใช้แรงงานก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน เราจะมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและดูแลแรงงานดุจคนในครอบครัว เพื่อพัฒนาแรงงานให้มีศักยภาพสูง มีความมั่นคง สามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส นำทีม NT-หัวเว่ย มอบระบบสื่อสารอำนวยความสะดวกบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 รพ.สนามบางขุนเทียน
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564 รมว.ดีอีเอส นำทีม NT-หัวเว่ย มอบระบบสื่อสารอำนวยความสะดวกบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 รพ.สนามบางขุนเทียน รมว.ดีอีเอส นำทีม NT-หัวเว่ย มอบระบบสื่อสารอำนวยความสะดวกบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 รพ.สนามบางขุนเทียน เมื่อวันที่1พฤษภาคม2564นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยนาวาอากาศเอกสมศักดิ์ขาวสุวรรณ์กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือNTและนายอาเบลเติ้งประธานกรรมการบริหารบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี่(ประเทศไทย)จำกัดเดินทางลงพื้นที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียนตรวจเยี่ยมการติดตั้งอุปกรณ์free wifiตรวจสอบคุณภาพสัญญาณสื่อสารในจุดต่างๆพร้อมได้มอบนวัตกรรมโซลูชันทางการแพทย์เช่นนวัตกรรมการสื่อสารทางไกลtelemedicineระบบการจัดการผู้ป่วยอัจฉริยะและระบบโครงข่ายวิทยุสื่อสารไร้สายบรอดแบนด์eLTEโดยมีนพ.ศุภรัชสุวัฒนพิมพ์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯเป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการจัดการและโครงข่ายการสื่อสารของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ให้เป็นไปโดยสะดวกและยกระดับประสิทธิภาพการรับมือกับการแพร่กระจายCOVID-19อย่างเต็มที่ตลอดจนสามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโควิดสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาNTได้เข้าไปติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตไวไฟและไอพีโฟนรวมถึงกล้องวงจรปิด(CCTV)ให้กับโรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่อาทิ โรงพยาบาลสนาม2จังหวัดเชียงราย(ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติGMS)โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยพะเยาโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยขอนแก่นโรงพยาบาลสนามวชิรพยาบาลโรงพยาบาลสนามเอราวัณ1บางบอน(ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ84พรรษา)โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41403