title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ มจธ. หนุนเอสเอ็มอีไทยปรับตัวพร้อมยุคโควิด เปิดรับสมัครร่วมโครงการติวเข้มเพิ่มศักยภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ฟรี
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 SME D Bank จับมือ มจธ. หนุนเอสเอ็มอีไทยปรับตัวพร้อมยุคโควิด เปิดรับสมัครร่วมโครงการติวเข้มเพิ่มศักยภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ฟรี SME D Bank ร่วมกับ มจธ.จัดโครงการ SME Scale Up to Digital Transformationฯ ปี 4 เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SME เข้าติวเข้มยกระดับธุรกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ฟรี! ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจ สามารถปรับตัวพร้อม ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 SME D Bank ร่วมกับ มจธ. จัดโครงการ “SME Scale Up to Digital Transformationฯ” ปี 4เปิดรับสมัครผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าติวเข้มยกระดับธุรกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ฟรี! ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจ สามารถปรับตัวพร้อม ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 แถมสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องเร่งปรับตัว รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น SME D Bank ในฐานะธนาคารของรัฐเพื่อ SMEsไทย ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยสำนักเคเอกซ์ ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโครงการ“SME Scale Up to Digital Transformation ปรับธุรกิจเพื่อรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล” เปิดรับสมัครลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ เข้ารับการพัฒนายกระดับธุรกิจโดยใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ต่อยอดให้สามารถปรับตัวก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 พร้อมทั้งวางพื้นฐานธุรกิจสู่ความยั่งยืนในโลกธุรกิจอนาคตหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการอบรบและถ่ายทอดความรู้จากทีมที่ปรึกษาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเต็ม (เดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน 2564) ในหลักสูตรเข้มข้น เช่น กิจกรรมเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และกิจกรรมเทคนิคการทำงานที่ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น (LEAN by AGILE) เพื่อต่อยอดความคิดการพัฒนาธุรกิจ พร้อมการลงมือทำอย่างจริงจัง ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และกิจกรรมรับฟังการวิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้น (Site Visit) จากที่ปรึกษาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะประเมินศักยภาพธุรกิจและความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีเพื่อรับทราบสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจ รวมถึงลงพื้นที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ณ สถานประกอบการ เพื่อนำไปปรับปรุงธุรกิจได้ตรงจุดและสร้าง Productivity เชิงธุรกิจต่อไป นอกจากนั้น ยังได้รับโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษจาก SME D Bank อีกด้วย สำหรับโครงการดังกล่าว จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นับจาก พ.ศ.2561 เป็นต้นมา โดยเมื่อปีที่แล้ว (2563) สามารถสนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้สำเร็จ 43 ธุรกิจ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 19.30 ล้านบาท และต้นทุนการผลิตลดลง 30.72 ล้านบาท ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น บจก.เจแทคโก้ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตรองเท้า Safety ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เมื่อมาเข้าโครงการนี้ ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 2 เท่า ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 16 ล้านบาท เป็นต้น ทั้งนี้ ลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 25 มิถุนายน 2564 โดยลงทะเบียนผ่านออนไลน์ ด้วยการสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/qb9Bn ผู้ที่ลงทะเบียนแล้วจะได้รับการสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น รับจำนวนจำกัดเพียง 70 กิจการเท่านั้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 084-544-4965 หรือ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ "พาณิชย์" จับมือ หอการค้านานาชาติ ผลักดันการส่งออก "ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย"
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 จุรินทร์ นำ "พาณิชย์" จับมือ หอการค้านานาชาติ ผลักดันการส่งออก "ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย" นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง การต้อนรับคณะกรรมการหอการค้านานาชาติหรือที่รู้จักในนาม ICC (International Chamber of Commerce) ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ นำโดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ เป็นประธาน เข้าแนะนำคณะกรรมการชุดใหม่ พร้อมกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกระทรวงพาณิชย์ 15.30 น.วานนี้ (20 พ.ค. 2564) หลังการหารือ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีโอกาสต้อนรับคณะกรรมการหอการค้านานาชาติหรือ ICC ที่มีคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ นำโดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ เป็นประธาน เข้าแนะนำคณะกรรมการชุดใหม่พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกระทรวงพาณิชย์ โดยหอการค้านานาชาติมีสมาชิกอยู่ทั่วโลก 130 ประเทศ มีบริษัทที่อยู่ภายใต้หอการค้านานาชาติทั้งหมด 45 ล้านบริษัท และประเทศไทยถือว่ามีหอการค้านานาชาติประจำประเทศไทยมากกว่า 20 ปีแล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและประสานงานทำหน้าที่ร่วมกันมาโดยตลอด ภารกิจสำคัญของหอการค้านานาชาติคือทำหน้าที่เป็นตัวแทนภาคเอกชนของโลกซึ่งมีที่นั่งอยู่ใน UN ด้วย ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน และทำหน้าที่ร่วมพิจารณากฎระเบียบด้านการค้า การลงทุนต่างๆที่จะออกมาบังคับใช้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ จะมีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณล่วงหน้าให้ภาคเอกชนไทยที่เป็นสมาชิกได้รับทราบเพื่อเตรียมการรองรับเมื่อกฎกติกาเหล่านี้ได้รับการบังคับใช้ ว่าจะเตรียมการล่วงหน้าอย่างไรในฐานะสมาชิก และกฎระเบียบต่างๆที่จะออกมาในอนาคตต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง เช่น การให้ความสำคัญกับการค้าแบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น หรือให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นต้น เป็นทิศทางที่หอการค้านานาชาติจะได้ดำเนินการต่อไปภายใต้ความร่วมมือของหอการค้านานาชาติไทยด้วย ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้านานาชาติแห่งไทย กล่าวว่า สาเหตุที่มาวันนี้เหตุการณ์ของโควิดส่งผลกระทบที่รุนแรงกับเศรษฐกิจทั่วโลกและประเทศไทย วันนี้การส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญมากที่สุดของเศรษฐกิจไทยที่เห็นความชัดเจนในการเติบโต การส่งออกทั่วโลกให้ความสำคัญและอุปสรรคในการส่งออกนำเข้า ICC มีเครือข่ายสามารถเข้ามาช่วยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตการส่งออกการค้าการลงทุนและแก้ไขอุปสรรค สามารถใช้เครือข่ายของ ICC ที่มี 130 ประเทศทั่วโลกผลักดันให้เพิ่มขึ้น รายการข่าว สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภารกิจและบทบาทสำคัญของหอการค้านานาชาติก็คือ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนภาคเอกชนของโลก ซึ่งมีที่นั่งอยู่ใน UN ด้วย ในฐานะเป็นตัวแทนภาคเอกชน และทำหน้าที่ในการร่วมพิจารณากฎระเบียบ ทางด้านการค้า การลงทุนต่างๆ ที่จะออกมาบังคับใช้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญถือเสมือนการส่งสัญญาณล่วงหน้าให้ภาคเอกชนไทยที่เป็นสมาชิกได้รับทราบด้วย เพื่อเตรียมการรองรับกรณีที่กฎกติกาเหล่านี้ได้รับการบังคับใช้ นอกจากนั้นกฎระเบียบต่างๆ จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น การให้ความสำคัญกับการค้าแบบอีคอมเมิร์ชมากขึ้น หรือการให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ก็เป็นทิศทางที่หอการค้านานาชาติจะได้ดำเนินการต่อไปภายใต้ของหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทยด้วย กระทรวงพาณิชย์ มีกลไกสำคัญในการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ ในรูปแบบ กรอ. พาณิชย์ ตลอดรวมถึงหอการค้านานาชาติ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ที่จะร่วมกันผลักดันการค้าการส่งออก นำรายได้เข้าสู่ประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมมือกันเป็นอย่างดี และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคโควิด เพื่อให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์นี้ สามารถเดินหน้าด้านการส่งออก ขณะนี้ประเทศไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดของการส่งออกที่ตัวเลขติดลบมาแล้ว เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 โดยการส่งออกเริ่มกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา และคาดว่าตัวเลขจะกลับมาเป็นบวกอย่างต่อเนื่องในปี 2564 ซึ่งสะท้อนให้เห็นความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และเอกชนที่ทำให้การส่งออกยังเป็นพระเอกดัน GDP ของประเทศให้เป็นบวกในปี 2564 นี้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด วธ. มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 รองปลัด วธ. มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี ดร.นพ.สัณฒ์ ม่วงน้อยเจริญ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน เป็นผู้รับมอบ ณ ตึกราชนครินทร์ ชั้น ๑ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน โดยมี นางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์’ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภา มอบเงิน หน้ากากอนามัยแก่จังหวัดนครพนม สู้โควิด-19
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ‘พล.ต.อ.อดุลย์’ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภา มอบเงิน หน้ากากอนามัยแก่จังหวัดนครพนม สู้โควิด-19 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา มอบเงินและหน้ากากอนามัยแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ในนาม โครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) และ มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้มอบเงิน หน้ากากอนามัย ให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และประชาชนชาวจังหวัดนครพนม เพื่อใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย เงินสด จำนวน 135,000 บาท หน้ากากอนามัย จำนวน 75,000 ชิ้น มูลค่า 150,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 285,000 บาท โดยมี นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พล.ต.สามารถ จินตสมิทธ์ ผบ.มทบ.210 พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบช.นรข. พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครพนม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และผู้นำชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อแจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ชี้แจงแนวทางการแก้ไขกรณีมีคลิปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล บริเวณแยกดอนคา ถนนสาย รบ.4015 จังหวัดราชบุรี
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท ชี้แจงแนวทางการแก้ไขกรณีมีคลิปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล บริเวณแยกดอนคา ถนนสาย รบ.4015 จังหวัดราชบุรี นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท แถลงข่าวกรณีที่มีคลิปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลบริเวณแยกดอนคา ถนนทางหลวงชนบทสาย รบ.4015 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3236 - บ้านตากแดด อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท แถลงข่าวกรณีที่มีคลิปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลบริเวณแยกดอนคา ถนนทางหลวงชนบทสาย รบ.4015 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3236 - บ้านตากแดด อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี โดยมี นายไกวัลย์ โรจนานุกูล รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท และนายศาศวัต ภูริภัสสรกุล ผู้อำนวยการสำนักอำนวยความปลอดภัย ร่วมแถลงข่าว ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ณ กรมทางหลวงชนบท นายปฐม เฉลยวาเรศ เปิดเผยว่า ถนนทางหลวงชนบทสาย รบ.4015 แยก ทล.3236 - บ้านตากแดด อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี มีลักษณะทางกายภาพเดิม ความกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1.50 เมตร ทิศทางเลี้ยวไปทางซ้าย ซึ่งมีถนนองค์การบริหารส่วนตำบลดอนคา กว้าง 6 เมตร มาเชื่อมตรงด้านขวา เป็นลักษณะสามแยก จากสถิติที่ผ่านมาพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ซึ่งเดิมไม่ได้เปิดช่องทางให้เลี้ยวขวาไปยังถนนขององค์การบริหารส่วนตำบลดอนคาได้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีปริมาณการจราจรเป็นจำนวนมากถึง 4,282 คันต่อวัน โดยเฉพาะรถบรรทุก 324 คันต่อวัน อันจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ทาง ต่อมา ทช. โดยสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 4 (เพชรบุรี) ได้ดำเนินการออกแบบและปรับปรุงทางแยกบริเวณถนนทางหลวงชนบทสาย รบ.4015 แยก ทล.3236 - บ้านตากแดด อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ช่วง กม. ที่ 7+370 ถึง กม. ที่ 7+830 เพื่ออำนวยความสะดวกต่อประชาชนที่ต้องการเลี้ยวขวาไปยังถนนขององค์การบริหารส่วนตำบลดอนคา แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบบนเส้นทางดังกล่าวพบว่าทำให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางเกิดความสับสนและไม่ปลอดภัย ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญของ ทช. นายอำเภอบางแพและผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมตรวจสอบพร้อมร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทช. จึงมีความเห็นว่าต้องปรับปรุงบริเวณสามแยกดังกล่าว โดยจะดำเนินการเปลี่ยนจากทางโค้งให้เป็นสามแยกแบบตัว T (T-intersection) รื้อเกาะยกบริเวณกลางแยกออก ปรับช่องจราจรใหม่ให้เหมาะสม แก้ไขตำแหน่งเส้นหยุดให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยรถที่จะเลี้ยวขวาจาก ทล.3236 จะต้องมีการหยุดรอเลี้ยวก่อนเคลื่อนที่ผ่านบริเวณทางแยก แก้ไขแนวเกาะยก และป้ายจราจรให้สอดคล้องกับกายภาพถนนใหม่ ทั้งนี้ ทช. จะเร่งดำเนินการปรับปรุงบริเวณดังกล่าว ภายใน 2 - 3 วัน ทช. ต้องขออภัยผู้ใช้รถที่ทำให้เกิดความสับสนและความไม่สะดวกในการเดินทางมา ณ โอกาสนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) กระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ในวันศุกร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค covid-19 ในการนี้ ที่ประชุมได้สรุปยอดผู้ป่วยติดเชื้อในเรือนจำที่เป็นผู้ป่วยรายใหม่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ๘ ราย ผู้ต้องขัง ๘๔๒ ราย รวมทั้งสิ้น ๘๕๐ ราย และมอบหมายให้ฝ่ายเลขารวบรวมข้อมูลเรือนจำทั่วประเทศจัดทำโครงสร้างสำหรับการดำเนินงาน ดังนี้ ๑. สรุปผู้ป่วยติดเชื้อทุกวันในภาพรวมทั่วประเทศ ๒. ทำฐานข้อมูลผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ๓. แบ่งข้อมูลผู้ต้องขังแดนในและแดนแรกรับ ๔. สรุปยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ โดยแบ่งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง เพื่อง่ายต่อการติดตามการติดเชื้อของเรือนจำทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้กำหนดการตรวจ Swab ของแต่ละเรือนจำ โดยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มของเรือนจำที่ยังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อ กำหนดให้มีการสุ่มตรวจ Swab ผู้ต้องขังแดนในเฉพาะผู้ที่มีอาการไข้ และให้สุ่มตรวจผู้ต้องขังรายใหม่ โดยการสุ่มตรวจ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ส่วนในกลุ่มที่พบผู้ป่วยติดเชื้อกำหนดให้เรือนจำตรวจ Swab ให้ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง สำหรับแผนการฉีดวัคซีน จะเร่งฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังทุกคน ซึ่งจะเริ่มจากกลุ่มที่ยังไม่พบการระบาดก่อน คาดว่าจะฉีดครบภายใน ๒ เดือน เพราะขณะนี้เหลือเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเพียง ๒,๐๐๐ คนเศษ ทั้งนี้ มอบหมายให้ผู้บัญชาการเรือนจำทุกจังหวัด ตรวจ Swap ผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ ตามแนวทางที่ ศบค.ยธ. และกรมราชทัณฑ์กำหนด ส่วนในภูมิภาคก็ให้ปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดตามเงื่อนไขที่กำหนด นอกจากนี้เน้นย้ำในส่วนของสูทกรรมและเจ้าหน้าที่ขับรถส่งอาหาร โดยกำหนดให้ทุกคน ต้องสวมใส่ชุด PPE ทุกครั้งในการปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามข้อสั่งการ ๕ แผนงานที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมอบหมายไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงข้อมูลที่นำเสนอ โดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อ และตัวเลขที่รายงานในประเด็นต่างๆ ต้องเที่ยงตรง และสามารถเชื่อถือได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41983
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด วธ.มอบอาหารกลางวันให้กับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 รองปลัด วธ.มอบอาหารกลางวันให้กับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันให้กับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันให้กับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี ผศ.พิเศษ พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารสยามบรมราชกุมารีฯ ชั้น ๑ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี โดยมี นางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เตรียมการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ปี ๖๔
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 วธ. เตรียมการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ปี ๖๔ วธ. เตรียมการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ปี ๖๔ มอบ สวจ. พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ด้าน ศน.ร่อนหนังและคู่มือประเมินฯถึงผู้ว่าฯแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ปี มีเป้าหมายพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมดุลทั้งทางวัตถุและจิตใจ สอดคล้องกับแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ที่เน้นพัฒนาคนทุกช่วงวัยทุกมิติให้เป็น คนดี คนเก่ง มีคุณธรรม และพลเมืองดีมีคุณภาพ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ศรัทธายึดมั่นในศาสนาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วธ. จึงได้บูรณาการทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากให้มีการประกาศเจตนารมณ์การพัฒนา การกำหนดปัญหาที่อยากแก้ ความดีที่อยากทำ ร่วมกันลงมือแก้ปัญหา จนเกิดเป็นผลสำเร็จดำเนินชีวิต มีการประกาศติดตามประเมินผล ยกย่องเชิดชูบุคคลที่ทำความดี ทำให้สังคมดีขึ้นปัญหาต่างๆลดลง มีกิจกรรมตามหลักศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีวัฒนธรรม และมีองค์ความรู้ด้านคุณธรรมฯต้นแบบ สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ ถ่ายทอดให้กับชุมชนอื่นๆศึกษาดูงานได้ ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า ในที่ประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดวธ. เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีรับทราบการเตรียมการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กำหนด โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทางกรมการศาสนา (ศน.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ได้มีหนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินชุมชน องค์กร และอำเภอคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ เรียบร้อยแล้ว สำหรับหลักเกณฑ์การประเมิน ประกอบด้วย ๑.ประเมินชุมชน องค์กร และอำเภอคุณธรรม ตามเกณฑ์การประเมิน ๙ขั้นตอน ๓ระดับคือ ระดับส่งเสริมคุณธรรม ระดับคุณธรรม และระดับคุณธรรมต้นแบบ ๒.คัดเลือกชุมชน องค์กร และอำเภอคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น โดยขอให้จัดส่งข้อมูลผลการประเมินให้กรมการศาสนา ภายในสิงหาคม๒๕๖๔เพื่อจะได้ดำเนินการเสนอคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอและจังหวัดคุณธรรม และคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ทั้งนี้ กรมการศาสนา ได้จัดส่งคู่มือการประเมินชุมชน องค์กรอำเภอ และจังหวัดคุณธรรมและแนวทางการคัดเลือกชุมชน องค์กร และอำเภอคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ไปพร้อมกับหนังสือข้างต้นแล้ว ในการนี้ ทางสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้แจ้งสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.)ให้ความร่วมมือดำเนินการประเมินชุมชน องค์กรและอำเภอคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนและเสริมสร้างระบบให้เข้มแข็งด้วยหลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีวัฒนธรรมไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 179 เขตการเดินรถที่ 4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเฝ้าระวังชายแดนเข้มงวด จัดการกระบวนการลักลอบพาคนเข้าประเทศ ตชด. เตรียม 14 รพ. สนาม รองรับแรงงานต่างด้าวข้ามแดนผิดกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 นายกฯ สั่งเฝ้าระวังชายแดนเข้มงวด จัดการกระบวนการลักลอบพาคนเข้าประเทศ ตชด. เตรียม 14 รพ. สนาม รองรับแรงงานต่างด้าวข้ามแดนผิดกฎหมาย นายกฯ สั่งเฝ้าระวังชายแดนเข้มงวด จัดการกระบวนการลักลอบพาคนเข้าประเทศ ตชด. เตรียม 14 รพ. สนาม รองรับแรงงานต่างด้าวข้ามแดนผิดกฎหมาย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายก เผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งการในที่ประชุม ศบค. วันนี้ ให้เข้มงวดสูงสุดในเรื่องการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังมีการลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมายโดยช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด ในการนี้ นายกฯยังกำชับเรื่องความพร้อมในเรื่องสถานที่กักกันตัวในระดับท้องถิ่น และโรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่จ.ชายแดน เพื่อเตรียมรับการเดินทางกลับเข้าประเทศของคนไทยตามช่องทางทางบก และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) มีการเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่ม 14 แห่ง เพื่อรองรับแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ข้ามแดนผิดกฎหมาย เป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังชุมชน สำหรับกระบวนการนำคนต่างชาติเข้ามาเป็นแรงงานอย่างผิดกฎหมาย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ดำเนินการจับกุมนายหน้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกราย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน เพราะเป็นการกระทำที่เลวร้าย เพิ่มความเสี่ยงต่อการการแพร่ระบาดโควิด19ในประเทศไทย ทั้งนี้ การแจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคและกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ผ่าน สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 และศูนย์บริการประชาชน 1111 ในส่วนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีจำนวนเรื่องสะสมตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. – 20 พ.ค. แล้ว 45 เรื่อง ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 42 เรื่อง จับกุมดำเนินคดี 11 คดี มีผู้กระทำความผิด 66 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 เรื่อง ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงตรวจความพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงตรวจความพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นำทีมลงพื้นที่ ตรวจความพร้อมของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนไวรัสโควิด 19 นอกโรงพยาบาล วันนี้ (21 พ.ค. 64) ณ สถานีกลางบางซื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นำทีมลงพื้นที่ ตรวจความพร้อมของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งจะใช้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนไวรัสโควิด 19 นอกโรงพยาบาลที่จะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนในเดือนมิถุนายนนี้ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังตรวจการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลที่สถานีกลางบางซื่อว่าขณะนี้สถานที่ถือว่ามีความพร้อมและเหมาะสมในการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมกันบูรณาการให้เป็นสถานีฉีดวัคซีนที่เป็นรูปธรรม โดยจะสามารถฉีดได้ประมาณ 10,000 คนต่อวัน โดยจะเริ่มจากกลุ่มบุคลากรด้านการคมนาคมขนส่งสาธารณะ ที่มีอยู่ประมาณ 300,000 คน ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากในการให้บริการ ต้องสัมผัส พบปะกับประชาชนจำนวนมาก จะทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งธารณะ ตามเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคม และหลังจากนั้น จะให้หน่วยงานราชการต่างๆ เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นลักษณะกลุ่มองค์กรต่อไป ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้สั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดสรรพื้นที่ภายในสถานีกลางบางซื่อสำหรับใช้เป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาวัคซีนและบุคลากรทางการแพทย์โดยกรมการแพทย์และสถาบันโรคผิวหนังเป็นหน่วยงานหลัก ในการดูแลและให้บริการฉีดวัคซีนแต่ละวัน ส่วนกระทรวงคมนาคมจะรับผิดชอบในเรื่องสถานที่และเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ซึ่งปัจจุบันได้เตรียมความพร้อมสำหรับให้บริการแล้วอย่างเต็มที่ ทั้งจัดสรรพื้นที่รวม 14,294 ตร.ม. และยังมีพื้นที่สํารองที่สามารถขยายได้หากเกิดความแออัด ทั้งด้านนอกอาคารและอาคารโถงโดยสารชั้นใน ตลอดจนการดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และลานจอดรถให้เพียงพอด้วย เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง เพื่อเป้าหมายในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่ประชาชน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานอำนวยการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์โควิดในระบบขนส่งมวลชน กล่าวว่ากระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ให้มีการทำงานที่สะดวกเหมือนกับทำงานอยู่ภายในโรงพยาบาล นอกจากนี้ การเดินทางมายังสถานีกลางบางซื่อ ประชาชนสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน รถขนส่งมวลชนสาธารณะ ซึ่งได้อำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้แก่ประชาชน โดยการจัดรถประจำทาง ขสมก. จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) ท่าน้ำบางโพ-สถานีเตาปูนสายสีม่วง 2) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 3) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว – BTS สถานีหมอชิต หรือ รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร - สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เป็นวงรอบ) และมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งสามารถจอดรถได้ถึง 1,500 คัน ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ จะทำการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะทุกประเภทและส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับได้กว่า 10,000 คน/วัน สำหรับผู้ที่จะเข้ามารับบริการฉีดวัคซีน จะต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมเพื่อรับคิว หรือเดินทางมาลงทะเบียนที่สถานีกลางบางซื่อ เพียงยื่นบัตรประชาชนเพียงใบเดียว และรับบัตรคิวที่สถานีกลางบางซื่อได้เลย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มประชาชนทั่วไปในต่างจังหวัด วันที่ 31 พ.ค.นี้
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 สธ.เปิดลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มประชาชนทั่วไปในต่างจังหวัด วันที่ 31 พ.ค.นี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประชาชนทั่วไปในต่างจังหวัด ลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิดผ่าน "หมอพร้อม" ได้ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคมเป็นต้นไป เริ่มฉีดวันที่ 1 สิงหาคม ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการลงทะเบียนแยกต่างหาก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประชาชนทั่วไปในต่างจังหวัด ลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิดผ่าน "หมอพร้อม" ได้ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคมเป็นต้นไป เริ่มฉีดวันที่ 1 สิงหาคม ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการลงทะเบียนแยกต่างหาก ยันทุกคนที่ฉีดวัคซีนจะเข้าสู่ระบบหมอพร้อม เพื่อติดตามอาการและออกใบรับรอง วันนี้ (21 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมชี้แจงการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ผ่านระบบ Cisco Webex Meeting ร่วมกับนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิตกล่าวว่า การจัดสรรวัคซีนโควิด 19 เป็นไปตามหลักการทางการแพทย์ โดยช่วงที่มีการระบาด ประเทศไทยได้จัดหาวัคซีนโควิด 19 ในระยะเร่งด่วนมารองรับก่อนที่จะมีวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือนมิถุนายน จัดสรรไปในพื้นที่ระบาด พื้นที่เศรษฐกิจ พื้นที่ท่องเที่ยว และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเปิดให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง รวม 16 ล้านคน ลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ เพื่อรับการฉีดตั้งแต่เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม หากลงทะเบียนในช่วงเดือนมิถุนายนจะได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงสิงหาคมเป็นต้นไป สำหรับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ต่างจังหวัด สามารถลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนโควิด 19 ผ่าน หมอพร้อมได้ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 จะได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ส่วนกรุงเทพมหานครจะดำเนินการเปิดรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เอง ไม่ผ่านระบบหมอพร้อม โดยกระทรวงสาธารณสุขจะจัดส่งวัคซีนให้ ทุกจังหวัดและกทม.ตามแผนการจัดสรร “นอกจากระบบหมอพร้อม ประชาชนยังสามารถลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านช่องทางอื่นได้ ทั้ง อสม. โรงพยาบาล หรือช่องทางที่แต่ละจังหวัดกำหนดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะลงทะเบียนนัดหมายผ่านช่องทางใด เมื่อฉีดวัคซีนแล้วจะมีการส่งข้อมูลเข้ามาสู่หมอพร้อม เพื่อติดตามอาการภายหลังการฉีดวัคซีนและการออกใบรับรองการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นข้อมูลระดับประเทศ ที่จะใช้อ้างอิงเมื่อต้องติดต่อหรือเดินทางไปต่างประเทศ จึงมีความน่าเชื่อถือเพราะออกรับรองในนามของประเทศไทย” ดร.สาธิตกล่าว ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่จะนัดหมายฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ให้แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเป็นไปตามความพร้อมของแต่ละจังหวัด โดยหน่วยงานจะต้องประสานโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาดำเนินการฉีดให้ ส่วนการมาลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนที่จุดฉีดขึ้นอยู่กับหน้างาน และความพร้อมของแต่ละจังหวัดด้วย *********************************** 21 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนเกี่ยวกับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนเกี่ยวกับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนเกี่ยวกับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย วันนี้ (21 พ.ค. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้มีมติในประชุมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยที่ต้องประสานการปฏิบัติกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการประชาสัมพันธ์มาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ในการลาดตระเวนตามพื้นที่แนวชายแดน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นกับประชาชน และสำหรับจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและจังหวัดพื้นที่ควบคุม ซึ่งมีโรงเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลและไม่พบผู้ติดเชื้อในระยะหนึ่งแล้ว ที่มีความประสงค์จะเปิดภาคเรียนก่อนวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ให้ดำเนินการเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาอนุมัติได้เป็นรายกรณี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 433 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 93.27 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 433 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 93.27 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 255 คดี ค่าปรับ 1.97 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 118 คดี ค่าปรับ 89.44 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.28 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 25 คดี ค่าปรับ 1.06 ล้านบาท น้ำหอม 2 คดี ค่าปรับ 0.10 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 0.15 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 2,645.735 ลิตร ยาสูบ จำนวน 58,654 ซอง ไพ่ จำนวน 1,223 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 20,330.000 ลิตร น้ำหอม 5,010 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 15 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 20 พฤษภาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 17,680 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 403.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 10,107 คดี ค่าปรับ 89.33 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,993 คดี ค่าปรับ 200.03 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 379 คดี ค่าปรับ 6.11 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 831 คดี ค่าปรับ 47.49 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 77 คดี ค่าปรับ 2.90 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 894 คดี ค่าปรับ จำนวน 25.09 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 399 คดี ค่าปรับ 32.57 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,611,536.449 ลิตร ยาสูบ จำนวน 598,385 ซอง ไพ่ จำนวน 31,703 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,399,609.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 108,442 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,634 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลีใต้พร้อมกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน พร้อมเพิ่มพูนการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ไทย-เกาหลีใต้พร้อมกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน พร้อมเพิ่มพูนการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไทย-เกาหลีใต้พร้อมกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน พร้อมเพิ่มพูนการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือทางโทรศัพท์กับ นายมุน แช-อิน (H.E. Mr. Moon Jae-in) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยเป็นการหารือเพื่อรักษาพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเพื่อยืนยันการสนับสนุนเกาหลีใต้ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี 2030 (Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 : P4G) ครั้งที่ 2 ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีในวันนี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นการหารือเพื่อกระชับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-เกาหลีใต้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งขอขอบคุณ และเป็นเกียรติที่ไทยจะได้เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ณ กรุงโซล ผ่านระบบวีดิทัศน์แบบถ่ายทอดสดร่วมกันกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่จะถึงนี้ เชื่อมั่นว่าการประชุมฯ จะประสบความสำเร็จ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีขอบคุณการสนับสนุนของไทยต่อการเป็นเจ้าภาพการประชุม P4G ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าไทยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และพร้อมมีบทบาทในเวทีนานาชาติ เกาหลีใต้ให้ความสำคัญในการดำเนินนโยบาย มุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy - NSP) และ นโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัส (New Southern Policy Plus - NSPP) และให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงนโยบายนี้ ขอบคุณบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่นำพาประเทศไทยได้อย่างเข้มแข็ง ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะผ่านความท้าทายนี้ไปได้ด้วยดี ซึ่งด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของไทย และเกาหลีใต้สามารถร่วมมือกันเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาความท้าทายในประชาคมโลกได้ สำหรับประเด็นความร่วมมือทวิภาคี ด้านการค้าการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยินดีที่เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยตรงในไทยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เชื่อมั่นว่าไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการลงทุน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการค้าการลงทุนของเกาหลีใต้ และไทยมีความร่วมมือ และพยายามจัดการประชุมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ เป็นผลจากการพบกันในการเดินทางเยือนไทยของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อปี 2562 ด้านเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เกาหลีใต้ชื่นชมนโยบายของไทยที่ให้ความสำคัญกับการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางควบคู่กับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) หรือโมเดลบีซีจี ซึ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการยกระดับอุตสาหกรรม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลกับธรรมชาติ และเป็นแนวทางที่สอดรับกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy: NSP) และนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัส (New Southern Policy Plus: NSPP) ของเกาหลีใต้ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future Industries) นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าเป็นสาขาความร่วมมือที่มีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังโควิด-19 จึงได้เสนอเชิญชวนเกาหลีใต้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว ในเขต EEC ซึ่งฝ่ายเกาหลีใต้ตอบรับการสนับสนุนการลงทุนในเขต EEC ด้านสาธารณสุข เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในขณะนี้ ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ และมีประสบการณ์ จากการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังให้เร่งรัดจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อกำหนดขอบเขตความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนด้านสาธารณสุขระหว่างกันต่อไป ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้หยิบยกประเด็นความร่วมมือแบบพหุภาคี เกาหลีใต้ชื่นชมบทบาทการเป็นแกนกลางในภูมิภาคของไทย ซึ่งไทยชื่นชมและพร้อมสนับสนุนบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของเกาหลีใต้ที่มุ่งรักษาความสมดุลระหว่างประเทศ ตามแนวทางสันติวิธีเช่นเดียวกับไทย ในอนุภูมิภาคและภูมิภาคผ่านกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - เกาหลีใต้ (Mekong – ROK Cooperation) กรอบ ACMECS และกรอบอาเซียน - เกาหลีใต้ (ASEAN - ROK) ทั้งนี้ ไทยมุ่งหวังว่าอาเซียนและเกาหลีใต้จะได้ร่วมกันสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงสร้างสรรค์ต่อสถานการณ์ในเมียนมาในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ผนึกพลังทางหลวงชนบท และเอสซีจี ผลักดันโครงการห้องน้ำสุขสโมสร ทุกท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 กรมเจ้าท่า ผนึกพลังทางหลวงชนบท และเอสซีจี ผลักดันโครงการห้องน้ำสุขสโมสร ทุกท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ... กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบพัฒนาท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้แก่ประชาชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่สัญจรทางน้ำ ซึ่งเป็นทางเลือกในการเดินทางที่มีความสะดวกรวดเร็ว ลดปัญหาการจราจรติดขัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้ประชาชนผู้ใช้งานมีความสะดวกในการเดินทางยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบันยังขาดห้องน้ำสาธารณะให้บริการตามท่าเรือ ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการเดินทางอย่างมาก นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตนได้เห็นความสำคัญของการให้บริการสาธารณะ จึงได้จัดทำโครงการห้องน้ำสุขสโมสร เพื่อให้บริการห้องน้ำสาธารณะตามท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นการยกระดับท่าเรือโดยสารในด้านการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน ซึ่งการออกแบบจะคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก อำนวยความสะดวก ทุกเพศ ทุกวัย และยังรองรับสังคมผู้สูงวัย ส่งเสริมสิทธิผู้พิการ ด้วยห้องน้ำแบบอารยสถาปัตย์ Friendly Design ตอบโจทย์การใช้งานของคนทุกรูปแบบ โดยได้รับความร่วมมือจาก กรมทางหลวงชนบทในด้านพื้นที่ก่อสร้างห้องน้ำ และมูลนิธิเอสซีจี ร่วมให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ ซึ่งในปัจจุบันในแม่น้ำเจ้าพระยา มี ท่าเรือให้บริการจำนวน 40 ท่าเรือ ได้ดำเนินการก่อสร้างห้องน้ำแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการจำนวน 8 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือสาทร ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ท่าเรือเทเวศร์ ท่าเรือสะพานพระราม 7 ท่าเรือนนทบุรี และท่าพระนั่งเกล้า นอกจากนี้ ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีก 5 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือราชินี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือท่าเกียกกาย ท่าเรือบางโพ และท่าเรือพายัพ ซึ่งท่าเรือข้างต้นเป็นท่าเรือที่เป็นจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างก่อน เพื่อรองรับการใช้งานและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กรมเจ้าท่า ยังมีแผนที่จะดำเนินการสร้างเพื่อให้มีห้องน้ำทุกท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้บริการโดยสารทางน้ำเพิ่มเติม อีก 17 ท่าเรือ ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ ตั้งแต่ท่าเรือปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ถึง ท่าเรือวัดราชสิงขรกรุงเทพมหานคร เมื่อก่อสร้างห้องน้ำแล้วเสร็จคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและผู้ใช้บริการเดินทางทางน้ำบริเวณท่าเรือโดยสาร และเป็นอีกทางเลือกในการจูงใจให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะคมนาคมเพิ่มขึ้นในการเดินทางทางน้ำ เพื่อลดปัญหาการจราจรทางบกและประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมหารือขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 มท.1 ประชุมหารือขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน มท.1 ประชุมหารือขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 64 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 347/2563 ลงวันที่ 30 ต.ค. 63 จัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ซึ่งต่อมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอำเภอ (ศจพ.อ.) มีนายอำเภอเป็นผู้อำนวยการ และทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่ มีปลัดอำเภอหรือหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอเป็นหัวหน้าทีม โดยมีทีมพี่เลี้ยง ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ นักศึกษา และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ในการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลครัวเรือนเป้าหมายในพื้นที่ ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลจากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการรัฐ ลงถึงระดับอำเภอ แล้ว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ในขณะนี้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้ประสานให้พื้นที่ดำเนินการจัดตั้ง ศจพ. ในทุกระดับไปแล้ว 73 จังหวัด ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ จะได้ร่วมกันกำหนดแนวทาง เครื่องมือ งบประมาณ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อนำเสนอ ศจพ. ไปสู่การปฏิบัติทุกระดับต่อไป จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของกลไกการขับเคลื่อนในระดับต่าง ๆ โดยบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ครัวเรือนเป้าหมายได้รับความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและพึ่งพาตนเองได้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ำว่า กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานฯ คือ "ทีมพี่เลี้ยง" ซึ่งจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลจากระบบ TPMAP จำแนกข้อมูล และแจ้งทีมปฏิบัติการฯ ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน รวมทั้งสนับสนุน เยี่ยมเยียน ให้กำลังใจครัวเรือนเป้าหมาย ถือเป็นกลไกที่ใกล้ชิดกับครัวเรือนเป้าหมายที่สุด ซึ่งฝ่ายเลขานุการจะได้นำเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุม ศจพ. เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการดำเนินงานในการขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก 3 จังหวัด EEC อัตราดูดซับต่ำ ตลาดรวมชะลอตัว หน่วยเหลือขายพุ่งกว่า 4.2 หน่วย
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออก 3 จังหวัด EEC อัตราดูดซับต่ำ ตลาดรวมชะลอตัว หน่วยเหลือขายพุ่งกว่า 4.2 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563 พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดฉะเชิงเทรา หรือพื้นที่โครงการ EEC ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563 พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดฉะเชิงเทรา หรือพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วยจากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด พบว่า ณ สิ้นปี 2563มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวนทั้งสิ้น 979 โครงการ จำนวน 75,362หน่วย คิดเป็นมูลค่า254,832 ล้านบาทลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก-3.3%มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 8,586 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด 3,720หน่วย และบ้านจัดสรร 4,866 หน่วยรวมมีหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 64,575 หน่วย มูลค่า 221,579ล้านบาทลดลง -5.2% ทั้งนี้ ในด้านการเคลื่อนไหวด้านการขายพบว่ามีหน่วยที่ขายได้ใหม่จำนวน 10,787 หน่วย โดยในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ 2,794 หน่วย ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรขายได้ใหม่จำนวน 7,993 หน่วย แต่จำนวนการเปิดขายโครงการใหม่ทั้งในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม กับโครงการบ้านจัดสรร หน่วยการเปิดตัวโครงการมีจำนวนต่างกันไม่มาก โดยคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3,720 หน่วย ส่วนโครงการบ้านจัดสรรมีการเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 4,866 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่าพื้นที่ EEC เข้ามามีบทบาทความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีถือว่ามีบทบาทความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากหากพิจารณาจากการขอใบอนุญาตจัดสรรพบว่ามีจำนวนโครงการคิดเป็น8.3% ของประเทศมีจำนวนหน่วยประมาณ6.8% ของประเทศมีการขอใบอนุญาตปลูกสร้างแนวราบพื้นที่เท่ากับ5.3% ของประเทศมีจำนวนหน่วยประมาณ5.7% ของประเทศ มีจำนวนการขอใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารชุดพื้นที่เท่ากับ7.1% ของประเทศและมีจำนวนหน่วยเท่ากับ7.1% ของประเทศ โดยสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ชลบุรีมีจำนวนหน่วยเท่ากับ8.2% ของประเทศมูลค่าเท่ากับ7.4% ของประเทศ และมีหน่วยคอนโดฯซึ่งถือครองโดยคนต่างชาติหน่วยเฉลี่ย3 ปีประมาณ2.9% ของจำนวนการถือครองทั้งหมดที่เป็นชาวต่างชาติ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดชลบุรี ปี 2563 จากผลสำรวจณครึ่งหลังปี2563 พบว่ามีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน6,392 หน่วย คิดเป็น12.3% ของประเทศส่งผลให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น49,336หน่วยหรือคิดเป็น 14.1%ของประเทศมีหน่วยขายได้ใหม่6,883หน่วยหน่วยคิดเป็น13.3%ของประเทศมีที่อยู่อาศัยรอการขายจำนวน42,453หน่วยคิดเป็น14.2%ของประเทศมีอัตราดูดซับ 2.3 % และมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งสิ้น13,124หน่วยคิดเป็น7.5%ของประเทศ โดยในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งสิ้น 23,535 หน่วยมูลค่าประมาณ110,898 ล้านบาท โดยมีโครงการเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี มีจำนวน3,720 หน่วย มูลค่า 15,743 ล้านบาท มีหน่วยขายได้2,531 หน่วย มูลค่า10,984 ล้านบาทขณะที่มีจำนวนหน่วยคงเหลือ 21,004 หน่วย มูลค่า 99,914 ล้านบาท มีหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10,856 หน่วย และมีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 4,680 หน่วย ขณะที่อัตราดูดซับในกลุ่มคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 1.8%โดยมี 3 ทำเลเด่นที่น่าจับตามองในด้านการขาย ประกอบด้วย ทำเลหาดจอมเทียนทำเลพัทยา-เขาพระตำหนักและทำเลนิคมฯอมตะนคร-บายพาส ส่วนโครงการบ้านเดี่ยว มีจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น6,256 หน่วย มูลค่า29,306 ล้านบาทโดยมีโครงการเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมีจำนวนหน่วยเพียง983 หน่วย มูลค่า4,611 ล้านบาทมีหน่วยขายได้898หน่วยมูลค่า4,032 ล้านบาทขณะที่มีจำนวนหน่วยรอการขายจำนวน5,358 หน่วยมูลค่า 25,275 ล้านบาทโดยมี3 ทำเลเด่นที่น่าจับตามองในด้านการขายประกอบด้วย ทำเลสัตหีบ-อู่ตะเภาทำเลนิคมฯอมตะนคร-บายพาสและทำเลนิคมฯสหพัฒน์-ปิ่นทอง ด้านตลาดบ้านแฝดมีหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น5,100 หน่วย มูลค่า15,463 ล้านบาท มีเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่466 หน่วยมูลค่า1,632 ล้านบาทและมีหน่วยขายได้799 หน่วย มูลค่า2,487 ล้านบาท ในขณะที่มีอัตราดูดซับ2.6% ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น จำนวนประมาณ 4,301 หน่วย มูลค่า12,976ล้านบาทด้านทำเลเด่น ที่น่าจับตามองประกอบด้วย ทำเลนิคมฯพานทอง-พนัสนิคมทำเลบางแสน-หนองมน-บางพระและทำเลนิคมฯ อมตะนคร-บายพาส ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 13,493 หน่วย มูลค่า27,622 ล้านบาท เป็นโครงการเปิดขายใหม่ 1,199 หน่วย มูลค่า2,264 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่2,490 หน่วย มูลค่า5,131 ล้านบาท และมีอัตราดูดซับ3.1% ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายจำนวนถึง11,003 หน่วย มูลค่า22,490ล้านบาท ด้านทำเลเด่นสำหรับที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้คือทำเลนิคมฯบ่อวินทำเลนิคมฯอมตะนคร-บายพาสและทำเลนิคมฯสหพัฒน์-ปิ่นทอง ทิศทางตลาดปี 2564 สำหรับทิศทางปี 2564 ดร.วิชัย คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรียังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี2563 ผลจากCOVID-19 ช่วงครึ่งแรกของปี2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี2563ประมาณการหน่วยเปิดขายใหม่ในช่วงH1/64 จะสูงกว่าH1/63 ประมาณ15.0%ส่วน H2/64 คาดว่าหน่วยขายได้ใหม่จะลดลง -20.4% จากH2/63โดย2564 จะมีหน่วยเปิดขายใหม่ จำนวน9,348หน่วยมูลค่า36,037 ล้านบาท ด้านหน่วยขายได้ใหม่H1/64 คาดว่าจะต่ำกว่าH1/63 -18.7% ขณะที่H2/64 ยังคงลดลงต่อเนื่องจากH2/63 หรือลดลงประมาณ -4.2%โดยภาพรามปี2564 คาดดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ12,494 หน่วยมูลค่า140,348 ล้านบาท ขณะที่หน่วยเหลือขายในช่วงH1/64 คาดว่าเพิ่มจากH1/634.6% เมื่อเข้าสู่ H2/64 คาดว่าหน่วยเหลือขายจะยังคงพิ่มขึ้นอีก 6.6% เมื่อเทียบกับH2/63ส่งผลให้หน่วยเหลือขาย ณสิ้นปี2564 จะมีประมาณ45,245 หน่วยมูลค่า163,559 ล้านบาท ส่วนในด้านอุปสงค์ในตลาดประมาณการ H1/64หน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นจาก H1/63 29.3%และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มประมาณ 16.9%เมื่อเข้าสู่วง H2/64มีแนวโน้มว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นจาก H2/63 ประมาณ 9.4%มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือประมาณ 0.8%เมื่อเทียบกับH2/63โดยภาพรวมหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ปี2564 คาดการณ์ว่าจะมีประมาณ34,642 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.3% มูลค่า74,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อพิจารณาตามประเภทของที่อยู่อาศัย ประเภทที่โครงการจัดสรร บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ยังสามารถขายได้อยู่ โดยเฉพาะในส่วนของ 3 ทำเลเด่น โดยเฉพาะในระดับราคา คือ 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ในส่วนของยอดขายที่สะท้อนให้เห็นจากอัตราดูดซับ ซึ่งคาดการณ์อัตราดูดซับต่อเดือนในกลุ่มคอนโดมิเนียมจะอยู่ที่ 1.9% และบ้านจัดสรรจะอยู่ที่ 2.3% แต่ยังต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 5 ปี ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดระยอง ปี 2563 ด้านสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดระยอง จากผลสำรวจ ณ ครึ่งหลังปี 2563 มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 1,459 หน่วยคิดเป็น2.8% ของประเทศส่งผลให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 19,862 หน่วย หรือคิดเป็น 5.7% ของประเทศมีหน่วยขายได้ใหม่ 3,102 หน่วยคิดเป็น 6.0 % ของประเทศมีที่อยู่อาศัยรอการขายจำนวน 16,760 หน่วย คิดเป็น 5.6% ของประเทศและมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งสิ้น 6,703 หน่วย คิดเป็น 3.5% ของประเทศเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ไม่มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมส่งผลให้จำนวนหน่วยรวมเหลือเพียง 895 หน่วย ลดลง -48.0%มูลค่า2,097ล้านบาทลดลง -46.7%และมีหน่วยเหลือขายประมาณ 256 หน่วยหรือ 22.2%โดยทำเลเด่นอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมถึง 2 ทำเล คือทำเลนิคมฯมาบตาพุดและทำเลนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น และอีกทำเลคือเมืองระยอง ส่วนบ้านเดี่ยวมีโครงการใหม่เปิดขายจำนวน 758 หน่วย ลดลง -54.6%มูลค่า 2,339 ล้านบาท ลดลง -58.6%ส่งผลให้จำนวนหน่วยเสนอขาย มีจำนวน 5,693 หน่วย ลดลง -7.7%มูลค่า 20,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4%มีจำนวนหน่วยขายได้ 919หน่วย ลดลง -11.3%มูลค่า3,179ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% ในขณะที่อัตราดูดซับสูงถึง 2.7%และมีจำนวนหน่วยเหลือขาย 4,774 หน่วย ลดลง-6.9%มูลค่า17,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6%ทำเลเด่นคือ ทำเลนิคมฯเหมราชทำเลนิคมฯมาบตาพุดและทำเลบ้านฉาง-อู่ตะเภา ขณะที่ บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ มีการเปิดขายใหม่ลดลงอย่างมากเช่นกัน โดยบ้านแฝดมีหน่วยเสนอขายรวม 3,493หน่วย เพิ่มขึ้น 11.3%มูลค่า 8,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% มีหน่วยรอการขาย 2,920หน่วยเพิ่มขึ้น 8.9%มูลค่า7,270 เพิ่มขึ้น 4.9%โดยมีอัตราดูดซับ2.7% และทำเลเด่น 3 ทำเล คือ ทำเลนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น ทำเลนิคมฯเหมราชและทำเลนิคมฯมาบตาพุด ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 9,184 หน่วยเพิ่มขึ้น 6.4%มูลค่า16,245 ล้านบาท ลดลง -4.7%โดยมีหน่วยรอการขาย 7,889 หน่วย ลดลง -6.1%มูลค่า13,950ล้านบาท เพิ่มขึ้น4.2% ในขณะที่อัตราดูดซับต่ำกว่าบ้านแฝดเล็กน้อยคือ 2.4% และ 3 ทำเลเด่น คือทำเลนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น ทำเลนิคมฯเหมราชและทำเลนิคมฯมาบตาพุด ทิศทางตลาดปี 2564 สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดระยองปี2564คาดการว่าในช่วง H1/64โครงการเปิดขายใหม่จะมีจำหน่วยต่ำกว่าH1/63 ประมาณ -12.5%และ H2/64 มีแนวโน้มจะดีกว่าH2/63 โดยเพิ่มขึ้น65.4%รวมคาดว่าจะมีหน่วยเปิดใหม่ปี2564จำนวน 4,719หน่วยเพิ่มขึ้น 15.3% มูลค่า12,272 ล้านเพิ่มขึ้น 26.7%ในด้านการขายคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ในH1/64 ต่ำกว่าH1/63 ที่ -21.6% ส่วน H2/64 ยังคงลดลงต่อเนื่องจากH2/63 ที่ -9.1%ส่งผลให้หน่วยขายได้รวมปี2564 จะมีประมาณ5,300 หน่วยมูลค่า12,211 ล้านบาท ลดลง -15.4% และมูลค่าลดลง -22.8%โดยจำมีหน่วยเหลือขาย ณสิ้นปี2564 ประมาณ16,751 หน่วยลดลง -0.1% มูลค่า40,513 ล้านบาท ลดลง -3.9% ด้านอุปสงค์ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยรวมปี2564 จะมีประมาณ10,429 หน่วย ลดลง -13.3% มูลค่า20,068 ล้านบาท ลดลง -17.6% ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดจังหวัดฉะเชิงเทรา สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดฉะเชิงเทรา ครึ่งหลังปี 2563 มีจำนวนโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 735 หน่วย คิดเป็น1.4% ของประเทศส่งผลให้หน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขายมีจำนวนทั้งสิ้น 6,164 หน่วย คิดเป็น 1.8% ของประเทศรวมมีที่อยู่อาศัยเหลือขายในตลาด 5,362 หน่วยและมีการโอนกรรมสิทธิ์ 2,014 หน่วยคิดเป็น 1.1% ของประเทศ โดยไม่มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่เช่นเดียวกัน ขณะที่อัตราดูดซับสูงถึง 3.5%มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายเพียง 183 หน่วยลดลง -43.9%โดยมีทำเลเด่นคือ ทำเลในเมืองฉะเชิงเทรา และทำเลบางปะกง ในส่วนของบ้านเดี่ยวมีโครงการเปิดขายใหม่เพียง 371 หน่วย เพิ่มขึ้น 192.1%มูลค่า 916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 224.0%และมีหน่วยเสนอชายทั้งสิ้น 2,030 หน่วย เพิ่มขึ้น 25.5%มูลค่า7,820ล้านบาทเพิ่มขึ้น 18.5%อัตราดูดซับ2.0%โดย 3 ทำเลเด่น คือทำเลบางปะกงทำเลในเมืองฉะเชิงเทราและทำเลพนมสารคาม ส่วนบ้านแฝด มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 364 หน่วย เพิ่มขึ้น 102.2%มูลค่า1,059 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165.4%โดยมีจำนวนเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.9%มูลค่า5,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3%และมีอัตราดูดซับ2.4% และมีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 1,455 หน่วย เพิ่มขึ้น 8.0%มูลค่า4,460 ล้านบาท ลดลง -0.9%โดย 3 ทำเลเด่น คือทำเลบางปะกงทำเลในเมืองฉะเชิงเทราและทำเลบ้านโพธิ์ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ไม่มีโครงการเปิดขายใหม่ในช่วงดังกล่าว และยังคงขายได้อย่างต่อเนื่องทำให้จำนวนหน่วยเสนอขายมีจำนวนทั้งสิ้น 2,052หน่วย ลดลง -28.4%มูลค่า 4,357ล้านบาท ลดลง -25.2 อัตราดูดซับ2.0% โดยมีหน่วยรอการขายจำนวน1,800หน่วย ลดลง -25.2%มูลค่า 3,843 ล้านบาท ลดลง -21.8 ส่วนทำเลเด่นคือ ทำเลบางปะกงทำเลในเมืองฉะเชิงเทราและทำเลบ้านโพธิ์ ทิศทางตลาดปี 2564 อย่างไรก็ตามในปี 2564 ตลาดยังคงมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ภาพรวมของตลาดก็ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว โดยหน่วยเปิดขายใหม่รวมปี2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,233หน่วย ลดลง -7.4% มูลค่า3,665ล้านบาท ลดลง -0.2%คาดว่าหน่วยขายได้รวม ปี2564 จะมี1,961 หน่วย ลดลง -15.1% มูลค่า5,344 ล้านบาท ลดลง -20.3%หน่วยเหลือขายณสิ้นปี2564 จะมีประมาณ6,174 หน่วยเพิ่มขึ้น 15.1% มูลค่า17,201 ลบ. เพิ่มขึ้น 8.7%ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์รวมปี2564 มีประมาณ3,762 หน่วยลดลง -7.2% มูลค่า 7,838 ล้านบาท ลดลง -3.6% “อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด มีการปรับลดลงของอุปทานอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยกำลังซื้อที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้อัตราดูดซับโดยรวมลดลงเช่นเดียวกัน สถานการณ์โดยรวมจึงยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว การลงทุนพัฒนาโครงการใหม่จึงต้องใช้ข้อมูลประกอบการพิจารณาในเชิงลึก เพราะในบางประเภท บางกลุ่มราคา อัตราดูดซับยังคงดีอยู่” ดร.วิชัย กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2564
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2564 เศรษฐกิจไทยในเดือน เม.ย.2564 ยังคงขยายตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ “เศรษฐกิจไทยในเดือนเมษายน 2564 ยังคงขยายตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 อย่างใกล้ชิดต่อไป” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2564 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนเมษายน 2564 ยังคงขยายตัวได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 อย่างใกล้ชิดต่อไป” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 65.8 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำในปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.7 สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.8 ต่อปี ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 60.8 และ 92.4 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 46.0 จากระดับ 48.5 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะโครงการเราชนะ และโครงการ ม33 เรารักกัน ยังช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคได้ในระดับหนึ่ง เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.5 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 93.1 ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ลดลงร้อยละ -1.6 ต่อปี อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล พบว่า ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.2 ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่นเดียวกันกับภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวร้อยละ 40.4 ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวร้อยละ 1.7 มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 21,429.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 13.1 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 36 เดือน นอกจากนี้เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 25.7 ต่อปี โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 135.9 และ 55.5 ต่อปี ตามลำดับ 2) สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะ ยางพารา และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 85.2 และ 40.0 ต่อปี ตามลำดับ 3) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และโทรศัพท์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น 4) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง และ 5) กลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดสหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และเอเชียใต้ ขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 21.9 52.5 และ 149.9 ต่อปี ตามลำดับ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานขยายตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนเมษายน 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 8,529 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน ในขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 5,261.5 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ อาทิ มันสำปะหลัง และผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ เช่น สุกร และไก่ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 84.3 จากระดับ 87.3 ในเดือนมีนาคม 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ในเดือนเมษายน 2564 แต่ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าระดับราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 54.3 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 250.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. - ศน. พร้อมด้วยหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายวัฒนธรรม จัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ – พิธีเจริญพระพุทธมนต์ - ทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 วธ. - ศน. พร้อมด้วยหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายวัฒนธรรม จัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ – พิธีเจริญพระพุทธมนต์ - ทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ วธ. - ศน. พร้อมด้วยหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายวัฒนธรรม จัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ – พิธีเจริญพระพุทธมนต์ - ทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ วธ. - ศน. พร้อมด้วยหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายวัฒนธรรม จัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ – พิธีเจริญพระพุทธมนต์ - ทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิ.ย.64 ทั้งส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค ตลอดเดือน มิ.ย.นี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างค่านิยม อัตลักษณ์ไทยและความเป็นไทย รวมทั้งสืบสาน รักษาและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย วธ.จึงร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 ตลอดเดือนมิถุนายน 2564 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.) จัดจุดลงนามถวายพระพร โต๊ะหมู่บูชา ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล และส่วนภูมิภาคจัดกิจกรรมฯ ณ ศาลากลางจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศเช่นเดียวกัน ขณะที่กรมการศาสนา (ศน.) จัดนิทรรศการเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุ สามเณร ณ วัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพฯ และจัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ โดยทั้งสองพิธีจัดขึ้นวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และส่วนภูมิภาคจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระเจดีย์ พระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัด และปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมศิลปากร (ศก.) จัดมีกิจกรรมจิตอาสาพัฒนารักษาโบราณสถาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จัดกิจกรรมพลังการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ Facebook และ YouTube ตลอดเดือนมิถุนายน 2564 รับชมได้ทางสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมถวายพระพรออนไลน์ โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และนิทรรศการออนไลน์เผยแพร่หนังสือพระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาทางเว็บไซต์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กิจกรรมเผยแพร่พระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี บนสื่อออนไลน์ทางเว็บไซต์ของหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) รวมทั้งการนำเสนอภาพเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ออนไลน์ และกิจกรรมบริจาคสิ่งของแก่เด็กยากไร้ ณ บ้านเด็กกำพร้า โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยร่วมลงนามถวายพระพร และร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. นำอาหารกล่องพระราชทาน มอบให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม.
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 พม. นำอาหารกล่องพระราชทาน มอบให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม. พม. นำอาหารกล่องพระราชทาน มอบให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและพญาไท กทม. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงดำเนินโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน และสนับสนุนโดย โครงการสลากการกุศล ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ด้วยการนำอาหารกล่องพระราชทานไปมอบให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ วันละ 300 กล่อง เป็นระยะเวลา 35 วัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 10,500 กล่อง ซึ่งในวันที่ 27 พ.ค. 64นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ได้เป็นผู้แทนนำอาหารกล่องพระราชทาน จำนวน 140 กล่อง ไปมอบให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ในชุมชนนางเลิ้ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และนายอนันต์ ดนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้แทนนำอาหารกล่องพระราชทาน จำนวน 160 กล่อง ไปมอบให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ในชุมชนอินทามระ 29 แยก 4 เขตพญาไท กทม.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงพื้นที่แฟลตดินแดง เร่งช่วยเหลือเยียวยา เด็ก 3 คน ต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากผู้ปกครองติดเชื้อโควิด-19
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 พม. ลงพื้นที่แฟลตดินแดง เร่งช่วยเหลือเยียวยา เด็ก 3 คน ต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากผู้ปกครองติดเชื้อโควิด-19 พม. ลงพื้นที่แฟลตดินแดง เร่งช่วยเหลือเยียวยา เด็ก 3 คน ต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากผู้ปกครองติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ (28 พ.ค. 64) เวลา 10.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ลงพื้นที่ ณ แฟลต 49 ชั้น 3 แฟลตเคหะชุมชนดินแดง 2 กรุงเทพฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็ก 3 คน อาศัยเพียงลำพังอยู่กับศพของคุณตาที่ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากผู้ปกครองติดเชื้อโควิด-19 และถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 การเคหะแห่งชาติ ภาคีเครือข่ายการทำงานด้านสังคมกลุ่มอาสาเส้นด้าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกัน นายอนุกูลกล่าวว่า เนื่องด้วย กระทรวง พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ได้รับแจ้งข้อมูลจากภาคีเครือข่ายการทำงานด้านสังคมกลุ่มอาสาเส้นด้าย กรณีเด็ก 3 คน ต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง เพราะสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 โดยผู้เป็นตาได้เสียชีวิต และผู้ปกครองอยู่ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล อีกทั้งกรณี ครอบครัวที่มีมารดาติดเชื้อโควิด-19 และอยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา ทั้งนี้ ในเบื้องต้นได้เยี่ยมให้กำลังใจเด็กในครอบครัวดังกล่าว พร้อมทั้งให้นักสังคมสงเคราะห์แนะนำเด็กในการใช้ชีวิตในช่วงที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง และการอยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษานั้นต้องปฏิบัติตนอย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเองและแนวทางการป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่คนอื่นในชุมชน และหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานครเข้ามาเยี่ยมเด็กเพื่อติดตามสภาพความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง และให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านอาหารและสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต สำหรับแฟลตเคหะชุมชนดินแดงแห่งนี้ กระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้มีการสำรวจและมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในชุมชน และได้รับคำแนะนำจากภาคีเครือข่ายด้านสังคม ซึ่งมีข้อจำกัดหลายอย่างในการเข้าถึงในชุมชน โดยจะได้หาแนวทางแก้ไขเพื่อทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในชุมชนที่เป็นพื้นที่เสี่ยง ทั้งในเรื่องของการดูแลครอบครัวผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งระหว่างที่สมาชิกในครอบครัวเข้ารับการรักษาและภายหลังที่รักษาหายจากโรงพยาบาล ซึ่งจะดูแลด้านความเป็นอยู่ของครอบครัว และในชุมชนที่มีความวิตกกังวล โดยเฉพาะครอบครัวกลุ่มเปราะบาง ที่มีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ นั้น กระทรวง พม. จะเข้ามาฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจ รวมทั้งประเมินสภาพครอบครัวเพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ต่อไป นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบภายหลังวิกฤตโควิด-19​ อาทิ เด็ก​ ผู้สูงอายุ​ คนพิการ​ คนไร้บ้าน​ และคนไร้ที่พึ่ง​ เป็นต้น กระทรวง พม.​ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต​ กทม.​ และปริมณฑล​ สามารถรองรับได้​ประมาณเกือบ​ 400 คน​​ ทั้งนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ โดยกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวอย่างเร่งด่วน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด–19 นอกสถานพยาบาลฯ ยืนยันประชาชนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกคนอย่างแน่นอน
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด–19 นอกสถานพยาบาลฯ ยืนยันประชาชนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกคนอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด–19 นอกสถานพยาบาลฯ ยืนยันประชาชนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกคนอย่างแน่นอน วันนี้ (28 พ.ค. 64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด–19 นอกสถานพยาบาลฯ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและหอการค้าไทย ดำเนินการโดยศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ และโรงพยาบาลบางปะกอก 1 ณ บริเวณโกดัง 4 ศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการตามนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมและเร่งรัดการฉีดวัคซีนโควิด–19 จำนวน 25 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดในระดับควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งหน่วยบริการดังกล่าวจะเริ่มฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 28 พ.ค. – 31 ธ.ค. 64 มีเป้าหมายในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด - 19 จำนวน 1,500 – 2,000 คน/วัน นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่เสียสละทำงานอย่างเต็มที่และขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ร่วมกันดำเนินการในเรื่องดังกล่าวซึ่งถือเป็นการสร้างกุศลและความดีให้กับตนเองและประเทศชาติ ย้ำการกระจายวัคซีนเป็นไปตามปริมาณวัคซีนที่เข้ามา และจะกระจายให้เร็วที่สุดให้สอดคล้องกับการแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่ ยืนยันประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบทุกคน พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนดูแลตนเองให้ดีที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า วันนี้เป็นวันแรกสำหรับการให้บริการจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เอเชียทีค ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่ต้องบริหารจัดการวัคซีนตามที่ได้รับมอบไปตามที่กำหนด เพราะฉะนั้นการบริหารวัคซีนต้องบริหารให้ทุกคนได้ฉีดให้มากที่สุดในแต่ละเดือนและเพียงพอในเดือนถัดไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจว่าจะฉีดให้ได้ภายในเดือนธันวาคม เราต้องปฏิบัติงานโดยมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าในระดับต่าง ๆ สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการกระจายวัคซีนจะต้องคำนึงทั้งในเรื่องของจำนวน และสถานที่ให้บริการมากที่สุด ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายการบริหารการฉีดวัคซีนจะให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกคนอย่างแน่นอนนอกจากนี้แผนการกระจายวัคซีนในเดือนมิถุนายนนั้น จะกระจายให้มากที่สุด ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ต่าง ๆ ในบางพื้นที่ที่ต้องควบคุม ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผย สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot11 "Food Delivery" จุรินทร์ "นำเคาะ" ลดGPเหลือ 25% ลดค่าอาหารสูงสุด 60%
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot11 "Food Delivery" จุรินทร์ "นำเคาะ" ลดGPเหลือ 25% ลดค่าอาหารสูงสุด 60% วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เวลา 12.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” Lot 11 (Food Delivery) นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกันให้ความช่วยเหลือร้านอาหาร โดยประชุมร่วมกับแพลตฟอร์มทั้งหมด 5 แพลตฟอร์ม ที่ให้บริการ Food Delivery และตัวแทนร้านอาหารทั่วประเทศ เช่น สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด สมาคมร้านอาหารและบันเทิงเชียงใหม่ ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร เป็นต้น และผู้แทนสถาบันการเงิน 6 สถาบัน 1.SME D Bank 2.ธนาคารกรุงไทย 3.ธนาคารออมสิน 4.ธนาคารอิสลาม 5.ธ.ก.ส. และ6. บสย. มี 2 ประเด็น เพื่อช่วยสนับสนุนร้านอาหารในภาวะวิกฤตโควิด ประเด็นที่ 1 จัดโครงการพาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 11 เพื่อช่วยเหลือบุคคล 2 กลุ่ม 1.กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารที่ขายอาหารผ่านแพลตฟอร์ม 2.กลุ่มผู้บริโภคซึ่งซื้ออาหารผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารจะมีการลดค่า GP ที่แพลตฟอร์มคิดกับร้านอาหารจากเฉลี่ย 35% -25% ลงมาเหลือ 25% มีแพลตฟอร์มที่จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 5 แพลตฟอร์ม 1.Robinhood 2. foodpanda 3.Grab 4.Gojek และ 5.Lineman ลดค่า GP เหลือ 25% ในภาพรวม ยกเว้น Robinhood ไม่คิดค่า GP และ foodpanda ไม่คิดค่า GP สำหรับร้านใหม่ สำหรับผู้บริโภคมี 2 ส่วน 1.ลดราคาอาหารที่ขายผ่านแพลตฟอร์มทั้ง 5 แพลตฟอร์มสูงสุด 60% และจะลดค่าขนส่ง 4 แพลตฟอร์ม ใน 3-5 กิโลเมตรแรก ลดสูงสุดจาก 40 บาทเหลือ 0 บาท ประกอบด้วย 1.Robinhood 2.foodpanda 3.Grab และ 4.Gojek ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2564 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับค่า GP ส่วนค่าอาหารจะลดทั่วประเทศ และประเด็นที่ 2 จัดโครงการแมตช์ชิ่งเงินกู้ให้กับร้านอาหารทั่วประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นตัวกลางช่วยร้านอาหารสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี ได้รับความร่วมมือจาก 6 สถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1.SME D Bank 2.ธนาคารกรุงไทย 3.ธนาคารออมสิน 4.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 5.ธ.ก.ส. และ 6.บสย. มีการจัด 2 กิจกรรม 1.ให้สถาบันการเงินให้ข้อมูลกับร้านอาหารที่สนใจเข้าถึงแหล่งเงินกู้วันที่ 1-6 มิถุนายน 2564ในรูปแบบออนไลน์ และต่างจังหวัดจะให้พาณิชย์จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการให้ร้านอาหารที่สนใจสอบถามข้อมูลจากสถาบันการเงิน 2.จะมีการจับแมตช์ชิ่งให้ยื่นเรื่องเพื่อขอกู้เงินตามเงื่อนไขทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ในวันที่ 7-20 มิถุนายน 2564 เพื่อช่วยให้ร้านอาหารในช่วงวิกฤติโควิดได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี โดยร้านอาหารที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จดทะเบียนไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นนิติบุคคล 15,967 ร้าน และบุคคลธรรมดา 103,000 ร้าน รวมแล้ว 118,967 ร้าน โดยผู้ประกอบการแพลตฟอร์มจะสูญเสียรายได้ 250-350 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ"ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ผู้ตรวจราชการ วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ"ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี นาวาอากาศเอก ทวีวงศ์ หาญดำรงค์ รองผู้อำนวยการ ๒ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารโภชนาการทองใหญ่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ โดยมี นายวินัย วรวัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42172
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันโควิดสายพันธุ์ C.36.3 ที่สื่อรายงาน ไม่ใช่สายพันธุ์ไทย
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 สธ.ยันโควิดสายพันธุ์ C.36.3 ที่สื่อรายงาน ไม่ใช่สายพันธุ์ไทย กระทรวงสาธารณสุข ยันกรณีสื่อรายงานพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ สายพันธุ์ C.36.3 ในประเทศอังกฤษ ไม่ใช่สายพันธุ์ไทย โดยตรวจพบครั้งแรกในคนสัญชาติอียิปต์ที่เดินทางเข้ามาและกักตัวอยู่ใน ASQ หลังรักษาหาย ตรวจไม่พบเชื้อ เดินทางกลับอียิปต์ทันที กระทรวงสาธารณสุข ยันกรณีสื่อรายงานพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ สายพันธุ์C.36.3 ในประเทศอังกฤษไม่ใช่สายพันธุ์ไทย โดยตรวจพบครั้งแรกในคนสัญชาติอียิปต์ที่เดินทางเข้ามาและกักตัวอยู่ในASQ หลังรักษาหายตรวจไม่พบเชื้อ เดินทางกลับอียิปต์ทันที และไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้รายอื่นเพิ่มจากกรณีนี้ในประเทศไทยแต่อย่างใด วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่สื่อประเทศอังกฤษรายงานข่าวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 พบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ สายพันธุ์ C.36.3 ที่มาจากประเทศไทยในอังกฤษ อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ (VUI) นั้น ข้อมูลจากการสอบสวนโรค กองระบาดวิทยา รายงานพบการติดเชื้อในชาย อายุ 33 ปี สัญชาติอียิปต์ อาชีพผู้ช่วยนักบิน มีประวัติ อาศัยอยู่ที่ประเทศอียิปต์ วันที่ 25 มกราคม 2564 เดินทางไปฮ่องกงและเดินทางไปกรุงเทพ ฯ โดย Egypt Airline เดินทางถึงกรุงเทพฯ วันที่ 26 มกราคม 2564 และเข้ากักตัวที่ ASQ โรงแรม NOVOTEL สมุทรปราการ เก็บตัวอย่างครั้งที่ 1 วันที่ 29 มกราคม 2564 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งตรวจห้องปฏิบัติการพบสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในจังหวัดสมุทรปราการ และส่งตรวจสายพันธุ์พบว่า เป็นสายพันธุ์ B.1.1.1 ปัจจุบันคือ C.36.3 ผลการตรวจก่อนออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่พบเชื้อบินกลับประเทศอียิปต์ทันที และไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้รายอื่นเพิ่มจากผู้ป่วยรายนี้ในประเทศไทยแต่อย่างใด กรณีที่อังกฤษรายงานสายพันธุ์ C.36.3 Variant ถูกระบุชื่อในตารางสายพันธุ์ไวรัส ว่า Thailand ex Egypt ตามหลักการจึงไม่ควรเรียก สายพันธุ์ไทย เพราะเป็นผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม *************************************** 28 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำตรึงเข้มชายแดนและร่วมกันกระจายกำลังตรวจเชิงรุกพื้นที่ชั้นในคุมป้องโควิดให้อยู่"
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 "นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำตรึงเข้มชายแดนและร่วมกันกระจายกำลังตรวจเชิงรุกพื้นที่ชั้นในคุมป้องโควิดให้อยู่" พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.และ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน , หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม , เหล่าทัพ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อติดตามสนับสนุนการขับเคลื่อนช่วยเหลือประชาชนแก้ปัญหาโควิท 19 โดย พล.อ.ชัยชาญ” ได้ย้ำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. ให้ กอ.รมน. รวมทั้งทุกเหล่าทัพ และ ตร. ให้ความสำคัญ เพิ่มการเฝ้าระวังป้องกัน สกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายและคุมเข้มมาตรการคัดกรองโรคในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะชายแดนมาเลเซีย เมียนมาและกัมพูชา เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายที่อาจมาพร้อมกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ยังพบสถิติการจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา พร้อมกับให้เฝ้าระวังการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ผิดกฎหมายโดยไม่ผ่านการกักกัน ซึ่งตรวจพบโรคระบาดสัตว์ติดมา ทั้งนี้ ขอให้ กอ.รมน.ประสานกับฝ่ายปกครอง กระจายเข้าตรวจสอบสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อควบคุมและดำเนินการตามกฏหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้เกี่ยวข้องในทุกกรณี พร้อมกันนี้ ให้ติดตามการลักลอบเปิดบ่อนพนันออนไลน์ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องทุกระดับไม่มียกเว้น ขณะเดียวกันขอให้ติดตามข่าวปลอมที่กระทบต่อความมั่นคงและสร้างปัญหาให้เกิดความเข้าใจผิดกับประชาชน ที่ปรากฎมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนโดยเร็ว ทั้งนี้ นรม.และ รมว.กห. ได้แสดงความห่วงใยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ โดยย้ำขอให้ประสาน สธ. ขอรับการสนับสนุนวัคซีน เพื่อเร่งกระจายฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด่านหน้า พล.อ.ชัยชาญ‘ ยังได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพ เตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมเข้าช่วยเหลือ สธ.และฝ่ายปกครอง เพื่อเข้าบริหารจัดการควบคุมโรคเป็นพื้นที่ โดยเฉพาะ กทม.และ กรมราชทัณฑ์ ที่พบการแพร่ระบาดของโรคในที่พักคนงานและหลายชุมชน รวมทั้งเรือนจำต่างๆ ทั้งนี้ขอให้มีมาตรการป้องกันและดูแลคัดกรองอย่างเข้มข้นในเรือนจำทหารควบคู่กันไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดรพ.บุษราคัม เฟส 2 รับผู้ป่วยเพิ่มอีก 1,076 เตียง
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 สธ. เปิดรพ.บุษราคัม เฟส 2 รับผู้ป่วยเพิ่มอีก 1,076 เตียง กระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ระยะที่ 2 ใช้พื้นที่อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 รับผู้ป่วยได้ 1,076 เตียง ทำให้มีเตียงรักษาผู้ป่วยโควิดรวมกว่า 2,000 เตียง พร้อมติดตั้งเต๊นท์ความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 101 เตียง กระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ระยะที่ 2 ใช้พื้นที่อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 รับผู้ป่วยได้ 1,076 เตียง ทำให้มีเตียงรักษาผู้ป่วยโควิดรวมกว่า 2,000 เตียง พร้อมติดตั้งเต๊นท์ความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 101 เตียง ผลการดำเนินงานระยะแรก ผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 183 ราย มีอัตราการครองเตียงกว่าร้อยละ 70 วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) ที่อาคารอิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ระยะที่ 2 โดยนายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ระยะแรกใช้พื้นที่อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ 3 จำนวน 1,083 เตียง รองรับผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มที่มีอาการน้อยถึงปานกลางในเขตกทม. และพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นจำนวนมาก สามารถคลี่คลายการขาดแคลนเตียงในเขตกทม. และช่วยให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ดูแลรักษาผู้ป่วยอาการหนักได้อย่างเต็มที่ ตลอด 14 วันที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิดเข้ารับการรักษาเฉลี่ยวันละ 70 ราย จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้ป่วยสะสม 1,002 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 183 ราย ส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาล 39 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 780 ราย อัตราการครองเตียงมากกว่าร้อยละ 70 จึงได้ขยายพื้นที่เปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ระยะที่ 2 อีกจำนวน 1,076 เตียง ในอาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 ทำให้มีเตียงรับผู้ป่วยรวม 2,159 เตียง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีเต๊นท์ความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีก 101 เตียง หากผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบจะส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลใหญ่ “ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ที่เสียสละ ทำเพื่อส่วนรวม ช่วยให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการดูแลที่เหมาะสม ลดความเหลื่อมล้ำ ลดอัตราการเสียชีวิตและเป็นส่วนที่ช่วยให้ประเทศสามารถก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัมรับผู้ป่วยจากการประสานส่งต่อจากสายด่วน 1668 มากที่สุด รองลงมาคือ จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล ได้แก่ สถาบันโรคทรวงอก รพ.ลำลูกกา รพ.สามโคก จ.ปทุมธานี, เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET), นิมิตบุตร,สายด่วน 1330, สายด่วน 1669 และ Hospitel ตามลำดับ ในการบริหารจัดการ ได้ระดมทรัพยากร อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์จากเขตสุขภาพที่ 4 และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในจังหวัดที่มีการระบาดน้อยจากทุกเขตสุขภาพ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาปฏิบัติงานทุก 2 สัปดาห์ มีระบบการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ตั้งแต่จุดเวชระเบียน รับผู้ป่วย ใช้ระบบวงจรปิดติดตามอาการผู้ป่วย ให้การดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ปรับการให้ยารวดเร็วขึ้น มีโซนพักผ่อนหย่อนใจ แยกโซนการรักษาตามกลุ่มอายุและระดับอาการ มีจิตอาสาในกลุ่มผู้ป่วยช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน โดยผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงคอยช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ประชาชน บริจาคสิ่งของสนับสนุน อาทิ เตียงกระดาษ ชุดเครื่องนอน อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องอุปโภคบริโภค *************************************** 28 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกินในโคนม
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 เฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคลัมปี สกินในโคนม “รมช.มนัญญา” กำชับ อ.ส.ค. และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมเฝ้าระวังการแพร่ระบาด “โรคลัมปี สกิน” ไม่ให้กระทบอุตสาหกรรมโคนมประเทศ นำทีมผู้บริหารฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ฟาร์มโคนม อ.ส.ค. จ.สระบุรี นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานพิธีเปิด"โครงการรณรงค์ป้องกันโรคลัมปีสกิน" (Lumpy Skin Disease)ณฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)อำเภอมวกเหล็กจังหวัดสระบุรี พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ศรีสุวรรณ์อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นายสุชาติจริยาเลิศศักดิ์รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการอ.ส.ค. ผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมโอกาสนี้ได้มอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลงพร้อมถังฉีดพ่นให้กับสหกรณ์เขตภาคกลาง15แห่งที่ส่งน้ำนมให้อ.ส.ค.และร่วมฉีดพ่นยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรคลัมปีสกินณฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงอ.ส.ค.จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกรพร้อมชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงณณัฎฐ์ฟาร์มตำบลมวกเหล็กอำเภอมวกเหล็กจังหวัดสระบุรี รมช.มนัญญากล่าวว่าจากสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปีสกิน(Lumpy skin disease)ที่ยังวิกฤติหนักในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือทั่วประเทศพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีฯมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อย่างมากและกำชับให้กระทรวงเกษตรฯเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนตนในฐานะกำกับดูแลอ.ส.ค.มีความห่วงใยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบให้กับสหกรณ์ทั่วประเทศซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค.มีสมาชิกส่งน้ำนมดิบให้กับอ.ส.ค.ทั่วประเทศจำนวน5,952รายมีจำนวนโครวม174,658ตัวส่งน้ำนมดิบให้อ.ส.ค.ประมาณ874ตัน/วันโดยพื้นที่ภาคกลางมีสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบมากที่สุดคือจำนวน15สหกรณ์ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม2,380รายและจำนวนโคนม65,863ตัวจึงได้สั่งการให้อ.ส.ค.เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดและให้รายงานสถานการณ์ให้ทราบอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม “ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศประมาณ11,393ครอบครัวจำนวนโคทั้งหมด427,311ตัวหากไม่เร่งยับยั้งการระบาดในพื้นที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอาจส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศในอนาคตได้อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือไม่ให้มีการลักลอบเคลื่อนย้ายโคกระบือที่เป็นโรคซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับสหกรณ์และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมหากโคนมติดโรคอาจทำให้น้ำนมลดลงกระทบรายได้ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจให้กับเกษตรกรและเชื่อมั่นว่าสามารถยับยั้งการระบาดของโรคได้ซึ่งรมว.เกษตรฯได้เร่งนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกินในโคกระบือลอตแรก60,000โดสนอกจากนี้ตนเตรียมลงพื้นที่จ.กาฬสินธุ์และอำนาจเจริญเพื่อติดตามสถานการณ์และมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลงให้กับผู้เลี้ยงโคนม”รมช.มนัญญากล่าว ด้านนายสุชาติจริยาเลิศศักดิ์รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการอ.ส.ค.กล่าวว่าปัจจุบันอ.ส.ค.มีสหกรณ์และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบในเขตพื้นที่ส่งเสริมของอ.ส.ค.ทุกภูมิภาคจำนวน52แห่งปริมาณน้ำนมดิบแยกเป็นพื้นที่ภาคกลางจำนวน15สหกรณ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ10สหกรณ์ภาคใต้8สหกรณ์ภาคเหนือตอนบน(เชียงใหม่) 3สหกรณ์และภาคเหนือตอนล่าง(สุโขทัย)จำนวน16สหกรณ์ซึ่งทั้งหมดจะส่งน้ำนมดิบสำหรับป้อนกำลังผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเพื่อจำน่ายในรูปแบบนมพาณิชย์และนมโรงเรียนประมาณวันละ600-800ตัน/วันซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคลัมปีสกินที่ส่งผลกระทบอยู่ในขณะนี้ทำให้อ.ส.ค.กำชับเจ้าหน้าที่กวดขันและเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเข้ามาในพื้นที่การเลี้ยงโคนมของอ.ส.ค.อย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมของประเทศรวมทั้งกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรมโคนมของอ.ส.ค.ในอนาคตด้วย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 รฟม. สนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า ส่งมอบกล่องทันใจเติมความสุขให้แก่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย นายสมคิด ลีลิตธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ส่งมอบอาหารกล่อง พร้อมข้อความอวยพรจากผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน” จำนวน 800 กล่อง ให้แก่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่รักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาล เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID–19 โดยอาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ได้แก่ ร้านกะเพราเนื้อบางโพ (สถานีบางโพ) ร้านลูกชิ้นคุณหลวง (สถานีบางซ่อน) ร้านครัวคิวเซร่า (สถานีวงศ์สว่าง) ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่แม่ไทรทอง (สถานีแยกนนทบุรี1)และร้านครัวคุณทองพูน (สถานีคลองบางไผ่) ทั้งนี้ ในเบื้องต้น รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ประมาณ 8,000 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2564
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2564 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนเมษายน 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในหลายภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำในปีก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนเมษายน 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในหลายภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำในปีก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนเมษายน2564ว่า“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนเมษายน 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในหลายภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานต่ำในปีก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564”โดยมีรายละเอียดดังนี้ เศรษฐกิจภาคกลางได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 76.3 32.7 และ 116.6 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 26.3 และ 47.1 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 6.4 และ 11.7 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 5,388.6 ต่อปี ด้วยจำนวนเงินทุน12.7 พันล้านบาทจากโรงงานทำผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาส เช่น ไซโล กรอบพัดลม อุปกรณ์การเกษตรในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสำคัญอย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.8 และ 86.2 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.0 และ 89.2 ตามลำดับ หมายเหตุ: ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนเมษายน 2564 ขยายตัวในระดับสูงทุกภูมิภาค ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการเลื่อนการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าและบริการภายในประเทศ (แบบ ภ.พ. 30) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ตามมาตรการช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงการคลัง เศรษฐกิจภาคตะวันออกได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 51.4 และ 39.9 ต่อปี ตามลำดับเช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดีสะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 19.6 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวสูงถึงร้อยละ162.9 ต่อปี ด้วยจำนวนเงินทุน2.0 พันล้านบาทจากโรงงานทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสม ในจังหวัดชลบุรี เป็นสำคัญอย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48.9 และ 103.0ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.3 และ 106.3 ตามลำดับ เศรษฐกิจภาคเหนือได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่ขยายตัวร้อยละ 64.8 13.9 และ 62.9 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 24.3 และ 30.1 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวสูงถึงร้อยละ124.6 ต่อปี ด้วยจำนวนเงินทุน0.5 พันล้านบาท จากโรงงานฆ่า ชำแหละ ตัดแต่ง และแปรรูปสุกร ในจังหวัดกำแพงเพชร เป็นสำคัญอย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 48.2 และ 62.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.5 และ 65.8 ตามลำดับ เศรษฐกิจภาคใต้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่ขยายตัวร้อยละ 91.6 11.1 และ 66.0 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 30.1 และ 68.0 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.7 ต่อปี ด้วยจำนวนเงินทุน0.3 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -93.0 ต่อปีจากโรงงานผลิตน้ำแข็งซอง และน้ำแข็งก้อนเล็ก ในจังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นสำคัญอย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 42.4 และ 83.1 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.0 และ 86.9 ตามลำดับ เศรษฐกิจภาคตะวันตกได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 60.7 16.4 และ 108.5 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 42.7 และ 68.4 ต่อปีตามลำดับ อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 44.8 และ 86.2 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.0 และ 89.2 ตามลำดับ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 66.8 14.4 และ 97.7 ต่อปี ตามลำดับเช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 33.3 และ 85.4 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 49.5 และ 75.3 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.8 และ 79.9 ตามลำดับ เศรษฐกิจ กทม.และปริมณฑลค่อนข้างทรงตัว สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 66.7 และ 42.2 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนทรงตัว สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ อยู่ที่ร้อยละ -7.5 5.9 และ -68.8 ตามลำดับสำหรับในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 44.8 และ 86.2 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.6 และ 89.2 ตามลำดับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤษภาคม2564
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤษภาคม2564 ดัชนีRSI เดือนพฤษภาคม 2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาคเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 “ดัชนีRSI เดือนพฤษภาคม 2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาคเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน2564 อย่างไรก็ตามภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น” นายวุฒิพงศ์จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนพฤษภาคม 2564 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่า “ดัชนีRSI เดือนพฤษภาคม 2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาคเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 อย่างไรก็ตามภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 57.2 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคตโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความต้องการสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 55.3สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นเช่นกันโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคการจ้างงานเนื่องจากเข้าสู่ฤดูเพาะปลูก ประกอบกับการมีนโยบายความช่วยเหลือภาคการเกษตรต่างๆ จากภาครัฐ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 49.7แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะทรงตัว โดยยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคการจ้างงานเนื่องจากคาดว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019คลี่คลายจะทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้นประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่องดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 48.4สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในอนาคตที่ปรับตัวชะลอลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรเนื่องจากจะเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรประกอบกับการมีมาตรการช่วยเหลือภาคเกษตรจากภาครัฐส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ นโยบายประกันรายได้เกษตรกร เป็นต้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 48.4สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยางพาราเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลงจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 48.3แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ชะลอลงเช่นกัน แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยคาดว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าวคลี่คลายจะทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้นประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมได้ปัจจัยสนับสนุนจากยอดการสั่งซื้อสินค้าเกษตรที่เพิ่มมากขึ้นในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของกทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ46.7ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2564(ณ เดือนพฤษภาคม2564) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 46.7 57.2 55.3 48.4 48.3 48.4 49.7 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 65.9 68.7 70.5 65.4 56.6 62.0 57.9 2) ภาคอุตสาหกรรม 50.6 57.1 48.2 55.4 55.8 41.8 46.0 3) ภาคบริการ 40.4 53.3 47.4 32.9 41.7 43.2 46.3 4) ภาคการจ้างงาน 38.8 51.8 57.8 45.9 43.8 50.2 50.6 5) ภาคการลงทุน 37.7 55.3 52.7 42.1 43.4 44.9 48.0 สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020ต่อ 3254
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กลุ่มเปราะบาง คนพิการทางการเห็น นำร่องในกทม.และปริมณฑล
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 สธ.บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กลุ่มเปราะบาง คนพิการทางการเห็น นำร่องในกทม.และปริมณฑล กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่คนพิการทางการเห็น ในกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง รวมถึงครอบครัว และผู้ดูแลกว่า 500 คน นำร่องในเขตกทม.และปริมณฑล กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด19 แก่คนพิการทางการเห็น ในกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง รวมถึงครอบครัว และผู้ดูแลกว่า 500 คน นำร่องในเขตกทม.และปริมณฑล บ่ายวันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) ที่สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แก่คนพิการทางการเห็น ครอบครัว และผู้ดูแล ดร.สาธิตกล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในกทม. และปริมณฑล ยังคงพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อภายในครอบครัว บุคคลใกล้ชิด กลุ่มที่มีความเสี่ยงคือกลุ่มคนพิการที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จำเป็นต้องมีผู้ดูแล มีโอกาสสัมผัสและติดเชื้อได้ง่าย กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้พิการ ครอบครัว และผู้ดูแล ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ เปิดบริการฉีดวัคซีนสำหรับคนพิการ นำร่องในคนพิการทางการเห็น ที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม7 โรคเรื้อรัง สมาชิกครอบครัว และผู้ดูแล ในเขตกทม. และปริมณฑล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 500 กว่าคน โดยนัดหมายให้มารับการฉีดวัคซีนวันละ 60 คน จัดระบบบริการฉีดวัคซีนตามมาตรฐาน 8 ขั้นตอนของกรมควบคุมโรค เริ่มให้บริการเมื่อวานนี้ (27 พฤษภาคม 2564) ขณะนี้มีผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนแล้วจำนวน 100 คน ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มออทิสติก บกพร่องทางสติปัญญา การเรียนรู้ ดาวน์ซินโดรม สมาธิสั้น และผู้ป่วยจิตเวช ที่อาศัยในพื้นที่ กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี ได้มอบหมายให้กรมสุขภาพจิตโดยสถาบันราชานุกูล รับผิดชอบจัดฉีดวัคซีนโควิด19 โดยในรอบแรก กำหนดสำหรับกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป รวมถึงบุคคลในครอบครัวที่อาศัยบ้านเดียวกัน เปิดให้บริการการฉีดวัคซีนวันนี้เป็นวันแรก “คนพิการประเภทอื่น ๆ กระทรวงสาธารณสุข จะเร่งดำเนินการให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วต่อไป ขณะนี้ได้ประสานข้อมูลกับทางสมาคมคนพิการและเครือข่ายเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คนพิการทั่วประเทศได้เข้าถึงวัคซีนได้อย่างครอบคลุม เกิดภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ ลดป่วย ลดรุนแรง และลดเสียชีวิตจากโรคโควิด19” ดร.สาธิตกล่าว ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่31 มีนาคม 2564 พบว่า คนพิการได้รับการออกบัตรประจำตัวคนพิการ จำนวน 2,092,595 คน (ร้อยละ 3.21 ของประชากรทั้งประเทศ) โดยเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย มากที่สุด ร้อยละ 49.85 รองลงมาเป็นคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และคนพิการทางการเห็น ร้อยละ 18.84 และ ร้อยละ 9.12 ตามลำดับ โดยเป็นคนพิการใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 832,609 คน คิดเป็นร้อยละ 39.70 ภาคเหนือ 460,820 คน คิดเป็นร้อยละ 22.02 ภาคกลาง 436,4 91 คน คิดเป็นร้อยละ 20.86 ภาคใต้ 259,629 คน คิดเป็นร้อยละ 12.41 กรุงเทพมหานคร 97,554 คน คิดเป็นร้อยละ 4.66 และข้อมูลรอยืนยัน 5,502 คน คิดเป็นร้อยละ 0.26 ************************************** 28 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. รับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ โฟมล้างมือ และหน้ากากอนามัย จากภาคเอกชน ส่งต่อความห่วงใยแก่ จนท.ปฏิบัติงานในพื้นที่ สู้ภัยโควิด -19
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ทส. รับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ โฟมล้างมือ และหน้ากากอนามัย จากภาคเอกชน ส่งต่อความห่วงใยแก่ จนท.ปฏิบัติงานในพื้นที่ สู้ภัยโควิด -19 ทส. รับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ โฟมล้างมือ และหน้ากากอนามัย จากภาคเอกชน ส่งต่อความห่วงใยแก่ จนท.ปฏิบัติงานในพื้นที่ สู้ภัยโควิด -19 ทส. รับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ โฟมล้างมือ และหน้ากากอนามัย จากภาคเอกชน ส่งต่อความห่วงใยแก่ จนท.ปฏิบัติงานในพื้นที่ สู้ภัยโควิด -19 วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) เวลา 11.00 น. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) พร้อมด้วยนายจเรศักดิ์ นันตะวงษ์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายโสภณ ทองดี อธิบดี กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดี กรมป่าไม้ และนายสมหวัง เรืองนิวัติศัย รองอธิบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมรับมอบผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ Teepol จำนวน 1,200 ขวด และผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือ จำนวน 936 ขวด มูลค่ารวม 250,000 บาท จากนายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการ บริษัท TOA เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และนางละออ ตั้งคารวคุณ รองประธานกรรมการฯ อีกทั้งรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น จากนายวริน อิทธิโรจนกุล ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่ภาคเอกชนร่วมพร้อมใจส่งต่อความห่วงใยให้แก่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำไปส่งมอบและแจกจ่ายให้กับบุคลากร เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสู้ภัยโควิด – 19 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเชิงปฏิบัติการ เรี่อง การจัดทำแผนพัฒนาองค์การ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สู่ภาครัฐ 4.0 ครั้งที่ 1
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 การประชุมเชิงปฏิบัติการ เรี่อง การจัดทำแผนพัฒนาองค์การ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สู่ภาครัฐ 4.0 ครั้งที่ 1 การประชุมเชิงปฏิบัติการ เรี่อง การจัดทำแผนพัฒนาองค์การ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สู่ภาครัฐ 4.0 ครั้งที่ 1 วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรี่อง การจัดทำแผนพัฒนาองค์การ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สู่ภาครัฐ 4.0 ครั้งที่ 1 ผ่านระบบ Video Conference โปรแกรม Zoom โดยมีนายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการกองต่างๆ ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การจัดประชุมฯ ดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีให้ความช่วยเหลือกรณีครอบครัวปู่หลานชาวจังหวัดน่าน ถูกยึดบ้านขายทอดตลาด นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ๓๑ พฤษภาคม นี้
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีให้ความช่วยเหลือกรณีครอบครัวปู่หลานชาวจังหวัดน่าน ถูกยึดบ้านขายทอดตลาด นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ๓๑ พฤษภาคม นี้ กรมบังคับคดีให้ความช่วยเหลือกรณีครอบครัวปู่หลานชาวจังหวัดน่าน ถูกยึดบ้านขายทอดตลาด นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ๓๑ พฤษภาคม นี้ ตามที่นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการบังคับคดี ในคดีล้มละลายของศาลล้มละลายกลาง หมายเลขแดงที่ ล.๑๔๕๑/๒๕๕๗ กรณีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ได้ยึดที่ดินพร้อมบ้านตามที่เป็นข่าว เนื่องจากมีชื่อจำเลยที่ ๒ ในคดีล้มละลายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ว่าเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด การขายทอดตลาดเป็นไปโดยเปิดเผย บุคคลทั่วไปสามารถเข้าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดได้ และหากนางสาวรัตนามีความประสงค์ที่จะขอซื้อทรัพย์ดังกล่าว กรมบังคับคดีพร้อมจะดำเนินการประสานผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน นั้น ​กรมบังคับคดีได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้นายอดิเทพ บัวกระสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดน่านลงพื้นที่อธิบายขั้นตอนกระบวนการบังคับคดีตามกฎหมายให้ทราบ พร้อมประสานไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อนัดเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในประเด็นดังกล่าว โดยมีกำหนดนัดในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา และได้แจ้งวันนัดไปยังนางสาวรัตนาและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจะดำเนินการผ่านระบบ Session Call เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ ​กรมบังคับคดี ๐ ๒๘๘๑ ๔๙๙๙ หรือสายด่วนกรมบังคับคดี ๑๑๑๑ กด ๗๙ เว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42198
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมการดำเนินงานและการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมการดำเนินงานและการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม การประชุมการดำเนินงานและการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมการดำเนินงานและการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.สีดา - อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวง ขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.สีดา - อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงระบบขนส่งโลจิสติกส์ภาคอีสาน – ภาคเหนือ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม โดย สำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.สีดา - อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ระหว่าง กม.54+460 ถึง กม.72+600 ระยะทาง 18.14 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงคมนาคมขนส่งระหว่างภาคอีสานและภาคเหนือ ทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.สีดา - อ.บัวใหญ่ เป็นเส้นทางหลักเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ประชาชนนิยมใช้เส้นทางดังกล่าวเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ตั้งของศูนย์ราชการประจำอำเภอ เช่น ที่ว่าการอำเภอ โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยว และใช้ในการขนส่งพืชผลทางการเกษตรไปยังภูมิภาคต่างๆ ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนผู้ใช้ทางไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง กรมทางหลวงจึงดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงสายดังกล่าวจากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4-6 ช่องจราจร (ไปกลับ) ผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต กว้างช่องละ 3.5 เมตรไหล่ทางด้านนอก กว้าง 2.5 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบนูน โดยบริเวณย่านชุมชนดำเนินการก่อสร้างเป็นผิวทางคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 3 ช่องจราจรทั้ง 2 ด้าน พร้อมก่อสร้างทางเท้าและระบบระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม มีการก่อสร้างสะพานลอยคนข้าม จำนวน 3 แห่ง บริเวณหน้าโรงเรียนวัดบ้านงิ้ว โรงเรียนบ้านโนนสังข์ และโรงเรียนบ้านสีดา ก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 10 สะพาน ก่อสร้างจุดกลับรถ 9 แห่ง ก่อสร้างศาลาทางหลวง จำนวน 10 แห่ง รวมทั้งปรับปรุงทางแยกพร้อมติดตั้งไฟสัญญาณจราจรและงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบประมาณ 578,245,000 บาท โครงการแล้วเสร็จ สามารถรองรับปริมาณการจราจรทำให้การจราจรเคลื่อนตัวได้สะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมให้ผู้ใช้เส้นทางเดินทางได้สะดวด รวดเร็ว และปลอดภัย เชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ระหว่างอีสานใต้ไปยังภาคเหนือ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ตามแผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42190
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ปลื้มคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสภายในองค์กร อยู่ที่ 91.31 คะแนนผ่านเกณฑ์ ITA หนุนกิจกรรม I – Share ครั้งที่ 3 ต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส ปลื้มคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสภายในองค์กร อยู่ที่ 91.31 คะแนนผ่านเกณฑ์ ITA หนุนกิจกรรม I – Share ครั้งที่ 3 ต่อเนื่อง ดีอีเอส ปลื้มคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสภายในองค์กร อยู่ที่ 91.31 คะแนนผ่านเกณฑ์ ITA หนุนกิจกรรม I – Share ครั้งที่ 3 ต่อเนื่อง เมื่อวันที่28พฤษภาคม2564นางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานในการเปิดกิจกรรมI – Shareครั้งที่3 กิจกรรมI – Shareหรือ“การยกระดับคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม”บรรยายโดยนายอนุวัตรศรีไชโยรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตและนางสาวกนกศิลป์ใจทันนักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเป็นโครงการบริหารจัดการองค์ความรู้ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯรวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของข้าราชการพนักงานราชการบุคลากรภายในหน่วยงาน นำความรู้ที่ถ่ายทอดไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ITA roadmapแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่21การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ(พ.ศ.2561-2580 )โดยในระยะแรกของแผนแม่บท(พ.ศ.2561-2565 )ได้กำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดให้หน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินITAผ่านเกณฑ์ (85คะแนน)มีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ80และแผนบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบก็ได้กำหนดค่าเป้าหมายในปีพ.ศ.2563ให้หน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินITAผ่านเกณฑ์มีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ50ล่าสุดคะแนนสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประจำปีงบประมาณ2563 อยู่ที่91.31คะแนน ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดสรรโควตาสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียน ปีการศึกษา 2564 พร้อมกำชับแนวทางการจัดส่งนมโรงเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใ
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 กระทรวงเกษตรฯ จัดสรรโควตาสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียน ปีการศึกษา 2564 พร้อมกำชับแนวทางการจัดส่งนมโรงเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใ กระทรวงเกษตรฯ จัดสรรโควตาสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียน ปีการศึกษา 2564 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 6/2564 ผ่านระบบ VDO Conference (Zoom) ณ ห้องประชุม 135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 ซึ่งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนระดับกลุ่มพื้นที่ (5 กลุ่ม) ได้ดำเนินการรับสมัครผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมเข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 พร้อมทั้งดำเนินการจัดสรรสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียนในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้ประกอบการที่ยื่นไม่เกิน 5 ตัน/วัน จำนวน 48 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายเก่า 25 ราย และรายใหม่จำนวน 23 ราย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการจัดส่งนมโรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 ดังนี้ 1) ปีการศึกษา 2564 ให้เด็กนักเรียนดื่มนมครบ 260 วัน 2) การกำหนดชนิดนมโรงเรียน ให้ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ ดำเนินงานโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 โดยแบ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียน (นมพาสเจอร์ไรส์ และ/หรือนมยู เอช ที) และช่วงปิดภาคเรียน (เฉพาะนม ยู เอช ที) และ 3) ผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดสรรสิทธิตกลงกับหน่วยจัดซื้อ/โรงเรียนทุกแห่ง เพื่อกำหนดชนิดนมโรงเรียนที่ต้องการซื้อแล้วแต่กรณี หากมีปัญหาในการดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 ให้เป็นอำนาจของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนระดับกลุ่มพื้นที่ (5 กลุ่ม) พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ขณะเดียวกัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลกระทบต่อโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ 1) กรณีผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรสิทธิตกลงกับหน่วยจัดซื้อ/โรงเรียนทุกแห่ง และกำหนดชนิดนมโรงเรียนที่ต้องการจัดซื้อนมเป็น นม ยู เอช ที สามารถดำเนินการได้โดยบริหารงบประมาณที่ได้รับจัดสรรหรือสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม แต่หากหน่วยจัดซื้อมีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมได้ และผู้ประกอบการยินยอมลดราคานม ยู เอช ที ให้อยู่ภายในวงเงินงบประมาณที่หน่วยจัดซื้อมี สามารถดำเนินการได้ เพื่อให้เด็กได้ดื่มนมครบ 260 วัน ต่อปีการศึกษา 2) กรณีที่ผู้ประกอบการและหน่วยจัดซื้อ/โรงเรียนทุกแห่ง ได้ตกลงกันจะขอส่งเป็นนมชนิดพาสเจอไรส์ ซึ่งในการตกลงดังกล่าว คู่สัญญาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์นมขณะขนส่งและการเก็บรักษาคุณภาพนมชนิดพาสเจอไรส์ ที่ต้องรักษาไว้ไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส และจัดส่งผลิตภัณฑ์นม ให้หน่วยจัดซื้อ/โรงเรียน วันเว้นวัน หรือ วันเว้น 2 วัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้การบริหารจัดการรับส่งนมโรงเรียนให้เด็กนักเรียนหรือผู้ปกครอง ให้ยึดตามมาตรการณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และ 3) กรณีในช่วงที่มีการเลื่อนเวลาการเปิดภาคเรียน จากวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ออกไป และไม่มีการจัดการเรียนการสอน ในวันที่ปิดเรียนนั้น หน่วยจัดซื้อ/โรงเรียนทุกแห่ง สามารถตกลงกับผู้ประกอบการ โดยนำส่งนมชนิด ยู เอช ที เพื่อให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมสำหรับวันปิดเรียนครบ 60 วัน ต่อปีการศึกษาอีกด้วย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 21 – 27 พฤษภาคม 2564
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 21 – 27 พฤษภาคม 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 21 – 27 พฤษภาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 387 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.54 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 21 – 27 พฤษภาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 387 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.54 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 216 คดี ค่าปรับ 1.99 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 103 คดี ค่าปรับ 2.07 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 0.25 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 33 คดี ค่าปรับ 2.29 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 1 คดี ค่าปรับ 0.20 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 0.23 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 3,010.330 ลิตร ยาสูบ จำนวน 5,030 ซอง ไพ่ จำนวน 1,140 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 53,935.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 119 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 15 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 27 พฤษภาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 18,067 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 411.06 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 10,323 คดี ค่าปรับ 91.32 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 5,096 คดี ค่าปรับ 202.10 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 389 คดี ค่าปรับ 6.36 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 864 คดี ค่าปรับ 49.78 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 78 คดี ค่าปรับ 3.10 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 908 คดี ค่าปรับ จำนวน 25.32 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 409 คดี ค่าปรับ 33.08 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,614,546.779 ลิตร ยาสูบ จำนวน 603,415 ซอง ไพ่ จำนวน 32,843 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,453,544.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 108,561 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,649 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 511 เขตการเดินรถที่ 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ขอ ปชช.รับฟังรอบด้านปมนำเข้าวัคซีน
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ขอ ปชช.รับฟังรอบด้านปมนำเข้าวัคซีน “ชัยวุฒิ” ขอ ปชช.รับฟังรอบด้านปมนำเข้าวัคซีน เมื่อวันที่28พ.ค.นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้สัมภาษณ์กรณีบริษัทแอคแคปแอสเซ็ทส์จำกัดระบุติดต่อตัวแทนรัฐบาลเพื่อขอนำเข้าวัคซีนชิโนฟาร์ม20ล้านโดสแต่ทางรัฐบาลออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงแบบนี้ถือเป็นเฟคนิวส์ต้องดำเนินการอะไรอย่างไรหรือไม่ว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรเป็นข่าวปลอมหรือไม่คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาให้ข้อเท็จจริงถ้าเป็นการให้ข้อมูลเท็จแล้วทำให้ประชาชนสับสนก็จะเข้าข่ายเฟคนิวส์มีความผิดหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายก็ต้องร้องเข้ามาดังนั้นขณะนี้ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับข่าวที่ออกมาขอให้รับความจริงอย่างรอบด้านเพราะตอนนี้รัฐบาลพยายามหาทางนำเข้าวัคซีนโควิดอยู่แล้วส่วนเอกชนรายใดจะสามารถนำเข้าได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกชนรายนั้นๆที่ต้องยื่นขอนำเข้าตามช่องทางที่มีอยู่ส่วนที่มีกระแสข่าวเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์นั้นเชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ปล่อยให้มีคนมาหาประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้ได้ที่ผ่านมารัฐบาลก็ติดต่อผู้ผลิตโดยตรงไม่ผ่านนายหน้าและวัคซีนเป็นที่ต้องการของตลาดจึงไม่มีความจำเป็นที่ผู้ผลิตต้องใช้นายหน้าในการวิ่งขายวัคซีนจึงเชื่อว่าไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ตามข่าวที่ออกมา **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ 4 เขต กทม. ย่านฝั่งธนบุรี มอบถุงยังชีพ เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ 4 เขต กทม. ย่านฝั่งธนบุรี มอบถุงยังชีพ เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ทีม พม. เรามีเรา ลงพื้นที่ 4 เขต กทม. ย่านฝั่งธนบุรี มอบถุงยังชีพ เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 วันที่ 27 พ.ค. 64เวลา 16.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาล โดยกระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ระดมการรับบริจาคเงินและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในพื้นที่ 50 เขต กทม. รวมทั้งต่างจังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรม เรามีเรา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย นายอนุกูลกล่าวต่อไปว่า วันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มอบหมาย ทีม พม. เรามีเรา โดยนายธนสุนทร สว่างสาลี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ 4 เขต กทม. ย่านฝั่งธนบุรี ได้แก่ 1) เขตหนองแขม ณ ชุมชนสวัสดิการ ซอยเพชรเกษม 77 2) เขตทวีวัฒนา ณ ที่ทำการ อพม. ริมคลองทวีวัฒนา 3) เขตตลิ่งชัน ณ วัดตลิ่งชัน และ 4) เขตภาษีเจริญ ณ วัดทองศาลางาม เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและน้ำดื่ม รวมทั้งสิ้น 400 ชุด และแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ให้กับประธาน อพม. เขต เพื่อนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อีกทั้งเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก อพม. ในพื้นที่ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการกระจายความช่วยเหลือต่างๆ ภายในชุมชน นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทางกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม. และปริมณฑล ซึ่งสามารถรองรับได้ประมาณ 400 คน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล 24 ชั่วโมง และมีอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ทั้งนี้ หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรออกมาตรการภาษีจูงใจสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 สรรพากรออกมาตรการภาษีจูงใจสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืน ครม.อนุมัติหลักการยกเว้นภาษีเงินได้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมโดยเงินที่นำไปลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถนำเงินดังกล่าวหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่ายคำนวณกำไรสุทธิได้ เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมโดยเงินที่นำไปลงทุนในวิสาหกิจเพื่อสังคมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถนำเงินดังกล่าวไปหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า“กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและขยายตัวมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนและสังคมจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ๒๕๖๔โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ 1. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรตั้งแต่วันที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ 2. สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม 2.1กรณีบุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งหรือเพิ่มทุนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ไม่เกิน 100,000 บาทสำหรับปีภาษี ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการเว้นแต่กรณีที่กำหนด 2.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (1) สามารถหักรายจ่ายเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งหรือเพิ่มทุนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามจริง ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการเว้นแต่กรณีที่กำหนด (2) สามารถหักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทนผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่๓๑ธันวาคม๒๕๖๖แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ 3. สิทธิประโยชน์สำหรับผู้บริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 3.1 กรณีบุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม2566 เท่าที่บริจาคแต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อน 3.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักรายจ่ายการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เท่าที่บริจาคแต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ 4. ยกเว้นภาษีสำหรับการโอนทรัพย์สินการขายสินค้าหรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินตามข้อ 2 หรือการบริจาคตามข้อ 3 โดยต้องไม่นำต้นทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 5. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 1 ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ใช้ทรัพย์สินในกิจการหรือเพื่อกิจการเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่ใช้ในกิจการเว้นแต่ตามที่กำหนด ไม่เป็นคู่สัญญากับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนและไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ เว้นแต่กรณีที่กำหนด รวมทั้งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่กำหนด 6.ให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสงค์จะใช้สิทธิจดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม สำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมก่อนพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้จดแจ้งภายในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอธิบดีกรมสรรพากรจะขยายกำหนดเวลาออกไปก็ได้ 7. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติให้เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชกฤษฎีกาฯ ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกานี้ รวมทั้งผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมก็ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นกัน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด” นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “การปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมและบุคคลที่ให้การสนับสนุนนั้น เป็นการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยให้กิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งช่วยสนับสนุนให้กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม รวมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศให้ยั่งยืนต่อไป” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันผู้ลงทะเบียนหมอพร้อมสำเร็จ ได้รับการฉีดวัคซีนตามที่นัดหมายแน่นอน ย้ำเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ร้อยละ 70 ของประชากร ภายใน ธ.ค.64 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ศบค. ยืนยันผู้ลงทะเบียนหมอพร้อมสำเร็จ ได้รับการฉีดวัคซีนตามที่นัดหมายแน่นอน ย้ำเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ร้อยละ 70 ของประชากร ภายใน ธ.ค.64 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทย ศบค. ยืนยันผู้ลงทะเบียนหมอพร้อมสำเร็จ ได้รับการฉีดวัคซีนตามที่นัดหมายแน่นอน ย้ำเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ร้อยละ 70 ของประชากร ภายใน ธ.ค.64 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทย วันนี้ (28 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ผู้ช่วยโฆษก ศบค.) ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจัดสรรกระจายวัคซีน ว่า การจัดสรรการกระจายวัคซีนทั่วโลกในขณะนี้ถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินโดยการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ประสิทธิภาพของวัคซีน ณ ปัจจุบัน คือลดอัตราตาย ลดความรุนแรง ป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่การเสียชีวิต แต่ยังไม่ได้ป้องกันการแพร่เชื้อ สำหรับแผนการกระจายวัคซีนในประเทศไทย การฉีดวัคซีนถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีนโยบายให้ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยทิศทางของการบริหารวัคซีนในระยะแรกที่มีวัคซีนในปริมาณจำกัด (ช่วงกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 64) จะเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และแสดงอาการรุนแรง ได้แก่ 1. กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และ 2. บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 เช่น ตำรวจ ตำรวจตะเวนชายแดน ผู้ที่ทำงานในสถานกักกันของรัฐ เป็นต้น และยังได้มีการสำรองวัคซีนไปยังพื้นที่เสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดฉุกเฉินอีกด้วย นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายังได้มีการกระจายวัคซีนจำนวนหนึ่งไปยัง 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อทดสอบระบบการบริหารจัดการวัคซีน ถือเป็นการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง การตรวจสอบคุณภาพ สถานที่ กระบวนการ และการลงทะเบียนข้อมูลการติดตามหลังฉีด เพื่อพัฒนาระบบการกระจายวัคซีนในแต่ละพื้นที่ให้ดีที่สุดก่อนวัคซีนระยะ 2 จะเข้ามา โดยเป้าหมายในการฉีดวัคซีนของไทยนั้น จะต้องมีการวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรในประเทศ คิดเป็นจำนวนประชากรทั้งคนไทยและต่างชาติประมาณ 50 ล้านคน จะต้องใช้วัคซีนอย่างน้อย 100 ล้านโดส โดยมีการวางแผนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2564 และเข็มที่ 2 ให้ครบถ้วนภายในเดือนธันวาคม 2564 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในการปกป้อง และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ จะต้องเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของประชาชน ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยังเน้นย้ำว่าถ้าประชาชนลงทะเบียนในหมอพร้อมสำเร็จแล้ว ขอให้ยังคงอยู่กับระบบหมอพร้อม ยืนยันว่าจะได้ฉีดวัคซีนตามที่นัดหมายลงทะเบียนไว้อย่างแน่นอน หากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่มีการปิดบังประชาชน แต่ในส่วนที่ประชาชนจำนวนหนึ่งลงทะเบียนแล้วยังไม่ได้รับการยืนยันกำหนดวัน เวลา สถานที่ฉีด หรือเรียกว่ายังลงทะเบียนไม่สำเร็จ แล้วจะลงไปทะเบียนในช่องทางอื่นได้หรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่า หากเป็นผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ก็สามารถลงทะเบียนกับทางกรุงเทพมหานครได้ตั้งแต่ 27 พ.ค. 64 เป็นต้นไป แต่ไม่ว่าจะลงทะเบียนในช่องทางใด เช่น โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษา หรือกับ อสม. เป็นต้น ข้อมูลดังกล่าวก็ยังอยู่ในทุกช่องทางที่ประชาชนลงทะเบียนไว้ โดยระบบจะรวมข้อมูลทั้งหมดมาที่ระบบหลังบ้านของหมอพร้อมที่ MOPHIC และจะมีการออกใบรับรองเมื่อสิ้นสุดการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง พร้อมกันนี้ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ย้ำในส่วนของการลงทะเบียนกับกรุงเทพมหานครว่า กรุงเทพมหานคร จะมีการฉีดวัคซีนทั้งในส่วนของสถานพยาบาลภาครัฐ 125 แห่ง เอกชน 25 แห่ง โควตากองทุนประกันสังคมมาตรา 33 จำนวน 45 จุดบริการ ส่วนกลางโดยมหาวิทยาลัย 11 แห่ง รวมทั้งที่สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งไม่ได้เป็นการปรับแผนไปมาแต่อย่างใด แต่ในช่วงแรกในเดือนกุมภาพันธ์ มีการระบุสถานบริการฉีดวัคซีนที่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยว่าต้องฉีดในโรงพยาบาล ต้องมีแพทย์ประจำ ต้องมีห้องฉุกเฉิน พร้อมกำหนดขั้นตอนการฉีด การสังเกตอาการหลังฉีด ซึ่งต่อมาเมื่อมีการรายงานข้อมูลความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนมากขึ้นทั้งของไทยและทั่วโลก จึงได้มีการทบทวนเรื่องการฉีดวัคซีนว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามยังมีการเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัย เช่น ที่สยามพารากอน มีโรงพยาบาลกรุงเทพเป็นโรงพยาบาลพี่เลี้ยงที่เปิดให้บริการฉีดวัคซีนให้กับกัปตันและลูกเรือ เป็นต้น โดย ศบค. อนุญาตให้ภาคเอกชน หรือภาคชุมชนพื้นที่ เสนอช่วยกระจายวัคซีน เพื่อให้นโยบายการกระจายวัคซีนสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามแผน ทั้งนี้ ในวันต่อ ๆ ไป ศบค. จะนำเสนอนโยบายของวัคซีนที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยและคนไทยทุกคนแข็งแรง ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ยังอยู่ใน อ.ตากใบ ควบคุมไม่ให้แพร่กระจายต่อ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 สธ. เผยโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้ยังอยู่ใน อ.ตากใบ ควบคุมไม่ให้แพร่กระจายต่อ กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสายพันธุ์เชื้อโควิดได้มากกว่า 380 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ ผลสุ่มตรวจตั้งแต่การระบาดรอบเมษายน 1,300 ตัวอย่าง พบร้อยละ 93 เป็นสายพันธุ์อังกฤษ วัคซีนยังป้องกันได้ ส่วนสายพันธุ์แอฟริกาใต้ยังอยู่ในพื้นที่ อ.ตากใบ จำกัดวงไม่ให้แพร่กระจายต่ กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสายพันธุ์เชื้อโควิดได้มากกว่า 380 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ ผลสุ่มตรวจตั้งแต่การระบาดรอบเมษายน 1,300 ตัวอย่าง พบร้อยละ 93 เป็นสายพันธุ์อังกฤษ วัคซีนยังป้องกันได้ ส่วนสายพันธุ์แอฟริกาใต้ยังอยู่ในพื้นที่ อ.ตากใบ จำกัดวงไม่ให้แพร่กระจายต่อ ขอทุกคนฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่คงมาตรการป้องกันโรค ลดโอกาสกลายพันธุ์ในประเทศ วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงเชื้อโควิด 19 กลายพันธุ์ ว่า ตามธรรมชาติของเชื้อไวรัสโควิด 19 มีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา หากมีการแพร่เชื้อมากขึ้น โอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้มากขึ้น ซึ่งการเฝ้าระวังมี 2 ระดับ คือ 1.ระดับที่น่าสนใจ (Variant of Interest) ที่ต้องติดตามกันต่อ และ 2.ระดับที่น่าห่วงกังวล (Variant of Concern) เช่น สายพันธุ์อังกฤษ อินเดีย บราซิลแอฟริกาใต้ แคลิฟอร์เนีย เป็นต้น โดยประเทศไทยมีเครือข่ายห้องปฏิบัติการในการสุ่มตรวจเพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์ต่างๆโดยเฉพาะเมื่อเกิดคลัสเตอร์ใหม่, พื้นที่ชายแดน, ในกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจหรือเสียชีวิต และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์อังกฤษ จากการสุ่มตรวจเชื้อ 1,300 กว่าตัวอย่าง พบสายพันธุ์อังกฤษ 1,200 กว่าตัวอย่างหรือ 93% มาแทนที่สายพันธุ์เดิมก่อนหน้าแล้วเพราะแพร่กระจายเร็วส่วนความรุนแรงไม่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิม และภูมิคุ้มกันจากวัคซีนยังได้ผล “การตรวจด้วยวิธี RT-PCR จะทราบแค่ว่าติดเชื้อหรือไม่ แต่จะไม่ทราบสายพันธุ์ ต้องใช้วิธีการตรวจพิเศษ ใน 3 วิธี คือ การตรวจ RT PCRโดยการใช้น้ำยาเฉพาะต่อสายพันธุ์นั้น, การตรวจมุ่งเป้าเฉพาะส่วนของเชื้อไวรัส (Targeted sequencing) ใช้เวลา 1-2 วัน และการตรวจไวรัสทั้งตัว (Whole genome sequencing) ใช้เวลา 3-5 วัน มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ช่วยให้ทราบสายตระกูลของเชื้อว่ามีต้นทางมาจากที่ไหน เนื่องจากนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลการตรวจสายพันธุ์ของแต่ละประเทศที่ส่งมาเป็นข้อมูลส่วนกลางได้ เช่น การระบาดที่สมุทรสาครพบว่าเชื้อมาจากอินเดีย บังกลาเทศ และเข้ามาทางเมียนมา เป็นต้น ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาให้ตรวจวิธีดังกล่าวได้มากกว่า 380 ตัวอย่างต่อสัปดาห์สูงกว่ามาตรฐานระดับโลก” นายแพทย์ศุภกิจกล่าว สำหรับการตรวจพบสายพันธุ์อินเดียในแคมป์ก่อสร้างเขตหลักสี่ที่พบ 36 ราย เมื่อขยายการตรวจออกไปในพื้นที่อื่นของ กทม. ขณะนี้พบ 62 ราย สายพันธุ์นี้แพร่กระจายเร็วเช่นเดียวกับสายพันธุ์อังกฤษ ความรุนแรงไม่แตกต่างกันมาก วัคซีนยังใช้ได้ ที่บอกว่าสายพันธุ์อินเดียจะหลบเข้าไปในปอด ตรวจหาเชื้อทางจมูกไม่เจอไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด ส่วนสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่ตรวจพบ 11 ราย ยังอยู่ใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ไม่มีการแพร่ออกไปพื้นที่อื่น แต่ต้องมีการเก็บตัวอย่างเชื้อพื้นที่ใกล้เคียงมาตรวจเพิ่มเติม เช่น ยะลา สงขลา พัทลุง เป็นต้น ดังนั้น ขอให้ทุกคนลดการเคลื่อนย้าย ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปพื้นที่อื่น ส่วนความรุนแรงของสายพันธุ์แอฟริกาใต้ เนื่องจากประเทศไทยยังมีข้อมูลน้อยที่จะบอกความรุนแรง ส่วนต่างประเทศมีข้อมูลว่าอาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จึงต้องเฝ้าระวังต่อไป แต่เรารักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่และหายแล้ว 3 ราย “แม้สายพันธุ์อังกฤษ อินเดีย และแอฟริกาใต้ จะแพร่เร็ว แต่การป้องกันโรคโควิด 19 ไม่ได้ยึดว่าเป็นสายพันธุ์อะไรใช้หลักการป้องกันควบคุมโรคเหมือนกัน ทั้งใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดกิจกรรมเสี่ยงปาร์ตี้ สังสรรค์ลดการลักลอบข้ามแดนที่จะนำเชื้อกลายพันธุ์เข้ามา ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ในประเทศ ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้แม้จะลดลงทุกตัว ขออย่ากังวลจนไม่ไปฉีดวัคซีน เพราะสายพันธุ์นี้ยังอยู่ใน อ.ตากใบ และยังไม่ได้มาแทนที่สายพันธุ์อื่น วัคซีนยังมีผลต่อสายพันธุ์อื่นๆ ที่พบในประเทศเป็นส่วนใหญ่ จึงขอให้ทุกคนฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดอัตราป่วยและเสียชีวิต” นพ.ศุภกิจกล่าว *************************************** 25 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42096
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมอำนวยความสะดวกใช้สถานีกลางบางซื่อ จัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมอำนวยความสะดวกใช้สถานีกลางบางซื่อ จัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนผู้มาใช้บริการให้เกิดความสะดวกอย่างเต็มที่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม รายงานว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมกันบูรณาการจัดตั้ง “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” ที่สถานีกลางบางซื่อ สำหรับให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการวัคซีนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น รฟท. ได้ร่วมอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนผู้มาใช้บริการให้เกิดความสะดวกอย่างเต็มที่ สำหรับบรรยากาศการให้บริการในวันแรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ซึ่งเริ่มฉีดวัคซีนแก่ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะที่ลงทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก และพนักงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมนั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร ประธานกรรมการ การรถไฟแห่งประเทศไทย มาร่วมตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนทยอยเดินทางเข้ามารับบริการอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยสามารถฉีดวัคซีนได้ครบตามเป้าหมาย 5,000 คน ทั้งนี้ รฟท. ได้มีการจัดสรรพื้นที่ 14,294 ตารางเมตร ภายในสถานีกลางบางซื่อ สำหรับให้บริการในการฉีดวัคซีน รองรับการฉีดวัคซีนได้สูงสุดถึง 10,000 คนต่อวัน และยังมีพื้นที่สำรองที่สามารถขยายได้หากเกิดความแออัด ทั้งภายนอกอาคารและในอาคารโถงชั้นใน ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ และพื้นที่จอดรถส่วนบุคคล นอกจากนี้ ประชาชนสามารถเดินทางมาด้วยระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายสีน้ำเงิน รถประจำทาง ขสมก. 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) ท่าน้ำบางโพ-สถานีเตาปูนสายสีม่วง 2) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 3) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว - บีทีเอส สถานีหมอชิต หรือ รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร สำหรับประชาชนที่ต้องการรับบริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อนั้น สามารถลงทะเบียนรับคิวได้ผ่านแอพพลิเคชั่น”หมอพร้อม”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติร่างประกาศ “ห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว” แก้ปัญหามลพิษและลักลอบนำเข้ามาแยกชิ้นส่วน
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ครม. อนุมัติร่างประกาศ “ห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว” แก้ปัญหามลพิษและลักลอบนำเข้ามาแยกชิ้นส่วน ครม. อนุมัติร่างประกาศ “ห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้ว” แก้ปัญหามลพิษและลักลอบนำเข้ามาแยกชิ้นส่วน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งร่างประกาศฉบับนี้ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักการจากมาตรการเดิมที่ต้องขออนุญาตนำเข้า เป็น การห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด เพื่อแก้ปัญหามลพิษและการลักลอบนำเข้ามาแยกชิ้นส่วน อย่างไรก็ตาม ยังคงให้สิทธิประชาชนสามารถขออนุญาตนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้วอื่นๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อลดขั้นตอนการทำงานและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1.สินค้าที่ห้ามนำเข้า (พิกัดอัตราศุลกากร 87.11) คือ รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว รถโมแพ็ด (Moped) ใช้แล้ว รถจักรยานใช้แล้วที่ติดตั้งมอเตอร์ช่วย (รถจักรยานไฟฟ้าใช้แล้ว) รวมทั้งรถพ่วงข้าง แต่ไม่รวมรถพ่วงข้างที่ไม่ได้ติดตั้งมากับรถ ยกเว้นกรณีนำเข้าภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอื่น 2.กำหนดประเภทรถจักรยานยนต์ใช้แล้วที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอื่น โดยไม่ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นการนำเข้าโดย สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของต่างประเทศ องค์กรต่างประเทศ หรือบุคคลที่ได้รับสิทธิ การรับบริจาคภายใต้แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร เป็นการนำเข้าชั่วคราวหรือนำเข้ารถจักรยายนต์ใช้แล้วที่ไม่สามารถจดทะเบียนได้ในต่างประเทศ และกรมสรรพสามิต เป็นการนำเข้า เพื่อใช้เป็นรถต้นแบบสำหรับการวิจัยพัฒนาหรือทดสอบสมรรถนะ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร เป็นการนำเข้าเพื่อจัดแสดงพิพิธภัณฑ์เท่านั้น กระทรวงกลาโหม เป็นการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า เมื่อร่างประกาศมีผลบังคับใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ารถจักรยานยนต์ใช้แล้วเพื่อนำมาแยกชิ้นส่วนและจำหน่ายในประเทศ ส่งผลให้ภาครัฐไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่บังคับใช้มาตรการในลักษณะที่คล้ายกับร่างประกาศฉบับนี้ เช่น อุรุกวัย แคนาดา อิตาลี ชิลี และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ...............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางต่างระดับ จุดตัดระหว่าง ทล.23 สายบ้านไผ่-อุบลราชธานี กับถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด (แยกบ้านโนนเมือง)
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางต่างระดับ จุดตัดระหว่าง ทล.23 สายบ้านไผ่-อุบลราชธานี กับถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด (แยกบ้านโนนเมือง) เพิ่มศักยภาพโลจิสติกส์ภาคอิสาน เชื่อมโยงการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน กรมทางหลวง โดยสำนักสำรวจและออกแบบ ได้ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางต่างระดับและทางแยกบนทางหลวง ระหว่างทางหลวงหมายเลข 23 สายบ้านไผ่ – อุบลราชธานี(ถนนแจ้งสนิท) กับทางหลวงหมายเลข 232 ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่หนาแน่นและติดขัดจากสัญญาณไฟจราจรที่จุดตัดทางแยก เพิ่มศักยภาพระบบขนส่งโลจิสติกส์ภาคอีสาน สำหรับทางแยกจุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 23 สายบ้านไผ่ – อุบลราชธานี(ถนนแจ้งสนิท) มีขนาด 4-6 ช่องจราจร กับทางหลวงหมายเลข 232 (ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด) ขนาด 2 - 4 ช่องจราจร หรือจุดตัดแยกบ้านโนนเมือง ตั้งอยู่ที่ กม. 106+956 (ทล. 23) มีลักษณะเป็นสี่แยกที่มีสัญญาณไฟจราจรควบคุม ปัจจุบันทางแยกดังกล่าวเป็นเส้นทางการจราจรสายหลักในการเดินทางสู่จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม เนื่องจากมีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจราจรเกิดการติดขัด ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง และมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง กรมทางหลวง จึงได้ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางต่างระดับระหว่าง จุดตัดทางแยกดังกล่าวให้เป็นระบบวงเวียนเพื่อให้การจราจรเคลื่อนตัวได้อย่างต่อเนื่องและรองรับรถที่ต้องการเลี้ยวขวาได้โดยไม่มีสัญญาณไฟจราจร โดยรายละเอียดรูปแบบทางแยกโครงการมีดังนี้ 1.ทางหลวงหมายเลข 23 สามารถวิ่งผ่านทางแยกโดยก่อสร้างเป็นทางลอดขนาดเล็ก เพื่อให้รถขนาดเล็กสัญจรไป-กลับ โดยมีเขตทาง 60 เมตร จากช่วงทางแยกโนนเมืองไปทางจังหวัดมหาสารคาม และมีเขตทาง 30 เมตร จากช่วงทางแยกโนนเมืองไปจังหวัดร้อยเอ็ด มีความยาวของช่วงที่เป็นทางลอด ประมาณ 525 เมตร ความสูงของทางลอด ประมาณ 2.80 เมตรและมีจำนวน 2 ช่องจราจรไป - กลับ 2. ทางหลวงหมายเลข 232 ออกแบบเป็นสะพานยกระดับข้ามทางหลวงหมายเลข 23 มีความยาวสะพาน ประมาณ 460 เมตร ความสูงสะพานเหนือช่วงวงเวียนไม่น้อยกว่า 5.50 เมตร มีเขตทาง 60 เมตร มีจำนวนช่องจราจร 4 ช่องจราจร โดยออกแบบให้เพิ่มเป็น 6 ช่องจราจรได้ในอนาคต และมีจุดกลับรถใต้สะพานทั้ง 2 ด้าน ลักษณะการก่อสร้าง เป็นถนนแอสฟัลท์คอนกรีต ขนาด 4-6 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร มีเขตทางกว้าง 40-60 เมตร รวมระยะทาง 2 ทิศทาง ทั้งหมดประมาณ 4 กิโลเมตร งบประมาณโครงการ 600 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลเพื่อขอออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณปี พ.ศ.2566 แล้วเสร็จ ปี พ.ศ.2568 ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด แออัด และหนาแน่น ช่วยลดอุบัติเหตุรุนแรงบริเวณทางแยก รวทั้ง พัฒนาคุณภาพการให้บริการเชื่อมเส้นทางระหว่างจังหวัดและต่อเนื่องถนนวงแหวนรอบเมือง ช่วยให้ระบบจราจรเดินทางติดต่อกันได้เป็นระยะทางไกลสู่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ มอบกล้าตะเคียนทองให้นายก และคณะรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมเป็น 1 ใน 100 ล้านกล้า ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินไทย
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 วราวุธ มอบกล้าตะเคียนทองให้นายก และคณะรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมเป็น 1 ใน 100 ล้านกล้า ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินไทย วราวุธ มอบกล้าตะเคียนทองให้นายก และคณะรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมเป็น 1 ใน 100 ล้านกล้า ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินไทย วราวุธ มอบกล้าตะเคียนทองให้นายก และคณะรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมเป็น 1 ใน 100 ล้านกล้า ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินไทย วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) เวลา 08.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าพบนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพื่อมอบกล้าไม้ต้นตะเคียนทอง เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล และในเวลาเดียวกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายให้กรมป่าไม้เป็นผู้แทนกระทรวงฯ นำกล้าไม้มอบให้คณะรัฐมนตรี ทั้ง 20 กระทรวง จำนวน 36 ต้น อาทิ ต้นสัก พะยูง ยางนา ประดู่ป่า ตะเคียนทอง และต้นมะค่าโมง เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการร่วมรณรงค์ปลูกต้นไม้และเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศอีกด้วย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๒ กำหนดให้วันวิสาขบูชาของทุกปีเป็นวันต้นไม้ประจำปี ของชาติเพื่อเป็นการสร้างและกระตุ้นให้ประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ และเป็นการปลูกต้นไม้ในใจคน อีกทั้ง ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และช่วยลดมลภาวะและฝุ่นละอองที่เกิดจากหมอกควัน ที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดทำโครงการปลูกป่าและป้องกัน ไฟป่า เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและการเสื่อมสภาพของป่า โดยเฉพาะในพื้นที่เขาสูงชันทั้งในระยะสั้นและ ระยะยาว ซึ่งมีการดำเนินการให้ครอบคลุมในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน ป่าพรุ และในที่ดินของรัฐประเภท อื่น ๆ เพื่อเป็นการฟื้นฟูป่าต้นน้ำให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กำหนดให้มีพื้นที่สีเขียว ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ ในพื้นที่เป้าหมายที่วางไว้ จำนวน 2.68 ล้านไร่ ในระยะเวลา 8 ปี (2563 – 2570) โดยใน ปี 2564 โดยกำหนดเป้าหมายจะดำเนินการปลูกป่าให้ได้ 400,000 ไร่ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ที่จะปลูก ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ป่าชายเลน และป่าพรุ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2564 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญชวนประชาชนคนไทยได้ร่วมกันปลูกต้นไม้และดูแลต้นไม้ที่ปลูกขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศและขอเชิญชวนลงทะเบียนในโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาส มหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ 100 ล้านต้น ที่เว็บไซต์กรมป่าไม้ https://plant.forest.go.th/statistic โดยในขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนและร่วมปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 44,417,749 ต้น นอกจากนี้กรมป่าไม้ ได้จัดเตรียมกล้าไม้พันธุ์ดีไว้แจกจ่ายให้ประชาชนที่สนใจ สามารถ ไปขอรับได้ที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ทั่วประเทศ หรือสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ส่วนเพาะชำกล้าไม้ เบอร์โทรศัพท์ 02 561 4292 ต่อ 5551 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42062
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๓๐ (The30th Commission on Crime Prevention and Criminal Justice (CCPCJ)
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๓๐ (The30th Commission on Crime Prevention and Criminal Justice (CCPCJ) กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๓๐ (The 30th Commission on Crime Prevention and Criminal Justice (CCPCJ) กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๓๐ (The 30th Commission on Crime Prevention and Criminal Justice (CCPCJ) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดยเข้าร่วมผ่านระบบการประชุมแบบทางไกล (Online participation) ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานประสานงานหลักสำหรับการเข้าร่วมการประชุม CCPCJ สมัยที่ ๓๐ คณะผู้แทนไทยนอกเหนือจากกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกิจการยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมสอบสวนคดีพิเศษ บทบาทของไทยในช่วงการประชุม CCPCJ สมัยที่ ๓๐ ถือได้ว่ามีพลวัตอย่างยิ่ง แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อันได้แก่ การร่วมกล่าวถ้อยแถลงในเกือบทุกวาระการประชุม การเสนอร่างข้อมติ (Draft Resolution) จำนวน ๒ ฉบับ การจัดกิจกรรมคู่ขนาน (Side Events) จำนวน ๑ กิจกรรม ในการนี้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และได้กล่าวถ้อยแถลงในช่วงการอภิปรายทั่วไทย (General Debate) ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ล่วงหน้า (Pre-recorded Statement) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบของ COVID-19 ต่อกระบวนการยุติธรรมในองค์รวม โดยเฉพาะต่อการบริหารจัดการในเรือนจำและทัณฑสถาน และเรียกร้องให้สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime – UNODC) เพิ่มงานวิจัยในเรื่องดังกล่าว รวมถึงผลักดันร่างข้อมติของประเทศไทย จำนวน ๒ ฉบับ คือ ร่างข้อมติ Advancing the Criminal Justice System Reform amidst the Coronavirus Disease (COVID-19) Pandemic ซึ่งยกร่างโดยกระทรวงการต่างประเทศ และร่างข้อมติ Integrating sport into youth crime prevention and criminal justice strategies ซึ่งยกร่างโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามการประชุมได้ที่ https://www.unodc.org/unodc/en/commissions/CCPCJ/session/30_Session_2021/session-30-of-the-ccpcj.html
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ เตรียมลุยอีสานเร่งควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ Kick off ปล่อยขบวนสัตวแพทย์ ป้องกัน ควบคุมแมลงพาหะนำโรค ขอความร่วมมือผู้เลี้ยงห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ มั่นใจหยุดยั้งได้
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ‘รมช.ประภัตร’ เตรียมลุยอีสานเร่งควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ Kick off ปล่อยขบวนสัตวแพทย์ ป้องกัน ควบคุมแมลงพาหะนำโรค ขอความร่วมมือผู้เลี้ยงห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ มั่นใจหยุดยั้งได้ ‘รมช.ประภัตร’ เตรียมลุยอีสานเร่งควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ Kick off นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) ในโค กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 และเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 64 ตนในฐานะกำกับดูแลกรมปศุสัตว์ได้ลงพื้นที่ จ.ตาก เพื่อประชุมเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคลัมปี สกิน โดยได้ปิดด่านชายแดนทั้งหมดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจน ออกมาตรการเข้มงวด หากมีการเคลื่อนย้ายต้องตรวจเลือดโค กระบือทุกตัว และกักโค กระบือ 28 วัน โดยขณะนี้โรคดังกล่าวได้แพร่ระบาดใน 35 จังหวัด ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ และได้รับรายงานจากกรมปศุสัตว์ว่า มีโค กระบือป่วยกว่า 7,000 ตัว จาก 6 ล้านตัวทั่วประเทศ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และกำชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไขปัญหาการควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และจำกัดโรค เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อคลายความวิตกกังวลของพี่น้องเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกจังหวัด เตรียม Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน ในวันที่ 25 - 26 พ.ค. 64 ณ จ.ขอนแก่น สกลนคร และมุกดาหาร โดยกิจกรรมประกอบด้วย การปล่อยขบวนสัตวแพทย์เคลื่อนที่ หน่วยพ่นยาทำลายเชื้อโรค แจกและพ่นสารเคมีกำจัดแมลงที่เป็นพาหะ แจกยารักษาแผลภายนอก ยาบำรุง แร่ธาตุ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจโรคและการป้องกันให้กับพี่น้องเกษตรกร พร้อมกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ของโรคอย่างใกล้ชิด นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน แบ่งเป็น 2 โซน คือ 1.พื้นที่เกิดโรค Infected Zone 50 กิโลเมตร โดยฉีดวัคซีนในอำเภอที่อยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตรจากพื้นที่เกิดโรค และมีมาตรการห้ามเคลื่อนย้ายโค กระบือที่ฉีดวัคซีนออกจากคอกเลี้ยงเป็นระยะเวลา 30 วัน และ 2.พื้นที่เฝ้าระวังโรค Surveillance Zone 100 กิโลเมตร ไม่ฉีดวัคซีน สามารถเคลื่อนย้ายภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น การดำเนินการฉีดวัคซีนต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ รวมทั้งต้องมีการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ที่ฉีดวัคซีนทุกตัว “การนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน ลอตแรกจะถึงในวันศุกร์ที่ 28 พ.ค. นี้ จำนวน 60,000 โด๊ส ทั้งนี้การออกให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันแก่โค-กระบือของเกษตรกร จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน เป็นผู้พิจารณา โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามแต่งตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนต้องปฏิบัติควบคู่กับมาตรการของกรมปศุสัตว์ โดยเฉพาะควบคุมการเคลื่อนย้าย และกำจัดแมลงพาหะของโรค ในส่วนของเกษตรกรที่มีความตื่นตระหนกและมีความต้องการวัคซีนสูง ขอชี้แจงว่าวัคซีน 60,000 โด๊สนี้ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน จะทำการแจกจ่ายไปตามพื้นที่ที่เกิดโรคในขณะนี้ก่อน ซึ่งบางจังหวัดยังไม่เกิด แต่มีความต้องการด้วย จึงเตรียมของบกลางเพิ่มอีกสำหรับจังหวัดที่ต้องการ”นายประภัตร กล่าว ทั้งนี้ ได้รับรายงานสถานการณ์โรคลัมปีสกิน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564) พบรายงานการเกิดโรคลัมปี สกินใน 35 จังหวัด เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ 2,172 ราย โคกระบือป่วยสะสม 7,200 ตัว และตายสะสม 53 ตัว คิดเป็นอัตราป่วยเฉลี่ย 27% อัตราตายเฉลี่ย 0.19% นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคลัมปี สกิน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จะเกิดเฉพาะในโค-กระบือ ไม่ติดต่อจากสัตว์สู่คน รักษาหายได้ และสามารถบริโภคได้ โดยสัตว์ที่ป่วยจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้คือ พบตุ่มเนื้อบนผิวหนัง และเยื่อเมือกทั่วร่างกาย ซึ่งต่อมาจะตกสะเก็ดและเป็นแผลหลุม สัตว์อาจมีไข้และหายใจลำบากร่วมด้วย ขอให้พี่น้องเกษตรกรหมั่นดูแลสุขภาพของโค-กระบือ ให้มีสุขภาพแข็งแรง หากพบสัตว์มีอาการผิดปกติ สงสัยว่าป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จังหวัด หรือ ปศุสัตว์อำเภอในท้องที่ หรือโทรศัพท์สายด่วน 06-3225-6888 หรือทางแอพพลิเคชั่น DLD4.0 เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 5 มาตรการควบคุมและป้องกันโรคลัมปี สกิน มีดังนี้ 1) ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค และปฏิบัติตามแนวทางการเคลื่อนย้ายของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด 2) เฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด เน้นการรู้โรคให้เร็ว ควบคุมได้ทัน โรคสงบได้อย่างรวดเร็ว 3) การป้องกัน และควบคุมแมลงพาหะนาโรค 4) รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ เพื่อลดความสูญเสียแก่เกษตรกร และ 5) การใช้วัคซีนควบคุมโรค กรณีมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายให้ปฏิบัติตามตามแนวทางการเคลื่อนย้ายที่กรมปศุสัตว์กำหนด จึงย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจตราอย่างเข้มงวด หากพบการกระทำความผิด ให้ดำเนินคดีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดกู้สินเชื่อ "SMEs มีที่ มีเงิน" รอบใหม่ ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ลงทะเบียนยื่นกู้ทาง www.gsb.or.th ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2564
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 เปิดกู้สินเชื่อ "SMEs มีที่ มีเงิน" รอบใหม่ ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ลงทะเบียนยื่นกู้ทาง www.gsb.or.th ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 มิถุนายน 2564 ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้ ธ.ออมสินช่วยเหลือ SMEs ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้องการสภาพคล่อง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารออมสินช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้องการสภาพคล่อง ธนาคารจึงได้เปิดให้ลงทะเบียนขอกู้โครงการดังกล่าวอีกครั้งที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด ทั้งนี้ สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน เป็นสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โดยผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ ให้กู้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถใช้ที่ดินเปล่าหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกันการกู้ รวมถึงสามารถไถ่ถอนที่ดินซึ่งทำสัญญาขายฝากกับเอกชนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2563 ให้วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดินราชการ ระยะเวลากู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.10% ต่อปี ปีที่ 2 = 0.99 ต่อปี และปีที่ 3 = 5.99 ต่อปี กรณีบุคคลธรรมดาให้กู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วนนิติบุคคลให้กู้ไม่เกิน 50 ล้านบาท.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42072
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 138 เขตการเดินรถที่ 5 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 15 เขตการเดินรถที่ 5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42039
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี คุ้มเกล้า เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารนวราชจักรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี คุ้มเกล้า โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. แจงปรับแผนกระจายวัคซีนโควิดตามสถานการณ์ระบาด
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ปลัด สธ. แจงปรับแผนกระจายวัคซีนโควิดตามสถานการณ์ระบาด ปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจงแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ปรับตามสถานการณ์การระบาด ยันทุกคนได้รับการฉีดตามความสมัครใจ วันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แผนการกระจายวัคซีนมีการพิจารณา ทั้งจากจำนวนประชากรแต่ละจังหวัด พื้นที่ระบาด และพื้นที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยว ทั้งนี้ แผนการกระจายวัคซีนสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด เช่นขณะนี้มีการระบาดในเพชรบุรี นนทบุรี เพิ่มมากขึ้น จึงต้องมีการปรับการกระจายวัคซีน ไม่ว่าจะปรับแผนการกระจายวัคซีนอย่างไร ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนทุกคนตามความสมัครใจ “ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขมีแผนจัดหาวัคซีนมาให้แต่ละพื้นที่ ส่วนแผนการฉีดให้ประชาชนขึ้นกับการพิจารณาของแต่ละพื้นที่ สำหรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จากการหารือกับบริษัทผู้ผลิตมาอย่างต่อเนื่องทางแอสตร้าเซนเนก้าทราบถึงแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทย และจะจัดส่งวัคซีนให้ได้ตามแผนคือมิถุนายนนี้ตามที่ได้ตกลงกัน อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีวัคซีนซิโนแวค กำลังตรวจรับรองรุ่นการผลิต 2.5 ล้านโดส และมิถุนายนนี้จะสั่งเข้ามาอีก 3 ล้านโดสเพื่อนำมาใช้ควบคู่กัน” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว สำหรับโรงพยาบาลบุษราคัม ขณะนี้ได้รับดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แล้ว 737 ราย ส่งต่อรักษา 29 ราย ยังอยู่ระหว่างรักษา 669 ราย เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย 474 ราย กลุ่มอาการปานกลาง 195 ราย กลับบ้านได้เพิ่ม 6 ราย สะสม 39 ราย ซึ่งผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงมีการเตรียมพร้อมเฟส 2 ขยายเตียง จำนวน 1,080 เตียง พร้อมวางผนังกั้น จัดทำห้องควบคุมความดันลบ ระบบกล้องวงจรปิดระบบอากาศ และระบบสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าให้เสร็จ 27 พฤษภาคมนี้ และเปิดรับผู้ป่วยในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม ขอชื่นชมทีมบุคลากรแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ จากจังหวัดต่างๆ ซึ่งเข้าปฏิบัติงานชุดแรกอาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี โรงพยาบาลสงขลา โรงพยาบาลสกลนคร เป็นต้น ให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถ ประสบการณ์และความตั้งใจสูง ทำให้กระบวนการดูแลรักษาเป็นไปได้อย่างราบรื่น และจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทีมชุด 2 ในวันที่ 27 พฤษภาคม นี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดูแลผู้ป่วย ********************** 24 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยไทยมีวัคซีนโควิด 19 พร้อมฉีดให้ประชาชนตามกำหนด
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 “อนุทิน” เผยไทยมีวัคซีนโควิด 19 พร้อมฉีดให้ประชาชนตามกำหนด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 พร้อมฉีด ปูพรมตามกำหนดที่วางไว้ และมั่นใจบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าส่งวัคซีนตามกำหนด ยืนยันวัคซีนที่จัดหามาทุกชนิด มีคุณภาพ ผ่านการรับรองคุณภาพ ความปลอดภัยจากสถาบันทางการแพท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 พร้อมฉีดปูพรมตามกำหนดที่วางไว้ และมั่นใจบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าส่งวัคซีนตามกำหนดยืนยันวัคซีนที่จัดหามาทุกชนิดมีคุณภาพผ่านการรับรองคุณภาพ ความปลอดภัยจากสถาบันทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ วันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าให้ได้ 12 โดสต่อ 1 ขวด ว่า ไม่ได้กำหนดเป็นนโยบายว่าต้องได้ 12 โดส แต่บอกว่าพยายามดึงยาให้ได้ โดยสิ่งที่ต้องย้ำคือต้องได้โดสละ 0.5 ซีซีตามมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนตามที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ทุกคนจะได้วัคซีนครบโดสเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด จากขวดเดียวกัน ส่วนกรณีหน่วยบริการหลายแห่ง เลื่อนการฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ออกไปเนื่องจากกังวลเรื่องวัคซีนจะมาไม่ทันตามกำหนดนั้น ขอชี้แจงว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ไม่ได้กำหนดส่งในวันที่ 1 มิถุนายน แต่จะเริ่มจัดส่งภายในเดือนมิถุนายน และทางบริษัทก็รับทราบกำหนดการที่รัฐบาลวางแผนฉีดวัคซีนแบบปูพรมอยู่แล้ว “ประเทศไทยยังมีวัคซีนซิโนแวคพร้อมอยู่ และมั่นใจว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งวัคซีนตามข้อกำหนด โดยสัญญาระบุว่าหากวัคซีนที่ผลิตในไทยยังจัดส่งไม่ได้ก็ต้องจัดหามาจากแหล่งผลิตอื่นส่งให้ไทย ยืนยันเรามีวัคซีนฉีดให้กับพี่น้องประชาชนตามกำหนดของรัฐบาลแน่นอน และในช่วงบ่ายวันนี้บริษัทไฟเซอร์ได้มาหารือเกี่ยวกับเอกสารสำหรับยื่น ถือเป็นการนับหนึ่ง ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน อย่าไปกังวล” นายอนุทิน กล่าว สำหรับในวันที่7 มิถุนายน ที่จะเริ่มฉีดวัคซีนให้ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม จะใช้วัคซีนที่มีทั้งหมดในประเทศไทยไม่เฉพาะวัคซีนของแอสตร้าฯ ทุกคนจะได้รับวัคซีนที่ดี มีมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการรับรองวัคซีนซิโนแวค ทางบริษัทผู้ผลิตได้ยื่นเรื่องกับองค์การอนามัยโลกแล้วอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามวัคซีนซิโนแวคก็ถูกตรวจสอบและรับรองจากสถาบันการแพทย์หลายสถาบันว่าเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพสูงรวมทั้งในไทยผ่านการรับรองจาก อย., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจากข้อมูลการฉีดไปกว่า3 ล้านโดส พบว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้นสูงเช่นกัน ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีทางเอาวัคซีนที่ไม่มีคุณภาพมาฉีดให้ประชาชน *************************************** 24 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42052
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชี้แจงข้อวิจารณ์การจัดสรรวัคซีน
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 สธ. ชี้แจงข้อวิจารณ์การจัดสรรวัคซีน อธิบดีกรมควบคุมโรค เผย ศบค.เตรียมประชุมหารือปรับแผนการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ภายในสัปดาห์นี้ ยืนยันเปิดเผยแผนกระจายวัคซีนมาต่อเนื่อง วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงถึงกรณีสื่อรายงานข่าว กล่าวถึงการกระจายวัคซีน โดยมีเนื้อหาข่าวว่า “การกระจายวัคซีนโควิด 19 เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องให้ความใส่ใจและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและมีเหตุผลที่จะรับกันได้ เพราะกำลังมีข้อครหาว่ากำลังมีการใช้ “วัคซีน” เพื่อประโยชน์ทางการเมืองจากการแบ่งสรรให้พื้นที่หนึ่งพื้นที่ใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เพราะหากไม่โปร่งใส อธิบายเหตุผลไม่ได้ นั่นแหละที่จะสร้างความคับข้องใจ ไม่สบายใจและก่อหวอดขึ้นมาได้เนื่องจากจะเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สร้างความเหลื่อมล้ำซ้ำเติมเข้าไปอีก วันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังให้ความไว้วางใจยอมให้บริหารประเทศต่อไปก็เพราะเห็นว่าพอจะฝากผีฝากไข้ได้” จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของประเทศไทย โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนโควิด 19 ภายในสัปดาห์นี้ โดยคำนึงถึง 4 ปัจจัย ดังนี้ 1. จำนวนวัคซีนที่มี 2. จำนวนประชากร 3. สถานการณ์การระบาดในปัจจุบัน 4. กลุ่มเป้าหมาย เช่น ครู แรงงาน ซึ่งการจัดสรรต้องคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดเพื่อควบคุมโรค สำหรับแผนการฉีดวัคซีนบุคคลทั่วไป ที่จะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2564 จะใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็นหลักตามจำนวนที่วัคซีนเข้ามา โดยจะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากระจายไปทุกจังหวัด 16 ล้านโดส ในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2564 ส่วนวัคซีนซิโนแวคเป็นส่วนเสริม สำหรับประเทศไทยเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 เป็นต้นมา โดยวัคซีนซิโนแวคที่เข้ามารวม 3.5 ล้านโดส และกระจายฉีดวัคซีนไปทั่วประเทศ แล้ว 2.9 ล้านโดส ประสิทธิภาพของวัคซีนยังให้ผลดี ทั้งลดอัตราการเสียชีวิตและความรุนแรงของโรค ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข มีการเปิดเผยแผนกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงนี้อยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการแต่ละระดับชั้น และปรับตามความคิดเห็นข้อแนะนำของคณะกรรมการแต่ละระดับ ที่ผ่านมาประเด็นดังกล่าวได้เข้าสู่ที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ซึ่งหากมีข้อแนะนำเพิ่มเติม สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตามความเหมาะสมและสถานการณ์ของการระบาดในปัจจุบัน และปริมาณวัคซีนที่ประเทศไทยได้รับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42053
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.สกลนคร
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.สกลนคร ​กระทรวงเกษตร ฯ Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จ.สกลนคร ย้ำโค-กระบือ เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน แนะเกษตรกรรวมกลุ่ม 7 คน เข้าโครงการล้านละร้อยของรัฐบาล นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดสกลนคร และมอบสารกำจัดแมลงพาหะ จำนวน 5,000 ลิตร แร่ธาตุก้อน จำนวน1,000 ก้อน ฟางอัดแห้ง จำนวน 10,000 กิโลกรัม ให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน ณ โรงเรียนบ้านเชียงสือราษฎ์อำนวย ตำบลเชียงสือ อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยมีนายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้นำภาคประชาชนเข้าร่วม ว่า สถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin Disease) ใน 18 อำเภอ ของจังหวัดสกลนคร พบโค-กระบือ ติดเชื้อรวม 3,530 ตัว มีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 1,035 ราย ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครได้ออกประกาศ กำหนดเขตโรคระบาดชนิดลัมปี สกิน ในโคและกระบือ ทุกพื้นที่ของจังหวัดสกลนครแล้ว “การเลี้ยงวัวที่จังหวัดสกลนครประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศ โดยในภาพรวมขณะนี้จังหวัดสกลนครรับมือกับการระบาดได้อย่างดีเยี่ยม ขอให้รักษามาตรฐานการป้องกันนี้ต่อไป ส่วนในเรื่องของวัคซีนที่จะมาถึง 60,000 โด๊ส จะถูกจัดสรรโดยมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน เป็นผู้พิจารณา ขอให้เกษตรกรอย่าได้เป็นกังวล แต่ในขณะนี้การระบาดของโรคเกิดขึ้นที่สกลนครมากที่สุด ซึ่งการระบาดมีแมลงและยุงเป็นพาหะ ขอให้หน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนเร่งทำการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุก ให้เกษตรกรทราบถึงวิธีการป้องกัน วิธีการดูแลสัตว์ในสถานการณ์การระบาดของโรค และวิธีสังเกตุอาการของสัตว์ที่ป่วยอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เพื่อคลายความกังวลของเกษตรกรต่อโรคระบาดนี้ และขอยืนยัน โรคลัมปี สกิน โค-กระบือ เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน” นายประภัตร กล่าว นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงโครงการล้านละร้อยของรัฐบาล โดยการเข้าร่วมโครงการนั้น ขอให้เกษตรกรรวมตัวกันให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อทำเรื่องยื่นกู้กับ ธกส. โดย 1 วิสาหกิจชุมชนสามารถกู้ได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ดังนั้นขอความร่วมมือจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลในเรื่องนี้ เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจได้เข้าร่วมโครงการ ในการประกอบอาชีพปศุสัตว์ เลี้ยงวัว หรือเลี้ยงสัตว์ประเภทอื่นที่มีตลาดรองรับ เพื่อเป็นการสร้างอาชีพ สร้างความยั่งยืน” รมช.ประภัตรกล่าว สำหรับงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดสกลนคร มีกิจกรรมประกอบด้วย 1.ปล่อยขบวนสัตวแพทย์เคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรักษาโค -กระบือ ที่ป่วย โดยเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น 2. ปล่อยขบวนหน่วยพ่นยาทำลายเชื้อโรคและพ่นสารเคมีกำจัดแมลง ซึ่งเป็นพาหะของโรค เพื่อยับยั้ง ชะลอการแพร่ระบาด 3. แจกสารเคมีกำจัดแมลงที่เป็นพาหะ แจกยารักษาแผลภายนอก ยาบำรุง แร่ธาตุ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจโรคและการป้องกันให้กับเกษตรกร สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โรคลัมปี สกิน เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ของโรคอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือเบื้องต้น หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคลัมปี สกิน สามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่ของท่าน หรือติดต่อสำนักควบคุมโรค ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ (สบค.) กรมปศุสัตว์ หรือสายด่วนแจ้งโรคระบาดกรมปศุสัตว์ โทร 063 - 225 - 6888 หรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 "แจ้งการเกิดโรคนะบาด" ได้ตลอดเวลา และสามารถติดตามสถานการณ์การระบาดและศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคลัมปี สกิน ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักควบคุม ป้องกันแบะบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ www.sites.google.com/view/dldlsd/home.com
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42099
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับมอบกล้าไม้ “ต้นตะเคียนทอง” เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและให้สภาพอากาศดีขึ้น
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายกฯ รับมอบกล้าไม้ “ต้นตะเคียนทอง” เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและให้สภาพอากาศดีขึ้น นายกรัฐมนตรี รับมอบกล้าไม้ “ต้นตะเคียนทอง” เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและให้สภาพอากาศดีขึ้น วันนี้ (25 พ.ค.64) เวลา 08.00 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายอดิศร นุชดำรง อธิบดีกรมป่าไม้ เข้าพบเพื่อมอบกล้าไม้ เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 สำหรับเป็นผู้นำและเชิญชวนประชาชนในการร่วมกันปลูกต้นไม้ โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 31มกราคม 2532 กำหนดให้วันวิสาขบูชาของทุกปีเป็น “วันต้นไม้ประจำปีของชาติ” เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ ซึ่งช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน โดยในปีนี้“วันต้นไม้ประจำปีของชาติ” ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 จึงถือโอกาสนี้มอบต้นกล้าไม้ “ต้นตะเคียนทอง” ให้กับนายกรัฐมนตรี รวมถึงมอบต้นกล้าไม้อื่น ๆ ให้กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย เพื่อจะได้นำไปปลูกต่อไป โดยต้นกล้าไม้ต่าง ๆ ดังกล่าวได้ผ่านพิธีเจริญพระพุทธมนต์เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และได้มอบแจกจ่ายให้ประชาชนไปส่วนหนึ่งแล้ว นายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นหลักในการปลูกต้นไม้ ซึ่งต้นไม้เป็นส่วนสำคัญในการรักษาโลก สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ ซึ่งมีแผนแม่บททั้งในระยะสั้นและระยะยาว และกิจกรรมต่าง ๆ รองรับในการร่วมกันปลูกต้นไม้ โดยสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกต้นไม้คือทำให้อากาศและสภาพแวดล้อมดีขึ้น ขณะนี้กำลังให้มีการหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาถึงการที่จะประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาปลูกต้นไม้ร่วมกัน โดยอาจพิจารณาให้ปลูกในบริเวณชายแดน ซึ่งจะเป็นการสร้างความร่วมมือในประเทศอาเซียนด้วยกันตามนโยบาย Thailand Plus One รวมถึงการลดการเผาซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ขอให้มีการรณรงค์เชิญชวนประชาชนมาร่วมกันปลูกป่าให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว นายกรัฐมนตรียังได้ให้คำแนะนำในการเตรียมต้นกล้าที่เหมาะสมสำหรับการปลูก ต้องมีขนาดความสูงเกิน 1 เมตรโดยประมาณ ซึ่งจะช่วยลดการตายของต้นไม้ได้พร้อมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเตรียมกล้าไม้ให้เพียงพอสำหรับการปลูกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้อวยพรให้การดำเนินกิจกรรมและโครงการในการปลูกต้นไม้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ด้วยดี รวมถึงโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน” สืบสานการปลูกต้นไม้ สู่ 100 ล้านต้น ด้วย ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42059
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อบก.) ส่วนกลาง
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อบก.) ส่วนกลาง กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อบก.) ส่วนกลาง เพื่อรายงานสถานะการเงินและผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อบก.) ส่วนกลาง ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รายงานสถานะการเงินและผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 มีผลการดำเนินงานดังนี้ ตั้งแต่ปี 2534 ถึงปัจจุบันอนุมัติเงินกู้ไปแล้ว จำนวน 35,068 ราย วงเงิน 8,184.41 ล้านบาท ช่วยรักษาที่ดินไว้ได้ จำนวน 309,978 ไร่ ปีงบประมาณ 2564 อนุมัติเงินกู้ให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจน จำนวน 495 ราย วงเงิน 296.98 ล้านบาท ช่วยรักษาที่ดินไว้ได้ จำนวน 3,208 ไร่ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน (อบก.) ส่วนกลาง ครั้งที่ 4/2564 อนุมัติเงินกู้จำนวน 1 ราย วงเงิน 477,000 บาท อนุมัติให้ลูกหนี้ประนอมหนี้จำนวน 3 ราย วงเงิน 1,323,575.85 บาท สรุปผลการติดตามรับชำระหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 เมษายน 2564 แบ่งเป็น เงินรับชำระหนี้เงินต้นจากเกษตรกร จำนวนเงิน 159.85 ล้านบาท และเงินรับชำระหนี้ดอกเบี้ยจากเกษตรกร จำนวนเงิน 55.67 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 215.26 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลฟื้นฟูอาชีพและช่วยเหลือเกษตรกร ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เพื่อให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แจ้งให้เจ้าหน้าที่ ธกส. สาขา ลงพื้นที่เพื่อพบปะพูดคุยกับลูกหนี้ทุกราย พร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือการชำระหนี้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับมอบต้นมะค่าโมงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม รับมอบต้นมะค่าโมงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบต้นมะค่าโมงจากนายนพดล ฮมแสน ผู้อำนวยการกองการอนุญาต กรมป่าไม้ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔ ในวันอังคารที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ โถงกลาง ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบต้นมะค่าโมงจากนายนพดล ฮมแสน ผู้อำนวยการกองการอนุญาต กรมป่าไม้ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมีนายสำรวม บุญเสริม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านบริหารทรัพยากรบุคคล เข้าร่วมด้วย สำหรับกล้าไม้ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำมามอบให้กระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย ๕ พันธุ์ไม้ คือ มะค่าโมง เหลืองปรีดียาธร มะฮอกกานีใบใหญ่ พะยูง และกระถินเทพา รวมจำนวน ๑๐๑ ต้น ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำส่งกล้าไม้ให้กับคณะรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อร่วมกันปลูกต้นไม้ ในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ตามโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ ๑๐๐ ล้านต้น เพื่อเป็นการสร้างและกระตุ้นให้ประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ตลอดจนช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน ช่วยให้อากาศกลับมาสะอาดเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 311 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายป้องกันไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 311 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายป้องกันไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ครม. อนุมัติกรอบวงเงิน 311 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายป้องกันไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ อนุมัติกรอบวงเงิน 311,650,300 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ จำนวน 5 รายการ ประกอบด้วย -ค่าชุดตรวจไวรัสโควิด-19 แบบ RT PCR จำนวน 100,000 ชุดเป็นเงิน 80 ล้านบาท -ค่าก่อสร้างโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยวิกฤติในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 2 แห่งเป็นเงิน 51,967,200 บาท -ค่าก่อสร้างโรงพยาบาลสนามประจำเขตกลุ่มเรือนจำและทัณฑสถาน จำนวน 10 แห่ง เป็นเงิน 92,680,000 บาท -ค่าก่อสร้างและปรับปรุงห้องกักกันโรคประจำเรือนจำและทัณฑสถานจำนวน 65 แห่ง เป็นเงิน 49,835,500 บาท -ค่าวัสดุ อุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน เป็นเงิน 37,167,600 บาท สำหรับการจัดหายาฟาวิพิราเวียสำหรับผู้ติดเชื้อนั้น ให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามแนวปฏิบัติโดยขอรับการสนับสนุนยาจากกระทรวงสาธารณสุขโดยตรงและเร่งด่วน นายอนุชา กล่าวว่า “สืบเนื่องจากปัญหาการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานหลายแห่ง จึงจำเป็นต้องก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ พร้อมจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อแก้ไขและป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงได้มีบัญชาเห็นชอบให้ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยให้กรมราชทัณฑ์เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมด้วย” ............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการประชุมออนไลน์ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการประชุมออนไลน์ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 การกำหนดแนวทางการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นไปอย่างคล่องตัว นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานของรัฐจึงต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค ด้วยการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งการดำเนินงานตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดความล่าช้า คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (กวจ.) จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (6) ประกอบมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (7) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 27 วรรคหก จึงได้กำหนดแนวทางการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1. การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐอาจใช้การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้เฉพาะกรณีการประชุมพิจารณาเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างหรือการนำเสนองานหรือการประชุมพิจารณาพัสดุที่ไม่จำเป็นต้องจับต้องหรือตรวจรับทางกายภาพของตัวพัสดุที่ส่งมอบนั้น เช่น 1.1 การประชุมพิจารณาเอกสารของคณะกรรมการเพื่อจัดทำร่างขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุ 1.2 การประชุมพิจารณาเอกสารของผู้ยื่นข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์หรือคณะกรรมการพิจารณาผลการสอบราคา หรือคณะกรรมการซื้อหรือจ้างโดยวิธีคัดเลือก หรือคณะกรรมการซื้อหรือจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หรือคณะกรรมการดำเนินงานจ้างที่ปรึกษา หรือคณะกรรมการดำเนินงานจ้างออกแบบ หรือควบคุมงานก่อสร้าง 1.3 การประชุมของผู้มีอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง เช่น คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ หรือสภามหาวิทยาลัย 1.4 การประชุมของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เช่น การตรวจรับพัสดุในการตรวจรับพัสดุในงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง การตรวจรับระบบหรือซอฟต์แวร์ที่อยู่บน Cloud หรือการใช้วิธีการเข้าถึงทางไกล (Remote access) หรือการตรวจรับพัสดุในงานก่อสร้าง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานก่อสร้างอาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ ในกรณีการประชุมพิจารณาบันทึกผลการออกตรวจงานจ้างก่อสร้างของกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการตรวจรับพัสดุให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ ตามระเบียบฯ ข้อ 176 (3) เป็นต้น ทั้งนี้ การประชุมที่นอกเหนือจากข้างต้น ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 2. การจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2.1 การส่งหนังสือเชิญประชุมและเอกสารประกอบการประชุม จะส่งโดยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ โดยผู้ทำหน้าที่จัดการประชุมต้องจัดเก็บสำเนาหนังสือเชิญประชุมและเอกสารประกอบการประชุมไว้เป็นหลักฐานในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ 2.2 การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้มีหน้าที่จัดการประชุมต้องดำเนินการจัดให้ผู้ร่วมประชุมแสดงตนเพื่อร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก่อนร่วมการประชุม จัดให้ผู้ร่วมประชุมสามารถลงคะแนนได้ จัดทำรายงานการประชุมเป็นหนังสือ จัดให้มีการบันทึกเสียงหรือทั้งเสียงและภาพ แล้วแต่กรณีของผู้ร่วมประชุมทุกคน ตลอดระยะเวลาที่มีการประชุมในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และจัดเก็บข้อมูลจราจรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ร่วมประชุมทุกคนไว้เป็นหลักฐาน และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการประชุม 2.3 มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และมาตรฐานระบบควบคุมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้ดำเนินการตามประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และตามประกาศสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนด 2.4 การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางนี้ ให้ถือว่าเป็นการประชุมที่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้เข้าร่วมประชุมสามารถได้รับค่าตอบแทนตามที่กระทรวงการคลังกำหนด “การกำหนดแนวทางการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เป็นไปอย่างคล่องตัว อันจะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่กำหนด โดยแนวทางดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป รายละเอียดตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 279 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลางหมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42047
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ ร่วมประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ การประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกลวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล และมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกลวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ณ ห้องประชุมชั้น ๑๗ อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42055
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ทดลองระบบวันแรกให้กับบุคลากรขนส่งสาธารณะ
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 อนุทิน เยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ทดลองระบบวันแรกให้กับบุคลากรขนส่งสาธารณะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ทดลองระบบฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะวันแรกตั้งเป้า 3,000-5,000 คน ครึ่งวันมีผู้เข้ารับบริการกว่า 1,000 คน วันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ มาตรวจเยี่ยมการทดลองระบบฉีดวัคซีนโควิด 19 ในส่วนที่กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม จัดบริการสำหรับกลุ่มบุคลากรขนส่งสาธารณะซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จากการทดลองระบบก่อนเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ภาพรวมถือว่าเป็นที่น่าพอใจ พร้อมให้บริการได้อย่างรวดเร็วในวันจริง โดยในระยะแรกได้เปิดให้บริการแก่บุคลากรด้านขนส่งสาธารณะ เช่น แท็กซี่ รถเมล์ เรือโดยสาร รถทัวร์ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รวมถึงกลุ่มผู้ให้บริการส่งอาหาร และองค์กรใหญ่ๆ ส่วนราชการที่มีบุคลากรในสังกัดจำนวนมาก เพื่อแบ่งเบาภาระของสถานพยาบาลที่จะต้องให้บริการประชาชนทั่วไปไม่ให้เกิดความแออัด ส่วนในระยะต่อไป จะเปิดระบบOnsite Registration ตามนโยบายที่ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงบริการวัคซีนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในครึ่งวันเช้าวันนี้มีผู้ที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 1,000 คน พบผู้ที่มีอาการหลังฉีดวัคซีนที่เกิดขึ้นได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพียง 8 คน ส่วนใหญ่มีอาการเวียนศีรษะ และ 1 ราย มีผื่นขึ้น ไม่มีอาการรุนแรงแต่อย่างใดและในช่วงบ่ายวันนี้ มีผู้ที่ลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนอีกจำนวน 3,900 คน และจะปรับจำนวนผู้เข้ารับบริการเพิ่มขึ้นในวันต่อไป “ขอขอบคุณทุกคนที่พร้อมใจเข้ามาฉีดวัคซีน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขจัดหามาให้เป็นวัคซีนที่ดี เหมาะสม มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย มีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคน” นายอนุทินกล่าว ********************** 24 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน คาดโทษ เจ้าหน้าที่รัฐ หากละเลยไม่ตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดี คนต่างด้าว และนายจ้างที่กระทำผิด มีโทษผิดวินัย และอาจได้รับโทษทางอาญา
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 รมว.แรงงาน คาดโทษ เจ้าหน้าที่รัฐ หากละเลยไม่ตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดี คนต่างด้าว และนายจ้างที่กระทำผิด มีโทษผิดวินัย และอาจได้รับโทษทางอาญา กระทรวงแรงงานออกประกาศ เรื่อง มาตรการควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ได้ออกประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง มาตรการควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โดยประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวและป้องกันการลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน ตลอดจนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งย้ำเตือนให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ หากพบว่าเจ้าหน้าที่พบการกระทำความผิดแล้วไม่ดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม หรือดำเนินคดีกับคนต่างด้าว และนายจ้าง/สถานประกอบการ จะถือว่ากระทำผิดวินัย และอาจได้รับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน สั่งการให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ทั้งยังกำชับเจ้าหน้าที่ หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จะมีโทษทางวินัย และโทษทางอาญาไม่มีละเว้น นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานขอฝากถึงพี่น้องแรงงานต่างด้าว ให้เคารพกฎหมายของประเทศไทย อย่าลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย เพราะหากเป็นแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกกฎหมายแล้ว กรณีเจ็บป่วย หรือติดเชื้อโควิด -19 จะได้รับการคุ้มครองและรักษาตามสิทธิประกันสุขภาพ หรือหากอยู่ในกิจการที่มีประกันสังคม จะถือเป็นผู้ประกันตนและได้รับการดูแลรักษาตามสิทธิ ไม่ต่างจากคนไทย ทั้งสามารถทำงานอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ต้องคอยหลบหนีการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม หรือดำเนินคดีกับคนต่างด้าว และนายจ้าง/สถานประกอบการที่กระทำความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุก และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานอีก 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี ทั้งนี้ ผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส โชว์ผลงาน 7 ปีรัฐบาลลุงตู่ ขับเคลื่อนโครงสร้างดิจิทัล 5 ด้านยกระดับศก.-สังคม
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส โชว์ผลงาน 7 ปีรัฐบาลลุงตู่ ขับเคลื่อนโครงสร้างดิจิทัล 5 ด้านยกระดับศก.-สังคม ดีอีเอส โชว์ผลงาน 7 ปีรัฐบาลลุงตู่ ขับเคลื่อนโครงสร้างดิจิทัล 5 ด้านยกระดับศก.-สังคม “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสโชว์ผลงาน7ปีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เอาจริงขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล5ด้านวางฐานแกร่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเผยเป็นรัฐบาลที่ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารบนโซเชียลมากสุดแต่ผู้ใช้โซเชียลต้องไม่ละเมิดและสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวแถลงผลงาน7ปีของรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลผ่านโครงการสำคัญ5ด้าน ประกอบด้วย1.การบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ประชาชนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ฟรีครอบคลุมทั่วประเทศ44,352หมู่บ้านในจำนวนนี้เป็นการดำเนินการภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐของกระทรวงดิจิทัลฯ24,700หมู่บ้านและต่อยอดสู่นโยบายการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในพื้นที่ชุมชนเพิ่มมากขึ้นผ่านโครงการ“ศูนย์ดิจิทัลชุมชน”ผลักดันให้อินเทอร์เน็ตนำคนจากทุกชุมชนเข้าถึงโลกดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำและสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันมีศูนย์ดิจิทัลชุมชนอยู่ประมาณ500แห่งทั่วประเทศและมีแผนขยายให้มีจำนวนรวมไม่น้อยกว่า2,520แห่ง 2.การพัฒนาและส่งเสริม5Gของประเทศไทยโดยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการเปิดประมูลคลื่นความถี่5G (700 MHz 2600 MHzและ26 GHz)เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2563และเริ่มทยอยเปิดใช้งานตั้งแต่ปีที่ผ่านมารวมทั้งมีการกำหนดแนวทางขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์5Gภายใต้แนวนโยบายและการกำกับดูแลของคณะกรรมการขับเคลื่อน5Gแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน 3.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ“สังคมไร้เงินสด(Cashless Society)”เตรียมพร้อมให้ประชาชนในทุกระดับเข้าถึงประโยชน์จากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างบริการพร้อมเพย์(PromptPay)จนมาถึงแอปเป๋าตังซึ่งเป็นช่องทางที่ช่วยให้คนไทยถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ปัจจุบันคนไทยทุกกลุ่มสามารถทำธุรกิจและทำการติดต่อค้าขายทางออนไลน์ได้ครอบคลุมทั่วประเทศรวมทั้งมีการพัฒนากฎหมายที่รองรับการประกอบธุรกรรมทางออนไลน์ “เห็นได้ว่าในช่วงหลังประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีความคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์ในรูปแบบinternetและmobile bankingหรือe-paymentต่างๆซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดคือการพัฒนาระบบพร้อมเพย์ของรัฐบาลและแอปเป๋าตังค์ที่ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของประเทศในการปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดและเอื้ออำนวยให้การทำธุรกรรมต่างๆเป็นไปโดยง่ายและสะดวกมากขึ้นซึ่งแน่นอนว่าจะสามารถรองรับการเติบโตของe-commerceในอนาคตได้เป็นอย่างดีด้วย”นายชัยวุฒิกล่าว 4.การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนในการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน(Digital Identification)อีกทั้งขับเคลื่อนนโยบายเรื่องe-document e-signatureและe-timestampและมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาให้ประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมไร้กระดาษ และ5.การพัฒนาสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลวางเป้าหมายเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนให้รับบริการจากภาครัฐเป็นไปได้โดยง่ายสะดวกทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเดินทางมาถึงสำนักงาน ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะพัฒนาการบริการภาครัฐให้เป็นระบบอัตโนมัติโดยประชาชนไม่ต้องร้องขอด้วย “ตลอด7ปีของรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์มีแต่ความก้าวหน้าไม่เคยก้าวถอยหลังหรือล้าหลังให้อิสระในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโซเชียลไม่เคยห้ามการแสดงความคิดเห็นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์/สื่อโซเชียลแต่คนใช้โซเชียลก็ต้องโพสต์สิ่งที่ไม่สร้างความเสียหายต่อคนอื่นๆด้วย”นายชัยวุฒิกล่าว **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐมนตรีเกษตร เร่งขับเคลื่อนพัฒนาพืชสมุนไพรไทย เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน ยึดหลัก“ตลาดนําการผลิต”ส่งเสริมภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ​รัฐมนตรีเกษตร เร่งขับเคลื่อนพัฒนาพืชสมุนไพรไทย เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน ยึดหลัก“ตลาดนําการผลิต”ส่งเสริมภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน ​รัฐมนตรีเกษตร เร่งขับเคลื่อนพัฒนาพืชสมุนไพรไทย เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน ยึดหลัก“ตลาดนําการผลิต”ส่งเสริมภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการขับเคลื่อนงานนโยบายสําคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร ครั้งที่ 4/2564 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 134 ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เล็งเห็นว่าพืชสมุนไพรมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก เนื่องจากสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากทิศทางของตลาดสมุนไพรขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชสมุนไพร ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งต้นของอุตสาหกรรมสมุนไพรได้รับประโยชน์ สามารถผลิตและจําหน่ายได้ตามความต้องการของตลาด เกษตรกรจะมีรายได้และความมั่นคงในการดํารงชีพ จึงให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาพืชสมุนไพรไทย รวมถึงพืชทางเลือกอื่น ๆ รมว.เกษตรฯ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาพืชสมุนไพรไทย และพืชทางเลือกอื่นๆ บรรลุผลสําเร็จ จึงมอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการขับเคลื่อน และมอบ สศก. เป็นฝ่ายเลขานุการ ในการขับเคลื่อนให้เกิดความเชื่อมโยงในการพัฒนาตลอดห่วงโซ่ อุปทานตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยใช้หลักการ “ตลาดนําการผลิต” ผลิตพืชที่มีศักยภาพ ที่ตลาดมีความต้องการ ซึ่งดําเนินการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกลไกการขับเคลื่อนพัฒนาพืชสมุนไพรไทย โดยมีคณะอนุกรรมการ และคณะทํางาน จํานวน 2 คณะ ดังนี้ 1. คณะอนุกรรมการวัตถุดิบสมุนไพร ซึ่งมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ (แต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ตามคําสั่งที่ 1/1563) และ 2. คณะทํางานขับเคลื่อนพัฒนาผลิตผลสมุนไพรที่มีศักยภาพ โดยมีผู้อํานวยการกองนโยบาย เทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน (แต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการวัตถุดิบสมุนไพร มีคําสั่งที่ 1/2563 ลงวันที่ 2 กันยายน 2563) “ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้พืชสมุนไพรเป็นพืชทางเลือกในปี 2564 โดยดำเนินการภายใต้ตลาดนำการผลิต เนื่องจากในสมุนไพรมีสารที่มีคุณค่า สามารถนำไปสกัดแปรรูป เพิ่มมูลค่าสมุนไพรให้กับเกษตรกรได้ ตลอดจนเชื่อมโยงกับงานวิจัย และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องกัญชากัญชงแก่เกษตรกรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีเกษตรกรที่เข้าใจคลาดเคลื่อนโดยเฉพาะการปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้น โดยต้องรวมตัวกัน 7 คนขึ้นไปทำเป็นวิสาหกิจชุมชนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการนำเอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเพื่อเป็นการลดผลกระทบที่อาจได้รับการร้องเรียน” ดร.เฉลิมชัย กล่าว ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการภายใต้ พรก.ให้อํานาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ได้แก่ โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service)โดย กรมส่งเสริมการเกษตร และโครงการเพิ่มศักยภาพและปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว โดย กรมการข้าว ซึ่งรมว.เกษตรได้เน้นย้ำให้หน่วยงานพิจารณาอย่างรอบคอบ ละเอียด หากประเด็นใดที่เป็นปัญหาให้ชี้แจงเกษตรกรทันท่วงที และระมัดระวังการใช้งบประมาณ พร้อมกำชับให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส รวมทั้งเร่งรัดดำเนินโครงการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังพิจารณาการเตรียมการชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2565 และรายงานผลการดําเนินงานและผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 อีกด้วย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดขอนแก่น
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดขอนแก่น Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน จังหวัดขอนแก่น ยืนยันโค-กระบือหากเป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาและแนวทางมาตรการป้องกันโรคระบาด โรคลัมกี สกิน ในพื้นที่เขต 3 และเขต 4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ห้องประชุมสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดขอนแก่น และเป็นประธานเปิดงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin Disease) ที่จังหวัดขอนแก่น ว่า จากการติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน อย่างใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไขปัญหาการควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเพื่อให้การควบคุม ป้องกัน และกำจัดโรค เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อคลายความวิตกกังวลของเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงาน Kick off รณรงค์ป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกิน ระหว่างวันที่ 25 - 26 พ.ค. 64 ณ จังหวัดขอนแก่น สกลนคร และมุกดาหาร โดยกิจกรรมประกอบด้วย 1) ปล่อยขบวนสัตวแพทย์เคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรักษาโค -กระบือ ที่ป่วย โดยเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น 2) ปล่อยขบวนหน่วยพ่นยาทำลายเชื้อโรคและพ่นสารเคมีกำจัดแมลง ซึ่งเป็นพาหะของโรค เพื่อยับยั้ง ชะลอการแพร่ระบาด 3) แจกสารเคมีกำจัดแมลงที่เป็นพาหะ แจกยารักษาแผลภายนอก ยาบำรุง แร่ธาตุ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจโรคและการป้องกันให้กับเกษตรกร สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โรคลัมปี สกิน เป็นแล้วรักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อสู่คน พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ของโรคอย่างใกล้ชิด “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การระบาดในปัจจุบัน จึงได้สั่งการมาให้รีบมาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการติดตามระยะของโรคมาตั้งแต่ต้นปี 2564 ซึ่งมีการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน และมีการสั่งปิดด่านเคลื่อนย้ายสัตว์ระหว่างชายแดนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่การระบาดของโรคลัมปี สกิน ได้มาปรากฏขึ้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดแรก ขณะนี้กระจายไปทั่ว 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างความตื่นตระหนกกับเกษตรกรอย่างมาก เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย เกษตรกรไม่รู้รายละเอียดของโรค ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ข้อสรุปของโรคแล้ว ขอรับรองว่ารักษาหาย เนื้อทานได้ ไม่ติดต่อถึงคน โดยกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางมาตรการป้องกันและกำจัดโรคลัมปี สกินแล้ว ขอให้เกษตรกรอย่าวิตกกังวล ให้ติดตามข้อมูลจากเจ้าที่ปศุสัตว์เป็นหลัก โดยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะลงพื้นที่เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกร” รมช.ประภัตร กล่าว ปัจจุบันพบรายงานการเกิดโรคในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว 20 จังหวัด สัตว์ป่วยรวมจำนวน 8,964 ตัว ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะออกให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันแก่โค-กระบือของเกษตรกร โดยดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโรคลัมปี สกิน และเน้นย้ำหน่วยงานในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มงวด ไม่ให้มีการขนย้ายสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด และเตรียมเสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อขอใช้งบกลางในการสนับสนุนอุปกรณ์และปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ 1) มุ้งสีฟ้าตาถี่ สำหรับแจกจ่ายให้เกษตรกรใช้กางให้กับสัตว์ เพื่อป้องกันแมลงดูดเลือด และยุงที่เป็นพาหะนำโรค 2) ยารักษาโรคสัตว์ป่วยทั่วไป 3) ยาฉีดกำจัดปรสิต 4) ยาทาภายนอกสำหรับกำจัดปรสิต 5) ยาฆ่าเชื้อไวรัส 6) เครื่องพ่นหมอกควัน สำหรับให้เกษตรกรไว้ใช้พ่นหมอกควันกำจัดแมลงในชุมชน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่รณรงค์เชิญชวนให้เกษตรกรหันมาทำประกันสัตว์ ซึ่งจ่ายเบี้ยประมาณ 400 บาทต่อ 6 เดือน แต่คุ้มครองการตายของสัตว์ทุกกรณี 30,000 บาท และยังเตรียมหารือ เรื่องการจ่ายเงินตอบแทนให้กับอาสาสมัครปศุสัตว์ ซึ่งมีทั่วประเทศจำนวนกว่า 60,000 คน อีกทั้งยังได้เน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ทำการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบในเชิงรุกและทั่วถึง ในเรื่องของรายละเอียดของโรคลัมปี สกิน และการดูแลสัตว์เบื้องต้นในสถานการณ์การระบาดของโรค รวมถึงการสังเกตุอาการของสัตว์ในเบื้องต้น ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือเบื้องต้น หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคลัมปี สกิน สามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานปศุสัตว์ในพื้นที่ของท่าน หรือติดต่อสำนักควบคุมโรค ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ (สบค.) กรมปศุสัตว์ หรือสายด่วนแจ้งโรคระบาดกรมปศุสัตว์ โทร 063 - 225 - 6888 หรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 "แจ้งการเกิดโรคนะบาด" ได้ตลอดเวลา และสามารถติดตามสถานการณ์การระบาดและศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคลัมปี สกิน ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักควบคุม ป้องกันแบะบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ www.sites.google.com/view/dldlsd/home.com
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42075
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยโรงพยาบาลบุษราคัม เดินหน้าเตรียมเฟส 2 คืบหน้า มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 สธ. เผยโรงพยาบาลบุษราคัม เดินหน้าเตรียมเฟส 2 คืบหน้า มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลบุษราคัมเดินหน้าขยายเตียงเฟส 2 จำนวน 1,080 เตียง ขณะนี้คืบหน้ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะเปิดรับผู้ป่วยได้ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ชุดที่สองเตรียมทยอยเข้าปฏิบัติงานในวันพรุ่งนี้ กระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลบุษราคัมเดินหน้าขยายเตียงเฟส 2 จำนวน 1,080 เตียง ขณะนี้คืบหน้ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะเปิดรับผู้ป่วยได้ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ชุดที่สองเตรียมทยอยเข้าปฏิบัติงานในวันพรุ่งนี้ วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังติดตามความคืบหน้าโรงพยาบาลบุษราคัมที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โดยเฉพาะ ว่าโรงพยาบาลบุษราคัมได้เปิดรับและดูแลผู้ป่วยโควิด 19 มาแล้ว 11 วัน มีผู้ป่วยเข้ารับรักษา รวม 822 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย 536 ราย กลุ่มอาการปานกลาง 198 ราย ส่งต่อรักษา 31 ราย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรักษา 734 ราย รักษาหายแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว 57 ราย โดยภาพรวมการดำเนินงานเป็นไปอย่างคล่องตัว ด้วยความพร้อมของสถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ ระบบการสื่อสารภายใน ระบบติดตามดูแลผู้ป่วยผ่านกล้องวงจรปิด และระบบสุขอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเชี่ยวชาญของบุคลากร โดยบุคลากรชุดแรกที่ปฏิบัติงาน เริ่มทยอยกลับไปปฏิบัติงานต้นสังกัดแล้ว และชุดที่สองจากจังหวัดต่างๆ อาทิ โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลแพร่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม โรงพยาบาลอินทร์บุรี โรงพยาบาลมหาสารคาม โรงพยาบาลพุทธโสธร โรงพยาบาลยะลา เป็นต้น จะทยอยหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เพื่อความต่อเนื่องในวันพรุ่งนี้ ในส่วนการเตรียมความพร้อมขยายเตียงผู้ป่วยเฟส 2 อีก 1,080 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะนี้คืบหน้าไปกว่า ร้อยละ 70 คาดว่าจะเปิดรับผู้ป่วยได้ภายในสัปดาห์นี้ “ขอขอบคุณทีมงานและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เสียสละเป็นจิตอาสา รวมพลังทุ่มเททำงานกันอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย มีหลายรายที่หายดีและกลับบ้านได้แล้ว ทั้งนี้เป็นภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อทุกรายอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อลดความสูญเสียจากสถานการณ์โรควิด 19 และเราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว *************************************** 25 พฤษภาคม 2564 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้วันนี้ (วันที่ 25 พฤษภาคม 2564) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 (พ.ร.ก.กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2) ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้วันนี้ (วันที่ 25 พฤษภาคม 2564) โดย พ.ร.ก. ดังกล่าวให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศ หรือออกตราสารหนี้ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงิน หรือออกตราสารหนี้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 การกู้เงิน¬ภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 นี้ จะต้องนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานหรือโครงการตามบัญชีแนบท้ายพระราชกำหนด ซึ่งประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่ (1) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ COVID-19 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข (2) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 วงเงิน 300,000 ล้านบาท (3) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 วงเงิน 170,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็นคณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินภายใต้แผนงานหรือโครงการภายใน 3 วัตถุประสงค์นี้ได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1) วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 แล้ว จำนวน 287 โครงการ กรอบวงเงินกู้ 817,223 ล้านบาท และกระทรวงการคลังได้กู้เงินแล้ว จำนวน 703,841 ล้านบาท และได้มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 680,099 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83.22 ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2563 หดตัวที่ประมาณ - 6% ซึ่งต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ไว้ที่ - 8.1% และที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ - 8% นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นมา สถานการณ์ COVID-19 ได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมีการติดเชื้อเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์การขยายตัว GDP ปี 2564 ของไทยไว้ที่ 1.5% – 2.5% รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ แต่แหล่งเงินงบประมาณที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหามีจำกัดและไม่เพียงพอ อีกทั้ง ถือเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้มีการตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของ COVID-19 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอันเนื่องมาจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นวิกฤตของประเทศได้อย่างต่อเนื่องกับมาตรการที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศกลับมาสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังจากการระบาดของ COVID-19 บรรเทาหรือยุติลง ทั้งนี้ กรอบวงเงินกู้ 500,000 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 เป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วยเหลือเยียวยา ตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของของ COVID-19 ระลอกใหม่ได้อย่างต่อเนื่องกับ พ.ร.ก.กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 โดยคาดว่าการดำเนินโครงการหรือแผนงานภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2564–2565 สามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.5 จากกรณีฐาน ก่อนมีการตรา พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2” นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมาสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบและระมัดระวังตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) คงเหลือและเพียงพอเพื่อดำเนินนโยบายและแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ สำหรับการกู้เงินของรัฐบาลในวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 นั้น สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะบริหารจัดการอย่างรอบคอบโดยวางแผนและทยอยกู้เงินตามความจำเป็นและตามแผนการเบิกจ่ายจริง และไม่ได้กู้เงินทั้งจำนวน 500,000 ล้านบาท ในคราวเดียว โดยจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ผสมผสานทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้ได้วงเงินกู้ที่ครบถ้วนภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแย่งสภาพคล่องจากภาคเอกชน และส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 เกือบครบ 1 ล้านล้านบาท และจะต้องกู้เพิ่มอีกประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยจะมีการกู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปีหน้า เพื่อใช้ดำเนินนโยบายการคลังเพิ่มเติมในการดูแลทุกภาคส่วนรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ว่าจะอยู่ที่ 58.56% และจะยังคงดำเนินการบริหารหนี้สาธารณะด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังและการบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลยังมีมุมมองที่ดีต่อภาคการคลังที่แข็งแกร่งของประเทศไทย ซึ่งสะท้อน ความเชื่อมั่นของการดำเนินนโนบายทางการคลังของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา” สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” เดินหน้าเพชรบุรีโมเดลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” สู้ภัยโควิด ลงพื้นที่ระดมพลคนเกษตรร่วมมือภาครัฐภาคเอกชนขยายเศรษฐกิจการค้าตลาดกลางสินค้าเกษตรท่ายาง-บ้านลาดด้วยแพล
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 “อลงกรณ์” เดินหน้าเพชรบุรีโมเดลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” สู้ภัยโควิด ลงพื้นที่ระดมพลคนเกษตรร่วมมือภาครัฐภาคเอกชนขยายเศรษฐกิจการค้าตลาดกลางสินค้าเกษตรท่ายาง-บ้านลาดด้วยแพล “อลงกรณ์” เดินหน้าเพชรบุรีโมเดลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (24 พ.ค.) ว่า ภายใต้ข้อสั่งการของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทีมเกษตรเพชรบุรีได้เริ่มเดินหน้า “เพชรบุรีโมเดล” ด้วย ยุทธศาสตร์ “1 ปิด 1 เปิด” อย่างต่อเนื่อง หลังจากช่วยฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโควิดในชุมชนโรงงานกลุ่มคลัสเตอร์แคลคอมพ์แล้ว เมื่อวันอาทิตย์ (23 พ.ค.) ที่ผ่านมา ตนและคณะประกอบด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด นางวันเพ็ญ มังศรีนายพงษ์ทร วิเศษสุวรรณ รองผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทย นายกฤชฐา โภคาสถิตย์ ประธานคณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซของกระทรวงเกษตร นายอรรถพร พลบุตร คณะที่ปรึกษา รมช.สาธารณสุข ดร.ทัดทอง พราหมณี ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ดร.บัญญัติ ศิริธนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ AIC และคณบดีคณะเกษตร พร้อมด้วย พาณิชย์จังหวัด เกษตรและสหกรณ์จังหวัด เกษตรจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด ประมงจังหวัด พร้อมด้วยนายพันธุ์ธัช หิรัญจิรวงศ์ ประธานหอการค้า นางอารี โชติวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม ประธานบริษัทประขารัฐเพชรบุรี ทีมกรมประชาสัมพันธ์ นายหยัน เยื่อใย ประธานและคณะกรรมการสหกรณ์การเกษตรท่ายาง นายฟื้น พูลสมบัติ ประธานและคณะกรรมการสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด และผู้บริหารแพลตฟอร์มไทยแลนด์โพสต์มาร์ต (Thailand postmart) ได้ลงพื้นที่ตลาดกลางสินค้าเกษตรท่ายางและตลาดกลางสินค้าเกษตรบ้านลาด พร้อมรับฟังบรรยายสรุปและร่วมประชุมหารือโครงการพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางการตลาดใหม่เสริมการค้าแบบออฟไลน์เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายเศรษฐกิจการค้า ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวโดยจะเร่งดำเนินการเริ่มคิดออฟการค้าออนไลน์ทั้งการค้าแบบ B2B และ B2C ภายใน 10 วัน นอกจากนี้ ยังให้ส่งเสริมเพิ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์ สมุนไพร สินค้าประมงและปศุสัตว์ในตลาดกลางสินค้าเกษตรทั้ง 2 แห่งซึ่งเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ในการกำกับของกระทรวงเกษตรฯ เพียงจุดเดียวในรัศมี ตั้งแต่จังหวัดชุมพรจนถึงกาญจนบุรีและสมุทรสาคร พร้อมกับให้คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซนำระบบสั่งซื้อล่วงหน้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (pre order platform) มาใช้ด้วยหลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดทุเรียนในประเทศจีนซึ่งจะมีการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ ระบบประกันสินค้า ระบบสร้างแบรนด์สหกรณ์และสินค้าเกษตรมาใช้ด้วย และจะร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีซึ่งเป็นศูนย์ AIC เพชรบุรีในการอบรมบ่มเพาะด้านอีคอมเมิร์ซซึ่งจะให้ทีม Local Hero ที่ผ่านการฝึกอบรมการขายออนไลน์ของกระทรวงเกษตรฯ มาช่วยสนับสนุนการทำงานและการสร้างคอนเท้นต์ของสินค้าเกษตร ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ เร่งตรวจประเมินขึ้นทะเบียนรับรอง GAP และ GMP เพื่อสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ บริษัทไปรษณีย์ไทยจะจัดตั้งหน่วยบริการพิเศษในตลาดกลางทั้ง 2 แห่งเพื่อบริการการขนส่งทั้งระบบปกติและระบบควบคุมความเย็น (Cool container) สำหรับผักและผลไม้โดยใช้แพลตฟอร์มไทยแลนด์โพสต์มาร์ต ในขณะที่พาณิชย์จังหวัด หอการค้าจังหวัดและอุตสาหกรรมจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดจะช่วยด้านข้อมูลสถานประกอบการและโรงงานในกลุ่มเป้าหมาย B2B สำหรับสหกรณ์การเกษตรท่ายางและบ้านลาดรับผิดชอบการพัฒนาตลาดกลางแบะการคัดเลือกเกษตรกรและสินค้าเกษตรให้พร้อมขึ้นแพลตฟอร์มออนไลน์โดยที่ประชุมกำหนดเป้าหมายให้เริ่มการขายออนไลน์ภายใน 10 วันภายใต้ความพร้อมทั้งต้นน้ำการผลิต การแปรรูปการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การจัดการตลาด การพัฒนาคน การบริหารโลจิสติกส์ การบริหารธุรกิจและแพลตฟอร์มออนไลน์ภายใต้แบรนด์สินค้าเกษตรเพชรบุรีที่สดสะอาดปลอดภัยจากไร่ถึงลูกค้า นายอลงกรณ์ กล่าวในตอนท้ายว่า เราระดมพลคนทุกภาคส่วนปิดเกมโควิดให้เร็วที่สุดพร้อมกับเปิดธุรกิจการค้าให้กว้างที่สุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ 1 ปิด 1 เปิด” โดยเริ่มที่เพชรบุรีโมเดลเป็นจังหวัดแรกก่อนขยายไปจังหวัดอื่นๆ ประการสำคัญคือเพชรบุรีอยู่ในกลุ่ม 10 จังหวัดแรกที่รัฐบาลมีแผนจะเปิดรับการท่องเที่ยวจึงต้องเร่งมือเตรียมจังหวัดเพชรบุรีให้พร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42038
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี นางสาวอภิรดี การะเกต หัวหน้างานบริหารทั่วไปโรงพยาบาลสมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ ณ ตึกผู้ป่วยนอก ชั้น ๑ โรงพยาบาลสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนแผนจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนแผนจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ในวันจันทร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑๐-๐๑ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เข้าร่วมฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conterence) ร่วมกับ พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ศาสตราจารย์ณรงค์ ใจหาญ รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ประจำปี ๒๕๖๓ และผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ปี ๒๕๖๔ (ช่วงครึ่งปีแรก) รวมทั้งพิจารณาแผนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ปี ๒๕๖๔ (ช่วงครึ่งปีหลัง) และพิจารณาปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคัดกรองฯ ในการนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ปี 2564 (ช่วงครึ่งปีแรก) และเห็นชอบแผนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ปี ๒๕๖๔ (ช่วงครึ่งปีหลัง) อีกทั้งเห็นชอบให้มีการปรับปรุงคำสั่งคณะอนุกรรมการคัดกรองฯ โดยเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการจาก ผู้แทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็น นายแพทย์สาธารณสุขประจำจังหวัดที่เกิดเหตุ หรือ หัวหน้าแผนกนิติเวชในโรงพยาบาลจังหวัดที่เกิดเหตุ เพื่อให้การเก็บพยานหลักฐานเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ พร้อมทั้ง เห็นชอบให้มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการจากผู้แทนยุติธรรมจังหวัด เป็นผู้แทนยุติธรรมจังหวัดที่เกิดเหตุ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการคัดกรองทุกข์ ในการตรวจสอบข้อมูล แสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน เพื่อประกอบคำร้องกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42064
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 (15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาของทุกปี) โดยเป็นกล้าไม้จากพิธีเจริญพุทธมนต์ ในโครงการพฤกษามหามงคล ซึ่งกรมป่าไม้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มทรัพยากรธรรมชาติให้กับประเทศไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42040
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับมอบกล้าไม้ จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันต้นไม้ ประจำปี 2564 (15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาของทุกปี) โดยเป็นกล้าไม้จากพิธีเจริญพุทธมนต์ ในโครงการพฤกษามหามงคล ซึ่งกรมป่าไม้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มทรัพยากรธรรมชาติให้กับประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส นำระบบ e – office ขับเคลื่อนการทำงานกระทรวงฯ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส นำระบบ e – office ขับเคลื่อนการทำงานกระทรวงฯ ดีอีเอส นำระบบ e – office ขับเคลื่อนการทำงานกระทรวงฯ เมื่อวันที่25พฤษภาคม2564นายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการใช้ระบบe - officeของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมณห้องประชุมMDES 2ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ผ่านมาคณะทำงานได้หารือร่วมกับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(สพธอ.)บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน) NTซึ่งได้หยิบยกประเด็นสำคัญอาทิระบบสารบรรณเพื่อให้สามารถรองรับการทำงานของสารบรรณกลางของหน่วยงานต่างๆภายในกระทรวงฯรวมทั้งประเด็นการทดสอบระบบของสป.ดศ.ประกอบด้วยการออกเลขหนังสือฟังก์ชันการรับหนังสือและฟังก์ชันเกษียณหนังสือ ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานที่แสดงความประสงค์ใช้ระบบe-sarabanได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยาสำนักงานสถิติแห่งชาติและบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด(ปณท) **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รับมอบกล้าไม้มะค่าโมง และไม้มงคลที่ผ่านพิธีพฤกษามหามงคล เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 วธ.รับมอบกล้าไม้มะค่าโมง และไม้มงคลที่ผ่านพิธีพฤกษามหามงคล เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๔ รับมอบกล้าไม้มะค่าโมง และไม้มงคลที่ผ่านพิธีพฤกษามหามงคล เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๔ จากสำนักเศรษฐกิจการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รับมอบกล้าไม้มะค่าโมง และไม้มงคลที่ผ่านพิธีพฤกษามหามงคล เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔ จากนายทนงศักดิ์ นนทภา ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ตามโครงการและกิจกรรมปลูกต้นไม้และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภายใต้ชื่อ “รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน” สืบสานสู่ ๑๐๐ ล้านต้น โดยมี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ บริเวณโถง ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส แนะ 6 วิธีรู้เท่าทันข่าวปลอม
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส แนะ 6 วิธีรู้เท่าทันข่าวปลอม ดีอีเอส แนะ 6 วิธีรู้เท่าทันข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลฯแนะ6วิธีรู้เท่าทันและสังเกตข่าวปลอมเตือนใครโพสต์-แชร์ต่อระวังโทษคุกสูงสุด5ปี นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกล่าวว่าปัจจุบันข้อมูลในโลกออนไลน์มีมากการรับและส่งข้อมูลข่าวสารสามารถทำได้หลากหลายช่องทางและรวดเร็วโดยเฉพาะช่องทางอินเทอร์เน็ตที่มีความสะดวกในการรับและส่งข่าวสารต่อๆกันได้อย่างรวดเร็วทำให้เป็นช่องทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างข่าวปลอมข่าวบิดเบือนหรือผู้อยู่เบื้องหลังที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จากความตื่นรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนส่งผลให้เกิด ความเข้าใจผิดและอาจทำให้เกิดสถานการณ์ปั่นป่วนตามมา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะช่วยกันสร้างองค์ความรู้ให้ประชาชนได้รู้เท่าทันข่าวปลอมรวมถึงป้องกันการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ที่บิดเบือนและรู้วิธีสังเกตข่าวเพื่อไม่ให้โดนหลอกโดยมีข้อแนะนำ6วิธีรู้เท่าทันและสังเกตข่าวปลอมดังนี้1.ข่าวต้องมีความน่าเชื่อถือมีแหล่งอ้างอิงที่มาชัดเจนสามารถตรวจสอบได้2.สังเกตการเรียบเรียงเนื้อข่าวและการสะกดคำต่างๆเพราะข่าวปลอมมักจะสะกดผิดและมีการเรียบเรียงที่ไม่ดี3.สังเกตยูอาร์แอล(URL)ให้ดีโดยข่าวปลอมอาจมีURLคล้ายเว็บของสำนักข่าวจริง4.ดูรายงานข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีข่าวแบบเดียวกันหรือไม่โดยมีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ5.ตรวจสอบข่าวจากการเสิร์ชหาข้อมูลอาจพบว่าเป็นข่าวเก่าหรือพบการแจ้งเตือนจากเว็บไซต์อื่นว่าเป็นข่าวปลอมและ6.ข่าวปลอมอาจมีการนำรูปภาพจากข่าวเก่ามาใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ “อยากเน้นย้ำว่าผู้ผลิตข่าวปลอมบิดเบือนและนำเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพ์มาตรา๑๔ทั้งในเรื่องข้อมูลเท็จบิดเบือนปลอมแปลงทำให้ประชาชนตื่นตะหนกหรือกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนความมั่นคงของรัฐซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน5ปีปรับไม่เกิน1แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับหากข้อมูลนั้นทำให้บุคคลองค์กรหน่วยงานเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นเกลียดชังยังอาจได้รับโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาทมีโทษจำคุกไม่เกิน1ปีหรือปรับไม่เกิน2หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับและที่ห่วงใยประชาชนในช่วงเกิดสถานการณ์วิกฤตนี้จะต้องพึงระวังในการจะแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน2548มาตรา9 (3)กำหนดว่าห้ามผู้ใดเสนอข่าวมีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือมีข้อความอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักรมีโทษจำคุกไม่เกิน2ปีหรือปรับไม่เกิน4หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้บริโภคสื่อหรือผู้ใช้โซเชียลมีเดียพบข่าวที่มีการแชร์ต่อๆกันมาจึงไม่ควรเชื่อทันทีควรใช้หลักสังเกตและปฏิบัติตาม6วิธีข้างต้นก่อนส่งต่อข่าวนั้นๆแต่อย่างไรก็ตามจากข้อสังเกตทั้งหมดอาจบอกไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ผู้บริโภคสื่อทุกคนจึงควรมีภูมิคุ้มกันตนเองในการรับข่าวสารข้อมูลตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์หรือแจ้งเบาะแสข่าวที่น่าสงสัยมายังช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยผ่านช่องทางเว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.comช่องทางFacebook: Anti-Fake News Centerช่องทางTwitter @AfncThailandช่องทางLine@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือ ข่าวบิดเบือน **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันประสูตร ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเหตุการณ์ต่างๆ นี้ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่ง แรงงาน จับมือ กทม.ปูพรม ตรวจโควิดเชิงรุกในแคมป์ก่อสร้าง
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายกฯ สั่ง แรงงาน จับมือ กทม.ปูพรม ตรวจโควิดเชิงรุกในแคมป์ก่อสร้าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแคมป์คนงาน สั่งการให้กระทรวงแรงงาน ร่วมกับกรุงเทพมหานคร ลุยตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในแคมป์ก่อสร้างทั่วกรุง คาดเริ่มดำเนินการตรวจได้ในสัปดาห์หน้า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องแผนการตรวจโควิด – 19 ในแคมป์คนงานก่อสร้าง โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ร้อยตำรวจเอกพงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร นางป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ กล่าวว่า กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลัสเตอร์ในแคมป์ก่อสร้าง ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ ซึ่งจากการตรวจสอบจำนวนแรงงานในแคมป์คนงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 129,542 คน จากแคมป์ จำนวน 841 แห่ง ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน 53,550 คน ต่างด้าว จำนวน 75,992 คน โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย กลุ่มเร่งด่วนที่สุด ที่พบการระบาดกลุ่มก้อนใหม่ (Cluster) และและเป็นกลุ่มที่มี Cluster เฝ้าระวัง ตาม ศบค.กำหนด (ณ วันที่ 23 พ.ค. 64) กลุ่มที่ 1 เขตคลองสามวา เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง เขตสะพานสูง เขตหนองจอก รวมจำนวน 8,805 คน จำนวน 83 แห่ง กลุ่มที่ 2 เขตหลักสี่ เขตดอนเมือง เขตปทุมวัน เขตบางพลัด เขตบางคอแหลม รวมจำนวน 23,326 คน จำนวน 97 แห่ง และกลุ่มเร่งด่วน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเขตเหนือ กรุงเทพมหานครกลาง กรุงเทพมหานครเขตใต้ กรุงเทพมหานครเขตตะวันออก กรุงเทพมหานครเขตธนบุรีเหนือ กรุงเทพมหานครเขตธนบุรีใต้ รวมจำนวน 97,411 คน จำนวน 661 แห่ง นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน จะมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข เพื่อกำหนดมาตรการและรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจเชิงรุกรวมทั้งกำหนดจุดตรวจในแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันมีสถานพยาบาลพร้อมให้ความร่วมมือจำนวน 11 แห่ง 31 ทีม และเตรียมพร้อมสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม เพื่อตรวจคัดกรองและดูแลรักษา โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการตรวจได้ภายในสัปดาห์หน้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัดการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณากรอบการดำเนินงาน ภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรมจัดการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณากรอบการดำเนินงาน ภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณากรอบการดำเนินงาน ภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล (Hague Conference on Private International Law – HCCH) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในอังคารที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐ - ๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯกระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณากรอบการดำเนินงานภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล(Hague Conference on Private International Law – HCCH)ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาควิชาการ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุดสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมบังคับคดี กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ในการนี้ กระทรวงยุติธรรมได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ คนึง ฦาไชย ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เข้าร่วมให้ข้อคิดเห็นอันเป็นคุณูปการต่อที่ประชุมและ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร รองศาสตราจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ร่วมสังเคราะห์ประเด็นที่ผู้ร่วมการประชุมถกแถลง วัตถุประสงค์ของการประชุมระดมความคิดเห็นฯ คือ เพื่อหารือและรับฟังความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรอบการดำเนินการภายหลังจากที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๔โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในหลายประเด็น อาทิ ความเป็นไปได้ในการดำเนินการเข้าเป็นภาคอนุสัญญาApostille (Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirementof Legalisation for Foreign Public Documents)และ Choice of Court Covention (Convention of 30 June 2005on Choice of Court Agreements) รวมถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. ๒๔๘๑ อนึ่ง ที่ประชุมยังได้หารือถึงประเด็นการจัดตั้งกลไกที่จะสนับสนุนการดำเนินงานทางด้านสารัตถะ โดยในอนาคตอาจเป็นรูปแบบคณะกรรมการหรือคณะทำงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคเหนือ
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคเหนือ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายพื้นที่ภาคเหนือ ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก และตาก สำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ภาคเหนือ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก และตาก โดยเป็นการสำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย โดยในช่วงที่ทำการสำรวจ พบว่ามีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563 (Total Supply) ทั้งหมด407 โครงการ จำนวน 18,570 หน่วย มูลค่ารวม 68,112 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการบ้านจัดสรร 354 โครงการ 15,644 หน่วย มูลค่า 59,432 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 53 โครงการ 2,926 หน่วย มูลค่า 8,679 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมีหน่วยเหลือขายจำนวน 16,499 หน่วย และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 2,071 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ Total Supply มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -4.4 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 10,955 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 8,560 หน่วย หรือร้อยละ 78.1 เป็นโครงการอาคารชุด 2,395 หน่วย หรือร้อยละ 21.9 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 1,239 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -20.3 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,454 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึงร้อยละ -37.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 9,501 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 3,383 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.6 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 517 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.55 สำหรับหน่วยเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 7,517 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 9,501 หน่วย และร้อยละ 79.1 เป็นโครงการบ้านจัดสรรปี 2564 ตลาดอสังหาฯของ เชียงใหม่ ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก COVID-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567ถ้า Supply ใหม่ปรับตัวลงคาดว่า Supply เหลือขายจะทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2563 เพียงเล็กน้อย จังหวัดเชียงราย Total Supply มีอัตราเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 10.9 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,337 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,268 หน่วย หรือร้อยละ 97.9 เป็นโครงการอาคารชุด 69 หน่วย หรือร้อยละ 2.1 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 738 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -40.4 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 437 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 46.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 2,900 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,111 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.31 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 139 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.8 สำหรับหน่วยเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนทั้งสิ้น 2,864 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 2,900 หน่วย และร้อยละ 98.8 เป็นโครงการบ้านจัดสรรปี 2564 ตลาดอสังหาฯของ เชียงราย ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก COVID-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567ถ้า Supply ใหม่ปรับตัวลงคาดว่า Supply เหลือขายจะลดลง จากปี 2563 จังหวัดพิษณุโลก Total Supply มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3.422 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,076 หน่วย หรือร้อยละ 89.9เป็นโครงการอาคารชุด 346 หน่วย หรือร้อยละ 10.1 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน เพียง 194 หน่วย ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับหน่วยขายได้ใหม่ มีจำนวน 142 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 3,280 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,171 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.70 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 60 หน่วย สำหรับหน่วยเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดพิษณุโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 3,280 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 2,955 หน่วย และร้อยละ 90.1 เป็นโครงการบ้านจัดสรรปี 2564 ตลาดอสังหาฯของ พิษณุโลก ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก COVID-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567 ถ้า Supply ใหม่ปรับตัวลงคาดว่า Supply เหลือขายจะลดลง จากปี 2563 จังหวัดตาก Total Supply มีอัตราเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 10.6 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 856 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 740 หน่วย หรือร้อยละ 86.4 เป็นโครงการอาคารชุด 116 หน่วย หรือร้อยละ 13.6 และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 27 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562ร้อยละ -89.8 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 38 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเทียบเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 818 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่าหน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 290 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.45 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 17 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.07 สำหรับหน่วยเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดตาก มีจำนวนทั้งสิ้น 856 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 740 หน่วย และร้อยละ 86.4 เป็นโครงการบ้านจัดสรรปี 2564 ตลาดอสังหาฯของ ตาก ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก COVID-19 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด"2/2564 ลงพื้นที่ 21 จังหวัดยึดได้ 448.29 ล้าน รวมทั้งหมด 4,549 ล้านบาท เชื่อทำได้ตามเป้า 6,000 ล้าน
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด"2/2564 ลงพื้นที่ 21 จังหวัดยึดได้ 448.29 ล้าน รวมทั้งหมด 4,549 ล้านบาท เชื่อทำได้ตามเป้า 6,000 ล้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด" ครั้งที่ 2/2564 รมว.ยุติธรรม เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด"2/2564 ลงพื้นที่ 21 จังหวัดยึดได้ 448.29 ล้าน รวมทั้งหมด 4,549 ล้านบาท เชื่อทำได้ตามเป้า 6,000 ล้าน ขอบคุณนายกฯ สนับสนุนงานเต็มที่ หวังกวาดล้างให้หมดสาวตั้งแต่ตัวเล็กไปถึงบอสใหญ่ เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน เปิดปฏิบัติการ "ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด" ครั้งที่ 2/2564 พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าได้ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเน้นทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยได้ยกระดับบุคลากร ความพร้อมของเครื่องมือ รวมทั้งการปรับแก้ประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่ทาง ป.ป.ส. และคณะทำงานปฏิบัติการพาลีปราบยา ยังบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ากันต่อ เมื่อเปรียบตัวเลขการยึดทรัพย์ของปีที่แล้ว 3 ไตรมาสยึดได้ 1,069 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ 2564 ผ่านไป 3 ไตรมาสจนถึงวันนี้ยึดได้แล้ว 4,549 ล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีก 1 ไตรมาส จึงเป็นตัวเลขที่ทำให้มั่นใจว่าเราจะทำได้ตามเป้าหมาย 6,000 ล้านบาท ถ้าหากเรามีความพร้อมทั้งหมดโดยเฉพาะเรื่องของกฎหมาย จะทำให้การทำงานของคณะต่างๆ เข้าถึงแหล่งทรัพย์สินของเครือข่ายยาเสพติดได้ง่ายขึ้น นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปฏิบัติการในวันนี้เป็นการลงพื้นที่ 21 จังหวัด ติดตาม 19 เครือข่าย 39 จุดตามเป้าหมาย โดยยึดทรัพย์สินเพิ่มเติม เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ บัญชีเงินฝาก รวมทรัพย์สินอายัดได้ 448.29 ล้านบาท โดยมีเครือข่ายใหญ่ อาทิ ป.ป.ส. ภาค 7 เครือข่ายนายวิฑูรยึดได้ 296 ล้านบาท เครือข่าย จ.พิษณุโลก ยึดได้ 11.69 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลงานที่น่าพอใจเป็นไปตามเป้าหมายที่เราได้วางไว้ ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาในการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนการดำเนินคดี เรามีแบบฟอร์มที่ คตส. ได้วางเอาไว้ ถ้าผู้ที่ถูกอายัดทรัพย์สินสามารถตอบคำถามตามแบบฟอร์มได้ทั้งหมดเราจะคืนให้ แต่หากตอบไม่ได้เราจะยึดอายัดทรัพย์เพราะเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติด จากนั้นเป็นการรายงานของชุดปฏิบัติการ 4 ชุด คือ 1. จ.แม่ฮ่องสอน ที่เป็นการดำเนินการสืบสวนจากคดีเมื่อปี 2563 มาขยายผลเพิ่ม โดยยึดทรัพย์เพิ่มได้ 24 ล้านบาท 2. ป.ป.ส. ภาค 5 จ.ลำปาง ขยายผลจากคดีปี 2563 เปิดปฏิบัติการเพิ่มเติม 3 จุด ยึดทรัพย์รวม 36.6 ล้านบาท 3. ป.ป.ส.กทม. ขยายผลจับกุม 2 เครือข่ายนักค้ายาชาวไต้หวันและคนไทย มีทั้ง คอนโด และเงินรวมมูลค่า 9.8 ล้านบาท และ 4. จ.ปทุมธานี ขยายผลจากการจับกุมกลุ่มเครือข่ายจาก จ.น่าน โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี เป็นผู้รายงานผลการจับกุมยึดทรัพย์ได้มูลค่า 32 ล้านบาท และทาง อบจ.ปทุมธานี พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเต็มที่ โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอบคุณ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ที่ช่วยสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพราะท่านมีชื่อเสียงในด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งตนหวังว่า จ.ปทุมธานี จะเป็นต้นแบบจังหวัดนำร่อง ไม่มีคนติดยาเสพติด ตนมั่นใจฝีมือของท่านว่าจะทำให้ปทุมธานีไม่มียาเสพติด ภายใน 4 ปีนี้ "เราจะไม่วางมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ผมขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้นโยบายสำคัญ คือ การเรียนรู้วิธีการใหม่ๆ การยกระดับเครื่องมือและอุปกรณ์ และการปรับปรุงกฎหมาย และขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมมือกันบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่ สืบสวนโยงไปจนถึงระดับเครือข่ายใหญ่ วันนี้เราต้องกวาดล้างให้หมด ตั้งแต่คนขายตัวเล็กๆ ซึ่งหากเราปล่อยไปวันหน้าเขาจะพัฒนาเป็นรายใหญ่ได้ และต้องสืบสาวไปจนถึงต้นตอเครือข่ายตัดวงจรทั้งกระบวนการ และจะพยายามดำเนินการให้ตำรวจทั่วประเทศ ได้รับรู้กระบวนการสืบสวนยึดทรัพย์ รวมทั้งการยึดทรัพย์ตามมูลค่ายาเสพติด หรือ แวลูเบท เพื่อให้การทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ ไม่ใช่การทำงานของส่วนกลางเพียงอย่างเดียว ตนเชื่อว่าหากทำได้อย่างเต็มระบบปัญหายาเสพติดจะลดลงไปเป็นอย่างมาก" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบน้ำดื่ม 20,000 ขวด ให้หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ธอส. มอบน้ำดื่ม 20,000 ขวด ให้หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย ธอส.สนับสนุนน้ำดื่มจำนวน 20,000 ขวด และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องให้แก่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น กรุงเทพมหานคร จึงได้เตรียมความพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนทันทีที่ได้รับจัดสรร โดยร่วมมือกับหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนทั่วพื้นที่ กทม. โดยมีเป้าหมายจัดหาสถานที่สำหรับให้บริการฉีดวัคซีน 25 แห่ง เพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากนั้น และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มารอรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จึงได้ร่วมสนับสนุนน้ำดื่มของธนาคาร จำนวน 20,000 ขวด ให้แก่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยได้รับเกียรติจาก พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมืองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกลินท์ สารสิน นายกสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรรมการธนาคาร เป็นผู้รับมอบจาก นางสาวธิดาพร มีกิ่งทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุน และรักษาการ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปฏิบัติการ ธอส. ผู้แทนธนาคาร ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็น 1 ใน 25 สถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล สามารถรองรับประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ถึง 2,000-2,500 คนต่อวัน สำหรับกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมไทยสู้ภัยโควิด-19 ที่ ธอส. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 2,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับจัดสร้างหอผู้ป่วยไอซียูความดันลบแบบห้องแยกที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 20,000 ขวด การสนับสนุนงบประมาณ 1,000,000 บาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ กทม. กับกิจกรรม “เรามีเรา” และหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องจำนวน 10,420 ชุด การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี จัดสร้างไอซียูสนามที่ใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการรุนแรง และส่งมอบหน้ากากอนามัยพร้อมสายคล้องรวมถึงน้ำดื่ม ของธนาคารจำนวน 5,000 ขวด ส่งมอบน้ำดื่มธนาคารจำนวน 15,600 ขวด หน้ากากอนามัยและสายคล้อง พร้อมด้วยอาหารจำนวน 500 กล่อง ให้แก่สถาบันบำราศนราดูร มอบเก้าอี้จำนวน 500 ตัว ให้แก่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มารับบริการเป็นจำนวนมาก ส่งมอบถุงยังชีพ ธอส. ให้แก่ เขตห้วยขวาง เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนวัดอุทัยธาราม ซึ่งเป็นชุมชนใกล้ธนาคาร รวมถึงสนับสนุนน้ำดื่มและอาหารกลางวัน ให้หน่วยงานสำคัญต่าง ๆ อาทิ สถานพยาบาล สถานศึกษา และวัด เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ด้วยความห่วงใยและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพลวัน“วิสาขบูชา”ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งใจลด ละ เลิก อบายมุข หนุนจัดกิจกรรมรูปแบบออนไลน์“อยู่บ้าน สร้างบุญ”
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 วธ.เผยผลโพลวัน“วิสาขบูชา”ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งใจลด ละ เลิก อบายมุข หนุนจัดกิจกรรมรูปแบบออนไลน์“อยู่บ้าน สร้างบุญ” วธ.เผยผลโพลวัน“วิสาขบูชา”ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งใจลด ละ เลิก อบายมุข หนุนจัดกิจกรรมรูปแบบออนไลน์“อยู่บ้าน สร้างบุญ” วธ.เผยผลโพลวัน“วิสาขบูชา”ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งใจลด ละ เลิก อบายมุข หนุนจัดกิจกรรมรูปแบบออนไลน์“อยู่บ้าน สร้างบุญ” ไหว้พระสวดมนต์ที่บ้าน ตักบาตร ฟังเทศน์ออนไลน์-เวียนเทียนออนไลน์ แนะสืบสานรักษา“วันอัฏฐมีบูชา” นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชนที่มีต่อวันวิสาขบูชาในสถานการณ์โควิด – 19 ในรูปแบบออนไลน์ “อยู่บ้าน สร้างบุญ” จากผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 7,507 คนครอบคลุมทุกภูมิภาค ผลสำรวจพบว่าเด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.25 ทราบว่า “วิสาขบูชา” ย่อมาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ส่วนความสำคัญของวันวิสาขบูชา ผู้ตอบแบบสอบถามอันดับ 1 ร้อยละ 78.38 เห็นว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ อันดับ 2 ร้อยละ 73.50 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อันดับ 3 ร้อยละ 69.55 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานและอันดับ 4 ร้อยละ 52.88 เป็นวันสำคัญสากลของโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามถึงหลักธรรมในวันวิสาขบูชา ผู้ตอบแบบร้อยละ 92.83 ทราบว่าหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชาคือ “อริยสัจ 4” ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ส่วนกิจกรรมที่เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ตั้งใจจะทำในวันวิสาขบูชาปีนี้พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 63.47 ลด ละ เลิก อบายมุข อันดับ 2 ร้อยละ 59.01 ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับและเจ้ากรรมนายเวร และอันดับ 3 ร้อยละ 55.47 รักษาศีล ไม่ว่าร้าย ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส นอกจากนี้ ผลสำรวจได้ถามถึงหลักธรรมที่ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 76.97 ศีล คือ มีระเบียบวินัยในตนเองและเคารพต่อกฎระเบียบสังคม เช่น มาตรการป้องกันของรัฐบาล อันดับ 2 ร้อยละ 66.64 สติ คือ การรู้ตนเองเสมอว่า ไม่ควรใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปากและอันดับ 3 ร้อยละ 66.20 สมาธิ คือ ตั้งมั่นทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจ เช่น ล้างมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วธ.ได้ปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมวันวิสาขบูชามุ่งเน้นประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ในรูปแบบออนไลน์ “อยู่บ้าน สร้างบุญ”ให้พุทธศาสนิกชนทราบถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชาทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้ตอบแบบสอบระบุกิจกรรมที่สนใจเข้าร่วม อันดับ 1 ร้อยละ 64.11 ไหว้พระสวดมนต์ที่บ้าน อันดับ 2 ร้อยละ 47.36 ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมออนไลน์และอันดับ 3 ร้อยละ 45.65 เวียนเทียนออนไลน์ นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงกิจกรรม/วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ควรสืบสาน รักษาอย่างเร่งด่วน ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า วันอัฏฐมีบูชา แรม 8 ค่ำ เดือน 6 คือ วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 8 วัน ซึ่งชาวบ้านจะประกอบพิธี ตามแต่ความศรัทธาของแต่ละท้องถิ่น มีการจัดกิจกรรม เช่น ทำบุญ ตักบาตร และเวียนเทียน อีกทั้งควรจัดกิจกรรมแข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัยทำนองสรภัญญะ การแข่งขันตอบปัญหาธรรมะ เพราะเป็นกิจกรรมที่สามารถสอดเเทรกความรู้ สาระที่มีประโยชน์ ช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 3 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 13 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 138 เขตการเดินรถที่ 5 3) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 511 เขตการเดินรถที่ 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42079
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ต้อนรับเอกอัครราชทูตรัสเซียหารือการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล-จับคู่ธุรกิจ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ต้อนรับเอกอัครราชทูตรัสเซียหารือการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล-จับคู่ธุรกิจ “ชัยวุฒิ” ต้อนรับเอกอัครราชทูตรัสเซียหารือการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล-จับคู่ธุรกิจ “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยหารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัลและสร้างโอกาสจับคู่ธุรกิจทั้งระดับภาครัฐและเอกชนชื่นชมการดำเนินงานด้านต่อต้านข่าวปลอมของประเทศไทย วานนี้(24พ.ค. 64)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯได้ให้การต้อนรับนายเยฟเกนีโตมีฮิน(H.E. Mr. Evgeny Tomikhin)เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะทั้งนี้ฝ่ายรัสเซียแสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัลกับไทยโดยเฉพาะด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์พร้อมแสดงความชื่นชมและสนใจการดำเนินการต่อต้านข่าวปลอมของประเทศไทย นอกจากนี้ฝ่ายรัสเซียยังได้แสดงความประสงค์จัดงานForumทั้งแบบออนไลน์และface-to-faceกับฝ่ายไทยเพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐและเอกชนของทั้งสองฝ่ายได้มีโอการสร้างความร่วมมือหรือจับคู่ธุรกิจซึ่งฝ่ายไทยและรัสเซียได้เคยร่วมจัดงานRussia – Thailand Technology Dayเมื่อวันที่31มีนาคมที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จด้วยดี “ในการพบปะครั้งนี้ฝ่ายรัสเซียยังได้มีการพูดถึงการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเช่นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและการให้ทุนการศึกษาและต้องการร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเช่นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(ดีป้า)และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(สกมช.)”นายชัยวุฒิกล่าว ในโอกาสนี้กระทรวงดิจิทัลฯได้แสดงความขอบคุณและยินดีสนับสนุนกิจกรรมความร่วมมือกับฝ่ายรัสเซียอย่างเต็มที่ในทุกด้านรวมถึงได้หารือในประเด็นการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยเรื่องความร่วมมือด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างกระทรวงพัฒนาดิจิทัลโทรคมนาคมและการสื่อสารมวลชนสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงดิจิทัลฯ นายชัยวุฒิกล่าวว่าในปี2565ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบความร่วมมือภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกหรือเอเปค(APEC)ซึ่งฝ่ายรัสเซียแจ้งว่าผู้นำประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัสเซียมีแผนจะเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นจำนวนมากจึงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำของทั้งสองประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีโอกาสพบปะเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันต่อไป ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งควบคุมต้นตอของการระบาดของโรคลิมปิ สกิน
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 สั่งควบคุมต้นตอของการระบาดของโรคลิมปิ สกิน รมว.เกษตรฯ สั่งควบคุมต้นตอของการระบาดของโรคลิมปี สกิน กำชับให้ดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด และฉีดวัคซีนควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากที่ขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ จึงได้มีข้อสั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งควบคุมต้นตอของการระบาดของโรคลัมปี สกิน โดยให้เข้มงวดเรื่องการเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ตามแนวชายแดนทุกแห่ง หากพบผู้กระทำผิดให้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ต้องกลัวอิทธิพล แต่หากปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบเคลื่อนย้าย และเกิดการแพร่ระบาดของโรค LSD เพิ่มขึ้น จะดำเนินการทางวินัยโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้มีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกัน ควบคุม และเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุโรคลัมปี สกิน หรือ War room เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์โรคระบาด วางแผนมาตรการควบคุมโรค วางแผนการกระจายวัคซีน การป้องกันกำจัดโรค ตลอดจนมาตรการชดเชยเยียวยาเกษตรกร พร้อมทั้งได้ดำเนินการแก้ไขและควบคุมการระบาดใน 5 มาตรการ คือ 1) ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค-กระบือ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค และปฏิบัติตามแนวทางการเคลื่อนย้ายอย่างเคร่งครัด โดยกรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการปิดด่านตามแนวชายแดน เช่น ด่านชายแดนพม่า พร้อมตรวจตราการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์อย่างเข้มงวด และเข้มข้น 2) เฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างใกล้ชิด เน้นการรู้โรคให้เร็ว ควบคุมได้ทัน โรคสงบได้อย่างรวดเร็ว 3) ป้องกัน และควบคุมแมลงพาหะนำโรค ให้เกษตรกรป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลงทั้งบนตัวสัตว์ และบริเวณโดยรอบฟาร์ม ทั้งในพื้นที่ระบาดของโรคและพื้นที่เสี่ยง ด้วยการประสานด่านกักกันสัตว์ อบจ. อบต. ลงพื้นที่พ่นยาฆ่าแมลง และแจกยาฆ่าแมลง รวมถึงให้คำแนะนำการป้องกัน 4) รักษาสัตว์ป่วยตามอาการ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง ซึ่งจำเป็นต้องรักษาตามอาการ โดยแบ่งการรักษาเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 สัตว์ป่วยแสดงอาการมีไข้ให้ดำเนินการให้ยาลดไข้ ระยะที่ 2 เริ่มแสดงอาการตุ่มบนผิวหนัง ให้ยาลดการอักเสบ ระยะที่ 3 ตุ่มบนผิวหนังมีการแตก หลุดลอก ให้ยารักษาแผลที่ผิวหนังร่วมกับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ระยะที่ 4 แผลที่ผิวหนังตกสะเก็ด ใช้ยารักษาแผลภายนอกจนกว่าจะหายดี และ 5) การใช้วัคซีนควบคุมโรค อย่างไรก็ตาม กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการสั่งซื้อวัคซีน LSDV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีแหล่งผลิตในประเทศแอฟริกาใต้ รวม 60,000 โดส เนื่องจากประเทศไทยไม่มีวัคซีนดังกล่าว เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประสานงานเพื่อส่งมอบวัคซีน คาดว่าจะสามารถส่งมาถึงประเทศไทยได้ภายใน 5 วันจากนี้ และหลังจากวัคซีนเข้ามาแล้ว จะต้องได้รับหนังสือรับรองรุ่นการผลิตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก่อนนำมาใช้ได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย คาดว่าน่าจะช่วงกลางเดือน มิ.ย. อีกทั้งกรมปศุสัตว์ กำลังดำเนินการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอีกประมาณ 300,000 โดส จากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ เพื่อเสริมระบบในการควบคุม ป้องกันโรค ลัมปีสกิน ในประเทศไทยโดยเร็วต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42073
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรี วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี นายแพทย์ประจักษ์ บุญจิตต์พิมล กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลนวมินทร์ ๙ โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. จัดงานประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2563
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 กบข. จัดงานประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2563 กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดงานประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินและการรับจ่ายเงินของกองทุนในปี 2563 แนวทางการดำเนินงานในปี 2564 กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดงานประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินและการรับจ่ายเงินของกองทุนในปี 2563 แนวทางการดำเนินงานในปี 2564 ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้แทนสมาชิก สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 กบข. สามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนงานได้ทั้งหมด ในด้านลงทุน กบข. สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนส่วนสมาชิกได้ถึงร้อยละ 4.79 (หลังหักค่าใช้จ่าย) นอกจากนี้ยังได้เพิ่มแผนการลงทุนใหม่เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่สมาชิก และยังเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG สำหรับการดำเนินงานด้านสมาชิก ผลจากการสื่อสารและให้ความรู้แก่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2563 มีจำนวนสมาชิกที่ออมเพิ่มและเลือกแผนการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงการเข้าใช้บริการต่างๆ ของ กบข. ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับการประชุมในครั้งนี้ มีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นประธานในที่ประชุม พร้อมด้วยนางสาวกุลยา ตันติเตมิท ประธานอนุกรรมการจัดการลงทุน ม.ล.พัชรภากร เทวกุล ประธานอนุกรรมการสมาชิกสัมพันธ์ นายประภาศ คงเอียด ประธานอนุกรรมการตรวจสอบ และ ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. เข้าร่วมรายงานผลการดำเนินงาน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โดยมีผู้แทนสมาชิกเข้าร่วมประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสิ้น 523 คน เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 เม.ย. 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42061
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พณ. ชี้แจงข้อวิจารณ์การเรียกเก็บค่าการบริหารจัดการจากผู้ส่งออกข้าวไทย
วันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564 พณ. ชี้แจงข้อวิจารณ์การเรียกเก็บค่าการบริหารจัดการจากผู้ส่งออกข้าวไทย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยืนยันดำเนินการจัดหาข้าวและส่งมอบภายใต้สัญญา G to G ตามกฎหมาย ส่วนกรณีการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการจากสมาชิกสมาคมฯ นั้น เป็นการดำเนินการของสมาคมฯ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวชี้แจง ดังนี้ 1. วิธีการจัดหาข้าวและส่งมอบภายใต้สัญญา G to G ในปัจจุบันโดยรัฐบาลมอบสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยดำเนินการไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และเป็นสิ่งที่ได้ดำเนินการมาช้านานหลายยุคหลายสมัยในหลายรัฐบาลที่มีการขายข้าว G to G มา 20 กว่าปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการตาม “แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G)” ที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติฯ ดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 โดยแนวทางปฏิบัติฯ มีที่มาตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอเรื่อง “มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ” และกรมการค้าต่างประเทศได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวสำหรับใช้เป็นแนวทางในการขายข้าวแบบ G to G โดยมติคณะกรรมการ นบข. ได้มอบหมายกรมการค้าต่างประเทศร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ปรับปรุงหรือจัดหาข้าวส่งมอบให้แก่รัฐบาลประเทศผู้ซื้อตามสัญญา G to G โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ ทำข้อตกลงความร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ตามแบบข้อตกลงที่ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ซึ่งเหตุผลที่มอบสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เนื่องจากเงื่อนไขการส่งมอบข้าวในแต่ละสัญญา มีรายละเอียดในการปฏิบัติที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญเฉพาะของผู้ที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในการส่งข้าวไปต่างประเทศ และสมาคมฯ เป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการส่งออกข้าวโดยตรง และมีสมาชิกที่มีความพร้อมในการส่งออกข้าว รวมทั้งมีศักยภาพในการรับประกันความเสี่ยงในการส่งมอบข้าวภายใต้สัญญา G to G อาทิ การเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวในตลาด ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สภาพอากาศที่ทำให้เกิดปัญหาส่งมอบข้าวล่าช้า ค่าเสียเวลาเรือและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น 2. รัฐบาลในหลายยุคหลายสมัยได้มอบกรมการค้าต่างประเทศร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดหาและส่งมอบข้าวแบบ G to G ให้ COFCO รัฐบาลจีน NFA รัฐบาลฟิลิปปินส์ และ BERNAS รัฐบาลมาเลเซีย เป็นต้น การที่ร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเนื่องจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยมีความคล่องตัวในการดำเนินการและการบริหารจัดการ หากรัฐมาดำเนินการจัดหาและส่งมอบข้าวเองจะใช้เวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนอาจทำให้การส่งมอบล่าช้า ซึ่งคำสั่งซื้อข้าว G to G ส่วนใหญ่ต้องการการส่งมอบโดยเร็ว ที่ผ่านมา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยสามารถส่งมอบข้าวให้แก่รัฐบาลผู้ซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ทันตามกำหนดเวลา สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้ซื้อ และรักษาชื่อเสียงของประเทศเป็นสำคัญ 3. สำหรับการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการตันละ 150 บาทจากสมาชิกสมาคมฯ นั้น เป็นเรื่องภายในของสมาคมฯ ดำเนินการ มิได้เกี่ยวข้องกับกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งสมาคมฯได้ดำเนินการชี้แจงรายละเอียดผ่านสื่อแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42100
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งติดตามผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงฯ เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน - สร้างความตระหนักรู้ปลูกจิตสำนึกประชาชนให้รอบรู้เท่าทันข่าวปลอม
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส เร่งติดตามผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงฯ เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน - สร้างความตระหนักรู้ปลูกจิตสำนึกประชาชนให้รอบรู้เท่าทันข่าวปลอม ดีอีเอส เร่งติดตามผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงฯ เร่งผลักดันอินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน - สร้างความตระหนักรู้ปลูกจิตสำนึกประชาชนให้รอบรู้เท่าทันข่าวปลอม เมื่อวันที่24พฤษภาคม2564นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมครั้งที่3/ 2564โดยมีนายทศพล เพ็งส้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายเอกสิทธิ์คุณานันทกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯเข้าร่วมประชุมผ่านระบบvideo conference ณห้องประชุมMDES1ชั้น9 ทั้งนี้ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าตามข้อสั่งการรัฐมนตรีอาทิการผลักดันให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานภายในกระทรวงดิจิทัลฯประกอบด้วยการขับเคลื่อนการใช้ระบบe-office (paperless)การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของกระทรวงฯในส่วนภูมิภาค และการทบทวนภารกิจแผนงานการดำเนินงานของกระทรวงฯเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนบริบทของประเทศนอกจากนี้ยังมีประเด็นการจัดการข่าวปลอมและข้อมูลเท็จเฉพาะประเด็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้ปลูกจิตสำนึกและรอบรู้เท่าทันข่าวปลอมหรือข่าวเท็จและเรื่องอื่นๆได้แก่การสำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้ประกอบการประชาชน เช่นเรื่องวัคซีนเป็นต้น *********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สมาคมธนาคารไทยเร่งขับเคลื่อนมาตรการตั้งเป้าสินเชื่อฟื้นฟูเฟสแรก 1 แสนล้านบาท
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 สมาคมธนาคารไทยเร่งขับเคลื่อนมาตรการตั้งเป้าสินเชื่อฟื้นฟูเฟสแรก 1 แสนล้านบาท สมาคมธนาคารไทย เร่งขับเคลื่อนมาตรการเพิ่มสภาพคล่อง ตั้งเป้าสินเชื่อฟื้นฟู 6 เดือนแรก 1 แสนล้านบาท เผยอีก 2 อาทิตย์ เห็นยอดอนุมัติสินเชื่อพุ่ง สมาคมธนาคารไทย เร่งขับเคลื่อนมาตรการเพิ่มสภาพคล่อง ตั้งเป้าสินเชื่อฟื้นฟู 6 เดือนแรก 1 แสนล้านบาท เผยอีก 2 อาทิตย์ เห็นยอดอนุมัติสินเชื่อพุ่ง จับมือ กกร. เดินหน้าช่วยผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือ พร้อมหาข้อสรุปแนวทางช่วยเพื่อก้าวผ่านวิฤกตไปด้วยกัน ย้ำธนาคารตระหนักถึงปัญหาและต้องการช่วยลูกหนี้อย่างเร่งด่วนและทั่วถึงต้องการให้เป็นการฟื้นฟูกิจการเพื่อที่ลูกหนี้จะได้ไปต่อในระยะยาว หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มีผลเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564 ซึ่งธนาคารสมาชิกแต่ละแห่งได้ขานรับนโยบายและดำเนินการจัดทำแพ็กเกจการช่วยเหลือ การออกแบบ Product Program เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม การเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้ตรงกับโจทย์ความเดือดร้อนของลูกค้าจะได้ช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด อีกทั้งมีการปรับกระบวนการขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกรวดเร็ว นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกได้ตระหนักถึงปัญหาและความเร่งด่วนที่จะต้องช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนให้ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมผู้ประกอบการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รายกลางและรายเล็กๆ ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ ไม่สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือ จึงหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ โดยร่วมมือกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยขอให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวบรวมรายชื่อข้อมูลของผู้ประกอบการที่สนใจขอสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อเสริมสภาพคล่องและหาแนวทางข้อสรุปในการช่วยเหลือแต่ละราย ซึ่งสมาคมธนาคารไทยจะได้ส่งต่อให้กับธนาคารสมาชิกต่อไป “สิ่งสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้ คือการทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าเงื่อนไขและมีศักยภาพเข้าถึงมาตรการสนับสนุนทางการเงิน ตอบโจทย์ตามความต้องการสภาพคล่องได้อย่างทั่วถึง ตรงจุด และทันเวลากับสถานการณ์ ทั้งหมดจึงเป็นภารกิจเชิงรุกที่ลดความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ ช่วยเสริมสภาพคล่องควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าธุรกิจ ร่วมกับความช่วยเหลืออื่นๆของแต่ละธนาคารที่ออกแบบมาเพื่อบรรเทาปัญหาให้ภาคธุรกิจสามารถประคับประคองกิจการต่อไปได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการพลิกฟื้นกิจการเมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิดเริ่มคลี่คลายเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระยะฟื้นตัวต่อไป” อย่างไรก็ตาม นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า แม้ระยะเวลาที่เปิดให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการไม่นานนัก เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้ว 15,000 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs 5 พันกว่าราย ซึ่งจำนวนนี้ เป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมกับธนาคาร ทั้งรายเล็ก กลาง และใหญ่ ครอบคลุมทุกธุรกิจทั่วประเทศ และขณะนี้ ธนาคารต่างๆ กำลังเร่งพิจารณาคำขออนุมัติสินเชื่อที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. ได้ คาดว่าภายใน 2 อาทิตย์นี้จะเห็นยอดตัวเลขสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นไปตามเป้า 1 แสนล้านบาท ใน 6 เดือนแรก” นอกจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูแล้ว ยังมีอีกมาตรการที่ผู้ประกอบการธุรกกิจให้ความสนใจอย่างมาก คือ โครงการพักทรัพย์พักหนี้ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ปรกอบธุรกิจสามารถหยุดการดำเนินกิจการชั่วคราว เพื่อรอเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สูญเสียกิจการไป แต่เนื่องจากการให้ความช่วยเหลือนี้เป็นเรื่องใหม่ มีรายละเอียดเงื่อนไขเฉพาะธนาคาร มีกระบวนการค่อนข้างซับซ้อน ต้องอาศัยความเข้าใจและความเห็นชอบของลูกหนี้และเจ้าหนี้ อีกทั้งยังมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับภาษี ค่าธรรมเนียมในการโอนทรัพย์เพื่อพักชำระหนี้ ซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีการปฏิบัติต่างๆ “ขณะนี้ ธนาคารแต่ละแห่งกำลังดำเนินการในเรื่องของความชัดเจนแนวทางปฏิบัติ เช่น เรื่อง ภาษี ค่าธรรมเนียมการโอนเพื่อให้ถูกต้อง คาดว่าอีกไม่นานจะเห็นผู้ประกอบการ เช่น กลุ่มโรงแรม หรือกลุ่มธุรกิจการผลิตที่มีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างมาเป็นหลักประกัน ที่ยื่นขอเข้าโครงการนี้ทันท่วงที” นอกจากนี้ นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า จากการเรียนรู้ปัญหาและข้อจำกัดต่างๆที่เกิดขึ้นในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือรอบแรก ดังนั้น สมาคมธนาคารไทย เตรียมการและมีกลไกเพื่อเข้ามาช่วยการขับเคลื่อนมาตรการ ตั้งแต่การสื่อสารในทุกช่องทาง การให้ความรู้และทำความเข้าใจกับพนักงานธนาคารเพื่อตอบโจทย์กับผู้ที่สงสัย รวมถึงการเข้าไปพูดคุยกับลูกหนี้ปัจจุบันและลูกค้าที่สนใจจะเข้ามาขอรับความช่วยเหลือด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียวออกกฎหมายรับรองขึ้นทะเบียนรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถูกกฎหมาย
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ครม. ไฟเขียวออกกฎหมายรับรองขึ้นทะเบียนรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถูกกฎหมาย ครม. ไฟเขียวออกกฎหมายรับรองขึ้นทะเบียนรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถูกกฎหมาย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คนที่เรียกใช้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดทางเลือกในการให้บริการรถยนต์รับจ้าง สอดคล้องกับบริบทของสังคมและวิถีการใช้ชีวิตของประชาชนในปัจจุบันที่นิยมเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น ขณะเดียวกันทางราชการสามารถควบคุมติดตามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่คนโดยสารได้ และยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์ที่ให้บริการดังกล่าวสามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีรายละเอียดที่สำคัญเช่น การกำหนดนิยาม “รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า รถยนต์รับจ้างที่เกิดจากการนำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมาจดทะเบียนเปลี่ยนประเภทเป็นรถยนต์รับจ้าง โดยการรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ กำหนดให้รถยนต์รับจ้างที่จะนำมาจดทะเบียนแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ โดยให้จดทะเบียนได้คนละ 1 คัน ส่วนลักษณะของรถยนต์รับจ้างที่จะนำมาจดทะเบียนต้องมีลักษณะเป็น รถเก๋งสองตอน รถเก๋งสองตอนแวน รถเก๋งสามตอน รถเก๋งสามตอนแวน รถยนต์นั่งสองตอน รถยนต์นั่งสองตอนแวน รถยนต์นั่งสามตอน รถยนต์นั่งสามตอนแวน หรือรถยนต์ลักษณะอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังกำหนดให้รถยนต์รับจ้างต้องมีและใช้อุปกรณ์เครื่องสื่อสารเพื่อรับงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมการขนส่งทางบกให้การรับรอง ต้องแสดงเครื่องหมายแสดงการเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดไว้ที่ตัวรถ ต้องใช้สีของตัวถังรถตามสีที่ใช้ในการจดทะเบียนรถ และให้รถยนต์รับจ้างมีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 9 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก พร้อมกำหนดอัตราค่าจ้างไว้ดังนี้ รถยนต์รับจ้างขนาดเล็กและขนาดกลาง ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรกไม่เกิน 50 บาท รถยนต์ขนาดใหญ่ไม่เกิน 200 บาท ส่วน กิโลเมตรต่อๆไปรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดกลางกิโลเมตรละไม่เกิน 12 บาท ขนาดใหญ่ 50 บาท ในกรณีที่ไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้ตามปกติวิสัยรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดกลางคิดไม่เกินนาทีละ 3 บาท ขนาดใหญ่ 10 บาท ส่วนค่าบริการกรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารหรือระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนดได้ไม่เกิน 50 บาท ขนาดใหญ่ 100 บาท ขณะเดียวกันยังกำหนดให้รถยนต์รับจ้าง ต้องมีการตรวจสภาพตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งต้องรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งภายนอกและภายในตัวรถเป็นอย่างดี ต้องไม่บรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็นจนทำให้ผู้โดยสารไม่ได้รับความไม่สะดวก และกำหนดให้ผู้ขับรถยนต์รับจ้างต้องแต่งกายให้สะอาด สุภาพเรียบร้อยและรัดกุม ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมระบุว่า ปัจจุบันมีรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ที่ได้จดทะเบียนตามกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน พ.ศ.2560 ซึ่งมีรูปแบบการบริการที่ให้ประชาชนเรียกใช้บริการบนท้องถนนทั่วไป หรือโทรศัพท์เรียก หรือเรียกผ่านศูนย์บริการสื่อสารรถยนต์รับจ้าง(แท็กซี่) ที่รถยนต์รับจ้างสังกัด โดยคิดอัตราค่าโดยสารตามมิเตอร์มีรถจดทะเบียนในระบบจำนวน 75,448 คัน และปัจจุบันมีการพัฒนาแอปพลิเคชันเรียกรถเพื่อใช้บริการในการเดินทางผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ แท็บเล็ต โดยมีการนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริการดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการสามารถรับรู้ค่าโดยสารล่วงหน้าก่อนตัดสินใจใช้บริการ จึงเกิดความสะดวกต่อผู้ใช้งานและประชาชนให้ความนิยม แต่การบริการดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ฐานใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและส่งเสริมให้ผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวสามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวขึ้นมา ..............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 กรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 กรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง วันนี้ (25 พฤษภาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงต่อสื่อมวลชนถึงมติคณะรัฐมนตรีผ่าน พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวถึง พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยจะใช้ดูแลเยียวยาประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถรักษาระดับการจ้างงาน สร้างงานในระดับท้องถิ่นเพื่อเป็นการต่อยอด ควบคู่ไปกับการเดินหน้าระดมฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ที่ผ่านมายังไม่ได้มีการล็อคดาวน์ทั่วประเทศและหลายจังหวัดพื้นที่สีเขียวสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและนักลงทุนต่างชาติว่าประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ในโอกาสนี้ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงถึงการใช้จ่ายงบประมาณจาก พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 กรอบวงเงิน 1 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานด้านสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท แผนงานด้านการเยียวยาประชาชน วงเงิน 555,000 ล้านบาท และแผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ช่วงที่ผ่านมีการโอนวงเงินจากแผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจไปใช้แผนงานด้านการเยียวยาประชาชนเพิ่มเติม จะทำให้วงเงินแผนงานด้านการเยียวยาประชาชนมีวงเงิน 685,000 ล้านบาท และแผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจมีวงเงิน 270,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้การอนุมัติการใช้วงเงินผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ที่เสนอมา ในแผนงานด้านสาธารณสุข อนุมัติวงเงินแล้ว 25,825 ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์ การจัดซื้อการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ จัดทำห้องความดันลบ เตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล ทำให้มีวงเงินคงเหลือ 19,174 ล้านบาท และกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมนำเสนอโครงการเพื่อใช้งบประมาณที่เหลือในการจัดซื้อหาวัคซีนเพิ่มเติม สำหรับแผนงานแผนงานด้านการเยียวยาประชาชนได้มีการอนุมัติวงเงินไปแล้ว 666,243 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการเราไม่ทิ้งกัน และแผนงานช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง พร้อมอนุมัติวงเงินเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเพิ่มเติมกว่า 210,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนกว่า 40 ล้านคน และแผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีการอนุมัติวงเงินแล้ว 125,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการระดับจังหวัดกว่า 200 โครงการ คงเหลือ 144,846 ล้านบาทเศษ ซึ่งจะนำไปใช้ในโครงการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่จะเร่งดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติย้ำว่ากรอบวงเงิน 1 ล้านล้านบาทมีแผนการใช้จ่ายครบถ้วนแล้ว และมีเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 817,000 ล้านหรือเกือบร้อยละ 80 ช่วยให้มีการจ้างงานแล้วกว่า 163,628 คน มีการฝึกอบรมทักษะเกษตรกรกว่า 90,000 คน ช่วยเสริมเศรษฐกิจให้ดีขึ้นประมาณร้อยละ 2 โดยรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยภายใต้ 3 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ การส่งออกที่จะนำไปสู่การลงทุนในภาคเอกชน การลงทุนในภาครัฐที่จะเน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการดูแลผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ควบคู่ไปกับการรักษาระดับการจ้างงาน การช่วยเหลือนิสิต นักศึกษาที่จบใหม่ด้วย ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการประกาศ พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 เป็นกฎหมายเฉพาะซึ่งเป็นไปตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยกำหนดเป็นกฎหมายเฉพาะ มีความจำเป็นเร่งด่วนและต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศและไม่สามารถจัดสรรงบประมาณประจำปีได้ทัน โดยเป็นการกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศหรือออกตราสารหนี้ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ต้องลงนามในสัญญากู้เงินหรือออกตราสารหนี้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยต้องใช้จ่ายใน 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 300,000 ล้านบาท และแผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 170,000 ล้านบาท กรณีจำเป็น คณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินแผนงานหรือโครงการภายใต้ 3 วัตถุประสงค์ได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์ ช่วยเสริมแผนงานตามพ.ร.ก. ฉบับที่ 1 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเป็นห่วงถึงภาคธุรกิจ SMEs และ Micro SMEs รวมทั้งที่ไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ก็ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการต่าง ๆและเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในตอนท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังย้ำว่ากรอบวงเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมในการดำเนินมาตรการทางด้านการคลังเพื่อดูแลด้านสาธารณสุข ช่วยเหลือเยียวยาตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ให้กลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทย 2564-2565 สามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากกรณีฐานถึงร้อยละ 1.5 และยังอยู่ในกรอบเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการออกตราสารหนี้ในช่วงเวลาที่ได้ประโยชน์แก่ประเทศมากที่สุด ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ชี้สัญญาณดี “ค้ำประกัน สินเชื่อฟื้นฟู” ตัวเร่งฟื้นเศรษฐกิจ 18 พ.ค. อนุมัติค้ำแล้ว 2,840 ล้านบาท 2,260 ฉบับ
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 บสย. ชี้สัญญาณดี “ค้ำประกัน สินเชื่อฟื้นฟู” ตัวเร่งฟื้นเศรษฐกิจ 18 พ.ค. อนุมัติค้ำแล้ว 2,840 ล้านบาท 2,260 ฉบับ บสย. ปูพรมค้ำฯ “สินเชื่อฟื้นฟู” กระแสดี ดอกต่ำ ค้ำทุกเคส นำร่อง 5 สถาบันการเงินพันธมิตร ยอดอนุมัติค้ำฯ ณ 18 พ.ค. 2,840 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจเดินหน้าต่อเนื่อง นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ( บสย.) เปิดเผยผลดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู ตาม พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู-พักทรัพย์-พักหนี้ ตั้งแต่ 26 เม.ย.- 18 พ.ค. 2564 อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 2,840 ล้านบาท อนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ (LG) จำนวน 2,260 ฉบับ ผ่าน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงินค้ำประกันเฉลี่ยต่อราย 1.25 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่มีการค้ำประกันจำนวนมากราย ได้แก่ 1.การบริการ 2.การผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 3.การเกษตรกรรม นับเป็นสัญญาณที่ดีของโครงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู ซึ่งเริ่มมีการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ โดย บสย.ทำหน้าที่เป็นหลักประกัน ให้ผู้ประกอบการ พร้อมเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการในขณะนี้คืออัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งคาดว่าภาพรวมการอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากธนาคารอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ รวมทั้งมีจำนวนธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ ส่งคำขอมายัง บสย.ค้ำประกันมากขึ้น โครงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู เริ่มคิกออฟโครงการเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ความช่วยเหลือค้ำประกันเงินกู้ แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ให้มีสภาพคล่อง หรือมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ โดยใช้ บสย.เป็นหลักประกันในการขอกู้เงินจากธนาคาร มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู เฟสแรกจำนวน 100,000 ล้านบาทคาดว่าจะมีผู้ประกอบการ ให้ความสนใจใช้บริการมากขึ้น ด้วยจุดเด่นของโครงการสินเชื่อฟื้นฟู อัตราดอกเบี้ยต่ำ สามารถใช้ บสย.ค้ำประกันสินเชื่อได้ทุกเคส และยังเปิดกว้างขยายขอบเขตการค้ำประกันสินเชื่อมากกว่าปกติ จากกลุ่ม SMEs เป็นผู้ประกอบการทุกกลุ่มทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และครอบคลุมขนาดใหญ่ที่ขอสินเชื่อจากธนาคาร และผ่านการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทุกเคสที่มีเอกสารครบถ้วนที่ส่งมายัง บสย. จะได้รับการค้ำประกันสินเชื่อทั้งหมด นอกจากนี้ บสย.ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการภายใน เตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและระบบปฎิบัติการอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อรองรับปริมาณคำขอค้ำประกันสินเชื่อที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารพันธมิตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอนุมัติค้ำประกันที่รวดเร็ว รวมทั้งได้เร่งประชาสัมพันธ์ “บสย.ค้ำทุกเคส” เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติและขั้นตอนการเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู และการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูจาก บสย. ให้เข้าถึงผู้ประกอบการทุกกลุ่ม นอกจากนี้ บสย.ได้เปิดช่องทางติดต่อ Call Center 02-890-9999 รวมทั้งศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย.F. A. Center โทร. 065-507-8999 Line @doctor.tcg เว็บไซต์ www.tcg.or.thและสำนักงานเขต บสย.ทั้ง 11 แห่ง เพื่อขอรับคำแนะนำการเข้าถึงแหล่งทุนและโครงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูได้ทุกวันในเวลาทำการ #บสยค้ำทุกเคส #ค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 2564 ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กระทรวงเกษตรฯ จัดการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศร์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติและคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งการประชุมฯ ดังกล่าว มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จำนวน 6 เรื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42067