title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ การประชุมคณะกรรมการบริหารมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom โดยมี คณะกรรมการบริหารมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เข้าร่วม กิจกรรมภายใต้หลักสูตร ป.ย.ป. ๒๕๖๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ถอดบทเรียน โควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาสและการพัฒนาสู่ความยั่งยืน”
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เข้าร่วม กิจกรรมภายใต้หลักสูตร ป.ย.ป. ๒๕๖๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ถอดบทเรียน โควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาสและการพัฒนาสู่ความยั่งยืน” กิจกรรมภายใต้หลักสูตร ป.ย.ป. ๒๕๖๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ถอดบทเรียน โควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาสและการพัฒนาสู่ความยั่งยืน” ประชุมออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม กิจกรรมภายใต้หลักสูตร ป.ย.ป. ๒๕๖๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ถอดบทเรียน โควิด-19 พลิกวิกฤติเป็นโอกาสและการพัฒนาสู่ความยั่งยืน” พร้อมด้วย นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุม โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานการประชุมออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42134
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เดินหน้าทดสอบความพร้อมเรือ The Blue Dolphin สร้างความเชื่อมั่นเส้นทางเดินเรือ “สัตหีบ - สงขลา”
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 กรมเจ้าท่า เดินหน้าทดสอบความพร้อมเรือ The Blue Dolphin สร้างความเชื่อมั่นเส้นทางเดินเรือ “สัตหีบ - สงขลา” กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ควบคุมทดสอบการเดินเรือ BLUE DOLPHIN วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ณ ท่าเรือบริษัท เซ้าท์เธิร์นโลจิสติกส์ จำกัด ร่องน้ำสงขลา จังหวัดสงขลา ไปยังท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เตรียมพร้อมสร้างความเชื่อมั่นเส้นทางเดิ นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่า ได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในการแก้ไขปัญหาการจราจรทางบกติดขัด ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า กรมเจ้าท่าได้ร่วมมือกับบริษัท ซีฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด ผลักดันให้เกิดโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวระหว่าง จังหวัดชลบุรี กับ จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในด้านความปลอดภัย และเตรียมความพร้อมสำหรับให้บริการจริงแก่ประชาชน สำหรับเรือ The Blue Dolphin หมายเลขทะเบียนเรือ 640000020 ขนาดความยาว 136.6 เมตร กว้าง 21 เมตร ขนาด 7003 ตันกรอสส์ สามารถบรรทุกรถ 10 ล้อ ได้ครั้งละ 80 คัน รถยนต์ส่วนบุคคลได้ 15-20 คัน คนประจำเรือ 30 คน บรรทุกคนโดยสารได้ 586 คน โดยสามารถทำความเร็วได้ประมาณ 18-20 น็อต โดยในวันนี้ (27 พฤษภาคม 2564) กำหนดการทดสอบการเดินเรือออกจากท่าเทียบเรือบริษัท เซ้าท์เธิร์นโลจิสติกส์ จำกัด ปากร่องน้ำสงขลา เวลาประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 26 พฤษภาคม ๒๕๖๔ เดินทางถึงท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ด้วยความเรียบร้อย เวลาประมาณ 11.20 น. ใช้เวลาประมาณ 22 ชั่วโมง 20 นาที พร้อมนี้ได้ทดลองนำรถเทรลเลอร์ จำนวน 1 คัน และรถบรรทุก 6 ล้อ จำนวน 1 คัน เพื่อทดสอบความพร้อมของระบบการขนถ่ายรถฯ ให้เกิดความสะดวก ปลอดภัยอย่างสูงสุด ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแผนจัดการฉุกเฉินระหว่างการเดินทางจาก ท่าเรือสงขลามายังสัตหีบ โดยวางแผนการดำเนินการให้สามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถานีนำร่อง ปตท. กลางทะเล ศรชล. Port control Sriracha VTS สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา ได้ตลอดเส้นทางการเดินทาง และเมื่อแผนฯ แล้วเสร็จจะดำเนินการฝึกซ้อมการอพยพคนระหว่างการเดินทางอีกครั้ง สำหรับเรือ The Blue Dolphin นอกจากมีแผนการเดินเรือในเส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี-จังหวัดสงขลา ยังมีแผนจะขยายเส้นทางเชื่อมโยงเข้ากับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในระยะต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor, EEC เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor, SEC ช่วยเพิ่มศักยภาพของการขนส่ง ทางน้ำ ลดต้นทุนและอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบก และลดปัญหามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม อันจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการขนส่งและการท่องเที่ยวทางทะเลได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งภารกิจขุดลอกแก้ปัญหาภัยแล้ง เพิ่มพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 กรมเจ้าท่า เร่งภารกิจขุดลอกแก้ปัญหาภัยแล้ง เพิ่มพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก ... นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยผลการดำเนินงานภารกิจขุดลอกตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ขยายพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากเพื่อช่วยเหลือประชาชน บริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วยหน่วยขุดลอกแม่น้ำฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แม่น้ำคาว จังหวัดเชียงราย แม่น้ำยม จังหวัดแพร่ และแม่น้ำจาง จังหวัดลำปาง ดำเนินการโดยสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ : สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนจากความตื้นเขินของลำน้ำจากตะกอนดิน การกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรในฤดูแล้งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค และลดอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลให้พืชผลได้รับความเสียหาย ดังนี้ 1. แม่น้ำจาง ตำบลสบป้าด อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เปิดหน่วยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 เริ่มขุดลอก (ช่วงที่ 1) ตั้งแต่ กม. 81 + 330 ถึง กม. 84 + 150 (ช่วงที่ 2) ตั้งแต่ กม. 87+100 ถึง กม. 87+650 ระยะทางรวม 3,400 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 15 - 20 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 253.50 - 264.00 เมตร (จากระดับน้ำทะเล ปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 54,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 100 วัน การปฏิบัติงานขุดลอกถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ได้ 88.94 % 2. แม่น้ำยม หมู่ที่ 1 ตำบลสบสาย อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เริ่มขุดลอก ตั้งแต่ กม. 533 + 050 ถึง กม. 535 + 100 ระยะทาง 2,050 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 40 - 70 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 139.50 - 140.00 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 55,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 95 วัน การปฏิบัติงานขุดลอก ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ได้ 90.22 % พื้นที่ได้รับประโยชน์คือโรงสูบน้ำพลังงานไฟฟ้า จำนวน 1 โรง พื้นที่ใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรม ประมาณ 1,400 ไร่ และใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ประมาณ 550 ครัวเรือน 3. แม่น้ำจางตำบลดอนไฟ ตำบลหัวเสือ และตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เริ่มขุดลอก ตั้งแต่ กม. 45+350 ถึง กม. 47+650 ระยะทาง 2,300 เมตร ขุดลอกร่องน้ำให้ได้ความกว้าง 30 - 40 เมตร ขุดลอกระดับก้นร่องลึกประมาณ 203.50- 204.50 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ได้วัสดุขุดลอก 50,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 85 วัน ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ คือโรงสูบน้ำพลังงานไฟฟ้า จำนวน 1 โรง พื้นที่ใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรม ประมาณ 500 - 700 ไร่ และประปาหมู่บ้าน จำนวน 1 โรงที่ใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค จำนวน 350 - 400 ครัวเรือน อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมถึงภารกิจขุดลอก ว่าปัจจุบันกรมเจ้าท่า โดยสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำได้เร่งดำเนินการตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จในหลายพื้นที่ และหมุนเวียนดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูฝนของปีนี้ อีกทั้งภายหลังการขุดลอกได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านช่วยกันรักษา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางน้ำโดยการปล่อยพันธุ์ปลาท้องถิ่น ใช้พื้นที่ริมตลิ่งปลูกพืชผักสวนครัว ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว พร้อมกับปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนได้อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42152
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อีกหนึ่งผลงาน “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” “อลงกรณ์” เผยพร้อมตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระบบบิ๊กดาต้าออร์กานิค (Organic Big Data)
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 อีกหนึ่งผลงาน “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” “อลงกรณ์” เผยพร้อมตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระบบบิ๊กดาต้าออร์กานิค (Organic Big Data) ล่าสุดขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์เกือบ 4 แสนไร่ พร้อมเดินหน้าเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Urban Farming) จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนทั่วประเทศแล้ว วันนี้(27พ.ค. 2564)นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเปิดเผยถึงผลการประชุมครั้งที่3/2564ผ่านระบบZOOMโดยมีนายวิชัยไตรสุรัตน์ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรฯนายมนัสกำเนิดมณีผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯนายธีระวงษ์เจริญประธานอนุกรรมการเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานผู้แทนสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายปริญญาพรศิริชัยวัฒนาประธานอนุกรรมการเกษตรอินทรีย์ประธานชมรมเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทยคณะอนุกรรมการวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติตัวแทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องภาคเอกชนและภาคเกษตรกรร่วมหารือในประเด็นสำคัญในการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองการดำเนินงานของคณะทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติและด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานเพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรไทยตาม“5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย”ของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา สำหรับผลการประชุมในวาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1.โครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Sustainable Urban Agriculture Development Project)มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเกษตรกรรมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองพร้อมกับการพัฒนาการเกษตรในเมือง(Urban Farming)ภายใต้นโยบายการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน17ประการของสหประชาชาติเพื่อโลกอนาคต(UN Sustainable Development Goals : 17 aspects for future world)ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่11การพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน(Sustainable cities and communities: Make cities inclusive, safe, resilient and sustainable)ซึ่งในปี2562ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตามปรากฏการณ์การขยายตัวของเมือง(Urbanization)ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารยิ่งขึ้นโดยอาศัยหน่วยงานภาครัฐเอกชนเกษตรกรและภาคประชาชนร่วมบูรณาการขับเคลื่อนพร้อมกันเพื่อการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศทั้งในระดับเขตระดับจังหวัดเขตปกครองท้องถิ่นพื้นที่อยู่อาศัยสถานที่สำคัญต่างๆให้เป็นแหล่งผลิตอาหารสร้างความมั่นคงทางอาหารในเมืองและเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้เช่นจัดทำQR codeให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของพืชและสมุนไพรรวมทั้งการใช้ประโยชน์ โดยจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองดังนี้1)คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับเขตตามการแบ่งเขตตรวจราชการของกระทรวงฯ2)คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับจังหวัด3)คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร4)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วัด(Green Temple) 5)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วิทยาลัย(Green College) 6)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่โรงเรียน(Green School) 7)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่มหาวิทยาลัย(Green Campus) 8)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ9)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับชุมชนและท้องถิ่น(Green Community)และ10)คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่อาคารชุด(Green Condo) 2.การจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักพัฒนาระบบบริหารก่อนการดำเนินการต่อไป 3.การจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเกษตรอินทรีย์(Organic Big Data Center)โดยสามารถเข้าชมได้ที่https://organicmoac.ldd.go.thข้อมูลปัจจุบันณวันที่25พฤษภาคม2564มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในฐานข้อมูลออนไลน์รวมทั้งสิ้น397,037.24ไร่ 4.ความก้าวหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอสแห่งประเทศไทยขณะนี้พร้อมดำเนินการจัดตั้งโดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ประกอบด้วยประธานกรรมการ1คนกรรมการและเลขานุการ1คนโดยการคัดเลือกจากคณะกรรมการบริหารสภาฯและกรรมการจำนวน20คนแบ่งเป็นผู้แทนองค์กรจัดระบบ(3แห่ง)เกษตรกรเกษตรอินทรีย์PGS 4ภาค(8คน),ผู้แทนสถาบันการศึกษา(4แห่ง),ผู้ประกอบการด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์และจําหน่ายเกษตรอินทรีย์PGS 4แห่ง,เกษตรกรรุ่นใหม่ประเทศไทย(1คน),สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย1แห่งและผู้แทนภาครัฐ(1แห่ง)โดยมีอำนาจหน้าที่หลักได้แก่การกําหนดกรอบเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วมจัดระบบการกำกับดูแลและติดตามการเทียบเคียงการยอมรับกระบวนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมรวมทั้งสื่อสารประชาสัมพันธ์จัดทําฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม 5.ความก้าวหน้าโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ขณะนี้มีผลดำเนินโครงการไปแล้วโดยมีเป้าหมาย4,009ตำบล648อำเภอ75จังหวัดจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ29,706รายและมีจ้างงานจำนวน14,076ราย 6.คู่มือสำหรับประชาชนในการปฏิบัติตามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยที่ประชุมมอบหมายให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนในเรื่องการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ 7.นิยามใหม่“วนเกษตร”ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนแล้วจะทำให้การพัฒนาวนเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากติดกรอบนิยามเดิมมาเป็นเวลานานหลายปี 8.เรื่องการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)มีความคืบหน้าหลังจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่13พ.ค.ที่ผ่านมาขณะนี้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบให้สํานักพัฒนาระบบบริหารสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีเสนอขายวัคซีน Sinopharm
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีเสนอขายวัคซีน Sinopharm รัฐบาลแจงข้อเท็จจริงกรณีเสนอขายวัคซีน Sinopharm นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มีข่าวเรื่องการเสนอขายวัคซีน Sinopharm จำนวน 20 ล้านโดสให้รัฐบาลไทย โดยบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด นั้น ขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ปรากฏว่า บริษัทฯดังกล่าวไม่สามารถนำเข้ายาเข้ามาในประเทศไทยได้ เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และด้วยเหตุที่บริษัทฯดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ายามาในประเทศไทย ดังนั้นบริษัทฯดังกล่าวจึงมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนและไม่สามารถยื่นขออนุณาตในการขึ้นทะเบียนกับ อย. อีกเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทฯดังกล่าวไม่เคยมีประวัติการนำเข้ายา หรือขอรับการขึ้นทะเบียนกับ อย. มาก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้ วัคซีน Sinopharm ได้มีบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ได้ขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ไว้ก่อนแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินคำขอขึ้นทะเบียนอยู่ และอยู่ระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนการพิจารณา อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจากกรมธุรกิจการค้า พบว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มิใช่ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์แต่อย่างใด ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบงบการเงินและแหล่งที่มาของรายได้ของบริษัทฯดังกล่าวต่อไปเพื่อความชัดเจน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัทฯดังกล่าวไม่เคยติดต่อเพื่อขอเข้าพบตัวแทนรัฐบาลแต่อย่างใด อีกทั้งการเจรจาติดต่อเรื่องการนำเข้าวัคซีนสามารถติดต่อผ่านทางองค์การเภสัชกรรม หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้โดยตรงในเบื้องต้น โดยไม่มีความจำเป็นต้องพบนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีตามที่อ้างแต่อย่างใด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งพัฒนาปรับปรุงท่าเรือ สู่ความเป็นมาตรฐาน สะดวก สะอาด ปลอดภัย ทันสมัย พร้อมรองรับการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยว
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 กรมเจ้าท่า เร่งพัฒนาปรับปรุงท่าเรือ สู่ความเป็นมาตรฐาน สะดวก สะอาด ปลอดภัย ทันสมัย พร้อมรองรับการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยว กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยทางน้ำ ควบคู่ไปกับการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อประชาชนผู้สัญจรทางน้ำจะได้รับความสะดวกสบายและเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการ นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าได้มีการพัฒนาการให้บริการท่าเรือโดยสารสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยาให้เพียงพอและสามารถรองรับการใช้งานของผู้โดยสารได้อย่างสะดวกและปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาการเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่น เช่น รถไฟฟ้า รถประจำทาง ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำแผนการพัฒนาการให้บริการท่าเรือร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เป็นการเพิ่มศักยภาพพร้อมยกระดับการโดยสารทางน้ำในทุกมิติ รวมทั้งได้ดำเนินการติดตั้งป้ายบอกทางเพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งในรูปแบบอื่น อาทิ รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ และแหล่งเที่ยวโดยรอบท่าเรือ ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งป้ายแล้วเสร็จจำนวน 10 ท่าเรือได้แก่ ท่าเรือสาทร ท่าเรือโอเรียนเต็ล ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือราชวงศ์ ท่าเรือท่าดินแดง ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือราชินี ท่าเรือเทเวศร์ และท่าเรือนนทบุรี สำหรับท่าเรืออื่นๆ กรมเจ้าท่าจะเร่งดำเนินการติดตั้งป้ายบอกทางให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้ ทั้งนี้ นอกจาการปรับปรุงท่าเทียบเรือ ติดตั้งป้ายบอกทางเพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งรูปแบบอื่น กรมเจ้าท่าได้ให้ความสำคัญแก่ผู้มาใช้บริการภายในท่าเรือ โดยได้ทำการก่อสร้างห้องน้ำสำหรับให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปและห้องน้ำสำหรับผู้พิการในรูปแบบที่ทันสมัย สวยงาม ได้มาตรฐาน สะอาด และสะดวกสบาย เพื่อให้ประชาชนรวมถึงผู้พิการและนักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกในการใช้บริการระหว่างเดินทางมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการใช้บริการเรือโดยสารสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทาง เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลซึ่งบางสถานที่ยังไม่มีห้องสุขาให้บริการ สำหรับขนาดของห้องน้ำของแต่ละท่าเรือ เกณฑ์การพิจารณาจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการผ่านท่าเรือ โดยกรมเจ้าท่าได้ออกแบบไว้ 2 ขนาด ได้แก่ 1.ขนาด M ประกอบด้วย ห้องน้ำชาย 2 ห้อง ห้องน้ำหญิง 3 ห้อง ห้องน้ำผู้พิการ 1 ห้อง 2.ขนาด S ประกอบด้วย ห้องนํ้าชาย และห้องน้ำหญิง 1 ห้อง ห้องน้ำผู้พิการ 1 ห้อง ซึ่งปัจจุบันได้ทำการก่อสร้างห้องน้ำแล้วเสร็จพร้อมให้บริการ ได้แก่ ท่าเรือสะพานพุทธ และท่าเรือเทเวศร์ ก่อสร้างขนาดไซต์ S ท่าเรือนนทบุรี และท่าเรือกรมเจ้าท่า ก่อสร้างขนาดไซต์ M ซึ่งเป็นห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน สะอาด สะดวกสบาย ร่วมกับการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบท่าเรือให้เกิดความสวยงาม เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารทางเรือและทางบก ช่วยเพิ่มศักยภาพในการโดยสารเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สามารถเชื่อมต่อระบบ รถ ราง เรือ ส่งผลให้ประชาชนที่ใช้บริการด้านคมนาคมได้รับความสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42147
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมเจ้าท่า สั่งการเจ้าท่าทั่วประเทศ รับมือ “พายุยาอาส” เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 อธิบดีกรมเจ้าท่า สั่งการเจ้าท่าทั่วประเทศ รับมือ “พายุยาอาส” เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน อธิบดีกรมเจ้าท่า สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคทั้ง 41 สาขา และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ 1 - 8 ทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์พายุไซโคลน “ยาอาส” (YAAS) เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ รถ เรือ และอุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเตือน เวลา 10.00 น. พายุไซโคลน “ยาอาส” (YAAS) บริเวณชายฝั่งประเทศอินเดียตอนบน หรือมีศูนย์กลางอยู่ ที่ละติจูด 20.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 87.3 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 130 กม./ชม. พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็วประมาณ 15 กม./ชม. คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณรัฐโอริสสาและรัฐกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ในบ่ายวันนี้ (26 พฤษภาคม 2564) ส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนัก บางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝน ที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสม ทั้งนี้ คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรงดการเดินเรือ ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคทั้ง 41 สาขา และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ 1 - 8 ทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์พายุไซโคลน “ยาอาส” (YAAS) โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 , 4 และ 5 โดยได้รายงานความคืบหน้าถึงการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรมเจ้าท่าขึ้นในพื้นที่พร้อมเตรียมสนธิกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ รถ เรือ และอุปกรณ์การช่วยเหลือผู้ประภัย เพื่อออกปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ และออกประกาศให้ระมัดระวังในการเดินเรือ ตรวจสอบความพร้อมของตัวเรือ เครื่องยนต์เรือ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือ รวมทั้งเรือช่วยชีวิตและ/หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานได้ทุกขณะ และให้สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลา ขณะอยู่ในเรือ และต้องติดตามรายงานข่าวสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาโดยใกล้ชิดตลอดเวลา ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยของกรมเจ้าท่าที่มีความพร้อม อาทิ เรือพระราชทาน เรือท้องแบน รถเคลื่อนย้าย กำลังเจ้าหน้าที่ ฯ ให้เข้าช่วยเหลือพื้นที่ที่เกิดเหตุโดยทันที อีกทั้งได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคและสาขา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เฝ้าติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้ออกประกาศแจ้งงดการเดินเรือ รวมถึงแจ้งให้เรือจอดในบริเวณที่มีกำบังคลื่นลม โดยขอให้ติดตามประกาศกรมเจ้าท่า และข่าวพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากประชาชนและชาวเรือพบเหตุ ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานเจ้าท่าในพื้นที่ หรือที่สายด่วน 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือลาซารัส และเครือข่ายเพื่อสังคม จัดโครงการ Hope for Home บ้านนี้มีความหวัง นำร่องฉีดพ่นฆ่าเชื้อในชุมชนโค้งรถไฟยมราช เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 พม. จับมือลาซารัส และเครือข่ายเพื่อสังคม จัดโครงการ Hope for Home บ้านนี้มีความหวัง นำร่องฉีดพ่นฆ่าเชื้อในชุมชนโค้งรถไฟยมราช เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พม. จับมือลาซารัส และเครือข่ายเพื่อสังคม จัดโครงการ Hope for Home บ้านนี้มีความหวัง นำร่องฉีดพ่นฆ่าเชื้อในชุมชนโค้งรถไฟยมราช เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันที่ 26 พ.ค. 64 เวลา 09.00 น.นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมด้วย นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (รองอธิบดี พส.) และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่ ณ ชุมชนโค้งรถไฟยมราช กรุงเทพฯ เพื่อนำทีมมาฉีดพ่นฆ่าเชื้อในชุมชน ประมาณ 200 หลังคาเรือน ภายใต้โครงการ "Hope for Home บ้านนี้มีความหวัง" ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ ลาซารัส และเครือข่ายเพื่อสังคม รวมทั้งศิลปินอาสา อพม. (อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ได้แก่ นายศตวรรษ เศรษฐกร (เต๊ะ) นักร้อง นักแสดง และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ (ตุ๊กตา) พิธีกรรายการโทรทัศน์ ร่วมกันจัดโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นายอนุกูลกล่าวว่า การจัดโครงการ "Hope for Home บ้านนี้มีความหวัง" ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาสังคมและประชาชนในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง ในชุมชนต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการลงพื้นที่ชุมชนแออัดที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้นำผลิตภัณฑ์ลาซารัส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่มีคุณสมบัติไม่ติดไฟ และไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย มาฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้กับที่พักอาศัยทุกหลังในชุมชน ซึ่งนำร่องที่ชุมชนโค้งรถไฟยมราชเป็นชุมชนแรก และจะมีการวางแผนในการฉีดพ่นฆ่าเชื้อไปยังชุมชนต่างๆ นอกจากนี้ ยังได้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวชุมชน และจะเร่งหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 หรือชุมชนใดที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด หรือติดต่อประสานขอความช่วยเหลือผ่าน อพม. ในพื้นที่ ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือ และประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42141
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เขตการเดินรถที่ 6
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) กระจายและสำรองให้กับทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเพียงพอ รัฐบาลเร่งจดสิทธิบัตรเพื่อผลิตในไทย ใช้ลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) กระจายและสำรองให้กับทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเพียงพอ รัฐบาลเร่งจดสิทธิบัตรเพื่อผลิตในไทย ใช้ลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) กระจายและสำรองให้กับทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเพียงพอ รัฐบาลเร่งจดสิทธิบัตรเพื่อผลิตในไทย ใช้ลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระลอกนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกระจายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศอย่างเพียงพอและทั่วถึงโดยกระทรวงสาธารณสุข มีระบบบริหารจัดการจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นหน่วยสำรองยาระดับประเทศ และกระจายยาไปโรงพยาบาลในทุกจังหวัดที่รับผู้ป่วย พร้อมทั้งสำรองในโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาคทุกเขตสุขภาพมากกว่า 20 โรงพยาบาล เช่น ในกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย สังกัดกรุงเทพมหานครเป็นแม่ข่าย กระจายยาให้ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกสังกัด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 -30 เมษายน 2564 มีการกระจายยาไปยังทุกจังหวัดที่มีผู้ป่วยทุกเขตสุขภาพแล้ว 765,600 เม็ด อาทิ โรงพยาบาลราชวิถี 190,500 เม็ด โรงพยาบาลนครพิงค์ 48,000 เม็ด โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 78,200 เม็ด โรงพยาบาลชลบุรี 70,000 เม็ด โรงพยาบาลหาดใหญ่ 18,500 เม็ด โรงเรียนแพทย์ แห่งละ 4,000 – 6,000 เม็ด และโรงพยาบาลภาคเอกชนกว่าแสนเม็ด รวมทั้งมีการวางแผนจัดส่งยาฉุกเฉิน โดยองค์การเภสัชกรรม ผ่านทางสายการบินพาณิชย์ และรถโดยสารในจังหวัดที่ไม่มีสนามบินไว้ด้วย ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ให้ในผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ ตามแนวทางการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงพร้อมกระจายยาและสำรองยาให้กับทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่รับผู้ป่วยมีอาการอย่างทันท่วงที และเพียงพอกับความต้องการใช้ เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายรัฐบาลที่จะให้ไทยเป็นฐานการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ในภูมิภาคนั้น ขณะนี้ได้ให้องค์การเภสัชกรรมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเจรจากับผู้ขอรับสิทธิบัตร เพื่อให้ได้สิทธิผลิตยาชนิดนี้ในประเทศไทยได้เอง โดยองค์การเภสัชกรรมกำลังดำเนินการตามขั้นตอนการเพื่อให้ได้สิทธิยาฟาวิพิราเวียร์เข้ามาผลิตในประเทศ โดยการการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์นั้น รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ที่สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนโยบายในการจัดหายาให้เพียงพอต่อความจำเป็นอย่างทันท่วงที ซึ่งทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขอร่วมลงทุนผลิตยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค อีกทั้งยังมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาตำรับยาขึ้นใหม่จากสารออกฤทธิ์หลักของยาฟาวิพิราเวียร์ที่ไม่มีสิทธิบัตรในประเทศไทย ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรในยาฟาวิพิราเวียร์รูปแบบยาเม็ด ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญายืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอน เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าโรงพยาบาลเอกชนนั้นก็ยังสามารถนำเข้ายาชนิดนี้ได้โดยรัฐไม่ได้มีการผูกขาดการนำเข้าแต่อย่างใด ............................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสาร ปอ. สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 84 เขตการเดินรถที่ 6 3) พนักงานธุรการจ่ายงาน เขตการเดินรถที่ 1 อู่รังสิต 4) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 11 เขตการเดินรถที่ 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41450
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก‼️ เราทำได้ถ้าทุกคนร่วมมือกัน
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก‼️ เราทำได้ถ้าทุกคนร่วมมือกัน ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก‼️ เราทำได้ถ้าทุกคนร่วมมือกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. เดินหน้ายกระดับบริการขอคืนภาษีพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. ตอบโจทย์การเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจร เริ่มต้นเดือนมิถุนายน 2564 นี้
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 สบน. เดินหน้ายกระดับบริการขอคืนภาษีพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. ตอบโจทย์การเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจร เริ่มต้นเดือนมิถุนายน 2564 นี้ สบน. ร่วมกับกรมสรรพากร ธปท. และ ธ.กรุงไทย ยกระดับบริการ วอลเล็ต สบม. ให้เชื่อมต่อระบบการให้บริการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์จากการลงทุนให้กับผู้ถือครองพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ร่วมกับกรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) ยกระดับบริการ วอลเล็ต สบม. ให้เชื่อมต่อระบบการให้บริการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์จากการลงทุนให้กับผู้ถือครองพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า หลังจากเปิดบริการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรองผ่านวอลเล็ต สบม. ในเดือนธันวาคม 2563 สบน. ได้ร่วมมือกับกรมสรรพากร ธปท. และธนาคารกรุงไทยฯ ต่อยอดการเปลี่ยนแปลงงานพันธบัตรออมทรัพย์สู่ดิจิทัลของภาครัฐ (Digital Transformation) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้ถือครองพันธบัตรออมทรัพย์จะสามารถขอคืนภาษีผ่านระบบอัตโนมัติ โดยทุกหน่วยงานได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการพัฒนาระบบเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา และเปิดใช้ระบบต้นเดือนมิถุนายน 2564 นี้ ซึ่งผู้ถือครองจะสามารถยื่นแบบขอคืนภาษีผ่านระบบ และได้รับเงินคืนเข้าวอลเล็ต สบม. ภายหลังจากที่ระบบ e-Withholding Tax ประมวลผลการคืนภาษีเรียบร้อย ซึ่งความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในครั้งนี้จะอำนวยความสะดวกและสร้างความความโปร่งใสเป็นธรรมในการเรียกเก็บภาษีตามระยะเวลาถือครองพันธบัตร รวมถึงลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนงานในทุกขั้นตอนให้กับทุกหน่วยงาน ส่งเสริมการลงทุนและการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ผู้สนใจสามารถซื้อขายพันธบัตรและรับบริการขอคืนภาษีอัตโนมัติผ่านวอลเล็ต สบม. ได้ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน (Dip chip) ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าในแอปพลิเคชัน และทำธุรกรรมตลาดรองได้ทันทีโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ซึ่งผู้ลงทุนจะสามารถเช็คราคาพันธบัตร ตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม รายละเอียดรายการที่หักภาษีทั้งแบบรายรุ่นและรายปีภาษีที่ระบบจัดเก็บข้อมูลอัตโนมัติ รวมถึงตรวจสอบการรับคืนเงินภาษีเข้าวอลเล็ต สบม.ได้หลังจากได้รับดอกเบี้ยรายงวด ตอบโจทย์การเป็นแพลตฟอร์มครบวงจร ต่อยอดและสร้างโอกาสการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์อย่างเท่าเทียม สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41427
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์ งดการจองและจ่ายแลกเหรียญเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ด้วยตนเอง (Walk-in) เน้นจองทางออนไลน์ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 กรมธนารักษ์ งดการจองและจ่ายแลกเหรียญเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ด้วยตนเอง (Walk-in) เน้นจองทางออนไลน์ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 กรมธนารักษ์งดให้บริการรับจองและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ทุกประเภท ณ สถานที่สั่งจองและจ่ายแลกเหรียญทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจองผ่านช่องทางออนไลน์ กรมธนารักษ์งดให้บริการรับจองและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ทุกประเภท ณ สถานที่สั่งจองและจ่ายแลกเหรียญทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนจองผ่านช่องทางออนไลน์ วันนี้ (1 พฤษภาคม 2564) ณ กรมธนารักษ์ นายยุทธนา หยิมการุณ เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบัน กระจายเป็นวงกว้างและมีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับทางรัฐบาลได้มีมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคในระดับสูงสุด กรมธนารักษ์จึงมีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้มาติดต่อราชการรวมถึงข้าราชการและพนักงานของกรมธนารักษ์ จึงของดการจองเหรียญและจ่ายแลกเหรียญเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 ด้วยตนเอง (Walk-in) ณ สถานที่สั่งจองและจ่ายแลกเหรียญทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 5–14 พฤษภาคม 2564 โดยผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกดังกล่าวทุกประเภททางออนไลน์ได้ที่ www.treasury.go.th นายยุทธนากล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 (เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ) ซึ่งได้เปิดจำหน่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ทางกรมธนารักษ์จะเปิดช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์เพิ่มเติมที่ www.treasury.go.th เมนู e-Catalog เหรียญและผลิตภัณฑ์เหรียญ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.0 2059 4999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41429
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยพบคลัสเตอร์ใหม่ กทม. ในชุมชนแออัด
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 สธ. เผยพบคลัสเตอร์ใหม่ กทม. ในชุมชนแออัด กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์ใหม่กรุงเทพมหานครในชุมชนแออัด ปัจจัยเสี่ยงจากการอยู่อาศัยหนาแน่น มีใช้พื้นที่บางส่วนร่วมกัน ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ ที่วัดสะพาน เขตคลองเตย ดูแลเบื้องต้น กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์ใหม่กรุงเทพมหานครในชุมชนแออัด ปัจจัยเสี่ยงจากการอยู่อาศัยหนาแน่น มีใช้พื้นที่บางส่วนร่วมกัน ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ ที่วัดสะพาน เขตคลองเตย ดูแลเบื้องต้นรอนำส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสนาม/Hospitel หรือโรงพยาบาล บ่ายวันนี้ (3 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ระลอกเมษายน 2564 จำนวน 2,041 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,943 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 97 ราย จากต่างประเทศ 1 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,726 ราย สะสม 13,558 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 29,765 ราย อาการหนัก 981 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 278 ราย และมีผู้เสียชีวิต 31 ราย เป็นชาย 18 ราย หญิง 13 ราย อายุระหว่าง 31-83 ปี อยู่ใน กทม. 10 ราย ปทุมธานี นครศรีธรรมราช จังหวัดละ 2 ราย ฉะเชิงเทรา อ่างทอง เพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี ชัยภูมิ ระนองจังหวัดละ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อยังคงมาจากการสัมผัสในครอบครัว เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน สัมผัสกับผู้ติดเชื้อก่อนหน้า รวมถึงไปในสถานที่เสี่ยง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือความร่วมมือของประชาชนทุกคน เคร่งครัดการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง แยกรับประทานอาหาร ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเขตกทม.และปริมณฑล โดยกทม. พบมากในเขตห้วยขวาง ดินแดง บางเขน วัฒนา จตุจักร ซึ่งพบคลัสเตอร์ใหม่ในเขตปทุมวัน ในชุมชนเคหะบ่อนไก่ และชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ พบผู้ติดเชื้อ 59 ราย ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง งานเลี้ยงสังสรรค์ และติดเชื้อในครอบครัว และคลัสเตอร์ชุมชนแออัด เขตคลองเตย ซึ่งประกอบด้วย ชุมชนเมือง ชุมชนแออัด และเคหะชุมชนรวม 39 ชุมชน มีประชากรรวมประมาณ 1 แสนคน ช่วงที่ผ่านมาพบการติดเชื้อจำนวนมากใน 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนพัฒนา 70 ไร่ ชุมชนแออัดพัฒนาใหม่ ชุมชนริมคลองวัดสะพาน ชุมชนวัดคลองเตยใน ชุมชนร่วมใจสามัคคี กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรุงเทพมหานคร ได้นำรถพระราชทานลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชนแออัด 3 ชุมชน ระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2564 เก็บตัวอย่าง 1,336 ราย พบติดเชื้อ 99 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.41 รวมผู้ติดเชื้อในระลอกเมษายน 2564 รวม 304 ราย อยู่ในชุมชนแออัด 193 ราย คอนโด/หอพัก 111 ราย เกิดจากการสังสรรค์กับเพื่อน และกระจายไปในวงกว้าง รวมถึงในครอบครัว และชุมชน ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าปกติ มาจากสภาพแวดล้อมแออัด อยู่อาศัยกันหนาแน่น การระบายอากาศที่ไม่ดี มีการใช้พื้นที่บางส่วนร่วมกัน เป็นต้น ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ ที่วัดสะพาน เขตคลองเตย โดยเป็นศูนย์บริหารส่งต่อแยกผู้ติดเชื้อและดูแลเบื้องต้น ระหว่างรอนำส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสนาม/Hospitel หรือโรงพยาบาล เป็นมาตรการสำคัญที่จะแยกผู้ติดเชื้อกับสมาชิกในครอบครัว และชุมชน ลดการกระจายแพร่เชื้อได้ สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,486,907 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,099,460 ราย และครบ 2 เข็ม 387,447 ราย โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีน 2,342 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 1,598 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 744 ราย ********************************** 3 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบกรมการแพทย์จับคู่แล็บเอกชนใน กทม. ประสานจัดหาเตียงผู้ติดเชื้อโควิด
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 สธ.มอบกรมการแพทย์จับคู่แล็บเอกชนใน กทม. ประสานจัดหาเตียงผู้ติดเชื้อโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมการแพทย์จับคู่คลินิกแล็บเอกชนใน กทม. หากตรวจพบผลบวก ส่งข้อมูลให้ สปคม. ภายใน 3 ชั่วโมง เชื่อมโยงสายด่วน 1668 ช่วยผู้ติดเชื้อหาเตียงที่เหมาะสมกับอาการอย่างรวดเร็ว ย้ำประชาชนร่วมกันป้องกันการติดเชื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมการแพทย์จับคู่คลินิกแล็บเอกชนใน กทม. หากตรวจพบผลบวก ส่งข้อมูลให้ สปคม. ภายใน 3 ชั่วโมง เชื่อมโยงสายด่วน 1668 ช่วยผู้ติดเชื้อหาเตียงที่เหมาะสมกับอาการอย่างรวดเร็ว ย้ำประชาชนร่วมกันป้องกันการติดเชื้อภายในครอบครัว วันนี้ (3 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวความร่วมมือการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่ตรวจหาเชื้อจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ)เอกชน โดย ดร.สาธิต กล่าวว่า ที่ผ่านมามีประชาชนเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดผ่านคลินิกแล็บเอกชนจำนวนมาก แต่มีข้อจำกัดคือเมื่อพบผลเป็นบวกไม่สามารถหาโรงพยาบาลเพื่อส่งผู้ติดเชื้อไปรักษาได้ แม้จะมีนโยบายให้จับคู่กับโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน แต่จากสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้เตียงในโรงพยาบาลเครือข่ายหนาแน่นเช่นกัน จึงได้มอบให้กรมการแพทย์หารือและจับคู่กับคลินิกแล็บเอกชนในกทม.ทั้งหมด เมื่อผลเป็นบวกให้รายงานสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) จากนั้นสายด่วน 1668 จะประสานหาเตียงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ยังปรับโฉมสายด่วน1668 ให้เอกชนเป็นคอลเซ็นเตอร์หน้าบ้านรับทุกสาย หากเป็นการขอเตียงจะส่งข้อมูลไปหลังบ้านที่เป็นแพทย์ พยาบาล เพื่อจัดการเตียงให้เร็วที่สุด ถือเป็น One Stop Service “การรักษาเป็นเรื่องปลายทาง สิ่งที่เป็นต้นทาง คือ การร่วมกันป้องกันตนเอง โดยเฉพาะการป้องกันการติดเชื้อภายในครอบครัวซึ่งกำลังพบมาก อย่างกรณี อสม.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเสียชีวิตจากโควิด ก็พบประวัติลูกที่อยู่ กทม.มาเยี่ยม ดังนั้น การไปมาหาสู่ รับประทานอาหารในครอบครัว จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ต้องป้องกันระวังตัวเองให้มากที่สุด” ดร.สาธิตกล่าว ด้าน นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขอให้คลินิกแล็บเอกชนเมื่อตรวจพบผลบวกให้รายงานสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลจะเชื่อมโยงมายังสายด่วน 1668 ทำให้สามารถติดต่อผู้ติดเชื้อเพื่อคัดแยกอาการและสอบถามว่ามีเตียงแล้วหรือไม่ หากมีเตียงรองรับแล้วให้ไปตามระบบ หากยังไม่มีเตียงจะประสานให้ตามความเหมาะสม เช่น ระดับอาการ โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือโรงพยาบาลตรงตามสังกัด เป็นต้น พร้อมส่งรายชื่อผู้ป่วยให้โรงพยาบาลปลายทางติดต่อกลับ โดยมีรถสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติไปรับถึงบ้าน ส่วนผู้ติดเชื้ออื่น ๆ ที่ยังไม่มีเตียงขอให้โทรเข้ามาสายด่วน 1668 จะช่วยหาเตียงด้วยเช่นกัน “สิ่งสำคัญคือไม่ว่าได้เตียงที่ไหนขออย่าปฏิเสธการรักษา ให้รีบมาถึงมือแพทย์โดยเร็วจะปลอดภัยมากที่สุด ส่วนผู้ที่ปฏิเสธการรักษา หากเป็นกลุ่มที่อาการดีแต่ไม่ถึง 7 วัน จำเป็นต้องกักกันโรคจะประสาน 191 เชิญผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยและป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวหรือชุมชน แต่ถ้าอาการดีนานกว่า 7 วันหรืออยู่ในเงื่อนไขที่ดูแลตนเองที่บ้านได้ จะให้ลงทะเบียนรับการดูแลจากทีมแพทย์พยาบาลเพื่อติดตามอาการจนพ้นระยะ 14 วัน”นพ.ณัฐพงศ์กล่าว ทั้งนี้ ผู้ป่วยโควิด 19 แบ่งอาการเป็น 4 ระดับ คือ ไม่มีอาการ อาการเล็กน้อย อาการปานกลาง และอาการรุนแรง ซึ่งกลุ่มที่ใส่ท่อช่วยหายใจต้องดูแลในไอซียู ส่วนใหญ่รักษาหายได้ ไม่ได้กลายเป็นผู้เสียชีวิตทุกคน ส่วนที่พบเด็กติดเชื้อมากขึ้น เป็นไปตามสัดส่วนที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก การรักษาในเด็กต้องใช้แพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือเฉพาะ ซึ่ง กทม.มีสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วยเด็กอย่างเพียงพอ ********************************** 3 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41449
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. แจงมีระบบบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมกระจายยาและสำรองให้กับทุก รพ.ที่รับผู้ป่วยอย่างทันท่วงทีและเพียงพอ
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 โฆษก สธ. แจงมีระบบบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมกระจายยาและสำรองให้กับทุก รพ.ที่รับผู้ป่วยอย่างทันท่วงทีและเพียงพอ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงมีระบบบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมกระจายยาและสำรองให้กับทุก รพ.ที่รับผู้ป่วยอย่างทันท่วงทีและเพียงพอ เมื่อวันที่1พฤษภาคม2564นายแพทย์ณรงค์สายวงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์ระบุขั้นตอนการเบิกยาฟาวิพิราเวียร์มีความยากลำบากว่า กระทรวงสาธารณสุข(สธ).มีระบบบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์โดยส่วนกลางเป็นหน่วยสำรองยาระดับประเทศและกระจายยาไปทุกจังหวัดที่รับผู้ป่วยพร้อมทั้งสำรองในโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้งในกทม.และภูมิภาคทุกเขตสุขภาพมากกว่า20โรงพยาบาลและตั้งแต่26 -30เม.ย.64มีการกระจายยาไปยังทุกจังหวัดที่มีผู้ป่วยทุกเขตสุขภาพแล้ว765,600เม็ดอาทิโรงพยาบาลราชวิถี190,500เม็ดโรงพยาบาลนครพิงค์48,000เม็ดโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า78,200เม็ดโรงพยาบาลชลบุรี70,000เม็ดโรงพยาบาลหาดใหญ่18,500เม็ดโรงเรียนแพทย์แห่งละ4,000 – 6,000เม็ดและโรงพยาบาลภาคเอกชนกว่าแสนเม็ดรวมทั้งมีการวางแผนจัดส่งยาฉุกเฉินโดยองค์การเภสัชกรรมผ่านทางสายการบินพาณิชย์และรถโดยสารในจังหวัดที่ไม่มีสนามบินไว้ด้วยทั้งนี้ยืนยันว่าพร้อมกระจายยาและสำรองยาให้กับทุกโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่มีอาการอย่างทันท่วงทีและเพียงพอกับความต้องการใช้ยา _____________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เร่งออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีประชุมคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เร่งออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีประชุมคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เร่งออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (3 พ.ค. 64) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เชิญคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจเข้าพบเพื่อหารือเรื่องมาตรการดูแล เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ในรอบล่าสุดนี้ ซึ่งในที่ประชุมได้พิจารณาถึงความคืบหน้าของมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในส่วนของมาตรการด้านการเงินผ่านการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 และการออกพ.ร.ก. ด้านการเงินต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ รวมถึงมาตรการด้านภาษี ทั้งการลดภาษีและการขยายกำหนดเวลาต่าง ๆ อีกทั้งมาตรการด้านการคลังผ่านโครงการเยียวยา และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว เช่นโครงการคนละครึ่งระยะที่ 1-2 โครงการเพิ่มกำลังซื้อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการที่ยังดำเนินการอยู่ เช่น โครงการเราชนะ อย่างไรก็ตาม การระบาดของโรคโควิด-19 ในรอบล่าสุดนี้ ได้กระจายไปทั่วประเทศ และมีผลกระทบในวงกว้างกว่ารอบที่ผ่านมา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณามาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม เพื่อดูแลและเยียวยาประชาชนอย่างเร่งด่วน และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยจะพิจารณามาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที อาทิ มาตรการด้านการเงิน มาตรการด้านสินเชื่อ มาตรการพักชำระหนี้ รวมถึงมาตรการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน มาตรการการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศและมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในที่ประชุมเรื่องความจำเป็นที่ต้องพิจารณามาตรการที่จะออกมาใหม่ในรอบนี้ด้วยความรวดเร็วและด้วยความรอบคอบ โดยมาตรการใดที่สามารถดำเนินการได้ทันที นายกรัฐมนตรีได้ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในครั้งหน้าที่จะมีการประชุมในวันพุธที่ 5 พ.ค. 64 นี้ได้เลย ..................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41443
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำดูแลประชาชนทุกกลุ่มและกลุ่มเปราะบาง “ผู้พิการ” ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลย้ำดูแลประชาชนทุกกลุ่มและกลุ่มเปราะบาง “ผู้พิการ” ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง รัฐบาลย้ำดูแลประชาชนทุกกลุ่มและกลุ่มเปราะบาง “ผู้พิการ” ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม โดยทุกหน่วยงานทยอยออกมาตรการเพื่อดูแลประชาชนในส่วนการรับผิดชอบแล้ว และจะมีการออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม รองโฆษกฯ ชี้แจงเพิ่มเติมในส่วนของมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจตราราคาสินค้าและบริการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภค กำชับให้มีการปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และบางสินค้าหากจะมีการขึ้นราคา ต้องขออนุญาตที่กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้นราคาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งให้ควบคุมอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจจัดส่งสินค้ามากเป็นพิเศษ เนื่องจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศใช้บริการสั่งสินค้า สั่งอาหารแบบส่งถึงบ้าน (Delivery) มากขึ้น จึงต้องกำกับดูแลอัตราค่าขนส่งเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับพี่น้องประชาชน เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำงานที่บ้าน WFH และอยู่กับบ้านเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นหลัก ขณะเดียวกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้พิการที่ติดเชื้อโควิด-19 เป็นการเฉพาะ ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัดภายใต้ “ทีมเรามีเรา” ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ 1.มอนิเตอร์ ติดตามว่ามีคนพิการที่โพสต์/โทรขอความช่วยเหลือหรือไม่ คัดกรอง ประสานเครือข่ายเพื่อให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งโรงพยาบาลหรือ รพ.สนาม และ ประเมินและติดตามผลการช่วยเหลือ โดยผู้พิการสามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือมายังสายด่วน 1300 ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศและสายด่วน 1479 ตั้งแต่ขณะนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ รองโฆษกฯ รัชดาฯ ย้ำแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่พยายามดูแลผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ส่วนมาตรการดูแลผู้ประกอบการร้านอาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีมาตรการให้การช่วยเหลือออกมาเร็วๆนี้ ............................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41437
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เยี่ยมผู้บาดเจ็บ จากเหตุรถร่วมฯ เสียหลักตกข้างทางที่ จ.หนองคาย
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 บขส. เยี่ยมผู้บาดเจ็บ จากเหตุรถร่วมฯ เสียหลักตกข้างทางที่ จ.หนองคาย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส) กระทรวงคมนาคม เยี่ยมผู้บาดเจ็บ จากเหตุรถร่วมฯ เสียหลักตกข้างทาง เมื่อเวลาประมาณ 05.40 น.ของวันจันทร์ที่ 3 พ.ค. 64 รถโดยสารของบริษัทสวัสดีอีสาน คันหมายเลข 79-1 ม.4พ. หมายเลขทะเบียน 15-6617 กท. ออกวินจากกรุงเทพฯ เวลา19.30น. ปลายทาง จ.บึงกาฬ มีผู้โดยสาร จำนวน 9 ราย ได้เกิดอุบัติเหตุหลบรถที่ออกมาจากทางแยก เป็นเหตุให้เสียหลักตกลงข้างทาง บริเวณบ้านนาฮำ อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ทั้งนี้ บขส.ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดูแลผู้โดยสารทันที รวมทั้งเข้าเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41444
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ช่วยเหลือผู้ประกอบการ CPOT ชุมชนคุณธรรมฯ - เครือข่ายทางวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 วธ.ช่วยเหลือผู้ประกอบการ CPOT ชุมชนคุณธรรมฯ - เครือข่ายทางวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 วธ.ช่วยเหลือผู้ประกอบการ CPOT ชุมชนคุณธรรมฯ - เครือข่ายทางวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 สร้างงานสร้างรายได้ จัดกิจกรรมจำหน่าย CPOT ในรูปแบบเฟซบุ๊คไลฟ์(Live)สด เดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายสืบสาน รักษาและต่อยอดงานศิลปวัฒนธรรมของชาติและขับเคลื่อนวาระปีสากลแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ.2564 และนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ของรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยการนำคุณค่าทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันวธ.ได้ขับเคลื่อนโดยดำเนินโครงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) ส่งเสริมผู้ประกอบการ ชุมชนคุณธรรมฯและเครือข่ายทางวัฒนธรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นเพื่อส่งเสริมเป็นผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดเพิ่มขึ้นมีรูปแบบร่วมสมัย ตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบัน เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน รวมทั้งงานศิลปหัตถกรรมประเภทต่างๆ นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า วธ.ได้ส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ทั้งการออกบูธจำหน่ายในกิจกรรมต่างๆทั้งในส่วนของวธ.และหน่วยงานอื่นๆและส่งเสริมการจำหน่ายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซด์ www.cpotshop.com ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย อยู่ในเว็บไซด์ดังกล่าวกว่า 10,000 รายการ รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ในรูปแบบไลฟ์สดผ่านเพจ facebook CPOT Live สด ซึ่งเป็นมาตรการส่วนหนึ่งของวธ.เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ชุมชนคุณธรรมฯและเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ช่วยกระตุ้นยอดขายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยและมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กิจกรรมจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยในรูปแบบไลฟ์สด รับชมได้ที่ https://fb.me/e/2636BBlLL ช่วงเดือนพ.ค -มิ.ย.2564 จำนวน 7 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 5 พ.ค./ ครั้งที่ 2 วันที่ 11 พ.ค./ ครั้งที่ 3 วันที่ 18 พ.ค. / ครั้งที่ 4 วันที่ 25 พ.ค. / ครั้งที่ 5 วันที่ 1 มิ.ย. / ครั้งที่ 6 วันที่ 8 มิ.ย. / ครั้งที่ 7 วันที่ 15 มิ.ย. ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเพจ facebook CPOT
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ยกระดับความเข้มข้นมาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ยกระดับความเข้มข้นมาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบก ยกระดับความเข้มข้นมาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่ต่าง ๆ และบางรายมีประวัติการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการเดินทาง และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารและประชาชนทราบถึงแนวทางที่ชัดเจน โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ยกระดับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันขั้นสูง ทั้งการให้บริการประชาชนที่มาติดต่อราชการที่สำนักงาน และกำกับให้ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ต้องปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ปัจจุบัน ขบ. มีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ โดยขอให้ผู้ประกอบการขนส่งดำเนินการอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ยกระดับมาตรการคัดกรองผู้โดยสารและตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจคัดกรองพนักงานขับรถและผู้ให้บริการ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เข้มงวดการตรวจคัดกรอง เพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ดูแล โดยให้จัดทำสมุดตรวจอุณหภูมิก่อนและหลังการปฏิบัติงานหรือการให้บริการอย่างเข้มงวดสูงสุด หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส สามารถปฏิเสธการให้บริการและดำเนินการตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขทันที 2. จัดจุดลงทะเบียนเช็กอิน - เช็กเอาท์ “ไทยชนะ” ก่อนเข้าสถานีขนส่งผู้โดยสาร และก่อนขึ้นรถโดยสารสาธารณะ 3. เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร เช่น ราวจับบริเวณประตูรถ หรือบันได ที่นั่ง ช่องจำหน่ายตั๋ว บันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ และห้องสุขา โดยให้ทำความสะอาดทุกชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และจัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับผู้โดยสารล้างมือก่อนขึ้นรถและจุดบริการภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร และเพิ่มมาตรการฉีดพ่นยากระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร 4. กรณีการซื้อตั๋วโดยสารที่สถานีขนส่งต้องจัดระบบคิวให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรมีช่องทางการจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าผ่านทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อสัมผัส 5. ขณะเดินทางให้มีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศทุก 2 ชั่งโมง งดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารบนรถ 6. กำกับดูแลให้ผู้โดยสาร พนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง โดยต้องไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขึ้นรถโดยสารเด็ดขาด 7. เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้โดยสารทราบที่สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง และสื่อของ ขบ. รวมทั้งกำกับควบคุมให้ปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A โดยจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองตามขั้นตอนของ ขบ. ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในส่วนของการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และหากวัดอุณหภูมิผู้โดยสารได้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ขบ. จะดำเนินการแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที สำหรับผู้ป่วยยืนยันหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องงดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 สำหรับการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด บริหารจัดการจำนวนประชาชนผู้มารับบริการ โดยให้จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น จัดที่นั่งคอยมีการเว้นระยะห่างระหว่างคนอย่างน้อย 1 เมตร เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นจุดสัมผัส พื้นที่ส่วนกลางที่มีการใช้งานร่วมกัน โดยขอให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อให้การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เร่งเครื่องเตรียมปั้นแรงงานไทยส่งออกจีน
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 นฤมล เร่งเครื่องเตรียมปั้นแรงงานไทยส่งออกจีน - - วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันรัฐบาลจีนมีนโยบายที่ต้องการแรงงานต่างชาติที่มีทักษะและมีความถนัดในเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ ตามแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ 5 ปี เพื่อให้กลายเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จีนจึงมีความต้องการแรงงานทักษะสูง เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ ชีววิทยาศาสตร์ การบินและอวกาศ การสำรวจใต้ทะเลลึก เป็นต้น โดยจีนได้กำหนดมาตรการที่หลากหลาย เช่น ออกใบอนุญาตทำงานแบบพิเศษ พัฒนาระบบการให้สิทธิพำนักอาศัยถาวร ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการเข้าพำนักอาศัยในประเทศจีน อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าทำงานองค์กรด้านเทคโนโลยีระดับชาติ รวมถึงสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโครงการรับแรงงานต่างชาติทักษะสูงเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดความสนใจแรงงานทักษะสูงให้เข้าไปทำงาน ร่วมขับเคลื่อนวิจัยและพัฒนา และทำงานแลกเปลี่ยนวิจัยในประเทศจีน รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้มีความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำของประเทศจีนหลายองค์กร ยกตัวอย่างเช่น บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านบริการโซลูชันไอซีทีระดับโลก มีความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านไอซีที โดยการพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะบุคลากรด้านไอซีทีที่มีทักษะสูง เช่น ระบบ Cloud Computing, Big Data, Internet Opting, AI, 5G เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับบริษัท ซิโนเปค อินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมปิโตรเลียมชั้นนำของโลก โดยได้บูรณาการความร่วมมือเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานด้านเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติ เป็นการยกระดับทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทย รองรับงานด้านอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง กพร. มีความพร้อมที่จะพัฒนาแรงงานให้มีทักษะที่สูงขึ้นและตรงกับความต้องการของตลาด โดยจะทำให้สามารถรองรับตลาดแรงงานในประเทศไทย รวมถึงส่งออกแรงงานไทยสู่การทำงานในแถบเอเชียและภูมิภาคอื่น มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน “ในฐานะที่กำกับดูแล กพร. จะเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะที่ตอบโจทย์ และประสานข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงาน เพื่อให้แรงงานไทยมั่นใจการมีงานทำและสวัสดิการที่ดี และสามารถไปทำงานที่ประเทศจีนได้ต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่บริเวณโกดังสเตเดียมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่บริเวณโกดังสเตเดียมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่บริเวณโกดังสเตเดียมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมในการจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่บริเวณโกดังสเตเดียมของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและวัดสะพาน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของการจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนาม สำหรับรองรับผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยมี พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูง ผู้แทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ กล่าวว่า จากการสำรวจบริเวณโกดังสเตเดียมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และวัดสะพาน เบื้องต้นพบว่า พื้นที่วัดสะพานมีความพร้อมทั้งด้านสถานที่และความเหมาะสมด้านสาธารณูปโภคในระยะเร่งด่วน สำหรับจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ส่วนโกดังสเตเดียมของ กทท. จะต้องใช้ระยะเวลาปรับปรุงซ่อมแซม เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการดำเนินงานดังกล่าวทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้หน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม ศูนย์สาธารณสุข 41 กรุงเทพมหานคร สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ในการจัดตั้งเป็นศูนย์พักคอยและโรงพยาบาลสนาม เพื่อหาข้อสรุปและพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป ทั้งนี้ กทท. มีความพร้อมและยินดีให้การสนับสนุนโกดังสเตเดียม เนื้อที่รวม 15 ไร่ พื้นที่ภายในอาคารขนาด 4,200 ตารางเมตร กว้าง 35 เมตร ยาว 120 เมตร สำหรับเป็นโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งกระทรวงกลาโหมพร้อมดำเนินการปรับปรุงสถานที่ จัดหาอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก และวางระบบให้สามารถรองรับเตียงผู้ป่วย จำนวน 160 เตียง และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์พร้อมเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายดูแลบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41445
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดระเบียบกิจการแพปลา
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 จัดระเบียบกิจการแพปลา ก.เกษตร พิจารณาจัดระเบียบกิจการแพปลา เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมประมง ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไป วันจันทร์ที่3พฤษภาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายครั้งที่1/2564ผ่านระบบZoomณห้องประชุมองค์การสะพานปลากรุงเทพมหานครซึ่งที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาร่างกฎกระทรวงฉบับที่... (พ.ศ. ...)ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบกิจการแพปลาพ.ศ. 2496เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจการดำเนินกิจการแพปลาและการประมงในปัจจุบันรวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าเพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมประมงผู้ประกอบการรวมถึงประชาชนทั่วไปและร่างแก้ไขบัญชีท้ายข้อบังคับองค์การสะพานปลาว่าด้วยค่าเช่าบ้านผู้ปฏิบัติงานองค์การสะพานปลาเพื่อปรับอัตราค่าเช่าบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41448
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมนำเงินช่วยเหลือจาก ธปท. อัดฉีดผู้ประกอบการภาคการเกษตรฝ่าวิกฤต COVID-19
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ธ.ก.ส. พร้อมนำเงินช่วยเหลือจาก ธปท. อัดฉีดผู้ประกอบการภาคการเกษตรฝ่าวิกฤต COVID-19 ธ.ก.ส. ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อเสริมสภาพคล่องและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เกษตร และสถาบันเกษตรกร ไม่ให้ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์สินและสามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้เมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ธ.ก.ส. ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อเสริมสภาพคล่อง และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เกษตร และสถาบันเกษตรกร ไม่ให้ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์สินและสามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้เมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ภายใต้ พ.ร.ก. และประกาศ ธปท.อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก โดยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยแทนผู้กู้ในช่วง 6 เดือนแรก กำหนดชำระคืนภายใน 5 ปี วงเงินรวมทั้ง 2 มาตรการ 10,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการวันนี้ – เมษายน 2566 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินการตามนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เกษตร และสถาบันเกษตรกร ผ่าน 2 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท โดยเติมวงเงินอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งที่เป็นเกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สหกรณ์ภาคการเกษตร และสหกรณ์นอกภาคการเกษตรที่ประกอบธุรกิจพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และบริการ โดยลูกค้าเดิมสามารถขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม สูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่เกิน 150 ล้านบาท โดยให้นับรวมวงเงิน Soft Loan เดิม ที่เคยได้รับ กรณีลูกค้าใหม่ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 กู้ได้ไม่เกินรายละ 20 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก และปีต่อไปคิดดอกเบี้ยร้อยละ 4.875 ต่อปี หรือร้อยละ 6.50 ต่อปี ตามประเภทลูกค้า โดยรัฐบาลรับภาระจ่ายดอกเบี้ยแทนในช่วง 6 เดือนแรก กำหนดระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลูกค้าได้รับเงินกู้ หรือตามที่ ธปท. กำหนด โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อตามมาตรการนี้ 2) มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (พักทรัพย์ พักหนี้) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่และได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ยังมีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ เพื่อช่วยรักษาโอกาสไม่ให้ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์สิน (Fire Sale) และช่วยให้สามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งในการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้ จะให้สิทธิลูกค้าที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจและเจ้าของทรัพย์สินกำหนด สามารถเช่าทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันและซื้อคืนได้ภายตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่เกิน 5 ปี กรณีมีต้นเงินและดอกเบี้ยส่วนที่เหลือจากการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้ จะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กำหนดอายุสัญญาไม่เกิน 20 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก และปีต่อไป กรณีเป็นผู้ประกอบการและสถาบัน คิดอัตราดอกเบี้ย MLR-1 (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 4.875 ต่อปี) และกรณีเป็นเกษตรกรและบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ย MRR - 1 ต่อปี (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.50 ต่อปี) นอกจากนี้ สามารถขอสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) ได้ ทั้งนี้ คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการต้องประกอบธุรกิจในประเทศไทย มีสถานะไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPLs) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และไม่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand : SET) เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 9 เมษายน 2566 ซึ่งลูกค้าที่มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41428
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง และธนาคารกรุงไทย ร่วมจัดโปรโมชัน M – Pass เติม 500 คืน 50 ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด ลดความล่าช้าหน้าด่าน จำกัด 20,000 สิทธิ์
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวง และธนาคารกรุงไทย ร่วมจัดโปรโมชัน M – Pass เติม 500 คืน 50 ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด ลดความล่าช้าหน้าด่าน จำกัด 20,000 สิทธิ์ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เชิญชวนประชาชนลดการเลี่ยงการสัมผัส ป้องกันเชื้อไวรัสโควิด – 19 โดยใช้บัตรผ่านทางด้วยระบบอัตโนมัติ M – Pass โดยมอบสิทธิพิเศษสำหรับประชาชนผู้ใช้ M-PASS เติมเงินบัตร M-PASS ตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไปรับเงินคืนเข้า Tag M-PASS จำนวน 50 บาท จำนวนจำกัด 20,000 สิทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 กันยายน 2564 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (โควิด-19) ในปัจจุบัน กรมทางหลวงตระหนักถึงการต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในเชิงรุก เพื่อลดความเสี่ยงในการการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่างๆ ในอนาคตมากขึ้น กรมทางหลวงขอเชิญชวนประชาชนผู้ใช้ทาง ใช้บัตรผ่านทางด้วยระบบอัตโนมัติ (M – Pass) โดยกรมทางหลวงร่วมกับธนาคารกรุงไทย มอบสิทธิพิเศษสำหรับประชาชนผู้ใช้ M-PASS เติมเงินบัตร M-PASS ตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไป ได้รับเงินคืนเข้า Tag M-PASS จำนวน 50 บาท จำกัดจำนวน 20,000 สิทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 นอกจากนี้กรมทางหลวงยังดำเนินตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 อย่างเข้มงวด โดยจัดทำ QR Code จากแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อเก็บข้อมูลบุคคลที่เข้า-ออก ในกรมทางหลวง มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าปฏิบัติงาน รวมทั้งผู้ที่มาติดต่อราชการ และดำเนินตามมาตรการการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social Distancing) ประมาณ 2 เมตร พร้อมสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังได้มีการทำความสะอาดอาคารสำนักงานด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ให้เจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยและสวมถุงมือยางตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่, จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ที่ตู้เก็บเงินทุกตู้, มีการทำความสะอาดบัตรผ่านทางด้วยน้ำยารักษาความสะอาดทุกครั้ง, มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในตู้เก็บเงิน และดำเนินการตามนโยบายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน พร้อมทั้งรายงานผู้เฝ้าระวังเป็นประจำทุกวัน จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะคลี่คลาย ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อสั่งการของนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ที่ให้หน่วยงานในสังกัดกรมทางหลวงทั่วประเทศ ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด สำหรับประชาชนผู้ที่ต้องการสมัครบัตร M – Pass สามารถสมัครได้ที่แอพพลิเคชั่น M-Pass, ธนาคารกรุงไทย 148 สาขา, จุดบริการ M – Pass บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1586 กด 9
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41430
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาชิก กอช. ที่ได้รับผลกระทบธุรกิจจากโควิด-19ไม่ต้องกังวลสิทธิในการเป็นสมาชิก”
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 “สมาชิก กอช. ที่ได้รับผลกระทบธุรกิจจากโควิด-19ไม่ต้องกังวลสิทธิในการเป็นสมาชิก” กอช. แนะสมาชิก กอช.ควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 คร้ังต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ไม่พลาดสิทธิการรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ กอช. มีความยืดหยุ่นสูง สมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม แม้ได้รับผลกระทบโควิด-19 กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แนะสมาชิก กอช. ควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 คร้ังต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ไม่พลาดสิทธิการรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ กอช. มีความยืดหยุ่นสูง สมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม แม้ได้รับ ผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 สิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ สมาชิกสามารถส่งเงินออมได้เมื่อพร้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กังวลใน การส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง แต่อย่างใดสมาชิกสามารถส่งเงินออมสะสมได้เมื่อพร้อม สิทธิในการเป็นสมาชิก ยังคงสภาพเดิม ทั้งนี้ สมาชิกควรส่งเงินออมสะสมอย่างน้อย 1 คร้ังต่อปี ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาท ต่อปี เพื่อรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ทุกวัน หรือ สมาชิกส่งเงินออมสะสม ได้ท่ีแอปพลิเคชัน “กอช.” เพื่อลดการเดินทางห่างไกลโควิด-19 หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอําเภอ ทั่วประเทศ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมท้ังเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และ เครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ท่ีสายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41432
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษาฯ นำทีมมอบอาหารและให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษาฯ นำทีมมอบอาหารและให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี มอบอาหารและให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ณ สำนักงานประกันสังคม เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบอาหาร จำนวน 60 ชุด และให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยมี นายแพทย์เพชรฤกษ์ แทนสวัสดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี เป็นผู้รับมอบ ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบ จึงได้กำชับให้กระทรวงแรงงาน เร่งช่วยเหลือเยียวยาในทุกมิติ ในวันนี้ ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ลงพื้นที่ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบอาหารให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาระวังป้องกันประชาชนในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ทำให้สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย รวดเร็ว และมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต “ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ฝากความห่วงใยและส่งกำลังใจมายังบุคลากรทางการแพทย์และจิตอาสาทุกท่านซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าในการอุทิศตน เสียสละ ทุ่มเท เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งความร่วมมือจากทุกฝ่ายจะช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงโดยเร็ววัน” นางธิวัลรัตน์ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน เข้มสั่งยกระดับเฝ้าระวังฯ ภายหลังพบข่าวผู้ติดเชื้อโควิด-19เดินทางโดยเครื่องบิน
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 กรมท่าอากาศยาน เข้มสั่งยกระดับเฝ้าระวังฯ ภายหลังพบข่าวผู้ติดเชื้อโควิด-19เดินทางโดยเครื่องบิน ตามที่ศูนย์ข้อมูลโควิดจังหวัดภูเก็ตประกาศแจ้งผู้โดยสารภายหลังพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นผู้โดยสารของสายการบิน 3 สายการบิน รวม 7 เที่ยวบิน ได้มีการเดินทางเข้าออกจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ทำให้มีผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต้องตรวจหาเชื้อและกักตัวโดยเร็ว จากกรณีเหตุการณ์ข้างต้นนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดคมนาคมที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการในการเดินทาง และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบถึงแนวทางที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก โดยนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เปิดเผยว่า กรมท่าอากาศยานได้มีการดำเนินการตามนโยบายการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระบบขนส่งสาธารณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาอย่างต่อเนื่อง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกรมท่าอากาศยานได้กำชับท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยานให้ยกระดับและเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินงาน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันกรมท่าอากาศยานมีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด ของ COVID - 19 ดังนี้ 1.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ตรวจคัดกรอง เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในท่าอากาศยาน ผู้ที่เข้ามาติดต่องาน และ ผู้โดยสาร ก่อนเข้าใช้บริการอาคารผู้โดยสาร โดยเครื่อง Handheld และเครื่องเทอร์โมสแกน โดยทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในท่าอากาศยาน 2.จัดจุดลงทะเบียนเช็คอิน-เช็คเอาท์ "ไทยชนะ" ห้องผู้โดยสารขาเข้าและขาออก 3.จัดจุดบริการเจลล้างมือสำหรับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการไว้บริเวณจุดต่างๆภายในท่าอากาศยาน 4. ฉีดพ่นยากระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารขาเข้าก่อนลำเลียงสายพานแจกจ่ายให้ผู้โดยสารขาเข้า 5. กำหนดจุดการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ได้แก่ - เคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสาร - เคาน์เตอร์เช็คอิน - เก้าอี้พักคอยในอาคารผู้โดยสาร - จุดตรวจตั๋วโดยสารก่อนเข้าห้องขาออก - จุดตรวจค้น - จุดตรวจบัตรโดยสารที่ประตู - จุดวัดอุณหภูมิคัดกรอง - จุดแสกน QR Code - บริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมถึงกำชับให้ผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งตรัด 6. เพิ่มความถี่ ในการทำความสะอาดพื้นที่ภายในและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด และฉีดยาพ่นภายในอาคาร หลังเที่ยวบินสุดท้ายทุกวัน 7. เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้โดยสารทราบ 8. ปฏิบัติตามมาตรการของศบค. กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด โดยกรมท่าอากาศยานขอแจ้งให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางทราบว่า ผู้โดยสารทุกท่านจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองตามขั้นตอนของท่าอากาศยานซึ่งเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ทั้งในส่วนของการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และหากวัดอุณหภูมิผู้โดยสารได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ สายการบินและท่าอากาศยานจะดำเนินการแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที สำหรับผู้ป่วยยืนยันหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต้องงดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค)
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Application Zoom) วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Application Zoom) โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” สั่ง กรอ.เปิดเกมรุกปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตฯ กลางทาง ตั้งระบบตรวจสอบขั้นสูงสุด!
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 “สุริยะ” สั่ง กรอ.เปิดเกมรุกปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตฯ กลางทาง ตั้งระบบตรวจสอบขั้นสูงสุด! “สุริยะ”สั่งการ กรอ.เพิ่มความเข้มสกัดการลักลอบทิ้งกากอุตฯ หลังพบว่ายังมีการลักลอบทิ้งระหว่างการขนส่งในบางพื้นที่ พร้อมเร่งวางระบบบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เพื่อตรวจสอบขั้นสูงสุดป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมระหว่างเส้นทางขนส่ง! นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าการจัดการกากอุตสาหกรรมเป็นภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญโดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรมเพื่อบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ระบบตามกฎหมายซึ่งปัจจุบันกรอ.ได้มีระบบฐานข้อมูลและติดตามการขนส่งกากอุตสาหกรรม(GPS)เพื่อติดตามรถขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบเรียลไทม์(Real Time)อยู่แล้วแต่ยังพบว่ามีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ดังนั้นจึงได้สั่งการให้กรอ.เข้มงวดดูแลการกำจัดกากอุตสาหกรรมขยะพลาสติกขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม โดยให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางของโรงงานว่าได้ส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายและกากอุตสาหกรรมทั่วไป ไปกำจัดปริมาณเท่าไรและถึงปลายทางเท่ากันหรือไม่เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งระหว่างขนส่ง ด้านนายประกอบวิวิธจินดาอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.)กล่าวว่าโดยปกติโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องขออนุญาตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน(สก.2)ซึ่งจะทำให้กรอ.ทราบต้นทาง-ปลายทางของการขนส่งกากอุตสาหกรรมว่ามีจุดหมายปลายทางที่ใดซึ่งจะเป็นไปตามที่ได้มีการแจ้งการขนส่งไว้คือทราบว่ามีผู้รับในระบบแต่จะไม่สามารถเช็คในระหว่างทางการขนส่งได้กรอ.จึงได้นำระบบบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร(E-Fully Manifest)เข้ามาประยุกต์ใช้ด้วยการเพิ่มระบบGPSที่รถขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายเพื่อติดตามระหว่างการขนส่งทำให้สามารถทราบว่ารถที่ขนส่งกากฯไปยังจุดหมายปลายทางที่ได้แจ้งไว้หรือไม่หรือมีการออกนอกเส้นทางโดยเบื้องต้นรถที่ต้องติดตั้งระบบGPSจะใช้บังคับกับรถที่มีใบอนุญาตมีไว้ครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย(วอ.8)ก่อนซึ่งมีอยู่ประมาณ5,000คัน(ข้อมูลปี2563) สำหรับการทำงานของระบบจะมีการติดสัญญาณเป็นCodeหลักของตัวGPSที่ขึ้นทะเบียนไว้โดยทางบริษัทต้นทางที่จะทำการขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายจะต้องส่งCodeให้กับทางฝ่ายสารสนเทศของกรอ.เพื่อเชื่อมสัญญาณทำให้สามารถติดตามการขนส่งได้ซึ่งขณะนี้กรอ.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งศูนย์ติดตามระหว่างการขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตราย “หลังจากใช้กับรถขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายแล้วในอนาคตจะนำมาใช้กับการขนส่งกากอุตสาหกรรมทุกชนิดซึ่งเชื่อว่าภายหลังจากที่ศูนย์ติดตามระหว่างการขนส่งกากอุตสาหกรรมอันตรายสามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบในปีนี้จะสามารถรายงานตำแหน่งของรถขนส่งวันเวลาที่ส่งข้อมูลข้อมูลของเสียที่จะขนถ่ายละติจูดลองติจูดความเร็วสถานะเครื่องยนต์ทิศทางการเดินทางและยังสามารถติดตามรถขนส่งได้แบบReal Timeซึ่งจะทำให้กรอ.สามารถกำกับดูแลการจัดการกากอุตสาหกรรมอันตรายในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น”อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41451
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลดัน “เชียงของ” ศูนย์กลางโลจิสติกส์e-Commerce ข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง โอกาสการค้ารออยู่หลังโควิด
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลดัน “เชียงของ” ศูนย์กลางโลจิสติกส์e-Commerce ข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง โอกาสการค้ารออยู่หลังโควิด รัฐบาลดัน “เชียงของ” ศูนย์กลางโลจิสติกส์e-Commerce ข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง โอกาสการค้ารออยู่หลังโควิด นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 รัฐบาลยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ใช้ศักยภาพของประเทศทั้งด้านทรัพยากรและความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหนึ่งในนโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญอย่างมากคือ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจข้ามพรมแดนในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง-ล้านช้าง ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม และจีน โดยในปี 2563 กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การค้าระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก มีมูลค่า 1.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้า 6.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นับจากที่ความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ล้านช้าง ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการปี 2558 รัฐบาลได้พัฒนาการอำนวยความสะดวกทางการค้าตามแนวชายแดน เช่น พิธีการศุลกากร เพื่อช่วยให้การปล่อยสินค้าคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพการบริการโลจิสติกส์ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ ซึ่งจะแล้วเสร็จสมบูรณ์สิ้นปีนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ มีเป้าหมาย คือ 1) เชียงของเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross Border e-Commerce: CBEC) 2) ส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยและอาเซียน ผ่านเส้นทาง R3A (ที่เชื่อมระหว่าง จีน ลาว และไทย ผ่านจุดพรมแดนและเมืองสำคัญเช่น อ.เชียงของ บ้านห้วยทราย บ่อเต็น บ่อหาน และคุณหมิง) และเขตการค้าเสรีคุณหมิง และ 3) ยกระดับการค้าสู่พื้นที่จีนตอนเหนือ และยุโรป ในอนาคตต่อไป เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลได้อนุมัติโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ข้ามแม่น้ำโขง) แห่งที่ 4 ประชิดด่านพรมแดนเชียงของ เพื่อเป็นประตูการค้าที่สำคัญบนแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North – South Economic Corridor) โดยเป็นการพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) รองรับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R3A ให้เป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศสู่ภายในประเทศ รวมถึงเพื่อเชื่อมต่อระบบการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรถไฟ ซึ่งโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายฯ ระยะที่1 จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565 ขณะที่ โครงการระยะที่2 ซึ่งครม.เพิ่งเห็นชอบเมื่อ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา เป็นการสร้างอาคารเปลี่ยนถ่ายและบรรจุสินค้า และลานกองเก็บตู้สินค้า ที่จะรองรับเส้นทางรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย คาดจะก่อสร้างเสร็จในปี 2568 “การค้าข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง เป็นตลาดสำคัญของไทยที่จะมูลค่าเพิ่มกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐอย่างแน่นอน รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มยอดการส่งออกทั้งในกลุ่มประเทศสมาชิก และที่จะขยายไปยังจีนตอนเหนือและยุโรป ในอนาคต หากสามารถผลักดันโครงการเศรษฐกิจพิเศษเชียงของเชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อหาน (จีน)-บ่อเต็น(ลาว) ได้สำเร็จ ผู้ประกอบการไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับสินค้าที่อยู่ในรายการที่จีนกำหนดให้สามารถขอรับสิทธิพิเศษสำหรับ CBEC ได้ (Positive Lists for CBEC) อาทิ ผลไม้อบแห้ง ชา กาแฟ เครื่องสำอาง ซึ่งจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราภาษีปกติ จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนและผู้ประกอบการติดตามข้อมูลและตื่นตัวในเรื่องนี้เพราะเป็นโอกาสใหญ่ทางธุรกิจ” รองโฆษกฯ กล่าว .................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41424
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด แจ้งพบลูกจ้างรายวันติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 บริษัท ขนส่ง จำกัด แจ้งพบลูกจ้างรายวันติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม รายงานเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ได้รับแจ้งจาก งานรับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ กองส่งเสริมธุรกิจเดินรถ ว่า พบลูกจ้างรายวัน ติดเชื้อโควิด-19 จากภรรยา จำนวน 1 ราย ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนาม ผู้สูงอายุบางขุนเทียนแล้ว ทั้งนี้ลูกจ้างคนดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่คัดแยกพัสดุ ก่อนนำสินค้าขึ้นรถโดยสาร ณ ศูนย์รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (บรมราชชนนี) หรือสายใต้ใหม่ โดยหลังจากทราบว่าภรรยาติดเชื้อโควิด-19 ได้โทรศัพท์แจ้งผู้บังคับบัญชาตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 และได้กักตัวจนทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ บขส.ได้ดำเนินการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณศูนย์รับ-ส่ง พัสดุตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เรียบร้อยแล้ว และแจ้งให้พนักงานกลุ่มเสี่ยงที่ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ จำนวน 9 ราย เข้ากักตัวสังเกตอาการ 14 วัน อย่างไรก็ดี บขส. ได้เปิดให้บริการศูนย์รับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ ตามปกติ ตั้งแต่เวลา 04.00 -21.00 น. โดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งการจัดจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ มีบริการเจลแอลกอฮอล์ จัดเว้นระยะห่าง ให้ผู้ใช้บริการ เป็นต้น นอกจากนี้ได้กำชับให้พนักงานบริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างขณะปฏิบัติหน้าที่ สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ขณะปฏิบัติหน้าที่ และให้บริการบุคคลภายนอก จำกัดผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังปฏิบัติงาน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา ปากและจมูกโดยไม่จำเป็น และขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41435
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยตัวแทนบริษัทนำเข้าวัคซีน โมเดอร์น่า เข้าพบหารือการนำเข้าวัคซีน
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 อนุทิน เผยตัวแทนบริษัทนำเข้าวัคซีน โมเดอร์น่า เข้าพบหารือการนำเข้าวัคซีน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยตัวแทนบริษัทนำเข้าวัคซีนโมเดอร์น่า เข้าพบหารือการนำเข้าวัคซีน มอบ อย.พิจารณาอนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนโดยเร็ว คาดอนุมัติได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 วันนี้ (3 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำกระทรวง นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังผู้แทนบริษัทซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ได้ขอเข้าพบหารือการจัดหาวัคซีนโมเดอร์น่า ป้องกันโรคโควิด 19 ว่า รัฐบาลไม่มีการปิดกั้นภาคเอกชน และยินดีให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากทุกบริษัทผู้ผลิต ซึ่งวัคซีนจากโมเดอร์น่าอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ขณะนี้ยื่นเอกสารครบถ้วนแล้ว ได้กำชับให้ดำเนินการโดยเร็วคาดว่าอนุมัติได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเป็นวัคซีนทางเลือกให้ประชาชน เพิ่มจากวัคซีนซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว และที่กำลังรอขึ้นทะเบียน เช่น ไฟเซอร์ สปุตนิกไฟว์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนที่ขอขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉิน บริษัทโมเดอร์น่าอนุญาตให้บริษัทซิลลิค ฟาร์มา จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายผ่านภาครัฐเท่านั้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้นำเข้าและกระจายวัคซีนของโมเดอร์น่าให้กับภาคเอกชน โดยภาคเอกชนต้องยืนยันจำนวนยอดสั่งซื้อให้กับ อภ. ************************ 3 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41446
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 24
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 24 รมว.คลังเข้าร่วมการประชุม รมว.คลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2564 ในรูปแบบการประชุมทางไกล นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ในรูปแบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางสาธารณรัฐเกาหลีและบรูไนดารุสซาลาม เป็นประธานร่วม โดยได้หารือประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจและความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 สรุปได้ดังนี้ 1. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมได้รับทราบรายงานเศรษฐกิจจากผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ซึ่งเห็นพ้องว่า ทิศทางเศรษฐกิจของโลกและของภูมิภาคจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปี 2564 เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนในจำนวนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 6 และในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4 ขณะที่ AMRO คาดการณ์ว่าภูมิภาคอาเซียน+3 จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยขยายตัวที่ร้อยละ 6.7 และร้อยละ 4.9 ในปี 2564 และ ปี 2565 ตามลำดับ อีกทั้งคาดว่าประเทศไทยจะเติบโตที่ร้อยละ 2.3 ในปี 2564 และร้อยละ 4.8 ในปี 2565 โดยทั้ง 3 องค์กรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในทิศทางเดียวกัน คือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ควรมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม มีเสถียรภาพและยั่งยืนเป็นสำคัญ อาทิ สร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงวัคซีนทั่วถึงโดยเร็ว สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation) สนับสนุนการใช้ทรัพยากรภายในประเทศ (Domestic Resources) ปรับปรุงระบบภาษีและความร่วมมือทางภาษี และส่งเสริมการเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นต้น นอกจากนี้ เลขาธิการอาเซียนได้กล่าวเน้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 พัฒนาระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window) ให้ครอบคลุมและไร้รอยต่อ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในภูมิภาค ควบคู่กับความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในอาเซียน (ASEAN Payment Connectivity) เพื่อเปิดประตูสู่โลกใหม่ของการชำระเงิน ลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงิน และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป 2. มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ที่ประชุมยินดีกับความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพของ CMIM โดยความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งจะทำให้สมาชิกได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF (De-linked Portion) เพิ่มมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของวงเงินที่จะได้รับความช่วยเหลือสูงสุด อีกทั้งประเทศสมาชิกยังสามารถใช้เงินสกุลท้องถิ่นสมทบเงินใน CMIM ได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการกำหนดทิศทางการเพิ่มประสิทธิภาพ และการปรับปรุงเอกสารแนวปฏิบัติเพื่อใช้ประกอบความตกลง CMIM 3. มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของ ABMI เพื่อส่งเสริมตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่ประเทศสมาชิก อาทิ การดำเนินการของหน่วยงานการค้ำประกันเครดิตและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน+3 (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) การใช้ตราสารหนี้เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 4. ทิศทางการดำเนินการในอนาคตของกรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 ที่ประชุมได้รับทราบการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาความเป็นไปได้ของมาตรการริเริ่มใหม่ ๆ อาทิ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากลไกเพื่อรองรับปัญหาด้านมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้าง การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งนี้ เพื่อขยายความร่วมมือทางการเงินให้ครอบคลุม และส่งเสริมความเจริญเติบโตของภูมิภาคอาเซียน+3 และสอดคล้องกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ในการนี้ นายอาคมฯ ได้กล่าวในที่ประชุม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมและยั่งยืน และสนับสนุนการพัฒนาพันธบัตรของภูมิภาคอาเซียน+3 โดยการส่งเสริมการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อเป็นการระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนในเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการออกพันธบัตรดังกล่าว โดยขณะนี้พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนนี้ได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก และมีการออกพันธบัตรแล้วทั้งสิ้น 1 แสนล้านบาท โดยจะนำเงินที่ได้จากพันธบัตรไปใช้เป็นเงินทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของประเทศจาก COVID-19 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป การประชุม AFMGM+3 ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ในการพัฒนาและยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันที่เร่งให้มีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเสียหายของชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล และการเป็นเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืนของประเทศไทยในอนาคต สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3622
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41442
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ” ห่วง ข่าวปลอมระบาด สั่ง “ดีอีเอส” ตรวจสอบ แนะ ประชาชน เช็คก่อนแชร์
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 “นายกฯ” ห่วง ข่าวปลอมระบาด สั่ง “ดีอีเอส” ตรวจสอบ แนะ ประชาชน เช็คก่อนแชร์ รองโฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ห่วง ข่าวปลอมระบาด สั่ง “ดีอีเอส” ตรวจสอบ แนะ ประชาชน เช็คก่อนแชร์ เมื่อวันที่4พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมห่วงใยประชาชนเกี่ยวกับการรับข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19โดยพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จและข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ก่อให้เกิดความสับสันตื่นตระหนกและเข้าผิดเกี่ยวกับกรณีต่างๆดังนั้นขอให้ประชาชนระมัดระวังเลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อแชร์ข้อมูลเพื่อช่วยลดปัญหาข่าวปลอมไม่เป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตข่าวปลอมที่สร้างความสับสนแก่คนในสังคม ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงจึงกำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จพร้อมแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมรวมถึงชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง หากพบกรณีจงใจสร้างความสับสนแก่ประชาชนให้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายนอกจากนี้หน่วยงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกรมส่วนราชการต่างๆ ยังมีหน้าที่ตรวจสอบข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตนเองและชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลที่ถูกต้องด้วย น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านอกจากนี้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19ยังพบหลายกรณีที่พยายามโจมตีและดิสเครดิตรัฐบาลโดยอาศัยข้อมูลเพียงบางส่วนไม่ครบถ้วนและข้อมูลเท็จฉวยโอกาสโจมตีรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประเด็นวัคซีนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19สายพันธุ์ใหม่โดยนายกรัฐมนตรีขอวิงวอนกลุ่มคนที่กระทำการดังกล่าวให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือไม่ครบถ้วนโดยขอให้ทุกฝ่ายลดความขัดแย้งช่วยกันทำให้เกิดบรรยากาศของความร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่สถานการณ์โควิด-19จะได้คลี่คลายลงโดยเร็ว ___________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41456
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันฉัตรมงคล
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 วันฉัตรมงคล เป็นวันสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี และราชอาณาจักรไทย ต่อจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ นับเป็นวันมหามงคลของชาติ และวันบรมราชาภิเษกอย่างสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี และนับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นต้นไป วันที่ ๔ พฤษภาคม จึงเป็น #วันฉัตรมงคล วันที่ระลึกครบรอบปีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41452
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย (คร้งที่ 33-34) 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 82 เขตการเดินรถที่ 5 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 509 เขตการเดินรถที่ 6
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ตั้งทีมจับตากลุ่มย้ายประเทศฯ หลังมีร้องเรียนสร้างความแตกแยก-หมิ่นสถาบันฯ ชี้แนะแนวศึกษา-อาชีพ ตปท.เป็นเรื่องดี แต่ควรศึกษาข้อมูลรอบด้าน เตือนอาจมีมิจฉาชีพแฝงหาประโยชน์
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 “ดีอีเอส” ตั้งทีมจับตากลุ่มย้ายประเทศฯ หลังมีร้องเรียนสร้างความแตกแยก-หมิ่นสถาบันฯ ชี้แนะแนวศึกษา-อาชีพ ตปท.เป็นเรื่องดี แต่ควรศึกษาข้อมูลรอบด้าน เตือนอาจมีมิจฉาชีพแฝงหาประโยชน์ “ดีอีเอส” ตั้งทีมจับตากลุ่มย้ายประเทศฯ หลังมีร้องเรียนสร้างความแตกแยก-หมิ่นสถาบันฯ ชี้แนะแนวศึกษา-อาชีพ ตปท.เป็นเรื่องดี แต่ควรศึกษาข้อมูลรอบด้าน เตือนอาจมีมิจฉาชีพแฝงหาประโยชน์ นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวถึงกรุ๊ปเฟซบุ๊ก“ย้ายประเทศกันเถอะ”ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมออนไลน์ขณะนี้ว่ากระทรวงดีอีเอสได้รับการร้องเรียนถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาเช่นกันโดยผู้ร้องเรียนระบุว่ามีเนื้อหาสร้างความแตกแยกสร้างความเกลียดชังและยังมีการแสดงความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยอย่างไรก็ตามเท่าที่ติดตามเบื้องต้นพบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงแนะแนวการศึกษาและแนะนำแนวทางประกอบอาชีพในต่างประเทศซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดีและหน่วยงานภาครัฐเองก็มีการให้ข้อมูลและให้การสนับสนุนผู้ที่มีความพร้อมมาโดยตลอดอยู่แล้วทั้งในแง่การไปศึกษาต่อในต่างประเทศทั้งกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงการต่างประเทศเช่นเดียวกับการประกอบอาชีพที่มีกระทรวงแรงงานเป็นผู้กำกับดูแล “เท่าที่ติดตามหลายๆโพสต์ก็เป็นเรื่องแนะแนวการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศที่แฝงด้วยประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มบางคนที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศก็มีพฤติกรรมชังชาติอยู่แล้วก็มีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อสร้างความแตกแยกและหมิ่นสถาบันเบื้องสูงกระทรวงดีอีเอสมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการกระทำความผิดในสังคมออนไลน์อยู่แล้วก็ได้กำชับไปให้ตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด”นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่าหากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการศึกษาหรืออาชีพในต่างประเทศรัฐบาลคงไม่ปิดกั้นเพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแต่ก็มีความเป็นห่วงในบางข้อความที่ไม่เหมาะสมอาทิการแนะนำวิธีลักลอบเข้าเมืองหรือการอาศัยอยู่เกินกำหนดอย่างผิดกฎหมายหรือที่เรียกว่าโดดวีซ่าถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและอาจจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรวมถึงการพิจารณาให้วีซ่าคนไทยของประเทศปลายทางในอนาคตด้วยที่สำคัญยังเป็นห่วงว่ากลุ่มดังกล่าวอาจเป็นช่องทางของขบวนการมิจฉาชีพที่ใช้สังคมออนไลน์หลอกลวงให้มีการไปทำงานต่างประเทศที่ระบาดอย่างหนักในระยะหลังโดยทราบจากสถิติของกรมการจัดหางานกระทรวงแรงงานว่าช่วงปี2561-2563ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศแล้วมากกว่า1,500เรื่องดังนั้นผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านไม่หลงเชื่อขบวนการเหล่านี้ *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ลุงป้อม’ สั่ง ‘รมว.เฮ้ง’ ประสานช่วยหารถพยาบาล เตียง และ รพ.ประกันสังคมรองรับคลัสเตอร์ลูกจ้างบริษัทเหล็กติดโควิด 128 ราย เร่งด่วน
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 ‘ลุงป้อม’ สั่ง ‘รมว.เฮ้ง’ ประสานช่วยหารถพยาบาล เตียง และ รพ.ประกันสังคมรองรับคลัสเตอร์ลูกจ้างบริษัทเหล็กติดโควิด 128 ราย เร่งด่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย เร่งประสานให้การช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัทซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมเร่งประสานให้การช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัทซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน ให้จัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือกรณีลูกจ้างของบริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานให้การช่วยเหลือจัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมดูแลพี่น้องแรงงานดุจคนในครอบครัว ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการตรวจโควิด -19 เชิงรุก ตลอดจัดหาเตียงรองรับให้เพียงพอ กรณีที่ผู้ประกันตนหรือพี่น้องประชาชนรายใดต้องการขอความช่วยเหลือให้กระทรวงแรงงานจัดหาเตียง สถานที่ตรวจโควิด-19 หรือต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพื่อประสาน Hospitel ให้แก่ผู้ประกันตน โดยผู้ประกันตนสามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ที่เบอร์ 1506 กด 6 เพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและประชาชนที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ส่งรถตรวจเชื้อและรถวิเคราะห์ผลพระราชทาน ลงพื้นที่คลองเตย
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 อนุทิน ส่งรถตรวจเชื้อและรถวิเคราะห์ผลพระราชทาน ลงพื้นที่คลองเตย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานและรถห้องปฏิบัติการพระราชทานลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกชุมชนพัฒนา 70 ไร่ คลองเตย ตั้งเป้าวันนี้ตรวจให้ได้ 700 ราย และสำรวจพื้นที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทอง เ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานและรถห้องปฏิบัติการพระราชทานลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกชุมชนพัฒนา 70 ไร่ คลองเตย ตั้งเป้าวันนี้ตรวจให้ได้ 700 รายและสำรวจพื้นที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทอง เตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม รองรับได้ 5,200 เตียงหากมีความจำเป็น วันนี้ (4 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญ​วี​รกูล​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​สาธารณสุข​ พร้อมด้วย นายแพทย์ธงชัย​ กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวง​สาธารณสุข​ นายแพทย์ยงยศ ธรรม​วุฒิรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข​ นายแพทย์ศุภกิจ​ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์​ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์อธิบดีกรมสนับสนุน​บริการ​สุขภาพ​ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมโรคโควิด 19 และการค้นหาเชิงรุกในชุมชนพัฒนา 70 ไร่ เขตคลองเตย กทม.พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ส่งรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน และรถห้องปฏิบัติการพระราชทานค้นหาเชิงรุก ลงพื้นที่ตรวจหาเชื้อประชาชนในชุมชนพัฒนา 70 ไร่ หลังพบผู้ติดเชื้อในชุมชน จำนวน 37 ราย โดยวันนี้ ตั้งเป้าหมายตรวจให้ได้วันละ 700 ตัวอย่างและจะเพิ่มจำนวนในวันต่อไป เพื่อแบ่งเบาภาระของกทม. เนื่องจากชุมชนคลองเตยมีประชาชนอยู่กันอย่างหนาแน่น การคัดกรองหากพบผู้ติดเชื้อจะประสานกับ กทม. เพื่อจัดหาเตียง หากเตียงไม่เพียงพอ กระทรวงสาธารณสุขจะนำเข้าศูนย์แรกรับ ส่วนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่ชุมชนคลองเตยนั้น พื้นที่ไม่เหมาะสมจะพยายามหาพื้นที่อื่นที่มีความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยังมีHospitel โรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาล ไว้รองรับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย เพื่อเข้ารับการรักษาตามความเหมาะสม โดยมีการคัดแยกระดับอาการเป็นกลุ่มสีเขียว สีเหลือง และสีแดงหากโรงพยาบาลในกทม.เต็ม กระทรวงสาธารณสุขมีเครือข่ายโรงพยาบาลอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย จากนั้นได้เดินทางไปที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อดูสถานที่วางแผนสำหรับจัดตั้งโรงพยาบาลสนามหากมีความจำเป็น เนื่องจากอิมแพค ชาเลนเจอร์ เป็นสถานที่ที่มีความพร้อม สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ5,200 เตียง แบ่งเป็นอาคาร 1 อาคาร 2 อาคารละ 2,000 เตียง ส่วนอาคาร 3 เตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการโดยจะตั้งเต็นท์ความดันลบ มีเครื่องช่วยหายใจ สามารถรองรับได้ 1,200 เตียง หากจำเป็นต้องใช้งาน มอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าไปจัดการในพื้นที่ ทั้งระบบระบายอากาศ ระบบระบายน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกล้องวงจรปิด ให้ได้ตามมาตรฐานและร่วมกับภาคเอกชนอื่น ๆ ติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตต่อไป *****************************4 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​เดินหน้า “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ฝ่าวิกฤตโควิด19 “กระทรวงเกษตรฯ” ร่วมมือ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพิ่มศักยภาพใหม่การส่งออกสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีจุลินทรีย์และสมาร์ทแพ็กกิ้งยืดอายุ
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 ​เดินหน้า “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ฝ่าวิกฤตโควิด19 “กระทรวงเกษตรฯ” ร่วมมือ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพิ่มศักยภาพใหม่การส่งออกสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีจุลินทรีย์และสมาร์ทแพ็กกิ้งยืดอายุ “อลงกรณ์” ตั้งเป้าต้นปีหน้าเริ่มใช้นวัตกรรมใหม่ ผนึก “พาณิชย์” บุกตลาดจีน รัสเซีย ตะวันออกกลาง เอเซียกลางและยุโรปโดยรถไฟสาย “อีต้าอีลู่” (เส้นทางสายไหม) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และประธานคณะกรรมการบริหาร AIC (Agritech and Innovation Center) เปิดเผยวันนี้ ว่า ตนและคณะจะประชุมกับศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและทีมวิจัยในวันพรุ่งนี้ (5 พ.ค.) เวลา 13.00 น. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องความร่วมมือด้านเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นศูนย์ AIC ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลโดยเฉพาะ 3 โครงการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการวิจัยและพัฒนา ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาวัคซีนโควิดจากพืชโดยจะเริ่มผลิตวัคซีนโควิดได้ปลายปีนี้ 2. โครงการพัฒนาการยืดอายุผลไม้ด้วยเทคโนโลยีจุลินทรีย์ 3. โครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยืดอายุและความสดของผัก ผลไม้และสินค้าเกษตร และ 4. โครงการเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมด้านอื่นๆ เช่น โคนมและผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการพัฒนาการยืดอายุผลไม้ด้วยเทคโนโลยีจุลินทรีย์และโครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (Smart Packing) ยืดอายุและความสดของผัก ผลไม้และสินค้าเกษตรจะนำนวัตกรรมใหม่นี้มาใช้กับแผนโลจิสติกส์เกษตรทางเลือกใหม่ในยุคโควิด เช่น การขนส่งระบบรางจากไทยผ่านจีนไปทุกมณฑลของจีน เกาหลี ภูมิภาคเอเชียกลางภูมิภาคตะวันออกกลาง รัสเซีย สแกนดิเนเวีย ยุโรปและอังกฤษ ภายใต้ขบวนรถไฟอีต้าอีลู่ (เส้นทางสายไหม) บนความร่วมมือระหว่าง ไทย-จีน-ลาว-เวียดนามเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย “มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด19 ของแต่ละประเทศทำให้ต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นทั้งทางบกทางน้ำและใช้เวลานานขึ้นในการข้ามแดนตั้งแต่ปี 2563 จนถึงวันนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จึงสั่งการให้เร่งแก้ไขปัญหาและวางแนวทางโลจิสติกส์ทางเลือกใหม่ๆ ภายใต้ “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” และประกอบกับเส้นทางรถไฟสายจีน-ลาว จะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ เราจึงเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการขนส่งสินค้าทางรางด้วยเส้นทางนี้ โดยใช้โลจิสติกส์ฮับที่อุดรธานีและหนองคาย ตั้งเป้าเริ่มคิกออฟต้นปีหน้า อีกเส้นทางคือการขนส่งระบบรางผ่านด่านผิงเสียงบริเวณพรมแดนเวียดนามกับเขตปกครองตนเองกวางสีจ้วงของจีน เราหวังว่าถ้าสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ยืดอายุผลไม้สด เช่น ทุเรียน มะม่วง มังคุด ลำไย เงาะ ลองกอง ขนุน ผัก สมุนไพร เป็นต้น จะทำให้มีทางเลือกในการขนส่งที่ถูกลงมีเวลาแน่นอนจากต้นทางถึงปลายทางและใช้เวลาน้อยลงแต่มีช่วงเวลาขายยาวขึ้นเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีกที่เป็นลูกค้าของไทยทั้งขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ และนี่คือการสร้างศักยภาพใหม่ในการส่งออกของเรา” นายอลงกรณ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เปิดตัว Hospitel ประกันสังคม รองรับผู้ประกันตนป่วยโควิด-19
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ เปิดตัว Hospitel ประกันสังคม รองรับผู้ประกันตนป่วยโควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะลงพื้นเปิดตัว Hospitel ประกันสังคม เป็นสถานที่รองรับผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด-19 แต่ไม่แสดงอาการให้ได้เข้ารับการรักษาตามขั้นตอนอย่างเพียงพอ สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด – 19 ให้ได้เข้ารับการรักษา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดตัว Hospitel ประกันสังคม เพื่อรองรับผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด-19 ณ โรงแรมทวินทาวเวอร์ ถนนรองเมือง และโรงแรมเอวาน่า แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซนเตอร์ ซอยบางนา – ตราด 12/1 ถนนบางนา – ตราด เขตบางนา กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่รองรับการรักษาตัวของผู้ประกันตนติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้มีความรุนแรง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนสถานที่และเตียงรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่เพียงพอ กระทรวงแรงงานจึงได้เห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ประกันตน และเป็นการลดการติดต่อแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้มีนโยบายให้ตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33,39 และ 40 รวมทั้งจัดหา Hospitel เพื่อรองรับผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด-19 เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยให้ได้เข้ารับการรักษา ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยสำนักงานประกันสังคมได้รับความร่วมมือจากสถานพยาบาล โรงแรม ในการจัดตั้ง Hospitel ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกเป็นอย่างดี นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การมีสุขภาพที่ดีของผู้ประกันตนในภาวะวิกฤตนั้น เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากผู้ประกันตนมีสุขภาวะที่ดีย่อมเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรให้การสนับสนุน กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จึงได้เตรียมความพร้อมจัดหา Hospitel ในครั้งนี้ โดยเบื้องต้นโรงแรมทวินทาวเวอร์ ถนนรองเมือง มีเตียงรองรับจำนวน 80 เตียง และโรงแรมเอวาน่า แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซนเตอร์ ซอยบางนา – ตราด 12/1 ถนนบางนา – ตราด เขตบางนา กรุงเทพมหานคร มีเตียงรองรับ จำนวน 600 เตียง โดยสำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อประสาน Hospitel ให้แก่ผู้ประกันตน โดยผู้ประกันตนสามารถโทรศัพท์ติดต่อที่เบอร์ 1506 กด 6 เพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและประชาชนที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงกำกับและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณหน่วยงานภายใต้การดูแลให้เป็นไปตามเป้าหมายผลักดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายกฯ มอบรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงกำกับและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณหน่วยงานภายใต้การดูแลให้เป็นไปตามเป้าหมายผลักดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีมอบรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงกำกับและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณหน่วยงานภายใต้การดูแลให้เป็นไปตามเป้าหมายผลักดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ วันที่4พ.ค. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าสำนักงบประมาณได้รายงานให้พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมทราบถึงความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณณไตรมาส2ปีงบประมาณ2564(1ต.ค.2563-31มี.ค.2564)ว่าแม้จะอยู่ระหว่างเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563เป็นต้นมาซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งมิติพื้นที่และกลุ่มธุรกิจการลงทุนและการดำเนินชีวิตของประชาชนแต่ปรากฎว่าผลการใช้จ่ายโดยเฉพาะการก่อหนี้ผูกพันของส่วนราชการและหน่วยรับงบประมาณต่างๆในภาพรวมถือว่าสูงกว่าเป้าหมายตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)และแผนการใช้จ่ายงบประมาณกำหนดแต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในบางประเด็นเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายและมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณนี้ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์จึงมีข้อสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยรับประมาณทุกหน่วยดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัดโดยให้เร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะกรณีรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียวและรายการผูกพันใหม่ให้แล้วเสร็จเนื่องจากขณะนี้ได้เข้าสู่ไตรมาสที่3ของปีงบประมาณแล้วและให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีทีกำกับดูแลหรือควบคุมกิจการของหน่วยรับงบประมาณหรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎกมายกำกับดูแลเร่งรัดติดตามและประเมินการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือแผนที่กำหนดโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการกระตุ้นให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้การที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19ยังคงมีต่อเนื่องให้ทุกหน่วยรับงบประมาณพิจารณาแนวทางการใช้จ่ายที่สอดคล้องกับปริบทใหม่ที่เปลี่ยนไป(new normal)เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนกรณีปัญหาที่หน่วยงานยังมีข้อติดขัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ.2560ให้กระทรวงการคลังเร่งสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจแก่บุคลากรของหน่วยรับงบประมาณให้ต่อเนื่องและชัดเจน น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสำหรับข้อมูลการเบิกจ่ายที่สำนักงบประมาณรายงานนั้นจากงบประมาณรายจ่ายรวม3.28ล้านล้านบาทณสิ้นไตรมาสที่2 ส่วนราชการตลอดจนหน่วยรับงบประมาณต่างๆได้เบิกจ่ายแล้ว1.55ล้านล้านบาทมีการก่อหนี้ผูกพันแล้ว1.78ล้านล้านบาทคิดเป็น47.21%และ54.24%ตามลำดับแต่หากพิจารณาเฉพาะงบประมาณรายจ่ายกรณีไม่รวมงบกลางวงเงินงบประมาณรวมจะอยู่ที่2.67ล้านล้านบาทมีการเบิกจ่ายแล้ว 1.30ล้านล้านบาทคิดเป็น48.96%ต่ำกว่าเป้าหมาย5.04%ก่อหนี้ผูกพันแล้ว1.53ล้านล้านบาทคิดเป็น57.59%สูงกว่าเป้าหมาย3.59% ทั้งนี้กรณีไม่รวมงบกลางเฉพาะรายจ่ายประจำจากวงเงินรวม2.08ล้านล้านบาทเบิกจ่ายแล้ว1.14ล้านล้านบาทคิดเป็น55.09%ต่ำกว่าเป้าหมาย1.91%ก่อหนี้ผูกพันแล้ว1.16ล้านล้านบาทคิดเป็น56.01%ต่ำกว่าเป้าหมาย0.99% ขณะที่รายจ่ายลงทุนจากวงเงินรวม5.87แสนล้านบาทเบิกจ่ายแล้ว1.59 แสนล้านบาทคิดเป็น27.19%ต่ำกว่าเป้าหมาย17.81%ก่อหนี้ผูกพันแล้ว3.71แสนล้านบาทคิดเป็น63.22%สูงกว่าเป้าหมาย18.22% __________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41455
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผู้ป่วยโควิดหายเพิ่มขึ้น คาดสถานการณ์การรักษาจะดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 สธ. เผยผู้ป่วยโควิดหายเพิ่มขึ้น คาดสถานการณ์การรักษาจะดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข เผยยอดการรักษาหายเพิ่มขึ้น เร่งควบคุมลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ คาดสถานการณ์การรักษาในโรงพยาบาลดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ย้ำคนที่พบปะผู้คนจำนวนมาก ต้องใส่หน้ากากช่วยลดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ห่วงยังเจอติดเชื้อที่บ้าน ที่ทำงาน รวมกลุ่มสังสร กระทรวงสาธารณสุข เผยยอดการรักษาหายเพิ่มขึ้น เร่งควบคุมลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ คาดสถานการณ์การรักษาในโรงพยาบาลดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ย้ำคนที่พบปะผู้คนจำนวนมาก ต้องใส่หน้ากากช่วยลดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ห่วงยังเจอติดเชื้อที่บ้าน ที่ทำงาน รวมกลุ่มสังสรรค์ แอบเล่นพนัน ย้ำงดรวมตัว หรือรับประทานอาหารร่วมกัน วันนี้ (4 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,763 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,490 ราย เสียชีวิต 27 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 มีผู้รักษาหายสะสม 15,048 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 30,011 ราย เสียชีวิตสะสม 209 ราย ภาพรวมถือว่ายังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง แต่เริ่มทรงตัว โดยต่างจังหวัดควบคุมสถานการณ์ได้ดี แนวโน้มลดลง ส่วนใหญ่มีผู้ป่วยไม่ถึง 20 ราย สามารถค้นหาผู้ป่วยและติดตามผู้สัมผัสได้ดี ขอให้เคร่งครัดมาตรการป้องกันโรคต่อไป ส่วน กทม.และปริมณฑลยังมีแนวโน้มสูง ต้องจับตาชุมชนแออัดขนาดใหญ่ หากควบคุมสถานการณ์ใน กทม.และปริมณฑลได้ จะควบคุมสถานการณ์ระดับประเทศได้ “ขณะนี้ยังพบการติดเชื้อจากการสัมผัสคนในครอบครัว การระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากกิจกรรมรวมกลุ่ม โดยพบการแอบนัดมาเล่นพนันเป็นวงเล็ก การเทียบไก่ชน งานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนการรับประทานอาหารร่วมกันในที่ทำงาน ถือว่ายังเป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น กรณีโรงงานแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการผู้ติดเชื้อรายแรกทำงานติดต่อกับคนหลายแผนก มีการรับประทานอาหารร่วมกัน และพบกินน้ำแก้วเดียวกัน ทำให้ติดเชื้อสูง 100 กว่าคน และติดเชื้อไปในชุมชน จึงต้องปิดโรงงาน คัดกรองหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงไปกักตัวและรักษาพยาบาล กรณีนี้คล้ายกับแพปลา จ.ระนอง ที่ผู้ติดเชื้อรายแรกพบปะผู้คนจำนวนมากทำให้ติดเชื้อหลายคน” นายแพทย์โอภาสกล่าว ทั้งนี้ ขอความร่วมมือโรงงาน สถานประกอบการ เคร่งครัดมาตรการเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือสแกนไทยชนะ งดรับประทานอาหารร่วมกัน แยกภาชนะส่วนบุคคล จะทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะคนที่พบปะผู้คนจำนวนมาก การใส่หน้ากากจะช่วยลดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ในพื้นที่ได้ รวมถึงการใส่หน้ากากในบ้านจะช่วยลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้สูงอายและคนมีโรคประจำตัวได้ นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขณะนี้ผู้รักษาหายเพิ่มขึ้น อัตราการรักษาหายมากกว่า 95% จึงต้องพยายามลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ คาดว่าใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ สถานการณ์การรักษาในโรงพยาบาลจะดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลโดยจัดหาไอซียูเพิ่มเติมรองรับผู้ป่วยอาการหนัก และปรับเปลี่ยนให้วินิจฉัยกลุ่มอาการสีเหลืองได้เร็วขึ้นและให้ยาเร็วขึ้น มีเตียงเพิ่มอีก 2 พันกว่าเตียง ทำให้สถานการณ์การรักษาค่อนข้างคงตัว สำหรับศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร มีผู้ติดต่อเข้ามาสะสม 247 ราย ส่งผู้ป่วยไปรักษาได้ 239 ราย คิดเป็น 96.8% ถือว่าช่วยเหลือส่งต่อได้ทันท่วงที ส่วนการตรวจหาเชื้อโควิดในห้องปฏิบัติการเฉลี่ยวันละ 5-6 หมื่นตัวอย่างมากที่สุดคือ 7 หมื่นกว่าตัวอย่างต่อวัน ถือว่าตรวจได้ค่อนข้างมาก นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้กระจายวัคซีนโควิด 19 แล้ว 2.1 ล้านโดส ฉีดวัคซีนแล้ว 1.49 ล้านโดส คิดเป็น 75% สำหรับวัคซีนซิโนแวค 5 แสนโดสผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมเริ่มกระจายวัคซีนแล้ว โดยวันที่ 6 พฤษภาคมจะมีวัคซีนซิโนแวคมาอีก 1 ล้านโดส และวันที่ 22 พฤษภาคมมาอีก 1.5 ล้านโดส จากนั้น จะมีการทยอยส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า61 ล้านโดส ทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตัวเลขการฉีดจะพุ่งขึ้นทันกับสถานการณ์ ส่วนการลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านหมอพร้อมมีจำนวน 879,830 ราย ผ่านไลน์หมอพร้อม 698,402 ราย และแอปพลิเคชัน 181,428 ราย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าการบินไปฉีดวัคซีนโมเดอร์นาฟรีที่สหรัฐอเมริกาไม่เป็นความจริง สำหรับโรงพยาบาลเอกชนถือเป็นหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งให้ความร่วมมือฉีดตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมโรคและไม่คิดมูลค่า โดยมี สปสช.สนับสนุนค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีน 20 บาทต่อคน *****************************4 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี หารือนายกรัฐมนตรีเวียดนามพร้อมกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจในช่วงความท้าทายโควิด-19 มุ่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างกันอย่างรอบด้าน
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรี หารือนายกรัฐมนตรีเวียดนามพร้อมกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจในช่วงความท้าทายโควิด-19 มุ่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างกันอย่างรอบด้าน นายกรัฐมนตรี หารือนายกรัฐมนตรีเวียดนามพร้อมกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจในช่วงความท้าทายโควิด-19 มุ่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างกันอย่างรอบด้าน วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.30 น. ณ ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ (H.E. Mr. Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามเข้ารับตำแหน่งใหม่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ในโอกาสที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ชื่นชมความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ใกล้ชิดระหว่างไทย-เวียดนาม พร้อมเชิญให้นายจิ๋งห์มาเยือนประเทศไทยในโอกาสแรก นายกรัฐมนตรีย้ำความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับรัฐบาลใหม่ของเวียดนามอย่างใกล้ชิด ในฐานะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างกัน (Strengthened Strategic Partnership) และเชื่อมั่นว่าภายใต้การดำรงตำแหน่งของนายจิ๋งห์ จะสามารถนำพาให้ประเทศเวียดนามก้าวหน้าผ่านพ้นอุปสรรค ในโอกาสนี้ ฝากความความระลึกถึงและความปรารถนาดี ไปยังนายเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และนายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รู้สึกเป็นเกียรติที่นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความยินดีในวันนี้ พร้อมที่จะดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเวียดนาม 2021-2025 รวมทั้งเดินหน้าพัฒนานวัตกรรม และพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญ เช่นประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งหวังว่าจะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามชื่นชมความมุ่งมั่นพยายามของไทยในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 พร้อมร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนเพื่อเอาชนะความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับกลไกความร่วมมือทวิภาคีไทย-เวียดนาม เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ หวังจะเห็นการร่วมลงนามในแผนปฏิบัติการ (Plan of Action) เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เห็นพ้องที่จะจัดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-เวียดนาม (Joint Cabinet Retreat: JCR) ครั้งที่ 4 ในโอกาสแรก โดยจัดตามรูปแบบที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยกับสถานการณ์ ด้านเศรษฐกิจ ไทยชื่มชมพัฒนาการทางเศรษฐกิจของเวียดนาม และแม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เศรษฐกิจของเวียดนามก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไทยมุ่งมั่นจะกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับเวียดนาม และพร้อมร่วมมือเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามยืนยันความตั้งใจของเวียดนามที่จะอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนกับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เกษตรไฮเทค การผลิตรถยนต์ และทุกด้านที่ไทยมีศักยภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณเวียดนามที่ให้การดูแล และขอให้ช่วยสนับสนุนนักลงทุนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่ไทยสนใจ และมีศักยภาพ อาทิ ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และการลงทุนของบริษัท SCG ในจังหวัดบาเหรี่ยะ-หวุงเต่า ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและเวียดนามได้ร่วมหารือเพื่อพิจารณาลดข้อกำหนดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่กัน และมุ่งหน้าดำเนินนโยบายด้านเศรษกิจ ตามที่ได้ตั้งเป้าพัฒนาตัวเลขทางการค้าการลงทุนเอาไว้ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นว่าในช่วงเวลาของความท้าทายต้องมีความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในส่วนของความร่วมมือพหุภาคี ไทยและเวียดนามยืนยันสนับสนุนการส่งเสริมความเชี่อมโยงในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และเวียดนามพร้อมสนับสนุนไทยในกรอบความร่วมมือเอเปค ซึ่งไทยจะดำรงตำแหน่งเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบทบาทของเวียดนามในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลักดันให้เกิดการสนับสนุนบทบาทของอาเซียนต่อสถานการณ์ในเมียนมา โดยไทยและเวียดนามยึดมั่นใน Five-Point Consensus เพื่อให้เปิดการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรกันและกันให้ประสบแต่ความสุขและมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะมอบหมายให้กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อพัฒนาความร่วมมือตามแนวทางที่ได้หารือกันในรายละเอียดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” สั่งปรับแนวทางอบรมคนไปทำงานต่างประเทศ ยึดปลอดภัยจากโควิด -19
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 “สุชาติ” สั่งปรับแนวทางอบรมคนไปทำงานต่างประเทศ ยึดปลอดภัยจากโควิด -19 กระทรวงแรงงาน เริ่มอบรมคนหางานก่อนเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 จากการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานราชการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคโควิด - 19 อย่างจริงจังมาโดยตลอด ทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการและประชาชนผู้รับบริการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งต้องได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง และป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 กระทรวงแรงงานจึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการภาครัฐ โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆต่อไป และคนหางานสามารถเดินทางไปทำงานต่างประเทศได้อย่างปลอดภัย “กระทรวงแรงงานเริ่มปรับใช้การอบรมก่อนไปทำงานในต่างประเทศ ด้วยการอบรมผ่านระบบ Zoom แทนการเข้ารับการอบรม ณ กระทรวงแรงงาน โดยตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. - 11 พ.ค. ที่ผ่านมา มีการอบรมไปแล้ว 5 รอบ รวมทั้งสิ้น 423 คน เป็นคนหางานที่ประสงค์เดินทางไปทำงานประเทศไต้หวัน 413 คน และโปรตุเกส 10 คน แบ่งเป็นวันที่ 3 พ.ค. จำนวน 35 คน วันที่ 5 พ.ค. จำนวน 86 คน วันที่ 6 พ.ค. จำนวน 19 คน วันที่ 7 พ.ค. จำนวน 214 คน และวันที่ 11 พ.ค. จำนวน 69 คน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข และข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นอกจากการอบรมเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านระบบ Zoom แล้ว ยังใช้วิธีสัมภาษณ์คนหางานไปทำงานต่างประเทศ ผ่านแอปพลิเคชัน LINE การลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง /แจ้งการเดินทางกลับไปทำงานต่างประเทศ ผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th แทนการเดินทางมาที่สำนักงานด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas และ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 29,877 ราย เกิดการจ้างงานแล้ว 13,677 ราย ขุดสระเก็บกักน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 1,447 ราย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ผ่านระบบทางไกลออนไลน์ Application Zoom ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การเปิดรับสมัครเกษตรกรและจ้างแรงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ระดับตำบลในพื้นที่เป้าหมาย 4,009 ตำบล เกษตรกรเป้าหมาย 32,000 ราย มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 29,877 ราย แบ่งเป็น เกษตรกรทั่วไป 28,493 ราย เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ (5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง) จำนวน 1,384 ราย และมีการจ้างแรงงานเกษตรทฤษฎีใหม่ระดับตำบล จำนวน 13,677 ราย จากเป้าหมาย 16,000 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564) “การขับเคลื่อนโครงการ1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ มีความคืบหน้าผลการดำเนินงาน ดังนี้ 1. การจัดทำคู่มือมือการปฏิบัติงาน จำนวน 50,000 เล่ม และได้ดำเนินการจัดส่งทั้งหมดแล้ว 2. ได้มีการดำเนินการเช่าใช้พื้นที่การดำเนินการระบบสารสนเทศ และเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสนับสนุนโครงการ 1 ตำบลฯ 3. การจัดฝึกอบรมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ในกระบวนการเรียนรู้เวที ที่ 1 ดำเนินการแล้วเสร็จ 6 จังหวัด อยู่ระหว่างดำเนินการ 65 จังหวัด 4. การขุดสระเก็บกักน้ำให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ 32,000 แปลง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุดสระเก็บกักน้ำรอบแรกให้แก่เกษตรกรจำนวน 19,059 ราย อยู่ระหว่างการขุด จำนวน 17,612 ราย ขุดสระเก็บกักน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 1,447 ราย 5. การส่งเสริมองค์ความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิต (ด้านพืช ด้านประมง ด้านปศุสัตว์ ด้านปรับปรุงบำรุงดิน) อยู่ระหว่างสำรวจความต้องการปัจจัยการผลิตของเกษตรกร และเตรียมจัดสรรโอนงบประมาณสู่พื้นที่จังหวัด” ดร.ทองเปลว กล่าว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินจะสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านการพัฒนาที่ดิน เช่น วัสดุปรับปรุง บำรุงดิน เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ฯลฯ กรมส่งเสริมการเกษตร จะสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านพืช เช่น กิ่งพันธุ์ไม้ผล ไม้ยืนต้น (ไม้ที่ให้ผลผลิต) และเมล็ดพันธุ์พืชผัก สมุนไพร ฯลฯ กรมประมง จะสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านประมง เช่น พันธุ์สัตว์น้ำ อาหารสัตว์น้ำ ฯลฯ กรมปศุสัตว์ จะสนับสนุนปัจจัยด้านปศุสัตว์ เช่น พันธุ์สัตว์และหรืออาหารสัตว์ วัตถุดิบอาหารสัตว์ เมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ ท่อนพันธุ์พืชอาหารสัตว์ วัสดุอุปกรณ์การเลี้ยง ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ที่จะจัดขึ้น ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน วันพุธที่12พฤษภาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก2021ที่จะจัดขึ้นณสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านระบบโปรแกรมZoom Cloud Meetingsณห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานพืชสวนโลก2021ณสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมหกรรมพืชสวนโลกดังกล่าวได้เริ่มงานตั้งแต่วันที่8เมษายน2564ที่ผ่านมาซึ่งสวนที่จัดแสดงสวนไทยได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างดี ทั้งนี้ที่ประชุมเตรียมการจัดแถลงข่าวและพิธีเปิดสวนไทยอย่างเป็นทางการซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันโดยที่ประชุมเห็นชอบการเลื่อนการจัดงานแถลงข่าวเป็นวันที่3กันยายน2564และใช้รูปแบบออนไลน์พร้อมกันทั้งสองประเทศเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความหลากหลายของสินค้าเกษตรไทยและส่งเสริมการผลิตและการตลาดของสินค้าเกษตรไทยให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น สำหรับกิจกรรมภายในงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดจัดกิจกรรมภายในงานจำนวน2ครั้งครั้งที่1ระหว่างวันที่28พฤษภาคม– 4มิถุนายน2564ภายใต้แนวคิดกล้วยไม้และผลไม้ไทยและครั้งที่2ระหว่างวันที่4 – 10กันยายน2564และครั้งที่2เป็นการจัดแสดงสินค้ากลุ่มผักสมุนไพรแปรรูปและเครื่องปรุงสำเร็จกลุ่มกล้วยไม้และไม้ดอกไม้ประดับและกลุ่มสินค้าเกษตรอื่นๆ)การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก2021ณสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรไทยให้เป็นที่รู้จักเพื่อเปิดตลาดสินค้าเกษตรชนิดใหม่ๆเพิ่มเติมในตลาดประเทศจีนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.รับมอบสิ่งของบริจาคจากข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อร่วมในโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน”
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ปลัดวธ.รับมอบสิ่งของบริจาคจากข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อร่วมในโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” ปลัดวธ.รับมอบสิ่งของบริจาคจากข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อร่วมในโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รับมอบสิ่งของบริจาคจากข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อร่วมในโครงการ “ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และส่งต่อกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมร่วมบริจาค ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41678
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมบันทึกเทปถวายพระพร ในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมบันทึกเทปถวายพระพร ในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ดีอีเอส ร่วมบันทึกเทปถวายพระพร ในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี เมื่อวันที่12พฤษภาคม2564นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาพัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินีในวันที่3มิถุนายน2564โดยมีนายทศพล เพ็งส้มผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายเนวินธุ์ช่อชัยทิพฐ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนายเอกสิทธิ์คุณานันทกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมบันทึกเทปณชั้น1สตูดิโอ5อาคารปฏิบัติการ สถานีโทรทัศน์ช่อง9 ********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41683
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ”สั่งฟ้องนักข่าวไทยพีบีเอสปั่นเฟคนิวส์สาวอุดรฯแพ้วัคซีน พบ 1 เดือนนำเสนอข่าวผิด 3 ครั้ง สั่งไล่สอบฟันไม่เลี้ยง ยันไม่เว้นแม้เป็น “สื่อ” เพราะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 “ชัยวุฒิ”สั่งฟ้องนักข่าวไทยพีบีเอสปั่นเฟคนิวส์สาวอุดรฯแพ้วัคซีน พบ 1 เดือนนำเสนอข่าวผิด 3 ครั้ง สั่งไล่สอบฟันไม่เลี้ยง ยันไม่เว้นแม้เป็น “สื่อ” เพราะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป “ชัยวุฒิ”สั่งฟ้องนักข่าวไทยพีบีเอสปั่นเฟคนิวส์สาวอุดรฯแพ้วัคซีน พบ 1 เดือนนำเสนอข่าวผิด 3 ครั้ง สั่งไล่สอบฟันไม่เลี้ยง ยันไม่เว้นแม้เป็น “สื่อ” เพราะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสสั่งฟ้องนักข่าวไทยพีบีเอสปั่นเฟคนิวส์สาวอุดรฯแพ้วัคซีนลุยแจ้งความสน.ทุ่งสองห้องเอาผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-พ.ร.บ.คอมฯ3บัญชีเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ต้นตอปั่นข่าวร่วมด้วยระบุต้นสังกัดออกข่าวผิดถี่ยิบสั่งไล่สอบฟันไม่เลี้ยงยันไม่เว้นแม้เป็น“สื่อ”เพราะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนทั่วไป จากกรณีที่สื่อหลายสำนักรายงานข่าวว่ามีหญิงสาวรายหนึ่งที่เข้ารับวัคซีนซิโนแวคที่จ.อุดรธานีได้เกิดผลข้างเคียงมีอาการชาทั้งตัวและมีเลือดออกในสมองแต่มีการแอบอ้างภาพของผู้ป่วยรายหนึ่งที่โรงพยาบาลหนองม่วงจ.ลพบุรีที่มีอาการแพ้ยามีผื่นแดงเต็มตัวมาเผยแพร่ควบคู่กันจนเกิดความเข้าใจผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธไปแล้วนั้น วันนี้(12พ.ค.64)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดเผยว่ากรณีสาวอุดรฯอ้างแพ้วัคซีนได้รับรายงานจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม(Anti-Fake News Center)รวมทั้งมีผู้ร้องเรียนเข้ามายังกระทรวงดีอีเอสจึงได้สั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นก็พบว่าต้นตอของข่าวดังกล่าวมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์รวม3รายซึ่งเข้าข่ายความผิดตามพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยได้มอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงดีอีเอสเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจนครบาล(สน.)ทุ่งสองห้องเพื่อดำเนินคดีต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ"Wadfhan Niphawan",ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ชื่อ"@tuykallaya"และผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ"กะทิจ้า"เมื่อวันที่11พ.ค.ที่ผ่านมาแล้วแม้ทราบว่าทั้ง3รายได้ลบโพสต์ออกไปและบางรายก็ได้โพสต์ขอโทษไปแล้วแต่ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่จะโพสต์หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังต่อสู้กับโควิด-19ที่เป็นเรื่องความเป็นความตาย “รัฐบาลได้ยกระดับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19เป็นวาระแห่งชาติตลอดจนหลายภาคส่วนออกมาร่วมรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนแต่ก็ยังมีขบวนการที่พยายามดิสเครดิตสร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด”นายชัยวุฒิระบุ นายชัยวุฒิเปิดเผยด้วยว่านอกจากนี้ตนได้ตรวจสอบบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ"กะทิจ้า"ซึ่งพบว่าประกอบอาชีพสื่อมวลชนมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยบรรณธิการข่าวเช้าสำนักข่าวไทยพีบีเอส ซึ่งที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวไทยพีบีเอสว่ามีการนำเสนอข่าวผิดพลาดอย่างน้อย2ครั้ง1.เมื่อวันที่24เม.ย.นำเสนอข่าวชาวอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำมายังประเทศไทยเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย. 2.เมื่อวันที่9พ.ค.กรณีข่าวประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อเชื้อโควิด-19สายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่เป็นเพียงการคาดการณ์ผ่านมาซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างผิดสังเกตแล้วยังมีคนระดับบรรณาธิการมาโพสต์ข้อมูลทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนอีก ทั้งนี้ในช่วงเวลา1เดือนสำนักข่าวไทยพีบีเอสนำเสนอข่าวผิดถึง2ครั้งและมีพนักงานนำเฟคนิวส์มาเผยแพร่จนสื่อมวลชนสำนักอื่นนำข้อมูลดังกล่าวไปผลิตซ้ำรวมแล้วเกิดเฟคนิวส์ที่มีจุดเริ่มต้นจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส3ครั้งจนทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นแม้เป็นสื่อมวลชนหากกระทำผิดก็ไม่ละเว้นยิ่งต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพราะสื่อมวลชนควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมที่สูงกว่าคนทั่วไปต้องมีภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าและเป็นผู้เสริมภูมิคุ้มกันในการเสพข่าวทางสังคมออนไลน์ให้กับประชาชนเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วต้องมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนการนำเสนอไม่ควรปล่อยให้มีการออกข่าวผิดพลาดและบ่อยครั้งจนมีคำถามถึงเจตนาที่แท้จริงของสำนักงานแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อสาธารณะแห่งนี้ “แม้ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยพีบีเอสจะออกมาขอโทษที่นำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อนแต่ได้สร้างความสับสนและสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยผมจึงจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายเพราะการกระทำผิด3ครั้งภายใน1เดือนเป็นวิสัยที่ผิดปกติและผมเกรงว่าหากไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายจะมีการกระทำผิดครั้งต่อไปเกิดขึ้นอีก”นายชัยวุฒิกล่าว ********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. ชี้แจงข้อสงสัยวัคซีน Sinovac ยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก แต่นำมาใช้ในประเทศไทย
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 อย. ชี้แจงข้อสงสัยวัคซีน Sinovac ยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก แต่นำมาใช้ในประเทศไทย เลขาธิการ อย. เผยวัคซีนที่ใช้ในไทยต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนที่อยู่ในรายการอนุญาตของ WHO ยืนยันวัคซีนซิโนแวคปลอดภัย และมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 วันที่ 12 พ.ค.64 นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงกรณี อย. ขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 3 รายการ ได้แก่ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนซิโนแวค และวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ขณะที่องค์การอนามัยโลกอนุมัติวัคซีนโควิด-19 แล้ว 6 รายการ โดยไม่มีวัคซีนซิโนแวค ทำให้เกิดข้อสงสัยวัคซีนที่ไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกมาฉีดให้แก่คนไทยนั้น จึงชี้แจงว่า วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยต้องผ่านการประเมินและได้ทะเบียนจาก อย. แต่อาจไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนที่อยู่ในรายการอนุญาตขององค์การอนามัยโลก เนื่องจากวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO EUL) มีไว้สำหรับใช้ในโครงการ COVAX และอาจใช้อ้างอิงประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีระบบการกำกับดูแลด้านวัคซีนที่ยังไม่สมบูรณ์ ขณะที่ประเทศไทยมีระบบการกำกับดูแลวัคซีนที่ได้รับการรับรอง WHO PQ จากองค์การอนามัยโลก และเป็นสมาชิกของ PIC/s ด้วย จึงสามารถดำเนินการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าก่อนการรับรองของ WHO EUL พร้อมยืนยันวัคซีนซิโนแวค มีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยมีการอนุมัติให้ใช้กว่า 45 ประเทศทั่วโลกซึ่ง อย. ได้ประเมินและขึ้นทะเบียนโดยผ่านเกณฑ์องค์การอนามัยโลกเรื่องประสิทธิผลในการป้องกันโรคมากกว่า ร้อยละ 50 สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 100 ป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ร้อยละ 77.9 (ผลการศึกษา Phase 3 จากประเทศบราซิล) รวมทั้ง ประสิทธิผลของการใช้วัคซีนซิโนแวค ในประเทศชิลี พบว่า ป้องกันโรคได้ ร้อยละ 67 ป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาล ร้อยละ 85 ป้องกันการรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก ร้อยละ 89 และป้องกันการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 80 (ข้อมูลจาก Evidence Assessment ของวัคซีนซิโนแวค องค์การอนามัยโลก) นอกจากนี้ จากการศึกษาภูมิต้านทานที่เกิดจากการฉีดวัคซีนของซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้วเป็นเวลา 1 เดือน ในประเทศไทย ของ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ พบว่า เกิดภูมิต้านทาน ร้อยละ 99.4 ในขณะที่ 4-8 สัปดาห์ หลังติดเชื้อโดยธรรมชาติ ตรวจพบภูมิต้านทานได้ ร้อยละ 92.4 พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนประชาชนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดได้โดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมความพร้อมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด - 19 นอกรพ. เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งประเทศ
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมความพร้อมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด - 19 นอกรพ. เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมความพร้อมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด - 19 นอกรพ. เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งประเทศ วันนี้ (12 พ.ค.64) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด - 19 กรุงเทพมหานคร - สภาหอการค้าไทย - โรงพยาบาลรามาธิบดี - เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ณ บริเวณ ชั้น 3 sky Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพฯ จุดแรกอย่างเป็นทางการ จำนวน 1,000 คน/วัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. กลุ่มเป้าหมายแรกเป็นบุคลากรด่านหน้าที่ต้องปฏิบัติงานในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมากซึ่งได้รับการลงทะเบียนกับสำนักอนามัย กทม. แล้ว โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย ภายหลังรับฟังรายงานสรุปการให้บริการของหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด 19 กรุงเทพมหานคร - สภาหอการค้าไทย - โรงพยาบาลรามาธิบดี - เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยฯ และทักทายสอบถามประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีนฯ ด้วยความห่วงใย นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่เสียสละทุ่มเทดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ทุกคนต้องร่วมกันทำลายกำแพงความหวาดวิตกและกลัวการฉีดวัคซีนให้ได้ โดยให้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้จากภาครัฐ ขออย่าหลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ขอให้เชื่อมั่นวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้ามามีการตรวจสอบได้มาตรฐานสากล พร้อมเชิญชวนประชาชนทุกคนมารับบริการฉีดวัคซีนให้มากขึ้นเพื่อจะได้แข็งแรงและสร้างภูมิคุ้มกันทั้งประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกรุงเทพมหานคร - สภาหอการค้าไทย - โรงพยาบาลรามาธิบดี - เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ที่ร่วมมือกันในการอำนวยสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะขยายการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวไปในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการจัดหาฉีดวัคซีนและการฉีดวัคซีนเป็น"วาระแห่งชาติ" ของประเทศไทยต้องเดินหน้าตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และตามปริมาณวัคซีนที่กำลังจะทยอยเข้ามาเพิ่มเติมอีก ซึ่งรัฐบาลจะเร่งฉีดให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มทั้งประเทศ รวมถึงชาวต่างประเทศและแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย และจะดูแลรวมไปถึงภาคธุรกิจกิจการประกอบการร้านค้าและอาหารต่าง ๆ และแรงงานด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายประเทศไทยจะดีขึ้นกว่าเดิม เพราะรัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ทุกมิติทั้งเรื่องการขับเคลื่อนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ การลงทุนต่าง ๆ เพื่อหารายได้ให้ประเทศ และการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานของประเทศ เป็นต้น ยืนยันนายกรัฐมนตรีจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด สำหรับสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25 แห่ง ได้แก่ SCG บางซื่อ เซ็นทรัล ลาดพร้าว สามย่านมิตรทาวน์ ธัญญาพาร์ค True Digital Park Asiatique เดอะมอลล์ บางกะปิ โรบินสัน ลาดกระบัง ห้างโลตัส สาขามีนบุรี เช็นทรัล ปิ่นเกล้า ICONSIAM PTT station พระราม 2 เดอะมอลล์ บางแค BIG C บางบอน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ SCB สำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ CTW Siam Paragon ห้างโลตัส พระราม 4 Emporium Big C ร่มเกล้า และห้างโลตัส ปิ่นเกล้า ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41676
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม มก.กพส. และ กสก. ส่งมอบเครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียนให้เกษตรกร
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ธ.ก.ส. ร่วม มก.กพส. และ กสก. ส่งมอบเครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียนให้เกษตรกร ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส. ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์กำแพงแสน และกรมส่งเสริมการเกษตร นำผลงานการพัฒนาด้านนวัตกรรมเครื่องมือการตรวจสอบคุณภาพทุเรียน ช่วยแก้ปัญหาการจำหน่ายทุเรียนอ่อนในตลาดที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้บริโภค ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน และกรมส่งเสริมการเกษตร นำผลงานการพัฒนาด้านนวัตกรรมเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพทุเรียน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการจำหน่ายทุเรียนอ่อนในตลาดที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้บริโภค และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าเกษตรไทย เตรียมพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกรแล้ววันนี้ วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) และ รศ.ดร.รณฤทธิ์ ฤทธิรณ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมการอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน (มก.กพส.) ร่วมมอบเครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียนให้กับคุณศิริพรรณ เจริญแพทย์ ตัวแทนเกษตรกร Smart Farmer จากจังหวัดจันทบุรี เพื่อนำไปใช้ในการวัดน้ำหนักแห้งและทำให้ทราบถึงความอ่อน-แก่ของทุเรียน ซึ่งช่วยลดการตัดทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด ณ ห้องโถง ชั้น 2 ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร ​นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการยกระดับภาคเกษตรไทยโดยอาศัยนวัตกรรม ซึ่งมีนายจรูญเดช เจนจรัสสกุล กรรมการ ธ.ก.ส. และประธานคณะอนุกรรมการนวัตกรรมวิจัยและพัฒนาของธนาคาร ได้ให้แนวนโยบาย พร้อมทั้งคณะอนุกรรมการฯ ร่วมกันผลักดัน เพื่อขับเคลื่อนภารกิจอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุนข้อมูล และวิธีการดำเนินงานด้านนวัตกรรมกับภาคีเครือข่าย อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (Agritech) อันจะช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและวางแผนการผลิตได้ตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตร ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาการจำหน่ายทุเรียนอ่อนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้บริโภค และภาพลักษณ์ของสินค้าเกษตรของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกเป็นอย่างมาก จากปัญหาดังกล่าว ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. จึงได้ดำเนินการภายใต้โครงการแผนงานขับเคลื่อนนวัตกรรมเครือข่ายสู่ชุมชน โดยนำผลงานนวัตกรรมเครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียนจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มาถ่ายทอดเพื่อพัฒนาต่อยอดให้กับเกษตรกรในชุมชนและคนในชนบท โดยขับเคลื่อนผ่านเกษตรกรต้นแบบในชุมชน หรือ Smart Farmer ของ ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และร่วมมือกับกรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อนำเครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียน ไปทดลองใช้กับเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อลดปัญหาการตัดทุเรียนอ่อนของเกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผลผลิตทุเรียนกำลังออกสู่ตลาดในขณะนี้ ทั้งนี้ การวิเคราะห์ค่าความอ่อน-แก่ของทุเรียน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิธีการหาน้ำหนักแห้งแบบมาตรฐาน คือ การอบแห้งโดยตู้อบลมร้อน ซึ่งต้องทำในห้องปฏิบัติการ ใช้เวลาในการทดสอบไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง และเป็นการทดสอบแบบทำลายตัวอย่าง แต่การใช้เครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียนที่ถ่ายทอดสู่เกษตรกรในครั้งนี้ จะเป็นการวัดค่าน้ำหนักแห้ง โดยไม่ทำลายตัวอย่างและรู้ผลภายใน 5 วินาที ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเกษตรกรชาวสวนทุเรียน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานเกษตรอำเภอ ที่สามารถใช้เครื่องนี้ในการสุ่มวัดน้ำหนักแห้งเพื่อควบคุมการตัดทุเรียนอ่อนไม่ให้ออกสู่ตลาด แทนการใช้วิธีการเดิมในห้องปฏิบัติการได้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ได้วางแนวทางร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมส่งเสริมการเกษตร ในการติดตามและรวบรวมผลการใช้เครื่องวิเคราะห์คุณภาพทุเรียน เพื่อนำไปพัฒนาประสิทธิภาพให้ตรงตามความต้องการของเกษตรกร รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการตรวจสอบ ควบคุมผลผลิตได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และสร้างความยั่งยืนในการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรต่อไป นายธนารัตน์กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41673
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ นำผู้บริหาร วธ. บันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 รมว.วธ นำผู้บริหาร วธ. บันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ บันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และนายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมบันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ ห้องส่ง ๕ สถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ MCOT HD
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เชิญชวนผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดออกแบบมาสคอต (MASCOT CONTEST) มาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เชิญชวนผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดออกแบบมาสคอต (MASCOT CONTEST) มาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark ... นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การพัฒนาระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark หรือมาตรฐาน Q Mark สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มขีดความสามารถระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและยกระดับภาพลักษณ์มาตรฐาน Q Mark ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดกิจกรรมการประกวดออกแบบมาสคอต (MASCOT CONTEST) มาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark ภายใต้โครงการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์สำหรับการยกระดับภาพลักษณ์ระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Q Mark) เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าทางถนน ชิงเงินรางวัลรวม 20,000 บาท เปิดโอกาสให้ผู้สนใจ ทั้งนิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไปไม่จำกัดอายุ สามารถร่วมส่งผลงานการออกแบบเข้าร่วมกิจกรรมได้ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ สามารถออกแบบมาสคอตเป็นรูปทรงต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงมาตรฐาน Q Mark ได้อย่างสร้างสรรค์ การออกแบบ 1 ชิ้น จะต้องมีผลงานให้เห็น 4 ด้าน คือ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวา ส่งเป็นไฟล์นามสกุล .jpg หรือ .pdf และสามารถส่งผลงานได้ไม่จำกัดจำนวน ผู้สนใจส่งผลงานได้ที่ www.smartsurvey.co.uk/s/WLXIYE/ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มพัฒนาและส่งเสริมการขนส่งสินค้า สำนักการขนส่งสินค้า ขบ. โทร. 061-426-4535 หรือ e-mail: [email protected] รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐาน Q Mark เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมการขนส่งสินค้าให้มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และทำให้ระบบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกของประเทศไทยมีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย ขบ. ได้พัฒนาและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมาตรฐาน Q Mark มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ตั้งแต่ขั้นตอนการให้คำปรึกษา แนะนำข้อมูล การตรวจประเมินและการให้การรับรอง ซึ่งมาตรฐาน Q Mark มีข้อกำหนดครอบคลุมการดำเนินการของผู้ประกอบการใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านองค์กร ด้านปฏิบัติการขนส่ง ด้านพนักงาน ด้านยานพาหนะ ด้านลูกค้าและภายนอก โดยผู้ประกอบการต้องแสดงถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการองค์กร การบริหารจัดการระบบการขนส่งอย่างมีแบบแผน ทั้งการวางแผนการเดินทาง จุดพักรถ จุดจอดรถ มีระบบบริหารจัดการบุคลากร การขนส่งสินค้าที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองจะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน เช่น การได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยร้อยละ 10 การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรระดับมาตรฐานฝีมือแรงงาน การได้รับสนับสนุนผลิตภัณฑ์และยางรถบรรทุกจาก Bridgestone Firestone เป็นต้น ผู้ประกอบการขนส่งที่สนใจขอรับการรับรองมาตรฐาน Q Mark ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลการขนส่งด้วยรถบรรทุก www.thaitruckcenter.com/tdsc
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยชลบุรี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิดเชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ มอบหน้ากากอนามัยและสิ่งของสู้ภัยโควิด-19
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ ลุยชลบุรี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิดเชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ มอบหน้ากากอนามัยและสิ่งของสู้ภัยโควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของแก่ลูกจ้างที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะชิตี้ พร้อมมอบหน้ากากอนามัย ชุด PPE และสิ่งของให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลหนองรี จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของและให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การจัดงานในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณในความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน ในการอนุเคราะห์ด้านสถานที่ในการตรวจคัดกรองฯ และการประชาสัมพันธ์แก่สถานประกอบการในนิคมฯ การดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้างภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร โรงพยาบาลวิภาราม แหลมฉบัง โรงพยาบาลเอกชน 2 และโรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงความร่วมมือจากสถานพยาบาล ต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24-48 ชั่วโมง สำหรับจังหวัดชลบุรี มีแผนดำเนินการตั้งแต่วันที่ 11-28 พ.ค. 64 จะดำเนินการเข้าสถานประกอบการ จำนวน 90 แห่ง ตรวจคัดกรองผู้ประกันตน จำนวน 9,790 คน ได้แก่ เขตอำเภอเมืองชลบุรี สถานประกอบการ จำนวน 41 แห่ง ผู้ประกันตน จำนวน 3,736 คน เขตศรีราชา สถานประกอบการ จำนวน 19 แห่ง ผู้ประกันตน จำนวน 4,336 คน เขตบางละมุง สถานประกอบการ จำนวน 30 แห่ง ผู้ประกันตน จำนวน 1,718 คน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ จากนั้น รมว.แรงงาน ยังได้มอบชุด PPE จำนวน 600 ชุด ให้กับสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี มอบชุด PPE จำนวน 400 ชุด และหน้ากากอนามัย จำนวน 20 กล่อง ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา มอบผลิตภัณฑ์อาหารอบแห้งให้กับผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จำนวน 50 กล่อง มอบหน้ากากอนามัยให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลหนองรี จำนวน 5,000 กล่อง รวม 250,000 ชิ้น และมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 3,450 กล่อง รวม 172,500 ชิ้น ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลสำนักบก เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.วัคซีนฯ เห็นชอบนโยบายปูพรมฉีดวัคซีนโควิด ทั้งรูปแบบนัดและเดินมารับ
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 คกก.วัคซีนฯ เห็นชอบนโยบายปูพรมฉีดวัคซีนโควิด ทั้งรูปแบบนัดและเดินมารับ คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเห็นชอบแนวทางจัดหาวัคซีนโควิด 19 ในปี 2565 รองรับนโยบายเพิ่มวัคซีนเป็น 150 ล้านโดส เร่งเจรจาผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ หาความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการวิจัยในประเทศ คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเห็นชอบแนวทางจัดหาวัคซีนโควิด 19 ในปี 2565 รองรับนโยบายเพิ่มวัคซีนเป็น 150 ล้านโดส เร่งเจรจาผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ หาความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการวิจัยในประเทศ พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนปูพรมทั้งรูปแบบนัดและเดินเข้ามารับวัคซีนทั่วประเทศ วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมทั้งในที่ประชุมและรูปแบบออนไลน์ นายอนุทิน กล่าวว่า คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้รับทราบนโยบายของรัฐบาลที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในการจัดหาและให้บริการวัคซีนโควิด 19 ให้เพียงพอกับคนไทยทุกคนและผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยใน 3 แนวทาง คือ 1.การเพิ่มจำนวนวัคซีนจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 100 ล้านโดส เป็น 150 ล้านโดส 2.การเร่งทำงานเชิงรุกเพื่อเจรจากับผู้ผลิตหลายรายมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้น และ 3.การปรับแนวทางการฉีดวัคซีน โดยเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนจำนวนมากที่สุด ช่วยลดโอกาสรับเชื้อ ลดความรุนแรงและการเสียชีวิต ดังนั้น จึงต้องลดอุปสรรคการเข้าถึงวัคซีน จึงให้มีการเข้าถึงทั้งรูปแบบการนัดผ่านหมอพร้อม ผ่านองค์กรต่างๆ ที่นำบุคลากรมาฉีดเป็นกลุ่ม และการเดินเข้ามารับวัคซีน ดำเนินการทั่วประเทศ โดยจังหวัดไหนพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันที "แต่ละจังหวัดจะต้องฉีดให้ได้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากร โดยการกระจายวัคซีนจะเน้นพื้นที่ระบาดก่อนเพื่อควบคุมโรค โดยจังหวัดจะกำหนดจุดฉีดวัคซีน และแบ่งสัดส่วนวัคซีนสำหรับระบบนัดและการเดินเข้ามารับวัคซีน ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่ทุกจุดฉีดวัคซีนต้องดำเนินการตามมาตรฐาน เฝ้าระวังอาการหลังฉีด ไม่ว่าเข้ามาในรูปแบบใด เมื่อรับวัคซีนแล้วจะมีการบันทึกข้อมูลในหมอพร้อมเพื่อติดตามอาการ นัดมารับวัคซีนเข็มที่สอง และออกใบรับรองการฉีดวัคซีน" นายอนุทินกล่าว นอกจากนี้ ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดหาวัคซีนโควิด 19 สำหรับประชากรไทยในปี 2565 โดยให้เร่งรัดเจรจากับผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ที่สามารถครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ ส่งมอบได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565 และเร่งรัดการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยแพลตฟอร์มใหม่ สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนแบบรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส แนวทางการขึ้นทะเบียนวัคซีนที่วิจัยพัฒนาในประเทศ และแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 3 โดยจะรายงาน ศบค.รับทราบต่อไป "การจัดหาวัคซีนไม่ได้เป็นการซื้อครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกรอบกว้างๆ เพื่อจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด ให้ประเทศไทยมีทางเลือกวัคซีนรุ่นใหม่ ยี่ห้อใหม่ ครอบคลุมสายพันธุ์เพิ่มเติมให้มากที่สุด หากประเทศผู้ผลิตต้นทางเกิดสถานการณ์การระบาดที่อาจมีการชะลอการจัดส่ง ทำให้ประเทศไทยมีทางออกในหลายทาง" นายอนุทินกล่าว ******************************* 12 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 12 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย 1) นายท่าอู่สาธุประดิษฐ์ คนที่ 1 เขตการเดินรถที่ 4 2) นายท่าอู่สาธุประดิษฐ์ คนที่ 2 เขตการเดินรถที่ 4 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 21 เขตการเดินรถที่ 5 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 510 เขตการเดินรถที่ 1 5) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 510 คนที่ 1 เขตการเดินรถที่ 1 6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 510 คนที่ 2 เขตการเดินรถที่ 1 7) พนักงานธุรการจ่ายงาน กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 2 เขตการเดินรถที่ 1
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41682
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41687
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายโดยให้พักชำระเงินต้น จนถึง 31 ธันวาคม 2564
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ออมสินออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายโดยให้พักชำระเงินต้น จนถึง 31 ธันวาคม 2564 ธ.ออมสินกำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น–ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ให้ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ทั้งที่กู้ในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ตามความสมัครใจ เช่นเดียวกับลูกค้ารายย่อย จากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารฯ จึงกำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น – ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ให้ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ทั้งที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการได้ตามความสมัครใจ เช่นเดียวกับลูกค้ารายย่อย ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนของผู้ที่ต้องขาดรายได้หรือรายได้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับผู้ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสมัครใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถพักชำระเงินต้นเป็นการชั่วคราว และชำระเฉพาะดอกเบี้ย ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วิธีการคือ 1. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้แจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการและเลือกแผนชำระหนี้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน MyMo 2. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ติดต่อแจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเสริมจากการแก้ไขปัญหานี้ค้างชำระ ที่ธนาคารฯ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามงวดชำระเดิม โดยที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 5 แสนราย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ธนาคารออมสิน โทร. 1115 facebook : GSB Society และขอย้ำว่าธนาคารฯ ให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอปพลิเคชัน MyMo เท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะภาคธุรกิจเริ่มประเมิน Carbon Footprint และใช้โมเดล BCG สร้างโอกาส รับสังคมคาร์บอนต่ำ
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กรุงไทยแนะภาคธุรกิจเริ่มประเมิน Carbon Footprint และใช้โมเดล BCG สร้างโอกาส รับสังคมคาร์บอนต่ำ ศูนย์วิจัย ธ.กรุงไทย ชี้ 2 โจทย์ใหญ่ของภาคธุรกิจในระยะถัดไป คือการพลิกฟื้นธุรกิจด้วย Growth engine ใหม่ๆ และการปรับตัวให้สอดรับกับบริบทสังคมคาร์บอนต่ำ แนะการประเมิน Carbon Footprint เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ พบปัจจุบันยังไม่แพร่หลาย ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ชี้ 2 โจทย์ใหญ่ของภาคธุรกิจในระยะถัดไป คือ การพลิกฟื้นธุรกิจด้วย Growth engine ใหม่ๆ และการปรับตัวให้สอดรับกับบริบทสังคมคาร์บอนต่ำ แนะการประเมิน Carbon Footprint เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ พบปัจจุบันยังไม่แพร่หลาย มีเพียง 1,884 ผลิตภัณฑ์ และ 151 บริษัทที่ขึ้นทะเบียน นอกจากนั้น ผู้ประกอบการควรชูโมเดล BCG Economy ที่เน้นการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ สอดรับรัฐสนับสนุน ปูทางกระตุ้น GDP ไทย 1 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่านอกจากการฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19 ยังมีอีก 2 โจทย์ท้าทายสำหรับธุรกิจไทย นั่นคือ การสร้าง Growth engine ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน และการปรับตัวให้สอดรับกับบริบทใหม่ๆ ของโลก โดยเฉพาะการเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal: SDG) และข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งจะมีนัยต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในอนาคต เช่น ธุรกิจส่งออกอาจเผชิญความท้าทายจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน ในปี 2566 ของยุโรป ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และอุตสาหกรรมพลังงานอาจได้รับผลกระทบจากการมุ่งใช้พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ จีน และยุโรป “ธุรกิจไทยต้องติดตามทิศทางการเปลี่ยนแปลง และบริบทใหม่ของโลกในเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงตื่นตัวมากขึ้นกับการเตรียมพร้อม อาทิ การขึ้นทะเบียนและได้รับฉลาก Carbon Footprint ทั้งในระดับผลิตภัณฑ์ และระดับองค์กร ผ่านองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อรับรู้สถานะ เป็นไปตามเกณฑ์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลก และต่อยอดสู่การดำเนินโครงการลดและซื้อขายคาร์บอนได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดย ณ ปี 2563 มีการขอรับรอง Carbon Footprint และยังอยู่ในอายุสัญญาเพียง 1,884 ผลิตภัณฑ์ และ 151 บริษัท ซึ่งกระจุกตัวในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่” ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่าภาคธุรกิจยังสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกหน่วยงานของรัฐ เช่น 2 โครงการ จาก อบก. คือ 1) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER) ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับคาร์บอนเครดิตและสามารถนำไปใช้ชดเชยระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ให้ลดลง สร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต และแสดงในรายงานความยั่งยืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และ 2) โครงการนำร่องระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (Thailand V-ETS) ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และเข้าใจระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นรูปแบบที่เริ่มนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น ยุโรป เกาหลีใต้ และจีนที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2564 นี้ นายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่าอีกคำตอบของโจทย์เหล่านี้ คือ การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโมเดล BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ภายใต้หัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาครัฐจะใช้ขับเคลื่อนประเทศ พร้อมตั้งเป้าเพิ่ม GDP ไทย 1 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยหลายอุตสาหกรรมสามารถนำโมเดลนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น ภาคเกษตรและอาหารอาจเปลี่ยนไปผลิตอาหารที่ทำมาจากพืชเป็นหลัก (Plant-based Food) และอาหารฟังก์ชั่น (Functional Food) ส่วนธุรกิจพลังงาน วัสดุ และเคมีภัณฑ์ สามารถยกระดับสู่พลังงานหมุนเวียน อาทิ ไฟฟ้าจากชีวมวล ตลอดจนก้าวสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น เม็ดพลาสติกหมุนเวียน และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากขยะพลาสติก ทั้งนี้ บทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ ผู้ประกอบการต้องมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา (R&D) พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับการสร้างพันธมิตรที่เกื้อหนุนกันใน Ecosystem
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนสาย ชบ.3027 เชื่อม ทล.3138 แล้วเสร็จ เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งจังหวัดชลบุรีและระยอง
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กรมทางหลวงชนบทสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนสาย ชบ.3027 เชื่อม ทล.3138 แล้วเสร็จ เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งจังหวัดชลบุรีและระยอง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 เชื่อมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 เชื่อมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า บริเวณจุดตัดของถนนทางหลวงชนบท สาย ชบ.3027 กับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ในท้องที่ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีลักษณะเป็นสามแยกโค้งรัศมีกลับ ที่ไม่มีการควบคุมด้วยระบบสัญญาณไฟจราจร ซึ่งถนนทางหลวงชนบท สาย ชบ.3027 เป็นเส้นทางสายรองในการขนส่งสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมในอำเภอศรีราชาและนิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง และเป็นเส้นทางลัดระหว่างท่าเรือแหลมฉบังไปยังอำเภอบ้านบึง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี และสระแก้ว จึงทำให้เส้นทางดังกล่าวมีปริมาณการจราจรที่คับคั่ง ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอุบัติเหตุ ลดความสูญเสีย เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชนในการสัญจร รองรับปริมาณการจราจร การขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทช. จึงได้สำรวจและออกแบบปรับปรุงจุดอันตรายและก่อสร้างสะพานข้ามแยกบนถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 เชื่อมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 โดยก่อสร้างเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปแบบเป็นทางต่างระดับ จำนวน 2 สะพานไขว้กันเป็น 2 ระดับ คร่อมถนนทางหลวงชนบท สาย ชบ.3027 และถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ประกอบด้วย สะพานข้ามแยกจากถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 ทิศทางเลี้ยวขวาจากแหลมฉบังไปยังถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 มุ่งหน้าอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ความยาวรวม 479 เมตร และสะพานข้ามแยกจากจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ทิศทางเลี้ยวขวาจากอำเภอบ้านบึงไปยังถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 มุ่งหน้าท่าเรือแหลมฉบัง ความยาวรวม 288 เมตร พร้อมก่อสร้างถนนเชิงลาดผิวจราจรแบบแอสฟัลต์คอนกรีต พร้อมทางกลับรถบนถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3027 และทางเชื่อมสาธารณะด้านซ้ายทางของถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3138 ปัจจุบันโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรแล้ว โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 277.999 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับมอบผักอินทรีย์และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 รับมอบผักอินทรีย์และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง รัฐมนตรีเกษตรฯ รับมอบผักอินทรีย์และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เพื่อส่งต่อไปยังบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 14 แห่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับมอบผักและผลไม้คุณภาพจากเกษตรกร ภายใต้กิจกรรม “แบ่งปันน้ำใจ มอบผักและผลไม้ไทยให้บุคลากรทางการแพทย์” โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับตัวแทนกลุ่มเกษตรกร เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้ปลูกผักปลอดภัย จังหวัดสระแก้ว และสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งประกอบด้วยผักอินทรีย์ 5 ตัน และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 1.5 ตัน โดยเกษตรกรรุ่นใหม่ผู้ปลูกผักปลอดภัย จังหวัดสระแก้ว และสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยได้ส่งมอบผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อส่งต่อไปยังบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 14 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โรงพยาบาลผู้สูงอายุ บางขุนเทียน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 1 สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา โรงพยาบาลสนามที่โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหาร โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันควบคุมโรคเขตเมือง “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงการผลิตสินค้าเกษตรทุกชนิดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งความปลอดภัยที่ต้องมาเป็นอันดับ 1 เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจและเกิดความเชื่อมั่นในการเลือกซื้อสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนหน่วยงาน บริษัท ห้าง/ร้านต่าง ๆ และประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรคุณภาพดี เพื่อส่งมอบเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และครอบครัวที่อยู่ห่างไกลแทนความรักความห่วงใยที่มีให้กัน อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนสินค้าจากเกษตรกรไทยอีกด้วย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ร่วมทำ MOU กับศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง - สำนักงานศาลยุติธรรม ใช้เทคโนโลยีออนไลน์เพิ่มประสิทธิภาพพิจารณาคดีทางแพ่งและอาญาฯ
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ร่วมทำ MOU กับศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง - สำนักงานศาลยุติธรรม ใช้เทคโนโลยีออนไลน์เพิ่มประสิทธิภาพพิจารณาคดีทางแพ่งและอาญาฯ กรมพินิจฯ เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ร่วมทำ MOU กับศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง - สำนักงานศาลยุติธรรม ใช้เทคโนโลยีออนไลน์เพิ่มประสิทธิภาพพิจารณาคดีทางแพ่งและอาญาของเยาวชน เล็งพัฒนาใช้ระบบให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ต้องการอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีเยาวชนและครอบครัวระหว่างหน่วยงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้เกิดความรวดเร็วและถูกต้องยิ่งขึ้น จึงมอบหมายให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมร่วมบูรณาการกับศาลเยาวชนและครอบครัวกลางและสำนักงานศาลยุติธรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) "การเชื่อมโยงข้อมูลคดีเยาวชนและครอบครัวโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์" โดยมี นางอโนชา ชีวิตโสภณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พร้อมด้วย นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ร่วมลงนามในครั้งนี้ โดยปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการประชาชน ซึ่งการลงนามทำข้อตกลงร่วมมือในครั้งนี้ จะสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาดำเนินการในการพิจารณาทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญาของเด็กและเยาวชนได้อย่างมีระบบและมีความครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น “ถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่ได้มีโอกาสประสานความร่วมมือกับทั้งสามหน่วยงานในการพัฒนากระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนในโอกาสต่อไป เพราะหลังจากทดลองใช้มาระยะหนึ่งนั้น เห็นชัดเจนว่าสามารถพัฒนางานด้านคดีของเด็กและเยาวชนได้อย่างดียิ่ง ทั้งเรื่องการลดการใช้ทรัพยากร การสร้างการรับรู้ เพราะการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น จึงเกิดความแม่นยำ รวดเร็ว ตรงต่อเวลาและมีประสิทธิภาพ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะนำไปสู่การขยายผลสามารถใช้งานระบบได้อย่างแพร่หลายครอบคลุมทั่วประเทศ ในเรื่องของการส่งรายงานต่อศาลเยาวชนและครอบครัวต่อไป” พันตำรวจโท วรรณพงษ์ กล่าว ด้าน นางอโนชา ชีวิตโสภณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวว่า การลงนามร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้เกิดความรวดเร็ว ง่าย ถูกต้อง เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แต่ละหน่วยงานสามารถนำข้อมูลคดีเยาวชนและครอบครัวไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม หรือ Court Integral Online Service (CIOS) ในการรับ - ส่งรายงานข้อเท็จจริงพร้อมความเห็นของผู้อำนวยการสถานพินิจฯ และเพื่อความปลอดภัยจะมีการกำหนดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการรับ - ส่งข้อมูลทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งจะมีการนำไปใช้กับศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วประเทศ และสถานพินิจฯ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ขณะที่ นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าการได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ ครบถ้วนและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะการบริหารงานข้อมูล และข้อเท็จจริงที่จะใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีเรื่องท้าทายหลายรูปแบบ ทั้งในเรื่องของการพัฒนาอำนาจของเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องของด้านสุขอนามัย ซึ่งก่อให้เกิดข้อจำกัดในการเดินทาง จึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ และในขณะเดียวกันสำนักงานศาลยุติธรรม จะพยายามเรียนรู้ข้อมูลทั้งด้านบวกและด้านลบของการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อที่จะพัฒนาต่อยอดให้กับสถานพินิจฯ ทั่วประเทศให้ได้สมกับนโยบายของประธานศาลฎีกาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เข้าร่วมปฐมนิเทศโครงการพัฒนานักบริหารระดับสูง : ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (หลักสูตร ป.ย.ป.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เข้าร่วมปฐมนิเทศโครงการพัฒนานักบริหารระดับสูง : ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (หลักสูตร ป.ย.ป.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ การปฐมนิเทศโครงการพัฒนานักบริหารระดับสูง : ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (หลักสูตร ป.ย.ป.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และนำเสนอแนวคิดการขับเคลื่อนแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการปฐมนิเทศโครงการพัฒนานักบริหารระดับสูง : ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง (หลักสูตร ป.ย.ป.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และนำเสนอแนวคิดการขับเคลื่อนแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (ผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. จับมือ TIC ไทยประกันภัย มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก กบข. เปิดตัวแบบประกันใหม่เป็นที่แรก พร้อมรับส่วนลดเพิ่มตลอดปี
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 กบข. จับมือ TIC ไทยประกันภัย มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก กบข. เปิดตัวแบบประกันใหม่เป็นที่แรก พร้อมรับส่วนลดเพิ่มตลอดปี กบข.ร่วมกับ TIC ไทยประกันภัย นำเสนอแบบประกันภัยพิเศษเฉพาะให้แก่สมาชิก กบข. เป็นที่แรก พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ผ่าน My GPF Application จัดเต็มด้วยโปรโมชันเงินคืน (Cash Back) สูงสุด 15%* พร้อมโปรโมชันพิเศษประจำไตรมาสตลอดปี กบข. ร่วมกับ TIC ไทยประกันภัย นำเสนอแบบประกันภัยพิเศษเฉพาะให้แก่สมาชิก กบข. เป็นที่แรก พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ผ่าน My GPF Application จัดเต็มด้วยโปรโมชันเงินคืน (Cash Back) สูงสุด 15%* พร้อมโปรโมชันพิเศษประจำไตรมาสตลอดปี และได้ลุ้นสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 27 รางวัลและรถยนต์ Toyota Corolla Cross Hybrid Premium Safety จำนวน 1 รางวัล ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจของ กบข. คือ การจัดสรรสวัสดิการเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของสมาชิก ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นทางเลือกในการเพิ่มหลักประกันให้กับสมาชิก กบข. เพื่อให้สมาชิกได้รับสิทธิประโยชน์ในอัตราพิเศษ พร้อมส่วนลดและโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ตลอดทั้งปี “กบข. ได้ร่วมกับ TIC ไทยประกันภัย นำร่องเปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ขับดีมีคืน ให้แก่สมาชิก กบข. เป็นที่แรก อีกทั้งยังจะได้รับสิทธิ์เงินคืนสูงสุด 15% พร้อมโปรโมชันประจำไตรมาสตลอดทั้งปี โดยสมาชิกสามารถกดรับสิทธิ์ผ่าน My GPF Application เมนูสิทธิพิเศษ หมวดหมู่ประกัน ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว” ดร.ศรีกัญญากล่าว ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในสายธุรกิจด้านประกันบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการจับมือกันระหว่าง TIC ไทยประกันภัย และ กบข. ในครั้งนี้ว่า TIC ไทยประกันภัย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ กบข. ในครั้งนี้ โดยได้คัดสรรแบบประกันภัย ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เฉพาะสำหรับสมาชิก กบข. ทั่วประเทศ- พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมาย ทั้งเงินคืนสูงสุด 15%* โปรโมชันพิเศษทุกไตรมาส เอาใจสมาชิก กบข. ยาว ๆ ตลอดทั้งปี “ถือเป็นครั้งแรกที่ TIC ไทยประกันภัย นำเสนอแบบประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ขับดีมีคืน ให้กับสมาชิก กบข. และเราเลือก My GPF Application เป็นแพลตฟอร์มแรกที่วางขาย ซึ่งประกันรถยนต์ชั้น 1 ขับดีมีคืน มีความพิเศษคือ ถ้าผู้ใช้รถขับขี่ปลอดภัย ไม่มีการเคลมเลยตลอดปีกรมธรรม์ ลูกค้าจะได้รับเงินคืน 20% ครับ และยังมีผลิตภัณฑ์อีก 2 แบบประกันที่ขายผ่าน My GPF Application คือ ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) ประกันภัยสู้ยุง Happy Fighter (เจอ จ่าย จบ) ไม่เพียงเท่านี้ TIC ไทยประกันภัย และ กบข. จะจัด Virtual Conference ให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการทำประกันภัย ความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย หรือ InsurTech รวมถึงการวางแผนการเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก กบข. โดยเฉพาะ” ดร.มหัทธนะกล่าวเพิ่มเติม สมาชิก กบข. กดรับสิทธิ์ซื้อประกันภัยได้ที่ My GPF Application สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ไทยประกันภัย โทร 02-613-0100 *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41670
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกโรงพยาบาลแห่งแรกของ กทม. รองรับกลุ่มบุคลากรด่านหน้าและอาชีพเสี่ยง ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เขตจตุจักร ตั้งเป้าฉีดวันละ 1,000 คน นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกโรงพยาบาลแห่งแรกของ กทม. รองรับกลุ่มบุคลากรด่านหน้าและอาชีพเสี่ยง ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เขตจตุจักร ตั้งเป้าฉีดวันละ 1,000 คน วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) ที่บริเวณชั้น 3sky Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เขตจตุจักร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อม การจัดสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะร่วมให้การต้อนรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าในวันนี้นายกรัฐมนตรีมาตรวจเยี่ยมความพร้อมในการให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ตามแผนการขยายหน่วยบริการ โดยสนับสนุนให้องค์กร หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการฉีดวัคซีน เช่น ในห้างสรรพสินค้า ในชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึง ซึ่งในวันนี้กรุงเทพมหานครร่วมกับสภาหอการค้าไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการครั้งแรก แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัคร และกลุ่มอาชีพเสี่ยง ใช้พื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ให้บริการฉีดวัคซีนได้ 1,000 คน /วัน เป็นไปตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้จัดหาวัคซีนและฉีดให้กับผู้อาศัยอยู่ในประเทศทุกคนอย่างรวดเร็วและครอบคลุม เน้นฉีดในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน และกลุ่มผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บุคลากรด่านหน้า รวมทั้งในพื้นที่ระบาด รวมถึงเตรียมความพร้อมเมื่อมีวัคซีนเข้ามาจำนวนมากในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ “ขอขอบคุณความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมกระจายวัคซีนสู่ประชาชนได้รวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น การบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลในวันนี้พบว่ามีความพร้อมให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่ มีความปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก” นายอนุทิน กล่าว สำหรับศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เป็นหน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลของเอกชนแห่งแรก ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และมีระบบที่เป็นไปตามมาตรฐาน อาทิ จุดลงทะเบียน จุดวัดน้ำหนักส่วนสูง จุดวัดความดัน จุดฉีดวัคซีน และจุดพักสังเกตอาการหลังการฉีด กลุ่มเป้าหมายแรกของการให้บริการจะเป็นกลุ่มบุคลากรด่านหน้าและกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมากซึ่งได้ลงทะเบียนแล้ว เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. และเตรียมเปิดหน่วยบริการในพื้นที่กทม. ให้ครบ 25 แห่ง ต่อเนื่อง 7 เดือน แต่ละแห่งจะมีศักยภาพให้บริการฉีดที่ 1,000-3,000 คน /วัน รวมสามารถให้บริการได้ 38,000-50,000คน/วัน *********************12 พฤษภาคม 2564 ***********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“เฉลิมชัย” สั่งเกษตรผนึกพาณิชย์-กต.นำทัพสินค้าไทยบุกตลาดจีน 9 แสนล้าน
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ​“เฉลิมชัย” สั่งเกษตรผนึกพาณิชย์-กต.นำทัพสินค้าไทยบุกตลาดจีน 9 แสนล้าน “เฉลิมชัย” สั่งเกษตรผนึกพาณิชย์-กต.นำทัพสินค้าไทยบุกตลาดจีน 9 แสนล้าน “อลงกรณ์”เผยทุเรียนไทยฮ็อตไม่หยุด! ใช้กลยุทธ์อีคอมเมิร์ซไลฟ์สดแพลตฟอร์ม Pagoda ขายหมดรวดเดียวในงานไหหลำเอ็กซ์โป นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) แถลงวันนี้ว่า หลังจาก “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดทุเรียนไทยในระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์ (Pre order) ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ทุเรียนและผลไม้ไทยได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้งหนึ่งในมณฑลไหหน่าน (ไหหลำ) ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนด้วยกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซขายในระบบไลฟ์สตรีมบนแพลตฟอร์มของปาโกด้า (Pagoda) ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน และกลยุทธ์นี้จะเป็นแนวทางสำคัญในการขยายตลาดจีนไปทุกภาคทุกมณฑลของจีนในยุคดิจิตอลภายใต้วิกฤติโควิด19 ให้มากที่สุด โดยมี “5ยุทธศาสตร์” ที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ วางไว้เป็นธงนำ และท่านรัฐมนตรีสั่งการให้ขยายผลแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยผนึกกำลังกับทีมไทยแลนด์ในการเพิ่มการส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตรอื่นๆ “สำหรับประเทศจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยในปี 2020 ไทยส่งออกสินค้าไปจีนรวม 29.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9.15 แสนล้านบาท) เป็นการส่งออกผลไม้กว่าแสนล้านบาท นับเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับไทย โดยเฉพาะในยุคโควิด และpost covid และเป็นประเทศที่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด จึงเป็นโอกาสของไทยและต้องทำเร็วก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งพร้อมกับสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยโดยใช้ทุเรียนเป็นหัวหอกรุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์” นายอลงกรณ์ กล่าว นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุด กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครกว่างโจว ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์และสถานกงสุลใหญ่ กระทรวงต่างประเทศได้เข้าร่วมงาน China International Consumer Products Expo 2021 (Hainan Expo) ระหว่างวันที่ 7 - 10 พฤษภาคม 2564 ภายใน Thailand Pavilion โดยได้นำผลไม้ไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าวน้ำหอม เงาะ มะม่วงน้ำดอกไม้ ลองกอง กล้วยไข่ ชมพูทับทิมจันทร์ มาประชาสัมพันธ์ และแจกให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลิ้มลองรสชาติ รวมทั้งจัดแสดงทุเรียน 9 สายพันธุ์ ได้แก่ ชะนี หมอนทอง นวลทองจันทร์ ก้านยาว พวงมณี นกกระจิบ กระดุม จันทบุรี 8 และ 10 ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานฯ เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ฝ่ายเกษตรฯ ได้รับการสนับสนุนจากกรมหม่อนไหมในการนำผ้าไหมไทยมาจัดแสดงในงานดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ นายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) รายงานว่า ได้เข้าร่วมกิจกรรม Live Streaming ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Pagoda แนะนำผลไม้ไทยที่มีโอกาสในตลาดจีน และได้รับเกียรติจากนางสาวเนตรนภา คงศรี กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว นางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ณ กรุงปักกิ่ง และนางสาวศุภรา เสกาจารย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ร่วม Live Streaming แนะนำ Thailand Pavilion ผ้าไหม สินค้าอุปโภคบริโภคของไทย และผลไม้ไทยยอดนิยม ได้แก่ ทุเรียน มังคุด มะพร้าวน้ำหอม ที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง รวมทั้งประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานของผลไม้ไทยที่ส่งออกมายังประเทศจีน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคชาวจีน ซึ่งการ Live Streaming ครั้งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากชาวจีน โดยผลไม้ไทยถูกขายออนไลน์จนหมดภายในช่วงเวลาของการ Live สำหรับ Hainan Expo เป็นงานที่กระทรวงพาณิชย์จีน และรัฐบาลมณฑลไห่หนาน ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อผลักดันมณฑลไห่หนานให้เป็นศูนย์กลางการจับจ่ายใช้สอยตามนโยบายท่าเรือการค้าเสรีไห่หนาน โดยจะเน้นการจัดแสดงสินค้าคุณภาพสูง high-end สินค้าแบรนด์ชั้นนำ สินค้าด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม อาหาร สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ งานดังกล่าวได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนให้เป็นงานระดับชาติ 1 ใน 4 งานของจีน โดยจัดที่ศูนย์ Hainan International Convention and Exhibition Center ที่นครไหโข่ว มีขนาดพื้นที่จัดงาน 80,000 ตรม. แบ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงของสินค้าต่างประเทศ 60,000 ตรม. จาก 69 ประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติเพิ่มวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติม ตามมาตรการเยียวยาของรัฐบาล โครงการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน เคาะวันเติมเงินแล้ว
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ครม. อนุมัติเพิ่มวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติม ตามมาตรการเยียวยาของรัฐบาล โครงการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน เคาะวันเติมเงินแล้ว ครม. อนุมัติเพิ่มวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติม ตามมาตรการเยียวยาของรัฐบาล โครงการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน เคาะวันเติมเงินแล้ว นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเพิ่มวงเงินสิทธิตามช่องทางที่เคยได้รับของแต่ประชาชนแต่ละกลุ่มโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้ โครงการการเราชนะ สำหรับผู้ที่ไม่เคยขอสละสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับเงินเพิ่มจำนวน 2,000 บาทต่อคน แบ่งเป็นสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จะได้รับเงินจำนวน 1,000 บาท รอบแรกวันที่ 21 พ.ค. 64 และรับเงินโอนจำนวน 1,000 บาท อีกครั้งในวันที่ 28 พ.ค. 64 และสำหรับประชาชนกลุ่มที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จะได้รับเงินจำนวน 1,000 บาท รอบแรกในวันที่ 20 พ.ค. 64 และอีก 1,000 บาท ในวันที่ 27 พ.ค. 64 ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเผยว่ามีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะแล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,028 ล้านบาท สำหรับโครงการ ม33 เรารักกัน จะได้รับเงินจำนวน 2,000 บาทต่อคนเช่นกัน โดยจะได้รับเงิน 1,000 บาท ครั้งแรกในวันที่ 24 พ.ค. 64 และอีก 1,000 บาทในวันที่ 31 พ.ค. 64 นี้ ส่วนโครงการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น โครงการคนละครึ่งระยะที่3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ กระทรวงการคลังจะเสนอเพื่อให้ครม.พิจารณาในระยะต่อไป ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายกฯ รับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายกฯ รับมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานฯ ย้ำรัฐบาลไม่เคยท้อ พร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มที่ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ให้นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าพบเพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อส่งมอบแก่บุคลากรทาง การแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 274,000 ราย วงเงินความคุ้มครอง 275,410 ล้านบาท เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรดังกล่าว โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความเสียสละ และเสี่ยงภัยตลอดเวลา ในส่วนของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็พยายามทำอย่างเต็มที่และให้ดีที่สุด ขอยืนยันนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่ท้อแท้ แม้ที่ผ่านมาจะมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนต่างๆ แต่เชื่อมั่นภายในระยะเวลาไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น ขณะนี้ได้สั่งการให้เร่งรัดฉีดวัคซีนให้มากขึ้นตามปริมาณวัคซีนที่กำลังจะเข้ามาเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนระมัดวังดูแลตัวเองให้ดีที่สุดและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด -19 ซึ่งคุ้มครองการเสียชีวิต ภาวะโคม่าเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และผลประโยชน์กรณีตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 โดยสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จะร่วมกันสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยเต็มจำนวนครอบคลุมบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 274,000 ราย เบี้ยประกันภัยรวมกว่า 38,000,000 บาท และวงเงินความคุ้มครองรวมกว่า 275,410 ล้านบาท โดยแต่ละรายจะได้รับ ความคุ้มครองจาก 3 กรมธรรม์ ดังนี้ 1. กรมธรรม์คุ้มครองการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 2 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ต่อราย 2. กรมธรรม์คุ้มครองภาวะโคม่าอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท ต่อราย 3. กรมธรรม์คุ้มครองผลประโยชน์กรณีพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 10,000 บาท ต่อราย 4. กรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จำนวนเงินความคุ้มครอง 10,000 บาท ต่อราย นอกจากนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทยยังจะบริจาคมอบเครื่องช่วยหายใจให้แก่โรงพยาบาลบุษราคัม (โรงพยาบาลสนาม) ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อ COVID-19 ให้สามารถดูแลรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที จำนวน 50 เครื่อง รวมมูลค่า10,500,000 บาท" ด้วย ____________ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินมาตรการสาธารณสุขในช่วงการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทรัตนสูตร เพื่อสกัดกั้นการระบาดโควิด-19
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินมาตรการสาธารณสุขในช่วงการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทรัตนสูตร เพื่อสกัดกั้นการระบาดโควิด-19 ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินมาตรการสาธารณสุขในช่วงการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทรัตนสูตร เพื่อสกัดกั้นการระบาดโควิด-19 วันนี้ (11 พ.ค. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยมหาเถรสมาคมได้มีมติครั้งที่ พิเศษ 4/2564 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 กำหนดให้วัดทุกวัดทั่วประเทศประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทรัตนสูตร ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. และหลังจากวันดังกล่าว ให้สวดบทรัตนสูตรหลังจากทำวัตรเย็นทุกวัน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกราบนมัสการ ประสานขอความร่วมมือไปยังเจ้าคณะจังหวัด เจ้าอาวาส และผู้ปกครองคณะสงฆ์ ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข ได้แก่ การรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อย ๆ และการตรวจวัดอุณหภูมิ ในช่วงการประกอบพิธีฯ ดังกล่าว เพื่อเป็นการสกัดกั้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเน้นย้ำมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถโดยสาร ผู้ใช้บริการจะต้องนั่งและยืนบนจุดที่กำหนด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเน้นย้ำมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถโดยสาร ผู้ใช้บริการจะต้องนั่งและยืนบนจุดที่กำหนด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ได้มีการกำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องนั่งและยืนบนจุดที่กำหนดอย่างเคร่งครัด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ได้มีการกำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องนั่งและยืนบนจุดที่กำหนดอย่างเคร่งครัด กรณีบนรถมีผู้ใช้บริการเต็ม จะต้องใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป เพื่อลดความแออัดภายในรถโดยสาร ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ทวีความรุนเเรงเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ ซึ่ง ขสมก. ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานประจำรถก่อนปฏิบัติหน้าที่ การฉีดพ่นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ภายในรถโดยสาร ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ ขสมก. ได้มีการกำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ซึ่งการกำหนดจุดนั่งและจุดยืนดังกล่าว สอดรับกับประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง “มาตรการปฏิบัติเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สำหรับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ รถยนต์สาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร พนักงานขับรถ ผู้บริการและผู้โดยสาร” โดยให้ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ จัดที่นั่งภายในรถโดยสารไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด เพื่อลดความแออัดภายในรถโดยสาร ดังนั้น ผู้ใช้บริการทุกท่าน จะต้องนั่งและยืนบนจุดที่กำหนดอย่างเคร่งครัด กรณีบนรถมีผู้ใช้บริการเต็ม พนักงานเก็บค่าโดยสารจะติดป้ายข้อความ “รถคันนี้ผู้ใช้บริการเต็ม โปรดใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสาร พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป ทั้งนี้ ขสมก. ได้กำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ ด้านพนักงานประจำรถ 1. ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้งก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร หากตรวจพบว่าพนักงานมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่และให้รีบไปพบแพทย์ทันท 2. กำชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร 3. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร กรณีผู้ใช้บริการบนรถเต็ม จะต้องใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป ด้านรถโดยสารประจำทาง 1. เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน 2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายใน รถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น 3. กำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร 4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สำหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือน ผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการ มีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์ 5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว 6. ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน ด้านผู้ใช้บริการ 1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร 2. ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น 3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระค่าโดยสาร 4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และลงทะเบียน 5. ผู้ใช้บริการจะต้องนั่งบนเบาะที่กำหนด (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และยืนบนจุดที่กำหนด หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 30 เซนติเมตร กรณีผู้ใช้บริการบนรถเต็มจะต้องใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป 6. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด 7. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิต ที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัส COVID-9 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการสอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th facebook : BMTA องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ รองรับการมาตรการท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ รองรับการมาตรการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ รองรับการมาตรการท่องเที่ยว วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผย การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหาและการกระจายวัคซีนแก่ประชาชน เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนที่จัดหาโดยรัฐบาลทุกชนิดมีการตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว โดยมีการฉีดวัคซีนกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน รวมถึงผู้นำในหลายประเทศด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายประเทศยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกชนิดสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ พร้อมป้องกันการเสียชีวิตจากการติดเชื้อได้เกือบร้อยละร้อย และอัตราการเกิดผลข้างเคียงมีน้อยมากหากเปรียบเทียบกับโอกาสในการติดเชื้อ และโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อสูงกว่าการเสียชีวิตจากผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน และในการฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง จะมีแพทย์ประเมินความเหมาะสมและเฝ้าดูอาการหลังการฉีดอีกด้วย นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วและยังไม่พบผู้ได้รับผลข้างเคียง จากการเปิดลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.6 ล้านคน ในกรุงเทพมหานครมากกว่า 5 แสนคน ตามด้วยจังหวัดลำปางมากกว่า 2 แสนคน ซึ่งมีการลงทะเบียนมากที่สุดในประเทศหากนับตามสัดส่วนประชากร โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการมีส่วนร่วมในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม และขอขอบคุณการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ทุกจังหวัดเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้พิจารณาโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 45,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่นตนเอง ที่จะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บรรเทาลง โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันเป็นกลไกสำคัญภายใต้การกำกับติดตามของรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในโครงการ “เราชนะ” คนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากกว่า 33.5 ล้านคน และเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม.33 โครงการ “เรารักกัน” อีก 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พร้อมขยายระยะเวลาดำเนินโครงการถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นการทำงานของรัฐบาลและทุกภาคส่วนที่ตัดสินใจร่วมกันจากข้อมูลที่พิสูจน์ได้ เพื่อแก้ไขอุปสรรคและปัญหาตามหลักสาธารณสุข บูรณาการร่วมกับ ศบค. ว่าจะสามารถผ่อนคลายส่วนใดได้บ้าง พร้อมยืนยันว่าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องเพื่อวางแผนช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาด ควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ เตรียมความพร้อมประเทศไทยไปสู่อนาคตเพื่อตอบรับโอกาสที่จะมาถึง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวเพื่อเตรียมความพร้อมในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับมาตรการและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามองค์กรระดับสากลในหลายประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศ ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ พาณิชย์จัดโมบายพาณิชย์ ลดราคา ! ช่วยประชาชน 730 คัน ลดสูงสุด 60% ช่วยประชาชนช่วงโควิด ตระเวนจอดขายของราคาถูก 500 ชุมชน ทั้งกรุงเทพและปริมณฑล
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 จุรินทร์ นำ พาณิชย์จัดโมบายพาณิชย์ ลดราคา ! ช่วยประชาชน 730 คัน ลดสูงสุด 60% ช่วยประชาชนช่วงโควิด ตระเวนจอดขายของราคาถูก 500 ชุมชน ทั้งกรุงเทพและปริมณฑล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน งาน Mobile พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot 10 ณ บริเวณป้ายกระทรวงพาณิชย์ (ร้ัวด้านหน้าริมถนน) นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเปิดตัวโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot ที่ 10 ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 9 Lot โดย Lot นี้ กระทรวงพาณิชย์จัดในรูปแบบรถ Mobile พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน ที่จะตระเวนไปจำหน่ายสินค้าราคาถูกทั่วกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด เพื่อที่จะให้สามารถนำสินค้าและให้บริการสินค้าต่างๆในราคาถูกไปจำหน่ายให้พี่น้องประชาชนถึงชุมชนต่างๆ ให้พี่น้องประชาชนที่จำเป็นต้องกักตัวอยู่ในชุมชนสามารถได้รับบริการที่ทั่วถึง โดยได้จัดรถ Mobile ทั้งหมด 730 คัน วิ่งกระจายไปทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนนึงจะไปจอดที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ทั่วกรุงเทพมหานคร จอดประมาณครึ่งวัน แล้วจะตระเวนไปตามจุดและชุมชนต่างๆ จะเข้าไปในชุมชนประมาณ 400-500 ชุมชน สินค้าราคาถูกประกอบด้วย 2 ส่วน 1.สินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภค 6 ชนิด และ 2.สินค้าอุปโภคบริโภค 6 หมวด สำหรับสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวัน 6 ชนิดประกอบด้วย 1.ข้าวสารถุงเป็นข้าวหอมมะลิ กิโลกรัมละ 30 บาท 2.ไข่ไก่ เบอร์สาม 3-4 แผงละ 30 ฟอง ราคา 83 บาท ตกฟองละ 2.77 บาท 3.น้ำมันพืชขนาด 1 ลิตร ขวดละ 43 บาท 4.น้ำตาลถุงละ 1 กิโลกรัม 20 บาท 5.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองละ 5 บาท และ 6.ปลากระป๋อง กระป๋องละ 12 บาท และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคอีก 6 หมวด หมวดที่หนึ่งอาหารสำเร็จรูปมี 11 รายการ ลดสูงสุด 33% หมวดที่สองซอสปรุงรส 16 รายการ ลดสูงสุด 28% หมวดที่สามของใช้ประจำวัน 16 รายการ ลดสูงสุด 50% หมวดที่สี่สินค้าสำหรับชำระร่างกาย 4 รายการ ลดสูงสุด 60% หมวดที่ห้าสินค้าสำหรับการซักล้าง 23 รายการ ลดสูงสุด 54% และหมวดที่หกยา 3 รายการ ลดสูงสุด 23% โดยภาพรวมสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค 6 หมวดนี้ ลดราคาเฉลี่ยสูงสุด 60% โดยจะเริ่มดำเนินการออกให้บริการพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 400-500 ชุมชนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา 30 วันถึงวันที่ 8 มิถุนายน คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าของชีพให้กับพี่น้องประชาชนได้ไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท ได้รับความร่วมมือจากตลาดทั้งหมด 7 ตลาด 1.ตลาดสี่มุมเมือง 2.ตลาดไท 3.ตลาดยิ่งเจริญ 4.ตลาดมีนบุรี 5. ตลาดเวิลด์มาร์เก็ต 6.ตลาดเสรีสายห้า และ 7.ตลาดบางใหญ่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ กสร.รับคำร้องวินิจฉัย กม.ใน 30 วัน กรณีกัปตันนกแอร์ถูกเลิกจ้างไม่ได้ค่าชดเชย
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ มอบ กสร.รับคำร้องวินิจฉัย กม.ใน 30 วัน กรณีกัปตันนกแอร์ถูกเลิกจ้างไม่ได้ค่าชดเชย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้พนักงานตรวจแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับคำร้องจากผู้ถูกเลิกจ้างและตรวจสอบวินิจฉัยตามมาตรการทางกฎหมาย ภายใต้หลักการระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำนักบินหรือกัปตันของสายการบินนกแอร์ประมาณ 20 คน เข้าพบ เพื่อร้องเรียนกรณีบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) มีคำสั่งเลิกจ้างกลุ่มพนักงานการบินเป็นจำนวนมากและไม่ได้ค่าชดเชยตามกฎหมาย โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาผู้บริหารสายการบินนกแอร์ ได้มีหนังสือเลิกจ้างมายังกลุ่มพนักงานที่เป็นนักบินหรือกัปตันเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าบริษัทประสบปัญหาด้านการเงินและขาดทุนสะสมต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้บริษัทต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทจะต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ทำให้ส่งผลกระทบต่อนักบินจำนวนมาก ขณะนี้นักบินหลักและนักบินผู้ช่วยกว่า 20 คน ได้รับหนังสือแจ้งการเลิกจ้างแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยบริษัทสายการบินนกแอร์อ้างว่าจะจ่ายเงินชดเชย และเงินอื่นๆ ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ เมื่อได้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมต่อพนักงาน เพราะตามหลักกฎหมายเมื่อมีหนังสือเลิกจ้างวันใดบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยและเงินอื่นๆ ตามกฎหมายทันที นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินการตรวจสอบและวินิจฉัยตามมาตรการทางกฎหมายผ่านพนักงานตรวจแรงงาน ภายใต้การใช้หลักการระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งผลของการวินิจฉัยจะใช้ระยะเวลา 30 วัน และให้ผู้ถูกเลิกจ้างเขียนคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ ยืนยันว่ากระทรวงแรงงาน จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อผลการวินิจฉัยออกมาแล้วจะแจ้งให้กับผู้ถูกเลิกจ้างทราบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะอนุฯ วัคซีนโควิด ปรับแผนใช้กลยุทธ์ฉีดปูพรมพื้นที่ระบาด กทม.-ปริมณฑล
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 คณะอนุฯ วัคซีนโควิด ปรับแผนใช้กลยุทธ์ฉีดปูพรมพื้นที่ระบาด กทม.-ปริมณฑล คณะอนุกรรมการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 มีมติปรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ใช้กลยุทธ์ฉีดวัคซีนปูพรมในพื้นที่ระบาด คือ กทม.และปริมณฑล เดินหน้าฉีดเชิงรุกนอกโรงพยาบาล เตรียมใช้พื้นที่สถานีรถไฟกลางบางซื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 และนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 ในการปรับแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ทุกคนในประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ ซึ่งประชากรทั้งคนไทยและต่างชาติในประเทศไทยมีประมาณ 70 ล้านคน การรับวัคซีนครอบคลุมให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คือ ร้อยละ 70 ของประชากร เท่ากับประมาณ 50 ล้านคน โดยใช้วัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2564 ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดในขณะนี้ ยังอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติเห็นชอบการปรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ด้วยกลยุทธ์ "ฉีดปูพรม" (Mass Vaccination) ในพื้นที่ระบาด นอกจากนี้ ยังเร่งรัด ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการฉีดเชิงรุกนอกโรงพยาบาล ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เสนอให้ใช้พื้นที่สถานีรถไฟกลางบางซื่อ เพื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน ซึ่งมีความกว้างขวางและรองรับคนได้จำนวนมาก รวมถึงการให้ประชาชนสามารถเดินมารับวัคซีนได้ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด19 กล่าวว่า กลยุทธ์การปูพรมฉีดวัคซีนใน กทม.และปริมณฑล จะมี ทั้งวัคซีนของซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากในเดือนพฤษภาคมจะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามาอีก 2.5 ล้านโดส และวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่คาดว่าจะส่งมอบช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้อีก 1.7 ล้านโดส โดยในส่วนของ กทม.ตั้งเป้าจะฉีดให้ได้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากร คือ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน โดยฉีดให้แก่ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ เร่งรัดการฉีดวัคซีนในพื้นที่ระบาดโดยเพิ่มจุดบริการนอกโรงพยาบาล เช่น สนามกีฬา มหาวิทยาลัย ศูนย์การประชุม หรือศูนย์การค้า เป้าหมายฉีดให้ได้ 1 แสนโดสต่อวัน *******************************11 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโรงพยาบาลบุษราคัม
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 อนุทิน ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโรงพยาบาลบุษราคัม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลบุษราคัม สำหรับรับผู้ป่วยสีเหลืองกทม.และปริมณฑล เฟสแรก เตรียมเปิด 14 พ.ค.นี้ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ก่อนเปิดให้บริการในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 โดยนายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัมที่ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานีตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้ติดเชื้อทุกคนได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยสีเหลืองให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดอาการรุนแรง ลดการเสียชีวิตได้ และเป็นการช่วยให้โรงพยาบาลในเขต กทม. มีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักกลุ่มสีแดงได้อย่างเต็มที่ เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 และจะเปิดให้บริการในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 เบื้องต้นรับผู้ป่วยได้ประมาณ 1,200 คน สามารถเพิ่มเตียงได้ 3,000 – 5,000 เตียง รองรับผู้ป่วยสีเหลืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยถึงปานกลาง ทั้งจากในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสายด่วนต่างๆ จากกทม.และปริมณฑล ให้การดูแลผู้ป่วยครบวงจร ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยระดมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ จาก 60 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดน้อยมาหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ รวม 780 คน แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสละ 260 คน และใช้ทรัพยากร ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์จากเขตสุขภาพที่ 4 การจัดพื้นที่ในเฟสแรกสำหรับผู้ติดเชื้อในอาคารชาเลนเจอร์3 แบ่งเป็น 4 โซน ดังนี้ โซน A จำนวน 270 เตียง, B จำนวน 242 เตียง, C จำนวน 290 เตียง และ D จำนวน 290 เตียง ขยายได้ถึง 1,200 เตียง พร้อมติดตั้งท่อช่วยหายใจบริเวณหัวเตียงรองรับผู้ติดเชื้อสีเหลืองที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเรียบร้อยแล้ว และเช้าวันนี้ พลเอกนเรนทร สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ได้นำกำลังพลพร้อมจิตอาสา485 คน ร่วมกันประกอบเตียงกระดาษและเครื่องนอนที่ได้รับบริจาค จำนวน 1,200 เตียงกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสมาคมวิศวกรรมปรับอากาศ ติดตั้งตู้ไอซียูความดันลบ จำนวน 100 ตู้ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนติดตั้งห้องอาบน้ำพร้อมอุปกรณ์ ที่ได้รับบริจาคจำนวน 364 ห้อง มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีในอากาศในห้องและบนพื้นผิวสำหรับห้องน้ำ นอกจากนี้ มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ภายนอก การบำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะติดเชื้อ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ช่วยดูแลจัดการการเข้า-ออกพื้นที่ และระบบดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง *******************************11 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ ที่ปรึกษาฯ พบปะเยาวชนจากสุโขทัยร่วมจ้างงานเด็กจบใหม่มีงานทำที่เพชรบุรี เคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ มอบ ที่ปรึกษาฯ พบปะเยาวชนจากสุโขทัยร่วมจ้างงานเด็กจบใหม่มีงานทำที่เพชรบุรี เคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ต้อนรับเยาวชนจาก จ.สุโขทัย เพื่อเคลื่อนย้ายแรงงาน ตามโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและภาคเอกชน นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ต้อนรับเยาวชนจาก จ.สุโขทัย เพื่อเคลื่อนย้ายแรงงาน ตามโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือการจ้างงานให้ผู้จบการศึกษาใหม่ ได้มีงานทำ และช่วยเหลือสถานประกอบการการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลให้สนับสนุนอุดหนุนเงินเดือนค่าจ้างจำนวนร้อยละ 50 ของเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท ต่อเดือนต่อคน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 พฤศจิกายน 2564 ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต้อนรับนักศึกษาจบใหม่ จากสำนักงานจัดหางานจังหวัดสุโขทัย “ สู่ ” สำนักงานจัดหางานจังหวัดเพชรบุรี อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ไปทำงานที่บริษัท แคล คอมพ์ อิเล็กทรกนิกส์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ให้กลับมามีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ ภายใต้การกำกับดูแลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการจ้างงานโดยเฉพาะเยาวชนส่วนใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ที่ยังไม่มีงานทำ ได้บูรณาการดำเนินการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการตกงาน ว่างงาน ของประชาชนในพื้นที่และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานของจังหวัดเพชรบุรีทำให้ลดการว่างงานของจังหวัดสุโขทัยอีกทางหนึ่ง นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแจ้งว่าทุกท่านเป็นห่วงน้องๆ เกรงว่าจะทำงานได้ไม่นานเพราะต่างพื้นที่ จากครอบครัวมา ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีช่วยกันสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่ สร้างความยั่งยืนให้สามารถปรับตัวอยู่ทำงานในจังหวัดเพชรบุรีเป็นการแก้ปัญหาการว่างงานในพื้นที่ดังกล่าว เพราะรัฐให้ความสำคัญกับน้องๆ ทุกคน เมื่อถึงมือหน่วยงานคนเพชรบุรี ครอบครัวของน้องๆ เหล่านี้ ก็จะได้ทราบว่าภาครัฐให้ความสำคัญกับประชาชนคนไทยทุกคน การบูรณาการดำเนินการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการตกงาน ว่างงาน ของประชาชนในพื้นที่และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานของประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศช. และ สบน. แจงข้อวิจารณ์การเบิกจ่ายงบประมาณ และแผนการใช้งบประมาณ มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 สศช. และ สบน. แจงข้อวิจารณ์การเบิกจ่ายงบประมาณ และแผนการใช้งบประมาณ มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รองเลขาธิการ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ยืนยันการกลั่นกรองโครงการฯ เป็นไปอย่างรอบคอบ และตรวจสอบได้ ด้าน สบน. ระบุการวางแผนและดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 อย่างถี่ถ้วนตามกรอบกฎหมาย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2564 นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกฯ เปิดเผยว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดังนี้ 1. เหตุใดในแผนงานและโครงการทางการแพทย์และสาธารณสุขวงเงิน 45,000 ล้านบาท อนุมัติ 30,000 ล้านบาท แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7,692 ล้านบาท ทั้งที่ปัจจุบันยังมีปัญหาห้องรักษาพยาบาล เตียงและอุปกรณ์ทางสาธารณสุขไม่เพียงพอ ตอบ : ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข (แผนงานที่ 1) ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ รวม 42 โครงการ วงเงินรวม 25,825.8796 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน 10 โครงการ รวม 7,102.6471 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 27.50) สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายค่อนข้างต่ำ เป็นผลจากหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข อาทิ เครื่องฉายรังสี ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค ก่อสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางแพทย์ อาทิ ห้องความดันลบ (Negative pressure) cohort ward ห้องทันตกรรม 2. เหตุใดโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 3.55 แสนล้าน อนุมัติ 1.387 แสนล้าน แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7.06 หมื่นล้านบาท ตอบ : มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (แผนงานที่ 3) ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ แล้วจำนวน 232 โครงการ วงเงินรวม 138,181.4047 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 110 โครงการ วงเงินรวม 69,117.4811ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 49.15) สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายต่ำนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุและครุภัณฑ์ และความจำเป็นที่ต้องชะลอกิจกรรมที่ต้องลงพื้นที่ และฝึกอบรม อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 141 โครงการ (จาก 209 โครงการ) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ โดยเร็ว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากหน่วยงานไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม/โครงการที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่มีแผนการใช้จ่ายในส่วนงบดำเนินงานที่ชัดเจนภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 เห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการและรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามขั้นตอนของข้อ 19 และข้อ 20 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป ขณะนี้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจังหวัดที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้ขอยกเลิกโครงการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 แล้ว รวม 5 จังหวัด 11 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 64.4819 ล้านบาท และขณะนี้กรมการจัดหางานซึ่งรับผิดชอบโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน กรอบวงเงิน 19,462.0017 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเสนอขอปรับลดเป้าหมายจำนวนการจ้างงานและปรับลดวงเงินของโครงการฯ 3. กล่าวหาว่ามีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อการสร้างฐานเสียงของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตอบ : ในขั้นการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการฯ ดำเนินการโดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา โดยได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ เพิ่มเติมจากผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกู้ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างรอบคอบ ทั้งนี้ จากการพิจารณารายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ จำนวน 283 โครงการ พบว่า มีพื้นที่ดำเนินโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ 4. การระบาดใน 2 ระลอกที่ผ่านมา รัฐบาลมีแผนใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แต่ในระลอก 3 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม กลับมีแผนจะใช้งบประมาณเพียง 2.355 แสนล้านบาท เหตุใดจึงตั้งงบประมาณปีหน้าไว้แบบถดถอยคือลดงบประมาณรายจ่ายลงจากปีก่อน ตอบ : เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย มาตรการ 2 ระยะที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2564 โดยมาตรการระยะที่ 1 ที่จะเริ่มต้นดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ประกอบด้วย มาตรการการเงิน อาทิ มาตรการ สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 มาตรการเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปาของประชาชน และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564 และมาตรการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรวมประมาณ 43 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท และมาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการในระยะที่ 2 ได้ โดยมาตรการระยะที่ 2 จะเป็นการดำเนินโครงการเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า 51 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการได้มากขึ้น กรอบวงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการที่เสนอขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอแล้ว จำนวน 283 โครงการ รวมกรอบวงเงินกู้ 762,902.4958 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้ 237,097.5042 ล้านบาท ซึ่งยังพอเพียงสำหรับการดำเนินการตามมาตรการที่เสนอไปแล้ว 5. หากต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จะหาแหล่งเงินกู้จากที่ใด ตอบ : สศช. ได้ร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รองรับสำหรับในกรณีที่รัฐบาลได้อนุมัติแผนงาน/โครงการใช้จ่ายตามพระราชกำหนดฯ เต็มจำนวนกรอบวงเงินกู้ที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดฯ คือ จำนวน 1 ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ หากได้ข้อยุติแล้วจะเร่งดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะรัฐมนตรีต่อไป ด้านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โดยนางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะโฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่าได้วางแผนและดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 อย่างรอบคอบ โดยใช้กลยุทธ์การระดมทุนที่เป็นการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้ได้วงเงินกู้ที่ครบถ้วนภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแย่งสภาพคล่องจากภาคเอกชน และส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ โดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่ผสมผสานทั้งระยะสั้นและระยะยาว อาทิ ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) สัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) พันธบัตรรัฐบาล (Loan Bond) และพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bond) อีกทั้ง ได้คำนึงถึงแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะปานกลางและระยะยาวโดยใช้พันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ความต้องการของนักลงทุน และสภาวะตลาดการเงินในประเทศ อย่างไรก็ดี หากในอนาคตรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะวางแผนการกู้เงินอย่างรอบคอบ ครบถ้วน และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 นายกฯ และ ครม. บริจาคเงินเป็นทุนประเดิมกว่า 2 ล้านบาท
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายกฯ เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 นายกฯ และ ครม. บริจาคเงินเป็นทุนประเดิมกว่า 2 ล้านบาท นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยนายกฯ และ ครม. ร่วมบริจาคเงินเป็นทุนประเดิมกว่า 2 ล้านบาท วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564 ) เวลา 08.45 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 24 ราย จากเงินบริจาค บัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยนพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนรับมอบ ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันให้การดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ดีที่สุด เพราะไม่ต้องการให้ใครต้องติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งสิ้น พร้อมขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ รัฐบาลและ ศบค. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ อย่างเต็มที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอความร่วมมือประชาชนดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สำหรับการมอบเงินช่วยเหลือดังกล่าวสืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ปฏิบัติงาน ด้าน COVID-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน ได้แก่ การช่วยเหลือกรณีป่วยหรือบาดเจ็บ และได้รับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน การช่วยเหลือกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส และการช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตของทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุน การปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ผ่านบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ร่วมบริจาคเงินเป็นทุนประเดิม จำนวน 2,995,510 บาท รวมทั้งมีหน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนผู้มีจิตสาธารณะร่วมบริจาคเงินสมทบในบัญชีดังกล่าว โดยมียอดเงินบริจาค ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 จำนวน 28,327,896.82 บาท ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคฯ ได้อนุมัติการให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 แล้ว รวมทั้งสิ้น 102 ราย เป็นเงินจำนวน 3,800,000 บาท สำหรับการระบาดระลอกปัจจุบัน ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม จำนวน 24 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 730,000 บาท ประกอบด้วย 1. บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 21 ราย มอบเงินช่วยเหลือ รายละ 30,000 บาท จำนวนเงินทั้งสิ้น 630,000 บาท 2. เจ้าหน้าที่สนับสนุนทั้งด้านสาธารณสุข สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3 ราย เป็นเงิน 100,000 บาท ประกอบด้วย 1) กรณีบาดเจ็บ (ผู้ป่วยใน) จำนวน 2 ราย มอบเงินช่วยเหลือรายละ 30,000 บาท และ 2) กรณีบาดเจ็บสาหัส 1 ราย มอบเงินช่วยเหลือรายละ 40,000 บาท ทั้งนี้ ยังมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ฯ อีกจำนวนหนึ่งที่เพื่อประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ___________ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41626
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบจัดสรรงบ 350 ลบ. ให้ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” เป็นทุนประเดิมขับเคลื่อนงานคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ครม.เห็นชอบจัดสรรงบ 350 ลบ. ให้ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” เป็นทุนประเดิมขับเคลื่อนงานคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ครม.เห็นชอบจัดสรรงบ 350 ลบ. ให้ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” เป็นทุนประเดิมขับเคลื่อนงานคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบเงินอุดหนุน จำนวน 350 ล้านบาท ให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้น ตามที่พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 กำหนด ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภค เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีอำนาจหน้าที่ อาทิ 1)คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค 2)ติดตามและตรวจสอบปัญหาที่กระทบสิทธิผู้บริโภค 3)ส่งเสริมองค์กรของผู้บริโภคในระดับพื้นที่และจังหวัด 4)ดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค 5)ช่วยเหลือสมาชิกในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งก่อนและในระหว่างการดำเนินคดี 6)สนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิ 7)เสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคแก่ภาครัฐ สำหรับแผนปฏิบัติการสภาองค์กรของผู้บริโภค ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 - 2565 ประกอบด้วย 6 แผนสำคัญ ดังนี้ 1)แผนงานสนับสนุนและดำเนินการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค 2)แผนงานพัฒนานโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 3)แผนงานสนับสนุนหน่วยประจำจังหวัดและองค์กรของผู้บริโภค 4)แผนงานสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค 5)แผนงานจัดตั้งสำนักงานและพัฒนากำลังคนของสภาองค์กรของผู้บริโภค 6)แผนเงินสำรองกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2564 จะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 350 ล้านบาท ส่วนงบประมาณอีก 378 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 นั้น ให้สภาองค์กรของผู้บริโภคใช้จ่ายจากเงินทุนประเดิมที่มีเหลือและเงินรายได้ที่มาจากค่าลงทะเบียน ค่าบำรุง และค่าบริการที่เก็บจากสมาชิกหรือบุคคลภายนอก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณตามความจำเป็นต่อไป ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรปรับภาษีเพื่อสนับสนุน SMEs สู่ยุคดิจิทัลสู้โควิด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 กรมสรรพากรปรับภาษีเพื่อสนับสนุน SMEs สู่ยุคดิจิทัลสู้โควิด ครม.อนุมัติหลักการให้ผู้ประกอบการ SMEs หักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า สำหรับค่าซื้อหรือจ้างทำ หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่จ่ายให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำหรือผู้ให้บริการ ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการให้ผู้ประกอบการ SMEs หักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า สำหรับค่าซื้อหรือจ้างทำ หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่จ่ายให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำหรือผู้ให้บริการ ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมปรับเปลี่ยนธุรกิจก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมเพื่อก้าวทันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ยกเว้นภาษีเงินได้ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้ว ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินสามสิบล้านบาท สามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อ หรือจ้างทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) ให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) หรือ ผู้ให้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด 2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) นั้น ตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) หมายความว่า โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์ ที่ใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจด้านต่างๆ เช่น โปรแกรมที่ใช้ในองค์กร โปรแกรมสมองกลฝังตัว โปรแกรมด้านการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมและหรือเชื่อมโยงอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมและหรือเชื่อมโยงอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โปรแกรมที่ใช้ในงานสนับสนุนการผลิต รวมไปถึงโปรแกรมที่ให้บริการในรูปแบบโปรแกรมบริการ (Software as a Service : SaaS) ที่ผู้ใช้สามารถเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการใช้งาน โดยทั่วไปโปรแกรมบริการนี้จะถูกจัดเก็บอยู่บนเครื่องแม่ข่าย (Server) ของผู้ให้บริการที่ผู้ใช้บริการ สามารถเรียกใช้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเป็นโปรแกรมที่จะถูกดาวน์โหลดลงสู่ตัวเครื่องของผู้ใช้บริการโดยผู้ใช้บริการสามารถใช้งานได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งตามที่กำหนด เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็จะไม่สามารถเข้าใช้โปรแกรมดังกล่าวได้อีกต่อไป” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่แพร่กระจายรวดเร็วและรุนแรง เป็นตัวเร่งให้ทั่วโลกต้องปรับตัวเปลี่ยนพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตสู่ความปกติใหม่ หรือ New Normal มาตรการภาษีข้างต้น จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินกิจการและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน อันเป็นการขับเคลื่อน SMEs ให้สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจและเติบโตอยู่รอดได้ โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมในการเกื้อกูลกันระหว่าง SMEs ด้านดิจิทัลและ SMEs ในธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนรายได้ภายในประเทศ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำพาประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์คอนเฟอเรนซ์ (Online Conference) วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์คอนเฟอเรนซ์ (Online Conference) โดยมี นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ นายนคร วีระประวัติ อนุกรรมการ และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ยกระดับทุกมาตรการทางป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งระบบการเดินด้วยรถโดยสารสาธารณะครอบคลุมความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ขับรถให้บริการทุกคน
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ยกระดับทุกมาตรการทางป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งระบบการเดินด้วยรถโดยสารสาธารณะครอบคลุมความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ขับรถให้บริการทุกคน ... นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งพบผู้ป่วยติดเชื้อและผู้สัมผัสใกล้ชิดทำให้เป็นวงกว้าง นายศักด์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในระบบคมนาคมขนส่ง กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงได้ออกประกาศ เรื่อง มาตรการปฏิบัติเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ รถยนต์สาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร พนักงานขับรถ ผู้บริการ และผู้โดยสาร เพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้โดยสารที่ต้องการใช้บริการการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท โดยยึดมาตรการทางด้านสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด และเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด ได้กำหนดการจัดที่นั่งของรถโดยสารประจำทางและรถโดยสารไม่ประจำทางให้นั่ง 1 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง หรือให้นั่ง 2 ที่นั่งสำหรับผู้โดยสารที่มาด้วยกันนั่งติดกันได้ ซึ่งต้องมีจำนวนผู้โดยสารไม่เกินร้อยละ 70 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด หรือให้เหมาะสมตามประเภทของพาหนะ สำหรับการเดินรถโดยสารสาธารณะในเขตเมือง ขอให้ผู้ประกอบการขนส่งปรับลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 - 04.00 น. หรือช่วงระยะเวลาตามประกาศจังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนด ส่วนรถโดยสารสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งพิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินรถในการให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเท่าที่สามารถจะทำได้ ทั้งนี้ ให้พิจารณาจัดการเดินรถตามความจำเป็นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแต่ละจังหวัดกำหนดอย่างเคร่งครัด อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการขนส่งต้องประชาสัมพันธ์และแนะนำพนักงานขับรถ ผู้บริการ และผู้โดยสาร ลงทะเบียนเข้าใช้แพลตฟอร์ม SAVE THAI เพื่อประเมินความเสี่ยงของตนเอง และแสดงต่อเจ้าหน้าที่ก่อนการเดินทาง พร้อมควบคุม กำกับ ดูแล ผู้โดยสารให้ลงทะเบียนเช็กอิน - เช็กเอาท์ไทยชนะ หรือ หมอชนะ หรือกรอกแบบฟอร์มที่ ขบ. กำหนด และในระหว่างการเดินทางต้องมีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศ รถตู้โดยสารปรับอากาศ โดยให้พนักงานขับรถพิจารณาจอดพักรถ และเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศภายในรถขณะเดินทางทุก 2 ชั่วโมง และทำความสะอาดภายในตัวรถและพื้นผิวสัมผัสภายในรถด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวยังได้กำหนดมาตรการปฏิบัติสำหรับการให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ ซึ่งมีข้อจำกัดจากลักษณะการโดยสาร ผู้ให้บริการจึงต้องมีมาตรการป้องกันตนเองและผู้โดยสาร โดยให้ทำความสะอาดที่จับรถจักรยานยนต์และเบาะนั่งด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งทำความสะอาดหมวกกันน็อกสำหรับผู้โดยสารทั้งด้านในและด้านนอกหรืออาจมีบริการหมวกคลุมผมแบบใช้แล้วทิ้ง และงดการพูดคุยขณะให้บริการ สำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะเป็นประจำควรมีหมวกกันน็อกเป็นของตัวเอง ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากที่สุด รวมถึงยังต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทางไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะประเภทใดก็ตาม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกจ้างธุรกิจอีเว้นท์ เฮ!! รมว.เฮ้ง รับลูก นายกฯ สั่งการ สปส.พิจารณาข้อ กม.แล้ว เข้าเงื่อนไขเยียวยาว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ได้
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ลูกจ้างธุรกิจอีเว้นท์ เฮ!! รมว.เฮ้ง รับลูก นายกฯ สั่งการ สปส.พิจารณาข้อ กม.แล้ว เข้าเงื่อนไขเยียวยาว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์และที่เกี่ยวข้อง จะเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและตนในฐานะ รมว.แรงงาน เพื่อให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการจากผลกระทบโควิด-19 จนทำให้กิจการต้องปิดไปโดยปริยาย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์และที่เกี่ยวข้อง จะเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและตนในฐานะ รมว.แรงงาน เพื่อให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการจากผลกระทบโควิด-19 จนทำให้กิจการต้องปิดไปโดยปริยาย เพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่อไปได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้วและสั่งการให้สำนักงานประกันสังคมไปพิจารณาข้อกฎหมาย โดยประเด็นดังกล่าวเข้าเงื่อนไขกฎกระทรวง การได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 สามารถจ่ายเยียวยาว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ไม่เกิน 90 วัน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์และที่เกี่ยวข้อง เตรียมยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงยื่นหนังสือถึงตนในสัปดาห์หน้านั้นด้วย เพื่อขอให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการในธุรกิจอีเว้นท์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในประเทศไทยระลอกแรกตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 เรื่อยมา จนถึงการระบาดอย่างรุนแรงในระลอก 3 นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า บางประเภทกิจการภาครัฐมิได้สั่งให้ปิด แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องปิดกิจการไปโดยปริยาย เพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่อไปได้ และยังมองไม่เห็นว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติเมื่อใด นายสุชาติ กล่าวว่า ผมได้นำเรียนท่านนายกรัฐมนตรีทราบแล้ว และท่านได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมไปพิจารณาข้อระเบียบกฎหมายว่าเข้าเงื่อนไงดังกล่าวหรือไม่อย่างไร ซึ่งจากการพิจารณาแนวทางการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยตามกฎกระทรวง การได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563 (เพิ่มเติม) พบว่า มีเงื่อนไข ดังนี้ 1) ทางราชการมีคำสั่งให้ปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ปิด หรือห้าม หรืองดใช้สถานที่ เช่น สถานที่จัดนิทรรศการ ศูนย์การแสดงสินค้า ศูนย์ประชุม สถานที่ให้บริการห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยง รวมถึงสถานที่อื่นใดที่มีลักษณะเดียวกัน ทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการในสถานที่ดังกล่าวได้ เช่น ประเภทกิจการที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดประชุม การจัดสัมมนา การจัดเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ หรือกิจกรรมอื่นในลักษณะเดียวกันที่กระทำในสถานที่นั้นๆ 2) ระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ให้พิจารณาจากการปิด หรือห้าม หรืองดใช้สถานที่โดยให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัด หรือคำสั่งของทางราชการที่มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตรายกำหนด ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง คราวละไม่เกิน 90 วัน และ 3) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรอง ในประเด็นที่นายจ้างไม่ได้ประกอบกิจการไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวตามคำสั่ง/ประกาศของทางราชการ ตามข้อ 1) โดยลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากการพิจารณาข้อกฎหมายประเด็นดังกล่าวของสำนักงานประกันสังคมปรากฎว่าเข้าเงื่อนไขกฎกระทรวง การได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 สามารถจ่ายเยียวยาว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 ได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องดำเนินการยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนโดยกรอกแบบขอรับประโยชน์ทดแทน พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้และแนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ แล้วนำส่งให้นายจ้างรวบรวมแบบฯ เพื่อบันทึกข้อมูลลูกจ้างและหนังสือรับรองการหยุดงานกรณีราชการสั่งปิด/กรณีกักตัว เมื่อนายจ้างบันทึกข้อมูลลูกจ้างเสร็จสิ้นให้นำส่งแบบฯ และหนังสือรับรองในระบบ e- Service ส่งมายังสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา/ที่ท่านสะดวก หรือผ่านโทรศัพท์สายด่วนประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ระงับรถโดยสาร 20 คัน ห้ามเดินรถเข้าออกจังหวัดมุกดาหาร หลังพบฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัด พร้อมกำชับผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ระงับรถโดยสาร 20 คัน ห้ามเดินรถเข้าออกจังหวัดมุกดาหาร หลังพบฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัด พร้อมกำชับผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ... นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขของภาครัฐ และต้องควบคุม กำกับ ดูแลการให้บริการ และการใช้บริการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคตามที่จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแต่ละจังหวัดกำหนดอย่างเคร่งครัด หากพบการฝ่าฝืนมาตรการป้องกันควบคุมโรค หรือประกาศคำสั่ง ดำเนินการตามกฎหมายทันที จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้ประกอบการขนส่งฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศคำสั่งจังหวัดมุกดาหาร โดยไม่ควบคุมตรวจสอบให้ผู้โดยสารบันทึกข้อมูลการเดินทางและลงทะเบียนบันทึกข้อมูลในแอปพลิเคชัน Data Muk ทำให้ขาดข้อมูลในการติดตามตัวผู้โดยสารเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนโรค โดยจังหวัดมุกดาหารได้มีคำสั่งระงับการเดินรถเข้าออกจังหวัดมุกดาหารเป็นการชั่วคราวเฉพาะรายแล้ว ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งจังหวัดดังกล่าว ขบ. จึงออกคำสั่งระงับการเดินรถโดยสารเข้าออกจังหวัดมุกดาหารเป็นการชั่วคราวเฉพาะราย ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน - 11 พฤษภาคม 2564 รวมจำนวน 20 คัน ประกอบด้วย รถโดยสารประจำทาง เส้นทางหมวด 2 สายที่ 927 กรุงเทพฯ - มุกดาหาร ของบริษัท มุกดาหารทัวร์ จำกัด ที่จัดเดินรถร่วมกับบริษัท ขนส่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่ง จำนวน 17 คัน รถโดยสารประจำทาง เส้นทางหมวด 3 สายที่ 278 ขอนแก่น - มุกดาหาร ของบริษัท สหมิตรภาพ (2512) จำกัด จำนวน 1 คัน รถโดยสารประจำทาง เส้นทางหมวด 3 สายที่ 235 อุดรธานี - อุบลราชธานี (ข) ของบริษัท สหมิตรอุบล จำกัด จำนวน 1 คัน และรถโดยสารประจำทาง เส้นทางหมวด 3 สายที่ 555 นครพนม - มุกดาหาร ของบริษัท วิทยาทรานสปอร์ต จำกัด จำนวน 1 คัน ทั้งนี้ ขบ. ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ประกอบด้วย มาตรการคัดกรอง Entry และ Exit Scan ในระบบขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทั้งระบบ สถานีขนส่งผู้โดยสาร ตรวจวัดอุณหภูมิ กำกับดูแลให้ผู้โดยสาร พนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง โดยต้องไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขึ้นรถโดยสารเด็ดขาด ดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจล เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน พร้อมจัดพิมพ์ QR Code ไทยชนะ หรือหมอชนะ ให้ผู้โดยสารลงทะเบียนก่อนใช้บริการ โดยผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่ง พนักงานขับรถ ปฏิบัติและให้คำแนะนำผู้ใช้บริการ รวมถึงให้มีการควบคุม กำกับ ดูแล การให้บริการและการใช้บริการให้เป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุขและมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำเร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่ กทม. และปริมณฑล นำคลัสเตอร์คลองเตยเป็น Sandbox ปรับใช้ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำเร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่ กทม. และปริมณฑล นำคลัสเตอร์คลองเตยเป็น Sandbox ปรับใช้ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง นายกรัฐมนตรีย้ำเร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่ กทม. และปริมณฑล นำคลัสเตอร์คลองเตยเป็น Sandbox ปรับใช้ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตคลองเตย ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยต่อประชาชนจำนวนมาก ทั้งนี้ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่ ด้วยยุทธวิธี คือ ระดมตรวจเชิงรุกให้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในพื้นที่ชุมชนที่มีความเสี่ยง ได้มีการตรวจเชิงรุกไปแล้วกว่า 70,000 ราย เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน ทำให้สามารถระบุตัวผู้ป่วยติดเชื้อเพื่อคัดแยกไปรักษาได้อย่างทันการ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อไปกักตัวสังเกตอาการ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อต่อในวงกว้าง จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบและสั้นที่สุด ดังนั้น ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาจะมียอดผู้ป่วยติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการตรวจเชิงรุกแบบปูพรม อย่างไรก็ตาม ทีมบุคลากรทางการแพทย์เชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ควบคุมสถานกรณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่จะลดลง แม้ว่าขณะนี้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อในกรุงเทพมหานครจะมีแนวโน้มลดลงแต่ก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ยังคงต้องมีการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เพิ่มขึ้นและรวดเร็ว นายกรัฐมนตรียังย้ำให้เร่งระดมการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน เพื่อเป็นการตัดวงจรสะเก็ดไฟ ปัจจุบันมีการเร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยแล้ว 13,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 30 ของเป้าหมาย ที่จะต้องมีการฉีดวัคซีนให้ได้ 50,000 ราย ในพื้นที่ปทุมวันมีการฉีดวัคซีนแล้ว 14,000 คน คิดเป็นร้อยละ 50 ของเป้าหมาย โดยเฉลี่ยแล้วทั้ง 2 พื้นที่มีการฉีดวัคซีนได้มากกว่าวันละ 2,000 คน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานควบคุมการแพร่ระบาดคลัสเตอร์คลองเตย จะเป็นแนวทาง Sandbox ในการควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังเผยถึงการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับกระทบจากมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้ติดตามประเมินสถานการณ์วันต่อวัน ปิดกั้นการลักลอบเข้าประเทศอย่างสูงสุด หากจังหวัดใดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือสีแดง ที่มีการปิดสถานที่และมีข้อจำกัดต่าง ๆ หากสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้แล้ว ให้มีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาทำมาค้าขาย เดินทางท่องเที่ยว ได้ โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อรักษาสมดุลทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจที่จะต้องเดินหน้าไปควบคู่กัน นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าที่ผ่านยังได้มีการระดมเร่งฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ปัจจุบันได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2 ล้านโดสตามจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ เฉลี่ยวันละหลายหมื่นโดส และจากมาตรการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาลทำให้มีวัคซีนเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 3.5 ล้านโดส โดยยังมีวัคซีนที่ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาอีกและจะทยอยเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการฉีดวัคซีนอีกด้วย ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนทุกคนได้อย่างแน่นอน และจะมีการจัดหาเพิ่มเติมเพื่อสำรองใช้สำหรับความปลอดภัยของประชาชนคนไทยทุกคน โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีน AstraZeneca โดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ที่ได้มาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลก ซึ่งจะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ในระยะยาว เพื่อสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันอีกด้วย ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41642
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 11 พ.ค.64 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 510 เขตการเดินรถที่ 1 2) พนักงานบัญชีค่าโดยสาร ระดับ 3 เขตการเดินรถที่ 6
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระสังฆราช นำคณะสงฆ์และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สร้างขวัญกำลังใจและเพื่อความเป็นสิริมงคล
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 สมเด็จพระสังฆราช นำคณะสงฆ์และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สร้างขวัญกำลังใจและเพื่อความเป็นสิริมงคล สมเด็จพระสังฆราช นำคณะสงฆ์และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สร้างขวัญกำลังใจและเพื่อความเป็นสิริมงคล วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) เวลา 17.00 น. ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน และเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส มีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนร่วมพิธีพร้อมกันทั่วประเทศผ่านช่อง NBT2HD ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ จำนวน 10,000 เล่ม สำหรับพระราชทานให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนำไปมอบให้กับวัดต่างๆ ที่ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งในกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ และ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม เขตพระนคร ส่วนภูมิภาค กำหนดให้วัดในนามเขตปกครองหนต่างๆ ดังนี้ เขตปกครองหนกลาง ณ วัดพนัญเชิงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตปกครองหนเหนือ ณ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ เขตปกครองหนตะวันออก ณ วัดพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร และ เขตปกครองหนใต้ ณ วัดกระพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ในส่วนของวัดอื่นทั่วไปและวัดไทยในต่างประเทศให้พิจารณาจัดพิธีตามความเหมาะสม การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ครั้งนี้ เป็นไปตามมติของมหาเถรสมาคม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่กำลังเผชิญกับวิกฤติสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด - 19 ที่พบการแพร่ระบาดในวงกว้าง และพบว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงสภาพจิตใจของประชาชนท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด - 19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นั้น เป็นไปตามวิถีของชาวพุทธ ที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจในยามทุกข์ยาก ส่วนตัวมองว่าการเห็นต่างเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นั้น เป็นสิ่งที่จะช่วยเยียวยาสภาพจิตใจ ก่อให้เกิดปัญญาในการดำรงชีวิตอย่างมีสติและรอบคอบ เพื่อให้ประชาชนกลับมามีพลังในการดำเนินชีวิตในสภาวการณ์เช่นนี้ให้ได้ .................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-CAAT เน้นย้ำ สายการบินต้องตรวจสอบ COE ของผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินเข้าไทยอย่างเคร่งครัด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 CAAT เน้นย้ำ สายการบินต้องตรวจสอบ COE ของผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินเข้าไทยอย่างเคร่งครัด สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ผู้กำกับดูแลเที่ยวบินเข้าประเทศไทย ขอเน้นย้ำสายการบินอีกครั้งในการตรวจสอบ COE ของผู้โดยสารทุกคนก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางทุกประเทศอย่างเคร่งครัด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศมีมติระงับการออกหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย Certificate of Entry / COE) ให้กับชาวต่างชาติที่มาจากประเทศปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล ชั่วคราวมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2564 จากการตรวจพบว่าหญิงชาวไทยที่เดินทางกลับมาจากประเทศปากีสถาน และปัจจุบันอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐ (State Quarantine) ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์อินเดีย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ผู้กำกับดูแลเที่ยวบินเข้าประเทศไทย ขอเน้นย้ำสายการบินอีกครั้งในการตรวจสอบ COE ของผู้โดยสารทุกคนก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางทุกประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงการต่างประเทศในการคัดกรองบุคคลเข้าประเทศอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการเดินทางจาก 3 ประเทศดังกล่าวเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทย โดย CAAT ได้ออกหนังสือเน้นย้ำสายการบินในการตรวจสอบ COE อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาซึ่งหากพบว่ามีผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทยโดยไม่มี COE สายการบินจะต้องรับผิดชอบการส่งผู้โดยสารกลับประเทศต้นทางในกรณีที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทย หรือต้องดูแลผู้โดยสารจนกว่าจะมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด CAAT จึงขอให้สายการบินปฏิบัติตามมาตรการที่ได้ประกาศไปอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการขนส่งผู้โดยสารที่ไม่มี COE CAAT จะดำเนินมาตรการด้านการอนุญาตทำการบินเข้าประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี พร้อมยกระดับให้บริการประชาชน เปิดยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์ผ่านระบบออนไลน์ ผ่านสำนักงานบังคับคดี 104 แห่งทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี พร้อมยกระดับให้บริการประชาชน เปิดยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์ผ่านระบบออนไลน์ ผ่านสำนักงานบังคับคดี 104 แห่งทั่วประเทศ กรมบังคับคดี พร้อมยกระดับให้บริการประชาชน เปิดยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์ผ่านระบบออนไลน์ ผ่านสำนักงานบังคับคดี 104 แห่งทั่วประเทศ นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความมุ่งหวังยกระดับการให้บริการแก่ประชาชน ตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 จึงนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนผู้ใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ จึงสั่งการให้กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เปิดให้บริการยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์ ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ได้ที่สำนักงานบังคับคดี จำนวน 104 แห่ง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยอีกว่า ผู้ใช้บริการสามารถลงทะเบียน เพื่อขอรหัสการใช้งานผ่านทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th ในหัวข้อ ระบบการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ แล้วยืนยันตัวตนครั้งแรกได้ที่สำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ โดยระบบจะแจ้งผลการอนุมัติการใช้งาน username และ password ผ่านทางอีเมลที่ผู้ใช้บริการแจ้งไว้ จากนั้นผู้ใช้บริการสามารถเข้าใช้ระบบพร้อมดำเนินการยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์สินได้ด้วยตนเอง โดยประชาชนสามารถตรวจดูรายชื่อสำนักงานบังคับคดีที่เปิดให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ได้ที่เว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2881-4999 หรือสายด่วน กรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสำนักงานบังคับคดีจังหวัด และสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2564 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีการผลิต 2564 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (โครงการฯ) ปีการผลิต 2564 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 มีรายละเอียดรูปแบบ อัตราเบี้ยประกันภัย ความคุ้มครอง และระยะเวลาการจำหน่าย ดังนี้ 1. อัตราเบี้ยประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) สำหรับลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีอัตราเบี้ยประกันภัย 160 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีพื้นที่เป้าหมายจำนวนไม่เกิน 2.8 ล้านไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ96 บาท/ไร่ และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. อีก 64 บาท/ไร่ 2. อัตราเบี้ยประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) สำหรับลูกค้าเกษตรกรทั่วไป มีอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับเขตพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ 150 บาท/ไร่ เขตพื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง และความเสี่ยงสูง 350 บาท/ไร่ และ 550 บาท/ไร่ ตามลำดับ โดยมีพื้นที่เป้าหมายจำนวนไม่เกิน 6 หมื่นไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ 96 บาท/ไร่ 3. อัตราเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจ (Tier 2) สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเอาประกันภัยเพิ่มเติม เมื่อเอาประกันภัยในส่วน Tier 1 แล้ว โดยแบ่งอัตราค่าเบี้ยประกันภัยเป็น 3 อัตรา ตามระดับความเสี่ยงภัยในแต่ละพื้นที่ คือ 90 100 และ 110 บาท/ไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมายจำนวนไม่เกิน 6 หมื่นไร่ 4. วงเงินความคุ้มครองคงเดิม คือ วงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 1 อยู่ที่ 1,500 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ 1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก 2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง 3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4) ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง 5) ลูกเห็บ 6) ไฟไหม้ 7) ช้างป่า สำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 750 บาท/ไร่ และวงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 2 อยู่ที่ 240 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท และสำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 120 บาท/ไร่ 5. กำหนดวันเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ จนถึงไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 จนถึงไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2565 ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา สำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3696
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ต้นเงินและเปิดขอสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ต้นเงินและเปิดขอสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19 ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ต้นเงินที่ถึงงวดชำระให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกรตามความสมัครใจ ออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี โดยผู้มีสิทธิ์กว่า 2.82 ล้านราย พร้อมสนับสนุนสินเชื่อสู้ภัย COVID–19 ให้กับเกษตรกรรายย่อยและลูกจ้างภาคการเกษตร วงเงินรวม 10,000 ลบ. ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ต้นเงินที่ถึงงวดชำระให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกรตามความสมัครใจ ออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี โดยผู้มีสิทธิ์กว่า 2.82 ล้านราย พร้อมสนับสนุนสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19 ให้กับเกษตรกรรายย่อยและลูกจ้างภาคการเกษตร วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ส่งชำระคืน 3 ปี ปลอดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักประกัน และเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่เชื้อ ผู้ที่สนใจแจ้งความประสงค์ เข้าร่วมโครงการได้ผ่าน LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ www.baac.or.th และ Call Center 02 555 0555 ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 ธ.ค. 64 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 รับทราบตามมาตรการกระทรวงการคลังที่มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการพักชำระหนี้ต้นเงิน ภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ (ระลอก 3) ตามความสมัครใจ โดย ธ.ก.ส. ได้กำหนดพักชำระหนี้ต้นเงินให้กับเกษตรกร และบุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล)สหกรณ์ (ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ) กลุ่มเกษตรกร กลุ่มบุคคล กองทุนหมู่บ้านหรือ ชุมชนและองค์กร ที่มีสัญญาเงินกู้และมีต้นเงินคงเป็นหนี้ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2564 และเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่งวดเดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป และต้องไม่เป็นหนี้ตามโครงการนโยบายรัฐ หรือโครงการที่ได้รับการช่วยเหลือหรือมีเงื่อนไขตามมาตรการอื่น ๆ จำนวน 2.82 ล้านราย ทั้งนี้ เพื่อคลายความกังวลใจและลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราวให้แก่ลูกหนี้ โดยลูกหนี้สามารถนำเงินงวดที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการประกอบธุรกิจ โดยในส่วนของการพักชำระหนี้จะพิจารณาจากการกำหนดงวดชำระหนี้ตามศักยภาพของเกษตรกร บุคคล สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนิติบุคคล ซึ่งจะพักชำระต้นเงินออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี นับจากงวดที่ถึงกำหนดชำระเดิม และเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า โดยลูกค้าต้องชำระเพียงดอกเบี้ยเท่านั้น นายธนารัตน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังเปิดให้บริการขอสินเชื่อสู้ภัย COVID – 19 สำหรับเกษตรกร ลูกจ้างภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID – 19 และเพื่อป้องกันการเป็นหนี้นอกระบบ วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ปลอดชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักประกัน ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 และเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคมตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์การเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินได้ผ่านช่องทาง LINE Official BAAC Family เว็บไซต์ https://www.baac.or.th และ Call Center 02 555 0555 พร้อมทั้งสามารถแจ้งความประสงค์ขอใช้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่าน LINE Official BAAC Family ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ รับมอบหน้ากากอนามัยและชุด PPE จากภาคเอกชนให้กระทรวงแรงงานนำไปมอบบุคลากรทางการแพทย์สู้โควิด-19
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 รมว.สุชาติ รับมอบหน้ากากอนามัยและชุด PPE จากภาคเอกชนให้กระทรวงแรงงานนำไปมอบบุคลากรทางการแพทย์สู้โควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบหน้ากากอนามัยและชุด PPE จากผู้แทนบริษัท ภาคเอกชน ให้กระทรวงแรงงานนำไปส่งมอบให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และประชาชนทั่วไป ป้องกันโควิด-19 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบหน้ากากอนามัยและชุด PPE จากคณะผู้แทนบริษัท ภาคเอกชน เพื่อให้กระทรวงแรงงานนำไปส่งมอบให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และประชาชนทั่วไป เพื่อป้องกันโควิด-19 ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทน อธิบดีกรมการจัดหางาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยมีภาคเอกชนร่วมมอบจำนวน 7 คณะ ได้แก่ 1) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 161 กล่อง 200,000 ชิ้น 2) สมาคมการค้าพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนำเข้าแรงงานต่างด้าวมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 117 กล่อง 300,000 ชิ้น 3) สมาคมการค้าพัฒนาแรงงาน มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 86 กล่อง 300,000 ชิ้น 4) คุณชัชวาล เจียรวรานนท์ มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 1,050,000 ชิ้น ชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด 5) ตัวแทนผู้ประกอบการนายจ้างจังหวัดระยอง มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 100,000 ชิ้น 6) บริษัทนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น และ 7) สมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทย-จีน มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 52 กล่อง 100,000 ชิ้น ชุด PPE 1,000 ชุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41639
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.คลอดประกันโควิดคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะ
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 คปภ.คลอดประกันโควิดคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะ คปภ.คลอดประกันโควิดคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะ พร้อมนำสองสมาคมประกันภัย และไทยเบฟฯ เข้าพบนายกฯ ประยุทธ์ เพื่อร่วมกันส่งมอบประกันโควิดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่รวม 2.7 แสนราย เงินเอาประกันกว่า 2.75 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรดังกล่าว โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อส่งมอบแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เหมือนกับที่เคยได้พูดไว้ว่าพวกเราต้องชนะไปด้วยกัน โดยเฉพาะการดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในส่วนหน้า เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก. ศบค.) ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ถึงแนวทางการจัดทำประกันภัยคุ้มครองให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งเป็นผู้เสียสละต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ด้วยความเสี่ยงเพื่อปกป้องประชาชนไทย ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงาน คปภ. จึงได้บูรณาการร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย พัฒนาแบบกรมธรรม์ประกันภัยโดยเฉพาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งคุ้มครองการเสียชีวิต/ภาวะโคม่าเนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และผลประโยชน์กรณีตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งตน ในฐานะนายทะเบียนได้เห็นชอบแบบกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัยแล้ว โดยมีสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย ทั้งหมดกว่า 38,000,000 บาท เพื่อคุ้มครองภัยจากการติดเชื้อ COVID-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของภาครัฐและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครอง 275,410 ล้านบาท โดยแต่ละรายจะได้รับความคุ้มครองจาก 3 กรมธรรม์ ดังนี้ 1. กรมธรรม์คุ้มครองการเสียชีวิต ระยะเวลาคุ้มครอง 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท 2. กรมธรรม์คุ้มครองภาวะโคม่าอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 1,000,000 บาท 3. กรมธรรม์คุ้มครองผลประโยชน์กรณีตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะเวลาคุ้มครอง 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่แจ้งรายชื่อ จำนวนเงินความคุ้มครอง 10,000 บาท และกรณีเสียชีวิต จากอุบัติเหตุ จำนวน 10,000 บาท ทั้งนี้ มีบริษัทประกันภัย จำนวน 22 บริษัท เข้าร่วมรับประกันภัย ประกอบด้วย บริษัทประกันชีวิต 10 บริษัท ได้แก่ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต บมจ.โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) บมจ.ทิพยประกันชีวิต บมจ.ไทยประกันชีวิต บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต บมจ.เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต บมจ.เอไอเอ และ บมจ.อาคเนย์ประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย 12 บริษัท ได้แก่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย บมจ.ทิพยประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ บมจ.แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ บมจ.เมืองไทยประกันภัย บมจ.วิริยะประกันภัย บมจ.สินทรัพย์ประกันภัย บมจ.สินมั่นคงประกันภัย บมจ.อาคเนย์ประกันภัย และ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 นอกจากนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้มอบเครื่องช่วยหายใจให้แก่โรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนาม ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 50 เครื่อง รวมมูลค่า 10.5 ล้านบาท ในครั้งนี้ด้วย เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทย มีความห่วงใยต่อบุคลากรทางการแพทย์ โดยตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกแรกช่วงต้นปี 2563 ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์แล้ว 70,000 ราย เบี้ยประกันภัย 7 ล้านบาท วงเงินความคุ้มครอง 3,500 ล้านบาท สำหรับ ความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทย องค์กรการกุศล และบริษัทเอกชนเพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นการส่งมอบความคุ้มครองให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ผ่านความคุ้มครองจาก 3 กรมธรรม์ แบบครบวงจร เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายใต้ความเสี่ยงได้อุ่นใจ หากเกิดเหตุการณ์ไม่พึ่งประสงค์จากการปฏิบัติงานดังกล่าว “สำนักงาน คปภ. ขอขอบคุณรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ทุ่มเทสรรพกำลังทุกอย่าง เพื่อดูแลประชาชนผู้ติดเชื้อและผู้ที่ได้รับผลกระทบ และขอส่งความห่วงใยพร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกคนให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ครั้งนี้ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะมุ่งมั่นนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ โดยจะบูรณาการกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันช่วยให้ประเทศไทยข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41636
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เผย กรมคุมประพฤติ นำร่อง 10 จังหวัดใช้ Video Conference สอบปากคำผู้ต้องหา เพื่อป้องกันโควิด-19 ระบาด
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 รมว.ยุติธรรม เผย กรมคุมประพฤติ นำร่อง 10 จังหวัดใช้ Video Conference สอบปากคำผู้ต้องหา เพื่อป้องกันโควิด-19 ระบาด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมคุมประพฤติ นำร่อง 10 จังหวัดใช้ Video Conference สอบปากคำผู้ต้องหา เพื่อป้องกันโควิด-19 ระบาด วันที่ 10 พฤษภาคม 2564 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ภายหลังสถานการณ์โควิดระบาด ตนได้ตระหนักถึงปัญหาจึงมีนโยบายนำระบบการประชุมทางจอภาพมาใช้กับการปฏิบัติราชการระหว่างหน่วยงาน เพื่อนำร่องการประชุมทางจอภาพใช้สอบปากคำผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ลดโอกาสการสัมผัสระหว่างบุคคลภายนอก รวมถึงพนักงานคุมประพฤติ และผู้ที่อยู่ในเรือนจำและสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโควิด โดยกรมคุมประพฤติจะมีการนำร่องในจังหวัดที่มีความเสี่ยง และจังหวัดที่มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ในเรือนจำหรือสถานพินิจฯจำนวนมาก โดยการประชุมทางจอภาพดังกล่าวจะเริ่มในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้จำเลย ผู้ถูกคุมความประพฤติ ผู้ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ ไม่ต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ และลดภาระในการเดินทาง และจะมาพบพนักงานคุมประพฤติเมื่อการแพร่ระบาดลดลง ซึ่งจะร่วมมือกับศาลที่อยู่ห่างไกลกับสำนักงานใน 10 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี สุรินทร์ สกลนคร แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี และยะลา ทั้งนี้ กรมคุมประพฤติจะใช้การประชุมทางจอภาพ ร่วมกับศาลยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในช่วงโควิดระบาด ดังนี้ 1.การประชุมทางจอภาพเพื่อชี้แจงเงื่อนไขและขั้นตอนกับผู้กระทำผิดทันทีที่ศาลมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจหรือสั่งคุมประพฤติ 2. การประชุมทางจอภาพเพื่อให้ศาลซักถามพนักงานคุมประพฤติกรณีผู้ถูกคุมความประพฤติผิดเงื่อนไขหรือมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลง 3.การประชุมทางจอภาพเพื่อสอบปากคำจำเลยหรือผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำและสถานพินิจฯ นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ขณะที่การสอบปากคำผ่านทางจอภาพกับจำเลย และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำและสถานพินิจฯ จะเริ่มดำเนินการกับผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ก่อนภายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยป้องกันการสัมผัสและลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เรือนจำไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกเข้าพื้นที่เรือนจำ โดยจะนำร่องในจังหวัดที่มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ในเรือนจำจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ชลบุรี เป็นต้น และการสอบปากคำจำเลยจะเริ่มในระยะถัดไปในเดือนกรกฎาคมนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41628