title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันดูแลค่าใช้จ่ายผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ครอบคลุมผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน อุดหนุนค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชนร้อยละ 25 ทุกรายการ | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลยืนยันดูแลค่าใช้จ่ายผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ครอบคลุมผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน อุดหนุนค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชนร้อยละ 25 ทุกรายการ
รัฐบาลยืนยันดูแลค่าใช้จ่ายผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ครอบคลุมผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน อุดหนุนค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชนร้อยละ 25 ทุกรายการ
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่ารัฐบาลดูแลค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชนทุกคนตามสิทธิ์รักษาพยาบาล ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การเข้ารับการฉีดวัคซีน ชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน และค่ารักษาพยาบาล สำหรับโรงพยาบาลเอกชน รัฐบาลจะอุดหนุนค่าใช้จ่ายร้อยละ 25 ทุกรายการ หากประชาชนมีประกันส่วนบุคคล ให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ กรณีที่เกิดความเสียหายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาได้จาก สปสช.
นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละ เสี่ยงภัย ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการพบปะหารือร่วมกับนายกสมาคมประกันภัย เพื่อรับมอบกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับบุคลากรทางแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อ จำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครองรวมกว่า 275,410 ล้านบาท หรือรายละ 1 ล้านบาท ยืนยันรัฐบาลจะดูแลทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัคร ที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเหน็ดเหนื่อย พร้อมขอความร่วมมือให้ประชาชนระมัดระวังตนเองให้มากที่สุด เนื่องจากการติดเชื้อระลอกใหม่มักเกิดจากการติดเชื้อภายในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ในที่ทำงาน สถานประกอบการต่าง ๆ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกคนรวมทั้งสื่อมวลชนร่วมมือกันก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน คำนึงถึงผลกระทบในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง หรือ Fake News ที่ยังไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งอาจสร้างความสับสนในสังคมได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน และทางเดียวจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้คือการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ลดความขัดแย้ง หากปัญหาใดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขสามารถแจ้งเข้ามาเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่อไป
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41641 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รุกรณรงค์ผ้าไทยออนไลน์ รมว.วธ. นำทีมผู้บริหาร-ผู้ว่าฯ-วธจ.เป็นแบบสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น เร่งทำเป็นอินโฟกราฟิก รณรงค์เผยแพร่สื่อออนไลน์ สื่อต่างๆ | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
วธ.รุกรณรงค์ผ้าไทยออนไลน์ รมว.วธ. นำทีมผู้บริหาร-ผู้ว่าฯ-วธจ.เป็นแบบสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น เร่งทำเป็นอินโฟกราฟิก รณรงค์เผยแพร่สื่อออนไลน์ สื่อต่างๆ
วธ.รุกรณรงค์ผ้าไทยออนไลน์ รมว.วธ. นำทีมผู้บริหาร-ผู้ว่าฯ-วธจ.เป็นแบบสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น เร่งทำเป็นอินโฟกราฟิก รณรงค์เผยแพร่สื่อออนไลน์ สื่อต่างๆ
วธ.รุกรณรงค์ผ้าไทยออนไลน์ รมว.วธ. นำทีมผู้บริหาร-ผู้ว่าฯ-วธจ.เป็นแบบสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น เร่งทำเป็นอินโฟกราฟิก รณรงค์เผยแพร่สื่อออนไลน์ สื่อต่างๆ พร้อมสํารวจ-รวบรวมลายผ้าไทยที่เป็นอัตลักษณ์พัฒนาต่อยอดให้ทันสมัย สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับผ้าไทยสู่สากล
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.) ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยมีผู้บริหารสำนักงานวัฒธรรมจังหวัด (สวจ.) 76 จังหวัดเข้าร่วมประชุมผ่านการประชุมระบบทางไกล ซึ่งได้รับรายงานความคืบหน้าการรณรงค์แต่งกายผ้าไทย ผ้าท้องถิ่นของแต่ละจังหวัดระยะแรกโดยเป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้มีกระแสตอบรับดีมาก โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือช่วยกันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น พร้อมกับสวมใส่เป็นแบบอย่างเพื่อจัดทำเป็นสื่ออินโฟกราฟิก (Infographic) เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์และสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้สวจ.จัดทำอินโฟกราฟิกรณรงค์การแต่งกายผ้าไทยในระยะที่ 2 โดยให้เพิ่มเติมข้อความรายละเอียด ชื่อและแหล่งที่มาของผ้าไทย เพื่อสื่อให้เห็นถึงคุณค่าและความเป็นอัตลักษณ์ของผ้าไทยในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งให้ประสานความร่วมมือหน่วยงานราชการภายในจังหวัดแต่งกายด้วยผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าผ้าไทยสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง
ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สวจ.สำรวจและรวบรวมลายผ้าไทยที่เป็นอัตลักษณ์สะท้อนถึงมรดกภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีและประวัติศาสตร์อันโดดเด่นของแต่ละจังหวัด เช่น ลายผ้าศิลาล้อมเพชร จากกำแพงเพชรที่ใช้เทคนิคการทอผ้าที่มีอัตลักษณ์สอดคล้องกับชาติพันธุ์ของชาวกำแพงเพชร และผ้าฝ้ายลายอุทัยสุพรรณิการ์ ถือเป็นลายผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นลายผ้าลิขสิทธิ์ของจังหวัดอุทัยธานี เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดด้านการผลิตและแปรรูปผ้าไทยให้ทันสมัย ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบาย เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของวธ. พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ทั้งระดับชุมชน จังหวัด และประเทศ ยกระดับผ้าไทยสู่ระดับสากล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41622 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศค. แจงข้อวิจารณ์มาตรการเยียวยาฯ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด และการให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
สศค. แจงข้อวิจารณ์มาตรการเยียวยาฯ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด และการให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
สศค. ระบุมาตรการเยียวยาฯ ช่วยเหลือประชาชนตรงจุด เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชน ทั้งโครงการเราชนะ และ ม 33 เรารักกัน รวมถึงมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปด้วย
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่า คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 จึงได้พิจารณาใช้มาตรการเยียวยาที่ดำเนินการอยู่แล้วและยังไม่สิ้นสุดโครงการ ได้แก่ โครงการเราชนะ และโครงการ ม33 เรารักกัน โดยเพิ่มวงเงินให้อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยปัจจุบันทั้งสองโครงการมีผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้รับสิทธิ์รวมกันประมาณ 41 ล้านคน ซึ่งการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ยังจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจฐานรากจากร้านค้าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรายย่อย รวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร จึงเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบรายย่อยในท้องที่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับโครงการคนละครึ่งระยะ 3 เป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไปเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลายลง โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
มาตรการด้านการเงิน คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 มีมติเห็นชอบ 2 มาตรการ ได้แก่
(1) มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย รวมไปถึงเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายละ 10,000 บาท ด้วยหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติ ดอกเบี้ยร้อยละ 0.35 ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 ปี ปลอดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
(2) มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจของลูกหนี้ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราวให้แก่ลูกหนี้ หรือนำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปเป็นสภาพคล่องเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือประกอบธุรกิจในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออกพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 ประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้
(1) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ หรือมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู วงเงิน 250,000 ล้านบาท โดยการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจให้เข้าถึงสินเชื่อในอัตราที่เหมาะสม โดยผู้ประกอบธุรกิจทั้งที่มีสินเชื่อและไม่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรก เฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปีตลอดระยะเวลามาตรการ โดยรัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบธุรกิจเป็นระยะเวลา 6 เดือน และมีการประกันสินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจ
(2) มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ หรือมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินเป็นการชั่วคราว และมีโอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจโดยใช้ทรัพย์สินหลักประกันเดิมได้หลังสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยมีสิทธิเช่าทรัพย์สินเพื่อประกอบธุรกิจต่อไป และมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันโอนหรือระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในส่วนของมาตรการด้านภาษี รัฐบาลได้ออกมาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลไปเป็นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้ทำบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่มีความรุนแรงและครอบคลุมทั่วประเทศและสนับสนุนการทำธุรกรรมภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงช่วยลดความแออัดและความเสี่ยงจาก COVID-19 อีกทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในมือผู้ประกอบการให้มีมากขึ้นและนานขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการต่าง ๆ ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41651 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยสร้างรายได้ 8,511 ล้านบาท | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
ครม.รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยสร้างรายได้ 8,511 ล้านบาท
ครม.รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยสร้างรายได้ 8,511 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และอนุรักษ์ผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน โดยผลการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยตามมติครม.เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 พบว่า ทุกจังหวัดมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการสวมใส่ผ้าไทยและผ้าพื้นเมืองตามความเหมาะสมของท้องถิ่น โดยมีการกำหนดให้ข้าราชการและประชาชนแต่งกายด้วยผ้าไทยและผ้าพื้นเมืองอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน จำนวน 51 จังหวัด
นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมสร้างการรับรู้เพื่อรณรงค์การแต่งกายด้วยผ้าไทยและผ้าพื้นเมืองผ่านสื่อต่างๆทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการสร้างความร่วมมือเป็นเครือข่าย ซึ่งจังหวัดที่มีการสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายมากที่สุดได้แก่จังหวัดสงขลาจำนวน 200 หน่วยงาน ,อุดรธานี 91 หน่วยงาน และบุรีรัมย์ 89 หน่วยงาน ส่วนจังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการแต่งกายด้วยผ้าไทยและผ้าพื้นเมืองมากที่สุดได้แก่ จังหวัดภูเก็ต 96 ครั้ง,ชัยภูมิ 81 ครั้ง และตาก 64 ครั้ง
โดยประโยชน์ที่ประชาชนได้รับตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยนั้นพบว่า มีรายได้จากการจำหน่ายระหว่างเดือนมิถุนายน 2563-มกราคม 2564 จำนวน 8,511 ล้านบาท จังหวัดที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 3 อันดับคือ ขอนแก่น, นครราชสีมา และอุดรธานี ส่วนผู้ผลิตและผู้ประกอบการโอทอปได้รับประโยชน์จำนวน 8,016 กลุ่ม สมาชิกกลุ่มผู้ผลิตและผุ้ประกอบการโอทอปได้รับประโยชน์จำนวนทั้งสิ้น 69,553 คน
สำหรับการขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยสู่การรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของผ้าไทยนั้น ตามที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้มีพระดำริพระราชทานแก่วงการผ้าไทยว่า “ผ้าไทยใส่ให้สนุก”เมื่อคราวเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563
โดยได้พระราชทานแบบลายผ้าชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” รวมทั้งพระราชทานพระอนุญาตให้เป็นลายต้นแบบในการรังสรรค์ถักทอเรื่องราวไปตามแต่ละภูมิภาค ให้กลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค สามารถนำไปใช้ทอผ้า ผลิตผ้า พบว่ามีผลการดำเนินงานดังนี้
1.นำลายผ้าพระราชทาน “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ”ไปต่อยอดจำนวน 1,042 กลุ่ม 10,168 คน มียอดจำหน่ายจำนวน 6,856,740 บาท
2.เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ผ่านสื่อช่องทางต่างๆ เพื่อเชิญชวนแต่งกายด้วยผ้าไทยและผ้าพื้นเมือง และ
3 ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการทอผ้า โดยดำเนินการส่งเสริมผู้ประกอบการทอผ้าจังหวัดตราด และจัดตั้งกลุ่มอาชีพทอผ้า ซึ่งกรมการพัฒนาชุนได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 796,100 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและค่าวัสดุในการฝึกอบรม
อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและอุปสรรคสำหรับมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย เช่น ต้นทุนการผลิตสูง ผู้ประกอบการบางส่วนมีข้อจำกัดด้านการผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าครั้งละจำนวนมากได้ และความไม่ต่อเนื่องของการผลิตในบางจังหวัด กลุ่มทอผ้าขาดทักษะ กลุ่มตัดเย็บผ้าบางพื้นที่ขาดความประณีต และยังพบปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ทำให้การจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายและผู้ซื้อสินค้าน้อยลง
.................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41644 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ผุดอาคารอัจฉริยะต้นแบบเมืองสีเขียว | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
ยกระดับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ผุดอาคารอัจฉริยะต้นแบบเมืองสีเขียว
ธพส.ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผุดอาคารต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สูง 11 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยอาคารรวม 660,000 ตารางเมตร
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผุดอาคารต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สูง 11 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยอาคารรวม 660,000 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นอาคารสำนักงานของส่วนราชการ สโมสรศูนย์ราชการ และลานอเนกประสงค์ ภายในโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี พร้อมออกแบบสวนบนอาคาร และสวนสาธารณะ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ตั้งเป้าเป็นเมืองต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานอย่างยั่งยืน แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร
เมืองสีเขียวแลนด์มาร์กแห่งใหม่
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. เปิดเผยถึงแผนการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2566 ว่า เป็นโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานและที่จอดรถ 11 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และงานก่อสร้างอาคารสนับสนุน เพื่อพัฒนาที่ดินภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ให้เต็มศักยภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังเตรียมก่อสร้างอาคารที่จอดรถ และศูนย์ซ่อมบำรุง (DEPOT) เพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะ ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัด และเพื่อเป็นตัวอย่างเมืองต้นแบบของการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ประมาณเดือนพฤษภาคม 2564 ธพส. จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยาย โซนซี ในส่วนของอาคารทางด้านทิศเหนือ พร้อมกับทำการก่อสร้างอาคารจอดรถชั้นใต้ดินให้แล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ส่วนการก่อสร้างในส่วนของอาคารทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และอาคารสนับสนุน จะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นไปตามแผนงบประมาณที่กำหนดไว้
สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ จะให้ความสำคัญใน 2 เรื่องหลัก คือ การจัดการด้านจราจร และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยในเรื่องของการจราจร ธพส. จะสนับสนุนให้มีการใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างที่จอดรถขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า พร้อมจัดให้มีช่องจอดรถเมล์ไฟฟ้าจำนวน 12 คัน คอยวิ่งให้บริการประชาชน โดยจะเปิดให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานเส้นทางการเดินรถใน 3 เส้นทางคือ 1. ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ 2. สถานีรถไฟฟ้าทุ่งสองห้อง (สายสีแดง) – ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ และ 3. รถไฟฟ้าสถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ (สายสีชมพู) – ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดโดยรอบ ขณะเดียวกัน ธพส. จะประสานความร่วมมือตัดถนนหมายเลข 10 เพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งเลาะรั้วการประปานครหลวงไปออกยังถนนประชาชื่น เพื่อช่วยให้การจราจรคล่องตัวยิ่งขึ้น
ส่วนด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ธพส. จะเนรมิตพื้นที่โดยรอบให้เป็นเสมือนปอดอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ด้วยการปลูกต้นไม้กว่า 1,200 ต้น พร้อมก่อสร้างลานกิจกรรม และสถานที่ออกกำลังกาย ให้ประชาชนโดยรอบได้ใช้ประโยชน์เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และมุ่งหวังให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ด้วยพื้นที่กว่า 21 ไร่ บนถนนแจ้งวัฒนะ
“เมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จ จะเป็นการยกระดับให้ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ กลายเป็นโมเดลของเมืองต้นแบบที่มีความทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษในอากาศ และเป็นเมืองที่สร้างความสุขให้กับทุกคน อย่างแท้จริง”
ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
โทร. 0 2142 2264
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเพิ่ม “แรงงาน” กลุ่มเป้าหมายเตรียมรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เล็งฉีดวัคซีนแรงงาน 16 ล้านคน กทม.ลุยฉีดอาชีพเสี่ยง | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลเพิ่ม “แรงงาน” กลุ่มเป้าหมายเตรียมรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เล็งฉีดวัคซีนแรงงาน 16 ล้านคน กทม.ลุยฉีดอาชีพเสี่ยง
รัฐบาลเพิ่ม “แรงงาน” กลุ่มเป้าหมายเตรียมรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เล็งฉีดวัคซีนแรงงาน 16 ล้านคน กทม.ลุยฉีดอาชีพเสี่ยง
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า ภาคเอกชน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่ผ่านมา เห็นชอบเพิ่มประชากรวัยแรงงานระบบประกันสังคม รวม 16 ล้านคนแรงงาน เป็นกลุ่มเป้าหมายในการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมีสํานักงานประกันสังคม และจังหวัดจะเป็นผู้รวบรวมจำนวนและรายชื่อแรงงานที่จะรับวัคซีนโควิด-19 เพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุข ขณะเดียวกันก็ เร่งฉีดวัคซีนโควิด19 ให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้สัมผัสเสี่ยงและประชาชนทุกๆ คน ให้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อเร่งควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็วที่สุด โดยข้อมูลล่าสุดได้มีการฉีดสะสมแล้ว 1,809,894 โดส โดยในพื้นที่ กทม การฉีดวัคซีนโควิด19 สะสม 315,504 โดส
สำหรับในพื้นที่ กทม. จัดสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยายาลทั่วพื้นที่ กทม. 25 แห่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางมาฉีดวัคซีนได้สะดวกมากขึ้น เน้นกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก เช่น พนักงานขับรถโดยสารประจำทาง แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ คนขับเรือ ครู เป็นต้น โดยจะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนครบทั้งหมด 25 แห่งในวันที่ 21 พ.ค. มีเป้าหมายจะฉีดวันละ 50,000 คนให้กับประชาชนกลุ่มอาชีพเสี่ยง เช่น ครู ผู้ขับขี่รถสาธารณะ พนักงานเก็บขยะ เป็นต้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ขณะเดียวกัน ยังให้บริการฉีดวัคซีนโควิด19 ในโรงพยาบาลในพื้นที่กทม. อีก 126 แห่ง สำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เป้าหมายวันละ 30,000 คน รวมแล้วจะฉีดให้ได้วันละ 80,000 คน
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41649 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
สธ.ขอให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ลูกหลาน ช่วยลงทะเบียน หมอพร้อม หรือพาไปลงทะเบียนที่ รพ.สต./ รพ.ใกล้บ้าน เพื่อรับการฉีดวันที่ 7 มิ.ย. ย้ำฉีดวัคซีนเข็มแรกป้องกันการป่วยได้ร้อpละ 76
กระทรวงสาธารณสุขขอให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย7 โรคเรื้อรัง ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ลูกหลาน ช่วยลงทะเบียน หมอพร้อม หรือพาไปลงทะเบียนที่ รพ.สต./ รพ.ใกล้บ้าน เพื่อรับการฉีดวันที่ 7 มิ.ย.ย้ำฉีดวัคซีนเข็มแรกป้องกันการป่วยได้ร้อpละ 76 และลดการเสียชีวิตร้อยละ 80
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดีนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ(ด้านสาธารณสุข) ที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19
ดร.สาธิตกล่าวว่า การลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด19 ผ่านหมอพร้อม ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ซึ่งมี 16 ล้านคน แบ่งเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 11.7 ล้านคน และกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง 4.3 ล้านคน การลงทะเบียนที่ผ่านมามีจำนวนน้อย 1.7 ล้านคน หรือประมาณ 10% ของจำนวนทั้งหมด อาจเพราะความกังวลในอาการไม่พึงประสงค์ของการฉีดวัคซีน และปัญหาการเข้าถึงระบบหมอพร้อมผ่านไลน์และแอปพลิเคชันหมอพร้อม ซึ่งผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังอาจยังช้าอยู่ ทั้งนี้การให้วัคซีนแก่สองกลุ่มนี้ก่อน เพื่อรักษาและคุ้มครองชีวิต ยืนยันว่าไม่ได้ละเลยคนกลุ่มอื่น ไม่ว่ากลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยง กลุ่มที่ทำงานด่านหน้า หรือกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดที่จำเป็นด้านเศรษฐกิจที่จัดลำดับไว้ โดยการเปิดลงทะเบียนหมอพร้อมในสองกลุ่มนี้ก่อน สัมพันธ์กับจำนวนวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะได้รับช่วงแรก มิ.ย. และ ก.ค.
“วันนี้ผมอยากสื่อสารและกระตุ้นคนไทยทั้งประเทศว่า ในช่วง2 สัปดาห์นี้ ขอให้คนไทยทุกคนช่วยผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ช่วยพา 2 กลุ่มนี้เข้าถึงระบบหมอพร้อมให้เร็วและมากที่สุด โดยลูกหลานอาจช่วยลงทะเบียนให้ผ่านหมอพร้อม หรือแจ้งอสม. รพ.ใกล้บ้าน รพ.สต. ขอให้ช่วยกันเพื่อรักษาคุ้มครองชีวิตคนสองกลุ่มนี้ส่วนการฉีดกลุ่มอื่นก็เตรียมงานคู่ขนานไป และอาจจะฉีดได้เร็วตามการจัดหาวัคซีนที่ได้มา ทั้งนี้ การมีวัคซีนไม่สำคัญเท่าการได้ฉีด เราต้องช่วยคนในบ้าน พาไปรับลงทะเบียนเพื่อให้ได้รับการฉีดเร็วที่สุด” ดร.สาธิตกล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณเมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยอาการหนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง เราจึงให้วัคซีน 2 กลุ่มนี้ก่อน เพราะผลการศึกษาวิจัยวัคซีนทุกชนิดช่วยลดการป่วยรุนแรง และลดการเสียชีวิตได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยอาการหนักอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนมากมีเตียงรับผู้ป่วยอาการหนัก 956 เตียง ใช้ไป 85%เหลือว่างในโรงพยาบาลภาครัฐ 44 เตียง เอกชน 95 เตียง การเสียชีวิตระลอกเมษายนสะสม 358 ราย วันนี้ 31 ราย ผู้เสียชีวิตร้อยละ 86 มีโรคประจำตัว และเป็นผู้สูงอายุมีสาเหตุการติดเชื้อร้อยละ 58 มาจากคนในครอบครัว ญาติมาเยี่ยม และเพื่อน ร้อยละ 18 ไปแหล่งชุมชน ร้อยละ 5มีอาชีพเสี่ยง และจากข้อมูลการฉีดวัคซีนในประเทศอังกฤษ หลังฉีดวัคซีนได้ร้อยละ 30-40 พบว่าอัตราการป่วย และการเสียชีวิตลดลง สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เป็นวัคซีนหลักจะเริ่มฉีดวันที่ 7 มิถุนายนนี้ มีรายงาน ว่าสามารถป้องกันการป่วยได้ตั้งแต่ฉีดเข็มแรกร้อยละ 76 และลดการเสียชีวิตร้อยละ 80 ตั้งเป้าหมายเร่งรัดการฉีดเข็มที่ 1 ให้ครอบคลุมประชาชนมากที่สุด
“ผลข้างเคียงของวัคซีนพบน้อยมาก แต่ประชาชนได้รับข้อมูลด้านนี้มากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ และมีระบบดูแลความปลอดภัย สังเกตอาการ 30 นาที หากมีอาการแพ้รุนแรงสามารถดูแลได้ทันท่วงที ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน ย้ำว่าวัคซีนมีประโยชน์มาก ทั้งลดการนอนโรงพยาบาล ลดการเสียชีวิต รวมทั้ง ยังลดการแพร่กระจายโรคในครอบครัวได้ถึงร้อยละ 50 และเมื่อฉีดได้ครอบคลุมเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จะทำให้กลับมาใช้ชีวิตแบบNew normal ขับเคลื่อนประเทศ เดินหน้าเศรษฐกิจต่อไปได้” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดีนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) ที่ปรึกษาระดับกระทรวงกล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการลงทะเบียนรับวัคซีนในระบบหมอพร้อม ใน 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก ช่องทางการเข้าถึงระบบหมอพร้อม ได้ออกแบบไว้ทั้งระบบดิจิตอลและอนาล็อก ช่องทางที่ 1 ระบบดิจิตอล คือApplicationและไลน์หมอพร้อม เป็นช่องทางสำหรับประชาชนเขตเมืองที่มีสมาร์ทโฟน ช่องทางที่ 2 ระบบอนาล็อก สำหรับประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด และพื้นที่ชนบท จะมีอสม.ในพื้นที่เข้าไปสำรวจข้อมูล หรือแจ้งความประสงค์ผ่านรพ. สต ใกล้บ้าน โดยทั้ง 2 ทางเชื่อมโยงข้อมูลกันและนำเข้าสู่ฐานข้อมูลระบบหมอพร้อม จากตัวอย่างในเขตกทม. ได้ตั้งเป้าหมาย 1.2 ล้านคน ขณะนี้มีจองเข้ามาแล้วประมาณ 6 แสนคน ส่วนใหญ่จะลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันและไลน์หมอพร้อมและในต่างจังหวัด มีตัวอย่างที่ดีคือลำปางโมเดล มีการออกแบบ ให้ อสม.และรพ. สต. กรอกข้อมูลเข้ามาในระบบฐานข้อมูลฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้มากกว่า 2.2 แสนคนและในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายจังหวัดอยู่ในระหว่าง อสม.ออกไปสำรวจข้อมูล และทยอยคีย์ข้อมูลเข้าระบบ
ประเด็นที่ 2 องค์ประกอบของApplicationและไลน์หมอพร้อม มี 3 ส่วน 1.เพิ่มเพื่อนLINEหมอพร้อม หรือโหลดApplicationหมอพร้อม 2.โรงพยาบาลจะต้องเปิดระบบคิวให้จอง และ 3.โรงพยาบาลต้องนำรายชื่อผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรังเข้าระบบ ต้องมีครบทั้ง 3 ส่วน จึงจะสามารถลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้และประเด็นที่ 3 ปัญหาที่พบในช่วงนี้คือ ไม่สามารถเลือกและจองคิวโรงพยาบาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในกทม. และเป็นโรงพยาบาลเอกชน อาจมาจากโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะเลือกให้บริการเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่รักษาอยู่กับโรงพยาบาลก่อนยังไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เคยมารับบริการเข้ามาจองในระบบหรือโรงพยาบาลนั้นมีคนจองเต็มแล้วหรือโรงพยาบาลอาจจะกำหนด เปิดเฉพาะกลุ่ม เช่น วันนี้สำหรับผู้สูงอายุ หรือพรุ่งนี้สำหรับกลุ่มโรคเรื้อรังก่อน ซึ่งเป็นการบริหารจัดการของโรงพยาบาล ขอให้ท่านเลือกโรงพยาบาลอื่นจากฐานข้อมูล ขณะนี้ในกรุงเทพฯ ยังเหลืออีกประมาณ 7 แสน ถึง 8 แสนคิว ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐที่ยังสามารถจองได้
สำหรับคำถาม ผู้ที่มีรายชื่อไม่ตรง เช่น ชื่อถูก นามสกุลผิด อาจเกิดจากการส่งรายชื่อจากหลายโรงพยาบาลที่ท่านรักษาอยู่ไม่ตรงกัน หรือมีการเปลี่ยนนามสกุล สามารถแจ้งขอแก้ไขข้อมูลได้ที่โรงพยาบาลที่รักษาใกล้บ้านหรือโทรเข้าสายด่วนหมอพร้อม 02792 2333 ขณะนี้ได้เพิ่มคู่สายเป็น 100 คู่สาย จะเพิ่มเป็น 160 คู่สาย และให้บริการ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 15 เป็นต้นไปสำหรับประชาชนที่มีบัตรประชาชนแบบเก่าที่เป็นแบบแถบแม่เหล็ก ขณะนี้ได้ประสานไปยังกรมการปกครองเพื่อแก้ไขเรียบร้อยแล้ว สามารถลงทะเบียนหมอพร้อมได้
สำหรับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานคลินิกเอกชนในต่างจังหวัด ติดต่อที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ส่วนกทม.ติดต่อได้ที่สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร และกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่มีรายชื่อก็สามารถแจ้งกับสถานพยาบาลใกล้บ้านที่รักษาอยู่เป็นประจำได้ และได้แก้ไขระบบให้ผู้ที่เกิดก่อน 1 มกราคม 2505 ลงทะเบียนในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปี สำหรับผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ยังไม่จัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง หากมีความกังวลขอให้ปรึกษาแพทย์ที่รักษาอยู่เป็นผู้พิจารณา ส่วนกลุ่มโรคอ้วนซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีน ขอให้ไปแจ้งชื่อกับโรงพยาบาลที่รักษาอยู่เพื่อนำชื่อเข้าระบบต่อไป
*******************************11 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41656 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้กรมเจ้าท่าเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในเรือโดยสารคลองแสนแสบ | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้กรมเจ้าท่าเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในเรือโดยสารคลองแสนแสบ
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้กรมเจ้าท่าเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในเรือโดยสารคลองแสนแสบ และเพิ่มเที่ยวเรือเพื่อลดความหนาแน่นในช่วงเวลาเร่งด่วน
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่มีการนำเสนอภาพประชาชนเป็นจำนวนมากใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ กรมเจ้าท่า (จท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลเรือโดยสารได้มีมาตรการดูแลผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การทำความสะอาด และการเพิ่มจำนวนเที่ยวเรือเป็นวันละ 99 เที่ยว เนื่องจากในช่วงเวลาเร่งด่วน ตั้งแต่ 07.00 - 08.30 น. มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงได้สั่งการให้ จท. เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
1. ควบคุม กำกับเรือโดยสารคลองแสนแสบ โดยประสานให้ผู้ประกอบการเพิ่มเที่ยวเรือในช่วงเวลาเร่งด่วน ช่วงเช้า 07.00 - 08.30 น. และช่วงเย็น 16.30 - 18.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณผู้โดยสารหนาแน่น โดยเพิ่มความถี่เรือเข้ารับ - ส่ง ผู้โดยสาร จากปกติ 5 - 7 นาที/ลำ เป็น 2 - 3 นาที/ลำ เพื่อลดความแออัดทั้งในเรือและบริเวณท่าเรือ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม รวมทั้งกำชับให้พนักงานขนส่งประจำท่าและชุดสายตรวจแสนแสบควบคุมเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
2. กำหนดให้พนักงานขนส่งประจำท่าปลายทางประสานงานกับพนักงานปล่อยเรือจากท่าต้นทางหรือผู้ควบคุมเรือ เพื่อทราบจำนวนผู้โดยสารที่จะขึ้นจากเรือ และสามารถจัดการจำนวนผู้โดยสารที่จะลงเรือได้
3. ตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิบนท่าเรือ เช่น ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ ท่าเรือประตูน้ำสายใน ท่าเรือประตูน้ำสายนอก ท่าเรืออโศก และท่าเรือวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักที่ผู้โดยสารขึ้น - ลง เรือ และมีผู้โดยสารหนาแน่นในช่วงเร่งด่วนทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารทุกคนต้องวัดอุณหภูมิ ณ จุดคัดกรองก่อนลงเรือ
4. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารทุกคนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าป้องกันตลอดเวลาขณะโดยสารเรือ และขณะรอขึ้น - ลงเรือ รวมทั้งให้เว้นระยะห่างทางสังคมทั้งในเรือและบนท่าเรือตลอดเวลา
5. ตรวจสอบจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือและการฆ่าเชื้อโรคบนท่าเรือทั้ง 28 แห่ง ต้องมีความพร้อมให้บริการตลอดเวลา
6. ให้ผู้ประกอบการเรือโดยสารเข้มงวดกวดขันตรวจวัดอุณหภูมิเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน การทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ทั้งในสำนักงาน บนท่าเรือ และในเรือเป็นประจำ
7. พนักงานขนส่งประจำท่าเรือต้องปฏิบัติตามมาตรการขณะปฏิบัติงาน รวมทั้งดูแลความสะอาดและความเรียบร้อยบริเวณท่าเทียบเรือและพื้นที่หลังท่าเรือเป็นประจำทุกวัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 พฤษภาคม 2564 | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2564) เวลา 09.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล)
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50V – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ สังคม
6. เรื่อง ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563
7. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนขั้นสูงสุดของผู้ปฏิบัติงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ระดับ 14 (รองผู้ว่าการ)
8. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบเงินอุดหนุน เพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้นให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค
9. เรื่อง ผลการสำรวจการมีส่วนร่วมของประชาชนตามแผนปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2564
10. เรื่อง การสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และอนุรักษ์ผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน และรายงานผลการ ดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563
11. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564
12. เรื่อง รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก
13. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของ คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา
14. เรื่อง สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2564
15. เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564
16. เรื่อง โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2563/2564
17. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 15/2564
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การเลื่อนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021)
19. เรื่อง ร่างแผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล พ.ศ. 2564 -2568 (ASEAN Regional Action Plan for Combating Marine Debris
2021 - 2025)
แต่งตั้ง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
23. เรื่อง การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) ของกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวของ พณ. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการแยกร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 3) ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ออกจากร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ การควบบริษัท การแปรสภาพบริษัท) ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติให้รวมร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยเป็นการปรับปรุงใน 6 ประเด็น ให้สามารถดำเนินการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอำนวยความสะดวกแก่บริษัทมหาชนจำกัด
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 สรุปได้ดังนี้
1. เพิ่มเติมช่องทางโฆษณาทางอื่นนอกจากทางหนังสือพิมพ์ โดยกำหนดให้การโฆษณาข้อความเกี่ยวกับบริษัท สามารถดำเนินการทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นใดแทนการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ก็ได้ (เดิมกำหนดให้บริษัทมหาชนจำกัดมีหน้าที่บอกกล่าว แจ้งข้อความ หรือโฆษณาข้อความเกี่ยวกับบริษัทให้ประชาชน ผู้ถือหุ้นทราบทางหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทย)
2. เพิ่มเติมช่องทางการส่งเอกสาร โดยกำหนดให้บริษัทหรือคณะกรรมการสามารถส่งหนังสือหรือเอกสารให้แก่กรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของบริษัท โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
3. แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการประชุมกรรมการ และเพิ่มเติมช่องทาง เพื่อให้คณะกรรมการอาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการ หรือการประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดสถานที่ที่ถือเป็นสถานที่จัดการประชุมในกรณีดังกล่าว ได้แก่ สำนักงานใหญ่ของบริษัทหรือจังหวัดใกล้เคียงเว้นแต่ข้อบังคับจะกำหนดให้ประชุม ณ ท้องที่อื่น ทั้งนี้ จะต้องอยู่ภายในราชอาณาจักร และกำหนดให้การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นการประชุม ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัท
4. แก้ไขเพิ่มเติมการเรียกประชุมกรรมการ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเรียกประชุม เช่น กำหนดให้มีการเรียกประชุมได้ในกรณีที่ไม่มีประธานกรรมการ โดยให้รองประธานเป็นผู้เรียกประชุม และถ้าไม่มีทั้งประธานกรรมการและรองประธานกรรมการ ให้กรรมการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีอำนาจเรียกประชุมได้
5. กำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่เรียกประชุมผู้ถือหุ้นเองส่งหนังสือนัดประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นเดียวกับกรณีที่คณะกรรมการบริษัทมหาชนจำกัดเรียกประชุม
6. กำหนดให้มีการมอบฉันทะโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนได้
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 647) พ.ศ. 2560 [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์] ได้สิ้นสุดการบังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงขอให้ กค. พิจารณาขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยได้จัดทำนิยามโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) เพื่อให้สอดคล้องกับคุณลักษณะโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้และจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันตามเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความก้าวหน้า ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและบริหารจัดการธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
2. กค. พิจารณาแล้วเพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ และช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) มาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและบริหารจัดการธุรกิจเพิ่มมากขึ้น จึงเห็นควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยตราเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล) เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565
3. กค. ได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่ามาตรการทางภาษีดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 380 ล้านบาท แต่มีประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้
3.1 จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)มีการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินกิจการและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
3.2 เพื่อให้ภาครัฐสามารถนำข้อมูลของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลภาครัฐมากขึ้น ซึ่งรัฐสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดมาตรการหรือกลไกในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านต่าง ๆ ได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “ขาย” “สินค้า” “บริการ” และ “โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software)”
2. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินสามสิบล้านบาท สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท สำหรับ รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565
3. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) ต้องไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซอฟต์แวร์ (Software) นั้น ตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ มีสาระสำคัญดังนี้
1. สำนักงบประมาณได้เผยแพร่รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทางเว็บไซต์สำนักงบประมาณ และได้ดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และเอกสาร ประกอบงบประมาณ รวม 39 เล่ม เรียบร้อยแล้ว
2. เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้เสนอตั้งงบประมาณ เพื่อชดเชยงบประมาณรายจ่ายที่หน่วยรับงบประมาณได้ก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ล่วงแล้วแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน ทำให้งบประมาณพับไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 สำนักงบประมาณได้จัดทำคำชี้แจงกรณีดังกล่าวไว้ในเอกสารประกอบงบประมาณ ฉบับที่ 3 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ การตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยงบประมาณรายจ่ายที่พับไปดังกล่าวสำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบบประมาณจะไม่ถือว่าเป็นกรณีที่หน่วยรับงบประมาณก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินก่อหนี้ผูกพันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว
3. กรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณที่กำหนดไว้ สำนักงบประมาณได้เสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 โดยการเพิ่มแหล่งเงินลงทุนของประเทศในช่องทางอื่นนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ (1) การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) (2) การลงทุนของหน่วยงานในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (THAILAND FUTURE FUND) และ (3) การใช้เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ 2548 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้จัดทำคำชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว และจะได้จัดทำคำแถลงต่อรัฐสภาต่อไป
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หลอดแอลอีดีคุณภาพต่ำหรือไม่ได้มาตรฐานและสอดคล้องกับสภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2779 – 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5865 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดแอลอีดีขั้วคู่ที่ออกแบบเพื่อเปลี่ยนทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนซ์ชนิดตรง – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50V – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดี มีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50 V – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50 V เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ทำและผู้นำเข้า และเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50 V – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2780 - 2562 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ 5866 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปด้วยแรงดันไฟฟ้ามากกว่า 50 V – คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ประกาศ ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
เศรษฐกิจ สังคม
6. เรื่อง ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเห็นชอบขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ โดยจะไม่ให้มีการผ่อนผันอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (7 ธันวาคม 2559) ให้ ทส. เร่งรัดตรวจสอบการเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทั้งหมดที่ยังมิได้ขออนุญาตการเข้าใช้พื้นที่ให้ครบถ้วน ซึ่งต่อมา ทส. ได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 มิถุนายน 2563) เห็นชอบมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตฯ เฉพาะส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตฯ ไว้แล้ว หรือยื่นคำขออนุญาตฯ เข้าทำประโยชน์ภายใน 180 วัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ครบกำหนดระยะเวลาวันที่ 18 ธันวาคม 2563) และให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 25231 ซึ่งในครั้งนี้ ทส. เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (23 มิถุนายน 2563) โดยมีสาระสำคัญคือ ตามที่ได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ว่ามีส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตฯ จำนวน 21,908 แห่ง ปรากฏว่าต่อมามีหน่วยงานยื่นคำขออนุญาตฯ เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 58,923 แห่ง ซึ่งเกินกว่าที่แจ้งต่อคณะรัฐมนตรีไว้เดิมถึง 38,110 แห่ง โดยมีหน่วยงานที่ยื่นคำขออนุญาตฯ เพิ่มเติม เช่น
หน่วย : แห่ง
หน่วยงาน
จำนวนคำขออนุญาตฯ ตามบัญชีเดิม
จำนวนคำขออนุญาตฯ ที่ยื่นจริง
จำนวนคำขออนุญาตฯ ที่ยื่นเกินจากบัญชีเดิม
กระทรวงมหาดไทย (มท.)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการเราชนะ | วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลสนับสนุนวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการเราชนะ
ครม.มีมติเห็นชอบให้สนับสนุนวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการเราชนะที่ไม่เคยขอสละสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ คนละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมเป็นเงิน 2,000 บาท
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าว่า ในวันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้สนับสนุนวงเงินสิทธิ์เพิ่มเติมให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ภายใต้โครงการเราชนะ (โครงการฯ) ที่ไม่เคยขอสละสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ คนละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมเป็นเงิน 2,000 บาท โดยประชาชนจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ตามช่องทางที่เคยได้รับของแต่ละกลุ่มโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ สำหรับประชาชนกลุ่มที่รับสิทธิ์ผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ในวันพฤหัสบดีที่ 20 และ 27 พฤษภาคม 2564 และสำหรับประชาชนกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน จะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ในวันศุกร์ที่ 21 และ 28 พฤษภาคม 2564 โดยวงเงินสิทธิ์ที่ได้รับสนับสนุนเพิ่มเติมดังกล่าวสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า สำหรับประชาชนกลุ่มรับสิทธิ์ผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ได้ถอนการติดตั้ง (Uninstalling) แอปพลิเคชันไปแล้ว สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ที่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ได้จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการฯ
โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,843 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และคนละครึ่ง และประชาชนกลุ่มผู้ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 115,724 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,461 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,028 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 25.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ สั่งทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ สั่งทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ สั่งทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
มีความห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ ส่งผลให้อาจมีภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมและจากพายุได้ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเร่งด่วน และอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักบางแห่ง และสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงได้ จึงขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย
นายอนุชากล่าวว่า สำหรับในกทม. และปริมณฑล หากมีฝนตกหนัก อาจมีปัญหาการจราจรติดขัดได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้รับทราบว่ามีการจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ยานพาหนะ และเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่มีน้ำท่วมขังและจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ตาม หากมีฝนตกในปริมาณมากซึ่งอาจส่งผลให้มีน้ำท่วมขังบนผิวจราจรในบางพื้นที่ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมจัดเจ้าหน้าที่หน่วยเบสของสำนักการระบายน้ำ และของสำนักงานเขตพื้นที่เข้าเร่งระบายน้ำเพื่อบรรเทาความดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 8 - 10 พ.ค. 64 กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้ ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 13 พ.ค. 64 ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41559 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานเพิ่มการทำงานเชิงรุก เร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีน พร้อมเผยข้อมูลทางการแพทย์วัคซีนเข็มแรก ช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการเสียชีวิตได้ | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานเพิ่มการทำงานเชิงรุก เร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีน พร้อมเผยข้อมูลทางการแพทย์วัคซีนเข็มแรก ช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการเสียชีวิตได้
นายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานเพิ่มการทำงานเชิงรุก เร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีน พร้อมเผยข้อมูลทางการแพทย์วัคซีนเข็มแรก ช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการเสียชีวิตได้
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) เวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำถึงมาตรการด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และปากท้องพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ระลอก 3 ผ่าน PM PODCAST สรุปประเด็นดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ระลอก 3 นี้ ได้สั่งการและออกมาตรการที่เกี่ยวกับด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และปากท้องของพี่น้องประชาชน เพื่อเดินหน้าจัดการสถานการณ์โควิด – 19 ในประเทศไทย ด้วยการตัดสินใจและการทำงานอย่างรวดเร็วแบบบูรณาการ ที่จะเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโควิด - 19 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบในการโอนอำนาจตามกฎหมาย 31 ฉบับมาที่นายกรัฐมนตรีให้สามารถออกคำสั่งอนุญาต อนุมัติ สั่งการ แก้ไขสถานการณ์โควิด – 19 ได้โดยตรง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีคลัสเตอร์คลองเตยว่า ได้ใช้ประสบการณ์จากการจัดการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครมาปรับใช้ โมเดลตรวจการติดเชื้อ ติดต่อ คัดกรอง และแยกตัวส่งต่อรักษา เน้นไปที่การตรวจเชิงรุก ระดมตรวจกลุ่มเสี่ยงในชุมชนที่มีการติดเชื้อให้ได้อย่างน้อย 1,000 คนต่อวัน โดยมีหน่วยเคลื่อนที่และรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานเพิ่มมากขึ้น แยกผู้ป่วยตามระดับอาการและส่งตัวเข้าสถานพยาบาลแรกรับเพื่อส่งผู้ป่วยไปรักษาตัวต่อ ควบคู่กับดำเนินการระดมฉีดวัคซีนโควิด - 19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และกำชับเร่งแก้ไขปัญหาในการสำรองเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้มีการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ให้เพียงพอด้วย
ทั้งนี้ การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องมีศูนย์เพื่อการบูรณาการการจัดการทรัพยากรของหน่วยงานต่าง ๆ ในการสนับสนุนกรุงเทพมหานครอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเร็ว จึงจัดตั้งศูนย์บูรณาการสถานการณ์โควิด - 19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลขึ้น ซึ่งจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดอื่น ๆ ต่อไปได้ รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานฝ่ายปกครองในการบูรณาการทั้งด้านบุคลากรและทรัพยากร ทั้งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การตรวจคัดกรอง การควบคุมพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์ในสภาวะฉุกเฉินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
นายกรัฐมนตรียังยืนยันเป้าหมายการจัดหาวัคซีนโควิด – 19 จำนวน 100 ล้านโดส เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับฉีดให้ประชาชนที่ 50 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศได้ รวมทั้งแผนสำรอง ในการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับคนไทยทุกคนรวมถึงแรงงานอื่น ๆ ในภาคธุรกิจด้วย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้การเจรจาสั่งซื้อวัคซีนมีความคืบหน้าเพิ่มโอกาสที่จะได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การสั่งซื้อวัคซีนยังขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตที่จะอนุมัติในการดำเนินการส่งออกด้วย สิ่งสำคัญคือการเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากทางการแพทย์มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เพียงเข็มแรกก็จะช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก
…………………………………
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ชี้ ดิจิทัล ทักษะรับอนาคต | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
นฤมล ชี้ ดิจิทัล ทักษะรับอนาคต
- -
วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมอภิปรายในงาน Microsoft APAC Public Sector Digital Summit-Empowering nations for a digital society ในประเด็น “สังคมและอนาคตของการทำงาน (Society and the Future of Work)” ผ่านระบบ Microsoft Teams Live งานนี้ได้รวบรวมผู้บริหารภาครัฐและผู้นำทางความคิดในอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพื่อหารือเกี่ยวกับการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจินตนาการใหม่ในการใช้ดิจิทัลเพื่อการทำงานในอนาคต
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวอภิปรายว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือกำลังแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หลายมาตรการ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้เน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะอาชีพไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานในยุค New Normal รวมถึงได้ร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แรงงานที่ผ่านการฝึกอบรมได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ด้วยความตั้งใจที่จะยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานดิจิทัล รวมถึงให้ความช่วยเหลือแก่ประชากรซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ผู้ว่างงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยดำเนินการภายใต้หลักการ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ”
รมช.แรงงาน กล่าวอีกว่า ทักษะด้านดิจิทัลถือเป็นทักษะแรงงานที่สำคัญสำหรับอนาคต เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัลและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดธุรกิจและอาชีพใหม่ ๆ ที่ต้องการการใช้ทักษะด้านดิจิทัลอย่างเร่งด่วน โดย กพร. ได้มีการจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (DISDA) ขึ้นมา เพื่อดูแลการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่กำลังแรงงานและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนากำลังคนให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจัดทำหลักสูตรในการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะด้านดิจิทัลให้แก่กำลังแรงงานทั้งระบบ
โดยล่าสุดได้รับความร่วมมือจากบริษัท ไมโครซอฟท์ สนับสนุนองค์ความรู้ด้านทักษะเชิงดิจิทัล เพื่อช่วยยกระดับทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทยทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน และเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างพลเมืองดิจิทัลเพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืน
“การ Upskill Reskill และ Newskill เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ จะทำให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณค่าและรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้โครงการเราชนะเพิ่มเติม | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้โครงการเราชนะเพิ่มเติม
ครม.มีมติเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2564 เห็นชอบหลักการข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกเดือน เม.ย.2564 โดยกระทรวงการคลังจะได้นำเสนอการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมของโครงการฯ ให้ ครม.พิจารณาในวันที่ 11พ.ค.2564 ต่อไป
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 และเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการเราชนะ (โครงการฯ) จะได้นำเสนอรายละเอียดและแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมของโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 11พฤษภาคม 2564 ต่อไป ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังขอเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังข่าวปลอมในลักษณะของข้อความสั้น (SMS) หรือข้อมูลที่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ที่อาจมีการฉวยโอกาสหลอกลวง โดยขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการฯ จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการจากทางราชการ ได้แก่ www.เราชนะ.com , www.mof.go.th , www.fpo.go.th และ FacebookFanpage “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง: Fiscal Policy Office”
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง แจ้งว่าเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิชั่วคราวของผู้ประกอบการในโครงการฯ ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯเช่นการแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสดเพิ่มเติมจำนวน 2,744 ราย โดยผู้ประกอบการดังกล่าวที่ประสงค์จะชี้แจงโต้แย้งสามารถดาวน์โหลดเอกสาร “แบบฟอร์มเพื่อชี้แจงโต้แย้ง” ได้ที่เว็บไซต์ www.เราชนะ.com และจัดส่งเอกสารดังกล่าวผ่านทางไปรษณีย์มายังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไทเขตพญาไทกรุงเทพฯ 10400 หรือทาง e-Mail: [email protected] ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้วกระทรวงการคลังจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยวิธีการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการฯ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการอาจเสียสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ และถูกตรวจสอบขยายผลสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเองและขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ
โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,742 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้วจำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 115,246 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,243 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 204,231 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์แล้ว จำนวน 24.9 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)โทร. 021111122(ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41542 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดงาน China International Consumer Products Expo (Hainan Expo) ครั้งที่ 1 | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดงาน China International Consumer Products Expo (Hainan Expo) ครั้งที่ 1
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดงาน China International Consumer Products Expo (Hainan Expo) ครั้งที่ 1
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี
พิธีเปิดงาน China International Consumer Products Expo
(Hainan Expo) ครั้งที่ 1
ท่านผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน
ท่านผู้นำมณฑลไห่หนาน
ท่านผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ
แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
“หนี - ห่าว” (สวัสดีครับ)
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มากล่าวในงาน Hainan Expo ครั้งแรกนี้ และขอชื่นชมความสำเร็จของจีนในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนสามารถจัดงานแสดงสินค้าระดับชาตินี้ขึ้นได้
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ผมได้หารือทางโทรศัพท์กับท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในโอกาสครบรอบ 45 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ซึ่งเราได้เห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นการเข้าร่วมงาน Hainan Expo ของรัฐบาลไทยและผู้ประกอบการไทยในครั้งนี้ถือเป็นการเน้นย้ำถึงความตั้งใจจริงของฝ่ายไทยที่จะดำเนินการตามผลการหารือระหว่างผมกับท่านประธานาธิบดีสีฯ ในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างพลวัตและความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลกผ่านนโยบายท่าเรือการค้าเสรีไห่หนานและข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม รวมทั้งช่วยรักษาระบบการค้าพหุภาคีและห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานอย่างรอบด้าน
แม้ไทยและจีนต่างประสบกับสถานการณ์โควิด-19 แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังคงแน่นแฟ้นและมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอยู่เสมอโดยเฉพาะความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ซึ่งสะท้อนได้จากการที่มีชาวจีนโพ้นทะเลจากมณฑลไห่หนานอาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่าหนึ่งล้านคน
ผมขอยืนยันว่า ไทยจะติดตามพัฒนาการของมณฑลไห่หนานอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาลู่ทางในการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม ซึ่งในชั้นนี้ ผมยินดีที่จะเรียนให้ทราบว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยกับกรมพาณิชย์มณฑลไห่หนานมีแผนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า โดยเฉพาะการพัฒนาMSMEs การร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (cross border e-commerce) และการจับคู่ธุรกิจ โดยผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะช่วยขยายขอบเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับไห่หนานให้กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป
โอกาสนี้ ผมขออวยพรให้งาน Hainan Expo ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และช่วยยกสถานะให้มณฑลไห่หนานเป็นท่าเรือการค้าเสรีที่มีคุณภาพสูง และเป็นประตูการค้าสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างจีนกับประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย
สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาลไทย ผมขอยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับฝ่ายจีนในการพัฒนา “ความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ให้ก้าวหน้าในทุกมิติ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ภูมิภาค และประชาคมระหว่างประเทศต่อไป
ขอบคุณครับ / สวัสดีครับ
* * * * * * * * * *
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41551 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 225 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.31 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 225 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.31 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 126 คดี ค่าปรับ 1.41 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 44 คดี ค่าปรับ 2.18 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 3 คดี ค่าปรับ 0.21 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 18 คดี ค่าปรับ 0.68 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 31 คดี ค่าปรับ 0.56 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 3 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 4,348.315 ลิตร ยาสูบ จำนวน 4,787 ซอง ไพ่ จำนวน 884 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 20,250.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จำนวน 39 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 6 พฤษภาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 16,876 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 303.24 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 9,646 คดี ค่าปรับ 85.56 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,782 คดี ค่าปรับ 107.69 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 360 คดี ค่าปรับ 5.81 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 780 คดี ค่าปรับ 45.95 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 75 คดี ค่าปรับ 2.80 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 857 คดี ค่าปรับ จำนวน 24.58 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 376 คดี ค่าปรับ 30.85 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,607,978.564 ลิตร ยาสูบ จำนวน 532,381 ซอง ไพ่ จำนวน 30,378 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,371,299.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 103,432 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,592 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์’ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภา มอบเงินและสิ่งของแก่จังหวัดนครพนม สู้โควิด-19 | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
‘พล.ต.อ.อดุลย์’ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภา มอบเงินและสิ่งของแก่จังหวัดนครพนม สู้โควิด-19
ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภาในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) และ มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ร่วมกับ เครือซีพี และภาคเอกชน มอบเงินและสิ่งของแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภาในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) และ มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ร่วมกับ เครือซีพี และภาคเอกชน มอบเงินและสิ่งของแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำไปส่งมอบแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันโควิด-19
เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ในนาม โครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) และ มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อีซี่ออลชัวร์ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ได้มอบเงิน หน้ากากอนามัย และสิ่งของอุปโภคบริโภค ให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ประชาชน ชาวจังหวัดนครพนม เพื่อใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย เงินสด จำนวน 200,000 บาท หน้ากากอนามัย จำนวน 60,000 ชิ้น ไข่ไก่ จำนวน 10,000 ฟอง รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท โดยมี นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และผู้นำชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อแจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41553 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบฉีดวัคซีนซิโนแวคผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
กก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบฉีดวัคซีนซิโนแวคผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบการให้วัคซีนซิโนแวคในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มอบ อย.ดำเนินการแก้ไข พร้อมออกอนุบัญญัติการเปรียบเทียบปรับกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าออกนอกเคหสถาน
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบการให้วัคซีนซิโนแวคในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มอบ อย.ดำเนินการแก้ไข พร้อมออกอนุบัญญัติการเปรียบเทียบปรับกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าออกนอกเคหสถาน กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคเอกชนเร่งรัดฉีดวัคซีนแรงงานระบบประกันสังคม 16 ล้านคน เพิ่มจุดบริการฉีด 382 แห่งทั่วประเทศ
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่5/2564 โดยมีนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติUHOSNET โรงพยาบาลเอกชนผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ ร่วมการประชุมและประชุมทางไกล
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้วกว่า 1.6 ล้านโดส ในเดือนพฤษภาคมนี้ มีวัคซีนของซิโนแวคเข้ามาจำนวนมากรวม 3.5 ล้านโดส และกระทรวงสาธารณสุขกำลังจัดหาเพิ่มให้ได้อย่างน้อย 100 ล้านโดส โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการให้บริการวัคซีน เพื่อเพิ่มความครอบคลุมการให้วัคซีนโดยเร็วที่สุด มีเป้าหมายการให้วัคซีนแก่บุคคลที่อยู่ในประเทศไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวม 50 ล้านคน ภายในเดือนธันวาคม 2564
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมี 3 ประเด็นสำคัญต่อการควบคุมโรคโควิด19คือ 1.กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายภาคเอกชน ดูแลวัยทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่อยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนกว่า 16 ล้านคน โดยภาคเอกชนจะสนับสนุนการจัดบริการฉีดวัคซีน เช่น เพิ่มจุดให้บริการฉีดวัคซีนที่ได้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขใน กทม. 82 แห่ง และต่างจังหวัด 300 แห่ง โดยมีบุคลากรภาคเอกชนมาร่วมดำเนินการด้วย ซึ่งเพิ่มจากระบบบริการที่เตรียมไว้แล้ว
2.เห็นชอบในหลักการแนวทางปฏิบัติการให้วัคซีนซิโนแวคในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีการวิจัยที่ประเทศจีนว่า การฉีดวัคซีนซิโนแวคในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพดี พบว่ามีความปลอดภัยและกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี โดยมอบสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการด้านกฎหมายต่อไปหากไม่มีข้อขัดข้องใด ๆ และ 3.การออกกฎหมายลูก (อนุบัญญัติ) ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 คือ ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบปรับ กรณีไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อออกนอกเคหสถานซึ่งมีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและรับเชื้อ ซึ่งจะปรับเกณฑ์การปรับโดยมีการพิจารณาอนุโลมยกเว้นหรือลดค่าปรับตามความเหมาะสม เพื่อมิให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายกับประชาชนจนเกินไปในยุคโควิดที่ลำบากอยู่แล้วนอกจากนี้ ยังออกประกาศแต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเพิ่มเติม ได้แก่ ข้าราชการสังกัดกรมราชทัณฑ์ตามตำแหน่งที่กำหนด และข้าราชการตำรวจสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“นอกจากการให้วัคซีนแก่ประชาชนคนไทยและการใช้กฎหมายในการควบคุมโรคแล้ว เครื่องมือสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล ทั้งการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ สแกนไทยชนะ ยังเป็นมาตรการหลักในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด 19”นายอนุทินกล่าว
*****************************7 พฤษภาคม 2564
******************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41562 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ชัยวุฒิ" เผย "ฝ่ายกฎหมาย" เตรียมดำเนินคดี "ก้าวไกล" โพสต์หมิ่นประมาท "นายกฯ-รัฐบาล" เป็น "โจรอุ้มโจร" หลัง ไม่พอใจคำวินิจฉัยศาลคดี "ธรรมนัส" เผย ไม่ขัด หากวิจารณ์ด้วยเหตุผล บนพื้นฐานวิชาการ | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
"ชัยวุฒิ" เผย "ฝ่ายกฎหมาย" เตรียมดำเนินคดี "ก้าวไกล" โพสต์หมิ่นประมาท "นายกฯ-รัฐบาล" เป็น "โจรอุ้มโจร" หลัง ไม่พอใจคำวินิจฉัยศาลคดี "ธรรมนัส" เผย ไม่ขัด หากวิจารณ์ด้วยเหตุผล บนพื้นฐานวิชาการ
"ชัยวุฒิ" เผย "ฝ่ายกฎหมาย" เตรียมดำเนินคดี "ก้าวไกล" โพสต์หมิ่นประมาท "นายกฯ-รัฐบาล" เป็น "โจรอุ้มโจร" หลัง ไม่พอใจคำวินิจฉัยศาลคดี "ธรรมนัส" เผย ไม่ขัด หากวิจารณ์ด้วยเหตุผล บนพื้นฐานวิชาการ
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดเผยถึงกรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่ารมช.เกษตรและสหกรณ์ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งส.ส.และรัฐมนตรีเนื่องจากคำตัดสินของศาลออสเตรเลียไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลไทยการวินิจฉัยคำร้องจึงไม่ตกอยู่ภายใต้ตุลาการรัฐอื่นจนเกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เนื่องจากคำตัดสินอาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ได้แต่เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วย่อมถือเป็นที่สิ้นสุดตนไม่ขัดข้องหากการวิพากย์วิจารณ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลหรืออยู่บนพื้นฐานทางวิชาการโดยไม่สร้างผลกระทบหรือก่อให้เกิดความเสียหายไม่ว่ากับตัวบุคคลหรือสถาบันใดในสังคมก็ตาม
นายชัยวุฒิกล่าวว่าแต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียมีการวิพากย์วิจารณ์ถึงกรณีดังกล่าวโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานเหตุผลแต่เป็นการใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าจึงสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายอย่างกรณีเพจเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกลที่ออกมาโพสต์ข้อความภายหลังทราบคำตัดสินของศาลด้วยการโจมตีรัฐบาลที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าเป็น"โจรอุ้มโจร"พร้อมภาพคู่ระหว่างนายกฯและร.อ.ธรรมนัสโดยเป็นการอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของนายชัยธวัชตุลาธนเลขาธิการพรรคก้าวไกลนั้นตนได้มอบหมายฝ่ายกฎหมายให้ตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวแล้วพบว่ามีความผิดชัดเจนเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาททำให้นายกฯและรัฐบาลถูกดูหมิ่นเกลียดชังผ่านข้อความในโซเชียลฯซึ่งล้วนไม่ใช่ข้อเท็จจริงแม้แต่น้อยและผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมดำเนินคดีแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาทและอาจเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย
"ผมไม่เป็นห่วงฝ่ายการเมืองเพราะถือว่ามีวุฒิภาวะรู้ผิดชอบชั่วดีและพร้อมจะรับผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำแต่สิ่งที่ผมห่วงคือประชาชนทั่วไปที่อาจได้รับข้อมูลข่าวสารไม่ครบถ้วนจนแสดงความคิดเห็นที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงรวมถึงการแชร์เฟคนิวส์ที่นอกจากจะยิ่งสร้างความไม่เข้าใจในสังคมแล้วยังอาจถูกดำเนินคดีอีกด้วยที่ผ่านมาก็มีหลายกรณีเกิดขึ้นให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว"นายชัยวุฒิกล่าว
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41563 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ สั่ง ปูพรมตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในโรงงาน 7 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ สั่ง ปูพรมตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในโรงงาน 7 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ในสถานประกอบการในพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมบูรณาการทำงานเชิงรุก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ในสถานประกอบการในพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบายตู้ตรวจโรคไปให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ถึงสถานประกอบการ
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผมได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24 – 48 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ
“ผมได้กำชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้มได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการ เพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41561 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดงาน Hainan Expo ย้ำความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 พร้อมพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดงาน Hainan Expo ย้ำความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 พร้อมพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดงาน Hainan Expo ย้ำความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 พร้อมพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
วันนี้ (6 พฤษภาคม 2564) เวลา 19.00 น. ณ จังหวัดไหโข่ว มณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดงาน China International Consumer Products Expo (Hainan Expo) ครั้งที่ 1 โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสำเร็จของจีนในการจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถจัดงานแสดงสินค้าระดับชาติขึ้นได้ พร้อมกล่าวการเข้าร่วมงาน Hainan Expo ของรัฐบาลไทยและผู้ประกอบการไทยในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของฝ่ายไทยในการดำเนินการตามผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างพลวัตและความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลกผ่านนโยบายท่าเรือการค้าเสรีไห่หนานและข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) ของจีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ร่วมกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง รักษาระบบการค้าพหุภาคีและห่วงโซ่อุปสงค์-อุปทานอย่างรอบด้าน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำความพร้อมของไทยในการเพิ่มพูนความร่วมมือกับมณฑลไห่หนาน โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยขณะนี้ หน่วยงานของทั้งสองฝ่ายมีแผนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับไห่หนานให้กว้างขวางยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันไทยพร้อมร่วมมือกับจีนในการพัฒนา “ความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ให้ก้าวหน้าในทุกมิติ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ภูมิภาค และประชาคมระหว่างประเทศต่อไป
อนึ่ง งาน China International Consumer Products Expo (Hainan Expo) ถือเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าระดับชาติของจีน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม 2564 ณ จังหวัดไหโข่ว มณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้หัวข้อหลัก “An Open China, a Pioneering Hainan” โดยกระทรวงพาณิชย์สาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับรัฐบาลมณฑลไห่หนาน เพื่อผลักดันมณฑลไห่หนานให้เป็นศูนย์กลางการจับจ่ายใช้สอยสินค้าปลอดภาษีและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน และมุ่งพัฒนาเป็นท่าเรือการค้าเสรีคุณภาพสูงระดับโลกภายในกลางศตวรรษที่ 21
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติไฟเขียวเดินหน้าแนวทางการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเปิดรับชาวต่างชาติ 4 ระยะ พร้อมหนุนคนทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นบุคลากรด่านหน้าต้องได้รับวัคซีน โควิด-19 สร้างความเชื่อมั่น | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติไฟเขียวเดินหน้าแนวทางการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเปิดรับชาวต่างชาติ 4 ระยะ พร้อมหนุนคนทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นบุคลากรด่านหน้าต้องได้รับวัคซีน โควิด-19 สร้างความเชื่อมั่น
คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติไฟเขียวเดินหน้าแนวทางการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเปิดรับชาวต่างชาติ 4 ระยะ พร้อมหนุนคนทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นบุคลากรด่านหน้าต้องได้รับวัคซีน โควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
วันที่ 7 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว. มอบหมายนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบ แนวทางการฟื้นฟูการท่องเที่ยว เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมกับมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ประกอบด้วย มอบหมายกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมและประสานรวบรวมจำนวนวัคซีนโควิด-19 ให้กับพื้นที่ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว 10 พื้นที่ กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาการจัดสรรวัคซีน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมความพร้อมด้านการตลาด และ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการจัดสรรวัคซีน
สำหรับแนวทางการเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวนี้ เกิดขึ้นจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน และจังหวัดต่างๆ โดยได้กำหนดช่วงดำเนินการเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 นำร่อง 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 64 เปิดรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีน มีใบรับรองการฉีดวัคซีน และกักตัวตามระยะเวลาที่ ศบค. กำหนด ระยะที่ 2 Phuket Sandbox 1 ก.ค. - 30 ก.ย. 64 เปิดรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีใบรับรองการฉีดวัคซีน เข้ามาในพื้นที่ภูเก็ตโดยไม่มีการกักตัว
ระยะที่ 3 ผ่อนคลายในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 64 เป็นต้นไป รับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน ขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดกระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ ชลบุรี บุรีรัมย์ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องกักตัว และระยะที่ 4 เข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป เปิดรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนแล้วและมีใบรับรองการฉีดวัคซีนเข้ามายังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว
สำหรับการประเมินพื้นที่ศักยภาพ 10 แห่งเพื่อดำเนินการ นั้น เลือกพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และบางส่วนของจังหวัดกระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ บางส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากจะมีการจัดการแข่งขันวิ่งภูเขาและวิ่งเทลชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 11 - 14 พ.ย. 2564 จังหวัดชลบุรีเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติและพื้นที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ ส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นแหล่งพักผ่อนที่สำคัญของทั้งชาวไทยและต่างชาติและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ จังหวัดเพชรบุรีเนื่องจากพื้นที่เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯและประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดบุรีรัมย์เนื่องจากจะมีการจัดการแข่งขันกีฬาหลายรายการ เช่น โมโต จีพี ในเดือนต.ค. 2564 และกรุงเทพฯ เป็นจุดหลายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่จะทำให้การดำเนินการตามแผนสำเร็จได้คือ ประชาชนและบุคลาการด้านการท่องเที่ยวในทุกพื้นที่จะต้องได้รับวัคซีนไม่ต่ำกว่า 70% ที่ประชุมจึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเพื่อเตรียมความพร้อมการกระจายวัคซีนโควิด - 19 ให้เป็นไปตามแผน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมก็ได้เห็นชอบในการสนับสนุนและผลักดันให้ดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ให้แก่บุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยให้ถือว่าเป็นบุคลากรกรด่านหน้าที่ต้องได้รับวัคซีนโดยเร็ว ในทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อรองรับนโยบายเปิดประเทศ ทั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทั้งนี้ ในปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 39.9 ล้านคน ทั้ง 10 จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 80%ของรายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปีดังกล่าว ซึ่งภายใต้แผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนี้ หากสามารถดำเนินการใน 10 จังหวัดได้ตามแผน จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 3,500,000 คน และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 298,192 ล้านบาท แยกเป็นเดินทางเข้ามาสร้างรายได้ของจังหวัดภูเก็ต 1,096,699 คน สร้างรายได้ 122,046 ล้านบาท เป็นการเดินทางเข้าและสร้างรายได้ให้กับ 9 จังหวัด 2,403,301 คน สร้างรายได้ 176,146 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุมได้ยังเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการแต่งตั้งและการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตการท่องเที่ยว พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นประกาศการกำหนดองค์ประกอบและวิธีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวแต่ละเขตซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 9 เขต และอยู่ระหว่างขั้นตอนการประกาศเพิ่มอีก 6 เขต
รายละเอียดประกาศจะครอบคลุมภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ตลอดจนกำหนดขอบเขตอำนาจ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละเขตมีบทบาทผลักดันการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ให้ชัดเจน ทั้งในแง่การรักษา ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว การบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ สนับสนุนให้รายได้ที่เกิดจากภาคท่องเที่ยว กระจายลงไปยังท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม
.................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41567 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสนับสนุนน้ำยาทำความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนโดยรอบเขตพระราชฐาน | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสนับสนุนน้ำยาทำความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนโดยรอบเขตพระราชฐาน
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสนับสนุนน้ำยาทำความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนโดยรอบเขตพระราชฐาน
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) เวลา 16.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสนับสนุนน้ำยาทำความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ จำนวน 530 ลิตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดำเนินการภายใต้โครงการจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ให้แก่ประชาชนโดยรอบเขตพระราชฐาน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ได้แก่ ชุมชนวัดญวน ชุมชนบ้านมนังคศิลา ชุมชนริมทางรถไฟ
โดยมี พล.ต.ท. ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนรับมอบ และส่งต่อให้ประธานชุมชนฯ แจกจ่ายให้กับคนในชุมชนต่อไป ณ จุดบริการประชาชนบ้านมนังคศิลา กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41570 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ. เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกล (VDO Conference)
วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบเครือข่ายการประชุมทางไกล (VDO Conference) โดยมี นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41565 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โควิดครั้งนี้ กลาโหม สนับสนุนทุกมิติ ไปจนถึงจัดการศพฟรี | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
โควิดครั้งนี้ กลาโหม สนับสนุนทุกมิติ ไปจนถึงจัดการศพฟรี
1.มิติชายแดน คนเข้าออก ลว. ชายแดนทั้งทางบกทางน้ำ
2.ทางอากาศ บริหารจัดการคนเข้าออกที่สนามบิน
3.บริหารจัดการ sq และ asq (พื้นที่กักกันแห่งรัฐ)
4 .จัดตั้ง รพ.สนาม
5 .สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ให้ สาธารณสุข
6.สนับสนุนเตียง ที่นอน ในการจัดตั้ง รพ.สนาม
7.สนับสนุน จนท. ช่วยสร้าง รพ.สนาม
8. สนับสนุน รถพร้อมพลขับ ให้ศูนย์เอราวัณ
9. สนับสนุน จนท. รับโทรศัพท์
10.สนับสนุนชุดตรวจตามจุดสกัด และชุดตรวจตามมาตรการผ่อนคลาย
11.สนับสนุนล่าม ภาษาเมียนมา
12. สนับสนุนคนขับรถนิรภัยพระราชทาน
13.จัดตั้งศูนย์การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
14.บริหารจัดการhospitel
15.นำกำลังพลบริจาคโลหิต
16.จัดตั้งสถานที่กักกันโรค ตามแนวชายแดน
17.ออกแจกจ่ายสิ่งอุปโภค บริโภค ให้กับประชาชน
18.อื่นๆตามที่จังหวัดร้องขอ เช่น ชุดประชาสัมพันธ์ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่
19.สนับสนุน บริการเผาศพ ผู้ป่วยโควิด ฟรีที่วัดโสมฯ
เราจะเคียงข้างกันและร่วมกันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41552 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน ‘สถาบันอนุสรี รวมใจให้กัน’มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยกลุ่มเปราะบาง จ.สมุทรสาคร | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
ประธาน ‘สถาบันอนุสรี รวมใจให้กัน’มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยกลุ่มเปราะบาง จ.สมุทรสาคร
‘อนุสรี ทับสุวรรณ’สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน ในฐานะ ‘ประธานสถาบันอนุสรี รวมใจให้กัน’ และคณะร่วมกับมูลนิธิพุทธรังษีได้นำสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคมอบแก่กลุ่มเปราะบาง (เด็กอ่อน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 เวลา 13.00 น. นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน ในฐานะ ‘ประธานสถาบันอนุสรี รวมใจให้กัน’ ร่วมกับมูลนิธิพุทธรังษี ได้นำสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคมอบแก่กลุ่มเปราะบาง (เด็กอ่อน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยมอบแก่สำนักงานประกันสังคมสมุทรสาคร ผ่าน ดร.ธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีแรงงานจังหวัด ประกันสังคมจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองจังหวัด จัดหางานจังหวัด พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรสาคร
โดยสิ่งของที่ได้นำไปมอบแก่กลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย 1) นมผงสำหรับเด็กอ่อน (แรกเกิด - 3 ขวบ) 100 กระป๋อง 2) นมกล่อง UHT สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ จำนวน 100 แพ็ค 3) นมผงสำหรับผู้ใหญ่ 100 กระป๋อง 4) ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด - 3 ขวบ (Size S-M) จำนวน 100 แพ็ค 5) ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ จำนวน 100 แพ็ค 6) ข้าวสารถุง 2 กิโลกรัม จำนวน 200 ถุง 7) น้ำดื่ม จำนวน 100 แพ็ค และ 8) ยาสามัญประจำบ้าน จำนวน 100 ชุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41544 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผยบริษัทไฟเซอร์ เข้าพบ เตรียมบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นให้เร็วที่สุด สำรองการผลิตส่งได้ไตรมาส 3-4 ปีนี้ | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
อนุทิน เผยบริษัทไฟเซอร์ เข้าพบ เตรียมบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นให้เร็วที่สุด สำรองการผลิตส่งได้ไตรมาส 3-4 ปีนี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลหารือผู้จัดการใหญ่ บริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย เตรียมบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นให้เร็วที่สุด เพื่อจัดหาวัคซีนสำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยไฟเซอร์จะสำรองการผลิตประมาณ 10-20 ล้านโดส ส่งได้ไตรมาส 3-4
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลหารือผู้จัดการใหญ่ บริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย เตรียมบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นให้เร็วที่สุด เพื่อจัดหาวัคซีนสำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยไฟเซอร์จะสำรองการผลิตประมาณ 10-20 ล้านโดส ส่งได้ไตรมาส 3-4 ของปีนี้ พร้อมเร่งรัดให้มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนกับ อย.
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หารือกับผู้จัดการใหญ่ บริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย ที่ขอเข้าพบเจรจาการจัดหาวัคซีน โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้เจรจากับผู้บริหารของบริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทย และได้ตกลงในหลักการและบันทึกข้อพิจารณาเบื้องต้นกับบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งไฟเซอร์ ระบุว่าหากบรรลุข้อตกลง วัคซีนของไฟเซอร์จะส่งมาถึงเมืองไทยในไตรมาส 3-4 ของปีนี้จำนวน 10 - 20 ล้านโดส แล้วแต่ความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข ได้ขอให้ไฟเซอร์ เร่งดำเนินการยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อได้ลงนามบันทึกข้อตกลงฉบับแรกร่วมกัน โดยไฟเซอร์ยืนยันจะทำสัญญากับภาครัฐเท่านั้น จากนั้นส่วน อย. พร้อมเร่งรัดการขึ้นทะเบียนตามเอกสารที่มีการส่งมาโดยเร็วที่สุด สำหรับการการจัดซื้อของภาคเอกชนรัฐบาลจะหาแนวทางสนับสนุนในลำดับต่อไป
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขพร้อมเดินหน้า โดยไม่ประวิงเวลา ในการจัดหาวัคซีนเข้ามายังประเทศไทยให้มากและโดยเร็วที่สุด และครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม โดย ครม. ได้อนุมัติงบกลางเพื่อจัดซื้อวัคซีนไว้แล้ว เนื่องจาก ณ ช่วงเวลานี้วัคซีนไฟเซอร์เป็นบริษัทผู้ผลิตเดียวที่ครอบคลุมเยาวชนตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไปส่วนข้อจำกัดของวัคซีน เช่น การควบคุมอุณหภูมิที่ -70 องศาเซลเซียส ขณะนี้ได้มีการผ่อนคลาย สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นและมีความเหมาะสมมากขึ้นสำหรับการนำมาใช้ในวงกว้างกับประเทศไทย
*****************************7 พฤษภาคม 2564
*********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41558 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิดจ๊อบส่งน้ำฤดูแล้ง พร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี 64 | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
ปิดจ๊อบส่งน้ำฤดูแล้ง พร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี 64
กระทรวงเกษตรฯ “ปิดจ๊อบส่งน้ำฤดูแล้ง พร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี 64” หลังการจัดสรรน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 เป็นไปตามแผนฯ พร้อมเดินหน้าเตรียมความพร้อมบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้า
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าว“ปิดจ๊อบส่งน้ำฤดูแล้งพร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี64”ผ่านระบบVDO Conferenceโดยมีนายประพิศจันทร์มาอธิบดีกรมชลประทานดร.ทวีศักดิ์ธนเดโชพลรองอธิบดีกรมชลประทานนางสาวสุกันยาณียะวิญชาญรองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาและผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าร่วมว่าขณะนี้ได้สิ้นสุดการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี2563/64 (เริ่มตั้งแต่1พ.ย. 63 – 30เม.ย.64)แล้วผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งทั้งประเทศ(ข้อมูลณวันที่30เม.ย. 64)มีการใช้น้ำตลอดฤดูแล้งที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นประมาณ16,717ล้านลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ88ของแผนฯซึ่งการใช้น้ำต่ำกว่าแผนวางไว้เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาวางแผนจัดสรรน้ำไว้รวม5,000ล้านลบ.ม.โดยใช้น้ำจาก4เขื่อนหลักรวม4,500ล้านลบ.ม.อีกส่วนหนึ่งผันมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง500ล้านลบ.ม.ผลการใช้น้ำตลอดฤดูแล้งรวมทั้งสิ้น4,892ล้านลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ98ของแผนฯจึงทำให้ภาพรวมผลการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้งเป็นไปตามแผนที่วางไว้เนื่องจากมีฝนตกบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนส่งผลให้การใช้น้ำจากเขื่อนลดลงที่สำคัญยังได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรในการนำน้ำจากแหล่งธรรมชาติในพื้นที่ของตนอาทิบ่อยืมหนองและบึงต่างๆมาใช้ในการเพาะปลูกทำให้การใช้น้ำเป็นไปตามแผนและเพียงพอ
สำหรับผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี2563/64ทั้งประเทศมีการเพาะปลูกรวมทั้งสิ้น5.95ล้านไร่(แผนวางไว้2.45ล้านไร่)แบ่งเป็นข้าวนาปรัง1.90ล้านไร่พืชไร่-พืชผัก0.55ล้านไร่เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาไม่มีแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังเนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนแต่จากการสำรวจพบว่ามีการทำนาปรังประมาณ2.79ล้านไร่เก็บเกี่ยวแล้ว2.593ล้านไร่ส่วนใหญ่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ของตนเองทำการเพาะปลูก
ทั้งนี้ตลอดในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯโดยกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างรัดกุมโดยจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศเป็นหลักตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีพร้อมกันนี้ยังได้เดินหน้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้งในพื้นที่56จังหวัด139อำเภอ220ตำบล344หมู่บ้านด้วยการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำ47คันคิดเป็นปริมาณน้ำกว่า12.67ล้านลิตรติดตั้งเครื่องสูบน้ำ433เครื่องแบ่งเป็นการสูบน้ำช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตรคิดเป็นปริมาณน้ำกว่า160ล้านลบ.ม.และยังมีเครื่องจักรกลอื่นๆอีก133หน่วยที่ส่งเข้าไปช่วยเหลือรวมไปถึงการซ่อม/สร้างทำนบ/ฝายรวม36แห่งและการขุดลอกแหล่งน้ำอีก34แห่งด้วย
นอกจากนี้กรมชลประทานยังได้ดำเนินการจัดจ้างแรงงานชลประทานทั่วประเทศในการดำเนินงานปรับปรุงซ่อมแซมบำรุงรักษาระบบชลประทานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19จนถึงขณะนี้มีผู้เข้าร่วมรับการจ้างงานกว่า63,088รายแล้ว
ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำและการรับมือฤดูฝนปี2564นั้นได้วางมาตรการบริหารจัดการน้ำได้แก่การจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศการส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนโดยใช้น้ำฝนเป็นหลักหลังกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการและมีฝนตกในพื้นที่สม่ำเสมอรวมทั้งการบริหารจัดการน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดควบคู่ไปกับการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนหรือแหล่งน้ำธรรมชาติให้ได้มากที่สุดนอกจากนี้ยังได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยกำหนดคนและกำหนดเครื่องจักรเครื่องมือกว่า5,935หน่วยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำที่อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกำชับไปยังโครงการชลประทานทั่วประเทศตรวจสอบสภาพความมั่นคงของเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง437แห่งและอาคารชลประทานทั่วประเทศอีก1,806แห่งให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพรวมทั้งสำรวจสิ่งกีดขวางทางและการกำจัดวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและคูคลองต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เก็บกัก(RULE CURVE)โดยพิจารณาปรับลดการระบายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาพร้อมกับใช้อาคารชลประทานในการจัดการจราจรน้ำตั้งแต่ต้นทางกลางทางและปลายทาง
"ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความพร้อมทั้งในด้านเครื่องจักรเครื่องมือและกำลังคนรวมถึงการบริหารจัดการน้ำซึ่งได้มอบหมายให้กรมชลประทานกำหนดมาตรการจัดการน้ำและการรับมือฤดูฝนปี2564โดยกำชับให้คำนึงถึงการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนโดยใช้น้ำฝนเป็นหลักนอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ให้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนประสานงานกับทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันและเน้นย้ำการสื่อสารกับพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบที่อาจเกินขึ้นรวมถึงสามารถบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย"ดร.เฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัด 2 มาตรการ [M13, M14] ช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่ พักชำระเงินต้น ลดดอกเบี้ย จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
ธอส. จัด 2 มาตรการ [M13, M14] ช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่ พักชำระเงินต้น ลดดอกเบี้ย จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน
ธอส. จัด 2 มาตรการ [M13, M14] ช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่ พักชำระเงินต้น ลดดอกเบี้ย จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่านแอป GHB ALL วันที่ 11-29 พฤษภาคม 2564 และ 11 มาตรการควบคุมด้านสถานที่และบุคลากรทุกสาขาทั่วประเทศ
คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ระลอกใหม่ ผ่าน “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” ด้วย 2 มาตรการช่วยเหลือ ประกอบด้วย มาตรการที่ 13 พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และมาตรการที่ 14 พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ เปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL ระหว่างวันที่ 11-29 พฤษภาคม 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ระลอกใหม่ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายระยะเวลาพักชำระหนี้โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจเพื่อลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราวนั้น วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) คณะกรรมการธนาคาร โดยนายยุทธนา หยิมการุณ ประธานกรรมการธนาคาร ได้มีมติเห็นชอบให้ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย “โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ปี 2564” ผ่านมาตรการที่ 13 และ 14 ซึ่งเป็น 2 มาตรการใหม่ ต่อเนื่องจากมาตรการที่ 1-12 ที่ธนาคารเคยให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการผ่าน Application : GHB ALL ระหว่างวันที่ 11-29 พฤษภาคม 2564 โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขาเพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของ COVID-19 พร้อมกับ Upload หลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ผ่านทาง Application : GHB ALL ให้ธนาคารพิจารณา เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย หรือ Statement เป็นต้น หรือ กรณีไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th โดยมีรายละเอียดของมาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน ระยะแรกเป็นเวลา 3 เดือน (1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2564) สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) ครอบคลุมทั้งลูกค้าที่ไม่เคย หรือเคยใช้ หรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการความช่วยเหลือเดิมของธนาคาร และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 รวมถึงยังไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามสัญญาเงินกู้
มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี ระยะแรกเป็นเวลา 3 เดือน(1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2564) สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะพ้นสิทธิการปรับโครงสร้างหนี้ที่ใช้อยู่หากใช้มาตรการที่ 14 และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้หรือข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้หรือตามคำพิพากษา
สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center)
โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 79 ปี | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 79 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 79 ปี
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ครบรอบ 79 ปี โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงาน โดยภายในงานมีพิธีถวายเครื่องบวงสรวงองค์พระนารายณ์และพระภูมิ ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41555 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สร้างการตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงาน | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
กสร. สร้างการตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน พร้อมสร้างการตระหนักรู้ และปลุกจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงาน จัดงานวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ระลึกโศกนาฏกรรมเคเดอร์สูญเสีย 188 ชีวิต
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 10พฤษภาคม เป็นวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ โดยได้มีการจัดงานเป็นประจำทุกปีเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมไฟไหม้รุนแรงที่โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ พุทธมณฑลสาย 4 จังหวัดนครปฐม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 188 คน และบาดเจ็บกว่า 400 คน กระทรวงแรงงานนำโดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการดูแลด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของพี่น้องแรงงานมาโดยตลอด จึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริม สร้างการตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงาน กสร.จึงได้จัดงานวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นของภาครัฐในการดูแลแรงงานให้มีความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี รวมทั้งพัฒนาภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย หรือ Safety Thailand เพื่อช่วยกันผลักดันงานความปลอดภัยในการทำงานให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานขึ้นในสังคมไทย จนนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานขององค์กรอย่างยั่งยืน ให้แก่ นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ความปลอดภัยในการทำงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 60 พรรษา ณ อาคาร Smart Job Center กระทรวงแรงงาน เป็นศูนย์การเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ทุกภาคส่วน
อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดงานที่ผ่านมาจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านความปลอดภัยในส่วนกลาง แต่เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ซึ่งได้นำระบบสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเว้นระยะห่างและลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ผ่านระบบ Facebook Live กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) ภายในงานมีกิจกรรม อาทิ การบรรยาย เรื่อง กฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนและการอนุญาตให้บริการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2564 การอภิปรายถอดบทเรียนกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานในที่อับอากาศ โดยวิทยากร นาวาเอก เสฏฐศิริ แสงสุวรรณ กรมแพทย์ทหารเรือ และ พ.จ.อ. สุนันท์ ประสมรัตน์ บริษัท พิทยา อินเตอร์เนชั่นแนลเซฟตี้ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41546 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-MRT ดูแลผู้โดยสารที่มีเที่ยวโดยสารหมดอายุ จากผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่ | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
MRT ดูแลผู้โดยสารที่มีเที่ยวโดยสารหมดอายุ จากผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่
ตามที่ รัฐบาลได้กำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ระลอกใหม่ โดยขอความร่วมมือให้ภาครัฐและเอกชนพิจารณาและดำเนินรูปแบบการปฏิบัติงานของบุคลากรในความรับผิดชอบโดยอาจปฏิบัติงานในที่พักอาศัย (Work From Home)
การสลับวันหรือการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติงานเพื่อลดจำนวนผู้เข้าปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อฯ และตามประกาศกรมการขนส่งทางราง เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณีบัตรโดยสารรายเดือน ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่ซื้อเที่ยวโดยสารแล้วไม่ได้เดินทางทำให้เที่ยวเดินทางหมดอายุนั้น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) จึงได้ออกมาตรการเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ที่มีเที่ยวโดยสาร(Trip Pass)หมดอายุ จากผลกระทบ COVID - 19 ระลอกใหม่ ผู้โดยสารที่มีเที่ยวโดยสาร ในบัตร MRT และ MRT Plus ประเภท 30 วัน ที่หมดอายุตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 และเที่ยวโดยสารประเภท 60 วัน ที่หมดอายุตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 30 มิถุนายน 2564 สามารถขอเปลี่ยนเที่ยวโดยสารที่หมดอายุเป็นคูปองเดินทางตามจำนวนเที่ยวโดยสารที่คงเหลือ โดยนำบัตรโดยสารไปติดต่อขอรับคูปอง ตามประเภทของเที่ยวโดยสารที่หมดอายุ ได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งคูปองการเดินทางดังกล่าวจะมีอายุการใช้งาน 60 วัน นับจากวันที่ได้รับคูปอง ทั้งนี้ผู้โดยสารต้องขอรับสิทธ์ิเที่ยวโดยสารที่หมดอายุก่อนเติมเที่ยวโดยสารใหม่ และไม่สามารถซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน หรือคืนได้ทุกกรณี โดยมีเงื่อนไขการใช้เดินทางเป็นไปตามที่ รฟม. และBEM กำหนดฯ
ทั้งนี้ รฟม. และ BEM จะยังคงดำเนินมาตรการป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ในระบบรถไฟฟ้า MRT อย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้โดยสารเดินทางได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย และขอขอบคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ด้วยดีเสมอมา เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างดูแลผู้โดยสารและขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 เฟซบุ๊ก: MRT Bangkok Metro ทวิตเตอร์: MRT Bangkok Metro อินสตาแกรม: mrt_bangkok หรือ โมบายแอปพลิเคชัน: Bangkok MRT และติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. บันทึกเทปรายการคุณพระช่วย | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ. บันทึกเทปรายการคุณพระช่วย
ตอน การประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ ในชื่อว่า “รวมศิลป์แผ่นดินสยาม”
วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปรายการคุณพระช่วย ตอน การประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้านชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ ในชื่อว่า “รวมศิลป์แผ่นดินสยาม” ผ่านระบบ True VROOM ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41564 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยภาคเอกชน เสนอให้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยภาคเอกชน เสนอให้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา
โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลไม่ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยภาคเอกชน เสนอให้จัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา และสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทันภายในปี 2564 เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมกำหนดค่าบริการฉีดวัคซีนฯใน รพ. เอกช
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ผลการประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานคณะทำงาน ถึงแนวทางในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน โดยควรกำหนดให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าควบคุม ซึ่งสถานพยาบาลภาคเอกชนควรคัดเลือกวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก ที่มีคุณลักษณะหรือยี่ห้อที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา และสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทันภายในปี 2564 รวมทั้งในอนาคตกรณีที่มีการวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ก็สามารถนำเสนอวัคซีนทางเลือกรายการอื่นเพิ่มเติมต่อไปได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะทำงานฯยังได้สรุปการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมสำหรับภาครัฐ ประกอบด้วย Pfizer, Sputnik V และ Johnson & Johnson และในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของสถานพยาบาลเอกชนนั้น ที่ประชุมคณะทำงานฯมีความเห็นว่า ควรเป็นวัคซีนโควิด-19 ในรายการอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้บริการโดยภาครัฐและสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อให้เป็นวัคซีนทางเลือกอย่างแท้จริง และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับภาครัฐ เช่น Moderna, Sinopharm หรือวัคซีนอื่นที่มีการขึ้นทะเบียนต่อไปในอนาคต โดยขอให้มีการควบคุมราคาการให้บริการในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกให้กับประชาชนในสถานพยาบาลเอกชนให้สมเหตุสมผล และมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งที่ประชุมคณะทำงานฯได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ช่วยผลักดันให้มีบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนเข้ามาขึ้นทะเบียนในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับการจัดหาวัคซีนในสถานพยาบาลเอกชน นั้น องค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้บริหารจัดการและประสานกับบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีน โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย (Product Liability) และสถานพยาบาลเอกชน/ภาคเอกชนที่ประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องชำระเงินจองวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกล่วงหน้าให้แก่องค์การเภสัชกรรมเต็มจำนวนมูลค่าการสั่งซื้อ (100%) รวมทั้ง จัดทำประกันสำหรับกรณีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยภาคเอกชนที่มีความประสงค์จะขอนำเข้าวัคซีนทางเลือก สามารถดำเนินการแต่งตั้งตัวแทนจากบริษัทวัคซีนต้นทางและยื่นหนังสือต่อองค์การเภสัชกรรม โดยที่ประชุมคณะทำงานฯเห็นควรมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) เพื่อดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในการจัดหาวัคซีน ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาวัคซีนที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
.......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41545 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางแนวใหม่สายเลี่ยงเมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ออกแบบทางแนวใหม่สายเลี่ยงเมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี
ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร พัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งเส้นทางภูมิภาคและประตูการค้าระหว่างประเทศ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญกับประตูการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและมาบตาพุด และช่วยแยกการจราจรผ่านเมืองพนัสนิคมออกจากการจราจรท้องถิ่นภายในอำเภอพนัสนิคม เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่หนาแน่นและติดขัด เพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรและพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบทางหลวง
โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ทางหลวงหมายเลข 315 (ฉะเชิงเทรา-พนัสนิคม) ที่ กม.17+500 ตัดผ่านถนนบ้านกลางเลียบด้านตะวันตกของหมู่บ้านเอื้ออาทร ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 315 (พนัสนิคม-ชลบุรี) ที่ กม.29+800 มุ่งไปทางด้านใต้ ทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 349 ที่ กม.4+300 มุ่งทางด้านตะวันออก ตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 3284 ที่ กม.1+800 แล้วมุ่งทางด้านตะวันออกตัดผ่านทางหลวงหมายเลข 3246 ที่ กม.4+900 และมุ่งหน้าทางทิศเหนือผ่านทางหลวงชนบทสาย ชบ.3104 ที่ กม.8+400 ตัดผ่านทางหลวงชนบทสาย ชบ.3086 ที่ กม.1+400 ตัดผ่านถนนเมืองเก่าอ้อมด้านเหนือของโครงการอนุรักษ์พื้นฟูแหล่งน้ำไร่หลักทอง บรรจบที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 315 (ฉะเชิงเทรา-พนัสนิคม)
โดยก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตขนาด 4 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร เกาะกลางแบบกดเป็นร่องกว้าง 9.10 เมตร มีเขตทางกว้าง 60 เมตร รวมระยะทาง 41.20 กิโลเมตร งบประมาณโครงการทั้งหมด 7,732 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 6,274 ล้านบาท และค่าเวนคืนที่ดิน 1,458 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วเสร็จ ไปเมื่อปี พ.ศ.2561 ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลเพื่อขอออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน ทั้งนี้หากโครงการซึ่งมีการเวนคืนที่ดินแล้วจะมีความพร้อมเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปี พ.ศ.2566 แล้วเสร็จปี พ.ศ.2568
โดยรูปแบบทางแยกโครงการมี 9 จุดตัด ดังนี้
1) จุดตัดทางหลวงหมายเลข 315 (ฉะเชิงเทรา-พนัสนิคม) ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจรตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นวงเวียนขนาด 2 ช่องจราจร และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
2) จุดตัดถนนบ้านกลาง ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นทางแยกระดับพื้น ลักษณะสี่แยกบนถนนบ้านกลาง และปรับปรุงให้มีขนาด 4 ช่องจราจร
3) จุดตัดทางหลวงหมายเลข 315 (พนัสนิคม-ชลบุรี) ออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับ โดยมีสะพานข้ามแยกบนถนนโครงการข้ามทางหลวงหมายเลข 315 และมีทางยกระดับเลี้ยวขวาจากด้านตะวันตกของทางหลวงหมายเลข 315 ไปด้านใต้ของถนนโครงการ และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
4) จุดตัดทางหลวงหมายเลข 349 ออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับ โดยมีสะพานข้ามแยกบนถนนโครงการข้ามทางหลวงหมายเลข 349 มีทางยกระดับเลี้ยวขวาจากด้านตะวันตกของถนนโครงการ ไปด้านใต้ของทางหลวงหมายเลข 349 มีทางยกระดับเลี้ยวขวาจากด้านใต้ของทางหลวงหมายเลข 349 ไปด้านตะวันออกของถนนโครงการ และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
5) จุดตัดทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคมกับทางหลวงหมายเลข 3284 ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นวงเวียน และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
6) จุดตัดทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคมกับทางหลวงหมายเลข 3246 ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นวงเวียน และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
7) จุดตัดทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคมกับทางหลวงชนบท สาย ชบ.3104 ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นวงเวียน 2 วง ลักษณะดัมเบลบนถนนทางหลวงชนบท สาย ชบ.3104 และมีจุดกลับรถใต้สะพาน
8) จุดตัดทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคมกับทางหลวงชนบท สาย ชบ.3086 ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นทางแยกระดับพื้น ลักษณะสี่แยกบนทางหลวงชนบท สาย ชบ.3086 และปรับปรุงให้มีขนาด 4 ช่องจราจร
9) จุดตัดถนนเมืองเก่า ออกแบบเป็นสะพานข้ามแยกขนาด 4 ช่องจราจร ตามแนวถนนโครงการ โดยใต้สะพานข้ามแยกออกแบบเป็นทางแยกระดับพื้น ลักษณะสี่แยกบนถนนเมืองเก่า และปรับปรุงให้มีขนาด 4 ช่องจราจร
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด แก้ปัญหาการจราจรที่แออัด และหนาแน่นในตัวอำเภอพนัสนิคมอย่างเป็นรูปธรรมและช่วยให้การขนส่งสินค้ามีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งในเขตอำเภอพนัสนิคม และพื้นที่ใกล้เคียงไปยังจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประตูการค้าชายแดนด่านอรัญประเทศจังหวัดสระแก้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41557 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมเปิดรพ.บุษราคัมเบื้องต้น 1,200 เตียง รับผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเหลือง จาก กทม. | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
สธ. เตรียมเปิดรพ.บุษราคัมเบื้องต้น 1,200 เตียง รับผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเหลือง จาก กทม.
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ขนาด 1,200 เตียง ขยายได้ถึง 5,000 เตียงรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการกลุ่มสีเหลือง จาก กทม. พร้อมเปิดกลางเดือนพฤษภาคม
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ขนาด 1,200 เตียง ขยายได้ถึง 5,000 เตียงรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการกลุ่มสีเหลือง จาก กทม. พร้อมเปิดกลางเดือนพฤษภาคม
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่อาคารชาเลนเจอร์เมืองทองธานี เตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมรับมอบเตียงกระดาษจาก บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัดสนับสนุนเพื่อสำหรับใช้ในโรงพยาบาลบุษราคัม เบื้องต้นจำนวน 3,500 เตียง
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ที่ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี รองรับสถานการณ์โควิด19 ใน กทม. และพื้นที่โดยรอบที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่เหมาะสมมีขนาดใหญ่ มีความสะดวกในการรับและส่งต่อ สำหรับรองรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการกลุ่มสีเหลืองจาก กทม. มาดูแลรักษา ทั้งจากในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และจากสายด่วนต่างๆ เป็นการช่วยให้โรงพยาบาลในเขต กทม. มีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักกลุ่มสีแดงได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนคาดว่าจะเปิดให้บริการได้กลางเดือนพฤษภาคม
“โรงพยาบาลบุษราคัม เป็นการทำงานร่วมกันของทุกกรม ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด ได้รับการรักษาที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ ผู้ป่วยทุกคนต้องเข้าถึงการรักษาตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้าน ขอให้ประชาชนมั่นใจระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่มีการป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ภายนอก การบำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะติดเชื้อ” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เบื้องต้นจะรองรับผู้ติดเชื้อประมาณ 1,200 เตียง สามารถขยายได้ถึง 5,000 เตียง ให้บริการดูแลเฉพาะผู้ป่วยโควิดครบวงจร รวมไปถึงการดูแลสุขภาพจิตของผู้ติดเชื้อ มีความพร้อมทั้งยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้แก่ รถX-ray เคลื่อนที่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เครื่องช่วยหายใจประมาณ 100 ตัว มีโซนทำหัตถการ โดยใช้ทรัพยากรจากเขตสุขภาพที่ 4 และระดมบุคลากร เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่จากหน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศหมุนเวียนมาให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ช่วยดูแลจัดการการเข้า-ออกพื้นที่ และระบบดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
*****************************7 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41569 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า แจ้งตารางการให้บริการเรือข้ามฟาก | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า แจ้งตารางการให้บริการเรือข้ามฟาก
...
กรมเจ้าท่าแจ้งตารางการให้บริการเรือข้ามฟาก ดังนี้
ท่าเรือกรมเจ้าท่า - ท่าเรือปากคลอง
ให้บริการวันจันทร์ - วันศุกร์
ช่วงเช้า 06.30 - 08.00 น.
ช่วงเย็น 16.30 - 18.00 น.
หยุดให้บริการไปท่าเรือล้ง1919 จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะคลี่คลาย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย | วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 4 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 141 เขตการเดินรถที่ 5
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เขตการเดินรถที่ 4
3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 7 เขตการเดินรถที่ 6
4) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 4 เขตการเดินรถที่ 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลลุยลดจุดความร้อน ต้นเหตุฝุ่น PM2.5 สี่เดือนแรกลด 53% | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลลุยลดจุดความร้อน ต้นเหตุฝุ่น PM2.5 สี่เดือนแรกลด 53%
รัฐบาลลุยลดจุดความร้อน ต้นเหตุฝุ่น PM2.5 สี่เดือนแรกลด 53%
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลได้เร่งดำเนินการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยแนวทางสำคัญอันหนึ่งคือการลดจุดความร้อน (Hot Spot) ลดการเผาในที่โลงแจ้ง ซึ่งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (Gistda) รายงานว่า เปรียบเทียบระหว่างช่วงเดือนม.ค.- เม.ย. ปีนี้ กับปีที่ผ่านมา ทุกพื้นที่ของประเทศมีจุดความร้อนลดลง ร้อยละ 53 เป็นผลจากการทำงานอย่างบูรณาการระหว่างกระทวง และความร่วมมือจากประชาชน ประกอบด้วย
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา รวม 280 เครือข่าย มีการดำเนินการหลากหลายแนวทางในการจัดการเศษวัสดุตามความเหมาะสมและบริบทของชุมชน ช่วยลดต้นทุนการผลิตและสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการจัดการเศษวัสดุ เช่น การไถกลบตอซังฟางข้าว หรือเศษซากพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน นำมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์/ปุ๋ยหมักทดแทนปุ๋ยเคมี นำเปลือกซังข้าวโพดหรือฟางมาทำวัสดุเพาะปลูก เป็นอาหารสัตว์ หรือพลังงานทดแทน สำหรับในพื้นที่เกษตร มีจุดความร้อนสะสมลดลง ร้อยละ 47
2. กระทรวงอุตสาหกรรม ออกมาตรการแก้ปัญหาการเผาอ้อยส่งโรงงาน หรือที่เรียกว่าอ้อยไฟไหม้ โดยออกโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีส่งโรงงาน อัตรา 120 บาทต่อตัน เป้าหมายอ้อยสดสัดส่วน 80% ของปริมาณอ้อย คาดการณ์ประมาณ 70 ล้านตัน หรือเป็นอ้อยสด 56 ล้านตัน และมีมาตรการอื่นๆ เช่น หักเงินชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยไฟไหม้ตันละ 30 บาท กำหนดโทษปรับโรงงานที่รับอ้อยไฟไหม้เกินเกณฑ์ที่กำหนด จัดหาเครื่องสางใบอ้อยให้เกษตรกรยืม เพื่ออำนวยสะดวกในการตัดอ้อยสด ส่งเสริมการรับซื้อใบอ้อย เพื่อเพิ่มรายได้และลดการเผาใบอ้อยหลังตัด และ สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยกู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น
3. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการชิงเก็บลดเผา ในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ให้ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อเก็บเชื้อเพลิง ใบไม้ ใบหญ้าในป่า เพื่อไปแปรสภาพให้เกิดมูลค่า เช่น ปุ๋ย เชื้อเพลิงขยะ และมีเอกชนมารับซื้อ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา สามารถทำได้เกินเป้า จากที่ตั้งเป้าเก็บเชื้อเพลิงจากพื้นที่ป่า เฉลี่ยจังหวัดละ 100 ตัน ปริมาณรวมเท่ากับ 1,700 ตัน ซึ่งทำได้จริง 2,250 ตัน มากไปกว่านั้น ยังได้ดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากไฟป่า ครอบคลุมการประชาสัมพันธ์เชิงรุก จัดฝึกอบรมเสริมบทบาทชุมชน เครือข่ายภาคประชาชนและจิตอาสาเพื่อร่วมเป็นชุดปฏิบัติการระดับหมู่บ้านในการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และดับไฟป่า
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า แม้จำนวนจุดความร้อนจะลดลง กอปรกับเข้าฤดูฝนทำให้ช่วยคลายกังวลเรื่องไฟป่าได้บ้าง แต่การดำเนินการในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้มุ่งมั่นกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง และได้ขอบคุณทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันจนเกิดความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ท้าทายควบคู่กับการจัดการภายในประเทศ คือ ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ซึ่งประเทศไทยยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนในทุกด้านกับอาเซียน ที่ผ่านมาไทยถือได้ว่าเป็นผู้นำในการให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าแก่ประเทศเพื่อนบ้านด้วย
...................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เห็นชอบดำเนินการโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่คนไทยภาคภูมิใจร่วมกัน | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
นายกฯ เห็นชอบดำเนินการโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่คนไทยภาคภูมิใจร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบดำเนินการโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่คนไทยภาคภูมิใจร่วมกัน
วันนี้ (24 พ.ค.64) เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิตติ” กับสวนสาธารณะอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินการสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยสวนแห่งนี้ จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ เป็นสวนสาธารณะใหม่ที่คนไทยภาคภูมิใจร่วมกัน เป็นปรากฏการณ์ของเมืองไทยใหม่ ที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของคนไทยและคนต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว และเป็นสวนสาธารณะที่ช่วยแก้ไขปัญหา PM2.5 ได้ด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิด เน้นให้มีการสร้างสีสันให้กรุงเทพมหานครด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล ภายในสวนต้องเป็นแหล่งของการเรียนรู้ มีพื้นที่สำหรับเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เป็นสถานที่เล่นดนตรีในสวน มีพื้นที่ให้กับสมาชิกครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาออกกำลังกายในพื้นที่ที่ควบคุมได้ รวมทั้งเป็นแหล่งการท่องเที่ยวที่ประชาชนทุกคนและกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งให้คำนึงถึงความปลอดภัยและความสะอาดเป็นสำคัญด้วย
สำหรับมติที่ประชุมที่สำคัญคือ ที่ประชุมมีมติรับทราบการดำเนินโครงการสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” ที่เป็นการดำเนินการภายใต้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2534 ในพื้นที่เดิมของโรงงานยาสูบ เนื้อที่ประมาณ 450 ไร่ โดยในปี 2547 ได้จัดสร้างสวนน้ำเนื้อที่ 130 ไร่แล้วเสร็จ และในปี 2559 ได้ดำเนินการจัดสร้างสวนป่า ระยะที่ 1 เนื้อที่ 61 ไร่แล้วเสร็จ และได้ส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวให้กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาและบริหารจัดการแล้ว สำหรับการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 เนื้อที่ 259 ไร่ ในปี 2563 กรมธนารักษ์ได้ขอความร่วมมือจากกองทัพบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 เนื้อที่ 259 ไร่ เพื่อให้การก่อสร้างสวนป่าแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดและสามารถจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 พื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างกองทัพบกดำเนินการก่อสร้างโดยมีความคืบหน้าการก่อสร้าง พื้นที่ก่อสร้างที่ 1 ร้อยละ 70.18 พื้นที่ก่อสร้างที่ 2 ร้อยละ 15.40
นอกจากนี้ ยังรับทราบการดำเนินการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี ตามที่กรมธนารักษ์และกรุงเทพมหานคร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการงานปรับปรุงภูมิทัศน์ทางคนเดิน-ทางจักรยาน (สะพานเขียว) และการปรับปรุงสวนลุมพินี ในวาระครบรอบ 100 ปี โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่โครงการ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมรูปแบบให้สะพานเขียวดังกล่าวเชื่อมต่อระหว่างสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินีได้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 63/2564 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนสาธารณะอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร และเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี ซึ่งมีองค์ประกอบของคณะกรรมการคือ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงาน จำนวน 15 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยมีอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ หัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงาน จำนวน 3 คน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยคณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ในการอำนวยการจัดสร้างสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และสั่งการ บริหาร ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนงานการเชื่อมต่อระหว่างสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการ จาก “โครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” และสวนสาธารณะอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร เป็น “การดำเนินโครงการเชื่อมสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี” โดยมอบหมายให้กรุงเทพมหานครจัดทำรูปแบบสะพานเขียวเพิ่มเติม เพื่อให้มีการเชื่อมต่อระหว่างสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” กับสวนลุมพินี พร้อมจัดทำรายละเอียดโครงการ แผนการดำเนินงาน และประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เรียกประชุมเร่งปิดช่องว่างชายแดนยันพื้นที่ชั้นใน ย้ำงานเชิงรุกทำลายเส้นทางและโครงสร้าง วอนผู้ประกอบการหยุดใช้แรงงานเถื่อน" | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
"เรียกประชุมเร่งปิดช่องว่างชายแดนยันพื้นที่ชั้นใน ย้ำงานเชิงรุกทำลายเส้นทางและโครงสร้าง วอนผู้ประกอบการหยุดใช้แรงงานเถื่อน"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ได้เรียกประชุมศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด โดยมี รมว.มท. รมว.รง. รมช.กห. ปล.กห. ผบ.ตร.และ ผบ.ทสส.ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ทำเนียบรัฐบาล และ มีผวจ.จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย จว.แม่ฮ่องสอน , จว.กาญจนบุรี, จว.อุบลราชธานี , จว.สระแก้ว และ จว.นราธิวาส ร่วมประชุมด้วย ผ่านระบบ VTC เพื่อมอบนโยบายแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ภาพรวมสถานการณ์ ยังพบความต้องการแรงงานและขบวนการลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและขนย้ายส่งต่อเข้าพื้นที่ชั้นในไปยังสถานประกอบการในหลายจังหวัด โดยตั้งแต่ ก.ค.62 ถึงปัจจุบัน ทหาร ตำรวจได้ร่วมจัดตั้งจุดตรวจร่วม 1,086 จุด สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 3,2812 คน โดยจับได้ในพื้นที่ชายแดน 23,258 คน พื้นที่ชั้นใน 9554 คน เป็นผู้นำพา 264 คน ทำลายเครือข่ายไปแล้ว 105 เครือข่าย
พล.อ.ประวิตร’ ได้ย้ำสั่งการ ขอให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” ร่วมกันคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับการคุมเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ตั้งแต่พื้นที่ชายแดน ต่อเนื่องเข้ามาพื้นที่ชั้นในและเขตเมืองอย่างเป็นระบบ โดยกำชับ เน้นงานข่าวย้อนกลับจากผลสอบสวนและต้องปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นให้ได้ ตามสืบจับขยายผลทำลายเส้นทางและโครงสร้างขบวนการลักลอบนำพาแรงงาน ตั้งแต่ต้นทางชายแดน ถึงปลายทางสถานประกอบการ พร้อมย้ำกับทุกส่วนราชการ หากมีการปล่อยปละละเลย หรือบกพร่องต่อหน้าที่ ต้องมีผู้รับผิดชอบ และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องสมประโยชน์ทุกระดับไม่มียกเว้น
รอง นรม. ยังได้กำชับ มท. ย้ำกับ ผวจ.ทุกจังหวัดชายแดน ต้องใช้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” เพิ่มความถี่ลงกำกับขับเคลื่อนงานกับหน่วยงานความมั่นคงในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจริงจังถึงระดับหมู่บ้าน ตำบลติดชายแดน คู่ไปกับกลไก กอ.รมน.จว. โดยให้วางเครือข่ายเฝ้าระวังดึงประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา ไม่ให้มีผู้ลักลอบหลบหนีเข้ามาในทุกช่องทาง โดยเฉพาะต้องหยุดการเคลื่อนไหวของผู้นำพาในพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ขยายผลความร่วมมือประชาชนไปด้วยกัน
สำหรับกระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร’ ได้ย้ำสั่งการให้เร่งเข้าไปตรวจสอบความเชื่อมโยงจากผลการสอบสวนถึงผู้ประกอบการที่สั่งนำแรงงานเถื่อนเข้าและให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคง ทำลายเครือข่ายการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเดิมและที่พบใหม่ให้หมดสิ้นโดยเร็ว พร้อมกับให้เร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังตกค้างให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเร็ว พร้อมกันนี้ขอให้ดำรงความต่อเนื่องเชิงรุก ตรวจคัดกรองแค้มป์คนงานและสถานประกอบการ รวมทั้งกำกับติดตามการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อนที่อาจนำพาโรคโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ขอให้เน้นงานเชิงรุกให้มากขึ้น กำหนดมาตรการป้องกันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด กับสถานประกอบการที่ยังใช้แรงงานผิดกฎหมาย ร่วมไปกับขอความร่วมมือสถานประกอบการระงับการใช้แรงงานผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด
นอกจากนั้น พล.อ.ประวิตร’ ยังได้ย้ำ ขอให้ ตร.ประสานแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองกับประเทศเพื่อนบ้าน และกำชับการทำงานของหน่วยงาน ตชด. ตม.และตำรวจภูธรทุกพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของ ศูนย์สั่งการชายแดนฯ และกวดขันเพิ่มจุดตรวจทั้งเส้นทางหลักและรอง สกัดกั้นการลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในพื้นที่ชั้น และควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อน ทั้งนี้ยังให้คงความต่อเนื่องเปิดปฏิบัติการ กวาดล้างจับกุมการค้ามนุษย์ ยาเสพติด แหล่งมั่วสุมในทุกพื้นที่ชุมชน โดยให้ขยายผลยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทุกราย เพื่อร่วมกันควบคุมโรคและการกระทำที่ผิดกฎหมายควบคู่กันไป พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ห่วงใย มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
รฟม. ห่วงใย มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน
เปิดรับสมัครร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT ผลิตอาหารกล่องส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปัจจุบัน รฟม. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม ด้วยการเปิดรับสมัครร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 โดย รฟม. จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารที่ได้รับการคัดเลือก นำไปส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในสถานพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม
การเปิดรับสมัครร้านอาหารต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็นร้านอาหารที่เปิดมาอย่างน้อย 1 ปี และสามารถทำอาหารบรรจุกล่องได้วันละ 100 กล่องขึ้นไป
2. ตั้งอยู่ในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT ทั้งที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยมีระยะห่างไม่เกิน 1 กิโลเมตร จากแนวรถไฟฟ้า
ร้านอาหารที่สนใจสามารถดูรายละเอียดที่เพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และสแกน QR Code เพื่อลงทะเบียนในแบบฟอร์ม ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ร้านอาหารที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับการติดต่อกลับจาก รฟม.
นอกจากนี้ ผู้บริหารและพนักงาน รฟม. ได้มีส่วนร่วมในการส่งมอบกำลังใจ และความห่วงใย โดยการเขียนข้อความให้กำลังใจ เพื่อนำไปติดลงบนกล่องอาหาร ก่อนนำไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในสถานพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองกิจกรรมองค์กร สำนักสื่อสารองค์กร โทร 0 2716 4000 ต่อ 1754 , 1713 , 1703 (วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.00 - 17.00 น.) ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำจาง จังหวัดลำปาง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรของประชาชน | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำจาง จังหวัดลำปาง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรของประชาชน
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) เร่งขับเคลื่อนภารกิจการขุดลอกแม่น้ำตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ภาคเหนือบริเวณแม่น้ำจาง จังหวัดลำปาง รวมทั้งความตื้นเขินของแม่น้ำจากตะกอนทรายและวัชพืช ทำให้การกักเก็บน้ำในฤดูแล้งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่ใช้น้ำทำเกษตรกรรม และอุปโภค - บริโภค โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำจาง ตำบลสบป้าด อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ใช้รถขุด ชม.14 และรถขุดจ้างเช่าเอกชน ขุดลอกช่วงที่ 1 ตั้งแต่ กม.81+330 ถึง กม.84+150 และช่วงที่ 2 ตั้งแต่ กม.87+100 ถึง กม.87+650 ระยะทางรวม 3,400 เมตร ความกว้าง 15 - 20 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 253.50 - 264.00 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ปริมาณวัสดุขุดลอก 54,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 100 วัน ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ร้อยละ 80.24 คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน
ทั้งนี้ หากการขุดลอกแม่น้ำจางแล้วเสร็จ จะทำให้ประชาชนในพื้นที่มีแหล่งกักเก็บน้ำเพื่ออุปโภค - บริโภคตลอดทั้งปี ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่ทางการเกษตร สร้างความสุขแก่ประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด – 19 เข็มที่ 2 ย้ำคุณภาพวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพปลอดภัย ยืนยันประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบทุกคน | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด – 19 เข็มที่ 2 ย้ำคุณภาพวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพปลอดภัย ยืนยันประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบทุกคน
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด – 19 เข็มที่ 2 ย้ำคุณภาพวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพปลอดภัย ยืนยันประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนครบทุกคน
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้(24พฤษภาคม2564) เวลา08.00น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด– 19เข็มที่2 ณชั้น7 อาคารเฉลิมพระเกียรติสถาบันบำราศนราดูรจังหวัดนนทบุรีโดยนพ.เกียรติภูมิวงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่2ให้กับนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความมั่นใจว่าประชาชนทุกจังหวัดจะได้รับฉีดวัคซีนโดยปรับให้สอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่เข้ามาและสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้รัฐบาลได้มีการเตรียมแผนรองรับในการดูแลรักษาประชาชนให้เพียงพอทั้งแพทย์พยาบาลบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลสนามเตียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ทั้งแอสตร้าซิเนกาและซิโนแวครวมถึงวัคซีนยี่ห้ออื่นๆที่จะมีเข้ามาเพราะมีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดและรัดกุมให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานทางด้านสาธารณสุขแม้อาจจะมีผลข้างเคียงบ้างแต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งวันนี้ตนเองก็มารับการฉีดวัคซีนเพราะเชื่อมั่นในคุณภาพและประสิทธิภาพความปลอดภัยของวัคซีนซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งสิ่งสำคัญขณะนี้คือการกระจายสถานที่ในการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงโดยมีทั้งของภาครัฐและเอกชนและภาคธุรกิจที่ได้มีการเตรียมสถานที่การฉีดวัคซีนไว้แล้ว
นายกรัฐมนตรียังขอบคุณประชาชนที่มาลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อมมากขึ้นขอยืนยันว่าประชาชนทุกคนจะได้ฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน พื้นที่ใดที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือได้รับการฉีดวัคซีนน้อยขอให้เข้มงวดกับตนเองเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขสวมใส่หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยตลอดเวลาหมั่นล้างมือเว้นระยะห่างและการเข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
สำหรับสถานการณ์สำคัญในขณะนี้มี2อย่างด้วยกันคือปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ และขีดความสามารถในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้ซึ่งหลายจังหวัดเป็นพื้นที่สีแดงโดยเฉพาะประเด็นแรงงานทั้งแรงงานก่อสร้างและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มที่มีการแพร่ระบาดในกรุงเทพฯ รวมถึงกลุ่มบุคลากรครูที่ต้องเตรียมเปิดภาคเรียนในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรียืนยันว่าสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้แต่ขอให้ทุกคนเข้าใจและไม่เผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนเพราะอาจเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งนี้การทำงานอาจมีปัญหาบ้างแต่เมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไขปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทุกวัน ส่วนกรณีที่มีข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19สายพันธุ์ใหม่สายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์แอฟริกาที่เข้ามาในประทศไทยนั้นกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าวัคซีนที่มีอยู่สามารถดูแลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของบุคคลดังนั้นขอทุกคนอย่าได้ประมาทและตื่นตระหนกแต่ขอให้ฟังคำแนะนำของแพทย์และให้คำนึงถึงปฏิบัติตนเองครอบครัวสังคมและประเทศชาติสำหรับเป้าหมายของรัฐบาลคือการดูแลคนทั้งประเทศรวมทั้งบริหารจัดการวัคซีนตามสถานการณ์ความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ทั้งนี้ขอให้มั่นใจการดำเนินการของรัฐบาลและระบบสาธารณสุขในการดูแลประชาชนทุกคน
ขณะที่พลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่าตนเองได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกก็ไม่มีอาการแต่อย่างใดรวมถึงเข็มที่2ก็ไม่มีอาการอะไรเช่นกันจึงอยากเชิญชวนให้ลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนผ่านทางระบบหมอพร้อมสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดก็ไม่ต้องกังวลเพราะรัฐบาลจะมีการกระจายวัคซีนฉีดตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มในประเทศเข้าถึงวัคซีนโดยเร็วที่สุดขณะนี้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีกำลังเร่งรัดที่จะให้มีการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันมูลได้มากขึ้นและเป็นการดีกับตนเองด้วย
ทั้งนี้ภายหลังการฉีดวัคซีนระหว่างพักรอดูอาการ30นาทีอธิบดีกรมควบคุมโรคได้มอบวัคซีนพาสปอร์ตให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งวัคซีนพาสปอร์ตเป็นเอกสารที่ได้รับการยืนยันว่าได้รับวัคซีนครบแล้วเพื่อใช้เป็นเอกสารสำหรับบุคคลที่จะเดินทางไปต่างประเทศใช้แนบกับหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางไปต่างประเทศได้
——————-
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Kick Off "เรามีเรา" ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
Kick Off "เรามีเรา" ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19
Kick Off "เรามีเรา" ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด-19
"เรามีเรา" เป็นกิจกรรมที่ รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19
โดยนำถุงยังชีพที่บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือในชุมชนจำนวน 8 พื้นที่ใน 8 เขตของกรุงเทพฯ และจะขยายการช่วยเหลือให้ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขต
หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่
- ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง
- สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ม.33 เรารักกัน” รอบ 2 เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเลย!!
ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะเร่งด่วน 5 พฤษภาคม 2564
โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)
มาตรการเยียวยากลุ่มเปราะบาง
มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เปิดให้รถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
กรมการขนส่งทางบก เปิดให้รถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
...
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เปิดให้ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เพื่อรวบรวมรายชื่อส่งให้กระทรวงคมนาคมจัดกลุ่มการให้บริการวัคซีนแก่ผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยจะใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้แก่ผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำหรับผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ต้องการลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพิ่มเติม ขบ. ยังเปิดรับลงทะเบียนต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ ทั้งรถโดยสารประจำทาง รถตุ๊กตุ๊ก รถจักรยานยนต์สาธารณะ และรถแท็กซี่ สามารถลงทะเบียนแจ้งความจำนงเพื่อเข้ารับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 จนกว่าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะจะได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างทั่วถึง เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ครอบคลุมบุคลากรด่านหน้าในระบบขนส่งสาธารณะซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้บริการขนส่งสาธารณะตามเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคม โดยสามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
1. รถโดยสารประจำทางหมวด 1 หมวด 4 เอกชน และรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง ลงทะเบียนได้ที่ผู้ประกอบการขนส่งที่ตนสังกัดอยู่ หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ.
2. รถยนต์สามล้อรับจ้าง (รถตุ๊กตุ๊ก) ลงทะเบียนได้ที่สหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิก หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ.
3. รถจักรยานยนต์สาธารณะ ลงทะเบียนได้ที่หัวหน้าวินที่ผู้ขับขี่เป็นสมาชิกภายในวิน หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. และสำนักงานขนส่งมหานคร พื้นที่ 1 - 5
4. รถแท็กซี่นิติบุคคล ลงทะเบียนได้ที่นิติบุคคลหรือสมาคมที่สังกัด หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ.
5. รถแท็กซี่ส่วนบุคคล ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ขบ. www.dlt.go.th หรือยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ.
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนรับวัคซีนหลังวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ขบ. จะรวบรวมรายชื่อให้กระทรวงคมนาคมเพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการจัดสรรวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ตามลำดับ โดยผู้ที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนจะได้รับข้อความ SMS แจ้งวันและเวลานัดหมายให้ทราบก่อนถึงวันกำหนดฉีดตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ ดังนั้น ในการลงทะเบียนจึงขอให้ระบุข้อมูลบัตรประชาชน ใบขับขี่สาธารณะ วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ และตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย สำหรับข้อปฏิบัติในวันที่เดินทางไปฉีดวัคซีน ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนเตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และแต่งกายด้วยชุดที่ใช้ในการประกอบอาชีพให้บริการรถโดยสารสาธารณะแต่ละประเภท เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถอำนวยความสะดวกและให้เข้ารับบริการได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาคลงทะเบียนหรือสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดนั้น ๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักการขนส่งผู้โดยสาร ขบ. หรือสายด่วน 1584
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็ม 2 | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็ม 2
นายกรัฐมนตรีฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ที่สถาบันบำราศนราดูร ให้ความเชื่อมั่นประชาชน รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย จะจัดหาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
นายกรัฐมนตรีฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ที่สถาบันบำราศนราดูร ให้ความเชื่อมั่นประชาชน รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย จะจัดหาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
เช้าวันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 2 โดยมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ฉีดให้ พร้อมรับมอบวัคซีนพาสปอร์ตเป็นเอกสารรับรองว่าได้รับการฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้ความเชื่อมั่นประชาชนถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของวัคซีน ทั้งแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค รวมทั้งของบริษัทอื่น ๆ ที่รัฐบาลจะจัดหาเพิ่มมาฉีดให้กับประชาชน ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพตามมาตรฐานทางสาธารณสุขก่อนนำมาฉีดให้กับประชาชน อาจพบอาการข้างเคียงจากวัคซีนได้บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ขอให้ยังคงเข้มงวดในมาตรการ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในเข้าพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ที่สำคัญคือ พฤติกรรมส่วนบุคคล หากไปอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด อย่าปิดบังข้อมูล
นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้โดยจะมีการกระจายสถานที่ฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง ทั้งในส่วนของภาครัฐ เอกชน และภาคธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ ภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันจัดเตรียมสถานที่ และบุคลากรทางการแพทย์ ไว้พร้อมแล้ว สำหรับแผนการกระจายวัคซีนอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด ขอให้เชื่อมั่นในระบบบริหารจัดการ และให้ประชาชนเข้าใจ ไม่สร้างและส่งต่อข่าวปลอม ฟังข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักเพื่อลดความสับสน รวมทั้งเชิญชวนให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่าน หมอพร้อม ฉีดวัคซีนช่วยชาติ เพื่อผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
********************** 24 พฤษภาคม 2564
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42032 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมตรี “อนุทิน” เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
รองนายกรัฐมตรี “อนุทิน” เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รองนายกรัฐมตรี “อนุทิน” เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันที่ 24 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบออนไลน์แอปพลิเคชั่น Zoom Cloud Meeting
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดำเนินการของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. ตามข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564 ที่ให้ ทอท. เร่งจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ฉบับ Revisit โดยการจัดจ้างสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ(IATA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เข้ามาศึกษาและทำข้อเสนอแนะแผนแม่บท และให้ กระทรวงคมนาคมและทอท. นําเสนอแผนแม่บทฉบับ Revisit ต่อนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) พิจารณาก่อน การลงทุนตามแผนดังกล่าว
พร้อมกับ รับทราบข้อเสนอแนะของ ป.ปช.เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ(North Expansion) ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ ทอท. นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ปปช. เข้าไปประกอบการพิจารณาตามแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของ ทอท. ต่อไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนดำเนินงาน (Action Plan) การเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่ ทอท. นำเสนอ ซึ่งประกอบไปด้วยการดำเนินงาน 5 ส่วน ประกอบด้วย 1.การศึกษาการเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูม โดย IATA ซึ่งเป็นการศึกษาในส่วนของการคาดการณ์ปริมาณการจราจรทางอากาศ ความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมกับเสนอแนวทางเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศายานสุวรรณภมิ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 10 มี.ค. -7 มิ.ย. 2564
2.การศึกษาเพิ่มขีดความสามารถของ ทสภ. โดย ICAO ซึ่งเป็นการศึกษาด้านกฎระเบียบและมาตรฐานด้านการบิน จะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมิ.ย. 2564 และแล้วเสร็จในเดือนก.พ. 2565
3.งานก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักหลังที่ 1 ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) จะใช้เวลา 29 เดือน เริ่มงานก่อสร้างเม.ย. 2565 ก่อสร้างแล้วเสร็จ ส.ค. 2567 4.โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ใช้เวลา 30 เดือน เริ่มก่อสร้าง ม.ค. 2566 ก่อสร้างแล้วเสร็จ มิ.ย. 2568 และ 5.งานก่อสร้างส่วนต่อขยาย West Expansion อยู่ระหว่างรอความจัดเจนจากผ ลการศึกษาของ IATA และ ICAO
“ประธานในที่ประชุมได้มีข้อสั่งการว่า แม้ที่ประชุมจะได้อนุมัติ Action Plan การเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตาม ทอท.เสนอ แต่ขอให้เร่งดำเนินการเรื่องการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยเฉพาะกรณี ICAO ที่ขณะนี้ติดปัญหาการจัดทำสัญญาโดยให้ ทอท. เร่งปรึกษาทั้งกรมบัญชีกลาง และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อหาทางจัดทำสัญญาให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ และดำเนินการได้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ข้อมูลทั้งจากการศึกษาของ IATA และ ICAO มาประกอบการทำแผนแม่บทฉบับทบทวน ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ และเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
......................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทลาดยางถนนเชื่อมจังหวัดชลบุรี - ฉะเชิงเทราแล้วเสร็จ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการขนส่งภาคตะวันออก | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
กรมทางหลวงชนบทลาดยางถนนเชื่อมจังหวัดชลบุรี - ฉะเชิงเทราแล้วเสร็จ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการขนส่งภาคตะวันออก
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3340 - บ้านเขาใหญ่ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3340 - บ้านเขาใหญ่ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมของภาคตะวันออกและชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ส่งผลให้ถนนในพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณการจราจรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออก สนับสนุน การคมนาคมและการท่องเที่ยว พัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่สัญจรไป - มา ระหว่างอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี ไปยังอำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้สามารถเดินทางขนส่งผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้ตามฤดูกาลไปสู่ปลายทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทช. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3340 - บ้านเขาใหญ่ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี ระยะทางรวม 19.406 กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 18+054 - กม. ที่ 37+460 โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร ผิวจราจรกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้าง ข้างละ 2.50 เมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 110.245 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประภัตร ชี้ "นม ยิ่งดื่ม ยิ่งดี" ผนึกองค์กร "เครือข่ายนมดีทุกวัย ดื่มได้ทุกวัน" ผลักดันคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้า | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
ประภัตร ชี้ "นม ยิ่งดื่ม ยิ่งดี" ผนึกองค์กร "เครือข่ายนมดีทุกวัย ดื่มได้ทุกวัน" ผลักดันคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้า
ประภัตร ชี้ "นม ยิ่งดื่ม ยิ่งดี" ผนึกองค์กร "เครือข่ายนมดีทุกวัย ดื่มได้ทุกวัน" ผลักดันคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้า
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเป็นภาคี “เครือข่ายนมดีทุกวัยดื่มได้ทุกวัน” 7 องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมด้วย นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายสุรเดช สมิเปรม และนายสัตวแพทย์เศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ณ ห้อง 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นการลงนามฉบับที่ 2 หลังจากที่ได้มีการลงนามครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์และความตั้งใจในการร่วมเป็น "ภาคีเครือข่ายนมดีทุกวัยดื่มได้ทุกวัน” ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ เครือข่ายนมดีทุกวัยดื่มได้ทุกวัน สมาคมสัตวบาลแห่งประเทศไทยฯ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้เลี้ยงโคนมไทยโฮลสไตน์ฟรีเชียน สมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะร่วมกันรณรงค์ให้ทุกคนในสังคมไทย ได้มีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการดื่มนม ในการสร้างเสริมโภชนาการและสุขภาวะที่ดีของคนไทย การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยของกระบวนการผลิตนมที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และร่วมกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการบริโภคนมของคนไทย จาก 18 ลิตร/คน/ปี เป็น 25 ลิตร/คน/ปี ภายในปี 2570
นายวิเชียร ผลวัฒนสุข ประธานเครือข่าย “นมดีทุกวัยดื่มได้ทุกวัน” เปิดเผยว่า เครือข่ายนี้เกิดจากการรวมตัวของภาคีเครือข่ายที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นด้วยการดื่มนมเป็นประจำ ซึ่งจากการสำรวจโดยสวนดุสิตโพล พบว่า คนไทยร้อยละ 44.1 ดื่มนมเป็นประจำ แต่ดื่มในปริมาณที่น้อยเพียง 18 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่สิงคโปร์ดื่มคนละ 62 ลิตรต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตาม คนไทยยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งดื่มนมน้อยลง โดยเด็กไทยวัย 3-12 ปี ดื่มนมที่ไม่รวมนมโรงเรียนสูงมากถึงร้อยละ 88.9 แต่มัธยมอายุ 13-20 ปี กลับมีอัตราการดื่มลดลง เหลือเพียงร้อยละ 44.39 แล้วลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น องค์กรภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จะได้ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูล/สื่อประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของนมที่ถูกต้อง และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคนม ตลอดจนสร้างกระแสการดื่ม “นม” ทดแทนเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ เผยแพร่ข้อมูลด้านความปลอดภัยของกระบวนการผลิตนม ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการรณรงค์บริโภคนม จึงได้จัดกิจกรรมการรณรงค์ดื่มนมทั่วประเทศและเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมสร้างสถิติใหม่ของการดื่มนมในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยขอชี้แจงเรื่องการเปิดประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยขอชี้แจงเรื่องการเปิดประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทยขอชี้แจงเรื่องการเปิดประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งดำเนินการด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามระเบียบทุกขั้นตอน
ตามที่มีสื่อมวลชนบางสื่อ ได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยข้อมูลที่นำเสนอนั้นอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชน การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงขอเรียนชี้แจงและให้ข้อมูลดังนี้
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ให้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงินรวมทั้งสิ้น 72,921 ล้านบาท ภายใต้กรอบงบประมาณค่าก่อสร้างจากการศึกษาออกแบบไว้เมื่อปี พ.ศ. 2555 นั้น การรถไฟได้มีการปรับปรุงรายการงานต่างๆให้สอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของชุมชนที่เปลี่ยนไป อาทิ การเพิ่มโครงสร้างสะพานรถไฟเพื่อข้ามทางรถยนต์ หรือการยกระดับทางรถยนต์เพื่อข้ามทางรถไฟ ซึ่งเป็นการเพิ่มงานจากขอบเขตงานเดิม โดยการรถไฟฯยังคงรักษากรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติมา และมีการปรับลดวงเงินเหลือ 72,919.25 ล้านบาท (ต่ำกว่ากรอบวงเงินเดิมที่ตั้งไว้)
รฟท. ได้เปิดการประกวดราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตร (กม.) วงเงินก่อสร้าง 72,921 ล้านบาท ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งวิธี e-bidding นี้ เป็นรูปแบบการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ในการประมูลงานภาครัฐที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ทำให้เกิดการสมยอมกันระหว่างผู้รับจ้างในการฮั้วราคา หรือ ตกลงราคากัน เพราะเป็นการเสนอราคาที่ต่างคนต่างยื่นประมูลโดยไม่ทราบ ณ เวลานั้นว่าจะมีใครเข้าร่วมประมูลบ้าง และประมูลในราคาเท่าไหร่
รฟท.ได้ดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับของ รฟท. และระเบียบข้อบังคับของกรมบัญชีกลาง ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำแผนจัดซื้อจัดจ้าง การจัดเตรียมเอกสารการประกวดราคา จนถึงขั้นตอนการจัดการประกวดราคาและการยื่นข้อเสนอราคาอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน นอกจากนี้ ในการจัดทำร่างเอกสารรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ทางการรถไฟฯ ได้มีการทำประชาพิจารณ์รวมทั้งหมด 5 ครั้ง เพื่อชี้แจงผู้วิจารณ์จนหมดข้อสงสัย พร้อมทำการเผยแพร่ผ่านชองทางเว็ปไซต์เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม ตรวจสอบได้ โดยการดำเนินการทั้งหมดนั้นเป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างทุกกระบวนการ อีกทั้งยังอยู่ภายใต้โครงการข้อตกลงคุณธรรม ซึ่งเป็นความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยมีผู้สังเกตการณ์ที่กรมบัญชีกลางแต่งตั้ง จำนวน 3 คน เข้าร่วมสังเกตการณ์ติดตาม ตรวจสอบ ทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำร่างขอบเขตงาน (TOR) กระบวนการประกวดราคา กระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนถึงการเบิกจ่ายเงินงวดงาน จนโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการประเมินคุณสมบัติ ข้อเสนอด้านเทคนิคของผู้ยื่นเสนอราคา และยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่างๆอีกหลายขั้นตอน
สำหรับเส้นทางสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ มีงานอุโมงค์อยู่ด้วยทุกสัญญา ซึ่งเป็นงานเฉพาะทางการกำหนดผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอจึงต้องปฏิบัติตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ที่ผู้เสนอราคาต้องเคยมีผลงานประเภทเดียวกันกับงานจ้างก่อสร้างนี้ แต่เพื่อเป็นการเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าร่วมเสนอราคาด้วย การรถไฟฯ จึงกำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวสามารถเข้าร่วมงานกันได้ในลักษณะกิจการร่วมค้า ซึ่งการรถไฟฯได้ปฏิบัติตามหนังสือแจ้งเวียนจากกรมบัญชีกลาง เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า โดยผู้ที่ยื่นข้อเสนอจะต้องซื้อเอกสารประกวดราคาทุกราย ซึ่งคุณสมบัติที่กำหนดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทั่วไปที่ไม่มีความเชี่ยวชาญงานเฉพาะทางสามารถเข้าร่วมงานประกวดราคาได้ด้วย ส่งผลให้การประกวดราคาดังกล่าวมีจำนวนผู้ซื้อเอกสารประกวดราคารวมมากถึง 18 ราย ประกอบด้วย
สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย - งาว ระยะทาง 104 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 2 ราย รวม 5 ราย
สัญญาที่ 2 งาว - เชียงราย ระยะทาง135 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 1 ราย รวม 4 ราย
สัญญาที่ 3 เชียงราย - เชียงของ ระยะทาง 84 กิโลเมตร มีผู้เสนอราคาในนามกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 3 ราย กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้ซื้อเอกสารฯ 1 ราย รวม 4 ราย
การประมูลยื่นประกวดราคานั้นอาจเกิดการร่วมมือกันของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางในการเข้าประมูลงานเป็นกิจการร่วมค้า ตามระเบียบว่าผู้เสนอราคาต้องเคยมีผลงานประเภทเดียวกันกับงานจ้างก่อสร้างนี้ รวมถึงอาจเกิดจากปัจจัยอื่นอาทิ การผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้าง ณ ปัจจุบัน ซึ่งมีการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะในช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการบางรายไม่เข้าเสนอราคาเนื่องจากไม่สามารถประเมินความเสี่ยงในการเสนอราคาได้
รฟท. จึงขอเรียนให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า การดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของนี้มีความโปร่งใส มีกระบวนการตรวจสอบการดำเนินการอย่างเปิดเผยในทุกขั้นตอน และเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ และข้อกฎหมายทุกประการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เดินหน้าปรับปรุงท่าเรือปากเมง จังหวัดตรัง รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า เดินหน้าปรับปรุงท่าเรือปากเมง จังหวัดตรัง รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน
...
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการพัฒนาและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ อาทิ ท่าเรือ เขื่อน ขุดลอกร่องนน้ำ ฯ ท่าเรือปากเมง นับเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและคมนาคมทางน้ำที่สำคัญกับทางจังหวัดตรัง ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวใช้งานท่าเรือปากเมงเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากอายุของท่าเรือฯ มีการใช้งานมากกว่า 20 ปี สภาพปัจจุบัน จึงมีความชำรุดทรุดโทรม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการได้
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่า ได้ทำการว่าจ้างที่ปรึกษา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาออกแบบเพื่อปรับปรุงท่าเรือให้มีความแข็งแรง รูปแบบเหมาะสม สวยงาม โดยในขั้นตอนการศึกษาออกแบบโครงการได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน และทำโครงการศึกษาร่วมกับอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จต้องขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุกับกรมธนารักษ์ และเห็นควรให้อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมเป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือเช่นเดิม ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นของท่าเรือปากเมง คือ ขนาดท่าเรือฯไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้มาใช้บริการ สะพานท่าเรือค่อนข้างแคบ ไม่มีอาคารพักคอยผู้โดยสาร ความลึกร่องน้ำไม่เพียงพอและมีสภาพค่อนข้างตื้นเขิน ท่าเรือยังไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เช่น บันไดขึ้น–ลงเรือ หลักผูกเรือและยางกันชนเรือ โครงสร้างท่าเรือชำรุดทรุดโทรม ระบบสาธารณูปโภค ได้แก่ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง โดยเฉพาะหน้าท่าและสะพานท่าเรือ ระบบน้ำประปาระบบขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และระบบขนย้ายสินค้า ไม่มีพื้นที่จอดเรือ ทำให้เกิดความแออัดของการจราจรทางบกช่วงเทศกาล กรมเจ้าท่า โดยกองวิศวกรรม จึงได้มีโครงการศึกษาวางแผนและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือฯ ให้มีฟังก์ชันการใช้งานสมบูรณ์ครบถ้วน พื้นที่ท่าเรือฯ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โครงสร้างมีความมั่นคง แข็งแรง พื้นที่ด้านหน้าท่าสามารถรองรับเรือเข้าเทียบท่าได้อย่างปลอดภัย พื้นที่ด้านหลังท่ามีพื้นที่การใช้สอยครบถ้วนตามความต้องการของนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ โครงการปรับปรุงท่าเรือปากเมง จังหวัดตรัง ณ ปัจจุบัน มีความคืบหน้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ 72.99% ภายหลังปรับปรุงก่อสร้างแล้วเสร็จ จะมีการใช้งานที่สมบูรณ์ครบถ้วน โดยมีพื้นที่ท่าเรือฯ ที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและปลอดภัย พื้นที่ด้านหลังท่ามีพื้นที่การใช้สอยที่สามารถอำนวยความสะดวก สอดรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน 2564 นี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดตรังและยังเป็นท่าเรือที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นและประเทศอย่างมหาศาล พร้อมรองรับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของประชาชนในท้องถิ่นให้เข้าถึงระบบขนส่งอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รองรับการเชื่อมโยงในอนาคต ด้วยการลงเครื่องบิน ต่อรถ ลงเรือ ไปท่องเที่ยวตามหมู่เกาะต่าง ๆ ในจังหวัดตรัง เกิดเป็นเส้นทางการเดินเรือ “วงแหวนอันดามัน” ในอนาคตได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม รัฐบาลได้รับคำชื่นชมจากประธาน Premier League อังกฤษ ยกไทยเป็นตัวอย่างที่ดี เดินหน้านโยบายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ปลื้ม รัฐบาลได้รับคำชื่นชมจากประธาน Premier League อังกฤษ ยกไทยเป็นตัวอย่างที่ดี เดินหน้านโยบายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง
นายกฯ ปลื้ม รัฐบาลได้รับคำชื่นชมจากประธาน Premier League อังกฤษ ยกไทยเป็นตัวอย่างที่ดี เดินหน้านโยบายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่นาย Richard Masters ประธานบริหารพรีเมียร์ลีก (Premier League) สหราชอาณาจักร ได้มีหนังสือถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของรัฐบาลไทยในการจับกุมผู้กระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์
นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันและมุ่งมั่น จนสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไทย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ร่วมมือกับ Premier League อย่างใกล้ชิดในการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการเว็บไซต์ Expat TV ซึ่งเป็นเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์รายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และล่าสุด DSI ประสบความสำเร็จในการจับกุมและปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ FWIPTV ซึ่งเป็นเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์รายใหญ่ในประเทศไทย ทั้งนี้ จากกรณีของเว็บไซต์ Expat TV และ FWIPTV แสดงให้เห็นว่า ไทยตระหนักถึงความสำคัญในการปกป้องผู้แพร่ภาพรายการโทรทัศน์ และเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทย รวมถึงประชาชนชาวไทยที่ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมดังกล่าว และมีการดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดในระดับสากล ถือเป็นกรณีศึกษาการปราบปรามเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์แก่รัฐบาลทั่วโลก
ทั้งนี้ Premier League ได้ให้ความสำคัญและลงทุนเพื่อสนับสนุนและปกป้องลิขสิทธิ์ ซึ่งรวมถึงการลงทุนร่วมกับบริษัทท้องถิ่นที่ดำเนินธุรกิจเผยแพร่รายการโทรทัศน์ในประเทศไทย อาทิ บริษัททรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ในประเทศไทย พร้อมชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ได้กำหนดนโยบายการทำงานของ DSI ซึ่งมีความสำคัญต่อการปกป้องผลงานของอุตสาหกรรมเผยแพร่รายการโทรทัศน์อย่างมาก นอกจากนี้ Premier League ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยและกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างใกล้ชิด เพื่อปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าจากความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรี จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่น่าเชื่อถือ เป็นแบบอย่างและมาตรฐานที่ดีในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยันสามารถใช้สถานที่จัดสอบ SAT ได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด | วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยันสามารถใช้สถานที่จัดสอบ SAT ได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยืนยันสามารถใช้สถานที่จัดสอบ SAT ได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีความกังวลจากผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ เกี่ยวกับการสอบวัดความสามารถ หรือ สอบ SAT (SAT Reasoning Test) ครั้งสุดท้ายในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งจะส่งผลต่อการเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งในที่ประชุม ศบค. ได้หารือล่วงหน้า โดยกรมควบคุมโรคอนุมัติให้มีการใช้สถานที่จัดสอบได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ภายใต้มาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด หากโรงเรียนหรือผู้ปกครองมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมกับกระทรวงศึกษาธิการในระดับจังหวัดได้ พร้อมขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยังตอบคำถามถึงการรับรองวัคซีน Sinovac โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองวัคซีน Sinopharm ซึ่งลำดับพิจารณาถัดไปที่คือวัคซีน Sinovac ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหลักฐานเพื่อสนับสนุนการออกใบรับรองเป็นเอกสาร หากมีความคืบหน้า ศบค. จะนำมารายงานแก่พี่น้องประชาชนต่อไป
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน
รองโฆษกฯ เผยรัฐบาลยืนยันเตียงผู้ป่วยโควิด19เพียงพอ ขยายเพิ่ม 1พัน รองรับผู้ป่วยมีอาการ คุมเข้มการระบาดแคมป์คนงาน
วันนี้(22พ.ค.64)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19รายใหม่ที่พบว่ามีเพิ่มขึ้นมากในพื้นกทม.และปริมณฑลนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาในที่ประชุมศบค.วานนี้(22พ.ค.)ได้ติดตามความพร้อมของจำนวนเตียงผู้ป่วยกลุ่มสีแดง(อาการหนัก)และเหลือง(มีอาการ)เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงพอต่อการรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอาการซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าจากข้อมูลระบบCo-wardณวันที่20พ.ค.มีจำนวนเตียงทั้งหมดในโรงพยาบาลโรงพยาบาลสนามและHospitelในพื้นที่กทม.จำนวน20,652เตียงผู้ป่วยครองเตียง 61%ยังว่างอยู่7,905เตียงในพื้นที่เขตสุขภาพ1-12จำนวน40,648เตียงผู้ป่วยครองเตียง39%ว่างอยู่24,786เตียงและหากแบ่งตามอาการความรุนแรงจากข้อมูลทั่วประเทศมีผู้ป่วยครองเตียงระดับสีแดง69%ระดับสีเหลือง54%และระดับสีเขียว44%
ส่วนพื้นที่กทม.และปริมณฑลซึ่งมีผู้ติดเชื้อโควิด19เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดทั่วประเทศขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนขยายจำนวนเตียงโรงพยาบาลบุษราคัมอีก1พันเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในภาพรวมมีการบริหารจัดการที่ดีมีบุคลากรทางการแพทย์สลับเข้ามาดูแล ใช้กล้องซีซีทีวีเพื่อติดตามดูแลผู้ป่วยด้วยและกระทรวงฯยังได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเพื่มจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักด้วยซึ่งแนวทางการจัดการเตียงในทุกโรงพยาบาลหากผู้ป่วยอาการหนักมีอาการดีขึ้นก็จะได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลโรงพยาบาลกลุ่มสีเหลืองที่ดูแลผู้ป่วยอาการไม่มากต่อไป
สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด19ที่พบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวเป็นคลัสเตอร์กระจายอยู่ในแคมป์ก่อสร้างในหลายเขตของกทม.นั้น คณะกรรมการโรคติดต่อกทม.เห็นชอบแนวทางการควบคุมพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้างเขตหลักสี่โดย1)ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน2)จัดการดูแลสุขอนามัยของผู้ที่อยู่ในแคมป์3)ส่งมอบอาหาร4)จัดทีมแพทย์ดูแลรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายในและ5)หากพบผู้มีอาการป่วยจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไปส่วนการดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอื่นๆจะแบ่งเป็น2ลักษณะคือ1)แคมป์คนงานก่อสร้างที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้างหากพบผู้ติดเชื้อให้ดำเนินการควบคุมพื้นที่เช่นเดียวกับแคมป์คนงานเขตหลักสี่โดยผู้ที่อยู่ภายในยังสามารถทำงานได้ตามปกติและ2)แคมป์คนงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกับสถานที่ก่อสร้างให้กักตัวผู้ที่ติดเชื้อในพื้นที่แคมป์ซึ่งเจ้าของต้องจัดให้เหมาะสมภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตและสำนักอนามัยและผู้ที่ไม่ติดเชื้อที่ต้องเดินทางไปทำงานจะต้องแจ้งเส้นทางการเดินทางต่อเขตต้นทางและปลายทางโดยจะต้องไม่จอดหรือหยุดพักระหว่างทางและปฏิบัติตามมาตรการอื่นๆที่กำหนดอย่างเคร่งครัดพร้อมกันนี้สำนักอนามัยจะจัดทีมลงพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกต่อเนื่องจนถึงวันที่30ก.ย.หมุนเวียน6กลุ่มเขตเพื่อลดการเดินทางของประชาชนให้ได้มากที่สุดด้วย
"นายกรัฐมตรีห่วงใยและติดตามการดำเนินการในพื้นที่กทม.และจังหวัดโดยรอบอย่างใกล้ชิดยืนยันดูแลทุกชีวิตให้ดีที่สุดไม่อยากให้เกิดความสูญเสียมั่นใจแนวทางที่สาธารณสุขกทม.และหน่วยงานต่างๆที่ร่วมกันดำเนินการอยู่นี้ครอบคลุมการเร่งค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกการดำเนินการฉีดวัคซีนจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้" นางสาวรัชดาฯกล่าว
———————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41989 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เตือน นายจ้างอย่าหลงเชื่อ ผู้แอบอ้างรับลงทะเบียนบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กระทรวงแรงงาน เตือน นายจ้างอย่าหลงเชื่อ ผู้แอบอ้างรับลงทะเบียนบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำ ระบบรับลงทะเบียนแจ้งบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว หมดเวลาลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 64 หากมีผู้แอบอ้างรับลงทะเบียน อย่าได้หลงเชื่อ นอกจากเสียทรัพย์แล้ว ยังเสี่ยงมีโทษกรณีใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการตรวจสอบพบ ขบวนการแอบอ้างรับลงทะเบียนบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 โดยมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนนายจ้างว่าสามารถลงทะเบียนบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 - 7,000 บาท เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอย้ำว่าการลงทะเบียนบัญชีรายชื่อของแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 64 ที่ผ่านมาและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก ดังนั้นหากนายจ้างหลงเชื่อนอกจากจะตกเป็นเหยื่อของขบวนการแอบอ้าง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเสี่ยงมีโทษในกรณีที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอีกด้วย
“รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง โดยโทษของการจ้างแรงงานต่างด้าวที่มีไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ตรวจสอบข่าวสารจากเว็บไซต์กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ หากพบข้อมูลหรือข่าวสารที่ไม่ตรงกับประกาศของทางราชการ ให้ตั้งข้อสงสัยก่อนว่าเป็นข่าวปลอม หรือข่าวบิดเบือน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยในประกาศ และข่าวสารจากกรมการจัดหางานสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 180 เขตการเดินรถที่ 4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เผยทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กว่า 1,400 จุด สำหรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ประชาชนทั่วประเทศ | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
ศบค.มท. เผยทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กว่า 1,400 จุด สำหรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ประชาชนทั่วประเทศ
ศบค.มท. เผยทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กว่า 1,400 จุด สำหรับบริการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ประชาชนทั่วประเทศ
วันนี้ (22 พ.ค. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาร่วมกันด้านการเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนของจังหวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ภายในวันที่ 28 พ.ค. 2564 โดยวางระบบการฉีดวัคซีนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั่วถึง สะดวก และเป็นไปตามลำดับความสำคัญ รวมทั้งความพร้อมของสถานที่ฉีดวัคซีน บุคลากร และวัสดุอุปกรณ์
ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564 ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมสถานที่สำหรับบริการฉีดวัคซีน COVID-19 ประชาชน จำนวนกว่า 1,400 แห่ง สามารถรองรับประชาชนได้รวม 8.2 แสนคนต่อวัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. และ อภ. ร่วมชี้แจงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งนำเข้าวัคซีนทางเลือกเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564
สธ. และ อภ. ร่วมชี้แจงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งนำเข้าวัคซีนทางเลือกเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยนำวัคซีนซิโนแวคมาใช้ในระยะเร่งด่วนไปพลางก่อนระหว่างรอวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนหลักที่จะเข้ามาในเดือน มิ.ย.นี้ ด้านโฆษกองค์การเภสัชกรรม ยืนยันวัคซีนทางเลือกยี่ห้อโมเดอร์นาอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการร่วมกับสมาคม รพ.
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ารัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนฉีดให้กับประชาชน เพื่อควบคุมโรค ลดอัตราป่วยตาย ตามความสมัครใจโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกมีความต้องการวัคซีนโควิดสูง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคมาใช้ในระยะเร่งด่วน ก่อนที่จะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าตามแผนหลักในเดือนมิถุนายน จำนวน 6 ล้านโดส เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายจังหวัดที่เกิดการแพร่ระบาด ช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต และปกป้องกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า โดยตั้งแต่ มี.ค.-พ.ค. โดยส่งวัคซีนกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศแล้ว 2.6 ล้านโดส ฉีดไปแล้ว 2.5 ล้านเข็ม เมื่อเริ่มฉีดวัคซีนแผนหลักในเดือนมิถุนายน จะสามารถฉีดได้มากขึ้นหลายเท่า อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีจุดบริการฉีดวัคซีนทั้งในสถานพยาบาล และจุดบริการที่ประชาชนเข้าถึงสะดวกทั่วประเทศ
สำหรับวัคซีนที่รัฐบาลสั่งซื้อนั้น นอกจากวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าที่มีจำนวนรวม 66 ล้านโดส และเพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมประชาชนมากขึ้น เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อประเทศไทย มีศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน และผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนจากองค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมเป็นคณะกรรมการ มีข้อสรุปว่า จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมคนในประเทศเพิ่มขึ้นให้ได้ 100 ล้านโดส มอบให้ภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรม จัดหาวัคซีนจากหลายบริษัท เพื่อฉีดให้กับประชาชนเพิ่มเติม
ขณะที่ เภสัชกรหญิงศิริกุล เมธีวีรังสรรค์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และโฆษกองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า วัคซีนทางเลือกเป็นวัคซีนที่นอกเหนือจากวัคซีนที่อยู่ในแผนการจัดซื้อของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ซึ่งประชาชนสามารถได้รับการฉีดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนวัคซีนทางเลือกนั้น องค์การเภสัชกรรมได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน โดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวัคซีนยี่ห้อที่จะจัดหามาในช่วงแรกนี้คือ โมเดอร์นา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนไปเมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งยังต้องมีรายละเอียดในการดำเนินการจัดหาอีกหลายขั้นตอน และอยู่ในระหว่างที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนรวบรวมจำนวนความต้องการเบื้องต้นก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป โดยการฉีดวัคซีนทางเลือกนี้ ผู้รับบริการจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่โรงพยาบาลเอกชนเอง
การจัดซื้อวัคซีนทางเลือกนั้น มีเงื่อนไขการขายของผู้ผลิตวัคซีนในต่างประเทศเองที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐของประเทศผู้ซื้อวัคซีน เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อและบริหารจัดการตามแนวทางของการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ Conditional Approval for Emergency Use ซึ่งในส่วนวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นานี้ ผู้ผลิตต้องการให้ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการ องค์การเภสัชกรรมจึงเข้ามาร่วมดำเนินการ ส่วนยี่ห้ออื่นนั้นขึ้นกับเงื่อนไขการขายของผู้ผลิตว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะให้หน่วยงานรัฐเป็นผู้ดำเนินการเช่นกันไม่ได้มีการปิดกั้นช่องทางการนำเข้าวัคซีนทางเลือกผ่านโรงพยาบาลเอกชน หรือภาคเอกชนอื่นๆ แต่อย่างใด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ซึ่งขึ้นอยู่กับรายการกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินงานของแต่ละยี่ห้อ อาทิ ค่าจัดส่ง ค่าคลังจัดเก็บ ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และอื่นๆ นอกจากนั้นจะเป็นค่าบริหารจัดการของแต่ละโรงพยาบาลเอง ซึ่งจะมีการกำหนดราคาควบคุมที่เป็นมาตรฐาน ในระดับที่สมเหตุสมผล ส่วนเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ก็เป็นไปตามกลไกของระบบภาษีของประเทศ ไม่ได้มีการคิดซ้ำซ้อน ซึ่งรายละเอียดที่ถูกต้องนั้น กรมสรรพากรได้ออกมาชี้แจงแล้ว ท้ายสุดนี้ ในเรื่องปริมาณที่จะสั่งซื้อนั้น สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้คาดการณ์ว่าในเบื้องต้นนี้จะมีการสั่งซื้อประมาณจำนวน 5 ล้านโดส ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทบทวนร่วมกันกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนอีกครั้ง
การจัดซื้อวัคซีน นั้น จะมีคณะกรรมการหลักๆ อยู่ 2 คณะ ประกอบด้วย คณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะกำหนดแนวทางในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐและวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน โดยให้มีการวัคซีนจากหลายบริษัท เพื่อฉีดให้กับประชาชนเพิ่มเติม และคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อประชาชนไทย จะเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาจัดหาในรายละเอียดข้อเสนอทางเลือกเชิงนโยบาย เจรจาต่อรองกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศ และองค์การฯซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐ จะรับนโยบายและมติจากที่ประชุมของคณะทำงานและคณะกรรมการดังกล่าว มาดำเนินการภายใต้ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเป็นระยะให้สาธารณชนรับทราบข้อมูล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งเสริมขีดความสามารถประเทศ เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม สนับสนุน SMEs ส่งเสริมเทคโนโลยี | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งเสริมขีดความสามารถประเทศ เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม สนับสนุน SMEs ส่งเสริมเทคโนโลยี
รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งเสริมขีดความสามารถประเทศ เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม สนับสนุน SMEs ส่งเสริมเทคโนโลยี เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนอย่างยั่งยืน
วันที่ 22 พ.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่ง “ขับเคลื่อนประวันที่ 22 พ.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่ง “ขับเคลื่อนประเทศ” ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางรางและทางอากาศ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับศักยภาพ SMEs ด้วยการพัฒนา Digital Marketing ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโต กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืน ทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศให้เท่าเทียม
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ก่อสร้างและขยายช่องทางจราจรถนน รวมทั้งสิ้นกว่า 11,583 กม. พัฒนาถนนเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว 115 โครงการ ระยะทางรวม 801 กม. พัฒนาโครงข่าย Motorway เพิ่มขึ้นเป็น 260.027 กม. เพิ่ม Motorway พัทยา-มาบตาพุด เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออก นอกจากนี้ รัฐบาลยังพัฒนาระบบรถไฟฟ้าทำให้มีโครงข่ายพร้อมให้บริการรวมทั้งสิ้น 169.5 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้ว 6 สี 9 เส้นทาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สาย รวม 156 กม. เตรียมผลักดันเข้าเป็นโครงการ PPP ได้แก่ สายสีแดงเข้ม บางซื่อ-หัวลำโพง/รังสิต-มธ.รังสิต และสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก/ตลิ่งชัน-ศาลายา/ตลิ่งชัน-ศิริราช เป็นต้น รัฐบาลนี้ยังผลักดันการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 9 โครงการ เพิ่มทางคู่เป็น 2,003 กิโลเมตร ส่งผลให้สัดส่วนรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 68% ของโครงข่ายทั่วประเทศ และเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง 2 โครงการ ได้แก่รถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนแล้วและอยู่ระหว่างเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่หรือย้ายสาธารณูปโภคและเวนคืนที่ดิน ขณะที่เพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานหลักและท่าอากาศยานภูมิภาคในช่วงปี 2558 - 2563 เพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยาน ทอท. รวม 101 ล้านคนต่อปี ปริมาณการขนส่งทางน้ำเพิ่มเป็น 355.79 ล้านตัน ท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้าผ่านท่ามาเป็นอันดับที่ 21 ของโลก รวมทั้งผลักดันโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับตู้สินค้าเป็น 18 ล้าน ที.อี.ยู ต่อปี
นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามความเดือดร้อนด้านการเดินทางของพี่น้องประชาชนมาตลอด โดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างล่าช้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยการเร่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทย SMEs พัฒนา Digital Marketing เพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์ให้กับสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ ต่อยอดธุรกิจสู่สากล ด้วยนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุน SMEs ในอุตสาหกรรมอาหารไม่ต่ำกว่า 30 บริษัท โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ และล่าสุดสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ภายใต้กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมและสนับสนุน (ฉบับที่ 2) 2563 ด้วย รวมทั้งเร่งสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตร โครงการเน็ตประชารัฐ โดยขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ครอบคลุมหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกลจานวน 24,700 หมู่บ้าน ระบบธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โครงการ e-Payment ภาครัฐ รวมทั้งการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมุ่งพลิกโฉมประเทศไทยด้วยหลักการ Thai First คือ “ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” เพื่อโครงการต่าง ๆ เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้รับประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมเทศ” ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางรางและทางอากาศ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับศักยภาพ SMEs ด้วยการพัฒนา Digital Marketing ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโต กระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืน ทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศให้เท่าเทียม
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ก่อสร้างและขยายช่องทางจราจรถนน รวมทั้งสิ้นกว่า 11,583 กม. พัฒนาถนนเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว 115 โครงการ ระยะทางรวม 801 กม. พัฒนาโครงข่าย Motorway เพิ่มขึ้นเป็น 260.027 กม. เพิ่ม Motorway พัทยา-มาบตาพุด เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออก นอกจากนี้ รัฐบาลยังพัฒนาระบบรถไฟฟ้าทำให้มีโครงข่ายพร้อมให้บริการรวมทั้งสิ้น 169.5 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้ว 6 สี 9 เส้นทาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สาย รวม 156 กม. เตรียมผลักดันเข้าเป็นโครงการ PPP ได้แก่ สายสีแดงเข้ม บางซื่อ-หัวลำโพง/รังสิต-มธ.รังสิต และสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก/ตลิ่งชัน-ศาลายา/ตลิ่งชัน-ศิริราช เป็นต้น รัฐบาลนี้ยังผลักดันการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 9 โครงการ เพิ่มทางคู่เป็น 2,003 กิโลเมตร ส่งผลให้สัดส่วนรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 68% ของโครงข่ายทั่วประเทศ และเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง 2 โครงการ ได้แก่รถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนแล้วและอยู่ระหว่างเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่หรือย้ายสาธารณูปโภคและเวนคืนที่ดิน ขณะที่เพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานหลักและท่าอากาศยานภูมิภาคในช่วงปี 2558 - 2563 เพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยาน ทอท. รวม 101 ล้านคนต่อปี ปริมาณการขนส่งทางน้ำเพิ่มเป็น 355.79 ล้านตัน ท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้าผ่านท่ามาเป็นอันดับที่ 21 ของโลก รวมทั้งผลักดันโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับตู้สินค้าเป็น 18 ล้าน ที.อี.ยู ต่อปี
นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามความเดือดร้อนด้านการเดินทางของพี่น้องประชาชนมาตลอด โดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างล่าช้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 แก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เกิดจากรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เรือโดยสาร
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยการเร่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทย SMEs พัฒนา Digital Marketing เพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์ให้กับสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ ต่อยอดธุรกิจสู่สากล ด้วยนวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุน SMEs ในอุตสาหกรรมอาหารไม่ต่ำกว่า 30 บริษัท โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ และล่าสุดสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ภายใต้กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมและสนับสนุน (ฉบับที่ 2) 2563 ด้วย รวมทั้งเร่งสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตร โครงการเน็ตประชารัฐ โดยขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ครอบคลุมหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกลจานวน 24,700 หมู่บ้าน ระบบธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โครงการ e-Payment ภาครัฐ รวมทั้งการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมุ่งพลิกโฉมประเทศไทยด้วยหลักการ Thai First คือ “ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” เพื่อโครงการต่าง ๆ เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้รับประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41992 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พิธีทำบุญอุทิศอดีตเจ้าอาวาส และบุพการีวัดยานนาวา | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พิธีทำบุญอุทิศอดีตเจ้าอาวาส และบุพการีวัดยานนาวา
พิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พิธีทำบุญอุทิศอดีตเจ้าอาวาส และบุพการีวัดยานนาวา
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๑๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ พิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พิธีทำบุญอุทิศอดีตเจ้าอาวาส และบุพการีวัดยานนาวาโดยมี สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และมีนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่และประชาชนเข้าร่วมพิธีฯ ณ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น ๓ วัดยานนาวา กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยกรูปแบบฉีดวัคซีนโควิด 2 ห้างดัง ของโคราช เป็นโมเดล ในจุดบริการอื่นเมื่อวัคซีนเข้ามามาก | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
อนุทิน ยกรูปแบบฉีดวัคซีนโควิด 2 ห้างดัง ของโคราช เป็นโมเดล ในจุดบริการอื่นเมื่อวัคซีนเข้ามามาก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม จังหวัดนครราชสีมา ทุกภาคส่วนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวจัดระบบบริการวัคซีนโควิด ใช้ 2 ห้างดัง เป็นที่ฉีดวัคซีน วางระบบหมุนเวียนเข้ารับบริการดี 600 คนต่อชั่วโมง ชื่นชมให้เป็นโมเดล ปรับใช้กับจังหวัดอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม จังหวัดนครราชสีมา ทุกภาคส่วนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวจัดระบบบริการวัคซีนโควิด ใช้ 2 ห้างดัง เป็นที่ฉีดวัคซีน วางระบบหมุนเวียนเข้ารับบริการดี 600 คนต่อชั่วโมง ชื่นชมให้เป็นโมเดล ปรับใช้กับจังหวัดอื่นๆ ด้านชาวโคราช มั่นใจ พร้อมใจฉีดวัคซีนถ้วนหน้า
วันนี้ (22 พฤษภาคม 2564) ที่ จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมจุดบริการวัคซีนโควิดให้กับประชาชน โดยนายอนุทิน กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมจุดบริการวัคซีนโควิดจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการสนับสนุนพื้นที่จากห้างสรรพสินค้าทั้ง 2 แห่ง คือ เซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา และเดอะมอลล์โคราช เป็นที่น่าพอใจมาก ซึ่งเป็นระบบริการนอกสถานพยาบาลที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาได้วางไว้ โดยได้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้ง โรงพยาบาลจากทุกสังกัดในจังหวัด ฝ่ายปกครอง สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน อย่างเห็นได้ชัด วางระบบ One way เข้าออกทางเดียว ทำให้เกิดการหมุนเวียนของผู้เข้ารับบริการไม่แออัด มีความสามารถในการฉีดได้ 600 คนต่อชั่วโมงต่อแห่ง ซึ่งจะให้ระบบนี้เป็นโมเดลหนึ่งที่จะนำมาปรับใช้ยังหน่วยบริการต่างๆ เมื่อวัคซีนมีมากขึ้น พร้อมผลักดันให้ประชาชนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ด้านประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา ให้ความร่วมมือพร้อมใจเข้ารับบริการฉีดวัคซีนกันถ้วนหน้า เช่น จุดบริการที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเป็นผู้บริหารจัดการ เปิดบริการประชาชนตั้งแต่วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม 2564 รวม 3 วัน มีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว 10,002 คน ส่วนที่ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ก็มีประชาชนหลั่งไหลเข้ารับบริการจำนวนมาก ภาพรวมของจังหวัดมีประชาชนที่ฉีดเข็ม 1 แล้วจำนวน 30,651 คน เข็มที่ 2 จำนวน 19,372 คน ซึ่งเป็นไปตามจำนวนของวัคซีนที่ได้จัดสรรมา และในช่วงที่วัคซีนมามากขึ้นได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องฉีดวัคซีนให้กับประชาชนชาวโคราชให้ได้ร้อยละ 70 ของประชากร หรือประมาณ 1,885,023 คน โดยจะฉีดให้ได้วันละประมาณ 30,000 คนในส่วนกลุ่มผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่มีอยู่ในระบบประมาณ 11,000 คน จะมีทีมแพทย์ รวมถึงระบบ 3 หมอคอยดูแลให้เข้าถึงการฉีดวัคซีน หากเป็นไปตามแผน 50 วันจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้อยู่ แต่จะไม่มีอาการที่รุนแรง และไม่เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ขอให้ยังคงเข้มมาตรการป้องกันตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างล้างมือบ่อยๆ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
นอกจากนี้นายอนุทินได้ให้กำลังใจบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่ จิตอาสา ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน ณ จุดฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่า ภารกิจนี้แม้ว่าจะเป็นหน้าที่ที่จำเป็นต้องทำ แต่สำคัญกว่านั้นคือความเสียสละความอดทนในการที่จะให้บริการฉีดวัคซีนประชาชน เพื่อที่จะทำให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยเร็วที่สุด
*************************************** 22 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41994 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ประสานสธ. และสตม.ในพื้นที่ เร่งตรวจโควิดและเก็บอัตลักษณ์ภายใน 16 มิ.ย. 64 | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
กระทรวงแรงงาน ประสานสธ. และสตม.ในพื้นที่ เร่งตรวจโควิดและเก็บอัตลักษณ์ภายใน 16 มิ.ย. 64
ก.แรงงาน มอบ กรมการจัดหางาน ประสานสธ.จังหวัด ประเมินสถานการณ์และศักยภาพการตรวจหาเชื้อโควิด -19 รายวัน เพื่อติดตามเร่งรัดนายจ้างพาคนต่างด้าวเข้าดำเนินการต่อไป
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการปกครอง และสาธารณสุขบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าวอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ แรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 ที่ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดทันเวลา จะสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“ผลการดำเนินงานตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 พบว่ามีคนต่างด้าวลงทะเบียนทั้งสิ้น จำนวน 654,864 คน จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 483,021 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 408,720 คน และได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 201,107 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ค. 64) ซึ่งแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันกลุ่มนี้จะต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด -19 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล พร้อมทั้งยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ ให้แล้วเสร็จภายใน 16 มิ.ย. 64 จึงสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ มิฉะนั้นจะส่งผลให้มีสถานะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งมีความผิดทั้งนายจ้าง และแรงงานต่างด้าวเอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการของคนต่างด้าวแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา กรมการจัดหางานได้มอบหมายให้จัดหางานจังหวัด เร่งประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อร่วมวางแผนและบูรณาการจัดการการตรวจหาเชื้อโควิด -19 และการจัดการเก็บอัตลักษณ์บุคคลทั้งในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่มีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อ (Name List ) และคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลบุคคลด้วยตนเอง (กรณีไม่มีนายจ้าง) โดยขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประเมินสถานการณ์และแจ้งศักยภาพ ในการตรวจหาเชื้อโควิด -19 ของพื้นที่ในแต่ละวันให้ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดทราบ เพื่อติดตามเร่งรัดนายจ้างให้นำคนต่างด้าวมาดำเนินการตามกำหนดต่อไป
“ทั้งนี้ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการหมั่นติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนให้ทันภายในเวลาที่กำหนด เพราะหากสิ้นสุดระยะเวลากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จะดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีกับนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงาน ซึ่งนายจ้างที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุก และไม่ให้จ้างคนต่างด้าวทำงานอีก 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท ถูกส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี และหากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผย รพ.มหาราชนครราชสีมา มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยโควิดทุกระดับอาการ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับวัคซีนโควิด | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
ปลัด สธ. เผย รพ.มหาราชนครราชสีมา มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยโควิดทุกระดับอาการ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับวัคซีนโควิด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ทุกระดับอาการ รับส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นๆ มีเตียงรองรับเฉพาะผู่ป่วยโควิด 161 เตียง ดูแลผู้ป่วยแล้ว 364 คน พร้อมเดินหน้า ภารกิจฉีดวัคซีนให้กับประชาชน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผย โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ทุกระดับอาการ รับส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นๆ มีเตียงรองรับเฉพาะผู่ป่วยโควิด 161 เตียง ดูแลผู้ป่วยแล้ว 364 คน พร้อมเดินหน้า ภารกิจฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เปลี่ยนความกลัว เป็นความเข้าใจ ให้ความรู้ประชาชนเสริมพลัง กล้าฉีดวัคซีน
วันนี้ (22 พฤษภาคม 2564) ที่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงความพร้อมของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ว่า โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ มีศักยภาพอุปกรณ์การแพทย์ครบครัน เมื่อเกิด สถานการณ์วิกฤตโรคโควิด 19 โรงพยาบาลแห่งนี้ จึงเป็นโรงพยาบาลหลักของจังหวัดนครราชสีมาในการดูแลผู้ป่วย โควิด 19 รวมถึงรับส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นๆ ด้วย โดยในระลอกเดือนเมษายนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยโควิด 19 รวม 835 ราย โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาให้การดูแลผู้ป่วยไปแล้ว 364 ราย ขณะนี้ มีผู้ป่วยยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 60 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 6 ราย ใช้เครื่องช่วยหายใจ 3 ราย ภาพรวมมีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ทั้งหมด 161 เตียง นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยจาก ARI คลินิก ที่ต้องเฝ้าระวัง เข้ารักษาเพิ่มทุกวัน เมื่อวานนี้ (21 พฤษภาคม 2564)มี 295 ราย ซึ่งต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ดูแลผู้ป่วยในกลุ่มอาการต่างๆ รวมถึงต้องจัดสรรบุคลากรไปยังภารกิจฉีดวัคซีนให้กับชาวโคราชอีก แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพในการดูแลประชาชนในพื้นที่
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับภารกิจฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจหลัก ที่บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ต้องเดินหน้าอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน ซึ่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สามารถดำเนินการได้อย่างดี เปลี่ยนความกลัว เป็นความรู้ โดยสื่อสารทำความเข้าใจ กับประชาชนให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ที่ถูกต้องผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะเฟสบุ๊คไลฟ์ มีบุคลากรทางการแพทย์คอยสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงให้ประชาชนติดตามภารกิจการฉีดวัคซีนทุกวัน เน้นการสื่อสารบ่อย ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ เติมพลังให้เกิดความกล้า และอยากฉีดวัคซีน พร้อมทำระบบ “มหาราชพร้อม” เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ประชาชนลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีน หลังการเปิดระบบ 2 วัน มีผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาจำนวนกว่า 40, 000 คน อีกทั้ง มีสายด่วน 044 235 777 และ 044 235 888 จำนวน 20 คู่สาย ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทะเบียนฉีดวัคซีน และให้บริการฉีดวัคซีนทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.00 น. ไว้บริการประชาชน
*************************************** 22 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ประกาศผลแรงงานนอกระบบดีเด่น สร้างคุณค่า เสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
กสร. ประกาศผลแรงงานนอกระบบดีเด่น สร้างคุณค่า เสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประกาศผลการคัดเลือกบุคคลและเครือข่ายแรงงานนอกระบบดีเด่น ประจำปี 2564 รณรงค์ทุกภาคส่วนของสังคมตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานนอกระบบ พร้อมส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน ภายใต้การนำของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการวางรากฐานด้านแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบซึ่งมีอยู่จำนวนมากในปัจจุบัน ให้มีความรู้ สมรรถนะ และทักษะ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ สามารถรู้เท่าทันและปรับตัวให้มีอาชีพที่มั่นคง สามารถสร้างรายได้ และต่อยอดความรู้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เล็งเห็นความสำคัญของแรงงานนอกระบบ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรมคัดเลือกบุคคลและเครือข่ายแรงงานนอกระบบดีเด่น ประจำปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนของสังคมตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานนอกระบบ สนับสนุนส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในการทำงาน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวสู่สากล โดยในปี 2564 นี้ มีการคัดเลือกบุคคลและเครือข่ายแรงงานนอกระบบดีเด่น จำนวนทั้งสิ้น 12 คน จาก 3 สาขา ได้แก่ ผู้จ้างงาน นายจ้างแรงงานนอกระบบดีเด่น แรงงานนอกระบบดีเด่น และเครือข่ายแรงงานนอกระบบดีเด่น โดยสามารถดาวน์โหลดประกาศผลรางวัลฯ ได้ที่ www.labour.go.th
ด้าน นางสมภาร คำภาหมี ผู้ได้รับรางวัลแรงงานนอกระบบดีเด่น กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทแรงงานนอกระบบดีเด่นในปีนี้ ที่ผ่านมาตนได้อุทิศตนในการทำงานด้านแรงงานนอกระบบ อาทิ การเข้าร่วมประชุมโครงการสร้างความเข้มแข็งชมรมแรงงานนอกระบบ ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดขึ้น พร้อมกันนี้ตนได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากร ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เยาวชนหรือเกษตรกรในชุมชนที่สนใจเรื่องการทอผ้า และการย้อมผ้าคราม อีกด้วย การได้รับรางวัลในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจและเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง พัฒนาสังคม และประเทศชาติต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41987 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม คิกออฟตรวจฉีดวัคซีนโควิดผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษมีนบุรี นำร่องแห่งแรกของไทย เผยที่ต่อไปสมุทรปราการ ขอบคุณนายกฯเห็นความสำคัญ ยันฉีดวัคซีนประหยัดงบฯมากกว่าใช้ยารักษา เชื่อ | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
รมว.ยุติธรรม คิกออฟตรวจฉีดวัคซีนโควิดผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษมีนบุรี นำร่องแห่งแรกของไทย เผยที่ต่อไปสมุทรปราการ ขอบคุณนายกฯเห็นความสำคัญ ยันฉีดวัคซีนประหยัดงบฯมากกว่าใช้ยารักษา เชื่อ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจในการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่ผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษมีนบุรี
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจในการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่ผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษมีนบุรี ซึ่งเป็นการนำร่องแห่งแรกของประเทศไทย โดยมี พ.อ.ปริวรรตน์ วิมลปรีชาพงศ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษมีนบุรี ให้การต้อนรับและนำตรวจ
นายสมศักดิ์ และคณะได้เดินตรวจเยี่ยมและพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ต้องขัง โดยกล่าวว่า ที่เรือนจำแห่งนี้เป็นที่แรกในประเทศที่ได้ฉีดวัคซีน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญ ซึ่งตนต้องขอขอบคุณท่าน ซึ่งแม้ว่าเราจะฉีดวัคซีนแล้วแต่ก็ยังต้องระวัง และต้องใช้มาตรการป้องกันของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม นอกจากนี้ตนต้องขอขอบคุณ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่จัดสรรวัคซีนมาให้ โดยวันนี้เรามีทีมแพทย์จากโรคพยาบาลราชทัณฑ์ นำโดย นายวัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข รักษาการผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และต้องขอบคุณการสนับสนุนอุปกรณ์ จาก โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ที่นำรถการแพทย์มาช่วยดูแลสังเกตุอาการข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน
จากนั้น นายสมศักดิ์ แถลงข่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เราเริ่มฉีดวัคซีนให้กับผู้ต้องขัง ซึ่งที่เราเลือกที่นี่เป็นแห่งแรกเพราะผู้ต้องขัง 3,826 คน ไม่มีผู้ติดเชื้อ โดยเรามีพยาบาล 12 คน ดำเนินการฉีด ซึ่งพยาบาล 1 คน จะฉีดได้ 250 คน โดยการฉีดวัคซีนซิโนแวค สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้สูง และใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์จะสามารถฉีดเข็มที่ 2 ได้ โดยจากการฉีดมาแล้วตั้งแต่เช้าเรายังไม่พบว่ามีผู้ต้องขังที่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งเรือนจำต่อไปที่จะได้รับการฉีดวัคซีนคือ เรือนจำกลางสมุทรปราการ และจะทยอยฉีดให้กับเรือนจำที่ไม่มีผู้ติดเชื้อหรือมีน้อยต่อไปจนครบทุกเรือนจำ โดยเรือนจำที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากคงต้องรอให้รักษาให้หายก่อน ซึ่งการดำเนินการฉีดทั้งหมดจะใช้เวลาไม่นาน
"ผมขอให้ผู้บัญชาการเรือนจำทุกเรือนจำปฏิบัติตามมาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOPs) หากปฏิบัติตามจะช่วยให้เรือนจำไม่มีผู้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อย และหากผู้บริหารเข้าใจมาตรการ SOPs ผลงานก็จะออกมาดี แต่หากใครยังไม่เข้าใจอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับย้ายกันบ้าง ขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด โดยในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล หากเราระดมฉีดวัคซีน ภายใน 1 เดือนน่าจะเสร็จ ซึ่งหากเราคำนวณค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีนให้กับผู้ต้องขัง 300,000 คน จะน้อยมากหากเทียบกับการใช้ยารักษาคนติดเชื้อโควิด" นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการครบรอบ 7 ปีรัฐประหาร วันที่ 22 พ.ค. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนเป็นนักการเมืองเข้ามาทำงานเพื่อประเทศและจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตอนนี้เราต้องเร่งก้าวข้ามปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 ก่อน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานในพิธี บันทึกเทปกิจกรรมปฏิบัติเป็นพุทธบูชา กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ เป็นประธานในพิธี บันทึกเทปกิจกรรมปฏิบัติเป็นพุทธบูชา กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔
บันทึกเทปกิจกรรมปฏิบัติเป็นพุทธบูชา กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ ศาลาการเปรียญ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ประธานสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธี พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปกิจกรรมปฏิบัติเป็นพุทธบูชา กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ ณ ศาลาการเปรียญ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพฐ. ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์สภาพความเป็นอยู่ในบ้านพักครูที่มีสภาพทรุดโทรม | วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564
กพฐ. ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์สภาพความเป็นอยู่ในบ้านพักครูที่มีสภาพทรุดโทรม
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระบุผู้บริหารสถานศึกษาสามารถเสนอของบประมาณจากต้นสังกัด หรือใช้เงินอุดหนุนของโรงเรียน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ให้อยู่ในสภาพปลอดภัยได้
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า กรณีที่มีครูโรงเรียนแห่งหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอพาชมสภาพความเป็นอยู่ของบ้านพักครูแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะห้องน้ำที่มีสภาพทรุดโทรม เกิดกระแสวิจารณ์พร้อมเรียกร้องให้มีการจัดสรรงบประมาณมาดูแลบ้านพักครูให้เหมาะสมกว่านี้ ขอชี้แจงว่า การดำเนินการในการดูแลอาคารเรียน อาคารประกอบ รวมทั้งบ้านพักครูของสถานศึกษา เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะดูแลตรวจสอบให้อาคารอยู่ในสภาพที่ดีมีความปลอดภัย หากเห็นว่าสภาพอาคารชำรุด ก็สามารถเสนอของบประมาณจากต้นสังกัดไปซ่อมแซมได้ หรือใช้เงินอุดหนุนของโรงเรียนปรับปรุงซ่อมแซมได้อยู่แล้ว กรณีที่เป็นข่าวได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลงไปดูข้อเท็จจริงและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโดยด่วนแล้ว ดังนี้
1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ให้คำแนะนำให้โรงเรียนซ่อมแซมอุปกรณ์ที่สามารถดำเนินการได้ก่อน เช่น กลอนประตู หน้าต่าง เปลี่ยนโถส้วม เทพื้น ปูกระเบื้อง ติดตั้งฝ้าเพดานเพื่อความปลอดภัย
2. ให้ทางโรงเรียนประมาณการค่าซ่อมแซมในวงเงินที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสามารถจัดสรรได้ โดยจะจัดสรรงบประมาณจากงบสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น ซึ่งในส่วนการซ่อมแซมของโรงเรียนดังกล่าวรวมทั้งของโรงเรียนอื่นที่มีความเดือดร้อนจำเป็น หากมีวงเงินเกินที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะช่วยได้ ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จะเสนอขอทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อไป
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำกับผู้อำนวยการโรงเรียนให้คำนึงถึงความปลอดภัยของครูและนักเรียนเป็นสำคัญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42001 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความสำเร็จของไทยหลายด้านอยู่ในระดับดีในสายตาต่างชาติ จากการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความสำเร็จของไทยหลายด้านอยู่ในระดับดีในสายตาต่างชาติ จากการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความสำเร็จของไทยหลายด้านอยู่ในระดับดีในสายตาต่างชาติ จากการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
วันนี้(22พ.ค.64)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงสถานะของไทยในเวทีโลกโดยประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจและได้รับการจัดอันดับที่ดีมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่น่าสนใจในสายตาต่างชาติ
ทั้งนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่น่าสนใจด้านเศรษฐกิจและการลงทุนจากหลายๆหน่วยงานในระดับโลกอาทิเป็นอันดับ1ตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุดในปี2564จากการจัดอันดับของBloomberg Study (1st in Bloomberg’s Emerging)เป็นอันดับ1ประเทศที่มีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลกประจำปี2563จากการจัดอันดับของBloomberg Survey (1st least miserable country for 2020)เป็นอันดับ1ประเทศที่เหมาะกับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดประจำปี2563จากการจัดอันดับโดยสำนักข่าวUS News (Best Countries to Start a Business 2020)และเป็นอันดับ2ประเทศที่น่าเข้ามาลงทุนประจำปี2563จัดอันดับโดยสำนักข่าวUS News (Best Countries to Invest In 2020)ซึ่งสอดคล้องกับการจัดอันดับของสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลกอย่างมูดี้ส์ฟิทช์เรตติ้งและสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์สคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่BBB+และยังคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
การจัดอันดับที่ดีเหล่านี้เป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักในการดำเนินนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในเรดาร์เป็นตลาดที่น่าสนใจทางการลงทุนจนส่งผลให้คะแนนรายงานความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ(Ease of Doing Business)ที่จัดทำโดยธนาคารโลกดีขึ้นโดยล่าสุดในปี2563ประเทศไทยได้ที่21จาก190ประเทศซึ่งเทียบกับปีก่อนดีขึ้น6อันดับรวมทั้งไทยได้ดำเนินมาตรการTen for Tenตามข้อเสนอแนะจากเอกอัครราชทูตจาก5ประเทศและหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทยเพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยให้สามารถติด10อันดับแรกได้ในเร็ววันนี้
ในการนี้โฆษกรัฐบาลได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดอันดับจากสถาบันจากประเทศญี่ปุ่นดังนี้การจัดอันดับของบริษัทJapan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR)บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Sovereign Credit Rating)ที่ระดับA-และยืนยันมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ(Stable outlook)เนื่องมาจากรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหลังจากไตรมาสที่2ของปี2563เริ่มฟื้นตัวและJCRคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี2564จะกลับมาเติบโตประมาณร้อยละ3นอกจากนี้ในเดือนมีนาคมปี2564บริษัทRating and Investment Information, Inc. (R&I)ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Sovereign Credit Rating)ที่A-และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย(Outlook)อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ(Stable Outlook)เช่นกันสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการดำเนินโยบายของรัฐบาลและทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและเติบโต
นอกจากนั้นไทยยังได้รับการจัดอันดับเกี่ยวกับด้านสาธารณสุขที่น่าชื่นชมอาทิอันดับ1ประเทศที่ฟื้นตัวและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19ได้ดีที่สุด(Ongoing COVID-19 recovery effort 2020)จากข้อมูลดัชนีโควิด-19ระดับโลก(Global COVID-19 Index-GCI)จัดอันดับโดยสถาบันPEMANDU และอันดับ4จากทั้งหมด98ประเทศที่จัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้อย่างมีประสิทธิภาพประจำปี2563 (Best-Performing Countries in Suppressing the Coronavirus 2020)จัดอันดับโดยสถาบันLowy Instituteอันดับ6ประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพประจำปี2562 (Global Health Security Index 2019)จัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยJohn Hopkins University Researchและอันดับ8ประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดประจำปี2564 (Health Care Index 2021)จัดอันดับโดยNumbeo Surve
ซึ่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาได้ดำเนินนโยบายโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญตลอดมาซึ่งตัวเลขการจัดอันดับเหล่านี้เป็นหลักฐานประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีชื่นชมผลสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยถือว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นกำลังใจที่สำคัญในการทำงานและได้ขอบคุณการทำงานของทุกภาคส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างหนักจนส่งผลสำเร็จเป็นตัวเลขการจัดอันดับที่น่าชื่นชมและหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าประเทศไทยต่อไป
_______
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยนายกฯ ย้ำดูแลกลุ่มเสี่ยง คนไทยและแรงงานต่างด้าวสามารถเข้าตรวจคัดกรองได้ พร้อมเชิญชวนประชาชนสมัครเสริมทีมฉีดวัคซีน กทม. ร่วมมือกันผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ | วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564
โฆษก ศบค. เผยนายกฯ ย้ำดูแลกลุ่มเสี่ยง คนไทยและแรงงานต่างด้าวสามารถเข้าตรวจคัดกรองได้ พร้อมเชิญชวนประชาชนสมัครเสริมทีมฉีดวัคซีน กทม. ร่วมมือกันผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
โฆษก ศบค. เผยนายกฯ ย้ำดูแลกลุ่มเสี่ยง คนไทยและแรงงานต่างด้าวสามารถเข้าตรวจคัดกรองได้ พร้อมเชิญชวนประชาชนสมัครเสริมทีมฉีดวัคซีน กทม. ร่วมมือกันผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
วันนี้22พฤษภาคม2564เวลา12.30น.ณโถงกลางตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาลนายแพทย์ทวีศิลป์วิษณุโยธินโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)ตอบคำถามสื่อมวลชนสรุปดังนี้
กรณีที่มีการระบาดของโรคโควิด-19ในแคมป์แรงงานต่างด้าวมีพื้นที่ตรวจในการรองรับกลุ่มแรงงานต่างด้าวมากน้อยเพียงใดโฆษกศบค.ชี้แจงว่าได้รับรายงานเรื่องนี้พบมีการระบาดในแคมป์แรงงานต่างด้าวซึ่งในแคมป์ก็มีทั้งแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาถูกกฎหมายจำนวนหนึ่งขณะเดียวกันก็มีคนที่ไม่ได้มีสิทธิ์ในการเข้าไปตรวจอย่างไรก็ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและผอ.ศบค.บอกว่าทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยต้องได้รับการตรวจและดูแลเหมือนกันทั้งหมดทั้งนี้ขอให้แจ้งให้ประชาชนได้รับทราบทั้ง3ส่วนคือ1)ประชาชนที่เป็นคนไทยและต่างด้าวทั้งที่มีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์อะไรก็แล้วแต่หากสงสัยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรืออยู่ในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงหากต้องการตรวจสามารถเดินไปที่หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขที่อยู่ใกล้พื้นที่ของตนเองได้2)กลุ่มผู้ประกอบการต้องมีส่วนรับผิดชอบคนงานที่ตนเองนำพามาโดยหากสามารถที่จะแบ่งเบาภาระทางด้านค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องขอบคุณด้วยแต่หากไม่สามารถที่จะดูแลได้ก็ขอให้พาคนงานไปตรวจโดยภาครัฐจะเป็นผู้ดูแลให้เองและ3)ภาครัฐที่ดูแลเรื่องการตรวจไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณเพราะกรมควบคุมโรคแจ้งว่าได้ของบประมาณไปเพียงพอสำหรับการดำเนินการส่วนนี้รวมถึงงบประมาณในค่าใช้จ่ายในการตรวจแล็ปเพื่อแยกกลุ่มคนที่ป่วยกับกลุ่มคนที่ไม่ปวยออกมาทั้งนี้หากมีข้อยุ่งยากหรือมีรหัสรายละเอียดต่างๆให้ประสานกับกรมควบคุมโรคเพื่อแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ได้ดังนั้นขอให้มั่นใจว่า100%ของคนที่อยู่ในพื้นแผ่นดินไทยจะได้รับการดูแลอย่างดี
ส่วนความคืนหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากจำนวนวัคซีน6ล้านโดสที่เข้ามานั้นมีการกระจายวัคซีนลงไปในพื้นที่3.6ล้านโดส ขณะนี้ฉีดไปแล้ว2.7ล้านโดสเหลือประมาณ9แสนกว่าโดสซึ่งกำลังจะมีการปูพรมฉีดต่อไปยืนยันไม่มีการค้างสต็อกวัคซีนที่ไหนแต่อย่างใดเมื่อได้รับวัคซีนมาแล้วมีการจัดสรรส่งไปให้ในพื้นที่ทันทีสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละพื้นที่โดยขณะนี้ประชาชนมีความเชื่อมั่นใจมากขึ้นในการที่เข้ารับการฉีดวัคซีนทำให้พบว่าหลายแห่งประชาชนไปแล้วไม่ได้ฉีดวัคซีนซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีการบริหารจัดการในเรื่องSupplyวัคซีนให้เร็วขึ้นสอดคล้องกับDemandทั้งนี้ทุกเรื่องเป็นเรื่องของการบริหารสถานการณ์ให้สอดคล้องกับระยะเวลาขณะนั้นให้ดีที่สุด
ในตอนท้ายโฆษกศคบ.เชิญชวนประชาชนที่มีจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันในการเสริมทีมบุคาลากรสาธารณสุขของกทม.โดยขณะนี้มีผู้สนใจสมัครเข้ามาจำนวน81คนแบ่งเป็นแพทย์11คนพยาบาล18คนผู้ช่วยพยาบาล2คนเภสัชกร3คนนักระบาดวิทยา5คนล่าม(ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ) 2 คนและธุรการ40คนซึ่งต้องขอบคุณทุกคนอย่างมากที่ได้มาช่วยทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่กระจายไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามเขตต่างๆทั้งนี้ยังมีความต้องการทีมฉีดวัคซีนเพิ่มเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนโดยต้องการ5ทีมทีมละ72คนรวมทั้งหมด360คนซึ่งแต่ละทีประกอบด้วยแพทย์2คนพยาบาล30คนทำหน้าที่ฉีดวัคซีน10คนเตรียมยา5คนช่วยคัดกรอง12คนสังเกตอาการ3คนและอาสาสมัครทั่วไป(วัคความดันโลหิต ชั่งน้ำหนักลงทะเบียนอำนวยความสะดวก)ประมาณ40คนจึงขอเชิญชวนและแจ้งประชาชนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาสมัครเพื่อช่วยกันทั้งภาครัฐเอกชนและภาคประชาชนให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้โดยสามารถสมัครได้ผ่านทางศูนย์ปฏิบัติการด้านสาธารณสุขของสำนักการอนามัยกทม.เบอร์โทรศัพท์064 805 2620
________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41993 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมขยายศักยภาพ “สายด่วนโควิด19” ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาทั่วถึงและรวดเร็ว | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมขยายศักยภาพ “สายด่วนโควิด19” ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาทั่วถึงและรวดเร็ว
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมขยายศักยภาพ “สายด่วนโควิด19” ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาทั่วถึงและรวดเร็ว
วันที่ 2 พ.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายหน่วยงานได้ร่วมกันดำเนินการขยายศักยภาพการให้บริการสายด่วนโควิด-19 ทั้งในเรื่องความเพียงพอของบุคลากรและจำนวนคู่สาย เพื่อให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลที่สถานพยาบาลตามระดับอาการอย่างรวดเร็ว ตามข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การบูรณาการทำงานมีดังนี้
1. กระทรวงสาธารณสุข ในช่วงต้นได้เพิ่มจำนวนคนมาช่วยรับสาย โทร 1668
ซึ่งเป็นจิตอาสาทางการแพทย์และสาธารณสุขกว่า 200 คน และต่อมามีการเพิ่มคู่สาย อีก 40 คู่สายโทร. 02-079-1000 เพื่อเสริมศักยภาพในการประสาน รับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อไปศูนย์แรกรับอาคารนิมิบุตร
2. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คัดนักเรียนแพทย์ที่มีความพร้อมมาช่วยรับโทรศัพท์ 1668 และ 1669 เพื่อแก้ปัญหาคนไม่พอ
3. บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าปรับปรุงระบบ 1668 และเพิ่มคู่สายให้สามารถรองรับปริมาณการโทรจำนวนมาก
4. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิด “ศูนย์ 191” รับแจ้งผู้ป่วยโควิด-19 แล้วส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานการแพทย์ ตลอด 24 ชม. รองรับ 1,200 คู่สายทั่วประเทศ
5. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โทร 1330 ตลอด 24 ชั่วโมง ทำงานคู่ขนานกับสายด่วน 1668 ของกระทรวงสาธารณสุข และ 1669 ศูนย์เอรวัณ กทม. เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 สอบถามข้อมูลการใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) และประสานหาเตียง
6. สำหรับผู้ติดเชื้อในพื้นที่ กทม. โทรสายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ ซึ่งได้จัดระบบการรับสายใหม่และเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รับสาย ขณะนี้ไม่มีปัญหาแล้ว และพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งประชาชนสามารถติดต่อสายด่วน 1668 หรือ 1330 ได้ด้วย ทั้งนี้ เมื่อมีผู้รับเรื่องแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องโทรหมายเลขอื่นอีก เนื่องจาก ศูนย์เอราวัณจะเป็นศูนย์กลางในการจัดเตียง ขณะนี้ ทางศูนย์ฯ แจ้งว่าสามารถดำเนินการนำส่งผู้ป่วยได้แบบวันต่อวัน
“นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณบุคลากรและอาสาสมัครทุกภาคส่วนที่ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชนในสถาณการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ข้อบกพร่องใด ๆ ที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้เร่งเข้าแก้ไข และสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้เกิดพัฒนางานบริการในทุกด้าน รวมถึงมีการเตรียมพร้อมเพื่อดูแลผู้ป่วยอาการหนักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้ง มีงบประมาณเพียงพอต่อการเยียวยาดูแลและบรรเทาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ วงเงินมาจากจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน และงบกลางปีงบประมาณ 2564 โดยกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาออกมาตรการ ทั้งรูปแบบการเยียวยา และกระตุ้นใช้จ่าย” รองโฆษกฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยตรวจสายด่วน 1506 กด 6 บริการให้คำปรึกษาผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ย้ำ ศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี จะเปิดบริการวันที | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
รมว.สุชาติ ลุยตรวจสายด่วน 1506 กด 6 บริการให้คำปรึกษาผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ย้ำ ศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี จะเปิดบริการวันที
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุยตรวจศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อเป็นช่องทางติดต่อคำแนะนำแก่ผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาได้
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานประกันสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคมโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีความห่วงใยมายังพี่น้องผู้ประกันตนทุกคนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มหรือจังหวัดที่มีการควบคุมสูงสุด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัด ลดการแพร่ระบาด ไม่ต้องรอคิวนาน ตรวจเสร็จแล้วหากพบติดเชื้อส่งรักษาทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดำเนินการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33,39 และ 40 ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์เยาวชน (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง และขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ทั้งนี้ ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ได้ปิดศูนย์ชั่วคราวระหว่างวันที่ 1-4 พ.ค.64 และจะเปิดให้บริการตรวจใหม่ในวันที่ 5 – 11 พฤษภาคมนี้ เช่นเดียวกับศูนย์ตรวจโควิด-19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานีได้ปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5-11 พ.ค.นี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ได้หยุดพัก ทำความสะอาดสถานที่ และดำเนินการกลุ่มที่ตกค้างให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ส่วนศูนย์ตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 1 สมุทรปราการ ได้เปิดให้บริการตรวจตั้งแต่วันที่ 1-7 พ.ค.64 โดยภาพรวมขณะนี้ได้ตรวจไปแล้วกว่า 45,000 คน พบผู้ติดเชื้อกว่า 700 คน ซึ่งทั้งหมดถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนสาธารณสุขในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมและ Hospitel แล้ว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ผมได้ลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมการให้บริการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคม ที่เปิดให้บริการเพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยจะให้คำแนะนำผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ให้คำปรึกษาการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้คำแนะนำหลักเกณฑ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานพยาบาล รวมถึงการส่งตัวผู้ประกันตนที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล และแนะนำเรื่องอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 โดยจะให้บริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการจำนวนทั้งสิ้น 10 คู่สาย ผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 รวมทั้งกรณีที่ต้องการรถพยาบาลให้ไปรับที่บ้านเพื่อไปตรวจรักษา ประสานหาเตียงให้ผู้ที่ติดเชื้อ สามารถประสานมายังสายด่วน 1506 กด 6 และในขณะนี้ผมได้เปิดวอรูมที่กระทรวงแรงงานโดยให้เจ้าหน้าที่ทีมงานหน้าห้องผม ได้ช่วยกันประสานการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ประกันตนและประชาชนที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย ดังนี้
1) พนักงานขับรถโดยสาร สาย ปอ.132 เขตการเดินรถที่ 6
2) พนักงานเก็บค่าโดยสาร สาย ปอ. 509 เขตการเดินรถที่ 6
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย 3 วัน ศูนย์แรกรับนิมิบุตรช่วยผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 178 ราย ส่งต่อได้รวดเร็ว | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
“อนุทิน” เผย 3 วัน ศูนย์แรกรับนิมิบุตรช่วยผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 178 ราย ส่งต่อได้รวดเร็ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลดำเนินการของศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร 3 วัน ช่วยผู้ติดเชื้อตกค้างรวม 178 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียว ใช้เวลาเพียงวันเดียวประสานช่วยส่งต่อได้ พร้อมปรับระบบส่งรถไปรับผู้ติดเชื้อจากบ้าน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลดำเนินการของศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร 3 วัน ช่วยผู้ติดเชื้อตกค้างรวม 178 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียว ใช้เวลาเพียงวันเดียวประสานช่วยส่งต่อได้ พร้อมปรับระบบส่งรถไปรับผู้ติดเชื้อจากบ้านถึงโรงพยาบาลตามระดับอาการได้รวดเร็ว
วันนี้ (2 พฤษภาคม 2564) ที่ศูนย์แรกรับและส่งต่อ กระทรวงสาธารณสุข (Pre-Admission Center MOPH) อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์แรกรับฯ ว่า วันนี้เป็นการดำเนินงานวันที่ 3 ภาพรวมถือว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถช่วยแบ่งเบาภารกิจของกรุงเทพมหานคร ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด 19 ตกค้างที่บ้านเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วยประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อตกค้างรวม 178 รายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียว พร้อมส่งรถไปรับผู้ติดเชื้อถึงบ้านเพื่อนำส่งโรงพยาบาลตามระดับอาการได้อย่างรวดเร็ว
“ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะติดต่อเข้ามาทางสายด่วน มากกว่าการเดินทางเข้ามาเอง ซึ่งเราปรับการบริการ โดยขอให้ผู้ติดเชื้อรออยู่ที่บ้าน และเมื่อประสานหาเตียงได้แล้ว ก็จะส่งรถพยาบาลที่เตรียมไว้ไปรับถึงบ้านและนำเข้าสู่การรักษาทันที ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลารอไม่นาน โดยเฉพาะกลุ่มอาการสีเขียวเพียงวันเดียวก็ประสานช่วยส่งต่อได้” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 30 เมษายน -2 พฤษภาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อติดต่อเข้ามาทั้งหมดรวม 178 ราย โดยติดต่อผ่านสายด่วน 02-079-1000 จำนวน 163 ราย เดินทางมาเอง 15 ราย เฉพาะวันที่ 2 พฤษภาคม ข้อมูลถึง 14.00 น. มีผู้ติดเชื้อติดต่อเข้ามา 63 ราย ผ่านสายด่วน 59 ราย เป็นกลุ่มอาการสีเขียว 40 ราย สีเหลือง 17 ราย และสีแดง 2 ราย ส่วนผู้ที่เดินทางเข้ามาเองมี 4 ราย เป็นสีเขียว 3 ราย และสีเหลือง 1 ราย ทั้งหมดสามารถช่วยเหลือให้ได้เข้ารับการรักษาตามระดับอาการที่เหมาะสม
************************************ 2 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ผลักดันแผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระตุ้นภาคการผลิต การขนส่ง ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ผลักดันแผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระตุ้นภาคการผลิต การขนส่ง ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ผลักดันแผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระตุ้นภาคการผลิต การขนส่ง ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม
วันที่ 2 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้มีข้อกำชับกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยว่า แม้ในช่วงระยะที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กิจกรรมภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะลดลงไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนแผนงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากทั้งกิจกรรมการผลิตอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง
“นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าเมื่อได้มีการกำหนดเป้าหมายแล้วประเทศไทยจะต้องผลักดันภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งส่วนการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม การขนส่งให้ได้ตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับนานาชาติที่มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก บางประเทศกำหนดเป้าหมายการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ ประเทศไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งกับนานาชาติในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ต้องอาศัยทั้งการลงมือปฏิบัติและใช้เวลาการเปลี่ยนแปลงจึงจะเกิดขึ้นได้” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลการลงทุนทั้งภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือกิจกรรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำการสื่อสารและมีมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับปรุงการผลิต รวมถึงลงทุนในเทคโนโลยี มีนวัตกรรมใหม่เพื่อไปสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่นอกจากจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยลดลง แนวทางดังกล่าวยังเป็นกระแสของโลกที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสนใจสินค้าจากผู้ผลิตที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 ประเทศไทยได้จัดส่งข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี พ.ศ. 2563 ไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้ได้ 20 – 25% จากกรณีปกติภายในปี 2573
หลังจากนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ โดยตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาได้มีการอนุมัติงบประมาณ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41414 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 พฤษภาคม 2564 กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายทาง | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
4 พฤษภาคม 2564 กทพ. ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 สายทาง
..
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 3 สายทาง ดังนี้
- ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 19 ด่าน
- ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 31 ด่าน
- ทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 10 ด่าน
ในวันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 (วันฉัตรมงคล) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ถึง 24.00 น. จำนวน 1 วัน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการประจำปีตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทาน ฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ ในสถานการณ์ COVID-19 กทพ. ขอเชิญชวนให้ผู้ใช้ทางพิเศษสมัครใช้บัตร Easy Pass เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับธนบัตรหรือเหรียญซึ่งอาจจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรครวมถึงใช้บริการเติมเงิน ในบัตร Easy Pass ผ่าน Application ของธนาคารต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะได้รับความสะดวกรวดเร็วแล้วยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากการรับหรือแพร่เชื้อ COVID-19 ได้อีกด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 นอกจากนี้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถดาวน์โหลด Application "EXAT Portal"
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“อนุทิน” เผย 3 วัน ศูนย์แรกรับนิมิบุตรช่วยผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 178 ราย ส่งต่อได้รวดเร็ว
สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิดระลอกเมษายน ติดจากคนใกล้ชิดในบ้าน / เพื่อน ร้อยละ 54 แนะปรับการใช้ชีวิต
“อนุทิน”เผยระนองพบผู้ติดเชื้อโควิด ชาวไทย-เมียนมาต่อเนื่อง เร่งเปิด รพ.สนาม รองรับ
สธ.เผยสาเหตุการติดเชื้อโควิด 19 ร้อยละ 76 มาจากคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และผู้ดูแลผู้ป่วย
สธ.เผยตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2564 ได้กระจายยาไปโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยแล้วกว่า 7 แสนเม็ด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ขอมีบัตรใหม่ และเปลี่ยนบัตร ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 ส.ค. 2564 | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
มหาดไทย ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ขอมีบัตรใหม่ และเปลี่ยนบัตร ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 ส.ค. 2564
มหาดไทย ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ขอมีบัตรใหม่ และเปลี่ยนบัตร ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 ส.ค. 2564
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 64 พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เป็นภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 นั้น
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังขยายขอบเขตการแพร่ระบาดของโรคออกเป็นวงกว้าง กระจายไปในหลายพื้นที่ และมีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ โดยเฉพาะกรณีการติดเชื้อภายในประเทศมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานที่บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนที่มีผู้ขอรับบริการจำนวนมาก จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้ลงนามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (เพิ่มเติม) โดยให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือการขอเปลี่ยนบัตรในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพมหานคร เพิ่มเติม จากภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 เป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน”เผยระนองพบผู้ติดเชื้อโควิด ชาวไทย-เมียนมาต่อเนื่อง เร่งเปิด รพ.สนาม รองรับ | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
“อนุทิน”เผยระนองพบผู้ติดเชื้อโควิด ชาวไทย-เมียนมาต่อเนื่อง เร่งเปิด รพ.สนาม รองรับ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดระลอกเมษายน จ.ระนองจากคลัสเตอร์สนุกเกอร์ –แพปลา ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 237 ราย ทั้งชาวไทย-เมียนมาส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานเชิงรุกคัดกรองกลุ่มเสี่ยง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดระลอกเมษายน จ.ระนองจากคลัสเตอร์สนุกเกอร์ –แพปลา ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 237 ราย ทั้งชาวไทย-เมียนมาส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานเชิงรุกคัดกรองกลุ่มเสี่ยง ที่ สมาคมประมงระนอง เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวเพิ่มอีก 5 แห่ง
วันนี้ (2 พฤษภาคม 2564) ที่ จังหวัดระนอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ลงพื้นที่เยี่ยมความพร้อมโรงพยาบาลสนามโรงยิมเนเซียมเทศบาลเมืองบางริ้น รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียวในพื้นที่จังหวัดระนอง ทั้งนี้ ข้อมูลการระบาดโควิดระลอกเดือนเมษายน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อสะสม 237 ราย เป็นคนไทย 157 ราย แรงงานข้ามชาติ 80 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 คน โดยพบผู้ติดเชื้อใน 12 คลัสเตอร์ และคลัสเตอร์สนุกเกอร์ –แพปลา ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องทั้งชาวไทยและชาวเมียนมา กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน เชิงรุกออกคัดกรองและค้นหาในกลุ่มเสี่ยง ที่ สมาคมประมงระนอง ตั้งแต่วันที่ 27 -29 เมษายน ตรวจไปแล้ว 1,266 รายพบติดเชื้อ 51 ราย เป็นคนไทย 16 ราย เมียนมา 35 ราย และได้ขยายการให้บริการถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 นี้
นายอนุทิน กล่าวว่าระนองเป็นจังหวัดชายแดนที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มีผู้ประกอบธุรกิจรวมทั้งผู้ทำงานชาวไทยและเมียนมาเดินทางเข้า-ออกจังหวัดจำนวนมาก ได้กำชับให้ติดตามเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น จากการคัดกรองเชิงรุกยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นมารองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ตัดวงจรการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยเฉพาะคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ขณะนี้เปิดแล้ว 1 แห่งเมื่อวันที่ 26เมษายน ที่ โรงยิมเนเซียม เทศบาลเมืองบางริ้น รองรับชาวไทย100เตียง และอาคารด้านหลังโรงยิมฯรองรับแรงงานเมียนมา 40 เตียง นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดเพิ่มอีก 5 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการ
“วันนี้มาให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อ ซึ่งการบริหารจัดการ เป็นไปด้วยความราบรื่น ขณะนี้ จ.ระนองได้ออกมาตรการต่างๆ เช่น การห้ามร้านจำหน่ายอาหารทุกประเภท ไม่ให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารภายในร้าน ให้ซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านได้เพื่อลดการรวมตัวที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุในการแพร่กระจายเชื้อได้ ทั้งนี้น่าจะคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งในวันนี้ได้นำวัคซีนมามอบให้แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า จำนวน5,000 โดส เพื่อฉีดป้องกันโควิดให้กับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดด้วยความสมัครใจ”นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์นรเทพ อัศวพัชระ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระนอง กล่าวว่า จังหวัดระนองมีผู้เดินทางเข้า-ออกจังหวัด สแกน QR code"ระนองชนะ" ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2564 จำนวน 8,790 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ติดตามพบผู้ที่มีความเสี่ยงสูง 892 ราย ส่งตรวจหาสารพันธุกรรมโรคโควิด 19 ทุกรายและกักกันตัวเพื่อสังเกตอาการในที่พักอาศัย 14 วัน(Home Quarantine) ส่วนผู้มีความเสี่ยงต่ำให้เฝ้าระวังสังเกตอาการ 14 วัน (Self Quarantine) จำนวน 7,832 ราย
************************************2 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์ องค์พระพิรุณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
พิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์ องค์พระพิรุณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดพิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์ องค์พระพิรุณทรงนาค และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯก่อนพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชต่าง ๆ และพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ประจำปีพุทธศักราช 2564
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์ องค์พระพิรุณทรงนาค และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นพิธีกรรมก่อนพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีนี้นั้น ไม่สามารถดำเนินการจัดได้ตามปกติ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และพระราชทานพระมหากรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. และปฏิบัติหน้าที่ประธานในพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ในวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ซึ่งพิธีบวงสรวงบูรพกษัตริย์ องค์พระพิรุณทรงนาค และศาลพระภูมิเจ้าที่ของพระยาแรกนาขวัญ จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ พนักงาน ข้าราชการ และประชาชน และเป็นพิธีกรรมก่อนวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ โดยมีเทพีคู่หาบทอง-หาบเงิน ร่วมในพิธีด้วย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าว จะแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกร
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปี 2564 จึงได้กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 เป็นวันพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ซึ่งประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถือเป็นวันเกษตรกรด้วย สำหรับวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 เป็นพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง ซึ่งจะประกอบพิธี ณ สวนจิตรลดา
สำหรับเทพีคู่หาบทองปีนี้ ได้แก่ นางสาวณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชำนาญการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และนางสาวอาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ เศวตนันทิกุล นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ กองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวชลธิชา ทองอ่อน นายสัตวแพทย์ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้หว่านข้าว
สำหรับพันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทานที่เตรียมไว้ในพิธีหว่านข้าวมีทั้งสิ้น 5 สายพันธุ์ น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 1,396 กิโลกรัม ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105, ปทุมธานี 1, กข79, กข43 และ กข6 ตลอดจนบรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายให้บรรดาพสกนิกร ประชาชนผู้สนใจ และชาวนาทั่วประเทศรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน ม.33 รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน จากเหตุสถานการณ์โควิด-19 | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน ม.33 รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน จากเหตุสถานการณ์โควิด-19
รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน ม.33 รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน จากเหตุสถานการณ์โควิด-19
วันที่ 2 พ.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้กระทรวงแรงงานดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องแรงงาน พร้อมให้ดูแลผู้ประกันตนที่มีกว่า 16.5 ล้านคน โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดสถานที่ และสถานประกอบกิจการเป็นการชั่วคราว จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ตามประกาศ “กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมาย ว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563” และลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างหรือถูกสั่งให้กักตัว มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน แต่ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการของรัฐบาลที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในขณะนี้
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก ผู้ประกันตนทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติ ในพื้นที่ที่มีกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากทั้ง 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี และเชียงใหม่ ตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด พร้อมประสานกับโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมในการเตรียมแผนรองรับผู้ประกันตนที่อาจติดโควิด-19 สำหรับผู้ที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งจะประสานให้ส่งตัวไปยัง Hospitel รวมทั้งกำชับให้ทุกสถานประกอบการทุกแห่ง เฝ้าระวัง ตรวจสอบ คัดกรองโรคโควิด-19 เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจโควิด-19 หรือสถานพยาบาล สามารถติดต่อสายด่วนได้ที่ 1506 กด 6
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ประเมินผลกระทบหลังออกมาตรการคุมโควิด-19 เสนอ ศบศ. ออกแนวทางเยียวยาประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
นายกฯ มอบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ประเมินผลกระทบหลังออกมาตรการคุมโควิด-19 เสนอ ศบศ. ออกแนวทางเยียวยาประชาชน
นายกฯ มอบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ประเมินผลกระทบหลังออกมาตรการคุมโควิด-19 เสนอ ศบศ. ออกแนวทางเยียวยาประชาชน
เมื่อวันที่ 2 พ.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กำชับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการยกระดับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ที่ได้รับกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชน รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่ โดยให้เตรียมความพร้อมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบศ. ซึ่งจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้
“นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามและประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ จากการออกมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นที่มีการปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ ทั่วประเทศ กระทั่งมาถึงมาตรการล่าสุดที่เน้นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร ซึ่งแม้ก่อนออกมาตรการต่าง ๆ จะได้ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน แต่ก็ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเร่งประเมินผลหลังมีมาตรการออกไปแล้วเพื่อกลั่นกรองเป็นแนวทางการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว” น.สไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยประชาชน ทั้งที่ได้รับผลกระทบทางตรงและได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยได้ขอให้กระทรวงอื่น ๆ ได้เตรียมความพร้อม สำหรับมาตรการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชนด้วย เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้มีมาตรการช่วยลดค่าครองชีพ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ รวมถึงแก๊ส ฯลฯ ซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้เป็นอย่างดี ถือเป็นแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยมาตรการเยียวยาต่าง ๆ จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม และรวดเร็ว ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ครอบคลุมที่สุด พร้อมกับมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของระบาดรอบนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด โดยเวลานี้ขอความร่วมมือทุกคน ให้ช่วยกันป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งเมื่อสถานการณ์การติดเชื้อคลี่คลายโดยเร็ว ประชาชนก็จะได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิดระลอกเมษายน ติดจากคนใกล้ชิดในบ้าน / เพื่อน ร้อยละ 54 แนะปรับการใช้ชีวิต | วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564
สธ.เผยผู้ติดเชื้อโควิดระลอกเมษายน ติดจากคนใกล้ชิดในบ้าน / เพื่อน ร้อยละ 54 แนะปรับการใช้ชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อระลอกเมษายนติดจากคนใกล้ชิดในบ้าน/เพื่อน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 54 แนะปรับการใช้ชีวิต เข้มมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง พร้อมเน้นนอกจากวัคซีนแล้ว ความร่วมมือของทุกคนมีความสำคัญ
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อระลอกเมษายนติดจากคนใกล้ชิดในบ้าน/เพื่อน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 54 แนะปรับการใช้ชีวิต เข้มมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง พร้อมเน้นนอกจากวัคซีนแล้ว ความร่วมมือของทุกคนมีความสำคัญช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
บ่ายวันนี้ (2 พฤษภาคม2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคแถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,940 ราย จากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,799 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 85 ราย จากต่างประเทศ 10 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,183 รายอยู่ระหว่างการรักษา29,481 ราย อาการหนัก954 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 270 ราย และมีผู้เสียชีวิต 21 รายเป็นชาย 12 ราย หญิง 9 ราย อายุระหว่าง 34-88 ปี อยู่ใน กทม. 8 ราย เชียงใหม่ 4 ราย ชลบุรี ลำพูน จังหวัดละ 2 รายนครปฐม ตาก ระนอง นครสวรรค์ อุดรธานี จังหวัดละ 1 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิตสูงเบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดสมอง มะเร็ง ภาวะอ้วน ปอดเรื้อรัง ไตเรื้อรัง และติดบ้านติดเตียง โดยติดเชื้อมาจากการสัมผัสในครอบครัว เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน ซึ่งการพบผู้เสียชีวิตจำนวนมากสาเหตุจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขพยายามดูแลอย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มียา เวชภัณฑ์ ที่เพียงพอที่จะดูแลผู้ติดเชื้อทุกคน
นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ขณะนี้ในเขต กทม.ยังเป็นพื้นที่ระบาดใหญ่ ส่วนในต่างจังหวัดผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงตัว ในจังหวัดสีแดงและสีส้มจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดรวมถึงมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ หลังจากมีมาตรการปิดสถานบันเทิง ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้นทำให้พบผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สัมผัสภายในบ้านเพิ่มสูงขึ้นตามมา ข้อมูลการระบาดระลอกเมษายนสัปดาห์ที่ 14-17 มีผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดคนในครอบครัวและเพื่อนเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 54 ขอแนะนำให้เข้มงวดป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวผู้ที่ทำงานนอกบ้านให้เว้นระยะห่าง แยกสำรับอาหาร หากเป็นไปได้ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในบ้านปรับกิจกรรมในครอบครัวป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดการติดเชื้อขึ้นได้
สำหรับการลงพื้นที่ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนคลองเตย ของกระทรวงสาธารณสุข กทม.และหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ชุมชน 70 ไร่ ตรวจหาเชื้อ 433 ราย พบติดเชื้อ 21 ราย ที่วัดสะพาน ตรวจหาเชื้อ 489 รายพบติดเชื้อ 29 ราย และชุมชนพัฒนาใหม่ตรวจหาเชื้อ 411 ราย พบติดเชื้อ 49 ราย ส่วนการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิด ในเขต กทม. ให้ความมั่นใจว่าผู้ติดเชื้อที่ตรวจและทราบผลแล้วจะรอเตียงไม่เกิน 48 ชั่วโมง มีการจัดกลุ่มอาการของผู้ติดเชื้อ เป็นสีเขียว เหลือง หรือแดง และกระจายไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือHospitel ที่เหมาะสมต่อไป ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,484,565 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,097,862 ราย และครบ 2 เข็ม 386,703 ราย โดยในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีน 7,487 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 2,632 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 4,855 ราย
“สำหรับข่าวปลอมในสื่อโซเชียลมีเดีย ในประเด็นจำนวนวัคซีนสำหรับประชาชน รัฐบาลยืนยันว่ามีวัคซีนโควิด 19 เพียงพอที่จะฉีดให้คนไทยทุกคน นอกจากวัคซีนแล้วการปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล สาธารณสุขสังคม และองค์กร มีส่วนสำคัญ แม้อาจทำให้รู้สึกไม่ผ่อนคลายมากนัก หากทุกคนความร่วมมือร่วมใจกันการระบาดจะลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติอย่างเดิมมากขึ้น” นายแพทย์เฉวตสรร กล่าว
************************************ 2 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564 | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564
ปลัดกอบชัยฯ เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการเป็นประธานการประชุมฯ โดยมีนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม อก 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯได้มีการหารือเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษและกรอบแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ และกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41981 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าประชุม เรื่อง เทคโนโลยีทางทะเลของเนเธอร์แลนด์ : มุมมอง โอกาส และความเป็นไปได้ ต่อภาคส่วนทางทะเลของไทย | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่าประชุม เรื่อง เทคโนโลยีทางทะเลของเนเธอร์แลนด์ : มุมมอง โอกาส และความเป็นไปได้ ต่อภาคส่วนทางทะเลของไทย
...
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นผู้แทนกรมเจ้าท่า (จท.) ประชุม เรื่อง “เทคโนโลยีทางทะเลของเนเธอร์แลนด์ : มุมมอง โอกาส และความเป็นไปได้ ต่อภาคส่วนทางทะเลของไทย” (Dutch Maritime Technology : Outlook, Opportunities and Possibilities on Thailand Maritime Sector) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมี นาย เกส ปิเตอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ผู้แทนจากสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย การท่าเรือรอตเธอร์ดัม และผู้ประกอบการจากสมาคมเทคโนโลยีทางทะเลเนเธอร์แลนด์ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ได้แลกเปลี่ยนในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การดำเนินการ แนวโน้มและความท้าทายในอนาคต เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาท่าเรือ เรือไฟฟ้า และเรือยอร์ช ข้อมูลอู่ต่อเรือและซ่อมเรือของไทยและเนเธอร์แลนด์ เพื่อสร้างโอกาสและความเป็นไปได้ในการเสริมสร้างความร่วมมือและการประกอบธุรกิจในภาคการขนส่งทางน้ำระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งฝ่ายไทยได้ร่วมกล่าวคำปราศรัยในช่วงพิธีเปิดการประชุม โดยเน้นย้ำบทบาทของ จท. ในการผลักดันการพัฒนาการขนส่งทางน้ำที่มีความปลอดภัย สะดวก มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืน และใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือด้านการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงแผนพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทย - ทะเลอันดามัน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 การพัฒนาการขนส่งทางลำน้ำภายในประเทศ แผนการให้บริการเรือไฟฟ้าของไทย และได้แสดงความสนใจในการร่วมมือกับเนเธอร์แลนด์ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคโนโลยีด้านการขนส่งทางน้ำ อาทิ เทคโนโลยีการขุดลอก เทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศและดิจิทัลในภาคการขนส่งทางน้ำ การต่อเรือและซ่อมเรือ การขนส่งทางลำน้ำภายในประเทศ และการสร้างเสริมศักยภาพของบุคลากรในภาคการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ทดสอบความพร้อมเรือ The Blue Dolphin เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการ เส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี - จังหวัดสงขลา | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า ทดสอบความพร้อมเรือ The Blue Dolphin เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการ เส้นทางระหว่างจังหวัดชลบุรี - จังหวัดสงขลา
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม ทดสอบความพร้อมเรือ The Blue Dolphin เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการประชาชน ในเส้นทางท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ (จุกเสม็ด) อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี - ท่าเรือสวัสดิ์พัฒนา จ.สงขลา เชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภาคตะวันออก - ภาคใต้
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จท. ได้แก้ไขปัญหาการจราจรทางบก ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และเพิ่มทางเลือกการขนส่งสินค้า ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ด้วยการร่วมกับบริษัท ซีฮอร์ส เฟอร์รี่ จำกัด ผลักดันโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าว เส้นทางระหว่างท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ (จุกเสม็ด) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี - ท่าเรือสวัสดิ์พัฒนา จังหวัดสงขลา ซึ่งได้ทดสอบการเดินเรือ The Blue Dolphin เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในด้านความปลอดภัย และเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการประชาชน โดยออกเดินทางจากท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ (จุกเสม็ด) จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ระยะทางประมาณ 325 ไมล์ทะเล ใช้ความเร็วมัธยัสถ์ที่ 17 น็อต เข็มการเดินเรือประมาณ 185 องศา ถึงปากร่องน้ำสงขลา เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 เวลา 08.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 21 ชั่วโมง 30 นาที และลอยลำรอรับการนำร่องเพื่อทดสอบการนำเรือเข้าเทียบท่า ซึ่งเจ้าหน้าที่นำร่องได้ปฏิบัติการนำร่องในเรือ เวลา 09.00 น. สามารถนำเรือเข้าเทียบที่ท่าเรือสวัสดิ์พัฒนา จังหวัดสงขลา เวลา 11.00 น.
สำหรับเรือ The Blue Dolphin หมายเลขทะเบียนเรือ 640000020 ขนาดความยาว 136.6 เมตร กว้าง 21 เมตร ขนาด 7003 ตันกรอส สามารถบรรทุกรถ 10 ล้อ ได้ครั้งละ 80 คัน รถยนต์ส่วนบุคคล 15 - 20 คัน คนประจำเรือ 30 คน บรรทุกคนโดยสารได้ 586 คน สามารถทำความเร็วได้ประมาณ 18 - 20 น็อต โดย จท. มีแผนเปิดให้บริการเดินเรือเส้นทางท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ (จุกเสม็ด) จังหวัดชลบุรี - ท่าเรือสวัสดิ์พัฒนา จังหวัดสงขลา และจะขยายเส้นทางเชื่อมโยงกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในระยะต่อไป การคมนาคมขนส่งทางน้ำในเส้นทางดังกล่าว จะเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) กับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางน้ำ ลดต้นทุนและอุบัติเหตุจากการขนส่งทางบก รวมทั้งลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งด้านการขนส่งและการท่องเที่ยวทางทะเลอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41949 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เผยความคืบหน้าในการดำเนินงาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย - ลำสาลี (บึงกุ่ม) | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
รฟม. เผยความคืบหน้าในการดำเนินงาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย - ลำสาลี (บึงกุ่ม)
เตรียมก่อสร้างฐานรากโครงการรถไฟฟ้าฯ ไปพร้อมกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2
ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ รฟม. ครั้งที่ 5/2564 ว่า คณะกรรมการ รฟม. ได้มีมติอนุมัติให้ รฟม. ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย - ลำสาลี (บึงกุ่ม) ตามขั้นตอนในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 และเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 โดยให้ รฟม. นำเสนอขอความเห็นชอบในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ จากกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี ต่อไป
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการ รฟม. ได้มีมติอนุมัติให้ รฟม. ดำเนินการก่อสร้างฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ ไปพร้อมกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ในความรับผิดชอบของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยมีกรอบวงเงินรวม 1,470 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย ค่างานก่อสร้างฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ ในส่วนที่ซ้อนทับกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 จำนวน 1,418 ล้านบาท (รวมค่า Provisional Sum) และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 52 ล้านบาท และได้มีมติอนุมัติแหล่งเงินก่อสร้างฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีเป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอเพื่อการชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะตกลงกับ รฟม. ต่อไป
ทั้งนี้ รฟม. จะเร่งรัดนำเสนอเรื่องดังกล่าว ไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณานำเรื่องเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้สอดคล้องไปกับการดำเนินงานโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ที่ปัจจุบัน กทพ. อยู่ในระหว่างเตรียมเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการจากคณะรัฐมนตรี โดยทั้งสองหน่วยงานมีแผนจัดการประกวดราคาหาผู้รับจ้างก่อสร้างร่วมกันภายในเดือนตุลาคม 2564 อันจะเป็นประโยชน์ในด้านการลดภาระค่าก่อสร้าง ย่นระยะเวลาการก่อสร้าง และลดปัญหาการจราจรระหว่างการก่อสร้าง ทั้งยังช่วยลดผลกระทบในระหว่างก่อสร้างต่อประชาชนให้เหลือน้อยที่สุดอีกด้วย
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) มีโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ จำนวน 20 สถานี ระยะทาง 22.1 กิโลเมตร โดยพื้นที่โครงการฯ มีส่วนซ้อนทับกับโครงสร้างทางด่วนขั้นที่ 3 ตอน N2 บนแนวถนนประเสริฐมนูกิจ เป็นระยะทาง 7.2 กิโลเมตร (จำนวน 6 สถานี) ซึ่งรูปแบบเบื้องต้นของฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ จะก่อสร้างโครงสร้างทางวิ่งเป็นคานคอนกรีตที่วางบนคานขวาง และ Bearing Shoe และออกแบบให้มีเสาตอม่อสายสีน้ำตาลแทรกระหว่างเสาทางด่วนที่ก่อสร้างไว้แล้ว มีระยะระหว่างช่วงตอม่อโดยทั่วไปประมาณ 25 – 30 เมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งคุมเข้มชายแดน ต้องให้มั่นใจ ไม่มีโควิดสายพันธุ์ใหม่ข้ามมาพร้อมผู้ลักลอบข้ามแดน ย้ำฟันเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
สั่งคุมเข้มชายแดน ต้องให้มั่นใจ ไม่มีโควิดสายพันธุ์ใหม่ข้ามมาพร้อมผู้ลักลอบข้ามแดน ย้ำฟันเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ได้สั่งการ ฝ่ายความมั่นคง ทหารและตำรวจ ในที่ประชุมสภากลาโหม
ให้สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดคุมเข้มเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยให้มีมาตรการคัดกรองโรคเข้มข้นต่อเนื่องควบคู่กันไป ทั้งนี้ให้ประสานสืบจับกุมทำลายเครือข่ายและดำเนินการทางกฎหมายกับนายทุน ผู้ลักลอบและนำพาอย่างจริงจัง ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น
ภาพรวม การปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคง ทหารและตำรวจ ที่ผ่านมา ได้เพิ่มกำลังสกัดกั้นและความถี่การลาดตระเวนมากขึ้น ร่วมกับการวางเครื่องกีดขวาง จัดตั้งจุดตรวจและกวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นได้อย่างต่อเนื่อง โดย ตั้งแต่ ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมทั้งสิ้น 2,122 ครั้ง สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้ จำนวน 18,039 คน เป็นผู้นำพา 243 คน ( ชาวเมียนมา 8,010 คน ลาว 1,345 คน กัมพูชา 5,977คน มาเลเซีย 37 คน ชาวไทย 1,851 คน และสัญชาติอื่นๆ 576 คน ) โดยเป็นการจับกุมในพื้นที่ชายแดนได้กว่า 15,000 คน และพื้นที่ตอนในเกือบ 3,900 คน ซึ่งจากสถิติผลการจับกุมรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พบมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้านและความต้องการแรงงานจากภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการสู้รบในเมียนมา มีผลให้การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้มากขึ้น ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามฝ่ายความมั่นคง ยังคงให้ความสำคัญและปฏิบัติงานร่วมกันโดยไม่ประมาท โดยเฉพาะการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนด้านมาเลเซียและเมียนมา ที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการข้ามมาของโควิท-19 สายพันธ์ที่ยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทยพร้อมกับผู้ลักลอบเข้าเมือง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41963 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด วธ.มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
รองปลัด วธ.มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ
มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี พ.อ.ประเจษฎ์ เรืองกาญจนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการกองอุบัติเหตุ และเวชกรรมฉุกเฉิน โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นผู้รับมอบ ณ ตึกอุบัติเหตุ ชั้น ๑ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยมี นางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41973 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งสอบสวนควบคุมโรคในแคมป์คนงานหลักสี่ | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
สธ. เร่งสอบสวนควบคุมโรคในแคมป์คนงานหลักสี่
กระทรวงสาธารณสุข เร่งสอบสวน ควบคุมโรค ค้นหาผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสโรคในแคมป์คนงานหลักสี่ หลังพบโควิดสายพันธุ์อินเดีย ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขประเทศอังกฤษพบการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิ
กระทรวงสาธารณสุข เร่งสอบสวน ควบคุมโรค ค้นหาผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสโรคในแคมป์คนงานหลักสี่ หลังพบโควิดสายพันธุ์อินเดีย ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขประเทศอังกฤษพบการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพ แนวทางการรักษาและควบคุมโรคยังเหมือนเดิม ย้ำการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ไม่มีการปิดกั้นภาคเอกชน
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2564) เวลา 15.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวกรณีแคมป์ก่อสร้างในพื้นที่เขตหลักสี่ พบการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย ว่า ธรรมชาติเชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา โดยสายพันธุ์ที่ให้ความสนใจคือ กลายพันธุ์แล้วแพร่ระบาดง่ายขึ้น ก่อโรครุนแรงหรือเสียชีวิตมากขึ้น และส่งผลให้วัคซีนป้องกันโรคไม่มีประสิทธิภาพ ขณะนี้การระบาดในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อังกฤษ มีสายพันธุ์จี และสายพันธุ์ดั้งเดิมเล็กน้อย กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับห้องปฏิบัติการมหาวิทยาลัยต่างๆ ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อโควิด 19 เพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์ต่างๆ โดยจากการตรวจ 61 ตัวอย่าง พบ 15 ตัวอย่างตรงกับสายพันธุ์อินเดีย เป็นชาย 7 คน หญิง 8 คน อายุเฉลี่ย 46 ปี เป็นคนงานในแคมป์ก่อสร้าง 12 คน ผู้สัมผัสร่วมบ้าน 3 คน ทั้งหมดมีอาการเล็กน้อย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้เป็นแรงงานผิดกฎหมายแต่อย่างใด
“สายพันธุ์อินเดียมีการระบาดมากในหลายประเทศ ทั้งอินเดีย อังกฤษ มาเลเซีย รวมทั้งเคยพบในสนามบินซางฮีประเทศสิงคโปร์ ส่วนเมียนมาและกัมพูชาการตรวจสายพันธุ์ยังมีข้อมูลค่อนข้างจำกัด เชื่อว่าอาจมีสายพันธุ์อินเดีย ดังนั้นประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะพบสายพันธุ์อินเดียหลุดรอดเข้ามา โดยมาจากทางไหนต้องอาศัยการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสทั้งตัวที่พบในไทยเปรียบเทียบกับเชื้อของประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมกับใช้หลักระบาดวิทยาในการสอบสวนโรค ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป ต้องรอข้อมูลทั้งสองส่วนประกอบกัน” นายแพทย์โอภาสกล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขประเทศอังกฤษพบว่า การแพร่เชื้อ ความรุนแรงของสายพันธุ์อินเดียไม่ได้แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ ไม่ส่งผลต่อผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เนื่องจากอังกฤษมีการระบาดของทั้งสองสายพันธุ์ เมื่อฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าได้ครอบคลุมจำนวนมากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่วนมาตรการควบคุมโรคสายพันธุ์อินเดียไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษหรือสายพันธุ์อื่นๆ คือ มาตรการป้องกันส่วนบุคคล ทั้งสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ มาตรการด้านสาธารณสุข เมื่อพบผู้ป่วยต้องแยกกัก นำเข้าสู่การรักษาโดยใช้เวลารักษา 14 วันเหมือนกัน ให้ยาฟาวิพิราเวียร์เร็วขึ้นในกลุ่มที่มีความเสี่ยงอาการรุนแรง นำผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเสี่ยงต่ำเข้าสู่การตรวจ และมาตรการทางสังคม มีการควบคุมการเข้าออก เพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายน้อยที่สุด
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับการจัดหาวัคซีนโควิด 19 รัฐบาลมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหาวัคซีนฉีดให้แก่ประชาชนด้วยความสมัครใจไม่คิดมูลค่า เพื่อป้องกันควบคุมโรคและลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตโดยวัคซีนหลักของประเทศไทยคือวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่จะทยอยส่งมอบจำนวนมากในช่วงเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไปร่วมกับวัคซีนอื่นที่จะจัดหามาเพิ่มเติม โดยล่าสุด ศบค.ชุดใหญ่ได้เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนแล้ว แต่จากการระบาดของโรคโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงเร่งรัดจัดหาวัคซีนล่วงหน้าก่อนแผนหลักเพื่อมาควบคุมการแพร่ระบาดตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 กระจายวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ 2.6 ล้านโดส สามารถฉีดได้ 2.5 ล้านโดส แสดงถึงศักยภาพการฉีดของประเทศไทย แม้จะดูว่าตัวเลขการฉีดน้อยในเวลานี้ แต่เมื่อมีการฉีดวัคซีนตามแผนหลักคาดว่าจะฉีดวัคซีนได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนที่มีการสอบถามว่าภาคเอกชนนำวัคซีนเข้ามาได้หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีวัคซีนโควิด 19 ขึ้นทะเบียนในภาวะฉุกเฉินจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว 4 ราย คือ แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวค จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และโมเดอร์นา ยังมีอีกหลายรายที่รอขึ้นทะเบียน เช่น ไฟเซอร์ เป็นต้น ดังนั้น ภาคเอกชนต่างๆ สามารถจัดหาวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับ อย.แล้วเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่ที่ผ่านมาบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้องการขายให้ภาครัฐโดยตรง ถือเป็นสิทธิของผู้ขาย คณะกรรมการด้านวัคซีนทางเลือกจึงมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการเจรจานำวัคซีนเข้ามา จะเห็นว่าไม่เคยมีการปิดกั้นการนำวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนแล้วเข้ามาในประเทศไทย
“จากการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนหลายราย ส่วนใหญ่จะส่งมอบวัคซีนให้ได้ในไตรมาสที่ 4 หรือประมาณเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งมีข่าวดีว่าหลายบริษัทจะเริ่มมีการนำวัคซีนจากแหล่งอื่นๆ มาให้ประเทศไทย อาจได้วัคซีนเข้ามาอีกหลายตัว หากมีความชัดเจนจะรายงานความคืบหน้าต่อไป และย้ำว่าการจัดซื้อวัคซีนมีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เพื่อความโปร่งใสเสมอ” นายแพทย์โอภาสกล่าว
*********************************** 21 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41984 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง หารือ ประธานสภาองค์การลูกจ้างฯ ประกันภัยความเสี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการฉีดวัคซีนโควิดแก่ผู้ประกันตน | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
รมว.เฮ้ง หารือ ประธานสภาองค์การลูกจ้างฯ ประกันภัยความเสี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการฉีดวัคซีนโควิดแก่ผู้ประกันตน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือ นายมานิตย์ พรหมการีย์กุล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย และคณะ ประเด็นประกันภัยความเสี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกันตนในการฉีดวัคซีน
เมื่อวันที่21พฤษภาคม2564ที่ห้องจัตุมงคลชั้น6อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการหารือร่วมกับนายมานิตย์พรหมการีย์กุลประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทยและคณะประเด็นประกันภัยความเสี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19ของผู้ประกันตนโดยมีนางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุเทพชิตยวงษ์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศลปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วยโดยนายมานิตย์กล่าวว่าจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก3 ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกสาขาอาชีพทั้งในระบบและนอกระบบประกันสังคมได้รับผลกระทบถ้วนหน้ารัฐบาลก็ได้เร่งมือเต็มที่ในการแก้ปัญหาต่างๆมากมายหลายโครงการทั้งบริการตรวจเชิงรุกให้บุคคลทั่วไปและตรวจในสถานประกอบการของผู้ประกันตนมาตรา33เพื่อเป็นการป้องกันขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนมาตรา33ในระบบประกันสังคมซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มีความสำคัญกลุ่มใหญ่ที่มีอาชีพต้องสัมผัสต้องเจอคนจำนวนมากอีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศซึ่งผู้ประกันตนก็เต็มใจเตรียมพร้อมที่จะฉีดวัคซีนกันทุกคนในการนี้เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและมั่นใจของผู้ประกันตนมาตรา33ที่จะฉีดวัคซีนจึงขอให้กระทรวงแรงงานประกันภัยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดผลกระทบจากการฉีดวัคซีนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและครอบครัว
นายสุชาติกล่าวถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวว่าในเบื้องต้นสำนักงานประกันสังคมได้มีประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมเรื่องหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ซึ่งจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายหรือเกิดผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด- 19ดังนี้กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจ่ายสูงสุดไม่เกิน400,000บาทกรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการจ่าย240,000บาทกรณีแพ้วัคซีนและจำเป็นต้องรักษาพยาบาลหรือฟื้นฟูจ่าย100,000บาทกรณีแพทย์สั่งให้หยุดพักจะจ่ายเงินชดเชยรายวันร้อยละ50ของค่าจ้างระยะเวลาไม่เกิน90วัน(250บาทต่อวันสูงสุดไม่เกิน365วันต่อปี)เงินทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ(ทุพพลภาพไม่รุนแรง)จ่ายร้อยละ30ของค่าจ้างไม่เกิน15ปีเงินทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ(ทุพพลภาพรุนแรง)จ่ายร้อยละ50ของค่าจ้างตลอดชีวิตเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิตหากส่งเงินสมทบ3ปีได้ชดเชย2เดือนส่งเงินสมทบ10ปีได้ชดเชย6เดือนและเงินสงเคราะห์บุตรกรณีผู้ประกันตนเสียชีวิตจะจ่ายเดือนละ800บาทจนบุตรอายุครบ6ปีบริบูรณ์ทั้งนี้แต่ละกรณีอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ที่จะเป็นผู้วินิจฉัย
“ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนจะได้รับการจ่ายสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นดังนั้นข้อเรียกร้องที่ขอให้จ่ายค่าชดเชยมากกว่าสิทธิประโยชน์ที่พ.ร.บ.กำหนดผมจะมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมไปศึกษาในรายละเอียดและความเป็นไปได้เพื่อเป็นการประกันภัยความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกันตนในการฉีดวัคซีนครั้งนี้”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
21พฤษภาคม2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดการลงทุนภาคเอกชนใน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษประมาณ 25,400 ล้านบาทแล้ว นายกฯ ย้ำหลังโควิด-19 คลี่คลายให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเศรษฐกิจต้องชัดเจน ลุกให้เร็ว ก้าวให้ไว | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
ยอดการลงทุนภาคเอกชนใน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษประมาณ 25,400 ล้านบาทแล้ว นายกฯ ย้ำหลังโควิด-19 คลี่คลายให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเศรษฐกิจต้องชัดเจน ลุกให้เร็ว ก้าวให้ไว
ยอดการลงทุนภาคเอกชนใน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษประมาณ 25,400 ล้านบาทแล้ว นายกฯ ย้ำหลังโควิด-19 คลี่คลายให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเศรษฐกิจต้องชัดเจน ลุกให้เร็ว ก้าวให้ไว
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (21 พ.ค.64) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญในการเร่งรัดพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงกับประชาชนและภาคเอกชนในพื้นที่ ทั้งการเพิ่มรายได้ สร้างงานและอาชีพ เพื่อลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งให้เตรียมแผนบริหารแรงงานอย่างเป็นระบบทั้งแรงงานในประเทศและต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยต่าง ๆ ลดปัญหาคนว่างงานในอนาคต โดยมอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาจัดตั้งกลไกการบริหารจัดการ ในระดับพื้นที่เพื่อประสานการขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นไปตามนโยบายของ กพศ. และสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนในพื้นที่ด้วย
โอกาสนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการกำหนดพื้นที่และแนวทางในการให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุน 4 ภาค ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และหนองคาย) พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี) และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ พิจารณากำหนดขอบเขตพื้นที่ของแต่ละระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ กิจการเป้าหมาย และสิทธิประโยชน์ และนำเสนอ กพศ. เพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้จังหวัดที่อยู่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษของทั้ง 4 ภาค ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ และสิทธิประโยชน์ที่จะให้แก่ผู้ประกอบการในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง รวมทั้งวัตถุประสงค์ เป้าหมาย แนวทางการดำเนินงาน และการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำห้วงเวลานี้เป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจต้องชัดเจน ลุกให้เร็ว ก้าวให้ไว เพื่อรองรับหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะคณะกรรมการ กพศ. จะต้องเป็นหลักในการที่จะทำให้รัฐบาลสามารถที่จะตัดสินใจในการอนุมัติแผนงาน/โครงการและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงภารกิจ พันธกิจ และการบูรการณ์ Agenda เหล่านี้ ทุกกระทรวงต้องช่วยกัน ส่วนการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษของทั้ง 4 ภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง – ตะวันตก และภาคใต้) ต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่ก่อนขยายเชื่อมโยงไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพและความพร้อม รวมทั้ง BOI ต้องมีการปรับกฎ ระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนมาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการดึงคนที่มีศักยภาพ Talent คนสูงอายุที่มีกำลังทรัพย์ และโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการพิจารณาในเรื่องของ Free Zone เช่นเดียวกับหลายประเทศได้ดำเนินการอยู่ เป็นต้น การดำเนินการดังกล่าวนี้ คือ อนาคตของประเทศและเศรษฐกิจไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41980 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยรับมอบรถยนต์โตโยต้า โคโรล่า เพื่อสนับสนุนภารกิจแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กระทรวงมหาดไทยรับมอบรถยนต์โตโยต้า โคโรล่า เพื่อสนับสนุนภารกิจแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงมหาดไทยรับมอบรถยนต์โตโยต้า โคโรล่า เพื่อสนับสนุนภารกิจแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 64 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในพิธีส่งมอบรถยนต์โตโยต้า โคโรล่า จำนวน 54 คัน เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และนายชยชัย แสงอินทร์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมให้การต้อนรับ
มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กล่าวว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้ดำเนินมาตรการในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีความยินดีที่จะร่วมสนับสนุนภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ด้วยการมอบรถยนต์โตโยต้า โคโรลา จำนวน 54 คัน เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 และมีความคาดหวังว่า การช่วยเหลือในครั้งนี้จะทำให้คนไทยมีความสุข โดยโตโยต้าพร้อมสนับสนุนและอยู่เคียงข้างคนไทย ภายใต้แนวคิด “โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัย COVID-19” หรือ “Toyota Stay With You”
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.มท.) ได้ดำเนินมาตรการในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านกลไกการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ ท้องที่ และท้องถิ่น ด้วยความร่วมมือของผู้นำท้องที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และอาสาสมัครต่าง ๆ ร่วมกับข้าราชการในพื้นที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ได้รับการสนับสนุนรถยนต์จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการดำเนินภารกิจโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และสำหรับรถยนต์โตโยต้า โคโรล่า จำนวน 54 คันในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยขอขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นอย่างยิ่ง โดยจะได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ตามวัตถุประสงค์ของทางบริษัทฯ ทั้งในด้านการทำงานประสานกับโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการดูแลประชาชนในชุมชน และในโอกาสต่อไป จะได้เชิญผู้บริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ ตามที่บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41978 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ นำทีมมอบนมให้ผู้ป่วยโควิด พร้อมจัดอาหารกล่องให้บุคลากรทางการแพทย์ รพ.สนามบุษราคัม เมืองทองธานี อ.ส.ค.และสหกรณ์โคนมสระบุรีหนุนทัพรวมน้ำใจสนับสนุนนมพร้อมดื่ม | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
‘รมช.มนัญญา’ นำทีมมอบนมให้ผู้ป่วยโควิด พร้อมจัดอาหารกล่องให้บุคลากรทางการแพทย์ รพ.สนามบุษราคัม เมืองทองธานี อ.ส.ค.และสหกรณ์โคนมสระบุรีหนุนทัพรวมน้ำใจสนับสนุนนมพร้อมดื่ม
‘รมช.มนัญญา’ นำทีมมอบนมให้ผู้ป่วยโควิด พร้อมจัดอาหารกล่องให้บุคลากรทางการแพทย์
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และผู้แทนสหกรณ์โคนมจากจังหวัดสระบุรี ร่วมมอบนมพร้อมดื่ม จากเครือข่ายสหกรณ์โคนมจังหวัดสระบุรีที่ได้ร่วมกันบริจาค ตลอดจนองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ที่นำผลิตภัณฑ์นมมามอบให้กับโรงพยาบาลสนามบุษราคัม ภายในอาคารชาแลนเจอร์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งมอบกำลังใจให้กับทีมแพทย์ รวมถึงประชาชนที่เข้ารับการรักษาโรคไวรัสโควิด 19 พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้จัดอาหารจำนวน 500 กล่องเพื่อมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ที่มาปฏิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วยในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
สำหรับนมพร้อมดื่มที่นำมามอบให้ในครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงพลังความสามัคคีและความร่วมมือร่วมใจของขบวนการสหกรณ์ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการส่งกำลังใจให้กับผู้ป่วยที่มาพักรักษาตัว และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักในขณะนี้ โดยได้รับการสนับสนุนนมพร้อมดื่มจากสหกรณ์โคนมในจังหวัดสระบุรี 7 แห่ง ร่วมกันบริจาค จำนวน 270 ลัง (ลังละ 36 กล่อง) รวมทั้งสิ้น 9,720 กล่อง พร้อมน้ำดื่ม 200 โหล สหกรณ์ที่ร่วมบริจาคในครั้งนี้ประกอบด้วย สหกรณ์โคนมไทยมิลค์ จำกัด สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค (พระพุทธบาท) จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค (ซับกระดาน) จำกัด สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค (มิตรภาพ) จำกัด สหกรณ์โคนมในเขตปฏิรูปที่ดินซับสนุ่น จำกัด สหกรณ์โคนมไทย- เดนมาร์ค (ลำพญากลาง) จำกัด นอกจากนี้ อ.ส.ค. ยังได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์นมหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ นมไทย-เดนมาร์คจำนวน 150 ลัง (ลังละ 12 กล่อง) นมเปรี้ยวพาสเจอร์ไรส์จำนวน 500 ขวด และโยเกิร์ตจำนวน 500 ถ้วยอีกด้วย
“วันที่ 1 มิถุนายน ถือเป็นวันดื่มนมโลกในแต่ละปีจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการดื่มนม สำหรับในปีนี้ได้เล็งเห็นว่าควรจัดโครงการสนับสนุนนมพร้อมดื่มให้กับโรงพยาบาลสนามด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการดื่มนมให้กับคนไทยแล้ว ยังเป็นการให้กำลังใจกับผู้ปฏิบัติหน้าที่และผู้ป่วยที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม เพื่อทุกคนจะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงต่อสู้กับโรคภัยในภาวะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด 19 อีกด้วย” รมช.มนัญญา กล่าว
นอกจากนี้ ขบวนการสหกรณ์ในหลายพื้นที่ ยังได้ร่วมกันมอบผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวสาร ผัก ผลไม้ ให้กับโรงพยาบาลสนามในแต่ละจังหวัด เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในแต่ละพื้นที่ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ขอขอบคุณในน้ำใจของทุกสหกรณ์ที่ออกมาแสดงพลังของความรักสามัคคี ที่มีความห่วงใยและไม่ทิ้งคนไทยด้วยกัน และหากหน่วยงานใดหรือผู้ที่สนใจจะสั่งซื้อนมพร้อมดื่มจากสหกรณ์โคนมเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ป่วยหรือบุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลสนามในจังหวัดต่าง ๆ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0 2281 0032 , 084 643 0430 เพื่อเป็นการช่วยอุดหนุนผลิตภัณฑ์นม UHT ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้โดยตรง และเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้อีกทางหนึ่งด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41967 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
รมว.วธ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔
การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
...
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) เร่งขับเคลื่อนภารกิจการขุดลอกแม่น้ำตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง รวมทั้งการสัญจรทางน้ำในพื้นที่เป้าหมายบริเวณลุ่มแม่น้ำภาคกลาง โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 1 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ใช้รถขุด อย.5 เรือเจ้าท่า ข.409 และรถจ้างเหมาเอกชน ดำเนินการขุดลอกระยะทางประมาณ 800 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 46,000 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาดำเนินการ 100 วัน เพื่อแก้ไขปัญหากระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งบ้านเรือนประชาชน ขยายพื้นที่รองรับน้ำเพื่อใช้อุปโภค - บริโภคในช่วงฤดูแล้ง และช่วยระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก ขณะนี้มีผลการดำเนินงาน ร้อยละ 62.12
ทั้งนี้ การขุดลอกเป็นภารกิจเร่งด่วนของ จท. เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนมีปริมาณฝนตกชุก การขุดลอกร่องน้ำต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำภาคกลางจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและการเก็บกักน้ำ ทำให้มีความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำและการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าไปยังปลายทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41950 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ประชุมวางนโยบายยกระดับพาณิชยนาวีทั้งระบบ พร้อมขับเคลื่อนพาณิชยนาวีไทยให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
กรมเจ้าท่า ประชุมวางนโยบายยกระดับพาณิชยนาวีทั้งระบบ พร้อมขับเคลื่อนพาณิชยนาวีไทยให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับพาณิชยนาวีไทยให้สอดรับกับความต้องการของผู้ประกอบการ พร้อมขับเคลื่อนให้กิจการพาณิชยนาวีไทยพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จท. ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาพาณิชยนาวีไทยทั้งระบบ ประกอบด้วย กองกำกับกิจการพาณิชยนาวี และกองส่งเสริมพาณิชยนาวี พร้อมหน่วยงานสนับสนุน ได้แก่ สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ กองมาตรฐานคนประจำเรือ สำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ สำนักกฎหมาย และฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเร่งปรับแผนการดำเนินงานและบูรณาการร่วมกันอย่างจริงจัง โดยนำฐานข้อมูลจริงในปัจจุบันมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการพัฒนาพาณิชยนาวีไทยทั้งระบบ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้ประกอบกิจการพาณิชยนาวีไทยที่ต้องการให้ภาครัฐขับเคลื่อนระบบพาณิชยนาวีไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมาพาณิชยนาวีไทยยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ปัจจุบัน จท. ได้จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับระบบพาณิชยนาวีไทยใหม่ทั้งหมด โดยนำระบบ Data cleansing มาดำเนินการตรวจสอบ แก้ไข หรือลบรายการข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออกจากชุดข้อมูล ทำให้ได้ข้อมูลใหม่ที่เป็นปัจจุบันและมีความถูกต้องสมบูรณ์ อาทิ จำนวนเรือตามใบอนุญาตใช้เรือที่เข้าเงื่อนไขของ พ.ร.บ. ส่งเสริมพาณิชยนาวี จำนวนท่าเรือที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 จำนวนคนประจำเรือที่ทำงานในเรือไทย จำนวนอู่ต่อเรือที่จดทะเบียนและให้บริการทั่วประเทศ รวมถึงจำนวนสถาบันการศึกษาด้านพาณิชยนาวีทั้งหมด โดยนำมาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้น และเชื่อมโยงในระบบ National Single Window (NSW) ในการพัฒนาการขนส่งทางทะเลและกิจการพาณิชยนาวีทั้งระบบ เพื่อพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ ฐานข้อมูลที่ได้จากระบบ Data cleansing ในครั้งนี้ จะสามารถเชื่อมโยงให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาได้ทั้ง 3 มิติ ได้แก่ ด้านความปลอดภัยทางน้ำ ด้านส่งเสริมพาณิชยนาวี และด้านกำกับพาณิชยนาวี เพื่อขับเคลื่อนให้กิจการพาณิชยนาวีไทยเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41958 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลการดำเนินงาน 1 สัปดาห์ของรพ.บุษราคัม มีผู้ป่วยรักษาหาย กลับบ้านได้แล้ว 6 ราย | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
สธ. เผยผลการดำเนินงาน 1 สัปดาห์ของรพ.บุษราคัม มีผู้ป่วยรักษาหาย กลับบ้านได้แล้ว 6 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดำเนินงาน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาของโรงพยาบาลบุษราคัม มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 6 ราย ขณะนี้รับดูแลผู้ป่วยรวม 506 ราย วันนี้รับผู้ป่วยใหม่ 79 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 480 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดำเนินงาน1 สัปดาห์ที่ผ่านมาของโรงพยาบาลบุษราคัม มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 6 รายขณะนี้รับดูแลผู้ป่วยรวม 506 ราย วันนี้รับผู้ป่วยใหม่ 79 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 480 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย
วันนี้ (21 พฤษภาคม 2564) ที่ โรงพยาบาลบุษราคัม นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาครบ 1 สัปดาห์แล้ว ที่เปิดดำเนินการโรงพยาบาลบุษราคัมผลการดำเนินงานล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 เวลา 23.00 น. มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้แล้ว 6 ราย รับผู้ป่วยใหม่ 79 ราย ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยรวม 506 ราย ส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลจำนวน 20 ราย ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา 480 ราย เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการเล็กน้อย 338 ราย และกลุ่มอาการปานกลาง 142 ราย มีเตียงรองรับอีก 603 เตียง นอกจากนี้ยังมีบุคลากรทางการแพทย์ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจากทั่วประเทศ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ภาพรวมขณะนี้ถือว่าระบบการบริหารจัดการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายแพทย์ธงชัยกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีผู้มีจิตศรัทธานำอุปกรณ์ทางการแพทย์ หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์อาหาร น้ำดื่ม มามอบให้จำนวนมาก โดยในวันนี้นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ นำอาหารปรุงสำเร็จ 300 กล่อง นมUHT 1,620 กล่อง และน้ำดื่ม300 แพ็ค มามอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในรพ.บุษราคัมกระทรวงสาธารณสุขขอขอบคุณน้ำใจและความห่วงใยที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยโควิด 19 การสนับสนุนในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าในยามที่ประเทศมีวิกฤต หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนมีความเป็นห่วงเป็นใยที่จะร่วมกันต่อสู้ จะช่วยเหลือกันเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น
*********************************** 21 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นบส.กษ.) รุ่นที่ 4 | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นบส.กษ.) รุ่นที่ 4
ปลัดเกษตรฯ เปิดอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นบส.กษ.) รุ่นที่ 4 มุ่งพัฒนาศักยภาพนักบริหารระดับสูง เตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลง
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการฝึกอบรม “หลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นบส.กษ.) รุ่นที่ 4” ผ่านระบบออนไลน์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักต่อเป้าหมายการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตรของประเทศ มีแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ที่สอดคล้องกับทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างความมั่นคงภาคเกษตรและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมุ่งที่จะพัฒนาผู้นำและผู้บริหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและมาตรฐานการปฏิบัติงานระดับสูงเทียบเท่าสากล และเป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เป็นนักบริหารที่มีภาวะผู้นำ มีคุณธรรมจริยธรรม มีสมรรถนะทางการบริหารจัดการที่ดี ทั้งในการบริหารเชิงยุทธศาสตร์และเชิงบูรณาการในระดับพื้นที่ ประกอบกับสังคมโลกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมการเมือง และรวมถึงเรื่องปัญหาโรคระบาด COVID-19 ในขณะนี้ ผู้บริหารในทุกภาคส่วนและทุกองค์กรจึงต้องมีการปรับตัว และเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย
โดยในส่วนของภาคราชการ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย และแผนงานที่ชัดเจน โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นกระทรวงหลักในการดูแลการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงถูกคาดหวังจากเกษตรกรว่าจะเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติงาน ในการอำนวยความสะดวก และสนับสนุนกิจกรรมด้านการผลิต การแปรรูป รวมถึง การเชื่อมโยงกับตลาดและผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สุข ของประชาชน ทั้งในฐานะผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้บริโภคเป็นสำคัญ
“การฝึกอบรมครั้งนี้ มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถพัฒนาศักยภาพ และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคด้านการบริหาร รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะของการเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงที่มีความพร้อมด้านบริหารจัดการตาม แนวทางการพัฒนาระบบราชการให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อให้ทุกท่านเป็นผู้บริหารที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ รู้ลึก รู้จริง และเมื่อรู้แล้ว ก็สามารถนาไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ของท่านในการพัฒนาตนเอง ประโยชน์ของหน่วยงาน ในการพัฒนาคุณภาพของบุคลากร และประโยชน์ของประเทศและประชาชนจากการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรภาครัฐ นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความรู้ และประสบการณ์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มาถ่ายทอดความรู้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทางานระหว่างผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารและการปฏิบัติงานของท่านให้บังเกิดผลสำเร็จลุล่วงต่อไป” ปลัดเกษตรฯ กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41969 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
การระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการตามโครงการเราชนะเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ความคืบหน้าโครงการเราชนะเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2564 ก.คลังตรวจพบธุรกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการ จึงได้ทำการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการจำนวน 7 รายเพิ่มเติม จากที่ได้มีการระงับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ 2,905 ราย
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการเราชนะว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 กระทรวงการคลังได้ตรวจพบธุรกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการ จึงได้ทำการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการจำนวน 7 รายเพิ่มเติม จากที่ได้มีการระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการฯ ของผู้ประกอบการแล้ว 2,905 ราย เนื่องจากตรวจพบธุรกรรมที่เข้าข่ายมีความผิดปกติ หรือเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ เช่น การรับแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือประชาชนในการแจ้งเบาะแสของผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว และขอเรียนว่า กระทรวงการคลังจะเข้มงวดในการติดตามตรวจสอบประชาชนและผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการอย่างใกล้ชิด โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของแต่ละโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของรัฐในอนาคต และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับผู้ประกอบการที่ถูกระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 จำนวน 7 ราย ขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงมายังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (โครงการเราชนะ) ภายในวันที่ 4 มิถุนายน 2564 ตามข้อความแนะนำที่ปรากฏขึ้นในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยวิธีการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะต่อไป
สำหรับความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 มีรายละเอียดดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,965 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการเราชนะ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 116,315 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,707 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,987 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์เดิม จำนวน 7,000 บาท แล้ว จำนวน 25.6 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41951 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" | วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
รองปลัด วธ. มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน"
ันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบอาหารกลางวันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อเป็นกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ "ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" โดยมี พญ.สุชาดา ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ฝ่ายการแพทย์ เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารโภชนาการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยมี นางจริญญา จักรกาย ผู้อำนวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41976 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.