title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดจองตั๋วโดยสารขบวนรถพิเศษ เดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดจองตั๋วโดยสารขบวนรถพิเศษ เดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดจองตั๋วโดยสารขบวนรถพิเศษ สำหรับเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดจองตั๋วโดยสารขบวนรถพิเศษ สำหรับเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยวในเส้นทางสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เดินทางไปกลับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้อย่างพอเพียง ไม่เกิดปัญหาผู้โดยสารตกค้างตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ การให้บริการขบวนรถพิเศษเพิ่มเติม มีทั้งประเภทรถนอนปรับอากาศ และรถนั่งชั้น 3 ไป - กลับ รวม 16 ขบวน แบ่งเป็นเส้นทางสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 9 - 14 เมษายน 2564 (เที่ยวไป 8 ขบวน) และวันที่ 10 และ 15 เมษายน 2564 (เที่ยวกลับ 8 ขบวน) รวมทั้งยังได้มีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่วิ่งให้บริการปกติทุกสายทั่วประเทศ ซึ่งทำให้สามารถรองรับปริมาณการเดินทางของประชาชนได้สูงสุดถึง 100,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ การรถไฟฯ ขอแจ้งงดเดินขบวนรถนำเที่ยว ขบวนที่ 909/910 กรุงเทพ - น้ำตก - กรุงเทพ และขบวนที่ 911/912 กรุงเทพ - สวนสนประดิพัทธ์ - กรุงเทพ ในวันที่ 10 - 11 และ 17 - 18 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ด้วย นายนิรุฒ กล่าวว่า รฟท. ยังได้เตรียมความพร้อมมาตรการดูแลความปลอดภัยในการเดินทาง โดยจัดตั้งศูนย์ปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อทำหน้าที่ติดตามประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลการเดินทางของผู้โดยสาร สั่งการแก้ไขกรณีเกิดเหตุอันตราย และรวบรวมสถิติข้อมูลการเดินทาง ขณะเดียวกันยังได้เฝ้าระวังและตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ สารเสพติดของพนักงานขับรถ เจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถ และประจำสถานีก่อนปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการห้ามจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสารเสพติดบนขบวนรถโดยสารและสถานีรถไฟ โดยมีการขอความร่วมมือไปยังกองบังคับการตำรวจรถไฟ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราอีกทางหนึ่งด้วย ขณะเดียวกัน รฟท. ได้จัดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางรางอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่ การตั้งจุดให้บริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง Social Distancing ให้มีจุดยืน/นั่ง ที่ชัดเจนทั้งภายในสถานีและบนขบวนรถ โดยให้เว้นที่นั่งในลักษณะที่เว้นที่เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารนั่งติดกัน ยกเว้นผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยกัน พร้อมกับให้สแกนแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะผ่านการสแกนโทรศัพท์ได้ก็จะต้องกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบฟอร์มที่จัดไว้ให้แทน โดยผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดเวลาต่าง ๆ ของขบวนรถที่ให้บริการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีขอข้าราชการ มีหัวใจศรัทธา เป็นข้าราชการที่ดี ยึดถือมาตรฐานทางจริยธรรม เสริมสร้างพลังเครือข่ายร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกันทำความดีสืบต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ​นายกรัฐมนตรีขอข้าราชการ มีหัวใจศรัทธา เป็นข้าราชการที่ดี ยึดถือมาตรฐานทางจริยธรรม เสริมสร้างพลังเครือข่ายร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกันทำความดีสืบต่อไป นายกรัฐมนตรีขอข้าราชการ มีหัวใจศรัทธา เป็นข้าราชการที่ดี ยึดถือมาตรฐานทางจริยธรรม เสริมสร้างพลังเครือข่ายร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกันทำความดีสืบต่อไป วันนี้ (1 เม.ย. 64) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 ว่า เนื่องในโอกาสวันข้าราชการ พลเรือน วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการพลเรือนทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกและยกย่องให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 แสดงให้เห็นว่าท่านได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรม จริยธรรม มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติแก่ตัวท่านและครอบครัวสืบต่อไป นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ระลอกใหม่เกิดขึ้นว่า ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ให้ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 มาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังมีความจำเป็นที่ต้องบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ด้วยการรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และการติดตั้งระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” รวมถึงห้ามมิให้มีการทำกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้โดยง่าย เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับหัวข้อการจัดงานวันข้าราชการพลเรือน ประจำปีนี้ คือ“ข้าราชการไทย เข้มแข็งในความดี มีจิตอาสา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” แสดงให้เห็นความสำคัญของข้าราชการซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนดังนั้น ในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ข้าราชการจึงต้องมีความรู้ ความสามารถ มีสมรรถนะ มีทักษะ มีความพร้อมในการรองรับการเปลี่ยนแปลง สามารถประสานงาน เชื่อมโยงและบูรณาการการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรม ตลอดจนมีการสร้างพันธมิตร และการส่งเสริมการทำงานแบบประชารัฐ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน มีจิตอาสาและจิตสาธารณะ รวมทั้งมี“จิตสำนึก” และ “หัวใจที่ศรัทธา” ในการเป็น “ข้าราชการที่ดี” ประพฤติปฏิบัติตน ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ผมเชื่อว่าถ้าสามารถเสริมสร้างให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีวินัยและจริยธรรมแล้ว ก็จะเป็นแบบอย่างที่ดี สามารถถ่ายทอดคุณธรรม ความดีเหล่านี้สืบต่อไปยังลูกหลาน เพื่อน พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ขยายเป็นครอบครัว เป็นสังคมที่อบอวลไปด้วยคุณธรรมความดีต่อไป นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวในฐานะข้าราชการว่า รู้สึกภูมิใจที่ราชการ และประเทศไทยมีข้าราชการที่ดี สามารถครองตน ครองคน ครองงาน ซึ่งท่านได้ประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับ และได้รับการคัดเลือกให้เป็น “ข้าราชการพลเรือนดีเด่น” เป็นข้าราชการที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ท่านจงภูมิใจว่าท่านได้มุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ อุทิศเวลา คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และมีจิตสาธารณะทำงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะธำรงรักษาคุณงามความดีของตน ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และขยายผลการทำความดีให้แผ่ไปยังครอบครัวอันเป็นที่รัก เพื่อนข้าราชการ และประชาชน พร้อมเสริมสร้างพลังเครือข่ายร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกันทำความดีสืบต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวอวยพรให้ข้าราชการ ประสบความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจเข้มแข็ง ร่วมปฏิบัติราชการเพื่อสร้างความผาสุกให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน สมดังหัวข้องานวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 ที่ว่า “ข้าราชการไทย เข้มแข็งในความดี มีจิตอาสา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ”การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ”การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564” นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ”การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564” ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ วันนี้(1 เมษายน 2564) นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ”การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมความเสี่ยงการทุจริตในปัจจุบัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน 2564 จัดโดย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วม ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ โดยการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว จัดการบรรยาย เรื่อง การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของการทุจจริตของหน่วยงานรัฐ โดยวิทยากรจากสำนักงาน ป.ป.ท. พร้อมทั้งการแบ่งกลุ่มระดมความคิด วิเคราะห์พฤติการณ์และสถานะความเสี่ยง แบ่งกลุ่มประเมินความเสี่ยง ระดับความเสี่ยง ประสิทธิภาพการควบคุมความเสี่ยงการทุจริต และแบ่งกลุ่มคิด วิเคราะห์ กำหนดมาตรการแนวทางการบริหารความเสี่ยงการทุจริต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล นำทัพถก พัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ รองรับการประกอบอาชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 นฤมล นำทัพถก พัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ รองรับการประกอบอาชีพ - - วันที่ 1 เมษายน 2564ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมหารือการจัดทำแผนพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการรองรับการประกอบอาชีพ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และนายนิยม สองแก้ว รองปลัดกระทรวงแรงงานเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวว่า ปัจจุบันคนพิการยังไม่ได้รับการพัฒนาทักษะมือให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบกิจการเท่าที่ควร เนื่องจากขาดหลักสูตรการฝึกหลักสูตรที่เหมาะสม เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ช่วยในการทำงานที่ตรงตามประเภทของความพิการ ฐานข้อมูลด้านแรงงานเพื่อสนับสนุนการจ้างงาน การประชุมในวันนี้จึงเป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการรองรับการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบกิจการ และส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ โดยสมาคมคนพิการ สถานประกอบกิจการ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันจัดทำหลักสูตรทั้งหาร upskill, reskill และ change skill ตามความเหมาะสมของคนพิการแต่ละประเภทและลักษณะของการทำงาน เพื่อให้คนพิการมีทักษะในการประกอบอาชีพและได้รับการจ้างงานมากขึ้น รองรับการทำงานในโลกยุคใหม่ ที่ประชุมได้เสนอแผนบูรณาการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพรวม 61 โครงการ เป้าหมายกว่า 180,000 คน การพัฒนาคนพิการใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะคนพิการ การส่งเสริมการประกอบอาชีพและการจ้างงานคนพิการ และการพัฒนาศักยภาพคนพิการผ่านการแข่งขันฝีมือแรงงาน นอกจากนี้ยังมีโครงการขับเคลื่อนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2565 จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนและส่งเสริมการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ โครงการส่งเสริมอาชีพการปลูกฮอปส์ (HOPS) เพื่อพัฒนาอาชีพคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย โครงการพัฒนาทักษะมีมือครอบครัวคนพิการทางสติปัญญาเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพ และโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพธุรกิจสำหรับบุคคลออทิสติกและครอบครัว ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพคนพิการอย่างเป็นรูปธรรม รมช.แรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า การให้ความช่วยเหลือและดูแลคนพิการ ไม่ได้ดำเนินการเพียงเรื่องการฝึกอบรมและการจ้างงานเท่านั้น การส่งเสริมด้าน CSR ก็เป็นอีกกิจกรรมที่สำคัญ ซึ่งจะมีการแถลงข่าว การเชิญชวนสถานประกอบกิจการ ร่วมทำ CSR เพื่อคนพิการ ในวันที่ 2 เมษายน นี้ ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคาดว่า จะมีการจัดสัมมนาขึ้นในวันที่ 22 เมษายน 2564 ภายใต้ชื่องาน "เสริมฝีมือ สร้างสุข ให้อาชีพ คนพิการ" “ความร่วมมือทุกภาคส่วนที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของคนพิการ และร่วมสร้างโอกาสให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียม จะเป็นส่วนหนึ่งในการจ้างงานและการประกอบอาชีพอิสระที่ยั่งยืน ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป”รมช.แรงงานกล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. ชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาชน สถานการณ์การผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญกลับมาขยายตัว การส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 อก. ชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาชน สถานการณ์การผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญกลับมาขยายตัว การส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อก.เผยการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลักกลับมาขยายตัวส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตฯ ก.พ.64 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.94 เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 3 กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เผยว่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลักกลับมาขยายตัวส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนก.พ.2564เพิ่มขึ้นร้อยละ6.94เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่3โดยดัชนีอุตสาหกรรมเดือนก.พ. 2564ระดับการผลิตอยู่ที่99.68หดตัวลงเล็กน้อยร้อยละ1.08เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับร้อยละ65.08อย่างไรก็ตามในหลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด-19ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อภาคการผลิตการบริโภคและการลงทุนในระยะถัดไป นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เปิดเผยว่าการผลิตในอุตสาหกรรมหลักกลับมาขยายตัวอาทิอุตสาหกรรมรถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอาหารส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม(ไม่รวมทองคำ)และรายการพิเศษเดือนกุมภาพันธ์2564ขยายตัวร้อยละ6.94ต่อเนื่องเป็นเดือนที่3การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ผลิตภัณฑ์ยาง(ถุงมือยาง)เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์สอดรับกับตัวเลขการผลิตที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันโดยอุตสาหกรรมรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ3.05เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ4.1และอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ3.7ตามลำดับเนื่องจากความเชื่อมั่นในการจัดหาวัคซีนโควิด-19ให้บริการแก่ประชาชนประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเช่นโครงการคนละครึ่งช้อปดีมีคืนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเราชนะและโครงการเรารักกันจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายรายได้อย่างหมุนเวียนรวมถึงเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19ในหลายประเทศทำให้ความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภคดีขึ้น นายทองชัยชวลิตพิเชฐผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กล่าวว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนกุมภาพันธ์2564หดตัวเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ1.08โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.พ.64อยู่ที่ระดับร้อยละ65.08ลดลงจากเดือนม.ค. 64อยู่ที่ระดับร้อยละ66.60เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19ทำให้ภาครัฐออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดยกำหนดพื้นที่ควบคุมแม้ในเดือนนี้จะมีการผ่อนคลายบางส่วนแล้วแต่ยังส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย นายทองชัยกล่าวต่อว่าเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่องเช่นโครงการคนละครึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเราชนะและโครงการเรารักกันเป็นต้นอีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในบางพื้นที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและพร้อมเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเร็วกว่าแผนเดิมจากไตรมาส4ขยับมาเป็นไตรมาส3และมีแผนนำร่องในเดือนเมษายนโดยจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกจะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนกุมภาพันธ์2564เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่ น้ำตาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ19.85จากปริมาณอ้อยที่เข้าหีบมีมากกว่าปีก่อน52.77รวมถึงโรงงานที่ปิดหีบแล้วบางส่วนมีการละลายน้ำตาลดิบเป็นน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ16.30จากความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังมีความต้องการต่อเนื่อง รถยนต์และเครื่องยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ4.97จากรถบรรทุกปิคอัพและเครื่องยนต์ดีเซลที่มีคำสั่งซื้อทะยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรวมทั้งผู้ผลิตมีการผลิตรถรุ่นใหม่ๆ เม็ดพลาสติกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ16.43จากความต้องการที่ขยายตัวในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆทั้งบรรจุภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ประกอบกับปีก่อนมีผู้ผลิตหลายรายหยุดซ่อมบำรุงตามรอบการซ่อมบำรุง เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ16.04การเร่งผลิตเพื่อขายทำกำไรในช่วงที่ยังมีภาวะขาดแคลนสินค้า(Short Supply)และผลิตรองรับความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆรวมทั้งความต้องการจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นเช่นอุตสาหกรรมอาหารอุตสาหกรรมรถยนต์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อนข้าราชการและพี่น้องประชาชนทุกท่าน · เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ในวันนี้ · ในนามของรัฐบาลผมขอแสดงความยินดีกับข้าราชการพลเรือนทุกท่านที่ได้รับการคัดเลือกและยกย่องให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกท่านได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรม จริยธรรม มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติแก่ตัวท่านและครอบครัวสืบต่อไป · โดยที่ในปีนี้ มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่เกิดขึ้น ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ให้ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 มาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังมีความจำเป็นที่ต้องบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ด้วยการรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และการติดตั้งระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” รวมถึงห้ามมิให้มีการทำกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้โดยง่าย เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 · สำหรับหัวข้อการจัดงานวันข้าราชการพลเรือน ประจำปีนี้ คือ“ข้าราชการไทย เข้มแข็งในความดี มีจิตอาสา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” แสดงให้เห็นความสำคัญของข้าราชการซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน · ดังนั้น ในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ข้าราชการจึงต้องมีความรู้ ความสามารถ มีสมรรถนะ มีทักษะ มีความพร้อมในการรองรับการเปลี่ยนแปลง สามารถประสานงาน เชื่อมโยงและบูรณาการการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรม ตลอดจนมีการสร้างพันธมิตร และการส่งเสริมการทำงานแบบประชารัฐการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน มีจิตอาสาและจิตสาธารณะ รวมทั้งมี “จิตสำนึก” และ “หัวใจที่ศรัทธา” ในการเป็น “ข้าราชการที่ดี” ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ผมเชื่อว่าถ้าสามารถเสริมสร้างให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีวินัยและจริยธรรมแล้ว ก็จะเป็นแบบอย่างที่ดี สามารถถ่ายทอดคุณธรรม ความดีเหล่านี้สืบต่อไปยังลูกหลาน เพื่อน พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ขยายเป็นครอบครัว เป็นสังคมที่อบอวลไปด้วยคุณธรรมความดีต่อไป · ในฐานะที่ผมเป็นข้าราชการเช่นเดียวกับทุกท่าน ผมรู้สึกภูมิใจที่ราชการ และประเทศไทยมีข้าราชการที่ดี สามารถครองตน ครองคน ครองงาน ซึ่งท่านได้ประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับ และได้รับการคัดเลือกให้เป็น “ข้าราชการพลเรือนดีเด่น” เป็นข้าราชการที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ท่านจงภูมิใจว่าท่านได้มุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ อุทิศเวลา คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และมีจิตสาธารณะทำงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ · ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะธำรงรักษาคุณงามความดีของตน ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และขยายผลการทำความดีให้แผ่ไปยังครอบครัวอันเป็นที่รัก เพื่อนข้าราชการ และประชาชน พร้อมเสริมสร้างพลังเครือข่ายร่วมแรง ร่วมมือ ร่วมใจกันทำความดีสืบต่อไป · ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านนับถือ ตลอดจนพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดดลบันดาลพระราชทานพร ให้ข้าราชการพลเรือนดีเด่นทุกท่านและครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจเข้มแข็ง ร่วมปฏิบัติราชการเพื่อสร้างความผาสุกให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน สมดังหัวข้องานวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ. 2564 ที่ว่า “ข้าราชการไทย เข้มแข็งในความดี มีจิตอาสา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40578
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมพัฒนานโยบายด้านไอซีทีที่สำคัญ ไทย-รัสเซีย ผ่านระบบประชุมทางไกลในเวที Russia – Thailand Technology Day
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ดีอีเอส ร่วมพัฒนานโยบายด้านไอซีทีที่สำคัญ ไทย-รัสเซีย ผ่านระบบประชุมทางไกลในเวที Russia – Thailand Technology Day ดีอีเอส ร่วมพัฒนานโยบายด้านไอซีทีที่สำคัญ ไทย-รัสเซีย ผ่านระบบประชุมทางไกลในเวที Russia – Thailand Technology Day เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานร่วมกล่าวเปิดการประชุม Russia – Thailand Technology Day ผ่านระบบประชุมทางไกล (video conference) ณ ห้องประชุม MOC ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างผู้แทนกระทรวงดิจิทัล การสื่อสาร สื่อมวลชนแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อเป็นเวทีให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนชั้นนำด้านไอซีทีของไทยและรัสเซียได้หารือเกี่ยวกับนโยบายและพัฒนาการด้านไอซีทีที่สำคัญของทั้งสองประเทศ รวมถึงได้เปิดโอกาสให้มีการนำเสนอข้อมูลของรัสเซีย ในเรื่องเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐาน และโทรคมนาคม ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตรับฟังความคิดเห็นภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ในประเด็น “โครงสร้างภาษี จ่ายเงินชดเชย และปลูกพืชทดแทน”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 สรรพสามิตรับฟังความคิดเห็นภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ในประเด็น “โครงสร้างภาษี จ่ายเงินชดเชย และปลูกพืชทดแทน” ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทยเข้าพบอธิบดีกรมสรรพสามิตเพื่อหารือเรื่อง ขอให้เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยสำหรับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย สำหรับฤดูกาลผลิต 2562/2563 และขอให้โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนชาวไร่ยาสูบ จาก 15 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ขอเข้าพบเพื่อหารือเรื่อง ขอให้เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยสำหรับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย สำหรับฤดูกาลผลิต 2562/2563 และขอให้โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ มีผลกระทบต่อชาวไร่น้อยที่สุดและมีระยะเวลาเพียงพอในการปรับตัว นั้น อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า การเร่งรัดขอให้การจ่ายเงินชดเชยนั้น กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตได้เสนอทบทวนโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกและผู้บ่มอิสระที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทยฤดูกาลผลิต 2562/2563 ไปแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยได้ขอจัดสรรงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ของสำนักงบประมาณ และสำหรับการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษียาสูบจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เช่น นโยบายด้านสาธารณสุข แนวทางป้องกันสินค้าผิดกฎหมาย ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรม และรายได้ของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาโครงสร้างภาษียาสูบที่เหมาะสมเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวเพิ่มเติมว่าในกรณีการปลูกพืชทดแทน กรมสรรพสามิต จะแต่งตั้งกรรมการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบเพิ่มเติม โดยเพิ่มผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกต้นยาสูบร่วมเป็นกรรมการด้วย เพื่อให้คณะกรรมการ มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการพิจารณาหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็วต่อไป ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทรงพระเจริญ"
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 "ทรงพระเจริญ" ๒ เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมกับโครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จัดโครงการ “ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 วธ.ร่วมกับโครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จัดโครงการ “ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” วธ.ร่วมกับโครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จัดโครงการ “ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” วันที่30มีนาคม2564ที่โครงการสุขสยาม ชั้นGณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวโครงการ"ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน–ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่โครงการสุขสยามและนายกู้ หงซิน ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ร่วมแถลงข่าว โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารโครงการสุขสยามและไอคอนสยาม ผู้แทนศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับโครงการสุขสยาม จัดโครงการ"ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน–ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่2-5เมษายน2564ณ เมืองสุขสยาม ชั้นGณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันที่2เมษายน2564ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์ของพสกนิกรชาวไทยนานัปประการและพระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่โดดเด่น คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนและปีนี้ครบรอบ 46 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์และนโยบายของนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในการส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศเพื่อนำความเป็นไทยสู่สากล และการต่อยอดวัฒนธรรมด้วยการนำคุณค่าของวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า กิจกรรมโครงการนี้ประกอบด้วยนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสายสัมพันธ์ไทย-จีน หมื่นลี้แห่งความสุข เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีการจัดแสดงหนังสือพระราชนิพนธ์ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม การฉายภาพยนตร์ไทย-จีนให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การออกร้านหนังสือวรรณกรรมไทย-จีน การออกร้านจำหน่ายอาหารไทยและจีน ร้านอาหารอร่อย100ปี และร้านผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม รวมทั้งกิจกรรมสาธิตการประดิษฐ์งานศิลปะ ได้แก่ การทำพัด การวาดหน้ากากจีน การตัดกระดาษจีน และการทำศิลปะภาพพิมพ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. แนะประชาชนแอดไลน์ “หมอพร้อม” ลงทะเบียนรับวัคซีนล็อตใหญ่ มิ.ย.
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ปลัด สธ. แนะประชาชนแอดไลน์ “หมอพร้อม” ลงทะเบียนรับวัคซีนล็อตใหญ่ มิ.ย. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะนำประชาชน เพิ่มเพื่อน ไลน์ โอเอ “หมอพร้อม” เตรียมใช้ลงทะเบียนจองรับวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายน 2564 นัดหมายวันฉีด รับข้อมูลความรู้ รู้ข้อมูลการฉีดวัคซีนของตนเอง ใช้ติดตามอาการหลังการฉีด และออกใบรับรองการรับวัคซีน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะนำประชาชน เพิ่มเพื่อน ไลน์ โอเอ “หมอพร้อม” เตรียมใช้ลงทะเบียนจองรับวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายน 2564 นัดหมายวันฉีด รับข้อมูลความรู้ รู้ข้อมูลการฉีดวัคซีนของตนเอง ใช้ติดตามอาการหลังการฉีด และออกใบรับรองการรับวัคซีนดิจิทัลหลังจากฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ ซึ่งจะมีคิวอาร์โค้ดเฉพาะบุคคล บ่ายวันนี้ (1 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ควบคุมโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ ขณะนี้ควบคุมสถานการณ์ได้ พบผู้ติดเชื้อบ้างประปราย ไม่มีการแพร่ระบาดรุนแรง และไทยได้สั่งซื้อวัคซีนจาก 2 บริษัท คือ ซิโนแวค 2 ล้านโดส และแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส จะได้รับในเดือนมิถุนายน 2564 โดยวัคซีนซิโนแวค 2 แสนโดสแรก ฉีดเข็มที่ 1 ในเดือนมีนาคมได้ครบตามเป้าหมายแล้ว ขณะนี้ได้กระจายวัคซีนอีก 8 แสนโดสไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตามแผนการจัดสรรของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อสม. เจ้าหน้าที่ด่านหน้า ตามความสมัครใจ เน้นในพื้นที่เป้าหมายเพื่อควบคุมการระบาด 6 จังหวัด พื้นที่ฟื้นฟูเศรษฐกิจในจังหวัดท่องเที่ยว 8 จังหวัด จังหวัดชายแดน 8 จังหวัด และจัดสรรให้จังหวัดที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน 52 จังหวัด เพื่อเตรียมระบบให้มีความพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายนนี้ และจะได้รับวัคซีนซิโนแวคที่เหลืออีก 1 ล้านโดสในประมาณกลางเดือนเมษายนนี้ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งกระจายและฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อรองรับนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลให้เร็วที่สุด ทุกคนในประเทศปลอดภัย ต้องฉีดวัคซีนได้ร้อยละ 50 – 60 ของประชากร เพื่อให้ประเทศมีภูมิคุ้มกันหมู่ จะใช้สามเหลี่ยมขับเคลื่อนวัคซีน คือ 1.พื้นที่ ระบุพื้นที่เป้าหมายหลัก เช่น จังหวัดท่องเที่ยวจะต้องได้รับวัคซีนครอบคลุมร้อยละ 50 – 60 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ 2.วางระบบการฉีด สถานที่ฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันฉีดที่โรงพยาบาล จะขยายจุดบริการเพิ่มในโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือออกหน่วยบริการในจุดที่ประชาชนเข้าถึงสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า โดยมีขั้นตอนการฉีดตามมาตรฐาน มีทีมแพทย์ดูแลและระบบส่งต่อ และ 3. ระบบข้อมูล การลงทะเบียน นัดหมาย ติดตามอาการหลังฉีด 3 ช่องทาง คือ ไลน์ โอเอ หมอพร้อม, โรงพยาบาลที่รับการรักษาโรคเรื้อรัง และอสม. ทีมหมอครอบครัว สำหรับการพัฒนาระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในครั้งนี้ เป็นการพัฒนานวัตกรรมและเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพในอนาคตสำหรับประชาชน อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและลดภาระงานบุคลากรสาธารณสุข ยกระดับระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยตามนโยบาย Advance eHealth ของรัฐบาล “ขอให้ประชาชนแอดไลน์ โอเอ หมอพร้อม ซึ่งจะสามารถใช้ลงทะเบียนจองรับวัคซีน นัดหมายรับวัคซีน ติดตามอาการหลังการฉีด ข้อมูลความรู้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนของตนเอง ออกใบรับรองการรับวัคซีนในรูปแบบดิจิทัลหลังจากฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ จะมีคิวอาร์โค้ดเฉพาะบุคคล นำไปใช้ออกสมุดเล่มเหลืองสำหรับผู้เดินทางไปต่างประเทศ เราจะเปิดประเทศเมื่อทุกคนปลอดภัย ร่วมใจกันฉีดวัคซีนเพื่อชาติ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ********************************** 1 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 ร่วมการป้องกันตนเอง ช่วยเปิดประเทศปลอดภัย กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 อนุทิน ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 ร่วมการป้องกันตนเอง ช่วยเปิดประเทศปลอดภัย กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ตั้งเป้าฉีดครอบคลุมประชากรโดยเร็ว ร่วมกับสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เติมเต็มป้องกันติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ เพื่อเปิดประเทศปลอดภัย ชูจัดงานไมซ์ช่ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ตั้งเป้าฉีดครอบคลุมประชากรโดยเร็ว ร่วมกับสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เติมเต็มป้องกันติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ เพื่อเปิดประเทศปลอดภัย ชูจัดงานไมซ์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงชาวต่างชาติเข้าประเทศ วันนี้ (1 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน” ใน 10 เมืองไมซ์ ว่า รัฐบาลต้องการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย สิ่งสำคัญคือประชากรในประเทศต้องปลอดภัย ได้รับวัคซีนโควิด 19 ครอบคลุมมากพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งวัคซีนจะช่วยลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อป้องกันได้ร้อยละ 70 และหากยังคงมาตรการ นิวนอร์มัล ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ดูแลสุขภาพอย่างดี จะเติมเต็มทำให้ป้องกันติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เหมือนที่เราควบคุมการระบาดระลอกแรกจนไม่มีการแพร่เชื้อ มานานกว่า 6 เดือน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะกระจายวัคซีนไปยังประชาชนทั่วประเทศให้เร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด แม้จะมีการติดเชื้อก็จะเป็นจำนวนน้อยที่ระบบสาธารณสุขรับได้ ส่วนการจัดงานไมซ์จะเป็นการจุดประกายให้เมืองไทยกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เนื่องจากช่วยส่งเสริมการทำงานและสร้างรายได้ ลดปัญหาการลักลอบเข้า-ออกประเทศไปทำงาน จึงลดความเสี่ยงที่จะนำเชื้อกลับเข้ามาด้วย รวมถึงการจัดงานอย่างปลอดภัยมีมาตรฐานก็จะช่วยเรียกชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวจัดสัมมนา ประชุม แสดงสินค้า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย “ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาก็ต้องมั่นใจว่า ประชาชนในประเทศเราสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย มีระบบสาธารณสุขดูแลเขาเมื่อเจ็บป่วยได้ ซึ่งเมื่อเราฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากเพียงพอก็ตั้งสมมติฐานว่าปลอดภัยได้” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวว่า ส่วนการรับวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวถือเป็นเป้าหมาย แต่ต้องมีการศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันผลตอบสนองต่อวัคซีนก่อนว่าเป็นอย่างไร ฉีดครบ 2 โดสแล้วใช้เวลานานเท่าใดภูมิคุ้มกันจึงจะสูงจนปลอดภัยต่อการติดเชื้อ ถ้าปลอดภัยก็ไม่ต้องกักตัว โดยจะเริ่มในคนไทยที่มีภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาไม่ต้องกักตัวส่วนชาวต่างชาติอาจต้องรอเรื่องวัคซีนพาสปอร์ตที่จะต้องตกลงกันระหว่างประเทศ “ส่วนการส่งวัคซีนไปฉีดที่ภูเก็ต 1 แสนโดส ส่งไปแล้ว 5 หมื่นโดส จะส่งตามไปอีก 5 หมื่นโดส และส่งไปเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 5 หมื่นโดส ถ้าผลภูมิคุ้มกันออกมาดี ก็เปิดพื้นที่ได้เร็ว และพรุ่งนี้จะนำวัคซีนไป อ.แม่สะเรียงด้วยเพื่อฉีดให้แก่ทหาร ตำรวจชายแดน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ประสบภัยตามหลักมนุษยธรรม” นายอนุทินกล่าว ********************************** 1 เมษายน 2564 *******************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! โครงการประกันภัยข้าวนาปี สร้างหลักประกันให้เกษตรกร
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 เริ่มแล้ว! โครงการประกันภัยข้าวนาปี สร้างหลักประกันให้เกษตรกร ... การเพาะปลูก ต้องพึ่งพาสภาพดินฟ้าอากาศสูงและมีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่างๆ ครม. จึงมีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อรองรับต้นทุนในการปลูกข้าวให้แก่เกษตรกร โดยแบ่งการรับประกันภัยออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนพื้นฐาน หรือ Tier 1 และส่วนภาคสมัครใจ หรือ Tier 2 .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 การประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางและติดตามความก้าวหน้าการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ รวมถึง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สาม วันพฤหัสบดีที่1เมษายนพ.ศ.2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติครั้งที่1/2564โดยมีนายเเพทย์ประพนธ์ตั้งศรีเกียรติกุลที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานและผู้แทนหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมณห้องประชุมชัยนาทนเรนทรสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยที่ประชุมได้มีการรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบการพิจารณา(ร่าง)ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับหีบห่อผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตพ.ศ... (ร่าง)กฎกระทรวงกำหนดรายการส่วนประกอบสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนปะรกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบหลักเกณฑ์เงื่อนไขและการแจ้งและการออกใบรับรองการจดแจ้งและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพ.ศ....รวมทั้ง(ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการควบคุมยาสูบแห่งชาติฉบับที่สามพ.ศ.2565 – 2570 ทั้งนี้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบนั้นอาจส่งผลกระทบต่อชาวไร่ยาสูบที่ต้องลดการผลิตในอนาคตซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหนึ่งที่สนับสนุนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวเพื่อหาแนวทางการลดผลกระทบแก่ชาวไร่ยาสูบเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับมาตรการและนโยบายรัฐและการบูรณาการการทำงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือตามกลไกทวิภาคีและพหุพาคีระหว่างกันเน้นแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือตามกลไกทวิภาคีและพหุพาคีระหว่างกันเน้นแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือตามกลไกทวิภาคีและพหุพาคีระหว่างกันเน้นแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ วันนี้ (1 เมษายน 2564) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด (H.E. Mrs. Ana Maria Prieto Abad) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโคลอมเบียที่มีความราบรื่นมาตลอดซึ่งจะครบรอบ 42 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและโคลอมเบียควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ตลอดจนสนับสนุนให้มีการจัดการประชุม Bilateral Consultations ครั้งที่ 3 เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมและขยายความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ เอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-โคลอมเบียที่มีความใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน และเห็นพ้องกับนายกรัฐมนตรีในการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้นในทุกระดับ โดยโคลอมเบียแสดงความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก APEC เพื่อเป็นโอกาสในการขยายความร่วมมือพหุภาคีระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตโคลอมเบียฯ ชื่นชมรัฐบาลไทยที่สามารถควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ชื่นชมกระบวนการฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบของไทย ด้านนายกรัฐมนตรียืนยันพร้อมร่วมมือกับโคลอมเบียในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างยั่งยืน รวมถึงยินดีให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์และการพัฒนาวัคซีนแก่โคลอมเบียด้วย โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรกรรม ซึ่งทั้งสองประเทศมีศักยภาพ โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมนโยบายเศรษฐกิจสีส้ม (Orange Economy) ของโคลอมเบีย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นวิสาหกิจชุมชนขนาดย่อมในรูปแบบ SMEs พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการระหว่างกัน ตลอดจนเชิญชวนให้โคลอมเบียใช้ไทยเป็นฐานในการลงทุนเพื่อขยายตลาดเข้าสู่ประเทศอาเซียน ตามนโยบาย Thailand Plus One นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือทางวิชาการร่วมกัน นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลโคลอมเบียที่ได้จัดหลักสูตรอบรมภาษาสเปนเพื่อยกระดับความสามารถให้แก่บุคลากรภาครัฐ และภาคเอกชนของไทยซึ่งได้จัดต่อเนื่องมากว่า 5 ปี โดยฝ่ายไทยพร้อมสนับสนุนทุนฝึกอบรมในสาขาที่ไทยมีศักยภาพแก่ชาวโคลอมเบียเช่นกัน ตลอดจนยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการที่ดิน การปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด และการท่องเที่ยวป่าเชิงอนุรักษ์แก่โคลอมเบีย สำหรับประเด็นสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา นายกรัฐมนตรียืนยันไทย และอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวทางสันติและสร้างสรรค์ต่อสถานการณ์เมียนมา ทั้งนี้ ไทยมีแนวปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยชาวเมียนมา โดยยึดหลักการสากล และหลักมนุษยธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิด! 3 เดือน ทะเลฝั่งอันดามัน ให้สัตว์น้ำฟักไข่
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ปิด! 3 เดือน ทะเลฝั่งอันดามัน ให้สัตว์น้ำฟักไข่ ... เข้าสู่ช่วงฤดูวางไข่ของสัตว์ทะเลหลายชนิด กรมประมงจึงประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนฝั่งทะเลอันดามันประจำปี 2564 โดยปิดทะเลฝั่งอันดามัน ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง เป็นเวลา 3 เดือน คือ ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 64 ครอบคลุมพื้นที่ 5,000 ตร.กม. ให้สัตว์น้ำได้มีเวลาวางไข่และฟูมฟักตัวอ่อนจนเติบโตโดยไม่ถูกรบกวน . หากใครฝ่าฝืนทำประมงในพื้นที่ มีโทษ ปรับตั้งแต่ 5,000 บาท – 30 ล้านบาท ขึ้นกับขนาดของเรือประมง หรือปรับ 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า . ผลจากการใช้มาตรการนี้ ในปีที่ผ่านมา พบว่าสัตว์น้ำมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเดือน พ.ค. มีความหนาแน่นสูงสุด คือ 690 ตัว ต่อ 10 ตร.ม. เป็นผลดีต่อชาวประมง เพราะได้ผลผลิตจากการทำประมงสูงขึ้นทุกปีด้วย ถือเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์ ให้ความอุดมสมบูรณ์อยู่คู่ทะเลไทยอย่างยั่งยืน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังร่วมใจบริจาคโลหิตกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน วันเดียวยอดทะลุ 200 ยูนิต
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 คลังร่วมใจบริจาคโลหิตกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน วันเดียวยอดทะลุ 200 ยูนิต ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สศค. รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร นำคณะข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างในหน่วยงานกระทรวงการคลัง ร่วมกิจกรรมโครงการจิตอาสากระทรวงการคลังร่วมบริจาคโลหิต จิตอาสาพระราชทาน เราทำดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงินสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงการคลัง ด้านบริหาร นำคณะข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างในหน่วยงานกระทรวงการคลัง ร่วมกิจกรรมโครงการจิตอาสากระทรวงการคลังร่วมบริจาคโลหิต จิตอาสาพระราชทาน เราทำดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “วันนี้ (1 เมษายน 2564) ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่เราชาวกระทรวงการคลัง ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เราทำดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ผ่านการบริจาคโลหิต ซึ่งมียอดผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาบริจาคถึง 289 ราย จำนวนโลหิตที่ได้รับบริจาคทั้งสิ้น 234 ยูนิต มากกว่าการรับบริจาคในครั้งที่ผ่านๆ มา พวกเราภูมิใจว่า การบริจาคโลหิตในวันนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ ต่อไปในอนาคต กิจกรรมนี้ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ยิ่งมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ที่ส่งผลกระทบต่อยอดผู้บริจาคโลหิต จนหน่วยงานต่างๆ ต้องออกมารณรงค์กันอย่างหนัก ข้าราชการจึงจำเป็นต้องก้าวเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือส่วนรวมโดยยึดตามกระแสพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อสังคม” ทั้งนี้ กิจกรรมตามโครงการจิตอาสากระทรวงการคลังร่วมบริจาคโลหิต จิตอาสาพระราชทาน เราทำดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จะจัดขึ้นเป็นประจำทุก 3 เดือน โดยครั้งต่อไปจะเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และ 5 ตุลาคม 2564 ตามลำดับ ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโลหิตได้ ณ บริเวณประตู 3 กระทรวงการคลัง ตามวันดังกล่าวข้างต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” พร้อมเสนอแนวทางเหลื่อมวันการเดินทางบรรเทาปัญหารถติด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมการรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564โดยกำชับหน่วยงานในสังกัดบูรณาการร่วมกันอำนวยความสะดวกประชาชน “เดินทางสะดวก ปลอดภัยห่างไกลโควิด” เน้นย้ำให้ใส่ใจตนเอง ใส่ใจผู้อื่น และใส่ใจประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากมติศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 ที่ให้อำนวยความสะดวกประชาชนสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ทุกพื้นที่นั้น กระทรวงฯ คาดการณ์ว่า จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและใช้บริการขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นจากช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 รวมระยะเวลา 7 วัน โดยมีการตั้งเป้าหมายการดำเนินการ ดังนี้ 1. บริการระบบขนส่งสาธารณะ ประกอบด้วย รถโดยสารสาธารณะ รถไฟ เรือโดยสารสาธารณะ และเครื่องบิน ให้ประชาชนได้รับความสะดวกเข้าถึงง่าย เพียงพอต่อการเดินทาง ไม่ล่าช้า ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง ไม่โก่งราคา ไม่ทิ้งผู้โดยสาร และทันกับสถานการณ์ 2. ให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในคุณภาพของการให้บริการขนส่งสาธารณะ ด้วยการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ได้มาตรฐาน เข้มงวดผู้ประจำรถโดยสารสาธารณะ รถไฟ และเรือโดยสารสาธารณะ ทุกราย ไม่เสพสิ่งเสพติด และมีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจเป็นศูนย์มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ รวมทั้ง คงความเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 3. กำกับและควบคุม ลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากการเดินทางทางถนน และการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะจะต้องไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 4. บริหารจัดการจราจรทางถนนให้มีความคล่องตัวและปลอดภัย 5. บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย ในการเดินทางของประชาชน ทั้งนี้กระทรวงฯ ได้มีการจัดเตรียมแผนรองรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ประกอบด้วย อำนวยความสะดวกโครงข่ายการเดินทาง จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกทางถนน บริการข้อมูลข่าวสารการจราจร การจัดจุดบริการประชาชนให้ครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน นอกจากนี้ ยังมีแผนรองรับการเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะ ประกอบด้วย การจัดบริการและอำนวยความสะดวกการขนส่งสาธารณะ การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการข้อมูลข่าวสารการเดินทางและรับเรื่องร้องเรียน มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางน้ำ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางราง และมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางอากาศ และยังเน้นให้หน่วยงานในสังกัดที่กำกับ ดูแล การบริการขนส่งสาธารณะ โดยคงเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ประชาสัมพันธ์และดำเนินกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” เน้นให้ใส่ใจตนเอง ใส่ใจผู้อื่น และใส่ใจประชาชน 2. ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อกระจายการเดินทางและเหลื่อมเวลาการเดินทางในเส้นทางเข้า - ออกกรุงเทพฯ โดยขอความร่วมมือให้กลุ่มเดินทางใกล้ (ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวภายในรัศมี 200 - 300 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ) เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ช่วงระหว่างวันอาทิตย์ที่ 11 - วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 และเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ช่วงระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 15 - วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 โดยการเหลื่อมเวลาใช้ทางจะช่วยกระจายปริมาณจราจรบนถนนและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาล 3. เตรียมเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการฟรีบางช่วงระยะทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ เตรียมรับเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ในเส้นทางช่วงปากช่อง - สีคิ้ว ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร เริ่มต้นจากถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) บริเวณ กม. ที่ 65 (M6 บริเวณพื้นที่ตอน 24) สิ้นสุดถึงทางหลวงหมายเลข 201 บริเวณ กม. ที่ 5+400 (M6 บริเวณพื้นที่ตอน 37) รองรับทิศทางขาออก ระหว่างวันที่ 9 - 13 เมษายน 2564 และรองรับทิศทางขาเข้า ระหว่างวันที่ 14 – 19 เมษายน 2564 เพื่อบรรเทาการจราจรติดขัดในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ 4. ดำเนินการทดลองนำร่องให้รถยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามที่กฎกระทรวงกำหนด บนเส้นทางถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32) ช่วงบริเวณหมวดทางหลวงบางปะอิน - ทางต่างระดับอ่างทอง กม. ที่ 4+100 ถึง กม. ที่ 50+000 ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ในวันที่ 1 เมษายน 2564 5. ดำเนินการใช้ประโยชน์จากอากาศยานไร้คนขับ (Drone) ของกรมทางหลวง (ทล.) บินสำรวจสภาพเส้นทางจราจรบนเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น และบริหารจัดการจราจรร่วมกับกล้อง CCTV ครอบคลุมพื้นที่เส้นทางสายหลักเข้า - ออกกรุงเทพฯ และบูรณาการร่วมกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง เข้มงวดวินัยจราจรโดยตรวจจับความเร็วและถ่ายรูปป้ายทะเบียนรถยนต์บริเวณจุดเสี่ยงด้วยกล้อง CCTV ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 6. เตรียมบริการขนส่งสาธารณะให้เพียงพอ เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างสะดวกและปลอดภัย และคงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในระบบคมนาคมขนส่งอย่างเข้มงวด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกันให้บริการแก่พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ดังนี้ 1. ทล. ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก (บางปะอิน - บางพลี) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 2564 รวม 8 วัน 2. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่9 เมษายน 2564 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 2564 รวม 8 วัน ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษเฉลิมรัชมงคล ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่13 เมษายน 2564 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 15 เมษายน 2564 รวม 3 วัน 3. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ให้บริการที่จอดรถฟรี ระหว่างวันที่10 - 16 เมษายน 2564 รวม 8 วัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สามารถจอดรถฟรีได้ที่บริเวณลานจอดรถยนต์ระยะยาว โซน C และท่าอากาศยานดอนเมือง สามารถจอดรถฟรีได้ที่อาคารจอดรถยนต์ 5 ชั้น (เฉพาะชั้น 2)จำนวน 150 คัน ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีผู้รับผิดชอบการบริหารการเดินทางในส่วนกลางตลอดเวลา รวมทั้งกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน และให้ดำเนินการดังนี้ 1. ทล. และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ให้อำนวยความสะดวก และความปลอดภัย ณ สถานบริการน้ำมัน รวมไปถึงจุดพักรถ Rest Area หรือจุดบริการต่าง ๆ ที่มีประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมาก ไม่ให้เกิดความแออัดบริเวณทางเข้า ควรมีป้ายประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจนก่อนถึงจุดบริการ 2. กทพ. และ ทล. จัดระเบียบบริเวณหน้าด่านเก็บเงินไม่ให้เกิดการกระจุกตัวหรือเกิดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่าน 3. ทล. และ ทช. สำรวจจุดก่อสร้างต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยต้องคืนพื้นผิวจราจรให้พี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทาง 4. ทล. และ ทช. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงข้อมูลเส้นทางลัด หรือทางเลี่ยงบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่นหรือติดขัดในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน 5. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เร่งประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการหยุดวิ่งรถบรรทุกเพื่อให้ถนนในทุกเส้นทางเกิดความคล่องตัวและปลอดภัย 6. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตรวจสอบบริเวณพื้นที่จุดตัดรถไฟกับถนนที่เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งพร้อมจัดทำป้ายเตือน เพื่อประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัย 7. มอบหมายให้ สนข. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรับทราบข้อมูลการเดินทาง รวมทั้งช่วยกันประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อกระจายการเดินทางและเหลื่อมเวลาการเดินทางในเส้นทางเข้า - ออกกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัย ในวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา Khon: The Human Body : Embodiment, Knowledge management
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา Khon: The Human Body : Embodiment, Knowledge management ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา Khon: The Human Body : Embodiment, Knowledge management วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา Khon: The Human Body : Embodiment, Knowledge management ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในโครงการพัฒนาองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา หนึ่งในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ หอสมุดนีลเซนเฮส์ กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “หลักสูตรนักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” สร้างภาวะผู้นำ รู้เท่าทันกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัล รับมือภัยพิบัติ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “หลักสูตรนักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” สร้างภาวะผู้นำ รู้เท่าทันกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัล รับมือภัยพิบัติ รองปลัดฯ ดีอีเอส บรรยาย “หลักสูตรนักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” สร้างภาวะผู้นำ รู้เท่าทันกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัล รับมือภัยพิบัติ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ “หลักสูตรนักบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” (นบ.ปภ.) ของสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ระบบการอบรมออนไลน์ ผ่านวีดิโอสด ( Zoom) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนานักบริหารระดับกลาง และข้าราชการ และผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาคีเครือข่ายของกรมฯ ให้เป็นผู้บริหารที่มีศักยภาพทั้งการบริหารงานและบริหารจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยตามกรอบการดำเนินงานของโลก รวมทั้งมีภาวะผู้นำ ความพร้อมทั้งความรอบรู้ ที่ทันสมัย ความคิดริเริ่ม ทัศนคติ และความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ผู้เข้าอบรมเกิดความรู้และเข้าใจต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในโลกยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ทำให้ทุกภาคส่วนต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทั้งสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มของประชากร การขยายของตัวเมือง การทำลายทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดผลกระทบมากมาย ทำให้โลกต้องเผชิญกับการเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้น *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40579
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.จัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย 129 ปี 1 เมษายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 มท.จัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย 129 ปี 1 เมษายน 2564 มท.จัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย 129 ปี 1 เมษายน 2564 วันนี้ (1 เม.ย. 64) เวลา 07.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พร้อมทั้งกล่าวคำถวายสดุดีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 129 ปี เพื่อน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระบรมราชโองการสถาปนากระทรวงมหาดไทยขึ้น โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีฯ จากนั้นในเวลา 07.40 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นประธานในพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธานพิจารณาผ้าป่า ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม เพื่อรวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธาจากทั่วประเทศ สมทบเข้าเป็นกองทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนและด้อยโอกาสในพื้นที่ชนบท ต่อมาเวลา 08.15 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย โดยมี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร รวม 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ และในเวลา 09.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นประธานในพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติผู้มีจริยธรรมดีเด่น ประจำปี 2563 ให้แก่บุคลากรในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้มีจริยธรรมดีเด่นจำนวน 5 ราย ได้แก่ นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายปรีชา เดชพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นางศุภวรรณ บูชาดี ผู้อำนวยการกลุ่มงานสนับสนุนผู้ตรวจราชการ สํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ นางสาวธันยพรรษ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานจังหวัดนครศรีธรรมราช และนายมนัส แก้วกัญญา พนักงานขับรถยนต์ระดับส 2 สำนักงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่พลเมืองดี ประจำปี 2562 – 2563 ให้แก่ผู้ทำความดีในการเข้าช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลือ หรือการช่วยเหลือกิจกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหน้าที่ ในเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ด้วยคุณธรรมจนเป็นที่ประจักษ์ชัด โดยมิได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว โดยมีผู้ได้รับยกย่องเป็นพลเมืองดี จำนวน 19 ราย เป็นพลเมืองดีที่เสียชีวิต จำนวน 7 ราย บาดเจ็บ 5 ราย และไม่ได้รับผลกระทบจากการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น 7 ราย สำหรับวันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทย เพื่อน้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนากระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2435 และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และพระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย พร้อมทั้งได้ทรงปรับปรุงงานของกระทรวงมหาดไทยหลายประการ อาทิ การแก้ไขระเบียบการปฏิบัติงาน การจัดตั้งศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงจัดระเบียบการปกครอง “รูปแบบเทศาภิบาล” และทรงวางรากฐานให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 129 ปี ที่คนกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักในภาระหน้าที่และได้อุทิศตนในการอำนวยประโยชน์สุขให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” สักการะองค์ท้าวมหาพรหม พร้อมมอบนโยบายฯ เนื่องในวันเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการดีอีเอสวันแรก
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 “ชัยวุฒิ” สักการะองค์ท้าวมหาพรหม พร้อมมอบนโยบายฯ เนื่องในวันเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการดีอีเอสวันแรก “ชัยวุฒิ” สักการะองค์ท้าวมหาพรหม พร้อมมอบนโยบายฯ เนื่องในวันเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการดีอีเอสวันแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าสักการะองค์ท้าวมหาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ด กพช. ย้ำรัฐบาลเดินหน้าความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เตรียมพร้อมรองรับการพัฒนาด้านพลังงานในอนาคต
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ด กพช. ย้ำรัฐบาลเดินหน้าความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เตรียมพร้อมรองรับการพัฒนาด้านพลังงานในอนาคต นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ด กพช. ย้ำรัฐบาลเดินหน้าความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เตรียมพร้อมรองรับการพัฒนาด้านพลังงานในอนาคต วันที่ 1 เมษายน 2564 เมื่อเวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2564 ร่วมกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการดำเนินงานด้านพลังงานต่อที่ประชุม กพช. ว่า วันนี้โลกเปลี่ยนไปมาก ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ก็มีมากโดยเฉพาะด้านพลังงาน ทั้งพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน รวมความถึงปัญหาความขัดแย้งในหลายพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ที่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตด้วย จึงต้องร่วมกันคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา หาแนวทางปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศในอนาคต โดยภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ตลอดจนหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง จะต้องร่วมมือกันทำงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะเรื่องพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างด้านเศรษฐกิจของประเทศด้วย ทั้งนี้ ในวันนี้มีปัญหาที่ประชาชนยังไม่เข้าใจถึงแหล่งที่มาของพลังงาน มีความเข้าใจที่ผิดว่าไทยสามารถผลิตพลังงานได้เอง แต่นำมาขายภายในประเทศในราคาแพง จึงต้องมีการชี้แจงถึงสัดส่วนพลังงานที่มาจากภายนอกประเทศ พลังงานที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ และพลังงานที่ผลิตในประเทศแต่ไม่สามารถใช้ได้ภายในประเทศจึงต้องส่งออก โดยต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อแก้ไขปัญหาการบิดเบือนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินงานด้านพลังงานที่ต้องคำนึงถึงตั้งแต่ต้นทางคือการนำเข้าพลังงาน เพื่อมาแปรรูปในกลางทาง จนถึงปลายทางคือผู้บริโภค ซึ่งการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 ต้องแก้ปัญหาเรื่องการผูกขาดด้านพลังงาน ให้สามารถมีการนำเข้าพลังงานได้โดยต้องเป็นไปตามกติกาที่กำหนด ทั้งนี้ ในปัจจุบันโลกยุคใหม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 5G ทำให้มีการให้โซเชียลมีเดียอย่างมาก มีการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนที่มากขึ้น ส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลกำลังเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมแผนรองรับการใช้พลังงานที่มากขึ้นไว้ด้วย “ท่านนายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลเดินหน้าเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน และพลังงานสะอาด เพื่อลดภาวะโลกร้อน และลดปัญหา PM2.5 และเตรียมพร้อมแผนแม่บทด้านพลังงานในระยะต่อไป เพื่อรองรับการพัฒนาด้านพลังงานในอนาคต โดยจะต้องสร้างความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และท่านนายกฯ ยังขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน ที่ร่วมกันเดินหน้าทำงานเพื่อพัฒนางานด้านพลังงานของประเทศไทยให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว ทั้งนี้ กพช. มีมติ เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 แบ่งออก 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตามแนวทางที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และ กพช. กำหนด (Regulated Market) ซึ่งประกอบด้วย ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติจาก Old Supply และ Shipper ที่จัดหา LNG เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ และ 2) กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง (Partially Regulated Market) พร้อมกับเห็นชอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าตามแผน PDP 2018 (Rev.1) จากศักยภาพของโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯ และ LNG Terminal ทั้งที่มีอยู่และที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานฯ เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าในเขตนครหลวง 5,420 MW โดยให้ กฟผ. ปรับรูปแบบการลงทุนจากโครงการ FSRU ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (F-1) ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 เป็นร่วมลงทุนกับ ปตท. สัดส่วน 50 : 50 ในโครงการ LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ต.หนองแฟบ จ. ระยอง ขนาด 7.5 MTPA และเห็นชอบให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าตามแผน PDP2018 (Rev.1) และยกเลิกสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) บนระบบท่อส่งราชบุรี-วังน้อย และโครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซฯ (Compressor) กลางทาง บนระบบท่อส่ง บนบกเส้นที่ 5 กพช. ยังเห็นชอบนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า ปี พ.ศ. 2564 – 2568 และกรอบแนวทางการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟ เพื่อให้ กกพ. ไปจัดทำรายละเอียดในการกำกับดูแลและกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนในการให้บริการของกิจการไฟฟ้าอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้รับใบอนุญาตและผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม เพื่อให้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงบริบทของอุตสาหกรรมไฟฟ้า อันเกิดจากนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อให้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ามีความเกื้อหนุนต่อการรักษาประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศโดยรวม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. และ BEM ร่วมฉลองสงกรานต์ ชวนผู้สูงอายุโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ฟรี ระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รฟม. และ BEM ร่วมฉลองสงกรานต์ ชวนผู้สูงอายุโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ฟรี ระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) เตรียมฉลองเทศกาลสงกรานต์และวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 64 โดยจะเปิดให้ผู้โดยสารที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยสารรถไฟฟ้า MRT ทั้งสองสาย ฟรี ในระหว่างวันที่ 13 – 15 เมษายน 2564 ได้ตลอดระยะเวลาให้บริการ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. เพื่อเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัวในการพาผู้สูงอายุเดินทางท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ รอบเส้นทางรถไฟฟ้า MRT โดยผู้สูงอายุสามารถแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อขอรับคูปองโดยสารรถไฟฟ้าฟรี ได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารประจำสถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี พร้อมกันนี้ รถไฟฟ้า MRT ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล ในระหว่างวันที่ 9 - 16 เมษายน 2564 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ บริเวณชั้นออกบัตรโดยสาร ของสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จำนวน 19 สถานี ได้แก่ สถานีหลักสอง สถานีภาษีเจริญ สถานีบางหว้า สถานีท่าพระ สถานีสนามไชย สถานีวัดมังกร สถานีหัวลำโพง สถานีสามย่าน สถานีสีลม สถานีสุขุมวิท สถานีพระราม 9 สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีลาดพร้าว สถานีพหลโยธิน สถานีสวนจตุจักร สถานีบางซื่อ สถานีบางโพ สถานีสิรินธร สถานีบางขุนนนท์ และของสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ทั้ง 16 สถานี และเพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 รฟม. จึงได้กำชับให้ BEM เตรียมพร้อมมาตรการรองรับผู้ใช้บริการที่อาจจะหลั่งไหลเข้ามาสู่ระบบรถไฟฟ้า MRT เพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาล อาทิ จัดพนักงานสำรอง จัดเตรียมช่องทางพิเศษสำหรับจำหน่ายเหรียญโดยสาร และตั้งจุดออกเหรียญโดยสารนอกห้องออกบัตรโดยสาร รวมทั้งเตรียมการเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉิน ในกรณีที่มีผู้โดยสารหนาแน่น สามารถจัดและควบคุมการไหลเวียนของผู้โดยสารขาเข้าและขาออกภายในสถานีให้มีความคล่องตัว พร้อมประสานงานศูนย์ควบคุมการเดินรถอย่างใกล้ชิดในการปรับขยายเวลาจอดรับ-ส่งผู้โดยสารของขบวนรถไฟฟ้าตามความเหมาะสม จัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบ (EOD) และสุนัข K-9 ประจำการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลาการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้า MRT รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สื่อสารประจำศูนย์วิทยุพสุธา ตรวจตราทาง CCTV รับแจ้งเหตุผิดปกติ เหตุฉุกเฉิน ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 2938 3666 ตลอด 24 ชั่วโมง และในกรณีพบวัตถุต้องสงสัย หรือ กรณีมีการก่อเหตุจลาจล สามารถเข้าตรวจสอบและควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบและปลอดภัยได้ในทันที นอกจากนี้ยังคงดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ในระบบรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สาย อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้โดยสารรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการใช้บริการ สแกน QR Code ไทยชนะ ที่ติดอยู่ในตู้โดยสาร เพื่อเช็คอิน และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโรค สอบถามรายละเอียดการให้บริการรถไฟฟ้า MRT เพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 เฟซบุ๊ก: MRT Bangkok Metro ทวิตเตอร์: MRT Bangkok Metro อินสตาแกรม: mrt_bangkok หรือ โมบายแอปพลิเคชัน: Bangkok MRT และติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. พร้อมเปิดตัวเพลงประจำกระทรวงฯ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. พร้อมเปิดตัวเพลงประจำกระทรวงฯ กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. มุ่งเชื่อมโยงและประสานร่วมมือด้านวิชาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรมกับทุกภาคส่วน พัฒนาด้านการเกษตรสู่ Next Normal พร้อมเปิดตัวเพลงประจำกระทรวงฯ Agri Challenge Special ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 129 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดกิจกรรมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การดำเนินการจัดทำหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง หรือ วกส. ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลนิธิเกษตราธิการ โดยมี ดร.อนันต์ สุวรรณรัตน์ เป็นประธาน และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยมี ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ เป็นผู้อำนวยการ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีส่วนร่วมในการริเริ่มหลักสูตร วกส. อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหลักสูตรดังกล่าว จะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือในด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และเกษตรกร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตร ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดเครือข่ายในการขับเคลื่อน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและผลผลิตมวลรวมภาคการเกษตร (GDP) ในภาพรวม ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สร้างโอกาส สร้างรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มีภูมิต้านทานรองรับสภาพความผันผวนแบบ Disruptive รวมถึงรองรับการปรับตัวภายใต้สถานการณ์ Next Normal ภายหลังวิกฤต Covid – 19 โดยใช้กลไกความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร วกส. ให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้จัดกิจกรรม Agri Challenge Special โดยเปิดตัวเพลงเกษตรวิถีใหม่ ที่ขับร้องโดยไมค์ภิรมย์พร และศิลปินอีกมากมาย “การจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขับเคลื่อนองคาพยพของภาคการเกษตร ให้สามารถร่วมกันผลักดันการพัฒนาสินค้าและบริการด้านการเกษตร ให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่ผันผวน ตลอดจนช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืนได้ต่อไป ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยทุกหน่วยงานในสังกัด มีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของหลักสูตร วกส. และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนการดำเนินงานของหลักสูตร วกส. ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการจัดทำบันทึกข้อตกลงนี้ จะประสบผลสำเร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เพื่อให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน และก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อภาคการเกษตรของประเทศไทยต่อไป” ดร.ทองเปลว กล่าว สำหรับหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) เป็นหลักสูตรเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ให้เป็นผู้นำในระดับนานาชาติด้วยวิทยาการเกษตร เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ภายใต้หลักการตลาดนำการผลิตและเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความสมดุล มั่นคงและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและสร้างผู้นำระดับสูง ให้มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ระหว่างผู้นำทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่ โดยคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมหลักสูตร จะต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นข้ราชการพลเรือน หรือข้าราชการทหาร/ตำรวจ ระดับ 9 ขึ้นไป และภาคเอกชนหรือองค์การสาธารณะ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.acemoac.in.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” มอบ 5 นโยบายขับเคลื่อนดีอีเอส
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 “ชัยวุฒิ” มอบ 5 นโยบายขับเคลื่อนดีอีเอส “ชัยวุฒิ” มอบ 5 นโยบายขับเคลื่อนดีอีเอส “ชัยวุฒิ” พบปะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ มอบกรอบนโยบายในการขับเคลื่อนดีอีเอส 5 ด้าน ผลักดันการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ เผย เรื่องเร่งด่วนระยะแรก ครอบคลุม การยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (National Digital ID) และการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยเทคโนโลยี 5G ให้เกิดการใช้ประโยชน์เต็มรูปแบบ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (1 เม.ย. 64) ได้เข้าตรวจเยี่ยมและพบปะผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมทั้งมอบกรอบนโยบายในการขับเคลื่อนกระทรวงดิจิทัล 5 เรื่อง ได้แก่ 1. การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างทั่วถึง แพร่หลาย เป็นธรรม ในทุกมิติ 2. การส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างแพร่หลาย ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ส่งเสริมการพัฒนา e-service ภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนเข้ารับบริการภาครัฐได้โดยสะดวก รวดเร็ว ไม่จำกัดสถานที่ เช่น ร่วมกับสรรพากรในการออกมาตรการทางภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบธุรกิจ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการอำนวยความสะดวกด้านใบอนุญาตทำงาน วีซ่า และการพักอาศัยสำหรับ digital talent (Visa and work permit for digital talent) การพัฒนาตลาดนวัตกรรมด้วยบัญชีนวัตกรรมดิจิทัล และการส่งเสริมให้เกิดระบบ การพิสูจน์และยืนยันตัวตนในการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน (Digital Identification) เป็นต้น 3. จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จาก 5G การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการสนับสนุนให้ประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในอินเทอร์เน็ต 4. การพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าสู่โลกดิจิทัล (Trusted digital ecosystem) โดยเฉพาะเรื่อง การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ 5. การปกป้องคุ้มครองประชาชน จากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย และอินเทอร์เน็ต ในทางมิชอบ นอกจากนี้ ยังได้รับนโยบายจากรัฐบาล ให้กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าภารกิจสำคัญเร่งด่วน คือ National Digital ID ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วย ที่จะเชื่อมโยงบัตรประชาชน และต่อไปอาจรวมถึงการยืนยันตัวตนในการจดทะเบียนบัญชีผู้ใช้สื่อโซเชียล ป้องกันปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์ที่สร้างความเสียหายอยู่ในปัจจุบัน และการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในด้านเทคโนโลยี 5G ให้เกิดการใช้ประโยชน์เต็มรูปแบบ “งานเร่งด่วนเหล่านี้ รัฐบาลต้องการเห็นความคืบหน้าเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างให้ประชาชนอยู่ดี มีสุข ประเทศทันสมัย และแข่งขันได้ในเวทีโลก มีการทำงานประสานกันระหว่างกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้สังกัด และขอให้ทำทุกอย่างให้ถูกกฎหมาย ไม่อยากให้มีการฟ้องร้องหรือเกิดความเสียหายกับรัฐบาล” นายชัยวุฒิกล่าว พร้อมย้ำว่า แนวทางการทำงานของผม พร้อมเปิดรับการพูดคุยกับผู้บริหารทุกส่วนงานของกระทรวงฯ อยากขอให้เราช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง เชื่อมโยงให้เข้ากับความต้องการของประชาชนให้อยู่ดี กินดี มีความสุข โครงการที่ออกมาต้องสร้างประโยชน์ให้ประชาชนได้จริง ดังนั้น นโยบายสำคัญต่างๆ ของกระทรวงฯ ในส่วนที่ดีอยู่แล้ว จะไม่มีการยกเลิก และส่วนที่มีปัญหา ก็ต้องมาร่วมกันหาแนวทางแก้ไข อีกทั้งจะให้ความสำคัญกับงานด้านความมั่นคง คดีต่างๆ เช่น การปิดเว็บ ปิดเพจ ต้องช่วยกันทำให้มาตรการทางกฎหมายมีผลบังคับใช้เข้มข้นยิ่งขึ้น ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ขยายเวลาให้ชำระเงินกู้งวดเดือนมีนาคม 2564 ถึงวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ธอส. ขยายเวลาให้ชำระเงินกู้งวดเดือนมีนาคม 2564 ถึงวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 นาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศขยายระยะเวลาให้ลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร สามารถชำระเงินกู้ตามจำนวนที่ต้องชำระรายเดือน สำหรับงวดเดือนมีนาคม 2564 เพิ่มขึ้นไปอีก 2 วัน คือ ระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน 2564 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศขยายระยะเวลาให้ลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร สามารถชำระเงินกู้ตามจำนวนที่ต้องชำระรายเดือน สำหรับงวดเดือนมีนาคม 2564 เพิ่มขึ้นไปอีก 2 วัน คือ ระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน 2564 โดย ธอส. จะไม่นับว่าเป็นการชำระล่าช้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ธอส. ยังอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการชำระเงินกู้ในหลากหลายช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ธอส. ได้แก่ Mobile Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th โดย Scan QR Code สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางคาร์เมล เซพูโลนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศิลปะ วัฒนธรรม และมรดกของนิวซีแลนด์
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางคาร์เมล เซพูโลนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศิลปะ วัฒนธรรม และมรดกของนิวซีแลนด์ รมว.วธ.ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางคาร์เมล เซพูโลนี (H.E. Carmel Sepuloni) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศิลปะ วัฒนธรรม และมรดกของนิวซีแลนด์ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางคาร์เมล เซพูโลนี (H.E. Carmel Sepuloni) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศิลปะ วัฒนธรรม และมรดกของนิวซีแลนด์ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๕ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและนิวซีแลนด์ โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอุรุษยา อินทรสุขศรี ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมนี้ได้มีเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตของสองประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมหารือครั้งนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ลงพื้นที่ติวเข้มเรื่องประกันภัยแก่ SMEs กรุงเก่าเป็นปฐมฤกษ์ของปี
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 คปภ.ลงพื้นที่ติวเข้มเรื่องประกันภัยแก่ SMEs กรุงเก่าเป็นปฐมฤกษ์ของปี คปภ.ลงพื้นที่ติวเข้มเรื่องประกันภัยแก่ SMEs กรุงเก่าเป็นปฐมฤกษ์ของปี พร้อมจับมือสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหลายจังหวัด ทำ MOU ด้านประกันภัยเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงและร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจก้าวข้ามโควิด-19 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การบูรณาการส่งเสริมความรู้และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ระหว่าง สำนักงาน คปภ. ภาค 2 ภาค 4 และ ภาค 7 สำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี พร้อมเป็นประธานเปิดการเสวนาเรื่อง “คปภ. ห่วงใย สร้างเกราะประกันภัยให้ SMEs” ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยเชิงรุกให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ หรือ SMEs ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของธุรกิจของตนเองหรือบุคคล ซึ่ง SMEs เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมของประเทศ โดยมีนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ คปภ. สายกฎหมายและคดี นางสาวสุภัทรา ดวงงา เจ้าของร้านชาบูอินดี้ และนายเชิดชัย อนุสนธิ์พัฒน์ เจ้าของห้างทองเยาวราชอยุธยา (1999) ร่วมเสวนา และมีนางสาวณิชชา ฉัตรไชยเดช เป็นพิธีกร ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมงาน จำนวน 100 คน โดยได้รับเกียรติจากนายพรพจน์ บัณฑิตยานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับและได้กล่าวขอบคุณ สำนักงาน คปภ. ที่เลือกจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่เป้าหมายในการให้ความรู้ด้านการประกันภัยและลงพื้นที่รับฟังข้อมูลจาก SMEs โดยตรง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยงภัยให้ SMEs ในพื้นที่ ดังนั้น เวทีการเสวนาในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญและมีคุณค่ายิ่งที่เลขาธิการฯ นำทีมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง พร้อมทั้ง ขอให้ SMEs เร่งนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มความมั่นคงให้กับธุรกิจของตนเองยิ่งขึ้น เลขาธิการ คปภ. กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดเสวนา ในตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้านการประกันภัยกับ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 เป็นการลงพื้นที่ครั้งแรก ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่เริ่มคลี่คลาย โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมส่งเสริมและขับเคลื่อนให้ภาคธุรกิจประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs Package ซึ่งเป็นกรมธรรม์ที่รวมความคุ้มครองหลักที่ครบวงจรและหลากหลาย ซึ่งจะช่วย SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายในหลายมิติ อาทิเช่น การประกันอัคคีภัย ให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินเมื่อสถานประกอบการเกิดเหตุเพลิงไหม้ ภัยพิบัติ น้ำท่วม นอกจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตัวอาคารและปรับปรุงภายในอาคารแล้ว มีการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายต่างๆ จากกรณีที่ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ตามระยะเวลาและรายได้ที่ขาดหายไปในระหว่างที่กำลังซ่อมแซม การประกันภัยโจรกรรม การประกันภัยสำหรับเงินภายในสถานที่เอาประกันภัย การประกันภัยสำหรับกระจก ให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือ ความเสียหายต่อทรัพย์สินดังกล่าว การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้ประกอบการ มีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลอื่น และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัย เนื่องจากอุบัติเหตุ เป็นต้น กรมธรรม์ดังกล่าวที่ SMEs ทำไว้จะเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยงในจุดนี้ทันที นอกจากนี้ ยังมีกรมธรรม์อีกประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันอย่างมาก คือ ประกันภัยไซเบอร์เชิงพาณิชย์ เป็นประกันภัยความเสี่ยงที่ธุรกิจ องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ อาจเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายขึ้นจากการถูกโจรกรรมหรือกรรโชกทรัพย์หรือคุกคามหรือละเมิดด้านความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการทำประกันภัย คือ SMEs จะต้องมีความเข้าใจว่าธุรกิจของตนเองมีความเสี่ยงในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่จะสามารถเลือกการประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่ธุรกิจของตนที่จะต้องเผชิญ นอกจากนี้ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สำนักงาน คปภ. ภาค สำนักงาน คปภ. จังหวัด และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย หลายจังหวัด ทำ MOU เพื่อบูรณการความร่วมมือสร้างวัคซีนให้กับระบบเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ เลขาธิการ คปภ. กล่าวอีกว่า ก่อนถึงวันจัดงานเสวนา 1 วัน ตนและคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ได้ลงพื้นที่สำรวจ SMEs แหล่งท่องเที่ยว และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พบว่า เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองกรุงเก่าแบบไปเช้า-เย็นกลับ เพื่อชมโบราณสถาน ชิมของอร่อย กันคึกคักขึ้น ส่งผลทำให้ SMEs ในพื้นที่เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม ความรุ่งเรืองของอดีตที่ยิ่งใหญ่ของเมืองและเรียงรายด้วยวัดวาอารามที่ศักดิ์สิทธิ์ ศิลปวัฒนธรรม ขนบประเพณีที่เป็นรากเหง้ามาจากกรุงเก่า ตลอดจนความงดงามทั้งด้านบรรยากาศและโบราณสถานที่โอบล้อมด้วยลำน้ำที่สดชื่นรอบริมฝั่ง และการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พอเพียง จึงทำให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลายเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่น่าสัมผัสเสน่ห์กลิ่นอาย ซึ่งในแต่ละปีจังหวัดได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีการประกอบธุรกิจ SMEs ในพื้นที่อย่างหลากหลาย เช่น ธุรกิจแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน ร้านอาหาร ร้านขนมของฝาก ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น การประกอบอาชีพของประชาชนมีการทำเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็น ข้าวนาปี มันสำปะหลัง อ้อย มะม่วง และทำปศุสัตว์ โดยมีสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ไก่ สุกร โค และสัตว์น้ำจืด เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน คปภ. จึงเล็งเห็นความสำคัญในการนำระบบประกันภัยเข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเหลือ SMEs เกษตรกร รวมถึงประชาชนทั่วไป บริหารความเสี่ยงภัยหากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างความรู้และความเข้าใจที่ดีของ SMEs ในมุมมองของการทำประกันภัย เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยว่ามีทั้งประเภท ที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำ และประเภทสมัครใจ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยง รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ ของกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อเป็นการยกระดับการประกอบธุรกิจให้มีความมั่นคง ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีความพร้อมที่นำระบบประกันภัยมาสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผู้ประกอบการและประชาชน “การประกันภัยเป็นเรื่องใกล้ตัว และแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชีพ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีสายป่านไม่ยาวมาก หากเลือกใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงาน คปภ. มีภารกิจสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย ตลอดจนช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้ ในขณะเดียวกันถ้าหากทำประกันภัยแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม สำนักงาน คปภ. ก็มีหน่วยงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย โดยมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก และสำนักงาน คปภ. ภาค ( 9 ภาค)/จังหวัด (69 จังหวัดทั่วประเทศ) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ขานรับมติ ครม. เร่งขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564” สู้ภัยธรรมชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 คปภ. ขานรับมติ ครม. เร่งขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564” สู้ภัยธรรมชาติ • เลขาธิการ คปภ. ลงนามอนุมัติ แบบกรมธรรม์ข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 แล้ว เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรชาวนาไทย ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากปี 2563 เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืช หรือโรคระบาด ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดเป้าหมายสูงสุด 46 ล้านไร่ และภาครัฐให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวนเงินทั้งสิ้น 2,936 ล้านบาท โดยมติครม. ดังกล่าว ได้มอบหมายให้สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัย รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จ และสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2564 และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2564 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและเดินหน้าสานต่อโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยปีนี้กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีมีรูปแบบเหมือนกับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 แต่มีการปรับลดเบี้ยประกันภัยลง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกรชาวนา ในสถานการณ์โควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามให้ความเห็นชอบแบบ ข้อความ และอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 แบบกรมธรรม์ ดังนี้ แบบที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แบบที่ 2 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ แบบที่ 3 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) แบบที่ 4 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม กรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 4 แบบ ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัย 2 หมวด ดังนี้ หมวดที่ 1 ภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า โดยแยกความคุ้มครองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐานอยู่ที่ 1,260 บาทต่อไร่ และส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ หมวดที่ 2 ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด โดยแยกความคุ้มครองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐานอยู่ที่ 630 บาทต่อไร่ ส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทำประกันภัยโดยเลือกซื้อความคุ้มครองทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ในคราวเดียวกันของหมวดที่ 1 จะได้รับ ความคุ้มครองรวมอยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ และหมวดที่ 2 จะได้รับความคุ้มครองรวมอยู่ที่ 750 บาทต่อไร่ โดยมีค่าเบี้ยประกันภัยและสัดส่วนการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย รวมค่าอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐบาล ดังนี้ สำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน 96 บาทต่อไร่ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. อุดหนุนอีก 38 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป จะจ่ายตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน ถ้าเป็นพื้นที่สีเขียวมีความเสี่ยงภัยต่ำ จ่ายเบี้ยประกันภัย 55 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุนทั้งหมด 55 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือเกษตรกรจ่ายเอง 152 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่ายเอง 172 บาทต่อไร่ สำหรับเบี้ยประกันภัยในส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย ถ้าเป็นพื้นที่สีเขียวมีความเสี่ยงภัยต่ำ จ่ายเบี้ยประกันภัย 24 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 101 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ มีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ ปีการผลิต 2564 จำนวน 16 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ จำกัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ และวันสิ้นสุดการขายจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ คือ วันที่ 30 เมษายน 2564 วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวนา เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการฯ ปีการผลิต 2564 สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” สำหรับการประกันภัยข้าวนาปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยในปีนี้จะมีการลงพื้นที่ให้ความรู้ จำนวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร อุตรดิตถ์ ลำปาง อำนาจเจริญ และ ชัยภูมิ ขณะนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับประชาชนบางส่วนแล้ว รวมถึงภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามมา สำนักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมเพื่อลงพื้นที่ให้ความรู้แบบคู่ขนาน โดยการบรรยายจากวิทยากร 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำหรับถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ได้ดำเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรชาวนาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อความรู้และประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ คู่มือประกอบการอบรม การจัดทำสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (Motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทำสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทำข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Mobile Application “กูรูประกันข้าว” บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน รวมถึงการผลิตสื่อดิจิทัล ได้แก่ สื่อสังคมออนไลน์ Web-site YouTube โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่สื่อความรู้ต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรชาวนาให้มากที่สุด “สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความมั่นคง เนื่องจากอาชีพทำนามีความเสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 จึงจำเป็นต้องมีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรชาวนาทุกคนให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยข้าวนาปี ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 ครั้งที่ 2
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 ครั้งที่ 2 และพิธีรายงานตัวของนายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมย้ายเข้ามารับราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีแสดงความยินดีแก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 ครั้งที่ 2 และพิธีรายงานตัวของนายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมย้ายเข้ามารับราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีนายทหารสัญญาบัตร สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพล ประจำปีงบประมาณ พ. ศ. 2564 ครั้งที่ 2 รวม 50 นาย รวมทั้งนายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมย้ายเข้ามารับราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 11 นาย โอกาสนี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวแสดงความยินดี พร้อมทั้งให้โอกาสแก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับพระราชทานยศทหารชั้นนายพลทุกนายว่าท่านทั้งหลายได้รับพระราชทานยศสูงขึ้นก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ขอให้ทุกท่านได้ใช้ความรู้ ความสามารถนำมาปฏิบัติหน้าที่ราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทและนโยบายของกระทรวงกลาโหม โดยร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมให้เป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพและสามารถตอบสนองภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะนำพาให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ มีความเจริญในหน้าที่ราชการต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด  ครั้งที่ 3/2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 การประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ครั้งที่ 3/2564 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด วันพุธที่31มีนาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยจำกัดครั้งที่3/2564ในฐานะกรรมการ(ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมชั้น2อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ที่ประชุมได้หารือและพิจารณาเห็นชอบในประเด็นต่างๆที่สำคัญคือ 1)เห็นชอบงบการเงินประจำปี 2563สิ้นสุดณวันที่31ธันวาคม2563 2)เห็นชอบการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าตอบแทนประจำปี2564 3)การจ่ายเงินประจำปี2563 4)การให้สัตยาบันการขายน้ำตาลทรายดิบเพื่อการส่งออกตามโควตาสหรัฐอเมริกาประจำปี2564 5)การอนุมัติงบประมาณในการแก้ต่างกรณีเวียดนามประกาศเปิดการไต่สวนตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน(AD/CVD)และอนุมัติให้อนท.ทดรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวไปก่อน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 1 เมษายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 1 เมษายน 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 1 เมษายน 2564 ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 70,593 ล้านบาท ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 1 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 70,593 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 104,029 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 11,028 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 185,650 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน "งานประกาศผลรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ ๑๗"
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน "งานประกาศผลรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ ๑๗" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน "งานประกาศผลรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ ๑๗" วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน "งานประกาศผลรางวัล คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ ๑๗" โดยมี นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปิน ดารา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ-ภาคเอกชน สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ทั้งนี้ มีผู้ได้รับรางวัล อาทิ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ ณเดชน์ คูกิมิยะ จากเรื่อง อ้ายคนหล่อลวง รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ คัทลียา แมคอินทอช จากเรื่อง อ้ายคนหล่อลวง รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้แก่ พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร จากเรื่อง วอน (เธอ) รางวัลบทภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ได้แก่ กัณฑ์ปวิตร ภูวดลวิศิษฎ์ จากเรื่อง คืนยุติธรรม รางวัลส่งเสริมการแต่งกายผ้าไทยดีเด่น ได้แก่ เขมนิจ จามิกรณ์ รางวัลเพลงละครประภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมดีเด่น ได้แก่ เพลงจากภาพยนตร์เรื่อง “รักนะ ซุปซุป” โดย เกรียงไกร มณวิจิตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 21
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 21 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 21 ณ ห้องดวงกมล โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ วันนี้ (1 เมษายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 21 โดยมี นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อำนวยการกองกลาง นางสุนีย์ โสภณ ผู้อำนวยกองการบริหารทรัพยากรบุคคล เข้าร่วม ณ ห้องดวงกมล โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ทั้งนี้ การฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 21 ได้ดำเนินการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 - 1 เมษายน 2564 โดยในปีนี้มีนักบริหาร เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 40 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40585
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา : วันนี้ (1 เมษายน 2564) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวพะเยาว์ คำมุข รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พร้อมคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ หรือ Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center : ATTRIC เยี่ยมชมการทดสอบยางล้อ การทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเยี่ยมชมสนามทดสอบยางล้อ และสนามทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีนายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ให้การต้อนรับ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา #ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ #กระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิดโครงการคนละครึ่ง ยอดใช้จ่ายกว่า 1 แสนล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ปิดโครงการคนละครึ่ง ยอดใช้จ่ายกว่า 1 แสนล้านบาท โครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งและโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือประมาณร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน ซึ่งจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 6 เดือนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการบริโภคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการหมุนเวียนของการผลิตและการค้าที่เกี่ยวเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โฆษกกระทรวงการคลัง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้ตรวจพบการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง และได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและการจ่ายเงินร้านค้า รวมทั้งจัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้วทั้งสิ้น 749 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก โครงการคนละครึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเดินหน้าแผนแม่บทยุทธศาสตร์ฯ ลดโลกร้อน ลด PM 2.5 พร้อมเร่งดำเนินการศึกษาโครงการบรรเทาภัยแล้ง ยืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเดินหน้าแผนแม่บทยุทธศาสตร์ฯ ลดโลกร้อน ลด PM 2.5 พร้อมเร่งดำเนินการศึกษาโครงการบรรเทาภัยแล้ง ยืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเดินหน้าแผนแม่บทยุทธศาสตร์ฯ ลดโลกร้อน ลด PM 2.5 พร้อมเร่งดำเนินการศึกษาโครงการบรรเทาภัยแล้ง ยืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ วันนี้ (1 เม.ย. 64) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกไทยคู่ฟ้าและภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ว่า การประชุม เพื่อเดินหน้าระยะที่ 2 ให้เกิดการร่วมทุน การลงทุนต่าง ๆ จากภาคเอกชน ซึ่งจะต้องสร้างความโปร่งใส ความเชื่อมั่น รวมทั้งแผนพัฒนาพลังงานระยะต่อไปด้วย เพราะการใช้เทคโนโลยีสูง และเทคโนโลยีที่ใช้ปริมาณไฟฟ้าสูงมากอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนโดยรวมทั่วไป ซึ่งจะต้องจัดหาพลังงานให้มากขึ้น และสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในพื้นที่ EEC รวมถึงการสนับสนุนพลังงานสะอาด พลังงานโลก รัฐบาลกำลังเดินหน้าตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ฯ ที่จะลดโลกร้อนและลดปัญหา PM 2.5 เพื่อให้เกิดความทั่วถึงเข้าถึงโอกาสและความเป็นธรรม คือ การดูแลผู้มีรายได้น้อยไปด้วย ทุกอย่างต้องบริหารด้วย Big Data ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการศึกษาโครงการบรรเทาภัยแล้ง อาทิ โครงการประตูน้ำเพื่อสกัดกั้นน้ำเค็ม โครงการกักเก็บน้ำก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำระหว่างประเทศ ที่ต้องรองบประมาณในการดำเนินงานเนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่รัฐบาลได้มุ่งเน้นที่จะหาเงินมาลงทุนในโครงการดังกล่าว นายกรัฐมนตรียังยืนยันถึงสถานการณ์ด้านการเงินการของไทยยังแข็งแกร่ง ขณะที่การค้าระหว่างประเทศไทย – เมียนมา ยังมีการขนส่งปกติ ซึ่งต้องแยกแยะระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการดูแลผู้อพยพ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จำเป็น ยืนยันรัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ ................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40589
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมศิลปากร ครบรอบ ๑๑๐ ปี
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมศิลปากร ครบรอบ ๑๑๐ ปี รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมศิลปากร ครบรอบ ๑๑๐ ปี วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมศิลปากร ครบรอบ ๑๑๐ ปี และมอบรางวัลให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น และผู้ปฏิบัติงานดีเด่นในสังกัดกรมศิลปากร โดยมี นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วม ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ 129 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงและพิธีสงฆ์ จัดนิทรรศการผลงานภายใต้ “โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ครบรอบ 129 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงและพิธีสงฆ์ จัดนิทรรศการผลงานภายใต้ “โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” ครบรอบ 129 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงและพิธีสงฆ์ จัดนิทรรศการผลงานภายใต้ “โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” เร่งเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจน ชูเกษตรสมัยใหม่เชื่อมโยงการตลาดแบบครบวงจร วันนี้ (1 เมษายน 2564) เวลาประมาณ 07.30 น.ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 129 ปี พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประภัตร โพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ร่วมในพิธี ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานได้จุดธูปเทียนและถวายพวงมาลัยเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แก่ศาลพระภูมิเจ้าที่ศาลท้าวเวสสุวรรณ ศาลตา-ยาย องค์พระพิรุณทรงนาค (หน้าอาคาร) และองค์พระพิรุณทรงนาค (ห้องพิพิธภัณฑ์) จากนั้นเข้าสู่ช่วงพิธีสงฆ์โดยประธานได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยถวายภัตตาหารและจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพุทธมนต์ให้กับผู้เข้าร่วมพิธี จากนั้นในเวลา 09.00 น.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ห้องประชุม 115 วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันข้าราชการพลเรือนและยังเป็นวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปีนี้ กระทรวงฯได้จัดการแสดงนิทรรศการผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในโอกาส ครบรอบ 129 ปี ภายใต้โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักจัดแสดงนิทรรศการร่วมกับอีก 12 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ นิทรรศการความสำเร็จด้านบริหารจัดการของแปลงใหญ่มะม่วง, แมลง...ทางเลือกใหม่ของอาหารโลก, ศักยภาพของที่ดินและการจัดการดินมุ่งสู่ความสำเร็จของแปลงใหญ่, ส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ในสหกรณ์และชลประทานสนับสนุนแหล่งน้ำเกษตรแบบแปลงใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ร่วมจัดบูธนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย อาทิ Tesco Lotus Makro Tops และไปรษณีย์ไทย "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งปฏิรูปด้านการเกษตรเพื่อให้“เกษตรกรมั่นคงภาคการเกษตรมั่งคั่งทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน”ตามแผนยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ระยะ 20 ปีดังนั้นการครบรอบ 129 ปีในปี 2564 นี้ทุกหน่วยงาน ในสังกัดจึงต้องเร่งขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ และ15 แนวนโยบายหลักประกอบด้วยยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตซึ่งมีนโยบายเปิดตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์รองรับยุค New Normal และร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์สร้างเครือข่ายธุรกิจผ่านกิจกรรม “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย”ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 พัฒนาศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้สู่การทำเกษตรสมัยใหม่และเกษตรแบบแม่นยําพร้อมพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety – Security – Sustainability – เกษตรปลอดภัยเกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน)ด้วยการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรตลอดจนป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยรวมทั้งบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมผ่านข้อมูล Agri-Map ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน มีการพัฒนาฐานข้อมูล Big Data เพื่อการบริหารเชื่อมโยง ช่วยให้เกษตรกรมีข้อมูลที่ดีและยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน พร้อมสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกรรวมถึงการพัฒนาตาม 15 แนวนโยบายหลักซึ่งมีการพัฒนาและส่งเสริมทางด้านการเกษตรที่หลากหลายมิติเพื่อยกระดับให้ภาคการเกษตรของไทยก้าวไปสู่มาตรฐานสากลและนำพาให้เกษตรกรประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน” ดร.เฉลิมชัยกล่าว นอกจากพิธีสำคัญในช่วงดังกล่าวแล้ว กระทรวงฯได้จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การดำเนินการจัดทำหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลนิธิเกษตราธิการและสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.อนันต์ สุวรรณรัตน์ และดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ร่วมลงนามข้อตกลงฯ ดังกล่าว และยังจัดกิจกรรมเปิดตัวเพลงประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Agri Challenge Special) เป็นครั้งแรกอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40568
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายค่าตอบแทน อสม. ต่อ 3 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 จ่ายค่าตอบแทน อสม. ต่อ 3 เดือน ... ยินดีกับพี่น้องชาว อสม. ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ล่าสุด ครม. เห็นชอบโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน ซึ่งจะทำให้ชาว อสม. จำนวน 1,039,729 คน และ อสส. 10,577 คน รวมทั้งสิ้น 1,050,306 คน ได้รับเงินค่าป่วยการในการปฏิบัติหน้าที่อีก 3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย. 2564) วงเงินรวมไม่เกิน 1,575.4590 ล้านบาท . ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนบทบาทของชาว อสม. และ อสส. ในการสื่อสาร ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงสำรวจ และติดตามอาการประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับวัคซีนในชุมชน นอกจากนี้ จะเร่งฉีดวัคซีนโควิด -19 แก่ชาวอสม. และ อสส. ทุกราย เพื่อลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ งันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบอนุมัติทุนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือ ทุน สควค. ระยะที่ 4 ปี 2564 - 2567 วงเงิน 1,650 ล้านบาท เพื่อผลิตครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่มีศักยภาพสูง ให้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ จำนวน 1,200 คน แบ่งเป็นทุนปริญญาตรี - โท สาขาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา 600 ทุน และทุนระดับปริญญาโท เพื่อศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ 600 ทุน ซึ่งครูจากทุน สควค. นี้ จะบรรจุในโรงเรียนมัธยม ตั้งแต่ปี 2570-2573 โดยจะกระจายไปจังหวัดละ 1 - 2 คน ช่วยเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีมอบเกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 พิธีมอบเกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สปอ. วันนี้ (1 เมษายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร และเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ พร้อมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น รวมถึงเพื่อเป็นการยกย่องส่งเสริมข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี และนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สปอ. ซึ่งผู้ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 มีจำนวน 11 คน โดยผู้ที่ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่นของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 คือ นายจุฬานนท์ จันหลง นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ สำนักงานรัฐมนตรี และผู้ที่ได้รับรางวัลคนดีศรี สปอ. ปี 2563 คือนายวริทธิ์ สมทรง นิติกรชำนาญการ กองกฎหมาย และนางสาวประไพศรี คงสินรัตนชัย นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองตรวจราชการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40569
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยัน คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% รัฐบาลยังไม่คิดปรับเพิ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 โฆษกรัฐบาลยืนยัน คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% รัฐบาลยังไม่คิดปรับเพิ่ม โฆษกรัฐบาลยืนยัน คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% รัฐบาลยังไม่คิดปรับเพิ่ม วันที่ 1 เม.ย.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังไม่มีแนวคิดในการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP ปีนี้ที่ร้อยละ 4 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ประเทศไทย ได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ร้อยละ 10 ตามประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2535 แต่ได้มีการบรรเทาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 เป็นระยะ ๆ จะมีเพียงก็แต่เพียงในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เท่านั้นที่มีการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ให้คงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับรายการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งอัตราส่วน 1 ใน 9 ของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในแต่ละประเทศมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกันไป อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตราร้อยละ 10 สิงคโปร์จัดเก็บที่ร้อยละ 7 มาเลเซียจัดเก็บที่ร้อยละ 6 ซึ่งไทยมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจ ไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเกินจำเป็น และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด บสย. แต่งตั้ง “วสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์” รักษาการผู้จัดการทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 บอร์ด บสย. แต่งตั้ง “วสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์” รักษาการผู้จัดการทั่วไป คณะกรรมการ บสย. ประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2564 และ ธปท. เห็นชอบแต่งตั้ง นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รอง ผจก.ทั่วไปอาวุโส สายการเงิน ดำรงตำแหน่ง รักษาการผู้จัดการทั่วไป บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2564 เป็นต้นไป รายงานจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แจ้งว่า คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)ในการประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 และธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นชอบแต่งตั้ง นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สายการเงิน ดำรงตำแหน่ง รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ประวัติ นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ อายุ 59 ปี ตำแหน่งปัจจุบัน รักษาการผู้จัดการทั่วไป และ รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สายงานการเงิน การศึกษา พัฒนบริหารศาสตร์มหาบัณฑิต การวิเคราะห์และประเมินโครงการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เศรษฐศาสตรบัณฑิต สาขาการเงินและการธนาคาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประสบการณ์ทำงาน 1 เม.ย. 2564 รักษาการผู้จัดการทั่วไป บสย. ธ.ค.2563 – มี.ค.2564 รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สายงานการเงิน บสย. มี.ค. - พ.ย.2564 รองผู้จัดการทั่วไป สายงานการเงิน บสย. พ.ศ.2559 – 2563 กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ.2557 – 2558 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2554 - 2557 รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2552 – 2554 ผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงิน และผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548 – 2552 ผู้อำนวยการฝ่ายเงินทุน สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2558 – 2559 กรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบ บริษัท ซิลิค คอร์ป จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2558 – 2559 กรรมการอิสระ กรรมการควบคุมภายในและปฏิบติตามกฎหมาย กรรมการลงทุน และประธานกรรมการบริหารจัดการความเสี่ยง บริษัท กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิตจำกัด (มหาชน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษในวันที่ 9 เมษายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษในวันที่ 9 เมษายน 2564 แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษในวันที่ 9 เมษายน 2564 จัดคาราวานคนดังยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา และให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เดินทางฟรีในวันที่ 13 เมษายน 2564 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษ 2 กิจกรรม เริ่มต้นด้วยการจัดคาราวานคนดัง 13 คน ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา นำโดย เกรซ นรินทร มิสไทยแลนด์เวิลด์ , โบว์ สุรัตนาวี , ซูกัส บัณฑวิช ตระกูลพานิชย์, จุ๊บแจง วิมลพันธ์ , ปุ้ย อรัญญา และเน็ตไอดอลหนุ่มสุดหล่อที่มียอดติดตามสูงสุด ออกส่งความสุขให้แก่ผู้โดยสารด้วยของขวัญสุดพิเศษ ที่สถานีพญาไท , มักกะสัน และสุวรรณภูมิ ในวันที่ 9 เมษายน 2564 ตั้งแต่ 12.00 เป็นต้นไป และพิเศษสุดให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เดินทางฟรีในวันที่ 13 เมษายน 2564 นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์ 2564 ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งมอบความสุขให้แก่ผู้โดยสาร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ สุขสันต์วันสงกรานต์ปีใหม่ไทยไม่สาดน้ำ ” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด -19 บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษ 2 กิจกรรม เริ่มต้นด้วยการจัดคาราวานคนดัง 13 คน ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา นำโดย เกรซ นรินทร มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 – 2020 , โบว์ TK , ซูกัส บัณฑวิช ตระกูลพานิชย์, จุ๊บแจง วิมลพันธ์ , ปุ้ย อรัญญา และเน็ตไอดอลหนุ่มสุดหล่อ สาวหล่อที่มียอดติดตามสูงสุด ออกส่งความสุขให้แก่ผู้โดยสารด้วยของขวัญสุดพิเศษ ได้แก่ โมอิ คอลลาเจน พีซ , หน้ากากอนามัย , เจลแอลกอฮอล์ และกระดาษทำความสะอาด Urban Mint Refreshing Wipe พร้อมด้วยวงดนตรี Percussion Trio Band ร่วมบรรเลงเพลงเฉลิมฉลองตลอดทั้งกิจกรรม ที่สถานีพญาไท , มักกะสัน และสุวรรณภูมิ ในวันที่ 9 เมษายน 2564 ตั้งแต่ 12.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนั้นสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้เดินทางในวันดังกล่าวสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ได้โดยถ่ายภาพของท่านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งมาร่วมสนุกผ่านทางเฟซบุ๊ค Official Page Airport Rail Link ลุ้นรับบัตรกำนัลร้านกาแฟชื่อดังจำนวน 50 รางวัล รายละเอียดการร่วมสนุกติดตามทาง เฟซบุ๊ค Official Page Airport Rail Link นอกจากนั้นในวันที่ 13 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันผู้สูงอายุ บริษัทได้เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ใช้บริการฟรี ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวตลอดวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 24.00 น. เพียงแค่ผู้สูงอายุแสดงบัตรประจำตัวประชาชนแก่เจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วโดยสารประจำสถานี ส่วนงานบริการลูกค้าสัมพันธ์ Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พัฒนา แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” จองวัคซีนโควิด 19 โหลดได้ 1 พ.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 สธ. พัฒนา แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” จองวัคซีนโควิด 19 โหลดได้ 1 พ.ค. นี้ กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ดาวน์โหลดได้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 64 เพิ่มช่องทางจาก Line OA “หมอพร้อม” ในการจองวัคซีนโควิด 19 ล็อตใหญ่ที่จะฉีดในเดือนมิถุนายน 64 ออกแบบ International Health Certificate รองรับการเดินทางไปต่างประเทศเชื่ กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ดาวน์โหลดได้ตั้งแต่1 พฤษภาคม 64 เพิ่มช่องทางจาก Line OA “หมอพร้อม” ในการจองวัคซีนโควิด 19 ล็อตใหญ่ที่จะฉีดในเดือนมิถุนายน 64 ออกแบบ International Health Certificate รองรับการเดินทางไปต่างประเทศเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นสากล พร้อมเปิดระบบข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด 19 แบบเรียลไทม์ หากเกิดเหตุฉุกเฉินเข้าดูแลได้ทันที วันนี้ (1 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ประธานคณะทำงานด้านระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และนายแพทย์ศุภฤกษ์ ถวิลลาภ หัวหน้ากลุ่มสารสนเทศทางระบาดวิทยา กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าว ในประเด็น Line Official Account และแอปพลิเคชัน หมอพร้อม ระบบรายงานการฉีดวัคซีน (Real Time Dashboard) เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด 19 (Vaccine Certificate) นายแพทย์พงศธรกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำระบบรายงานเชื่อมต่อข้อมูลจากโรงพยาบาลทั่วประเทศที่ให้บริการวัคซีน กับศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศแบบเรียลไทม์ จะเพิ่มความครอบคลุมทั้งโรงพยาบาลรัฐ/เอกชน/ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมกว่า 12,000 แห่ง และข้อมูลนี้จะถูกส่งกลับประชาชนผ่าน Line Official Account “หมอพร้อม” และแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยทั้งสองแพลตฟอร์มมีรูปแบบการทำงานเดียวกัน อาทิ การจองคิววัคซีน, ข้อมูลวัคซีน, การนัดหมาย แจ้งเตือนรับวัคซีนเข็มที่ 2, ติดตามอาการหลังฉีดวัคซีน และยืนยันการรับวัคซีน (Digital vaccine certificate) เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอชุดข้อมูลบางส่วนจากองค์การอนามัยโลก ประชาชนสามารถดาวน์โหลดได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป สำหรับการจองคิวการฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขได้ออกแบบระบบไว้ 4 ช่องทางได้แก่ Line Official Account “หมอพร้อม”, แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”, หากไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสามารถติดต่อโดยตรงไปยังโรงพยาบาลที่ได้รักษาตัวประจำ และอสม. เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ได้ครอบคลุม นายแพทย์พงศธรกล่าวต่อว่า เมื่อฉีดวัคซีนโควิด19 ครบทั้ง 2 เข็ม จะได้รับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 (Vaccine Certificate) ที่มีคิวอาร์โค้ดที่สร้างเฉพาะแต่ละบุคคล จากโรงพยาบาลที่รับการฉีดทันทีและผู้ที่ลงทะเบียนไลน์หมอพร้อมจะได้รับใบรับรองการแบบดิจิทัล (Smart Vaccine Certificate) ซึ่งจะมีคิวอาร์โค้ดเดียวกัน โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล MOPH Immunization Center กระทรวงสาธารณสุขด้วย (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2564) กระทรวงสาธารณสุขได้ออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine Certificate) แล้วประมาณ 35,000 คน ส่วนผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมเอกสารรับรอง International Health Certificate ซึ่งข้อมูลที่แสดงจะขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละประเทศที่เดินทางไป เช่น การรับรองการฉีดวัคซีน ผลการตรวจหาเชื้อในโพรงจมูก ตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน ซึ่งได้เชื่อมระบบฐานข้อมูลทางห้องปฏิบัติการกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไว้ หากมีการเดินทางไปตรวจเลือดในโรงพยาบาลที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รับรองจะสามารถออกเอกสารรับรองInternational Health Certificate ได้ อย่างไรก็ตามยังคงรอมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลกที่จะออกมาในเดือนมิถุนายน เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อข้อมูลที่เป็นมาตรฐานสากล “ขอให้ประชาชนอย่ากังวล ข้อมูลของผู้ที่ฉีดวัคซีนจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุขอย่างปลอดภัย และขอเชิญชวนให้มาฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้ประเทศเกิดภูมิคุ้มกัน คนไทยทุกคนใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย” นายแพทย์พงศธรกล่าว ด้านนายแพทย์ศุภฤกษ์ ถวิลลาภ หัวหน้ากลุ่มสารสนเทศทางระบาดวิทยา กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกล่าวว่า แผนภาพ (Real Time Dashboard) แสดงจำนวนสถานะการฉีดวัคซีนในประเทศไทย เมื่อประชาชนเข้ารับบริการการฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ข้อมูลจะมีการบันทึกและถูกส่งไปยังส่วนกลาง ให้สามารถดูข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ อาทิ จำนวนการฉีดแต่ละจังหวัด ตัวเลขแสดงจำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบและติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมดำเนินการแก้ไข หากพบปัญหาระหว่างการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีแผนภาพแสดงข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน โดยหากประชาชนมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นภายหลังได้รับวัคซีน และกรอกข้อมูลใน Line Official Account “หมอพร้อม” หรือมีเจ้าหน้าที่สอบถาม บันทึกและรายงานเข้าระบบ ข้อมูลจะแสดงทันที ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าไปสอบสวนโรค และรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่สามารถดูแผนภาพดังกล่าวได้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งดำเนินการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งาน และติดตามจำนวนสถานการณ์ฉีดวัคซีนในประเทศไทย และข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน ในLine Official Account “หมอพร้อม” ได้ในอนาคต ********************************** 1 เมษายน 2564 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40599
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล “วันอนุรักษ์มรดกไทย” โบราณสถาน-มรดกภูมิปัญญา-ประเพณี เป็นมรดกไทยที่คนไทยรักและภูมิใจมากที่สุด หนุนเร่งอนุรักษ์ฟื้นฟูช่างสิบหมู่ วัฒนธรรมท้องถิ่น-ดนตรีไทย
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 วธ.เผยผลโพล “วันอนุรักษ์มรดกไทย” โบราณสถาน-มรดกภูมิปัญญา-ประเพณี เป็นมรดกไทยที่คนไทยรักและภูมิใจมากที่สุด หนุนเร่งอนุรักษ์ฟื้นฟูช่างสิบหมู่ วัฒนธรรมท้องถิ่น-ดนตรีไทย วธ.เผยผลโพล “วันอนุรักษ์มรดกไทย” โบราณสถาน-มรดกภูมิปัญญา-ประเพณี เป็นมรดกไทยที่คนไทยรักและภูมิใจมากที่สุด หนุนเร่งอนุรักษ์ฟื้นฟูช่างสิบหมู่ วัฒนธรรมท้องถิ่น-ดนตรีไทย วธ.เผยผลโพล “วันอนุรักษ์มรดกไทย” โบราณสถาน-มรดกภูมิปัญญา-ประเพณี เป็นมรดกไทยที่คนไทยรักและภูมิใจมากที่สุด หนุนเร่งอนุรักษ์ฟื้นฟูช่างสิบหมู่ วัฒนธรรมท้องถิ่น-ดนตรีไทย จัดกิจกรรมส่งเสริมในรูปแบบออนไลน์ มีหลักสูตรการเรียนการสอน แนะปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทยด้วยการส่งเสริมแต่งกายผ้าไทย มารยาทไทย ประเพณีไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชนในหัวข้อ “วันอนุรักษ์มรดกไทย”สำคัญอย่างไร ซึ่งวันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 4,840 คน ครอบคลุมทุกอาชีพและทุกภูมิภาค ซึ่งผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามระบุถึงความสำคัญของวันอนุรักษ์มรดกไทย อันดับ 1 ร้อยละ 68.47 เพื่อเทิดพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีต่อการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ อันดับ 2 ร้อยละ 65.60 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงในการสร้างสรรค์และรักษามรดกของชาติด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ และเป็น “วันอนุรักษ์มรดกไทย”และอันดับ 3 ร้อยละ 51.45 เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันผลสำรวจยังได้สอบถามถึงเด็ก เยาวชน และประชาชนในเรื่องความเข้าใจความหมายของคำว่า “มรดกไทย” พบว่าอันดับ 1 ร้อยละ 74.69 ระบุเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงลักษณะของความเป็นชาติ อันดับ 2 ร้อยละ 57.46 เป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โบราณสถาน วรรณกรรม ศิลปหัตถกรรม นาฏศิลป์ และดนตรี และอันดับ 3 ร้อยละ 50.60 เป็นการดำเนินชีวิต และคุณค่าประเพณีต่าง ๆ อันเป็นผลผลิตร่วมกันของผู้คนในผืนแผ่นดินไทย ส่วนมรดกไทยที่เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่รักและภูมิใจมากที่สุด ได้แก่ อันดับ 1 โบราณสถาน เช่น วัด โบสถ์ วิหาร พระราชวัง พระปฐมเจดีย์ อุทยานประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันดับ 2 มรดกภูมิปัญญา เช่น สมุนไพรไทย อาหารไทย ขนมไทย เครื่องแต่งกาย นวดแผนไทย บ้านทรงไทย ฯลฯ และอันดับ 3 ประเพณี เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ประเพณีลอยกระทง ประเพณีแห่เทียน ประเพณีผีตาโขน ฯลฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงมรดกไทยที่ควรฟื้นฟู อนุรักษ์ และสืบทอดอย่างเร่งด่วนมากที่สุด ผลสำรวจพบว่า อันดับ 1 ช่างสิบหมู่ที่ประกอบด้วยช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างปั้น ช่างปูน ช่างรัก ช่างหุ่น ช่างบุ ช่างกลึงและช่างหล่อ อันดับ 2 วัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ภาษาถิ่น การแต่งกาย (ผ้าโบราณ) อาหาร ศิลปะพื้นบ้าน (ลิเก ลำตัด เพลงฉ่อย) และอันดับ 3 ดนตรีไทย ส่วนวิธีการนำเสนอข้อมูลทางวัฒนธรรมโดยผ่านระบบเทคโนโลยีรูปแบบที่น่าสนใจมากที่สุดพบว่า อันดับ 1 ระบุว่า ระบบ Smart Museum เป็นการให้บริการข้อมูลของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผ่านโทรศัพท์มือถือ Smart Phone หรือ Tablet ระบบจะทำการอ่านข้อมูล QR Code และ AR Code แสดงข้อมูลโบราณวัตถุชิ้นสำคัญในรูปแบบวัตถุ อันดับ 2 ระบบ QR Code และ AR Code ในการนำชมโบราณวัตถุ-ศิลปวัตถุ และอันดับ 3 ระบบพิพิธภัณฑ์เสมือน Virtual Museum เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลและนำเสนอข้อมูลพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ 42 แห่ง ในรูปแบบสื่อการเรียนรู้เสมือนจริง นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจครั้งนี้ยังได้สอบถามหน่วยงานภาครัฐควรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกไทย เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยอย่างไรบ้าง ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ควรจัดกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์เพื่อประชาสัมพันธ์สิ่งที่เป็นมรดกไทยให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบและจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีความเกี่ยวข้องกับประเพณี โบราณสถานที่สำคัญรวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมอื่นที่มีในท้องถิ่นเพิ่มเติม เพื่อปลูกฝังให้เด็กเกิดความสำนึกรักในประเพณีโบราณสถาน และมรดกทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตน รวมทั้งสำรวจและรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่น และจัดรวบรวมเพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้สำหรับประชาชนที่มีความสนใจ นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกไทย ผู้ตอบแบบสอบถามได้เสนอแนะว่า ให้ปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทยด้วยการส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทย มารยาทไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และการส่งเสริมการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนเห็นคุณค่า และร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อสร้างจิตสำนึกและความรู้สึกภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง เช่น ร่วมกันดูแลรักษาโบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40593
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้า “เน็ตประชารัฐ – อาสาสมัครดิจิทัล” ในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 รองปลัดฯ ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้า “เน็ตประชารัฐ – อาสาสมัครดิจิทัล” ในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย รองปลัดฯ ดีอีเอส ติดตามความคืบหน้า “เน็ตประชารัฐ – อาสาสมัครดิจิทัล” ในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 29 – 31 มีนาคม 2564 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐ การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) และโครงการการพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มีการประชุมร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานสถิติ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และสำนักงานไปรษณีย์ เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานพร้อมข้อเสนอแนะ ปัญหา/อุปสรรคในการปฏิบัติงานในโครงการเน็ตประชารัฐ การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และรับทราบผลการดำเนินงานโครงการการพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ปัญหา/อุปสรรคในการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมทั้งหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และตรวจสอบวัสดุ/อุปกรณ์คงคลังของโครงการเน็ตประชารัฐ ที่คลังพัสดุจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ และตรวจเยี่ยมติดตามการใช้งานเน็ตประชารัฐ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการใช้งานเน็ตประชารัฐจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ **********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ยกระดับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ “วอลเล็ต สบม.” เปิดเทรดบนตลาดรองผ่านแอปฯเป๋าตัง “ซื้อง่าย ขายง่าย รับเงินทันที”
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 “กรุงไทย” ยกระดับการลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ “วอลเล็ต สบม.” เปิดเทรดบนตลาดรองผ่านแอปฯเป๋าตัง “ซื้อง่าย ขายง่าย รับเงินทันที” “กรุงไทย” เปิดให้นักลงทุน “ซื้อ-ขาย” พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. บนตลาดรองผ่านแอปฯเป๋าตัง นำร่อง 2 รุ่น คือ รุ่น SB236A และ รุ่น -2 SB248A ที่เปิดขายในปี 2563 ช่วยทำให้การลงทุนพันบัตรเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่มีค่าธรรมเนียม นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเปิดให้ผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม.สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือบนตลาดรองเป็นครั้งแรก ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย สามารถทำธุรกรรมได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถซื้อขายได้ 2 รุ่นคือ รุ่น SB236A ครบกำหนดมิถุนายน 2566 อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 200 ล้านบาท จำหน่ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 และรุ่น -2 SB248A ครบกำหนดสิงหาคม 2567 อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท จำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 การซื้อขายพันบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. บนตลาดรองผ่านแอปฯเป๋าตัง สำหรับผู้ลงทุนที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน หรือ Dip chip ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าบนแอปพลิเคชันเป๋าตังและทำธุรกรรมตลาดรอง ด้วยตัวเองได้ทันที ขั้นตอนง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดยผู้ลงทุนสามารถเช็คราคาพันธบัตร ตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม และรับเงินจากการขายได้ทันทีผ่านแอปฯ เป๋าตัง ขณะที่ผู้ลงทุนที่ซื้อพันธบัตรฯ ในตลาดรอง จะได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 งวด ตามเงื่อนไขของพันธบัตรรุ่นนั้นๆ และได้รับดอกเบี้ยจนกว่าจะครบกำหนดไถ่ถอน เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับเงินผ่านวอลเล็ต สบม. ทันที ทั้งนี้ พันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ตสบม. ส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม สามารถเข้าถึงการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลได้ง่าย ลงทุนขั้นต่ำเพียง 100 บาท มีความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส เพราะดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นทางเลือกในการออมเงินสำหรับประชาชนและผู้ลงทุนหน้าใหม่ ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ krungthai.com หรือโทร 02-111-1111
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ยกระดับการให้บริการ อำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง ประชาชน ปรับปรุงการยื่นคำร้องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 กสร. ยกระดับการให้บริการ อำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง ประชาชน ปรับปรุงการยื่นคำร้องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปรับปรุงประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐในระบบดิจิทัล พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ยกเลิกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2560 โดยปรับปรุงและออกประกาศฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับปรุงประกาศในครั้งนี้เพื่อยกระดับการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐให้อยู่ในระบบดิจิทัล ประชาชนได้รับความสะดวกในการรับบริการและสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐได้ โดยมีสาระสำคัญได้แก่ ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยลงทะเบียนขอรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านทางเว็บไซต์ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (eservice.labour.go.th) เมื่อได้รับรหัสดังกล่าวแล้วสามารถยื่นคำร้องตามขั้นตอนในระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ได้ ทั้งนี้ขอให้เก็บรักษารหัสผู้ใช้และรหัสผ่านไว้เป็นความลับ เนื่องจากเป็นข้อมูลในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ระบบ และถือเป็นหลักฐานในการแสดงการลงลายมือชื่อของผู้ใช้ระบบในการติดต่อกับพนักงานตรวจแรงงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การยื่นคำร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้ระบบถือเป็นหลักฐานการยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดีกำหนด โดยผู้ใช้ระบบสามารถติดตามผล ส่งเอกสารเพิ่มเติม หรือยกเลิกคำร้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ได้ ในส่วนของบรรดาคำร้องที่ได้ยื่นตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานตรวจแรงงานก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าคำร้องที่ยื่นไว้จะถึงที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และ “วันแห่งครอบครัว” ประจำปี ๒๕๖๔ วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๔ และ วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๔
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และ “วันแห่งครอบครัว” ประจำปี ๒๕๖๔ วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๔ และ วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๔ สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และ “วันแห่งครอบครัว” ประจำปี ๒๕๖๔ วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๔ และ วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๔ สาร พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส“วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”และ“วันแห่งครอบครัว”ประจำปี๒๕๖๔ วันที่๑๓เมษายน๒๕๖๔และวันที่๑๔เมษายน ๒๕๖๔ --------------------- เนื่องในโอกาส“วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”และ“วันแห่งครอบครัว”ประจำปี๒๕๖๔ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุทุกท่านรวมถึงครอบครัวพี่น้องชาวไทยและผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุและครอบครัวทุกคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสถาบันครอบครัวให้มีความอบอุ่นเข้มแข็ง “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”และ“วันแห่งครอบครัว”ถือเป็นวันสำคัญที่สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนและสังคมได้เห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจที่เชื่อมโยงความรักและความผูกพันให้แก่คนในครอบครัวอีกทั้งเป็นผู้บ่มเพาะภูมิปัญญาความรู้หลากหลายประการในการดำเนินชีวิตเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองที่มีต่อสังคมซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวมีความเข้มแข็งและเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณภาพ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ระลอกใหม่ที่ค่อยๆคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากความรักความเอาใจใส่ของคนในครอบครัวที่คอยประคับประคองช่วยเหลือซึ่งกันและกันและจากความร่วมมือของครอบครัวคนไทยทุกคนประเทศเราจึงได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆมาได้รัฐบาลจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องชาวไทยทุกครอบครัวจะช่วยกันป้องกันดูแลและรักษาสุขภาพร่างกายจิตใจให้แข็งแรงและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดซึ่งนอกจากเป็นการป้องกันตนเองแล้วยังเป็นการป้องกันสมาชิกในครอบครัวชุมชนและสังคมเพื่อให้ทุกครอบครัวไทยสามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้ต่อไป ในโอกาสนี้ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ผู้สูงอายุทุกท่านและพี่น้องชาวไทยทุกครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญมีพลังกายพลังใจที่เข้มแข็งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นและความเอื้ออาทรกันในทุกโอกาสสืบไป พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ'​ ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน​ ในพื้นที่​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ พบจุดความร้อนลดลง​กว่าร้อยละ​ 50​ ย้ำ! ให้ทุกฝ่ายตรึงกำลัง​ เฝ้าระมัดระวังอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 'วราวุธ'​ ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน​ ในพื้นที่​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ พบจุดความร้อนลดลง​กว่าร้อยละ​ 50​ ย้ำ! ให้ทุกฝ่ายตรึงกำลัง​ เฝ้าระมัดระวังอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง 'วราวุธ'​ ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน​ ในพื้นที่​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ พบจุดความร้อนลดลง​กว่าร้อยละ​ 50​ ย้ำ! ให้ทุกฝ่ายตรึงกำลัง​ เฝ้าระมัดระวังอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง 'วราวุธ'​ ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน​ ในพื้นที่​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ พบจุดความร้อนลดลง​กว่าร้อยละ​ 50​ ย้ำ! ให้ทุกฝ่ายตรึงกำลัง​ เฝ้าระมัดระวังอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง วันนี้​ (14 เมษายน​ 2564) เวลา​ 09.30 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​​ (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมเพื่อตรวจติดตามและรับฟังสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน​ภาพรวม ในพื้นที่​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ในปี​ 2564​ โดยพบว่า​ จุดความร้อน​ (Hotspot) ลดลงมากถึง​ร้อยละ​ 52​ ซึ่งเกิดจากผลการดำเนินงาน/กิจกรรมต่าง​ ๆ​ ที่กระทรวงฯ​ ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง​ ๆ​ และประชาชนในพื้นที่​ รวมไปถึงสภาพอากาศ อีกทั้ง​ ได้รับฟังรายงานผลการปฏิบัติงานในพื้นที่​ 5​ จังหวัดที่สำคัญ​ ได้แก่​ เชียงใหม่​ ลำพูน​ แพร่​ ลำปาง​ และ​แม่ฮ่องสอน​ พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินงาน​ โดยมี​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (ปกท.ทส.)​ ผู้บริหารระดับสูง​ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง​ และรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่​ (นายรัฐพล​ นราดิศร)​ เข้าร่วมประชุมและรายงานสถานการณ์​ไฟป่าและหมอกควัน​ ผ่านระบบ​ Video Conference ณ​ ศูนย์ประชุมปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ (ส่วนหน้า)​ จังหวัดเชียงใหม่​ รมว.ทส.​ กล่าวโดยสรุปว่า​ ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ มีทั้งสิ่งที่ควบคุมได้​และควบคุมไม่ได้​ ดังนั้น​ ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับสิ่งที่สามารถควบคุมได้​ คือจุดความร้อน​ (Hotspot) สำหรับ​ PM.​ 2.5​ เราไม่สามารถควบคุมได้​ ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง​ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน​ด้วย​ และขอให้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน​ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย​ให้ชัดเจน​ถึงการดำเนินงานของกระทรวงฯ​ อำนาจหน้่าที่ต่าง​ ๆ​ ที่เราสามารถดำเนินการได้ อีกทั้ง​ต้องให้ความสำคัญในการดูแลขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ด้วย รมว.ทส.​ กล่าวต่อไปว่า​ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน​ ทุกฝ่าย​ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน​ ทหาร​ อาสาสมัคร​ฯ​ และประชาชนในพื้นที่ทุกจังหวัด​ ที่ได้พยายามร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหา​ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้​ ซึ่งบางจังหวัดสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย​ บางจังหวัดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย​ ดังนั้น​ ขอให้นำข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมา​ นำมาวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์​ ถอดบทเรียนเพื่อวางแผนปรับการดำเนินงานทั้งในส่วนที่ดำเนินการได้ตามเป้าหมาย​ และส่วนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย​ นอกจากนี้​ รมว.ทส.​ ยังได้เน้นย้ำ​ ให้​ตรึงกำลัง​เจ้าหน้าที่​ ไม่ประมาท เฝ้าระมัดระวัง​ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง และได้ฝากให้ทุกหน่วยงานคำนวณปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์​ อาทิ​ ในพื้นที่​ป่าอนุรักษ์​ พื้นที่เกษตร​ รวมไปถึงข้อมูลปริมาณน้ำฝนด้วย​ ซึ่งข้อมูลสถิติตัวเลขต่าง​ ๆ​ ทางวิทยาศาสตร์​ จะช่วยยืนยันและเป็นข้อมูลประกอบการทำงาน​ของกระทรวงฯ​ ต่อไปได้ รมว.ทส.​ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า​ "เนื่องในโอกาสวันสงกรานต์​ ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพนับถือ​ ดลบันดาลให้​ ทุกท่านประสบแต่สิ่งที่ดี มีกำลังกาย​ กำลังใจ​ สติปัญญา​ และขอให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรง​ รักษาระยะห่าง​ หมั่นล้างมือ​ เพราะทุกท่านคือกำลังที่สำคัญของกระทรวงฯ​ ที่จะดูแล​ รักษา​ ปกป้องและ​แก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบสาร เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัว ปี 2564 มอบความปรารถนาดีแด่ผู้สูงอายุทุกท่าน พร้อมสร้างความตระหนักรู้ วันแห่งครอบครัว
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีมอบสาร เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัว ปี 2564 มอบความปรารถนาดีแด่ผู้สูงอายุทุกท่าน พร้อมสร้างความตระหนักรู้ วันแห่งครอบครัว นายกรัฐมนตรีมอบสาร เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัว ปี 2564 มอบความปรารถนาดีแด่ผู้สูงอายุทุกท่าน พร้อมสร้างความตระหนักรู้ วันแห่งครอบครัว วันนี้ (14 เมษายน 2564) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเนื่องในโอกาส “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และ “วันแห่งครอบครัว” ประจำปี 2564 โดยส่งความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุ และผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุและครอบครัวทุกคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสถาบันครอบครัวให้มีความอบอุ่นเข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และ “วันแห่งครอบครัว” ถือเป็นวันสำคัญที่สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนและสังคมได้เห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจที่เชื่อมโยง ความรักและความผูกพันให้แก่คนในครอบครัว เป็นผู้บ่มเพาะภูมิปัญญาความรู้หลากหลายประการในการดำเนินชีวิต เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองที่มีต่อสังคม ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง และเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณภาพ นายกรัฐมนตรียังเห็นว่า ครอบครัวที่คอบประคับประคองช่วยเหลือซึ่งกันและกันและจากความร่วมมือของครอบครัวคนไทยทุกคน ประเทศจึงได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มาได้ รัฐบาลจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครอบครัวจะช่วยกันป้องกัน ดูแล และรักษาสุขภาพร่างกาย จิตใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากเป็นการป้องกันตนเองแล้ว ยังเป็นการป้องกันสมาชิกในครอบครัว ชุมชนและสังคม เพื่อให้ทุกครอบครัวไทยสามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้ต่อไป นายกรัฐมนตรีอวยพรผู้สูงอายุและคนไทยทุกครอบครัวมีความสุข ความเจริญ มีพลังกาย พลังใจที่เข้มแข็ง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น และความเอื้ออาทรกันในทุกโอกาส -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมกับสยามพารากอน จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 วธ.ร่วมกับสยามพารากอน จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” วธ.ร่วมกับสยามพารากอน จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” วธ.ร่วมกับสยามพารากอน จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 10 องค์-พระพุทธรูปประจำวันเกิดให้ผู้ร่วมงานสักการะ ชมนิทรรศการคุณค่าประเพณีสงกรานต์ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ จัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”เพื่อสืบสานคุณค่าประเพณีสงกรานต์และเพื่อเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมตามแบบแผนที่ดีงาม ทำให้เกิดการเผยแพร่และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของไทยให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในคุณค่าสาระที่สำคัญของงานประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 13-15 เมษายน 2564 ณ บริเวณฮอลล์ 1 รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นางยุพา กล่าวอีกว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการสรงน้ำพระพุทธรูป การจัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญในยุคสมัยต่างๆ 10 องค์ ซึ่งอัญเชิญพระพุทธรูปมงคลโบราณอันทรงคุณค่ามาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้แก่ 1.พระไภษัชยคุรุนาคปรก 2.พระพุทธรูปฉันสมอ 3.พระพุทธรูปศิลาขาวมารวิชัย 4.พระพุทธสิหิงค์จำลอง 5.พระพุทธรูปแก้วมารวิชัย 6.พระพุทธรูปห้ามแก่นจันทน์ 7.พระพุทธรูปป่าเลไลยก์ 8.พระพุทธรูปมารวิชัย(พระขนมต้ม) 9.พระพุทธรูปทรงเครื่องสมาธิและ 10.พระพุทธรูปทรงเครื่องประทานอภัยและได้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำวันเกิด ได้แก่ พระพุทธรูปปางถวายเนตรประจำวันอาทิตย์ ,พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรประจำวันจันทร์, พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู(ปางไสยาสน์)ประจำวันอังคาร,พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรประจำวันพุธ(กลางวัน) พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ประจำวันพุธ(กลางคืน),พระพุทธรูปปางสมาธิ​ประจำวันพฤหัส พระพุทธรูปปางรำพึงประจำวันศุกร์ พระพุทธรูปปางนาคปรกประจำวันเสาร์และพระพุทธรูปปางพระเกตุ​สำหรับผู้ที่ไม่ทราบวันเกิด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สักการะและสรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว รวมทั้งมีนิทรรศการให้องค์ความรู้สาระคุณค่าเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ เช่น ความหมายและตำนานวันสงกรานต์ แนวทางปฏิบัติในวันสงกรานต์ ซึ่งการจัดกิจกรรมยึดมาตรการ DMHTTA ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) คือ อยู่ห่างไว้ ใส่แมสก์กัน หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจเชื้อโควิด-19 และใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะและหมอชนะอย่างเคร่งครัด สอบถามเพิ่มเติมสายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งฉีดวัคซีนโควิดให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 100% ใน 1 เดือน
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 สธ.เร่งฉีดวัคซีนโควิดให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 100% ใน 1 เดือน กระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ปิดพื้นที่เสี่ยง ยกเลิกกิจกรรมเสี่ยง งดการรวมตัว เสนอให้ทุกคนทำงานที่บ้าน จัดสรรวัคซีนซิโนแวค 6 แสนโดสเร่งฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ ด่านหน้าทั้งรัฐ และเอกชน ให้ครบ 100% ใน 1 เดือน วันนี้ (14 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (รก.11) นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงถึงผลการประชุมศูนย์ปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข กรณีโรคโควิด 19 ว่า ที่ประชุมซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอาจารย์แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและนอกกระทรวง มีการประชุมวางแผนรับมือโควิด 19 ใน 3 ประเด็น คือ 1.สถานการณ์โรคโควิด 19 ขณะนี้แนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกระจายไปทั่วประเทศ โดยมาตรการสำคัญที่ได้ทำไปแล้ว คือ การปิดสถานบันเทิง โดยมีการเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น ทั้งการปิดพื้นที่เสี่ยง ยกเลิกกิจกรรมเสี่ยง การจัดงานที่มีคนจำนวนมากก เน้นให้ทำงานที่บ้าน ขอความร่วมมือประชาชนปรับเพิ่มพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ และจะเสนอให้ ศบค.พิจารณาต่อไป 2.การบริหารจัดการเตียงดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ขณะนี้ได้เพิ่มกลไกการทำงานให้บริหารจัดการเพิ่มเตียงมากขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ และ 3.เรื่องวัคซีนโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ด้วยข้อมูลระบาดวิทยาและด้านวิชาการ วัคซีนนำมาใช้ในประเทศไทย ทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและซิโนแวค มีประสิทธิภาพ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีข้อสั่งการให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่ และต้องฉีดให้บุคลากร ทางการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะด่านหน้าทั้งภาครัฐ และเอกชนให้ได้ 100% ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 13 เม.ย. รวม 579,305 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 505,744 ราย และครบสองเข็ม 73,561 ราย ถือว่าฉีดได้ตามเป้าหมาย ส่วนวัคซีนซิโนแวคอีก 1 ล้านโดส ซึ่งรอการตรวจทางห้องปฏิบัติการและเอกสาร คาดว่าจะส่งมอบให้กรมควบคุมโรคได้ใน 1-2 วันนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสั่งการให้จัดสรรวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน 6 แสนโดส โดยขอให้ดำเนินการฉีดให้ครบถ้วนภายใน 1 เดือน หรือต้องฉีดให้ครบทุกคนภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากต้องฉีดคนละ 2 โดส นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดในรอบนี้ ได้กระจายไปทั่วประเทศ มีความเชื่อมโยงต่อเนื่องจากสถานบันเทิง และในกลุ่มนักศึกษาออกค่าย นักศึกษากลับภูมิลำเนา และพบการติดเชื้อในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าการทำกิจกรรมรวมกลุ่มในระยะนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อเป็นจำนวนมาก หากทุกคนคนร่วมมือร่วมใจกันลดพฤติกรรมเสี่ยง งดเว้นการจัดกิจกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคในวงกว้าง นอกจากนี้ หลังจากเทศกาลสงกรานต์กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำให้หน่วยงานสาธารณสุขเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจคัดกรอง ติดตาม กำกับ กักตัว ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทุกคนให้ครบถ้วน ส่วนผู้ติดเชื้อแล้วต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ เอกชน Hospitel หรือโรงพยาบาลสนาม เท่านั้น ถึงแม้อาการไม่มากแต่อาจเกิดอาการปอดบวมและภาวะแทรกซ้อนได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ลดโอกาสแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว และชุมชน ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานให้เข้มมาตรการองค์กร เช่น การสวมหน้ากากอนามัยให้ได้ 100% ในที่ทำงาน ไม่ให้รับประทานอาหารร่วมกัน จัดรูปแบบการทำงาน Work from Home ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานราชการทุกแห่งดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในส่วนผู้ที่มีการเดินทางข้ามจังหวัดในทุกจังหวัด หากเป็นไปได้ให้ Work from Home อย่างน้อย 2 สัปดาห์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อข้ามจังหวัด หรือหากกลับมาแล้วให้กักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ถ้ามีอาการผิดปกติให้แจ้งหน่วยงานสาธารณสุข โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทร 1422 นำเข้าสู่ระบบการรักษา เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็ว สำหรับสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อขอให้เน้นการทำความสะอาดในจุดเสี่ยงที่มีผู้สัมผัสบ่อย เช่น ราวบันได กลอน ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ปุ่มกดลิฟต์ ด้วยการเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ ไม่จำเป็นต้องพ่นฆ่าเชื้อในอากาศเนื่องจากเชื้อไม่ได้อยู่ในอากาศเป็นเวลานาน ยกเว้นในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น อากาศไม่ระบาย การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในอากาศตลอดเวลาถือว่าเกินความจำเป็น **********************************14 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ รับข้อสั่งการนายก ออกประกาศให้ ขรก.กระทรวงแรงงาน Work from Home ป้องกันโควิด -19
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ รับข้อสั่งการนายก ออกประกาศให้ ขรก.กระทรวงแรงงาน Work from Home ป้องกันโควิด -19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ออกประกาศให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดทำงานที่บ้าน (Work from Home) ช่วยชาติ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ว่า ปัจจุบันมีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระจายไปเกือบทุกจังหวัด และพบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนในหลายจังหวัด ในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยข้าราชการทุกคน จึงได้อนุมัติตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ขอความร่วมมือให้หัวหน้าส่วนราชการ เน้นย้ำข้าราชการในสังกัดให้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล โดยขอให้เน้นย้ำการสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การล้างมือ อย่างเคร่งครัดในทุกกิจกรรม บุคคลที่เคยเข้าไปใน “พื้นที่เสี่ยงกิจการที่เสี่ยง กิจกรรมที่เสี่ยง” ขอให้เน้นย้ำมาตรการกักกันตนเอง (self quarantine) อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่สาธารณะ และปฎิบัติตามมาตรการในสถานที่ทำงาน สถานศึกษาอบรม โดยขอให้เพิ่มจำนวนผู้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ โดยให้มีผลถึง 30 เมษายน 2564 เพื่อลดการสัมผัสในที่ทำงาน สถานศึกษาอบรม อันเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ และ เพื่อลดความคับคั่งในการเดินทางกลับจากต่างจังหวัด หลังเทศกาลสงกรานต์ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด (ส่วนกลาง) ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายลง และออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด (ส่วนกลาง) ที่จำเป็นต้องแยกกักหรือกักกันตัวเพื่อสังเกตอาการจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติราชการ ณ สถานที่ตั้งตามปกติได้ กรณีการปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 โดยให้กักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน หากเดินทางไปในสถานที่เสี่ยงหรือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเสี่ยงจากโควิด -19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมมือเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน เร่งหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 สธ.ร่วมมือเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน เร่งหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เร่งจัดหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกรายต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะรอการประสานเตียงจากโรงพยาบาล ให้แยกตัวจากคนในครอบครัว กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เร่งจัดหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกรายต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะรอการประสานเตียงจากโรงพยาบาล ให้แยกตัวจากคนในครอบครัว สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ไม่เดินทางไปโรงพยาบาลเอง ลดการแพร่กระจายเชื้อระหว่างทาง วันนี้ (14 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวแนวทางการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 ทุกคนต้องเข้าระบบการรักษาในโรงพยาบาล สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โรงพยาบาลทุกสังกัด ทั้งรัฐและเอกชนได้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายในการบริหารจัดการเตียง ให้เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั้งหมด 4,703 เตียง ส่วนโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel จำนวน 1,482 เตียง สำหรับผู้ติดเชื้อทุกคนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก่อนเพื่อประเมินอาการ หากมีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel โดยมีกรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เข้าไปดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งระบบระบายอากาศ ระบบกำจัดของเสีย และป้องกันการแพร่เชื้อออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกและชุมชน นายแพทย์ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนจัดระบบ Hospitel เพื่อหาเตียงเพิ่ม สำหรับผู้ติดเชื้อที่ได้รับการประเมินอาการว่ามีอาการน้อยหรือไม่มีอาการเข้าสู่ระบบ โดยขณะนี้มีเตียงรองรับจำนวน 2,385 เตียง และมีผู้ติดเชื้อที่เข้าระบบแล้วจำนวนกว่า 969 ราย ทั้งนี้จะนำผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรอเตียงเข้าสู่ระบบโดยเร็ว นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการเตรียมจัดหาเตียงเพิ่มเติม โดยโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมเตรียมโรงพยาบาลสนาม กรมการแพทย์เตรียมเปิด Hospitel คาดจะมีเตียงเพิ่มขึ้น 450 เตียง และโรงพยาบาลรามาธิบดี เตรียมเปิด Hospitels เพิ่มเติม อีก 2 แห่ง 100 เตียง “ขอความร่วมมือประชาชนที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อและได้รับผลการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด 19 ให้อยู่ที่บ้าน แยกตนเองออกจากคนในครอบครัว สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และรอการประสานจากโรงพยาบาลเพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษา ไม่เดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อหาเตียงด้วยตนเอง เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างทางไปสู่ผู้อื่น” สำหรับผู้ที่ได้รับการตรวจยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิด 19 แต่ยังไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หรือรอเตียงนานเกินไป ทั่วประเทศสามารถประสานได้ที่ สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับในเขตกทม.และปริมณฑล ติดต่อเพิ่มที่สายด่วน กรมการแพทย์ (เฉพาะกิจ) 1668 ตั้งแต่เวลา 08.00-22.00 น. สายด่วน สปสช. 1330 หรือทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยการเพิ่มเพื่อน @Sabaideebot โดยกรอกข้อมูลเช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ เพื่อความสะดวกสำหรับการจัดหาเตียง **********************************14 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง 1’ แจงขั้นตอนลงทะเบียนออนไลน์ แก่ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เริ่ม 17 เม.ย.นี้ ที่ ศูนย์เยาวชนฯ ไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กทม.
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ‘จับกัง 1’ แจงขั้นตอนลงทะเบียนออนไลน์ แก่ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เริ่ม 17 เม.ย.นี้ ที่ ศูนย์เยาวชนฯ ไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจงขั้นตอนลงทะเบียนออนไลน์ แก่ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เริ่ม 17 เม.ย.นี้ ที่ ศูนย์เยาวชนฯ ไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยหลายกรณีเชื่อมโยงกับสถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ผับ บาร์ ซึ่ง สปสช. ได้แจ้งให้พี่น้องประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ในโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการคัดกรองโรคและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดดังกล่าว จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช. เพิ่มช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะเริ่มต้นวันที่ 17 เมษายนนี้ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยนายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้หารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ประกันตนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับการรักษาฟรี ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มีHQ 200 กว่าเตียง นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ฟรี จะต้องเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขหรือ สปสช. กำหนด ดังนี้ ก. ตามนิยามผู้สงสัยติดเชื้อโควิด-19 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการต่อไปนี้ คือ มีไข้ อุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส มีผื่นขึ้น ตาแดง หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยง คือ 1) 14 วันก่อนเริ่มป่วย มีประวัติอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้ 1.1) สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 1.2) ไปในสถานที่ชุมชนหรือสถานที่ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานบันเทิง หรือขนส่งสาธารณะที่มีรายงานผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา 1.3) เดินทางไปยัง/มาจาก/หรืออยู่อาศัย ในประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา 1.4) ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรค 2) แพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโรคโควิด-19 ข.กรณีสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 หรือไปในสถานที่มีการระบาดมา ไม่มีอาการป่วย แต่สงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-19 สามารถไปรับการตรวจคัดกรองได้ โดย สปสช.ได้ปรับแก้ประกาศให้ครอบคลุมการตรวจคัดกรองโควิด-19 ตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งสามารถเบิกจ่ายกับ สปสช.ได้ โดยไม่ต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย 3) ขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39, และ 40 สามารถเข้าเว็บไซต์ https://www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า แรงงานเราสู้ด้วยกัน แล้วคลิกที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 15 เมษายนนี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยแต่ละวันลงทะเบียนได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ “ขอเน้นย้ำว่า ผู้ประกันตนที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.กำหนด ยังคงสามารถตรวจโควิด-19 ได้ฟรีทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นสิทธิของคนไทยทุกคน การเพิ่มหน่วยบริการตรวจที่จะเปิดแห่งแรกใน กทม. นั้น เป็นการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกหนึ่งเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ซึ่งกระทรวงแรงงานจะพิจารณาเพิ่มหน่วยบริการสำหรับผู้ประกันตนให้มากขึ้นต่อไป” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ประกาศข้าราชการ-เจ้าหน้าที่ Work From Home เหลื่อมเวลาการทำงาน ให้บุคลากรปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 วธ.ประกาศข้าราชการ-เจ้าหน้าที่ Work From Home เหลื่อมเวลาการทำงาน ให้บุคลากรปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป วธ.ประกาศข้าราชการ-เจ้าหน้าที่ Work From Home เหลื่อมเวลาการทำงาน ให้บุคลากรปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป วันที่ 14 เมษายน 2564 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ขณะนี้ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ออกประกาศชัดเจนว่า หากพบข้าราชการ เจ้าหน้าที่คนใดติดเชื้อไวรัสโคนา 2019 ต้องเร่งส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล พร้อมกับแจ้งทามไลน์ตามความจริง ส่วนคนที่ร่วมงานที่มีความเสี่ยงสูง สัมผัสใกล้ชิด และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อ ให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยการเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ทำการกักตัวและหลีกเลี่ยงการสัมผัสบุคคลอื่นเป็นเวลา 14 วัน และให้รายงานอาการให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ในทุกวัน ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าติดเชื้อ ให้แจ้งต่อผู้บังคับบัญชาทราบ และไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจทันที ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือภาครัฐ Work From Home เต็มขีดความสามารถไปจนถึง 30 เมษายน 2564 นั้น เพื่อเป็นการลดความแออัดในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) วธ.ได้ให้หน่วยงานใน วธ. ดำเนินการลดความแออัด และเหลื่อมเวลาการทำงาน ให้บุคลากรปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work from home) ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ขอให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ Work from home อย่างเข้มงวด และปฏิบัติตามมาตรการของการะทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่เดินทางออกนอกพื้นที่เท่าที่จำเป็น งดร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก ใช้เทคโนโลยีในการทำงานแม้อยู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิดแต่การขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ยังคงเดินหน้าต่อไป “บุคลากรปฏิบัติงานที่บ้านหรือ Work From Home ต้องรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาและสามารถติดต่อประสานงานได้ตลอด นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานขอความร่วมมือผู้มาติดต่อราชการก่อนเข้ามาในอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรมและอาคารของแต่ละหน่วยงาน จะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอด ผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและจัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไว้บริการ”ปลัด วธ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ โควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มข้น พร้อมฝากประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าประมาทในการเดินทางช่วงวันหยุดที่เหลือ
วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ โควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มข้น พร้อมฝากประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าประมาทในการเดินทางช่วงวันหยุดที่เหลือ นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ โควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มข้น พร้อมฝากประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าประมาทในการเดินทางช่วงวันหยุดที่เหลือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์โควิด-19 และการเดินทางของประชาชน ตลอดช่วงวันหยุดทื่ผ่านมาด้วยความห่วงใย พร้อมสั่งทุกหน่วยงานให้ดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มข้น ทั้งการจัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม และเร่งการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ได้เพิ่มเติมมาอีกจำนวน 1,000,000 โดสในเดือนนี้ สำหรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ล้านโดสในเดือนเมษายนนี้ มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่สีแดง และกระจายให้กลุ่มเป้าหมายใน 77 จังหวัด ประกอบด้วย 9 จังหวัดขนาดใหญ่พิเศษ ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานีและนครศรีธรรมราช 13 จังหวัดขนาดใหญ่ ประกอบด้วย เชียงรายนครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานีสมุทรปราการ ร้อยเอ็ด สกลนครสุรินทร์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุราษฎร์ธานีและสงขลา และ 56 จังหวัดขนาดเล็ก อาทิ แม่ฮ่องสอนลำพูน นครนายก ลพบุรี เลย บึงกาฬ เป็นต้น แบ่งเป็น สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า จำนวน 599,800 โดส ควบคุมโรคระบาด พื้นที่สีแดง 100,000 โดส ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 147,200 โดส ตำรวจ/ทหาร ด่านหน้า จำนวน 54,320 โดส รวมทั้งสำรองไว้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน 98,680 โดส จนถึงวานนี้ (13 เมษายน 64 ) มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 579,305 โดส เป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรก จำนวน 505,744 ราย และผู้ได้รับวัคซีนเข็มสอง จำนวน 73,561 ราย นายอนุชา ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า "นายกรัฐมนตรียังเสียใจต่อการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ที่เกิดจากอุบัติเหตุจากการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ด้วย โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ซึ่งยังคงเป็นยานพาหนะที่มีอุบัติเหตุสูงสุด โดยฝากความห่วงใยมาถึงพี่น้องประชาชนทุกคน ให้มีสติในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ประมาทในการใช้รถใช้ถนน ตรวจสภาพรถยนต์และสภาพอากาศทุกครั้งก่อนออกเดินทาง เมาไม่ขับ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุ ในช่วงวันหยุดที่เหลืออยู่ พร้อมชื่นชมพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำและมาตรการสาธารณสุข ลดการรวมกลุ่ม หลีกเลี่ยงการเดินทาง เน้นทำงานที่บ้าน หรือ work from home มั่นใจว่า ไทยจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด19 ได้อย่างรวดเร็ว" -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กำชับทุกหน่วยงานจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เตรียมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดย อว. เร่งดำเนินการแล้วกว่า 12,882 เตียง กระจายทุกภาคทั่วประเทศ
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี กำชับทุกหน่วยงานจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เตรียมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดย อว. เร่งดำเนินการแล้วกว่า 12,882 เตียง กระจายทุกภาคทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรี กำชับทุกหน่วยงานจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เตรียมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดย อว. เร่งดำเนินการแล้วกว่า 12,882 เตียง กระจายทุกภาคทั่วประเทศ วันนี้17เมษายน2564นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าตามที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19ให้เพียงพอเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลโดยหากผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยให้กระจายมารักษาที่โรงพยาบาลสนามแทนซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของกระทรวงมหาดไทยโดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆและกระทรวงกลาโหมโดยทางหน่วยงานของทุกกองทัพ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่ากระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.)ได้เร่งดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแล้วโดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลสนามในเครืออว.ทั้งสิ้น12,882เตียงกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า37แห่ง(ข้อมูลณวันที่14เม.ย. 64)แบ่งตามภูมิภาคต่างๆได้ดังนี้ •กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน1,872เตียงอาทิเช่นมหาวิทยาลัยมหิดล470เตียงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต442เตียงมหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี360เตียงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิวิทยาเขตนนทบุรี350เตียง •ภาคกลางจำนวน450เตียงเช่นมหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒนครนายก300เตียงมหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรีสุพรรณบุรี100เตียง •ภาคเหนือจำนวน1,850เตียงเช่นมหาวิทยาลัยแม่โจ้1,420เตียงมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง200เตรียมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่100เตียงมหาวิทยาลัยนเรศวร100เตียง •ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน6,596เตียงเช่นมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี(อุดรธานีและบึงกาฬ) 3,736เตียงมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี1,030เตียงมหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ638เตียง •ภาคตะวันออกจำนวน250เตียงที่มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ •ภาคใต้จำนวน1,864เตียงเช่นมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ภูเก็ต350เตียงมหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา350เตียงมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา260เตียงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ประจวบคีรีขันธ์คีรีขันธ์144เตียงมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต110เตียงมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์100เตียงเป็นต้น ทั้งนี้การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในแต่ละแห่งนั้นได้ดำเนินการตามคำแนะนำของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)กระทรวงสาธารณสุขกล่าวคือต้องมีความปลอดภัยทั้งระบบตัวอาคารระบบจัดการน้ำเสียการจัดการอากาศมีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดมีการจัดโซนนิ่งต่างๆอย่างเหมาะสมโดยโรงพยาบาลสนามทุกแห่งต้องทำตามแนวทางความปลอดภัยไม่มีปล่อยให้มีการติดเชื้อไปสู่ภายนอกหรือติดเชื้อไปสู่ชุมชนนอกจากนี้การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจะมีกลไกทำความเข้าใจกับประชาชนผ่านกลไกอสม.ว่าโรงพยาบาลสนามจะเป็นส่วนที่เตรียมการไว้หากเกิดมีผู้ป่วยจำนวนมากๆแต่ถ้าสถานการณ์ไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้และสำหรับด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามนั้นให้สามารถจัดตั้งได้เฉพาะกรณีโรคโควิด-19เท่านั้นซึ่งได้รับการยกเว้นจากพ.ร.บ.สถานพยาบาลที่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจะเป็นอนุญาตให้เกิดขึ้นโดยความเห็นชอบคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดซึ่งต้องเห็นชอบเป็นผู้เลือกสถานที่ส่วนการรักษาพยาบาลนั้นกรมการแพทย์ได้จัดทำแนวทางและปรับปรุงตลอดเวลาเพื่อให้คนป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยมีปลอดภัยที่สุดและหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะมีรถพยาบาลเข้าไปดูหรือรับส่งต่อได้ทันที -------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย บรรยากาศคิกออฟตรวจโควิด – 19 เชิงรุกวันแรกราบรื่นทุกอย่างเป็นไปตามมาตรการ สธ.กำหนด สร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกันตน
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ เผย บรรยากาศคิกออฟตรวจโควิด – 19 เชิงรุกวันแรกราบรื่นทุกอย่างเป็นไปตามมาตรการ สธ.กำหนด สร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกันตน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย บรรยากาศการเปิดบริการโครงการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง บรรยากาศวันแรกราบรื่น ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มีผู้ประกันตนคนแรกมาตรวจในเวลา 07.39 น. เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก โดยใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนที่เดินทางกลับต่างจังหวัดและไปในสถานที่เสี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดโครงการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ในวันนี้เป็นวันแรกของการตรวจ ผมได้ติดตามสถานการณ์และกำชับให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน จากรายงานในเบื้องต้นยังไม่พบปัญหาอุปสรรคใดๆ ซึ่งทุกอย่างราบรื่น เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นางสาวดวงหทัย พุ่มบ้านเซ่า ผู้พิการทางสายตาเลือนรางอาศัยอยู่ในเขตคันนายาว เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้มาตรวจโควิด-19 เป็นคนแรกในเวลา 07.39 น. เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมสาธารณะที่จังหวัดระยอง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการแจ้งว่าได้เดินทางไปในสถานที่เสี่ยงและตนได้สัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลดังกล่าวตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมกิจกรรม และพอทราบว่ามีการตรวจโควิด -19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนที่สนามกีฬาไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง เลยให้ญาติสมัครจองคิวผ่านระบบ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php ซึ่งได้คิวในเช้าวันนี้ จึงรู้สึกดีใจและขอบคุณรัฐบาลที่มีโครงการนี้ทำให้ผู้ประกันตนได้รับความสะดวก และได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว “ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดหรือไปในสถานที่เสี่ยง และเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยระบบ “หมอพร้อม” มีผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ใช้แล้ว กว่า 5 แสนคน
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 สธ.เผยระบบ “หมอพร้อม” มีผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ใช้แล้ว กว่า 5 แสนคน กระทรวงสาธารณสุข เผยระบบ “หมอพร้อม” เป็นระบบเชื่อมต่อ 1,500 โรงพยาบาลที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยสนับสนุนการทำงานเพิ่มเติมจากระบบปกติของโรงพยาบาล ขณะนี้ใช้งานไปแล้ว 5 แสนกว่าคน วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันไลน์หมอพร้อมเวอร์ชั่น 2 มั่น กระทรวงสาธารณสุข เผยระบบ“หมอพร้อม” เป็นระบบเชื่อมต่อ 1,500 โรงพยาบาลที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยสนับสนุนการทำงานเพิ่มเติมจากระบบปกติของโรงพยาบาล ขณะนี้ใช้งานไปแล้ว 5 แสนกว่าคน วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันไลน์หมอพร้อมเวอร์ชั่น 2 มั่นใจรองรับผู้ฉีดวัคซีนได้ทุกคน วันนี้ (17 เมษายน 2564) นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) ประธานคณะทำงานด้านระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ให้สัมภาษณ์ว่า ระบบ“หมอพร้อม” เป็นระบบเชื่อมต่อ 1,500 รพ. ที่ฉีดวัคซีนทั่วประเทศแบบ real time เจ้าหน้าที่ทำงานครั้งเดียว ไม่ซ้ำซ้อน มีการแสดงผล dash board แบบ real time เพื่อให้ผู้บริหารสามารถติดตามความครอบคลุมการฉีดและอาการไม่พึงประสงค์ทุกคนที่ฉีด รวมทั้งยังมีระบบจำแนกประชาชนเป็นกลุ่มตามความเสี่ยงเพื่อใช้จัดลำดับความสำคัญในการรับวัคซีนก่อนหรือหลังตามหน่วยบริการทุกแห่งทั่วประเทศ โดยเน้นกลุ่มโรคเรื้อรัง 7 โรคและผู้สูงอายุตามลำดับ และยังเชื่อมต่อกับประชาชนทาง Line Official Account “หมอพร้อม”และแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เป็นระบบสนับสนุนการทำงานเพิ่มเติมจากระบบโรงพยาบาลที่มีรองรับการฉีดวัคซีนอยู่แล้วทั่วประเทศ แม้ว่าจะไม่มีระบบหมอพร้อมโรงพยาบาลก็ทำงานได้เป็นปกติ เพียงแต่ระบบหมอพร้อมจะอำนวยความสะดวกให้กับทุกฝ่ายมากขึ้น “ขณะนี้Line Official Account “หมอพร้อม” มีผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ใช้แล้ว กว่า 500,000 คน สามารถออก vaccine certificate ได้แล้วสำหรับประชาชน ที่ฉีดเข็มที่ 2 พร้อมมีQRCode ตรวจสอบกลับ ป้องกันการปลอมแปลง และกำลังรอที่จะออก vaccine passport ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ที่จะออกมาเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่สามารถทำระบบนี้ได้แล้ว โดย Line Official Account “หมอพร้อม”เวอร์ชั่น 2 จะเปิดตัว วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ซึ่งพัฒนาต่อยอดและปรับปรุงแก้ไขจากการใช้งาน 500,000 คนที่ผ่านมา”นายแพทย์พงศธรกล่าว นายแพทย์พงศธรกล่าวต่อว่า การจัดทำระบบหมอพร้อมเป็นความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และร่วมมือกับ35 บริษัทที่เป็นระบบ Hospital information system เพื่อเชื่อมข้อมูลแบบ real time เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐ การพัฒนาที่ผ่านมาใช้เวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน เป็นการเชื่อมต่อกับ 1,500 โรงพยาบาลรัฐและเอกชน เชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนทั้งประเทศกับกระทรวงมหาดไทยและข้อมูล passport จากกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีข้อมูลผู้มารับบริการ กว่า 60 ล้านคนที่กำลังเชื่อมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรมการกงศุล กระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้บางส่วนอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่โดยภาพรวมระบบไม่มีปัญหาและกำลังจะใช้กับอีก 1 ล้านคนในสัปดาห์หน้า และพร้อมใช้กับอีก 10 ล้านคนในเดือนมิถุนายนอย่างแน่นอน **********************************17 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางานแจงตัวเลขคนว่างงาน ยันตรวจสอบแล้วไม่ถึง 6 แสนคน
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 กรมการจัดหางานแจงตัวเลขคนว่างงาน ยันตรวจสอบแล้วไม่ถึง 6 แสนคน กรมการจัดหางาน แจงสถานการณ์การว่างงาน ปี 2564 คนว่างงานกำลังลดลง ผู้ประกันตนกลับเข้าสู่ระบบประกันสังคมเพิ่ม ย้ำไม่เคยนิ่งนอนใจเตรียมตำแหน่งงานว่าง พร้อมแผนรองรับแล้ว นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2563 พบจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 39.45 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 38.76 ล้านคน ประกอบด้วยผู้ทำงานในภาคบริการ และการค้า 17.50 ล้านคน ภาคเกษตรกรรม 13.48 ล้านคน และภาคการผลิต 7.78 ล้านคน โดยเป็นผู้ว่างงาน 0.59 ล้านคน หรือประมาณ 590,000 คน แบ่งเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 0.18 ล้านคน และเคยทำงานมาแล้ว 0.41 ล้านคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 พบว่าผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 0.22 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้มีงานทำก็เพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านคนเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนของผู้อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมด ทั้งกว่าร้อยละ 65 ของคนว่างงาน พบว่ามาจากแรงงานเก่า ซึ่งมีทั้งถูกให้ออกจากงาน ถูกเลิกจ้างจากสาเหตุการปิดกิจการ จากการหมดสัญญาจ้าง และการลาออกเอง และอีกร้อยละ 35 ของผู้ว่างงานเป็นแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ระบบ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2564 มีผู้ประกันตนกรณีว่างงาน กลับเข้าสู่ระบบประกันสังคม 155,958 ราย และผู้ประกันตนรายใหม่ 84,241 ราย รวมทั้งสิ้น 240,199 ราย แยกเป็นเดือนมกราคม 85,970 ราย เดือนกุมภาพันธ์ 81,064 ราย และเดือนมีนาคม 73,165 ราย ในขณะที่จำนวนผู้ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์กรณีว่างงานมี จำนวน 119,987 ราย โดยมีการลดจำนวนลงตามลำดับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นมา นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ส่งผลให้แรงงานมีชั่วโมงทำงานลดลง ทั้งจากสถานประกอบการดำเนินกิจการได้ไม่เต็มที่ การปรับลดกำลังการผลิต การลดการทำงานล่วงเวลา ซึ่งสาเหตุที่กล่าวมานี้กระทบต่อรายได้ของแรงงานถึง 5.96 ล้านคน อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานได้รวบรวมตำแหน่งงานว่างจากทั่วประเทศ เพื่อผู้ประสงค์จะทำงาน จำนวน 225,207 อัตรา ไว้รองรับ พร้อมกับวางแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ว่างงาน กลุ่มเปราะบาง รวมทั้งผู้ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในการเตรียมความพร้อมให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ และเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน (โครงการ Co Payment) การหาแนวทางเพิ่มการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ รวมทั้งบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานนอกระบบ จากการให้เงินกู้ โดยคิดดอกเบี้ย 0% แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน ทั้งหมดเพื่อรักษาการจ้างงาน ให้ผู้ใช้แรงงานได้มีงานทำต่อไป ตามนโยบายของรัฐบาลและเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงโควิด 19 ระบาดในหน่วยงาน หลังเทศกาลสงกรานต์ ขอความร่วมมือเตรียมแผนรองรับ
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 สธ.ห่วงโควิด 19 ระบาดในหน่วยงาน หลังเทศกาลสงกรานต์ ขอความร่วมมือเตรียมแผนรองรับ กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานรัฐและเอกชน มีมาตรการคัดกรองพนักงานที่เดินทางกลับหลังเทศกาลสงกรานต์ มีมาตรการองค์กรป้องกันการแพร่เชื้อในที่ทำงาน หากเสี่ยงสูงแนะทำงานที่บ้าน มีแผนรองรับหากพบผู้ติดเชื้อ แนะกลุ่มผู้เสี่ยงสูง/ผู้รอผลตรวจ กักต กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานรัฐและเอกชน มีมาตรการคัดกรองพนักงานที่เดินทางกลับหลังเทศกาลสงกรานต์มีมาตรการองค์กรป้องกันการแพร่เชื้อในที่ทำงาน หากเสี่ยงสูงแนะทำงานที่บ้าน มีแผนรองรับหากพบผู้ติดเชื้อแนะกลุ่มผู้เสี่ยงสูง/ผู้รอผลตรวจ กักตัว 14 วัน ป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น วันนี้ (17 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,547 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,316 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 228 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 90 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่เมษายน 2564 ตั้งแต่วันที่ 1–17 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 11,722 ราย หายป่วยแล้ว 1,144 ราย และเสียชีวิตสะสม 5 ราย สำหรับผู้เสียชีวิต 2 รายวันนี้ เป็นรายที่ 4 และ 5 ของระลอกเมษายนรายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 38 ปี จ.ตาก มีโรคประจำตัว คือโรคอ้วน เป็นผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงทองหล่อเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 รายที่ 2 ชายไทย อายุ 51 ปี จ.ปทุมธานี มีโรคประจำตัว คือโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อยืนยันก่อนหน้า เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564 นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน ที่มีกิจกรรมมากและเดินทางไปหลายพื้นที่ ทำให้มีแนวโน้มระบาดต่อเนื่องไปในองค์กรและสถานประกอบการได้ คล้ายกับกรณีเกิดการระบาดที่จังหวัดสมุทรสาคร จึงขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รัฐวิสาหกิจ ท้องถิ่น ผู้ประกอบการ ห้างร้าน ร่วมมือกันลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังเทศกาลสงกรานต์ โดยจัดทำมาตรการทำงานที่บ้าน (work from home) อย่างน้อย 30-50 เปอร์เซ็นต์ คัดกรองพนักงานที่เดินทางกลับจากภูมิลำเนา หากมีประวัติไปสถานที่เสี่ยง สถานบันเทิง หรือมีประวัติใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 และกักตัวอยู่ที่บ้าน ให้ครบ 14 วัน รวมทั้งเคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สแกนไทยชนะ “ขอให้ทุกหน่วยงาน งดกิจกรรมรวมกลุ่ม งดเลี้ยงสังสรรค์ เว้นระยะห่างขณะรับประทานอาหารแยกภาชนะของใช้ส่วนตัว ประชุมผ่านระบบออนไลน์ จัดจุดวัดอุณหภูมิ จุดล้างมือ ให้พนักงานประเมินความเสี่ยงประจำวัน ทำความสะอาดเครื่องมือ อุปกรณ์ จุดสัมผัส หากพนักงานมีอาการทางเดินหายใจ ให้รีบพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลทันที โดยให้แจ้งพนักงานทุกคนทราบ และหากพบติดเชื้อ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขทราบทันทีและทำความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”นพ.จักรรัฐกล่าว ด้าน นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (รก.11) นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวง สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีการกระจายไปทั่วประเทศ ขอให้ประชาชนสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการ ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย และกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง บางรายมีไข้สูง ไอ หอบ เหนื่อย หรือมีไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวที่มีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน ให้รีบไปตรวจหาเชื้อทันที หากพบเชื้อจะได้เข้าสู่ระบบการรักษาทันที สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 และกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงแต่ไม่มีอาการ หรือผู้ที่มีอาการ ไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอไม่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 และไม่ได้มาจากพื้นที่เสี่ยง แนะนำให้กักตนเองเพื่อสังเกตอาการ 14 วัน หากมีข้อสงสัยโทรปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 “สำหรับผู้ที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อแล้ว ขณะรอผลตรวจ หรือผลครั้งแรกเป็นลบ ให้กักตัวครบ14 วัน และเคร่งครัดในการปฏิบัติตน ดังนี้ งดกิจกรรมนอกบ้าน เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 -2 เมตร, แยกของกิน ของใช้ ห้องนอน ห้องน้ำ, หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้อื่นและสัตว์เลี้ยง, หากมีการสั่งของออนไลน์ให้ผู้ส่งวางของไว้หน้าบ้าน ไม่รับจากมือโดยตรง, ทำความสะอาดสถานที่กักตัว ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ, ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ขณะกักตัวและพบว่ามีอาการป่วย หรือได้รับแจ้งว่าผลเป็นบวก ให้โทร.ประสาน 1669 ไม่เดินทางด้วยรถสาธารณะ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามีประวัติเสี่ยงและป่วย เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป”นพ.รุ่งเรืองกล่าว ***************************** 17 เมษายน 2564 ***************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สอดคล้องสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขยาย 25,000 เตียง ทั่วประเทศพร้อมใช้งาน
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564 นายกฯ กำชับจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สอดคล้องสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขยาย 25,000 เตียง ทั่วประเทศพร้อมใช้งาน รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ กำชับจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม สอดคล้องสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขยาย 25,000 เตียง ทั่วประเทศพร้อมใช้งาน วันนี้17เมษายน2564นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามความพร้อมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศพร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลสนามเบื้องต้นได้ขยายโรงพยาบาลสนามและHospitelทั้งในส่วนกลางต่างจังหวัดและส่วนท้องถิ่นไปกว่า 2.5หมื่นเตียงเพื่อให้การดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ที่มีอาการไม่มาก สำหรับจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูงเช่นกรุงเทพมหานครได้เตรียมโรงพยาบาลสนามไว้4แห่งขณะนี้สามารถให้บริการได้1,250เตียงและจะเพิ่มอีก500เตียงในเร็วๆนี้ขณะที่กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.)ให้มหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในทุกจังหวัดและประสานงานโดยทันทีกับทางจังหวัดสาธารณสุขในพื้นที่และดำเนินการร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเบื้องต้นสามารถให้บริการได้12,822เตียงจากโรงพยาบาลสนาม37แห่งทั่วทุกภาค ซึ่งในส่วนกระทรวงกลาโหมกำลังเร่งสนับสนุนและดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนามกว่า5,000เตียงทั้งไนพื้นที่กทม.และปริมณทลรวมทั้งในส่วนภูมิภาคเพื่อส่งมอบให้สาธารณสุขบริหารจัดการในภาพรวมต่อไป ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขยังได้จัดหาโรงแรมที่ไม่มีผู้พักอาศัยมาทำเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว(Hospitel)เพื่อใช้ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีแพทย์พยาบาลเครื่องมือที่สำคัญเช่นปรอทวัดอุณหภูมิดิจิทัลเครื่องวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดและเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่โดยการดูแลจะแบ่งเป็น2กลุ่มคือกลุ่มไม่มีอาการแต่หากมีอาการจะส่งไปรักษาในโรงพยาบาลพี่เลี้ยงกลุ่มที่2กลุ่มมีอาการที่อยู่โรงพยาบาล3-5วันหากอาการไม่แย่ลงหรืออาการปกติสามารถย้ายมาอยู่ที่Hospitelต่อไปซึ่งขณะนี้มีHospitelแล้ว23แห่งรวม4,900เตียงมีการครองเตียงแล้ว2,000เตียงและมีแผนจะขยายให้ได้ถึง5,000-7,000เตียงในระยะต่อไป ส่วนเรื่องค่ารักษาหากผู้ป่วยมีประกันสุขภาพให้เบิกจากประกันสุขภาพส่วนบุคคลหากไม่มีประกันส่วนบุคคลจะได้รับสิทธิตามสิทธิในการรักษาพยาบาลภาครัฐ นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่านายกรัฐมนตรีกำชับให้การบริหารจัดการและการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลสนามและHospitelต้องสอดคล้องกับสถานการณ์และจำนวนผู้ป่วย ซึ่งผู้ติดเชี้อโควิด-19ทุกคนจะต้องได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างดีและรวดเร็ว อีกทั้งขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีศาสตราจาร์ยคลีนิกเกียรติคุณนพ.ปิยะสกุลสกลสัตยาทรเป็นประธานได้เร่งเดินหน้าจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมเพื่อเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับคนไทยด้วย ________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯให้ความมั่นใจ ดูแลโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้ทั่วถึง พร้อมแล้ว 2,000 เตียง คุมเข้มเข้า4ด่านทางบก ไม่กระทบการค้าชายแดน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 นายกฯให้ความมั่นใจ ดูแลโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้ทั่วถึง พร้อมแล้ว 2,000 เตียง คุมเข้มเข้า4ด่านทางบก ไม่กระทบการค้าชายแดน นายกฯให้ความมั่นใจ ดูแลโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้ทั่วถึง พร้อมแล้ว 2,000 เตียง คุมเข้มเข้า4ด่านทางบก ไม่กระทบการค้าชายแดน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการบริหารจัดการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และ 4อำเภอในจังหวัดสงขลา ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 นับจากวันที่ 1-17 เม.ย. จำนวน 539 ราย พบในจังหวัดสงขลา 179 ราย (ส่วนใหญ่ติดจากสถานบันเทิง) นราธิวาส 348 ราย (ส่วนใหญ่ติดจากเรือนจํา) ปัตตานี 6 ราย ยะลา 5 ราย และ สตูล 1 ราย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียที่มีชายแดนติดกัน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มประมาณ วันละ 1,500 - 2,000 ราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้อำนวยความสะดวกคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากมาเลเซีย พร้อมปฏิบัติตามมาตรสาธารณสุขในการคัดกรองโควิด 19 อย่างเคร่งครัด สำหรับการดำเนินการเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รายงานว่า ศอ.บต.ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 12 คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ และองค์กรทางศาสนา โดยแบ่งเป็น 1)การจัดหาเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งเตียงในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel มีจํานวน รวม 1,933 เตียง (ณ 11 เมษายน ) แยกเป็น จังหวัดนราธิวาส 1,245 เตียง สงขลา 171 เตียง ปัตตานี 218 เตียง ยะลา 179 เตียง และสตูล 120 เตียง 2)การซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาตามประกาศของสํานักงานจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด เพื่อผู้เกี่ยวข้องจะได้สื่อสารให้ประชาชนได้ทราบและถือปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในช่วงเทศการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และ 3)การดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มบุคคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ในระยะแรก แต่ละจังหวัดได้รับ 10,000 โด๊ส รวม 50,000 โด๊ส ส่วนการบริหารจัดการด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ที่ประกอบด้วย ทางบก 7 ด่าน ทางน้ํา 2 ด่าน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน จึงอนุญาตให้คนไทยเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซียเข้าทางด่านถาวรทางบกเพียง 4 ด่าน (สุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส, ด่านเบตง จังหวัดยะลา, ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา และด่านวังประจัน จังหวัดสตูล) สัปดาห์ละ 3 วัน (วันจันทร์ พุธ และศุกร์) ด่านละไม่เกิน 125 คนต่อวัน ทั้งนี้ การจำกัดการเดินทางเข้าประเทศดังกล่าว ไม่กระทบการค้าชายแดน เพราะยังคงมีการนําเข้าและส่งออกสินค้าเป็นปกติโดยเฉพาะสินค้าที่จําเป็นในการอุปโภคและบริโภค และดําเนินการตามมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด "นายกรัฐมนตรียังได้ส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องชาวไทยมุสลิมภาคใต้ ที่ปฏิบัติศาสนกิจสำคัญในเดือนรอมฎอน และขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในทุกๆด้าน เพื่อความปลอดภัยสุขภาพของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน" นางสาวรัชดา ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ภาพรวมตรวจโควิด – 19 เชิงรุก วันที่ 2 เป็นที่น่าพอใจ สั่ง กสร.กำชับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานเข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 ในสถานประกอบการ
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ เผย ภาพรวมตรวจโควิด – 19 เชิงรุก วันที่ 2 เป็นที่น่าพอใจ สั่ง กสร.กำชับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานเข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 ในสถานประกอบการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันที่ 2 เป็นที่น่าพอใจ สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ว่า วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเปิดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก โดยใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนที่เดินทางกลับต่างจังหวัดและไปในสถานที่เสี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในวันนี้เป็นวันที่ 2 ของการตรวจ ซึ่งผมได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องและกำชับให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน จากรายงานล่าสุดพบว่า ภาพรวมของโครงการเป็นที่น่าพอใจ ขั้นตอนต่างๆ ยังคงเป็นไปตามแนวทางและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมยังได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กำชับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) เข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 แก่แรงงานในสถานประกอบการ อาทิ ตรวจคัดกรองลูกจ้างก่อนเข้าทำงาน สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เป็นต้น รวมทั้งยังสั่งการให้กรมการจัดหางาน ขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบการ กำชับแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงาน ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อลดอัตราเสี่ยงติดโควิด-19 “ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่ไปในสถานที่เสี่ยง และเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 2/2564
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 2/2564 “คนร. มอบ กคช. เร่งทำโครงการบ้านเคหะสุขประชา สร้างโอกาสให้ประชาชน” นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่ง คนร. ได้พิจารณาในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. เห็นด้วยในหลักการที่การเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดทำโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย “บ้านเคหะสุขประชา” โดยมีเป้าหมายที่จำนวน 100,000 หน่วย ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาค ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปีละ 20,000 หน่วย) ภายใต้แนวคิด “บ้านเคหะสุขประชา = บ้านพร้อมอาชีพ” โดยมอบหมายให้ กคช. จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว โดยให้มีการพิจารณานำการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) มาใช้ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำเสนอแนวทางการดำเนินการให้ คนร. พิจารณาอีกครั้งต่อไป 2. รับทราบการดำเนินงานตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ คนร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ที่ได้มีความเห็นในเชิงนโยบายต่อการพัฒนารัฐวิสาหกิจในเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงาน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริบทต่างๆ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID - 19 รวมทั้ง ให้เน้นการนำ BCG Model มาใช้ในการวางแผนดำเนินการ และให้ความสำคัญการปฏิบัติตามข้อกฎหมาย เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดย สคร. ได้นำความเห็นเชิงนโยบายข้างต้นไปปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ สำหรับรัฐวิสาหกิจใช้ในการวางแผนในปี 2565 ด้วยแล้ว 3. รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ของบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่ปัจจุบันมีจำนวน 123 แห่ง โดยมีบริษัทในเครือที่มีผลกำไรจำนวน 71 แห่ง ขาดทุนจำนวน 25 แห่ง และอยู่ระหว่างยุบเลิก/ถอนการลงทุนจำนวน 27 แห่ง โดย คนร. ได้มีนโยบายให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาความจำเป็นและกำกับดูแลบริษัทในเครือให้ดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ สร้างผลกำไรให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ และมีผลตอบแทนให้แก่รัฐวิสาหกิจ สำหรับบริษัทในเครือที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ก็ให้รัฐวิสาหกิจพิจารณายุติกิจการโดยเร็วต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณี COVID – 19 ผลตรวจหาเชื้อรอบ 2 กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร และสื่อมวลชน “ไม่พบเชื้อ”
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ประกาศ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณี COVID – 19 ผลตรวจหาเชื้อรอบ 2 กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร และสื่อมวลชน “ไม่พบเชื้อ” จากกรณีกรรมการผู้จัดการ ธอส. พร้อมคณะ รวม 66 คน เข้าชมการแสดงดนตรีของนายอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข หรือ “แสตมป์” เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2564 ในพื้นที่เกาะช้าง จ.ตราด ก่อนที่จะทราบว่าแสตมป์ ติดเชื้อ COVID-19 จากกรณีที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน รวมถึงผู้ปฏิบัติงานของธนาคารในสาขาตราดและสาขาจันทบุรี และคณะสื่อมวลชน รวม 66 คน เข้าชมการแสดงดนตรีของ นายอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข หรือ “แสตมป์” เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เกาะช้าง จ.ตราด ก่อนที่จะทราบว่าแสตมป์ ติดเชื้อ COVID-19 จากการที่มีผู้ติดเชื้อเข้าชมการแสดงดนตรีของแสตมป์ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ทำให้กรรมการผู้จัดการ ธอส. ผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชน ทั้ง 66 คน ได้เดินทางไปตรวจ หาเชื้อ COVID-19 รอบที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6-7 เมษายน 2564 ซึ่งผลการตรวจปรากฏว่าทุกคน “ผลการตรวจเป็นลบ หรือ ตรวจไม่พบเชื้อ COVID-19” และหลังจากนั้นธนาคารยังได้ดูแลทุกคนที่เกี่ยวข้องและให้กักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าระวัง สังเกต ติดตามอาการของตนเอง ตามหลักปฏิบัติด้านสาธารณสุข และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเคร่งครัด นั้น ล่าสุด เมื่อครบกำหนดการกักตัว 14 วัน กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร พนักงาน รวมถึงผู้ปฏิบัติงานของธนาคารในสาขาตราดและสาขาจันทบุรี และคณะสื่อมวลชน ได้เดินทางไปตรวจหาเชื้อ COVID-19 รอบที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย ณ วันที่ 18 เมษายน 2564 เวลา 16.30 น. กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชนเกือบทั้งหมด ทยอยรับทราบผลตรวจแล้วว่า “ผลการตรวจเป็นลบ หรือ ตรวจไม่พบเชื้อ COVID-19” คงเหลือที่ยังไม่ทราบผลตรวจอีก 7 คน ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินการตามมาตรการป้องกัน COVID-19 โดยพิจารณาเลื่อน ยกเลิก หรือเปลี่ยนรูปแบบการทำกิจกรรมภายในธนาคาร รวมทั้งประกาศให้พนักงาน Work from Home สูงสุดถึง 90% ของจำนวนผู้ปฏิบัติงานจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และกำชับให้บุคลากรของธนาคารทั้งหมดปฏิบัติตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด อาทิ ห้ามเข้าไปในพื้นที่หรือสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ห้ามทำกิจกรรมในสถานที่แออัด และให้ความร่วมมือกับทางราชการในการปฏิบัติตามมาตรการและคำแนะนำทางการแพทย์อย่างอย่างเคร่งครัดต่อไป ฝ่ายสื่อสารองค์กร ประกาศ ณ วันที่ 18 เมษายน 2564 เวลา 16.45 น. ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โทร. 02-202-1980-5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยัน Hospitel ได้มาตรฐาน...ทุกแห่งผ่านการตรวจประเมิน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ยัน Hospitel ได้มาตรฐาน...ทุกแห่งผ่านการตรวจประเมิน ... สถานที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19 นอกจากในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามแล้ว ก็ยังปรับโรงแรมมาเป็นสถานพยาบาลชั่วคราว หรือ Hospitel . Hospitel จะรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ หรือรักษาในโรงพยาบาลหลักมา 3 - 5 วัน แล้วมีอาการดีขึ้น โดยทีมแพทย์จะดำเนินการตรวจและบันทึกอาการผู้ป่วยทุกวันผ่านเทเลเมดิซีนหรือไลน์กลุ่ม . โดยมีแพทย์ประจำ 1 คน พยาบาล 1 คนต่อ 20 เตียง เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล เครื่องวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ หากอาการเปลี่ยนแปลงจะย้ายกลับโรงพยาบาลหลักทันที . ปัจจุบันมี Hospitel ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 23 แห่ง จำนวน 4,900 เตียง ดูแลผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 2 พันเตียง และเตรียมเพิ่มให้ได้ 5 - 7 พันเตียง ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล . ประชาชนใกล้เคียง Hospitel อย่าได้เป็นกังวล เพราะการจัดการระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ น้ำเสีย เป็นการจัดบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐาน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40986
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบปะขอพร “ผู้สูงอายุ” ช่วงนี้...ต้องระวังโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 พบปะขอพร “ผู้สูงอายุ” ช่วงนี้...ต้องระวังโควิด-19 ... สวัสดีปีใหม่ไทย 2564 ไปยังแฟนเพจไทยคู่ฟ้าครับ นอกจากวันนี้จะเป็นวันสงกรานต์แล้ว 13 เม.ย. ของทุกปียังถือเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติเช่นกัน . ช่วงนี้หลาย ๆ คนกำลังเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนา เพื่อไปพบปะครอบครัวญาติพี่น้อง และเข้าสวัสดีรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ในครอบครัวเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ให้คิดสักนิดว่า การระบาดของโรคโควิด-19 นั้นยังคงมีอยู่ ดังนั้น การเข้าหาผู้สูงอายุแบบเดิม ๆ นั้นมีความเสี่ยงพอสมควร . หากใครมีลักษณะอาการต่อไปนี้ ห้ามเข้าใกล้ผู้สูงอายุเด็ดขาดนะครับ มีไข้ ตัวร้อน ไอ เจ็บคอ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หรือหากว่าปกติดี ก็ขอให้ใส่หน้ากากอนามัยพูดคุยกับผู้สูงอายุนะครับ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลุ้นขยับขึ้น “Tier 1” แก้ไขปัญหาค้ามนุษย์
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ลุ้นขยับขึ้น “Tier 1” แก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ ... ความทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของรัฐบาล ให้ประเทศไทยรักษาระดับอยู่ที่ Tier 2 ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว และเรากำหนดเป้าหมายเพื่อก้าวขึ้นสู่ Tier 1 ให้ได้ในเร็ววัน . ล่าสุด เราได้ส่ง Trafficking in Persons Report (TIP Report) หรือรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ ประจำปี 2563 ไปยังสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว . สาระสำคัญของ TIP Report ฉบับนี้ จะแสดงให้เห็นถึงมาตรการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในทุกมิติ เช่น สถิติการจับกุมและการลงโทษทางกฎหมาย การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ความรวดเร็วในการพิจารณาคดีค้ามนุษย์ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล โดยลดลง จาก 118 วัน ในปี 2558 เหลือ 70 วัน ในปี 2563 . นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมการดูแลกลุ่มผู้เสียหายที่มีความหลากหลายทางเพศ และการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวที่ประสบปัญหาจากการทำงาน ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคม เป็นต้น . ประชาชนทุกสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ได้ เพียงดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน ‘PROTECT-U’ เพื่อแจ้งเหตุและขอรับความช่วยเหลือคุ้มครอง ซึ่งมีทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ เมียนมา เขมร ลาว และเวียดนาม #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียวขยายเวลาสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ถึง 30 มิ.ย. นี้
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ไฟเขียวขยายเวลาสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ถึง 30 มิ.ย. นี้ ... ข่าวดี...ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงานหรือสิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง และไม่ได้สมัครเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจตามมาตรา 39 ภายใน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน รวมถึงผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เนื่องจากขาดส่งเงินสมทบ ฟังทางนี้ . สำหรับแนวทางช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ประกันตนมีหลักประกันทางสังคมมากขึ้น ครม. จึงมีมติเห็นชอบขยายเวลาให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2562 - 31 ธ.ค. 2563 และประสงค์ที่จะอยู่ในระบบประกันสังคมต่อไป สามารถแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจตามมาตรา 39 ทดแทนได้ จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2564 . นอกจากนี้ ยังให้ขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมี.ค. 2563 – งวดเดือนพ.ค. 2564 ให้นำส่งภายในวันที่ 15 มิ.ย. 2564 . โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะช่วยให้มีผู้แสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และผู้ที่ขาดส่งเงินสมทบนำส่งเงินเพื่อรักษาสิทธิการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ตามเดิม กว่า 207,700 คน มีหลักประกันด้านสุขภาพและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ผ่านกองทุนประกันสังคมอย่างต่อเนื่อง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว‼️จัดระเบียบร้านขายก๊าซหุงต้มให้ปลอดภัยและเป็นมาตรฐาน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ไฟเขียว‼️จัดระเบียบร้านขายก๊าซหุงต้มให้ปลอดภัยและเป็นมาตรฐาน ... ผู้ประกอบกิจการร้านขายก๊าซหุงต้ม ต้องรู้! ถึงข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย ที่ผ่านความเห็นชอบจากการประชุม ครม. แล้ว เพื่อกำกับดูแลร้านขายก๊าซหุงต้มให้มีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานมากขึ้น .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40988
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชมภาพยนตร์ “ใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” . ปี 2564 เป็นปีครบรอบการสถาปนากรุงเทพมหานคร 239 ปี เพื่อให้ประชาชนคนไทยรู้จักเมืองหลวงของประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงว
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 เชิญชมภาพยนตร์ “ใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” . ปี 2564 เป็นปีครบรอบการสถาปนากรุงเทพมหานคร 239 ปี เพื่อให้ประชาชนคนไทยรู้จักเมืองหลวงของประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงว ... เชิญชมภาพยนตร์ “ใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” . ปี 2564 เป็นปีครบรอบการสถาปนากรุงเทพมหานคร 239 ปี เพื่อให้ประชาชนคนไทยรู้จักเมืองหลวงของประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรมและหอภาพยนตร์ จึงได้จัด Playlist ภาพยนตร์ที่มีบรรยากาศของกรุงเทพมหานครในอดีตที่น่าสนใจ ภายใต้กิจกรรม “ใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” . สำหรับประชาชนที่สนใจรับชมภาพยนตร์ สามารถรับชมใน Playlist ใต้ร่มพระบารมี 239 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ที่https://bit.ly/3sYJXEP . นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์ในการอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์อีกมากในช่อง youtube หอภาพยนตร์ เช่น - กรุงเทพเมืองหลวงของเรา 2500 Bangkok, Our Capital (1957)https://bit.ly/3cT1fOf - รถรางวันสุดท้าย Last Day of Bangkok Tramshttps://bit.ly/31T97ZO - BANGKOK METROPOLITAN BUSES AND TRUCKS (1958)https://bit.ly/39P2Na3 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา แรงงานต่างด้าว ตรวจโควิด-19 ทำประวัติ
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ขยายเวลา แรงงานต่างด้าว ตรวจโควิด-19 ทำประวัติ ... ปัจจุบันแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นส่วนสำคัญในการประกอบกิจการของสถานประกอบการไทยหลายแห่ง และแม้จะอยู่ในภาวการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 แต่กระบวนการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภค ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป รัฐบาลจึงผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา ยังคงอยู่ทำงานต่อไปได้เป็นกรณีพิเศษ แต่จะต้องดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย คือ ผ่านการตรวจโรคโควิด-19 จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายใน 16 เม.ย. 64 และทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตร (บัตรสีชมพู) ภายในปี 2564 นี้ . แต่ด้วยมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบขยายเวลา การตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์บุคคล ให้ถึง 16 มิ.ย.64 ส่วนการทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตร ให้ถึง 31 มี.ค. 65 . เพื่อให้สถานประกอบการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องต่อไป และแรงงานมีเวลาดำเนินการตามกฎหมายเพิ่มมากขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระวัง! มิจฉาชีพหลอกให้รับพัสดุเก็บเงินปลายทาง
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ระวัง! มิจฉาชีพหลอกให้รับพัสดุเก็บเงินปลายทาง ... กระแสการซื้อของออนไลน์ยังแรงดีไม่มีตก ทำให้เราเกิดความเคยชินเมื่อมีพัสดุมาส่งที่บ้าน แต่ก็ต้องระวังนะครับ! เพราะขณะนี้กำลังมีกลุ่มมิจฉาชีพออกอุบายทำทีมาส่งพัสดุ แล้วบอกว่าเป็นพัสดุเก็บเงินปลายทาง ทำให้เราต้องจ่ายค่าพัสดุนั้นไป . ดังนั้น เมื่อเจอเหตุการณ์ดังกล่าวขอให้ 1.ตรวจสอบกับบุคคลในบ้านก่อนว่า ได้มีการสั่งสินค้าหรือพัสดุใด ๆ ให้มาส่งหรือไม่ 2.สังเกตชื่อผู้รับ – ผู้ส่ง ว่ามีพิรุธน่าสงสัยหรือไม่ 3.ตรวจสอบกับเจ้าของพัสดุก่อนเปิดพัสดุหรือชำระเงินปลายทางทุกครั้ง . และหากเข้าข่ายต้องสงสัย ให้ปฏิเสธการรับพัสดุหรือการชำระเงิน จากนั้นรวบรวมหลักฐาน ได้แก่ - ภาพถ่ายกล่องพัสดุทุกด้าน - รายละเอียดของผู้ส่ง (ถ้ามี) - เลขพัสดุ เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกฎหมาย . ซึ่งถือเป็นการกระทำ “ฉ้อโกง” และต้องได้รับโทษตามกฎหมายอาญา ม.341 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ Cr. กองปราบปราม #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มั่นใจฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกนี้ควบคุมได้ เชื่อประชาชนให้ความร่วมมือ
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 นายกฯ มั่นใจฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกนี้ควบคุมได้ เชื่อประชาชนให้ความร่วมมือ นายกฯ มั่นใจฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกนี้ควบคุมได้ เชื่อประชาชนให้ความร่วมมือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความมั่นใจว่ามาตรการที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. ที่มีมติเห็นชอบในการปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ทั่วประเทศ และการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการที่เดินทางกลับหลังเทศกาลสงกรานต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการลดการแพร่เชื้อที่สัมพันธ์กับสถานบันเทิง การรวมกลุ่ม การสังสรรค์ และปัจจัยที่ทำให้มีการระบาดในวงกว้าง ซึ่งมาตรการต่างๆได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบแล้วนั้น จะสามารถทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงได้โดยเร็ว และไม่แพร่กระจายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมาตรการที่สำคัญต่างๆ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันนี้ (18 เม.ย. 64) เป็นต้นไป โดยรัฐบาลตัดสินใจหลีกเลี่ยงที่จะออกมาตรการล๊อคดาวน์ หรือมาตรการเคอร์ฟิว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนมากเกินไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รัฐบาลยังคงต้องขอความร่วมมือจากประชาชนอีกครั้งในการร่วมมือร่วมใจกันปฎิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อผลสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ในระลอกนี้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถขยายตัวได้ในปี 2564 นี้ เนื่องจากสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งภายในปี 2564 นี้ ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 63 ล้านโดส ที่รัฐบาลได้สั่งจองไปแล้ว และที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 10 ล้านโดส สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน จะสามารถดำเนินการได้ตามที่วางแผนไว้ กล่าวคือ ประชาชนในประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคนภายในปี 2564 นี้ นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรี มีความมั่นใจ เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดในระลอกนี้ ว่ารัฐบาลสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลยังมีเงินเกือบ 3.8 แสนล้านบาทสำหรับนำมาใช้เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แยกเป็นเงินจำนวน 2.4 แสนล้านบาทจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินจากงบกลางปี 2564 ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อการฉุกเฉินและจำเป็นอีก 98,500 ล้านบาท และงบสำหรับบรรเทาโควิด-19 อีก 36,800 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พบช่วงวิกฤติโควิด 19 ผู้สูงอายุ และครอบครัว เป็นพลังใจสำคัญสำหรับคนไทย
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 สธ. พบช่วงวิกฤติโควิด 19 ผู้สูงอายุ และครอบครัว เป็นพลังใจสำคัญสำหรับคนไทย กระทรวงสาธารณสุข พบในช่วงวิกฤติโควิด 19 ผู้สูงอายุ ครอบครัว และ อสม. คือกลุ่มที่มีพลังใจดี เป็นพลังใจสำคัญสำหรับคนไทย พร้อมชวนประชาชนฉีดวัคซีนใจ 4 เข็ม ความรู้สึกปลอดภัย ไม่ตระหนก ความหวัง และความเข้าใจ สร้างภูมิคุ้มกันทางใจรับมือสถานการณ์โควิด 19 วันนี้ (18 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวในประเด็นวัคซีนใจ ว่า กรมสุขภาพจิตได้จัดทำ Mental Health Check-in เครื่องมือตรวจวัดอุณหภูมิใจ เพื่อวัดระดับความเครียดของประชาชนในสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 โดยพบว่า เมื่อมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างประชาชนมีความเครียดสูงขึ้น และมีภาวะเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ตามมา โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 8 – 12 เมษายน 2564 ที่พบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากในระลอกใหม่ ส่วนช่วงที่สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดี อุณหภูมิใจของประชาชนจะดีขึ้นตามมา นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยมีความสามารถในการฟื้นจิตใจตนเองเป็นอย่างดี ซึ่งกลุ่มที่มีพลังใจที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ ผู้สูงอายุ และครอบครัว โดยมีพลังใจระดับมากอยู่ที่ร้อยละ 72.50 และระดับปานกลางร้อยละ 26.29 รองลงมาคือ กลุ่ม อสม. ที่ทำงานหนักมีจิตอาสา และเป็นพลังใจสำคัญสำหรับคนไทย และขอเชิญทุกคนร่วมกันฉีดวัคซีนใจที่มี 4 เข็ม ได้แก่ 1.ความรู้สึกปลอดภัย คือพฤติกรรมปลอดภัย สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในสถานที่แออัด 2. ไม่ตระหนก ให้รับฟังข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากกระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานภาครัฐที่น่าเชื่อถือได้ ลดการรับฟังข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มา และเลือกรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ 3.ความหวัง 4.ความรู้สึกเข้าใจ ส่งกำลังใจที่ดีให้กันและกัน พร้อมออกมาดูแลผู้อื่น แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ยังมีการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย โดยการสำรวจคัดกรองเชิงรุกตั้งแต่วันที่ 1 - 15 เมษายน 2564 จำนวน 838,550 คน พบกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะทำร้ายตนเองและภาวะเหนื่อยอ่อน อ่อนล้า 38,804 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.63 ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้ติดตามอาการแล้ว 20,849 คน คิดเป็นร้อยละ 53.73 พร้อมทั้งให้คำปรึกษาเบื้องต้น, ติดต่อกลับเพื่อให้การช่วยเหลือ, ส่งต่อพบแพทย์หรือหน่วยงานอื่นๆ “ขอความร่วมมือประชาชนเข้ามาเช็คสุขภาพใจว่าความเครียดอยู่ในระดับใดที่ Mental Health Check-In จากเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต ซึ่งจะทราบผลการประเมินทันที มีคำแนะนำการปฏิบัติตัว ที่สำคัญขอให้ใส่ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย หากพบว่ามีความเสี่ยงเจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อกลับเพื่อดูแลต่อไป หรือหากต้องการปรึกษาสุขภาพจิตโทรปรึกษาสายด่วน กรมสุขภาพจิต 1323” แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว ************************************** 18 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยแนวโน้มโควิดเริ่มชะลอตัว ย้ำที่ทำงานลดการรวมตัว เน้น Work From Home
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 สธ.เผยแนวโน้มโควิดเริ่มชะลอตัว ย้ำที่ทำงานลดการรวมตัว เน้น Work From Home กระทรวงสาธารณสุขเผยแนวโน้มโควิดเริ่มชะลอตัว คาด 1-2 สัปดาห์จะลดลงหากช่วยกันควบคุม แจงคำสั่งปิดโรงเรียน เพื่อลดความเสี่ยงเด็กที่อาจติดเชื้อไม่มีอาการแล้วนำไปแพร่ผู้สูงอายุที่บ้าน ห่วงติดเชื้อในที่ทำงาน ย้ำ Work From Home งดรวมกลุ่มกินข้าวสังสรรค์ กระทรวงสาธารณสุขเผยแนวโน้มโควิดเริ่มชะลอตัว คาด 1-2 สัปดาห์จะลดลงหากช่วยกันควบคุม แจงคำสั่งปิดโรงเรียน เพื่อลดความเสี่ยงเด็กที่อาจติดเชื้อไม่มีอาการแล้วนำไปแพร่ผู้สูงอายุที่บ้าน ห่วงติดเชื้อในที่ทำงาน ย้ำ Work From Home งดรวมกลุ่มกินข้าวสังสรรค์ ส่วนวัคซีนซิโนแวคอีก 1 ล้านโดสเตรียมฉีด 5 กลุ่ม วันนี้ (18 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,767 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,477 ราย คัดกรองเชิงรุก 288 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ติดเชื้อ 13,488 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 13,569 ราย และเสียชีวิตสะสม 7 ราย ทั้งนี้ การระบาดส่วนใหญ่อยู่ที่เชียงใหม่ นครสวรรค์ นครราชสีมา กทม. ปริมณฑล ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ส่วนจังหวัดอื่นติดเชื้อในวงจำกัด ถ้าทุกคนร่วมมือกันจะควบคุมสถานการณ์ได้ คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะค่อยๆ ลดลง "การระบาดระลอกนี้เกิดจากสถานบันเทิง นักเที่ยวนำไปติดครอบครัว ที่ทำงาน และชุมชน เช่น กรณีโรงเรียนเอกชน จ.สมุทรปราการ ครูไปนำเชื้อติดเพื่อนร่วมงาน นักเรียน และกระจายไปยังครอบครัว รวม 32 ราย ที่เป็นห่วงคือเด็กติดเชื้อไม่ค่อยมีอาการ อาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้สูงอายุในครอบครัวเดียวกันได้ อาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต จึงต้องสั่งปิดสถานศึกษาในช่วงนี้" นายแพทย์โอภาสกล่าว นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สถานการณ์ยังพบผู้ป่วยเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มเริ่มชะลอตัว ผู้ป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้น จากการมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เริ่มมีการระบาดไปยังหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ จึงต้องร่วมกันช่วยลดผู้ติดเชื้อโดยใช้มาตรการส่วนบุคคล หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นมีมาตรการองค์กร โดยเฉพาะการทำงานที่บ้าน (Work From Home) คัดกรองผู้เข้าออก งดกิจกรรมรวมกลุ่มสังสรรค์ ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน เพราะต้องถอดหน้ากากอนามัย โดยขอให้ใส่หน้ากากให้มากที่สุดตลอดเวลาที่อยู่ใกล้กับบุคคลอื่น ล้างมือ แยกภาชนะส่วนตัว ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ขณะนี้มีประมาณ 5 แสนเม็ด อัตราการใช้อยู่ที่ 1 หมื่นกว่าเม็ดต่อวัน ถือว่าเพียงพอ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการและมอบหมายองค์การเภสัชกรรมซื้อเพิ่ม 1 ล้านเม็ด คาดว่าส่งมอบได้ปลายเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า และกำลังเจรจาสั่งซื้อเพิ่มเติมอีก 1 ล้านเม็ด สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 17 เมษายน 2564 ฉีดแล้ว 608,521 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 526,706 ราย และเข็มสอง 81,815 ราย ส่วนวัคซีนซิโนแวคอีก 1 ล้านโดสได้รับมอบและกระจายไปจังหวัดต่างๆ แล้ว จัดสรรให้ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า 599,800 โดส ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้นโยบายต้องฉีดกลุ่มนี้ให้ได้ 100% ภายใน 2 สัปดาห์ 2.ควบคุมโรคระบาดพื้นที่สีแดง 100,000 โดส 3.ผู้มีโรคประจำตัว 157,200 โดส 4.เจ้าหน้าที่ บุคลากรอื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสคนจำนวนมาก 54,320 โดส และ 5.สำรองไว้กรณีฉุกเฉิน 98,680 โดส “กรณี ส.ส.ทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เนื่องจากถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการลงพื้นที่พบประชาชนจำนวนมาก เป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อจากการทำงาน หากมีการติดเชื้ออาจมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องกักตัวจำนวนมาก ดังนั้น การให้วัคซีนจึงเป็นประโยชน์ในการควบคุมโรค” นายแพทย์โอภาสกล่าว ************************************** 18 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มวันนี้...แบงก์ปรับเวลาปิดให้บริการ ยกระดับมาตรการคุมโควิด
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 เริ่มวันนี้...แบงก์ปรับเวลาปิดให้บริการ ยกระดับมาตรการคุมโควิด ... ผู้ทำธุรกรรมทางการเงินที่ต้องไปติดต่อกับสาขาของธนาคารทุกแห่งดูทางนี้ สมาคมธนาคารไทย ประกาศแนวทางเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมถึงมาตรการป้องกันโรคสำหรับงานบริการสาขา ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข . โดยกำหนดให้ธนาคารอาจพิจารณาปิดสาขาบางแห่งชั่วคราว สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งลูกค้าสามารถใช้บริการที่ตู้ ATM หรือผ่านช่องทาง online ได้ตามปกติ และสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ปิดการบริการทาง website ของแต่ละธนาคาร . สำหรับการปรับเวลาปิดสาขาทั่วประเทศ จะเริ่มวันที่ 16 เม.ย. 64 เป็นต้นไป ดังนี้ • สาขาในห้าง / สาขาที่เปิดให้บริการ 7 วัน ปิดไม่เกินเวลา 17.00 น. • สาขาภายนอก ปิดไม่เกินเวลา 15.30 น. . นอกจากนี้ จะจำกัดช่องให้บริการและจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างที่เหมาะสม กรณีสาขาใดมีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อเข้าใช้บริการจะปิดเพื่อพ่นฆ่าเชื้อทันที และเปิดทำการเมื่อเสร็จสิ้น ส่วนพนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจเชื้อ/และทำการกักตัวเองในที่พักทันที และจัดให้มีพนักงานเข้าปฏิบัติหน้าที่แทน . ซึ่งแนวทางดังกล่าว คำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าเป็นสำคัญ โดยจะกลับมาให้บริการตามปกติเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มีบ้านทั่วไทย!! ธอส. ปิดยอดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ ขายดิบขายดี 180 รายการ ยอดขายทะลุ 145 ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 มีบ้านทั่วไทย!! ธอส. ปิดยอดประมูลขายบ้านมือสองออนไลน์ ขายดิบขายดี 180 รายการ ยอดขายทะลุ 145 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ครั้งพิเศษในเดือนเมษายน 2564 สามารถจำหน่ายทรัพย์ทั่วประเทศได้ทั้งสิ้น 180 รายการ มูลค่ากว่า 145 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ขายได้ราคาต่ำสุดมี 3 รายการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ครั้งพิเศษในเดือนเมษายน 2564 สามารถจำหน่ายทรัพย์ทั่วประเทศได้ทั้งสิ้น 180 รายการ มูลค่ากว่า 145 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ขายได้ราคาต่ำสุดมี 3 รายการ ในราคาแค่ 45,000 บาท ส่วนรายการที่จำหน่ายได้ในราคาสูงสุด 3.87 ล้านบาท คือ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น เขตหนองจอก กรุงเทพฯ พร้อมมอบส่วนลดเพิ่มให้อีก 10% เพียงโอนภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (16 เมษายน 2564) ธนาคารได้จัดงานประมูลขายทรัพย์ NPA หรือ ประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ครั้งพิเศษในเดือนเมษายน 2564 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม โดยเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยภายหลังเปิดประมูลเป็นรอบตั้งแต่เวลา 09.30 -14.00 น. ผลปรากฏว่า ธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 180 รายการ คิดเป็นมูลค่า 145.18 ล้านบาท แบ่งเป็น ทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 44 รายการ มูลค่า 27.88 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาคจำนวน 136 รายการ มูลค่า 117.30 ล้านบาท รายการทรัพย์ที่มีราคาจำหน่ายต่ำสุดในครั้งนี้มีจำนวน 3 รายการ คือ ห้องชุด ขนาด 26.25 ตารางเมตร โครงการปลาทอง จ.ปทุมธานี จำนวน 2 รายการ และห้องชุด ขนาด 24.5 ตารางเมตร โครงการเลิศมงคลทองคอนโด 2 จ.สมุทรปราการ ซึ่งผู้ซื้อได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาเพียง 45,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่มีผู้สนใจประมูลมากที่สุด คือ ห้องชุด ขนาด 21.52 ตารางเมตร โครงการพฤกษาคอนโดมิเนียม อ.สามพราน จ.นครปฐม ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 75,000 บาท ปิดประมูลในราคา 95,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ที่มีราคาจำหน่ายสูงที่สุด คือ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 85.5 ตารางวา โครงการหมู่บ้านลอร่าวิลล์ พาร์คโฮม เขตหนองจอก กรุงเทพฯ จำหน่ายได้ในราคา 3,870,000 บาท ซึ่งการที่ยังมีผู้สนใจประมูลทรัพย์ NPA ของธนาคารเป็นจำนวนมากนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของทรัพย์ NPA ของธนาคารที่ยังคงเป็นที่ต้องการของประชาชน และการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ถือเป็นช่องทางที่สะดวก รวดเร็วและปลอดภัยอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชนะการประมูล ธนาคารยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการมีบ้าน โดยให้สิทธิ์เลือกใช้มาตรการพิเศษ อาทิ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน หรือ เทดาวน์และยื่นกู้เลย ก็ได้สิทธิ์เลือกใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!!! หากโอนภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ประมูลซื้อได้ ส่วนผู้ที่พลาดการประมูลในครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมการประมูลทรัพย์ NPA แบบออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ประจำเดือนเมษายน 2564 นี้ได้อีกครั้ง ในวันที่ 23 เมษายน 2564 ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โทร. 02-202-1980-5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 ล้านตัว! ปล่อยพันธุ์ปลา ฟื้นฟูประมงน้ำจืดใน กทม.
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 3 ล้านตัว! ปล่อยพันธุ์ปลา ฟื้นฟูประมงน้ำจืดใน กทม. ... “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ไทยเราขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ วันนี้ทรัพยากรธรรมชาติมีพื้นที่น้อยลง เนื่องจากการขยายตัวของเมือง รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงทำโครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาน้ำจืด โดยปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดจำนวน 3 ล้านตัว ในแหล่งน้ำสาธารณะของพื้นที่ กทม. ฝั่งตะวันออก จำนวน 6 จุด ครอบคลุม 3 เขต ได้แก่ หนองจอก มีนบุรี และลาดกระบัง . พันธุ์ปลาดังกล่าว ประกอบด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลากาดำ และปลาหมอไทย พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในชุมชนโดยรอบ ให้เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ . โดยมุ่งหวังว่าพันธุ์ปลาที่ปล่อยนี้ จะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรและประชาชน ได้อย่างยั่งยืน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 “มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย”
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 เคาะ! กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 “มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย” ... ประเทศไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร? จะเดินหน้าไปในทิศทางใด? แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คือสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพประเทศในอนาคตได้อย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจะจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุก ๆ 5 ปี . สำหรับในปี พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งนับเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยรัฐบาลได้กำหนดกรอบแนวทาง คือ “มุ่งพลิกโฉมประเทศไทย” (Thailand’s Transformation) ให้เท่าทันและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก มุ่งสร้างสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต พร้อมรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ไทยเป็นประเทศที่มี “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” . โดยมี 13 หมุดหมาย (milestone) ที่ไทยจะให้ความสำคัญในช่วงระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ ได้แก่ 1.ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2.ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน 3.ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4.ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง . 5.ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 6.ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน 7.ไทยมีผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8.ไทยมีพื้นที่และเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ ทันสมัย และน่าอยู่ . 9.ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 10.ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ 11.ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 12.ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต 13.ไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง . ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ การประชุมระดมความเห็นจาก 18 กลุ่มจังหวัด การประชุมระดมความเห็นกลุ่มเฉพาะ และการระดมความเห็นผ่านสื่อออนไลน์และสื่อสาธารณะ จากนั้นจะเสนอร่างแผนพัฒนาฯ ให้ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40978
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ป้องกันขาดแคลน-ขายเกินราคา สำรวจกำลังผลิต 4-5ล้านชิ้น/วัน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 รัฐบาลติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ป้องกันขาดแคลน-ขายเกินราคา สำรวจกำลังผลิต 4-5ล้านชิ้น/วัน รัฐบาลติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ป้องกันขาดแคลน-ขายเกินราคา สำรวจกำลังผลิต 4-5ล้านชิ้น/วัน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแนวทางป้องกันการขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง มีกระบวนการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย ผ่านคณะอนุกรรมการบูรณาการการบริหารพัสดุ สำหรับการป้องกัน ควบคุม การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีหน้ากากอนามัยและพัสดุที่เกี่ยวข้องใช้อย่างเพียงพอ ทั้งในสถานพยาบาลและประชาชนทั่วไป รวมถึงได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ซึ่งล่าสุด คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมและประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ โดยมี สาระหลัก คือ 1)กำลังการผลิตจากโรงงาน 63 แห่งภายในประเทศ ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยในท้องตลาด ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านา (เดือนมกราคม-มีนาคม 2564) รวมวันละ 4-5 ล้านชิ้นต่อวัน มีการนำเข้าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 28.69 ล้านชิ้น และที่ไม่ได้ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 228.13 ล้านชิ้น หน้ากากผ้าลิขสิทธิ์ จำนวน 238.23 ล้านชิ้น และหน้ากากกันฝุ่นในโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 992.98 ล้านชิ้น 2)มีการเตรียมการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้มีความพอเพียงกับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศในช่วงนี้แล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ 3)กรมการค้าภายใน สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามตรวจสอบคุณภาพหน้ากากอนามัยในท้องตลาดให้เป็นไปตามมาตรฐาน ดำเนินการจับกุมผู้ลักลอบนำหน้ํากากอนามัยใช้แล้วมาจําหน่ายใหม่ และควบคุมราคาจำหน่ายให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดอย่างเคร่งครัด นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้กำหนดราคาจำหน่ายและการแจ้งข้อมูลหน้ากากอนามัย โดยผู้ขายจะต้องขายหน้ากากอนามัย (Surgical mask) ไม่เกิน 2.50 บาทต่อชิ้น การส่งออกต้องขออนุญาตและเป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ท่ีเก่ียวข้อง หากประชาชนพบข้อมูลเบาะแสการจำหน่ายเกินราคาสามารถแจ้งสายด่วน กรมการค้าภายใน หมายเลข 1569 ได้ทันที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อ Rapid Test ตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อ Rapid Test ตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อข้อมูลแชร์ในโซเชียลฉีดวัคซีนโควิด 19 ซิโนแวคแล้วภูมิไม่ขึ้น ชี้ชุดตรวจเร็วหลายชนิดใช้ตรวจภูมิคุ้มกันกรณีฉีดวัคซีนไม่ได้ ต้องตรวจด้วยวิธีเฉพาะ กระทรวงสาธารณสุข เตือนอย่าหลงเชื่อข้อมูลแชร์ในโซเชียลฉีดวัคซีนโควิด 19 ซิโนแวคแล้วภูมิไม่ขึ้น ชี้ชุดตรวจเร็วหลายชนิดใช้ตรวจภูมิคุ้มกันกรณีฉีดวัคซีนไม่ได้ ต้องตรวจด้วยวิธีเฉพาะ ซึ่งวิธีที่ดูความสามารถในการกำจัดเชื้อต้องทำในห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ยืนยันฉีดวัคซีนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ได้ บ่ายวันนี้ (18 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลว่าฉีดวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวค ครบ 2 เข็มแล้วตรวจด้วยชุดตรวจเร็ว (Rapid Test) ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น ว่า การตรวจด้วยชุดตรวจเร็วบางชนิดเป็นการตรวจปลอกหุ้มสารพันธุกรรม (Neucleocapsid protein) จะไม่สามารถตรวจพบได้ การตรวจภูมิคุ้มกันต้องใช้วิธีตรวจที่เฉพาะต่อ spike protein วิธีหนึ่งที่เป็นมาตรฐาน คือ PRNT (Plaque Reduction Neutralization Test) โดยการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโคโรนาไวรัส และต้องตรวจในห้องปฏิบัติการที่มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 โดยนำน้ำเหลือง (serum) ของผู้ที่ได้รับวัคซีนมาใส่ในจานเพาะเชื้อที่มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่าง ๆ และเจือจางเลือดลงครั้งละเท่าตัว จนถึงจุดที่สามารถทำลายเชื้อไวรัสลงครึ่งหนึ่ง จะเป็นจุดที่บ่งบอกระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อ spike protein ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประมาณ 15 วันหลังฉีดครบ 2 เข็ม ก็พบว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้น และผลตรวจของตนเองหลังฉีดซิโนแวค 2 เข็ม 14 วัน พบว่า มีระดับภูมิคุ้มกันสามารถทำลายไวรัสสายพันธุ์ที่พบแรกๆ ในประเทศตั้งแต่เริ่มมีการระบาด มีระดับสูงถึง 115 สายพันธุ์อู่ฮั่นระดับภูมิคุ้มกันสูง 85 และสายพันธุ์ที่ระบาดช่วงเดือนมกราคม 2564 สูง 90 ส่วนระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ G ที่กำลังระบาดทั่วโลกลดลงอยู่ที่ 40-50 ซึ่งยังสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่บริษัทซิโนแวคได้วิจัยเพื่อยื่นขอทะเบียนที่หลังฉีด2 เข็ม มีระดับภูมิคุ้มกันเฉลี่ยอยู่ที่ 24 รวมทั้งงานวิจัยของประเทศชิลีพบว่าหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค 1 เดือนภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยหลังฉีด 14 วันระดับภูมิคุ้มกันสูงร้อยละ 47.8, หลังฉีด 28 วัน และหลังฉีด 42 วัน ร้อยละ 95.6 เท่ากัน โดยมีระดับภูมิคุ้มกันสูงเป็นพัน เป็นข้อยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคได้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค และอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยระดับภูมิคุ้มกันโรคในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในคนไทย นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับเครือข่าย เฝ้าระวัง ติดตามการกลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล แคลิฟอร์เนีย ไนจีเรีย และล่าสุดคือสายพันธุ์อินเดีย B1.617 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง คือ E484 และ L452 ขณะนี้ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการกลายพันธุ์เกี่ยวข้องการการระบาดที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียเพิ่มขึ้นมากหรือไม่ ทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือไม่ และวัคซีนสามารถป้องกันได้หรือไม่ ************************************** 18 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาจริง! ติดกล้องจับ - ปรับรถยนต์วิ่งไหล่ทางซ้ายบนทางด่วน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 เอาจริง! ติดกล้องจับ - ปรับรถยนต์วิ่งไหล่ทางซ้ายบนทางด่วน ... จากสถิติในปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่าอุบัติเหตุบนทางพิเศษหรือทางด่วนกว่า 50% เกิดจากการขับรถเร็ว การเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน และการวิ่งบนไหล่ทาง ส่งผลให้ขณะนี้ได้มีการออก 2 มาตรการความปลอดภัยบนทางพิเศษ รวมถึงการเตรียมออกกฎหมายความเร็วบนทางด่วนใหม่ในอนาคต . มาตรการความปลอดภัยบนทางพิเศษที่รัฐบาลตั้งเป้าดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 ประกอบด้วย 1.การติดตั้งป้ายแจ้งเตือนความเร็ว (Your Speed Sign) ที่ทำงานควบคู่กับกล้องตรวจจับความเร็ว โดยจะติดตั้งให้ครอบคลุมทั้ง 4 เส้นทางพิเศษ รวมทั้งสิ้น 17 จุด ซึ่งขณะนี้ดำเนินการเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง คือ ทางพิเศษบูรพาวิถี เเละทางพิเศษเฉลิมมหานคร 2.การติดตั้งกล้องตรวจจับรถยนต์วิ่งไหล่ทางซ้าย (ช่องทางฉุกเฉิน) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนไหล่ทาง มีทั้งสิ้น 32 จุด บน 4 เส้นทางพิเศษ โดยขณะนี้ได้ติดตั้งบนทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เรียบร้อยแล้ว . จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่ฝ่าฝืนขับรถในช่องไหล่ทางบนทางด่วน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ มิเช่นนั้นรถของท่านจะถูกบันทึกข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการออกใบสั่งต่อไป ซึ่งมีโทษปรับ 1,000 บาท เช่นเดียวกับกรณีขับรถแร็วเกิน 120 กม./ชม. ที่มีโทษปรับ 500 บาท ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 นะครับ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40984
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้างานทะเบียนราษฎร สู่ระบบดิจิทัล
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 เดินหน้างานทะเบียนราษฎร สู่ระบบดิจิทัล ... อีกไม่นานเกินรอครับ เราทุกคนจะสามารถแจ้งย้ายที่อยู่ รวมถึงทำธุรกรรมด้านทะเบียนราษฎรได้เพียงปลายนิ้ว เพราะล่าสุด ครม. ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้านบริการงานทะเบียนราษฎร อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ตามวิถี New Normal . อธิบายง่าย ๆ คือ เป็นการพัฒนาระบบการพิสูจน์ยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับจัดเก็บข้อมูล ผ่านการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของประชาชน และลงทะเบียนที่สำนักงานทะเบียนอำเภอ/ท้องถิ่น เพื่อยืนยันตัวตนผ่านระบบตรวจสอบลายนิ้วมือและภาพใบหน้า โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ มีดังนี้ . 1.กำหนดให้สำนักงานทะเบียนกลางต้องจัดให้มีการบริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยสามารถขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัลได้ด้วยตนเอง . 2.วิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียม และการรับรองรายการทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล โดยระยะแรกจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทางอัตโนมัติ เป็นเวลา 1 ปี รวมถึงเปิดให้บริการเกี่ยวกับการตรวจข้อมูลส่วนบุคคลผ่านระบบฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center) การจองคิวรับบริการงานทะเบียนล่วงหน้า และการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทาง . และในอนาคตจะขยายบริการงานทะเบียนราษฎรประเภทอื่นในรูปแบบดิจิทัลเพิ่มเติม เช่น การตรวจคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนราษฎร การแจ้งย้ายเข้า – ย้ายออก การแจ้งเกิด การแจ้งตาย เป็นต้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40981
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยังไม่เก็บ! ค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคเกษตรกรรม
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ยังไม่เก็บ! ค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคเกษตรกรรม ... จากกระแสความกังวล เรื่องการเก็บค่าใช้น้ำสาธารณะในภาคการเกษตร ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ว่าจะเป็นภาระซ้ำเติมเกษตรกรที่มีรายได้น้อยนั้น รัฐบาล ยืนยัน ว่าภายใน 2 ปีนี้ ยังไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำอย่างแน่นอน เนื่องจากยังต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ และรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปถึงอัตราและรูปแบบการเก็บค่าใช้น้ำสาธารณะที่เหมาะสม และเป็นธรรม . หลักการสำคัญ คือ เพื่อให้ผู้ใช้น้ำ วางแผนการใช้น้ำอย่างเหมาะสม โดยแบ่งการใช้น้ำสาธารณะออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. เพื่อดำรงชีพ เช่น กินใช้ในครัวเรือน ทำเกษตร ปศุสัตว์เลี้ยงชีพ รักษาระบบนิเวศ บรรเทาสาธารณภัย คมนาคม เป็นต้น 2. เพื่ออุตสาหกรรม เช่น การท่องเที่ยว การผลิตไฟฟ้า ประปา เป็นต้น 3. เพื่อกิจการขนาดใหญ่ เช่น การท่องเที่ยว หรือใช้น้ำมากจนอาจส่งผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง เป็นต้น . แนวทางเบื้องต้น คือ การใช้ประเภทที่ 1 กินใช้ในครัวเรือน และ ทำเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพในรอบแรกของปี นั้น “ไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำ” แต่หากทำรอบที่ 2 ในพื้นที่มากกว่า 66 ไร่ จะต้องเก็บค่าใช้น้ำ เพื่อสร้างความตระหนักให้ลดการใช้น้ำช่วงหน้าแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรักษาระบบนิเวศ การผลักดันน้ำเค็ม และทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำได้ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40983
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดระดมความคิดเห็น (ร่าง) แผนแม่บทฯ การส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงาน
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ดีอีเอส จัดระดมความคิดเห็น (ร่าง) แผนแม่บทฯ การส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงาน ดีอีเอส จัดระดมความคิดเห็น (ร่าง) แผนแม่บทฯ การส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงาน เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564 – 2568 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 5 ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยในช่วงเช้า เป็นการสรุปสถานการณ์ประเทศไทยเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ “เสวนาเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงาน” ส่วนช่วงบ่าย เป็นการสรุปการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ เมื่อวันที่ 15-19 มีนาคม 2564 และนำเสนอ (ร่าง) แผนแม่บทฯ ก่อนหน้านี้ สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ร่วมกับ สถาบันวิชาการนโยบายกิจการสาธารณะกับธุรกิจและการกำกับดูแล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดให้ผู้สนใจเข้าร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นต่อ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564 – 2568 “กิจกรรมจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564 – 2568 ภายใต้โครงการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งจัดในรูปแบบออนไลน์ เรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 ครั้ง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในระหว่างวันที่ 15 – 19 มีนาคม 2564 โดยกำหนดการประชุมแต่ละครั้ง ประกอบด้วย ช่วงเช้า เป็นการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ช่วงบ่าย เป็นการนำเสนอ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564 – 2568 ซึ่งการประชุมออนไลน์ที่ผ่านมา มีรายละเอียด ดังนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 1 วันที่ 15 มีนาคม 2564 ​สำหรับกรุงเทพฯ/ปริมณฑล การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 2 วันที่ 16 มีนาคม 2564 สำหรับภาคเหนือ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 3 วันที่ 17 มีนาคม 2564 สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 4 วันที่ 18 มีนาคม 2564 สำหรับภาคตะวันออก การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 5 วันที่ 19 มีนาคม 2564 สำหรับภาคใต้ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40816
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนบริหารจัดการผลไม้
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 แผนบริหารจัดการผลไม้ ก.เกษตรฯ เห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออก (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) และแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือ (ลิ้นจี่) ปี 2564 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออก ปี 2564 (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) เพื่อบริหารจัดการให้เป็นไปตามกลไกตลาดปกติ รวมทั้งสิ้น 900,126 ตัน แบ่งเป็น ทุเรียน 575,542 ตัน มังคุด 106,796 ตัน เงาะ 197,708 ตัน และลองกอง 20,080 ตัน และเห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือ (ลิ้นจี่) ปี 2564 รวม 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา จำนวน 30,716 ตัน โดยจะมีการกระจายผลผลิตภายในประเทศ 25,620 ตัน การแปรรูป 2,831 ตัน และการส่งออก 2,265 ตัน นอกจากนี้ ยังเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 - 2570 ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 เพิ่มประสิทธิ์ภาพระบบบริหารจัดการผลไม้ในการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าไม้ผล ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดไม้ผลด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างความเข้มแข็งและความเสมอภาคให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรไม้ผล ยุทธศาสตร์ที่ 4 บริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตผลไม้ครบวงจร และยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาเครือข่ายการส่งออกและระบบโลจิสติกส์ และเปลี่ยนชื่อจากแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 - 2570 เป็นแนวทางการพัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2565 - 2570
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำอีกครั้ง! รัฐบาลไม่ผูกขาดจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า ชี้ปัญหาหลักความต้องการทั่วโลกสูงกว่าการผลิตหลายเท่า อย.พร้อมออกใบอนุญาตหากเอกชนจัดหาวัคซีนได้
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ย้ำอีกครั้ง! รัฐบาลไม่ผูกขาดจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า ชี้ปัญหาหลักความต้องการทั่วโลกสูงกว่าการผลิตหลายเท่า อย.พร้อมออกใบอนุญาตหากเอกชนจัดหาวัคซีนได้ ย้ำอีกครั้ง! รัฐบาลไม่ผูกขาดจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ไม่ปิดกั้นเอกชนนำเข้า ชี้ปัญหาหลักความต้องการทั่วโลกสูงกว่าการผลิต อย.พร้อมออกใบอนุญาตหากเอกชนจัดหาวัคซีนได้ ควบคู่การดูแลความปลอดภัยของประชาชนเนื่องจากวัคซีนทุกบริษัทยังเป็นรูปแบบ Emergency Use วันที่ 8 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนให้ประชาชนเกิดความสับสนโดยต่อเนื่องว่า รัฐบาลผูกขาดการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ที่ผู้ผลิตเพียงไม่กี่บริษัท และยังแสดงข้อความที่ทำให้เข้าใจว่ารัฐบาลปิดกั้นไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีนนั้น รัฐบาลขอย้ำอีกครั้ง แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ชี้แจงกรณีนี้ในหลายโอกาสแล้วว่า รัฐบาลไม่ได้ผูกขาดการจัดซื้อวัคซีนเพียงบางบริษัท และไม่ได้ปิดกั้นที่เอกชนจะนำเข้าวัคซีนแต่อย่างใด ทั้งนี้ ประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนคือเวลานี้ความต้องการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากทุกประเทศทั่วโลกมีสูงกว่าความสามารถในการผลิตของผู้ผลิตทุกราย หรือเรียกว่าดีมานมากกว่าซัพพลาย ตลาดเป็นของผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ และผู้ผลิตทุกรายซึ่งผลิตวัคซีนด้วยมาตรฐานสากล ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก(WHO) เวลานี้ก็ผลิตเพื่อส่งให้ประเทศต่างๆ ที่ทำการสั่งซื้อไว้แล้วเป็นหลักเท่านั้น โดยข้อมูลของของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ที่รวบรวมจากแหล่งต่างๆ พบว่า ณ วันที่ 5 เม.ย. 2564 ทุกประเทศทั่วโลกมียอดจองวัคซีนโควิด-19 รวมสูงถึง 9,600 ล้านโด๊ส เพราะหลายประเทศมีคำสั่งซื้อสูงกว่าจำนวนประชากร 2-3 เท่าตัว ขณะยอดวัคซีนที่มีการฉีดแล้วอยู่ที่ 658 ล้านโด๊ส แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตยังต้องผลิตตามยอดคำสั่งซื้อของรัฐบาลประเทศต่างๆ อีกจำนวนมาก ดังนั้น แม้ขณะนี้รัฐบาลจะนำเข้าวัคซีนจากบริษัทคือซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า แต่ก็มีความพยายามจัดหาวัคซีนจากบริษัทอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอกับประชาชนในประเทศ แต่ยังมีข้อจำกัดการผลิตของผู้บริษัทรายอื่นที่ยังไม่เพียงพอตามข้อมูลข้างต้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ยังมีอีกประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีการกล่าวถึงกันมากนักคือ วัคซีนจากผู้ผลิตทุกรายในเวลานี้เป็นการใช้แบบกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use) นั่นคือหากเกิดอะไรขึ้นจากการใช้วัคซีนกับประชาชน รัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบไม่ใช่บริษัทผู้ผลิต จึงทำให้ขณะนี้เกือบทุกประเทศทั่วโลกรัฐบาลจะเป็นผู้จัดหาและนำเข้าวัคซีน โดยถือว่าวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ(Public Goods) ยังไม่มีประเทศใดที่ให้ซื้อวัคซีนโควิด-19ได้เองแบบเชิงพาณิชย์(Commercial) และยังมีประเด็นที่รัฐบาลต้องระมัดระวังอีกคือ เมื่อกระจายการสั่งซื้อไปยังเอกชนแล้วอาจจะต้องบริหารจัดการอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่าประชาชนได้รีบวัคซีนปลอม “ขณะนี้ยังคงมีความพยายามสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเรื่องวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นการนำเข้าโดยเอกชน ซึ่งในประเด็นนี้ทั้งรัฐบาลไม่ขัดข้องที่เอกชนจะนำเข้า แต่ปัญหาอยู่ที่ ความต้องการวัคซีนทั่วโลกมีสูงกว่าความสามารถในการผลิต ทำให้เอกชนเองก็หาวัคซีนไม่ได้ ขณะเดียวกันผู้ผลิตวัคซีนหลายรายก็ไม่ขายให้รายย่อย เช่น จอห์นสันแอนด์จอห์นสันห์ก็บอกชัดเจนว่าในระยะแรกจะขายให้หน่วยงานของรัฐเท่านั้น ของจีนก็ต้องมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้สั่ง สถานการณ์วัคซีนทั่วโลกเวลานี้เป็นแบบนี้ แต่แนวทางของรัฐบาลเองชัดเจนว่าหากเอกชนรายใดหาวัคซีนได้องค์การอาหารและยา(อย.)ก็พร้อมออกใบอนุญาตให้อยู่แล้ว”น.ส.ไตรศุลี กล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว 3 บริษัท คือ ซิโนแวค แอซตร้าเซนเนกา และ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ส่วนที่อยู่ในขั้นตอนยื่นเอกสารแบบต่อเนื่อง หรือ rolling submission คือวัคซีนของบริษัท บารัต ไบโอเทค เทคโนโลยี ประเทศอินเดีย นำเข้าโดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่อยู่ในขั้นตอนการหารือกับ อย. เพื่อเตรียมการยื่นคำขอขึ้นทะเบียน คือวัคซีนโมเดอร์นา จากสหรัฐฯ วัคซีนสปุตนิก ไฟว์ จากรัสเซีย และวัคซีน ซิโนฟาร์ม จากจีน -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันดำเนินการตามมติคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันดำเนินการตามมติคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) มีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขอให้ ทอท. ดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ตามข้อศึกษาของ ป.ป.ช. และ มติ ครม. ทอท. ในฐานะผู้บริหาร ทสภ. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ทอท. ได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถอาคารผู้โดยสาร ทสภ. โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ ทอท. ดำเนินการพัฒนา ทสภ. โดยก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ทิศตะวันตก (West Expansion) และทิศเหนือ (North Expansion) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ ทสภ. ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 120 ล้านคนต่อปี โดยให้ ทอท. สอบถามความเห็นจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ซึ่งเป็นองค์กรสากลระดับโลกที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาการขนส่งทางอากาศ เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป ขณะเดียวกันในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ได้รับทราบข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการดังกล่าว โดยขอให้ ทอท. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2557 ที่ให้ดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ หลังจากนั้นจึงพิจารณาก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือเป็นลำดับถัดไป ทอท. ไม่ได้นิ่งนอนใจในข้อกังวลของ ACT และที่ผ่านมา ทอท. ดำเนินการตามกระบวนการทุกขั้นตอน ทั้งการรับฟังความคิดเห็น และรวบรวมข้อเสนอแนะจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากนี้เมื่อ ทอท. ได้รับผลการทบทวนและการศึกษาอย่างเป็นทางการจาก IATA และ ICAO เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตามกฎระเบียบแล้ว หากการพิจารณาให้ดำเนินการอย่างไร ทอท. พร้อมปฏิบัติตาม และยืนยันว่าการดำเนินงานของ ทอท. ดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๑๓๔ ปี กระทรวงกลาโหม
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ๑๓๔ ปี กระทรวงกลาโหม ๘ เมษายน ๑๕๖๔ วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินสร้างเป็นโรงทหารหน้าเพื่อกิจการของทหาร โดยมี นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการกรมทหารหน้า เป็นแม่กองการก่อสร้างใช้เวลาก่อสร้าง ๓ ปี (พ.ศ.๒๔๒๕ - ๒๔๒๗) ค่าก่อสร้างอาคารและค่าตกแต่งรวมทั้งสิ้น ๕๗๐,๐๐๐ บาท และในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๒๗ พระองค์ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพระราชพิธีเป็นปฐมฤกษ์ในการเปิดอาคารที่ทำการทหารแห่งนี้และพระราชทานนามอาคารว่า "โรงทหารหน้า"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เร่งบูรณาการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางประสบภัยจากพายุฤดูร้อนกว่า 120 ครัวเรือน
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 รมว.พม. ลงพื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เร่งบูรณาการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางประสบภัยจากพายุฤดูร้อนกว่า 120 ครัวเรือน รมว.พม. ลงพื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เร่งบูรณาการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางประสบภัยจากพายุฤดูร้อนกว่า 120 ครัวเรือน วันนี้ (8 เม.ย. 64) เวลา 10.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ วัดบ้านหนองกะท้าว (วัดใหญ่) หมู่ 10 ตำบลหนองกะท้าว อำเภอนครไทย เพื่อติดตามความช่วยเหลือตามภารกิจกระทรวง พม. สำหรับครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากเหตุภัยพิบัติพายุฤดูร้อน จำนวน 127 ครัวเรือน โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกัน จากนั้นเดินทางไปลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ประสบภัย จำนวน 2 ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ประกอบด้วย 1) ครอบครัวผู้สูงอายุ วัย 77 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวและร่างกายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ อาศัยอยู่กับลูกชายและครอบครัว ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากหลังคาบ้านพังเสียหายอย่างหนัก จนต้องนำผ้าใบมาคลุมแทนหลังคา และต้องพักอาศัยเพียงชั้นล่างของบ้าน และ 2) ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก มีฐานะยากจน ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากคานบ้านหัก และเสาบ้านเอียง อีกทั้งบ้านเรือนมีสภาพเก่าทรุดโทรม ทำให้ไม่สามารถพักอาศัยได้และต้องย้ายมาอยู่เพิงสักกะสีชั่วคราว นอกจากนี้ ได้พูดคุยถึงปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ เพื่อเร่งบูรณาการแนวทางช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ นายจุติกล่าวว่า วันนี้ ตนเป็นตัวแทนของรัฐบาลมาลงพื้นที่ด้วยความตั้งใจที่จะมาพบกับพี่น้องประชาชนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ทิ้งกัน อะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ เราก็จะมาเยี่ยมดูแลกัน ซึ่งตนทราบว่า มีหลายตำบลประสบภัยจากเหตุการณ์พายุทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหาย กระทรวง พม. จึงได้เดินทางมาลงพื้นที่ที่นี่และจะไปยังอำเภอเนินมะปราง โดยรัฐบาลพยายาม จะทำงานให้ประชาชนทุกคนอย่างเต็มที่ และกระทรวง พม. จะดูแลประชาชนตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเสียชีวิต และดูแลคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หรือคนพิการที่อยู่บ้านติดเตียง โดยเราจะดูแลร่วมกับกระทรวงสาธารณะสุขและหน่วยงานท้องถิ่น นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย หากมีอะไรอยากให้ทุกท่านสื่อสารกันผ่านทางผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. นายอำเภอ หรือผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เราในฐานะที่เป็นคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายมาดูแลประชาชนจะทำให้ทุกท่าน มีความเข้มแข็งให้ได้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะทำอย่างจริงจัง และเราได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ จากที่เคยให้กระทรวงมหาดไทยทำงานเพียงกระทรวงเดียว เราจะมีอีก 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เข้ามาช่วยกัน และพยายามที่จะให้มีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพิ่มขึ้น จะได้ไว้คอยสื่อสาร คอยชี้เป้าเฝ้าระวังว่าในหมู่บ้าน มีใครที่ต้องการความช่วยเหลือบ้าง ทำให้การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีความเข้าใจระบบความช่วยเหลือของรัฐมากขึ้น ซึ่งวันนี้ การให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ด้วยการซ่อมแซมบ้าน โดยมาดูว่าใครเสียหายมากน้อยแค่ไหน เพราะการช่วยเหลือกจะแตกต่างกันไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ กระทรวง พม. ตั้งใจมาลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้และเราจะไม่ทิ้งทุกท่านยามที่ท่านลำบากอย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ครั้งที่ 1/2564
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ครั้งที่ 1/2564 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เพื่อสร้างระบบการแปรรูปสินค้าเกษตร เมื่อวันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยมี นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ เป็นประธาน มีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร และสถาบันการศึกษา เข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีมติรับทราบและพิจารณาในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่นำเสนอ เช่น ขนาดพื้นที่เขตอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารขนาดเล็ก พื้นที่ 5 - 10 ไร่ (ขอเพิ่ม) ผู้ประกอบการพิเศษ SME และเพิ่ม Future Food เข้าไป ให้มี Product ในกลุ่มจังหวัด แบ่งตามพื้นที่ size แต่ละขนาด และจัดทำแผนทั้ง 18 กลุ่ม เพื่อเป็นการปฏิรูปภาคเกษตรโครงการหนึ่งกลุ่มจังหวัด หนึ่งนิคมอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ให้ครบทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด เพื่อสร้างระบบการแปรรูปสินค้าเกษตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทจับมือ 4 หน่วยงานสถาบันชั้นนำด้านวิศวกรรม แถลงข่าวการเพิ่มความปลอดภัยบนทางหลวงด้วยกำแพงคอนกรีต (Concrete Barrier)
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 กรมทางหลวงชนบทจับมือ 4 หน่วยงานสถาบันชั้นนำด้านวิศวกรรม แถลงข่าวการเพิ่มความปลอดภัยบนทางหลวงด้วยกำแพงคอนกรีต (Concrete Barrier) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จัดแถลงข่าวการเพิ่มความปลอดภัยบนถนนทางหลวงโดยกำแพงคอนกรีต (Concrete Barrier) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จัดแถลงข่าวการเพิ่มความปลอดภัยบนถนนทางหลวงโดยกำแพงคอนกรีต (Concrete Barrier) โดยมีนายไกวัลย์ โรจนานุกูล รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายโกสินท์ พิทยะเวสด์สุนทร นายวิศว์ รัตนโชติ วิศวกรใหญ่กรมทางหลวงชนบท นายทวี แสงสุวรรณโณ ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์ วิจัยและพัฒนา รักษาการในตำแหน่งวิศวกรใหญ่กรมทางหลวงชนบท พร้อมด้วย ดร.วีรเดช ชีวาพัฒนานุวงศ์ วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ สำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวงชนบท รศ.อาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสำนักเครื่องมือวิทยาศาสตร์และการทดสอบ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ดร.อาณัติ หาทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และ ผศ.ดร.ปรีดา พิชยาพันธ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมคุณากูลสวัสดิ์ อาคาร 4 ชั้น 9 กรมทางหลวงชนบท บางเขน กรุงเทพฯ การจัดงานแถลงข่าวการเพิ่มความปลอดภัยบนทางหลวงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเพิ่มความปลอดภัยบนทางหลวง โดยกำแพงคอนกรีต (Concrete Barrier) ให้กับประชาชน ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชน โดยสังเกตได้จากสถิติของ WHO 2016 ได้รายงานอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนของประเทศไทยมีการเสียชีวิตกว่า 32.7 รายต่อ 100,000 ประชากร และจากสถิติการชนประสานงาบนถนนทางหลวงและทางหลวงชนบทระหว่างปี พ.ศ. 2560 - 2562 พบว่า มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ รวม 712 ครั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงได้มอบนโยบายให้ทำการศึกษาเพื่อสร้างความปลอดภัยบนถนนให้กับประชาชน กระทรวงฯ จึงร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยเพื่อลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ พบว่า หากมีการชนแบริเออร์คอนกรีตแบบ Single Slope รถจะเปลี่ยนทิศทาง และเมื่อได้รับแรงกระแทกรถจะไม่เหินข้ามฝั่ง ดังนั้นกระทรวงฯ จึงแก้ปัญหาอุบัติเหตุอย่างเป็นระบบด้วยการใช้ Safe System Approach ที่ทั่วโลกยอมรับ โดยหนึ่งในมาตรการนี้มีแนวทางการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางพาราธรรมชาติ (Rubber Fender Barrier: RFB) และเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post: RGP) ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศและช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางให้สามารถพัฒนาและแปรรูปยางพาราให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และได้มีการนำไปทดสอบทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสถาบัน Korea Automobile Testing & Research Institute (KATRI) ซึ่งเป็นสถาบันการทดสอบการชนที่นานาชาติให้การยอมรับ ILAC - International Laboratory Accreditation Cooperation ด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. ปรากฏว่ารถเปลี่ยนทิศทางไม่เหินข้าม ซับแรงกระแทกได้ผลไม่เกิน 60 g สร้างความปลอดภัยจากแรงปะทะและสามารถลดอัตราความรุนแรงที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ ซึ่งสอดรับกับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์จากความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. เนื่องจากการชนจำนวน 9 ครั้ง (ในประเทศไทย 8 ครั้ง / เกาหลี 1 ครั้ง) สามารถสรุปได้ว่า เมื่อเกิดการชนกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางพาราธรรมชาติ (RFB) รถเปลี่ยนทิศทางไม่เหินข้าม สามารถรับแรงอัดได้อย่างปลอดภัยและสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดต่อผู้ใช้ทาง ซึ่งเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงฯ ขอรับงบประมาณเพื่อจัดทำแผ่นยางหุ้มแบริเออร์ (Rubber Fender Barrier) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post) และเห็นควรให้กระทรวงฯ ติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพ ความคุ้มค่า ผลตอบแทนเศรษฐกิจ และสังคมของโครงการนำร่องระยะแรก ในปีงบประมาณ 2563 ที่ได้นำร่องติดตั้งบนถนนของกรมทางหลวง (ทล.) และ ทช. โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ให้ ทล. และ ทช. ใช้งบกลางปีงบประมาณ 2563 รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งสิ้น 2,771.1784 ล้านบาท ซึ่งมีการดำเนินการก่อสร้าง RFB และ RGP จำนวน 94 โครงการ ระยะทาง 341.345 กิโลเมตร และมีผลการดำเนินงานภาพรวมก้าวหน้าไปแล้วร้อยละ 95 กระทรวงฯ ได้มีการศึกษาติดตามความคุ้มทุนโดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ร่วมกันวิเคราะห์ทั้งการประเมินตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสังคม โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบของคณาจารย์จากรายงานพบว่า แท่งคอนกรีตแบริเออร์ (Single Slope) (ยังติดตั้งไม่สมบูรณ์) สามารถรับแรงกระแทกของการชนของรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย และมีการวิเคราะห์ค่าที่เหมาะสมในการซื้อแผ่นยางครอบแท่งคอนกรีตประมาณที่ราคาแผ่นยางรมควันชั้น 3 ที่ราคาไม่เกิน 58.10 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นหากมีการติดตั้งกำแพงคอนกรีต Single Slope ระยะทางกว่า 12,000 กิโลเมตร คาดว่าจะสามารถลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 9,547.78 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดอัตราการสูญเสียและเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ สร้างรายได้และช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงฯ เพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40811