title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธาน "งานประกาศรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ ๑๑" ประจำปี ๒๕๖๔ (Thai film Dircetor Awards 2021) | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธาน "งานประกาศรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ ๑๑" ประจำปี ๒๕๖๔ (Thai film Dircetor Awards 2021)
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธาน "งานประกาศรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ ๑๑" ประจำปี ๒๕๖๔ (Thai film Dircetor Awards 2021)
วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน "งานประกาศรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ ๑๑" ประจำปี ๒๕๖๔ (Thai film Dircetor Awards 2021)โดยมี นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณอนุชา บุญยวรรธนะ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปิน ดารา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ โรงแรม เดอะสุโกศล กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ มีผู้ได้รับรางวัล อาทิ รางวัลเชิดชูเกียรติผู้กำกับผู้มีคุณูปการต่อวงการภาพยนตร์ไทย ได้แก่ คุณ ชนะ คราประยูร
รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ จิรายุ ตันตระกูล จากภาพยนตร์เรื่อง คืนยุติ-ธรรม
รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ ราณี แคมเปน จากภาพยนตร์เรื่อง อีเรียมซิ่ง
รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้แก่
พงศธร จงวิลาส จากภาพยนตร์เรื่อง อ้าย..คนหล่อลวง
รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ กัณฑ์ปวิตร ภูวดลวิศิษฏ์ จากภาพยนตร์เรื่อง คืนยุติ-ธรรม
รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ School Town King แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน บริษัท อายดรอปเปอร์ ฟิลล์ จำกัด โดยโปรดิวเซอร์ นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ถือฤกษ์ปีใหม่ไทย จัดซิมแรงงานฝึกออนไลน์ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมช.แรงงาน ถือฤกษ์ปีใหม่ไทย จัดซิมแรงงานฝึกออนไลน์
นฤมล ผุดไอเดีย จัด “ซิมแรงงาน” ให้ผู้เข้าอบรมกับ กพร. เปิดโอกาสท่องโลกดิจิทัล จัดแพ็คเกจอินเทอร์เน็ต ความเร็ว 4 Mbps ไม่ลดสปีด บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หนุนโครงการ
วันที่ 5 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้พัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานของประเทศอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมายที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 กพร. จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการซิมการ์ดพัฒนาฝีมือแรงงานออนไลน์ เพื่อสนับสนุนนโยบายด้านการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนในวัยทำงานทุกสาขาอาชีพทั้งบุคลากรภาครัฐ และภาคเอกชนให้มีความสามารถ ในการสร้างสรรค์และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาดในการประกอบอาชีพ และการพัฒนาบุคลากรในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำไปสู่การสร้างและจ้างงานที่มีคุณค่าสูงในยุคเศรษฐกิจและสังคมที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับซิมการ์ดดังกล่าว เป็นซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตแบบเติมเงินรายเดือน แพ็คเกจอินเทอร์เน็ต ความเร็ว 4 Mbps แบบไม่ลดความเร็ว (Unlimited Internet) โดยผู้ที่มีสิทธิ์รับซิมการ์ดไว้ใช้งานจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหรือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรม โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป โดยแนบหลักฐานบัตรประชาชน รูปถ่าย วุฒิบัตรผ่านการฝึกอบรม หรืออีเมล์ยืนยันการได้รับคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรม และชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ โดยมีค่าบริการเดือนแรก จำนวน 60 บาท (30 วัน) ค่าจัดส่งซิมการ์ด 30 บาท รวมเป็นเงิน 90 บาท และผู้ที่ต้องการใช้บริการในเดือนถัดไปจะมีค่าบริการเพียงเดือนละ 70 บาทเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทะเบียนฝึกอบรมออนไลน์กับ กพร. สามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตในราคาย่อมเยา ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“กพร. มีความตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ รวมถึงปรับรูปแบบให้สอดรับกับสถานการณ์ รับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) สามารถติดต่อสื่อสารหรือเรียนรู้ออนไลน์ ผ่าน Internet ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองให้มีทักษะที่หลากหลาย สามารถรับมือกับสถานการณ์ในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นได้ โดยหวังว่าการมอบซิมการ์ดในครั้งนี้จะทำให้สามารถเข้าถึงการฝึกอบรมของ กพร. ได้เพิ่มมากขึ้น” รมช. แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40706 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ สสส. และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม สงกรานต์ปลอดภัย เช็คอินกับครอบครัว (โควิดยังไม่จบ : สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ งดตั้งวงเหล้า-พนัน) | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
พม. จับมือ สสส. และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม สงกรานต์ปลอดภัย เช็คอินกับครอบครัว (โควิดยังไม่จบ : สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ งดตั้งวงเหล้า-พนัน)
พม. จับมือ สสส. และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม สงกรานต์ปลอดภัย เช็คอินกับครอบครัว (โควิดยังไม่จบ : สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ งดตั้งวงเหล้า-พนัน)
วันนี้ (5 เม.ย. 64) เวลา 13.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย เช็คอินกับครอบครัว” (โควิดยังไม่จบ : สวมหน้ากากเว้นระยะห่าง ล้างมือ งดตั้งวงเหล้า-พนัน) จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และภาคีเครือข่าย ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวง พม. ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็นวันสงกรานต์และถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ซึ่งพี่น้องคนไทยจะเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งรดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังมีวันสำคัญอีก 2 วัน คือ วันผู้สูงอายุ ตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุกปี และวันครอบครัว ตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีของทุกครอบครัวที่จะได้ใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ในการทำกิจกรรมแห่งความสุขร่วมกัน รวมทั้งการเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพบปะสังสรรค์กับญาติพี่น้องและครอบครัว อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว ทุกคนยังคงต้องตระหนักถึงความปลอดภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ดังนั้น เราต้องทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท และการ์ดอย่าตก อีกทั้งต้องงดการจัดกิจกรรมตามที่รัฐบาลประกาศ และรักษาระยะห่างเมื่อเข้าไปในที่แออัด เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและคนในครอบครัว ซึ่งการดูแลตนเองและดูแลครอบครัวให้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 เป็นการแสดงความรักในครอบครัวอีกรูปแบบหนึ่ง
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ร่วมกับ สสส. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และภาคีเครือข่าย จึงได้จัดกิจกรรมการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย เช็คอินกับครอบครัว” (โควิดยังไม่จบ : สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ งดตั้งวงเหล้า-พนัน) เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนร่วมทำกิจกรรม และใช้เวลาใกล้ชิดอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 และขอถือโอกาสนี้ เชิญชวนประชาชนทุกคน ร่วมกิจกรรมส่งภาพความรักความอบอุ่นในครอบครัว หรือภาพการทำกิจกรรมครอบครัวเนื่องในวันสงกรานต์ ปลอดภัย ปลอดอบายมุข ผ่านทางเฟซบุ๊กกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ตั้งแต่วันที่ 12-18 เม.ย.นี้ และจะประกาศผลเพื่อรับของรางวัล “เสื้อยืดสงกรานต์และปิ่นโตครอบครัว” จำนวน 20 รางวัล ในวันที่ 26 เม.ย. นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40698 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุชาติ รมว.รง. ย้ำขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
สุชาติ รมว.รง. ย้ำขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์
สุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. ย้ำขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวการบริโภคสินค้าในประเทศตามนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เมษายน 2564 รวม 6 วัน นั้น จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้นซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดให้ลูกจ้างเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาขอให้ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปเดินทางด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติตัวตามชีวิตวิถีใหม่ และแนวปฏิบัติในการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค COVID 19
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.ได้ประกาศ ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนามีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญในการเดินทางประการหนึ่งขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. สุชาติฯ เสนอขยายเวลาตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวถึง 16 มิ.ย. 64 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว. สุชาติฯ เสนอขยายเวลาตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวถึง 16 มิ.ย. 64
วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 มีมติเห็นชอบขยายเวลาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ) เป็น 16 มิ.ย. 64
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ได้รับทราบข้อห่วงกังวลของนายจ้าง ผู้ประกอบการ ว่าแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 บางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 แม้ว่าสถานพยาบาลของรัฐและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีความพร้อมในการให้บริการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
“กระทรวงแรงงาน ได้กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ร่วมกับคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าว และมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ให้ออกไปจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ซึ่งกระทรวงแรงงานจะนำเสนอแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องต่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อหน่วยงานต่าง ๆจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเบื้องต้นจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ มีจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานโรงพยาบาลเอกชนในการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ สถานที่ทำงานของคนต่างด้าว และสาธารณสุขจังหวัดรับรองผลการตรวจโควิด 19 และทำประกันสุขภาพ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องวิธีดังกล่าวในจังหวัดชลบุรีที่ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากที่กรมการจัดหางาน เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวแจ้งบัญชีรายชื่อ หรือข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ตามมติข้างต้น ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 64 ถึง 13 ก.พ. 64 ผลการดำเนินการล่าสุด มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 422,305 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 68,575 คน ได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 68,548 คน และทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู/ใบอนุญาตทำงาน) 24,610 คน จากการแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของคนต่างด้าว ทั้งที่มีนายจ้าง และไม่มีนายจ้าง 654,864 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ซึ่งหากครม.มีมติเห็นชอบ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามที่ที่ประชุมคบต.ได้เสนอไป คาดว่านายจ้าง/สถานประกอบการจะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ทัน โดยไม่ติดปัญหา
“อย่างไรก็ดี ขอย้ำให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง เร่งนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด อย่ารอดำเนินการช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลา โดยสามารถสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40697 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผ่อนคลายมาตรการกักตัวและเดินทางเข้าไทย | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ผ่อนคลายมาตรการกักตัวและเดินทางเข้าไทย
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษยน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลกำหนดแนวทางผ่อนคลายมาตรการกักตัวและเดินทางเข้าประเทศไทย สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากประเทศต้นทาง หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย.64 นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสู่ 6 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ จ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา เชียงใหม่ เกาะสมุย และพัทยา โดยกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7 วัน ระยะที่ 2 เดือน ก.ค.- ก.ย. เฉพาะที่ จ.ภูเก็ต ไม่ต้องกักตัว ส่วนพื้นที่นำร่องอื่นยังคงให้กักตัว 7 วัน ระยะที่ 3 ต.ค.-ธ.ค. พื้นที่นำร่อง 6 แห่ง ไม่ต้องกักตัว และระยะที่ 4 ตั้งแต่เดือน ม.ค. 65 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวที่มีใบรับรองการฉีดวัคซีนแล้ว เดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40667 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สันติ” เร่งแผนสวนป่าเบญจกิติ ระยะ2-3 เช็คความพร้อมเปิดทันวันเฉลิมฯ 12ส.ค.นี้ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
“สันติ” เร่งแผนสวนป่าเบญจกิติ ระยะ2-3 เช็คความพร้อมเปิดทันวันเฉลิมฯ 12ส.ค.นี้
“สันติ” ลงพื้นที่พัฒนาโครงการสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะ 2-3 ติดตามขั้นตอนการก่อสร้าง มั่นใจพร้อมเปิดระยะที่ 2 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 64
“สันติ” ลงพื้นที่พัฒนาโครงการสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะ 2-3 ติดตามขั้นตอนการก่อสร้าง มั่นใจพร้อมเปิดระยะที่ 2 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 64 เชิญชวนประชาชนเข้าใช้บริการสวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ แห่งใหม่
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในวันนี้ (5 เม.ย.64) ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะ 2-3 เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเปิดเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ซึ่งความคืบหน้าในการก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ภายในปีนี้
สำหรับเป้าหมายการพัฒนาสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการนำที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.4431 มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ โดยมีการออกแบบสวนสาธารณะ เป็น 2 ส่วน ภายหลังจากที่การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ามาใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ทั้งในด้านการพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกาย
ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาและออกแบบสวนป่าแห่งนี้ นอกเหนือจากเป็นแหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ที่หาได้ยาก โดยเฉพาะพันธุ์ไม้ประจำพระองค์ ยังมีการออกแบบทางวิ่ง ทางจักรยานและทางเดินรอบๆ โครงการอย่างเหมาะสม พร้อมกับยังได้มีการนำเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด (โซลาร์เซลล์) และมีการติดตั้งกังหันน้ำชัยพัฒนา เป็นระบบบำบัดน้ำที่มีประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงอาคารเดิมทั้งอาคารโกดังเดิม อาคารพิพิธภัณฑ์และอาคารแสดงสินค้า ให้สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบและตรงกับวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างโครงการดังกล่าวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันนี้ (23 เมษายน 2564) เวลา 21.00 น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 การจัดหาวัคซีน และความพร้อมการดูแลรักษาผู้ป่วย ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทาน อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถตรวจวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ รถเอ็กซ์เรย์ รถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉินเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องมือทางการแพทย์อื่น ๆ จำนวนมาก นอกจากนี้ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในนามของประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือขอขอบใจ และขอเป็นกำลังใจ รวมทั้งขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทั้งด้านทรัพยากรและบุคลากร ให้กับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนชาวไทยทุกคนอีกด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า วันนี้ไทยมียอดผู้ป่วยในประเทศ 2,070 ราย จากคลัสเตอร์ล่าสุดช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลสืบเนื่องต่อมาอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ มีการแพร่ระบาดมีความรุนแรงและเป็นวงกว้างกว่าระลอกที่ผ่านๆ มา จึงขอให้คนไทยร่วมมือ ร่วมใจกันอีกครั้ง "การ์ดไม่ตก" ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ ศบค.แนะนำ ช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ พลิกสถานการณ์กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมในเร็ววัน นายกรัฐมนตรียังสั่งให้มีความเตรียมพร้อมระบบสาธารณสุขของประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เร่งรัดกระบวนการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาการฟื้นฟูเยียวยาในอนาคตด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนที่ได้รับมอบแล้ว จำนวน 2.1 ล้านโดส ที่สามารถฉีดได้ 1.05 ล้านคน โดยได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 8.4 แสนคน กว่าครึ่งหนึ่ง เป็นบุคลาการทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงตลอดเวลา ซึ่งบุคลากรทั้งหมดจะได้รับวัคซีนครบถ้วน ภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลและ ศบค. เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 64 นี้ ที่ผ่านมาจัดหาแล้ว 64 ล้านโดส ประกอบด้วย AstraZeneca 61 ล้านโดส เริ่มส่งมอบเดือน มิถุนายนนี้ 6 ล้านโดส และเดือนต่อ ๆ ไปอีก เดือนละ 10 ล้านโดส Sinovac 2.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 2 ล้านโดส พรุ่งนี้ มาอีก 500,000 โดส ล่าสุด รัฐบาลจีนได้แจ้งบริจาควัคซีนให้ไทยอีก 500,000 โดส ในส่วนที่จะต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก 36 ล้านโดส นั้น รัฐบาลก็ประสบความสำเร็จในการเจรจาจัดหาวัคซีนสปุตนิค วี จำนวน 5-10 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 5-10 ล้านโดส ทั้งนี้ คณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมีนายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน รายงานว่าสภาหอการค้าไทย จะช่วยรัฐบาลจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างเองด้วย ประมาณ 10-15 ล้านโดส ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย ในสัปดาห์หน้า เพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและแจกจ่ายวัคซีน ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ประเทศไทยของเราสามารถมีวัคซีนเพื่อฉีดให้กับประชาชนให้ครบ 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้
นายกรัฐมนตรียีงยืนยันว่า รัฐบาลและ ศบค. มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างเต็มที่ องค์การเภสัชกรรมได้มีการสำรอง และกระจายยา ฟาวิพิราเวียร์สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนมากกว่าสามแสนเม็ด โดยมีการกระจายไปสำรองในพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว และกำลังนำเข้าเพิ่มอีก 2 ล้านเม็ด มีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด และผู้เสี่ยงติดเชื้อ รวมกว่า 28,000 เตียง ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel แม้นขณะนี้มีผู้ป่วยหลักพันต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้จำนวนเตียงลดลงอย่างมาก แต่รัฐบาลได้เตรียมมาตรการเพื่อจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยทุกคนให้ได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง มาตรการเยียวยา ผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไว้อีกประมาณ 3.8 แสนล้านบาท จาก พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.4 แสนล้านบาท งบกลางปีงบประมาณ 2564 อีก 9.9 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายบรรเทาโควิด-19 อีก 4 หมื่นล้านบาท โดยเตรียมโครงการที่จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภค รวมไปถึงโครงการที่จะก่อให้เกิดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่า เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเจริญเติบโตให้ได้โดยเร็ว
นายกรัฐมนตรียังขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เสียสละ อดทน มุ่งมั่นทุ่มเททำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ขอทุกคนช่วยกันปกป้องทีมแพทย์ของประเทศไทย ด้วยการระมัดระวังตัว ลดความเสี่ยงให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ และใส่แมสก์ให้มากที่สุดเมื่อต้องพบเจอผู้อื่น
นายกรัฐมนตรียังให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำทุกทางเพื่อให้เราผ่านวิกฤตในระลอกนี้ไปให้ได้ ทุกคนจะสู้ไปด้วยกันอีกครั้ง และเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของทุกคน ประเทศไทยจะต้องเอาชนะโรคร้ายในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41172 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ” เตือนผู้ใช้บริการร้านกาแฟมวลชน สาขาถ.วิสุทธิกษัตริย์ 16 และ 19 เม.ย.64 อาจเป็นกลุ่มเสี่ยง | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
“ปลัดเกษตรฯ” เตือนผู้ใช้บริการร้านกาแฟมวลชน สาขาถ.วิสุทธิกษัตริย์ 16 และ 19 เม.ย.64 อาจเป็นกลุ่มเสี่ยง
“ปลัดเกษตรฯ” เตือนผู้ใช้บริการร้านกาแฟมวลชน สาขาถ.วิสุทธิกษัตริย์ 16 และ 19 เม.ย.64 อาจเป็นกลุ่มเสี่ยง ย้ำกระทรวงฯ ยังเปิดทำการปกติ และสั่ง WFH 80% คุมเข้มมาตรการป้องกันอย่างเต็มกำลัง
ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีพบพนักงานร้านกาแฟมวลชนสาขากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทางออกด้านถนนวิสุทธิกษัตริย์ติดเชื้อไวรัสโควิค-19จำนวน1รายว่าล่าสุดวันนี้(23เม.ย.)พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิค-19เพิ่มจำนวน2รายซึ่งเป็นพนักงานของร้านกาแฟมวลชนโดยรายแรกทราบผลวันจันทร์ที่19เมษายน2564หลังจากทราบผลทางร้านได้ปิดทำการทันทีเวลา10.00น.พร้อมฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเวลา19.00น.และให้พนักงานในร้านกาแฟมวลชนทุกคนไปตรวจร่างกายและกักตัวต่อมาทราบผลวันศุกร์ที่23เมษายน2564พบพนักงานติดเชื้อไวรัสโควิค-19เพิ่มจำนวน2รายทางร้านจึงปิดให้บริการตั้งแต่วันที่23 – 30เมษายน2564
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมจำกัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงกำหนดมาตรการป้องกันดังต่อไปนี้
1.กรณีบุคลากร/เจ้าหน้าที่ที่ใช้บริการร้านกาแฟมวลชนสาขากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวันที่16และ19เมษายน2564ให้สังเกตอาการและปฏิบัติราชการที่บ้าน(Work from Home) 14วันซึ่งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เน้นย้ำให้ข้าราชการและบุคลากรปฏิบัติราชการที่บ้าน(Work from Home)ร้อยละ80โดยพิจารณาให้มีบุคลากรเข้ามาปฏิบัติราชการ
ที่สำนักงานเท่าที่จำเป็นจนถึงวันที่5พฤษภาคม2564และขอให้ปรับการประชุมเป็นออนไลน์ทั้งหมด
2.มาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมได้แก่2.1)การเข้า-ออกให้มีการตรวจอย่างเข้มงวดณจุดตรวจหน้าประตู2.2)การรับ-ส่งสินค้าทุกกรณีให้รับส่งของที่ป้อมยามหน้าประตู1และ2.3)โรงอาหารจำกัดที่นั่งเฉพาะผู้มาติดต่อจากภายนอกเท่านั้น
“อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมจำกัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างเข้มข้นจึงขอแจ้งข้อมูลไปยังหน่วยงานโดยรอบและผู้ที่มาใช้บริการร้านกาแฟมวลชนสาขากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อวันที่16และ19เมษายน2564อาจเข้าข่ายเป็นผู้มีความเสี่ยงเนื่องจากใกล้ชิดผู้ติดเชื้อจึงขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯยังเปิดทำการปกติโดยดำเนินการตามมาตรการป้องกันอย่างเต็มกำลังในทุกทางเพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อ”ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าว.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41161 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ คอนเฟอเรนซ์ หารือร่วม รองผู้ว่าฯ ระนอง ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ คอนเฟอเรนซ์ หารือร่วม รองผู้ว่าฯ ระนอง ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบ (Video Conference) ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน แก้ปัญหาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำสอดคล้อง
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับจังหวัดระนอง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง มอบหมายให้นายสมจิตร์ เขียนด้วง รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนองและคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดระนองเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทย โดยมอบนโยบายให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด จำนวน 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และระนอง
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ในวันนี้จึงถือโอกาสเป็นตัวแทนของรัฐบาล ร่วมรับฟังสภาพปัญหากับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่ จ.ระนอง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาในเชิงพื้นที่ (Area Based) อย่างครอบคลุม และครบทุกมิติ สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
“สำหรับประเด็นด้านแรงงาน จังหวัดระนองมีผู้ใช้แรงงานอยู่ประมาณ 130,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตร มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในจังหวัดระนอง ประมาณ 31,000 คน และกลุ่มที่เดินทางเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ประมาณ 6,000 คน ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ต้องปิดด่านและห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายแรงงานเข้า-ออกพื้นที่โดยกระทรวงแรงงาน พร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล และร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ของจังหวัดระนองต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางย้ำ! สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล กรณีเปิด รพ. สนาม รักษาโควิด-19 สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
กรมบัญชีกลางย้ำ! สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล กรณีเปิด รพ. สนาม รักษาโควิด-19 สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานพยาบาลของทางราชการไม่เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานพยาบาลของทางราชการไม่เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย และมีสถานพยาบาลหลายแห่งได้ขอหารือเกี่ยวกับกรณีเปิดสถานที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะกิจ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ว่าสามารถขอใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่ กรมบัญชีกลางได้พิจารณาตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 8 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสำหรับตนเองหรือบุคคลในครอบครัวของตน กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการทั้งประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประเภทและอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งตามหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลของทางราชการหรือสถานที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไว้ ประกอบกับการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เป็นอำนาจการบริหารจัดการของสถานพยาบาลของทางราชการ
“หากสถานพยาบาลของทางราชการมีความจำเป็นต้องเปิดสถานที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้บริการทางการแพทย์ในสถานที่ใดหรือเรียกชื่ออย่างใด สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02 127 7000 ต่อ 6852 6854 4441 หรือ Call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ ซึ่งกรมบัญชีกลางมีความห่วงใยทุกภาคส่วนของสังคมในช่วงที่เกิดวิกฤติและขอเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคนมีกำลังใจที่ดีและผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41145 |
รัฐบาลไทย-แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง แผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 การจัดหาวัคซีน และความพร้อมการดูแลรักษาผู้ป่วย 23 เมษายน 2564 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง แผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 การจัดหาวัคซีน และความพร้อมการดูแลรักษาผู้ป่วย 23 เมษายน 2564
แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เรื่อง แผนบริหารสถานการณ์โควิด-19 การจัดหาวัคซีน และความพร้อมการดูแลรักษาผู้ป่วย 23 เมษายน 2564
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในวันนี้ มีอัตราการติดเชื้อทั่วโลกประมาณ
8 แสนคน และยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในอัตราที่สูงอยู่ องค์การอนามัยโลกก็ได้เตือนว่าจะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกอีกรอบ ส่งผลให้จะเกิดการช่วงชิงทรัพยากรเพื่อใช้ในการรักษาทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยและประชาชนชาวไทย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทาน อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถตรวจวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ รถเอ็กซ์เรย์, รถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉินเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องมือทางการแพทย์อื่น ๆ จำนวนมาก เป็นต้น
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในนามของประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือขอขอบใจ และขอเป็นกำลังใจ รวมทั้งขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทั้งด้านทรัพยากรและบุคลากร ให้กับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนชาวไทยทุกคนอีกด้วย
ในวันนี้ประเทศไทยมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2,070 ราย อันเป็นผลมาจากคลัสเตอร์ล่าสุดช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ที่ยังคงส่งผลสืบเนื่องต่อมาอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยอัตราการ
แพร่ระบาดครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดมีความรุนแรงและเป็นวงกว้างกว่าระลอกที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งถ้าหากเราสามารถร่วมมือ ร่วมใจกันอีกครั้ง "การ์ดไม่ตก" ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ ศบค.แนะนำ ก็จะช่วยลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของเรา และสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้งในเร็ววัน
ทั้งนี้ รัฐบาลและ ศบค. มีการประเมินสถานการณ์-อย่างใกล้ชิด อยู่ตลอดเวลา โดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับมาตรการให้เข้มงวดขึ้น จะมีการเร่งพิจารณา และประกาศล่วงหน้าให้ได้รับทราบโดยทันที ในขณะเดียวกัน เพื่อความไม่ประมาท ผมได้สั่งการ
ให้มีความเตรียมพร้อมระบบสาธารณสุขของประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เร่งรัดกระบวนการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาการฟื้นฟูเยียวยาในอนาคตอีกด้วย
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนที่ได้รับมอบแล้ว จำนวน 2.1 ล้านโดส ที่สามารถฉีดได้ 1.05 ล้านคน โดยนับถึงวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 8.4 แสนคน กว่าครึ่งหนึ่ง เป็นการฉีดให้กับบุคลาการทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงตลอดเวลา ซึ่งบุคลากรทั้งหมดจะได้รับการวัคซีนครบถ้วนภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลและ ศบค. ก็มิได้นิ่งนอนใจ โดยได้เร่งรัดการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 64 นี้ ที่ผ่านมาเราจัดหาแล้ว 64 ล้านโดส ประกอบด้วย AstraZeneca 61 ล้านโดส เริ่มส่งมอบเดือน มิถุนายนนี้ 6 ล้านโดส และเดือนต่อ ๆ ไปอีก เดือนละ 10 ล้านโดส, Sinovac 2.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 2 ล้านโดส พรุ่งนี้ มาอีก 500,000 โดส ล่าสุดเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า รัฐบาลจีนได้แจ้งความประสงค์บริจาควัคซีนให้ไทยอีก 500,000 โดสในส่วนที่จะต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก 36 ล้านโดส นั้น รัฐบาลก็ประสบความสำเร็จในการเจรจาจัดหาวัคซีนสปุตนิค วี จำนวน 5 - 10 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 5 - 10 ล้านโดส มาเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนแล้ว และเพื่อเป็นการเติมเต็มภาครัฐ และเกิดการทำงานเชิงรุกมากขึ้น ผมได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมีนายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ซึ่งได้รับรายงานว่าสภาหอการค้าไทย จะช่วยรัฐบาลจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างเองด้วย ประมาณ 10 - 15 ล้านโดส และในอาทิตย์หน้า ผมก็จะประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย เพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและแจกจ่ายวัคซีน ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ประเทศไทยของเราสามารถมีวัคซีนเพื่อฉีดให้กับประชาชนให้ครบ 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้
ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลและ ศบค. มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้อย่างเต็มที่ องค์การเภสัชกรรมได้มีการสำรอง และกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนมากกว่า 3 แสนเม็ด โดยมีการกระจายไปสำรองในพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว และกำลังนำเข้าเพิ่มอีก 2 ล้านเม็ด ในด้านการจัดเตรียมเตียงให้กับผู้ป่วย เรามีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด และผู้เสี่ยงติดเชื้อ รวมกว่า 28,000 เตียง ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ซึ่งในขณะนี้มีผู้ป่วยหลักพันต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้จำนวนเตียงลดลงอย่างมาก แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้จัดเตรียมมาตรการเพื่อจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยทุกคนให้ได้ในส่วนของมาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไว้อีกประมาณ 3.8 แสนล้านบาท โดยมาจาก พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.4 แสนล้านบาท งบกลางปีงบประมาณ 2564 อีก 9.9 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายบรรเทาโควิด-19 อีก 4 หมื่นล้านบาท โดยฝ่ายเศรษฐกิจได้เตรียมโครงการที่จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภค รวมไปถึงโครงการที่จะก่อให้เกิดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอที่จะใช้ในการช่วยเหลือเยียวยา รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเจริญเติบโตให้ได้โดยเร็ว
ผมขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เสียสละ อดทน แม้ว่าตนเองจะเสี่ยงอันตรายและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเททำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ผมขอยกย่องทุกท่านจากใจจริงดังนั้นพวกเราทุกคนจึงต้องช่วยกันปกป้องทีมแพทย์ของประเทศไทย ด้วยการระมัดระวังตัว ลดความเสี่ยงให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ และใส่แมสก์ให้มากที่สุดเมื่อต้องพบเจอผู้อื่น
ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมขอให้คำมั่นสัญญาว่า ผมและรัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อให้เราผ่านวิกฤต
ในระลอกนี้ไปให้ได้ พวกเราทุกคนจะสู้ไปด้วยกันอีกครั้ง และผมเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของเราทุกคนประเทศไทยจะต้องเอาชนะโรคร้ายในครั้งนี้-ได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41170 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 16 – 22 เมษายน 2564 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 16 – 22 เมษายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 16 – 22 เมษายน 2564 พบการกระทำผิด จำนวน 398 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.13 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 16 – 22 เมษายน 2564) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 398 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 213 คดี ค่าปรับ 1.55 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 124 คดี ค่าปรับ 2.99 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 35 คดี ค่าปรับ 0.83 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.41 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 1.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 7,006.605 ลิตร ยาสูบ จำนวน 7,781 ซอง ไพ่ จำนวน 118 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 44,348.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จำนวน 22 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 22 เมษายน 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 16,287 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 291.48 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 9,314 คดี ค่าปรับ 80.89 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,673 คดี ค่าปรับ 104.21 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 352 คดี ค่าปรับ 5.59 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 724 คดี ค่าปรับ 44.76 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 71 คดี ค่าปรับ 2.70 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 799 คดี ค่าปรับ จำนวน 23.26 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 354 คดี ค่าปรับ 30.07 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 313,704.564 ลิตร ยาสูบ จำนวน 322,485 ซอง ไพ่ จำนวน 29,470 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,329,238.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 101,677 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,492 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. แถลงความมุ่งมั่นของไทยในการประชุม Leaders Summit on Climate | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
รมว.ทส. แถลงความมุ่งมั่นของไทยในการประชุม Leaders Summit on Climate
รมว.ทส. แถลงความมุ่งมั่นของไทยในการประชุม Leaders Summit on Climate
รมว.ทส. แถลงความมุ่งมั่นของไทยในการประชุม Leaders Summit on Climate
วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุม Leaders Summit on Climate ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมได้เชิญประเทศต่างๆ กว่า ๔๐ ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม โดย Joe Baiden ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้กล่าวเชิญชวนให้ทุกประเทศแสดงความมุ่งมั่นและเพิ่มความทะเยอทะยานร่วมกันเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกินกว่า ๑.๕ องศาเซลเซียส และเพื่อส่ง message ไปยังการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สมัยที่ ๒๖ (UNFCCC COP 26) ที่สหราชอาณาจักรในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ ทั้งนี้ ผู้นำทั่วโลกได้ให้คำมั่นเพื่อที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ วราวุธ ได้เข้าร่วมการเสวนาระดับรัฐมนตรีในหัวข้อ Climate Adaptation and Resilience เรื่องการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ประเทศที่มีการดำเนินการที่โดดเด่นในด้านการปรับตัวและการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้มานำเสนอแนวคิดและแลกเปลี่ยนการดำเนินการของประเทศต่อประชาคมโลก ภายใต้ ๓ ประเด็นหลัก (Theme) ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การจัดการน้ำ (Water Management) และ ผลกระทบต่อมนุษย์ (Human Impacts) ทั้งนี้ นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีรัฐมนตรีประเทศต่างๆ เข้าร่วมการเสวนา ได้แก่ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ราชอาณาจักรโมร็อกโก สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ไอร์แลนด์ รัฐกาตาร์ สาธารณรัฐรวันดา และสาธารณรัฐโปรตุเกส ซึ่ง รัฐมนตรีฯ วราวุธ ได้นำเสนอการดำเนินงานของประเทศไทย ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในประเด็นด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ใน ๔ หัวข้อหลัก ประกอบด้วย
๑) ภาพรวมของผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อประเทศไทย รวมถึงการดำเนินงานและการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง
๒) การดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสาขาเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ที่ประเทศไทยได้น้อมนำเอาศาสตร์พระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ ๙
มาเป็นหลักในการดำเนินงาน โดยยกตัวอย่างโครงการ Rice NAMA ภายใต้ความร่วมมือของ ทส. กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการปลูกข้าวแบบคาร์บอนต่ำประกอบการเสวนา
๓) ความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย อาทิ การจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ แบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติแล้ว
และ ๔) การแสดงความตั้งใจของประเทศในการร่วมมือกับนานาประเทศในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส รวมทั้งบทบาทของไทยในเวที ASEAN และ APEC ในการขับเคลื่อนการทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) เป็นประเด็นสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคด้วย
#MNRE #ONEP #TGO #สผ. #อบก. #UNFCCC #COP26 #ASEAN #ประชุมLeadersSummitonClimate #เศรษฐกิจหมุนเวียน #ความตกลงปารีส #ก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ #ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง #NetZeroEmission
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41166 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนในพื้นที่ระบาด และพื้นที่ท่องเที่ยว | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
สธ. เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนในพื้นที่ระบาด และพื้นที่ท่องเที่ยว
กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ระบาด และจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อเดินหน้าระบบเศรษฐกิจประเทศ ย้ำประชาชนมีส่วนสำคัญในการหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้
กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ระบาดและจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อเดินหน้าระบบเศรษฐกิจประเทศ ย้ำประชาชนมีส่วนสำคัญในการหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ โดยเข้มมาตรการป้องกันตนเอง สังคม และองค์กร
บ่ายวันนี้ (23 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,070 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,902 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 160 ราย ต่างประเทศ 8 ราย รักษาหายเพิ่ม 341 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564มีผู้ติดเชื้อสะสม21,320 ราย กำลังรักษา 19,873 ราย และเสียชีวิตสะสม 27 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิต4 รายวันนี้ โดยรายแรกเป็นชายไทย อายุ 72 ปี กทม. ไม่มีโรคประจำตัว แต่มีประวัติไปในพื้นที่เสี่ยง, รายที่ 2 เป็นชายไทยอายุ 74 ปี จ.สงขลา เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ, รายที่ 3 เป็นหญิงไทย อายุ 29 ปี จ.สมุทรปราการ มีโรคอ้วน เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน และรายที่ 4 เป็นชายไทย อายุ 83 ปี จ.สมุทรปราการ มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไตเรื้อรัง และโรคหัวใจ จะเห็นได้ว่าการระบาดระลอกนี้อัตราการเสียชีวิตมากกว่าปกติ มีอาการเปลี่ยนแปลงของโรค เช่น เกิดอาการปอดอักเสบค่อนข้างเร็ว ทำให้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเร็วขึ้น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาข้อมูลและนำไปปรับใช้ในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อต่อไป
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 22 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 964,825 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 834,082 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 130,743 ราย เฉพาะวันที่ 22 เมษายน ฉีดได้ 99,985 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 87,465 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 12,520 ราย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 413,117 คน เข็มที่ 2 จำนวน 60,489 คน รวมแล้วกว่าร้อยละ 90 จะเร่งฉีดให้บุคลากรส่วนที่ยังตกค้างในคลินิกให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เกิดความครอบคลุม รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ระบาด และจังหวัดท่องเที่ยว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า การระบาดระลอกนี้เริ่มจากสถานบันเทิง และกระจายไปในหลายจังหวัด รวมถึงในสถานที่ทำงาน ครอบครัว และชุมชนเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการทำกิจกรรมร่วมกัน
การรับประทานอาหาร พบปะสังสรรค์ แม้แต่การสังสรรค์ในบ้านก็ทำให้เกิดการติดเชื้อในครอบครัวและผู้สูงอายุได้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือของประชาชนเพื่อหยุดการระบาดและควบคุมโรค ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการใน 4 มาตรการหลักเพื่อควบคุมโรค ได้แก่มาตรการสาธารณสุขค้นหาผู้ป่วย ติดตามผู้สัมผัส กักกันโรค,มาตรการทางสังคมปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ลดกิจกรรมรวมกลุ่ม หลีกเลี่ยงการเดินทาง,มาตรการองค์กรได้แก่ ทำงานที่บ้าน(Work from home) ให้มากที่สุด, จัดสถานที่ในที่ทำงานให้ปลอดภัย หากพบผู้มีความเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อในที่ทำงาน อย่าตระหนก ให้ประเมินความเสี่ยงและงดกิจกรรมรวมกลุ่มทุกกรณี และมาตรการส่วนบุคคลสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด เชื่อว่าหากร่วมมือร่วมใจกัน สัปดาห์หน้าจะเห็นผลซึ่งจะนำไปเป็นข้อมูลเสนอต่อ ศบค. ในการปรับมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์
สำหรับด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้จังหวัดท่องเที่ยวได้รับการฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจประเทศเดินหน้าต่อได้ เช่น จังหวัดภูเก็ต ได้รับการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรเป้าหมายแล้วเกือบทั้งจังหวัด เหลือเพียงประมาณร้อยละ 1 เท่านั้น
นายแพทย์โอภาสกล่าวถึง ประเด็นที่มีข้อเสนอเรื่องการเร่งฉีดวัคซีน โดยให้เอกชนร่วมจัดหาวัคซีนนั้นได้ประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีทั้งภาครัฐ เอกชน สภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมร่วมประชุม ได้ข้อสรุปว่า จะฉีดให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีด 70 ล้านโดส จะเพิ่มให้ได้ 100 ล้านโดส ขณะนี้มีวัคซีน 65 ล้านโดส จะต้องจัดหาอีก 35 ล้านโดส โดยมี 3 แนวทางคือ 1.ให้ภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ไปจัดซื้อเพิ่มเติม ขณะนี้ได้เจรจาไปแล้วหลายบริษัท 2.ภาคเอกชน โดยสภาหอการค้า ยินดีบริจาคเงินให้รัฐบาลซื้อวัคซีน ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น แรงงานในโรงงาน 10 ล้านโดส และ 3.โรงพยาบาลเอกชนขอจัดซื้อเอง เพื่อฉีดให้ผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือ 1.มีระบบการฉีดและดูแลความปลอดภัย ตาม 8 ขั้นตอนที่กรมควบคุมโรคกำหนด 2.ระบบรายงานเชื่อมต่อกัน และ3.มีการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน
**********************************23 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “วราวุธ” ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อน “ไทยไปด้วยกัน” พื้นที่ สุพรรณบุรี นครปฐม | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
“วราวุธ” ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อน “ไทยไปด้วยกัน” พื้นที่ สุพรรณบุรี นครปฐม
“วราวุธ” ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อน “ไทยไปด้วยกัน” พื้นที่ สุพรรณบุรี นครปฐม
“วราวุธ” ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อน “ไทยไปด้วยกัน” พื้นที่ สุพรรณบุรี นครปฐม
วันนี้ (23 เมษายน 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและติดตามการจัดทำโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนครปฐม) ร่วมกับ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ในฐานะเลขานุการ คณะทำงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันฯ เข้าร่วมประชุม และมีนายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยหน่วยงานในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี และประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล Video Conference
โดยในการประชุมได้มีการนำเสนอแผนงานพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ของ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นครปฐม โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี (นายชูชีพ พงษ์ไชย) และรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม (นายธนิศร์ วงศ์ปิยะสถิตย์) และในโอกาสนี้ นายวราวุธ ได้มอบนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานดังกล่าว โดยขอให้ทั้ง 2 จังหวัดพิจารณาแผนงานโครงการที่สามารถทำได้จริง เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ และคุ้มค่ากับงบประมาณของแผ่นดิน
ทั้งนี้ ในส่วนของแผนงานที่จะนำเสนอขอให้ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิสาหกิจชุมชนได้ เพิ่มประสิทธิภาพในการแปรรูปสินค้าทางการเกษตร เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น การส่งเสริมให้ความรู้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าประวัติศาสตร์ความเป็นมา และความสำคัญของแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัด เพื่อช่วยกันอนุรักษ์และต่อยอดในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้กับเกษตรได้เท่าทันความรู้ใหม่ ๆ และเกิดการจ้างงานแรงงานจบใหม่ เช่น อาสาสมัครภาคประชาชน ให้เข้ามาช่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นครปฐม ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว! โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
เปิดตัว! โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19
...
ช่วงโควิดแบบนี้ หลายคนอาจได้รับผลกระทบจนรายได้ลดลงหรือถึงขั้นตกงาน ซึ่งรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ จึงเร่งหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน ล่าสุด! ได้อนุมัติโครงการ “สร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19” เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูธุรกิจแฟรนไชส์ - SMEs ขนาดเล็ก ให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชน
.
โดยโครงการนี้จะดำเนินการเป็นเวลา 8 เดือน (พ.ค. – ธ.ค. 64) ตั้งเป้าช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ผ่าน 2 กิจกรรม ดังนี้
1.งานแฟรนไชส์สร้างอาชีพ Road Show 2021 ใน 15 จังหวัดทั่วประเทศ
2.งาน DBD Franchise & SME Expo 2021 ในส่วนกลาง
.
คาดว่าจะมีผู้ว่างงาน ผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ รวมถึงเจ้าของแฟรนไชส์ ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 10,000 รายเลยทีเดียว
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41155 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติย ราชนารี | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติย ราชนารี
พระราชทานกำลังใจให้ แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ พร้อมส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนชาวไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบผลิต “น้ำแร่ห้วยกระเจา” วอนชาวบ้านช่วยกันดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
รมว.ทส. “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบผลิต “น้ำแร่ห้วยกระเจา” วอนชาวบ้านช่วยกันดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
รมว.ทส. “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบผลิต “น้ำแร่ห้วยกระเจา” วอนชาวบ้านช่วยกันดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
รมว.ทส. “วราวุธ” ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบผลิต “น้ำแร่ห้วยกระเจา” วอนชาวบ้านช่วยกันดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
วันนี้ (23 เมษายน 2564) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามระบบผลิต “น้ำแร่โซดาห้วยกระเจา” ภายใต้โครงการศึกษา สำรวจ และรูปแบบการพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งกักเก็บน้ำในหินแข็งระดับลึก ในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน ณ บ้านทุ่งคูณ หมู่ที่ 19 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี โดยมีนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมหน่วยงานในพื้นที่ให้การต้อนรับ
โดย นายวราวุธ ได้กล่าวกับชาวบ้านห้วยกระเจาว่า ระบบผลิตน้ำที่ได้รับงบประมาณมาดำเนินการในพื้นที่ห้วยกระเจา จนทำให้พื้นที่นี้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี เป็นระบบที่ดีที่สุด และถือได้ว่าเป็นระบบขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้น เมื่อเรามีระบบที่ดีแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ เมื่อส่งมอบระบบให้กับพื้นที่แล้ว หน่วยงานท้องถิ่นต้องเตรียมความพร้อมในการดูแล บำรุงรักษาให้ระบบมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้องทำความเข้าใจ และให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่ให้ช่วยกันดูแลรักษาระบบที่มีร่วมกันด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ร่วมหาทางออก ปมค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางราง ร่วมหาทางออก ปมค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว
อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ได้ชี้แจงกรณีอ้างว่า กระทรวงคมนาคมเสนอแนะค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีวิธีการคำนวณที่คลาดเคลื่อน
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ได้ชี้แจงกรณีอ้างว่า กระทรวงคมนาคมเสนอแนะค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีวิธีการคำนวณที่คลาดเคลื่อน นั้น
เนื่องด้วย ขร. พึงตระหนักถึงภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต้องรับภาระดังกล่าว อีกทั้งเพื่อให้รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเป็นบริการที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เป็นเสมือนโครงข่ายหลักผ่านใจกลางเมืองในย่านธุรกิจนั้น
ทาง ขร. ประสงค์ให้มีการกำหนดราคาค่าโดยสารที่ให้ทุกฝ่ายหันหน้าร่วมกันหารือ เพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดอัตราค่าโดยสาร และการคิดคำนวณอัตราค่าโดยสารที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงโดยคำนึงถึงความเหมาะสม เป็นธรรม ไม่เกิดภาระต่อผู้ใช้บริการ โดยควรนำปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อต้นทุนการบริหารจัดการ รายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อาทิ จำนวนผู้โดยสารในโครงข่าย รวมทั้งดัชนีที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดอัตราค่าโดยสารมาพิจารณาร่วมด้วย ไม่ควรพิจารณาจากข้อมูล เพียงด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็น ดังนี้
1. ประเด็นภาระหนี้สินของ กทม.
การนำภาระหนี้สินที่ กทม. แบกรับค่าก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) และค่าระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ค่าจ้างเดินรถ รวมทั้งสิ้นกว่าแสนล้านบาท มาใช้ประกอบการคิดคำนวณอัตราค่าโดยสารตลอดสายสูงสุด ไม่เกิน 65 บาท ภายใต้สัญญาสัมปทานเอกชนในการเดินรถ 30 ปี ซึ่งเมื่อเอกชนรายใหม่จะเข้ามาดำเนินการปี 2573 โดยมีเงื่อนไขให้รับหนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้านั้น ซึ่งก็คือหนี้ก่อนปี 2573 ได้แก่ ค่างานโยธา งานระบบ รถไฟฟ้าและค่าจัดกรรมสิทธิ์ หลังจากเอกชนเข้ามาดำเนินการ จะไม่มีรายจ่ายค่าจ้างเดินรถเนื่องจากการทำสัญญาในรูปแบบที่เอกชนรับรู้รายได้และความเสี่ยงทั้งหมด เป็นลักษณะสัญญาสัมปทานเดิมที่มีอยู่ ซึ่งในช่วงปี 2573-2602 จะไม่ถือเป็นภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ
ดังนั้น การคิดภาระหนี้จึงควรพิจารณาในส่วนที่จะต้องจ่ายถึงปี 2572 อีกทั้ง ภาระหนี้ของโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนต่อขยายที่รับจากกระทรวงคมนาคม กทม. ได้ยืนยันว่ามีความพร้อมทางการเงินที่สามารถรับภาระดังกล่าวได้ ดังนั้น ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารไม่ควรนำภาระหนี้สินมาพิจารณาเป็นปัจจัยสำคัญควรพิจารณารายได้ที่ก่อเกิดในการบริหารการเดินรถในพื้นที่ รวมทั้ง ปริมาณผู้โดยสารร่วมด้วย
2. ประเด็นรายได้
การคิดรายได้จากการบริหารการเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ควรพิจารณาแยกช่วงปี 2564-2572 และช่วงปี 2573-2602 เนื่องด้วยการขยายสัมปทานสายสีเขียว 30 ปีเป็นช่วงภายหลังจากปี 2572 ดังนั้น รายได้ช่วงปี 2564-2572 จึงไม่ควรนำมาพิจารณากระทรวงคมนาคม จึงคิดรายได้ตั้งแต่ปี 2573-2602 เนื่องจากมีสมมติฐานว่ายกสัมปทานให้เอกชนรายใหม่ตั้งแต่ปี 2573 และเป็นสัญญาแบบ net cost ซึ่งเอกชนจะมีการจัดสรรรายได้ให้กับภาครัฐ ทั้งนี้ ขร. มุ่งเน้นผลักดันให้การจัดสรรรายได้เกิดความเป็นธรรม โดยมีการจัดสรรทั้งรายได้ที่เก็บได้จากค่าโดยสาร และรายได้จากการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งรายได้ดังกล่าวที่เอกชนจัดสรรให้กับภาครัฐ ถือเป็นกองทุนเริ่มต้นอันสำคัญในการนำไปชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในอนาคต ทำให้มีค่าบริการที่ถูกลงทุกระดับสามารถเข้าถึงบริการรถไฟฟ้าได้ อีกทั้ง เมื่อลดค่าโดยสาร ปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้รวมไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากรายได้จากปริมาณการเดินทางที่เพิ่มขึ้นจะชดเชย รายได้ที่สูญเสีย
3. ประเด็นการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม
ในอนาคตเมื่อมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ เพิ่มเติมในโครงข่ายการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้ว การกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรม มิได้เป็นเพียงการกำหนดอัตราค่าโดยสารของสายใด สายหนึ่งแล้ว กระทรวงคมนาคม โดย ขร.ได้ผลักดันนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูงในการเดินทางภายในโครงข่ายรถไฟฟ้าที่มีการเดินทางเชื่อมต่อกัน โดยให้มีอัตราสูงสุดที่ยกเว้นค่าแรกเข้า กรณีผู้ใช้บริการมีการเดินทางเปลี่ยนถ่ายระหว่างส้นทางรถไฟฟ้าของผู้ให้บริการขนส่งทางราง ไม่ว่าจะกี่เส้นทางก็ตามให้ผู้ใช้บริการเสียค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว และมีเพดานของอัตราค่าโดยสารสูงสุดในอัตราเดียวกันด้วยยังไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอในการพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสาร ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรม และไม่เป็นภาระแก่ประชาชน
ขร. จึงเห็นสมควร กทม. ให้ข้อมูลเพิ่มเติม อันก่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน หากได้รับข้อมูลดังกล่าวแล้ว จะนำมาวิเคราะห์และชี้แจงถึงข้อเท็จจริงต่อประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน โดยได้รับบริการสาธารณะที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ในอนาคตหากพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ออกมามีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ขร.จะมีอำนาจโดยตรงที่จะเข้าไปกำกับดูแลในส่วนของการกำหนดและวางหลักเกณฑ์การคำนวณค่าโดยสาร ซึ่งจะทำให้ ขร. สามารถกำกับดูแลค่าโดยสารให้ประชาชนที่ใช้บริการได้รับประโยชน์สุงสุดจากระบบการขนส่งมวลชนสาธารณะทางรางที่มีระดับการให้บริการที่ดี สะดวกสบายในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
กลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
โทรศัพท์ 0 2164 2607 Website www.drt.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-WHO เชิญประเทศไทย ร่วมโครงการริเริ่มกำจัดไข้มาลาเรีย | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
WHO เชิญประเทศไทย ร่วมโครงการริเริ่มกำจัดไข้มาลาเรีย
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าให้ประเทศไทยกำจัดไข้มาลาเรียเป็นศูนย์ภายในปี 2567 เร่งรัดในพื้นที่ 40 จังหวัดที่ยังมีการแพร่เชื้อ ด้วยมาตรการ 1-3-7 คือ การแจ้งเตือนภายใน 1 วัน การสอบสวนภายใน 3 วัน และการตอบโต้ภายใน 7 วัน และการติดตามผลการรักษาจนครบทุกราย
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าให้ประเทศไทยกำจัดไข้มาลาเรียเป็นศูนย์ภายในปี 2567 เร่งรัดในพื้นที่ 40 จังหวัดที่ยังมีการแพร่เชื้อ ด้วยมาตรการ 1-3-7 คือ การแจ้งเตือนภายใน1 วัน การสอบสวนภายใน 3 วัน และการตอบโต้ภายใน 7 วัน และการติดตามผลการรักษาจนครบทุกราย โดยองค์การอนามัยโลก เชิญประเทศไทยร่วมโครงการริเริ่มกำจัดไข้มาลาเรียภายในปี 2568 หลังผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
วันนี้ (23 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเปิดกิจกรรมรณรงค์วันมาลาเรียโลก ปี 2564 ผ่าน Facebook Live ว่า วันมาลาเรียโลกวันที่ 25 เมษายนปีนี้ ได้กำหนดคำขวัญ คือZero Malaria - Draw the Line Against Malaria หรือ “กำหนดเส้นชัยกำจัดไข้มาลาเรียเป็นศูนย์” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกประเทศตระหนักว่า การกำจัดโรคไข้มาลาเรียยังต้องการความร่วมมืออย่างมากจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้การกำจัดโรคไข้มาลาเรีย มีความยั่งยืน โดยองค์การอนามัยโลกได้เชิญประเทศไทยให้เข้าร่วมโครงการริเริ่มกำจัดไข้มาลาเรีย ภายในปี 2568 (E-2025 initiative) เนื่องจากมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ ได้แก่ มีแผนกำจัดโรคไข้มาลาเรียของประเทศไทย ตั้งเป้าหมายกำจัดโรคไข้มาลาเรียในปี 2567 ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง คือ กลุ่มมาลาเรีย กองโรคติดต่อนำโดยแมลง มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศ น้อยกว่า 5,000 ราย และมีพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กำหนดให้มาลาเรียเป็นโรคที่ต้องแจ้งและผู้ป่วยมาลาเรียทุกรายได้รับตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังจากที่กรมควบคุมโรคได้มีมาตรการเร่งรัดการกำจัดโรคไข้มาลาเรียในพื้นที่ที่ยังมีการแพร่เชื้อ(40 จังหวัด) มีเป้าหมายหยุดการแพร่เชื้อ โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทำให้สถานการณ์โรคลดลงเป็นอย่างมาก จากในปี 2559 ที่พบผู้ป่วยเกือบ 20,000 ราย ลดลงเหลือเพียง 4,000 รายในปี 2563 จากมาตรการการแจ้งเตือนภายใน 1 วัน การสอบสวนภายใน 3 วัน และการตอบโต้ภายใน 7 วัน (มาตรการ 1-3-7) การติดตามผลการรักษาจนครบทุกราย และการพัฒนาแผนเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียโดยหน่วยงานในพื้นที่ สำหรับพื้นที่ไม่มีการแพร่เชื้อ (37 จังหวัด) ต้องไม่มีพื้นที่กลับมาแพร่เชื้อใหม่ โดยการเตรียมความพร้อมป้องกันการกลับมาแพร่เชื้อใหม่ บูรณาการงานป้องกันควบคุมโรคไข้มาลาเรียกับระบบสาธารณสุขปกติในพื้นที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
ด้านแพทย์หญิงฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กล่าวเสริมว่า กองโรคติดต่อนำโดยแมลงได้พัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่แพร่เชื้อ และร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เน้นการควบคุมโรคในกลุ่มทหาร ทำให้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยในทหารได้ร้อยละ90 ในเวลา 2 ปี กระทรวงมหาดไทย เน้นการมีส่วนร่วมในการลงทุนโดยกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ เน้นการให้ความรู้ในเด็กนักเรียนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันตนเอง ทั้งนี้ ประชาชนเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง ป่าเขา สวนยาง สวนผลไม้ ควรเน้นการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด เช่น นอนในมุ้ง ทายากันยุง และเมื่อกลับจากพื้นที่ดังกล่าว ถ้ามีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ควรเข้ารับการตรวจรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้านทุกแห่ง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**********************************23 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41159 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนจังหวัดพื้นที่สีแดง ก่อนเริ่มตรวจวันที่ 24-30 เม.ย.นี้ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ ลุยเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนจังหวัดพื้นที่สีแดง ก่อนเริ่มตรวจวันที่ 24-30 เม.ย.นี้ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะลงพื้นที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี ตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตน ที่อยู่ในจังหวัดปทุมธานีและใกล้เคียง เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก ก่อนเปิดบริการวันที่ 24-30 เม.ย.นี้
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการตรวจความพร้อมของสถานที่เพื่อใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและละแวกใกล้เคียง โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ดร.ศันสนีย์ สายะสนธิ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี นายแพทย์ยิ่งเกียรติ ไพศาลอัชพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย และ สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ในวันนี้ผมในฐานะ รมว.แรงงาน และคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจความพร้อมของสถานที่ที่จะเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานีและใกล้เคียง
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จังหวัดปทุมธานีมีสถานประกอบการจำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้ประกันตนจำนวนประมาณ 605,000 คน และอยู่ในพื้นที่สีแดงที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 การแพร่ระบาดระลอกใหม่ และยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี จึงได้ร่วมกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี จัดตั้งศูนย์คัดกรองไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อผู้ประกันตน โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลการุณเวชปทุมธานี ให้การตรวจคัดกรองแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและใกล้เคียง เป็นระยะเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 – 30 เม.ย. 64 เวลา 08.00 -15.00 น.ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการเข้ารับการตรวจคัดกรองสามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php โดยคลิกเลือกศูนย์คัดกรองจังหวัดปทุมธานี เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งสามารถรองรับการตรวจได้วันละ 1,000 คน รอบเช้า 500 คน และรอบบ่าย 500 คน
ทั้งนี้ เพื่อดูแลผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ.แจง วัคซีนซิโนแวคทุกงวดไม่หมดอายุ เป็นเพียงการอนุญาตของ อย. ภายใน 6 เดือน ตามเอกสารที่บริษัทขอขึ้นทะเบียน | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
อภ.แจง วัคซีนซิโนแวคทุกงวดไม่หมดอายุ เป็นเพียงการอนุญาตของ อย. ภายใน 6 เดือน ตามเอกสารที่บริษัทขอขึ้นทะเบียน
องค์การเภสัชกรรม แจงวัคซีนซิโนแวคทุกล็อตไม่หมดอายุ ที่ระบุวันหมดอายุยา 6 เดือนนับจากวันที่ผลิต เป็นการอนุญาตของ อย. เป็นแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการติดสติกเกอร์ทับหรือแก้ไขข้อมูลบนกล่องบรรจุวัคซีนท
องค์การเภสัชกรรม แจงวัคซีนซิโนแวคทุกล็อตไม่หมดอายุ ที่ระบุวันหมดอายุยา 6 เดือนนับจากวันที่ผลิต เป็นการอนุญาตของ อย. เป็นแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการติดสติกเกอร์ทับหรือแก้ไขข้อมูลบนกล่องบรรจุวัคซีนที่อาจทำให้เกิดความสับสน พร้อมส่งหนังสือทำความเข้าใจกับโรงพยาบาลทุกแห่ง
บ่ายวันนี้ (23 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรีนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า จากกรณีมีการแชร์ในสื่อโซเซียลมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องวันหมดอายุยาของวัคซีนซิโนแวคที่นำเข้าจากประเทศจีนนั้น ประเทศไทยได้นำเข้าวัคซีนซิโนแวค 2 ล้านโดส รอบแรก 2 แสนโดส ,รอบที่ 2 จำนวน 8 แสนโดส, รอบที่ 3 จำนวน 1 ล้านโดส และจะได้รับที่สั่งซื้อเพิ่มอีก 5 แสนโดส ในวันพรุ่งนี้ โดยในรอบแรกกล่องบรรจุวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต ระบุวันหมดอายุ 3 ปีนับจากวันผลิต และเนื่องจากการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค ได้พิจารณากำหนดอายุยาไว้ที่ 6 เดือนนับจากวันที่ผลิตในรอบ 2 อภ.จึงได้ประสานให้บริษัทผู้ผลิตเปลี่ยนวันหมดอายุยาให้ตรงตามที่ อย.อนุญาต ส่วนรอบที่ 3 และต่อ ๆ ไป เนื่องจากทั่วโลกมีความต้องการวัคซีนจำนวนมากบริษัทซิโนแวคจึงจัดทำกล่องที่มีลักษณะทั่วไปให้สามารถจัดส่งให้กับประเทศต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว มีวันหมดอายุ 3 ปีนับจากวันผลิต ทาง อภ.จึงได้แก้ไขโดยจัดทำฉลากสติ๊กเกอร์ติดข้างกล่อง 3 ด้าน และด้านที่ 4 มีคิวอาร์โค้ดที่แสดงเอกสารกำกับการใช้ยา และวันหมดอายุ ซึ่งสติ๊กเกอร์ดังกล่าวได้รับการอนุญาตจาก อย.
“วัคซีนทุกรุ่นที่นำเข้าไม่หมดอายุ ได้ผ่านการส่งตรวจรับรองรุ่นการผลิตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อนการกระจายวัคซีนให้ผู้บริโภค จึงมั่นใจได้ว่าคุณภาพวัคซีนได้ตามมาตรฐาน ความสับสนมีเฉพาะรอบ 8 แสนโดสเท่านั้นที่ทางจีนพิมพ์ให้ 6 เดือน ในงวดถัด ๆ ไปหากมีกรณีที่การพิมพ์อายุยาบนกล่อง 3 ปีจากผู้ผลิต อภ. จะแก้ไขโดยการติดสติกเกอร์วันหมดอายุปิดทับบนกล่อง ให้เป็น 6 เดือนนับจากวันที่ผลิตตามที่ได้รับอนุมัติทะเบียนจาก อย. และจะแจ้งไปยังโรงพยาบาลให้เกิดความเข้าใจตรงกัน” ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมกล่าว
ด้านภญ.ศิริกุล เมธีวีรังสรรค์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ที่เร่งด่วนนั้นองค์การฯ ได้จัดทำสติกเกอร์QR Code ไว้ที่ข้างกล่องวัคซีน สำหรับให้สถานพยาบาล สแกนดูข้อมูล เอกสารกำกับยาซึ่งได้ระบุอายุวัคซีน 6 เดือน อีกทั้งวัคซีนดังกล่าวต้องเก็บที่อุณหภูมิ 2-8oC ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถติดสติกเกอร์ที่ขวดวัคซีนในกล่อง เนื่องจากจะทำให้ระดับค่าของอุณหภูมิไม่คงที่ ส่วนกรณีข่าวในโซเชียลมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ข้างกล่องมีสติ๊กเกอร์เพิ่ม หรือแก้ไขตัวเลขวันหมดอายุนั้น ไม่ได้เป็นการแก้ไขจากองค์การเภสัชกรรม และขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการติดสติกเกอร์ทับหรือแก้ไขข้อมูลบนกล่องบรรจุวัคซีนที่อาจทำให้เกิดความสับสนได้
**********************************23 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41160 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด เน้นย้ำผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
บริษัท ขนส่ง จำกัด เน้นย้ำผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ
รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในสถานีขนส่ง และบนรถโดยสารก่อนนำมาวิ่งให้บริการ
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีการแพร่ระบาดในขณะนี้ และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มีความห่วงใยผู้ใช้บริการที่จำเป็นต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ จึงได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ใช้บริการ และให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในสถานีขนส่ง และบนรถโดยสารก่อนนำมาวิ่งให้บริการ
นอกจากนี้ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self - Quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง
แม้ปัจจุบันจะมีผู้โดยสารใช้บริการลดลงจากปกติ (เที่ยวไป-กลับ) วันละประมาณกว่า 50,000 คน เหลือวันละประมาณกว่า 30,000 คน แต่ บขส. ยังคงยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร และบนรถโดยสารขั้นสูงสุด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการ
สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41157 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรแจงมีผู้ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา ภงด.90 และ ภ.ง.ด.91 แล้วมากกว่า 7.42 ล้านฉบับ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะง่าย สะดวก ปลอดภัยห่างไกล COVID-19 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
สรรพากรแจงมีผู้ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา ภงด.90 และ ภ.ง.ด.91 แล้วมากกว่า 7.42 ล้านฉบับ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะง่าย สะดวก ปลอดภัยห่างไกล COVID-19
กรมสรรพากรเปิดเผยยอดการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภ.ง.ด.90 และภ.ง.ด.91ประจำปีภาษี 2563 ตั้งแต่ 1 มกราคม –18 เมษายน 2564 มีผู้ยื่นแบบฯ แล้ว 7,428,132 ฉบับมากกว่าร้อยละ 90 ใช้บริการยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต เนื่องจากใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว ยื่นได้ทุกที่
กรมสรรพากรเปิดเผยยอดการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภ.ง.ด.90 และภ.ง.ด.91ประจำปีภาษี 2563 ตั้งแต่ 1 มกราคม –18 เมษายน 2564 มีผู้ยื่นแบบฯ แล้ว 7,428,132 ฉบับมากกว่าร้อยละ 90 ใช้บริการยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต เนื่องจากใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว ยื่นได้ทุกที่ทุกเวลาโดยปีนี้ได้ขยายเวลายื่นแบบฯ ให้เฉพาะการยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564และสามารถทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน(TAX from Home) เพื่อความปลอดภัย และลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID - 19)
นางสมหมายศิริอุดมเศรษฐที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากรเปิดเผยว่า“ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 18 เมษายน 2564 มีผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ประจำปีภาษี 2563 แล้ว รวมจำนวน 7,428,132 ฉบับแยกเป็นการยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตจำนวน 6,707,208 ฉบับ (ร้อยละ 90.29 )ยื่นด้วยแบบกระดาษจำนวน 720,924 ฉบับ(ร้อยละ 9.71)โดยแบ่งเป็น
การยื่นแบบฯ ภงด.90 รวมจำนวน 1,782,516 ฉบับ เป็นการยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตจำนวน 1,351,756 ฉบับ และยื่นด้วยแบบกระดาษจำนวน 430,760 ฉบับ
การยื่นแบบฯ ภงด.91 รวมจำนวน 5,645,616 ฉบับ เป็นการยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตจำนวน 5,355,452 ฉบับ และยื่นด้วยแบบกระดาษจำนวน 290,164 ฉบับ
โดยผู้เสียภาษีร้อยละ 90.29 ใช้บริการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ตเนื่องจากกรมสรรพากรได้พัฒนาเว็บไซด์และปรับปรุงช่องทางการยื่นแบบฯ ใหม่ ช่วยให้ผู้เสียภาษียื่นแบบฯได้ง่าย สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น และปีนี้กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยให้เฉพาะการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต จึงขอเชิญชวนผู้ที่ยังไม่ได้ยื่นแบบฯ ใช้บริการได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรwww.rd.go.thซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้เข้าถึงการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน (TAX from Home) ในทุกมิติได้ง่ายที่สุดไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ใด ทั้งการลงทะเบียน การยื่นแบบฯการชำระภาษี รวมทั้งการสอบถามการขอคืนภาษี”
โฆษกกรมสรรพากรกล่าวเพิ่มเติมว่า“ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)การทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน(TAX from Home) เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้เสียภาษีทุกท่านให้ได้รับความสะดวกปลอดภัยไม่ต้องเดินทางช่วยให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดการแพร่ระบาดของ COVID - 19ในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนมีนาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนมีนาคม 2564
ตามที่อธิบดีกรมศุลกากรมีนโยบายให้การเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวด
ตามที่นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายให้การเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิทหาร กอ.รมน. ป.ป.ส. บช.ปส. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล(Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(Drug Enforcement Administration: DEA)เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน
สำหรับผลการตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากรประจำเดือนมีนาคม 2564 จำนวน 2,585 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 168.64 ล้านบาท ในส่วนของผลการตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากรตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวน 14,312คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 1,204.93ล้านบาท
ผลงานที่น่าสนใจในช่วงเดือนมีนาคม 2564 มีดังนี้
1. ผลการจับกุมยาเสพติด
1.1 การจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภทโคคาอีน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรโดยชุดปฏิบัติการAirport Interdiction Task Force: AITF และสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบผู้โดยสารเดินทางเข้ามาในรูปแบบของผู้ลักลอบขนยาเสพติดจึงได้ทำการตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน)ซุกซ่อนอยู่ในปกหนังสือเสื้อกันหนาวกระเป๋าถักและช่องลับของกระเป๋าเดินทางน้ำหนัก 10,860 กรัมมูลค่า32.5 ล้านบาท
1.2.การจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภทเอ็กซ์ตาซี่ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพนักงานบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.1 บก.ปส.3เจ้าหน้าที่ศรภ.กองบัญชาการกองทัพไทยได้ทำการตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศจำนวน 1 หีบห่อต้นทางต่างประเทศ ณ จุดตรวจคัดไปรษณีย์ภัณฑ์ศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพฯ หัวลำโพง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ผลการเปิดตรวจพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เอ็กซ์ตาซี่)ซุกซ่อนมาในกล่องนมผง น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 2.133 กิโลกรัมมูลค่า 10 ล้านบาท
ทั้งนี้สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนมีนาคม2564มีจำนวน 23คดี มูลค่า 66.87ล้านบาทสำหรับสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 มีจำนวน 95 คดี มูลค่า 674.5 ล้านบาท
2. การจับกุมบุหรี่บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564กรมศุลกากรร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.นย.521 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี ทำการลาดตะเวนในพื้นที่บริเวณท้ายตลาดชายแดนบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พบบุหรี่ต่างประเทศ จำนวน 4,900 ซองมูลค่า490,000 บาท ทั้งนี้ สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2564ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 104คดี มูลค่า 9.2ล้านบาท2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 148คดี มูลค่า 1.18ล้านบาท สำหรับสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 370 คดี มูลค่า 100.3 ล้านบาท 2.บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 320คดี มูลค่า 8.6 ล้านบาท
3. การจับกุมสินค้าเกษตร
3.1 กระเทียม เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 กรมศุลกากร โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปรามเคลื่อนที่เร็วได้ทำการตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งบริเวณพื้นที่อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี พบกระเทียมมีเมืองกำเนิดต่างประเทศขณะทำการตรวจค้นไม่มีเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงจำนวน 10 ตันมูลค่า 400,000บาท
3.2 มะพร้าว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564กรมศุลกากร ได้ตรวจค้นรถยนต์บรรทุก10ล้อ บริเวณปั๊มบางจาก ถ.สายเอเชียหมายเลข 41อำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎ์ธานี พบมะพร้าว มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ ขณะทำการตรวจค้นไม่พบเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวนประมาณ 12,000 ผลมูลค่าประมาณ 120,000 บาท
ทั้งนี้ สถิติการตรวจจับสินค้าเกษตรในเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวน 94คดี มูลค่า 4.9ล้านบาทสำหรับสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 มีจำนวน 321 คดี มูลค่า 23.2 ล้านบาท
4. การจับกุมเนื้อโค กระบือ
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 กรมศุลกากรทำการตรวจค้นรถยนต์บรรทุก12ล้อ บริเวณศูนย์กระจายสินค้า ถนนสายเอเชียหมายเลข 41 อำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎ์ธานี พบเนื้อกระบือแช่แข็ง ซึ่งของดังกล่าวมีเมืองกำเนิดต่างประเทศ ขณะทำการตรวจค้นไม่พบเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 301 กล่อง น้ำหนัก 6,388 กิโลกรัมคิดเป็นมูลค่า 706,000 บาท ทั้งนี้ สถิติการตรวจจับเนื้อโค กระบือในเดือนมีนาคม 2564 มีจำนวน 7คดี มูลค่า 1.7ล้านบาทสำหรับสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 มีจำนวน 31 คดี มูลค่า 7.5 ล้านบาท
5.การจับกุมน้ำมันเชื้อเพลิง
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 กรมศุลกากรตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันต้องสงสัยจำนวน 1 คันบริเวณริมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราชผลการตรวจสอบพบน้ำมันดีเซลมีเมืองกำเนิดต่างประเทศขณะทำการตรวจค้นไม่มีเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงประมาณ 20,000 ลิตรมูลค่า 300,000 บาท
ทั้งนี้ สถิติการจับกุมน้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนมีนาคม 2564ประเภทน้ำมันดีเซล จำนวน 26ราย 22,394 ลิตร มูลค่า 349,559 บาท ประเภทน้ำมันเบนซิน จำนวน 14 ราย 4,170 ลิตร มูลค่า 118,755 บาท
สำหรับสถิติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564ประเภทน้ำมันดีเซล จำนวน 106 ราย 88,529 ลิตร มูลค่า 1,794,935 บาท ประเภทน้ำมันเบนซิน จำนวน 46 ราย 11,660 ลิตร มูลค่า 303,938 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41148 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR สนับสนุนโรงพยาบาลสนามดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR สนับสนุนโรงพยาบาลสนามดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
EXIM BANK บริจาคของใช้จำเป็นให้แก่กรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมสนับสนุนให้โรงพยาบาลสนามในสังกัดกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์มีความพร้อมในการปฏิบัติงานเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR สนับสนุนโรงพยาบาลสนามดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ทำให้ภาครัฐต้องจัดให้มีโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคสู่สังคม ขณะที่กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในพื้นที่ควบคุมสูงสุดด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลสนามที่รองรับผู้ป่วยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจึงเริ่มทยอยรับผู้ป่วยตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2564 ได้แก่ โรงพยาบาลสนามในสังกัดกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ มีความต้องการอุปกรณ์เครื่องใช้จำเป็นจำนวนมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย EXIM BANK จึงได้บริจาคของใช้จำเป็นให้แก่กรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมสนับสนุนให้โรงพยาบาลสนามในสังกัดกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์มีความพร้อมในการปฏิบัติงานเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ประกอบด้วย พัดลม ชุด PPE หน้ากากอนามัย เครื่องทำน้ำร้อน/เย็น และน้ำดื่ม เป็นมูลค่ารวม 200,000 บาท ภายใต้โครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) “EXIM เพื่อสุขภาพชุมชน”
“การสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลสนามในครั้งนี้ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ EXIM BANK ที่จะร่วมเสริมความพร้อมให้ Superhero ที่แท้จริงของพวกเรา ซึ่งได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเทและเสียสละ ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ตลอดจนสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านวิกฤตของประเทศไปได้ด้วยดีเหมือนทุกวิกฤตที่ผ่านมา” ดร.รักษ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches CSR Project to Support Field Hospitals for COVID-19 Patients
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, due to the new wave of COVID-19 pandemic, the government has set up field hospitals for treatment of COVID-19 patients with mild symptoms to control and prevent the virus spreading to the society at large. With Bangkok classified as one of the maximum controlled zones with consistently increasing infection cases, the field hospitals in Bangkok and Greater Bangkok have gradually had patients admitted since the middle of April 2021. These field hospitals include those under Bangkok Metropolitan Administration (BMA)’s supervision and Thammasat Field Hospital. They are in need of a large number of consumables and medical equipment for medical personnel and patients. Therefore, EXIM Thailand has donated a number of these necessities worth 200,000 baht in total to the BMA and Thammasat University Hospital to support their field hospitals in accommodating and treating COVID-19 patients, comprising electric fans, PPE sets, N95 and medical face masks, hot & cold water dispensers and drinking water under the Bank’s corporate social responsibility (CSR) project titled “EXIM for Community Health.”
“This support for the operations of field hospitals is in line with EXIM Thailand’s objective to participate in enhancement of the preparedness of our true Superheroes, namely medical and public health personnel, who have all along performed their duties with dedication and commitment in order to help the patients recover and return to their normal life, and support all sectors in getting through this crisis just like other crises in the past,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เผยปีงบ 64 คนหางานได้บรรจุงานทั่วประเทศแล้ว 152,158 คน | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
กระทรวงแรงงาน เผยปีงบ 64 คนหางานได้บรรจุงานทั่วประเทศแล้ว 152,158 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยยอดผู้สมัครงานใช้บริการหางาน 191,564 คน บรรจุงานแล้ว 152,158 คน หรือร้อยละ 79.43 แนะสมัครด้วยตนเองผ่านเว็บ smartjob สะดวก ไม่มีค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงจากการเดินทาง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยสถานการณ์การว่างงานของคนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 อย่างมาก ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทราบสถานการณ์เป็นอย่างดีและไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้กำชับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตลอดว่า ยิ่งมีคนว่างงานมากขึ้น เจ้าหน้าที่ของเรายิ่งต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้ สามารถรับมือจนวิกฤติโควิด-19 นี้ผ่านพ้นไป
“จากสถิติผู้สมัครงานที่ใช้บริการจัดหางานกับกรมการจัดหางานในปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 ) มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 191,564 คน ได้รับการบรรจุงาน 152,158 คน หรือร้อยละ 79.43 แบ่งเป็นใช้บริการ ณ พื้นที่กรุงเทพมหานคร 39,495 คน บรรจุ 31,948 คน หรือร้อยละ 80.89 ปริมณฑล 19,075 คน บรรจุ 14,773 คน หรือร้อยละ 77.45 ภาคกลาง 47,708 คน บรรจุ 42,163 คน หรือร้อยละ 88.38 ภาคเหนือ 26,827 คน บรรจุ 21,509 คน หรือร้อยละ 80.18 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 30,540 คน บรรจุ 22,344 คน หรือร้อยละ 73.16 และ ภาคใต้ 27,919 คน บรรจุ 19,421 คน หรือร้อยละ 69.56 โดยสามารถใช้บริการจัดหางาน ณ พื้นที่ที่ต้องการทำงานหรือเลือกสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com ได้ตามที่สะดวก โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สะดวกรวดเร็ว และลดความเสี่ยงของโรคโควิด – 19 จากการเดินทางไปที่สาธารณะ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้สั่งการ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดให้บริการประชาชนที่ว่างงาน ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน กลุ่มเปราะบาง ตลอดจนผู้ต้องการหางานทำทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงความลำบากของคนหางานให้มาก
“ทั้งนี้ กรมการจัดหางานมีการนำบริการที่ครอบคลุมภารกิจทุกด้านของกรมการจัดหางาน เข้าหาประชาชนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งบริการของรัฐ ทั้งด้านข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน การให้บริการจัดหางาน รวมทั้งการแนะแนวอาชีพ แนวทางการประกอบอาชีพอิสระ และฝึกอาชีพอิสระ ที่เน้นการให้บริการตรงถึงระดับตำบล ชุมชน และครัวเรือนที่ยากจน โครงการจัดหางานเชิงรุกเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ศูนย์บริการจัดหางาน Part – Time โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน (Co-Payment) ตลอดจนสนับสนุนเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ย 0% แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41165 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 23 เมษายน 2564 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 23 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 23 เมษายน 2564 ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,345 ล้านบาท
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 23 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,345 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,605 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,421 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 201,371 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41152 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เดินหน้าคัด 226 ชุมชนต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชา เพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน “บวร On Tour” | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
วธ. เดินหน้าคัด 226 ชุมชนต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชา เพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน “บวร On Tour”
วธ. เดินหน้าคัด 226 ชุมชนต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชา เพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน “บวร On Tour”
วธ. เดินหน้าคัด 226 ชุมชนต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชา เพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน “บวร On Tour” ค้นหาอัตลักษณ์ เสน่ห์ สัญลักษณ์ที่โดดเด่น (Branding) ต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม รองรับการท่องเที่ยวชุมชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด-19
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ดำเนินการจัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชา เพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน “บวร On Tour” เน้นกิจกรรมตามความต้องการของชุมชนที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทุกมิติและมีความยั่งยืน จังหวัดละไม่เกิน 3 ชุมชน ขณะนี้ สวจ. ได้เสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณฯ เรียบร้อยแล้ว รวมงบประมาณกว่า 7.7 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนคุณธรรมเป้าหมาย 226 ชุมชน ทั่วประเทศ โดยช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน 2564 โดยให้มีการรายงานผลเป็นระยะ
ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้จัดสรรงบประมาณระยะที่ 1 ไปให้ สวจ.ไปแล้ว 39 จังหวัดเพื่อดำเนินการต่อยอดชุมชนคุณธรรม บวร On Tour แล้ว เพื่อนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดให้เกิดคุณค่า และมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ จัดทำองค์ความรู้ทางวัฒนธรรม พัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชนอย่างเป็นระบบ ค้นหาอัตลักษณ์และเสน่ห์ของชุมชน พัฒนาให้เป็นภาพลักษณ์และสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของชุมชน (Branding) เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของชุมชนเชื่อมโยงกับชุมชนอื่น หรือจังหวัดใกล้เคียง เกิดการท่องเที่ยวชุมชน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม รองรับการท่องเที่ยวชุมชน ปรับปรุงภูมิทัศน์ ทำสื่อประชาสัมพันธ์และช่องทางการตลาด สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน รวมไปถึงบูรณาการ การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เช่น สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมฯ บวร On Tour ถือเป็นการนำหลักการ “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) มาเป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม ต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เกิดชุมชนมีความเข้มแข็งและมีความยั่งยืนตามรอยศาสตร์พระราชา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ตั้งเป้าหมายผู้นำการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ ตั้งเป้าหมายผู้นำการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน
กระทรวงเกษตรฯ ตั้งเป้าหมายผู้นำการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพืชสวน ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายสมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้แทนสถาบันวิจัยพืชสวน ผู้แทนกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้แทนสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย สมาคมกาแฟไทย สมาคมกาแฟและชาไทย และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้พิจารณาการทบทวนประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งกาแฟออกไปนอกราชอาณาจักร โดยปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน และช่วยแก้ไขปัญหาการจำหน่ายเมล็ดกาแฟดิบอะราบิกาผสมกาแฟดิบโรบัสตาในภาคใต้ พร้อมทั้งพิจารณาการนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบ กาแฟคั่ว กาแฟสำเร็จรูปและกาแฟสำเร็จรูปผสม ปี 2564
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์แพร่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกเนื่องจากปัญหาเรื่องการขนส่งสินค้า ดังนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ผู้ผลิตต้องปรับตัวตลอดห่วงโซ่การผลิต อีกทั้ง ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคกาแฟทั่วโลกได้เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า การไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและอยู่ร่วมกับชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ที่ประชุมจึงมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการทบทวนแผนยุทธศาสตร์กาแฟ เพื่อให้ทันต่อแนวโน้มสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงโดยมีเป้าหมาย เป็นผู้นำการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ประชาสัมพันธ์ การประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี 2564 เพื่อรณรงค์และส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้ตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและแสดงถึงอัตลักษณ์กาแฟไทยโดยผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณีพนักงาน 1 ราย ติดเชื้อ COVID-19 | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณีพนักงาน 1 ราย ติดเชื้อ COVID-19
ธอส.ได้รับรายงานว่า มีพนักงานของธนาคารจำนวน 1 ราย ปฏิบัติงานอยู่ที่ศูนย์บริการสินเชื่อนครหลวง ฝ่ายสนับสนุนสาขานครหลวง อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับรายงานว่า ในวันนี้ (วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564) มีพนักงานของธนาคารจำนวน 1 ราย ปฏิบัติงานอยู่ที่ศูนย์บริการสินเชื่อนครหลวง ฝ่ายสนับสนุนสาขานครหลวง อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19” โดยคาดว่าติดเชื้อจากคู่สมรสซึ่งเป็นผู้ป่วยที่พึ่งได้รับแจ้งผลยืนยันว่าติดเชื้อเมื่อวันพุธที่ 21 เมษายน 2564 จึงเดินทางไปตรวจหาเชื้อเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 ทั้งนี้ พนักงานรายดังกล่าว ลาพักผ่อนตั้งแต่วันที่ 7-12 เมษายน 2564 และปัจจุบันอยู่ระหว่างการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) ในระหว่างวันที่ 16-23 เมษายน 2564 ตามมาตรการลดความเสี่ยง การแพร่ระบาดของ COVID-19 ของธนาคาร จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าในช่วงเวลานี้แต่อย่างใด
เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและผู้ปฏิบัติงาน และป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ธนาคารจึงดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยภายในอาคารสำนักงาน ตามแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1.พนักงานที่ติดเชื้อ COVID-19 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา และจัดทำ Timeline เรียบร้อยแล้ว
2.พนักงานธนาคารที่สัมผัสใกล้ชิดกับพนักงานที่ติดเชื้อ ซึ่งเดินทางเข้ามาที่ศูนย์บริการสินเชื่อนครหลวง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 วันเสาร์ที่ 17 และวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 (เป็นวันหยุดและธนาคารปิดทำการทั้ง 3 วัน) ให้ตรวจหาเชื้อ กักตัวในสถานที่พักอาศัย และ Work from Home เป็นระยะเวลา 14 วัน พร้อมติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
3.ปิดศูนย์บริการสินเชื่อนครหลวง ฝ่ายสนับสนุนสาขานครหลวง อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ เป็นระยะเวลา 2 วัน เพื่อทำความสะอาดแบบ Big cleaning ด้วยการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ลิฟต์ จุดสัมผัส รวมถึงจุดให้บริการลูกค้า
4.รายงานเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุข และธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบ
ทั้งนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันกรณีการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดทั้งในสำนักงานใหญ่ และที่ทำการสาขาทุกแห่งทั่วประเทศ อาทิ กำหนดให้ทุกฝ่าย มีสัดส่วนพนักงาน Work from Home เป็นจำนวน 50-90% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในฝ่าย รักษาระยะห่างตามหลัก Social Distancing จำกัดจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการเพื่อลดความแออัด จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดบริเวณที่ลูกค้าใช้บริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ประกาศ ณ วันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 16.00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เข้มมาตรฐานแล็บโควิด ย้ำพบผู้ติดเชื้อต้องแจ้งกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
สธ.เข้มมาตรฐานแล็บโควิด ย้ำพบผู้ติดเชื้อต้องแจ้งกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง
กระทรวงสาธารณสุข เร่งตรวจสอบมาตรฐานคลินิกแล็บตรวจโควิดใน กทม.ทุกแห่ง ย้ำเมื่อพบผลเป็นบวกต้องแจ้งกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง ประสานนำผู้ติดเชื้อเข้าระบบการรักษา พร้อมรายงานข้อมูลเข้าโคแล็บ ช่วยบริหารจัดการเตียง ควบคุมโรคได้ทันสถานการณ์
กระทรวงสาธารณสุข เร่งตรวจสอบมาตรฐานคลินิกแล็บตรวจโควิดใน กทม.ทุกแห่ง ย้ำเมื่อพบผลเป็นบวกต้องแจ้งกรมควบคุมโรคภายใน3 ชั่วโมง ประสานนำผู้ติดเชื้อเข้าระบบการรักษา พร้อมรายงานข้อมูลเข้าโคแล็บ ช่วยบริหารจัดการเตียง ควบคุมโรคได้ทันสถานการณ์ ยันน้ำยาตรวจหาเชื้อยังมีเพียงพอ
วันนี้ (23 เมษายน 2564) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์จากกระทรวงสาธารณสุข มาที่ PCT laboratory service ซอยจรัญสนิทวงศ์ 67 เขตบางพลัด กทม. เพื่อทำความเข้าใจกับห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจเชื้อโควิด 19 (SARS-Cov-2) ถึงแนวทางและมาตรฐานการตรวจหาเชื้อโควิด 19 และการรายงานข้อมูล โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมาตรฐาน
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ค่อนข้างมาก ต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็ว ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการตรวจโควิดที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 280 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. ภาคเอกชนมากกว่ารัฐโดยมีข้อตกลงร่วมกันเมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อ ทางแล็บต้องรายงานกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง และประสานส่งต่อผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษา แต่ที่ผ่านมาพบคลินิกแล็บเอกชนบางแห่งไม่ได้ดำเนินการ ทำให้ผู้ติดเชื้อต้องกลับไปรอที่บ้านโทรหาโรงพยาบาลเอง มีความเสี่ยงแพร่เชื้อต่อ จึงต้องมาทำความเข้าใจให้ดำเนินการตามมาตรฐาน รวมถึงดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานเป็นระยะ
“การหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อ แม้จะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ แต่จิ๊กซอว์หนึ่งที่สำคัญคือข้อมูล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องการข้อมูลจากทางแล็บด้วย เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อที่พบ การรายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อตามแบบฟอร์มผ่านโคแล็บจะได้ข้อมูลที่อัปเดต นำมาสู่การบริหารจัดการเรื่องเตียงได้” ดร.สาธิตกล่าว
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกันตรวจเยี่ยม ประเมิน และให้คำแนะนำแก่คลินิกแล็บตรวจโควิดใน กทม.ซึ่งมีคลินิกแล็บที่ผ่านการรับรองให้ตรวจหาโควิดเพียง15 แห่ง ในวันนี้มีการตรวจแล้ว 4 แห่ง เน้นย้ำให้ดำเนินการตามมาตรฐาน ทั้งการแจ้งกรมควบคุมโรคเมื่อพบผู้ติดเชื้อ การให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันแพร่โรคและประสานหาเตียงตามระบบที่วางไว้ ซึ่งคลินิกแล็บต้องทำสัญญากับโรงพยาบาลรัฐ เอกชน หรือโรงพยาบาลสนามเพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ติดเชื้อจะมีสถานพยาบาลรองรับ โดยสัปดาห์หน้าจะตรวจให้ครบทุกแห่งใน กทม.
“หากยังหาเตียงไม่ได้ ให้ช่วยประสานข้อมูลเข้าสู่ระบบการจัดหาเตียงของกระทรวงสาธารณสุข ผ่านทั้ง3สายด่วนคือ 1668, 1669, 1330 หรือผ่านไลน์ @sabaideebot เพื่อให้มีข้อมูลช่วยจัดหาเตียงตามกลุ่มอาการต่อไป ซึ่งยอมรับว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากอาจต้องใช้เวลาในการบริหารจัดการ แต่หากได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ก็จะช่วยให้บริหารจัดการได้เร็วขึ้น จากการตรวจในวันนี้ก็พบว่าคลินิกแล็บทำตามมาตรฐานได้ดี อย่างห้องปฏิบัติการแห่งนี้ ช่วง 15 วันที่ผ่านมา ตรวจพบผู้ติดเชื้อ 130 ราย มีการทำสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนในการรับดูแลผู้ติดเชื้อ จัดหาเตียงให้ผู้ป่วยแล้ว เหลือรอเตียง 53 ราย นำข้อมูลเข้า @sabaideebot 40 ราย เหลืออีก 13 รายก็กำลังทยอยแจ้งเข้ามา ถือว่าดำเนินการได้ดี” นายแพทย์ธเรศกล่าว
ด้านนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่าแม้คลินิกแล็บจะได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ตรวจหาโควิดได้ แต่จะต้องได้รับการทดสอบความชำนาญเป็นระยะ เพื่อให้การรับรองต่อไป จึงต้องมีการออกมาสุ่มตรวจคลินิกแล็บต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนโดยประชาชนที่มีความเสี่ยงหรือความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อ ขอให้ตรวจสอบว่าคลินิกที่จะไปตรวจอยู่ในการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์หรือไม่ สำหรับชุดอุปกรณ์ตรวจและน้ำยาตรวจหาเชื้อโควิดนั้นจากการตรวจสต๊อกของห้องปฏิบัติการทั้ง280 แห่งทุกสัปดาห์ ยืนยันว่าน้ำยามีเพียงพอ และยังมีสำรองส่วนกลางไว้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย
**************************************23 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41163 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดับเบิ้ล โปรโมชั่น ธอส. ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน โดนใจ ดันยอดประมูลขายทรัพย์ NPA ออนไลน์ได้ 152 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง | วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
ดับเบิ้ล โปรโมชั่น ธอส. ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน โดนใจ ดันยอดประมูลขายทรัพย์ NPA ออนไลน์ได้ 152 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์เผยผลการจัดประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ส่งท้ายเดือนเมษายน 2564 ำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 157 รายการ มูลค่ารวม 152 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ส่งท้ายเดือนเมษายน 2564 พร้อมดับเบิ้ลโปรโมชั่นพิเศษ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (จากปกติ 24 เดือน) หรือสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน หลังเปิดให้ประมูลระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. จำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 157 รายการ มูลค่ารวม 152 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 54 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 103 รายการ พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลยังได้รับส่วนลดราคาพิเศษเพิ่มให้อีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ส่งท้ายเดือนเมษายน 2564 ผ่าน Application GH Bank Smart NPA โดยไม่ต้องเดินทางไปประมูลที่สาขาเพื่อความปลอดภัย และลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในวันนี้ (วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564) ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 157 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 152 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 54 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 103 รายการ โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 105 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านนริศรา อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จำหน่ายได้ในราคา 3,285,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีทำเลดี ใกล้สถาบันการศึกษา และสถานพยาบาลได้อย่างสะดวก ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 60 ตารางวา ในโครงการหนองกุง กิ่งอำเภอหนองนาคำ จ.ขอนแก่น มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูล 5 ราย ปิดประมูลได้ราคา 165,000 บาท จากราคาเริ่มต้นประมูล 90,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ที่มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลมากที่สุด คือ ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 200 ตารางวา โครงการบ้านหนองนาคำ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ มีผู้เข้าประมูลถึง 7 ราย ปิดประมูลได้ราคา 385,000 บาท ราคาเริ่มต้นประมูล 210,000 บาท
“การจำหน่ายทรัพย์ได้ถึง 152 ล้านบาท ภายในระยะเวลาที่เปิดประมูลเพียงแค่ 1 ชั่วโมง สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจ และความคุ้มค่าคุ้มราคาของทรัพย์ NPA ธอส. และธนาคารยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่ต้องการมีบ้านด้วยการให้ส่วนลดพิเศษอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวมถึงให้เลือกใช้ดับเบิ้ลโปรโมชั่นพิเศษ!! ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน หรือเลือกเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยมีสิทธิ์ใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ได้นาน 12-48 เดือน โดยระยะเวลาดอกเบี้ย 0% กำหนดตามระยะเวลาการถือครองทรัพย์ของธนาคารอีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่พลาดการจัดประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ผ่าน Application GH Bank Smart NPA สามารถดาวน์โหลด Application และลงทะเบียนเพื่อเตรียมเข้าร่วมประมูลทรัพย์ในการประมูลของเดือนพฤษภาคม 2564 ได้ทันที โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.สั่งการเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 3 แสนรายในสัปดาห์นี้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ปลัด สธ.สั่งการเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 3 แสนรายในสัปดาห์นี้
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการทุกจังหวัดเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 6 แสนโดส หรือ 3 แสนราย ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ดันยอดฉีดวัคซีนรวมเกิน 1 ล้านโดส คาดหลังใช้มาตรการควบคุมโรคและมาตรการสังคม ผู้ติดเชื้ออาจเริ่มลดลงในสัปดาห์นี้
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการทุกจังหวัดเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 6 แสนโดส หรือ 3 แสนราย ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ดันยอดฉีดวัคซีนรวมเกิน 1 ล้านโดส คาดหลังใช้มาตรการควบคุมโรคและมาตรการสังคม ผู้ติดเชื้ออาจเริ่มลดลงในสัปดาห์นี้เช่นกัน
วันนี้ (20 เมษายน 2564) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมรับมือโรคโควิด 19 และการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 กับผู้บริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยนายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์มีการติดเชื้อไปทั่วประเทศ มากกว่าครึ่งสามารถรับมือและควบคุมได้ มีประมาณ 20 จังหวัดที่มีการระบาดมาก ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่อดทนและเสียสละ ร่วมกันทำงานเพื่อควบคุมโรค ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งโรคนี้หากควบคุมได้อย่างรวดเร็วจะลดการติดเชื้อลงได้ รวมทั้งจากการใช้มาตรการควบคุมโรคและมาตรการทางสังคมต่างๆ คาดว่าปลายสัปดาห์นี้จะเริ่มเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
สำหรับการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่การระบาดเป็นสายพันธุ์ใหม่คือ สายพันธุ์ B 1.1.7 หรือสายพันธุ์อังกฤษ จึงต้องดูแลผู้ติดเชื้อ 14 วัน จากเดิมที่ดูแลผู้ติดเชื้อเพียง 10 วัน ทำให้ผู้ติดเชื้อแต่ละคนต้องใช้เตียงนานขึ้น ประกอบกับมีข้อมูลปรากฏว่า การระบาดรอบนี้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ติดเชื้อมีอาการมาก คนไข้หนักก็เริ่มเห็นมากขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อมเตียงไอซียู โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคู่มือการประเมินความพร้อมในด้านต่างๆ เป็นแนวปฏิบัติให้ทุกโรงพยาบาลได้สำรองและเตรียมอุปกรณ์/ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ไว้อย่างเพียงพอ
“ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์รักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 เดิมเรามีประมาณ 6-7 แสนเม็ด ถือว่ามีเยอะ เนื่องจากขณะนั้นมีผู้ติดเชื้อน้อย แต่ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น นักวิชาการหลายคนเห็นว่าควรให้ยาเร็วขึ้นเพื่อลดอาการปอดอักเสบ จึงทำให้มีการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นไปอีก จากการใช้วันละไม่กี่เม็ด เพิ่มเป็นวันละ 2 หมื่นเม็ด ขณะนี้ได้สั่งซื้อยามาอีก 2 ล้านเม็ดเพื่อรองรับสถานการณ์แล้ว กระจายยาอย่างทั่วถึงเพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดยา และสั่งซื้อยาฉีดเรมดิซีเวียร์เพิ่มเช่นกัน” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องวัคซีนโควิด 19 จำเป็นต้องมีการปรับแผนการฉีดตามสถานการณ์ ซึ่งในช่วงการระบาดความสำคัญอยู่ที่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าต้องได้รับวัคซีน 100% ในวันที่ 21 เมษายนนี้ จะกระจายวัคซีนซิโนแวคล็อต 1 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าประมาณเกือบ 6 แสนโดส หรือประมาณ 3 แสนคน เร่งรัดการฉีดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 25 เมษายนนี้ จะทำให้การฉีดวัคซีนภาพรวมของประเทศไทยเกิน 1 ล้านโดสภายในสัปดาห์นี้ และให้เร่งการฉีดวัคซีนทั้งเข็มแรกและเข็มที่สองในกลุ่มเสี่ยงในทุกจังหวัดด้วยเช่นกัน หากทำได้อย่างรวดเร็วจะส่งวัคซีนลงไปสนับสนุนเพิ่มเติม เนื่องจากยังมีวัคซีนที่จะเข้ามาอีก 5 แสนโดสในวันที่ 24 เมษายนนี้ และกำลังเจรจานำเข้ามาอีก 1 ล้านโดส จากนั้นจะเป็นการฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป
**************************************** 20 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41044 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของ รฟม.ในปีงบประมาณ 2563 มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819 ล้านบาท | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของ รฟม.ในปีงบประมาณ 2563 มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819 ล้านบาท
ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของ รฟม.ในปีงบประมาณ 2563 มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ในปีงบประมาณ 2563 โดยรฟม.มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819.25 ล้านบาท มีรายได้ 14,876.97 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 13,057.72 ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 99.99 จากเป้าหมายที่ครม.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 95
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลจำนวน 123.72 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.69 ล้านบาท และสายฉลองรัชธรรม 27.51 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 2.33 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 0.90
โดยในอนาคตรฟม.มีแผนที่จะหารายได้จากธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ในแต่ละปี โดยในปี 2564 จะมีรายได้ประมาณ 169 ล้านบาท และในปี 2564 และ 2565 จะมีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 0.72 และ 0.90 ตามลำดับ
ส่วนด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมีผลการดำเนินการดังนี้คือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแคและช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี(สุวินทวงศ์) ได้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสร็จแล้ว ส่วนงานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ 69.82 เร็วกว่าแผนร้อยละ 2.77 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2567
ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โครงการแล้วเสร็จ งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 62.23 เร็วกว่าแผนร้อยละ 3.08 คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2565
ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคามี 1 โครงการ คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ 19.20 เป็นไปตามแผน และงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯมีความก้าวหน้าร้อยละ 48.80 ซึ่งเป็นไปตามแผนเช่นกัน คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2570
..............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันงบประมาณเพียงพอ เร่งเดินหน้าจัดหาที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ให้แก่ประชาชน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมหารือมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันงบประมาณเพียงพอ เร่งเดินหน้าจัดหาที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ให้แก่ประชาชน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมหารือมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรียืนยันงบประมาณเพียงพอ เร่งเดินหน้าจัดหาที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ให้แก่ประชาชน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมหารือมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน
วันนี้ (20 เมษายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า บ่ายนี้จะมีการหารือเพิ่มเติมร่วมกับฝ่ายเศรษฐกิจถึงมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยโครงการที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการขณะนี้ ได้แก่ โครงการเราชนะ และโครงการเรารักกัน พร้อมจะพิจารณาโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม ยืนยันรัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่จะต้องใช้จ่ายด้วยความระมัดระวังในสถานการณ์ช่วงนี้ หากจำเป็นก็พร้อมจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ว่างงานและรักษาการจ้างงานให้ได้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการจัดหาที่อยู่ ที่ทำกินให้แก่ประชาชน ตามแนวทางคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ด้วยการเร่งจัดหาที่ดิน รวมทั้งการดำเนินการโครงการบ้านเคหะสุขประชา เพิ่มเติมจากกรุงเทพมหานคร ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมอบนโยบายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาจัดทำ Sandbox บ้านน็อคดาวน์ในพื้นที่ที่มีความแออัด ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีความมั่นคงในเรื่องที่อยู่อาศัย ในส่วนแนวทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลภายใต้ BCG Model ขอให้รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ดูแลบริษัทในเครือให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้วยแนวทางวิธีการทำงานใหม่ในการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ลดงบประมาณภาครัฐ
นายกรัฐมนตรีตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN SUMMIT) ณ ประเทศอินโดนีเซีย โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งหลายประเทศอาเซียนที่ได้ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ เช่นกัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความห่วงใยสุขภาพของ เพนกวิน หรือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักกิจกรรมทางการเมืองซึ่งอดข้าวประท้วง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลก็ไม่สามารถก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม พร้อมได้มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับองค์การคณะสงฆ์สร้างความเข้าใจประชาชน เพื่อป้องกันพฤติกรรมลอกเลียนแบบลัทธิที่มีความเชื่ออย่างไม่ถูกต้องด้วย
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41042 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำ “โควิด” อยู่ใกล้ตัว ให้คงมาตรการป้องกันตนเอง แม้อัตราเสียชีวิตลดลงแต่ยังวางใจไม่ได้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
สธ.ย้ำ “โควิด” อยู่ใกล้ตัว ให้คงมาตรการป้องกันตนเอง แม้อัตราเสียชีวิตลดลงแต่ยังวางใจไม่ได้
กระทรวงสาธารณสุขแจงอัตราเสียชีวิตจากโควิดระลอกใหม่เมษายน อยู่ที่ร้อยละ 0.09 ยังต่ำกว่าสองระลอกก่อน แต่ยังวางใจไม่ได้เพราะยังมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลจำนวนมาก ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 รายเหลือเพียง กทม.และเชียงใหม่
กระทรวงสาธารณสุขแจงอัตราเสียชีวิตจากโควิดระลอกใหม่เมษายน อยู่ที่ร้อยละ 0.09 ยังต่ำกว่าสองระลอกก่อน แต่ยังวางใจไม่ได้เพราะยังมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลจำนวนมาก ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 รายเหลือเพียง กทม.และเชียงใหม่ ย้ำมีผู้ติดเชื้อกระจายทุกจังหวัด ความเสี่ยงอยู่ใกล้ตัว ขอให้คงมาตรการป้องกันตนเอง ช่วยควบคุมโรค ลดการแพร่เชื้อ
วันนี้ (20 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,443 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,328 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 113 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย รักษาหายเพิ่ม 171 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 16,322 ราย รักษาหายแล้ว 1,532 ราย กำลังรักษา 16,119 ราย และเสียชีวิตสะสม 14 ราย ขณะที่การฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 19 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 666,210 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 571,825 ราย เข็มที่สองรวม 94,385 ราย
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาแม้พบผู้เสียชีวิตเพิ่มหลายราย แต่อัตราการเสียชีวิตระลอกใหม่นี้ยังไม่สูงไปกว่าระลอกก่อน โดยอัตราการเสียชีวิตระลอกแรกอยู่ที่ร้อยละ 1.42 ระลอกธันวาคม 2563 อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 0.14 และระลอกเมษายน 2564 คิดเป็นร้อยละ 0.09 อย่างไรก็ตาม ยังเป็นช่วงต้นของระลอกใหม่ และยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการรักษา จึงคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ส่วนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าจำเป็นต้องได้รับวัคซีนในสถานการณ์ระบาด ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้เร่งรัดฉีดวัคซีนโควิด 19 แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าให้ครบถ้วน 100% ภายในเดือนนี้
“การติดเชื้อในประเทศวันนี้มี 1,441 ราย กระจาย 68 จังหวัด จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิน 100 ราย เหลือเพียงกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ส่วนตัวเลขที่ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น (ค่า R0) ผ่านอัตราเร่งสูงสุดคือประมาณ 2 กว่าๆ มาแล้ว วันนี้ลดลงเหลือ 1.3 ถือว่าแนวโน้มการแพร่กระจายลดลง แต่ยังต้องช่วยกันควบคุมโรคเพื่อให้ค่า R0 ต่ำกว่า 1 จึงจะชะลอการระบาดลงได้ และการที่เชื้อกระจายไปทุกจังหวัดความเสี่ยงในการติดเชื้อจึงอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด จึงขอให้ทุกคนต้องป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปสถานที่เสี่ยง ลดพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายพันธุ์ไหนก็สามารถป้องกันได้ทั้งหมด”นายแพทย์เฉวตสรร กล่าว
**************************************** 20 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เพิกถอนใบอนุญาตรถทัวร์ก่อเหตุไฟไหม้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
บขส. เพิกถอนใบอนุญาตรถทัวร์ก่อเหตุไฟไหม้
ของบริษัท 407 พัฒนา จำกัด คันหมายเลข ม.4 (ข) 22-34 หมายเลขทะเบียน 10-7387 อุดรธานี
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จากกรณีไฟไหม้รถทัวร์โดยสาร 2 ชั้นของบริษัท 407 พัฒนา จำกัด คันหมายเลข ม.4 (ข) 22-34 หมายเลขทะเบียน 10-7387 อุดรธานี บริเวณถนนมิตรภาพ (ขาเข้า) กิโลเมตรที่ 13-14 อำเภอบ้านแฮด จ.ขอนแก่น
เมื่อวันที่19 เม.ย.64บขส. ในฐานะที่กำกับดูแลรถร่วมฯ ได้พิจารณาโทษขั้นสูงสุด โดยสั่งเพิกถอนใบอนุญาตรถคันดังกล่าว เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้ประกอบการได้มีการนำรถโดยสารออกวิ่งนอกเส้นทางโดย ไม่ได้รับอนุญาต จนเป็นเหตุให้รถเกิดอุบัติเหตุ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
อย่างไรก็ดี บขส. ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ช่วยประสานการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า คุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า คุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศเรื่อง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อกำหนดแนวทางการเดินทางเข้าประเทศไทยสำหรับเจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ
คนประจำเรือ และผู้โดยสาร เพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดฯ ระลอกใหม่อย่างเร่งด่วน
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ประกอบกับข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ได้กำหนดให้ส่วนราชการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่อย่างเร่งด่วน นั้น จึงได้ออกประกาศ จท. ที่ 75/2564 เรื่อง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อกำหนดแนวทางในการเดินทางเข้าประเทศไทยสำหรับเจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร ดังนี้
1. ประกาศของ จท. ฉบับใดที่เกี่ยวกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ขัดหรือแย้งกับประกาศฉบับนี้ให้ใช้ประกาศนี้บังคับ
2. มาตรการสำหรับผู้ประกอบการเดินเรือ เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ
2.1 พิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินเรือตามความจำเป็นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการให้บริการผู้โดยสารระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 16 เมษายน 2564
2.2 ควบคุมให้ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A โดยเว้นระยะห่างและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย (M-Mask wearing)
2.3 ตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอและทั่วถึง พร้อมควบคุมผู้ดูแลควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารต้องทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ (H-Hand washing)
2.4 จัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (T-Temperature) ตรวจหาเชื้อ (T-Testing) และให้ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” (A-Application) ก่อนลงเรือโดยสาร
2.5 ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามประกาศ จท. ที่ 8/2564 เรื่อง กำหนดให้ผู้ประกอบการเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ และผู้โดยสารปฏิบัติ กรณีมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 11 มกราคม 2564 ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในประกาศนี้อย่างเคร่งครัด
3. มาตรการสำหรับผู้ประกอบการท่าเรือ
3.1 ขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางในช่วงนี้โดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ ตาก นครปฐม นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้ว สุพรรณบุรี และอุดรธานี
3.2 ดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรการอื่น ๆ
4. มาตรการสำหรับผู้โดยสาร
4.1 ขอความร่วมมือประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางทางน้ำหรือโดยสารระบบขนส่งสาธารณะทางน้ำในช่วงเวลานี้ และหลีกเลี่ยงเข้าไปในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด
4.2 ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรการอื่น ๆ
5. ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดของแต่ละจังหวัดกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
6. ขอให้ผู้ประกอบการเรือโดยสาร เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือที่ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในเขตอำเภอเมืองในจังหวัดและส่วนภูมิภาค พิจารณาปรับลดการให้บริการในช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 - 04.00 น.
ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่จะคลี่คลายลง หรือมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41030 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยทุกภาคส่วน-ประชาชนร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
วธ.เผยทุกภาคส่วน-ประชาชนร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วธ.เผยทุกภาคส่วน-ประชาชนร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วธ.เผยทุกภาคส่วน-ประชาชนร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ภาพรวมงานเทศกาลสงกรานต์ปีนี้เป็นไปอย่างมีคุณค่า ช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีแก่ประเทศ
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นที่น่าห่วงใย จึงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดงานช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์ ส่งเสริม ให้จัดงานประเพณีสงกรานต์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมตามแบบอย่างที่ดีงาม สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ซึ่งเป็นการจัดงานตามแนวทางมาตรการเทศกาลสงกรานต์ 2564 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)โดยยึดมาตรการ DMHTTA คือ อยู่ห่างไว้ ใส่แมสก์กัน หมั่นล้างมือ วัดอุณหภูมิ ตรวจหาเชื้อและใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะ/หมอชนะ รวมทั้งประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกันก็คำนึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในด้านต่างๆและบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และในมิติด้านวัฒนธรรมไทยมุ่งเน้นอนุรักษ์ สืบสานและส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ที่ทรงคุณค่าสาระอันดีงาม รวมถึงส่งเสริมให้คนไทยปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ รวมถึงปฏิบัติตามแบบแผนประเพณี เช่น รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.ได้รณรงค์แนวทางและมาตรการ “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”โดยขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนจัดกิจกรรมในแบบวิถีใหม่เช่น งดเว้นกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมากและสัมผัสกันใกล้ชิด จัดพิธีรดน้ำดำขอพรเฉพาะบุคคลในครอบครัว และส่งเสริมให้หน่วยงานและประชาชนในจังหวัดต่างๆ สืบสานคุณค่าสาระของประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งสนับสนุนการแต่งกายโดยใช้ผ้าไทยหรือผ้าท้องถิ่น เพื่อให้คนไทยช่วยกันธำรงรักษาสาระคุณค่าที่แท้จริงของประเพณีสงกรานต์ให้ดำรงอยู่ต่อไปจากการรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด76 จังหวัด ทั่วประเทศ กรุงเทพฯและพัทยา สรุปผลภาพรวมการจัดกิจกรรมสงกรานต์ว่า ได้รับความร่วมมือจากประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดีโดยหลายจังหวัดมีกิจกรรม เช่น พิธีเจริญพระพุทธมนต์เสริมสิริมงคลรับปีใหม่ไทย ทำบุญตักบาตร ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระพุทธรูป รดน้ำขอพรผู้ใหญ่และกิจกรรมอื่นๆเช่น รณรงค์แต่งกายด้วยชุดผ้าไทย จ.ศรีสะเกษ พิธีกวนข้าวทิพย์ จ.ชลบุรี พิธีทำบุญเมืองยกสวยไหว้สา 725 ปี จ.เชียงใหม่ พิธีสืบชะตาปีใหม่เมือง จ.เชียงราย พิธีบูชาหลวงพ่อพระใส พิธีห่มผ้าพระธาตุอรหันต์ จ.หนองคาย ทำให้ภาพรวมของงานเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้เป็นไปอย่างมีคุณค่า มีการสืบสานวัฒนธรรมไทยและสร้างเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41040 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก งดทำใบขับขี่ใหม่ 6 เดือน หากหมดอายุผ่อนผันใช้ได้ถึง 30 มิ.ย. นี้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก งดทำใบขับขี่ใหม่ 6 เดือน หากหมดอายุผ่อนผันใช้ได้ถึง 30 มิ.ย. นี้
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่กล่าวถึงประเด็นกรมขนส่ง งดทำใบขับขี่ใหม่ 6 เดือน หากหมดอายุผ่อนผันใช้ได้ถึง 30 มิ.ย. นี้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง
จากสถานการณ์การพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น กรมการขนส่งทางบก จึงจำเป็นต้องงดการอบรมด้านใบอนุญาตขับรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง โดยมีกิจกรรมที่งดให้บริการดังนี้
1. งดการอบรมและทดสอบ ณ สำนักงานขนส่ง สำหรับผู้ขอใหม่ ทั้งสำหรับการขอรับใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถใหม่ทุกชนิด ยกเว้น กรณีการผ่านการอบรมและทดสอบของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ให้นำผลผ่านการอบรมมาดำเนินการ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ออกหนังสือรับรอง
2. งดการอบรม ณ สำนักงานขนส่ง สำหรับการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถทุกชนิด โดยให้เข้าอบรมผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com สามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาเป็นหลักฐานเพื่อต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้
3. งดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านทะเบียนและภาษีรถ และด้านใบอนุญาตขับรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน (Shop Thru for Tax) และศูนย์บริการร่วม
ทั้งนี้ ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ผ่อนผันการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว ยังสามารถใช้แสดงตนได้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และในส่วนของผู้ที่จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งตรงกับช่วงที่กรมการขนส่งทางบกงดให้บริการ จะยังคงได้รับสิทธิในการเข้ารับบริการเมื่อมีประกาศเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ โดยกรมการขนส่งทางบกจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง และสำหรับผู้ที่ใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถสิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเยียวยารองรับ ดังนี้ ผู้ที่ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 1 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบข้อเขียน กรณีสิ้นอายุเกิน 3 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ หากเป็นใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก สิ้นอายุเกิน 3 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ
สำหรับการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถที่ไม่มีขั้นตอนการอบรมและทดสอบที่สำนักงานขนส่ง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติในวันและเวลาราชการ เช่น การออกใบอนุญาตขับรถให้ผู้ที่มีหนังสือรับรองจากสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนสอนขับรถมาก่อนแล้ว การออกใบแทนกรณีใบอนุญาตขับรถชำรุดหรือสูญหาย การเปลี่ยนชนิดใบอนุญาตขับรถชั่วคราว 2 ปี เป็นส่วนบุคคล 5 ปี การต่ออายุใบอนุญาตขับรถที่มีผลผ่านการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทาง www.dlt-elearning.com โดยการต่ออายุใบอนุญาตขับรถที่มีผลการอบรมออนไลน์ สามารถนำผลการอบรมติดต่อสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถ ประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) ระยะเวลาอบรม 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง ระยะเวลาอบรม 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ แท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) ระยะเวลาอบรม 3 ชั่วโมง และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (รถจักรยานยนต์ รถยนต์สามล้อ รถยนต์) ขาดต่ออายุเกิน 1 ปี ระยะเวลาอบรม 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ผลการอบรมออนไลน์มีอายุ 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เตือน!!! รถโดยสารสาธารณะอย่าฉวยโอกาส ต้องให้บริการด้วยความเป็นธรรม และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เตือน!!! รถโดยสารสาธารณะอย่าฉวยโอกาส ต้องให้บริการด้วยความเป็นธรรม และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด
พร้อมจัดผู้ตรวจการลงพื้นที่อำนวยความสะดวกและคุมเข้ม ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอดและจุดรับส่งเพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภาพรวมการเดินทางช่วงสงกรานต์พบว่าปริมาณการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะต่ำกว่าการคาดการณ์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ประชาชนส่วนใหญ่จึงให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการงดเว้นการเดินทาง แต่สำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นในการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ กรมการขนส่งทางบก ได้กำชับหน่วยงานในส่วนกลางและสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่ง จัดผู้ตรวจการลงพื้นที่อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยตามสถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอด รวมถึงจุดที่มีประชาชนเรียกใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ด้านความปลอดภัยให้ดำเนินการเข้มข้นรถโดยสารและพนักงานขับรถต้องมีความพร้อมสำหรับการบริการตามมาตรการด้านความปลอดภัย ปฏิบัติตามเงื่อนไขการเดินรถ ห้ามบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่กำหนด ห้ามเรียกค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด สภาพรถต้องมีความพร้อม และความปลอดภัยในการใช้งานบนท้องถนน พนักงานขับรถต้องไร้สารเสพติด แอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์และขับรถไม่เกินชั่วโมงการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด พบฝ่าฝืนลงโทษหนักทุกกรณี กรณีรถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์สาธารณะ ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่ได้ตกลงกันไว้ แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร ใช้รถป้ายดำรับส่งผู้โดยสารปรับสูงสุดทุกกรณี และหากเป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ความผิดอาญา กระทำอนาจาร ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ลงโทษพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที พร้อมกำชับมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในรถโดยสารสาธารณะ และสถานีขนส่งผู้โดยสารให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันขั้นสูง เพื่อให้การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะของประชาชนปลอดภัย ห่างไกลจากโควิด จัดให้มีมาตรการคัดกรองผู้โดยสารและตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจคัดกรองพนักงานขับรถและผู้ให้บริการ เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร งดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง กำกับดูแลให้พนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง และดูแลให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกมีศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584 ชั่วคราว ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ และเพิ่มจำนวนคู่สายโทรศัพท์สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำผู้ประกอบการขนส่ง และพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ต้องให้บริการด้วยมาตรฐานคุณภาพ สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรม ทั้งนี้ หากประชาชนพบรถโดยสารสาธารณะเอาเปรียบสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1584 หรือศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584 ในช่วงเทศกาล ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ, ผ่านทางเว็บไซต์ที่ http://ins.dlt.go.th/cmpweb/, ผ่านทาง E-mail ที่ [email protected], เฟซบุ๊ก ชื่อ “ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584”, LINE @1584dlt
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบข่าวปลอมที่ต้องคัดกรองทะลุ 50 ล้านข้อความในไตรมาสแรกปีนี้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ดีอีเอส พบข่าวปลอมที่ต้องคัดกรองทะลุ 50 ล้านข้อความในไตรมาสแรกปีนี้
ดีอีเอส พบข่าวปลอมที่ต้องคัดกรองทะลุ 50 ล้านข้อความในไตรมาสแรกปีนี้
ดีอีเอสเปิดสถิติข่าวปลอม3เดือนแรกปี64ทะลุ50ล้านข้อความพิษโควิดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ดันตัวเลขข่าวปลอมเพิ่มขณะที่ปี63พบมือโพสต์ที่เข้าข่ายทำผิดกฎหมายกว่า2พันคน
นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกล่าวว่าจากการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอมช่วงระยะเวลา3เดือนแรกของปี2564พบว่ามีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองจำนวนกว่า50ล้านข้อความข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ4,649ข้อความโดยหลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด2,194เรื่อง(ข้อมูลณวันที่31มี.ค. 64)สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของศูนย์ฯตั้งแต่วันที่1พ.ย. 62 - 31มี.ค. 64พบข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งสิ้นกว่า94ล้านข้อความโดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ28,717ข้อความและหลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ9,775เรื่องในจำนวนนี้หมวดสุขภาพยังมีสัดส่วนมากสุด5,301เรื่องคิดเป็น54%อันดับรองลงมาได้แก่หมวดนโยบายรัฐ4,000เรื่องคิดเป็น41%หมวดเศรษฐกิจ300เรื่องคิดเป็น3%และหมวดภัยพิบัติ174เรื่องคิดเป็น2%
โดยข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด9,755เรื่องได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว5,207เรื่องแบ่งเป็นข่าวปลอม2,418เรื่องข่าวจริง1,946เรื่องข่าวบิดเบือนจำนวน378เรื่องนางสาวอัจฉรินทร์กล่าวว่าทางด้านการดำเนินการทางกฎหมายนั้นกระทรวงดิจิทัลฯและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
ได้มีการประสานร่วมกับศูนย์ปราบปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปอส.ตร.)โดยจากผลการตรวจสอบที่พบว่าเป็นข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนตั้งแต่มีการจัดตั้งศูนย์ฯถึงสิ้นไตรมาสแรกปีนี้(วันที่1พ.ย. 62 – 31มี.ค. 64)พบจำนวนคนที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย2,276คนขณะที่ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับข่าวปลอมที่เกาะกระแสไวรัสโควิด- 19ทั้งสองระลอกรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่25ม.ค. 63 – 31มี.ค. 64)มีจำนวนข้อความที่เกี่ยวข้องกว่า57ล้านข้อความโดยหลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์5,079ข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ2,334เรื่องแบ่งเป็นอันดับ1คือหมวดหมู่สุขภาพ1,589เรื่องคิดเป็น68%ตามมาด้วยหมวดหมู่นโยบายรัฐ621เรื่องคิดเป็น27%หมวดหมู่เศรษฐกิจ124เรื่องคิดเป็น5%ตามลำดับในส่วนของหมวดหมู่ภัยพิบัติไม่พบเรื่องที่เข้าข่าย
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41057 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับแผงเนื้อ - ไข่ ในตลาดสด ให้ปลอดภัย ไร้โควิด-19 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ยกระดับแผงเนื้อ - ไข่ ในตลาดสด ให้ปลอดภัย ไร้โควิด-19
...
ช่วงนี้โรคโควิด-19 ยังระบาดในหลายพื้นที่ ประชาชนต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกซื้ออาหารมากขึ้น รัฐบาลโดยกรมปศุสัตว์ จึงลงพื้นที่ตลาดสดทั่วประเทศ เพื่อดูแลสุขลักษณะแผงขายเนื้อสัตว์และไข่สด ให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ตามมาตรฐานปศุสัตว์ OK และหลักการ DMHTT
.
ได้แก่ การให้ผู้ค้ามี Distancing เว้นระยะห่างกับผู้ซื้อ Mask สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา Hand ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำสบู่และเจลแอลกอฮอล์ ไม่ใช้มือจับเนื้อสัตว์โดยตรง ต้องใส่ถุงมือ หรือใช้ที่คีบ Testing หากมีอาการต้องสงสัยต้องรีบตรวจโดยเร็ว และ Thai cha na ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะอย่างเคร่งครัด ซึ่งร้านค้าที่ทำคุณภาพและสุขลักษณะได้ตามมาตรฐาน จะมีสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ติดอยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ
.
จากการเก็บตัวอย่างเนื้อสัตว์กว่า 1,820 ตัวอย่าง จากกว่า 200 สถานที่จำหน่าย เช่น ตลาดสดในพื้นที่สีแดง ร้านสะดวกซื้อ ห้างร้านโมเดิร์นเทรด รวมถึงโรงฆ่าสัตว์และสถานที่ตัดแต่งอีกกว่า 1,600 ตัวอย่าง พบว่าทุกตัวอย่างเนื้อสัตว์ปลอดภัยไร้เชื้อโควิด-19
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มั่นใจ! หน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลน | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
มั่นใจ! หน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลน
...
เมื่อสถานการณ์โควิดกลับมา แน่นอนว่าความต้องการหน้ากากอนามัยในท้องตลาดจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว...แต่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะรัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการหน้ากากอนามัยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยและบุคลากรทางการแพทย์จะมีหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพใช้อย่างเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม
.
โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบ้านเรามีกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยจาก 63 โรงงานทั่วประเทศ รวมกว่า 5 ล้านชิ้น/วัน และมีการนำเข้าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 28.69 ล้านชิ้น และที่ไม่ได้ใช้ในห้องผ่าตัด จำนวน 228.13 ล้านชิ้น หน้ากากผ้าลิขสิทธิ์ จำนวน 238.23 ล้านชิ้น และหน้ากากกันฝุ่นในโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 992.98 ล้านชิ้น
.
ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าคนไทยจะสามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องขอเตือนผู้ที่คิดฉวยโอกาสขึ้นราคาหน้ากากอนามัยด้วยนะครับ เพราะหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ที่กำหนดให้ผู้ขายจะต้องขายหน้ากากอนามัย (Surgical mask) ไม่เกิน 2.50 บาท/ชิ้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามกฎหมาย
.
ประชาชนที่พบข้อมูลหรือเบาะแสการจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน กรมการค้าภายใน โทร. 1569
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำไม่ปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือก พร้อมเปิดให้ประชาชนแจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เริ่มวันที่ 1 พ.ค. นี้ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำไม่ปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือก พร้อมเปิดให้ประชาชนแจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เริ่มวันที่ 1 พ.ค. นี้
นายกรัฐมนตรีย้ำไม่ปิดกั้นภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือก พร้อมเปิดให้ประชาชนแจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เริ่มวันที่ 1 พ.ค. นี้
วันนี้ (20 เมษายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผย การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้เป็นการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล Video Conference เพื่อสอดรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งได้มีมาตรการยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงสองสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 18 – 30 เมษายน 2564 เพื่อให้ลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อให้น้อยลง มีกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัดและพื้นที่ควบคุม 59 จังหวัด บูรณาการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร บุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ รวมทั้งกำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งติดตามกรณีสถานบริการ/สถานบันเทิง ที่เป็นแหล่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อสืบสวนหาเจ้าของและดำเนินคดีตามกฎหมาย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการมาตรการต่าง ๆ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามว่า เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ป้องกันการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากขีดความสามารถในการรักษาของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนอาจไม่เพียงพอในบางครั้ง เพราะต้องให้การดูแลรักษาแก่ผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ด้วย พร้อมขอบคุณภาคเอกชนในการสนับสนุนอาหารและเครื่องดื่มแก่โรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์มีวัคซีนนำเข้าจาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส ในเดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส โดยแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว ซึ่งในวันที่ 24 เมษายน นี้จะมีวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และในเดือนพฤษภาคมจำนวน 1,000,000 โดสที่อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน สำหรับวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทยจะเริ่มทยอยส่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน จำนวน 4,000,000 – 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปีจนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีนโดยมีนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาพร เป็นประธาน เพื่อหารือร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดหาวัคซีนทางเลือกแก่ประชาชนได้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ในระดับดีมาก และมีการจัดหาวัคซีนเน้นตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งยังเป็นการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะนี้มีบริษัทผลิตวัคซีนหลายยี่ห้อที่ได้เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยสถาบันวัคซีนอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไขกับ บริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) เพื่อเป็นการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมปริมาณ 5,000,000 – 10,000,000 โดส รวมทั้งต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนในกลุ่มเสี่ยงตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขโดยเร็วที่สุดในทุกจังหวัด เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ พร้อมจัดเตรียมวัคซีนสำรองไว้เพิ่มเติม ทั้งนี้ จะมีการเปิดให้สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 นี้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ขณะนี้มีเพียงพอต่อการรักษา อย่างไรก็ตามจะมีการจัดหาเพิ่มเติมในเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2,000,000 เม็ด เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 1,000,000 เม็ด และเดือนมิถุนายน – กรกฎภาคม 500,000 แสนเม็ด รวมเป็น 3,500,000 เม็ด และขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้แด่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และบุคลากรทางการแพทย์ ยืนยันรัฐบาลไม่หยุดนิ่งในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ขอให้ประชาชนไม่ประมาท สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมืออยู่เสมอ ย้ำ “เราจะต้องชนะไปด้วยกัน”
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41041 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งนำผู้ติดเชื้อโควิดในพื้นที่ กทม. เข้าสู่การรักษา | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
เร่งนำผู้ติดเชื้อโควิดในพื้นที่ กทม. เข้าสู่การรักษา
...
การระบาดระลอกนี้ พบว่าพื้นที่ กทม. มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ค่อนข้างสูง แต่ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าใด ผู้ป่วยทุกคนจะต้องได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล หรือ โรงพยาบาลสนาม
.
ปัจจุบันโรงพยาบาลสนามในพื้นที่กทม. มีความพร้อมเป็นอย่างมาก (ข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.ย. 64) ดังนี้
- รพ.กลาง 110 เตียง
- โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน รองรับได้ 500 เตียง ใช้ไปแล้ว 480 เตียง ว่างอยู่ 20 เตียง (เพิ่มเติมได้อีก 500 เตียง)
- โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เขตทวีวัฒนา รองรับได้ 250 เตียง ใช้ไปแล้ว 164 เตียง ว่าง 36 เตียง
- โรงพยาบาลสนามศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา เขตบางบอน (เอราวัณ 1) รองรับได้ 100 เตียง
- โรงพยาบาลสนามศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก (เอราวัณ 2) รองรับได้ 400 เตียง แบ่งเป็น ชาย 150 เตียง หญิง 250 เตียง พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้
.
ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีความประสงค์จะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามของกทม. และต้องการเดินทางมาด้วยตนเอง สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์เอราวัณ โทร. 1669
.
หากไม่สะดวกเดินทางมาเอง ทางกทม. จะมีรถไปรับ กรณีเป็นของกระทรวงสาธารณสุขให้ โทร. 1330 หรือ 1668 ครับ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. มอบ การบินไทย จัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ครม. มอบ การบินไทย จัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย
ครม. มอบ การบินไทย จัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินแห่งชาติเฉพาะภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ซึ่งกำหนดให้ต้องดำเนินการโดยสายการบินแห่งชาติ (National Carrier) ของประเทศไทย และราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียฝ่ายละครึ่งหนึ่ง โดยไม่อนุญาตให้สายการบินของประเทศอื่นนอกจากสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียดำเนินการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากกรมการบินพลเรือนของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และให้ดำเนินการโดยรูปแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) เท่านั้น แม้ว่าปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลงเหลือร้อยละ 47.86 ทำให้มีสถานภาพเป็นสายการบินของเอกชนเทียบเท่ากับ สายการบินอื่น แต่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยังเป็นสายการบินเดียวที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รวมทั้งที่ผ่านมา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินเดียวที่ปฏิบัติภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย รวมทั้งการกำหนดให้สายการบินใดเป็นสายการบินแห่งชาติยังเป็นเรื่องทางนโยบายของแต่ละประเทศด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวน 46,477,000 บาท ไว้แล้ว สำหรับในปีต่อๆไป กรมการปกครองจะจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ กรมการปกครองได้เตรียมจัดทำโครงการสนับสนุนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดเที่ยวบินพิเศษขนส่งผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่เดินทางไป - กลับ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส ประจำปี พ.ศ. 2565 โดยสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 46.48 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อขนส่งผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในส่วนที่เพิ่มเติมจากราคาบัตรโดยสารให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการจัดเที่ยวบินพิเศษสำหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากท่าอากาศยานนราธิวาสไปยังท่าอากาศยานของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จำนวน 9 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 287 คน รวมทั้งสิ้น 2,583 คน ทั้งขาไปและขากลับ ระหว่างเดือนพฤษภาคม - เดือนกันยายน 2565 ///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีบวงสรวงสักการะเจ้าพ่อโรงโกศ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานพิธีบวงสรวงสักการะเจ้าพ่อโรงโกศ
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีบวงสรวงสักการะเจ้าพ่อโรงโกศ
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีบวงสรวงสักการะเจ้าพ่อโรงโกศ โดยมี นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายวินัย วรวัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายชนะกิจ คชชี ผู้อำนวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีฯ เข้าร่วม ณ อาคารเครื่องเกียรติยศ กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” เพียงพอรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 มอบ อภ.จัดหาเพิ่ม | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
อนุทิน ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” เพียงพอรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 มอบ อภ.จัดหาเพิ่ม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน “ยาฟาวิพิราเวียร์” เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 มอบองค์การเภสัชกรรมจัดซื้อเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการหมุนเวียน ส่วนความคืบหน้าวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เป็นไปตามมาตรฐานและแผนที่วางไว้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน “ยาฟาวิพิราเวียร์” เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 มอบองค์การเภสัชกรรมจัดซื้อเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการหมุนเวียน ส่วนความคืบหน้าวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เป็นไปตามมาตรฐานและแผนที่วางไว้
วันนี้ (20 เมษายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์โควิด 19 ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 มีเพียงพอ สามารถบริหารจัดการได้ แม้ระหว่างนี้จะมีผู้ติดเชื้อและมีความต้องการใช้ยาเพิ่มขึ้นอัตราการใช้อยู่ที่1 หมื่นกว่าเม็ดต่อวันก็มีการจัดหาเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 5 แสนเม็ด เพื่อให้มีสำรองตลอดเวลาและให้เกิดการหมุนเวียน จึงได้สั่งการมอบนโยบายให้ทางองค์การเภสัชกรรม จัดหามาเพิ่มอีก1 ล้านเม็ด คาดว่าจะส่งมอบในเดือนเมษายน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าด้านการจัดหาวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขได้เจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดก็พร้อมที่จะซื้อ เพื่อจัดหาวัคซีนทางเลือกสำรอง เพิ่มจากแอสตร้าเซเนก้าซึ่งเป็นวัคซีนหลัก ส่วนความคืบหน้ามาตรฐานการผลิตหรือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยังเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ภายในสัปดาห์นี้จะมีการส่งเอกสารต่างๆ ให้สำนักงานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) เพื่ออนุมัติให้บริษัทสยามไบโอไซน์เป็นสถานที่ผลิตวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ถูกต้องตามขั้นตอนมีความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน
**********************************20 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41026 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวบิดเบือน เหตุการณ์รถยนต์สีดำย้อนศรบนทางด่วน | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ข่าวบิดเบือน เหตุการณ์รถยนต์สีดำย้อนศรบนทางด่วน
ตามที่มีการเผยแพร่วิดีโอผ่านโซเชียลมีเดีย ในประเด็นเรื่อง เหตุการณ์รถยนต์สีดำย้อนศรบนทางด่วน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม พบว่าข้อมูลที่ปรากฏดังกล่าว เป็นข้อมูลบิดเบือน
กรณีคลิปวิดีโอรถยนต์สีดำขับย้อนศร โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนทางด่วนนั้น ทางการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง บริเวณสะพานข้ามแยกรังสิต จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้เกิดขึ้นบนทางพิเศษของการทางพิเศษ และไม่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ กทพ. แต่อย่างใด โดยการวิ่งรถสวนทางบนทางด่วนหรือบนสะพานใดๆ ก็แล้วแต่ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งสิน
.
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.mot.go.th หรือโทร. 0 2283 3000
.
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่บริเวณสะพานข้ามแยกรังสิต จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้เกิดขึ้นบนทางพิเศษของการทางพิเศษ และไม่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ กทพ. แต่อย่างใด
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายอนุชาฯ สั่งการ สำนักพุทธฯ ให้ พศจ. ทั่วประเทศ สำรวจเชิงรุก หลังกระแสข่าวทำวงการสงฆ์เสื่อมเสีย | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
รมต. นร. นายอนุชาฯ สั่งการ สำนักพุทธฯ ให้ พศจ. ทั่วประเทศ สำรวจเชิงรุก หลังกระแสข่าวทำวงการสงฆ์เสื่อมเสีย
รมต. นร. นายอนุชาฯ สั่งการ สำนักพุทธฯ ให้ พศจ. ทั่วประเทศ สำรวจเชิงรุก หลังกระแสข่าวทำวงการสงฆ์เสื่อมเสีย
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงต่อกระแสข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงคณะสงฆ์บางกลุ่มที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ปฏิบัติผิดไปจากหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา กล่าวอ้างการตั้งลัทธิใหม่ สร้างความแตกแยก และเป็นภัยต่อสังคม จึงได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เร่งดำเนินการจัดประชุมหารือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจ และดำเนินการสำรวจเชิงรุก กรณีของวัดหรือสำนักสงฆ์ที่มีการบิดเบือนและปฏิบัติผิดไปจากคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยอ้างตัวสร้างลัทธิความเชื่องมงาย ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม รวมถึงกรณีที่พบว่ามีคณะสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ โดยกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุสงฆ์สามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ. 2538 ที่ยังคงยึดถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้มาจนปัจจุบันอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกำชับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกำหนดแนวทางการจัดระบบป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามมาตรการที่ภาครัฐกำหนด และขอความร่วมมือไปยังทุกวัดอย่าปฏิเสธการฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อโควิด-19โดยมีความเห็นว่าการฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อสามารถทำได้ แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จทันที ไม่ควรมีการตั้งศพไว้เป็นระยะเวลานาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
.....................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41048 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัด 20 คู่สาย 1668 จัดการเตียงรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
สธ.จัด 20 คู่สาย 1668 จัดการเตียงรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข รวมศูนย์บริหารจัดการเตียงรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 จัดสายด่วน 1668 รวม 20 คู่สาย ระดมบุคลากรการแพทย์จิตอาสาทั่วประเทศช่วยรับสาย รอบ 10 วันรวม 2,476 สาย และโทรเยี่ยมติดตาม 2,307 สาย ผู้ติดต่อขอเตียง 1,204 คน รับเข้าโรงพยาบาลแล้ว
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประสานความร่วมมือกับกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จัดศูนย์บริหารจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยผู้ติดเชื้อโควิด 19 และเปิดสายด่วน 1668 จำนวน 20 คู่สาย เพิ่มจากสายด่วน 1669 และสายด่วน 1330 โดยระดมบุคลากรการแพทย์จิตอาสาทั่วประเทศมาช่วยรับสาย รอบ 10 วันรวม 2,476 สาย และโทรเยี่ยมติดตาม 2,307 สาย ผู้ติดต่อขอเตียง 1,204 คน รับเข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว เหลือสีเหลืองประมาณ 50 คน กรมการแพทย์กำลังจะเปิด cohort ward สีเหลืองเป็นการเฉพาะประมาณ 100 เตียง
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ในการรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 เข้ารับการรักษา จะมีการคัดกรองและแบ่งผู้ติดเชื้อออกเป็น 3 ระดับ คือ สีเขียว ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย อายุไม่มาก ไม่มีโรคร่วม จะส่งดูแลใน รพ.สนาม หรือหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ตรวจติดตามอาการทุกวัน ส่วนสีเหลือง คือผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง และสีแดงคือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด โดยศูนย์ส่งต่อ รพ.ราชวิถีจะส่งผู้ป่วยไปยัง รพ.สังกัดกรุงเทพมหานคร กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ และรพ.เอกชน ที่ผ่านมาเตียงที่เพิ่มได้จำนวนมากและเร็ว คือ Hospitel และรพ.สนาม รับเคสสีเขียวได้อย่างปลอดภัย และรับเคสสีแดงทั้งหมดเข้าโรงพยาบาลก่อน ทำให้เคสสีเหลืองเข้าโรงพยาบาลได้ช้า และไม่สามารถไปเข้า Hospitel หรือโรงพยาบาลสนามได้ ขณะนี้ได้เร่งจัดการนำผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นไป Hospitel และรพ.สนาม รวมทั้งขยายเตียงในโรงพยาบาลเพิ่ม ช่วยกันทุกสังกัด จะช่วยให้ผู้ป่วยสีเหลืองเข้าโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น
“สำหรับกรณีที่โทร 1668 แล้วไม่มีผู้รับสายนั้น เกิดจากแต่ละวันมีผู้โทรเข้า 1668 จำนวนมากกว่า 200 สาย จนคู่สายล้น ระบบจะส่งต่อวนไปผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน สายไหนว่างจึงมีคนรับ และใช้เทคนิค convert สายเข้าโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของจิตอาสาจากทั่วประเทศ ทำให้แต่ละเวรมีคนช่วยรับสายเพิ่มอีกกว่า 10 คู่สายทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่ หรือติดต่อทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยการเพิ่มเพื่อน @Sabaideebot กรอกข้อมูลชื่อที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ เพื่อความสะดวกในการประสานส่งต่อให้ผู้ติดเชื้อได้เข้ารับการดูแลรักษาโดยเร็วที่สุด” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว
**************************************** 20 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41039 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สรุปจำนวนรถใช้มอเตอร์เวย์ฟรีช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ 2564 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สรุปจำนวนรถใช้มอเตอร์เวย์ฟรีช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ 2564
พบยอดผู้ใช้กว่า 5 ล้านคัน ส่วนผู้ใช้มอเตอร์เวย์สาย 6 ช่วง ปากช่อง-สีคิ้ว พบยอดกว่า 2 แสนคันสำหรับปริมาณจราจรเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร บนทางหลวงสายหลัก และมอเตอร์เวย์สาย 7 (ด่านลาดกระบัง) จำนวน 10 เส้นทาง พบยอดรวมกว่า 9 ล้านคัน
ตามที่กรมทางหลวง (ทล.) ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทาง ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพ – ชลบุรี – พัทยา ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 บางปะอิน – บางพลี และ พระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 2564 ระยะเวลา 8 วัน พบว่ามีจำนวนรถทุกประเภทที่ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 5,235,901 คัน แบ่งเป็น รถ 4 ล้อ จำนวน 4,774,232 คัน , รถ 6 ล้อ จำนวน 158,032 คัน และรถมากกว่า 6 ล้อ จำนวน 303,635 คัน ซึ่งประมาณการจำนวนเงินที่ช่วยลดภาระรายจ่ายให้แก่ประชาชนจากการยกเว้นค่าผ่านทาง ระหว่างวันที่ 9 เมษายน 2564 - 16 เมษายน 2564 เป็นเงิน 183,702,894 บาท
◾️ สำหรับการเปิดให้บริการวิ่งฟรีชั่วคราวบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ช่วง ปากช่อง – สีคิ้ว เพื่อรองรับการเดินทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่ามีผู้ใช้บริการในระหว่างวันที่ 9-19 เมษายน 2564 รวมทั้งสิ้น 206,105 คัน คิดเป็นร้อยละ 18.84% ของปริมาณรถทั้งหมดที่วิ่งบนทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) จำนวน 1,093,808 คัน โดยแบ่งเป็น
- มอเตอร์เวย์สาย 6 ฝั่งขาออก ระหว่างวันที่ 9-13 เมษายน 2564 มีจำนวน 102,117 คัน คิดเป็น 26.82% ของปริมาณรถขาออกทั้งหมด 380,619 คัน ส่วนปริมาณรถวิ่งบนทางหลวงหมายเลข 2 ช่วงลำตะคอง มีจำนวน 278,502 คัน
- มอเตอร์เวย์สาย 6 ฝั่งขาเข้า ระหว่างวันที่ 14-19 เมษายน 2564 มีจำนวน 103,988 คัน คิดเป็นร้อยละ 25.62% ของปริมาณรถขาเข้าทั้งหมด 405,752 คัน ส่วนปริมาณรถวิ่งบนทางหลวงหมายเลข 2 ช่วงลำตะคอง มีจำนวน 301,764 คัน
◾️ นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังได้สรุปปริมาณจราจรเข้าและออกจากกรุงเทพมหานคร บนทางหลวงสายหลัก และทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (ลาดกระบัง) ในช่วงระหว่างวันที่ 9 – 18 เมษายน 2564 รวมทั้งสิ้น 9,486,460 คัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ฝั่งขาออก จำนวน 4,810,259 คัน แยกเป็น ทางหลวงหมายเลข 32 (บางปะอิน) จำนวน 615,915 คัน, ทางหลวงหมายเลข 347 (บางปะอิน) จำนวน 198,822 คัน , ทางหลวงหมายเลข 340 (บางบัวทอง) จำนวน 373,156 คัน , ทางหลวงหมายเลข 4 (นครชัยศรี) จำนวน 548,331 คัน , ทางหลวงหมายเลข 35 (สมุทรสาคร) จำนวน 627,657 คัน , ทางหลวงหมายเลข 1 (วังน้อย) จำนวน 678,847 คัน , ทางหลวงหมายเลข 305 (องค์รักษ์) จำนวน 207,370 คัน , ทางหลวงหมายเลข 304 (มีนบุรี) จำนวน 288,767 คัน , ทางหลวงหมายเลข 34 (สมุทรปราการ) จำนวน 773,361 คัน และทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (ด่านลาดกระบัง) จำนวน 498,033 คัน โดยปริมาณจราจรที่มีประชาชนเดินทางมากที่สุดคือวันที่ 10 เมษายน 2564 มีจำนวน 698,675 คัน
- ฝั่งขาเข้า จำนวน 4,676,201 คัน แยกเป็น ทางหลวงหมายเลข 32 (บางปะอิน) จำนวน 620,741 คัน, ทางหลวงหมายเลข 347 (บางปะอิน) จำนวน 194,258 คัน , ทางหลวงหมายเลข 340 (บางบัวทอง) จำนวน 363,967 คัน , ทางหลวงหมายเลข 4 (นครชัยศรี) จำนวน 527,133 คัน , ทางหลวงหมายเลข 35 (สมุทรสาคร) จำนวน 513,202 คัน , ทางหลวงหมายเลข 1 (วังน้อย) จำนวน 699,744 คัน , ทางหลวงหมายเลข 305 (องค์รักษ์) จำนวน 194,456 คัน , ทางหลวงหมายเลข 304 (มีนบุรี) จำนวน 299,609 คัน , ทางหลวงหมายเลข 34 (สมุทรปราการ) จำนวน 740,823 คัน และทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (ด่านลาดกระบัง) จำนวน 522,211 คัน โดยปริมาณจราจรช่วงขาเข้าที่มีประชาชนเดินทางมากที่สุดคือวันที่ 15 เมษายน 2564 มีจำนวน 516,543 คัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกเตรียมพร้อม วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป สามารถออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเวียนนา 1968 ใช้ครอบคลุมหลากหลายประเทศได้มากขึ้น | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบกเตรียมพร้อม วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป สามารถออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเวียนนา 1968 ใช้ครอบคลุมหลากหลายประเทศได้มากขึ้น
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยให้สัตยาบันเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น
กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้เตรียมความพร้อมรองรับเพื่อให้สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 หรืออนุสัญญาเวียนนา 1968 ได้ปรับรายละเอียดของอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 หรืออนุสัญญาเจนีวา 1949 ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ก่อนแล้วให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยในการใช้ถนน รวมทั้งยอมรับใบอนุญาตขับรถที่มีลักษณะเป็นไปตามข้อกำหนดของอนุสัญญาเวียนนา 1968 ให้เข้ามาใช้ในประเทศภาคีได้ ดังนั้นการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 จึงมีส่วนสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยทางถนนและมาตรฐานใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ทั้งยังเพิ่มโอกาสที่ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศของไทยจะได้รับการยอมรับให้สามารถนำไปใช้ในต่างประเทศที่เป็นภาคีตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 ได้ และประเทศไทยสามารถยอมรับใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศที่ออกโดยประเทศที่เป็นภาคีตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ด้วยเช่นกัน โดยต้องใช้ควบคู่กับใบอนุญาตขับรถภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลาย
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาเวียนนา 1968 ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ขบ. สามารถดำเนินการออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเวียนนา 1968 เพิ่มเติมจากใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเจนีวา 1949 เดิมที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ซึ่งมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน คือ ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 มีอายุ 1 ปี นำไปใช้ได้ใน 101 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ เป็นต้น และใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 มีอายุ 3 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต หรือไม่เกินกว่าอายุของใบอนุญาตขับรถภายในประเทศที่ผู้ถือมีอยู่ นำไปใช้ได้ใน 84 ประเทศทั่วโลก เช่น บาห์เรน บราซิล เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น และสำหรับประเทศ
ที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาทั้งสองฉบับ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศไทยสามารถใช้ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศที่ออกตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 เพียงฉบับเดียวได้
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ สามารถแจ้งรายชื่อประเทศที่ต้องการนำใบอนุญาตขับรถไปใช้ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องในการร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญา และออกใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศให้ได้อย่างถูกต้องตามแบบที่กำหนด พร้อมหลักฐานที่ยังไม่สิ้นอายุ คือ สำเนาหนังสือเดินทางเล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง) บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ใบอนุญาตขับรถ (ยกเว้นใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราวไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้) รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน) ต้องเป็นรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้มและไม่มีภาพวิวหลังรูป กรณีชาวต่างชาติต้องยื่นหลักฐานเพิ่มเติม ได้แก่ หนังสือเดินทาง (ต้องไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว เล่นกีฬา หรือเดินทางผ่านเมือง) ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) หรือใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Work Permit) หรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการตรวจลงตราพิเศษ (Smart Visa) ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศตามอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีค่าธรรมเนียมพร้อมค่าคำขอรวม 505 บาทเท่ากัน สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Krungthai COMPASS ชี้โซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนเป็นโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
Krungthai COMPASS ชี้โซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนเป็นโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยประเมินตลาดอสังหาฯในช่วงปี 2564-2566 เผยธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ คาดมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินตลาดอสังหาฯในช่วงปี 2564-2566 เติบโตไม่ดีเหมือนเคย การแข่งขันในตลาดรุนแรงมีแนวโน้มทำให้อัตรากำไรสุทธิของผู้พัฒนาอสังหาฯ อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งผลักดันให้ธุรกิจมองหาแหล่งรายได้เสริมใหม่ๆ เผยธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ คาดมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ารายได้ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตเพียง 3.6% ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าที่เคยเติบโตได้ 7.2% เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศโดนกดดันจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ไม่เร็วนัก และหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 89.3% ต่อจีดีพี ส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติถูกจำกัดจากมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจที่เคยเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าเช่นกัน
“ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริมของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในปัจจุบัน ล้วนกำลังเผชิญความเสี่ยงจากโควิด-19 ธุรกิจเสริมไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์หรือโรงแรมต่างก็ได้รับผลกระทบจากการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนออฟฟิศสำนักงานให้เช่าที่กำลังถูกดิสรัปจากการเวิร์คฟอร์มโฮมเป็น New Normal จึงเป็นการยากที่ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถช่วยประคับประคองผลการดำเนินงานได้ ทำให้มองว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เสริมใหม่”
ดร.กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดย นอกจากกระแสรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการใช้โซลาร์รูฟท็อป มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาจากความคุ้มค่าที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาโซลาร์รูฟท็อปที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคารับซื้อไฟที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโควตารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า
“ตั้งแต่ปี 2556 ราคาแผงโซลาร์ในไทยลดลงกว่า 66% ประกอบกับราคารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 บาท/หน่วย ทำให้ระยะเวลาคืนทุนจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเร็วขึ้นจาก 17-30.3 ปี ในปี 2556 เหลือ 6.1-13.9 ปี ในปี 2564 และอาจเหลือเพียง 5.3-12 ปี ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากราคาแผงโซลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ประเมินว่ามีครัวเรือนไทยถึง 2.3 ล้านครัวเรือนที่สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและคุ้มทุนได้ค่อนข้างเร็ว หากครัวเรือนกลุ่มนี้เพียง 20% หันมาติดแผงโซลาร์ก็จะทำให้มูลค่าตลาดสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท”
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่าจากโครงการก่อสร้างของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมีบ้านกว่า 1 แสนหลังที่มีโอกาสจะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ มีข้อได้เปรียบในการนำเสนอ solution ให้กับครัวเรือน เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกบ้านเดิมอยู่แล้ว และยังมีความน่าเชื่อถือซึ่งอาจจะทำให้ลูกบ้านกล้าลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อปที่มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วคือการเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ดังเช่นกรณีของบริษัท Stockland ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ในออสเตรเลีย เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41053 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แนะนำ 3 แอปพลิเคชันที่ผู้ขับรถควรมีติดสมาร์ทโฟน เพื่อการดำเนินชีวิตยุคดิจิทัลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แนะนำ 3 แอปพลิเคชันที่ผู้ขับรถควรมีติดสมาร์ทโฟน เพื่อการดำเนินชีวิตยุคดิจิทัลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายมาเป็นเครื่องมือสื่อสารหลัก ประกอบกับเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบ IT ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้ขับรถมากขึ้น เช่น การใช้ระบบ GPS นำทางอำนวยความสะดวกในการเดินทาง
ซึ่งในส่วนของกรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัลให้กับผู้ขับรถและเจ้าของรถ
DLT QR Licence แอปพลิเคชันแสดงใบอนุญาตขับรถอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถที่มีคิวอาร์โค้ดด้านหลังบัตร สามารถแสดงใบอนุญาตขับรถอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT QR Licence แทนใบอนุญาตขับรถแบบบัตร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับรถไม่ต้องกังวลกับการพกพาใบอนุญาตขับรถ มีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อถึงกำหนดเปลี่ยนชนิดหรือต่ออายุใบอนุญาตขับรถ รวมถึงยังมีข้อมูลที่นอกเหนือจากที่ปรากฏบนหน้าบัตร เช่น ประวัติการแพ้ยา กรุ๊ปเลือด โรคประจำตัว สิทธิการเข้ารับการรักษาพยาบาล หมายเลขโทรศัพท์ผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน ให้สามารถโทรแจ้งหรือส่ง SMS ไปยังบุคคลดังกล่าวในกรณีฉุกเฉิน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT QR Licence ได้ฟรีทั้ง iOS: https://apple.co/2VTcYR8 และแอนดรอยด์: http://bit.ly/2JHhh0m
DLT Vehicle Tax แอปพลิเคชันชำระภาษีรถออนไลน์ สามารถดำเนินการได้ทุกที่ทุกเวลา หรือชำระภาษีรถล่วงหน้าได้ก่อนวันที่ภาษีรถสิ้นอายุภายใน 90 วัน ไม่ถูกอายัดทะเบียน ไม่ใช่รถที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้ ทั้งนี้ สำหรับรถที่กำหนดให้ต้องมีการตรวจสภาพรถก่อนชำระภาษีรถประจำปี เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี หรือรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี หรือเป็นรถที่ค้างชำระภาษีรถเกินกว่า 1 ปี ต้อง “ผ่าน” การตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) จึงจะใช้บริการออนไลน์ได้ เมื่อชำระภาษีรถประจำปีเรียบร้อยแล้ว รอรับเครื่องหมายการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันชำระเงิน โดยมีหลักฐานการชำระภาษีรถประจำปีชั่วคราวจนกว่าจะได้รับเครื่องหมายการเสียภาษีประจำปีจากกรมการขนส่งทางบก ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax ได้ฟรีทั้ง iOS: https://apple.co/2VTcYR8 และแอนดรอยด์: http://bit.ly/2JHhh0m
DLT Smart Queue แอปพลิเคชันเพื่อการเตรียมพร้อมจองคิวล่วงหน้าเพื่อเข้ารับบริการกับสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ เลือกสถานที่ วันและเวลา ที่สะดวกได้ตามต้องการ สามารถยกเลิกเปลี่ยนแปลงการจองได้ด้วยตนเอง ตอบโจทย์การบริหารเวลาได้อย่างลงตัวมากขึ้น ดาวน์โหลด DLT Smart Queue ได้ฟรีทั้ง iOS: https://apple.co/2VTcYR8 และแอนดรอยด์: http://bit.ly/2JHhh0m
กรมการขนส่งทางบกห่วงใยประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แนะปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T คือ D-Distancing อยู่ห่างไว้ M-Mask Wearing ใส่หน้ากากอนามัย H-Hand washing หมั่นล้างมือ T-Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ T-Thai Cha na ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ และใช้บริการออนไลน์ที่กรมการขนส่งทางบกเตรียมไว้รองรับ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41037 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน ปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับ BFIT | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
ธนาคารออมสิน ปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับ BFIT
ธ.ออมสินปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับบริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ตามที่ นสพ.ข่าวหุ้นฉบับวันที่ 20 เม.ย. 2564 ได้นำเสนอข่าวว่าธ.ออมสินจะเข้าไปร่วมทุนกับ BFIT เพราะต้องการร่วมทุนกับนอนแบงก์ที่ให้บริการธุรกิจสินเชื่อจำนองบ้านและโฉนดที่ดิน
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ปฏิเสธข่าวการร่วมทุนกับบริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ตามที่ นสพ.ข่าวหุ้นฉบับวันที่ 20 เมษายน 2564 ได้นำเสนอข่าวว่า "ธนาคารออมสินจะเข้าไปร่วมทุนกับ BFIT เพราะออมสินต้องการร่วมทุนกับนอนแบงก์ที่ให้บริการธุรกิจสินเชื่อจำนองบ้านและโฉนดที่ดิน คาดว่าดีลแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ ซึ่ง BFIT มีพอร์ตสินเชื่อบ้านแลกเงินดังกล่าวรองรับอยู่" นั้น
ธนาคารออมสินขอชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า ธนาคารมีแนวคิดที่จะเปิดให้บริการธุรกิจสินเชื่อที่เกี่ยวกับที่ดินเพิ่มเติม เพื่อต้องการช่วยเหลือประชาชนฐานราก หรือผู้ประกอบการธุรกิจที่มีปัญหาสภาพคล่องให้สามารถนำที่ดินเข้ามาใช้เป็นหลักประกันขอเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยไม่สูงเกินไปตามนโยบายของรัฐบาล แต่ขณะนี้ ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องโครงสร้างที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจนี้ และยังไม่มีการเจรจาร่วมทุนหรือร่วมทำธุรกิจกับบริษัทใดๆ รวมถึง บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นทางการจากธนาคารออมสินได้ ซึ่งจะประชาสัมพันธ์หรือประกาศให้ลูกค้าและประชาชนทราบต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2564
วันที่ 20 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบทางไกล
วันที่ 20 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบทางไกลโดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร คณะคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41052 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
รมว.วธ ประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM)
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางโนมิน ชินบัด(H.E. Mrs. Nomin Chinbat) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งมองโกเลีย
วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมประชุมหารือความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านวัฒนธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM) กับนางโนมิน ชินบัด(H.E. Mrs. Nomin Chinbat) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งมองโกเลีย พร้อมด้วย นายบูม โอเชีย ดูแลม (Mr. Bum-Ochir Dulam) ที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งมองโกเลีย โดยมี นายทูมูร์ อามาร์ซานา (H.E. Mr. Tumur Amarsanaa) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง นางสาวอุรุษยา อินทรสุขศรี ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอบถ่ายภาพคนอื่น....ผิดกฎหมายนะ! | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
แอบถ่ายภาพคนอื่น....ผิดกฎหมายนะ!
...
การระบาดของโรคโควิด-19 จำเป็นต้องนำผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไปกักรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามที่ตั้งขึ้น สำหรับรองรับผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนมาก
.
เมื่อมีคนจำนวนมาก อาจมีบุคคลบางส่วนกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่าง "แอบถ่ายภาพ"
.
กองปราบปราม ได้แจ้งว่าการแอบถ่ายและเผยแพร่ภาพผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามอาจเข้าข่ายมีความผิด ดังนี้
.
ตามกฎหมายอาญามาตรา 397 หากเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
.
หรืออาจเข้าข่ายมีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
.
ทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ก็ได้ให้สิทธิผู้ถูกแอบถ่ายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย
.
กรณีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จนทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังหรือได้รับความอับอาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ ไม่เกิน 200,000 บาท ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 16
.
แม้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นผู้ได้รับความเสียหาย จะยังรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม ก็สามารถให้ที่ผู้ได้รับมอบอำนาจ ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อพนักงานสอบสวนได้เลย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมออกประกาศ เรื่อง แนวทางปฏิบัติการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กระทรวงคมนาคมออกประกาศ เรื่อง แนวทางปฏิบัติการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในปัจจุบัน ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น กระทรวงคมนาคมจึงได้ออกแนวทางปฏิบัติให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการ
เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดฯ รวมทั้งเพิ่มมาตรการให้มีความเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. แนวทางปฏิบัติ/มาตรการป้องกัน
1.1 ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเว้นระยะระหว่างกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา (M-Mask wearing) จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึง เพียงพอ และล้างมือบ่อย ๆ (H-Hand washing) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (T-Testing) ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ (T-Thaichana)
1.2 บุคคลที่เคยไปในพื้นที่เสี่ยง/กิจการเสี่ยง/กิจกรรมเสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด
1.3 ในเดือนเมษายน 2564 ขอให้ส่วนราชการในสังกัด รวมทั้งขอความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ นำมาตรการให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work from Home) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 มาใช้ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะวันที่ 16 และ 19 เมษายน 2564 เพื่อลดความคับคั่งในการเดินทางกลับจากต่างจังหวัดของประชาชน
1.4 ในการจัดการประชุม การเรียน การศึกษาอบรม ขอให้พิจารณาใช้รูปแบบออนไลน์ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพัฒนารูปแบบการเรียน การศึกษาอบรมแบบออนไลน์ แทนรูปแบบการเรียน การศึกษาอบรมในห้อง (on site) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. แนวทางปฏิบัติเมื่อพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19
2.1 แจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมงนับตั้งแต่พบผู้ป่วย เพื่อให้ดำเนินการสอบสวน ป้องกัน และควบคุมโรค โดยให้ดำเนินการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ/คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
2.2 หยุดกิจกรรมหรือการให้บริการในแผนก/พื้นที่ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ
2.3 ทำความสะอาดฆ่าเชื้อบริเวณพื้นที่สัมผัสร่วม เช่น ราวบันได ที่จับประตู ลิฟต์ และห้องน้ำ
3. แนวทางปฏิบัติในการรายงาน
ขอให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินการให้กระทรวงฯ ทราบ เป็นประจำทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41036 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดระเบียบผู้ประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
รัฐบาลจัดระเบียบผู้ประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน
รัฐบาลจัดระเบียบผู้ประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ว่า ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและให้เกิดความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.การออกแบบ การสร้าง การทดสอบและตรวจสอบถังเก็บและจ่ายก๊าซในคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.กำหนดให้คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ต้องมีแผนผังโดยสังเขปแสดงตำแหน่งที่ตั้งของคลังก๊าซ พร้อมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่รอบเขตคลังก๊าซ ภายในระยะไม่น้อยกว่า 500 เมตร
3.กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยภายนอกของคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยต้องตั้งอยู่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากเขตสถานพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน และโบราณสถาน ไม่น้อยกว่า 200 เมตร
4.กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยภายในคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ต้องห่างจากภาชนะบรรจุน้ำมันที่ไม่ใช่ถังเก็บน้ำมัน (น้ำมันที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส) ไม่น้อยกว่า 6 เมตร และต้องมีที่จอดรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีขนาดและจำนวนช่องจอดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
5.กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยต้องมีระบบท่อน้ำดับเพลิง เครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง แหล่งน้ำหรือที่เก็บน้ำ เครื่องสูบน้ำดับเพลิงที่ใช้เครื่องยนต์ และระบบสัญญาณเตือนภัย
6.กำหนดให้การประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ต้องจัดให้มีพนักงานซึ่งผ่านการอบรมผู้ปฏิบัติงานตามกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงฯ
7.กรณีคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ไม่สามารถจัดให้มีที่จอดรถขนส่งก๊าซได้โดยสภาพ ให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมยื่นขอรับการยกเว้นต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนด
8.กรณีถังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว เสารับถังเก็บและจ่ายก๊าซ ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ในคลัง ที่ได้รับอนุญาตก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้บังคับใช้ ให้ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องออกแบบและสร้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องดำเนินการทดสอบและตรวจสอบตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
9.คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับใบอนุญาตก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้บังคับใช้ หากมีการรื้อถอนและก่อสร้างถังเก็บและจ่ายก๊าซขึ้นใหม่ในตำแหน่งเดิม โดยมีขนาดและปริมาณการเก็บก๊าซไม่เกินกว่าที่เคยได้รับใบอนุญาตไว้ ให้ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องปฏิบัติตามส่วนที่ 2 ลักษณะและระยะปลอดภัยภายนอก และส่วนที่ 3 ลักษณะและระยะปลอดภัยภายใน ของหมวดที่ 2 เฉพาะที่เกี่ยวกับระยะปลอดภัย
10.คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับใบอนุญาตหรือได้รับความเห็นชอบแบบแปลน แผนผัง และแบบก่อสร้าง ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้บังคับใช้ หากมีการสร้างถังเก็บและจ่ายก๊าซขึ้นใหม่ หรือสร้างขึ้นตามแบบก่อสร้างที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในเขตคลัง ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงบังคับใช้ ให้มีระยะปลอดภัยภายนอกตามที่กำหนด ไม่น้อยกว่า 100 เมตร
ทั้งนี้ กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 180 วัน
.....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41045 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ย้ำผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกรายต้องเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันอาการทรุดหนักจนเสียชีวิต | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
สาธิต ย้ำผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกรายต้องเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันอาการทรุดหนักจนเสียชีวิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียง เข้าสู่ระบบรักษาได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีเพียงส่วนน้อยที่ปฏิเสธโรงพยาบาลที่จัดให้ ชี้โรคนี้อาการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เพื่อความปลอดภัยผู้ติดเชื้อทุกราย ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาป้อง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียง เข้าสู่ระบบรักษาได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีเพียงส่วนน้อยที่ปฏิเสธโรงพยาบาลที่จัดให้ ชี้โรคนี้อาการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เพื่อความปลอดภัยผู้ติดเชื้อทุกราย ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาป้องกันอาการทรุดหนักถึงขั้นเสียชีวิต พร้อมแนะข้อปฏิบัติระหว่างรอเตียง รอผลตรวจและการให้นมบุตรของผู้ติดเชื้อ
วันนี้ (20 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ เพิ่มขึ้นวันละ 1,000 กว่าราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อรอเตียงจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับโรงพยาบาลทุกสังกัดบริหารจัดการเตียง ยืนยันมีเตียงเพียงพอ ทั้งโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โรงพยาบาลสนามและHospitel สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ โดยมีเกณฑ์ประเมินผู้ติดเชื้อที่จะเข้ารับการรักษาตามอาการ และมีศูนย์ประสานงาน 3 สายด่วน ได้แก่ สายด่วน 1668 ,สายด่วน 1669 และสายด่วน 1330
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า สำหรับสายด่วน 1668 กรมการแพทย์ เป็นสายด่วนเฉพาะกิจ เปิดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ประสานงานรวบรวมเตียงจากทุกสังกัด ในเขตกทม.และปริมณฑล โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่ วันที่ 10-18 เมษายน 2564 ประสานการจัดหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อในกลุ่มสีแดง สีเหลืองและสีเขียวสามารถเข้าสู่การรักษาได้เกือบทั้งหมดแล้ว โดยมีผู้ประสงค์ขอเตียง จำนวน 1,204 คน รับเข้าโรงพยาบาลแล้ว 627 คน ที่เหลือคาดว่าจะได้เตียงภายใน 1-2 วัน ระหว่างรอเตียงได้จัดให้ทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โทรเยี่ยมติดตามอาการทุกวัน อย่างไรก็ตามยังมีผู้ป่วยบางส่วนที่ไม่ประสงค์เข้ารับการรักษาตามระบบของกระทรวงสาธารณสุขประสานให้ ทำให้มียอดคงค้างในระบบ ส่วนผู้ติดเชื้อที่ไปรับการตรวจในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ไม่มีเตียงรองรับจะใช้เวลารอการประสานจัดหาเตียงไม่เกิน 24-48 ชั่วโมง
“ขอย้ำว่าตอนนี้มีเตียงว่างอยู่ แต่ความต้องการอาจไม่ตรงกับสิ่งที่จัดให้ ซึ่งตามหลักแล้วผู้ติดเชื้อทุกรายต้องเข้ารับการรักษาทุกกรณี ตามเกณฑ์สีเขียว เหลือง แดง กระทรวงสาธารณสุขมีความเป็นห่วงผู้ติดเชื้อทุกราย หากคิดว่าไม่มีอาการและนอนอยู่บ้าน จนมีอาการรุนแรงขึ้นอาจเข้ารับการรักษาไม่ทัน จะทำให้อาการหนักรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่หากเข้ารักษาในระบบอยู่ในความดูแลของแพทย์ จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดการสูญเสียได้สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนาม ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม กฎระเบียบ เพื่อช่วยให้การจัดการและการดูแลผู้ติดเชื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”ดร.สาธิต กล่าว
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวต่อว่า ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ติดเชื้อที่รอเตียงและรอผลการตรวจ ขอให้งดพบปะผู้คน, ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา หมั่นล้างมือ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสจุดเสี่ยง, แยกห้องส่วนตัว แยกห้องน้ำ ของใช้ส่วนตัว ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัว สำหรับกรณีมารดาที่ให้นมบุตร ยังสามารถให้นมบุตรได้ เนื่องจากข้อมูลองค์การอนามัยโลก พบว่า ไม่พบเชื้อโควิด 19 ในน้ำนม แต่มารดาต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง ทำความสะอาดร่างกาย สวมหน้ากากตลอดเวลา
**************************************** 20 เมษายน 2564
******************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41050 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ของโครงการเราชนะ | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ของโครงการเราชนะ
ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2564 เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ของโครงการเราชนะ ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564 จากเดิมที่สามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ได้ไม่เกินวันที่ 31 พ.ค.2564 เพื่อบรรเทาผลกระทบการระบาดของCOVID-19 ระลอกใหม่
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 จากเดิมที่สามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ได้ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางออกไปใช้จ่ายในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่
โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่าที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของประชาชนหรือผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) โดยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯเช่นการแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสดการขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการติดตามและตรวจสอบ โดยหากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริงจะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องEDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้าและดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปจึงขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเองและขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯทางไปรษณีย์มาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail): [email protected]
โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 20 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคนได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 73,197 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้วจำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 113,010 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,146 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 200,353 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3423 3424 3425 3427 และ 3429 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)โทร. 021111122(ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41055 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ห่วงใยในสถานการณ์COVID-19 แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ห่วงใยในสถานการณ์COVID-19 แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
ย้ำ!!! ผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น กรมการขนส่งทางบก จึงจำเป็นต้องงดการอบรมด้านใบอนุญาตขับรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง โดยมีกิจกรรมที่งดให้บริการดังนี้
1. งดการอบรมและทดสอบ ณ สำนักงานขนส่ง สำหรับผู้ขอใหม่ ทั้งสำหรับการขอรับใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถใหม่ทุกชนิด ยกเว้น กรณีการผ่านการอบรมและทดสอบของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ให้นำผลผ่านการอบรมมาดำเนินการ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ออกหนังสือรับรอง
2. งดการอบรม ณ สำนักงานขนส่ง สำหรับการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถทุกชนิด โดยให้เข้าอบรมผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com สามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาเป็นหลักฐานเพื่อต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้
3. งดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านทะเบียนและภาษีรถ และด้านใบอนุญาตขับรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน (Shop Thru for Tax) และศูนย์บริการร่วม
ทั้งนี้ ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ผ่อนผันการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว ยังสามารถใช้แสดงตนได้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และในส่วนของผู้ที่จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งตรงกับช่วงที่กรมการขนส่งทางบกงดให้บริการ จะยังคงได้รับสิทธิในการเข้ารับบริการเมื่อมีประกาศเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ โดยกรมการขนส่งทางบกจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง และสำหรับผู้ที่ใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถสิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเยียวยารองรับ ดังนี้ ผู้ที่ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 1 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบข้อเขียน กรณีสิ้นอายุเกิน 3 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ หากเป็นใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก สิ้นอายุเกิน 3 ปี ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถที่ไม่มีขั้นตอนการอบรมและทดสอบที่สำนักงานขนส่ง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติในวันและเวลาราชการ เช่น การออกใบอนุญาตขับรถให้ผู้ที่มีหนังสือรับรองจากสถาบันการศึกษาหรือโรงเรียนสอนขับรถมาก่อนแล้ว การออกใบแทนกรณีใบอนุญาตขับรถชำรุดหรือสูญหาย การเปลี่ยนชนิดใบอนุญาตขับรถชั่วคราว 2 ปี เป็นส่วนบุคคล 5 ปี การต่ออายุใบอนุญาตขับรถที่มีผลผ่านการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทาง www.dlt-elearning.com โดยการต่ออายุใบอนุญาตขับรถที่มีผลการอบรมออนไลน์ สามารถนำผลการอบรมติดต่อสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถ ประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) ระยะเวลาอบรม 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง ระยะเวลาอบรม 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ แท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) ระยะเวลาอบรม 3 ชั่วโมง และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (รถจักรยานยนต์ รถยนต์สามล้อ รถยนต์) ขาดต่ออายุเกิน 1 ปี ระยะเวลาอบรม 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ผลการอบรมออนไลน์มีอายุ 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรม ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่มีความจำเป็นไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการในด้านใบอนุญาตขับรถ หรือด้านทะเบียนและภาษี ควรงดเว้นการติดต่อที่สำนักงานขนส่ง หรือใช้บริการระบบออนไลน์ที่กรมการขนส่งทางบกมีไว้รองรับ
ในกรณีจำเป็นที่ต้องมาดำเนินการที่สำนักงานขนส่ง ขอให้จองคิวดำเนินการล่วงหน้า ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น และขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารประจำทางเกิดเพลิงไหม้ ที่ จ.ขอนแก่น | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารประจำทางเกิดเพลิงไหม้ ที่ จ.ขอนแก่น
เรียกตรวจความปลอดภัยรถโดยสารที่ติดตั้งก๊าซ CNG ทั่วประเทศ ด้านผู้ประกอบการขนส่ง เปรียบเทียบปรับทันที 50,000 บาท สั่งถอนรถออกจากประกอบการขนส่ง และพักใช้ใบอนุญาตขับรถคนขับรถ
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารประจำทางสองชั้นเกิดเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 เวลาประมาณ 23.25 น. ซึ่งเป็นรถคันหมายเลขทะเบียน 10-7387 อุดรธานี เส้นทางกรุงเทพฯ - อุดรธานี รับผู้โดยสารจากจังหวัดอุดรธานี จำนวน 33 คน มุ่งหน้าไปยังกรุงเทพมหานคร เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ บริเวณ ทล. 2 ถนนมิตรภาพ กม. 319 - 320 ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น ยางล้อหลังด้านขวาเกิดระเบิดและเกิดเพลิงลุกไหม้ลุกลาม ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวน 5 ราย และบาดเจ็บ 12 ราย นั้น ภายหลังเกิดเหตุกรมการขนส่งทางบกได้จัดส่งทีมสืบสวนอุบัติเหตุจากส่วนกลางลงพื้นที่ตรวจสอบอุบัติเหตุ ณ สถานที่เกิดเหตุใน จ.ขอนแก่น เพื่อตรวจสอบเบื้องต้นซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของเบรกที่ล้อหลังขวาจนเกิดความร้อนสูงทำให้ยางระเบิด ไปกระทบกับระบบถังก๊าซ CNG จนเกิดการรั่วไหลและเกิดเพลิงลุกไหม้ตัวรถอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ต้องรอผลการตรวจสอบที่แน่ชัดและรอผลการสอบสวนของตำรวจเพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของมาตรการทางกฎหมาย กรมการขนส่งทางบก โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่น ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ บริษัท 407 พัฒนา จำกัด ผู้ประกอบการขนส่งในข้อหาใช้รถที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง ทำการขนส่งนอกเส้นทาง และไม่นำรถเข้าสถานีขนส่งผู้โดยสาร เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท และสั่งถอนรถคันดังกล่าวออกจากประกอบการขนส่งทันที พร้อมให้ผู้ประกอบการขนส่งนำรถโดยสารสองชั้นที่ติดตั้ง CNG อีกจำนวน 48 คัน ซึ่งเป็นรถลักษณะเดียวกันกับคันเกิดเหตุมาเข้ารับการตรวจสภาพรถ สภาพระบบห้ามล้อและระบบ CNG ทุกคันให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ในส่วนของผู้ขับรถ ปัจจุบันพนักงานสอบสวนได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ขับรถในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา และจากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดฐานไม่ใช้เครื่องอุปกรณ์ส่วนควบ (GPS) บางช่วงเวลา กรมการขนส่งทางบกจึงได้ดำเนินการลงโทษเปรียบเทียบปรับและพักใช้ใบอนุญาตขับรถของผู้ขับรถดังกล่าวไว้ก่อน โดยเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ขับรถโดยประมาทแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะพิจารณาดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตขับรถต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวในอนาคต กรมการขนส่งทางบกจะทำการขยายผลโดยการเรียกรถโดยสารที่มีการติดตั้งก๊าซ CNG ทั้งหมดทั่วประเทศมาดำเนินการตรวจสภาพรถ ทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัย และระบบ CNG ณ สำนักงานขนส่ง ดังนี้ รถโดยสาร 2 ชั้น ที่ติดตั้งก๊าซ CNG ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดทั่วประเทศจำนวน 143 คัน ให้มาดำเนินการตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ รถโดยสารระหว่างจังหวัดที่ติดตั้งก๊าซ CNG ทั้งหมดทั่วประเทศรวม 2,175 คัน ให้มาดำเนินการตรวจสภาพรถให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41032 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เมษายน 2564 | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เมษายน 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (20 เมษายน 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทย ฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2)
6. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
เศรษฐกิจ สังคม
7. เรื่อง ขอเพิ่มครัวเรือนเป้าหมายเกษตรกรโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563
8. เรื่อง ทบทวนการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และรายงานผลการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 และปีบัญชี 2563
9. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์
10. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ. 2563 - 2565
11. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย
12. เรื่อง การเสนอความเห็นการขอยุบเลิกและการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
13. เรื่อง ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2563 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต
14. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
15. เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบก
16. เรื่อง การขอต่ออายุวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารออมสิน วงเงิน 500 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย
17. เรื่อง การปรับเงินเดือนค่าจ้างชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกเข้าทำงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
18. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 5/2564
19. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 11/2564 และครั้งที่ 12/2564
ต่างประเทศ
20. เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตว่า ด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางพิเศษ และหนังสือเดินทางราชการ
21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดตั้งคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน (Satellite Warehouse) ภายใต้โครงการ DELSA
22. เรื่อง ขออนุมัติสมัครเป็นสมาชิก The Asia Pacific Accreditation Cooperation (APAC) The International Accreditation Forum (IAF) และ International Laboratory Accreditation Cooperation (ILAC)
23. เรื่อง ขอความเห็นชอบการรับรองร่างแผนงานด้านการศึกษาของอาเซียนปี พ.ศ. 2564-2568 (ASEAN Work Plan on Education 2021-2025)
แต่งตั้ง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)
27. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 85 /2564 เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ อก. รับความเห็นของ อว. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ในส่วนของมาตรการขจัดอุปสรรคการลงทุนและสร้างปัจจัยสนับสนุนได้กำหนดให้ อก. (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) เพิ่มบัญชีประเภทกิจการอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพในบัญชีประเภทโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อแยกอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพออกจากอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อก. จึงดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานปรับปรุงแก้ไขประเภทหรือชนิดของโรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อปรับปรุงแก้ไขประเภทหรือชนิดของโรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535)ฯ รวมทั้งยกร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อเพิ่มประเภทหรือชนิดของโรงงานประกอบกิจการทำเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมี โดยกระบวนการเคมีชีวภาพ และการผลิตพลาสติกชีวภาพ
2. ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 อก. จึงดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าวก่อน จึงไม่อาจดำเนินการร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1. ต่อไปได้ โดยดำเนินการยกเลิกกฎกระทรวงเดิมและออกเป็นกฎกระทรวงฉบับใหม่ คือ กฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบัญชีประเภทหรือชนิดของโรงงานท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535)ฯ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2563
3. โดยที่กฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 ตามข้อ 2. ยังไม่มีความชัดเจนในการประกอบกิจการโรงงานหลักที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Industry) ซึ่งเดิมมีการพิจารณาจัดรวมอยู่ในประเภทหรือชนิดของโรงงานลำดับที่ 42ฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ ประกอบกับเพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล (S – Curve) อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลดีในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงานอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปและสิ่งแวดล้อมโดยรวมมากยิ่งขึ้น จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ โดยเพิ่มประเภทโรงงานอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ 3 ประเภทให้เป็นโรงงานจำพวกที่ 3 (ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานก่อนจึงจะดำเนินการได้) ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องและให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 กรกฎาคม 2661 โดยจัดทำเป็นร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาด ของโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
4. อก. โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3 แล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมประเภทหรือชนิดของโรงงานในลำดับที่ 42 แห่งบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 โดยเพิ่มประเภทโรงงานอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ 3 ประเภท ให้เป็นโรงงานจำพวกที่ 3 ได้แก่ (1) การทำเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งใช้วัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต่อเนื่อง โดยใช้กระบวนการเคมีชีวภาพเป็นพื้นฐาน (2) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิตจากวัตถุดิบ พื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่อง และ (3) การผลิตพลาสติกชีวภาพจากเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมี หรือวัสดุเคมีที่ผลิตจากวัตถุดิบพื้นฐานทางการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องรวมกับวัตถุดิบที่ผลิตมาจากปิโตรเลียม และทำให้พลาสติกชีวภาพนั้นสลายตัวได้ทางชีวภาพ
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชารัฐศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ เพิ่มขึ้น และกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาระดับปริญญาโท ของสาขาวิชาเทคโนโลยี รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ กษ. เสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การออกใบอนุญาต การขอต่อใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาต ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งต้นยาง ดอก เมล็ด หรือตาของต้นยาง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางที่อาจใช้เพาะพันธุ์ได้ การขนย้ายยางเข้าใน ผ่าน หรือออกจากเขตควบคุมการขนย้ายยาง การขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้า การค้ายาง การตั้งโรงทำยาง การนำยางเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และการเป็นผู้จัดให้มีการวิเคราะห์หรือทดสอบคุณภาพยาง เพื่อให้การควบคุมกำกับดูแลในเรื่องของการนำเข้าและส่งออกต้นยาง ดอก เมล็ด หรือตาของต้นยาง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2511) ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2518) ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2527) และฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2536) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมยาง พุทธศักราช 2481
2. กำหนดให้การนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งยาง ต้นยาง ดอก เมล็ด หรือตาของต้นยาง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางที่อาจใช้เพาะพันธุ์ได้ การขนย้ายยางเข้าใน ผ่าน หรือออกจากเขตควบคุมการขนย้ายยาง การค้ายางและตั้งโรงทำยาง การเป็นผู้จัดให้มีการวิเคราะห์หรือการทดสอบคุณภาพยาง ต้องขอรับใบอนุญาตต่อผู้อนุญาต และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาต
3. กำหนดให้การขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าจะต้องเป็นการขยายพันธุ์ต้นยางโดยวิธีการผลิตกิ่งตายาง ผลิตต้นตอตายาง ผลิตต้นยางชำถุง รวมทั้งกำหนดให้การขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าต้องขอรับใบอนุญาตต่อผู้อนุญาต และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาต
4. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอต่ออายุใบอนุญาต การอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนในอนุญาตตามข้อ 2. – 3.
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ พน. เสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้การออกแบบ การสร้าง การทดสอบและตรวจสอบถังเก็บ และจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวในคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. กำหนดให้คลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวต้องมีแผนผังโดยสังเขปแสดงตำแหน่งที่ตั้งของคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว พร้อมสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่อยู่รอบเขตคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลวภายในระยะไม่น้อยกว่า 500 เมตร
3. กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยภายนอกของคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยต้องตั้งอยู่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากเขตสถานพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน และโบราณสถานไม่น้อยกว่า 200 เมตร
4. กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยภายในของคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ต้องห่างจากภาชนะบรรจุน้ำมันที่ไม่ใช่ถังเก็บน้ำมัน ซึ่งบรรจุน้ำมันที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 6 เมตร และต้องมีที่จอดรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีขนาดและจำนวนช่องจอดรถตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
5. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยต้องมีระบบท่อน้ำดับเพลิง เครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง แหล่งน้ำหรือที่เก็บน้ำ เครื่องสูบน้ำดับเพลิงที่ใช้เครื่องยนต์ และระบบสัญญาณเตือนภัย
6. กำหนดให้ในการประกอบกิจการคลังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ต้องจัดให้มีพนักงานซึ่งผ่านการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานตามกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงฯ
5. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
เรื่องเดิม
1. คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้ยกร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ซึ่งบัญญัติให้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นหน่วยงานของรัฐตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์และแหล่งรายรับของกองทุนเป็นกองทุนหมุนเวียนตามบทนิยามคำว่า “ทุนหมุนเวียน” ตามมาตราดังกล่าว
2. สำนักงาน ป.ป.ช สตง. และ สกพอ. เห็นว่าไม่ควรกำหนดกองทุนของหน่วยงานทั้ง 3 ที่มีทุนหมุนเวียนเป็นหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่มีสถานะเป็น “ทุนหมุนเวียน” ตามคำนิยามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้กระทรวงการคลัง (กค.) รับร่างประกาศตามข้อ 1. และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ 2. ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่งก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอว่า
1) คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ได้พิจารณาทบทวนร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2) และความเห็นสำนักงาน ป.ป.ช. สตง. และ สกพอ. แล้ว สรุปได้ดังนี้
1.1) เห็นควรปรับรายชื่อสำนักงาน ป.ป.ช. ออกจากร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2) เนื่องจากพิจารณาตามความเห็นของสำนักงาน ป.ป.ช. ประกอบกับวัตถุประสงค์และแหล่งรายรับของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เห็นว่ากองทุนดังกล่าวมิได้เป็นทุนหมุนเวียนตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558
1.2) เห็นควรให้ สตง. และ สกพอ. เป็นหน่วยงานของรัฐฯ เนื่องจากพิจารณาตามวัตถุประสงค์และแหล่งรายรับของกองทุนเพื่อการตรวจเงินแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 ประกอบความเห็นของ สตง. และพิจารณาวัตถุประสงค์และแหล่งรายรับของกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ประกอบความเห็นของ สกพอ. เห็นว่ากองทุนเพื่อการตรวจเงินแผ่นดินและกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นทุนหมุนเวียนตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ชื่อทุนหมุนเวียน
ชื่อหน่วยงานที่มีทุนหมุนเวียน
กฎหมายจัดตั้ง
1. กองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน
สตง.
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561
2. กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สกพอ.
พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561
1.3) เห็นควรให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) เป็นหน่วยงานของรัฐฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ชื่อทุนหมุนเวียน
ชื่อหน่วยงานที่มีทุนหมุนเวียน
กฎหมายจัดตั้ง
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สกนช.
พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562
2. กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
สวส.
พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562
2) คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน มีมติเห็นชอบในหลักการให้ สตง. สกพอ. สกนช. และ สวส. เป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานของรัฐ (ฉบับที่ 2)
สาระสำคัญของร่างประกาศ
กำหนดให้ สตง. สกพอ. สกนช. และ สวส. ที่มีทุนหมุนเวียนเป็นหน่วยงานของรัฐ
6. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นและเห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอมีสาระสำคัญดังนี้
1. การรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักงบประมาณได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 77 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สำนักงบประมาณ ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 7 เมษายน 2564 และทำหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบและการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
2. ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นไปตามรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีโครงสร้างแตกต่างจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีจำนวน 7 หมวด โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้เพิ่มหมวดหมู่กฎหมายจำนวน 2 หมวด ได้แก่ หมวด 8 งบประมาณ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง และหมวด 9 งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทุนสำรองจ่าย เนื่องจากมีการตั้ง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 - 28 พฤษภาคม 2564 ต่อไป
เศรษฐกิจ สังคม
7. เรื่อง ขอเพิ่มครัวเรือนเป้าหมายเกษตรกรโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมาย จาก 202,013 ครัวเรือน เป็น 202,173 ครัวเรือน โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 วงเงินงบประมาณ 3,440.05 ล้านบาท รวมถึงค่าบริหารจัดการโครงการสำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ครัวเรือนละ 7 บาท
2. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
3. เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี 2563 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2564
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 26 มกราคม 2564 กษ. (ธ.ก.ส.) พบว่ามีการบันทึกข้อมูลผิดพลาดในระบบสารสนเทศทำให้มีจำนวนเกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพิ่มขึ้นอีก 160 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 202,173 ครัวเรือน พื้นที่ 1,429,965.09 ไร่ ซึ่ง ธ.ก.ส. แจ้งว่า มีการแบ่งการดำเนินการจ่ายเงินออกเป็น 3 รอบ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
การโอน
จำนวน
ครัวเรือน
กรอบวงเงิน (ล้านบาท)
ค่าเยียวยา
ค่าบริหาร
จัดการ
ของ ธ.ก.ส.
ค่าชดเชยต้นทุน
ให้ ธ.ก.ส.
ค่าบริหาร
จัดการ
ของกรมส่งเสริมการเกษตร
รอบที่ 1
(ดำเนินการแล้ว
ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 25 สิงหาคม 2563)
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” กำไรสุทธิไตรมาสแรก 5,578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.6% จากไตรมาสก่อนหน้า | วันอังคารที่ 20 เมษายน 2564
“กรุงไทย” กำไรสุทธิไตรมาสแรก 5,578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.6% จากไตรมาสก่อนหน้า
ธนาคารกรุงไทยและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน ประจำไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 15,984 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัวร้อยละ 0.4
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงต้นปี 2564 และสถานการณ์การฟื้นตัวของภาคส่วนต่างๆยังคงไม่เท่าเทียมกัน ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงเติบโตเงินให้สินเชื่อจากสิ้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) โดยในปี 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยได้มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่สูงกว่าที่ประเมิน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่สะดุดลงจากผลกระทบของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และในไตรมาส 1/2564 ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงรักษาการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ในระดับที่สูง
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน ประจำไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 15,984 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 โดยมีสาเหตุหลักจากการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้จากการดำเนินงานอื่น ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงร้อยละ 1.7 แม้เงินให้สินเชื่อเติบโตดีที่ร้อยละ 1.1 จากสิ้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลจากอัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) ลดลงเป็นร้อยละ 2.50 จากร้อยละ 2.59 ในด้านของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆลดลงร้อยละ 9.0 จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 44.25 ลดลงจากไตรมาส 4/2563 ที่ร้อยละ 48.78
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 5,578 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 61.6 จากไตรมาสที่ผ่านมา โดยธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในจำนวน 8,058 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.9 จากไตรมาส 4/2563 เนื่องจากได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) ในระดับที่สูงในไตรมาส 4/2563 ทั้งนี้ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงรักษาระดับ Coverage Ratio ในระดับที่สูงเท่ากับร้อยละ 153.9 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 เทียบกับร้อยละ 147.3 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) ร้อยละ 3.66 ลดลงเทียบกับ ณ 31 ธันวาคม 2563 ที่เท่ากับร้อยละ 3.81
เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน ลดลงร้อยละ 8.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงร้อยละ 13.0 ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) ลดลงเป็นร้อยละ 2.50 จากร้อยละ 3.14 ในไตรมาส 1/2563 ทั้งนี้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวดีทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ ซึ่งขยายตัวจากค่าธรรมเนียมการจัดการ และค่าธรรมเนียมการรับรอง อาวัลและค้ำประกัน และรายได้จากการดำเนินงานอื่น ประกอบกับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 5.8 โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 44.25 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 43.49 ในไตรมาส 1/2563
ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 8,058 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) ในระดับที่สูงในไตรมาส 1/2563 ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลงร้อยละ 13.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 312,059 ล้านบาท (ร้อยละ 15.88 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) โดยมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 377,966 ล้านบาท (ร้อยละ 19.23 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) โดยธนาคารได้ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็น เงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อผู้ลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ให้แข็งแกร่งมากขึ้น อันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนและรองรับการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ ธนาคารได้เข้าทำสัญญากับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคาร ตกลงที่จะขายหุ้นของบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด คิดเป็นร้อยละ 75.05 การซื้อขายหุ้นดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน ทั้งนี้ การเข้าทำรายการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพของธนาคารและบริษัทย่อย ในการให้บริการผลิตภัณฑ์เช่าซื้อสำหรับลูกค้ารายย่อยอย่างครบวงจร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41056 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยทั้งนี้ สถิติการแจ้งข้อมูลและเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคและกรณีร้องเรียนที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด–19 และศูนย์บริการประชาชน 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม – 28 เมษายน 2564 มีดังนี้
1.บ่อนการพนัน จำนวน 471 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 323 เรื่อง จับกุม 32 คดี ไม่พบการกระทำความผิด 291 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 148 เรื่อง
2.แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย จำนวน 45 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 36 เรื่อง จับกุม 7 คดี (ผู้กระทำความผิด 6 ราย) ไม่พบการกระทำความผิด 29 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 9 เรื่อง
3.การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ (ที่นอกเหนือจากเข้าเมืองผิดกฎหมาย และบ่อนการพนัน) จำนวน 269 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 180 เรื่อง จับกุม 26 คดี (ผู้กระทำความผิด 58 ราย) ไม่พบการกระทำความผิด 154 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 89 เรื่อง และ
4.การร้องเรียน ร้องทุกข์ ขอความช่วยเหลือ สอบถามข้อมูล และเสนอความเห็น จำนวน 168,737 เรื่อง ยุติเรื่องแล้ว 168,212 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 525 เรื่อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ ทุกเบาะแสทุกเรื่องที่ประชาชนแจ้งเข้ามา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขให้เกิดเป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนว่าทุกข้อมูลที่แจ้งมาได้รับการดำเนินการทุกเรื่อง โดยเฉพาะเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2564
รองปลัดฯ วรวรรณ ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2564
วันนี้ (29 เมษายน 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้อง อก.2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การประชุมฯ ดังกล่าว เพื่อรับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดและจำนวนผู้ติดเชื้อ แนวทางการปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตลอดจนการยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุม รวมถึงแนวทางแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41336 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
#ทรงพระเจริญ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41316 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน ครั้งที่ 4/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
การประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน ครั้งที่ 4/2564
มติการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน ครั้งที่ 4/2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการบินพลเรือน ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ในการประชุม ครั้งที่ 4/2564 วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 โดย กบร. ได้ประชุมพิจารณาเรื่องต่าง ๆ และมีมติที่ประชุมในเรื่องดังต่อไปนี้
เรื่องที่ 1 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 ในประเทศไทยและในต่างประเทศมีความรุนแรงขึ้น ประธาน กบร. จึงได้สั่งการให้ กพท. ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบรวดเร็ว และสอดคล้องกับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยให้ กพท. ประสานงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (ศบค.) อย่างใกล้ชิด และให้ กพท. รายงานผลการดำเนินมาตรการให้ กบร. ได้รับทราบเพื่อจะได้ช่วยทำความเข้าใจต่อสาธารณชนได้ถูกต้อง และในกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 คลี่คลายลง ให้ กพท. ตรวจสอบการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยการบินพลเรือนและการส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศเพื่อให้พร้อมต่อการเปิดประเทศและเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทันท่วงที
เรื่องที่ 2 ให้ กพท. ติดตามการดำเนินการสนามบินเบตงของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) โดยให้ประสานกับท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการสายการบินที่จะทำการบิน ณ สนามบินเบตง เพื่อให้มีความพร้อมในการเปิดใช้งานสนามบินเบตง โดยให้รายงานความคืบหน้าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบด้วย
เรื่องที่ 3 กบร. เห็นชอบให้มีการประกาศใช้มาตรการบรรเทาผลกระทบของสายการบินจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 ระยะที่ 3 ไตรมาสที่ 2/2564 โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขประกอบการดำเนินการสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
(1) มาตรการปรับลดและยกเว้นค่าบริการสนามบินของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ให้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2565
(2) มาตรการปรับลดและยกเว้นค่าบริการสนามบินของ ทย. โดย ทย. สามารถดำเนินการได้เมื่อได้รับเงินชดเชยเข้าเงินทุนหมุนเวียนกรมท่าอากาศยานจากรัฐบาลแล้ว และจะดำเนินการคืนเงินค่าบริการส่วนต่างดังกล่าวที่เรียกเก็บมาแล้วคืนให้แก่สายการบินต่อไป
(3) มาตรการปรับลดค่าบริการการเดินอากาศของบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้มีการพิจารณาคำขอของสมาคมสายการบินประเทศไทยที่ขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ค่าบริการการเดินอากาศ ในงวดเดือนมกราคม – ธันวาคม 2564 จาก 90 วัน เป็น 180 วัน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่สายการบินได้รับจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่โดย บวท. ได้เสนอทางเลือกว่าจะขยายระยะเวลาชำระหนี้ค่าบริการให้แก่สายการบินซึ่ง กบร. ให้ กพท. ประสานไปยังสมาคมฯ เพื่อทราบข้อเสนอของ บวท. ต่อไป
เรื่องที่ 4 ให้ กพท. พิจารณาทบทวนการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การเดินอากาศฯ และการออกกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับค่าบริการต่าง ๆ ของผู้ประกอบการด้านการบิน เพื่อเป็นการเตรียม
ความพร้อมด้านการเดินอากาศเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
เรื่องที่ 5 กบร. ให้ความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ (ใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือน) เลขที่ 5/2560 ที่ออกให้แก่บริษัทนิวเจน แอร์เวย์ส จำกัด โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 41/129 แห่ง พ.ร.บ. การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. การเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 ประกอบข้อ 50 ของข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ฉบับที่ 97 ว่าด้วยการอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือน ประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์ และประเภทการทำงานทางอากาศ และ กบร. กำชับให้ กพท. ตรวจติดตามให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41315 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม 2564
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
“เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 โดยเฉพาะภูมิภาคที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม 2564 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม 2564 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 โดยเฉพาะภูมิภาคที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด” โดยมีรายละเอียดดังนี้
เศรษฐกิจภาคตะวันออกได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นโดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 22.4 และ 12.9 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -2.2 และ -9.6 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 9.3 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 20.0 ต่อปี นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 414.6 ต่อปี ด้วยจำนวน 4.4 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าขยายตัวที่ร้อยละ 185.9 ต่อปี จากโรงงานผลิตการทำชิ้นส่วนพิเศษหรืออุปกรณ์สำหรับรถยนต์ หรือรถพ่วง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 106.3 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 105.5
เศรษฐกิจภาคกลางได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 1.3 และ 19.0 ต่อปี ตามลำดับ
จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -17.3 -11.6 และ -9.5 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 6.4 และ 11.7 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 0.4 และ -13.6 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวร้อยละ 252.9 ต่อปี ด้วยจำนวน 5.4 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าขยายตัวที่ร้อยละ 445.7 ต่อปี จากโรงงานผลิตพลังงานไอน้ำ ในจังหวัดสระบุรี เป็นสำคัญ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ที่ระดับ 89.2 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.3
เศรษฐกิจภาคเหนือได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่ขยายตัวร้อยละ 9.5 5.2 และ 13.6 ต่อปี ตามลำดับ
จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ -16.4 -5.0 และ 0.4 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 19.8 และ 9.3 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 9.4 และ 19.5 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 65.8 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 61.7
เศรษฐกิจภาคตะวันตกได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 9.7 2.5 และ 25.5 ต่อปี ตามลำดับ
จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -11.7 -11.5 และ -10.3 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 19.0 และ 2.8 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 และ 26.3 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 89.2 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.3
เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 19.8 15.1 และ 38.0 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ -0.8 -2.8 และ 2.8 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุก
จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 23.3 และ 37.4 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 3.4 และ 18.0 ต่อปี ตามลับดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 79.9 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 78.1
เศรษฐกิจภาคใต้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 และ 10.5 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -33.2 และ -17.3 ต่อปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 12.2 และ 60.8 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.6 และ 50.5 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้
เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 86.9 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 84.6
เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล ค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนมีนาคม 2564 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ (ข้อมูลเบื้องต้น) และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 13.9 และ 2.6 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ชะลอลงร้อยละ -24.1 และ -8.1 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนทรงตัว สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ -4.2 -2.4 และ -16.8 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ -20.4 6.7 และ 66.7 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ที่ระดับ 89.2 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.3
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ตรวจความพร้อมศูนย์แรกรับนิมิบุตร ก่อนเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 30 เมษายนนี้ | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
"อนุทิน" ตรวจความพร้อมศูนย์แรกรับนิมิบุตร ก่อนเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 30 เมษายนนี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตรวจความพร้อมศูนย์แรกรับนิมิบุตรขนาด 200 เตียง ก่อนเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิดกลุ่มสีเหลืองตกค้างที่บ้าน คาด 1 สัปดาห์ช่วยผู้ป่วยตกค้างได้ทั้งหมด พร้อมปรับเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิดหลังจบภารกิจ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตรวจความพร้อมศูนย์แรกรับนิมิบุตรขนาด 200 เตียง ก่อนเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิดกลุ่มสีเหลืองตกค้างที่บ้าน คาด 1 สัปดาห์ช่วยผู้ป่วยตกค้างได้ทั้งหมดพร้อมปรับเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิดหลังจบภารกิจ
วันนี้ (29 เมษายน 2564) ที่อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมก่อนเปิดศูนย์แรกรับและส่งต่อ กระทรวงสาธารณสุข (Pre-Admission Center MOPH) อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 เมษายน 2564 โดยนายอนุทิน กล่าวว่าศูนย์แรกรับแห่งนี้เป็นความร่วมมือของทุกกรมในกระทรวงสาธารณสุข และการสนับสนุนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งภาคเอกชน ตั้งขึ้นเพื่อแบ่งเบาการบริหารจัดการเตียงผู้ติดเชื้อโควิดของกรุงเทพมหานคร ช่วยเก็บตกผู้ป่วยโควิดตกค้างที่บ้าน ลดความกังวลทั้งตัวผู้ป่วยและญาติ โดยผู้ติดเชื้อที่ตกค้างสามารถติดต่อได้ที่คอลเซ็นเตอร์ โทร02-079-1000 ได้รับการสนับสนุนจากเอไอเอสจำนวน 40 คู่สาย
“ขอให้ผู้ติดเชื้อโควิดตกค้างติดต่อเข้ามาที่ศูนย์แรกรับฯ ก่อนเดินทางเข้ามา เพื่อตรวจสอบสถานะว่าเป็นกลุ่มตกค้างจริง ไม่ใช่กลุ่มที่เพิ่งรายงานผลว่าติดเชื้อที่มีระบบปกติรองรับอยู่แล้ว โดยสามารถเดินทางมาเองด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือญาติมาส่งอย่างปลอดภัย หรือให้รถพยาบาลจากเครือข่ายสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติช่วยรับตัวห้ามเดินทางด้วยรถสาธารณะ”นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ได้จัดเตรียมรถเอ็กซเรย์เคลื่อนที่และรถพระราชทานเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยไว้คัดกรองผู้ติดเชื้อทุกรายก่อนเข้าศูนย์แรกรับ ให้ทราบระดับอาการของผู้ป่วยก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสมทันทีที่ประสานหาเตียงได้ โดยกลุ่มอาการสีเขียวจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนามหรือ Hospitel กลุ่มอาการสีเหลืองและสีแดงจะส่งไปยังโรงพยาบาล หากยังหาเตียงไม่ได้จะรับไว้ดูแลที่ศูนย์แห่งนี้ไปก่อน ซึ่งได้จัดเตรียมเป็นสถานพยาบาลรองรับกลุ่มอาการสีเหลืองได้ 200 เตียง มียา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์พร้อม สำหรับกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหากเตียงในกรุงเทพมหานครเต็ม จะส่งไปยังโรงพยาบาลในปริมณฑลทันที คาดว่า 1 สัปดาห์จะช่วยให้ผู้ป่วยตกค้างที่บ้านเข้าถึงการรักษาทุกคน
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอให้ประชาชนอยู่กับบ้านมากขึ้น ลดการรวมตัว รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลง และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็จะปรับศูนย์แรกรับฯ เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนโควิดเหมือนโรงพยาบาลสนามแห่งอื่นๆ ช่วยให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และครอบคลุมประชากรมากขึ้น
*****************************29 เมษายน 2564
***********************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันวัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้โควิด | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันวัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้โควิด
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ยืนยันวัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโควิด 19 และควบคุมการระบาดของโรค ผลข้างเคียงของการเกิดลิ่มเลือดพบประมาณ 4 รายในการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล้านโดส ขณะที่เป็นโรคโควิดโอกาสเกิดลิ่มเลือดประมาณ 125,000 คนต่อล้านคน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ยืนยันวัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโควิด19 และควบคุมการระบาดของโรค ผลข้างเคียงของการเกิดลิ่มเลือดพบประมาณ 4 รายในการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล้านโดส ขณะที่เป็นโรคโควิดโอกาสเกิดลิ่มเลือดประมาณ 125,000 คนต่อล้านคนที่ป่วยเป็นโควิด การฉีดวัคซีนโควิดป้องกันได้ทั้งตัวเอง คนในครอบครัวและต่อชุมชนสังคมได้
บ่ายวันนี้ (29 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แถลงว่า ในฐานะกุมารแพทย์ 40 กว่าปี เกี่ยวข้องกับวัคซีนมาตลอดชีวิต ยืนยันว่าวัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยที่ผ่านมาวัคซีนที่จะนำมาใช้มีการวิจัย5 – 10 ปี สำหรับวัคซีนโควิด 19วิจัยเพียง 10 เดือน การนำมาใช้เป็นการอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ต้องเฝ้าระวัง 1 วัน 7 วัน 30 วันหลังฉีด แม้ไม่ว่าในขณะใดก็ตามที่ผู้ป่วยโควิดจะลดลงก็ยังต้องฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชาชนต่อไป เพราะต้องสร้างภูมิคุ้มโรคนี้ให้กับประชาชนหรือเรียก “ภูมิคุ้มกันหมู่” ให้ประชาชนทุกคนปลอดภัย ซึ่งโรคโควิดนี้คาดว่าจะต้องอยู่กับคนเราอีกยาวนาน ขณะนี้ไทย มีวัคซีน 2 ชนิด คือ ซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า ชนิดอื่นๆ กำลังอาจจะตามเข้ามา ซึ่งต้องผ่านการพิจารณา ของ อย. ที่มีคณะผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนอนุมัติใช้ในไทยต่อไป
นายแพทย์ทวีกล่าวต่อว่า จนถึงวันนี้ฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยแล้ว1.3 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 1.7 ของประชากร โดยในด้านประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค จากข้อมูลการวิจัยในประเทศบราซิลพบว่า 14 วันหลังฉีดเข็มแรก ป้องกันโรคได้เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อฉีดเข็ม 2 ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยอมรับได้ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า จากการศึกษา เมื่อฉีดเข็มแรกครบ 3 สัปดาห์ จะเริ่มป้องกันโรคได้ และเมื่อครบ12 สัปดาห์ หลังเข็มแรกจะป้องกันโรคได้ ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งสองชนิดไม่แตกต่างกันมาก อยู่ในเกณฑ์ที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยยอมรับว่ามีประสิทธิภาพที่ดี ส่วนคำถามว่าแล้วใช้ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้หรือไม่นั้น ทั้ง 2 ชนิดสามารถรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ มีการศึกษาวิจัยในจีน นำเชื้อและน้ำเหลืองของคนที่ฉีดซิโนแวคเปรียบเทียบกับผู้ที่หายป่วยแล้วพบว่าสามารถจัดการกับเชื้อได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ดีเท่าเชื้อดั้งเดิม ส่วนแอสตร้าเซนเนก้าป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันต่อเชื้อดั้งเดิมได้ 84 เปอร์เซ็นต์ สำหรับวัคซีนที่จดทะเบียนทั่วโลกและทำในระยะที่ 3 เสร็จแล้ว มี 13-15 ตัว ที่กำลังใช้ในประเทศต่างๆ โดยทุกชนิดมีประสิทธิภาพคล้ายกัน คือป้องกันเสียชีวิต ป้องกันโรครุนแรง ไม่ต้องเข้าไอซียู ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้เกือบ 100 เปอร์เซนต์ เป็นหัวใจของวัคซีนที่สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการต่อสู้กับโรคที่รุนแรงมาก ๆ เพราะคนไข้ที่อยู่ในไอซียู 1 คน ใช้ทรัพยากร บุคลากร ยา มหาศาล
นายแพทย์ทวีกล่าวต่อว่า ด้านความปลอดภัยของวัคซีน พบว่าซิโนแวคมีผลข้างเคียงน้อยกว่าแอสตร้าเซนเนก้าโดยพบประมาณ20-30 เปอร์เซ็นต์ เช่น ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตามตัว หายภายใน 2 วัน ส่วนที่พบเมื่อเร็วๆ นี้ ในโรงพยาบาล 2 แห่ง มีอาการคล้ายอัมพฤกษ์ คณะผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์พบว่าเป็นผลข้างเคียงจากความวิตกกังวล ส่งผลให้เกิดอาการทางกายคล้ายหลอดเลือดตีบได้ ซึ่งทุกคนหายเป็นปกติภายใน 1-3 วัน ผลการสแกนสมองปกติ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ผลข้างเคียงชนิดไม่รุนแรงที่เกิดขึ้นคล้ายซิโนแวค พบประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ หายภายใน 48 ชม. ส่วนการเกิดลิ่มเลือดอุดตันนั้น ในคนเอเชียพบน้อย ส่วนใหญ่พบในชาวยุโรป แอฟริกา ผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ สูบบุหรี่จัด จะเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย มีรายงานในต่างประเทศพบการเกิดลิ่มเลือดประมาณ4 รายในล้านโดส แต่หากเป็นโควิดโอกาสเกิดลิ่มเลือดประมาณ 125,000 ต่อล้านคนที่ป่วยเป็นโควิดและในคนสูบบุหรี่จัด พบ1,700 ต่อ 1 ล้านคนที่สูบบุหรี่จัด ทั้งนี้จากรายงานการฉีดวัคซีนล้านกว่ารายในประเทศไทยพบการแพ้วัคซีนรุนแรง (anaphylaxis) เพียง 7-8 ราย ไม่มีเสียชีวิต และมักเกิดในช่วง 30 นาที หลังฉีดวัคซีนซึ่งอยู่ในระยะสังเกตอาการ ทำให้แพทย์สามารถช่วยเหลือได้ทัน ส่วนคนที่แพ้อาหารทะเล ถั่ว หรือเป็นโรคภูมิแพ้ สามารถฉีดได้ เพราะวัคซีนไม่ได้ทำจากสัตว์ ยกเว้นผู้ที่เคยแพ้วัคซีนต้องปรึกษาแพทย์
สรุปการรับวัคซีนโควิดมีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตัวท่านเอง ป้องกันตัวเอง ป้องกันครอบครัวและป้องกันชุมชนสังคมเมื่อเทียบประโยชน์กับโทษแล้ว จะเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษอย่างมาก ทางการแพทย์จึงแนะนำอย่างยิ่ง
ส่วนจะเลือกฉีดตัวไหนดี ขอตอบว่าตัวไหนก็ใช้ได้ ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดต้องรับข้อมูลให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุด การฉีดวัคซีน คนที่ฉีดจะป้องกันตัวเองได้ ป้องกันคนในครอบครัวได้ เพราะการระบาดระลอกนี้ คนวัยหนุ่มสาวติดเชื้อเยอะ นำเชื้อไปสู่เด็ก และผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวเสียชีวิต รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคอ้วน มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า30 หรือน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม ซึ่งความสามารถของปอดในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนน้อยลง
“การฉีดวัคซีน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการต่อสู้กับโรคนี้ ช่วยควบคุมการระบาดได้ เราจะมีโอกาสดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น กินข้าวนอกบ้าน ไปไหนมาไหนสะดวกใจได้ยิ่งขึ้น เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป” นายแพทย์ทวีกล่าว
*****************************29 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัว 4 ทีม รัฐ – เอกชน ผนึกกำลังกระจายวัคซีนโควิด 100 ล้านโดส ในปี 64 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
เปิดตัว 4 ทีม รัฐ – เอกชน ผนึกกำลังกระจายวัคซีนโควิด 100 ล้านโดส ในปี 64
...
จากที่ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน วันนี้ (28 เม.ย. 64) ได้ข้อสรุปว่า ภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือกันจัดตั้ง 4 ทีม เพื่อเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนกว่า 50 ล้านคน หรือคิดเป็น 70% ของจำนวนประชากรในประเทศ ภายในปี 2564
.
ประกอบด้วย 4 ทีม ดังนี้
1.”ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน” ที่จะเข้ามาล็อตใหญ่ในช่วงเดือน มิ.ย. 64 เป็นต้นไป โดยเพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีน และหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ทั่วประเทศ
.
2.”ทีมประชาสัมพันธ์” สร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด เชื่อมโยง “หมอพร้อม”
.
3.”ทีมสนับสนุน/อำนวยความสะดวก” ระบบ “หมอพร้อม” ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
.
4.”ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม” ตั้งเป้า 100 ล้านโดส ภายในปี 64 หรือคิดเป็น 70% ของประชากร
.
เพื่อยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนไทย และคาดว่าจะสามารถเปิดประเทศได้ในช่วงต้นปี 2565 เพื่อเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ฯลฯ ต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ปรับ 6 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามรับประทานอาหารที่ร้าน หวังคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ศบค. ปรับ 6 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามรับประทานอาหารที่ร้าน หวังคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
ศบค. ปรับ 6 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามรับประทานอาหารที่ร้าน หวังคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
วันนี้ (29 เมษายน 2564) เวลา 16.00 น. ณ โถงตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 0 เป็น 6 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 18 เป็น 45 จังหวัดและพื้นที่ควบคุมจาก 59 เป็น 26 จังหวัด (สีส้ม) รวมทั้งให้ขยายระยะเวลากักตัวเป็น 14 วันทุกประเภท ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาการ Work from Home มาตรการขั้นสูงสุด อย่าน้อย 14 วัน
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด (สีแดงเข้ม) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ งดการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และเปิดให้บริการได้จนถึงเวลา 21.00 น. ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันมากกว่า 20 คน ปิดสนามกีฬา สถานที่เพื่อการออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนส ส่วนสนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกำลังกายประเภทกลางแจ้งหรือที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้ง ยังเปิดให้บริการได้แต่ไม่เกินเวลา 21.00 น. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ให้เปิดบริการได้ถึง 21.00 น. ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน เปิดบริการได้ไม่เกินเวลา 23.00 น. รวมทั้งขอความร่วมมืองดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุจำเป็นสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และ จังหวัดและพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ยังสามารถจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มและบริโภคในร้านได้จนถึงเวลาที่กำหนดทั้งนี้ การสวมใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่อออกนอกเคหะสถานหรืออยู่ในพื้นที่สาธารณะยังถือเป็นมาตรการขั้นสูงสุดเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
โฆษก ศบค. ยังรายงานถึงแผนการฉีดวัคซีนให้ครบทุกกลุ่มให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุมของวัคซีนร้อยละ 70 ภายในปี 2564 คิดเป็น 50 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส ขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดหาวัคซีนแล้ว 63 ล้านโดส ต้องจัดหาจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมอีก 37 ล้านโดส โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอหลักการจัดหาจัดซื้อวัคซีน โควิด-19 ให้วัคซีนที่มีความหลากหลายทางชนิดและราคา ได้แก่ วัคซีน Pfizer Binotech จำนวน 5-20 ล้านโดส sputnik V จำนวน 5-10 ล้านโดส Johnson & Johnson จำนวน 5-10 ล้านโดส และ Sinovac จำนวน 5-10 ล้านโดส หรือวัคซีนอื่น เช่น Moderna หรือ Sinopharm หรือ Bharat หรือวัคซีนอื่นที่จะมีการขึ้นทะเบียนในอนาคต
สำหรับการให้บริการวัคซีน โควิด-19 ทั่วประเทศนั้น จะมีจุดบริการทั้งในและนอกโรงพยาบาลจำนวน 1,000 แห่งแห่งละ 50 - 1,000 โดสต่อวัน จะฉีดครบ 100 ล้านโดส ภายในระยะเวลา 4-7 เดือน (กันยายน-ธันวาคม 2564) ในส่วนกรุงเทพมหานครได้เร่งรัดการฉีดวัคซีนโดยเพิ่มจุดให้บริการนอกโรงพยาบาล เช่น สนามกีฬา มหาวิทยาลัย ศูนย์การประชุม ฯลฯ จุดบริการทั้งในและนอกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวน 100 แห่ง แห่งละ 1,000 โดสต่อวัน รวม 100,000 โดสต่อวัน เป็นระยะเวลา 30 วัน = 3 ล้านโดสต่อเดือน จะได้รับเข็มที่ 1 ครบภายในระยะเวลาสามเดือน คือ มิถุนายน-สิงหาคม นี้
ในช่วงท้าย โฆษก ศบค. ได้ขอความร่วมมือประชาชน ลดการเดินทาง ลดการพบปะ และ work from home ให้มาก จะเป็นการลดสาเหตุการติดเชื้อได้ ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและปฏิบัติ หาก 14 วันหลังจากนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง การผ่อนคลายจะเกิดขึ้น ขอให้ร่วมด้วยช่วยกันในระยะเวลา 2 สัปดาห์นี้
------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41340 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำเร็จ! กทม. เคลียร์ผู้ป่วยตกค้างเป็นศูนย์ พร้อมนำส่งผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
สำเร็จ! กทม. เคลียร์ผู้ป่วยตกค้างเป็นศูนย์ พร้อมนำส่งผู้ป่วยแบบเรียลไทม์
...
จากการรายงานล่าสุด (28 เม.ย. 64) กทม. โดยศูนย์เอราวัณและเครือข่าย ได้ดำเนินการนำส่งผู้ป่วยโควิดเข้าสู่การรักษาของโรงพยาบาลได้ครบ 100% ทำให้ขณะนี้ไม่มีผู้ป่วยตกค้างแล้ว และจากนี้ไปจะสามารถนำส่งผู้ป่วยได้แบบ “เรียลไทม์”
.
เช่น หากได้รับแจ้งการขอนำส่งโรงพยาบาล แล้วสามารถติดต่อผู้ป่วยเพื่อสอบถามข้อมูลและคัดกรองเบื้องต้นได้ก่อนเที่ยง ในช่วงบ่ายก็จะสามารถส่งรถไปรับเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดกรองและการรักษาของโรงพยาบาลได้ทันที
.
ขณะนี้ กทม. ได้เตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามในหลายแห่ง รวมกว่า 1,700 เตียง โดยมีเตียงว่างอยู่ราว 700 เตียง สำหรับ Hospitel มีเตียงคงเหลือกว่า 700 เตียง เช่นกัน
.
หากประชาชนทราบว่าตนติดเชื้อโควิดแล้วยังหาเตียงไม่ได้ สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วนศูนย์เอราวัณ 1669 เพื่อประสานการนำส่งผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาใน กทม.-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 326.2 จุด เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 11.2
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 326.2 จุด หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ยังเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 11.2 แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ราคาที่ดินที่เริ่มลดลงจากการเทียบกับค่าเฉลี่ยของอัตราเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าย้อนหลังไป 5 ปี (2559 – 2563) ที่อยู่ประมาณร้อยละ 17.7 ต่อไตรมาส และการที่ดัชนีราคาที่ดินลดลงร้อยละ -2.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2555
ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลฯ ได้เห็นภาวะการชะลอตัวและการปรับลดลงของราคาที่ดินเป็นไตรมาสแรกเมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ภาวะการลดลงของดัชนีที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังถูกสะท้อนจำนวนความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึงร้อยละ -13.3 เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับตัว โดยอาจมีการซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่เพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์มากกว่าที่จะซื้อมาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต
ทำเลที่มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 2564 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4) ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานครซึ่งมีการปรับดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด เส้นทางสายนี้เป็นแนวรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ที่เปิดให้บริการแล้ว
ส่วนที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนธันวาคม 2563 และสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) และ สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) ที่เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีการปรับเพิ่มขึ้นมากเป็นอันดับ 2 ในไตรมาสนี้ สำหรับที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 79.44 (ณ มีนาคม 2564) มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.7 ดัชนีราคานี้ทำให้เห็นว่าราคาที่ดินโซนตะวันตก และโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานครมีราคาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาสนี้
ทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด
อันดับ 1 ได้แก่ สายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
อันดับ 2 ส่วนใหญ่เป็นโครงการรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ สายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) ซึ่งเป็นโครงการที่เพิ่งเปิดให้บริการแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา และสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ส่วน สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 3 โครงการมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
อันดับ 3 สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ซึ่งเป็นเป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวม ณ มีนาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 79.44 มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
อันดับ 4 ได้แก่ MRT ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ส่วน สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 2 โครงการ มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
อันดับ 5 BTS สายสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) (ดูตารางที่ 2)
ข้อความจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นำข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบตามความเหมาะสม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41330 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๔
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๔ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เร่งรัดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นำพื้นที่มาดำเนินการให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ตามนโยบาย | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เร่งรัดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นำพื้นที่มาดำเนินการให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ตามนโยบาย
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามนโยบาย เรื่อง การใช้พื้นที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมาดำเนินการให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง และนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 โดย Application Zoom
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้รายงานว่า ปัจจุบัน กทพ. มีเขตทางรวมทั้งหมด ประมาณ 2,900 ไร่ สามารถนำมาใช้เป็นสาธารณประโยชน์ได้ประมาณ 1,136 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 39.17
โดย กทพ. ได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่บางส่วนเพื่อสาธารณประโยชน์ไปบางส่วน เช่น การพัฒนาสวนหย่อม สวนสาธารณะ เส้นทางจักรยาน และการจัดทำเส้นทางลัด เป็นต้น สำหรับการพัฒนาพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กทพ. ได้พิจารณาพื้นที่ที่มีศักยภาพ จำนวน
7 แห่ง ดังนี้
1. บริเวณใต้ทางพิเศษด่านอโศก 1 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ พัฒนาเป็น พื้นที่สีเขียวพร้อมลู่วิ่ง ลานพักผ่อนและกิจกรรม โซนสันทนาการและลานจอดรถ คาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้พันธมิตรรับไปพัฒนาได้ในเดือนพฤศจิกายน 2564
2. บริเวณพื้นที่ร่วมบริการทางพิเศษเพลินจิต เนื้อที่ประมาณ 4.5 ไร่ พัฒนาเป็นพื้นที่ร่วมบริการ และลานกิจกรรม คาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้พันธมิตรรับไปพัฒนาได้ในเดือนกรกฎาคม 2566
3. บริเวณศูนย์บริการทางพิเศษบางโปรง เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ พัฒนาเป็น Service Center ครบวงจร (โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป)
4. บริเวณพื้นที่บริการสังคม ทางพิเศษสีลม เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ พัฒนาเป็นพื้นที่ร่วมบริการ และลานกิจกรรม คาดว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกได้ประมาณเดือนกันยายน 2566
5. บริเวณสถานที่บริการทางพิเศษอุดรรัถยา กิโลเมตรที่ ๑๖ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ พัฒนาเป็น Service Area ครบวงจร
6. พื้นที่ทางพิเศษอุดรรัถยา บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต เนื้อที่ประมาณ 98 ไร่ พัฒนาเป็น Park & Ride และโลจิสติกส์ (เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งนี้ อาจพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
7. พื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ พัฒนาเป็นศูนย์บริการรัฐวิสาหกิจ ร้านค้า Skywalk และพื้นที่สาธารณะ คาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกได้ประมาณเดือนกันยายน 2567
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับทราบรายงานดังกล่าว พร้อมกำชับให้ กทพ.ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง และมีข้อสั่งการเพิ่มเติม ดังนี้
1. สำหรับการพัฒนาพื้นที่ ขอให้ กทพ. พิจารณาภายใต้หลักการว่า การพัฒนาจะต้องสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการบริหาร และไม่เป็นภาระต่อภาครัฐ โดยการออกแบบโครงการจะต้องออกแบบให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้พื้นที่ด้วย
2. เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดจากการพัฒนาพื้นที่ ขอให้ กทพ. ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการดำเนินการตามที่ได้วางแผนไว้
3. สำหรับพื้นที่ที่จะพัฒนาโดยมีแนวทางเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ขอให้ กทพ. พิจารณาแนวทางร่วมลงทุนที่เหมาะสมในการดำเนินการ โดยจะต้องมีความชัดเจนทั้งในส่วนของวงเงินการลงทุน และผลตอบแทน
4. การพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ กทพ. จะต้องจัดทำแผนการดำเนินงาน หรือ Action Plan ให้มีความชัดเจน และจะต้องสื่อสารการดำเนินการตามแผนงานเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน เผยมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปกาตาร์ ช่วงโควิด - 19 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
กระทรวงแรงงาน เผยมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปกาตาร์ ช่วงโควิด - 19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจ้งคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานรัฐกาตาร์ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกาตาร์กำหนด โดยต้องมีวีซ่าทำงานประเภท Work-Yearly Resident และใบอนุญาตเข้าเมือง พร้อมทั้งตรวจสุขภาพ และตรวจหาเชื้อโควิด
ณ โรงพยาบาลที่รับรองจากฝ่ายกาตาร์
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากทำให้แรงงานไทยได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมี ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยสำหรับรัฐกาตาร์ กระทรวงแรงงานได้พิจารณา
ให้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากประเมินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19
ของรัฐกาตาร์ว่ามีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาด้านกฎระเบียบ และกฎหมายที่ดีขึ้น เอื้อประโยชน์แก่แรงงานไทย ตลอดจนตลาดแรงงานในรัฐกาตาร์ยังต้องการแรงงานไทยที่มีทักษะฝีมือ สำหรับโครงการขนาดใหญ่จำนวนมาก
นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกระทรวงแรงงานให้แจ้งมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากประเทศไทยไปยังรัฐกาตาร์ในช่วงสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ดังนี้
1. คนหางานที่เดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์จะต้องได้รับการตรวจลงตราเพื่อการทำงานประเภท Work-Yearly Resident พร้อมใบอนุญาตเข้าเมือง (Exceptional Entry Permit) โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการให้โดยระบบออนไลน์
2. คนหางานก่อนเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากโครงการตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ (Expatriate Health Check-up Program) ของสภาสาธารณสุขกลุ่มประเทศอ่าว (Gulf Health Council States) ซึ่งมีจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1) โรงพยาบาลเวชธานี 2) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 3) โรงพยาบาลกรุงเทพ 4) โรงพยาบาลปิยะเวท และ 5) โรงพยาบาลรามาธิบดี
3. ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ารัฐกาตาร์สามารถตรวจหาเชื้อ COVID - 19 ภายใน 48 ชม.ก่อนเดินทางจากโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากฝ่ายกาตาร์ ได้แก่ 1) โรงพยาบาลเวชธานี 2) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ 3) โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500 - 8,000 บาท
กรณีคนหางานตรวจหาเชื้อ COVID – 19 จากโรงพยาบาลที่ได้รับรองจากรัฐกาตาร์ เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้ออีก แต่หากตรวจหาเชื้อ COVID – 19 นอกเหนือจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งที่กล่าวมา เมื่อเดินทางไปถึงรัฐกาตาร์ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ COVID – 19 ที่ท่าอากาศยานกรุงโดฮาอีกครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
4. หากผู้ที่เดินทางเข้าไปรัฐกาตาร์ที่ยังไม่มีบัตรถิ่นพำนัก (QID) จะต้องกักตัวที่โรงแรมเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยนายจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัว ทั้งนี้ หากแรงงานที่เข้ารับการกักตัวไม่สามารถพักห้องเดี่ยวได้จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน
5. เมื่อพ้นระยะเวลาการกักตัว นายจ้างจะต้องนำลูกจ้างไปตรวจโรคเพื่อจัดทำบัตรถิ่นพำนัก (QID) และจัดทำบัตรสุขภาพต่อไป
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้ประชาชน คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐกาตาร์ ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศและเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่ 1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 2.กรมการจัดหางานจัดส่ง(รัฐจัดส่ง) 3.นายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการตามมาตรฐานที่พึงมี และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของผู้ฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์
“ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาระบบการไปทำงานในต่างประเทศ โทรศัพท์ 02 245 6708 -9 ในวันและเวลาราชการ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41345 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถฟรีในช่วงวันหยุดยาว ณ ลานจอดรถยนต์ระยะยาว โซน C ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. - 5 พ.ค. และ ระหว่างวันที่ 7 – 11 พ.ค. นี้ | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถฟรีในช่วงวันหยุดยาว ณ ลานจอดรถยนต์ระยะยาว โซน C ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. - 5 พ.ค. และ ระหว่างวันที่ 7 – 11 พ.ค. นี้
...
นาวาอากาศโทสุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จะยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ที่ลานจอดรถยนต์ระยะยาว (Long Term Parking) โซน C ในช่วงวันหยุด วันเเรงงานและวันฉัตรมงคลระหว่างวันที่ 30 เม.ย. - 5 พ.ค. 2564 ตั้งแต่เวลา 08.00 ของวันที่ 30 เม.ย. 2564 ถึงเวลา 17.00 น. ของวันที่ 5 พ.ค. 2564 และช่วงวันหยุดวันพืชมงคล ตั้งแต่เวลา 08.00 ของวันที่ 7 พ.ค. 2564 ถึงเวลา 17.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค. 2564 พร้อมจัดเตรียมรถ Shuttle Bus ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารระหว่างลานจอดรถยนต์ระยะยาวและอาคารผู้โดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งสามารถจอดรถยนต์ได้จำนวน 718 คัน ทั้งนี้ ในช่วงดังกล่าว ทสภ. ได้จัดรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารทุกๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยรถ Shuttle Bus สาย A จะวิ่งให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารจากศูนย์ขนส่งสาธารณะ (Bus Terminal) ไปยังลานจอดรถยนต์ระยะยาว โซน C เพื่อรับผู้โดยสารไปส่งยังอาคารผู้โดยสาร ชั้น 1 ประตู 3 และประตู 8 และวนขึ้นไปที่ชั้น 2 ประตู 5 ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการรถ Shuttle Bus ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
นาวาอากาศโทสุธีรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ทสภ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ที่ลานจอดรถยนต์ระยะยาว โซน C ในครั้งนี้เป็นอีกช่องทางที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้โดยสารผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ ขอให้ผู้โดยสารผู้ใช้บริการเผื่อเวลาในการเดินทางมาถึงสนามบินล่วงหน้า 2 ชั่วโมงสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ และหากผู้โดยสารต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อ ได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
................................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. มองภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงฟื้นตัวในระยะต่อไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯระยะยาว อยู่ในขาขึ้น แต่คาดว่าค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาสที่ 2 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
กบข. มองภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงฟื้นตัวในระยะต่อไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯระยะยาว อยู่ในขาขึ้น แต่คาดว่าค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาสที่ 2
ท่ามกลางการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มทรงตัวหรือดีขึ้นในระยะต่อไป ดัชนีเศรษฐกิจทยอยปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปสงค์และอุปทาน หรือภาคการผลิตและบริการ การค้าโลกแสดงสัญญาณฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มทรงตัวหรือดีขึ้นในระยะต่อไป ดัชนีเศรษฐกิจทยอยปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปสงค์และอุปทาน หรือภาคการผลิตและบริการ การค้าโลกแสดงสัญญาณฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทาง IMF ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์อัตราการเติบโต GDP ของเศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับประเทศไทยนั้นเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก เนื่องมาจากภาวะ Covid-19 แพร่ระบาดระลอกสามและการกระจายวัคซีนที่ล่าช้า ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และการกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยว
กบข. มองแนวโน้มภาพรวมการลงทุนในช่วงนี้และระยะถัดไปจากปัจจัยความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ การคาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจเริ่มชะลอตัวลง และจากแนวโน้มที่ Fed อาจเริ่มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยการส่งสัญญาณปรับลดเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE taper) ในช่วงกลางปีหรือในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จากปัจจัยดังกล่าว รวมถึงผลประกอบการโดยรวมจากสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 1 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด ส่งผลกระทบเชิงบวกกับตราสารทุนกลุ่มปลายวัฏจักรการลงทุน ได้แก่ ตราสารทุนกลุ่ม Value และ Cyclical เช่น การเงิน อุตสาหกรรม และพลังงาน นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) และการคาดการณ์ส่งสัญญาณ QE Taper ดังกล่าว ส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth เช่น หุ้นกลุ่ม Technology
ในขณะเดียวกัน กบข. ยังคงคาดการณ์ Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ไว้ที่ 1.8-2.0 % ภายในปี 2564 แต่ค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield และการคาดการณ์ส่งสัญญาณ QE Taper อาจผลักดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยที่ USDTHB อาจไปถึงระดับ 31.5-31.7 แต่คาดว่าภายในปีนี้ไตรมาสที่ 4 อาจกลับมาใกล้เคียงระดับ 31.3 ซึ่งค่อนข้างอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปลายปีที่ 2563 เนื่องจากประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย (Current Account) เข้าใกล้ศูนย์หรือติดลบ เนื่องจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า และมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 2564)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมีนาคม 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมีนาคม 2564
เศรษฐกิจไทยในเดือน มี.ค. 2564 ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าและการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
“เศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2564 ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 ต่อไป”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมีนาคม 2564 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2564 ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 ต่อไป” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 18.4 และ 15.6 ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ร้อยละ 8.1 และ 8.6 ตามลำดับ สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.8 ต่อปี ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 48.5 จากระดับ 49.4 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาครัฐประกาศงดกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงสงกรานต์ รวมถึงผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ยังคงช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 26.3 ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ร้อยละ 0.6 สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่นเดียวกันกับภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อปี
มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากเดือนก่อน มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 24,222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 8.5 ต่อปี และเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 12.0 ต่อปี โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 43.1 และ 50.6 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกเม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 2) สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 109.2 59.2 และ 41.4 ต่อปี ตามลำดับ 3) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โทรศัพท์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น และ 4) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีน ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่ร้อยละ 35.4 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกไปสหภาพยุโรป เอเชียใต้ และทวีปออสเตรเลีย ขยายตัวที่ร้อยละ 32.0 24.3 และ 16.9 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกไปตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ -0.4 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีจากเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2564 กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.1 ต่อปี จากการขยายตัวในหมวดอุตสาหกรรมยานยนต์ น้ำตาล และอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 87.3 จากระดับ 85.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตกลับมาขยายตัวตามอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ กลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป สำหรับบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนมีนาคม 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 6,737 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน เป็นต้น ในขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 71.5 ต่อปี สำหรับภาคเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ยางพารา และผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ เช่น สุกร และไก่ เป็นต้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 53.2 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 245.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41320 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนเมษายน 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนเมษายน 2564
ดัชนี RSI เดือน เม.ย.2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19)
“ดัชนี RSI เดือนเมษายน 2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) อย่างไรก็ตาม ดัชนี RSI ยังบ่งชี้ว่า แนวโน้มความเชื่อมั่นในอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคใน 6 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในหลายภูมิภาค”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนเมษายน 2564 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนเมษายน 2564 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) อย่างไรก็ตาม ดัชนี RSI ยังบ่งชี้ว่า แนวโน้มความเชื่อมั่นในอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคใน 6 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในหลายภูมิภาค”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 58.6 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากความต้องการสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมได้รับปัจจัยบวกจากการเริ่มฉีดวัคซีนที่กระจายตัวในหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 56.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นในอนาคตเช่นกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาคเกษตรได้ปัจจัยบวกจากปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูก ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 53.3 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นเล็กน้อยในอนาคต โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากสภาพอากาศที่จะเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเกษตร นอกจากนี้ความต้องการสินค้าทั้งในและต่างประเทศยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 53.1 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคการจ้างงาน เนื่องจากเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวสินค้าเกษตร ประกอบกับนโยบายการให้ความช่วยเหลือภาคการเกษตรจากภาครัฐ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 52.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคการจ้างงาน เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร ประกอบกับการมีมาตรการช่วยเหลือภาคเกษตรจากภาครัฐ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 52.0 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคการจ้างงาน เนื่องจากภาคเกษตรได้รับปัจจัยบวกจากฤดูเพาะปลูก ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ 42.4 แสดงถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41322 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564
เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี ปรับลดจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
“เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี ปรับลดจากการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าจะฟื้นตัวตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) ปรับตัวลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2564 ที่ร้อยละ 2.8 ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากมาตรการทางการคลังและการเงินที่ประเทศต่าง ๆ ดำเนินการ เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.5 ถึง 11.5) นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการ ม33เรารักกัน และมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือได้อย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภค ประคับประคองภาคธุรกิจ และรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.8 ถึง 2.8) และ 4.8 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.3 ถึง 5.3) ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.5 ถึง 5.5) และ 10.1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9.6 ถึง 10.6) ตามลำดับ
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.9 ถึง 1.9) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.3 ถึง 0.7 ของ GDP) ปรับลดลงจากปีก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และมูลค่าสินค้านำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น”
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1) การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาระลอกใหม่ในหลายประเทศที่ยังมีความรุนแรงและยืดเยื้อ 2) ข้อจำกัดในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3) ราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับเพิ่มขึ้นได้ หากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศรุนแรงขึ้น รวมทั้งการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงาน และ 4) ความผันผวนของระบบการเงินโลกและเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีฐานะการคลังที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ ทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการดำเนินมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ประกอบกับนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการลงทุนด้านดิจิทัล และนโยบายการยกระดับปรับทักษะแรงงาน จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป”
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 3273
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41323 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน ขยายเวลาการรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2564 (รอบ 3 : รับตรง) | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
สถาบันการบินพลเรือน ขยายเวลาการรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2564 (รอบ 3 : รับตรง)
...
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในขณะนี้ นั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจที่จบการศึกษาในปีนี้ สถาบันการบินพลเรือน รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม จึงขอขยายเวลาการรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2564 หลักสูตรวิชาภาคพื้นเทียบเท่าระดับอนุปริญญา และระดับปริญญาตรี รอบ 3 : รับตรง ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยเปิดรับสมัครผ่านทางระบบ INTERNET ที่ www.catc.or.th เท่านั้น
สำหรับช่องทางชำระเงินค่าสมัคร ผู้สมัครสามารถชำระเงินผ่านระบบ Teller Payment ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตั้งแต่วันเปิดรับสมัคร – 11 พฤษภาคม 2564 และจะทำการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบวัดความรู้ ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 โดยเปลี่ยนการคัดเลือกด้วยการสอบวัดความรู้/ความถนัด จากเดิม เป็นการสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียว เท่านั้น ทั้งนี้ ให้ผู้มีรายชื่อมีสิทธิ์สอบให้ติดตาม วัน เวลา สถานที่ ในการสอบได้ทาง www.catc.or.th และ Facebook: catcthailand
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 5741 -4 ต่อ 8551, 8221, 8211 หรือ 0 9892 86394 E-mail : [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน จัดการฝึกอบรมหลักสูตร Managing Compliance with ICAO SARPs (MCIS) ในรูปแบบห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom) | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
สถาบันการบินพลเรือน จัดการฝึกอบรมหลักสูตร Managing Compliance with ICAO SARPs (MCIS) ในรูปแบบห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom)
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม เปิดการฝึกอบรมหลักสูตร Managing Compliance with ICAO SARPs (MCIS) ในรูปแบบห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom) สำหรับผู้บริหารในอุตสาหกรรมการบิน ตั้งแต่ระดับต้นถึงระดับกลาง ฝึกอบรม วันที่ 24 – 28 พ.ค. 2564
หลักสูตร Managing Compliance with ICAO SARPs (MCIS) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะในการวางแผน การเฝ้าสังเกตการณ์ต่อการปฏิบัติตามมาตรฐาน และแนวทางปฏิบัติที่แนะนำ (Standard and Recommended Practices : SARPs) ในกิจการการบินทุกประเภท ให้เป็นไปตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) กำหนด พร้อมนำผลลัพธ์ที่ได้มาต่อยอดพัฒนาองค์กรของตนเอง โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ที่ https://itrain.catc.or.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 2272 5741 ต่อ 8571, 08 6628 1611 หรือ E-mail: [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41318 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เปิดให้ลูกค้าชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยผ่านแอป GHB ALL | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ธอส.เปิดให้ลูกค้าชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยผ่านแอป GHB ALL
ธอส.อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ธอส. ได้ง่ายๆ บน Mobile Application : GHB ALL พิ่มบริการใหม่ล่าสุดด้วยการเปิดให้ลูกค้าที่ครบกำหนดต่ออายุกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สามารถชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ได้ในระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2564
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ธอส. ได้ง่ายๆ บน Mobile Application : GHB ALL สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา ลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อของ COVID-19 เพิ่มบริการใหม่ล่าสุดด้วยการเปิดให้ลูกค้าที่ครบกำหนดต่ออายุกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สามารถชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ได้ในระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2564 เพียงเข้าไปที่ Application : GHB ALL เลือกฟังก์ชั่น “ชำระเงินกู้/ค่าบริการอื่น ๆ” จากนั้นเลือก “ชำระค่าประกันอัคคีภัย” โดยลูกค้าสามารถเลือกชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ แบบที่ 1 ชำระผ่าน GHB ALL แบบที่ 2 ชำระค่าเบี้ยประกันจากการสร้าง QR Code เพื่อนำไปชำระผ่าน Application ของธนาคารอื่น โดยกรอกเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขบัญชีเงินกู้ จากนั้นเลือกบัญชีที่ต้องการชำระค่าเบี้ยได้ทันที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41324 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รมว.วธ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ (Teleconference)
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ (Teleconference) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พนักงานสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ตรวจพบเชื้อ COVID-19 เพิ่ม 1 ราย | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
พนักงานสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ตรวจพบเชื้อ COVID-19 เพิ่ม 1 ราย
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้รับรายงานการติดเชื้อของพนักงานเพิ่มเติมอีก 1 ราย ซึ่งเป็นพนักงานของฝ่ายสมควรเดินอากาศและวิศวกรรมการบิน
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ล่าสุดในวันนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ได้รับรายงานการติดเชื้อของพนักงานเพิ่มเติมอีก 1 ราย ซึ่งเป็นพนักงานของฝ่ายสมควรเดินอากาศและวิศวกรรมการบิน
จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบความเกี่ยวข้องของพนักงานผู้ติดเชื้อรายใหม่กับพนักงานรับเรื่องร้องเรียนของ CAAT ที่รายงานการติดเชื้อเดิม (วันที่ 28 เมษายน 2564) โดยขณะนี้ได้ให้พนักงานดังกล่าวทำ Timeline อย่างละเอียดย้อนหลัง 14 วัน เพื่อใช้ในการระบุบุคคลในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่และตรวจหาเชื้อ COVID-19 จนกว่าจะได้ผลที่แน่ชัด
ทั้งนี้ CAAT ได้ปิดอาคารสำนักงานรวมถึงส่วนบริการประชาชนชั้น 3 ห้างไอทีสแควร์ หลักสี่ เป็นการชั่วคราวในวันที่ 29 และ 30 เมษายน 2564 เพื่อทำความสะอาดและพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่สำนักงานทุกชั้น และให้พนักงานที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง เฝ้าระวังอาการตนเอง 14 วัน และปฏิบัติตามมาตรการสลับกันปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) ต่อไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 และให้ปฏิบัติตามมาตรการของสำนักงานและสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ในช่วงเวลาดังกล่าวหากผู้ใดมีความประสงค์จะติดต่อพนักงานสามารถดำเนินการติดต่อผ่านทางช่องทางโทรศัพท์ สื่อออนไลน์ หรือระบบประชุมทางไกลได้ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคจะดำเนินการสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อดังกล่าวอย่างละเอียดต่อไป หากมีความคืบหน้าอย่างเป็นทางการและข้อมูลสำคัญอื่นๆ CAAT จะแจ้งให้ทราบโดยเร็วต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 เป็นวันที่ 1 มิ.ย. 64 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
เคาะเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 เป็นวันที่ 1 มิ.ย. 64
...
ยืนยันเป็นที่แน่ชัดแล้ว สำหรับความชัดเจนเรื่องการเปิดเทอมใหญ่ ปีการศึกษา 2564 ที่ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการ มีมติให้เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 จากเดิมวันที่ 17 พ.ค. 64 เป็นวันที่ 1 มิ.ย. 64
.
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น และจะกระทบต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ของสถานศึกษา โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้กระทบต่อโอกาสในการเรียนรู้และสิทธิของผู้เรียน ดังนี้
.
• ให้สถานศึกษา ครู และบุคลากร เตรียมความพร้อมในด้านอาคารสถานที่ การจัดการเรียนการสอน และอื่น ๆ เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียน
• สื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ปกครองในการเลื่อนวันเปิดภาคเรียน
• ครู อาจไปเยี่ยมนักเรียน นักศึกษาที่บ้าน
• จัดกิจกรรมเสริมให้แก่ผู้เรียน ซึ่งอาจใช้ระบบออนไลน์ หรือระบบอื่น ๆ ที่เหมาะสม
.
ขณะเดียวกัน จะประเมินสถานการณ์เป็นระยะ โดยจะให้การเลื่อนวันเปิดภาคเรียนกระทบต่อนักเรียน นักศึกษาน้อยที่สุด สำหรับโรงเรียนที่อยู่นอกเขตเมือง และได้รับผลกระทบ ไม่มาก สามารถเตรียมการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติได้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
Website :www.thaigov.go.th
Facebook/Twitter : ไทยคู่ฟ้า
YouTube : ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
LINE : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
TikTok : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41327 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดเปลี่ยนรพ.สนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอิน | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
รอง นรม. ตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดเปลี่ยนรพ.สนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอิน
รองนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลสนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอินไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบ
วันที่ 28 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงบ่ายของวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางไปตรวจศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ
โดยศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 แห่งนี้ จะเป็นศูนย์ช่วยบริหารจัดการสำหรับผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ยังตกค้างอยู่ที่บ้านยังไม่สามารถหาเตียงในสถานพยาบาลได้ เป็นศูนย์ที่ผู้ป่วยติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-079-1000 เพื่อให้รถไปรับที่บ้าน หรือเดินทางมาเองโดยรถส่วนตัว เพื่อเข้ารับการดูแลเบื้องต้น คัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดง ก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามอาการ ซึ่งจะลดปัญหาผู้ป่วยติดค้างที่บ้านได้
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า หน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ระดมสรรพกำลังในการจัดตั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาคอขวดการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ โดยผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ของเครือข่ายเอไอเอส เบอร์ 02-079-1000 จำนวน40 คู่สาย จากนั้นจะมีรถจากเครือข่ายต่างๆ ที่เข้ามาร่วมทำงานไปรับที่บ้านมายังศูนย์ หรือสามารถเดินทางมายังศนย์ด้วยตนเองแต่ต้องมาด้วยรถส่วนตัว จากนั้นศูนย์จะตรวจคัดกรองอาการแล้วส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่อไป หรือหากเกิดกรณีโรงพยาบาลเต็มที่ศูนย์ก็มีเตียงรองรับ 200 เตียง
“ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยไม่ทัน กระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงภาวะจิตใจของประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่รอรถพยาบาลอยู่บ้าน ท่านคงมีความกังวล ญาติๆ สมาชิกในครอบครัวก็คงจะกังวล จึงระดมเครือข่ายทั้งหมดเข้ามาทำงาน ซึ่งโดยได้รับความกรุณาจากท่านพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ท่านปลัด การกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข เรามีเป้าหมายว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะไม่มีผู่้ป่วยติดค้างและไม่ได้รับการรักษา เรามีอุปกรณ์เวชภัณ์พร้อม มีระบบการส่งต่อ คัดแยกพร้อมจะแก้ไขปัญหานี้ได้”รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแผนว่าภายหลังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้หมดแล้วจะปรับทั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สะดวกในการลงทะเบียนผ่านระบบจองวัคซีน คือเพียงมีบัตรประชาชนก็เข้ารับวัคซีนได้ โดยพื้นที่โรงพยาบาลสนามเดิมจะสะดวกกับการให้บริการเนื่องจากวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเป็นพื้นที่เฝ้าสังเกตอาการหลังการฉีดวัคซีน 30 นาที
“ที่เราจะให้มีพื้นที่สำหรับผู้ที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีนได้ เพราะเรามั่นใจว่าจะมีวัคซีนส่งเข้ามาจำนวนมาก ตั้งแต่ 1 มิ.ย 2564เป็นต้นไป เพียงพอให้ประชาชนที่จองผ่านทางแอปพลิเคชั่น กับอสม. รวมถึงช่องทางอื่นๆ รับเป็นบคคุลเป็นกลุ่ม ตลอดจนผู้จะวอร์คอิน โดยทุกกลุ่มจะได้รับรับวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
..........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41329 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เผยผลดำเนินงาน ไตรมาส 1/2564 ยอดค้ำฯ พุ่ง 40,570 ล้านบาท ช่วย SMEs ไทย ฝ่าวิกฤต | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
บสย. เผยผลดำเนินงาน ไตรมาส 1/2564 ยอดค้ำฯ พุ่ง 40,570 ล้านบาท ช่วย SMEs ไทย ฝ่าวิกฤต
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เผยผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อไตรมาสที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2564 ยอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อพุ่ง 40,570 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16.6%
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ไตรมาสที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2564 มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 40,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนการอนุมัติหนังสือค้ำประกัน (LG) มียอดอนุมัติจำนวน 60,172 ฉบับ ลดลงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดอนุมัติจำนวน 61,471 ฉบับ เนื่องจากวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อ LG หรือ Ticket Size สูงขึ้น ในอัตราเฉลี่ย 0.67 ล้านบาท เทียบกับระยะเวลาเดียวกันปีก่อนที่ 0.57 ล้านบาท และช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้ 59,595 ราย โดยสัดส่วนการค้ำประกันของ บสย. ต่อจำนวน SMEs ทั้งระบบ หรือ SME Penetration Rate ไตรมาส 1/2564 ที่ 18.7% เพิ่มขึ้นจาก 17.5% ณ สิ้นปี 2563
ผลดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายด้วยความร่วมมือของทีมงาน บสย. ทุกฝ่าย ที่ได้ยกระดับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรในช่วงที่ผ่านมา นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานให้รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและต้องการเงินทุน ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และได้รับสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤต Covid-19 ตามที่ บสย. ได้ประกาศแผนการทำงานเชิงรุก ทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐ ในบทบาทนายธนาคารข้างถนน “ค้ำประกันสินเชื่อ ช่วย SMEs” ซึ่งผลการทำงานร่วมกันระหว่าง บสย. และสถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อต่อ LG เพิ่มขึ้น และยังมีสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อต่อจำนวน SMEs เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการดำเนินงานไตรมาส 2 บสย.ให้ความสำคัญกับมาตรการรัฐบาลช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อต่อเนื่อง จับมือกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟู ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 เฟสแรกวงเงิน 100,000 ล้านบาท ที่เปิดกว้างและเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการธุรกิจทุกประเภท อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อให้ง่ายขึ้น โดยใช้กลไก บสย.ค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจทุกรายที่ผ่านการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ บสย. ยังมี โครงการค้ำประกันสินเชื่ออื่นๆ ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้แก่โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS9 จำนวน 82,000 ล้านบาท และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro 4 จำนวน 13,500 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2565
ทิศทางการดำเนินงาน บสย. ยังเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ คือการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสร้างรายได้จาก Core Business อาทิ ธุรกรรมการค้ำประกัน การเพิ่มรายได้จากการเก็บหนี้ บริหารเงินลงทุน และ Service Fee รวมถึงการปรับสาขาให้เป็น Profit Center เพื่อสร้างรายได้จากธุรกรรมค้ำประกัน นอกจากนี้ยังเดินหน้า โครงการพัฒนาระบบ Core Guarantee System หรือ CGS ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและกระบวนการทำงานด้านการค้ำประกันคาดว่าจะเริ่มเปิดระบบทดสอบการใช้งานได้ในปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยโควิดระลอกเมษายนพบผู้ติดเชื้อปอดอักเสบเพิ่มขึ้น ขอประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเอง | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
สธ.เผยโควิดระลอกเมษายนพบผู้ติดเชื้อปอดอักเสบเพิ่มขึ้น ขอประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเอง
กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานการณ์โควิดระลอกเมษายน พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักหรือรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ใกล้เคียงศักยภาพระบบบริการการแพทย์ที่รองรับ ขณะนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 786 ราย โดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 230 ราย ขอประชาชนร่วมมือสวมหน้ากาก 100
กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานการณ์โควิดระลอกเมษายน พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักหรือรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ใกล้เคียงศักยภาพระบบบริการการแพทย์ที่รองรับ ขณะนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 786 ราย โดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 230 ราย ขอประชาชนร่วมมือสวมหน้ากาก 100 % หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่สัมผัสใกล้ชิด หลีกเลี่ยงที่มีผู้คนแออัด และอากาศปิด เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่
วันนี้ (29 เมษายน 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,871 ราย เสียชีวิต 10 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 27,988 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยปอดอักเสบ 786 ราย โดยอาการหนักต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 230 ราย ทำให้มีอัตราครองเตียงICU สูงถึงร้อยละ 80 ในเขตกทม.และปริมณฑล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดหอผู้ป่วยหนักโควิดรวม (Cohort ICU) และปรับห้องแยกหรือหอผู้ป่วยสามัญเป็นหอผู้ป่วยเฉพาะโควิด (Cohort Ward) รวมทั้งเปิด Hospitel เพิ่มเพื่อเตรียมรองรับจำนวนผู้ป่วยที่รับการรักษาเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งได้บริหารจัดการให้ผู้ตรวจหาการติดเชื้อได้ทราบผลและได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว สำหรับสถานการณ์ในระลอกเมษายน ขณะนี้การติดเชื้อและผู้ป่วยใหม่ระดับประเทศรวมทั้งกทม.และปริมณฑลเริ่มชะลอตัว แต่ยังมีจำนวนสูงอยู่เฉพาะ กทม.มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 689 ราย
“ขณะนี้ผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักหรือรุนแรงกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้เคียงศักยภาพระบบบริการการแพทย์ที่รองรับอยู่ จึงต้องเพิ่มความเข้มงวดทั้งมาตรการควบคุมโรคและมาตรการส่วนบุคคล เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ขอความร่วมมือประชาชน สวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือหลีกเลี่ยงสถานที่คนแออัด ระบบระบายอากาศปิด และลดการสัมผัสใกล้ชิด เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่”
นายแพทย์ทวีทรัพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้มีจำนวน 10 ราย จากกรุงเทพมหานคร 6 ราย นครสวรรค์ สมุทรปราการ ยโสธร และอยุธยา จังหวัดละ 1 ราย เป็นเพศชาย 8 ราย หญิง 2 ราย อายุระหว่าง 45-91 ปี ปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิต มีเกี่ยวกับโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ปอดเรื้อรัง ไตเรื้อรัง และภาวะอ้วน ข้อสังเกตคือผู้เสียชีวิตหลายราย ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อมารักษาเมื่อมีอาการมาก โดยสาเหตุการติดเชื้อส่วนใหญ่ มาจากการเป็นผู้สัมผัสจากคนในครอบครัวการร่วมสัมมนา การรวมกลุ่มรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน ไปสถานที่เสี่ยง และติดเชื้อจากผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุติดเตียง
ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,344,646 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,059,721 รายและครบ 2 เข็ม 284,925 ราย โดยในวันที่ 28 เมษายน 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 64,933 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 20,761 ราย และเข็มที่ 44,172 ราย ซึ่งการฉีดวัคซีนระยะแรกนี้ มุ่งเน้นการปกป้องระบบการแพทย์และสาธารณสุข และเพื่อควบคุมการระบาด ทำให้สัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนจึงประกอบไปด้วยบุคลากรสาธารณสุข ผู้ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า และประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค จะได้จัดให้มีการลงทะเบียนเพื่อขอรับวัคซีนได้ตั้งแต่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป
*********************** 29 เมษายน 2564
**********************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ขอบคุณ 11 สภาวิชาชีพ ระดมกำลังฝ่าวิกฤติโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
อนุทิน ขอบคุณ 11 สภาวิชาชีพ ระดมกำลังฝ่าวิกฤติโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณ 11 สภาวิชาชีพ แสดงเจตจำนงเป็นอาสาสมัครร่วมทำงานกับหน่วยงานสาธารณสุข ขอช่วยสื่อสารประชาชนให้เข้าใจและเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19
วันนี้ (29 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข แสดงความขอบคุณ 11 สภาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สัตวแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด และสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดย ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภารศ.ดร.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล ร่วมระดมกำลังบุคลากรในแต่ละวิชาชีพสู้ภัยโควิด
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขขอขอบคุณ 11 สภาวิชาชีพ ที่แสดงเจตจำนงเป็นอาสาสมัครร่วมทำงานในการจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละวิชาชีพ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด อาทิ การให้ข้อมูล คำปรึกษาแก่ประชาชน, การฉีดวัคซีนโควิด 19, การบริหารจัดการโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม/ UHOSNET/ Hospitel, การให้บริการ, การดูแลในหอผู้ป่วยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผู้ป่วยโควิด 19, การตรวจคัดกรอง และ Swab เพื่อหาเชื้อ, การจัดเตรียมโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม ดัดแปลงอาคาร ห้องความดันลบ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือและปัญญาประดิษฐ์ การบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีความปลอดภัย รวมถึงสื่อสารให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้เกิดความครอบคลุม
“รัฐบาลพร้อมดูแลประชาชน ทั้งการรักษา ควบคุมโรค และการจัดหาวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศยึดหลัก ไม่มีใครปลอดภัย ถ้าทุกคนไม่ปลอดภัย การที่ทุกสภาวิชาชีพร่วมใจช่วยเหลือ จะทำให้ภารกิจบรรลุวัตถุประสงค์ ประชาชนเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขมากยิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว
**************************** 29 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41334 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวเกษตรกร สถาบันเกษตรกร สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวเกษตรกร สถาบันเกษตรกร สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. 2564
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวเกษตรกร สถาบันเกษตรกร สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. 2564
ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายให้ส่วนราชการในสังกัดดำเนินการคัดเลือกเกษตรกรสถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ที่มีผลงานดีเด่นสาขาอาชีพ/ประเภทที่กำหนดเป็นเกษตรกรสถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติเพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณและเผยแพร่ผลงานดีเด่นให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จักยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติงานด้านการเกษตรโดยในปี2564นี้มีเกษตรกรสถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ดีเด่นที่ได้รับการคัดเลือกประกอบด้วยเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติจำนวน16สาขาอาชีพสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติจำนวน12กลุ่มสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติจำนวน6สหกรณ์และปราชญ์เกษตรแห่งแผ่นดินจำนวน3สาขาดังต่อไปนี้
เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปีพ.ศ. 2564จำนวน16สาขาอาชีพได้แก่1)อาชีพทำนาได้แก่นายศักดิ์ดาเขตกลางจ.ร้อยเอ็ด2)อาชีพทำสวนได้แก่นายยงยุทธศรีจินดาจ.สมุทรสาคร3)อาชีพทำไร่ได้แก่นายสุทธิที่หมายจ.ระยอง4)อาชีพไร่นาสวนผสมได้แก่นายวีระชัยก้องพนาไพรสณฑ์จ.ตาก5)อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้แก่นางจงรักษ์พลายงามจ.ศรีสะเกษ6)อาชีพเลี้ยงสัตว์ได้แก่นายพรหมพิริยะสอนศิริจ.ปราจีนบุรี7)อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดได้แก่นางเพียงใจต้นสกุลประเสริฐจ.อ่างทอง8)อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อยได้แก่นายจรูญทรัพย์ศิริจ.สมุทรสาคร9)อาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำได้แก่นายกำพลสร้อยแสงจ.ราชบุรี10)อาชีพปลูกสวนป่าได้แก่นายปริญญาดรุณศรีจ.สมุทรสงคราม11)สาขาบัญชีฟาร์มได้แก่นางสำรวยบางสร้อยจ.ร้อยเอ็ด12)สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้แก่นายวิเชียรบุญรอดจ.ราชบุรี13)สาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชได้แก่นายอำนาจจันทรสจ.จันทบุรี14)ที่ปรึกษายุวชนเกษตรกรได้แก่นายเผ่าพันธุภาจ.กาฬสินธุ์15)สมาชิกกลุ่มยุวชนเกษตรกรได้แก่เด็กชายณัฐพลชมวิระจ.กาฬสินธุ์และ16)สาขาเกษตรอินทรีย์ได้แก่นายสุธรรมจันทร์อ่อนจ.นครปฐม
สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปี2564จำนวน12กลุ่มได้แก่1)กลุ่มเกษตรกรทำนาได้แก่กลุ่มเกษตรกรทำนากุดประทายจ.อุบลราชธานี2)กลุ่มเกษตรกรทำสวนได้แก่กลุ่มเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมดงบังจ.ชัยภูมิ3)กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ได้แก่กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์เกาะแกดจ.อุบลราชธานี4)กลุ่มเกษตรกรทำประมงหรือกลุ่มเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้แก่สมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทรจ.นครศรีธรรมราช5)กลุ่มเกษตรกรแปรรูปสัตว์น้ำได้แก่วิสาหกิจชุมชนร้านคนจับปลาจ.สตูลจ.สตูล6)กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรได้แก่กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรนายาวสามัคคีจ.ฉะเชิงเทรา7)กลุ่มยุวเกษตรกรได้แก่กลุ่มยุวเกษตรกรโรงเรียนท่าข้ามพิทยาคมจ.ชลบุรี8)กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวได้แก่กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวลานตาบัวจ.กำแพงเพชร9)สถาบันเกษตรกรผู้ใช้น้ำชลประทานได้แก่กลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานพลังดอนตะโกจ.นครศรีธรรมราช10)ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนประเภทข้าวหอมมะลิได้แก่ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลศรีดอนมูลจ.เชียงราย11)ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนประเภทข้าวอื่นๆได้แก่ศูนย์ข้าวชุมชนข้าวอินทรีย์ตำบลหนองห้างจ.กาฬสินธุ์และ12)วิสาหกิจชุมชนได้แก่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านป่าศรีจ.ปัตตานี
สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติประจำปี2564จำนวน6สหกรณ์ได้แก่1)สหกรณ์การเกษตรได้แก่สหกรณ์การเกษตรไชยาจำกัดจ.สุราษฎร์ธานี2)สหกรณ์โคนมได้แก่สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์กพัฒนานิคมจำกัดจ.ลพบุรี3)สหกรณ์ออมทรัพย์ได้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขพัทลุงจำกัดจ.พัทลุง4)สหกรณ์ร้านค้าได้แก่ร้านสหกรณ์พนักงานโรงพยาบาลบ้านแพ้วจำกัดจ.สมุทรสาคร5)สหกรณ์บริการได้แก่สหกรณ์บริการไออาร์พีซีจำกัดจ.ระยองและ6)สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรวมน้ำใจท่ายางจำกัดจ.เพชรบุรี
ปราชญ์เกษตรของแผ่นดินประจำปี2564จำนวน3สาขาได้แก่1)สาขาปราชญ์เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงได้แก่นายนายสุชลสุขเกษม2)สาขาปราชญ์เกษตรดีเด่นได้แก่นายฉัตรกมลมุ่งพยาบาลและ3)สาขาปราชญ์เกษตรผู้นำชุมชนและเครือข่ายได้แก่นายสิทธิพงษ์อรุณรักษ์
สำหรับในปี2564นี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19ทำให้การจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นไม่สามารถดำเนินการจัดได้ตามปกติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติผู้แทนสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติผู้แทนสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติปราชญ์เกษตรของแผ่นดินประจำปีพุทธศักราช2563 – 2564จำนวน76คนเข้ารับโล่รางวัลพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกระทรวงเกษตรฯจะกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41326 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.