title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมความพร้อม
วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 เตรียมความพร้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมความพร้อมในการประกอบพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชต่าง ๆ และพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ประจำปีพุทธศักราช 2564 เพื่อความเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญแก่เกษตรกรไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ถือเป็นพระราชพิธีซึ่งกระทำขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและส่งเสริมบำรุงขวัญเกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก โดยกำหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี อันถือเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฤดูกาลแห่งการทำนา แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น ไม่สามารถดำเนินการจัดได้ตามปกติ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และพระราชทานพระมหากรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. และปฏิบัติหน้าที่ประธานในพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ในวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า ในปีพุทธศักราช 2564 นี้ ผู้ทำหน้าที่หว่านข้าว คือ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชำนาญการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรรม และนางสาวอาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร คู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ เศวตนันทิกุล นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวชลธิชา ทองอ่อน นายสัตวแพทย์ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ อนึ่ง ในปีนี้กรมการข้าวทำหน้าที่ในการจัดเตรียมพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืช ซึ่งนำมาใช้ในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำพันธุ์ข้าวทรงปลูกในฤดูนาปี 2563 โครงการนาทดลองในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา มาใช้ในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ประจำปี 2564 ประกอบด้วย ข้าวนาสวน 5 พันธุ์ (ขาวดอกมะลิ 105, ปทุมธานี 1, กข79, กข43, กข6) เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นำเข้าในพระราชพิธีมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 1,396 กิโลกรัม และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” บรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายให้บรรดาพสกนิกร ประชาชนผู้สนใจ และชาวนาทั่วประเทศรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำชับผู้ประกอบการสต็อกสินค้าเพิ่ม ช่วงคุมเข้มโควิด
วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 กำชับผู้ประกอบการสต็อกสินค้าเพิ่ม ช่วงคุมเข้มโควิด ... สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น ทำให้ในหลายจังหวัดยกระดับการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น รวมถึงการปรับเวลาให้บริการต่าง ๆ โดยเฉพาะร้านขายสินค้าอุปโภคบริโภค . เรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และหารือกับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก - ค้าส่งทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมสต็อกสินค้าเพิ่มมากขึ้นจากภาวะปกติ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน . เน้นย้ำไม่ให้ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าและต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน สำหรับการสั่งสินค้า หรือสั่งซื้ออาหาร online ได้ขอความร่วมมือไม่ให้ปรับราคาค่าบริการ และให้เข้มงวดด้านสุขอนามัยของพนักงานส่งสินค้า . หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือขายสินค้าโดยไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 กรณีตรวจพบว่ามีความผิดจะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายจะมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาท #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตรียมประชุมร่วมเอกชน หารือแนวทางกระจายวัคซีน - รับข้อเสนอเยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 นายกฯ เตรียมประชุมร่วมเอกชน หารือแนวทางกระจายวัคซีน - รับข้อเสนอเยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายกฯ เตรียมประชุมร่วมเอกชน หารือแนวทางกระจายวัคซีน - รับข้อเสนอเยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เร่งแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงโดยเร็ว พร้อมเร่งกำหนดมาตรการรับมือผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยวันที่ 28 เม.ย. นายกรัฐมนตรี ได้เชิญภาคเอกชน อาทิ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง มาประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและกระจายวัคซีนของภาคเอกชน ภายหลังภาคเอกชนแสดงความประสงค์ในการจัดหาวัคซีนร่วมกับภาครัฐ เพื่อกระจายสู่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะได้มีการหารือถึงการรับมือผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พร้อมรับฟังข้อเสนอของภาคเอกชน และประชาชน เพื่อนำมาพิจารณาในการแก้ไขสถานการณ์ โดยผลการหารือกับภาคเอกชนครั้งนี้ จะมีส่วนในการนำไปกำหนดมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ต่อไป หลังจากสถานการณ์การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การจะออกมาตรการใดนั้น จะต้องมีการพิจารณารอบด้าน ให้มีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งสาระสำคัญในการประชุมร่วมกันครั้งนี้ คือการนำข้อมูล ข้อเสนอแนะไปพิจารณาเป็นแนวทางรับมือผลกระทบ การเยียวยาประชาชน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบและเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปัจจุบัน โดยรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค การดูแลรักษาพยาบาล และช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณกว่า 3.8 แสนล้านบาท สำหรับการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งจะมีทั้งโครงการกระตุ้นการใช้จ่าย กระตุ้นการบริโภค รวมถึงการลงทุน อันก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในทุกพื้นที่ ดังนั้น ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ และจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ เผย ‘ผู้ว่าฯ อัศวิน’ ไฟเขียว ก.แรงงาน ลุยตรวจโควิด-19 เชิงรุกต่อ พร้อมเพิ่มมาตรการ ดับเบิ้ล เว้นระยะห่าง คน เสี่ยงสูง มีไข้ ส่งตัวขึ้นรถไปรักษา รพ ในเครือประกันสังคม ท
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ‘รมว.สุชาติ’ เผย ‘ผู้ว่าฯ อัศวิน’ ไฟเขียว ก.แรงงาน ลุยตรวจโควิด-19 เชิงรุกต่อ พร้อมเพิ่มมาตรการ ดับเบิ้ล เว้นระยะห่าง คน เสี่ยงสูง มีไข้ ส่งตัวขึ้นรถไปรักษา รพ ในเครือประกันสังคม ท นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่าให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนกับกระทรวงสาธารณสุขที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงานได้รับการประสานจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่าให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนกับกระทรวงสาธารณสุขที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อ โดยให้เพิ่มมาตรการตามที่กรุงเทพมหานครกำหนด ดังนี้ 1) เว้นระยะห่างจาก 1.5 เป็น 2 เมตร 2) หากตรวจเจอว่าผู้ประกันตนรายใดมีความเสี่ยงสูงหรือไข้สูง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลในทันที 3) ส่วนผู้ที่มีผลเป็นบวกแล้วแสดงอาการจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการจะส่งเข้ารักษาที่ Hospitel ทั้งนี้ ผมได้ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอก 3 ไว้ก่อนแล้ว จึงบูรณาการร่วมกับมหาดไทย และสาธารณสุข ดำเนินโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ตรวจโควิด – 19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตน เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดในโรงงานจนทำให้เกิดความเสียหายแก่ทุกภาคส่วน ให้อุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ เดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ ทั้งในกรุงเทพและจังหวัดปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้ตรวจไปแล้วกว่า 20,000 คน ติดเชื้อกว่า 400 คน ซึ่งผู้ติดเชื้อที่มีอาการจะถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม จำนวน 81 แห่ง ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะถูกส่งตัวไปยัง Hospitel ซึ่งมีทีมแพทย์ดูแลเป็นอย่างดี พร้อมทั้งเปิดสายด่วน 1506 กด 6 เป็นช่องทางติดต่อแก่ผู้ประกันตนเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอก 3 ว่า กระทรวงแรงงาน ได้รับการประสานจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ว่าให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนกับกระทรวงสาธารณสุขที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อ โดยให้เพิ่มมาตรการตามที่กรุงเทพมหานครกำหนด ดังนี้ 1) เว้นระยะห่างจาก 1.5 เป็น 2 เมตร 2) หากตรวจเจอว่าผู้ประกันตนรายใดมีความเสี่ยงสูงหรือไข้สูง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลในทันที และ 3) ส่วนผู้ที่มีผลเป็นบวกแล้วแสดงอาการจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการจะส่งเข้ารักษาที่ Hospitel ทั้งนี้ ผมได้ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องดำเนินการเชิงรุกให้มากที่สุด เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการยังเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ และไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงาน เนื่องจากจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทุกภาคส่วน รัฐบาล ภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีความห่วงใยมายังพี่น้องผู้ประกันตนทุกคนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดพื้นที่สีแดงหรือจังหวัดที่มีการควบคุมสูงสุด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัด ลดการแพร่ระบาด ไม่ต้องรอคิวนาน ตรวจเสร็จแล้วหากพบติดเชื้อส่งรักษาทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดำเนินการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33,39 และ 40 ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนผู้ประกันตนรวมจำนวนกว่า 4,700,000 คน ซึ่งที่ศูนย์เยาวชน (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เริ่มตรวจจริงเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา และขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง เมื่อวันที่ 24 -30 เม.ย.64 ในจังหวัดปทุมธานี ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดชลบุรี ที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร และจังหวัดเชียงใหม่ที่ รพ.นครพิงค์ รพ.สันป่าตอง รพ.มหาราช รพ.ราชเวช รพ.เทพปัญญา รพ.ลานนา และ รพ.เชียงใหม่ใกล้หมอ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากผลการตรวจพบว่า (ข้อมูล ณ วันที่ 24 เม.ย.64 เวลา 16.00 น.) ขณะนี้ตรวจไปแล้วกว่า 20,000 คน ติดเชื้อกว่า 400 คน ซึ่งผู้ติดเชื้อที่มีอาการจะถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม จำนวน 81 แห่ง ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะถูกส่งตัวไปยัง Hospitel ซึ่งมีทีมแพทย์ดูแลตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างดี ทั้งนี้ รมว.สุชาติ กล่าวว่าการดำเนินการของกระทรวงแรงงานในการเปิดตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนในครั้งนี้ สอดคล้องกับที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันตรวจให้ได้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ป่วยออกจากประชากรทั่วไปให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ทางฝ่ายรัฐจะต้องเป็นผู้ดูแล ผู้ที่ตรวจให้ผลบวกทั้งหมด และจัดสรรผู้ที่มีอาการมากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศฯ เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 73 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศฯ เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 73 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 73 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 73 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 13.30 น. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 73 เพศหญิง อายุ 33 ปี ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อมาเมื่อเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานรออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 24 เมษายน 2564 ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 8 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้ 1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข 2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 13 - 22 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ ดังนี้ - วันที่ 13 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 05.00 - 11.45 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 14 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 05.00 - 11.40 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 15 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67030 ตั้งแต่เวลา 04.30 - 11.20 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 16 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เมื่อเวลา 08.30 น. ได้เดินทางไปพบแพทย์ ณ คลินิกที่ตั้งอยู่บริเวณซอยอินทามระ 18 ต่อมาเวลา 09.00 น. ได้นั่งวินรถจักรยานยนต์รับจ้างบริเวณซอยอินทามระ 16 ไปกรมการขนส่งทางบก (จตุจักร) เพื่อต่อใบอนุญาตเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสาร และเดินทางกลับที่พักอาศัย ในเวลา 10.00 น. ระหว่างทางได้แวะซื้อกาแฟที่ร้านอเมซอน สาขาบิ๊กซีสะพานควาย - วันที่ 17 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 07.15 - 15.25 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 18 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67119 ตั้งแต่เวลา 05.45 - 12.30 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 19 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 04.40 - 12.25 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 20 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 04.40 - 11.30 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 21 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 04.30 - 10.40 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที - วันที่ 21 เมษายน 2564 เวลา 14.30 น. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ว่าเป็นผู้ติดเชื้อ โดยเจ้าหน้าที่ให้พนักงานรอรถพยาบาลไปรับที่บ้านในวันรุ่งขึ้น - วันที่ 22 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 หมายเลข 8 - 67043 ตั้งแต่เวลา 04.10 - 11.10 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที ต่อมาเวลา 19.00 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แจ้งว่ามารดาของพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ - วันที่ 23 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ เมื่อเวลา 13.30 น. ได้เดินทางไปที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 และเดินทางกลับที่พักอาศัยในเวลา 16.00 น. ต่อมาเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานรออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่ศูนย์ฯ ในวันที่ 24 เมษายน 2564 - วันที่ 24 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้นำรถพยาบาลมารับพนักงานไปทำการรักษา ในเวลา 13.00 น. 3. เมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบ จะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารของ ขสมก. มีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารปรับอากาศ สาย 73 จำนวน 3 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ รถโดยสาร หมายเลข 8 - 67043 8 - 67030 และ 8 - 67119 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่น ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึงอู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร 4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบ พบว่าพนักงานขับรถโดยสาร จำนวน 1 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานขับรถโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-CAAT ยืนยันไม่มีการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำอินเดียเข้าไทย
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 CAAT ยืนยันไม่มีการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำอินเดียเข้าไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำทำการบินเข้าประเทศไทย ยืนยันว่าไม่มีการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำเศรษฐีชาวอินเดียเข้าประเทศไทย จากกรณีที่ประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับการเปิดรับการเดินทางของชาวต่างชาติโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ ดังกรณีที่มีกระแสว่ามีเศรษฐีชาวอินเดียเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหนีจากสถานการณ์โรคโควิดระบาด โดยใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำมาที่ประเทศไทยนั้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำทำการบินเข้าประเทศไทย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยมีข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวชี้แจงดังนี้ 1. ยืนยันว่าไม่มีเครื่องบินเช่าเหมาลำโดยเศรษฐีชาวอินเดีย ขออนุญาตทำการบินมาที่ CAAT เพื่อเข้ามายังประเทศไทยตามที่ประชาชนเป็นกังวล ส่วนการเดินทางโดยเครื่องบินปกติจากสายการบินของประเทศอินเดียที่ขออนุญาตเข้ามายังประเทศไทย ปัจจุบันมีเที่ยวบินลักษณะนี้สัปดาห์ละหนึ่งเที่ยวบิน ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้ามาได้ต้องเป็นไปตามเกณฑ์เฉพาะบุคคลตามข้อยกเว้นเท่านั้น รวมถึงต้องปฏิบัติตามมาตรการการกักตัวอย่างเคร่งครัด 2. ส่วนที่ปรากฏภาพผลการติดเชื้อของชาวอินเดียที่เข้ามายังประเทศไทย เป็นการตรวจพบจากการกักตัวตามมาตรการการคัดกรองก่อนให้เข้าประเทศตามปกติ ซึ่งผู้โดยสารในรายชื่อได้เดินทางเข้ามาในวันที่ 17 เมษายน 2564 และได้ตรวจพบเชื้อในวันที่ 21 เมษายน 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงการกักกันตามมาตรการ 3. เครื่องบินจากอินเดียที่เข้ามาในประเทศไทยนั้น เป็นเที่ยวบินปกติที่บินอาทิตย์ละหนึ่งเที่ยว สำหรับให้ผู้เดินทางตามความจำเป็นและเพื่อรับคนไทยกลับบ้าน (Repatriation flight) โดยในเดือนพฤษภาคมมีคนไทยได้ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าแล้ว ตามกำหนดการ คือ - 1 พฤษภาคม จำนวน 1 คน - 8 พฤษภาคม จำนวน 70 คน - 15 พฤษภาคม จำนวน 60 คน - 22 พฤษภาคม ยังไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทย กระทรวงการต่างประเทศได้ชะลอชาวต่างชาติจากอินเดียที่จะขอเข้าไทยไว้แล้วทั้งหมด และผู้ที่เข้าประเทศไทยทั้งหมดจะต้องเข้าสู่มาตรการคัดกรอง คือ การยื่นเอกสารการตรวจก่อนทำการบิน และเข้ารับการกักตัวตามมาตรการของรัฐในสถานที่ที่รัฐกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการระบาดเพิ่มเติมจากผู้ที่เดินทาง กลับไทยในช่วงเวลาดังกล่าว 4. จากข่าวที่ปรากฏกรณีที่กองทัพอากาศได้มีการจัดเครื่องบินไปรับคณะของผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศอินเดียกลับไทยในช่วงเวลานี้ ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยต้องดำเนินการตามมาตรการเช่นกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาฯ ย้ำโควิด 19 จะไม่กลายพันธุ์ หากป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรค
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาฯ ย้ำโควิด 19 จะไม่กลายพันธุ์ หากป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดของโรค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำเชื้อโควิด 19 ไม่กลายพันธุ์หากป้องกันไม่ให้เกิดการระบาด ด้วยความร่วมมือของประชาชนเคร่งครัดสวมหน้ากากอนามัย 100% และเข้ารับการฉีดวัคซีน เผยผลการศึกษาพบร้อยละ 98-99 ของผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์ มีภูมิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำเชื้อโควิด19 ไม่กลายพันธุ์หากป้องกันไม่ให้เกิดการระบาด ด้วยความร่วมมือของประชาชนเคร่งครัดสวมหน้ากากอนามัย 100% และเข้ารับการฉีดวัคซีน เผยผลการศึกษาพบร้อยละ 98-99 ของผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์ มีภูมิต้านทานเท่ากับผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว 4-8 สัปดาห์ บ่ายวันนี้ (25 เมษายน 2564)ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ว่า จากกรณีที่ประชาชนเกิดความกังวลว่าจะฉีดวัคซีนโควิด 19 ดีหรือไม่ เนื่องจากพบปัญหาการเกิดลิ่มเลือดหลังการฉีดวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า จากการศึกษาในอังกฤษพบว่าสามารถเกิดขึ้นได้ 1 ในแสน แต่เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตจากวัคซีน กับผู้ที่เสียชีวิตกับโรคโควิด 19 มีความต่างกันเกือบ 1,000 เท่า กล่าวคือ อันตรายของจำนวนวัคซีนที่ ทำให้ผู้เสียชีวิต 1 คน สามารถป้องกันการเสียชีวิตจากโรคโควิดได้ถึงพันคนจึงแสดงให้เห็นว่าประโยชน์ที่ได้จากการฉีดวัคซีนมีมากกว่าผลข้างเคียง ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค ซึ่งทั่วโลกมีการใช้อยู่ประมาณ100 ล้านโด๊สได้ทำการศึกษาพบว่า หลังการฉีดวัคซีนเข็มแรก2 ใน 3 จะตรวจพบภูมิต้านทานในระดับต่ำ แต่หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้วประมาณสัปดาห์ที่ 3-4 ร้อยละ 98-99 ของผู้ที่เข้ารับการฉีดจะมีภูมิต้านทานสูงเท่ากับผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว 4-8 สัปดาห์ ทั้งนี้ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือการติดเชื้อทางธรรมชาติและการได้รับวัคซีน ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจว่า วัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานได้เท่าเทียมกับคนที่เคยติดเชื้อมา นอกจากนี้ผลการศึกษาวิจัย ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีน น่าจะมีความกลัวหรือตื่นเต้น เมื่อวัดความดันโลหิตก่อนฉีดวัคซีน ส่วนใหญ่จะมีความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากความกลัว กังวล หรือตกใจ ซึ่งเป็นผลกระทบอย่างหนึ่งของกระบวนการฉีดวัคซีนที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ศ.นพ.ยง กล่าวต่อว่า สำหรับสายพันธุ์การกลายพันธุ์ของไวรัส อาทิ ในอินเดีย บราซิล หรืออังกฤษเมื่อมีการแพร่ระบาดมากจะมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้ และแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เช่น สายพันธุ์อังกฤษ ที่ไวรัสสามารถจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดีขึ้น ทำให้ติดเชื้อง่าย เกิดการแพร่ระบาดอย่างมากในอังกฤษ และที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจต่อการกลายพันธุ์ คือการกลายพันธุ์ที่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การกลายพันธุ์ในสายพันธุ์อินเดีย ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าทำให้วัคซีนลดประสิทธิภาพลงหรือไม่ แต่ทางทฤษฎีพบว่าจะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงได้ ดังนั้นการป้องกันการกลายพันธุ์ที่ดีที่สุดคือการป้องกันการระบาด ด้วยความร่วมมือของประชาชนทุกคน มีระเบียบวินัยที่เคร่งครัด ปฏิบัติตามมาตรการ สวมหน้ากากอนามัย100% รักษาระยะห่าง ไม่มีการชุมนุมรวมกลุ่ม ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสายพันธุ์อินเดียและอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งจากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศและในเขตชายแดนเพื่อป้องกันการหลุดรอดเกิดการแพร่เชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ในประเทศ “โรคระบาดต่างๆ ไม่สามารถยุติได้ด้วยคนใดคนหนึ่งหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากทุกคนร่วมกันคนละไม้คนละมือ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ที่ได้มีการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับวิกฤติไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวหรือการป้องกันโรคด้วยวัคซีนเมื่อถึงคิว จะช่วยให้ตนเองและคนรอบข้างปลอดภัย การระบาดของโรคน้อยลงในอนาคต แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” ศ.นพ.ยง กล่าว ************************************* 25 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน-สาธิต” ใช้สบยช.-สนามกีฬาหัวหมาก-นิมิบุตร เป็นศูนย์แรกรับ/ส่งต่อผู้ป่วยโควิดไม่มีเตียง
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 “อนุทิน-สาธิต” ใช้สบยช.-สนามกีฬาหัวหมาก-นิมิบุตร เป็นศูนย์แรกรับ/ส่งต่อผู้ป่วยโควิดไม่มีเตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติฯ และศูนย์แรกรับสนามกีฬาหัวหมาก-นิมิบุตร รับผู้ติดเชื้อโควิดที่ไ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติฯ และศูนย์แรกรับสนามกีฬาหัวหมาก-นิมิบุตร รับผู้ติดเชื้อโควิดที่ไม่มีเตียงในเขต กทม. วันนี้ (25 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์อธิบดีกรมการแพทย์ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และพญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ เยี่ยมโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 (Cohort Ward) โดยมีนายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) รายงานสถานการณ์และรายละเอียดการจัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 และดูความพร้อมในการเปิดศูนย์แรกรับและส่งต่อที่สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมากและสนามกีฬาแห่งชาติ (นิมิบุตร) โดยนายอนุทินกล่าวว่า โรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด ขนาด 200 เตียงของ สบยช. เปิดใช้แล้ว 130 เตียง มีผู้เข้าพักแล้ว 117 ราย ส่วนที่เหลือกำลังทยอยเปิดเพิ่ม หากผู้ป่วยอาการเปลี่ยนแปลงมีระบบส่งต่อโรงพยาบาลปทุมธานีได้ทันที โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นผู้จัดการรถขนย้ายผู้ป่วย สำหรับศูนย์แรกรับและส่งต่อได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบพื้นที่สนามกีฬา2 แห่ง ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผู้ติดโควิดที่ไม่มีเตียง เพื่อคัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดงก่อนส่งต่อไปรักษาตามความเหมาะสม เป็น Pre-admission Center ให้บริการเหมือนโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์พร้อม ส่วนบุคลากรจะระดมแพทย์ พยาบาล จากจังหวัดที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีสลับหมุนเวียนดูแล โดยได้รับการติดต่อจากภาคเอกชนที่พร้อมสนับสนุนเตียงมากถึง 5 พันเตียง แต่ย้ำว่าไม่ใช่โรงพยาบาลสนาม เพราะจุดประสงค์การตั้งต่างกันและไม่ใช่สถานที่ตรวจหาเชื้อหรือเข้ารับการกักตัวแต่อย่างใด “กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับผิดชอบพื้นที่ กทม. โดยตรง แต่เมื่อเห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องผู้ป่วยและรอเตียงจำนวนมาก จึงต้องเข้ามาบูรณาการจัดการเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโควิดตกค้างตามบ้าน ซึ่งขณะนี้มีสายด่วนในการโทรติดตามให้รับการรักษา แต่หากไม่ทันใจ อยากเข้าสู่ระบบโดยเร็ว สามารถเข้ารับการคัดกรองและดูแลตามระบบได้ทันที ถือเป็นหน่วยเก็บตกอีกช่องทางที่ช่วยเร่งให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลเร็วขึ้น” นายอนุทินกล่าว นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การมีโรงพยาบาลสนามและฮอสปิเทลรองรับผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ รวมทั้งรับผู้ป่วยที่อาการดีหรือรักษาหายออกมาดูแลต่อให้ครบระยะเวลา จะช่วยให้เตียงในโรงพยาบาลมีมากขึ้น โดยเฉพาะเตียงไอซียู กระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายจะทำทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้สถานการณ์ต้องถึงขั้นเปิดไอซียูสนาม ทั้งนี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย และการที่แต่ละจังหวัดมีการออกมาตรการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ประชาชนก็ให้ความร่วมมือด้วยดี เช่น กทม.พบว่าการจราจรเบาบางลง คนออกมาข้างนอกน้อยลง ขอให้อดทนร่วมกันยกการ์ดสูง มั่นใจว่าเมื่อผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง ผู้ป่วยในโรงพยาบาลทยอยหายมากขึ้น เมื่อตัวเลขต่างๆ เคลียร์ และวัคซีนมีมากขึ้นทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น ************************************* 25 เมษายน 2564 *************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการแพทย์ร่วมกับ สปสช. และศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน กทม. ประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร็วขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 กรมการแพทย์ร่วมกับ สปสช. และศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน กทม. ประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร็วขึ้น กรมการแพทย์ร่วมกับ สปสช. และศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน กทม. ประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร็วขึ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ปัจจุบันสายด่วนเพื่อให้ประชาชนสอบถามข้อมูลสำหรับผู้ติดเชื้อที่ต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีอยู่ 3สาย คือ 1668 ของกรมการแพทย์, 1669 ของศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน กทม.-ศูนย์เอราวัณ และ 1330 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ-สปสช. นั้น ได้มีการหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกการประสานงานให้มากที่สุดทั้ง 3 สายด่วน รวมทั้งได้มีการหารือร่วมกับผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข และตั้งเป้าว่าจะต้องประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อให้ได้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ทีมงานจิตอาสาสายด่วนทั้ง 3สาย ทำงานอย่างหนักข้ามวันข้ามคืนอย่างไม่มีวันหยุด ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่รับสายคือจิตอาสาที่เป็นแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ที่สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้น เพื่อคลายความกังวลใจแก่ผู้ป่วยโควิด-19 ได้ แม้ทุกท่านมีงานประจำที่ต้องปฏิบัติเป็นจำนวนมาก แต่ก็อาสาเข้ามาทำงานสายด่วนดังกล่าวโดยไม่มีวันหยุด ทั้งยังยินดีให้โอนสายเรียกเข้าต่าง ๆ เข้าหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของตนเอง จึงอยากจะขอกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้ด้วย และที่เพิ่มเติมคือได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่รมว. อว. ได้สั่งการให้คณบดีโรงเรียนแพทย์ของ อว. ช่วยคัดนิสิตนักเรียนแพทย์ที่มีความพร้อมมาช่วยรับโทรศัพท์ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ หมายเลขสายด่วนยังได้เพิ่มจำนวนคู่สายให้มากขึ้น พร้อมดึงเจ้าหน้าที่จากผลัดดึกซึ่งมีจำนวนสายเบาบางกว่า มาระดมช่วยช่วงเวลา 08.00-16.00 น. ที่มีปริมาณสายเข้าหนาแน่น และเตรียมจัดจ้างเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเป็นการเฉพาะกิจเพื่อประสานงานช่วยเหลือในการรับผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะ โดยทำการอบรมให้ความรู้ด้านการแพทย์ที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้สามารถตอบข้อซักถาม คัดกรองอาการ และแนะนำผู้ป่วยได้ คาดว่าการให้บริการประชาชนที่โทรเข้ามา จะมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สำหรับในช่วงที่มีสายโทรแจ้งจากผู้ป่วยโควิดเข้าจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จะใช้วิธีรับเรื่องและขอชื่อ/หมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ทีมประสานรับส่งผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะให้เร่งติดต่อกลับเพื่อประสานรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้มีคู่สายว่างเพียงพอผู้ที่จะต่อสายที่โทรเข้ามาใหม่ ขณะเดียวกันก็สามารถรับผู้ติดเชื้อไปส่งยังโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้ได้เร็วยิ่งขึ้น และระหว่างรอเตียงจะโทรแจ้งความคืบหน้าและติดตามอาการทุกๆ 6 ชั่วโมง หากอาการแย่ลงจะส่งรถไปรับมารักษาในโรงพยาบาลทันที อย่างไรก็ตาม หากประชาชนยังไม่สามารถติดต่อหมายเลขสายด่วนได้ ขอให้ติดต่อทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยการเพิ่มเพื่อนในไลน์ที่ ID : @sabaideebot หรือที่ https://line.me/R/ti/p/@sabaideebot สบายดีบอต และกรอกข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วยโควิดในการประสานติดต่อเจ้าหน้าที่อีกทาง ซึ่งกรมการแพทย์ได้ยืนยันว่ามีการปรับปรุงระบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้การแอดไลน์เพิ่มเพื่อน กับ สบายดีบอต มีระบบบริการในการจองเตียง ค้นหาเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 มีทีมงานในการช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างรอเตียง
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 “อนุทิน” เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างรอเตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” นำผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างรอเตียงมาดูแลด้วยทีมแพทย์ พยาบาล แห่งแรกที่สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สนับสนุนการทำงานของ กทม. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” นำผู้ติดเชื้อโควิด19 ระหว่างรอเตียงมาดูแลด้วยทีมแพทย์ พยาบาล แห่งแรกที่สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สนับสนุนการทำงานของ กทม. วันนี้ (25 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ .นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการอำนวยการ ศปค.สธ.ครั้งที่8/2564 ในวันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็น มาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ในระยะถัดไป โดย นายอนุทินกล่าวว่า ได้ประสานกับรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอใช้สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก ใช้เป็น “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” ของกระทรวงสาธารณสุข ช่วยสนับสนุนและแบ่งเบาภาระของ กทม.ในการรับส่งและเตียงผู้ป่วย โดยจะรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระหว่างรอเตียงมาดูแลโดยทีมแพทย์ พยาบาล พร้อม ยา เวชภัณฑ์อุปกรณ์การแพทย์ ในลักษณะหอผู้ป่วยโควิดรวม ให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลเหมาะสมตามอาการ นอกจากนี้ ศูนย์แห่งนี้จะทำหน้าที่ส่งผู้ติดเชื้อไปโรงพยาบาลในสังกัดในเขตปริมณฑลกรณีเตียงใน กทม.เต็ม โดยบ่ายวันนี้ ทีมจากกรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะรีบเข้าไปดำเนินการให้เร็วที่สุด และในอนาคตอาจถูกปรับเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด 19 อีกด้วย “การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วหลังเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การจัดการเตียงใน กทม.ค่อนข้างยาก และล่าช้า ทำให้มีผู้ติดเชื้อบางส่วนต้องรอเตียง ซึ่งศูนย์แรกรับนี้จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ต้องรอเตียงที่บ้าน หากมีอาการป่วยจะได้รับการดูแลทันทีด้วยทีมแพทย์ พยาบาลที่จัดเตรียมไว้ และหาก กทม.ยังหาเตียงไม่ได้ก็จะถูกส่งไปโรงพยาบาลในสังกัดรอบๆ กทม.ได้ทันที ผู้ป่วยถึงมือหมอเร็ว ได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ ไม่ปล่อยให้เกิดความสูญเสียขึ้น” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด 19 (ศปค.สธ.) ว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือร่วมกันหลายภาคส่วนทั้งกรุงเทพมหานคร เอกชน โรงเรียนแพทย์ และกองทัพ เพื่อหารือประเด็นการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งแนวทางและข้อเสนอในการปรับเพิ่มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ มาตรการส่วนบุคคล องค์กร สังคม และสาธารณสุข เพื่อให้ที่ประชุม ศบค.พิจารณาต่อไป ได้แก่ การปรับระดับสีของจังหวัดเป็น 3 สี คือ แดงเข้ม แดง และส้มให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปรับมาตรการระดับจังหวัด ดำเนินการโดยห้ามจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มซึ่งอาจเกิดความแออัด ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ ให้ทั้งประเทศดำเนินการต่อเนื่องหลังวันที่ 30 เมษายน 2564 ไปอีก 2 สัปดาห์ **********************************25 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยตรวจสายด่วน 1506 กด 6 บริการให้คำปรึกษาผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ ลุยตรวจสายด่วน 1506 กด 6 บริการให้คำปรึกษาผู้ประกันตนตรวจหาเชื้อโควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุยตรวจศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อเป็นช่องทางติดต่อคำแนะนำแก่ผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 ที่สำนักงานประกันสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคม โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤติวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีความห่วงใยมายังพี่น้องผู้ประกันตนทุกคนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดพื้นที่สีแดงหรือจังหวัดที่มีการควบคุมสูงสุด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัด ลดการแพร่ระบาด ไม่ต้องรอคิวนาน ตรวจเสร็จแล้วหากพบติดเชื้อส่งรักษาทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดำเนินการตรวจโควิด – 19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33,39 และ 40 ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์เยาวชน (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เริ่มตรวจจริงเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา และขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง ตั้งแต่วันที่ 24 -30 เม.ย.64 ในจังหวัดปทุมธานี ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดชลบุรี ที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดเชียงใหม่ที่ รพ.นครพิงค์ รพ.สันป่าตอง รพ.มหาราช รพ.ราชเวช รพ.เทพปัญญา รพ.ลานนา และ รพ.เชียงใหม่ใกล้หมอ และจังหวัดนนทบุรี ที่ลานเอนกประสงค์ เทศบาลเมืองพิมลราช นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ผมได้ลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมการให้บริการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสายด่วน 1506 กด 6 ที่สำนักงานประกันสังคม ที่เปิดให้บริการเพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยจะให้คำแนะนำผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ให้คำปรึกษาการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้คำแนะนำหลักเกณฑ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ ศูนย์กีฬาเวสน์ 1 ดินแดง ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานพยาบาล รวมถึงการส่งตัวผู้ประกันตนที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล และแนะนำเรื่องอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 โดยจะให้บริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการจำนวนทั้งสิ้น 10 คู่สาย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยหมอชนะแจ้งเตือนโควิดแล้ว 46,272 ราย กระทรวงดิจิทัลฯ เผยแอปหมอชนะส่งแจ้งเตือนจำนวนกลุ่มเสี่ยงโควิดแล้ว 46,272 ราย ล่าสุดดาวน์โหลดทะลุ 9.84 ล้านครั้ง มีผู้ใช้งานเกือบ 7 ล้านคนต่อวัน
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ดีอีเอส เผยหมอชนะแจ้งเตือนโควิดแล้ว 46,272 ราย กระทรวงดิจิทัลฯ เผยแอปหมอชนะส่งแจ้งเตือนจำนวนกลุ่มเสี่ยงโควิดแล้ว 46,272 ราย ล่าสุดดาวน์โหลดทะลุ 9.84 ล้านครั้ง มีผู้ใช้งานเกือบ 7 ล้านคนต่อวัน ดีอีเอส เผยหมอชนะแจ้งเตือนโควิดแล้ว 46,272 ราย กระทรวงดิจิทัลฯ เผยแอปหมอชนะส่งแจ้งเตือนจำนวนกลุ่มเสี่ยงโควิดแล้ว 46,272 ราย ล่าสุดดาวน์โหลดทะลุ 9.84 ล้านครั้ง มีผู้ใช้งานเกือบ 7 ล้านคนต่อวัน นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าหลังจากรัฐบาลมอบหมายให้ดีอีเอสรับผิดชอบการบริหารจัดการแอปหมอชนะซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019เข้ามาเป็นภารกิจหนึ่งของกระทรวงฯเมื่อช่วงต้นปีนี้ปัจจุบันมีการส่งแจ้งเตือนกลุ่มเสี่ยงรวม46,272 ราย(ข้อมูลณวันที่25เม.ย. 64) ทั้งนี้ภารกิจในการบริหารจัดการแอปหมอชนะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่4ของดีอีเอสในด้านส่งเสริมการให้บริการแก่ประชาชนภาครัฐและภาคเอกชนในรูปแบบดิจิทัลนำมาใช้ในการช่วยติดตามและสอบสวนโรคให้ครอบคลุมและแม่นยำได้มากขึ้นโดยบันทึกข้อมูลด้วยเทคโนโลยีGPSและBluetoothเพื่อช่วยแจ้งประชาชนเมื่ออยู่ในบริเวณใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด-19ให้เฝ้าระวังและเข้าพบกับเจ้าหน้าที่สอบสวนโรคได้ทันท่วงที “อยากให้ประชาชนช่วยกันดาวน์โหลดแอปหมอชนะมาใช้งานกันมากๆเพื่อช่วยกันลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโควิด-19เพราะเป็นแอปที่ใช้มาช่วยติดตามกลุ่มเสี่ยงเพิ่มความรวดเร็วของกระบวนการสอบสวนโรคเราพร้อมขยายพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์รองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีระบบคลาวด์กลางภาครัฐอยู่แล้วส่วนข้อมูลผู้ใช้งานมีแต่กรมควบคุมโรคเรียกใช้ได้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล”นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว ปัจจุบันแอปหมอชนะมียอดการดาวน์โหลดแล้ว9.84ล้านครั้งและมีจำนวนผู้ใช้งานเกือบ7ล้านคนต่อวันโดยจังหวัดที่มีการใช้งานสูงสุด5อันดับแรกได้แก่กรุงเทพชลบุรีสมุทรปราการ นนทบุรีและปทุมธานีตามลำดับ ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ชูธงใช้แพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์เจาะตลาดจีน 1,400 ล้านคน
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ชูธงใช้แพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์เจาะตลาดจีน 1,400 ล้านคน ฝ่าวิกฤติโควิด ”เกษตรฯ” ชูธง ”5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ใช้แพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์เจาะตลาดจีน 1,400 ล้านคน พร้อมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ทุเรียนไทยสำเร็จเป็นครั้งแรก ฝ่าวิกฤติโควิด"เกษตรฯ"ชูธง"5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย"ใช้แพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์เจาะตลาดจีน1,400ล้านคนพร้อมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ทุเรียนไทยสำเร็จเป็นครั้งแรกเตรียมขึ้นเครื่องเช่าเหมาลำล็อตแรก27เมษายนนี้“อลงกรณ์”เผยจะมีการส่งออกแบบพรีออเดอร์อีกหลายประเทศเดือนหน้าพร้อมชื่นชมความร่วมมือระหว่างฟรุ้ทบอร์ดผู้ประกอบการสหกรณ์เมืองขลุงและจังหวัดจันทบุรี นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)เปิดเผยวันนี้(25เม.ย.)ว่าในวันที่27เมษายนนี้จะจัดส่งทุเรียนจากสหกรณ์เมืองขลุงจังหวัดจันทบุรีไปจำหน่ายที่ประเทศจีนโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบินเซินเจิ้นแอร์ไลน์ที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นการจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์แบบสั่งซื้อล่วงหน้า(Pre-Order)ที่ลูกค้าจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์มาเรียบร้อยแล้วจำนวน20ตัน “เป็นครั้งแรกของการจำหน่ายทุเรียนผ่านระบบPre-Orderไปประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนเราต้องเจาะตลาดจีนที่มีประชากรกว่า1,400ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วขายทุเรียนได้กว่า6หมื่นล้านบาทด้วยแพลตฟอร์มใหม่ๆบนความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกระทรวงพาณิชย์บริษัทเอกชนและสหกรณ์ผลไม้เช่นสหกรณ์เมืองขลุงจังหวัดจันทบุรีและยังเป็นทุเรียนชุดแรกที่มีการสร้างแบรนด์ทุเรียนไทยในระดับสหกรณ์ผลไม้(Cooperative based Branding)ให้เป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนและสหกรณ์ขายได้ราคาสูงขึ้นคู่ขนานไปกับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของทุเรียนในระบบGAPและGMPภายใต้"5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย"และโมเดล"เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด"ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการปฏิรูปไม้ผลทั้งระบบของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)และการขับเคลื่อนโมเดล"เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด"ร่วมกับนายจุรินทร์ลักษณวิศิษฐ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์”นายอลงกรณ์กล่าว ทั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จทางนโยบายและการบริหารแบบทำได้ไวทำได้จริงหลังจากคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)ครั้งที่3/2564เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาเห็นชอบโครงการจำหน่ายผลไม้บนแพลตฟอร์มออนไลน์แบบสั่งซื้อล่วงหน้า(Pre-order)เพื่อเป็นกลไกการขายเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศโดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการอนุกรรมการขับเคลื่อนE-Commerceกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และฝ่ายเลขานุการของฟรุ้ทบอร์ดคือกรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ภาคเอกชนและกระทรวงพาณิชย์โดยล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์จะมาช่วยเสริมทัพด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์และการผลิตสื่อออนไลน์ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศนอกจากนี้จะมีการส่งออกภายใต้ระบบพรีออเดอร์อีกหลายประเทศในเดือนหน้าและขอแสดงความชื่นชมความร่วมมือระหว่างฟรุ้ทบอร์ดผู้ประกอบการสหกรณ์เมืองขลุงและจังหวัดจันทบุรีที่สามารถเปิดฉากการส่งออกทุเรียนล็อตแรกได้สำเร็จอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง1เดือน นายกฤชฐาโภคาสถิตย์ประธานคณะอนุกรรมการอนุกรรมการขับเคลื่อนE-Commerceกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่าคณะอนุกรรมการฯได้ประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างNew Ecosystemในการ“สร้างแบรนด์ผลไม้ไทย”ในการส่งออกไปทั่วโลกผ่านช่องทางPre-orderเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำในฐานะที่เราเป็นผู้ส่งออกผลไม้ที่มีศักยภาพอันดับต้นๆของโลกเราสามารถสร้างแบรนด์ให้แต่ละสวนแต่ละฟาร์มผ่านกลไกสหกรณ์และมีระบบLogisticsตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่แข็งแรงผสานเข้ากับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการส่งออกผ่านกระบวนการPre-Orderทางออนไลน์ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ในการจำหน่ายและเพิ่มมูลค่าของผลไม้ไทยอย่างยั่งยืน.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41190
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือประชาชน หน่วยงาน และสถานศึกษา งดเข้าเยี่ยมชม และทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือประชาชน หน่วยงาน และสถานศึกษา งดเข้าเยี่ยมชม และทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือประชาชน หน่วยงาน และสถานศึกษา งดเข้าเยี่ยมชม และทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะคลี่คลาย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ขอความร่วมมือประชาชน หน่วยงาน และสถานศึกษา งดเข้าเยี่ยมชม และทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะคลี่คลาย และจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง รฟท. ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมว.ทส. เป็นผู้แทนนายก และ ครม. วางพวงมาลาถวายราชสักการะ สมเด็จพระนเรศวร จ.สุพรรณบุรี”
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 "รมว.ทส. เป็นผู้แทนนายก และ ครม. วางพวงมาลาถวายราชสักการะ สมเด็จพระนเรศวร จ.สุพรรณบุรี” "รมว.ทส. เป็นผู้แทนนายก และ ครม. วางพวงมาลาถวายราชสักการะ สมเด็จพระนเรศวร จ.สุพรรณบุรี” "รมว.ทส. เป็นผู้แทนนายก และ ครม. วางพวงมาลาถวายราชสักการะ สมเด็จพระนเรศวร จ.สุพรรณบุรี” วันที่ 25 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประกอบพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครบ 416 ปี โดยมี พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในการอันเชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปวาง ณ พระบรมราชานุสรณ์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนั้น นายวราวุธ ยังได้เป็นผู้แทนของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ขึ้นวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวมถึง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ก็ได้เดินทางมา ร่วมพิธีในกาลนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยัน ไม่มีการรับเครื่องบินเช่าเหมาลำจากอินเดียเข้าไทย
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 โฆษก ศบค. ยืนยัน ไม่มีการรับเครื่องบินเช่าเหมาลำจากอินเดียเข้าไทย โฆษก ศบค. ยืนยัน ไม่มีการรับเครื่องบินเช่าเหมาลำจากอินเดียเข้าไทย วันนี้ (25 เมษายน 2564) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชน ช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 ต่อกรณีข่าวมีเครื่องบินเช่าเหมาลำมาจากอินเดีย ดังนี้ โฆษก ศบค. ยืนยันว่า กรณีข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าไม่มีเครื่องบินเช่าเหมาลำจากประเทศอินเดีย ทั้งนี้ มีการเตรียมการเพื่อรับคนไทยกลับบ้าน (Repatriation flight)) ตามภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าเพื่อกลับจากประเทศอินเดีย โดยจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 จำนวน 4 เที่ยวบิน ได้แก่ วันที่ 1 พฤษภาคม จำนวน 1 คน 8 พฤษภาคม จำนวน 70 คน 15 พฤษภาคม จำนวน 60 คน และวันที่ 22 พฤษภาคม ยังไม่มีผู้ลงทะเบียน ส่วนแนวทางด้านนโยบายชัดเจนว่าสำหรับชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางมาจากประเทศอินเดียและได้ยื่นขอหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (COE – Certificate of Entry) จะให้ชะลอการออกหนังสือฯ ออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีความรุนแรง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย อย่างเข้มข้น ผู้ป่วยชาวอินเดีย 7 ราย เดินทางมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมาโดยเครื่องบินพาณิชย์ และมีเอกสารครบถ้วน
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ศบค. ยืนยันสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย อย่างเข้มข้น ผู้ป่วยชาวอินเดีย 7 ราย เดินทางมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมาโดยเครื่องบินพาณิชย์ และมีเอกสารครบถ้วน ศบค. ยืนยันสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย อย่างเข้มข้น ผู้ป่วยชาวอินเดีย 7 ราย เดินทางมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมาโดยเครื่องบินพาณิชย์ และมีเอกสารครบถ้วน วันนี้ (25 เมษายน 2564) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศบค. ชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ต่อกรณีข่าวว่ามีเครื่องบินเช่าเหมาลำของชาวอินเดียเดินทางมายังประเทศไทยว่าไม่เป็นความจริง รัฐบาลดำเนินนโยบายเข้มข้นด้วยความระมัดระวังเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคผ่านทุกช่องทางเพื่อป้องกันการเล็ดลอดของเชื้อ และได้ชะลอการยื่นขอใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ (COE – Certificate of Entry) ของชาวต่างชาติที่ประสงค์เดินทางมาจากประเทศอินเดียออกไปก่อน จะรับเพียงคนไทยที่ประสงค์เดินทางกลับบ้านและได้ลงทะเบียนไว้เท่านั้น ส่วนกรณีชาวอินเดีย จำนวน 7 คน ที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่นั้น เดินทางเข้าประเทศไทยโดยสายการบินพาณิชย์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 สายการบินอินเดียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ AI 0332 ตามข้อกำหนดอนุญาต (บุคคล 11 กลุ่ม) เช่น นักลงทุน นักธุรกิจ มีครอบครัวไทย มีใบอนุญาตทำงาน และเข้ามารักษาพยาบาล(กรณีไม่ใช่โรคโควิด) เป็นต้น โดยในเที่ยวบินดังกล่าว มีผู้โดยสารทั้งสิ้นจำนวน 149 คน เป็นคนอินเดีย คนไทย และสัญชาติอื่นๆ จึงไม่ใช่เครื่องเช่าเหมาลำตามข่าวแต่อย่างใด โดยขณะนี้ทั้งหมดยังอยู่ในช่วงกักกันโรค และกำลังอยู่ในช่วงการตรวจหาเชื้อเป็นระยะๆเพิ่อไม่ให้ผู้ติดเชื้อเล็ดลอดออกไปได้ สำหรับ 7 รายข้างต้น เมื่อเดินทางมาถึงไทย ตรวจพบเชื้อ จึงส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ตามมาตรการที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำทำการบินเข้าประเทศไทยยังชี้แจ้ง ปฏิเสธกระแสข่าวที่มีเศรษฐีชาวอินเดียเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหนีจากสถานการณ์โรคโควิดระบาด โดยใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำมาที่ประเทศไทย โดยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ส่วนกองทัพอากาศที่จัดเครื่องบินไปรับคณะของผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศอินเดียกลับไทยในช่วงเวลานี้ ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยต้องดำเนินการตามมาตรการเช่นกัน ดังนั้น เพื่อปรับข้อบังคับให้เป็นไปตามสถานการณ์และเพื่อควบคุมสกัดกั้นเชื้อโควิด 19 จากอินเดีย ศปก.ศบค. อนุมัติการชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยจากประเทศต้นทาง คือ อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ รวมทั้งเพิ่มมาตรการการกักตัวเป็น 21 วัน อีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้ความมั่นใจว่าการดำเนินการต่างๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด เช่น ขั้นตอนการเข้าเมือง การ Quarantine และตรวจหาเชื้อ ยังคงดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการนำเข้าเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ที่ระบาดในอินเดีย ที่จะทำให้สถานการณ์ในประเทศแย่ลง และส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนให้ลดลง ตามที่ ศ. นพ ยง ภู่วรวรรณ ได้ให้ข้อมูลไว้ด้วย รวมทั้ง ไม่มีการให้อภิสิทธิ์แก่ผู้ใด อย่างแน่นอน ชีวิตและความปลอดภัยของคนไทย คือสิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องดูแลและป้องกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พบ โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตในผู้ป่วยโควิดอายุน้อย ระลอกเมษายน
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 สธ. พบ โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตในผู้ป่วยโควิดอายุน้อย ระลอกเมษายน กระทรวงสาธารณสุขพบปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตในระลอกเมษายน คือผู้ที่มีโรคอ้วน และผู้ที่มีอายุน้อยมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น อายุเฉลี่ย 29 ปี พร้อมแจงกรณีเที่ยวบินอินเดียเช่าเหมาลำไม่เป็นความจริงเฝ้าระวังเพิ่มในกลุ่มผู้เดินทางจากอินเดียสธ. พบ โรค กระทรวงสาธารณสุขพบปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตในระลอกเมษายน คือผู้ที่มีโรคอ้วน และผู้ที่มีอายุน้อยมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น อายุเฉลี่ย 29 ปี พร้อมแจงกรณีเที่ยวบินอินเดียเช่าเหมาลำไม่เป็นความจริงเฝ้าระวังเพิ่มในกลุ่มผู้เดินทางจากอินเดีย เตรียมเสนอ ศบค.พิจารณาชะลอการออกหนังสือเดินทางเข้าประเทศ เพิ่มวันกักตัว งดออกนอกห้องทุกกรณี ล่าสุดฉีดวัคซีนไปแล้วกว่าล้านโดส บ่ายวันนี้ (25 เมษายน 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,438 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 2,151 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 282 ราย รักษาหายเพิ่ม 547 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 11 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564มีผู้ติดเชื้อสะสม 26,597 ราย กำลังรักษา 24,207 ราย และเสียชีวิตสะสม 46 ราย สำหรับผู้เสียชีวิต 11 รายวันนี้ รายที่ 1 ชายไทยอายุ 27 ปี จากกทม. มีภาวะเบาหวาน และโรคอ้วนมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน รายที่ 2 หญิงไทย อายุ 34 ปี จ.ปทุมธานี มีโรคประจำตัวเป็นไซนัสอักเสบ และโรคอ้วน มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน รายที่ 3 ชายไทย อายุ 69 จ.ปทุมธานี มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง และเก๊าท์ มีประวัติเดินทางไปสถานที่แออัด รายที่ 4 หญิงไทย อายุ 62 ปี จ.สุโขทัย มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด มีประวัติเดินทางไปสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อ รายที่ 5 ชายไทย อายุ 70 ปี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้ป่วยติดเตียงมีโรคประจำตัว เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง รายที่ 6 ชายไทย อายุ 45 ปี จ.นครพนม มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน รายที่ 7 ชายไทย อายุ 35 ปี จ.นครราชสีมา มีโรคประจำตัว โรคอ้วน มีประวัติเดินทางไปสถานที่แออัด รายที่ 8 ชายไทย อายุ 34 ปี กทม. มีโรคประจำตัวเบาหวาน และโรคอ้วน มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน รายที่ 9 ชายไทย อายุ 36 ปี กทม.มีประวัติเดินทางไปสถานที่แออัด (อยู่ระหว่างรอสอบสวนโรค) รายที่ 10 ชายไทย อายุ 35 ปี กทม. มีโรคประจำตัวโรคอ้วน มีประวัติเดินทางไปสถานที่แออัด และรายที่ 11 หญิงไทย อายุ 32 ปี ตั้งครรภ์ 25 สัปดาห์ มีประวัติเดินทางไปสถานที่แออัด ข้อสังเกตของผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานในวันนี้ ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่คือภาวะอ้วน และมีประวัติเป็นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันและเดินทางไปในสถานที่แออัด และหลายรายคือผู้ที่มีอายุน้อย ภาพรวมในระลอกเดือนเมษายน พบผู้เสียชีวิตมีอายุเฉลี่ย 29 ปี สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 24 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 1,124,153 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 949,124 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 175,029 ราย เฉพาะวันที่ 24 เมษายน ฉีดได้ 28,708 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 14,675 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 14,033 ราย ภาพรวมการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์หลายจังหวัดฉีดได้ครบ 100% สำหรับบุคลากรในคลินิก และสถานพยาบาลเอกชนจะประสานเข้ารับการฉีดให้ครบถ้วนภายในสัปดาห์หน้า นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กรณีที่มีการแชร์ต่อในสื่อโซเชียลว่ามีการเช่าเหมาลำเครื่องบินนำชาวอินเดียมายังประเทศไทยนั้นพบว่าไม่เป็นความจริง มีการขออนุญาตให้คนไทยในอินเดียกลับบ้านในเดือนพฤษภาคม 4 เที่ยวบิน โดยการประสานของกระทรวงต่างประเทศ และจากสถานการณ์ของประเทศอินเดียที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเพิ่มความระวังในกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย โดย ศปค.สธ.ให้ความสำคัญในมาตรการเรื่องนี้และจะประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้ชะลอการออกหนังสือการเดินทางเข้าประเทศ จากประเทศอินเดียเข้าประเทศไทย แต่ยังไม่ชะลอการเข้าประเทศของสายการบิน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการขนส่ง ยา เวชภัณฑ์ และสินค้า เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ผลิตยา และเวชภัณฑ์รายใหญ่ที่ประเทศไทยอาจจำเป็นต้องใช้ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ขยายเวลาการกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยจาก 10 วัน เป็น 14 วัน ในทุกประเทศ ส่วนผู้ที่เข้ารับการกักตัวในสถานที่ของรัฐ ห้ามออกนอกห้องโดยเด็ดขาด จนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจนขึ้น ให้เกิดความมั่นใจว่าสายพันธุ์ที่อาจมีผลกระทบกับประเทศไทยจะไม่มีการหลุดลอดออกมาเพื่อเสนอไปยัง ศบค. ชุดเล็กพิจารณาต่อไป ************************************* 25 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตั้งจุดคัดกรอง 3 แห่ง นำผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 2.5 พันกว่าราย ส่งเข้าโรงพยาบาล
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 สธ.ตั้งจุดคัดกรอง 3 แห่ง นำผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง 2.5 พันกว่าราย ส่งเข้าโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ยังไม่มีเตียง 2,554 ราย กรมการแพทย์ประสานและช่วยส่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว 1,039 ราย และรอเข้ารับการรักษา 814 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยังไม่ได้รับการประสาน ขอให้โทรติดต่อหมายเลข 1668
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัคซีนซิโนแวคส่งถึงไทยอีก 1 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งกระจายฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้ตามแผน
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 วัคซีนซิโนแวคส่งถึงไทยอีก 1 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งกระจายฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้ตามแผน วัคซีนซิโนแวคส่งถึงไทยอีก 1 ล้านโดส นายกรัฐมนตรีสั่งเร่งกระจายฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้ตามแผน เผยยอดจัดสรรวัคซีนให้หน่วยบริการสถานพยาบาลทั่วประเทศแล้ว 1,038,256 โดส วันที่10เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงเช้าของวันนี้องค์การเภสัชกรรมได้รับมอบวัคซีนโควิด-19ของซิโนแวคจำนวน1ล้านโดสซึ่งเป็นการรับมอบล็อตที่3ต่อเนื่องจากล็อตที่1เมื่อวันที่24ก.พ. 2564จำนวน2แสนโด๊สและล็อตที่2เมื่อวันที่22มี.ค. 2564จำนวน8แสนโดส ทั้งนี้การรับมอบวัคซีนของซิโนแวคครั้งล่าสุดนี้เป็นไปตามที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรมดำเนินการจัดหาวัคซีนโควิด-19เร่งด่วนจำนวน2ล้านโดสนอกจากนี้ยังมีส่วนที่องค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติมซึ่งจะมีการส่งมอบในช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้อีก5แสนโดสเพื่อให้เพียงพอกับการกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนให้มากที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมมีข้อสั่งการว่าเมื่อดำเนินการตามขั้นตอนตามมาตรฐานต่างๆแล้วขอให้ดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังหน่วยบริการและสถานพยาบาลและดำเนินการฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้ตามแผนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนกลุ่มต่างๆโดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้มีโรคประจำตัวผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง”น.ส.ไตรศุลีกล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในส่วนของสถานการณ์การให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19ข้อมูลณวันที่9เม.ย. 2564 มีวัคซีนที่จัดสรรไปยังหน่วยบริการและสถานพยาบาลต่างๆทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น1,038,256โดสแยกเป็นวัคซีนของซิโนแวค952,205โดสของแอสตราเซนเนก้า86,060โดส มีผู้ได้รับวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่29ก.พ.-9เม.ย. 2564ทั้งหมด537,380โดสใน77จังหวัดทั่วประเทศแยกเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่1จำนวน470,301รายเป็นวัคซีนของซิโนแวค417,076รายแอสตราเซนเนก้า53,225รายในจำนวนนนี้เป็นบุคลากรทางการแพทย์195,483รายเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยย47,219รายผู้มีอายุตั้งแต่60ปีขึ้นไป25,563รายผู้มีโรคประจำตัว21,501รายประชาชนในพื้นที่เสี่ยง180,535ราย เป็นผู้รับวัคซีนเข็มที่2จำนวน67,079รายทั้งหมดเป็นวัคซีนซิโนแวคในจำนวนนี้เป็นบุคลากรทางการแพทย์32,368รายเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย6,138รายผู้มีอายุตั้งแต่60ปีขึ้นไป10รายผู้มีโรคประจำตัว4,331รายและประชาชนในพื้นที่เสี่ยง24,232ราย จังหวัดที่มีการให้บริการวัคซีนโควิด-19สูงสุด10อันดับแรกได้แก่กรุงเทพฯ(113,367ราย)สมุทรสาคร(113,111ราย)ภูเก็ต(76,704ราย)สุราษฎร์ธานี(26,735ราย)ตาก(24,030ราย)สมุทรปราการ(23,646ราย)นนทบุรี(21,621ราย)ชลบุรี(14,711ราย)ปทุมธานี(14,184ราย)และระยอง(9,288ราย) ------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อความสารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรต่อการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งเอดินบะระ
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ข้อความสารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรต่อการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งเอดินบะระ ข้อความสารแสดงความเสียใจจากนายกรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรต่อการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งเอดินบะระ ตามที่เจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักร สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อความสารแสดงความเสียใจถึงนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ต่อการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลิป ดุ๊กแห่งเอดินบะระ ดังนี้ BEGIN Your Right Honourable, I was deeply saddened by the passing of His Royal Highness The Prince Philip, Duke of Edinburgh, at the Windsor Castle on 9 April 2021. His lifelong services and unwavering dedication to diverse noble causes, especially the welfare of young people, epitomised his legacy and exceptional leadership. His several visits to Thailand by himself and together with Her Majesty Queen Elizabeth II will be fondly remembered and cherished by the Thai people. His Royal Highness touched many hearts and minds with his generosity and compassion. On behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, I wish to extend to Your Right Honourable and the British people our deepest condolences and sympathy for this irreparable loss. We join the British people in mourning the loss of His Royal Highness The Prince Philip, Duke of Edinburgh. Our thoughts and prayers are with the British people in this time of sadness. Accept, Your Right Honourable, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand END. https://www.mfa.go.th/th/content/25640410-pmthai-passing-of-duke-of-edinburgh
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ กำชับ รพ.เครือข่ายประกันสังคมดูแลผู้ประกันตนเสี่ยงติดโควิดเต็มที่
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ กำชับ รพ.เครือข่ายประกันสังคมดูแลผู้ประกันตนเสี่ยงติดโควิดเต็มที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กำชับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมให้ความร่วมมือดูแลผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยงติดโควิด-19 อย่างเต็มที่ ​​นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่พบว่ามีผู้ป่วยโควิด -19 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดพื้นที่สีแดง ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในช่วงวันหยุดเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ และเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้กำชับโรงพยาบาลประกันสังคมให้ความร่วมมือดูแลผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยงติดโควิด โดยออกประกาศกระทรวงแรงงานเพื่อเน้นย้ำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกันตน กรณีโรคโควิด-19 เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนในโครงการประกันสังคมเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ทั้งการตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงและจำนวนเตียงรองรับผู้ประกันตนป่วยโรคโควิด- 19 ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ลดความเดือดร้อนของประชาชน โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลประกันสังคม จำนวน 81 แห่ง และสมาคมโรงพยาบาลเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานอย่างเต็มที่ ​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยต่อไปว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 9 เมษายน 2564 พบว่ามีผู้ป่วยโรคโควิด 19 รายใหม่ จำนวน 559 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม และปทุมธานี ส่งผลให้ผู้ประกันตนตามเกณฑ์กลุ่มเสี่ยง ตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มีโอกาสเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคโควิด- 19 และอาจมีอัตราผู้ประกันตนที่ป่วยได้รับยืนยันเพิ่มขึ้น กระทรวงแรงงานจึงได้สำรวจความพร้อมโรงพยาบาลประกันสังคม เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการดูแลรักษาให้โรงพยาบาลประกันสังคมมีจำนวนเตียงเพียงพอ โดยการเพิ่มเตียงในโรงพยาบาลและจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเอกชน ซึ่งจาการสำรวจโรงพยาบาลประกันสังคมภาคเอกชน จำนวน 81 แห่ง ส่วนใหญ่มีความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้ประกันตน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้พร้อมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลตามประกาศคณะกรรมการแพทย์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคมให้ผู้ประกันตนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรับบริการทางการแพทย์ทั้งค่าตรวจและค่ารักษาโรคโควิด- 19 ส่งผลให้สามารถช่วยเหลือผู้ประกันที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานพร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจากผลกระทบภาวะวิกฤต โควิด -19 ในทุกๆด้าน เพื่อหาแนวทางกำหนดมาตรการแก้ไขให้สอดคล้องกับภาวะเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชวนสัมผัสเส้นทางสายดอกไม้แห่งฤดูร้อน หลากสีสันหลายเส้นทางต้อนรับช่วงหยุดยาวสงกรานต์
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 กรมทางหลวงชวนสัมผัสเส้นทางสายดอกไม้แห่งฤดูร้อน หลากสีสันหลายเส้นทางต้อนรับช่วงหยุดยาวสงกรานต์ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสเส้นทางสายดอกไม้ในช่วงฤดูร้อนปลายเดือนมีนาคม – เมษายน ซึ่งในทุกๆ ปีจะมี “ต้นราชพฤกษ์” หรืออีกชื่อ “ต้นคูน” ดอกไม้ประจำชาติไทย ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่าม และดอกเฟื่องฟ้าหลากสีบานสะพรั่ง บนเกาะกลางทางหลวงและสองข้างทางหลวง ซึ่งสร้างความประทับใจและคลายความร้อนให้กับผู้เดินทางได้เป็นอย่างมาก กรมทางหลวงขอแนะนำเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความงดงามตามธรรมชาติของดอกไม้ที่เบ่งบานสร้างสีสันช่วงฤดูร้อนนี้ ซึ่งมีหลายเส้นทางในจังหวัดต่างๆ ดังนี้ - ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ตอน ดอนหวาย-บ้านวัด ช่วง กม.201+000-201+300 และ กม.189+500-190+000 และ ตอน โคกกรวด-นครราชสีมา ช่วง กม.130 - กม. 134 ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร จะมีดอกเหลืองปรีดียาธรเหลืองอร่ามบานสะพรั่งสองข้างทางหลวงถนนมิตรภาพ อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบแขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 2 - ทางหลวงหมายเลข 12 ตอน บ้านฝาง-ขอนแก่น (แยกเข้าสนามบิน) ช่วง กม. 547+595 และทางหลวงหมายเลข 2428 ตอนทางเข้าท่าอากาศยานขอนแก่น ช่วง กม.0+000 – 1+741 (ระยะทาง 1.7 กม.) อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของแขวงทางหลวงขอนแก่นที่ 1 - ทางหลวงหมายเลข 33 (ตอน คลองยาง-นครนายก) ที่ กม.117+800 และที่ กม.118+000 ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของแขวงทางหลวงนครนายก - ทางหลวงหมายเลข 1021 (สายพะเยา - เชียงคำ) ตอน แยกทางหลวงหมายเลข 1 (แม่ต๋ำ-จุน) ตั้งแต่ กม.2+000 – กม.12+000 ช่วง อ.ดอกคำใต้ มีดอกคูณเหลืองอร่ามและดอกเฟื่องฟ้าหลากสีระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ซึ่งถนนสายดังกล่าวนับว่าเป็นถนนสายดอกไม้ ที่มีความสวยงามติด 1 ใน 9 ของถนนสวยในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของแขวงทางหลวงพะเยา กรมทางหลวงได้มีการรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนี้ โดยมีจุดบริการทั่วไทย 147 แห่ง จุดให้บริการตำรวจทางหลวง 201 แห่ง จุดให้บริการสถานีตรวจสอบน้ำหนักและจุดพักรถบรรทุก 73 แห่ง ห้องน้ำบริการประชาชน 581 แห่ง พร้อมให้บริการจุดกางเต็นท์ฟรีภายในหมวดทางหลวง พร้อมให้บริการแนะนำเส้นทางแก่นักท่องเที่ยว อีกทั้งดูแลเส้นทางให้พร้อมใช้งาน ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายระวัง ไฟกระพริบ และปรับปรุงภูมิทัศน์สองข้างทางเพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยแก่ประชาชนตามนโยบาย “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ทั้งนี้ กรมทางหลวงขอความร่วมมือประชาชนจอดยานพาหนะบริเวณสองข้างทางอย่างระมัดระวังระหว่างทำการถ่ายภาพเพื่อป้องกันปัญหาการจราจรติดขัดและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณะสุข “การท่องเที่ยววิถีใหม่” (New Normal) หากต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารระดับสูง บริษัทพานาโซนิค หารือรัฐมนตรีสุริยะฯ แจงข่าวดีเตรียมขยายโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จ.ขอนแก่น พร้อมสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม จ.สมุทรปราการ หนุนอุตสาหกรรมอนาคต
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ผู้บริหารระดับสูง บริษัทพานาโซนิค หารือรัฐมนตรีสุริยะฯ แจงข่าวดีเตรียมขยายโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จ.ขอนแก่น พร้อมสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม จ.สมุทรปราการ หนุนอุตสาหกรรมอนาคต ผู้บริหารระดับสูง บริษัทพานาโซนิค หารือรัฐมนตรีสุริยะฯ แจงข่าวดีเตรียมขยายโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จ.ขอนแก่น พร้อมสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม จ.สมุทรปราการ หนุนอุตสาหกรรมอนาคต กรุงเทพฯ : เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา นายอิโตะ ฮิเดคาสึ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เข้าพบและหารือกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทพานาโซนิคทั่วโลกในภาพรวมที่บริษัทกำลังดำเนินอยู่ในทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรวมฐานการผลิตของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับ Economy of Scale ความสามารถในการทำกำไร และการแข่งขัน ซึ่งเป็นนโยบายการปรับกลยุทธ์ทั่วโลก โดยในส่วนของประเทศไทย บริษัทจะเน้นบทบาทในการเป็นฐานการผลิตในธุรกิจมูลค่าสูงที่เติบโต โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตหลักของ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งในรถยนต์ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทกำลังดำเนินการลงทุนเพิ่มเติมใน 2 โครงการคือ 1. โครงการขยายโรงงานที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อเพิ่มสายการผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Device) ของโรงงาน พานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 2. โครงการสร้างคลังสินค้าสำหรับรองรับการผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ ที่โรงงาน บ. พานาโซนิค ออโต้โมทีพ ซิสเต็มส์ เอเชีย แปซิฟิต จำกัด จ. สมุทรปราการ ซึ่งการลงทุนดังกล่าว จะเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องและช่วยสนับสนุน การก้าวไปสู่ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายหนี่งที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาล สำหรับในส่วนของสายการผลิตตู้แช่เย็น ซึ่งบริษัทได้มาจากบริษัทซันโย ในช่วงที่มีการควบรวมกิจการ บริษัทจะนำไปรวมไว้ที่ประเทศจีน เพื่อเปิดทางให้กับการลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในไทยต่อไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จาก การที่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทก็เพิ่งได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ Modular House ธุรกิจเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต กับ Smart home solution โดยได้เปิดบ้านตัวอย่าง Experience Center ซึ่งเป็นการจับมือธุรกิจร่วมกับบริษัทสยามสตีล และกำลังริเริ่มเตรียมการก้าวเข้าสู่ทำตลาดอุปกรณ์ระบบ Smart Factory ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับผู้ประกอบการ SME ซึ่งก็เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำการผลิตวัคซีนภายในประเทศไทย ดำเนินการโดยสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นไปตามแผนและได้ผลดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพ
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำการผลิตวัคซีนภายในประเทศไทย ดำเนินการโดยสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นไปตามแผนและได้ผลดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพ นายกรัฐมนตรีย้ำการผลิตวัคซีนภายในประเทศไทย ดำเนินการโดยสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นไปตามแผนและได้ผลดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพ วันนี้ (10 เมษายน 2564) เวลา 07.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและความคืบหน้าวัคซีนโควิด - 19 ผ่าน PM PODCAST สรุปดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 พื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม ประกอบด้วย 9 จังหวัด คือ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก ราชบุรี กลุ่มที่ 2 พื้นที่เฝ้าระวังสูง หรือพื้นที่สีเหลือง ประกอบด้วย 14 จังหวัด คือ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ระนอง ชลบุรี ระยอง ชุมพร สงขลา ยะลา และนราธิวาส และกลุ่มที่ 3 พื้นที่เฝ้าระวัง หรือพื้นที่สีเขียว อีก 54 จังหวัด สำหรับการระบาดรอบนี้ ส่วนใหญ่มาจากสถานบริการ ในรูปแบบ “เลาจน์” ที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน มีปัจจัยเสี่ยง คือการรวมตัวของคนจำนวนมาก อากาศไม่ถ่ายเท ขาดมาตรการป้องกันส่วนบุคคล และมีระยะเวลาในการสัมผัสนานกว่าปกติ จึงได้มีมาตรการปิดสถานประกอบการประเภทสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่พบการแพร่ระบาด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และถ้ามีการแพร่ระบาดในสถานประกอบการหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดใด ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร พิจารณาปิดสถานประกอบการในพื้นที่ทั้งจังหวัดหรือ กรุงเทพมหานครอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ส่วนการจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม สามารถเปิดได้ โดยใช้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีวัคซีนโควิด-19 ที่ต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนก่อนใช้ โดยผู้ขออนุญาตเป็นผู้ถือทะเบียนและรับผิดชอบการจำหน่ายในประเทศ บางบริษัทที่มีผู้แทนในประเทศไทยจะดำเนินการโดยบริษัทนั้น เช่น ไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซเนกา สำหรับผู้ผลิตอื่นที่ไม่มีบริษัทลูกหรือตัวแทนในประเทศไทย ผู้ผลิตรายนั้นต้องตั้งผู้แทนและให้ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียน จากการหารือกรณีกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนเรียกร้องสิทธิให้ซื้อวัคซีน ได้ข้อสรุปโดยการแบ่งวัคซีนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) วัคซีนที่รัฐจัดหา 2) วัคซีนทางเลือก ที่ได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนขึ้นมาร่วมพูดคุยหาแนวทางจัดหาวัคซีนทางเลือกอีกประมาณ 10 ล้านโดสหรือมากกว่า เพิ่มเติมจากวัคซีนที่รัฐจัดหา โดยให้ได้ข้อสรุปภายใน 30 วัน ถ้าได้ตรงนี้มาเพิ่มก็จะครอบคลุมประชากรประมาณ 40 ล้านคน หรือราวร้อยละ 60 – 70 ของประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นตามหลักวิชาการทางการแพทย์ในการป้องกันโรค นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามไว้รองรับผู้ป่วยให้เพียงพอ แบ่งเบาภาระของโรงพยาบาล โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เน้นให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่หนักมากให้กระจายไปยังโรงพยาบาลสนาม โดยรูปแบบของโรงพยาบาลสนามจะมีทั้งพื้นที่ที่กำหนดขึ้นใหม่แต่อยู่ในเขตโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบางขุนเทียน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ หรือจะเป็นพื้นที่สนามกีฬาก็มีด้วย อีกส่วนก็คือพื้นที่ของโรงแรมที่ใช้กักตัวกลุ่มเสี่ยง จะนำมาปรับใช้ประโยชน์เป็นโรงพยาบาลสนามได้ ทั้งนี้ได้กำชับสาธารณสุขในการปลดล็อกกฎระเบียบเกี่ยวกับการรับผู้ป่วยโควิดและการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนภายในประเทศไทยที่ดำเนินการโดยสยามไบโอไซเอนซ์ว่า ได้ผลเป็นที่พอใจ ซึ่งขณะนี้ได้ทยอยผลิตวัคซีนตั้งแต่ระดับต้นน้ำ และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพวัคซีน ณ ห้องปฏิบัติการอ้างอิงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะรู้ผลในเร็ว ๆ นี้ สำหรับพี่น้องประชาชนที่ต้องการลงทะเบียนฉีดวัคซีน ขณะนี้เราเตรียมเปิด LINE official Account ชื่อว่า “หมอพร้อม” โดยจะเปิดให้เข้าไปลงทะเบียนภายในเดือนพฤษภาคม โดยจะใช้อย่างครอบคลุมในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่วัคซีนแอสตราเซเนกาเข้ามาพอดี ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนทราบถึงสิทธิการจองวัคซีน การนัดหมาย การติดตามอาการหลังการฉีด การนัดหมายฉีดครั้งที่ 2 และยังสามารถออกใบรับรองการรับวัคซีนในรูปแบบดิจิทัลเพื่อใช้อ้างอิงต่อไปได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่ารัฐบาลจะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหานี้ และขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมมือกันอีกครั้ง เพื่อฝ่าฟันวิกฤตไปด้วยกัน ……………………………………… กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรชี้แจงประเด็นไม้พะยูงของกลาง
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 กรมศุลกากรชี้แจงประเด็นไม้พะยูงของกลาง เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2564 ช่องเวิร์คพอยท์ 23 รายการบรรจงชงข่าว นำเสนอประเด็นนักธุรกิจชาวลาวขอคืนไม้พะยูง 160 ล้าน หลังโดนอายัด 16 ปี โดยมีการกล่าวอ้างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่ยังไม่สามารถคืนไม้พะยูงของกลางแก่ผู้ที่อ้างกรรมสิทธิ์ได้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 สถานีโทรทัศน์ช่องเวิร์คพอยท์ 23 ในรายการ “บรรจงชงข่าว” ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับ “นักธุรกิจชาวลาวขอคืนไม้พะยูง 160 ล้าน หลังโดนอายัด 16 ปี” โดยมีการกล่าวอ้างถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ที่ยังไม่สามารถคืนไม้พะยูงของกลางแก่ผู้ที่อ้างกรรมสิทธิ์ได้ นายชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร กรมศุลกากร ได้เปิดเผยว่า กรณีไม้พะยูงของกลางดังกล่าว เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2549 โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่สถานทูตลาวประจำประเทศไทย ผู้ขนส่งสินค้าผ่านแดน และเจ้าของตู้สินค้า ร่วมกันตรวจสอบไม้พะยูงผ่านแดนบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 11 ตู้ ที่อยู่ในอารักขาของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตามที่ได้รับแจ้งขออายัดจากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดมุกดาหาร ในเบื้องต้น ไม่พบตรา ปมล. ซึ่งเป็นตราป่าไม้ของลาว พบเพียงตราอักษร ต ซึ่งเป็นตราป่าไม้ของไทยประทับไว้เพียงบางท่อน จึงสันนิษฐานว่า ไม้ดังกล่าวถูกลักลอบตัดในไทย และปลอมใบอนุญาตผ่านแดน ต่อมา เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 7 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเพราะพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง โดยไม่ได้ขอให้ศาลริบไม้ของกลาง แต่แจ้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดการเกี่ยวกับของกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 อย่างไรก็ดี กรมป่าไม้ได้รื้อฟื้นคดี เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่ โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม สำนักงานอัยการสูงสุดจึงแจ้งให้ด่านศุลกากรเก็บรักษาไม้ไว้จนกว่าคดีอาญาจะถึงที่สุด ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ที่ 3665 - 3666/2562 พิพากษาแก้ โดยให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับไม้ของกลางแต่อย่างใด เป็นเหตุให้มีบุคคล/นิติบุคคล ยื่นหนังสือต่อกรมศุลกากรเพื่ออ้างสิทธิในการดำเนินการเกี่ยวกับไม้ของกลางดังกล่าว รวม 7 ราย ดังนี้ 1. นายสอนแก้ว สิทธิไช อ้างว่า เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนวิสาหกิจส่วนบุคคล โรงเลื่อยพงสะหวัน 2. นายคำสะไหว พมมะจัน อ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจากผู้อำนวยการบริษัท วิสาหกิจส่วนบุคคล พงสะหวัน อุตสาหกรรมไม้ จำกัด 3. บริษัท ที.แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ (1991) จำกัด ผู้ดำเนินการพิธีการศุลกากรผ่านแดน 4. นายสมสัก แก้วผาลี อ้างว่า เป็นผู้รับมอบอำนาจจาก สปป.ลาว 5. บจก. ที่ปรึกษากฎหมายยูเนี่ยนลอว์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายคำสะไหวฯ 6. นางสาวิตรี นันท์ภิวัฒน์ อ้างว่า เป็นผู้รับมอบอำนาจจากวิสาหกิจส่วนบุคคลพงสะหวันอุตสาหกรรมไม้ 7. นายสุเทพ อุ่นศรี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นางอรัญญา อุปัติสิงห์ ผู้ประกอบกิจการนำเข้าไม้จากลาว กรมศุลกากร พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การส่งมอบไม้พะยูงของกลางคืนให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงและเป็นไปด้วยความรอบคอบ ถูกต้องตรงตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลของอนุสัญญาบาร์เซโลนาที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามโดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้กับประเทศที่ไม่มีพรมแดนออกสู่ทะเล ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา ความตกลงฯ กำหนดให้ ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าผ่านแดนและผู้ประกอบการขนส่งสินค้าผ่านแดนต้องได้รับอนุญาตและรับรองจากรัฐบาลของภาคีคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย คณะรัฐมนตรีจึงได้ลงมติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 ราย และบริษัทเอกชนจำนวน 3 ราย เป็นผู้รับจัดการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปสู่ สปป.ลาว โดยคณะรัฐมนตรี ลงมติให้ บริษัท ที.แอล.เอ็นเตอร์ไพร์ส (1991) จำกัดเป็นผู้รับจัดการขนส่งสินค้าผ่านแดน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2534 อีกทั้ง เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่านแดนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 รวมทั้งอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับมีบัญชาของนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้ 1. หนังสือสำนักเลขานายกรัฐมนตรี ที่ นร 0402/1962 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560สรุปได้ว่า กรณีนี้ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วว่า หากผิด ก็ยึดได้เลย หากคืนก็คืนให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่คืนให้กับบริษัทฯ 2. หนังสือสำนักเลขานายกรัฐมนตรี ที่ นร 0402/2039 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564สรุปได้ว่ามอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อแจ้งความคืบหน้าของคดีให้นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทราบ พร้อมขอทราบแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจากนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กรมศุลกากรจึงมีหนังสือถึงกรมเอเชียตะวันออกเพื่อขอความอนุเคราะห์กรมเอเชียตะวันออกแจ้งไปยังสถานทูตลาวในการประสานรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารการผ่านแดนและเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง รวมถึงดำเนินการรับมอบไม้พะยูงของกลางและปฏิบัติพิธีการศุลกากรให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่อไป นายชูชัย อุดมโภชน์ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของเนื้อหาข่าวรายการบรรจงชงข่าว โดยนายบรรจง ชีวมงคลกานต์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 เวลา 17.00 น. ที่มีข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง กรมศุลกากรจึงขอชี้แจงในแต่ละประเด็น ดังนี้ 1. กรณีที่นายคำสะไหวกล่าวอ้างว่า สงสัยการทำงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่กล่าวถึงเบื้องต้นว่าทำไมต้องทำหนังสือคัดค้านและทำไมถึงไม่เห็นดีด้วย ในเมื่อศาลพิพากษาฎีกาบอกชัดเจนเรื่องเอกสารต่าง ๆ ที่เขาถาม และ บก.ปทส. เขาก็ตรวจสอบถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย มีคณะกรรมการและก็ให้คืนแล้ว เขาก็ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ข้อเท็จจริงคือ ศาลยกฟ้องในคดีปลอมแปลงเอกสาร โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม และศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่มิได้มีคำสั่งคืนไม้ของกลางแต่อย่างใด 2. กรณีที่นายคำสะไหวกล่าวอ้างว่า กรมศุลกากรก็มีหนังสือไปที่ ทสจ. ที่มุกดาหาร ก็ถึงได้เกิดเรื่องเมื่อวันที่ 24 - 25 ที่ผ่านมามีการเรียกรับเงิน ประเด็นนี้ กรมศุลกากร ขอเรียนว่า กรมศุลกากรและหน่วยงานในสังกัดไม่เคยมีหนังสือถึงสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดมุกดาหาร แต่อย่างใด กรณีเป็นการกล่าวเท็จทั้งสิ้น 3. กรณีนายคำสะไหวกล่าวอ้างว่า ปริมาณไม้ จำนวนไม้ก็ลดหายไป กรมศุลกากร ขอเรียนว่า ไม้ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ บริษัท เอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง ยืนยันว่า ยังอยู่ครบถ้วนถูกต้อง ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรลงพื้นที่ตรวจสอบ เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 4. กรณีนายคำสะไหวขอเข้าตรวจสอบดูไม้พะยูงของกลาง โดยอ้างว่า มีคำสั่งจากที่ปรึกษาฯ กรมศุลกากร ห้ามเข้าไปดูไม้ ห้ามใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องไม้ โดยเฉพาะชื่อผมที่ระบุในการรับไม้ ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว กรมศุลกากรขอเรียนว่า ไม้พะยูงของกลางดังกล่าวมีผู้โต้แย้งสิทธิถึง 7 ราย ยังไม่ทราบว่า ผู้ใดเป็นเจ้าของที่แท้จริง การขอเข้าดูและตรวจวัดไม้ จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะยังไม่ทราบว่า ไม้ของกลางเป็นของผู้ใด ดังนั้น ควรรอความชัดเจน หากมีผู้ไม่สุจริตมาตรวจสอบดูไม้และถ่ายรูปนำไปเสนอขายที่ต่างประเทศ จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.ให้ทุกจังหวัด เปิด EOC ดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ปลัด สธ.ให้ทุกจังหวัด เปิด EOC ดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งด้านอุบัติเหตุและโควิด 19 รองรับผู้เดินทาง/นักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่งโมง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งด้านอุบัติเหตุและโควิด 19 รองรับผู้เดินทาง/นักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่งโมง วันนี้ (10 เมษายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและติดตามความพร้อมการรับมืออุบัติเหตุฉุกเฉินและโรคโควิด 19 ช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2564 ที่ โรงพยาบาลชลบุรี พร้อมเยี่ยมจุดตรวจ/จุดบริการประชาชนบางทราย อ.เมืองชลบุรี,จุดตรวจ/จุดบริการประชาชนหนองตำลึง อ.พานทองและให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้ทุกโรงพยาบาลเตรียมพร้อมศูนย์รับแจ้งเหตุ หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน จัดทีมกู้ชีพระดับพื้นฐานและระดับสูงประจำจุดตรวจ/จุดบริการในถนนสายหลัก เนื่องจากช่วงเทศกาลมีการเดินทางใช้รถใช้ถนนมากกว่าช่วงปกติ โอกาสเกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจมีมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถปฏิบัติงานได้ทันที สำหรับ จ.ชลบุรี ในช่วงสงกรานต์ ปี 2563 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 588 ครั้งได้รับบาดเจ็บ 573 ราย เสียชีวิต 15 ราย ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล 73 ราย ปัจจัยการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ใช้รถไม่สวมหมวกกันน็อคและไม่คาดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงดื่มสุราขณะขับขี่ นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลชลบุรี มีความพร้อมทั้งห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่อื่นๆ สำรองเตียง ยาเวชภัณฑ์ เลือด ห้องผ่าตัด ไอซียู อุปกรณ์การแพทย์ ศูนย์ส่งต่อ รถพยาบาลพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่งโมงนอกจากนี้ ยังได้รณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนและทางน้ำ มีจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 23 จุด,ด่านชุมชน 37 จุด และเพิ่มจุดบริการสำคัญ 5 จุด ได้แก่ ปั๊มน้ำมัน ปตท. ถนนสุขุมวิท, แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 1 หน้าหมวดการทางพนัสนิคม, แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 2หน้าหมวดการทางบางละมุง,แขวงทางหลวงชนบทชลบุรี และแยกเกาะโพธิ์ อ.เกาะจันทร์ สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 โรงพยาบาลชลบุรี มีห้องความดันลบและ Cohort ward รองรับผู้ป่วยได้ 89 เตียง และผู้ป่วยเด็ก 8 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับรักษาเกือบเต็ม ได้เปิดหอผู้ป่วยเพิ่มเติมอีก 22 เตียง และที่ศูนย์อนามัยชลบุรี อีก 28 เตียง รวมทั้งเปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ที่สถานีขนส่งใหม่ 80 เตียง และศูนย์ฝึกค่ายทหาร ศอ.รฝ. สัตหีบ 320 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ระลอกเดือนเมษายน 2564 ข้อมูลวันที่ 2-10 เมษายน 2564 ณ เวลา 06.30 น. พบผู้ติดเชื้อรวม 264 ราย ส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ อ.เมืองชลบุรี โดยกลุ่มเสี่ยงจากสถานบันเทิงได้ตรวจคัดกรองไปแล้วกว่า 4,000 ราย “ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เสียสละเวลาช่วงวันหยุดยาว มาช่วยกันปฏิบัติงานดูแลประชาชนตลอดเทศกาลสงกรานต์ ขอเป็นกำลังใจ และที่สำคัญขอให้เน้นมาตรการป้องกันโควิด 19 ทุกครั้งที่ลงปฏิบัติงาน ณ จุดเกิดเหตุ และในโรงพยาบาลด้วย สำหรับประชาชนขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวัง หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งทางโทรศัพท์หมายเลข 1669” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว **********************************10 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พร้อมให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พร้อมให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยแผนยกระดับการให้บริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมการจัดหางาน เร็วๆนี้ ต่อยอดระบบเดิม เปิดตัวระบบใหม่ ลดขั้นตอนยืนยันตัวตนซ้ำ และยกเลิกการเรียกรับเอกสารที่ออกโดยราชการเพิ่ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยแผนยกระดับการให้บริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมการจัดหางาน เร็วๆนี้ ต่อยอดระบบเดิม เปิดตัวระบบใหม่ ลดขั้นตอนยืนยันตัวตนซ้ำ และยกเลิกการเรียกรับเอกสารที่ออกโดยราชการเพิ่ม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำต่อการเข้าถึงข้อมูล การบริการ และสวัสดิการของภาครัฐสำหรับประชาชน โดยยึดแนวปฏิบัติตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผลักดันให้ทุกส่วนราชการปรับเปลี่ยนวิธีการให้บริการภาครัฐ ให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป "กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผน สู่การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการทำงานและการให้บริการของภาครัฐจะปรับเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิทัลและใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก โดยประชาชนสามารถติดต่อ ขออนุญาต จดทะเบียน แจ้ง ขอรับบริการ รับ-จ่ายเงินทางออนไลน์ จัดส่ง-ขอรับเอกสารกับหน่วยงานของกระทรวงแรงงานทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสามารถยื่นเอกสารต้นฉบับได้โดยไม่ต้องจัดทำสำเนาหรือรับรองสำเนา ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายลดขั้นตอนการติดต่อราชการได้เป็นอย่างดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานมีภารกิจหลากหลายด้านและมีความแตกต่างกัน โดยปัจจุบันมีการให้บริการตามภารกิจต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ (E – Services) ได้แก่ 1. ผู้ที่ต้องการหางานทำ หรือนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการหาคนทำงาน สามารถใช้บริการได้ที่ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com 2. ขึ้นทะเบียน/รายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ใช้บริการได้ที่ empui.doe.go.th 3. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) ได้ที่ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com 4. ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง /แจ้งการเดินทางกลับไปทำงานต่างประเทศ ใช้บริการได้ที่ toea.doe.go.th 5. แจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ทาง Application ชื่อ e-inform และ 6. ยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานคนต่างด้าว (3 สัญชาติ) ที่ e-workpermit.doe.go.th “ สำหรับปี 2564 กรมการจัดหางานมีเป้าหมายเปิดตัวโครงการ Job Demand Open Platform โดยใช้ระบบ DOE Data center จัดทำฐานข้อมูลกลาง เพื่อรวบรวมข้อมูลระบบบริการของกรมการจัดหางานทุกภารกิจซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการจับคู่งานโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการให้บริการด้วยระบบ Single Sign on หรือการยืนยันตัวบุคคลเพียงครั้งเดียว และสามารถใช้บริการระบบหลายระบบได้ ซึ่งจะลดขั้นตอนการติดต่อและพิสูจน์ตัวตนกับกรมการจัดหางาน “ นายไพโรจน์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบอาการตาแดง-ผื่นขึ้น ผู้ติดเชื้อโควิดจากผับบาร์ เตือนนักเที่ยวรีบพบแพทย์
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 สธ.พบอาการตาแดง-ผื่นขึ้น ผู้ติดเชื้อโควิดจากผับบาร์ เตือนนักเที่ยวรีบพบแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดระลอกเมษายน มีผู้ติดเชื้อแล้ว 2,795 ราย เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง 1,016 ราย ใน 40 จังหวัด พบตาแดง ผื่นขึ้นในผู้ติดเชื้อหลายราย เตือนผู้ไปเที่ยวผับบาร์หากมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ ย้ำสงกรานต์ลดกิจกรรม ใส่หน้ากาก ไม่ไปสถาน กระทรวงสาธารณสุข เผยโควิดระลอกเมษายน มีผู้ติดเชื้อแล้ว 2,795 ราย เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง 1,016 ราย ใน 40 จังหวัด พบตาแดง ผื่นขึ้นในผู้ติดเชื้อหลายราย เตือนผู้ไปเที่ยวผับบาร์หากมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ ย้ำสงกรานต์ลดกิจกรรม ใส่หน้ากาก ไม่ไปสถานที่เสี่ยง วันนี้ (10 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 789 รายมาจากระบบเฝ้าระวัง 522 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 259 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 8 ราย รักษาหายเพิ่ม 33 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่วนการติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 1-10 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 2,795 ราย หายแล้ว 735 ราย และเสียชีวิตสะสม 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายใหม่เป็นชายไทยอายุ 68 ปีที่จ.นครปฐม มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รักษาโรคโควิดหายแล้ว แต่เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนไตวาย นพ.โอภาสกล่าวว่า สถานการณ์โควิดขณะนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด เชื่อมโยงสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ ที่มีผู้ติดเชื้อรวม 1,016 ราย ระบาดข้ามจังหวัดไปใน 40 จังหวัด ปัจจัยเสี่ยงคือคนหนุ่มสาวที่ติดเชื้อไปเที่ยวสถานบันเทิงหลายแห่งในคืนเดียว รวมทั้งเมื่อกลับภูมิลำเนาก็ไปเที่ยวสถานบันเทิงอีก ทำให้แพร่กระจายมาก ร่วมกับสายพันธุ์อังกฤษที่แพร่รวดเร็วขึ้น จากการตรวจผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการแต่มีเชื้อในลำคอจำนวนมาก อย่างไรก็ตามสายพันธุ์นี้ไม่ได้รุนแรงขึ้น ยาที่ใช้ในการรักษายังมีประสิทธิภาพ และไม่กระทบกับวัคซีน โดยที่อังกฤษซึ่งเป็นต้นกำเนิดการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ายังสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ “จากการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อจากสถานบันเทิง พบหลายรายมีอาการตาแดง น้ำมูกไหล ไม่มีไข้ บางรายมีผื่นขึ้น ดังนั้นหากผู้ที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงมีอาการเหล่านี้ขอให้ไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนรพ.เอกชนถ้าอยู่ร่วมโครงการของ สปสช.ตรวจฟรีเช่นกัน ซึ่งอาการใหม่ที่พบเพิ่มเติมจะเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์อังกฤษหรือไม่ ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อน” นพ.โอภาสกล่าว นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ช่วงสงกรานต์ขอให้ลดกิจกรรมที่เสี่ยง ไม่ไปสถานที่เสี่ยง ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ใส่หน้ากากเวลาพูดคุย หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารร่วมกับคนจำนวนมาก เว้นระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ หากไปเยี่ยมผู้สูงอายุ ขอให้ใส่หน้ากากทุกครั้ง เพราะติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต นอกจากนี้ ขอให้ตรวจสอบมาตรการจังหวัดปลายทางด้วย แม้ ศบค.จะไม่ห้ามการเดินทาง ไม่ต้องกักตัว แต่จังหวัดสามารถออกมาตรการเข้มกว่าได้ สำหรับวัคซีนโควิดที่ประเทศไทยนำมาใช้ยืนยันว่ามีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยผ่านมาตรฐานองค์การอนามัยโลก และการตรวจสอบจากคณะผู้เชี่ยวชาญไทย เช่น วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าป้องกันการติดเชื้อร้อยละ 60 ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการฉีดวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 9 เมษายน 2564 ฉีดแล้ว 537,380 โดส แบ่งเป็นฉีดเข็มแรก 470,301 ราย ฉีดครบ 2 เข็ม 67,079 ราย การฉีดวัคซีนไม่ได้ล่าช้า มีประสิทธิภาพ มีการจัดการฉีดวัคซีนที่ดี เช่น ชลบุรีฉีดวันละ 1 หมื่นโดส ภูเก็ตวันละ 1.4 หมื่นโดส ส่วนวัคซีนซิโนแวค 1 ล้านโดสที่ถึงไทยวันนี้ หลังตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วจะกระจายไปตามแผน ทั้งกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้าอื่นๆ พื้นที่ที่มีการระบาด จังหวัดที่มีแผนเปิดจังหวัด เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 ธ.ก.ส. เปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ธ.ก.ส. เปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 หนุนสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต พื้นที่เป้าหมาย 46 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับความคุ้มครอง กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช ธ.ก.ส. เปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 หนุนสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต พื้นที่เป้าหมาย 46 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับความคุ้มครอง กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย และ กรณีเป็นลูกค้าที่ใช้สินเชื่อกับ ธ.ก.ส. จะได้รับเงินสมทบค่าเบี้ยประกันภัยฟรี แนะเกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม รับมือสภาวะอากาศโลกแปรปรวน เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและลดความเสี่ยงในการผลิต โดยเปิดรับทำประกันภัยแล้วทางแอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” และที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต โดยใช้การประกันภัย เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยคุ้มครองในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า วงเงินคุ้มครองจำนวน 1,260 บาทต่อไร่ และในกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด วงเงินคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ เป้าหมายการทำประกันภัยบนพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ 46 ล้านไร่ สำหรับเงื่อนไขโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เกษตรกรที่เป็นผู้เอาประกันภัยต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2564/65 กับกรมส่งเสริมการเกษตรหรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ซึ่งการรับประกันประกอบด้วย การประกันภัยขั้นพื้นฐาน (Tier 1) สำหรับเกษตรกรลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อ ธ.ก.ส. คิดอัตราค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาท/ไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ความเสี่ยง โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 58 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. สมทบเพิ่มให้ 38 บาทต่อไร่ กรณีสำหรับเกษตรกรทั่วไปและเกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ประสงค์ซื้อเพิ่ม (ส่วนที่เกินสิทธิ์จากที่ธนาคารกำหนด) จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยตามประเภทพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำ อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 55 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ และในพื้นที่เสี่ยงสูง อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกรทั่วไปและเกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ซื้อเพิ่มในอัตรารายละ 55 บาทต่อไร่ ซึ่งโครงการประกันภัยดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงต่ำได้รับประกันภัยฟรี โดยรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยแทน ซึ่งเมื่อประสบภัยจะได้รับการคุ้มครองตามที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสภาวะอากาศของโลกมีความแปรปรวนสูง โดยภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมการผลิต เกษตรกรสามารถทำประกันภัยส่วนเพิ่ม (Tier 2) เพื่อเพิ่มความคุ้มครอง โดยแบ่งตามระดับความเสี่ยง กรณีพื้นที่เสี่ยงต่ำ ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 24 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยง ปานกลาง ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 101 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ การทำประกันภัยส่วนเพิ่มดังกล่าวเกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครอง เมื่อเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มอีกในวงเงิน 240 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 1,500 บาทต่อไร่ และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 750 บาทต่อไร่ ระยะเวลาขายกรมธรรม์ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันสิ้นสุดการขายเป็นรายจังหวัด นายธนารัตน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีภูมิคุ้มกันทางการผลิต ธ.ก.ส. ได้จ่ายสมทบค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกรลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อกับ ธ.ก.ส. โดยทุก ๆ เงินกู้จำนวน 4,000 บาท จะได้รับสิทธิ์สมทบ 38 บาทต่อ 1 ไร่ ซึ่งเมื่อรวมกับเบี้ยประกันภัยที่รัฐบาลสนับสนุนทำให้เกษตรกรผู้กู้ได้รับประภัยโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมถึงเกษตรกรทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ำ ก็จะได้รับการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยจากรัฐทั้งหมดเช่นกัน ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวก ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ประกันภัยฟรี ไม่ต้องมาติดต่อธนาคาร โดย ธ.ก.ส. จะดำเนินการให้ทั้งหมด ส่วนเกษตรกรทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลางและสูง สามารถซื้อประกันภัย ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “BAAC INSURE” โดยเป็นการซื้อประกันภัยด้วยตนเองผ่านสมาร์ทโฟน ได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติ IOS และ Android หรือขอทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ เพียงนำบัตรประชาชนไปติดต่อก็สามารถทำประกันภัยได้ทันที ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านมาตรฐาน ลงพื้นที่ท่าอากาศยานขอนแก่น เตรียมความพร้อมรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลสงกรานต์
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านมาตรฐาน ลงพื้นที่ท่าอากาศยานขอนแก่น เตรียมความพร้อมรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายจรุณ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านมาตรฐาน เดินทางลงพื้นที่ท่าอากาศยานขอนแก่น เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและการเตรียมความพร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยมี ว่าที่ร้อยตรี อัธยา ลาภมาก ผู้อำนวยการท่าอากาศยานขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2564 ณ ท่าอากาศยานขอนแก่น สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านมาตรฐาน ได้ประชุมติดตามการดำเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น ร่วมกับผู้อำนวยการท่าอากาศยานขอนแก่น ผู้แทนบริษัท เอพซิลอน จำกัด ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และผู้แทน บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น(ไทย)จำกัด(มหาชน) ผู้รับจ้างงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาน โดยได้แลกเปลี่ยนปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ซึ่งโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 1,000 คน ต่อชั่วโมง เป็น 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี อาคารจอดรถยนต์เดิม 5 ชั้น รองรับการจอดรถยนต์ได้ 450 คัน เพิ่มการก่อสร้างอาคารจอดรถยนต์หลังใหม่อีก 1 หลัง เป็นอาคาร 7 ชั้น จอดได้ 552 คัน รวมเป็น 1,002 คัน ขณะนี้มีความคืบหน้าของโครงการฯ คิดเป็น 76.49% กำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 นอกจากนี้ ยังได้มอบนโยบายในการเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาน เจ้าหน้าที่สายการบิน ให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด โดยกรมท่าอากาศยานได้มีมาตรการดูแลและอำนวยความสะดวกผู้โดยสารในช่วงเทศกาล ดังนี้ 1.มาตรการดูแลและอำนวยความสะดวก ทั้งในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เที่ยวบิน รถสาธารณะ โดยจะต้องไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่ท่าอากาศยาน 2.มาตรการด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย ให้ท่าอากาศยานดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานทุกเที่ยวบิน พร้อมดูแลอุปกรณ์ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงให้ประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เตรียมแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นและซักซ้อมอยู่เสมอ 3.มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ได้ให้ทุกส่วนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทั้งในส่วนของภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร สายการบิน และรถสาธารณะ ดูแลความสะอาดภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร ด้วยการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดพื้นที่ รถเข็น เก้าอี้ ราวบันได จัดจุดบริการเจลแอลกอฮอล์แก่ผู้โดยสาร เพื่อความสะอาดและสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการเดินทางและตลอดเวลาที่อยู่ภายในท่าอากาศยาน พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิทั้งขาเข้า - ขาออก และต้องเช็คอิน/เช็คเอาท์แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ ทุกครั้งที่ใช้บริการ โดยจะต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ นายจรุณ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ด้านมาตรฐาน พร้อมด้วยผู้อำนวยการท่าอากาศยานขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ได้ร่วมแจกสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา เพื่อเป็นของที่ระลึกแก่ผู้โดยสารตามโครงการ"สงกรานต์กลับบ้านปลอดภัย เดินทางอย่างมั่นใจแบบ New Normal" เพื่อเป็นการต้อนรับผู้โดยสารให้เดินทางปลอดภัยแบบ New Normal ซึ่งท่าอากาศยานขอนแก่น ได้จัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวเนื่องในเทศการสงกรานต์ โดยการสรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อความเป็นสิริมงคล ณ บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า ตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการเว้นระยะห่าง (Social Distancing)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาลตัดสินคดีฉ้อโกงเงินโครงการคนละครึ่งทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ศาลตัดสินคดีฉ้อโกงเงินโครงการคนละครึ่งทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ความคืบหน้าในการดำเนินการกับร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่ สตช. และ ปอศ. เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการดำเนินการกับร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่งว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีแล้วทั้งสิ้น 1,024 รายโดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ. และจะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ศาลแขวงบางบอนมีคำพิพากษากรณีพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีศาลแขวง 10 ฟ้องเจ้าของร้านขายของชำในกรุงเทพมหานครที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 6 ราย ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเงินโครงการคนละครึ่ง โดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 1 เดือนและปรับกระทงละ 5,000 บาท ส่งผลให้เจ้าของร้านได้รับโทษจำคุกรวม 52 เดือนปรับ 260,000 บาทส่วนผู้เกี่ยวข้องได้รับโทษจำคุกคนละ 8-17 เดือนปรับคนละ 40,000-85,000 บาทโดยให้รอลงอาญาโทษจำคุกเป็นเวลา 1ปี นอกจากการดำเนินคดีอาญาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเรียกคืนเงินจากผู้กระทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่งตามจำนวนที่กระทรวงการคลังได้โอนให้ร้านค้าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ซึ่งกรณีร้านขายของชำดังกล่าวจะต้องคืนเงินจำนวน 76,050 บาท ให้กระทรวงการคลัง และจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอื่นของกระทรวงการคลังได้อีก โฆษกกระทรวงการคลังได้ย้ำว่า กระทรวงการคลังได้มีการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการต่างๆ ของกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เช่น โครงการเราชนะ เป็นต้น หากตรวจพบการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ จะมีการระงับสิทธิและดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงการคลังปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เสียสิทธิการเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของกระทรวงการคลังในอนาคตและถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 35273548 3509
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 การใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ ระหว่างวันที่ 8 – 26 มี.ค.2564 และตรวจสอบสถานะแล้วพบว่าผ่านเกณฑ์การคัดกรองคุณสมบัติ สามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.2564 เป็นต้นไป นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 8 – 26 มีนาคม 2564 และตรวจสอบสถานะแล้วพบว่าผ่านเกณฑ์การคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนโดยยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (Facial Recognition) ซึ่งจะสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวจะได้รับวงเงินสิทธิ์จำนวน 7,000 บาท และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯณวันที่ 9 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคนได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 72,289 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้วจำนวน16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน109,289 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 12,036ล้านบาททำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 193,614 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3423 3424 3425 3427 และ 3429 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 021111122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แจ้งพนักงาน สนญ.พนักงานบริษัทในเครือ พนักงาน Outsource และนศ.ฝึกงาน ติดโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 “กรุงไทย” แจ้งพนักงาน สนญ.พนักงานบริษัทในเครือ พนักงาน Outsource และนศ.ฝึกงาน ติดโควิด-19 ธนาคารกรุงไทยได้รับแจ้งข้อมูลว่า พนักงานธนาคาร พนักงานบริษัทในเครือพนักงาน Outsource และนักศึกษาฝึกงาน ที่ปฏิบัติงานอาคารสำนักงานใหญ่นานาเหนือ อาคารสุขุมวิท อาคารสามย่านมิตรทาวน์ อาคารไสวบราวน์ 2 และอาคารสาขาท่าดินแดง ติดโควิด-19 รวมจำนวน 9 ราย ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า ธนาคารได้รับแจ้งข้อมูลว่า พนักงานธนาคาร พนักงานบริษัทในเครือพนักงาน Outsource และนักศึกษาฝึกงาน ที่ปฏิบัติงานอาคารสำนักงานใหญ่นานาเหนือ อาคารสุขุมวิท อาคารสามย่านมิตรทาวน์ อาคารไสวบราวน์ 2 และอาคารสาขาท่าดินแดง ติดโควิด-19 รวมจำนวน 9 ราย ปัจจุบันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งนี้ พนักงานธนาคาร ติดโควิด-19 จำนวน 5 ราย ดังนี้ รายที่ 1 ปฏิบัติงานที่ชั้น 26 อาคารสุขุมวิท มีประวัติไปร้านอาหารที่มีผู้ติดเชื้อ รายที่ 2 ปฎิบัติงานที่ชั้น 10 อาคารนานาเหนือ บุคคลใกล้ชิดมีประวัติไปเที่ยวผับ รายที่ 3 ปฎิบัติงานที่ชั้น 7 อาคารสุขุมวิท มีประวัติไปรับประทานอาหารที่ย่านทองหล่อ รายที่ 4 ปฏิบัติงานที่ชั้น 8 อาคารนานาเหนือ มีประวัติพบปะเพื่อนที่ไปสังสรรค์ในย่านทองหล่อ รายที่ 5 ปฏิบัติงานที่ชั้น 25 อาคารสุขุมวิท เพื่อนที่อยู่ร่วมกันติดโควิด-19 พนักงานบริษัทในเครือ พนักงาน Outsource และนักศึกษาฝึกงานของธนาคาร ติดโควิด-19 จำนวน 4 ราย ดังนี้ รายที่1 พนักงาน Outsource ปฏิบัติงานที่อาคารสุขุมวิทชั้น 3-4 และอาคารสามย่านมิตรทาวน์ มีประวัติไปสถานที่เดียวกันกับไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อจากย่านทองหล่อ รายที่ 2 พนักงาน Outsource ปฏิบัติงานที่อาคารสุขุมวิทชั้น 3-4และอาคารสามย่านมิตรทาวน์ มีประวัติรับประทานอาหารที่ย่านทองหล่อ รายที่ 3พนักงาน บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS) ปฏิบัติงานที่อาคารไสวบราวน์ 2 มีประวัติรับประทานอาหารที่ย่านทองหล่อ รายที่ 4นักศึกษาฝึกงาน สาขาท่าดินแดง มีประวัติพบปะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ธนาคารจึงได้ดำเนินการดังนี้ 1.ให้พนักงานที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพนักงานกลุ่มกล่าว เข้ารับการตรวจหาเชื้อ และกักตัวเป็นเวลา 14 วันแล้ว โดยธนาคารจะติดตามอาการของพนักงานอย่างใกล้ชิดต่อไป2. แจ้งไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเข้ามาดำเนินการฉีดฆ่าเชื้อ ณ อาคารสำนักงานใหญ่นานาเหนือ อาคารสุขุมวิท อาคารสามย่านมิตรทาวน์ อาคารไสวบราวน์ 2 และอาคารสาขาท่าดินแดง ธนาคารตระหนักถึงความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าเป็นสำคัญ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40880
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เปิดงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ปลัด วธ. เปิดงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานนักขัตฤกษ์นมัสการพระพุทธไสยาสน์ในกิจกรรมงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ประจำปี พุทธศักราช 2564 ปลัด วธ. เปิดงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” หนุนสร้างความรู้ ความเข้าใจคุณค่าสาระที่สำคัญของงานประเพณีสงกรานต์ ปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทยแก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานนักขัตฤกษ์นมัสการพระพุทธไสยาสน์ในกิจกรรมงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ประจำปี พุทธศักราช 2564 โดยมี พระเทพวชิรโมลี รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม คณะสงฆ์ นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการมูลนิธิ “ทุนพระพุทธยอดฟ้า” ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กรรมการมูลนิธิ “สิริวัฒนภักดี” ผู้บริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ และชาวชุมชนท่าเตียนเข้าร่วม ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เช่น งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมากและมีการสัมผัสใกล้ชิด งดกิจกรรมเล่นสาดน้ำ ประแป้ง ปาร์ตี้โฟม รวมทั้งให้จัดกิจกรรมสอดคล้องกับแนวทางและมาตรการเทศกาลสงกรานต์ 2564 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งปีนี้ วธ. ได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนจัดกิจกรรมโดยยึดตามรูปแบบสาระและคุณค่าที่แท้จริงตามประเพณีสงกรานต์เพื่อร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมไทยตามความเหมาะสมตามประเพณีนิยม แต่งกายด้วยชุดสุภาพ ใช้ผ้าไทยหรือผ้าท้องถิ่น สรงน้ำพระพุทธรูป ทำบุญตักบาตร รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ปลอดอบายมุขและไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อย่างเคร่งครัด ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ได้ให้ความร่วมมือจัดงานสงกรานต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ประจำปี พุทธศักราช 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ขึ้นระหว่างวันที่ 10-15 เมษายน 2564 มีกิจกรรม ได้แก่ การทำบุญไหว้พระเพื่อเสริมสิริมงคล การสรงน้ำพระพุทธรูป การไหว้พระประจำวันเกิด ทำบุญประจำราศี ก่อพระเจดีย์ทราย การสอนทำพวงมาลัย ในการถวายพระ การถวายสังฆทานและการออกร้านจำหน่ายสินค้า “ขอขอบคุณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือจัดกิจกรรมสงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย นับเป็นการร่วมกันสืบสานคุณค่าประเพณีสงกรานต์ อีกทั้งเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมตามแบบแผนที่ดีงาม ทำให้เกิดการเผยแพร่และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของไทยให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในคุณค่าสาระที่สำคัญของงานประเพณีสงกรานต์ ช่วยปลูกฝังค่านิยม ความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศด้วย” ปลัด วธ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางฉลองเทศกาลสงกรานต์/กลับภูมิลำเนา วอนเคารพกฎจราจร มีน้ำใจเพื่อนร่วมทางและร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT ป้องกันโควิด – 19
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางฉลองเทศกาลสงกรานต์/กลับภูมิลำเนา วอนเคารพกฎจราจร มีน้ำใจเพื่อนร่วมทางและร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT ป้องกันโควิด – 19 นายกฯ ห่วงใยประชาชนเดินทางฉลองเทศกาลสงกรานต์/กลับภูมิลำเนา วอนเคารพกฎจราจร มีน้ำใจเพื่อนร่วมทางและร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT ป้องกันโควิด – 19 วันนี้(10เม.ย.64)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยประชาชนที่กำลังจะเดินทางฉลองสงกรานต์ที่ภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆขอให้มีสติในการขับขี่พาหนะและยานยนต์ต่างๆมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง เคารพกฎหมายกฎจราจรเมาไม่ขับลดอุบัติเหตุและความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิ้นพร้อมขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่เสียสละเวลาช่วงวันหยุดเทศกาลมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนให้เดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพด้วย ทั้งนี้รัฐบาลยังได้ยกเว้นการจัดเก็บค่าทางหลวงพิเศษหมายเลข7และทางหลวงพิเศษหมายเลข9 ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร(ถนนกาญจนาภิเษก)ตอนบางปะอิน–บางพลีและตอนพระประแดง–บางแคช่วงพระประแดง–ต่างระดับบางขุนเทียนทั้งขาเข้าและออกกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมทั้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษใน2สายคือทางพิเศษบูรพาวิถี(บางนา-ชลบุรี)และทางพิเศษกาญจนาภิเษก(บางพลี-สุขสวัสดิ์)ตั้งแต่เวลา00.01นาฬิกาของวันที่9เมษายน2564ถึงเวลา24.00นาฬิกาของวันที่16เมษายน2564 นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์)หมายเลข6 บางปะอิน-นครราชสีมาช่วงปากช่อง-สีคิ้วได้ฟรีโดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่9 - 19เมษายน2564นี้อีกด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมนายกรัฐมนตรียังได้กำชับหน่วยงานบูรณการงานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในการเดินทางซึ่งกรมทางหลวงได้จัดตั้งจุดบริการประชาชนทั่วประเทศ147จุดสำหรับประชาชนผู้ใช้เส้นทางสามารถแวะพักหรือสอบถามเส้นทางรวมทั้งบางจุดบริการยังมีเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุด้วยขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์จุดตรวจกวดขันวินัยจราจรกว่า3,000จุดทั่วประเทศซึ่งมีจัดตั้งจุดตรวจสำคัญหรือเป็นจุดยุทธศาสตร์312 จุดทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครจังหวัดต่างๆเพื่อให้พี่น้องประชาชนเดินทางด้วยปลอดภัยขณะเดียวกันก็ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด– 19 หรือมาตรการDMHTT อยู่ห่างไว้ ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าหมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิใช้ไทยชนะและหมอชนะอย่างเคร่งครัด การจัดกิจกรรมต้องยึดแนวทางฐานวิถีชีวิตใหม่(New Normal)อย่างเคร่งครัด -------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณี COVID – 19 ฉบับที่ 2/2564
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณี COVID – 19 ฉบับที่ 2/2564 จากกรณีที่กรรมการผู้จัดการ ธอส. พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชน รวม 66 คน ได้เข้าชมการแสดงดนตรีของ นายอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข หรือ “แสตมป์” เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564 ก่อนที่ “แสตมป์” จะประกาศว่ามีผู้ติดเชื่อโควิด-19 จากกรณีที่ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชน รวม 66 คน ได้เข้าชมการแสดงดนตรีของ นายอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข หรือ “แสตมป์” เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เกาะช้าง จ.ตราด ก่อนที่ “แสตมป์” จะประกาศว่า มีผู้ติดเชื่อโควิด-19 เข้าชมการแสดงดนตรีของตนเองที่กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 จึงเดินทางไปตรวจและพบเชื้อโควิด-19 เมื่อช่วงค่ำของวันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 โดยมีรายละเอียดตามที่ธนาคารได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ นั้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ภายหลังจากได้รับแจ้งจาก “แสตมป์” ว่าตรวจพบเชื้อโควิด-19 กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชนที่เข้าร่วมรับชมการแสดงดนตรีดังกล่าวได้ทยอยเดินทางไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาล ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ล่าสุด ณ วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 เวลา 15.30 น. ได้รับทราบผลการตรวจครบทุกคนแล้ว ซึ่งปรากฏว่า “ผลการตรวจเป็นลบ หรือ ตรวจไม่พบเชื้อ โควิด-19” อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร พนักงานธนาคาร และสื่อมวลชนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวจะยังคงกักตัวที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สังเกต เฝ้าระวัง ติดตามอาการของตนเองเพิ่มเติมตามหลักปฏิบัติด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นจะตรวจหาเชื้อซ้ำรอบที่ 2 เมื่อครบระยะเวลาการกักตัว 14 วัน เพื่อยืนยันผลให้เกิดความแน่ใจว่าไม่มีเชื้อในร่างกาย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอเรียนว่า แม้บุคลากรของธนาคาร สื่อมวลชน รวมถึงพนักงานของโรงแรมในพื้นที่เกาะช้างจะตรวจไม่พบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากกรณีดังกล่าว ธนาคารต้องขออภัยอย่างยิ่งต่อผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้เพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยพิจารณาเลื่อน ยกเลิก หรือเปลี่ยนรูปการแบบกิจกรรมต่าง ๆ ภายในธนาคาร พร้อมกับงดกิจกรรมหรือการเดินทางที่มีการรวมกลุ่มของคนเป็นจำนวนมาก และกำชับให้บุคลากรของธนาคารทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำร่างขอบเขตของงาน กรณีหน่วยงานของรัฐกำหนดเกณฑ์การพิจารณา โดยใช้เกณฑ์ราคาประกอบเกณฑ์อื่น
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำร่างขอบเขตของงาน กรณีหน่วยงานของรัฐกำหนดเกณฑ์การพิจารณา โดยใช้เกณฑ์ราคาประกอบเกณฑ์อื่น ตั้งแต่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ หน่วยงานของรัฐได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ราคาประกอบเกณฑ์อื่นเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ชนะการยื่นข้อเสนอ นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ หน่วยงานของรัฐได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ราคาประกอบเกณฑ์อื่นเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ชนะการยื่นข้อเสนอ แต่ในการกำหนดเงื่อนไขในการจัดทำเอกสารประกวดราคาหรือหนังสือเชิญชวน พบว่าหน่วยงานของรัฐกำหนดเพียงแค่เกณฑ์คุณภาพหลัก โดยมิได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาเกณฑ์ย่อยของแต่ละเกณฑ์คุณภาพหลักให้ผู้ยื่นข้อเสนอทราบตั้งแต่ในเอกสารประกวดราคาหรือหนังสือเชิญขวน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ยื่นข้อเสนออุทธรณ์ผลการพิจารณา และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียนได้พิจารณาแล้วมีมติว่าหน่วยงานของรัฐมิได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาให้คะแนนในแต่ละเกณฑ์ย่อยให้ผู้ยื่นข้อเสนอทราบตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ฯ มาตรา 8 วรรคหนี่ง (2) เมื่อถึงขั้นตอนการพิจารณาผลการเสนอราคาคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ได้พิจารณาให้คะแนนแต่ละเกณฑ์ย่อยตามดุลพินิจ จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 55 (4) (ง) (จ) และไม่เป็นธรรมต่อผู้เข้าแข่งขันในการเสนอราคา ซึ่งก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ยื่นข้อเสนอด้วยกัน ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดเกณฑ์การพิจารณาตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติฯ และข้อ 83 (2) แห่งระเบียบฯ เป็นไปโดยถูกต้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (คณะกรรมการวินิจฉัย) โดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (6) ประกอบมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติฯ กำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องดังกล่าว ดังนี้ 1. การกำหนดร่างขอบเขตของงาน (TOR) และการกำหนดเกณฑ์การให้น้ำหนักคะแนน ให้กำหนดเกณฑ์คุณภาพตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฯ โดยต้องเลือกเกณฑ์อื่นประกอบกับเกณฑ์ราคา ซึ่งเกณฑ์คุณภาพอาจประกอบด้วย ต้นทุนของพัสดุนั้นตลอดอายุการใช้งาน มาตรฐานของสินค้าหรือบริการ บริการหลังการขายข้อเสนอด้านเทคนิคหรือข้อเสนออื่น เป็นต้น ทั้งนี้ เกณฑ์คุณภาพจะต้องมีเกณฑ์ข้อเสนอด้านเทคนิคประกอบด้วยทุกครั้ง และให้กำหนดน้ำหนักการให้คะแนนเกณฑ์ข้อเสนอด้านเทคนิคมากที่สุด รวมทั้งต้องกำหนดสัดส่วนของน้ำหนักในการให้คะแนนและเกณฑ์การพิจารณาย่อยของแต่ละเกณฑ์คุณภาพ พร้อมทั้งกำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาการให้คะแนนและวิธีการประเมินหรือวิธีการให้คะแนนของแต่ละเกณฑ์ย่อยให้ชัดเจน 2. การจัดทำเอกสารเชิญชวนหรือหนังสือเชิญชวน เอกสารที่ใช้เพื่อประกอบในการประเมินคะแนน หน่วยงานของรัฐต้องกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมไว้ในแบบเอกสารเชิญชวนในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e - bidding) ที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และให้ถือปฏิบัติกับวิธีคัดเลือกโดยอนุโลม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ESCAP ย้ำไทยพร้อมกระชับความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูประเทศและภูมิภาค ให้กลับมาเข้มเเข็งกว่าเดิม
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ESCAP ย้ำไทยพร้อมกระชับความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูประเทศและภูมิภาค ให้กลับมาเข้มเเข็งกว่าเดิม นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ESCAP ย้ำไทยพร้อมกระชับความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูประเทศและภูมิภาค ให้กลับมาเข้มเเข็งกว่าเดิม วันนี้ (26 เมษายน 2564) เวลา 13.50 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดการประชุมประจำปีของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก(ESCAP) สมัยที่ 77 ภายใต้หัวข้อหลัก “การฟื้นฟูกลับมาให้ดีกว่าเดิมจากวิกฤตผ่านความร่วมมือในระดับภูมิภาคเอเชียเเละเเปซิฟิก” (Building back better from crises through regional cooperation in Asia and the Pacific) โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมประจำปีของเอสแคปในปีนี้ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเจ้าภาพของเอสแคป การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็น“ภัยคุกคามร่วม” ของมวลมนุษยชาติ ถือเป็นบททดสอบความร่วมมือภายในประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อฟื้นฟูภายหลังจากวิกฤตให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม (Build Back Better) และเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตอื่นๆ ในอนาคต โดยไทยตระหนักว่า การฟื้นฟูต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุข คือควรมีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนและบริการทางการแพทย์อย่างเสมอภาค ด้านสังคม คือเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบคุ้มครองทางสังคมเพื่อรักษาสวัสดิภาพและความกินดีอยู่ดีของประชาชน และด้านเศรษฐกิจ คือพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่การสร้างความเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ ต้องตระหนักถึงการสร้างความเจริญเติบโตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ปรับวิถีเศรษฐกิจไทยจาก การผลิตมากแต่สร้างรายได้น้อย ไปสู่การผลิตน้อยแต่สร้างรายได้มาก ตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้บรรลุตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า ในการฟื้นฟูจากวิกฤต ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์จากการแข่งขัน มาสู่ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกันและกัน มุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยืดหยุ่น และยั่งยืน ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ชื่นชมและยืนยันที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของเอสแคป เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศสมาชิก ทั้งทางด้านเทคนิค การรับมือกับภัยพิบัติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ประเทศไทยในฐานะเจ้าบ้านของเอสแคป ยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ขับเคลื่อนการดำเนินงานของเอสแคปอย่างเข้มแข็งต่อไป เพื่อฟื้นฟูในภูมิภาคให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เติบโตอย่างสมดุลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งต่อชีวิตที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลังต่อไป อนึ่ง การประชุมของเอสแคปในปีนี้ ให้ความสำคัญกับการร่วมหารือถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อแสวงหาแนวทางในการปรับตัวและฟื้นกลับมาให้ดีกว่าเดิม รวมทั้งแสวงหาภูมิคุ้มกัน และเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคให้เข้มแข็งเพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคตผ่าน 4 สาขาที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ 1. การขยายการคุ้มครองทางสังคม 2. การลงทุนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน 3. สร้างความเข้มแข็งให้กับการเชื่อมต่อและห่วงโซ่อุปทาน และ 4. ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมในช่วงพิธีเปิด ได้แก่ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ประธานาธิบดีรัฐคิริบาส ประธานาธิบดีรัฐอุซเบกิสถาน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ประธานสมัชชาสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน เป็นประธานการประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงข้อเรียกร้องให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ชี้แจงข้อเรียกร้องให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากกรณีที่มีการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เร่งดำเนินการในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หรือควรมีเม็ดเงินเติมลงไปในระบบ 2-3 แสนล้านบาท ให้เศรษฐกิจฟื้นได้นั้น กระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์ด้านต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการใด ๆ ในระยะต่อไป กระทรวงการคลังจะพิจารณาอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณสำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 แสนล้านบาท โดยในส่วนของมาตรการของกระทรวงการคลังที่จะพิจารณาดำเนินการ จะเป็นการช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ลดภาระของประชาชนและกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไป ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A – และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A – และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) วันที่ 26 เมษายน 2564 JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ A - และยืนยันมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook) นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วันที่ 26 เมษายน 2564 บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น จัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ A - และยืนยันมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1) แม้ว่าการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลัง วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย ภายหลังจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เริ่มฟื้นตัว และ JCR คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะกลับมาเติบโตประมาณร้อยละ 3 2) รัฐบาลได้จัดทำงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Debt to GDP ratio) สูงขึ้น อย่างไรก็ดี JCR ยังคงเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลังและบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้อยู่ระดับที่เหมาะสมได้เนื่องจากมีการบริหารจัดการทางคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 3) สำหรับภาคธนาคารและภาคต่างประเทศ พบว่า ภาคธนาคารมีเสถียรภาพ และภาคต่างประเทศแข็งแกร่ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงมีขีดความสามารถในการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต 4) ประเด็นที่ JCR ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการปฏิรูปนโยบาย (Policy reform) ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High-tech manufacturing industry) เพื่อการพัฒนาประเทศ สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5516
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ. เผยผู้เสียชีวิตระลอกเดือนเมษายน ร้อยละ 55 เป็นผู้สูงอายุ
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 สธ. เผยผู้เสียชีวิตระลอกเดือนเมษายน ร้อยละ 55 เป็นผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุขเผยข้อมูลการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 พบผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ ในระลอกเมษายน 64 พบเสียชีวิตร้อยละ 55 ของทั้งหมด พร้อมย้ำประชาชนระหว่างรอผลการตรวจให้เคร่งครัดการกักกันตัวเอง งดพบปะผู้อื่น ป้องกันแพร่เชื้อ กระทรวงสาธารณสุขเผยข้อมูลการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 พบผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ ในระลอกเมษายน 64 พบเสียชีวิตร้อยละ 55 ของทั้งหมด พร้อมย้ำประชาชนระหว่างรอผลการตรวจให้เคร่งครัดการกักกันตัวเอง งดพบปะผู้อื่น ป้องกันแพร่เชื้อให้คนใกล้ชิด ส่วนกรณีหญิง อายุ 24 ปี เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนอยู่ระหว่างการนำข้อมูลการสอบสวนและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ถึงสาเหตุการเสียชีวิตเข้าสู่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณา บ่ายวันนี้ (26 เมษายน 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,048 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,991 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 47 ราย จากต่างประเทศ 10 ราย รักษาหายเพิ่ม 480 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 8 ราย สำหรับระลอกเมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 28,645 ราย รักษาหาย 4,167 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 54 ราย ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 25 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 1,149,666 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 972,204 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 177,462 ราย เฉพาะวันที่ 25 เมษายน ฉีดได้ 25,513 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 23,080 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 2,433 ราย สำหรับผู้เสียชีวิต 8 รายวันนี้ เป็นเพศชาย 6 ราย หญิง 2 ราย อายุระหว่าง 24 - 92 ปี เป็นผู้สูงอายุ 4 ราย โรคประจำตัวที่พบ ได้แก่ เบาหวาน 1 ราย ความดันโลหิตสูง 3 ราย ไขมันในเลือดสูง 1 ราย เนื้องอกในระบบน้ำเหลือง 1 ราย หัวใจขาดเลือด 2 ราย ไตวายเรื้อรัง 1 ราย ภาวะน้ำหนักเกิน 1 ราย ไทรอยด์เป็นพิษ1 ราย และข้ออักเสบรูมาตอยด์ 1 ราย ผู้เสียชีวิตในวันนี้พบระยะเวลาเริ่มป่วยจนเสียชีวิตอยู่ในช่วง 3 -10 วัน สำหรับกรณีหญิงอายุ 24 ปี เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนโควิด 19 นายแพทย์เฉวตสรรได้ชี้แจงว่า โดยทั่วไปการแพ้วัคซีนจะพบได้ในระยะเวลาสั้น ๆ หลังการฉีด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้สังเกตอาการหลังการฉีดไว้เป็นเวลา 30 นาทีรองรับแล้ว ส่วนผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวเสียชีวิตในวันที่ 2 หลังเข้ารับการฉีดวัคซีน ขณะนี้ยังไม่สรุปว่าเป็นการแพ้วัคซีน อย่างไรก็ตามไม่ได้ทิ้งประเด็นใดๆ จะต้องมีการสอบสวนและหาหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด และจะนำข้อมูลการชันสูตรศพ ร่วมกับผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ประวัติการป่วย การรักษา การฉีดวัคซีน ล็อตของวัคซีน เข้าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนเพื่อลงความเห็นต่อไป ทั้งนี้ แม้ระยะหลังผู้เสียชีวิตจะเป็นผู้ที่มีอายุน้อยลงกว่าระยะแรก หากดูในรายละเอียดแล้วผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ เสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมด โดยการเสียชีวิตทั้ง 3 ระลอก พบว่าระลอกมกราคม 2563 เป็นชายมากกว่าหญิง 3.3 เท่า เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 45, ระลอกธันวาคม 2563 ชายมากกว่าหญิง 2.8 เท่า เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 64 และระลอกเมษายน 2564 ชายมากกว่าหญิง 1.7 เท่า เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 55 อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขยังคงให้ความสำคัญในการดูแลรักษาในทุกกลุ่มอายุอย่างดีที่สุด “ระหว่างรอผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นช่วงที่สำคัญ ขอความร่วมมือให้เคร่งครัดการกักกันตัวเอง แยกอยู่ในพื้นที่เฉพาะ งดพบปะผู้อื่น แยกรับประทานอาหาร ไม่ใกล้ชิดญาติพี่น้องและคนในครอบครัว หลีกเลี่ยงการเดินทาง ดูแลความสะอาดพื้นที่ใช้งานร่วมกับผู้อื่นเป็นพิเศษ เช่น ห้องน้ำ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว ************************26 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยคลินิกตรวจโควิด 14 แห่ง ในกทม. ผ่านมาตรฐาน จับคู่ รพ.จัดเตียงรองรับผู้ติดเชื้อ
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 สธ.เผยคลินิกตรวจโควิด 14 แห่ง ในกทม. ผ่านมาตรฐาน จับคู่ รพ.จัดเตียงรองรับผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขเผยคลินิกแล็บตรวจโควิดเอกชน 14 แห่ง ในกทม.ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจับคู่โรงพยาบาลจัดหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อแล้ว 11 แห่ง อีก 3 แห่งอยู่ระหว่างทำข้อตกลง ส่วนคลินิกและ โรงพยาบาลเอกชน 12 แห่ง ที่ไม่ส่งต่อผู้ป่วย ไม่รายงานข้อมูล กระทรวงสาธารณสุขเผยคลินิกแล็บตรวจโควิดเอกชน 14 แห่ง ในกทม.ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจับคู่โรงพยาบาลจัดหาเตียงรองรับผู้ติดเชื้อแล้ว 11 แห่ง อีก 3 แห่งอยู่ระหว่างทำข้อตกลง ส่วนคลินิกและ โรงพยาบาลเอกชน 12 แห่ง ที่ไม่ส่งต่อผู้ป่วย ไม่รายงานข้อมูล และโฆษณาไม่ได้รับอนุญาตได้ออกคำสั่งทางปกครองให้แก้ไขปรับปรุงและระงับการดำเนินการ วันนี้ (26 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั่วประเทศที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน 279 แห่ง แบ่งเป็นภาครัฐ 176 แห่ง เอกชน 103 แห่ง เฉพาะในพื้นที่ กทม. มี 109 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเอกชน โดยมีคลินิกแล็บ เอกชนขนาดใหญ่ที่ประชาชนนิยมไปตรวจ 14 แห่ง ทั้งนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้จัดทีมลงตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าทั้ง 14 แห่งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 4 ข้อ คือ 1.ผ่านการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2.ก่อนตรวจให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ผู้มารับบริการ เช่น มีภาวะเสี่ยงที่ควรตรวจหรือไม่ หากผลเป็นบวกต้องปฏิบัติตัวอย่างไร 3. มีการแจ้งผลที่เป็นบวกหรือติดเชื้อให้แก่ประชาชน หน่วยงานควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมงเพื่อสอบสวนควบคุมโรค และแจ้งข้อมูลแก่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อลงในโคแล็บ และ 4.มีข้อตกลงกับสถานพยาบาลที่มีเตียง เป็นหลักประกันว่าคนไข้จะมีเตียงหรือหากเตียงเต็มต้องประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยต่อไป หากยังหาเตียงไม่ได้ต้องรายงานให้ผู้อนุญาตทราบ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งขณะนี้คลินิกแล็บ 11 แห่ง มีข้อตกลงร่วมกับสถานพยาบาลเอกชนแล้ว ส่วนอีก 3 แห่ง กำลังลงนามความร่วมมือโดยประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ในเว็บไซต์กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นการร้องเรียนคลินิกแล็บและโรงพยาบาลเอกชนดำเนินการตรวจสอบแล้วเสร็จ 12 แห่งใน 3 ประเด็น คือ การไม่ส่งต่อผู้ป่วยโควิดหลังตรวจหรือวินิจฉัย ไม่รายงานผู้ป่วยต่อกรมควบคุมโรคหรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และการโฆษณาตรวจเชื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยได้ออกคำสั่งทางปกครองให้ทั้ง 12 แห่ง แก้ไขปรับปรุงและระงับการดำเนินการดังกล่าวแล้ว หากไม่ปรับปรุงจะพักใช้ใบอนุญาตหรือให้ยุติการตรวจโควิดและระงับการโฆษณาต่อไป ยืนยันว่าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง หากไม่ดำเนินการมีโทษปรับหรือจำคุกต่อไป หากประชาชนมีประเด็นเรื่องการสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนเกี่ยวกับสถานพยาบาลหรือคลินิกเอกชน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1426 ในวันและเวลาราชการ “ช่วงสัปดาห์นี้ได้มอบหมายให้ อสม.เคาะประตูบ้านทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องวัคซีนโควิดการลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อม การดูแลสุขภาพ และติดตามผู้ที่เดินทางกลับมาจากการเยี่ยมญาติหลังสงกรานต์ว่ามีอาการป่วยหรือไม่และให้รายงานตามระบบ ช่วงนี้อาจเห็น อสม.ไปเยี่ยมมากขึ้นขอประชาชนให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล ย้ำว่าวัคซีนสำคัญขณะนี้คือวัคซีนใจและการป้องกันตนเองด้วยการ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง รวมถึงขอให้กำลังใจซึ่งกันและกันจะช่วยให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปได้ด้วยกัน” นายแพทย์ธเรศกล่าว ************************26 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มเกณฑ์ข้าราชการ ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา รพ.สนาม เบิกได้
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 เพิ่มเกณฑ์ข้าราชการ ป่วยโควิด-19 เข้ารักษา รพ.สนาม เบิกได้ ... มีข่าวมาแจ้ง...สำหรับผู้มีสิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล (สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ) กรมบัญชีกลาง ออกหลักเกณฑ์เพิ่มเติม กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมาจะต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการ ทั้งประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด จึงจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ . ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานพยาบาลของทางราชการไม่เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย และอาจต้องส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษายังสถานที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะกิจ หรือ รพ.สนาม สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 . ดังนั้น เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล จึงปรับให้เป็นไปตามเงื่อนไข ดังนี้ "หากสถานพยาบาลของทางราชการมีความจำเป็นต้องเปิดสถานที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้บริการทางการแพทย์ในสถานที่ใดหรือเรียกชื่ออย่างใด สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้" . หากมีข้อสงสัย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2127 7000 ต่อ 6852 6854 4441 หรือ Call center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมทีมที่ปรึกษาฯ วางกลไก Single Command ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้คนไทยเฉลี่ย 3 แสนคนต่อวันครบ 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 นายกฯ ประชุมทีมที่ปรึกษาฯ วางกลไก Single Command ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้คนไทยเฉลี่ย 3 แสนคนต่อวันครบ 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ นายกฯ ประชุมทีมที่ปรึกษาฯ วางกลไก Single Command ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้คนไทยเฉลี่ย 3 แสนคนต่อวันครบ 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ วันนี้ (26 เมษายน 2564) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษา ซึ่งมีนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษา เพื่อหารือถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยสั่งเร่งช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งตกค้างประมาณกว่า 1,400 ราย ซึ่งผู้ป่วยกว่า 800 รายได้ถูกนำตัวเข้าสู่สถานพยาบาลแล้วและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มผู้ประกันตน สำหรับการแจ้งอาการป่วยผ่านระบบสายด่วนนั้น เมื่อได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ไปรับตัวจากบ้านเพื่อนำเข้าสู่จุดคัดกรอง โดยเบื้องต้นได้เตรียมสถานที่คัดกรองไว้ ณ สนามกีฬา อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก หากผู้ป่วยไม่มีอาการจะถูกนำเข้าสู่โรงพยาบาลสนามที่มีอยู่หลายแห่ง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการในระดับเหลืองจะเข้าสู่สถานพยาบาล หรือ Hospitel ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหนักในระดับสีแดงจะนำเข้าสู่เข้าโรงพยาบาลทันที พร้อมปรับมาตรการและการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ทุกวัน เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังกล่าวถึงการจัดหาวัคซีนว่า วัคซีนที่เข้ามาอีก 26 ล้านโดส และวัคซีนจากซิโนแวค อีกกว่า 1 ล้านโดส ซึ่งในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ได้ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน 30 ล้านคน เฉลี่ย 3 แสนคน/วัน จากประชากรเป้าหมาย 50 ล้านคน และจะเร่งการฉีดวัคซีนให้ครบ 50 ล้านคนในภายสิ้นปีนี้ โดยจะเป็นการฉีดเข็ม1 และการฉีดวัคซีนทั้ง 2 เข็ม สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ขึ้นทะเบียนในขณะนี้ นอกเหนือจากซิโนแวคและแอสตราเซเนก้า คือวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สำหรับวัคซีนไฟเซอร์และสปุตนิค วี อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเร่งนำเข้ามา โดยนายกรัฐมนตรียังได้กำชับให้มีการเร่งจัดหาวัคซีนให้ได้กว่า 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี โดยวางแนวตั้งคณะกรรมการ การบริหารจัดการแบบ Single Command เพื่อให้เกิดความชัดเจนและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าวว่า ในวันที่ 28 เมษายน นี้ จะเป็นการหารือเพิ่มเติมกับภาคเอกชนในวันพุธนี้ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือต่างๆ ทั้งการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 3 แสนคน/วัน โดยอาจเป็นสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากในโรงพยาบาล โดยระดมกำลังความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชน หรือแพทย์ พยาบาล ที่เกษียณอายุแล้วมาช่วยฉีดวัคซีนทางเลือก รวมทั้งการให้ภาคเอกชนมีวัคซีน-19 สำหรับบุคคลากรในภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมของตนเอง ซึ่งจะมีการชี้แจ้งรายละเอียด ภายหลัง การประชุมร่วมกับภาคเอกชนในวันพุธนี้อีกครั้ง ........................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับ “การกระจายวัคซีน” เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ยกระดับ “การกระจายวัคซีน” เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด ... เช้าวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับทีมที่ปรึกษา เรื่องยกระดับการกระจายวัคซีนเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด โดยมีเป้าหมายดังนี้ครับ . 1. ผลักดันให้มีการจัดหาวัคซีนให้ได้เพิ่มมากขึ้นในทุกวิถีทาง โดยมีเป้าหมาย 10-15 ล้านโดสต่อเดือน จากวัคซีนที่มีความหลากหลายในปัจจุบันโดยรัฐและเอกชนจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด . 2. มีโครงสร้างที่จัดกลุ่ม แบ่งงาน ผสมผสานการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจน โดยต้องให้มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ผลักดันแนวหน้าในการฉีดวัคซีนให้เป็นเชิงรุก . 3. จัดให้มีศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก โดยใช้สถานที่ที่เหมาะสม เช่น ศูนย์ประชุมฯ ศูนย์กีฬา โรงแรม โรงพยายบาลเอกชน เพื่อลดภารกิจของโรงพยาบาลหลัก และสาธารณสุข ที่ต้องรองรับ ดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก โดยศูนย์ฉีดวัคซีนฯ จะดึงการมีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีนทางเลือกในกลุ่มที่มีศักยภาพเพิ่มเติมจากของภาครัฐ . 4. ตั้งเป้าหมายการฉีดให้ได้ 300,000 โดสต่อวัน หรือมากกว่า และเป้าหมายฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้หรือเร็วกว่า . นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้มีการปรับปรุงการคัดกรอง และระบบการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้มีช่องทาง และการขนส่งเคลื่อนย้าย ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย Cr : เพจประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยเงินจากพ.ร.ก.เงินกู้ ใช้ซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ดูแลบุคลากร /ผู้ติดเชื้อโควิด 19
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 สธ.เผยเงินจากพ.ร.ก.เงินกู้ ใช้ซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ดูแลบุคลากร /ผู้ติดเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข เผยงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ใช้ในการจัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ควบคุมป้องกันโรคให้บุคลากรและผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อโควิด 19 เตรียมหอผู้ป่วย/โรงพยาบาลสนามรวมทั้งจ่ายเป็นค่าเยียวยา ค่าชดเชย ค่าเสี่ยงภัย เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุข เผยงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ใช้ในการจัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ควบคุมป้องกันโรคให้บุคลากรและผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อโควิด 19 เตรียมหอผู้ป่วย/โรงพยาบาลสนามรวมทั้งจ่ายเป็นค่าเยียวยา ค่าชดเชย ค่าเสี่ยงภัย เป็นต้น มีแผนการใช้ชัดเจนไม่ล่าช้าและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรค นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รับการจัดสรรเงิน จาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ โควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน 25,825.88 ล้านบาท ใช้ใน 39 โครงการโดยเป็นโครงการจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 25,175.32 ล้านบาท และหน่วยงานนอก ได้แก่ กระทรวง อว.,โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ,โรงพยาบาลตำรวจ,สำนักอนามัย กทม. จำนวน 650.56 ล้าน เพื่อดำเนินการใน 5 แผนงาน ได้แก่ค่าเยียวยา ค่าชดเชย ค่าเสี่ยงภัย อสม.4,726.38 ล้านบาท ,จัดหายา วัคซีน ห้องปฏิบัติการโดยกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีน 2,655.30 ล้านบาท,การบำบัดรักษา ป้องกัน ควบคุมโรคและการวิจัยโดย สปสช. 6,764.90 ล้านบาท ,เตรียมสถานพยาบาลในการรักษาและกักตัวผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ10,182.73 ล้านบาท และรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินการระบาด1,496.57 ล้านบาท นายแพทย์สุระกล่าวว่า ขณะนี้มีโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินไปแล้ว 13 โครงการ วงเงิน 17,610.48 ล้านบาทได้แก่ ค่าบริการสาธารณสุข, ค่าตอบแทน อสม./อุปกรณ์ห้องแยกโรค ,พัฒนาระบบบริการสุขภาพ ,จัดซื้อชุดPPE, Isolation Gown, N 95, Mask ,วัคซีนโควิด 19, วัสดุควบคุมป้องกันโรค ,เครื่องฉายรังสีรักษา, พัฒนาห้องปฏิบัติการ/เครื่องมือ/คุณภาพวัคซีน และค่าปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ข้อมูล ณ วันที่ 16 เมษายน 2564 ได้ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว 5,859.92 ล้านบาท คิดเป็น 33.28 % ทั้งนี้ ยังมีโครงการที่รอจัดสรรอีก 26 โครงการ วงเงิน 8,215.40 ล้านบาท และมีวงเงินเหลือ 19,174.12 ล้านบาท “การใช้เงินที่ได้มามีแผนการใช้ชัดเจน ครอบคลุมทุกมิติทั้งการควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาล รวมถึงการวิจัยพัฒนา การจ่ายค่าตอบแทนค่าเสี่ยงภัยเจ้าหน้าที่ ทำให้เรามียารักษาโรค มีวัคซีนเพียงพอกับกลุ่มเป้าหมายมีการเพิ่มเตียง ขยายเตียงรักษาในรูปแบบต่างๆรองรับผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อเหมาะสมกับอาการ เจ้าหน้าที่มีขวัญกำลังใจดูแลประชาชน โดยความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย รัฐ เอกชน ประชาชน ที่สำคัญงบประมาณที่นำมาใช้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดของโรคเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีที่สุด”นายแพทย์สุระ กล่าว ************************************* 26เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เร่งกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ดให้สถานพยาบาลวันนี้ และให้อภ.จัดหาเพิ่ม
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 อนุทิน เร่งกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ดให้สถานพยาบาลวันนี้ และให้อภ.จัดหาเพิ่ม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้องค์การเภสัชกรรมเร่งกระจายยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ดที่มาถึงไทยเมื่อคืน (01.00 น. 26 เม.ย.) ให้กับสถานพยาบาลทั่วประเทศภายในวันนี้ และจัดหาเพิ่มอีก 2-3 ล้านเม็ด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้องค์การเภสัชกรรมเร่งกระจายยาฟาวิพิราเวียร์2ล้านเม็ดที่มาถึงไทยเมื่อคืน (01.00 น. 26 เม.ย.) ให้กับสถานพยาบาลทั่วประเทศภายในวันนี้ และจัดหาเพิ่มอีก2-3 ล้านเม็ด มั่นใจมียาเพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19จำนวน2 ล้านเม็ด ที่จัดส่งจากสนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่นโดยเที่ยวบินNH 8545มาถึงประเทศไทยแล้วเมื่อเวลา01.00 น. วันนี้ (26 เมษายน 2564)ได้สั่งการให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เร่งกระจายจัดส่งให้สถานพยาบาลเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศภายในบ่ายวันนี้ ตามการจัดสรรของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) และภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะได้รับเพิ่มอีกจำนวน 1 ล้านเม็ดรวมเป็น3 ล้านเม็ด เป็นไปตามแผนการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้ อภ. จัดหาเพิ่มอีก 2-3 ล้านเม็ดโดยเร็ว ********************************** 26 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดยุทธศาสตร์สตรีแห่งชาติ เคาะ “การแก้ปัญหาการข่มขืนและละเมิดทางเพศ” เป็นวาระแห่งชาติ จัดทำคู่มืองบประมาณสะท้อนเพศภาวะ จุรินทร์เร่ง เสนอครม.
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 บอร์ดยุทธศาสตร์สตรีแห่งชาติ เคาะ “การแก้ปัญหาการข่มขืนและละเมิดทางเพศ” เป็นวาระแห่งชาติ จัดทำคู่มืองบประมาณสะท้อนเพศภาวะ จุรินทร์เร่ง เสนอครม. บอร์ดยุทธศาสตร์สตรีแห่งชาติ เคาะ “การแก้ปัญหาการข่มขืนและละเมิดทางเพศ” เป็นวาระแห่งชาติ จัดทำคู่มืองบประมาณสะท้อนเพศภาวะ จุรินทร์เร่ง เสนอครม. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ผ่านระบบ VDO Conference เมื่อวันที่ 26 เม.ย. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมฯ เห็นชอบการผลักดันให้ “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ” เป็น “วาระแห่งชาติ” สอดคล้องกับข้อเสนอแนะนำจากสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาสถานภาพสตรี (กสส.) ซึ่งการดำเนินการจากนี้จะต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลให้ครอบคลุมและเจาะลึกในทุกมิติ เพื่อจัดทำร่าง วาระแห่งชาติฯ ก่อนเสนอให้ครม. พิจารณาต่อไป ภายในเดือน ก.ค. นี้ ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบคู่มือการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (Gender Responsive Budgeting – GRB: A Practical Handbook) ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (ภาวะความเป็นหญิงหรือชายที่ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม) 2) ผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ สามารถสจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะของหน่วยงาน นำไปสู่ผลลัพธ์ คือการจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรมและเหมาะสมตามความจำเป็นและความต้องการของประชากรที่มีความแตกต่างทางเพศ วัย และสภาพของบุคคล โดยคาดว่า ในเดือน มิ.ย.จะเสนอที่ประชุม ครม. เพื่อมีมติให้ทุกหน่วยงานนำคู่มือฯ ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณ นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า รองนายกฯ จุรินทร์ ยังได้มอบหมายให้ กสส. รวบรวมข้อเสนอจากสมัชชาสตรีระดับชาติ ประจาปี 2563 ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเด็นหลัก คือ 1) สุขภาพของผู้หญิง 2) การศึกษาของผู้หญิง 3) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 4) งานของผู้หญิง 5) ความรุนแรงต่อผู้หญิง นำไปวิเคราะห์ว่า ยังมีการดำเนินการเรื่องใดที่ยังไม่ตอบสนองต่อปัญหา จะได้นำไปพัฒนาการดำเนินงานและกำหนดยุทธศาสตร์สตรีในระยะต่อไป อีกทั้งแก้ไขปัญหาปัจจุบันอย่างครบถ้วนรอบด้าน โดยจะมีการนำผลการวิเคราะห์เข้าสู่ที่ประชุม กยส. อีกครั้ง ก่อนเสนอ ครม. ในเดือน ก.ค.นี้ ทั้งนี้ นายจุรินทร์ย้ำว่า รัฐบาลพร้อมเต็มที่ที่จะทำงานร่วมกับภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ความคิดเห็นต่างๆ ที่สะท้อนมานั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการทำงานของภาคราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อนึ่ง สถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี 2562 จัดทำโดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงเข้ารับบริการที่ศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 15,797 ราย หรือเฉลี่ย 43 รายต่อวัน ผู้กระทำความผิด 3 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ตัว คือ สามีภรรยา แฟน และอื่นๆ เช่น คนรู้จักทาง Facebook แฟนเก่า เพื่อนของญาติ ฯลฯ ในขณะที่ มีคดีความรุนแรงในครอบครัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวม 174 คดี นางสาวรัชดา กล่าว .....................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบแบบครบวงจรช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤต
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบแบบครบวงจรช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤต ธ.ก.ส. เดินหน้ามาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อชำระดีมีวงเงิน Smart Cash เพื่อป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ และสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ธ.ก.ส. เดินหน้ามาตรการจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน ผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อชำระดีมีวงเงิน Smart Cash เพื่อป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ และสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน พร้อมสนับสนุนการเรียนรู้คู่เงินทุน โดยให้เกษตรกรเข้าอบรมพัฒนาทักษะอาชีพกับศูนย์เรียนรู้ของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนว่างงาน รวมทั้งเกษตรกรไม่สามารถขายผลผลิตได้ตามปกติ ทำให้รายได้ลดลงหรือไม่มีรายได้ จนนำไปสู่ปัญหาการกู้เงินนอกระบบ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือนที่ประสบปัญหาดังกล่าว ธ.ก.ส. จึงได้ออกมาตรการจัดการหนี้นอกระบบ อย่างยั่งยืน จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน สำหรับชำระหนี้นอกระบบที่เกิดจากเกษตรกรลูกค้า คู่สมรส บุตร บิดามารดาของเกษตรกรลูกค้าหรือของคู่สมรสซึ่งอยู่ในอุปการะของเกษตรกรลูกค้า วงเงินกู้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท เว้นแต่กรณีมีวัตถุประสงค์ในการสงวนที่ดินทำกินที่ลูกหนี้ใช้ที่ดินในการจำนองไม่เกินรายละ 150,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้ 10 ปี สูงสุดไม่เกิน 12 ปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองสินเชื่อกรณีเสียชีวิตรายละไม่เกิน 100,000 บาท และการคืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 30 ของดอกเบี้ยที่ชำระหนี้ 2) โครงการสินเชื่อชำระดีมีวงเงิน Smart Cash สำหรับลูกค้าผู้กู้สินเชื่อตามโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ ที่ชำระหนี้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนดและมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการก่อหนี้นอกระบบของลูกค้า โดยสนับสนุนเงินเครดิตหมุนเวียนผ่านบัตร ATM ตามต้นเงินกู้ที่ได้รับชำระหนี้ตามโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR + (0 ถึง 3) ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 12 เดือนนับจากวันกู้ นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์ผ่านการคุ้มครองสินเชื่อกรณีเสียชีวิต รายละไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรลูกค้าที่มีความต้องการสินเชื่อสามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ผ่านช่องทาง LINE Official BAAC Family และ 3) โครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับลูกค้าผู้กู้สินเชื่อตามโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการประกอบอาชีพเสริม โดยผ่านการฝึกอบรมความรู้หรือทักษะจากสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ในช่วง 6 เดือนแรก และตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไปอัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับร้อยละ 6.50) ระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 10 ปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่บัดนี้ – 31 มีนาคม 2566 นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้การแก้ไขหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักความรู้นำ สินเชื่อตาม ธ.ก.ส. จึงได้สนับสนุนให้ลูกค้าผู้เข้าร่วมโครงการต้องเข้ารับการอบรมเสริมสร้างความรู้ การพัฒนาทักษะอาชีพต่าง ๆ กับศูนย์เรียนรู้ต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ธ.ก.ส. ศูนย์เรียนรู้ 459 รวมถึงศูนย์พัฒนาความรู้ พัฒนาอาชีพของส่วนงานอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มศักยภาพของลูกค้า สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพหรือปรับเปลี่ยนการผลิต ทำให้เกษตรกรและบุคคลในครัวเรือนก้าวผ่านวิกฤต สามารถสร้างอาชีพและรายได้อย่างมั่นคงยั่งยืน โดยปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบกับ ธ.ก.ส. จำนวน 50,634 ราย เป็นเงิน 5,085 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดโครงการฯ ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 26 เมษายน 2564
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 26 เมษายน 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 26 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,466 ล้านบาท ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 26 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,466 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 114,098 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,609 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 202,173 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ กระทรวงเกษตรฯ ประชุมซักซ้อมการดำเนินโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อลดจุดอ่อนและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด นายสำราญสาราบรรณ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ผ่านระบบทางไกลออนไลน์Application Zoomณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่าสตง.มีหนังสือถึงคณะกรรมการกลั่นกองเงินกู้ฯว่าจะเสนอครม.ยุติโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่เนื่องจากคาดว่าจะเป็นโครงการที่ไม่สำเร็จได้นั้นขอชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าวสตง.มีการทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อติดตามการดำเนินงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างไรก็ตามการประชุมในวันนี้เป็นการซักซ้อมแนวทางการทำงานพร้อมปรับปรุงแก้ไขและร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อลดจุดอ่อนและเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและจากสถานการณ์โควิด-19การดำเนินงานในขั้นตอนต่างๆทำให้เกิดข้อกำจัดในบางส่วนซึ่งในขั้นตอนการฝึกอบรมให้กับเกษตรกรนั้นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดพิจารณาดำเนินการอบรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ของในแต่ละพื้นที่และให้เป็นไปตามประกาศอย่างเคร่งครัดโดยสามารถปรับรูปแบบการอบรมอาทิการอบรมเป็นกลุ่มเล็กไม่เกิน50รายเป็นต้น สำหรับความก้าวหน้าโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่(ข้อมูลณวันที่26เม.ย. 64)มีเกษตรกรสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมดจำนวน45,037รายโดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือกแล้วจำนวน29,703รายหรือร้อยละ92.82ของเป้าหมาย32,000ราย(จาก4,009ตำบล)แบ่งเป็นพื้นที่2.5ไร่เกษตรกร2,367รายพื้นที่3ไร่เกษตรกร14,065รายพื้นที่4ไร่เกษตรกร2,561รายและพื้นที่5ไร่เกษตรกร10,710รายและมีแรงงานสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน13,321รายนอกจากนี้ที่ประชุมยังได้นำเสนอความก้าวหน้าในส่วนของกิจกรรมการขุดสระเก็บกักน้ำซึ่งกรมพัฒนาที่ดินได้มีการประชุมซักซ้อมทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดโดยให้มีการตรวจสอบรายชื่อตรวจสอบดินเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯพร้อมดำเนินการในส่วนของการสนับสนุนปัจจัยการผลิตทั้งด้านพืชด้านประมงด้านปศุสัตว์และด้านการปรับปรุงบำรุงดินซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมส่งเสริมการเกษตรกรมประมงกรมปศุสัตว์และกรมพัฒนาที่ดินได้มีการลงพื้นที่สำรวจความต้องการปัจจัยการผลิตและการลดต้นทุนแล้วเป็นต้น ทั้งนี้หากเกษตรกรต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่สามารถติดตามได้ทางFacebook “๑ตำบล๑เกษตรทฤษฎีใหม่”ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือเร่งช่วยเหลือชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในจังหวัดบึงกาฬ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 กระทรวงยุติธรรม หารือเร่งช่วยเหลือชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในจังหวัดบึงกาฬ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการหารือกรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กับ ผู้แทนบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ในวันจันทร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๕ - ๐๑ ชั้น ๕ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการหารือกรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กับ ผู้แทนบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือ ได้แก่ ผู้แทนกรมบังคับคดี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ ๗ ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ ๔ ผู้แทนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รวมทั้งผู้อำนวยการกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬฯ โดยที่ประชุมมีความเห็นและแนวทางการให้การช่วยเหลือทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา ในส่วนคดีแพ่งมีอยู่ด้วยกัน ๓ สถานะ คือ กลุ่มที่ ๑ ที่ยังไม่ถูกบริษัท อยุธยาฯ ฟ้อง หรือกำลังจะถูกฟ้อง กลุ่มที่ ๒ ที่มีการฟ้องแล้วและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล กลุ่มที่ ๓ ที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วและอยู่ในชั้นบังคับคดี ซึ่งกลุ่มนี้มีอยู่จำนวน ๘๐ ราย ซึ่งจากการประชุมผู้แทนบริษัทฯ แจ้งว่าจะนำข้อมูลจากการประชุมเสนอผู้บริหารของบริษัท เพื่อพิจารณาในการชะลอการดำเนินคดีกับชาวบ้านในคดีแพ่ง (กลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒) รวมทั้งการชะลอการบังคับคดีของกลุ่มที่ ๓ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน สำหรับกรณีที่ชาวบ้านได้แจ้งความร้องทุกข์กับกลุ่มนายหน้า พนักงานสอบสวนและผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ ๔ ได้รายงานสถานะความคืบหน้าทางคดี และแนวทางการดำเนินคดี เพื่อให้ผู้แทนบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะได้ตัวผู้กระทำความผิดหรือผู้ที่หลอกลวงชาวบ้านมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ในคดีที่บริษัทฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับชาวบ้าน จำนวน ๕๘ ราย ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งที่ประชุมมีข้อสังเกตหลายประเด็นว่า ในคดีดังกล่าวอาจจะมีชาวบ้านบางรายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น ที่ประชุมจึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และคัดแยกว่าเป็นกลุ่มชาวบ้านที่มีมูลคดีที่เกิดจากการหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อหรือไม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้า! นวัตกรรมต้านโควิด-19
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 เดินหน้า! นวัตกรรมต้านโควิด-19 ... ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากการบริหารด้านสาธารณสุขและการแก้ไขปัญหาด่านหน้าอย่างเข้มข้นแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวง อว. ยังคงพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การสร้างนวัตกรรมหน้ากากอนามัยรูปแบบใหม่ประสิทธิภาพสูง โดยใช้แสงซินโครตรอนออกแบบโครงสร้าง 3 มิติ ถักทอผ้าไหมปักธงชัย จนสามารถป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 และ 0.3 ได้มากกว่า 80% ป้องกันละอองน้ำลายได้ดีจนสามารถใช้แทนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ได้ มีความแข็งแรงทนทาน ไม่เปื่อยขาดง่าย . นอกจากนี้ยังมี กล้องทดสอบการซึมผ่านของอนุภาค ซึ่งถ่ายภาพได้ด้วยความเร็วสูงถึง 1,300 เฟรมต่อวินาที จึงถ่ายเห็นละอองไอจามได้อย่างชัดเจน ชุด PPE ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าชุดนำเข้าจากต่างประเทศ นวัตกรรมตู้ความดันบวกสำหรับตรวจผู้ติดเชื้อ และแคปซูลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 เป็นต้น . ซึ่งเบื้องต้น ได้มอบนวัตกรรมบางชิ้นให้โรงพยาบาลใน จ.นครราชสีมา ได้แก่ ร.พ.ปักธงชัย ร.พ.ขามทะเลสอ และ ร.พ.เทพรัตน์นครราชสีมา ไว้ใช้งานแล้ว คาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้นวัตกรรมเหล่านี้จะได้รับการต่อยอดจนออกมาเสริมกำลังให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี หารือคณะที่ปรึกษา สรุปแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อ และจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ดำเนินการด้วยความเร่งด่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี หารือคณะที่ปรึกษา สรุปแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อ และจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ดำเนินการด้วยความเร่งด่วนอย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรี หารือคณะที่ปรึกษา สรุปแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อ และจัดการการแพร่ระบาดโควิด-19 ดำเนินการด้วยความเร่งด่วนอย่างมีประสิทธิภาพ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โดยที่ประชุม ได้มีความเห็นว่า การระบาดระลอกใหม่ของโลกในครั้งนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและเอเชีย ทั้งนี้ ประเทศไทยได้มีการบริหารจัดการที่ผ่านมาเป็นอย่างดี จนนำไปสู่การผ่อนคลายกฏเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันเกือบเป็นปรกติ โดยที่ผ่านมาอาจจะมีการระบาดเกิดขึ้นเป็นกลุ่มจังหวัด ก็ไม่มีการล็อกดาวน์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด นอกจากนี้ การระบาดระลอกเมษา 64 นี้ มาเร็ว และกระจายตัวเร็วจนสร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าไทยจะมีความพร้อมในการรับมือการระบาดครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และเห็นควรที่จะดำเนินการดังนี้ 1. ด้านการจัดการ: ให้มีการยกระดับ ศบค. โดยให้เป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิม หลังจากที่ได้มีการผ่อนคลายและให้อำนาจกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้ดูแลไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาและการสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน จะสามารถดำเนินการได้เบ็ดเสร็จและรวดเร็วยิ่งขึ้น 2. ด้านการคัดกรอง: ได้มอบหมายให้ ศบค. ดำเนินการจัดให้มีศูนย์คัดกรองของรัฐในทุกจังหวัด โดยจังหวัดขนาดใหญ่ เช่น กทม. จำเป็นต้องมีหลายจุดเพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และหากพบผู้ติดเชื้อต้องมีการจัดส่งไปยังสถานที่รักษาที่เหมาะสม โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ต้องดูแลให้มีความเพียงพอ 3. ด้านการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ: จัดให้โรงพยาบาลสนามที่พร้อมรับดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ เฝ้าระมัดระวังอาการ ส่วนผู้ที่มีอาการเริ่มต้น และที่มีอาการหนัก ต้องจัดให้มีสถานพยาบาล รองรับ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน หรือสถานพักเอกชน โดย ศบค. จะกำกับและติดตามกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้จัดสถานพยาบาลให้มีเพียงพอกับผู้ที่ติดเชื้อ 4. ด้านการฉีควัคซีน: ศบค. จะเข้ามาดูแลการจัดสรรที่ควบคู่กันไปกับ บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ภาคธุรกิจ และประชาชน โดยความสามารถในการฉีดวัคซีน จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน จัดสถานที่ที่เหมาะสม ลดการแออัดของโรงพยาบาล ที่ต้องมุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้เป้าหมายต้องฉีดวัคซีนทั้งประเทศให้ได้อย่างน้อย 3 แสนโดสต่อวัน และภายใน 4 เดือน คนไทยประมาณร้อยละ 60 ของกลุ่มเป้าหมาย หรือคิดเป็นประชาชนจำนวน 30 ล้านคน ที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก และให้ครบ 50 ล้านคน อย่างน้อยเข็มแรกภายในอย่างช้าไม่เกินสิ้นปี 2564 นี้ 5. สถานะการจัดหาวัคซีนของไทยภายในอีก 4 เดือนข้างหน้านี้ (พค.- สค 64) จะมีสัญญาที่ยืนยันจัดส่งแล้ว 28 ล้านโดส โดยทั้งปีรวมกัน 63 ล้านโดส และอยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 40 ล้านโดส จากหลายผู้ผลิต ซึ่งน่าจะได้รับทราบผลเร็วๆ นี้ สำหรับในส่วนระบบการลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีน ได้มีการเตรียมระบบ ”หมอพร้อม” เพื่อรองรับการลงทะเบียนของประชาชน ที่จะเริ่มในวันที่ 1 พค. 64 นี้ ซึ่งหากระบบดังกล่าวขัดข้องหรือไม่สามารถดำเนินการได้ ก็จะมีระบบที่ได้เตรียมสำรองไว้แล้วโดยธนาคารกรุงไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลได้เตรียมการเรื่องนี้เป็นอย่างดี คนไทยกว่า 50 ล้านคนจะได้รับการฉีดวัคซีนภายในปี 2564 นี้อย่างแน่นอน และงบประมาณก็มีเพียงพอที่จะจัดหาวัคซีนได้อีกมาก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ได้มอบหมายให้ ศบค. เร่งดำเนินการในแต่ละด้าน และรายงานกลับมาถึง นายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า โดยแสดงตัวเลขความเพียงพอในทุกมิติ เช่น จำนวนผู้เข้ามาคัดกรอง จำนวนเตียงที่ว่าง จำนวนยาที่ใช้รักษา จำนวนอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำนวนการฉีดวัคซีน เป็นต้น และให้ ศบค. รายงานให้ ประชาชนทราบทุกวัน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น และในวันพุธที่ 28 เม.ย. ที่จะถึงนี้ ก็จะนำเรื่องต่างๆ ที่ได้สรุปในวันนี้นำเข้าหารือกับภาคเอกชน ที่แสดงตนมาช่วยรัฐบาลในเรื่องนี้ ว่ามีเรื่องใดที่ซ้ำซ้อน และเรื่องใดที่เสริมกันได้ โดยจะแบ่งหน้าที่กันไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน โดย นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกคน เพื่อก้าวผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปด้วยกันอีกครั้ง .........................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุนค่ายมือถือ/เน็ต อัพสปีด-ส่งแพคเกจใช้งานไม่จำกัด ลดค่าใช้จ่ายเรียนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ดีอีเอส หนุนค่ายมือถือ/เน็ต อัพสปีด-ส่งแพคเกจใช้งานไม่จำกัด ลดค่าใช้จ่ายเรียนออนไลน์ ดีอีเอส หนุนค่ายมือถือ/เน็ต อัพสปีด-ส่งแพคเกจใช้งานไม่จำกัด ลดค่าใช้จ่ายเรียนออนไลน์ “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสนั่งหัวโต๊ะระดมความร่วมมือผู้ให้บริการมือถือ/อินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการแอปส่งแพคเกจราคาพิเศษใช้งานไม่จำกัดลดค่าใช้จ่ายนักเรียน-นักศึกษากว่า8ล้านคนทั่วประเทศในการเข้าถึงการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ฝ่าวิกฤติแพร่ระบาดโควิด-19 นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯเร่งประสานงานขอความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แก่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ/อินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการแอปพลิเคชันในการสนับสนุนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยวันนี้(26เม.ย. 64)ได้มีการจัดประชุมออนไลน์ร่วมกับเอกชนผู้ให้บริการมือถือและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้แก่บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(NT) เอไอเอสดีแทคทรูมูฟและทริปเปิลทรีบรอดแบนด์(3BB)รวมทั้งผู้ให้บริการแอปพลิเคชันสนับสนุนการเรียนการสอนออนไลน์ได้แก่ไมโครซอฟท์ซิสโก้ไลน์และZoomเพื่อพิจารณารูปแบบและค่าบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้นักเรียนนักศึกษาเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันเพื่อการศึกษาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19ได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมและมีคุณภาพ เบื้องต้นในที่ประชุมวันนี้ผู้ให้บริการมือถือทุกรายได้รับในหลักการว่าจะไปพิจารณาร่วมกันในการออกแพคเกจรายเดือน5GBในความเร็วไม่ต่ำกว่า4Mbpsไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน(Unlimited Data)เพื่อรองรับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆที่มีความเหมาะสมกับนักเรียนและนักศึกษาในการเรียนการสอนออนไลน์เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวกระทรวงฯจะนำเสนอหลักการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(บอร์ดดีอี)พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป “ถือเป็นหนึ่งในภารกิจของดีอีเอสในการขับเคลื่อนให้เกิดการนำเทคโนโลยีเข้ามาบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ช่วยแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในการเรียนการสอนที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของประเทศนักเรียน-นักศึกษากว่า8ล้านคนต้องหยุดการเรียนการสอนในโรงเรียนสถานศึกษาต้องมีการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการเรียนการสอนทางไกลโดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยและหลายคนต้องปรับตัวกับระบบการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ทั้งที่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการอินเทอร์เน็ต”นายชัยวุฒิกล่าว หลังจากนี้ดีอีเอสจะประสานกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)และกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.)เพื่อสรุปรายชื่อนักเรียนกลุ่มเป้าหมายและหมายเลขโทรศัพท์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลสำหรับการลงทะเบียนใช้สิทธิ์การสนับสนุนเรียนการสอนออนไลน์ในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19โดยธนาคารกรุงไทยจะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องระบบการลงทะเบียน **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ใช้ "อาคารนิมิบุตร" ตั้งศูนย์แรกรับ 300 เตียง คาดเปิดได้ใน 2-3 วัน
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 สธ.ใช้ "อาคารนิมิบุตร" ตั้งศูนย์แรกรับ 300 เตียง คาดเปิดได้ใน 2-3 วัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจสถานที่ เตรียมใช้อาคารกีฬานิมิบุตรตั้งศูนย์แรกรับ ประมาณ 300 เตียง คาดเปิดได้ใน 2-3 วัน เร่งทำความสะอาด เชื่อมโยงระบบส่งต่อและโรงพยาบาล ช่วยลดการสะสมผู้ป่วยโควิดตกค้างที่บ้าน วันนี้ (26 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมเปิดศูนย์แรกรับผู้ป่วยโควิด 19 ว่า หลังจากได้ลงพื้นที่สำรวจสถานที่ 2 แห่งเพื่อจัดตั้งศูนย์แรกรับ (Pre Admission Center) เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา พบว่า สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียม หัวหมาก สภาพยังไม่สมบูรณ์ จึงใช้อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ในการจัดตั้งศูนย์แรกรับ จำนวน 300 เตียง คาดว่าจะเปิดได้ใน 2-3 วันนี้ ระหว่างนี้จะเร่งทำความสะอาด จัดระบบวงจรปิด และจัดระบบเชื่อมโยงกับระบบส่งต่อของ กทม. และโรงพยาบาลต่างๆ ถือเป็นการการสนับสนุนและแบ่งเบาภาระของ กทม.ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่ยังอยู่กับบ้าน ให้เข้าถึงการดูแลในมือแพทย์โดยเร็วที่สุด ลดการสะสมของผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้าน "ผู้ที่ติดเชื้อให้ติดต่อสายด่วนเพื่อเข้าระบบการจัดหาเตียงก่อน แต่หากรอแล้ว 3-4 วันยังไม่ได้เตียง ก็ให้มาที่ศูนย์แรกรับ โดยอาจมาด้วยตัวเองหรือให้ญาติพามา เมื่อมาถึงก็จะคัดกรองและประสานส่งต่อรักษาตามระบบ หากระบบการจัดการเตียงยังหาเตียงให้ไม่ได้ ศูนย์แรกรับก็จะรับตัวไว้รักษา ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยมีอุปกรณ์รักษาพยาบาลโรคโควิดครบถ้วน หรือหาก กทม.เตียงเต็มทั้งหมดและจำเป็นต้องได้รับเตียงดูแล เช่น เตียงไอซียู ก็สามารถส่งไปยังโรงพยาบาลในปริมณฑลได้ เนื่องจากศูนย์นี้เป็นการบริหารจัดการของกระทรวงสาธารณสุขเอง" นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ องค์การเภสัชกรรมมีแหล่งที่สามารถจัดซื้อได้หลายแหล่งและมีสารตั้งต้น เป็นความมั่นคงที่ทำให้มั่นใจว่ายาฟาวิพิราเวียร์จะไม่ขาดตลาด และจัดหามาให้คนไทยได้ จากนี้จะจัดหายาให้มีการหมุนเวียนในระบบ 2 ล้านเม็ดในทุกเดือน โดยหวังว่าไม่ต้องอยู่ในระดับนี้นาน เพียงประมาณ 2-3 เดือนก็น่าจะคลี่คลาย ********************************* 26 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมประสานกูเกิล-แอปเปิ้ลจัดการแอปกู้เงินเถื่อน
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ดีอีเอส เตรียมประสานกูเกิล-แอปเปิ้ลจัดการแอปกู้เงินเถื่อน ดีอีเอส เตรียมประสานกูเกิล-แอปเปิ้ลจัดการแอปกู้เงินเถื่อน รมว.ดีอีเอส มอบหมายผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ รับหนังสือร้องทุกข์จากตัวแทนกลุ่มเหยื่อแอปเงินกู้ผิดกฎหมาย โวยถูกแฮกข้อมูลไปข่มขู่ ประจาน เตรียมประสานตำรวจ ตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลการกระทำผิด ยื่นขอกูเกิ้ล และแอปเปิ้ล ถอดแอปผิดกฎหมายจากระบบ วอนประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยง พบแอปต้องสงสัย แจ้งเบาะแสผ่านเพจอาสาจับตาออนไลน์ วันนี้ (31 มี.ค.64) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มอบหมายให้ นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องทุกข์จากกลุ่มผู้ได้รับความเสียหายจากการถูกโจรกรรมข้อมูลจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน ซึ่งรวมตัวกันในชื่อกลุ่มแอนตี้หมวกกันน็อคออนไลน์ โดยได้รับคำร้องขอให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหาย ที่ทำการกู้เงินจากแอพพลิเคชั่นผิดกฎหมาย และนำมาสู่การถูกข่มขู่ คุกคาม ประจาน เนื่องจากมีการโจรกรรมข้อมูลสำคัญในโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ ได้ให้ความมั่นใจกับกลุ่มผู้เสียหายว่า จากข้อมูลที่ส่งมา กระทรวงฯ จะเร่งตรวจสอบ และประสานงานกับตำรวจในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการสืบสวนของตำรวจ ก็จะมีขั้นตอนดำเนินงาน เช่น ทางเทคนิค จะมีการตรวจสอบว่าแอปเงินกู้ผิดกฎหมายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ขณะที่ในส่วนของตัวผู้กระทำผิด จะมีการตรวจสอบความเชื่อมโยง ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง อีกทั้ง มีการตรวจสอบฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกด้านควบคู่กันไปด้วย โดยกระบวนการเหล่านี้ ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า จะรีบเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายในวงกว้าง นายเนวินธุ์ กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงฯ ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาแอปพลิเคชันผิดกฎหมาย ปัจจุบันยังมุ่งเรื่องการตรวจสอบเป็นหลัก เนื่องจากแอปที่มีเปิดให้บริการอยู่ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงแอปเงินกู้ผิดกฎหมาย ที่สร้างความเสียหายกับประชาชนล่าสุดนี้ มีการยื่นขอไปทางผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการมือถือ ได้แก่ แอปเปิ้ล และกูเกิล จึงเป็นข้อจำกัดของกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเพจอาสาจับตาออนไลน์ ที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ และรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่า แอปพลิเคชันใดที่เข้าข่ายหลอกลวงหรือผิดกฎหมายในข้อต่างๆ สามารถแจ้งเข้ามาได้ทาง inbox คลิก m.me/DESMonitor โดยจะมีทีมงานของกระทรวงฯ และของเพจช่วยกันจับตา ตรวจสอบ และสอบสวนหาข้อมูลให้ได้ ส่วนการดำเนินการบล็อกโดเมน หรือปิดแอปผิดกฎหมาย/ไม่เหมาะสมอย่างที่เคยดำเนินการมาแล้วนั้น ถ้าจะถอดถอดแอปเหล่านี้ออกจากระบบ ต้องผ่านขั้นตอนการประสานงานกับทางกูเกิล (มือถือระบบแอนดรอยด์) หรือแอปเปิ้ล (มือถือระบบ iOS) แต่ในเรื่องออนไลน์ต้องเข้าใจว่า มีการปิดและเปิดใหม่ได้ตลอด ดังนั้นเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมช่วยกันเป็นหูเป็นตา “อยากให้ประชาชนมีความตระหนักและรู้เท่าทันว่า แอปให้บริการผิดกฎหมายประเภทนี้ อย่างเช่น แอปเงินกู้ เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วพบว่า อัตราดอกเบี้ยมีลักษณะผิดแปลก และผิดกฎหมาย ก็ไม่ควรไปใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะสุดท้ายแล้วเกิดความเสียหายทั้งเรื่องเงิน ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการถูกแบล็คเมล์ ดังนั้นเราต้องระมัดระวังให้ดี โดยในส่วนของการถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ในอนาคตเมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2560 เต็มรูปแบบ ก็จะน่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง” นายเนวินธุ์กล่าว สำหรับแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต ระหว่างดีอีเอส และเจ้าของแพลตฟอร์ม หรือผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการบนมือถือ อาจมีการดำเนินการในลักษณะการขอความร่วมมือ เพื่อกำหนดบรรทัดฐานสำหรับเนื้อหา ที่เจ้าของแอปนั้นๆ จะมาขอเปิดให้ดาวน์โหลด ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และระยะต่อไปอาจมีการหารือกันเพื่อขอให้กระทรวงฯ เข้าไปมีส่วนร่วมในการคัดกรองในบางกรณีที่อาจเป็นแอปผิดกฎหมายด้วย ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่สำคัญ เพราะถ้าสามารถยับยั้งตั้งแต่ต้นตอได้ก่อนมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการมายับยั้งที่ปลายเหตุ ที่ต้องมีการตามแก้ปัญหา นอกจากนี้ กลุ่มผู้เสียหายจากแอปพลิเคชันเงินกู้ออนไลน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ได้รับความเสียหายกว่า 2,000 คน โดยแอปได้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญของผู้กู้ ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ 1.รายชื่อผู้ติดต่อ 2.ไฟล์ภาพและวิดีโอต่างๆ 3.ธนาคารออนไลน์ (Mobile Banking) 4.ตำแหน่ง (Location) 5.กล่องข้อความ (SMS) 6.บัญชีเฟซบุ๊ก 7.บัญชีไลน์ โดยที่ฝังมัลแวร์ไว้ในโทรศัพท์มือถือ เมื่อผู้กู้ทำการติดตั้งแอพพลิเคชั่น ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว หากผู้กู้ไม่ชำระยอดเงินกู้หรือเงินขยายเวลาตามกำหนด ทางแอปจะมีการโทรหรือส่งข้อมูลผ่าน SMS ไลน์ รวมถึงเฟซบุ๊ก โดยการแฮกข้อมูลและเข้าไปเปลี่ยนรหัสผ่านของผู้กู้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือนำเฟซบุ๊กของผู้เสียหายไปกระทำการโดยมิชอบ เพื่อเป็นการทวงถามโดยใช้วาจาไม่สุภาพ หยาบคาย ข่มขู่ คุกคามต่อชีวิต *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ร่วมลงนามการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก ร่วมลงนามการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และนายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับเพื่อต่อยอดการเชื่อมโยงข้อมูลจากปี 2563 สำหรับการให้บริการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax และตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) ของกรมการขนส่งทางบก ในวันที่ 30 มีนาคม 2564 ณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย นายจิรุตม์ วิศาลจิตร กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะลดระยะเวลาการให้บริการประชาชนที่มาติดต่องานด้านทะเบียนและภาษีรถ รวมทั้งลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าและไม่ถูกต้องในการรับชำระภาษีรถประจำปี สอดรับกับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 ซึ่งในปัจจุบันการรับชำระภาษีรถยังคงใช้หลักฐานการจัดทำประกันภัยรถที่ยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาความคุ้มครองเป็นเอกสารประกอบ (ในรูปแบบกระดาษ) ทำให้เกิดภาระทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการและหน่วยงานของรัฐในการจัดเก็บเอกสารหลักฐานดังกล่าว ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง ขบ. กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัยไทยครั้งนี้ เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ จะช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ให้กับประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อให้การบริการรับชำระภาษีรถประจำปีมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น จากเดิมประชาชนต้องใช้หลักฐานการทำประภัยทำรถภาคบังคับรูปแบบเอกสารเป็นเอกสารประกอบในการชำระภาษีรถประจำปี เมื่อการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงแล้วเสร็จประชาชนไม่ต้องแสดงหลักฐานในรูปแบบกระดาษอีกต่อไป ทำให้การรับชำระภาษีรถประจำปีเป็นไปแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ทั้งการรับชำระภาษีที่เคาน์เตอร์สำนักงาน ช่องทาง Drive Thru บริการรับชำระภาษีที่ห้างสรรพสินค้า หรือ Shop Thru for tax หรือผ่านระบบ e-Service ของ ขบ. และของหน่วยงานหรือหน่วยบริการต่าง ๆ ทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ถือเป็นความร่วมมือในการทำงานแบบเชิงรุกเพื่อส่งมอบบริการที่ดี มีคุณภาพ และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานในการลดระยะเวลา และขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ลดการใช้กระดาษและพื้นที่การจัดเก็บเอกสาร ทำให้การปฏิบัติงานชำระภาษีรถประจำปีถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้นและการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขบ. ยังคงมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะพัฒนางานให้บริการในทุกมิติ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการให้บริการกับประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบการให้บริการในทุกกระบวนงาน เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคปัจจุบัน และการดำเนินชีวิตในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืนต่อไป นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประชาชนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำรงชีวิตมากขึ้น คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ได้เล็งเห็นถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะในการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับและชำระภาษีรถประจำปี จึงได้พัฒนาระบบรายงานข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance System : CMIS) อย่างต่อเนื่องและเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุมทุกช่องทางการชำระภาษีรถประจำปีของ ขบ. ให้มีความรวดเร็ว โดยมีการเข้ารหัสทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัย ซึ่งภาพการทำงานของระบบเชื่อมโยงข้อมูลนี้คือเมื่อประชาชนมายื่นชำระภาษีรถประจำปี ขบ. จะส่งข้อมูลบางรายการเกี่ยวกับรถมายังสำนักงาน คปภ. เช่น เลขทะเบียนรถ ประเภทรถ เพื่อตรวจสอบประกันภัยรถภาคบังคับ และเมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวในระบบฐานข้อมูลของสำนักงาน คปภ. แล้ว ระบบจะแจ้งผลการตรวจสอบไปยัง ขบ. เพื่อใช้ประกอบการรับชำระภาษีรถประจำปีจนเสร็จสิ้น จากนั้นจะแจ้งผลกลับมาทางระบบของสำนักงาน คปภ. อีกครั้ง จะเห็นได้ว่าการพัฒนาระบบดังกล่าวจะช่วยลดภาระทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการและหน่วยงานของรัฐในการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจร ซึ่งจะเป็นการยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมธุรกิจประกันภัยไปสู่การประกันภัยดิจิทัลแบบครบวงจร สอดคล้องกับนโยบายการเป็นรัฐบาลดิจิทัลอีกด้วย ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ ขบ. คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลจึงได้ตกลงจะเก็บรักษาข้อมูลที่ได้จากความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไว้เป็นความลับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ตามที่ ขบ. และ คปภ. ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนา และนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาระบบการประกันภัยรถภาคบังคับ โดยเฉพาะจากเดิมเป็นการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อการตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ สำหรับการให้บริการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax และตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) ของ ขบ. เท่านั้น แต่ในวันนี้ได้มีการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับให้ครอบคลุมการชำระภาษีรถทุกช่องทาง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของรถได้รับประโยชน์ที่แท้จริง ทั้งยังสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้โดยสะดวกและรวดเร็ว ทั้งนี้ภาคธุรกิจประกันภัยรถยนต์ได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการรับประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถในการจัดหาประกันภัย รวมถึงการส่งเสริมให้มีการเข้าถึงประกันภัยได้ง่าย เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับประกันภัยเป็นระบบออนไลน์ การสนับสนุนและส่งเสริมให้สามารถรายงานข้อมูลต่อสำนักงาน คปภ. แบบ Real-time เพื่อให้มีศูนย์ข้อมูลกลางในการตรวจสอบการประกันภัยรถภาคบังคับ รวมถึงได้ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการประกันภัยรถภาคบังคับระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการและส่งเสริมการพัฒนาระบบการตรวจสอบการประกันภัยรถภาคบังคับให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้รถในประเทศไทยมีการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนและผู้ประสบภัยจากรถได้รับความคุ้มครองตามเจตนารมณ์ที่ได้มีการตรากฎหมายไว้แต่แรก ในวันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ร่วมกับ ขบ. และ คปภ. พัฒนาระบบถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลครบวงจร ทั้งระบบรับประกันภัยและระบบการชำระภาษีประจำปี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นรูปแบบที่มีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40528
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย”วาง “4 เป้าหมาย 15 นโยบาย” ขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรเดินหน้าสู่ปีที่ 130
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 "เฉลิมชัย”วาง “4 เป้าหมาย 15 นโยบาย” ขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรเดินหน้าสู่ปีที่ 130 "เฉลิมชัย”วาง “4 เป้าหมาย 15 นโยบาย” ขับเคลื่อนกระทรวงเกษตรเดินหน้าสู่ปีที่ 130 ดันจีดีพีภาคเกษตรสูงขึ้น หวังเพิ่มรายได้ขจัดความยากจนให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (31 มี.ค. 64) ว่าในวาระครบรอบ 129 ปี แห่งการสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 1 เมษายนนี้ และกำลังที่จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 130 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานสู่มิติใหม่ภายใต้เป้าหมายใหม่ ได้แก่ 1) เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีในประเทศสาขาเกษตรเฉลี่ย 3.8% ต่อปี 2) เพิ่มผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.2% ต่อปี 3) ลดเกษตรกรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี 4) เพิ่มพื้นที่ชลประทานไม่ต่ำกว่าปีละ 350,000 ไร่ ทั้งนี้ ภายใต้วิกฤติโควิด 19 ที่ผ่านมา ยอมรับว่ามีปัญหาอุปสรรคอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และยุทธศาสตร์บริหารการพัฒนาที่ชัดเจนสามารถปฏิบัติได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จึงได้วางแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรกรรม 5 ยุทธศาสตร์ และ15 นโยบายหลัก เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารสู่เป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3. ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety-Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน) 4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” และ 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา นอกจากนั้น ยังมีการกำหนด 15 นโยบายหลักที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบประกอบด้วย 1. นโยบาย “ตลาดนำการผลิต” เพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 2. การสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก 3. การส่งเสริมสถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ Start up 4. การส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) 5. การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) 6. การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร 7. การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ 8. การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม และแปลงใหญ่ 9. การส่งเสริมศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 10. การ ประกันภัยพืชผลให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียต่อพืชผล 11. การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร 12. การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน 13. การวิจัยและพัฒนา เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทย บนพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 14. การพัฒนาฐานข้อมูลสารสนเทศ Big Data โดยศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ และ 15. การประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทั้งหมดในเบื้องต้นเป็นแนวทางพัฒนาและปฏิรูปภาคการเกษตรไทยที่จะสร้างความมั่นคงให้เกษตรและคาดว่าจะสามารถขจัดความยากจนให้เกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในชื่อ กระทรวงเกษตรพานิชการ มีเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ขณะมีบรรดาศักดิ์ที่ "พระยาภาสกรวงศ์ "เป็นเสนาบดีคนแรกจนถึงปีนี้ครบ 129 ปี ที่กระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเกษตรกรรม การจัดหาแหล่งน้ำและพัฒนาระบบชลประทาน ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ส่งเสริมและพัฒนาระบบสหกรณ์ รวมตลอดทั้งกระบวนการผลิตและสินค้าเกษตรกรรม และราชการอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ระดมภาคีเครือข่ายพิจารณาร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการ มุ่งขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายหมดจากสังคมไทย
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ก.แรงงาน ระดมภาคีเครือข่ายพิจารณาร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการ มุ่งขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายหมดจากสังคมไทย กระทรวงแรงงาน จัดประชุมระดมสมองภาคีเครือข่ายกว่า 200 คน พิจารณาร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 3 ให้เกิดความสมบูรณ์และนำไปปฏิบัติใช้ เพื่อให้การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายหมดสิ้นไปจากสังคมไทย วันที่ 31 มีนาคม 2564 นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2565 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นโยบาย ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานดำเนินการเพื่อให้ปัญหาการค้ามนุษย์หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่เทียร์ 1 ให้ได้นั้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับนโยบายดังกล่าวมาสู่การปฏิบัติ โดยมอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 3 พ.ศ.2564-2565 เพื่อให้สอดรับการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 182 ว่าด้วยการห้ามและการดำเนินการโดยทันทีเพื่อขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก อีกทั้งปัญหาการใช้แรงงานเด็กของประเทศไทย เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอด จากรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในประเทศไทย ปี 2562 ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย 2,696 คน เป็นการใช้แรงงานเด็กในการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือค้ายาเสพติดมีจำนวนมากที่สุด 2,495 คน รองลงมาคือ การกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการใช้ จัดหา หรือเสนอเด็กเพื่อการค้าประเวณี จำนวน 106 คน การกระทำผิดที่เกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานเด็ก จำนวน 59 คน และการให้เด็กทำงานที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือศีลธรรมของเด็ก จำนวน 36 คน ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็กอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการใช้แรงงานเด็กก็ยังไม่ได้หมดไปจากประเทศไทย แรงงานเด็กบางส่วนยังต้องทำงานเนื่องจากครอบครัวยากจน โดยที่เด็กมีระดับการศึกษาไม่สูงนัก เมื่อเข้าสู่ระบบการทำงานจึงทำให้เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกชักจูงไปกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เด็กอาจทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี หรือทำงานที่เป็นอันตรายขาดการพักผ่อน ทำให้เด็กที่ทำงานมีปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขภาพจิตรวมทั้งการขาดโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาอาชีพ นางโสภา เกียรตินิรชา กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบให้ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการศึกษาการประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558–2563 พร้อมทั้งจัดทำนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย พ.ศ. 2564–2565 โดยการจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ จำนวน 200 คน ร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการฯ ฉบับสมบูรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดไปจากประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40519
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 พร้อมสานต่อความร่วมมือ เพื่อสร้างประชาคมแห่งความเอื้ออาทรและการแบ่งปัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 พร้อมสานต่อความร่วมมือ เพื่อสร้างประชาคมแห่งความเอื้ออาทรและการแบ่งปัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 พร้อมสานต่อความร่วมมือ เพื่อสร้างประชาคมแห่งความเอื้ออาทรและการแบ่งปัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้ (31 มี.ค. 64) เวลา 13.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ได้รับมอบหมายจาก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 (25th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Meeting) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าว จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม เยาวชน และการกีฬา (Ministry of Culture, Youth and Sports) ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนในปี 2564 โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วยคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เลขาธิการอาเซียน หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียนสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน นางพัชรี กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มีระเบียบวาระสำคัญ ดังนี้ 1) การรับทราบรายงานของประธานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งรวมถึงการนำเสนอแผนงานหลักในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศบรูไนดารุสซาลาม ภายใต้แนวคิดหลัก (Theme) “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เราก้าวหน้า” “We Care, We Prepare, We Prosper” และการพิจารณาเอกสารผลลัพธ์สำคัญภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวนทั้งหมด 32 ฉบับ อาทิ แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคเพื่ออนุวัติการปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐานในอาเซียน ค.ศ. 2021-2025 (Regional Plan of Action on Implementing the ASEAN Declaration on the Rights of Children in the Context of Migration) แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน (Regional Plan of Action for the Protection of Children against All Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN) ซึ่งทั้ง 2 ฉบับ เป็นเอกสารที่ประเทศไทย โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นผู้ริเริ่มและรับผิดชอบในการจัดทำ เป็นต้น 2) การรับรองร่างรายงานการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนครั้งที่ 25 เพื่อนำเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 3) การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม พร้อมทั้งกล่าวแสดงความยินดีต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยาวชน และการกีฬา ประเทศบรูไนดารุสซาลาม (Minister of Culture, Youth and Sports, Negara Brunei Darussalam) ในโอกาสการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของประเทศบรูไนดารุสซาลาม อีกทั้งได้รับทราบรายงานของประธานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน รวมถึงการนำเสนอแผนงานหลักในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศบรูไนดารุสซาลามภายใต้แนวคิดหลัก (Theme) การเป็นประธานอาเซียนในปี 2564 ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงอย่างมากกับความไม่แน่นอนและข้อท้าทายในปัจจุบันเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) และเป็นสาสน์ที่ชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความสามัคคีของอาเซียนในการต่อสู้กับสถานการณ์ดังกล่าว และการพิจารณาเอกสารผลลัพธ์สำคัญภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 นอกจากนี้ ยังได้แสดงความขอบคุณสำหรับการรวมเอกสารผลลัพธ์สำคัญ ซึ่งเสนอโดยประเทศไทยทั้งสองฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินการในอนาคตนั้น ประเทศไทยยังคงให้คำมั่นในการสานต่อความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหลาย เพื่อสร้างอาเซียนให้เป็นประชาคมแห่งความเอื้ออาทรและการแบ่งปัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2564 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2564 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2564 มีรูปแบบและความคุ้มครองเช่นเดียวกับปีการผลิต 2563 และมีการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยลดลง กล่าวคือ 1. ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยลดลงสำหรับการประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) โครงการฯ ปีการผลิต 2564 ซึ่งมีอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 96 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ลดลงจากโครงการฯ ปีการผลิต 2563 ที่มีอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้า ธ.ก.ส. 97 บาท/ไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 28 ล้านไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ 58 บาท และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. อีก 38 บาท 2. ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยลดลงสำหรับเขตพื้นที่ความเสี่ยงต่ำในส่วน Tier 1 ซึ่งมีอัตราเบี้ยประกันภัย 55 บาท/ไร่ ลดลงจากโครงการฯ ปีการผลิต 2563 ที่มีอัตราค่าเบี้ยประกันภัย 58 บาท/ไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 16 ล้านไร่ สำหรับเขตพื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง และสูงยังคงราคาเดิม คือ 210 บาท/ไร่ และ 230 บาท/ไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ ซึ่งจะได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจากภาครัฐ 55 บาท 3. อัตราเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจ (Tier 2) สำหรับเกษตรกรสามารถขอเอาประกันภัยเพิ่มเติมได้เมื่อเอาประกันภัยในส่วน Tier 1 แล้ว โดยแบ่งอัตราค่าเบี้ยประกันภัยเป็น 3 อัตรา ตามระดับความเสี่ยงภัยในแต่ละพื้นที่ คือ 24 48 และ 101 บาท/ไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ เช่นเดียวกับปีก่อน 4. วงเงินความคุ้มครองคงเดิม คือ วงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 1 อยู่ที่ 1,260 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ 1) น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก 2) ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง 3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4) ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ 6) ไฟไหม้ 7) ช้างป่า สำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 630 บาท/ไร่ และวงเงินความคุ้มครองสำหรับ Tier 2 อยู่ที่ 240 บาท/ไร่ สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท และสำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด อยู่ที่ 120 บาท/ไร่ 5. ระยะเวลาขายกรมธรรม์ประกันภัย กำหนดวันเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ และกำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์แตกต่างกันตามภูมิภาค คือ1) ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่ 1) จำนวน 42 จังหวัดกำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2564 2) ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่ 2) จำนวน 16 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 3) ภาคตะวันตก จำนวน 5 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2564 4) ภาคใต้ จำนวน 14 จังหวัด กำหนดวันสิ้นสุดการขายกรมธรรม์ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา สำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3696
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รมว.คลังร่วมการประชุม รมว.คลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 25 และการประชุม รมว.คลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 7 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเงินและเศรษฐกิจและผู้ว่าการธนาคารกลาง บรูไนดารุสซาลาม เป็นประธานร่วม ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนได้หารือกับผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารโลก และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศได้ให้ข้อเสนอแนะโดยเฉพาะการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure) นอกจากนี้ เลขาธิการอาเซียนได้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนในปี 2564 ที่ร้อยละ 5.2 ซึ่งฟื้นตัวจากปี 2563 ที่หดตัวร้อยละ 4.4 อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมขนส่ง การอำนวยความสะดวกด้านศุลกากร โดยเฉพาะด้านดิจิทัล และการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืนและทั่วถึงในระยะยาว นอกจากนี้ ที่ประชุม AFMGM ยังได้รับฟังข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้แทนภาคเอกชน ได้แก่ สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน สภาที่ปรึกษาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน และสภาที่ปรึกษาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน ในประเด็นความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมกลไกการระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความยั่งยืนของอาเซียน การส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงินสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) การส่งเสริมพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy) เพื่อสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) และความร่วมมือด้านภาษีอากรของประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ เป็นต้น รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศและช่วยให้ประชาชนเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของฐานข้อมูลดิจิทัลที่ถูกต้องจะช่วยให้การเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2. ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 25 และ AFMGM ครั้งที่ 7 ได้เห็นชอบประเด็นด้านการเงินที่ประธานอาเซียนต้องการผลักดันในปี 2564 ประกอบด้วย (1) การลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (2) การจัดสัมมนาให้ความรู้ทางการเงินของอาเซียน ในปี 2564 และ (3) การริเริ่มการพัฒนามาตรฐานและเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ด้านการเงินที่ยั่งยืนของอาเซียน (ASEAN Taxonomy on Sustainable Finance) ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนต่างเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันให้บรรลุประเด็นดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ 3. ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 25 ได้ติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือทางการเงินอาเซียนในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ด้านศุลกากร ด้านภาษีอากร ด้านการประกันภัย ด้านการระดมทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาตลาดทุน โดยที่ประชุมได้รับทราบความสำเร็จของ (1) การประเมินความเสี่ยงและให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงเพื่อประกอบการจัดทำแม่แบบ (Template) ของข้อมูลความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และข้อมูลความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติแล้วเสร็จใน 3 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และ (2) การดำเนินการเดินรถจริง (Full Live Operation) ของโครงการนำร่องระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ASEAN Customs Transit System: ACTS) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนใช้ประโยชน์จากระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window: ASW) และดำเนินโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operator: AEO) ภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมระบบความปลอดภัยทางโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อเสนอของประเทศไทยสำหรับการแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองการมีถิ่นที่อยู่เพื่อการรัษฎากรที่เป็นมาตรฐาน (Standardised Certificate of Residence: CoR) ของอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement: DTA) ระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. ที่ประชุม AFMGM ครั้งที่ 7 ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการในสาขาต่าง ๆ ภายใต้แผนงานการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน (Roadmap for Monetary and Financial Integration of ASEAN) และความร่วมมือด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนอาเซียน (ASEAN Sustainable Finance Cooperation) โดยที่ประชุมได้รับรองข้อริเริ่มการจัดทำ ASEAN Taxonomy ดังกล่าวซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาคตลาดทุน ภาคการธนาคารและภาคประกันภัย ที่จะเป็นการสนับสนุนการระดมทุนและการลงทุนในกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนของอาเซียน อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านนโยบายการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ของประเทศไทยต่อที่ประชุม โดยเฉพาะการผลักดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ประเทศไทย รวมถึงการเติบโตอย่างทั่วถึง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเท่าเทียมกันยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2563 กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ สบน. ยังมีแผนที่จะดำเนินการออกพันธบัตรเพิ่มเติมเพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่พันธบัตรและสนับสนุนการระดมทุนอย่างยั่งยืนต่อไป ปัจจุบันประเทศไทยมีการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและแผนการดำเนินการที่ส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน รวมถึงมีกลไกการระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศและผู้แทนภาคเอกชนข้างต้น นอกจากนี้ การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ที่มุ่งเน้นในด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน สำหรับการประชุม AFMM และ AFMGM ครั้งต่อไปในปี 2565 จะมีราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม - ช่วงต้นเดือนเมษายน 2565 สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3621/3615
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40532
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564 ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564 ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 69,339 ล้านบาท ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 69,339 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 101,664 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 10,545 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 181,548 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายแอลกอฮอล์ชาติ เห็นชอบแนวทางคุมน้ำเมาช่วงสงกรานต์ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ใช้ 2 ยาใหม่บำบัดผู้ติดสุรา
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 คกก.นโยบายแอลกอฮอล์ชาติ เห็นชอบแนวทางคุมน้ำเมาช่วงสงกรานต์ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ใช้ 2 ยาใหม่บำบัดผู้ติดสุรา คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางควบคุมน้ำเมาช่วงสงกรานต์ 3 ระยะ เน้นขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ให้แอลกอฮอล์เป็นศูนย์ ตั้งด่านชุมชนสกัดคนเมาในครอบครัวและชุมชน บูรณาการป้องกันโรคโควิด 19 พร้อมไฟเขียวจัดหายา Naltrexone และ Acamprosa คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบแนวทางควบคุมน้ำเมาช่วงสงกรานต์ 3 ระยะ เน้นขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ ให้แอลกอฮอล์เป็นศูนย์ ตั้งด่านชุมชนสกัดคนเมาในครอบครัวและชุมชน บูรณาการป้องกันโรคโควิด 19 พร้อมไฟเขียวจัดหายา Naltrexone และ Acamprosate เพิ่มประสิทธิภาพบำบัดรักษาผู้ติดสุรา เร่งรัดนำเข้าและขึ้นทะเบียนใช้แทนยาเดิม วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม โดย ดร.สาธิตกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ใน 3 ช่วง คือ 1.ช่วงก่อนเทศกาลวันที่ 15 มีนาคม - 9 เมษายน 2564 เน้นรณรงค์ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ การไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี วิเคราะห์ความเสี่ยงการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และจุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน2.ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2564 เน้นบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การตั้งด่านชุมชนให้ อสม.ดูแลคนในครอบครัวและชุมชนไม่ให้ผู้ดื่มขับรถออกสู่ถนน, การส่งต่อผู้ถูกคุมประพฤติความผิดฐานเมาแล้วขับเข้ารับการบำบัด และการตรวจวัดเลือดแอลกอฮอล์ผู้บาดเจ็บทางถนนอายุต่ำกว่า 20 ปีทุกราย หากปริมาณเกินมาตรฐานให้สอบสวนเอาผิดสถานที่หรือบุคคลที่จำหน่ายหรือให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่เด็กและเยาวชน และ 3.ช่วงหลังเทศกาลวันที่ 17-23 เมษายน 2564 ให้สรุปข้อมูลเพื่อปรับปรุงมาตรการในปีต่อไป นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับมติคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ให้บูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กำหนดเวลาห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางวัน บางเวลา บางพื้นที่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หรือจัดทำข้อตกลงความร่วมมือการจัดงานบุญ ประเพณีปลอดเหล้า ปลอดภัย ปลอดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของพื้นที่นั้นๆ ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบการใช้ยานาลเทรกโซน (Naltrexone) และยาอะแคมโพรเสต (Acamprosate) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาผู้ติดสุรา เนื่องจากในต่างประเทศมีการบรรจุยาทั้ง 2 ตัวในบัญชียาหลัก และพบว่าลดการเสพซ้ำได้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาไม่เกิน 3,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ พบว่ามีแหล่งผลิตที่ประเทศอินเดีย และมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จึงมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เร่งรัดการนำเข้าและขึ้นทะเบียนยา และจัดทำโครงการนำร่องการใช้ยาดังกล่าวในสถานบริการสาธารณสุขเพื่อใช้แทนยาเดิม *********************************** 31 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการ ม33 เรารักกัน สามารถใช้สิทธิ์ในระบบขนส่งสาธารณะ บขส. ขสมก. MRT ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการ ม33 เรารักกัน สามารถใช้สิทธิ์ในระบบขนส่งสาธารณะ บขส. ขสมก. MRT ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ... ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์โครงการ ม33 เรารักกัน สามารถใช้สิทธิ์ในระบบขนส่งสาธารณะ บขส. ขสมก. MRT ได้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว ตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ช่วยมีเงินใช้หลังเกษียณ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ไฟเขียว ตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ช่วยมีเงินใช้หลังเกษียณ ... แรงงานในระบบทุกกลุ่มต้องรู้ เกี่ยวกับกฎหมายฉบับล่าสุดที่ครม.มีมติเห็นชอบ นั่นก็คือ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งถือเป็นการสร้างวินัยการออมของประชาชนวัยทำงาน ในรูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบ โดยได้รับผลประโยชน์คืนในรูปแบบการจ่ายบำเหน็จบำนาญ ทำให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพหลังเกษียณ โดยมีกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล . ใครบ้างที่ต้องเป็นสมาชิกของ กบช.? ลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่ 15 - 60 ปี ทั้งลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวของราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ . สำหรับการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ กบช. จะกำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างส่งเงินสมทบแต่ละฝ่าย ดังนี้ • ปีที่ 1 – 3 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของค่าจ้าง • ปีที่ 4 – 6 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของค่าจ้าง • ปีที่ 7 – 9 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 ของค่าจ้าง • ปีที่ 10 เป็นต้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 - 10 ของค่าจ้าง โดยกำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน กรณีลูกจ้างเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ให้นายจ้างส่งเงินฝ่ายเดียว หากลูกจ้างและนายจ้างต้องการส่งเพิ่ม สามารถส่งเพิ่มได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของค่าจ้าง โดยไม่จำกัดเพดานค่าจ้าง . วิธีรับเงินจาก กบช. เมื่อสมาชิกอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญรายเดือนเป็นระยะเวลา 20 ปี แบ่งเป็น 3 กรณี 1. กรณีเลือกบำเหน็จ ได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินสะสมที่ลูกจ้างส่ง เงินสมทบจากนายจ้าง รวมผลตอบแทน 2. กรณีเลือกบำนาญ แล้วต้องการเปลี่ยนเป็นบำเหน็จก็สามารถทำได้ เช่น รับบำนาญแล้ว 5 ปี ต้องเปลี่ยนเป็นบำเหน็จ จะได้รับเงินเท่ากับเงินบำนาญ 15 ปีที่เหลือ 3. กรณีที่ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยจนใกล้ถึงแก่ชีวิตก่อนครบอายุ 60 ปี เมื่อออกจากงานแล้ว จะขอรับเงินสะสม เงินสมทบ บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ . สิทธิประโยชน์ทางภาษี ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสะสมและเงินสมทบ เงินผลประโยชน์ และเงินที่ได้รับเมื่อเกษียณอายุ . ซึ่งการส่งเงินเข้ากองทุนฯ นี้ จะเป็นสร้างหลักประกันรายได้หลังเกษียณแก่ลูกจ้าง ทำให้นายจ้างมีการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ลูกจ้าง และการออมภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ อีกทั้งช่วยบรรเทาภาระงบประมาณการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในอนาคต #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไฟเขียว! ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ – วัคซีนโควิด-19 ควรห่าง 4 สัปดาห์ ขยายเวลา! ยกเว้นภาษีหน้ากากอนามัย ถึง 30 ก.ย. 64 เฮ! อันดับไทยดีขึ้น ลดขยะพลาสติกในทะเลสำเร็จ เดินหน้ากวาดล้างยาเสพติด เพื่อความมั่นคงของชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตรัฐสุลต่านโอมานฯ กระชับความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการค้า การลงทุน
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตรัฐสุลต่านโอมานฯ กระชับความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการค้า การลงทุน นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตรัฐสุลต่านโอมานฯ กระชับความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการค้า การลงทุน วันนี้ (31 มีนาคม 2564) เวลา 9.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอิสซา อับดุลเลาะฮ์ ญาบิร อัลอาลาวี (H.E. Mr. Issa Abdullah Jaber Al-Alawi) เอกอัครราชทูตรัฐสุลต่านโอมานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ ที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิด ครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต40 ปี เมื่อปี 2563 พร้อมเชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตฯ จะสามารถสืบสานและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ตลอดจนผลักดันให้เกิดความร่วมมือในสาขาที่ไทยกับโอมานมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ด้านยางพารา ด้านอาหารฮาลาล ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และด้านสาธารณสุข โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังยินดีที่ทราบว่า เอกอัครราชทูตฯ มีประสบการณ์การทำงานด้านสาธารณสุขจึงหวังว่าจะเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เอกอัครราชทูตฯ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย พร้อมยืนยันที่จะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ไทยและโอมานมีร่วมกันในทุกมิติ ทั้งนี้ ไทยและโอมานเป็นมิตรประเทศที่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายมีพลวัต และครอบคลุมในทุกด้าน ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ หวังว่าไทยและโอมานจะใช้ประโยชน์จากความตกลงที่มีร่วมกันนำไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตกลงทางด้านสาธารณสุข ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ประโยชน์ โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวทางการปฏิบัติร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยต่างเห็นพ้องว่า ไทยและโอมานต่างเป็นพันธมิตรด้านการค้าและการลงทุนที่สำคัญของกันและกัน จึงควรใช้ความสัมพันธ์อันดีนี้ ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเพิ่มมูลค่าการค้า และการลงทุนระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพของทำเลที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทยและโอมาน ซึ่งมีชายฝั่งติดกับอ่าวอาหรับและมหาสมุทรอินเดีย เป็นช่องทางให้ทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างมากขึ้น ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้โอมานเข้ามาลงทุนในสาขาต่าง ๆ ที่มีความสนใจ ทั้งทางด้านเกษตรกรรม ประมง รวมถึงการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ด้านเอกอัครราชทูตฯ ยินดีส่งเสริมให้นักลงทุนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเช่นกัน พร้อมกันนี้ได้หารือเรื่องการจัดตั้งตลาดที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ของไทยในโอมาน เนื่องจากชาวโอมานจำนวนมากชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของไทย และจะเป็นช่องทางเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายให้มากยิ่งขึ้น สำหรับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยเป็นเป้าหมายที่สำคัญของชาวโอมานในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยกำลังพิจารณาปรับลดจำนวนวันในการกักตัวจากเดิม 14 วัน เหลือ 10 วัน และผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศสำหรับบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จึงพร้อมสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวชาวโอมานเดินทางกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง ด้านเอกอัครราชทูตฯ ยินดีกระชับความร่ววมือทางด้านการท่องเที่ยวกับไทยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40515
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำทีมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดในพื้นที่กรุงเทพฯ 6 จุด
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รัฐมนตรีเกษตรฯ นำทีมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดในพื้นที่กรุงเทพฯ 6 จุด รัฐมนตรีเกษตรฯ นำทีมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดในพื้นที่กรุงเทพฯ 6 จุด รวม 3 ล้านตัว ตั้งเป้าฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ สร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานกิจกรรม ปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืด “โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาน้ำจืด”พร้อมด้วยดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายประยูรอินสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายมีศักดิ์ภักดีคงอธิบดีกรมประมง ณ โรงเรียนสุเหร่าศาลาแดง เขตหนองจอก กรุงเทพ ว่าจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ และคงความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งต้องการคุ้มครองและสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยสัตว์น้ำเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรประมงน้ำจืดให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่ให้เห็นคุณค่าของทรัพยากร ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ จึงได้จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืด ภายใต้โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาน้ำจืด ในวันนี้ จำนวนทั้งสิ้น 3 ล้านตัว ใน 6 จุดพื้นที่กรุงเทพฯ ครอบคลุม 3 เขต ได้แก่ เขตหนองจอก เขตมีนบุรี และเขตลาดกระบัง "จากการลงพื้นที่เขตหนองจอกที่ผ่านมาได้แก้ไขปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำให้แก่เกษตรกรและพบว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีแหล่งน้ำสาธารณะโดยรอบประกอบกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของเกษตรกรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้มอบหมายให้กรมประมงจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดภายใต้โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาน้ำจืดขึ้นในแหล่งน้ำสาธารณะครอบคลุมเขตหนองจอกมีนบุรีและลาดกระบังรวมปล่อยพันธุ์ปลาทั้งสิ้น 3 ล้านตัวเพื่อเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้แก่เกษตรกรและประชาชนในบริเวณนี้รวมทั้งได้ถือโอกาสมาดูเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวและต้องพึ่งพาน้ำในการทำการเกษตรนอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆด้วยอาทิกรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยชนิดอื่นเป็นการหมุนเวียนและสร้างรายได้โดยการขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆรวมทั้งศูนย์ AIC ที่กระจายทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดพร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมและงานวิจัยต่างๆเพื่อขยายผลโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรฯไปสู่เกษตรกรและประชาชนและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรนั่นหมายถึงเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืนนั่นเอง" รัฐมนตรีเกษตรฯกล่าว ด้านนายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาน้ำจืด” กำหนดจักขึ้นในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จำนวน 3 เขต ซึ่งนับเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งอาหารที่สำคัญของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง โดยจะปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดและสนับสนุนพันธุ์ปลาน้ำจืด ให้แก่ชุมชนนำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะบริเวณใกล้เคียงจำนวนรวมทั้งสิ้น 3 ล้านตัว ประกอบด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลากระแห ปลากาดำ ปลาตะเพียนทอง และปลาหมอไทย โดยกำหนดจุดปล่อยพร้อมกันจำนวน 6 จุด ดังนี้ จุดที่ 1 : โรงเรียนสุเหร่าศาลาแดง แขวงหนองจอก เขตหนองจอก กรุงเทพฯ จุดที่ 2 : วัดทองสัมฤทธิ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ จุดที่ 3 : วัดพลมานีย์ แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ จุดที่ 4 : โรงเรียนวัดทรัพย์สโมสรนิกรเกษม แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ จุดที่ 5 : โรงเรียนนารีราษฎร์ประดิษฐ์ (วัดพระยาปลา) แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ จุดที่ 6 : ถนนคนเดินคลองลำไทร แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ สำหรับการจัดงานในวันนี้นอกจากจะมีการปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะแล้ว กรมประมงได้จัดพื้นที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรมประมงให้คำแนะนำข้อมูลความรู้ทางด้านวิชาการไว้บริการให้แก่ประชาชนที่ร่วมงานสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเกษตรกรชาวประมง เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อเป็นการปลูกสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นถิ่นของตนเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำสูงสุดด้วย” อธิบดีกรมประมง กล่าว.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40517
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"โลหิต 44,250ซีซี ให้ด้วยหัวใจ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ"
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 "โลหิต 44,250ซีซี ให้ด้วยหัวใจ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ" สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี และบรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนโลหิตในห้วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ ห้องพินิตประชานาถในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว มี คุณ รมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ร่วมบริจาคโลหิต โดยมียอดการบริจาคทั้งสิ้น 44,250ซีซี #กลาโหมเทิดราชารักษ์ราษฎร์ชาติมั่นคง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.เสริมทัพ ผู้นำยุคใหม่หัวใจสีเขียว ติวเข้ม หลักสูตร ปธส.รุ่นที่ 8
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ทส.เสริมทัพ ผู้นำยุคใหม่หัวใจสีเขียว ติวเข้ม หลักสูตร ปธส.รุ่นที่ 8 ทส.เสริมทัพ ผู้นำยุคใหม่หัวใจสีเขียว ติวเข้ม หลักสูตร ปธส.รุ่นที่ 8 ทส.เสริมทัพ ผู้นำยุคใหม่หัวใจสีเขียว ติวเข้ม หลักสูตร ปธส.รุ่นที่ 8 วันนี้ (31 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 8 (ปธส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"โลหิต 61,200ซีซี ให้ด้วยหัวใจ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ"
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 "โลหิต 61,200ซีซี ให้ด้วยหัวใจ หนึ่งคนให้ หลายคนรับ" สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี และบรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนโลหิตในห้วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ ห้องรับรอง ชั้น M อาคาร สป. พื้นที่ศรีสมาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว มี คุณ รมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ร่วมบริจาคโลหิต โดยมียอดการบริจาคทั้งสิ้น 61,200 ซีซี #กลาโหมเทิดราชารักษ์ราษฎร์ชาติมั่นคง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40504
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท พานาโซนิค แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) เข้าพบ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รมว.สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท พานาโซนิค แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท พานาโซนิค แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) เข้าพบ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สปอ. วันนี้ (31 มีนาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายอิโตะ ฮิเดคาสึ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ของพานาโซนิคในประเทศไทยให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สปอ.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางผ่อนคลายเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรณีวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สนับสนุนมาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ เร่งผลักดันเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 กรมบัญชีกลางผ่อนคลายเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรณีวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สนับสนุนมาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ เร่งผลักดันเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 เรื่อง มาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อเร่งรัดสนับสนุนให้เม็ดเงินจากระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เพื่อจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 เรื่อง มาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อเร่งรัดสนับสนุนให้เม็ดเงินจากระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เพื่อจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อประโยชน์ในการติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของหน่วยรับงบประมาณ รวมทั้งติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐอื่น ๆ คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (กวจ) จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. การนำร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ จากเดิม กำหนดให้วงเงินเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท ปรับเป็น วงเงินเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000,000 บาท ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ที่จะให้มีการเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการหรือไม่ก็ได้ 2. การซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่ง ซึ่งมีวงเงินเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000,000 บาท ตามข้อ 48 ไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงระยะเวลาในการให้ผู้ประกอบการเตรียมการจัดทำเอกสารเพื่อยื่นข้อเสนอ สำหรับการซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่ง ซึ่งมีวงเงินเกิน 100,000,000 บาท ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ไม่น้อยกว่า 20 วันทำการ และการจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง โดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่ประกาศและเอกสารการจ้างที่ปรึกษา และเผยแพร่ประกาศและเอกสารการจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ “แนวทางปฏิบัติฯ ดังกล่าว กำหนดให้ใช้กับเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เท่านั้น เพื่อให้การเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณฯ เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว สอดรับกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณ อันจะส่งผลให้มีเม็ดเงินจากระบบงบประมาณรายจ่ายและการใช้จ่ายภาครัฐอื่น ๆ ลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 รพ.ราชวิถี
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ปลัดสธ. ติดตามการฉีดวัคซีนโควิด 19 รพ.ราชวิถี ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมการจัดบริการวัคซีนโควิด 19 ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่โรงพยาบาลราชวิถี ล่าสุดบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม. นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มาดูความพร้อมการจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ พบว่าทำได้เป็นอย่างดี ฉีดได้วันละ 800 โดส โดยมี 4 จุดบริการ ครบทั้ง 8 ขั้นตอนตามมาตรฐาน ให้บริการสะดวก ลื่นไหลดี สถานที่อากาศถ่ายเทดี ไม่แออัด เจ้าหน้าที่มีความพร้อมในการฉีด มีระบบเก็บวัคซีนที่ได้มาตรฐาน และมีการลงทะเบียน คัดกรอง, จุดเตรียมฉีดวัคซีน, จุดฉีดวัคซีน, จุดพักสังเกตอาการ 30 นาที มีทีมแพทย์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ ให้การดูแลใกล้ชิด, การลงทะเบียนหมอพร้อมก่อนกลับบ้าน การนัดหมายรับการฉีดเข็มที่ 2 และการติดตามอาการหลังฉีด 1 วัน, 7 วัน และ 30 วันทางไลน์หมอพร้อม และการติดตามจากบุคลากรของโรงพยาบาล โดยวันนี้ ฉีดวัคซีนได้ 400 โดส เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ได้รับจำนวน 1,600 โดส ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนที่อายุมากกว่า 60 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคไตวาย มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งจะมีรายชื่ออยู่ในระบบของโรงพยาบาล และมารับการฉีดวัคซีนตามนัดหมาย ภายหลังการฉีดไม่พบรายใดมีอาการไม่พึงประสงค์ มีเพียงบางรายที่มีไข้ เวียนศีรษะเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ภายหลังการฉีดวัคซีนทั่วไปคาดว่าจะฉีดได้ครบภายในสัปดาห์นี้ สำหรับวัคซีนซิโนแวคที่โรงพยาบาลราชวิถีได้รับจำนวน 2,299 โดส ได้ฉีดเข็มที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่สมัครใจรับวัคซีน ครอบคลุมประมาณร้อยละ 70 – 80 ของบุคลากรโรงพยาบาล ไม่พบรายใดมีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงเช่นกัน *********************** 31 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจยังคงเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ดันการลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ”
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 “รัฐวิสาหกิจยังคงเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ดันการลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ” ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 รัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรงมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผน โดยสามารถเบิกจ่ายได้ 94,048 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 รัฐวิสาหกิจ 43 แห่ง ที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรงมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผน โดยสามารถเบิกจ่ายได้ 94,048 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ประกอบด้วยการเบิกจ่ายงบลงทุน 5 เดือนของรัฐวิสาหกิจระบบปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - เดือนกุมภาพันธ์ 2564) 34 แห่ง จำนวน 78,566 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม และการเบิกจ่ายงบลงทุน 2 เดือนของรัฐวิสาหกิจระบบปีปฏิทิน (เดือนมกราคม 2564 - กุมภาพันธ์ 2564 ) 9 แห่ง จำนวน 15,482 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 108 ของแผนเบิกจ่ายสะสม นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเสริมว่า ช่วงต้นปี 2564 รัฐวิสาหกิจหลายแห่งสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กปภ.) โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี ของ รฟม. โครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของ รฟท. งานก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาของ กปภ. โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกตะวันตกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และโครงการปรับปรุงระบบส่งภาคตะวันออกเสริมความมั่นคงของ กฟผ. ทั้งนี้ มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เบิกจ่ายล่าช้า เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ของ รฟท. โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 - 2) ของ กฟผ. โครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายระยะที่ 1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แผนก่อสร้างศูนย์บริหารทางพิเศษ กทพ. (ระยะที่ 2) ของ กทพ. และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ ของ รฟท. นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ภาพรวมของรัฐวิสาหกิจยังคงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ดีและเป็นไปตามแผน สำหรับโครงการลงทุนที่เริ่มมีการเบิกจ่ายล่าช้า สคร. จะเข้าไปร่วมตรวจสอบสาเหตุและแก้ไขปัญหากับรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมายและช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในเรื่องการลงทุนภาครัฐ นอกจากนี้ สคร. ได้พัฒนาระบบติดตามและรายงานข้อมูลผลการเบิกจ่ายงบลงทุน (Dashboard) ของรัฐวิสาหกิจ ให้มีฐานข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้นและทุกคนสามารถเข้าดูได้ผ่านเว็บไซต์ของ สคร. ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ โดยระบบ Dashboard จะทำให้การกำกับและติดตามการดำเนินงานการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ....
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ครม.มีมติเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2564 อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. คนบ.) และร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. คนบ.) และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. คนบ. มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการ นโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญให้ครอบคลุมผู้พ้นวัยทำงานทั้งหมด เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีความเป็นธรรม และยั่งยืน รวมทั้งกำกับดูแลให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการหรือกำกับดูแลระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับระบบบำเหน็จบำนาญของภาครัฐและเอกชน และเพื่อให้นโยบายด้านบำเหน็จบำนาญเป็นไปในแนวทางเดียวกัน สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. กบช. คือ การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติซึ่งเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ครอบคลุมลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้แรงงานในระบบได้มีการออมเพื่อการเกษียณเพิ่มเติม มีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ก่อนเกษียณซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอในการดำรงชีพ โดยให้มีการจ่ายเงินเข้ากองทุนจาก 2 ฝ่าย คือ ลูกจ้างและนายจ้าง ซึ่งเมื่ออายุครบ 60 ปี ลูกจ้างจะสามารถเลือกรับบำเหน็จหรือเลือกรับบำนาญเป็นระยะเวลา 20 ปี นอกจากนี้ กบช. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีระบบข้อมูลสำหรับใช้ประโยชน์ในการยกระดับการบริหารจัดการระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทั้งระบบ สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3643 โทรสาร 0 2273 9987
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40507
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. จับมือ กรมการขนส่งทางบก ชวนธุรกิจประกันภัยพัฒนาระบบเทคโนโลยี เชื่อมข้อมูลการทำประกันภัย พ.ร.บ. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเต็มพิกัด
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 คปภ. จับมือ กรมการขนส่งทางบก ชวนธุรกิจประกันภัยพัฒนาระบบเทคโนโลยี เชื่อมข้อมูลการทำประกันภัย พ.ร.บ. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเต็มพิกัด พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ระหว่าง สำนักงาน คปภ. กรมการขนส่งทางบก และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อต่อยอดการเชื่อมโยงข้อมูลจากปี 2563 วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ระหว่าง สำนักงาน คปภ. กรมการขนส่งทางบก และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อต่อยอดการเชื่อมโยงข้อมูลจากปี 2563 ที่จัดให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ สำหรับการให้บริการชำระภาษีรถยนต์ประจำปี ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax และตู้รับชำระภาษีรถประจำปีอัตโนมัติ (Kiosk) ของกรมการขนส่งทางบก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันประชาชนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำรงชีวิตมากขึ้น สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ได้เล็งเห็นถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะในการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ และชำระภาษีรถประจำปี จึงได้มีการพัฒนาระบบรายงานข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance System : CMIS) อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุมทุกช่องทางการชำระภาษีรถประจำปีของกรมการขนส่งทางบกให้มีความรวดเร็ว โดยมีการเข้ารหัสทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัย ซึ่งภาพการทำงานของระบบเชื่อมโยงข้อมูลนี้ คือ เมื่อประชาชนมายื่นชำระภาษีรถประจำปี กรมการขนส่งทางบกจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับรถมายังสำนักงาน คปภ. อาทิ เลขทะเบียนรถ ประเภทรถ เพื่อตรวจสอบประกันภัยรถภาคบังคับ และเมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวในระบบฐานข้อมูลของสำนักงาน คปภ. แล้ว ระบบจะมีการแจ้งผลการตรวจสอบไปยังกรมการขนส่งทางบก เพื่อใช้ประกอบการรับชำระภาษีรถประจำปีจนเสร็จสิ้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการพัฒนาระบบดังกล่าว จะช่วยลดภาระทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ และหน่วยงานของรัฐในการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจร ซึ่งจะเป็นการยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมธุรกิจประกันภัยไปสู่การประกันภัยดิจิทัลแบบครบวงจร และสอดคล้องกับนโยบายการเป็นรัฐบาลดิจิทัลอีกด้วย รวมทั้งจะเป็นการลดความสิ้นเปลืองในการใช้กระดาษ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย คำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูล จึงจะมีระบบเก็บรักษาข้อมูลที่ได้จากความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้อย่างปลอดภัยเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะลดระยะเวลา การให้บริการกับประชาชนที่มาติดต่อดำเนินงานด้านทะเบียนและภาษีรถ รวมทั้งลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าและไม่ถูกต้องในการรับชำระภาษีรถประจำปี สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนโยบายรัฐบาลที่ต้องการนำระบบราชการในปัจจุบันยกระดับสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 ซึ่งในปัจจุบันการรับชำระภาษีรถยังคงใช้หลักฐานการจัดทำประกันภัยรถที่ยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาความคุ้มครองเป็นเอกสารประกอบ (ในรูปแบบกระดาษ) ทำให้เกิดภาระทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ และหน่วยงานของรัฐในการจัดเก็บเอกสารหลักฐานดังกล่าว สอดรับกับนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน บูรณาการและยกดับระบบราชการไทยสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 สำหรับนายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้กล่าวขอบคุณทางกรมการขนส่งทางบก และสำนักงาน คปภ. ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนา และนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาระบบการประกันภัยรถภาคบังคับ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากภาคประชาชนจะได้ประโยชน์แล้ว ภาคธุรกิจประกันภัยก็จะได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนการใช้กระดาษ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนา E- Policy อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต โดยภาคธุรกิจประกันภัยจะเร่งในการนำเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในโครงการนี้อย่างเต็มที ในช่วงท้ายทั้ง 3 ฝ่าย ได้ร่วมกันแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน โดยเลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวสรุปตอนท้ายว่า “การพัฒนาระบบครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือแบบ cross-sector โดยหน่วยงาน คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลในฝั่งของภาคการเงินไปร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านคมนาคม โดยมีการบูรณาการร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยแบบครบวงจร เป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นโมเดลความร่วมมือที่มุ่งถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ นับเป็นก้าวที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลที่สมบูรณ์ ทั้งระบบรับประกันภัยและระบบการชำระภาษีประจำปี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นต้นแบบของความร่วมมืออื่นๆ ที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนประโยชน์ของประชาชนต่อไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การมีผลบังคับใช้ความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM Agreement) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 การมีผลบังคับใช้ความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM Agreement) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ได้ลงนามในความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ได้ลงนามในความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งความตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 โดยความตกลงฉบับนี้ มีสาระสำคัญประกอบด้วย 1. การเพิ่มสัดส่วนเงินช่วยเหลือที่สมาชิกจะให้ความช่วยเหลือระหว่างกันโดยไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) จากเดิมร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของวงเงินความช่วยเหลือสูงสุดที่จะได้รับ 2. การยินยอมให้สามารถเลือกสมทบหรือขอรับความช่วยเหลือภายใต้กลไก CMIM เป็นเงินสกุลท้องถิ่นตามหลักความสมัครใจ และภายใต้วงเงินรวมคงเดิมที่ 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. การแก้ไขประเด็นทางเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงการยกเลิกการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงกรุงลอนดอน (London Interbank Offered Rate: LIBOR) เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง โดยการแก้ไขความตกลงในครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างให้ CMIM ซึ่งเป็นกลไกให้ความช่วยเหลือที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน+3 มีประสิทธิภาพและความพร้อมในการดำเนินการอันเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและสมาชิกเพิ่มขึ้น สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3622
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบเงินบริจาคจากบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด และบริษัท จีทีอี เกรททู เอสท์ จำกัด ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์โควิด-19
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 พม. รับมอบเงินบริจาคจากบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด และบริษัท จีทีอี เกรททู เอสท์ จำกัด ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์โควิด-19 พม. รับมอบเงินบริจาคจากบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด และบริษัท จีทีอี เกรททู เอสท์ จำกัด ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (31 มี.ค. 64) เวลา 13.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับมอบเงินบริจาคจำนวน 255,555 บาท จากบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหมายการค้าภายใต้ชื่อ SKYMED และบริษัท จีทีอี เกรททู เอสท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตซีรีย์ เรื่อง “BROTHERS The Series รักนะน้องชาย รักนายครับผม” โดยมีนาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ประธานกรรมการบริหารฯ บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด เป็นผู้มอบเงินบริจาค นางพัชรี กล่าวว่า วันนี้ ตนขอขอบคุณบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด และบริษัท จีทีอี เกรททู เอสท์ จำกัด ที่ได้มอบเงินบริจาคให้กระทรวง พม. โดยศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. จะนำไปจัดซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อาทิ ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ และคนพิการ นมผงสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้รับบริการซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน คนพิการ และผู้สูงอายุ รวมทั้งคนไร้ที่พึ่ง ในความดูแลของสถานสงเคราะห์และสถานคุ้มครองฯ สังกัดกระทรวง พม. รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เนื่องจากกระทรวง พม. ไม่สามารถดำเนินการดูแลช่วยเหลือได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องอาศัยภาคเอกชนและภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมบริจาคสิ่งของหรือเงินสด โดยกระทรวง พม. จะนำไปมอบให้ถึงมือและตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคทุกประการ นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันบริจาคสิ่งของและเงิน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน และอยู่ในภาวะยากลำบาก ได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคาร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. และโทรศัพท์ 0 2659 6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40534
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี รองปลัดฯ อำพันธุ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาองค์กร และมอบนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญให้กับคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสุพรรณบุรี วันอังคารที่30มีนาคม2564นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจในการพัฒนาองค์กรการพัฒนาปรับปรุงสำนักงานสถานที่ทำงานให้Smartตามหลักการ5ส.เพื่อให้เกิดความสะดวกสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยอันจะเอื้อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานพร้อมทั้งมอบนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายโดยมีนางสาวพจนาเสมาเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสุพรรณบุรีและคณะเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ งัดกลยุทธ์ดัน สตาร์ทอัพคอนเน็คดีพร้อม รุ่น 2 โยงเครือข่าย – ขยายตลาดเฟ้นหาสุดยอด Deep Tech จับคู่เจรจาธุรกิจ คาดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 500 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน 2564 สุริยะ งัดกลยุทธ์ดัน สตาร์ทอัพคอนเน็คดีพร้อม รุ่น 2 โยงเครือข่าย – ขยายตลาดเฟ้นหาสุดยอด Deep Tech จับคู่เจรจาธุรกิจ คาดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 500 ล้านบาท ก.อุตฯ โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เร่งสนับสนุนสตาร์ทอัพ ให้มีความพร้อมผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น รุ่นที่ 2 มุ่งเน้นการสนับสนุนเงินทุนเพื่อขยายฐานตลาดและสร้างเครือยข่าย ผลักดันการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงพาณิชย์ กรุงเทพฯ31มีนาคม2564 -กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือดีพร้อม(DIPROM)เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพให้มีความพร้อมผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup Connect)รุ่นที่2มุ่งเน้นการสนับสนุนเงินทุนเพื่อขยายฐานตลาดและสร้างเครือยข่ายผลักดันการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงพาณิชย์ผ่านกลยุทธ์ในการขยายเครือข่ายผู้ประกอบการขยายเครือข่ายเงินทุนขยายเครือข่ายตลาดและขยายเครือข่ายนานาชาติโดยคัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ25ทีมในกลุ่มอุตสาหกรรมดีพเทคเจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด(Business Matching)กับบริษัทภาคเอกชนที่สนใจร่วมลงทุน(CVC)เพิ่มศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเชิงพาณิชย์คาดว่าเกิดการร่วมลงทุนคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า500ล้านบาท นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือดีพร้อม(DIPROM)เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพ(Startup)ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า2,000รายให้มีทักษะทางธุรกิจเพื่อการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ซึ่งพบว่าอุปสรรคของการเติบโตของสตาร์ทอัพคือปัญหาด้านต้นทุนของธุรกิจทั้งต้นทุนในเชิงทักษะ ทางธุรกิจและต้นทุนในเชิงจำนวนเงินจึงได้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือStartup Connectในประเภทอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงโดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงหรืออุตสาหกรรมดีพเทค(Deep Technology)สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดนวัตกรรม เพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพ จากบริษัทเอกชนชั้นนำที่สนใจลงทุน(CVC)ในการต่อยอดธุรกิจโดยมีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมทักษะและการพัฒนาโมเดลธุรกิจจำนวน25ทีมคาดว่าจะเกิดความร่วมมือทางธุรกิจผ่านการสนับสนุนเงินทุนกว่า500ล้านบาท สำหรับกลยุทธ์ในการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพใช้กลไกการเชื่อมโยงธุรกิจเพื่อส่งเสริมเงินทุนและการตลาดในการสนับสนุนให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จซึ่งประกอบด้วย4แนวทางได้แก่การขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพเพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพมาบ่มเพาะให้มีความพร้อมในการนำเสนอโมเดลธุรกิจกับนักลงทุนการขยายเครือข่ายเงินทุนโดยการสร้างเครือข่ายกับบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพและสนใจร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับการบ่มเพาะเพื่อสร้างความมั่นใจในการร่วมดำเนินธุรกิจการขยายเครือข่ายตลาดโดยส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมหรือเครือข่ายนำโซลูชั่นของสตาร์ทอัพไปใช้งานจริงเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพและนวัตกรรมของไทยและการขยายเครือข่ายนานาชาติเพื่อต่อยอดไปยังตลาดที่มีมูลค่าสูงขึ้นรองรับความต้องการจากต่างประเทศ นายณัฐพลรังสิตพลอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(ดีพร้อม)กล่าวว่าดีพร้อมดำเนินกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup Connect)คัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ25ทีมจากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า100ทีมดำเนินการบ่มเพาะความรู้ด้านธุรกิจอย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม2564ที่ผ่านมาและจัดกิจกรรมการจับคู่เจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด(Business Matching)สนับสนุนให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนคุณภาพและสามารถต่อยอดธุรกิจในตลาดใหม่เพิ่มโอกาสในการขยายฐานตลาดไปยังต่างประเทศโดยดีพร้อมมุ่งเน้นคัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ4สาขาที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดโลกได้แก่สาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม(Industrial Tech)สาขาเทคโนโลยีการแพทย์(Medical Tech) สาขาเทคโนโลยีการเงิน(Fin Tech)และสาขาไลฟ์สไตล์(Lifestyle Tech)ซึ่งมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอาทินวัตกรรมแพลตฟอร์มวินิจฉัยปัญหาและควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัจฉริยะที่สามารถประหยัดพลังงานได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ20นวัตกรรมระบบเก็บข้อมูลหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรถบรรทุกแบบอัตโนมัติผ่านระบบAIและกล้องCCTVนวัตกรรมช่องทางการรับชำระเงินที่หลากหลาย(Payment Gateway)พร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า(CRM Feature Subscription)นวัตกรรมเครื่องช่วยฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าวิธีการกายภาพบำบัดและนวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นกระแสไฟฟ้า(BioCircuit)เป็นต้น “นวัตกรรมที่ผ่านการคัดเลือกและบ่มเพาะส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นจากการกำหนดปัญหาเป็นมูลเหตุต่อยอดพัฒนาเป็นนวัตกรรมโดยผนวกองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาซึ่งถือเป็นจุดเด่นของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทยโดยดีพร้อมพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีศักยภาพในการต่อยอดนวัตกรรมเชิงพาณิชย์และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสู่แหล่งเงินทุนคุณภาพเพิ่มอัตราการอยู่รอดของธุรกิจใหม่และสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมในอนาคต”นายณัฐพลกล่าวทิ้งท้าย อย่างไรก็ดีโครงการเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup Connect)ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจการส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการโดยกิจกรรมการจับคู่เจรจาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการตลาด(Business Matching)จัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ณThe Groundsชั้น31อาคารG Towerกรุงเทพฯสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเลขานุการกรมกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโทรศัพท์0 2202 4414-18หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่www.facebook.com/dipindustryและwww.dip.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติก เริ่ม 16 เม.ย. 64
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติก เริ่ม 16 เม.ย. 64 กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ตั้งแต่ปี 2553 นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ตั้งแต่ปี 2553 โดยกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ายาจำนวน 3 รายการ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติก (Rheumatic Disease Prior Authorization : RDPA) ประกอบด้วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด และโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้าเป็นอย่างสูง จึงทำให้มีรายการยาชีววัตถุ (Biologic drugs) หรือยาสังเคราะห์มุ่งเป้า (Targeted therapies) ซึ่งเป็นยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่ใช้ในการรักษากลุ่มโรครูมาติกเพิ่มมากขึ้น กรมบัญชีกลางร่วมกับสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์สำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและครอบคลุมการรักษาที่จำเป็นมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มการเข้าถึงยาในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก โดยกำหนดรายการยาจำนวน 8 รายการ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติกให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้ ประกอบด้วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อและกระดูกสันหลังอักเสบ โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดมีอาการทางซิสเต็มมิก และโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดไม่มีอาการทางทางซิสเต็มมิก โดยจะเริ่มใช้สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป การเบิกค่ายารักษาผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติกข้างต้นในระบบเบิกจ่ายตรง ให้สถานพยาบาลดำเนินการลงทะเบียนแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วย และส่งข้อมูลตามโปรโตคอลที่กำหนดในระบบ RDPA เพื่อขออนุมัติเบิกจ่ายค่ายา หรือขอต่ออายุการเบิกจ่ายค่ายา หรือขอหยุดการใช้ยา สำหรับผู้ป่วยรายเดิมที่เคยได้รับการอนุมัติเบิกจ่ายค่ายาในระบบ RDPA แล้ว ให้เบิกจ่ายตรงค่ายาได้จนกว่าจะหยุดการรักษาด้วยยาดังกล่าว อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเบิกจ่ายค่ายาของสถานพยาบาลที่ผ่านมามีการส่งเบิกค่ายาเกินอัตราที่กรมบัญชีกลางกำหนดส่งผลให้ต้องมีการเรียกเงินคืนค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาล และอาจเกิดข้อโต้แย้งจากสถานพยาบาล ดังนั้น เพื่อให้การส่งเบิกค่ายาของสถานพยาบาลเป็นไปอย่างถูกต้อง จึงกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายา บางรายการ โดยให้ใช้กับการรักษาทุกข้อบ่งชี้ เช่น ยา Infliximab และ Secukinumab ใช้ในการรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรครูมาติกและผู้ป่วยกลุ่มโรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการทบทวนอัตราการเบิกค่ายาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สำหรับอัตราเบิกจ่ายค่ายาที่กำหนดนั้น ให้มีผลใช้บังคับสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 127 7000 ต่อ 6850 ในวัน เวลาราชการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-NT หนุน บขส. เดินเครื่องสู่ศูนย์กลางธุรกิจการขนส่งด้วยรถโดยสารครบมิติ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 NT หนุน บขส. เดินเครื่องสู่ศูนย์กลางธุรกิจการขนส่งด้วยรถโดยสารครบมิติ NT สนับสนุน บขส. นำเทคโนโลยีดิจิทัลบริหารการให้บริการรถโดยสาร เพิ่มความปลอดภัย พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจการขนส่งด้วยรถโดยสารที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ดร.สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมลงนามความร่วมมือในการศึกษา พัฒนา และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการดิจิทัล ณ ห้อง ออดิทอเรียม สำนักงานใหญ่ NT ถนนแจ้งวัฒนะ สำหรับความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ สองหน่วยงานจะร่วมกันศึกษา พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมภารกิจของ บขส. สู่การเป็นศูนย์รวมการขนถ่ายผู้โดยสารและพัสดุภัณฑ์ด้วยรถโดยสารทั่วประเทศ และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านให้มีมาตรฐานและมีความทันสมัย อาทิ บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง บริการสถานีขนส่งอัจฉริยะ (Smart terminal) ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และการพัฒนาระบบงานดิจิทัลต่าง ๆ ของ บขส. ให้พร้อมติดตั้งในระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) ซึ่งเป็นระบบกลางในการให้บริการ Cloud Service สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีมาตรฐานและปลอดภัยที่ NT เป็นผู้ให้บริการเพื่อรองรับการใช้งานการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ ดร.สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง บขส. และ NT ในการศึกษา พัฒนา และให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการดิจิทัล ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะนำและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ มาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่มาใช้บริการรถโดยสารและสถานีขนส่งฯ ของ บขส. มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของ บขส. ที่จะดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสาร ให้เป็น Smart Digital Transport ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ บขส. มีนโยบายจะปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็น Smart Digital Transport 4 ด้าน คือ 1. SMART Station (Modern Bus) การพัฒนาบริการ ปรับปรุงรถโดยสาร และสถานีขนส่งให้ทันสมัย 2. SMART Product & Service เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น มีระบบ WiFi บนรถโดยสารและสถานีขนส่งฯ 3. SMART Asset พัฒนาสถานีหลัก เช่น สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(จตุจักร) ให้สอดคล้องกันกับสถานีกลางบางซื่อ หรือโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และ 4. SMART Firm นำระบบเทคโนโลยี Digital มาบริหารจัดการ เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรให้ทันสมัย เพิ่มทักษะให้กับพนักงานเตรียมตัวเข้าสู่ “Digital Transport” นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า “เบื้องต้น NT ได้ดำเนินการสำรวจจุดติดตั้ง Free WiFi แล้วซึ่งคาดว่าจะติดตั้งประมาณ 160 จุด ให้ครอบคลุมบริเวณสถานีรับ-ส่งผู้โดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารและบุคคลทั่วไปที่มาใช้บริการในพื้นที่สถานี สามารถเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ต รวมถึงบริการดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทั้งนี้ในส่วนของการพัฒนาในด้านอื่นๆ ของ บขส. นั้น NT พร้อมที่จะนำศักยภาพของโครงข่ายตลอดจนระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่มาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของ บขส. ให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) รวมถึงประชาชนที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) รวมถึงประชาชนที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้เร่งรัดดำเนินการติดตามและตรวจสอบการกระทำทุจริตในกรณีต่าง ๆ รวมถึงประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว โดยหากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้า และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนั้น กระทรวงการคลังขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไข ทางไปรษณีย์มาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) ของโครงการเราชนะที่ [email protected] โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 70,010 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการเราชนะแล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 102,915 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 10,800 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะแล้ว รวมทั้งสิ้น จำนวน 32.5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 183,725 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3423 3424 3425 3427 และ 3429 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯวรวรรณ เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สปอ.
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รองปลัดฯวรวรรณ เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สปอ. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สปอ. ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 สปอ. วันนี้ (31 มีนาคม 64) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีการติดตามผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2564 และชี้แจงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสำนักงานฯ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 สปอ.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ปี 2565
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ปี 2565 วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปี 2565 วงเงิน 366,500 ล้านบาท รวมกว่า 48,600 โครงการ สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปี 2561-2580) มุ่งเน้นการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค สร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการน้ำท่วม คุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน แผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ำอย่างสมดุล โดยบูรณาการเชิงพื้นที่ แก้ไขและบรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันเชิงนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนแผนงานและโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40510
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย ตัวแทนแอสตร้าเซนเนก้า ชมวัคซีนที่ผลิตในไทยได้มาตรฐานดีเยี่ยม
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 อนุทิน เผย ตัวแทนแอสตร้าเซนเนก้า ชมวัคซีนที่ผลิตในไทยได้มาตรฐานดีเยี่ยม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) เข้าพบ และชื่นชมการผลิตวัคซีนในไทย ทำตามกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเคร่งครัด มาตรฐานดีเยี่ยม วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังมร. เจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) เข้าพบหารือความคืบหน้าการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในประเทศไทย ว่า ประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ได้กล่าวชื่นชม บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ผู้ผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ในประเทศไทย ที่มีกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ดำเนินการตามขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเคร่งครัดผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการเป็นที่น่าพอใจ มาตรฐานดีเยี่ยมเกินคาดหมาย พร้อมกันนี้ ตนได้ให้ความมั่นใจกับประธานบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ว่า เมื่อวัคซีนผลิตสำเร็จพร้อมนำมาใช้ กระทรวงสาธารณสุขโดย อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะให้ความร่วมมือเต็มที่ในการตรวจสอบคุณภาพ (Lot Release) และเอกสาร นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ พร้อมร่วมพัฒนาวัคซีนให้ครอบคลุมสายพันธุ์อื่นๆ เช่น สายพันธุ์แอฟริกาที่แอสตร้าเซนเนก้ากำลังจะศึกษาวิจัยพัฒนาต่อไป ************************************ 31 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40531
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง อำนวยความสะดวกและปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน พร้อมเปิดฟรีชั่วคราวมอเตอร์เวย์หมายเลข 6
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 กรมทางหลวง อำนวยความสะดวกและปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน พร้อมเปิดฟรีชั่วคราวมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 10 เม.ย. 64 – 15 เม.ย. 64 คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก กรมทางหลวงจึงได้เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนสู่ภูมิภาคต่างๆ ตั้งเป้าลดการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตบนโครงข่ายทางหลวงอย่างน้อยร้อยละ 5 ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยได้สั่งการให้สำนักงานทางหลวงและแขวงทางหลวงทั่วประเทศ ดำเนินการตรวจสอบป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจร ไฟฟ้าแสงสว่างและไฟกะพริบให้พร้อมใช้งาน ตรวจสอบและแก้ไขจุดเสี่ยงและจุดอันตราย พร้อมบำรุงรักษาทางหลวงให้อยู่ในสภาพดี จัดรถบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ทางเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสียและยังได้ขอความร่วมมือผู้รับจ้างคืนผิวทางในพื้นที่ก่อสร้างทุกโครงการ ซึ่งหากพบว่ามีปริมาณจราจรหนาแน่นจะทำการประสานงานกับตำรวจทางหลวง ในการสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรหรือการจัดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้จัดตั้งจุดให้บริการทั่วไทย 421 แห่ง โดยได้บูรณาการร่วมกับตำรวจทางหลวงและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งภายในจุดบริการทั่วไทยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการประชาชนผู้ใช้ทางตลอด 24 ชั่วโมง อาทิ การให้ข้อมูลเส้นทาง แนะนำเส้นทางเลือก บริการน้ำดื่ม รวมทั้ง แอลกอฮอล์เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันและควบคุมเชื้อไวรัส โควิด-19 พร้อมทั้งได้จัดเตรียมจุดห้องน้ำบริการประชาชน 581 แห่ง (ในพื้นที่หมวดทางหลวงทั่วประเทศ) อีกด้วย อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวต่อไปว่า กรมทางหลวงได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรุงเทพ – ชลบุรี – พัทยา ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 บางปะอิน – บางพลี และพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 2564 นอกจากนี้ จะเปิดให้บริการวิ่งฟรีชั่วคราวบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ช่วง ปากช่อง – สีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 9 – 19 เมษายน 2564 เพื่อรองรับการเดินทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย โดยผู้ใช้ทางสามารถติดตามการรายงานสภาพจริงการจราจร Online แบบ Real time ผ่านแอพพลิเคชั่น M-Traffic (ทางหลวงพิเศษ) / Thailand Highway Traffic และ QR code รวมทั้ง เฟสบุ๊ค “ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุกรมทางหลวง” อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางขับขี่ด้วยความระมัดระวังปฏิบัติตามกฎจราจร วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เตรียมร่างกาย ให้พร้อม เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทาง หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ร่วมเป็นหุ้นส่วนพัฒนาประเทศ ไฟเขียวแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 1
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รัฐบาลสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ร่วมเป็นหุ้นส่วนพัฒนาประเทศ ไฟเขียวแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 1 รัฐบาลสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ร่วมเป็นหุ้นส่วนพัฒนาประเทศ ไฟเขียวแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 1 วันที่ 31 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ว่า ครม. เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ระยะที่ 1 (พ.ศ.2564 – 2565) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจจุบันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม หรือปัญหาอื่น ๆ มีความซับซ้อนมากกว่าในอดีต ทำให้หน่วยงานรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งองค์กรภาคประชาสังคมเป็นกลไกสำคัญในการจัดการปัญหาของชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ ร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมให้มีศักยภาพและมีบทบาทเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาประเทศ 2) ผลักดันกฎหมาย นโยบาย และกลไกที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมให้เกิดความเข้มแข็ง 3) ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการความรู้และพัฒนาฐานข้อมูลองค์กรภาคประชาสังคม และ 4) สร้างกรอบทิศทางการส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม ให้ภาคีภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานต่อไป โดยการขับเคลื่อนจะดำเนินการภายใต้ 4 แผนงาน ด้วยงบประมาณ รวม 81 ล้านบาท ดังนี้ 1) แผนพัฒนาศักยภาพขีดความสามารถขององค์กรภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็งและมีธรรมาภิบาล 2) แผนพัฒนากฎหมาย นโยบาย กลไก มาตรการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคม 3) แผนพัฒนาองค์ความรู้การศึกษาวิจัยเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความเข้มแข็งองค์กรภาคประชาสังคม และ 4) แผนส่งเสริมสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมให้เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศและเชื่อมโยงการทำงานในระดับภูมิภาคและประชาคมโลก นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรภาคประชาสังคมให้เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศและเชื่อมโยงการทำงานในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับองค์กรภาคประชาสังคม ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมอย่างสร้างสรรค์ เพิ่มโอกาสการทำงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนรับประทานอาหารร่วมกัน จุดเสี่ยงติดโควิด 19 ย้ำการ์ดอย่าตก
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 สธ. เตือนรับประทานอาหารร่วมกัน จุดเสี่ยงติดโควิด 19 ย้ำการ์ดอย่าตก กระทรวงสาธารณสุข เตือนการรับประทานอาหารร่วมกัน มีโอกาสแพร่และรับเชื้อโควิด 19 ได้ รวมทั้งการเดินทางและพบญาติผู้ใหญ่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองเคร่งครัด การ์ดอย่าตก ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข เตือนการรับประทานอาหารร่วมกัน มีโอกาสแพร่และรับเชื้อโควิด 19 ได้ รวมทั้งการเดินทางและพบญาติผู้ใหญ่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองเคร่งครัด การ์ดอย่าตก ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ส่วนการฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมายเป็นไปตามแผน เตรียมระบบทุกจังหวัดให้พร้อมฉีดวัคซีนประชาชนล็อตใหญ่ในเดือนมิถุนายนนี้ วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 42 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 19 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 5 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 18 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และรักษาหายเพิ่มขึ้น 47 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 31 มีนาคม 2564มีผู้รักษาหายแล้ว 23,249 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 1,343 ราย และเสียชีวิตสะสม 34 คน ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อใน 3 จังหวัด ได้แก่ กทม. 10 ราย สมุทรสาคร 11 ราย สมุทรปราการ 3 ราย นายแพทย์เฉวตรสรรกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีการพบผู้ติดเชื้อจากค้นหาเชิงรุกที่เป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) รายใหม่อีก 3 ราย พบว่ามีการรับประทานอาหารร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อรายก่อนหน้า มีการถอดหน้ากาก และพูดคุยกันระหว่างรับประทานอาหาร ทำให้มีโอกาสแพร่และรับเชื้อสูง นอกจากนี้ จากการสอบสวนโรคยังพบเจ้าหน้าที่บริการตักอาหารให้กับผู้ต้องกักที่หย่อนมาตรการป้องกันตนเอง เช่น สวมชุด PPE ไม่ถูกต้อง ไม่เคร่งครัดในการสวมหน้ากาก จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ ขณะนี้ได้ปรับบริการอาหารผู้ต้องกักเป็นอาหารกล่อง เพื่อลดการสัมผัสลดความเสี่ยงการรับและแพร่เชื้อ นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีวันหยุดยาว ประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถสาธารณะ มีความเสี่ยงติดเชื้อได้ ต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเอง ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พกเจลแอลกอฮอล์ และหมั่นล้างมือ หากมีไข้ ไอ ขอให้งดการเดินทางออกไปก่อน สำหรับลูกหลานที่กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ขอให้หลีกเลี่ยงการกอดสัมผัสผู้สูงอายุ รักษาระยะห่าง และสวมหน้ากากตลอดเวลา เพราะมีโอกาสแพร่เชื้อโควิด 19 ให้กับผู้สูงอายุได้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เรารัก ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 30 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมายแล้ว 180,477 โดส แบ่งเป็นฉีดเข็มแรก จำนวน 151,413 ราย ฉีดเข็มที่ 2 จำนวน 29,064 ราย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ สำหรับแผนกระจายวัคซีนซิโนแวค 8 แสนโดสที่จะเริ่มฉีดในเดือนเมษายนนี้ในทุกจังหวัด โดยส่งให้ 22 จังหวัด ฉีดเพื่อควบคุมการระบาดใน 6 จังหวัด จำนวน 3.5 แสนโดส, ฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ท่องเที่ยว 8 จังหวัด จำนวน 2.4 แสนโดส และพื้นที่ชายแดน 8 จังหวัด จำนวน 5 หมื่นโดส และส่งให้จังหวัดใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับการจัดสรรวัคซีน จำนวน 52 จังหวัด รวม 1.6 แสนโดส ฉีดให้กับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อสม. ซึ่งจะช่วยให้ระบบการฉีดวัคซีนของทุกจังหวัดมีความพร้อมบริการประชาชนทั่วประเทศ เมื่อเริ่มฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือนมิถุนายนนี้ **************************** 31 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ ณ ห้องชุณหะวัณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (30 มีนาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ คณะผู้บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายโมะริคาซุ ชกคิ ประธานกรรมการ นายเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงใหม่ พร้อมหารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างบริษัทและกระทรวงอุตสาหกรรมในโอกาสต่อไป โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยะปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องชุณหะวัณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบวุฒิบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรมการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกระบวนการผลิต Manufacturing Logistics Operations
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบวุฒิบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรมการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกระบวนการผลิต Manufacturing Logistics Operations นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบวุฒิบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรมการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกระบวนการผลิต Manufacturing Logistics Operations ณ ห้องมุขมนตรี โรงแรมเจริญโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี : วันนี้ (31 มีนาคม 2564) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบวุฒิบัตรและกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกระบวนการผลิต Manufacturing Logistics Operations ภายใต้โครงการเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม ปีงบประมาณ 2564 ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน โดยจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความด้านโลจิสติกส์ ซัพพลายเชนและลดต้นทุนของสถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนายติณห์ เจริญใจ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 นางสาวชลาริน นิลพิฤกษ์ ผู้อำนวยการกองโลจิสติกส์ นายเจษฎา ถาวรศักดิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและประสานเครือข่าย และเจ้าหน้าที่กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องมุขมนตรี โรงแรมเจริญโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 พระสงฆ์วัดในกรุงเทพมหานคร
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 สธ. ถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 พระสงฆ์วัดในกรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและอธิบดีกรมการแพทย์ นำทีมบุคลากรทางการแพทย์ ถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 แด่พระสงฆ์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโควิด 19 วันนี้ (31 มีนาคม 2564) ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถระสมาคม เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร และสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เปิดโครงการถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 แด่พระสงฆ์จากวัดในกรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่การระบาดและพื้นที่เสี่ยง 13 จังหวัด ตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ – 30 มีนาคม 2564 รวม 180,477 โดส โดยเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 151,413 โดส และเข็มที่ 2 จำนวน 29,064 โดส สำหรับพระสงฆ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่ม เนื่องจากมีความใกล้ชิดประชาชน จำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนโควิด 19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดความรุนแรง ลดการป่วย และการเสียชีวิตจากโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดหน่วยบริการฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นศูนย์กลางวัดในเขตสัมพันธวงศ์มีทั้งหมด 9 วัด นอกจากนี้ ได้ให้กรมการแพทย์จัดทำแนวทางการให้บริการวัคซีนนอกสถานที่ เพื่อให้การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ลดความแออัดการรับบริการในโรงพยาบาล “แม้ว่าพระสงฆ์จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ในการจัดพิธีทางศาสนา ยังคงต้องปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข แบบนิวนอร์มัล มีการคัดกรองวัดไข้ จัดจุดล้างมือ เว้นระยะห่าง จำกัดจำนวนคน หรือจัดเหลื่อมเวลา เพื่อลดความแออัด รวมทั้งยังคงป้องกันตัวเอง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม และหมั่นล้างมือ” ดร.สาธิตกล่าว ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในวันนี้ มีพระสงฆ์เข้ารับบริการการฉีดวัคซีนโควิด 19 รวม 151 รูป ในจำนวนนี้ มีอายุ 18 – 59 ปี 10 เดือน จำนวน 124 รูป และอายุมากกว่า 59 ปี 10 เดือน จำนวน 27 รูป โดยจัด 8 ขั้นตอนตามมาตรฐาน ตั้งแต่การคัดกรอง ซักประวัติ ไปจนถึงการสังเกตอาการ 30 นาทีหลังฉีด มีทีมแพทย์ดูแลใกล้ชิด พร้อมรถพยาบาลส่งต่อ และจะฉีดให้พระสงฆ์ในกทม. และจังหวัดอื่นต่อไป ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติล่าสุด (ข้อมูล 30 มีนาคม 2564) มีพระสงฆ์ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 14,479 รูป และมีวัดทั้งหมด 457 วัด *********************************** 31 มีนาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40530
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กลาโหมเพื่อประชาชน"
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 "กลาโหมเพื่อประชาชน" พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการจัดกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี ณ บริเวณลานภูธเรศ ชุมชนแพร่งภูธร โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ชุมชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหมเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับการจัดกิจกรรม ประกอบด้วย การบริจาคโลหิตสำหรับประชาชนในชุมชน การบริการตัดผมให้กับประชาชน การมอบยาสามัญประจำบ้าน การมอบถังดับเพลิง และดวงไฟส่องสว่าง การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขและแมว การสาธิตการทำเจลล้างมือ โดยวิทยากรจิตอาสา 904 การมอบถุงยังชีพให้กับผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ชุมชน ซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมได้เดินมอบตามบ้านให้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ชุมชนในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ได้รับทราบถึงความเป็นมา และความสำคัญของวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม รวมถึงได้รับทราบถึงความรักความห่วงใยที่มีร่วมกัน ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กับประชาชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งจะก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารกับชุมชนต่อไป #ทหารของพระราชา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งเนปาลประจำประเทศไทยและคณะ เข้าพบ
วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งเนปาลประจำประเทศไทยและคณะ เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งเนปาลประจำประเทศไทยและคณะ เข้าพบ ณ ห้องรับรอง 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (30 มีนาคม 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายคเณศ ประสาท ธกาล (H.E. Mr. Ganesh Prasad Dhakal) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งเนปาลประจำประเทศไทยและคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในภาพรวมและด้านอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยะปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40516
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติไฟไหม้รถบัสที่ขอนแก่น
วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564 นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติไฟไหม้รถบัสที่ขอนแก่น นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติไฟไหม้รถบัสที่ขอนแก่น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบเหตุไฟไหม้รถทัวร์โดยสาร 2 ชั้น บนถนนมิตรภาพ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นแล้ว โดยเพลิงได้ลุกไหม้รถทัวร์โดยสารจนเสียหายหมดทั้งคันซึ่งมีผู้โดยสารเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะโดยสารชั้นที่ 2 ของรถทัวร์ โดย 2 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำชับให้หน่วยงานเร่งดูแล และให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่และดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด นายกฯยังแสดงความห่วงใยประชาชน ในการเดินทางช่วงวันหยุด โดยขอให้ตรวจสอบสภาพยานพาหนะให้ดี พร้อมเดินทางไกลรวมทั้ง เมาไม่ขับ ยึดกฎจราจร อีกทั้ง บางจังหวัดมีพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และขอให้หน่วยงาน เช่น คมนาคม ตำรวจ ทหาร ดูแลทั้งเส้นทางคมนาคม ให้เดินทางได้อย่างสะดวก และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง รวมทั้งย้ำว่าขอให้ทุกคนใช้ถนน ยานพาหนะขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท ด้วย ............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ 'วราวุธ'​ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่​ควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่​ 2​ เชียงราย ย้ำ!​ ดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19
วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564 รมว.ทส.​ 'วราวุธ'​ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่​ควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่​ 2​ เชียงราย ย้ำ!​ ดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 รมว.ทส.​ 'วราวุธ'​ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่​ควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่​ 2​ เชียงราย ย้ำ!​ ดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 รมว.ทส.​ 'วราวุธ'​ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่​ควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่​ 2​ เชียงราย ย้ำ!​ ดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 วันนี้​ (13​ เมษายน​ 2564) เวลา​ 13.30 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​​ (รมว.ทส.) พร้อมด้วย​​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (ปกท.ทส.)​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม​พบปะพูดคุย​ พร้อมมอบเครื่องอุปโภค​ บริโภค​ และอุปกรณ์สำหรับใช้ในการปฏิบัติงาน​ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานดับไฟป่า​และเครือข่าย​อาสมัครฯ​ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย​ โดยมี​ นายประจญ​ ปรัชญ์สกุล​ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับ​ ณ​ ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่​ 2​ (เชียงราย) ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ อำเภอเชียงแสน​ จังหวัดเชียงราย รมว.ทส.​ ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่​ เครือข่ายอาสาสมัครฯ​ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​(อปท.)​ และพี่น้องประชาชนทุกคน​ ที่ได้ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง​ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน​ รวมทั้ง​ จากการทำโครงการและกิจกรรมต่าง​ ๆ​ อาทิ​ โครงการชิงเก็บก่อนเผา​ โครงการลดการเผาฯ​ เป็นต้น​ จนทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์​ ค่าความร้อน​ หรือจุด​ Hotspot ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาถึง​ 50​ เปอร์เซ็นต์​ รมว.ทส.​ กล่าวต่อว่า​ “ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน​ และขอให้ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์​ รักษาระยะห่าง​ หมั่นล้างมือ​ และปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเฝ้าระวังโรคโควิด-19​ โดยขอให้คำมั่นว่า​ กระทรวงฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกคน​ มีขวัญกำลังใจปฏิบัติงานในทุก​ ๆ​ ปี​ ต่อไป" โอกาสนี้​ รมว.ทส.​ ยังได้กล่าวอวยพรเนื่องในวันสงกรานต์​ ประจำปี​ 2564​ ว่า​ “ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย​โปรดดลบันดาลให้เจ้าหน้าที่ เครือข่ายอาสาสมัครทุกท่าน​ รวมทั้ง​ อปท.​ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน​ ประสบแต่สิ่งที่ดี มีความสุข​ มีกำลังกาย​ กำลังใจ​ สติปัญญา​ และกำลังทรัพย์ ในการปฏิบัติงานให้กับประเทศชาติ​ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​และประชาชนตลอดไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รณรงค์จัดกิจกรรมสงกรานต์แบบ New Normal
วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564 รณรงค์จัดกิจกรรมสงกรานต์แบบ New Normal วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ในรูปแบบ New Normal ริน รด พรม ใส่หน้ากาก ไม่สาดน้ำ เน้นจัดงานสงกรานต์ในพื้นที่โล่งแจ้ง งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของคนหมู่มากและสัมผัสใกล้ชิดกัน เช่น งดรวมกลุ่มเล่นสาดน้ำ งดประแป้ง งดเล่นปาร์ตี้โฟม จัดพิธีรดน้ำดำหัวแบบเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัส และสวมหน้ากากอนามัยเสมอ และดูแลตนเองในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตามมาตรการป้องกันโรคโควิด19 อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากไม่มีความจำเป็นขอให้อยู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40913