title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” คาด 2-3 สัปดาห์โควิดเริ่มลดลง พร้อมให้กำลังใจบุคลากร | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
“อนุทิน” คาด 2-3 สัปดาห์โควิดเริ่มลดลง พร้อมให้กำลังใจบุคลากร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยระบบสาธารณสุขทั่วประเทศสามารถคุมโรคโควิด 19 ได้ คาด 2-3 สัปดาห์จะเริ่มลดลง พร้อมให้กำลังใจบุคลากรอย่างเต็มที่ในการดูแลผู้ป่วยและควบคุมโรคยันนายกฯ ไม่ได้ตำหนิสายด่วน 1668
วันนี้ (22 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลายฝ่ายได้ช่วยกันทำงานเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 อย่างดีที่สุด ระบบสาธารณสุขทั่วประเทศสามารถคุมสถานการณ์ได้ที่สำคัญคือ ความร่วมมือของประชาชน จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มนิ่ง หากผ่านพ้นวงรอบการระบาดเดือนเมษายนประมาณ 2-3 สัปดาห์ คาดว่าจะกลับเป็นปกติ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าจะได้รับวัคซีนโควิด 19 ครบถ้วนภายในสัปดาห์นี้ ย้ำว่าแม้จะรับวัคซีนแล้วยังต้องป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังมีโอกาสติดเชื้อได้ วัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิต ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ร่วมกันอดทนฟันฝ่าอุปสรรคโรคโควิด 19 ไปด้วยกัน
“ไม่เฉพาะรัฐมนตรีและปลัดที่ให้กำลังใจ ประชาชนทุกคนก็เป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเต็มที่ ทุกคนพร้อมลุยงานสู้โควิดเพื่อประชาชน ยังไม่เห็นบุคลากรคนไหนที่ไม่เข้าไปดูแล ไม่ไปรักษาผู้ป่วยเลย มีแต่พร้อมเข้าไปเสริมช่วยทำงาน เมื่อตั้ง รพ.สนาม โรงพยาบาลในพื้นที่อื่นที่มีการระบาดน้อยก็จัดแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรจิตอาสาผลัดเวรกันไปสนับสนุน นี่คือสปิริตของบุคลากร” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ภายใน 1-2 วันนี้ จะมียารักษาโรคโควิด 19 ฟาวิพิราเวียร์เข้ามาอีก 2 ล้านเม็ด และมีการบริหารจัดการระหว่างองค์การเภสัชกรรมและผู้ใช้ยาให้มีความเพียงพอกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละวัน ส่วนกรณีสายด่วน 1668 ที่สายอาจไม่ว่าง นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตำหนิ เพียงแต่ให้ช่วยดูปัญหาดังกล่าว ซึ่งเราก็พยายามปรับปรุงเพิ่มคู่สาย ตอนนี้คนโทรเข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากคนสงสัยติดเชื้อหรือติดเชื้อแล้วก็อยากคุยกับแพทย์ให้มากที่สุด แต่ละสายจำเป็นต้องใช้เวลาในการพูดคุย ทำความเข้าใจ และให้คำแนะนำ อาจติดสายอื่นอยู่ การไม่ได้รับสายก็มีเหตุผล โดยอธิบดีกรมการแพทย์จะไปบริหารจัดการเรื่องนี้ ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์นั้น บุคลากรที่รับสายก็เข้าใจว่าช่วงนี้ประชาชนอาจเครียด เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด
*************************************** 22 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41111 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ให้โรงพยาบาลหัวหิน เพิ่มเตียงรับผู้ป่วยโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
อนุทิน ให้โรงพยาบาลหัวหิน เพิ่มเตียงรับผู้ป่วยโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลหัวหินเพิ่มเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 เนื่องจากอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ พร้อมปรับปรุงวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการหัวหิน เป็นหอผู้ป่วย 141 เตียง พร้อมเปิดโรงพยาบาลสนาม 5 แห่ง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลหัวหินเพิ่มเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19เนื่องจากอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ พร้อมปรับปรุงวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการหัวหิน เป็นหอผู้ป่วย 141 เตียง พร้อมเปิดโรงพยาบาลสนาม 5 แห่ง รวม 450 เตียง
บ่ายวันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่โรงพยาบาลหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โควิด 19 และการจัดตั้งCohort Wardการรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในโรงพยาบาลหัวหิน พร้อมมอบเจลล้างมือ 5,000 หลอด, ชุดPPE 1,500 ชุด,หน้ากากอนามัย 5,000 กล่อง, ตู้อบฆ่าเชื้อ, ตู้แช่และเครื่องดื่ม เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์รพ.หัวหิน และได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และเยี่ยมผู้ติดเชื้อผ่านระบบกล้องวงจรปิดด้วย
นายอนุทินกล่าวว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบผู้ติดเชื้อในการระบาดระลอกเดือนเมษายน รวม 897 ราย เฉพาะโรงพยาบาลหัวหิน มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิดทั้งหมด 475 เตียง ในจำนวนนี้เป็นเตียงICU Covid 7 เตียงSemi ICU Covid 8 เตียง ขณะนี้ มีผู้ป่วยโควิด 19 รวมทั้งมีผู้ป่วยโรคอื่น ๆ นอนรักษาในโรงพยาบาลเต็มทุกเตียงแล้วได้สั่งการให้เปิดหอผู้ป่วยโควิดรวม(Cohort Ward)โดยปรับปรุงพาณิชยการหัวหินที่อยู่ด้านข้างโรงพยาบาลรองรับได้อีก 141 เตียง นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ 5 แห่ง คือ รพ.สนามหัวหิน 3,รพ.สนามหัวหิน 5, เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล (hospitel), โรงแรมประจวบสามอ่าว อ.เมือง และศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี รวม 450 เตียง
“จากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลหัวหินพบว่า มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ทั้งเตียง เวชภัณฑ์และบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความมีความตั้งใจและทุ่มเท เสียสละในการทำงาน ทำงานเป็นทีมร่วมกับหน่วยงานต่างๆเช่น ฝ่ายปกครอง ในการจัดเตรียมระบบดูแลและรับผู้ป่วยเข้าสู่การรักษา นอกจากนี้ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ได้ตามแผน ส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว เป็นการยืนยันว่าระบบ
การกระจายวัคซีนมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจในการดูแลประชาชนต่อไป” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ โรงพยาบาลหัวหิน ได้คัดกรองผู้ป่วยที่คลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic)และจุดคัดกรองเฉพาะผู้ที่มีประวัติเสี่ยงจากสถานบันเทิง เฉลี่ย 500-600 รายต่อวัน พบผู้ติดเชื้อประมาณร้อยละ 10 โดยผู้ติดเชื้อทุกคนจะได้รับการประเมินอาการจากแพทย์ หากไม่มีอาการจะอยู่ในหอผู้ป่วยเฉพาะโรค (Cohort ward) และประเมินอาการทุกวัน เวลา 06.00น. 14.00 น. และ 18.00 น. ผ่านระบบ IT หากมีอาการเปลี่ยนแปลง เช่น
ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ ส่งต่อรักษาตามระบบและให้ยารักษาอย่างรวดเร็ว
**********************************22 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความรู้ทางการเงินผู้กู้ยืม | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
กยศ. ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความรู้ทางการเงินผู้กู้ยืม
กยศ. และ ตลท. ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้แก่นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการ กยศ. และ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้แก่นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภายในพิธีเปิดตัวโครงการ Happy Money สุขเงิน สร้างได้ พลังความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินสำหรับคนไทย โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า “กองทุน ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ด้วยการนำองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ ได้แก่ e-Learning ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำมาให้ความรู้แก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม บุคลากรในสถานศึกษา และผู้ที่สนใจได้เรียนรู้การวางแผนการเงิน การลงทุน และความเป็นผู้ประกอบการ ผ่านระบบ SET e-learning ซึ่งมีหลักสูตรให้เลือกเรียนกว่า 15 หลักสูตร เมื่อนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเรียนจบแต่ละหลักสูตรแล้ว สามารถนำไปสะสมจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะให้ครบตามหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนด โดยผู้กู้ยืมต้องลงทะเบียนเข้าเรียน SET e-learning ผ่านระบบกองทุนเงิน ให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล (DSL) ทางเว็บไซต์กองทุนหรือแอปพลิเคชัน กยศ. Connect
ทั้งนี้ กองทุนเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ ปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจำนวนกว่า 5.9 ล้านราย มีนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการศึกษากว่า 6 แสนรายต่อปีการศึกษา โดยปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่เข้าเรียนหลักสูตร SET e-learning แล้วจำนวนกว่า 560,000 ราย สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ กองทุนคาดหวังให้ผู้กู้ยืมเงินมีความรู้ทางการเงิน จะสามารถบริหารจัดการรายได้ ทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนได้ตามกำหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป โดยกองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษาทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41109 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬกรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
กระทรวงยุติธรรม เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬกรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
กระทรวงยุติธรรม เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬกรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
ในวันพุธที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕ - ๐๑ ชั้น ๕ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬ กรณีชาวบ้านถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เข้าร่วมประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมทั้ง นายวรากร โสมนะพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านส่งเสริมการระงับข้อพิพาท นายธีรยุทธ แก้วสิงห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ และผู้แทนกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในฐานะฝ่ายเลขาฯ รวมทั้งผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมบังคับคดี ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม และผู้แทนศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ฯลฯ เข้าร่วม
ที่ประชุมได้หารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือ กรณีประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจังหวัดบึงกาฬ ถูกชักชวนและหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จำนวนกว่า ๒๐๐ ราย เป็นเหตุให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนเสียหาย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ จัดตั้งทีมกฎหมายกลาง เพื่อวิเคราะห์สนับสนุนและกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านตั้งแต่รับเรื่องจนถึงสิ้นสุดกระบวนการ พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการสืบสวนสอบสวนเพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือกับพนักงานสอบสวนในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดบึงกาฬ นัดผู้เสียหายมาหารือและแจ้งแนวทางการให้ความช่วยเหลือเป็นรายกลุ่ม เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการให้ความช่วยเหลือต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2564
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2564
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการฯ เข้าร่วม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาคีและผู้แทนเกษตรกรเข้าร่วมประชุม ผ่าน VDO Conference จากห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องด้านเกลือทะเลไทย ดังนี้ 1) ผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือสมุทร ประจำปี 2563 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน จำนวน 650 ครัวเรือน 1,150 แปลง พื้นที่การผลิต จำนวน 25,707.88 ไร่
2) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การขอและออกใบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเลและเกลือทะเลธรรมชาติ และกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำระบบการขอรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเลและเกลือทะเลธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเกษตรกรสามารถยื่นขอคำรับรองได้ ณ สำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่
3) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ อนุมัติโครงการวิจัยด้านเกลือทะเล จำนวน 2 โครงการ ดังนี้
3.1 การพัฒนาและยกระดับเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เกลือทะเลไทยสู่การยอมรับเชิงพาณิชย์
3.2 การพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมระบบผลิตเกลือทะเลคุณภาพสูงด้วยการสะตุเกลืออัตโนมัติเพื่อเพิ่มมูลค่าของเกลือทะเลไทย
4) คณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องหนี้สินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเห็นชอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้และงดเว้นค่าปรับโครงการสร้างระบบการผลิตและการตลาดเกลือทะเลของสถาบันเกษตรกรด้วยวิธีการยกระดับราคาให้ยั่งยืนเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้กรมส่งเสริมสหกณ์จัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรพิจารณาต่อไป
5) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) นำเสนอแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลภาคตะวันตก (Thailand Riviera) สนับสนุนการท่องเที่ยวในเส้นทางนาเกลือตามแนวคิด “เกลือเม็ดสุดท้าย สู่ทรายเม็ดแรก” ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ทั้งหมด 6 กลุ่มแผนงาน 75 โครงการ งบประมาณ 347 ล้านบาท
6) คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการเข้านำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ..... เพื่อนำมากำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลจากปัญหาราคาเกลือตกต่ำ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้จัดทำโครงการกระจายเกลือทะเลค้างสต็อกเพื่อเสนอกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คบท.) เพื่อช่วยเหลือการกระจายเกลือค้างสต็อก ปี 62/63 จำนวน 200,000 ตัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41112 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกตลาดตราสารหนี้สีเขียวของภาครัฐในปี 2020 จาก Climate Bonds Initiative (CBI) | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกตลาดตราสารหนี้สีเขียวของภาครัฐในปี 2020 จาก Climate Bonds Initiative (CBI)
ประเทศไทยได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกตลาดพันธบัตรสีเขียวของภาครัฐจากการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) โดยได้รับรางวัล Sovereign Green Market Pioneer จาก Climate Bonds Initiative (CBI) ในงาน Climate Bonds Awards ครั้งที่ 6
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกตลาดพันธบัตรสีเขียวของภาครัฐจากการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) โดยได้รับรางวัล Sovereign Green Market Pioneer จาก Climate Bonds Initiative (CBI) ในงาน Climate Bonds Awards ครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่หน่วยงานและรัฐบาลเพื่อแสดงถึงความพยายามและความสำเร็จจากการระดมทุนภายใต้กรอบความยั่งยืนในปี 2020 ที่มีอิทธิพลในระดับสาขาและภูมิภาคต่อการจัดหาเงินทุนที่มีส่วนในการช่วยลดการปล่อยมลพิษตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ถือเป็นรางวัลที่ 6 ของพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนที่ออกโดยรัฐบาลไทย
โดย CBI เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรจากสหราชอาณาจักรที่ผลักดันการระดมทุนเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อสังคม และธรรมภิบาล ซึ่งการได้รับรางวัลจาก CBI ของไทยในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนโดย สบน. ที่ผ่านมาเป็นไปตามมาตรฐานและยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานสากลในต่างประเทศ โดยเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการออกตราสารของรัฐบาลให้เป็นสากลและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศนอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนและความร่วมมือของไทยกับประเทศภาคีนานาชาติในความพยายามแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ สบน. ขอขอบคุณCBI นักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้ามามีส่วนร่วมให้การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลที่ผ่านมาด้วยดีสบน. ยังมีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดความสำเร็จโดยการขยายสาขาและโครงการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เข้าข่ายการได้รับสนับสนุนจากการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมตลาดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยยิ่งขึ้น
https://events.climatebonds.net/awards
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5821 หรือ 5817
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41118 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 ต่อ ประโยชน์มีมากกว่าไม่ฉีด | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
สธ. เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด 19 ต่อ ประโยชน์มีมากกว่าไม่ฉีด
กระทรวงสาธารณสุข ให้ทุกโรงพยาบาลฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กลุ่มเป้าหมายและบุคลากรทางการแพทย์ต่อไป หลังผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์พบเป็นอาการชั่วคราว ผลการตรวจสอบวัคซีนล็อตนั้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าไม่มีความผิดปกติ
กระทรวงสาธารณสุข ให้ทุกโรงพยาบาลฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กลุ่มเป้าหมายและบุคลากรทางการแพทย์ต่อไปหลังผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์พบเป็นอาการชั่วคราว ผลการตรวจสอบวัคซีนล็อตนั้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าไม่มีความผิดปกติ ผลประโยชน์มีมากกว่าไม่ฉีด เตรียม 3 แนวทางจัดหาวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส
บ่ายวันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,470 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,370 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 100 ราย รักษาหายเพิ่ม 477 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564มีผู้ติดเชื้อสะสม19,250 ราย กำลังรักษา 18,148 ราย และเสียชีวิตสะสม 23 ราย มีรายงานผู้ติดเชื้อใน 66 จังหวัด พื้นที่ที่ยังเป็นปัญหาคือกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับจังหวัดต่าง ๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทำงานอย่างเข้มแข็งทุกจังหวัด ควบคุม สถานการณ์ได้ค่อนข้างดี บางจังหวัดออกมาตรการปรับผู้ไม่ใส่หน้ากากอนามัย
สำหรับผู้เสียชีวิต7 รายวันนี้ โดยรายแรก เป็นหญิงอายุ 24 ปี เป็นโรคอ้วน มีประวัติไปสถานบันเทิง รายที่ 2หญิงอายุ 68 ปี เป็นโรคภูมิแพ้ รายที่ 3 เป็นชายอายุ 83 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ประสาทหูเสื่อม โรคกระดูกสันหลัง รายที่ 4 หญิงอายุ 80 ปี เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยติดเตียง รายที่ 5 ชายอายุ 45 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง รายที่ 6 ชายอายุ 59 ปี เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และรายที่ 7 ชายอายุ 86 ปี เป็นโรคหัวใจ จะเห็นว่าผู้เสียชีวิตทุกรายมีโรคประจำตัว เกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ ขอให้ระมัดระวังการใกล้ชิดกับครอบครัว ต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และงดกิจกรรมรวมกลุ่ม สำหรับท่านที่ยังปาร์ตี้ไม่เลิกคงต้องดำเนินการมาตรการการกฎหมายอย่างเด็ดขาด หากทุกคนร่วมมือกันตัวเลขการติดเชื้อจะลดลงภายใน 2 – 3 สัปดาห์
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนโควิด19ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 21 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 864,840 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 118,223 ราย เฉพาะวันที่ 21 เมษายน ฉีดได้ 152,230 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 141,670 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 10,560 ราย เนื่องจากได้กระจายวัคซีนล็อต 1 ล้านโดสที่ได้รับในช่วงกลางเดือนเมษายนไปโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้ครบ 100% ตามนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบสนองต่อการระบาดของเชื้อในรอบนี้ ทำให้ขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 348,458 คน เข็มที่ 2 จำนวน 56,833 คน
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อไปว่า สำหรับรายงานผู้ที่มีอาการแพ้คล้ายหลอดเลือดสมอง คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลเรื่องของอาการไม่พึงประสงค์ ได้ตรวจสอบพบว่าอาการกลับมาเป็นปกติในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผลการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ MRI ไม่มีรอยโรค และผลการตรวจสอบวัคซีนล็อตนั้นทางห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่าไม่มีความผิดปกติ ระบบการส่งต่อภายใต้ลูกโซ่ความเย็นของวัคซีนก็ไม่มีปัญหา และวัคซีนที่เหลือฉีดไปแล้วไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ รวมทั้งผลประโยชน์ในการฉีดวัคซีนมีมากกว่าไม่ฉีดแนะนำให้ฉีดวัคซีนต่อไป โดยให้ระมัดระวัง เคร่งครัดมาตรฐานการฉีด และให้ความรู้ สื่อสารกับผู้ที่รับวัคซีน อย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีข่าวโรงพยาบาลลำปางหยุดฉีดวัคซีนเนื่องจากบุคลากรมีอาการแพ้นั้น ตรวจสอบแล้วพบเพียง 1 ราย มีอาการคล้ายหลอดเลือดสมอง ส่วนที่เหลือมีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางแจ้งว่า เป็นการหยุดฉีดชั่วคราวระหว่างรอผลจากคณะกรรมการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนขณะนี้ได้ฉีดวัคซีนต่อตามปกติ ไม่พบมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
ทั้งนี้ มี3 คำที่อาจเกิดความสับสน คำแรกคือ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน (Adverse EventsFollowing Immunization :AEFI)เป็นระบบเฝ้าระวังที่ใช้ติดตามหลังการฉีดวัคซีนทุกชนิด โดยเฉพาะวัคซีนโควิด 19เป็นวัคซีนใหม่มาก ต้องมีระบบการจัดการที่เข้มงวด เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรง จะเข้าคณะกรรมการพิจารณาทุกครั้ง มีคณะผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้องกับอาการที่เกิดขึ้นร่วมพิจารณา และวินิจฉัยว่าอาการนั้น 1. ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ฉีดต่อไป 2.น่าจะเกี่ยวข้องกับวัคซีน และ3. เกี่ยวข้องกับวัคซีน โดยคณะกรรมการจะมีคำวินิจฉัยให้ฉีดต่อไปหากจำนวนที่เกิดขึ้นเทียบกับวัคซีนที่ฉีดแล้ว ไม่ได้ผิดปกติจากมาตรฐาน ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงมากขึ้นกว่าเดิม และประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าการหยุดฉีด หากเหตุการณ์นั้นรุนแรงมากกว่ามาตรฐาน และเป็นอันตรายต่อผู้ที่รับวัคซีน กล่าวคือ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ก็จะให้หยุดฉีดวัคซีนนั้นถาวร กรณีที่ยังไม่แน่ใจ ยังมีข้อสงสัยจะให้หยุดฉีดชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อน
ส่วนข้อสงสัยว่าวัคซีน2 ล้านโดสหายไปไหน 1.4 ล้านโดสนั้น วัคซีนซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดส ฉีดได้ 1 ล้านคน(ฉีดคนละ 2 เข็ม) ได้รับครั้งแรกปลายเดือนกุมภาพันธ์จำนวน 2 แสนโดส เริ่มฉีดเดือนมีนาคม 1 แสนโดส และเก็บไว้ฉีดเข็มที่ 2 อีก 1 แสนโดสในอีก 4 สัปดาห์หน้า, ปลายเดือนมีนาคมได้รับอีก 8 แสนโดส เริ่มฉีดเดือนเมษายน ผ่านไป 10 วันฉีดได้ 5 แสนโดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 4 แสนโดส และเข็ม 2 อีก 1 แสนโดส และกลางเดือนเมษายนได้รับวัคซีนล็อตล่าสุด 1 ล้านโดส ฉีดไปแล้ว 3 วัน รวม 2.5 แสนโดส รวมฉีดทั้งหมด 8.5 แสนโดสเป็นไปตามแผน ส่วนที่เหลืออยู่ที่โรงพยาบาลสำหรับฉีดทั้งเข็ม 1 และเข็ม 2 รวมทั้งสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
สำหรับแผนการจัดสรรวัคซีนอีก 35 ล้านโดสนั้น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีการประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย มีทั้งภาครัฐ เอกชน สภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมร่วมประชุมได้ข้อสรุปว่า เราต้องการฉีดให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีด 70 ล้านโดสจะเพิ่มให้ได้ 100 ล้านโดส ขณะนี้เรามีวัคซีน 65 ล้านโดส จะต้องจัดหาอีก 35 ล้านโดส มี 3 แนวทางคือ 1.ให้ภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ไปจัดซื้อเพิ่มเติม ขณะนี้เจรจาแล้วหลายบริษัท 2.ภาคเอกชน โดยสภาหอการค้า ยินดีบริจาคเงินให้รัฐบาลซื้อวัคซีน ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น แรงงานในโรงงาน 10 ล้านโดส และ 3.โรงพยาบาลเอกชนขอจัดซื้อเอง เพื่อฉีดให้ผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือ 1.มีระบบดูแลความปลอดภัยตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด 8 ขั้นตอน 2.ระบบรายงานเชื่อมต่อกัน และ3.มีการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน
********************************* 22 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41130 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 22 เมษายน 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 22 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 22 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,301 ล้านบาท
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 22 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,301 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,427 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,330 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 201,058 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41119 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อป้องกันการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อป้องกันการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการบริหารทรัพยากรบุคคล” ภายใต้โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อป้องกันการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทาง
ในวันจันทร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๑๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการบริหารทรัพยากรบุคคล” ภายใต้โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อป้องกันการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีผู้อำนวยการกอง/สำนัก ผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ของสำนักงานรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ทำให้เกิดการปรับตัวและเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ยกตัวอย่างการฝึกอบรมผ่านระบบออนไลน์ และการใช้ชีวิตประจำวันโดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป เราจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมได้นำระบบการจัดเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Document) มาใช้ ซึ่งจะทำให้เป็นฐานข้อมูลในการปฏิบัติงานได้
สำหรับด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตนั้น ต้องการให้ทุกคนเปลี่ยนวิธีคิด ปรับ Mind Setโดยมองที่ประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก เช่น การดำเนินการด้านการจัดซื้อจัดจ้าง เราต้องตั้งเป้าหมายเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี คุ้มค่าราคา จะทำให้ได้สิ่งของตามมาตรฐาน และเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41121 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล สยามพารากอน | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
วธ.จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล สยามพารากอน
กระทรวงวัตฒธรรมร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน จัด “นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล” ระหว่างวันที่ ๒๑-๓๐ เม.ย.๒๕๖๔ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๓๙ ปีแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของาน“ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์” หลังจากนั้น รมว.วธ.เป็นประธานพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)มีนโยบายเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๓๙ ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จึงจัดกิจกรรมทางศาสนาขึ้นและวธ.ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน จัด “นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล” ระหว่างวันที่ ๒๑ -๓๐ เม.ย.๒๕๖๔ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีที่ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ภายในนิทรรศการประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ ส่วนที่ ๒ การฉายภาพสามมิติในระบบ panorama mapping เพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ได้ทรงพระราชทาน ความเจริญรุ่งเรือง ความสุขสงบร่มเย็นแก่ปวงประชาชาวไทย ในชื่อชุด “อเนกอนันต์เลิศหล้าอาณาจักรไทย” ส่วนที่ ๓ นิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์ ชมภาพที่หาดูได้ยาก จากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความสุขของคนไทย ซึ่งการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการจัดนิทรรศการครั้งนี้ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สอบถามรายเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร.๑๗๖๕
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.ให้กำลังใจ รพ.นครปฐม เปิดบริการได้ตามปกติ แม้บุคลากรบางส่วนติดโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ปลัด สธ.ให้กำลังใจ รพ.นครปฐม เปิดบริการได้ตามปกติ แม้บุคลากรบางส่วนติดโควิด 19
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมบุคลากรโรงพยาบาลนครปฐม แก้ไขสถานการณ์และควบคุมโรคได้ดี ไม่กระทบงานบริการผู้ป่วย แม้พบบุคลากรติดโควิด 19 ถึง 13 ราย และต้องกักตัวอีกหลายราย เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม 150 เตียง และขยายเตียงไอซียูเพิ่มอีก 10-15 เตียง
วันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่ จ.นครปฐม นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานควบคุมโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลนครปฐม ว่า วันนี้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของจังหวัด มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อทุกประเภท ทั้งเตียงไอซียู ห้องแยกผู้ป่วยความดันลบ รวมทั้งหอผู้ป่วยโควิดรวม (Cohort Ward) และโรงพยาบาลสนาม รวม 415 เตียง โดยมีแผนจะขยายโรงพยาบาลสนามเพิ่มอีก 150 เตียง และเตียงไอซียูอีก 10-15 เตียง
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า การระบาดในระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จังหวัดนครปฐม มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 340 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานช่วงอายุ 11-30 ปี ปัจจัยเสี่ยงช่วงแรกมาจากสถานบันเทิง ช่วงหลังเป็นการติดเชื้อในครอบครัว โดยพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน 3 กลุ่ม คือ จากสถานบันเทิงที่ศาลายาพบ 10 ราย ในโรงเรียนเอกชนพบ 24 ราย และในบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลนครปฐม 13 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากการไปสถานที่เสี่ยง 7 ราย สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ 4 ราย และติดเชื้อขณะทำงาน 2 ราย
ทั้งนี้ ภายหลังพบบุคลากรติดเชื้อและบางส่วนต้องกักตัว โรงพยาบาลนครปฐมได้ปรับระบบบริการโดยลดบริการบางส่วนที่ไม่เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น เปิดให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลการจัดส่งยาถึงบ้าน บริการเจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกโรงพยาบาล การเลื่อนนัดผู้ป่วยที่ไม่เร่งด่วน เป็นต้นรวมทั้ง ได้จัดโซนการทำงานตามความเสี่ยง แบ่งทีมการทำงานเพื่อลดการสัมผัส และเข้มมาตรการป้องกันโรคทำให้สามารถควบคุมโรคได้และกลับมาให้บริการตามปกติแล้ว
“ต้องให้กำลังและชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนของโรงพยาบาลนครปฐม ที่สามารถบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่กระทบกับงานบริการผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุนอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และยาฟาวิพิราเวียร์ให้โรงพยาบาลนครปฐมเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องโดยวันที่ 24 เมษายนนี้จะมียาฟาวิพิราเวียร์เข้ามาในประเทศอีก 2 ล้านเม็ด พร้อมกระจายเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลทุกแห่งใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อไป” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*************************************** 22 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจ เจรจานำเข้าวัคซีน สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) คืบหน้า รัสเซียตอบรับแล้ว | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
นายกฯ พอใจ เจรจานำเข้าวัคซีน สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) คืบหน้า รัสเซียตอบรับแล้ว
นายกฯ พอใจ เจรจานำเข้าวัคซีน สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) คืบหน้า รัสเซียตอบรับแล้ว
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศของไทย เจรจาหารือกับรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียโดยตรง เรื่องการจัดหาวัคซีน สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมาในรูปแบบรัฐต่อรัฐนั้น
นายกรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้รับคำตอบจากสหพันธรัฐรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว เนื่องด้วยไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลไทยในปัจจุบัน
......................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41116 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ปลัดเกษตรฯ ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
ปลัดเกษตรฯ ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 คุมเข้มมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด สั่งสำรวจและกักตัวกลุ่มเสี่ยง สร้างความมั่นใจให้บุคลากรและผู้มาติดต่อราชการ
ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดว่าจากกรณีที่มีพนักงานของร้านกาแฟมวลชนสาขากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทางออกด้านถนนวิสุทธิกษัตริย์พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิค-19จำนวน1รายจากการตรวจสอบพนักงานรายดังกล่าวพบว่าเข้ามาทำงานเมื่อวันที่16เม.ย. 2564หลังวันหยุดสงกรานต์และในวันที่17-18เม.ย. 2564 (เสาร์-อาทิตย์)ร้านปิดทำการตามปกติโดยในวันเสาร์ที่17เม.ย. 2564พนักงานเริ่มแสดงอาการจึงเข้าไปรับการตรวจร่างกายและทราบผลวันอาทิตย์ที่18เม.ย. 2564ว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19จากนั้นทางร้านได้ปิดทำการในวันจันทร์ที่19เม.ย. 2564ทันทีพร้อมฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อและให้พนักงานในร้านกาแฟมวลชนทุกคนไปตรวจร่างกายผลการตรวจยืนยันว่าพนักงานทั้งหมดไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างไรก็ตามทางร้านได้มีคำสั่งให้พนักงานทุกคนกักตัว14วันและเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ที่อาจเกิดขึ้นได้จึงได้สั่งการให้ร้านกาแฟมวลชนปิดทำการไปจนถึงวันที่30เม.ย. 2564และให้เปิดทำการอีกครั้งวันที่1พ.ค. 2564โดยใช้พนักงานชุดใหม่ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามในส่วนของบุคลากรสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯขณะนี้ได้ดำเนินการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าใช้บริการร้านกาแฟมวลชนดังกล่าวตั้งแต่วันศุกร์ที่16เม.ย.ที่ผ่านมาแล้วและสั่งการให้สังเกตอาการและปฏิบัติราชการที่บ้าน(WFH) 14วันส่วนบุคคลากรคนใดที่ทราบว่าเดินทางไปร้านกาแฟมวลชนดังกล่าวในวันที่16เม.ย. 2564ก่อนที่จะพบว่าพนักงานติดเชื้อไวรัสโควิค-19ให้เฝ้าสังเกตดูอาการอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นอีกทั้งเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกษตรกรและประชาชนที่มาติดต่อประสานงานจึงได้สั่งการฉีดยาฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดได้ฉีดพ่นน้ำยาทั่วบริเวณพื้นที่ภายในและรอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสต่างๆเป็นการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดไปเมื่อวันที่16เม.ย.ที่ผ่านมานอกจากนั้นยังได้สั่งการให้ข้าราชการและบุคลากรเข้ามาปฏิบัติราชการที่สำนักงานร้อยละ20 (WFHร้อยละ80)ตั้งแต่วันที่16 - 30เม.ย. 2564เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีข้อสั่งการแนวทางปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)โดยการปรับการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดและในกำกับของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระหว่างวันที่16 – 30เมษายน2564ให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้
1.เน้นย้ำบุคลากรปฏิบัติตามหลักDMHT (D : Social Distancingเว้นระยะห่างM : Maskสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านอยู่ในพื้นที่สาธารณะH : Handล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์T : Testingการตรวจเร็วรักษาเร็วควบคุมโรคได้เร็วและT : Thai cha na .ใช้แอฟไทยชนะ)อย่างเคร่งครัด
2.ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมกำชับและเน้นย้ำบุคลากรให้ติดตามข้อมูลอย่างรอบด้านหากพบมีกรณีความเสี่ยงสูงให้รีบไปตรวจหาเชื้อทันทีและหากเสี่ยงระดับรองลงมาให้พิจารณากักตัวหรือปฏิบัติงานจากที่บ้านอย่างน้อย14วันทั้งนี้ผู้มีความเสี่ยงขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขโดยเฉพาะเมื่อเข้าตรวจแล้วขอให้เข้าที่พักทันทีเพื่อรอฟังผลโดยไม่ไปสถานที่อื่น
3.ให้ทุกหน่วยงานวางแผนการให้บุคลากรในองค์กรปฏิบัติราชการที่บ้านหน่วยงานละไม่น้อยกว่าร้อยละ80และให้ปฏิบัติตามแผนบริหารความต่อเนื่องขององค์กร(Business Continuity Plan : BCP)โดยให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงานอนุมัติงานอนุญาตและงานบริการทั้งนี้ขอให้ยึดถือ“แนวปฏิบัติ”ตามมติครม.เมื่อวันที่17มี.ค. 2563และเน้นย้ำให้มีการปฏิบัติ/การสื่อสารโดยดำเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติWFHตามระเบียบปฏิบัติอย่างถูกต้องครบถ้วนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติทุกฝ่ายทุกท่านต้องสามารถกลับเข้ามาปฏิบัติงานณสถานที่ตั้งได้ทันทีที่สั่งการตลอดจนวางแผนให้มีการติดต่อสื่อสารกันภายในหน่วยงานโดยสม่ำเสมอและตรวจสอบงานให้บริการสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการได้แต่ต้องสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดงานให้บริการ
4.การจัดประชุมหรือการจัดสัมมนาให้ปรับรูปแบบการดำเนินกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์แทน
และ5.พิจารณากิจกรรมที่ต้องมีการเดินทางและลงพื้นที่โดยขอให้ปรับแผนการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงจากการเดินทางการออกนอกพื้นที่ตั้งสำนักงานและการออกนอกพื้นที่จังหวัด.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต แก้ไขปัญหาผู้ป่วยโควิด 19 รอเตียงนาน เพิ่ม 200 เตียง รองรับกลุ่มสีเหลือง ที่สถาบันธัญญารักษ์ | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
สาธิต แก้ไขปัญหาผู้ป่วยโควิด 19 รอเตียงนาน เพิ่ม 200 เตียง รองรับกลุ่มสีเหลือง ที่สถาบันธัญญารักษ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แก้ไขปัญหาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียงนาน ปรับหอผู้ป่วยสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี จังหวัดปทุมธานี เพิ่มเตียง 200 เตียง รองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แก้ไขปัญหาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียงนาน ปรับหอผู้ป่วยสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี จังหวัดปทุมธานี เพิ่มเตียง 200 เตียง รองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง กลุ่มสีเหลือง
วันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ดร.สาธิต ปิตุเตชะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารีเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย (Extended cohort ward) เสริมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้ติดเชื้อโควิดโควิด 19 เข้าสู่กระบวนการดูแลรักษา ลดความรุนแรงของโรคและลดการสูญเสีย
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาล ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินการรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทุกรายเข้าสู่ระบบการรักษา กรมการแพทย์ได้ร่วมกับโรงพยาบาลทุกสังกัดบริหารจัดการเตียงในเขตกทม.และปริมณฑล ทั้งโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง (สีเหลือง) ไปจนถึงอาการหนัก (สีแดง) รวมประมาณ 8,000 เตียง โรงพยาบาลสนามและHospitel สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ (สีเขียว) ประมาณ 3,733 เตียง และในวันนี้ ได้เปิดหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย จำนวน 200 เตียง ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) เพื่อให้การดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเหลือง ที่มีอายุระหว่าง 18 - 60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรค มีทีมแพทย์พยาบาลดูแลติดตามอาการ ตลอด 24 ชั่วโมง และติดต่อกับผู้ป่วยผ่านระบบออนไลน์เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อรวมทั้งมีศูนย์ประสานงานรับผู้ป่วยไปรักษาทาง 3 สายด่วน ได้แก่ สายด่วน 1668 สายด่วน 1669 และสายด่วน 1330
“ขอให้ผู้ติดเชื้อที่มีผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการทุกคน ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้คาดการณ์และเตรียมการรองรับไว้แล้ว อาจติดขัดบ้างในกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง และในวันนี้ก็ได้แก้ปัญหาไปแล้ว โดยได้รับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองทยอยเข้ามาบางส่วน ช่วยแก้ปัญหาการรอเตียงนานได้ในระดับหนึ่งและจะพยายามให้ระบบมีความราบรื่นมากยิ่งๆ ขึ้นไป” ดร.สาธิต กล่าว
ด้านนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) ซึ่งมีความพร้อมให้การดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เปิดหอผู้ป่วยโควิดส่วนขยาย (Extended cohort ward) จำนวน 200 เตียง โดยมีบุคลากรทางการแพทย์จากเครือข่ายโรงพยาบาลธัญญารักษ์ภูมิภาคทั้ง 6 แห่งมาร่วมปฏิบัติงาน เริ่มเปิดให้บริการในวันนี้ (22 เมษายน 2564)สำหรับการแก้ไขปัญหารอคู่สาย สายด่วน 1668 ได้เพิ่มอาสาสมัครจากบุคลากรนอกกรมการแพทย์มาช่วยรับโทรศัพท์ โดยตั้งแต่วันที่ 10 – 21 เมษายน 2564 มีผู้โทรเข้า 3,472 ครั้ง ในจำนวนนี้ เป็นการขอเข้ารับการรักษา 1,733 ราย รับเข้ารักษาแล้ว 1,291 ราย อยู่ระหว่างรอการประสาน 442 ราย และเป็นการโทรเยี่ยมติดตามอาการ 3,277 ครั้ง
*************************************** 22 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส นำระบบ ITAS ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในองค์กร | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ดีอีเอส นำระบบ ITAS ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในองค์กร
ดีอีเอส นำระบบ ITAS ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในองค์กร
เมื่อวันที่22เมษายน2564นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประธานการประชุมคณะทำงานดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณพ.ศ.2564ครั้งที่2/2564ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมณห้องประชุม802ชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับหลักฐาน/เอกสารเบื้องต้นในการตอบแบบตรวจการเปิดข้อมูลสาธารณะประกอบตัวชี้วัดของการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐประจำปี2564พร้อมรายงานผลการดำเนินงานในการกรอกข้อมูลและการตอบแบบสำรวจฯในระบบITAS ได้แก่แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในองค์กรและภายนอกองค์กร สำหรับแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ( ITA )เป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดลดปัญหาในปีถัดไป ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงาน
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41114 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดับเบิ้ล โปรโมชั่น... ธอส. ขนทรัพย์ประมูลขายออนไลน์ ราคาต่ำสุดไม่เกินแสน | วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564
ดับเบิ้ล โปรโมชั่น... ธอส. ขนทรัพย์ประมูลขายออนไลน์ ราคาต่ำสุดไม่เกินแสน
ดับเบิ้ล โปรโมชั่น... ธอส. ขนทรัพย์ประมูลขายออนไลน์ ราคาต่ำสุดไม่เกินแสน พิเศษ!! ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 48 เดือน จากปกติ 24 เดือน ศุกร์ที่ 23 เม.ย.นี้ เวลา 12.00-13.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ คัดบ้านมือสอง สภาพดี คุ้มราคา ทั่วประเทศ รวม 993 รายการ มาเปิดประมูลแบบออนไลน์ครั้งพิเศษส่งท้ายเดือนเมษายน 2564 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ลดสูงสุดถึง 54% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุดเพียง 90,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! มอบส่วนลดเพิ่มอีก10% จากราคาที่ปิดประมูลหากทำสัญญา และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564พร้อมโปรโมชั่นพิเศษผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน(จากปกติ 24 เดือน) หรือเลือกเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลย รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน เริ่มประมูลวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 รอบเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ เวลา 12.00-13.00 น. เท่านั้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารได้จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา และมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลเป็นจำนวนมาก ทำให้ธนาคารขายทรัพย์ได้เป็นจำนวนเงินสูงถึง 145.18 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่พลาดโอกาสในการมีบ้านเป็นของตนเองในงานประมูลดังกล่าว ธอส. จึงได้กำหนดจัดงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ประจำเดือนเมษายนขึ้นอีกครั้ง ในวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 12.00-13.00 น. โดยนำทรัพย์ NPA สภาพดี คุ้มราคา ทั่วประเทศรวม 993 รายการ มาให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านได้ประมูลซื้อผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยไม่ต้องเดินทางไปประมูลที่สาขาเพื่อความปลอดภัย และลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ให้ส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 54% จากราคาปกติ และผู้ชนะการประมูลยังมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 สำหรับทรัพย์ที่นำมาเปิดประมูลในครั้งนี้ แบ่งเป็น
ทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 499 รายการ มีรายการที่เป็นทรัพย์เด่นทำเลดี อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น เนื้อที่ 33.3 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้าน ศุภลัยวิลล์ เขตสายไหม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใกล้กับห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 3,200,000 บาท และ บ้านเดี่ยว เนื้อที่ 85 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านปาริชาติ อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี สามารถเดินทางไปยังโรงเรียนที่ใกล้ที่สุดโดยใช้เวลาเพียง 6 นาที และยังสามารถเดินทางไปยังโรงพยาบาลหรือศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยใช้เวลาไม่เกิน 17 นาทีเท่านั้น โดยมีราคาเริ่มต้นประมูล 4,050,000 บาท ส่วนรายการที่ราคาเริ่มต้นลดสูงสุด 20% จากราคาปกติมีจำนวนถึง 34 รายการ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ขนาด 20.7 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านเพ็ญศิริ 4 เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูล 1,760,000 บาท และห้องชุด ขนาด 34.96 ตารางเมตร ในโครงการซันชายน์คอนโดมิเนียม เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 1,000,000 บาทเท่านั้น
ส่วนทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในส่วนในภูมิภาค นำออกประมูลจำนวน 494 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ำสุด คือทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ 60 ตารางวา โครงการหนองกุง อ.หนองนาคำ จ.ขอนแก่น ราคาเริ่มต้นประมูล 90,000 บาท และรายการทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 54% จากราคาปกติ ได้แก่ ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 776 ตารางวา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ราคาเริ่มต้นประมูล 250,000 บาท ส่วนทรัพย์เด่นทำเลดี อาทิ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ 119.80 ตารางวา ในโครงการเป็นสุขเลคไซค์ อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น ราคาเริ่มต้นประมูลเพียง 4,100,000 บาท โดยผู้ชนะการประมูลต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์สินตามจำนวน ที่ธนาคารกำหนดเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท (สำหรับทรัพย์ราคาไม่เกิน 5 แสนบาท) และทำสัญญาจะซื้อจะขายภายใน 3 วันทำการ นับถัดจากวันที่ประมูล Online นอกจากนี้ ผู้ชนะการประมูลยังสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นพิเศษ!! ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (จากปกติ 24 เดือน) หรือเลือกเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยมีสิทธิ์ใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ได้นาน 12-48 เดือน (ระยะเวลาดอกเบี้ย 0% กำหนดตามระยะเวลาการถือครองทรัพย์ของธนาคาร)
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 23 เมษายน 2564 (เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) และเข้าร่วมประมูลออนไลน์พร้อมกันทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่เวลา 12.00-13.00 น. เท่านั้น สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 21 เมษายน 2564 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 21 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 21 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,254 ล้านบาท
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 21 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,254 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 113,233 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,247 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 200,734 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3533 3566 3579 และ 3595 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อน ตุ๋นคนหางานอ้างส่งไปทำงานต่างประเทศได้ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
รมว.แรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อน ตุ๋นคนหางานอ้างส่งไปทำงานต่างประเทศได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พฤติกรรมการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ปัจจุบันนายหน้าเถื่อนใช้สื่อออนไลน์โฆษณาจัดหางานอย่างเปิดเผย พร้อมแอบอ้างรู้จักเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พบขบวนการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ อาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่าคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน และสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้แม้เป็นช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 โดยเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการรายละ 10,000 – 50,000 บาท แบ่งเป็นค่าดำเนินการ ค่าออกวีซ่า ค่าประกันภัย ฯลฯ ภายหลังรับเงินจะตัดขาดการติดต่อ จนผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง และเข้าแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา สวีเดน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 13,523,004 บาท
“ รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญและเน้นย้ำให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศให้เดินทางไปทำงานอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เนื่องจากแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศถือเป็นกลุ่มแรงงานที่นำรายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีการสอดส่องดูแล และตรวจสอบผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีผู้คิดฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวหลอกลวงคนหางาน ซึ่งหากตรวจสอบพบว่าผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินหรือโอนเงินให้กับผู้ใด และสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd โดยปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ 39 บริษัท ที่ผ่านมาตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2563 – เมษายน 2564 ด่านตรวจคนหางานได้ตรวจสอบเอกสารคนหางานที่เดินทางผ่านด่านตรวจคนหางานทั้งสิ้น 17,922 ราย ตรวจสอบผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 785 ราย และระงับการเดินทาง จำนวน 254 ราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41063 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีน้ำมัน สำหรับเครื่องบินไอพ่น ออกไปอีกจนถึง 31 ธันวาคม 2564 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
สรรพสามิตขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีน้ำมัน สำหรับเครื่องบินไอพ่น ออกไปอีกจนถึง 31 ธันวาคม 2564
ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น จากเดิมอัตรา 4.726 บาท/ลิตร เป็น 0.20 บาท/ลิตร ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบธุรกิจสายการบิน
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่จะหมดอายุในวันที่ 30 เมษายน 2564
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทำให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติลดลง ผู้ประกอบธุรกิจสายการบินได้รับผลกระทบอย่างมากตั้งแต่่ช่วงต้นปี 2563 ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังไม่ดีขึ้นส่งผลให้นักท่องเที่ยวยังคงลดลง อย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจสายการบิน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน ไอพ่น จากเดิมอัตรา 4.726 บาท/ลิตร เป็น 0.20 บาท/ลิตร ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบธุรกิจสายการบินให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ต้องปิดตัวหรือระงับเส้นทางการบิน
นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้คลี่คลายลง รัฐบาลมีนโยบายที่จะมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนประชากรของประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเปิดประเทศภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ทั้งนี้ คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41059 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพปรับลดจำนวนรถกะสว่างชั่วคราว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกรมการขนส่งทางบก | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพปรับลดจำนวนรถกะสว่างชั่วคราว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกรมการขนส่งทางบก
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ยังคงจัดเดินรถให้บริการประชาชนตามปกติ แต่จะมีการปรับลดจำนวนรถกะสว่างในแต่ละเส้นทาง ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชน และเป็นไปตาม ประกาศกรมการขนส่งทางบก
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ยังคงจัดเดินรถให้บริการประชาชนตามปกติ แต่จะมีการปรับลดจำนวนรถกะสว่างในแต่ละเส้นทาง ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชน และเป็นไปตาม ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบก ได้ออกประกาศ เรื่อง “การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่ง พิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินรถ ในการให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยให้พิจารณาจัดการเดินรถตามความจำเป็น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้ง ปรับลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 - 04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ขสมก. จึงได้บริหารจัดการเดินรถ ให้สอดคล้องกับประกาศกรมการขนส่งทางบก ดังนี้
1. จัดรถออกวิ่งให้บริการประชาชนตามปกติ โดยจัดเดินรถให้สอดคล้องกับความต้องการ
ใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา
2. ปรับลดจำนวนรถกะสว่าง ที่วิ่งให้บริการในแต่ละเส้นทาง ให้สอดคล้องกับความต้องการ
ใช้บริการของประชาชน
นอกจากนี้ ขสมก. ยังได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อลดผลกระทบและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการรถโดยสารของ ขสมก. โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
ด้านพนักงานประจำรถ
1. ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้งก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร หากตรวจพบว่าพนักงานมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
2. กำชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่
บนรถโดยสาร
3. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการ
รถโดยสาร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
ด้านรถโดยสารประจำทาง
1. เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายใน รถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
3. กำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร
4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สำหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง
กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือน
ผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
ด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็คอินเมื่อขึ้นรถ และเช็คเอาท์ก่อนลงจากรถ สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็คอิน - เช็คเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระค่าโดยสาร
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และลงทะเบียน
5. ควรนั่งบนเบาะที่กำหนด (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และยืนบนจุดที่กำหนด หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 30 เซนติเมตร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
6. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
7. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์
ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต-เครดิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง
เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)
ทั้งนี้ หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับการใช้บริการสอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th facebook : BMTA องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ Call Center 1348
ทุกวัน ตั้งแต่ เวลา 05.00 - 22.00 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ขานรับข้อห่วงใยนายก เร่งเยียวยาผู้ประกันตน ที่ทำงานกลางคืนจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ก.แรงงาน ขานรับข้อห่วงใยนายก เร่งเยียวยาผู้ประกันตน ที่ทำงานกลางคืนจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขานรับข้อห่วงใยนายกรัฐมนตรี กรณีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด- 19 และนายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการเนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงข้อห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ช่วยดูแลพี่น้องแรงงานที่ทำงานกลางคืนให้เหมือนคนในครอบครัว ภายใต้กรอบของกฎหมาย เนื่องจากคนทำงานภาคกลางคืน เช่น ผับ บาร์ สถานบันเทิง ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานบริการ เป็นต้น ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด- 19 ซึ่งเป็นผู้ประกันตนให้ได้รับการช่วยเหลือเยียวยากรณีนายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการเนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กรณีเหตุสุดวิสัยโควิด -19 กระทรวงแรงงาน ได้ออกกฎกระทรวงได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไปให้ความคุ้มครองกรณีผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากต้องกักตัวเฝ้าระวังการระบาดของโรค นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจกรรมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ และลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน รวมกันไม่เกิน 90 วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป และสำนักงานประกันสังคมได้เปิดให้นายจ้างและผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนโดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ www.sso.go.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41068 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
รมว.วธ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช
พิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เนื่องในกิจกรรม งาน "ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์"
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๙ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เนื่องในกิจกรรม งาน "ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์" โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41075 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ย้ำเข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบางในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
พม. ย้ำเข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบางในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
พม. ย้ำเข้มงวดมาตรการป้องกันโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบางในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
วันนี้ (21 เม.ย. 64) เวลา 12.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ดำเนินมาตรการการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยการปรับลดวันและเวลาทำงานของบุคลากรในสังกัดกระทรวง พม. โดยให้หัวหน้าหน่วยงานมอบหมายบุคลากรในสังกัดปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home) ด้วยแผนการทำงาน และมอบหมายบุคลากรมาปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานที่ทำงานไม่เกินร้อยละ 90 ของบุคลากรทั้งหมด โดยให้คำนึงถึงบุคลากรที่จำเป็นสำหรับให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ
นางพัชรี กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้มุ่งเน้นให้บุคลากรทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยบุคลากรที่มาปฏิบัติงานในอาคารและสถานที่ทำงาน รวมถึงส่วนราชการอื่นในสังกัด กระทรวง พม. ทั้งส่วนกลางที่กระทรวง พม. สะพานขาว กทม. และส่วนภูมิภาคในจังหวัดทั่วประเทศ ต้องสวมหน้ากากอนามัยและงดให้บุคคลภายนอกเข้า-ออกในอาคารและสถานที่ทำงาน แต่หากจำเป็นต้องติดต่อราชการ ต้องถือปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ให้ทุกส่วนราชการประสานแจ้งบุคคลภายนอกที่มีการติดต่อราชการทราบเรื่องงดบุคคลภายนอกเข้ามาติดต่อราชการภายในอาคารและสถานที่ทำงานสังกัดกระทรวง พม. หากจำเป็นให้ใช้วิธีการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางอื่นแทน เช่น ไลน์ โทรศัพท์ และ E-mail 2. บุคลากรทุกคนที่เข้ามาปฏิบัติงานในอาคารและสถานที่ทำงาน ต้องแสดงบัตรแสดงตนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ต่อเจ้าหน้าที่ที่จุดตรวจวัดอุณหภูมิ หากไม่มีบัตรดังกล่าว จะไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด 3. กรณีการรับ-ส่งเอกสาร ขอให้ทุกส่วนราชการแจ้งบุคคลภายนอกรอที่จุดพักรอ บริเวณชั้นล่างด้านหน้าอาคาร ณ จัดพักรอและโทรแจ้งให้บุคลากรที่จะมาติดต่อด้วยลงมารับ-ส่งเอกสารดังกล่าว และ 4. ขอให้ทุกส่วนราชการประกาศแจ้งให้บุคลากรในสังกัดทราบถึงมาตรการดังกล่าวโดยทั่วกันและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแลภายในสถานสงเคราะห์ของกระทรวง พม. โดยให้ทุกหน่วยงานยังคงใช้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแนวทางมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการระบาดแพร่กระจายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในสถานสงเคราะห์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล นอกจากนี้ ยังได้กำชับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ต้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ขอให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างเต็มที่ และให้หน่วยงานจัดบริการห้องอาบน้ำสำหรับชำระร่างกาย ก่อนเข้ามาปฏิบัติงานในสำนักงาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหน่วยงานอีกด้วย ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ประสงค์จะบริจาคเงิน อาหาร สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับสถานสงเคราะห์ต่างๆ ยังคงสามารถบริจาคได้ตามปกติ โดยขอให้ปฏิบัติตามมาตรการในการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของผู้มาติดต่อราชการ อีกทั้งของดการเข้ามาร่วมจัดกิจกรรมต่างๆ ในสถานสงเคราะห์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หารือแนวทางการโอนทรัพย์สินเน็ตประชารัฐ ให้ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน) | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ดีอีเอส หารือแนวทางการโอนทรัพย์สินเน็ตประชารัฐ ให้ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน)
ดีอีเอส หารือแนวทางการโอนทรัพย์สินเน็ตประชารัฐ
ให้ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด (มหาชน)
เมื่อวันที่21เมษายน2564นายภูเวียงประคำมินทร์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมหารือเรื่องการโอนทรัพย์สินโครงการเน็ตประชารัฐให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน)ผ่านระบบE-Meetingณห้องประชุมศูนย์ขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชั้น8สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อจัดทำ(ร่าง)แนวทางการโอนทรัพย์สินเน็ตประชารัฐและแนวทางการให้หน่วยงานรัฐนำอุปกรณ์(ที่นำมาแลก)ใช้งานเพื่อสาธารณประโยชน์ในการนี้ที่ประชุมรับทราบความเห็นของกองกฎหมายกระทรวงดิจิทัลฯในประเด็นข้อกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการเน็ตประชารัฐ และประเด็นข้อมูลทรัพย์สินโครงการเน็ตประชารัฐ
**********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานนอกระบบ เฮ!! ครม.มีมติให้ ก.แรงงาน แก้ไขขยายวัตถุประสงค์กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
แรงงานนอกระบบ เฮ!! ครม.มีมติให้ ก.แรงงาน แก้ไขขยายวัตถุประสงค์กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาว่า คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ โดยให้กระทรวงแรง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอให้กระทรวงแรงงานควรบูรณาการด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบภายใต้หน่วยงานและทุนหมุนเวียนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน หรือดำเนินการขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำงานที่บ้านของกรมการจัดหางานให้ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ และเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มอาชีพและโอนเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านมาอยู่ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ต่อไป โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยแรงงานนอกระบบกว่า 22 ล้านคน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน ซึ่งกำกับดูแลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพแรงงานนอกระบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบว่า ล่าสุดมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานบูรณาการด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบภายใต้ทุนหมุนเวียนในการกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน หรือดำเนินการขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ของกรมการจัดหางาน ให้ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. เพื่อนำกองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้านมารวมไว้ภายใต้กองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ แล้วเสร็จ จะเสนอเรื่องการจัดตั้งกองทุนให้กระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณาอีกครั้ง
“การขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ในครั้งนี้จะช่วยให้แรงงานนอกระบบที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งทุนของภาคเอกชน มีทุนกู้ยืมสำหรับประกอบอาชีพ โดยการมีส่วนร่วมของสมาชิกในการจ่ายค่าสมาชิกเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มแรงงานนอกระบบด้วยกันเอง รวมทั้งมีงบประมาณในการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบในการประกอบอาชีพการพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองสภาพการทำงานที่เหมาะสม และการสร้างหลักประกันทางสังคมที่มั่นคง” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41076 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอคืนตั๋วรถไฟได้เต็มราคา หากต้องการงดเดินทาง 19 - 30 เม.ย. 64 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ขอคืนตั๋วรถไฟได้เต็มราคา หากต้องการงดเดินทาง 19 - 30 เม.ย. 64
...
สำหรับใครที่ซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางในช่วงวันที่ 19 - 30 เม.ย. 64 แล้วต้องการงดเดินทางเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ในขณะนี้ สามารถขอคืนค่าตั๋วได้ 100% เลยนะครับ
.
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการรับคืนตั๋วโดยสารเต็มราคา ดังนี้
.
1.ผู้ที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถไว้ล่วงหน้า สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทาง ไม่น้อยกว่า 1 วัน
.
2.กรณีจังหวัดของสถานีต้นทาง – ปลายทาง ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันและเวลาเดินทาง ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
.
3.สำหรับตั๋วอินเทอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและต้องการคืนเงินเต็มจำนวน สามารถยื่นคำร้องขอคืนเงินได้เช่นกัน
.
ทำเรื่องขอคืนเงินได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของสถานีทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41060 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม “เอราวัณ 2” แห่งที่ 4 ของกทม. พร้อมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยมาตรฐานสาธารณสุข | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม “เอราวัณ 2” แห่งที่ 4 ของกทม. พร้อมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยมาตรฐานสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม “เอราวัณ 2” แห่งที่ 4 ของกทม. พร้อมรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยมาตรฐานสาธารณสุข
วันนี้ (21 เมษายน 2564) เวลา 13.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม (เอราวัณ 2) สนามบางกอกอารีน่า เขตหนองจอก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 4 ของกรุงเทพมหานคร
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณกรุงเทพมหานคร ข้าราชการ บุคลากรทางการแพทย์ของกทม. ที่เตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนาม (เอราวัณ 2) แห่งนี้ เพื่อรองรับผู้ป่วย COVID 19 รัฐบาลทำงานทั้งเชิงรุกและตั้งรับ กำหนดแผนเผชิญเหตุ เพื่อให้พร้อมรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้จะรองรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยยึดตามมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรค ทั้งระบบระบายอากาศ การจัดการขยะติดเชื้อ เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่มีอาการ ซึ่งมีความชัดเจนในการแบ่งระดับอาการของผู้ป่วยเป็นสีๆ ได้แก่ สีเขียว คือ ผู้ป่วยอาการไม่มาก หรือไม่มีอาการ หรืออาการน้อยๆ ไม่มีโรคร่วม อาการดีหมด จะส่งไปมายังรพ.สนาม หรือ (Hospitel) แต่หากมีอาการโควิดเหลืองหรือโควิดแดง จะส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ และโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา รวมทั้งได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมจัดรถพยาบาลทหารเข้ามาให้การช่วยเหลือร่วมกับรถพยาบาลด้วย
นายกรัฐมนตรียังย้ำให้เร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจกับสถานการณ์โควิด -19 ที่มีจำนวนมากขึ้น รวมทั้งการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วนต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือหรือรับแจ้งเหตุผู้ที่มีอาการป่วยเข้าเกณฑ์ เพื่อให้เข้าถึงการอำนวยความสะดวก รวมถึงการดำเนินของรัฐบาลในการป้องกันการติดเชื้อทำเต็มรูปแบบตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นายกรัฐมนตรียังขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ในการเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลสนาม มั่นใจว่า เมื่อประชาชนทุกคนร่วมมือกันทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี และยังช่วยลดความเสี่ยงแพทย์ บุคคลากรด้านสาธารณสุขในการติดเชื้อโควิด -19 เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานหนักและรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทุกคนร่วมมือกันในวันนี้จะเกื้อหนุนให้การทำงานสำเร็จไปได้ด้วยดีในการดูแลประชาชนทั้งประเทศ
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41082 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งติดตั้งอินเทอร์เน็ต – กล้องวงจรปิด รพ. สนาม ทั่วประเทศ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
เร่งติดตั้งอินเทอร์เน็ต – กล้องวงจรปิด รพ. สนาม ทั่วประเทศ
...
โรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นการรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดให้มากขึ้น ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารและความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลสนาม รัฐบาลจึงตั้งเป้าติดตั้งอินเทอร์เน็ต – กล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ
.
ล่าสุด ได้มีการติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ระบบโทรศัพท์ IP Phone และระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ในโรงพยาบาลสนามแล้ว 11 แห่ง ได้แก่
.
1.รพ. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
2.รพ. สนาม มรภ.ราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา
3.รพ. สนาม มรภ.ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด
4.รพ. สนาม ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
5.รพ. มหาวิทยาลัยพะเยา
6.รพ. สมุทรปราการ มรภ.ธนบุรี สมุทรปราการ
7.รพ. ผู้สูงอายุบางขุนเทียน
8.รพ. สนามเอราวัณ 1 บางบอน กทม.
9.รพ. สนาม ของ รพ. กลาง
10.รพ. สนาม ของ รพ. วชิรพยาบาล
11.รพ. สนาม ณ อบจ. ขอนแก่น
.
สำหรับหน่วยงานสาธารณสุข หรือ รพ. สนาม ที่ต้องการระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ต และ CCTV เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สามารถติดต่อได้ที่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โทร. 02 500 1111
Cr. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41062 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK พลิกโฉมสู่บทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” ช่วยผู้ประกอบการทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ นำทัพธุรกิจไทยรุกตลาดโลกอย่างสมดุล | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
EXIM BANK พลิกโฉมสู่บทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” ช่วยผู้ประกอบการทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ นำทัพธุรกิจไทยรุกตลาดโลกอย่างสมดุล
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงแนวนโยบายและบทบาทของ EXIM BANK ภายหลังเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
EXIM BANK พลิกโฉมสู่บทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” ช่วยผู้ประกอบการทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ นำทัพธุรกิจไทยรุกตลาดโลกอย่างสมดุล
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงแนวนโยบายและบทบาทของ EXIM BANK ภายหลังเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังจากในปีที่ผ่านมาหดตัวสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ขณะที่ความต้องการซื้อสินค้าภายในประเทศยังเปราะบางและการท่องเที่ยวยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน การฟื้นตัวของภาคการส่งออกจึงเป็นความหวังในระยะสั้น แต่การผลักดันให้เศรษฐกิจไทยและภาคการส่งออกเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวยังติดขัดปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ทำให้ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา GDP ไทยโตเฉลี่ยเพียง 2% เทียบกับ GDP โลกที่โต 3% และประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามโตถึง 6% สอดคล้องกับการส่งออกของไทยโตเฉลี่ยเพียง 2% น้อยกว่าเฉลี่ยของโลกที่ 3% และการส่งออกเวียดนามที่โตถึง 15%
ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังเผชิญปัญหา “ความย้อนแย้ง” ในเชิงโครงสร้างของผู้ประกอบการ แม้มีจำนวน SMEs มากถึง 3.1 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของทั้งระบบ ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีเพียง 1.5 หมื่นรายหรือ 0.5% ของทั้งระบบ แต่กลับมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูงเกือบ 60% ของ GDP รวม อีกทั้งเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ย GDP ต่อกิจการ พบว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจสูงกว่า SMEs ถึง 350 เท่า ยิ่งตอกย้ำว่าแม้ SMEs มีจำนวนมาก แต่ยังสร้างแรงส่งต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าที่ควร นอกจากนี้ SMEs ส่วนใหญ่ยังค้าขายอยู่ในประเทศ มีไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งหมดที่สามารถเป็นผู้ส่งออกได้และสัดส่วนนี้แทบไม่ขยับเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ SMEs ส่วนใหญ่เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและข้อจำกัดต่าง ๆ ภายในประเทศ ลดทอนโอกาสการเติบโตและการเป็นเครื่องยนต์สำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและการส่งออกของไทยเปรียบเสมือนรถยนต์ที่กำลัง “ติดหล่ม” และต้องการการผลักดันให้เคลื่อนไปข้างหน้าในหลายมิติ ได้แก่ 1. การลงทุน สัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนต่อ GDP ในปี 2563 อยู่ที่ 16.6% ลดลงจาก 18.7% ในปี 2553 2. การพัฒนานวัตกรรม สัดส่วนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ต่อ GDP ในปี 2561 ของไทยอยู่ที่ 1% เทียบกับเกาหลีใต้และไต้หวันซึ่งอยู่ที่ 4.5% และ 3.4% ตามลำดับ ทำให้การส่งออกของไทยยังเน้นสร้างมูลค่าผ่านปริมาณมากกว่าราคา 3. การเชื่อมโยง Supply Chain ของโลกยุคใหม่ ตามกระแส Megatrend 4. การสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ เพื่อให้เป็นนักรบเศรษฐกิจที่จิ๋วแต่แจ๋ว มีภูมิคุ้มกันในยามวิกฤตและแรงส่งใหม่ช่วยผลักดันประเทศให้เติบโต นอกจากนี้ เศรษฐกิจและการส่งออกของไทยยังถูกกดดันจากกระแส Disruption ในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การเกิดโควิด-19 สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งหากไม่เร่งแก้ไขหรือพัฒนาก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดอยู่กับที่หรือกลายเป็นรถยนต์ที่วิ่งได้ช้า
ดร.รักษ์ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ EXIM BANK ต้องทำหน้าที่ “เครื่องยนต์รุ่นใหม่” ผลักดันให้ประเทศไทยหลุดจากภาวะติดหล่มข้างต้น โดยใช้นโยบาย Dual-track Policy ชูบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)” ควบคู่กับการเป็น “ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)”
ภารกิจหลักของ EXIM BANK ในปี 2564 ได้แก่ การเร่ง “ซ่อม สร้าง เสริม” การพัฒนาประเทศไทย
1. การเร่ง “ซ่อม” และ “สร้าง” ภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เติบโตไปสู่อนาคต
• ประคับประคองผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมที่ประสบวิกฤต
• สร้างอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (เช่น เทคโนโลยีด้านสุขภาพ รถยนต์ไฟฟ้า) เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) โครงสร้างพื้นฐาน และการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมขนานใหญ่
2. การเร่ง “สร้าง” ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย ตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงรายกลางและรายใหญ่ ทำให้ Supply Chain ภาคส่งออกไทยแข็งแกร่งและเชื่อมโยงกับการลงทุนภายในประเทศและระหว่างประเทศ
• เป็นสะพานเชื่อมต่อโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน
• เติมเต็มช่องว่างทางธุรกิจให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะการแชร์ความเสี่ยงในช่วงเริ่มต้นของโครงการ
• สร้างผู้ส่งออก SMEs รายใหม่ให้ส่งออกได้และแข็งแรงขึ้น เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในระยะถัดไป
• สนับสนุนซัพพลายเออร์และผู้ประกอบการทั้งหมดใน Supply Chain การส่งออก
• สร้างช่องทางในลักษณะ Thai Pavilion นำสินค้าไทยสู่ตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของโลก
3. การเร่ง “เสริม” ศักยภาพการแข่งขันของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดหลักและตลาดใหม่ (New Frontiers) อย่างสมดุล
• สนับสนุนให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้ โดยเฉพาะประเทศที่ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการลงทุน
• ป้องกันความเสี่ยง พร้อมเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการไทย
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK วันนี้ต้องมีจุดยืนที่มีเสน่ห์ เพื่อทำให้องค์กรโตขึ้น ชัดเจนขึ้น และช่วยพัฒนาประเทศได้มากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการช่วยให้นักลงทุนไทยที่มีศักยภาพเข้าไปรับงานในต่างประเทศได้มากขึ้น ควบคู่กับการขยายโครงการลงทุนภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน ควบคู่กับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ โดยสร้างนวัตกรรมหรือกระบวนการผลิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน EXIM BANK จะเข้าไปดูแลผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถค้าขายหรือลงทุนระหว่างประเทศได้โดยสะดวกขึ้น สามารถบริหารความเสี่ยงและเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ นำไปสู่การพัฒนาภาคส่งออกและการลงทุนของไทยตลอดทั้ง Supply Chain ของไทยให้เชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลกในยุค New Normal ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนหลักการแห่งความยั่งยืน
“ผมตั้งใจเข้ามาทำหน้าที่นายธนาคารยุคใหม่เพื่อการพัฒนา เดินหน้าปรับเปลี่ยน EXIM BANK ขนานใหญ่ให้สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น และเป็นกลไกให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ปรับตัว เปลี่ยนผ่านไปสู่โลกยุคใหม่ได้ เส้นทางใหม่ของ EXIM BANK ครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจนที่จะ ‘ฝันให้ใหญ่’ สู่การเป็น Thailand Development Bank แล้ว ‘ไปให้ไกล’ สู่ New Frontiers โดย ‘ไม่ทิ้งคนตัวเล็ก’ หรือ SMEs เพราะทุกภาคส่วนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงประเทศ” ดร.รักษ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Redefines Role as “Thailand Development Bank” to Assist Thai Entrepreneurs at All Levels, Develop New Industries and Bring Thai Businesses to Global Market on a Balanced Basis
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), announced EXIM Thailand’s role and policy guideline upon his appointment as EXIM Thailand President since the beginning of April 2021. He said Thai economy has been on a slow recovering trend after last year’s record contraction since the Tom Yum Kung crisis. Domestic demand has remained vulnerable while tourism has shown no sign of recovery in the short run. A short-term hope has thus been placed on export. However, Thai economic and export growth prospects have still been hindered by several prevailing structural problems. As evident over the past decade, Thailand’s average GDP growth has been 2%, compared with global average GDP growth of 3% and that of neighboring Vietnam of as high as 6%. This has been in line with Thailand’s average export growth of 2%, which is lower than global average export growth of 3% and that of Vietnam of as high as 15%.
Moreover, Thailand has been faced with structural “controversies” of entrepreneurs. Although there are as high as 3.1 million SMEs or 99.5% of the entire system, large enterprises which are in the number of only around 15,000 or 0.5% of the entire system have substantially contributed to almost 60% of the GDP. As regards average GDP per enterprise, large enterprises have played a more significant role on the economy than SMEs by 350 times. This has indicated that, though in a large number, SMEs have yet to materially propel the economy. Besides, most SMEs still do businesses domestically. SME exporters account for less than 1% of total SMEs, and such proportion has been unchanged for the past several years. SMEs at large have thus encountered fierce competition and restrictions domestically. This has accordingly disabled them to fully grow and perform as a significant economic engine.
EXIM Thailand President said that Thai economy and export are like a car that “gets stuck” and needs a powerful driving force to move forward in various dimensions, as follows: (1) Investment: Private sector investment to GDP was 16.6% in 2020, down from 18.7% in 2010. (2) Development of innovations: Research & Development (R&D) value to GDP was only 1% in 2018, compared with South Korea’s 4.5% and Taiwan’s 3.4%. Hence, Thai export has still focused on creating value through volume rather than pricing. (3) Linkage with new global supply chain in line with megatrend. (4) Building of new exporters: Especially for SMEs, which are a foundation of the country, they should be developed to be economic warriors that are small but beautiful having immunity against crises and being a new driver of economic growth. Moreover, Thai economy and export have been pressured by multi-faceted disruption waves, such as technological disruption, outbreak of COVID-19, trade wars, and international conflicts. If no accelerated remedy or improvement is made, Thai economy may be stalled or move forward slowly.
Dr. Rak pointed out that it is time for EXIM Thailand to perform as a “new driving engine” for Thailand’s national development under the dual-track policy highlighting its role of “Thailand Development Bank” along with that of “One Stop Trading Facilitator for SMEs.”
EXIM Thailand’s main mission in 2021 is acceleration of “renovation, building, enhancement” for Thailand’s national development.
1. Accelerated “renovation” and “building” of Thai industries toward future growth
• Support industrial entrepreneurs suffering from the crisis.
• Build new industries, such as industries of the future (e.g. health technology, electric car), bio-circular-green economy and infrastructure, as well as industrial transformation.
2. Accelerated “building” of Thai exporters and investors from small to medium and large ones that will lead to a strong supply chain of Thai export sector in linkage with domestic and international investments
• Bridge projects of cooperation between Thai and overseas governments, especially those in neighboring countries.
• Fill business gaps for large clients, particularly risk sharing in the project initial period.
• Build new SME exporters to ensure they can export, get stronger and access other low-cost financial sources looking forward.
• Support all suppliers and entrepreneurs in the export supply chain.
• Build channels in the form of Thai Pavilions to bring Thai goods to markets around the world through world leading online platforms.
3. Accelerated “enhancement” of Thai exporters and investors’ competitive potential in both principal markets and new frontiers on a balanced basis
• Provide support to ensure Thai entrepreneurs can well compete, especially in countries where Thai entrepreneurs can hardly access financial sources, probably from the start of the investment projects.
• Provide risk hedging facility and pave way for Thai entrepreneurs to new frontier markets.
EXIM Thailand President further said that the Bank needs to be positioned in an attractive manner to ensure it can grow and be able to support the country’s developments. It should start from assisting Thai investors that have good potential in winning contracts overseas in conjunction with expanding investment projects domestically. This aims to boost labor employment together with industrial development that can weather various limitations by developing innovations or production processes in response to demand of new generation consumers whose behaviors are changeable rapidly. Meanwhile, EXIM Thailand will take care of small entrepreneurs so that they can carry on their international trade and investment more conveniently, manage associated risks, and access fresh business opportunities. These efforts should help foster Thai export and investment as well as establish links of Thai supply chain with global supply chain in the New Normal context which gives high priority to business operation on a sustainable basis.
“I am fully determined to perform my duty as a development banker of the new era to drive EXIM Thailand’s transformation so that it is more resilient to risks and serve as a mechanism for Thai entrepreneurs, SMEs in particular, to be adaptable in the transition to the new business world. This new journey of EXIM Thailand has a clear goal to ‘Dream Big’ toward being Thailand Development Bank that expands to cover new frontiers while not neglecting small players like SMEs because all sectors are part of Thailand’s national development,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41088 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
รมว.วธ เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช
พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในกิจกรรม งาน “ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในกิจกรรม งาน “ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์” โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา
นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร และข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41074 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบคณะผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพิจารณาและแถลงผลข้างเคียงวัคซีนโควิด 19 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
อนุทิน มอบคณะผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพิจารณาและแถลงผลข้างเคียงวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมอบคณะผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการร่วมพิจารณา อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน พร้อมแถลงข้อสรุปในช่วงบ่ายวันนี้
วันนี้ (21 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีผลข้างเคียงหลังจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่า ได้มอบหมายให้ ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ประชุมคณะทำงานติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนในช่วงบ่ายวันนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจะร่วมกันพิจารณา ซึ่งขณะนี้มีหลายสมมติฐาน และแถลงข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันให้ทราบในบ่ายวันนี้ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนอาจมีอาการไม่พึงเกิดขึ้นได้ ยืนยันว่าต้องสังเกตอาการหลังการฉีด 30 นาที หากมีอาการผิดปกติจะมีแพทย์ดูแลทันที ซึ่งที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่ฉีดแล้วไม่มีผลข้างเคียง เชื่อว่าเกิดจากร่างกายของแต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่างกัน อย่างไรก็ตามเราต้องระวังมากขึ้น การตัดสินใจว่าฉีดต่อหรือจะหยุด ต้องได้รับการพิจารณาและคำแนะนำจากคณะกรรมการวิชาการชุดนี้ก่อน ซึ่งแม้แต่ผมในฐานะรัฐมนตรีก็สั่งไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางวิชาการทางการแพทย์ ขณะนี้ไม่มีการชะลอฉีด แต่มีคำสั่งให้ดูแลสังเกตอาการเป็นพิเศษ และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือหากมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
นายอนุทินกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการจัดหาวัคซีนทุกชนิดที่มีความปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ไม่มีการระบุว่าต้องเป็นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และได้ให้แนวทางจัดหาเพิ่มให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากร จากเดิมที่กำหนดไว้ตามทฤษฎีคือร้อยละ 60 ของประชากรก็สามารถสร้างภูมิต้านทานหมู่ได้ เราจึงพยายามหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ไทยสั่งซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้าได้ 60 ล้านโดสได้รับในเดือนมิถุนายน บริษัทอื่นก็เริ่มเข้ามาเจรจาและสามารถจัดส่งได้เร็วขึ้น จากเดิมส่งได้สิ้นปี 64 เลื่อนเป็นไตรมาส 3 ปี 64 อยู่ที่การเจรจา โดยพรุ่งนี้จะมีการเจรจากับตัวแทนผู้ผลิตวัคซีน 2-3 ราย สิ่งสำคัญที่สุดคือจะได้รับวัคซีนเมื่อไหร่ เราต้องทำให้เกิดความมั่นใจ
สำหรับวัคซีนของไฟเซอร์ ยังเจรจาอยู่ และรอใบเสนอราคา หากส่งมอบ 10 ล้านโดสได้ภายในมิ.ย.-ก.ค. จะจัดซื้อ เนื่องจากสามารถฉีดให้ได้ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป และเพิ่งได้รับข้อมูลเรื่องการจัดเก็บ เดิมเก็บที่อุณหภูมิ – 70 องศา ขณะนี้เก็บได้ที่ – 20 องศา และที่ 2 – 8 องศา จะเก็บไว้ได้ 2 เดือน เท่ากับแอสตราเซนเนก้าและซิโนแวค เก็บได้ 3 เดือน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดให้บริษัทวัคซีนสปุตนิกมาเจรจา มีตัวแทนเข้ามาก่อนหน้านี้ให้มาขึ้นทะเบียน แต่ต้องให้รัฐบาลยืนยันสั่งซื้อก่อน และจะส่งให้สิ้นปี 64 ยืนยันนายกฯ ไม่เคยไม่สนับสนุนให้คนไทยไม่ได้รับวัคซีน มีแต่ให้มากขึ้น
**************************************** 21 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ชวนทำดี จัดกิจกรรม “ปรับ-ปลูก-ปัน วันแรงงานสร้างสุข ปลุกพลังจิตอาสา” | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ก.แรงงาน ชวนทำดี จัดกิจกรรม “ปรับ-ปลูก-ปัน วันแรงงานสร้างสุข ปลุกพลังจิตอาสา”
ก.แรงงาน เชิญชวนสถานประกอบกิจการ นายจ้าง และเครือข่ายพี่น้องแรงงาน จัดกิจกรรม “ปรับ-ปลูก-ปัน วันแรงงานสร้างสุข ปลุกพลังจิตอาสา” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของแรงงาน เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2564
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่1พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ตามปกติจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อแสดงถึงพลังของแรงงานในการร่วมพัฒนาประเทศ ตลอดจนรับทราบปัญหา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างขวัญกำลังใจแก่พี่น้องแรงงาน แต่ปีนี้เนื่องจากสถานการณ์ของ โรคโควิด-19เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ จึงมีความจำเป็นต้องงดการจัดกิจกรรมวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี2564อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนโยบายการบริหารงานภายใต้วิสัยทัศน์ “แรงงานมีศักยภาพสูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยให้ความสำคัญกับการน้อมนำพระราชปณิธาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการขับเคลื่อนโครงการจิตอาสา หวังให้ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดกิจกรรม “ปรับ-ปลูก-ปัน วันแรงงานสร้างสุข ปลุกพลังจิตอาสา” เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการ นายจ้าง และลูกจ้าง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีส่วนร่วมในกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม ตลอดจนก่อให้เกิดความสามัคคีและความเข้มแข็งของเครือข่ายพี่น้องแรงงานผู้ที่ทำประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมดังกล่าว กรมได้มอบหมายให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน76จังหวัด ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการและเครือข่ายแรงงาน จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานและประชาชนให้มีความสุข ได้แก่ การมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดสถานประกอบกิจการ พื้นที่ในชุมชน เช่น วัด และโรงเรียน หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งปันในการบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาติไทย พร้อมทั้งกิจกรรมยกระดับสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของพี่น้องแรงงาน ให้มีความรู้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในการดูแลตนเองและครอบครัว โดยร่วมแบ่งปันหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้กรมตั้งเป้าจัดกิจกรรมมุ่งสร้างความสำคัญของแรงงานในวันแรงงานแห่งชาติ อาทิ การให้คำปรึกษาแนะนำ ตรวจเยี่ยม และติดตามป้องกันเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงาน อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของนายจ้างและลูกจ้างในการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและผ่านพ้นวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41066 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"การสู้โควิดแบบคนไทย ที่ใครๆ ก็ทำตามได้ยาก" | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
"การสู้โควิดแบบคนไทย ที่ใครๆ ก็ทำตามได้ยาก"
"การสู้โควิดแบบคนไทย ที่ใครๆ ก็ทำตามได้ยาก"
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41078 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ห่วงใย SMEs ปรับแผน ”บสย. F. A. Center” ปรึกษาออนไลน์ ผนึก 3 องค์กร ยกระดับ-สร้างอาชีพอิสระ SMEs - มนุษย์เงินเดือน ผ่านแนวคิด Salon Truck - Mobile Market | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
บสย. ห่วงใย SMEs ปรับแผน ”บสย. F. A. Center” ปรึกษาออนไลน์ ผนึก 3 องค์กร ยกระดับ-สร้างอาชีพอิสระ SMEs - มนุษย์เงินเดือน ผ่านแนวคิด Salon Truck - Mobile Market
บสย. ปรับแผน บสย. F.A. Center ปรึกษาฟรีผ่านออนไลน์ พร้อมผนึก 3 องค์กร สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และ สมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย เปิดโอกาสสร้างอาชีพอิสระ SMEs – มนุษย์เงินเดือน ในรูปแบบ Salon Truck - Mobile Market
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินอาชีพของผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม บสย.จึงได้เพิ่มความเข้มข้นในการให้ความช่วยเหลือ SMEs ผ่านมาตรการเชิงรุก อุดช่องว่างให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ประอบการ SMEs มีทางเลือกทางรอดมากขึ้นในยามวิกฤต โดยได้ปรับแผนและกระบวนการทำงานของศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Center ซึ่งตั้งอยู่ ณ ชั้น 1 สำนักงานใหญ่ SMEs D Bank พหลโยธิน เป็นรูปแบบการให้คำปรึกษาแบบออนไลน์เพื่อความต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถใช้บริการให้คำปรึกษาโดยลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าเพื่อนัดหมายที่ https://bit.ly/3jPbZ04 หรือ โทร. 065-507-8999, 065-502-6999
นอกจากนี้ บสย.ยังได้ผนึกความร่วมมือกับ องค์กรต่าง ๆ เปิดโอกาสสร้างอาชีพให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยในวันนี้ (21 เม.ย. 2564) คณะผู้บริหาร บสย. ประกอบด้วย นางผกามาศ สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ และนายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ได้ประชุมหารือผ่านระบบออนไลน์ ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) และ ดร.สมศักดิ์ ชลาชล นายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย เรื่อง “การพัฒนาผู้ประกอบการมืออาชีพสู่ Mobile Salon และ Mobile Market” เพื่อพัฒนามาตรฐานผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มช่างทำผมและร้านเสริมสวย พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ต่อยอดปรับโมเดลธุรกิจผ่านแนวคิด Mobile Salon โดยใช้รถ Salon Truck บริการลูกค้า และพัฒนามาตรฐานผู้ประกอบการกลุ่มจำหน่ายพืช ผัก ผลไม้ ปรับโฉมธุรกิจในรูปแบบ Mobile Market เพื่อเพิ่มอาชีพใหม่ให้กับกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ และเปิดช่องทางการจำหน่ายผลผลิตกลุ่มเกษตรกร โดยมีทีมที่ปรึกษา บสย. F.A. Center ให้ข้อแนะนำและเตรียมตัวให้กับผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41090 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งดันไทยฮับฮาลาลโลก เห็นชอบพิมพ์เขียว 2570 เดินหน้า “1 วิสัยทัศน์ 5 แนวทาง” | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
เร่งดันไทยฮับฮาลาลโลก เห็นชอบพิมพ์เขียว 2570 เดินหน้า “1 วิสัยทัศน์ 5 แนวทาง”
“เฉลิมชัย” เร่งดันไทยฮับฮาลาลโลก เห็นชอบพิมพ์เขียว 2570 เดินหน้า “1 วิสัยทัศน์ 5 แนวทาง” บุกตลาด 2 พันล้านคน ดึง “สคช.” ยกระดับมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพฮาลาล จับมือ “ศอบต.” ขับเคลื่อน 3 โครงการอุตสาหกรรมฮาลาลภาคใต้พร้อมขยายบทบาทไทยในเวทีโลก ผนึกองค์การคว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริม สินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” (ฮาลาลบอร์ด-Halal Board) แถลงวันนี้ (21 เม.ย.) ว่า อุตสาหกรรมฮาลาลมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าอาหารและเกษตรอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากจีน และเป็นอันดับ 12 ของโลก และภายใต้ “5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรฯ” ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เล็งเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยภายใต้วิกฤติการณ์โควิด 19 ในการเป็นประเทศผู้นำการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดเป้าหมายใหม่กลุ่มประเทศมุสลิม 2,000 ล้านคน และผู้บริโภคสินค้าฮาลาลที่ไม่ใช่มุสลิมทั่วโลกภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วน
ทั้งนี้ปี 2563 ที่ผ่านมาตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่า 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (48,004,350 ล้านบาท) และประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 71,545,354 ล้านบาท) ในปี 2569 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (16.8 ล้านล้านบาท)
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานได้ให้ความเห็นชอบเนื้อหาร่างวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล (1 วิสัยทัศน์ 5 แนวทาง) ซึ่งจัดทำขึ้นโดยอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้นำในการผลิต การแปรรูป การส่งออกและการพัฒนาสินค้าเกษตร และอาหารฮาลาลที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล และเข้าสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย โดยใช้หลักศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายในปี 2570 ผ่านการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่กำหนดทั้งหมด 5 แนวทาง ได้แก่ (1) เพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล (2) สร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร ด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (3) เสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิต และการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค (4) เพิ่มศักยภาพทางตลาด และโลจิสติกส์ (5) ยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ ร่างวิสัยทัศน์ดังกล่าวเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวฮาลาลไทย (Thailand Halal Blueprint) ฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ประกอบด้วยเป้าหมาย วิสัยทัศน์ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) เป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดที่สำคัญ ผ่านการดำเนินกิจกรรม และโครงการที่กำหนดในแผนปฏิบัติการโดยร่างวิสัยทัศน์ดังกล่าวจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณา เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตร มาตรฐาน “ฮาลาล” ในพื้นที่ชายแดนใต้ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมไก่และโคครบวงจรที่จังหวัดยะลา 2 โครงการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการหลายร้อยรายในพื้นที่โครงการละกว่า 3,000 ไร่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำสัญญาโรงไฟฟ้าชีวมวลและโครงการอุตสากรรมไก่ที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นการทำงานบนความร่วมมือกับศอบต.อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นฮับของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลตามเป้าหมายที่วางไว้
“ที่ประชุมยังมีมติให้เปลี่ยนชื่อและปรับภารกิจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายฯ เป็นคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และนโยบายฯ เพื่อขยายการส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาลในภาคเหนือภาคอีสานภาคกลางและภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองท่าหน้าด่านเช่น อุดรธานี เชียงราย ตาก เป็นต้น ส่วนภาคใต้มีอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลภาคใต้รับผิดชอบอยู่แล้วโดยเร่งขับเคลื่อนโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม ภายใต้ความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์ AIC เพื่อเป็นฐานการผลิตแปรรูปสร้างมูลค่าสินค้าเกษตรในการส่งออกไปอาเซียน เอเซียตะวันออก เอเซียใต้เอเซียกลาง ตะวันออกกลาง อัฟริกา ยุโรปและอเมริกา” นายอลงกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เชิญนายพิริยพงศ์ แจ้งเจนเวทย์ จากสำนักงานมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการ และบุคลากรในอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยในยุคเกษตร 4.0 ผ่านการเสริมสร้างความรู้ และทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพที่สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นผู้กำหนด ซึ่งสามารถนำมาเทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติได้ โดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้กำหนดมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพสำหรับผู้ประกอบอาหารฮาลาล ซึ่งสอดคล้องกับหลักศาสนา และมาตรฐานสากล อีกทั้งยังได้เชิญผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ เพื่อยกระดับผู้ประกอบอาหารฮาลาลของไทย โดยคณะกรรมการฯ จะจัดทำความร่วมมือร่วมกับสถาบันฯ ในด้านการขยายผลสาขาอาชีพที่กำหนดมาตรฐานเสร็จแล้ว การจัดหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ การให้การรับรองตามมาตรฐานอาชีพ รวมถึงการจัดทำมาตรฐานอาชีพเพิ่มเติมในสาขาที่ยังขาดแคลน โดยเฉพาะอาชีพที่ปรึกษาธุรกิจด้านฮาลาล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผู้ประกอบการฮาลาลไทย
ทางด้าน รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร. ปกรณ์ ปรียากร ผู้อำนวยการสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย รายงานความคืบหน้างานสมัชชาฮาลาลไทยแลนด์ 2021 (Thailand Halal Assembly 2021) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2564 ผ่านระบบ video conference ภายใต้ธีม A Virtual Way for Actual Halal World ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาส และความท้าทายต่ออุตสาหกรรมฮาลาล และการรับรองฮาลาลในยุคหลัง COVID-19 โดยงาน Thailand Halal Assembly 2021 จะมีสถาบันมาตรฐานและมาตรวิทยาของประเทศอิสลาม (SMIIC) ภายใต้องค์การความร่วมมือประเทศอิสลาม (OIC) และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลและสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย
ภายในงานจะประกอบไปด้วยการประชุมวิชาการด้านฮาลาล และการจัดแสดงสินค้าฮาลาล รวมกว่า 4 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่
1. การประชุมนานาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาล 2021 (The International Halal Science and Technology Conference 2021)
2. การประชุมนานาชาติฮาลาลว่าด้วยอุตสาหกรรมและธุรกิจครั้งที่ 14 (The 14th Halal Science, Industry and Business Virtual Conference)
3. การประชุมว่าด้วยการรับรองและมาตรฐานฮาลาลนานาชาติ (The International Halal Standards and Certification Convention)
4. งานนานาชาติไทยแลนด์ฮาลาลเอ็กซ์โป (Thailand International Halal Expo 2021 Virtual Expo)
นับเป็นการขยายบทบาทของไทยในเวทีโลกครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งโดยเฉพาะการแสดงถึงมาตรฐานฮาลาลไทยและการพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาล
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา มีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง นายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน นายสมศักดิ์ เมดาน รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รศ.ดร.ปกรณ์ ปรียากร ผู้อำนวยการสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อานวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายพิริยพงศ์ แจ้งเจนเวทย์ผู้แทนสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) นายอำนวย ศรีระแก้ว ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัวแทนหน่วยงานราชการ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเอกชน ภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นสำคัญประกอบด้วย ความร่วมมือในด้านการพัฒนามาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพผู้ประกอบฮาลาล ผลการดำเนินงานส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล ในปี พ.ศ. 2563 และปี2564 พร้อมรับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผล การเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” คณะอนุกรรมการส่งเสริมการค้าสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผล การเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตร มาตรฐาน “ฮาลาล” ในพื้นที่ชายแดนใต้รวมทั้งการรายงานผลการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอมซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยรับคืนเงินตั๋วโดยสารเต็มราคา สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการงดเดินทางช่วงวันที่ 19 - 30 เมษายน 2564 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยรับคืนเงินตั๋วโดยสารเต็มราคา สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการงดเดินทางช่วงวันที่ 19 - 30 เมษายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยรับคืนเงินตั๋วโดยสารเต็มราคา สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการงดเดินทางช่วงวันที่ 19-30 เม.ย.64 เพื่อสนับสนุนนโยบายการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาล พร้อมใช้มาตรการดูแลทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด -19 ยังคงมีการแพร่ระบาดรุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องมีการยกระดับมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่
รฟท. จึงได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการงดการเดินทางระหว่างวันที่ 19-30 เมษายน 2564 ให้สามารถคืนเงินตั๋วโดยสารได้เต็มราคา เพื่อเป็นการช่วยควบคุม ป้องกัน และลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถไว้ล่วงหน้า หากไม่มั่นใจในการเดินทางในช่วงดังกล่าวสามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน และคืนเงินเต็มราคาเป็นกรณีพิเศษ
2. กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสารได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน และคืนเงินเต็มราคา เป็นกรณีพิเศษ
3. ตั๋วอินเตอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและต้องการคืนเงินเต็มจำนวน อนุญาตให้ยื่นคำร้องขอคืนเงินได้ที่สถานี
“ประชาชนที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางในช่วงวันดังกล่าว สามารถติดต่อขอคืนเงินได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของสถานีทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564 เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง”
นอกจากนี้ รฟท. ยังกำชับให้ทุกสถานี และรถโดยสารทุกขบวน ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุม ป้องกัน ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และสร้างความมั่นใจในการเดินทาง ทั้งการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในอาคารสถานี ชานชาลา ที่พักผู้โดยสาร ห้องสุขา และพื้นที่โดยรอบบริเวณสถานี ตลอดจนขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง และลงทะเบียนหรือสแกนคิวอาร์โค้ด เช็กอิน/เช็กเอาต์ แอพพลิเคชั่นไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ หรือหากพบเห็นผู้โดยสารที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานี/ขบวนรถ หรือศูนย์ปลอดภัยของ รฟท. โทรศัพท์ 02-5379198
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ปรับลดจำนวนเที่ยววิ่ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
บขส. ปรับลดจำนวนเที่ยววิ่ง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข “สวมหน้ากากอนามัย-เว้นระยะห่าง-สแกนไทยชนะ” ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส. ได้พิจารณาปรับตารางการเดินรถ โดยปรับลดจำนวนเที่ยววิ่งให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และประกาศของกรมการขนส่งทางบก ที่ให้พิจารณาจัดการเดินรถตามความจำเป็น โดยให้ปรับลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 – 04.00 น. เริ่มตั้งแต่วันนี้ (20 เมษายน 2564) เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เส้นทางภาคเหนือ เปิดให้บริการ 12 เส้นทาง อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-อุตรดิตถ์, กรุงเทพฯ-เชียงราย, กรุงเทพฯ-แม่สอด, กรุงเทพฯ-แม่สาย, กรุงเทพฯ-เชียงคำ ,กรุงเทพฯ-หล่มเก่า และกรุงเทพฯ-คลองลาน รวม 32 เที่ยววิ่ง
เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เปิดให้บริการ 11 เส้นทาง อาทิ เส้นทาง กรุงเทพฯ-หนองบัวลำภู, กรุงเทพฯ-นครพนม , กรุงเทพฯ-เลย-เชียงคาน, กรุงเทพฯ-สุรินทร์, กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ , กรุงเทพฯ-สังขะ-ขุขันธ์-กันทรลักษณ์-เดชอุดม-อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ-มุกดาหาร, กรุงเทพฯ-รัตนบุรี, กรุงเทพฯ-จันทบุรี-ตราด และกรุงเทพฯ-สระบุรี รวม 30 เที่ยววิ่ง
เส้นทางภาคใต้ เปิดให้บริการ 12 เส้นทาง อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ-ตรัง-สตูล, กรุงเทพฯ-สุไหงโกลก, กรุงเทพฯ-ยะลา, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต, กรุงเทพฯ -หาดใหญ่-สงขลา, กรุงเทพฯ -คลองท่อม-กระบี่ , กรุงเทพฯ เกาะสมุย, กรุงเทพฯ-ตะกั่วป่า-โคกกลอย, กรุงเทพฯ-นครศรีฯ-หัวไทร, หมอชิต2-ภูเก็ต, หมอชิต2-กระบี่, หมอชิต2-ตรัง-สตูล, หมอชิต2-เกาะสมุย, และหมอชิต2-หาดใหญ่ เป็นต้น รวม 36 เที่ยววิ่ง สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้กำชับให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และให้ดูแลทำความสะอาดฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในอาคารสถานี และบนรถโดยสารก่อนนำรถมาวิ่งให้บริการ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เว้นระยะห่างขณะใช้บริการ , ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะหรือแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ
หากผู้โดยสารมีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ บขส. หรือบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ทันที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41071 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. ชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ปลัด วธ. ชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๓๙ ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ๑๐ รัชกาล เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๓๙ ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
นิทรรศการดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีที่ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี รวมทั้งร่วมฉลองเนื่องในวาระครบรอบวันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ๒๓๙ ปี เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ ๒๑-๓๐ เมษายน ๒๕๖๔
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้เชี่ยวชาญ สรุปอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนเกิดขึ้นได้ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
คณะผู้เชี่ยวชาญ สรุปอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนเกิดขึ้นได้
คณะกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีน สรุปผลบุคลากรทางการแพทย์ 6 ราย หลังฉีดวัคซีนซิโนแวค มีอาการทางระบบประสาท คล้ายโรคหลอดเลือดสมอง เกิดขึ้นชั่วคราว ผลสแกนสมองไม่พบผิดปกติ หลังรักษาอาการเป็นปกติดี คาดว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน
คณะกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีน สรุปผลบุคลากรทางการแพทย์ 6 ราย หลังฉีดวัคซีนซิโนแวค มีอาการทางระบบประสาท คล้ายโรคหลอดเลือดสมอง เกิดขึ้นชั่วคราว ผลสแกนสมองไม่พบผิดปกติ หลังรักษาอาการเป็นปกติดี คาดว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน ขณะที่วัคซีนในล็อตเดียวกันฉีดแล้วกว่า 3 แสนรายยังไม่พบอาการคล้ายกัน จึงมีมติให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคต่อได้ เนื่องจากประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าอาการที่เกิดขึ้น
วันนี้ (21 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีน พร้อมด้วย นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค พญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา และนายกสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย และนพ.เมธา อภิวัฒนากุล รองเลขาธิการสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวกรณีบุคลากรทางการแพทย์ 6 ราย ที่ จ.ระยอง เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการรับวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวค
ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวว่า จากการสอบสวนอย่างละเอียดทั้ง 6 รายมีอาการคล้ายหลอดเลือดสมอง (Stroke) เช่น แขนขาอ่อนแรง ชา ชาครึ่งซีก ยังบอกไม่ได้แน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่เกิดกับสตรีอายุไม่มาก ไม่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน หายภายใน 1-3 วัน จากการสแกน MRI สมองพบว่าปกติจึงเรียกว่าเป็นอาการทางระบบประสาท เป็นกลุ่มอาการคล้ายหลอดเลือดสมองที่เกิดชั่วคราว คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากเกิดภายในช่วง 5-10 นาที ทั้งนี้ จากการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนล็อตดังกล่าว ไม่พบความผิดปกติ ไม่มีปัญหาเรื่องมาตรฐานการจัดเก็บวัคซีน ขณะที่วัคซีนล็อตนี้กระจายไป 5 แสนโดส มีผู้รับวัคซีนแล้วมากกว่า 3 แสนราย ยังไม่พบอาการดังกล่าว จึงต้องติดตามต่อไป โดยคณะกรรมการฯ ลงความเห็นว่าให้ใช้วัคซีนล็อตนี้ต่อไปได้ เนื่องจากประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าอาการที่เกิดขึ้น
“เมื่อมีอาการคล้ายหลอดเลือดสมองตามแนวทางคือรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดตามมาตรฐานไปก่อน แม้ภายหลังตรวจพบว่าไม่เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง เพราะผลสแกนสมองปกติทั้งหมด แต่การรักษาไปก่อนไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด” ศ.พญ.กุลกัญญากล่าว
ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวต่อว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอาการหลังรับวัคซีนยังรับวัคซีนเข็มที่ 2 ต่อได้ เนื่องจากไม่ใช่การแพ้รุนแรง ยืนยันว่าไม่มีข้อห้าม และไม่เคยมีหลักฐานเชื่อมโยงว่ายาคุมกำเนิดหรือประจำเดือนจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากวัคซีนมากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ การควบคุมโรคโควิดต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากกว่าร้อยละ 70 ของประชากร จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จึงจะถอดหน้ากากออกพร้อมกันได้เหมือนประเทศอิสราเอล ตอนนี้แม้จะรับวัคซีนแล้วยังต้องสวมหน้ากากต่อไป
นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 5 ราย และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล 1 ราย ทั้งหมดรับวัคซีนโคโรนาแวคของบริษัทซิโนแวคในล็อตเดียวกัน มีอาการภายหลังรับวัคซีน 5-30 นาที โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 1 ราย วันที่ 6 เมษายน 1 ราย วันที่ 8 เมษายน 2 ราย และวันที่ 9 เมษายน 2 ราย มีอาการคล้าย
โรคระบบประสาทและสมอง คือ ชาครึ่งซีก อ่อนแรงที่แขนขา หรือชาแต่ไม่มีอาการอ่อนแรง และพบว่าเป็นผู้มีโรคประจำตัวคือมะเร็ง 1 ราย ไขมันในเลือดสูง 1 ราย น้ำหนักเกิน 2 ราย และมีประวัติกินยาคุมกำเนิด 4 ราย ทั้งนี้ มีการฉีดวัคซีนของซิโนแวคแล้วกว่า 6 แสนราย มีการเฝ้าระวังติดตามอาการทุกราย หากมีอาการรุนแรงจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ต่อไป โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมจะปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านพญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา และนายกสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แพทย์ที่ จ.ระยองตรวจวินิจฉัยผู้ที่มีอาการทั้งหมดพบว่า เกิดอาการอ่อนแรงจริง ชา ปากเบี้ยว พูดไม่ชัดในบางราย คล้ายอาการโรคหลอดเลือดสมอง จึงต้องรักษาตามมาตรฐานด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดใน 4.5 ชั่วโมง เพื่อช่วยชีวิตและลดความพิการตามมาตรฐานการรักษา ซึ่งเป็นการรักษาฉุกเฉินที่ต้องให้การรักษาก่อน แล้วค่อยดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ซึ่งพบว่าหลังรักษาอาการดีขึ้นทุกราย จนกลับมาเป็นปกติ ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองไม่พบผิดปกติ และตรวจเพิ่มด้วยการ MRI สมอง ก็ไม่พบเนื้อสมองตายหรือหลอดเลือดสมองตีบ คิดว่าคล้ายกลุ่มอาการหลอดเลือดสมอง อาจสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีน เพราะมีรายงานว่าการฉีดวัคซีนอาจเกิดอาการทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้องได้ แต่พบไม่บ่อย มักเป็นเพียงชั่วคราว และดีขึ้นกลับมาเป็นปกติ จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนก อย่างไรก็ตาม สาเหตุเชิงลึกต้องศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการติดตามต่อไป
ด้าน นพ.เมธา อภิวัฒนากุล รองเลขาธิการสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังฉีดวัคซีนหากพบอาการที่เข้าได้กับระบบประสาทและหลอดเลือดสมอง ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ส่วนแพทย์ที่ตรวจพบอาการที่เข้าได้กับหลอดเลือดเสมอง ให้รักษาตามแนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่มีข้อบ่งชี้ให้ยาละลายลิ่มเลือด และให้รายงานเข้ามาตามระบบ เพื่อนำไปศึกษาหรือสืบสวนต่อไป อย่างไรก็ตามขอให้ลดความกังวลการรักษาจะเป็นไปตามกลุ่มอาการ และมาตรฐานของการรักษา
********************************** 21 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41092 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ลั่น “ซิมแรงงาน” พร้อมให้บริการแล้ว | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
รมช.แรงงาน ลั่น “ซิมแรงงาน” พร้อมให้บริการแล้ว
- -
วันที่ 21 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า “ซิมแรงงาน” ตามโครงการความร่วมมือระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) พร้อมให้บริการแล้ว ลงทะเบียนขอรับซิมการ์ด ในอัตราค่าบริการถูกที่สุดได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 15 มิถุนายน 2564
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า เนื่องจากการฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดำเนินการนั้น มีหลายหลักสูตรปรับการฝึกผ่านระบบออนไลน์ ทั้งรองรับ New Normal และปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถึงแม้การฝึกดังกล่าวจะมีจำนวนคนไม่เกินกว่าที่รัฐบาลกำหนดก็ตาม ซึ่งมีการปรับแผนการฝึกผ่านระบบออนไลน์มาระยะหนึ่งแล้ว จึงต้องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าอบรม ที่ต้องการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เพิ่มประสิทธิภาพการอบรมให้มากขึ้น จึงได้ร่วมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) จัด “โครงการซิมการ์ดพัฒนาฝีมือแรงงานออนไลน์” โดยผู้ที่มีสิทธิ์รับซิมการ์ดไว้ใช้งานจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหรือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรม
โดยบริษัทฯ สนับสนุนซิมการ์ดแบบระบบเติมเงิน สามารถใช้ระบบอินเทอร์เน็ตจากโครงข่าย NT Mobile ที่มีระดับความเร็วสูงสุด 4 Mbps. ไม่ลดสปีด อัตราค่าบริการเมื่อเปิดใช้บริการครั้งแรกเป็นจำนวนเงิน 90 บาท ต่อซิมการ์ด ระยะเวลาการใช้งาน 30 วัน และเมื่อครบเวลาดังกล่าวแล้ว สามารถเติมเงินได้ครั้งละ 70 บาทต่อการใช้งาน 30 วัน โดยผู้สนใจสามารถนำหลักฐาน เช่น สำเนาบัตรประชาชน รูปถ่าย หลักฐานการสมัครเข้าฝึกอบรม แนบยื่นการลงทะเบียนขอรับซิมการ์ดผ่านระบบออนไลน์ ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ที่ https://shop.totmobile.net/shop/products/StartupSimforlabor.aspx\
“การบูรณาการความร่วมมือที่เกิดขึ้น จะทำให้บริการประชาชนได้รับความสะดวกในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือของตนเองให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเปิดโอกาสให้ปรับตัวกับเทคโนโลยีและการติดต่อสื่อสารในยุคดิจิทัล และตอบโจทย์การเข้ารับบริการจากภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41067 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจสถานีรถไฟ/รถไฟฟ้า คุมเข้มมาตรการ COVID -19 | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจสถานีรถไฟ/รถไฟฟ้า คุมเข้มมาตรการ COVID -19
บริเวณสถานีพญาไท ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS)
วันที่ 20 เมษายน 2564 นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง พร้อมด้วย ดร.พิเชฐคุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่เพื่อสำรวจ ตรวจ ติดตามการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ของระบบขนส่งทางรางโดยลงพื้นที่บริเวณสถานีพญาไท ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS)
จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19) ที่มีการกลับมาระบาดอีกครั้ง รัฐบาลได้มีนโยบายขอความร่วมมือประชาชนในการการงดหรือชะลอการเดินทางที่ไม่มีเหตุจำเป็นออกไปโดยมีการออก (ร่าง) ข้อกำหนดออกความตามมาตรการ 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่20) รวมถึงกระทรวงคมนาคมได้มีการออกประกาศ เรื่อง มาตรการ แนวทางการดำเนินการ และแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติตเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ให้หน่วยบริการระบบขนส่งการเดินทาง ขอให้พิจารณาปรับเพิ่มมาตรการการอนุญาตให้ คืนตั๋วโดยสาร โดยไม่หักค่าใช้จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนด และให้เข้มงวดการคัดกรองและป้องกัน โดยให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแล การเพิ่มความถี่ทำความสะอาด บริเวณทุกผิวสัมผัส ห้องสุขา ช่องแอร์ รวมทั้งให้ตรวจสอบ คัดกรองพนักงานผู้ให้บริการในทุกระบบ ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ทำความสะอาดมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และตรวจสอบอุณหภูมิก่อนให้บริการทุกครั้ง
ขร. ในฐานะหน่วยงานกำกับ ดูแล ด้านระบบขนส่งทางราง จึงได้มีการออกประกาศกรมการขนส่งทางราง เรื่อง แนวทางปฏิบัติการเพื่อป้องกันและยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 เพื่อให้หน่วยงานที่ให้บริการระบบขนส่งทางรางทุกระบบดำเนินการ อาทิเช่น การตั้งจุดสกัดหรือจุดคัดกรองผู้โดยสาร การบริหารจัดการไม่ให้เกิดความหนาแน่นแออัดของผู้โดยสารภายในขบวนรถและภายในสถานีโดยให้มีการดำเนินมาตรการ Group Release ภายในสถานี และการเพิ่มขบวนรถเสริมหรือเพิ่มความถี่การบริการในช่วงเวลาเร่งด่วน รวมทั้งกำกับดูแล ตรวจติดตาม และขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค D – M – H – T – T (Distancing , Mask Wearing, Hand Washing, Testing และ Thai Cha Na) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค และขอความร่วมมือในการจำกัดการบริการเดินรถ โดยให้มีเส้นทางการบริการ ขบวน หรือความถี่เท่าที่จำเป็น ในช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการชะลอหรืองดการเดินทางที่ไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะการเดินทางเข้าไป ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด ตามมาตรการที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กำหนด
สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ขร. ได้มีการตรวจสำรวจมาตรการตามประกาศในข้างต้น ซึ่งได้รับความมือเป็นอย่างดีทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) รถไฟฟ้า (BTS) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ได้มีการดำเนินการจัดตั้งจุดคัดกรองผู้โดยสาร การตรวจคัดกรองพนักงานก่อนให้บริการ การทำความสะอาดทั้งบริเวณทุกผิวสัมผัส เช่น เครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร ราวจับบันได/บันไดเลื่อน ปุ่มกตลิฟต์ ห้องน้ำ และภายในขบวนรถ อย่างสม่ำเสมอ โดยในส่วนของ ARL ยังได้มีการเพิ่มความถี่ในการให้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วน (Peak Hour) ที่อาจมีผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมากอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด (9 ขบวน 230เที่ยว/วัน ใช้ระยะเวลาจากเดิม 10 นาที/ขบวน เหลือ 7- 8 นาที/ขบวน) และการจัดคิว Group release ให้ผู้โดยสารมีลำดับในการเข้าใช้บริการ ป้องกันการแออัดเบียดเสียด และควบคุมความจุภายในขบวนรถไม่ให้หนาแน่นเกินไป เพื่อให้สามารถเพิ่มระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ได้ และในส่วนของ รฟท. ได้มีการออกมาตรการให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสารและเช่ารถไว้ล่วงหน้า สามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน และจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสารได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน และคืนเงินเต็มราคาเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ในส่วนของการจำกัดการบริการเดินรถ โดยให้มีเส้นทางการบริการ ขบวน หรือความถี่เท่าที่จำเป็น ในช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 04.00 น. อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทาง รฟท. ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41072 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี 10 รัชกาล | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี 10 รัชกาล
ชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ “อเนกอนันต์เลิศหล้าอาณาจักรไทย” ภาพเก่าเล่าเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์ สถานที่สำคัญ วิถีชีวิต ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม
รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน จัด “นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี 10 รัชกาล” ระหว่างวันที่ 21 -30 เม.ย.2564 ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีที่ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 และเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์แห่งราชวงศ์จักรี
ภายในนิทรรศการประกอบด้วย ส่วนที่ 1 นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ ส่วนที่ 2 การฉายภาพสามมิติในระบบ panorama mapping เพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ได้ทรงพระราชทาน ความเจริญรุ่งเรือง ความสุขสงบร่มเย็นแก่ปวงประชาชาวไทย ในชื่อชุด “อเนกอนันต์เลิศหล้าอาณาจักรไทย” ส่วนที่ 3 นิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์ ชมภาพที่หาดูได้ยาก จากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความสุขของคนไทย ซึ่งการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการจัดนิทรรศการครั้งนี้ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สอบถามรายเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร.1765
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดติดตามโบราณวัตถุฯ เห็นชอบแนวทางรับมอบคืน“ทับหลังปราสาทหนองหงส์-ทับหลังปราสาทเขาโล้น” | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
บอร์ดติดตามโบราณวัตถุฯ เห็นชอบแนวทางรับมอบคืน“ทับหลังปราสาทหนองหงส์-ทับหลังปราสาทเขาโล้น”
บอร์ดติดตามโบราณวัตถุฯ เห็นชอบแนวทางรับมอบคืน“ทับหลังปราสาทหนองหงส์-ทับหลังปราสาทเขาโล้น”
บอร์ดติดตามโบราณวัตถุฯ เห็นชอบแนวทางรับมอบคืน“ทับหลังปราสาทหนองหงส์-ทับหลังปราสาทเขาโล้น” เชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเดือนพ.ค.นี้ นำมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างพ.ค.-ก.ค.นี้เผยอเมริกาส่งคืนโบราณวัตถุเพิ่มเติมอีก 13 รายการ มาถึงไทยพร้อมกับทับหลังทั้ง 2 รายการ รวมทั้งหมด 15 รายการ
วันที่ 20 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) และประธานกรรมการติดตามโบราณวัตถุของประเทศไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยกล่าวหลังประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบทางไกลว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางดำเนินการขนส่ง ค่าใช้จ่ายขนส่งและการรับมอบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ 2 รายการกลับคืนสู่ประเทศไทย คือ ทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้ว ที่จัดแสดงอยู่ที่เอเชี่ยน อาร์ท มิวเซียม นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ขณะนี้ทับหลังทั้ง 2 รายการ อยู่ในกระบวนการส่งคืนให้แก่ประเทศไทย รัฐบาลกลางสหรัฐโดยกระทรวงยุติธรรม สหรัฐอเมริกา จะส่งมอบทับหลังทั้ง 2 รายการให้แก่รัฐบาลไทยโดยผ่านสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครลอสแอนเจลิสและใช้วิธีขนส่งทางอากาศมายังไทย และจะมีพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)จะเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีรับมอบในเดือนพฤษภาคมนี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และจะนำทับหลังทั้ง 2 รายการมาจัดแสดงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมนี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนได้มีโอกาสชมและศึกษาหาความรู้ หลังจากนั้นจะพิจารณาเรื่องสถานที่จัดเก็บรักษาอีกครั้ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า การที่ประเทศไทยได้รับมอบคืนโบราณวัตถุทั้ง 2 รายการ นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุฯขึ้นและมีการดำเนินงานแบบบูรณาการระดับชาตินับตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งรัฐบาลและวธ.ขอขอบคุณคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุฯ รวมถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ร่วมกันดำเนินการในเรื่องนี้จนประสบผลสำเร็จและเกิดจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานจากกรมศิลปากรว่า หน่วยงาน Antiquities Trafficking Unit (ATU) สำนักงานอัยการนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาได้สอบสวนโบราณวัตถุที่ลักลอบเข้าประเทศและยึดไว้กว่า 1,000 รายการ และมีความประสงค์จะส่งคืนโบราณวัตถุที่พิสูจน์แล้วว่ามีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยและถูกลักลอบนำออกจากไทย 13 รายการ ประกอบด้วยพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์และประติมากรรมอื่นๆ ซึ่งกรมศิลปากรมอบอำนาจให้สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก เป็นผู้แทนรับมอบในวันที่ 22 เมษายนนี้ และจะส่งโบราณวัตถุทั้ง 13 รายการ คืนสู่ประเทศไทยพร้อมกับทับหลังทั้ง 2 รายการ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพื่อนำโบราณวัตถุทั้ง 15 รายการกลับคืนสู่ไทยรวมทั้งหมดประมาณ 9 แสนบาท อย่างไรก็ตามกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดสรรงบประมาณในส่วนนี้และพร้อมที่จะดำเนินการแล้ว แต่หากมีภาคเอกชนหรือภาคส่วนอื่นๆ ต้องการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ก็มีความยินดีที่จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ที่สนใจ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทย โดยสามารถติดต่อรายละเอียดได้ที่กรมศิลปากร
นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมรับทราบข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีที่ให้วธ.และกรมประชาสัมพันธ์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความสำเร็จที่ไทยได้รับคืนทับหลังทั้ง 2 รายการ รวมทั้งให้วธ.จัดทำวีดิทัศน์ผลการดำเนินงานติดตามทับหลังและโบราณวัตถุอื่นๆในช่วงปี 2557-2563 เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานและสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้คนไทยเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย ขณะนี้กรมศิลปากรอยู่ระหว่างจัดทำวีดิทัศน์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ศึกษาแนวทางการจัดทำข้อตกลงทวิภาคีความร่วมมืออนุรักษ์และคุ้มครองโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเพื่อให้เป็นไปอย่างมีระบบและเป็นขั้นตอนแบบรัฐต่อรัฐ นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ติดตามโบราณวัตถุเพิ่มเติม 1 รายการ ซึ่งมีหลักฐานทั้งถ่ายภาพและเอกสารยืนยันว่ามีแหล่งกำเนิดในไทย คือพระพุทธรูปประทับเหนือพนัสบดีจากเมืองโบราณซับจำปา จ.ลพบุรี ปัจจุบันอยู่ที่สถาบันเอเชียโซไซตี้ สหรัฐอเมริกา ซึ่งที่ประชุมได้ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในสหรัฐอเมริกาเพื่อยื่นเอกสารที่คณะอนุกรรมการด้านวิชาการฯ จัดทำขึ้นเพื่อขอคืนโบราณวัตถุกลับสู่ไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41058 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 'สายด่วน 1506' ช่วยผู้ประกันตนตรวจ - รักษาโควิด | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
เปิด 'สายด่วน 1506' ช่วยผู้ประกันตนตรวจ - รักษาโควิด
...
อีกหนึ่งแนวทางเพื่อสร้างความอุ่นใจต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ประกันตน ให้ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ล่าสุด รัฐบาลเปิดศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำนักงานประกันสังคม สายด่วน 1506 กด 6 ภายใต้โครงการ “แรงงานเราสู้ด้วยกัน” ให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่ เวลา 08.00 – 17.00 น. จำนวน 10 คู่สาย
.
เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 39 และ 40 ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้รับคำแนะนำหลักเกณฑ์การตรวจหาเชื้อ หากตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะประสานหาสถานพยาบาลในเครือประกันสังคม และส่งตัวผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไป
.
ขณะเดียวกัน ผู้ประกันตนที่มีความเสี่ยงหรือผู้สัมผัสเชื้อ สามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจหาเชื้อฟรีได้ที่เว็บไซต์https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.phpและรับการตรวจที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง
.
นอกจากนี้ จะขยายจุดตรวจไปยังพื้นที่สีแดงอื่น ๆ ที่มีผู้ประกันตนในเขตนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก เช่น ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ เป็นต้น
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมโรงพยาบาลสนาม เอราวัณ 2 ขนาด 400 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมโรงพยาบาลสนาม เอราวัณ 2 ขนาด 400 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว
นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเอราวัณ 2 ปรับศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เป็นโรงพยาบาลสนาม ขนาด 400 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือจัดทำแผนบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณ
นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเอราวัณ 2 ปรับศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เป็นโรงพยาบาลสนาม ขนาด 400 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือจัดทำแผนบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณ สำหรับป้องกันควบคุมโรคและดูเเลผู้ติดเชื้อให้ดีที่สุด
บ่ายวันนี้ (21 เมษายน 2564) ที่ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก กรุงเทพมหานครพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พล.ตอ.อัศวิน ขวัญเมืองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมโรงพยาบาลเอราวัณ 2 ซึ่งได้ปรับศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เป็นโรงพยาบาลสนามของกรุงเทพมหานคร โดยนายอนุทิน กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานให้เกิดความเชื่อมโยงและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งระบบส่งต่อ รถพยาบาล การจัดหาโรงพยาบาลหลัก/โรงพยาบาลสนาม กำหนดพื้นที่รับผิดชอบให้ชัดเจนในการจัดบริการดูแลผู้ป่วย และการควบคุมป้องกันโรค เพื่อให้ประชาชนมั่นใจสามารถเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้รวดเร็ว รวมทั้งให้มีแผนเพิ่มจำนวนเตียงได้ทันทีหากมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น โดยให้ใช้สนามกีฬาของทุกจังหวัดเป็นโรงพยาบาลสนามได้ ซึ่งรัฐบาลยินดีสนับสนุนงบประมาณและอำนวยความสะดวกในทุกด้าน
สำหรับโรงพยาบาลเอราวัณ 2 ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เป็นโรงพยาบาลสนามขนาด 400 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อจากการค้นหาเชิงรุกเฉพาะกลุ่มสีเขียวซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ ทุกคนจะได้รับการวัดไข้ เอ็กซ์เรย์ปอดวัดค่าออกซิเจนในเลือด เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผู้ติดเชื้อที่เป็นกลุ่มสีเขียวเท่านั้น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ หมุนเวียนปฏิบัติงาน ผู้ติดเชื้อทุกคนจะต้องได้รับการวัดไข้ ความดันโลหิตค่าออกซิเจนในเลือดวันละ 2 ครั้งทุกวัน หากมีอาการจะส่งเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลทันที ได้จัดเตรียมห้องความดันลบสำหรับกรณีฉุกเฉิน มีระบบหมุนเวียนอากาศและห้องทิ้งขยะติดเชื้อแบบความดันลบ ระบบบำบัดน้ำเสียป้องกันเชื้อปนเปื้อนออกสู่ภายนอกตามเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงมีระบบกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณเพื่อดูแลความปลอดภัย
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้เพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลในสังกัดให้รองรับผู้ป่วยโควิด 19 ให้มากขึ้นเปลี่ยนโรงแรมให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาการ (Hospitel) สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย และจัดทำโรงพยาบาลสนามเต็มรูปแบบเพื่อรองรับผู้ป่วย ปัจจุบันมีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วย จำนวน 1,700 เตียง ประกอบด้วย โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน รองรับได้ 1,000 เตียง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ 200 เตียง โรงพยาบาลเอราวัณ 1(ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางบอน) 100 เตียง และโรงพยาบาลเอราวัณ 2 (บางกอกอารีนา) 400 เตียง
********************************** 21 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41089 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วยแก้หนี้ครู ครม.เห็นชอบลดเงินส่งคืนคลังของกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู 240 ล้านบาท | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ช่วยแก้หนี้ครู ครม.เห็นชอบลดเงินส่งคืนคลังของกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู 240 ล้านบาท
ช่วยแก้หนี้ครู ครม.เห็นชอบลดเงินส่งคืนคลังของกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู 240 ล้านบาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันนี้ (20 เม.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรียกให้ทุนหมุนเวียนนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลัง เป็นรายได้แผ่นดินโดยเร็ว ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู สําหรับ ปีบัญชี 62 จํานวน 350 ล้านบาท และ (2) กองทุนสิ่งแวดล้อม สําหรับปีบัญชี 63 จํานวน 81.41 ล้านบาท และรับทราบผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 62 จํานวน 1,309.17 ล้านบาท และปีบัญชี 63 จํานวน 1,081.33 ล้านบาท ที่ทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ได้นําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู เพื่อเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการเร่งแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู จำนวนเงินที่ต้องส่งคลังฯ 350 ล้านบาทนั้น ครม.เห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ลดจากที่ต้อง
ส่ง จำนวน 590.67 ล้านบาท เพราะหากส่งเต็มจำนวน จะทําให้ทุนหมุนเวียนฯ ขาดสภาพคล่อง ครม.จึงเห็นชอบกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุดในปีบัญชี 62 ให้กองทุนฯอีก 240.67 ล้านบาท จะได้ช่วยเหลือครูได้เพิ่มขึ้นอีก ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู นําทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จํานวน 350 ลบ. (590.67 – 240.67 = 350 ลบ.)
..............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41065 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 1 ปี 2564 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 1 ปี 2564 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. รายงานดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 152.2 จุด ลดลงร้อยละ - 0.8 ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 152.2 จุด ลดลงร้อยละ - 0.8 ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2563
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปจนถึงสิ้นปี 2564 สามารถกระตุ้นการซื้อขายห้องชุดได้โดยดูจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในปี 2563 ทั่วประเทศลดลงเพียงร้อยละ -1.5 จากปี 2562 แต่ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกระดับราคาทั่วประเทศลดลงถึงร้อยละ -8.5
สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ– ปริมณฑล มีสัดส่วนเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดถึงร้อยละ 80 ของประเทศไทยซึ่งกรุงเทพฯ– ปริมณฑลถือว่าเป็นตลาดหลักสำหรับอาคารชุดในประเทศไทย โดยในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองที่ผ่านมาในปี 2563 สามารถช่วยระบายอุปทานในตลาดให้ผู้ประกอบการได้ดีพอสมควร และภาวะที่อุปทานห้องชุดในตลาดลดลงได้ส่งผลเริ่มเห็นทิศทางราคาห้องชุดใหม่เริ่มปรับตัวขึ้น โดยค่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นไตรมาสแรกหลังจากลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาถึง 4 ไตรมาส แต่หากเทียบกับราคาห้องชุดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2563 พบว่า ค่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ยังคงต่ำกว่าปีก่อนร้อยละ 0.8 ซึ่งหมายความได้ว่า ราคาขายห้องชุดที่เสนอขายอยู่ในตลาด ยังคงอยู่ในระดับราคาที่มุ่งเน้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อในตลาดต่อเนื่องจากปี 2564
สำหรับดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 1 ปี 2564 นี้ เมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ พบว่า
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.6 จุด ลดลงร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.3 จุด ลดลงร้อยละ -0.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
สำหรับรายการส่งเสริมการขายห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 46.1 เป็นของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมาร้อยละ 35.1 เป็นส่วนลดเงินสด และร้อยละ18.9 เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์
ข้อความจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นำข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41086 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำสถานประกอบการ งดกิจกรรมรวมกลุ่ม สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
สธ.ย้ำสถานประกอบการ งดกิจกรรมรวมกลุ่ม สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน
กระทรวงสาธารณสุข ชี้ยังพบการติดเชื้อในที่ทำงาน สถานประกอบการ ย้ำงดกิจกรรมรวมกลุ่ม สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน ลดการแพร่กระจายเชื้อ
วันนี้ (21 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,458 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,346 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 108 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 4 ราย รักษาหายเพิ่ม 413 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 17,780 ราย รักษาหายแล้ว 618 ราย กำลังรักษา 17,162 ราย และเสียชีวิตสะสม 16 ราย ขณะนี้การฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 20 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 712,610 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 604,947 รายเข็มที่2 จำนวน 107,663 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิต 2 รายวันนี้ รายแรก หญิงไทย อายุ 56 ปี ที่ กทม. มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง และโรคอ้วน เริ่มมีอาการไข้ ไอ เหนื่อยหอบ พบปอดอักเสบรุนแรง มีระบบหายใจล้มเหลว รายที่ 2 ชายไทย อายุ 32 ปี ที่ จ.นนทบุรี มีโรคประจำตัว ภูมิแพ้ มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านี้ เริ่มมีอาการไข้ต่ำ ไอมีเสมหะปนเลือด พบปอดอักเสบรุนแรง มีอาการแย่ลงและเสียชีวิต สำหรับการระบาดในระลอกเมษายนนี้ดูเหมือนว่ามีการเสียชีวิตค่อนข้างสูง จะต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ต่อเนื่อง เนื่องจากผ่านมาได้เพียง 21 วัน การที่พบว่าผู้เสียชีวิตบางรายมีอายุน้อยและมีโรคประจำตัว เนื่องจากจุดเริ่มต้นมาจากสถานบันเทิง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัยทำงาน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อายุยังน้อย
ส่วนกรณีที่พบการระบาดในโรงงาน จ.ฉะเชิงเทรา มีการติดเชื้อทั้งหมด 17 ราย มีพนักงานที่อยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 72 ราย ติดเชื้อ 11 ราย และพนักงานขับรถติดเชื้อ 1 ราย นำเชื้อไปแพร่สู่คนในครอบครัวอีก 4 ราย สาเหตุเกิดจากการจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในโรงงาน จึงขอเน้นย้ำสถานประกอบการทุกแห่ง ควรงดกิจกรรมรวมกลุ่ม การสังสรรค์และรับประทานอาหารร่วมกัน
**************************************** 21 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41085 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ฝาก อสม. ร่วมควบคุมโควิด 19 ในพื้นที่หลังเทศกาลสงกรานต์ | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
อนุทิน ฝาก อสม. ร่วมควบคุมโควิด 19 ในพื้นที่หลังเทศกาลสงกรานต์
อนุทิน ฝาก อสม. ร่วมควบคุมโควิด 19 ในพื้นที่หลังเทศกาลสงกรานต์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขKick off กิจกรรม “หลังสงกรานต์ คนอยู่บ้านต้องปลอดภัย เชิญชวนคนไทยฉีดวัคซีนช่วยชาติ” ฝาก อสม. ร่วมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง ให้ความรู้ D-M-H-T-T-A ชวนเพื่อนบ้านร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ฉีดวัคซีนโควิด 19 และเยี่ยมติดตามหลังฉีด
วันนี้ (20 เมษายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางสาวเรวดี รัศมิทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และประธานชมรม อสม.ทุกจังหวัด
นายอนุทินกล่าวว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา บางส่วนเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการและไม่รู้ตัว เกิดการแพร่กระจายเชื้อไปทุกจังหวัด ต่อจากนี้อีก 1 เดือน ขอความร่วมมือ อสม. ช่วยเฝ้าระวังค้นหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการควบคุมโรคโควิด 19 และเพื่อให้การฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ครอบคลุมประชาชน เกิดภูมิคุ้มกัน ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ “หลังสงกรานต์ คนอยู่บ้านต้องปลอดภัย เชิญชวนคนไทยฉีดวัคซีนช่วยชาติ” โดยให้ อสม. เคาะประตูบ้านทุกหลังคาเรือน ให้ประชาชนมีความรู้และปฏิบัติตามมาตรการD-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด ร่วมคัดกรองประชาชนที่บ้าน ติดตามเยี่ยมกลุ่มเสี่ยงในช่วงกักตัว 14 วัน ประสานส่งต่อโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล/หน่วยบริการสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีน เข้ารับการฉีดตรงตามนัด และติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน
“ผมเชื่อมั่นว่าระบบการทำงานของ อสม. จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนและได้รับการดูแลให้มีความปลอดภัย สิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ อสม. ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง รัฐบาลขอเป็นกำลังใจ ดูแลค่าตอบแทน 500 บาทต่อเดือน จนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์ธเรศกล่าวว่า สำหรับผลการปฏิบัติงานของ อสม. ทั่วประเทศ ในการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 ในชุมชน ระลอกเดือนเมษายน 2564 อสม. ได้เคาะประตูบ้านไปแล้ว 2,616,030 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 23,672,821 หลังคาเรือน หรือคิดเป็นร้อยละ 11.05 มี อสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ 33 ราย เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 24 ราย ได้รับการช่วยเหลือแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,113,833 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41080 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส.เปิดโมเดลธุรกิจเดินหน้าลงทุนกางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้าน | วันพุธที่ 21 เมษายน 2564
ธพส.เปิดโมเดลธุรกิจเดินหน้าลงทุนกางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้าน
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) มีภารกิจหน้าที่ในการลงทุนก่อสร้างอาคารการบริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และการบริหารจัดการทรัพย์สินอื่นๆ ตามนโยบายของรัฐบาลถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจ
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส.รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจหน้าที่ในการลงทุนก่อสร้างอาคารการบริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และการบริหารจัดการทรัพย์สินอื่นๆ ตามนโยบายของรัฐบาลถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เกิดการหมุนเวียนเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันโมเดลธุรกิจเพิ่มมูลค่าโครงการ ส่งกำไรกลับคืนรัฐบาลให้มากขึ้น
เปิดโมเดลธุรกิจธพส.
เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับในปี 2563ธพส.บริหารจัดการธุรกิจจนสามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา อย่างน่าพอใจ ภายใต้การบริหารงานของ ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือธพส.ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโมเดลทางธุรกิจจนกลายเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่สามารถลงทุนก่อสร้างโครงการท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างต่อเนื่องภายใต้ 4 โมเดลธุรกิจ ได้แก่
โมเดลที่ 1การก่อสร้างอาคาร และเก็บค่าเช่าภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะอีกทั้งการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ-ธนารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ บนที่ดินราชพัสดุ มูลค่า 1,400 ล้านบาท รวมถึงการก่อสร้างอาคารด้านทิศตะวันออก อาคารด้านทิศตะวันตก และอาคารสนับสนุน โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี มูลค่า 6,000 ล้านบาท
โมเดลที่ 2 การบริหารโครงการของภาครัฐที่ได้รับมอบหมาย เช่น การบริหารโครงการสนามกอล์ฟบางพระจังหวัดชลบุรี และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
โมเดลที่ 3 การรับจ้างก่อสร้างอาคาร โดยโมเดลนี้ถือเป็นธุรกิจที่ธพส.ได้สร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท โดยมีการก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบเรียบร้อยแล้วในส่วนของอาคารสำนักงานประหยัดพลังงาน ซอยพหลโยธิน 11 มูลค่า 262 ล้านบาท นอกจากนี้ ธพส. ยังเตรียมก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ประหยัดพลังงาน ให้กรมสรรพสามิต มูลค่า 200 ล้านบาท
โมเดลที่ 4การคุมงานก่อสร้าง โครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือนสามัญ14 อาคารโดยจะก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมขนาด76-650ห้อง ขนาดพื้นที่ใช้สอย 35-40 ตารางเมตรต่อห้อง โดยธพส.จะทำหน้าที่ในการควบคุมการก่อสร้าง ส่วนค่าเช่าที่ดินลูกบ้านจะเป็นผู้รับผิดชอบเซ็นสัญญากับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างที่ธพส.เป็นผู้จัดหาให้
รูปแบบการดำเนินการของโมเดลนี้ คือการเปิดให้เอกชนเข้าลงทุนก่อนแบบเหมาจ่ายทั้งโครงการ เมื่อเอกชนก่อสร้างแล้วเสร็จ ธพส.จะทำหน้าที่เข้าไปตรวจสอบแทนลูกบ้าน เมื่อส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ธพส.จึงจะจ่ายเงินลงทุนคืนให้ซึ่งรูปแบบนี้คาดว่าจะช่วยให้การก่อสร้างรวดเร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างคอนโดมิเนียมแต่ละแห่งประมาณ 14-16เดือนอาจจะใช้เวลาเพียง 10-12เดือนเท่านั้น
นอกจากนี้ธพส.ยังอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำหรับโครงการบ้านพักผู้สูงอายุที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยอยู่ระหว่างการหารือว่าจะเข้าไปบริหารโครงการทั้งหมด หรือจะเป็นการรับจ้างก่อสร้าง รวมถึง ธพส.จะก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในรูปแบบของโมเดลธุรกิจใหม่ที่ธพส.ไม่เคยทำมาก่อน เพราะเป็นครั้งแรกที่ธพส.ไม่ได้พัฒนาโครงการบนที่ดินราชพัสดุ แต่เป็นการขอเช่าพื้นที่กับอสมท. ซึ่งบอร์ดอสมท.ได้อนุมัติในหลักการแล้วว่าจะให้ธอส.เช่าที่ดินเพื่อสร้างเป็นอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์
โดยธพส.จะทำหน้าที่ในการออกแบบและก่อสร้าง ซึ่งหากโครงการนี้สามารถดำเนินการได้จะเป็นการเปิดโอกาสให้ธพส.สามารถก้าวข้ามการพัฒนาได้เฉพาะที่ดินราชพัสดุ ไปสู่การบริหารจัดการบนที่ดินของหน่วยงานของรัฐอื่นๆ และยังจะเป็นโครงการนำร่องในการขยายธุรกิจของธพส.ในอนาคตอีกด้วย
“หน้าที่ของธพส.คือการเป็นกลไกของภาครัฐในการเข้าไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินลงทุนเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ โดยการเดินหน้าลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล เป้าหมายของธพส.คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการและขยายจำนวนโครงการให้มากขึ้นเพื่อสร้างผลกำไรกลับคืนสู่ภาครัฐให้สูงขึ้นภายใน 3-5 ปี”
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธพส.
โทร. 0 2142 2264
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ออกมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ให้สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตรวจสอบเข้มข้น สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุด Checking point | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบก ออกมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ให้สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตรวจสอบเข้มข้น สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุด Checking point
...
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ให้กระทรวงคมนาคมหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและกำกับดูแลการให้บริการขนส่งผู้โดยสารที่เป็นการขนส่งสาธารณะทุกประเภท โดยต้องมีการจัดระบบและระเบียบต่าง ๆ เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคและแนวปฏิบัติตามพื้นที่สถานการณ์ที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID-19 (ศปก.ศบค.) กำหนด ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุมในหลายจังหวัด ดังนั้นเพื่อให้สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้มงวดตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะและการให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง และจุดตรวจเข้มข้นรถโดยสารสาธารณะ Checking Point ทั่วประเทศ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด จนกว่าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งพิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินรถระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยให้สอดคล้องตามความจำเป็นและให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ในส่วนของการเดินรถโดยสารสาธารณะในเขตเมืองขอให้ปรับลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทยังสามารถให้บริการได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด คือ เว้นระยะห่างระหว่างกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ทั้งพนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ และผู้โดยสาร (M-Mask wearing) จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึงเพียงพอ และล้างมือบ่อยๆ (H-Hand washing) ตรวจอุณหภูมิร่างกาย (T-Temperature) ตรวจหาเชื้อ (T-Testing) ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะ (A-Application) หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบฟอร์มที่ ขบ. กำหนด
ทั้งก่อนและหลังการเดินทางทุกคน โดย ขบ. ได้กำชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้มงวดการตรวจคัดกรอง หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ผู้ประกอบการขนส่งสามารถปฏิเสธการให้บริการและให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขทันที นอกจากนี้ให้เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ขณะเดินทางรถโดยสารปรับอากาศต้องมีการระบายอากาศภายในรถเป็นระยะ และงดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารบนรถโดยสารสาธารณะเว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการแพร่หรือรับเชื้อจากการถอดหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะอยู่บนรถโดยสารสาธารณะ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเหตุจำเป็นขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการเดินทาง เข้าไปในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ ตาก นครปฐม นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้ว สุพรรณบุรี และอุดรธานี ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคอาจเสี่ยงหรือมีโอกาสติดโรค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41279 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. งัดมาตรการสู้โควิด! งดให้บริการติดต่อด้วยตนเอง แจงช่องทางติดต่อออนไลน์ 100% มั่นใจไม่กระทบผู้ประกอบการและประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
สมอ. งัดมาตรการสู้โควิด! งดให้บริการติดต่อด้วยตนเอง แจงช่องทางติดต่อออนไลน์ 100% มั่นใจไม่กระทบผู้ประกอบการและประชาชน
สมอ. เพิ่มมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 งดให้บริการติดต่อด้วยตนเอง เน้นช่องทางออนไลน์ ทั้งการออกใบอนุญาตและการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มั่นใจสามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้เต็มประสิทธิภาพ
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดทั่วประเทศทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกหน่วยงานปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง(Work From Home : WFH)อย่างเต็มขีดความสามารถจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลายโดยให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้อาทิการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์วิดีโอคอลแอพพลิเคชั่นไลน์หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชน
“ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างเต็มศักยภาพในการปฏิบัติงานโดยให้ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ต้องไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนให้ได้มากที่สุด”
ด้านนายวันชัยพนมชัยเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กล่าวเพิ่มเติมว่าสมอ.ได้ปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐบาลอย่างเข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง(Work From Home : WFH)อย่างเต็มขีดความสามารถโดยมีจำนวนกว่า80%จนถึงวันที่31พฤษภาคม2564รวมทั้งกำชับให้ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)อย่างเคร่งครัดอีกด้วย
ล่าสุดสมอ.ได้เพิ่มความเข้มงวดของมาตรการดังกล่าวโดยประกาศงดให้บริการติดต่อกับสมอ.ด้วยตนเองตั้งแต่วันที่26เมษายน– 7พฤษภาคม2564เพื่อลดความเสี่ยงของประชาชนที่อาจได้รับเชื้อจากการเดินทางมาสมอ.โดยให้ใช้วิธีการติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์ทางไปรษณีย์และทางออนไลน์เช่นอีเมล์และเฟซบุ๊คสมอ.แทน
ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการด้านมาตรฐานของสมอ.ที่ได้เปิดให้บริการทางออนไลน์อยู่แล้วทั้งการออกใบอนุญาตผ่านระบบe-License ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอมอก.ได้ทุกมาตรฐานตลอด24ชั่วโมงได้ที่https://itisi.go.th/e-license/ และสมอ.จะจัดส่งใบอนุญาตให้ทางไปรษณีย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางมาที่สมอ.นอกจากนี้ยังมีระบบการตรวจติดตามออนไลน์ผ่านทางระบบe-Surveillance ได้ที่https://appdb.tisi.go.th/bigdata/itisi-trader/public/loginระบบการชำระค่าบริการทางอิเล็กทรอนิกส์e-Payment และระบบการรับรองระบบงานISO หรือระบบe-Accreditationเช่นการรับรองห้องแล็ปเพื่อให้ห้องแล็ปได้รับการยอมรับและมีความน่าเชื่อถือเป็นต้น
“ผมได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สมอ.ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19จึงขอให้เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวของสมอ.จะไม่กระทบต่อการให้บริการผู้ประกอบการและประชาชนโดยท่านยังสามารถติดต่อกับหน่วยงานต่างๆภายในสมอ.ได้ผ่านทางโทรศัพท์ไปรษณีย์และทางออนไลน์เช่นเฟซบุ๊คและอีเมล์ดังนี้
งานบริการ หน่วยงานที่รับผิดชอบ โทร. / E-mail
ออกใบอนุญาตมอก. กองควบคุมมาตรฐาน 0 2202 3386
ตรวจติดตามการจำหน่ายสินค้ากลุ่มเหล็กและวัสดุก่อสร้างกองตรวจการมาตรฐาน1
0 2202 3328-9 [email protected]
ตรวจติดตามการจำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กองตรวจการมาตรฐาน2
0 2202 3331-2 , 0 2202 3326
0 2202 3475
ตรวจติดตามการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคกองตรวจการมาตรฐาน3
0 2202 3351 , 0 2202 3353 [email protected]
รับรองมาตรฐานISOและรับรองห้องแล็ป สำนักงานคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ
0 2202 3486-7, 0 2202 3413
รับรองสินค้าชุมชนมผช.กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
0 2202 3352 , 0 2202 3343-4 [email protected]
จำหน่ายหนังสือมอก. กองส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน
0 2202 3426 , 0 2202 3324 [email protected]
เปรียบเทียบปรับและดำเนินคดีกองกฏหมาย
0 2202 3621 , 0 2202 3322
โทรสาร0 2354 3281 [email protected]
สั่งซื้อมาตรฐานต่างประเทศและแปลเอกสาร กองบริหารมาตรฐานระหว่างประเทศ
0 2202 3505 [email protected]
นำเข้าสินค้าควบคุม/ตรวจสอบพิกัดศุลกากร ศูนย์บริการNSW
0 2202 3304 , 0 2202 3266 [email protected]
สืบค้นข้อมูลด้านการมาตฐานสืบค้นผ่านระบบเครือข่ายห้องสมุดสมอ.
0 2202 3310 , 0 2202 3515 [email protected]
http://164.115.25.115/elib
จดทะเบียนองค์กรกำหนดมาตรฐานหรือSDOsกองกำกับองค์กรด้านการมาตรฐาน
0 2202 3374
[email protected]
นอกจากนี้หากท่านต้องการแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าไม่ได้มาตรฐานสามารถแจ้งได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจของสมอ. https://www.facebook.com/tisiofficial”เลขาธิการสมอ.กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41310 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาคเอกชนพร้อมร่วมมือรัฐบาล กระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนภายในปีนี้ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ภาคเอกชนพร้อมร่วมมือรัฐบาล กระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนภายในปีนี้
ภาคเอกชนพร้อมร่วมมือรัฐบาล กระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนภายในปีนี้
วันนี้(28เมษายน2564) เวลา12.30น.ณตึกภักดีบดินทร์ทำเนียบรัฐบาลนายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายสนั่นอังอุบลกุลประธานกรรมการหอการค้าไทยนายกลินท์สารสินประธานอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนางกอบกาญจน์วัฒนวรางกูรรองประธานกรรมการหอการค้าไทยและดร.กฤษณะวจีไกรลาศกรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยแถลงข่าวภายหลังที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหารือร่วมกับคณะกรรมการหอการค้าไทยเพื่อหาแนวทางในการทำงานร่วมกันของหอการค้าไทยและภาครัฐหลังจากวัคซีนโควิด-19เข้ามาในประเทศไทยเพื่อการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ตามเป้าหมาย100ล้านโดสหรือประมาณ50ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงได้มีการหารือถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19การแก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการภาคธุรกิจให้ดำเนินธุรกิจได้สะดวกมากยิ่งขึ้นตลอดจนการที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทีมต่างๆสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาครัฐ
นายสนั่น อังอุบลกุลประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้หอการค้าไทยและคณะกรรมการฯเข้าพบเพื่อหารือถึงการช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยโดยทางหอการค้าไทยมีแนวทางที่จะสนับสนุนทำงานร่วมกับรัฐบาลภายใต้นโยบายConnect the dotsที่จะไปหาแนวทางในการเชื่อมโยงกับจุดต่างๆเพื่อมาทำงานร่วมกันทั้งในส่วนของหอการค้าไทยภาคเอกชนและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตลอดจนสมาคมธนาคารไทย โดยแนวทางของหอการค้าฯมีแนวทางหลักคือการเร่งรัดในการหาวัคซีนให้มีจำนวนมากที่สุดและสามารถที่จะกระจายและฉีดวัคซีนให้กับประชาชนคนไทยได้อย่างทั่วถึงมากที่สุดซึ่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยันในส่วนของภาครัฐมีการทำงานอย่างเต็มที่และมีการวางแผนเตรียมการที่จะจัดหาวัคซีนเพื่อสามารถฉีดให้กับประชาชนได้70%ภายในปีนี้
ทั้งนี้แนวทางในการจัดการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงนั้นในส่วนของหอการค้าไทยมีการจัดทีมงาน4คณะในการจัดทำแผนช่วยกระจายวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะเริ่มเข้ามาได้แก่ทีมที่1ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน(Distribution and Logistics)โดยจะมีการจัดสถานที่และอำนวยความสะดวกในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อลดข้อจำกัดของภาครัฐในเรื่องดังกล่าวโดยภาคเอกชนจะเข้ามาเสริมในเรื่องนี้โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯที่จะต้องฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปถึงวันละ5หมื่นกว่าคนโดยภาครัฐดำเนินการ3หมื่นคนและภาคเอกชนดำเนินการ2หมื่นคนรวมไปถึงการดำเนินการในพื้นที่จังหวัดอื่นๆก็จะใช้การดำเนินการในลักษณะเช่นนี้เช่นเดียวกันโดยทีมที่2ทีมการสื่อสาร(Communication)สนับสนุนการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปเพื่อให้ประชาชนเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องเกิดความมั่นใจในการที่จะมาฉีดวัคซีนในสถานที่ที่พร้อมทีมที่3ทีมเทคโนโลยีและระบบ(IT Operation)เป็นการใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วยในการลงทะเบียนนัดล่วงหน้าในการที่จะฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นและทีมที่4ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม(Extra Vaccine procurement)ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขย้ำว่ารัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบเต็มที่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายในเรื่องนี้และยืนยันว่าภายในปีนี้จะจัดหาวัคซีนให้มีจำนวนที่เพียงพอสำหรับฉีดให้ประชาชนให้ได้ถึง70%หรือเท่ากับ100ล้านโดสอย่างแน่นอนทั้งนี้ในส่วนของภาคเอกชนพร้อมยินดีให้การสนับสนุนการทำงานกับรัฐบาลอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยด้วยDigital Transformationเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยเฉพาะSMEเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนโดยภาคเอกชนและสถาบันการเงินรวมทั้งคู่ค้าจะมีการจัดระบบในการเชื่อมโยงเพื่อทำให้การกู้และการปล่อยเงินกู้ให้กับSME ของธนาคารได้เกิดผลอย่างเต็มที่โดยเริ่มคลัสเตอร์แรกคือกลุ่มค้าปลีกและจะมีการขยายผลไปสู่กลุ่มอื่นๆเช่นกลุ่มชิ้นส่วนประกอบยานยนต์และไฟฟ้าขณะเดียวกันจะมีการผลักดันเร่งรัดแก้ไขกฎระเบียบหรือกฎหมายต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้นหรือEase of Doing Business
ขณะที่นายกลินท์สารสินประธานอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวแสดงความมั่นใจเกี่ยวกับการซื้อวัคซีนของภาครัฐที่จะเข้ามา100ล้านโดสในปีนี้ซึ่งจะครอบคลุมประชาชน50ล้านคนโดยในส่วนของภาคเอกชนจะเข้ามาสนับสนุนในด้านการกระจายการฉีดให้กับประชาชนรวมถึงการวางแผนจัดสถานที่สำหรับรองรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานครโดยจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนรวมถึงจะมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจนถึงห้วงเวลาและสถานที่ในการเข้ามารับบริการฉีดวัคซีนโดยจะใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนางกอบกาญจน์วัฒนวรางกูรรองประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือSMEของสมาคมค้าปลีกว่าขณะนี้ได้เริ่มต้นทำSand Boxขึ้นมาโดยมีข้อมูลลูกค้าประมาณ6,000รายซึ่งทางธนาคารพาณิชย์กำลังเร่งพิจารณาอยู่คาดว่ามี3,000รายที่รอการอนุมัติภายในสัปดาห์นี้และอีก1,000รายจะอนุมัติภายในสัปดาห์หน้าซึ่งจะเป็นตัวอย่างหากSand Boxนี้ประสบความสำเร็จจะกระจายไปยังธุรกิจอื่นๆและธนาคารพาณิชย์อีกด้วยโดยจากการสุ่มทำตัวอย่างในเฟสแรกพบว่าประมาณร้อยละ70จะเป็นSMEซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยได้รับการเข้าถึงสินเชื่อทั้งนี้มีเป้าหมายว่าในช่วง99วันแรกจะดำเนินการให้ได้ถึง1แสนราย
นอกจากนี้ดร.กฤษณะวจีไกรลาศกรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยกล่าวว่าภายในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมีวัคซีนเข้ามา100ล้านโดสมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเร็วที่สุดโดยภาคเอกชนนำโดยประธานกรรมการหอการค้าไทยได้ประสานศูนย์การค้าและสำนักงานใหญ่ของบริษัทหลายๆแห่งที่มีพื้นที่เพียงพอซึ่งได้มีการลงพื้นที่คัดเลือกร่วมกับทีมแพทย์ของกรุงเทพมหานครภายใต้นโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยได้มีการคัดเลือกมา14แห่งจาก66บริษัททั่วกรุงเทพมหานครที่เสนอตัวเข้ามาโดยจะสามารถช่วยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้วันละ2หมื่นคนอีกทั้งหากมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มจะสามารถเพิ่มกำลังการฉีดวัคซีนได้เพิ่มถึงวันละ3หมื่นคนในขณะเดียวกันยังมีห้างค้าปลีกอีก200กว่าแห่งทั่วประเทศพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงการฉีดวัคซีนภายในสิ้นปีนี้ให้เร็วที่สุด
---------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41300 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน 4 ด้าน ภาคเอกชนเผยพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
นายกฯ ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน 4 ด้าน ภาคเอกชนเผยพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐ
นายกฯ ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือ การจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีน 4 ด้าน ภาคเอกชนเผยพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐ กระจายวัคซีน-จัดสถานที่ฉีดวัคซีน ให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนตามเป้าหมาย
วันนี้ (28 เม.ย. 64) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันแถลงข่าวผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่จะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติมตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป โดยภาคเอกชนจะมีส่วนในการช่วยเหลือภาครัฐกระจายวัคซีนและจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่จะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน 4 ด้าน ด้านที่ 1 คือ ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน โดยใช้กลไกการทำงานของภาคเอกชนในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนและกระจายวัคซีนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดจะดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด พร้อมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยสำหรับการจัดเตรียมสถานที่และกระจายวัคซีน รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในจุดต่าง ๆ ด้านที่ 2 คือ ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ โดยภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดหาและบริหารวัคซีน และสร้างความรับรู้แก่ประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้านที่ 3 คือ ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ โดยแอปพลิเคชันลงทะเบียนการฉีดวัคซีน “หมอพร้อม” ภาคเอกชนจะมีส่วนในการสนับสนุนระบบเพิ่มเติมระหว่างการลงทะเบียนและการฉีดวัคซีน และด้านที่ 4 คือ ด้านการจัดหาวัดซีนเพิ่มเติม ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และองค์การเภสัชกรรมพิจารณาแนวทางการผ่อนคลายกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ที่อยู่ระหว่างประเมินข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authority : EVA) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อจัดทำแผนการกระจายวัคซีนและเตรียมความพร้อมสถานที่ฉีดวัคซีน และประสานงานในรายละเอียดให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในวันนี้ภาคเอกชนได้มีการเสนอ ในเรื่องต่าง ๆ 4 เรื่อง ได้แก่ 1) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน 2) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์ 3) ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ และ 4) ด้านการกระจายวัคซีน โดยข้อเสนอในเรื่องของการกระจายวัคซีน ในด้านสถานที่ ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานครได้จัดเตรียมสถานที่จำนวนหลายแห่งไว้รองรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับต่างจังหวัดจะผ่านกลไกของ กรอ. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาเร่งรัดจัดทำแผนการจัดหาและการกระจายวัคซีน และร่วมกันในการจัดหาสถานที่กรณีจำเป็น ในด้านการประชาสัมพันธ์ ทางสภาหอการค้าไทยได้ร่วมกับ Google Facebook และหน่วยงานประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และการประชาสัมพันธ์โครงการต่าง ๆ ส่วนด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวก ทางภาคเอกชนมีความยินดีที่จะช่วยเหลือ เรื่องอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ โดยเฉพาะการเข้าร่วมในระบบหมอพร้อม ซึ่งเป็นระบบที่มีความจำเป็นสำหรับการลงทะเบียนการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับภาคประชาชนและภาคธุรกิจในอนาคต พร้อมย้ำว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติไม่ได้ปิดกั้นในการนำเข้าวัคซีนของเอกชน โดยเอกชนภาคส่วนใดที่ต้องการนำเข้าวัคซีนก็มีความยินดี และทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติก็ได้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนว่าจะสามารถนำเข้าในกรณีเป็น Distribution หรือกรณีเจ้าของวัคซีนเองก็ได้ จะเป็นการเพิ่มความสะดวกและคลายกังวลให้กับภาคเอกชนและประชาชนได้
พร้อมกันนี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันภายในปีนี้ ประชาชนคนไทย ผู้ที่มาปฏิบัติงานหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทย จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน ขณะนี้รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนได้ถึง 1 ล้านโดส ที่จะครอบคลุม 70% ของจำนวนประชากร ขณะเดียวกันภาคเอกชนมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนการทำงานร่วมภาครัฐบาล ถือป็นนิมิตหมายที่ดี โดยความร่วมมือเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ รวมถึง Phuket Sandbox Model ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเปิดประเทศได้ในต้นปีหน้า
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41303 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า พนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่อู่บรมราชชนนี ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 06.00 น. พนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 เพศหญิง อายุ 49 ปี ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เขตการเดินรถที่ 6 อู่บรมราชชนนี ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด ซึ่งเป็นภรรยาของ เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 เพศชาย อายุ 53 ปี ที่เป็นผู้ติดเชื้อฯตามที่ ขสมก. ได้ออกประกาศไป เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อมาเมื่อเวลา 22.15 น. เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า พนักงานดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อจึงให้รออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 28 เมษายน 2564
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 6 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 11 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 12 - 13 เมษายน 2564 อาศัยอยู่ที่บ้านพัก ตั้งอยู่ที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ขณะพักอาศัยอยู่ที่บ้านพัก ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวที่อื่น
- วันที่ 14 เมษายน 2564 เดินทางกลับที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ และพักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน
- วันที่ 15 เมษายน 2564 เวลา 08.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 09.00 น. เดินทางไปอู่ไร่ขิง เวลา 11.00 น. เดินทางกลับอู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 13.00 น.
- วันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 17 - 18 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 19 - 20 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 21 เมษายน 2564 ทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home)
- วันที่ 22 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 23 เมษายน 2564 ทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home)
- วันที่ 24 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 12.30 น. พาสามีไปพบแพทย์ ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 15.20 น.
- วันที่ 25 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 08.30 น. เดินทางไปที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพาสามีไปตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 เวลา 10.45 น. เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางได้แวะรับประทานอาหาร ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนายเอก วัดศาลาแดง ต่อมาเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์ได้แจ้งให้ทราบว่า สามีเป็นผู้ติดเชื้อฯ
- วันที่ 26 เมษายน 2564 พนักงานลาพักผ่อน โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน
- วันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 06.00 น. เดินทางไปที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 เวลา 12.00 น. เดินทางกลับบ้าน ต่อมาเวลา 22.15 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์แจ้งให้ทราบว่า พนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้รออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์ฯ ในวันที่ 28 เมษายน 2564
- วันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. รถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3. ผู้ติดเชื้อเป็นพนักงานธุรการ ระดับ 2 งานบริหารงานบุคคล จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถยนต์ส่วนกลางของเขตการเดินรถที่ 6 รวมถึงห้องทำงาน และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ
4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับพนักงานผู้ติดเชื้อหยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41297 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เตรียมความพร้อมเร่งแก้ไขปัญหามลพิษทางทะเลเนื่องจากน้ำมัน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า เตรียมความพร้อมเร่งแก้ไขปัญหามลพิษทางทะเลเนื่องจากน้ำมัน
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากมลพิษน้ำมันจากเรือ และประชุมประจำปีผู้ประสานงานของอนุภูมิภาคอ่าวไทย
เรื่อง การแก้ไขปัญหามลพิษทางทะเลเนื่องจากน้ำมัน ครั้งที่ 14 โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 20 - 23 เมษายน 2564
นายสมชาย สุมนัสขจรกุล กล่าวว่า ตามที่ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษทางทะเลในอนุภูมิภาคอ่าวไทยร่วมกับประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ภายใต้การสนับสนุนของ GFE/IMO Regional Program on Building Partnerships in Environment Management for the Seas of East Asia (PEMSEA) ในการให้ความร่วมมือระหว่างกันกรณีเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลขนาดใหญ่ในพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งได้มีพิธีลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศกัมพูชา ไทย และเวียดนาม ด้านการป้องกันและขจัดมลพิษทางทะเลเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยสมาชิกแต่ละประเทศจะสลับกันเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงจัดการประชุมร่วมกับผู้แทนหลักของประเทศสมาชิก ไทย เวียดนาม กัมพูชา ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อลดการเดินทางและหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม สำหรับการประชุมในครั้งนี้ มีวาระที่สำคัญ ได้แก่ ระบบชดเชยความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน การเรียกร้องค่าทำความสะอาดการขจัดมลพิษและมาตรการป้องกัน การเรียกร้องความเสียหายต่อทรัพย์สินและความสูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมและผู้แทนประเทศไทยจได้รายงานสถานการณ์การดำเนินงานของประเทศสมาชิกในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งพิจารณาร่างคู่มือการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันในอนุภูมิภาคอ่าวไทย และแผนการดำเนินงานในอนาคตร่วมกัน สรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1. ทั้งสามประเทศมีกรอบกฎหมายสำหรับการเตรียมการป้องกันและขจัดมลพิษน้ำมันในประเทศตนเองได้เหมาะสม ตามระดับความเสี่ยงและสถิติการเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหล
2. ทั้งสามประเทศให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงและพัฒนาแผนการปฏิบัติงานขจัดคราบน้ำมันของประเทศตนเอง เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะสามารถปกป้องรักษาสภาพแวดล้อมของอ่าวไทยให้มีความยั่งยืนต่อไป
3. ทั้งสามประเทศให้คำมั่นว่าจะร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการขจัดมลพิษน้ำมัน (แผนปฏิบัติการร่วม) สำหรับกรณีเกิดเหตุการณ์น้ำมันหกรั่วไหลข้ามพรมแดนในพื้นที่อ่าวไทย
4. องค์กรความร่วมมือภายใต้ IMO และพันธมิตร ได้แก่ PEMSEA, ITOPF, IOPC และ IG P&I Club ให้การรับรองว่าจะสนับสนุนกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคอ่าวไทย ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา และเวียดนามต่อไป ทั้งด้านบุคลากร การฝึกอบรมให้ความรู้ และเครื่องมือป้องกันและขจัดมลพิษน้ำมัน
5. การประชุมฯ ครั้งที่ 15 จะจัดขึ้น ณ เกาะฟูก๊วก (Phu Quoc) ประเทศเวียดนาม ในปี พ.ศ. 2565 โดย จท. พร้อมให้การสนับสนุน ประสานความร่วมมือ และระดมทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้บูรณาการร่วมกันในการขจัดมลพิษทางน้ำมัน ให้เกิดการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41274 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ระบบเกียรติศักดิ์ เคร่งครัดมาตรการ จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตโควิด - 19 ไปด้วยกัน" | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
"ระบบเกียรติศักดิ์ เคร่งครัดมาตรการ จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตโควิด - 19 ไปด้วยกัน"
#โควิด19
#DMHTT
#สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41281 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด ร่วมกับ องค์การบริการส่วนจังหวัดภูเก็ต ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ COVID-19 ในสถานีขนส่งผู้โดยสาร | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
บริษัท ขนส่ง จำกัด ร่วมกับ องค์การบริการส่วนจังหวัดภูเก็ต ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ COVID-19 ในสถานีขนส่งผู้โดยสาร
ในวันที่ 26 เม.ย. 2564 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดภูเก็ต แห่งที่ 2
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนายสถานีเดินรถจังหวัดภูเก็ตว่า ในวันที่ 26 เม.ย. 2564 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดภูเก็ต แห่งที่ 2 เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เพิ่มมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และทำความสะอาดสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจเต็ม 100% ให้กับผู้ใช้บริการ
สำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ - ภูเก็ต ปัจจุบัน บขส. เปิดให้บริการวันละ 2 เที่ยววิ่ง โดยรถออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (ถนนบรมราชชนนี) เที่ยวไป เวลา 16.30 น. เที่ยวกลับ (ภูเก็ต) เวลา 16.30 น. ส่วนเส้นทางหมอชิต 2 - ภูเก็ต เปิดให้บริการ วันละ 2 เที่ยววิ่ง โดยรถออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เที่ยวไป เวลา 18.20 น. เที่ยวกลับ (ภูเก็ต) เวลา 18.04 น.
บขส. มีความห่วงใยผู้ใช้บริการที่มีความจำเป็นต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะในช่วงเวลานี้ และขอความร่วมมือผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข (D-M-H-T-T-A) อย่างเคร่งครัด อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self - Quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในวงกว้าง รวมทั้งขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสาร และประกาศเข้าพื้นที่ของแต่ละจังหวัดก่อนเดินทาง
สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ Call center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41263 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส แจงอัพเดทแอปหมอชนะเวอร์ชั่นใหม่หลังระบบล่ม | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ดีอีเอส แจงอัพเดทแอปหมอชนะเวอร์ชั่นใหม่หลังระบบล่ม
ดีอีเอส แจงอัพเดทแอปหมอชนะเวอร์ชั่นใหม่หลังระบบล่ม
เมื่อวันที่28เมษายน2564นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องแอปพลิเคชันหมอชนะหลังจากประสบปัญหาเกิดข้อขัดข้องของระบบบริการในแอปโดยล่าสุดกระทรวงฯและทีมผู้พัฒนาได้ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนโดยมีการUpdate Versionหมอชนะ(เป็นversion 2.0.5)และทำการอนุมัติจากระบบiOSในApp StoreและAndroidในPlay Storeล่าสุดระบบAndroid Playstoreอนุมัติเรียบร้อยแล้วผู้ใช้สามารถทำการอัพเดทและติดตั้งหมอชนะระบบAndroid update versionและก็เข้าใช้งานแอปพลิเคชันหมอชนะได้ตามปกติส่วนระบบiOS App Storeยังอยู่ระหว่างการรออนุมัติเมื่อระบบสามารถใช้งานได้ทางกระทรวงดิจิทัลฯจะดำเนินการแจ้งความคืบหน้าโดยด่วนโดยมีนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมประชุมณห้องประชุมMDES 1
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41308 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป พร้อมเพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สู้ภัยโควิด ลูกหนี้ดีลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป พร้อมเพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สู้ภัยโควิด ลูกหนี้ดีลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01%
กยศ.ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุนในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป ลดอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระเหลือ 0.01% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2564 – 31 ธ.ค.2564
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน ในการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป ลดอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระเหลือ 0.01% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564 พร้อมเพิ่มและขยายระยะเวลามาตรการสู้ภัยโควิด ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 รวมถึงชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 และงดการขายทอดตลาดจนถึงสิ้นปี 2564 เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินและทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป และเห็นชอบมาตรการเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังนี้
1. ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ (ปกติกองทุนคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปีของเงินต้นคงเหลือ) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564
2. ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิด จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ประกอบด้วย
- ลดเบี้ยปรับ 100% กรณีชำระหนี้ปิดบัญชี สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกรายที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดีต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ www.studentloan.or.th โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
- ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ
- ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว
- ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
3. ชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปี 2564
4. งดการขายทอดตลาด ทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงิน และ/หรือผู้ค้ำประกัน ที่กองทุนได้ขอให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ไว้จนถึงสิ้นปี 2564 โดยกองทุนจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้กู้ยืมเงิน และ/หรือผู้ค้ำประกันที่ถูกยึดทรัพย์ รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ผู้รับจำนองที่ยึดไว้ (ถ้ามี)
ทั้งนี้ กองทุนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านร่วมกันสู้เพื่อให้ผ่านสถานการณ์โควิดไปด้วยกัน โดยสามารถดูรายละเอียดมาตรการดังกล่าวเพิ่มเติมได้ที่ www.studentloan.or.th หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างผ่าน LINE หลอกให้โอนเงินค่าธรรมเนียม | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างผ่าน LINE หลอกให้โอนเงินค่าธรรมเนียม
ธ.ก.ส. เตือน! เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังการแอบอ้างโดยใช้ LINE Account ลวงให้ชำระค่าธรรมเนียมหรือภาษีจากการขึ้นเช็ค ย้ำ! ธ.ก.ส.ไม่มีนโยบายให้มีการชำระเงินใดๆ ผ่าน LINE Account หากพบเห็นการแอบอ้างต่างๆ สามารถแจ้งได้ที่ Call Center 02 555 0555
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ช่องทาง LINE Account ชื่อ “A-Mobil” แอบอ้างว่าเป็นบัญชีของธนาคาร โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษีจากการขึ้นเช็ค ซึ่งพบผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวหลายราย นั้น
ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีนโยบายในการติดต่อผ่าน LINE Account เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษีจากลูกค้า ซึ่งในกรณีนี้หากลูกค้ามีการขึ้นเช็คต่างพื้นที่ อาจต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมเช็ค ณ เคาน์เตอร์สาขา หรือมีการชำระค่าธรรมเนียมในขั้นตอนการออกเช็คต้นทาง จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อหรือโอนเงินไปให้บุคคลดังกล่าว
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มี LINE Official ที่ใช้ชื่อว่า “BAAC Family” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากชื่อ “BAAC Family” โดยมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวที่บริเวณหน้าชื่อ และมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 8 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการหลอกลวงจากมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ธ.ก.ส. จึงขอให้ท่านใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถติดตามข่าวสารของธนาคารหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี
เสนอแนวทางสนับสนุนอาเซียนแก้ไขปัญหาในเมียนมา ในการประชุมผู้นำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้อาเซียนพิจารณาจัดตั้งกลุ่ม “Friends of the Chair” ประสานงานสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในเมียนมา โดยยึดแนวทาง D4D ได้แก่ การยุติความรุนแรง การจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง และการหารือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเมียนมา ในการเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ณ สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา
เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๔ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน (ASEAN Leaders’ Meeting) ณ สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนปี ๒๕๖๔ เป็นประธานการประชุม การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมการประชุมครั้งแรกที่ผู้นำอาเซียนได้มีโอกาสพบปะกันด้วยตนเองในรอบกว่า ๑ ปีตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของประชาคมอาเซียนและสนับสนุนการทำหน้าที่ประธานอาเซียนของบรูไนฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เรารุ่งเรือง” (We care, We prepare, We prosper) ตลอดจนหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือของอาเซียนในการรับมือกับโควิด-๑๙ โดยบรูไนฯ และเมียนมาได้ประกาศสมทบกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-๑๙ ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของไทย ประเทศละ ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ ไทยได้เสนอแนะให้อาเซียนใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นยุทธศาสตร์ทางเลือกเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในยุคหลังโควิด-๑๙
ที่ประชุมยังได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันของอาเซียนเพื่อมุ่งแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาในเมียนมาและรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยย้ำความสำคัญของการมีบทบาทที่สร้างสรรค์ของอาเซียนเพื่อร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์และช่วยสนับสนุนเมียนมาให้กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ โดยไทยได้เสนอให้อาเซียนพิจารณาจัดตั้งกลุ่ม “Friends of the Chair” เพื่อช่วยประสานงานการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในเมียนมา โดยยึดแนวทาง D4D ได้แก่ การยุติความรุนแรง (de-escalate violence) การจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (delivery of humanitarian assistance) การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง (discharge of detainees) และการหารือ (dialogue) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเรื่องการพัฒนา (development) อย่างยั่งยืนในเมียนมา
ภายหลังการประชุม บรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ของประธาน โดยระบุประเด็นที่อาเซียนเห็นชอบร่วมกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมา ๕ ประการ ได้แก่ (๑) การยุติความรุนแรงและการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ (๒) การหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเมียนมา (๓) ผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของประธานอาเซียนจะช่วยอำนวยความสะดวกกระบวนการหารือ โดยการสนับสนุนของเลขาธิการอาเซียน (๔) อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่าน AHA Centre (๕) ผู้แทนพิเศษและคณะจะเดินทางไปเมียนมาเพื่อพบกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่มา :https://www.mfa.go.th/th/content/dpmfmthaiaseanleadersmeeting24apr2021-2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ชี้แจงการแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า ชี้แจงการแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว “เขื่อนชายฝั่งสงขลา 130 กว่าล้านบาท พังเสียหายแล้ว”
ระบุว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะที่ปรึกษาออกแบบเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้นำเสนอรูปแบบแนวทางการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ดังกล่าวให้กับ จท. 3 รูปแบบ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ การใช้ประโยชน์ชายหาด และความต้องการของชุมชน โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ดังนี้
1. จุดที่ 1 บริเวณที่เกิดการกัดเซาะรุนแรง ไม่มีบ้านเรือนประชาชนใกล้ชายฝั่งมาก ได้ออกแบบเป็นเขื่อนหินทิ้ง revetments ความยาว 360 เมตร
2. จุดที่ 2 พื้นที่บริเวณหน้าวัดอู่ตะเภา มีความเหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยว และประชาชนต้องการเดินผ่านเขื่อนเพื่อขึ้น - ลงชายหาดได้ ผู้ออกแบบจึงเลือกใช้เขื่อนหินที่มีวัสดุขนาดเล็กลง โดยใช้น้ำยาเชื่อมประสานทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างหิน ประชาชนสามารถเดินขึ้น - ลงชายหาดได้อย่างสะดวก ปลอดภัย มีความยาว 195 เมตร ซึ่งรูปแบบเขื่อนที่เลือกใช้มีราคาไม่แพงไปกว่าเขื่อนที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะดังกล่าวที่ใช้ทั่วไป
3. จุดที่ 3 พื้นที่บริเวณชุมชนและหมู่บ้านประมงที่มีการใช้เรือเข้า - ออก ได้ออกแบบเป็นเขื่อนตอกเสาเข็มสันเตี้ย เว้นช่องเรือเข้า - ออก ตามความเหมาะสม โดยเขื่อนมีความยาว 5,345 เมตร
ทั้งนี้ จท. ได้แต่งตั้งผู้ควบคุมงานการก่อสร้างโครงการเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อควบคุมการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ถูกต้องตามรูปแบบการก่อสร้างและรายการประกอบแบบในสัญญาจ้างทุกประการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ความเสียหายอยู่ในพื้นที่จุดที่ 2 บริเวณหน้าวัดอู่ตะเภา เบื้องต้นสันนิษฐานว่า ในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 - กุมภาพันธ์ 2564 ได้เกิดพายุคลื่นลมแรง ความกดอากาศแปรปรวน ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลยกตัวขึ้นสูงกว่าปกติ รวมทั้งเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลไหลเข้าท่วมวัดอู่ตะเภาซึ่งอยู่ด้านหลังกำแพงหิน ระดับน้ำยกตัวสูงกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้ากระแทกกับกำแพงหิน และสร้างความปั่นป่วนต่อพื้นท้องทะเลบริเวณฐานของกำแพง เกิดการกัดเซาะบริเวณฐานเขื่อน (Scouring) ทำให้ฐานของกำแพงหินเกิดการเคลื่อนตัวตามกันไปจนเกิดความเสียหาย ซึ่งขณะนี้ผู้รับจ้างอยู่ระหว่างการก่อสร้างตามรูปแบบที่ที่ปรึกษาให้คำแนะนำ โดยเพิ่มขนาดของหินใหญ่ในตัวโครงสร้าง เพื่อให้สามารถป้องกันการกัดเซาะได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานต่อไป ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41271 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปรับเคาน์เตอร์เช็คอินภายในอาคารผู้โดยสารเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปรับเคาน์เตอร์เช็คอินภายในอาคารผู้โดยสารเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) (สายปฏิบัติการ 1) บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แก่ผู้ปฏิบัติงานภายในท่าอากาศยาน ทั้งพนักงาน ลูกจ้างของ ทอท. เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และเจ้าหน้าที่สายการบิน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ณ ทสภ.
การดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ ทสภ. กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงประจำท่าอากาศยาน ซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมายการกระจายวัคซีนแก่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ทสภ. และตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทสภ. จึงขยายพื้นที่จุดให้บริการฉีดวัคซีน เพื่อให้รองรับจำนวนผู้รับวัคซีนได้มากขึ้น โดยใช้พื้นที่เคาน์เตอร์เช็คอิน แถว U และ แถว W ห้องโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ของอาคารผู้โดยสาร จำนวน 42 เคาน์เตอร์ สำหรับเป็นจุดลงทะเบียน วัดความดันและอุณหภูมิ ลงทะเบียนเข้าระบบ ซักถามประวัติความเสี่ยง บันทึกข้อมูลการให้บริการ ลงข้อมูลเขาระบบติดตามวัคซีน รับบัตรนัด ทั้งนี้จุดให้บริการฉีดวัคซีนจะมีพนักงานของ ทสภ. พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบางพลีและโรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ทสภ. และตัวแทนจากสายการบินต่าง ๆ ร่วมให้บริการ ซึ่งการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ทสภ. ครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ ทสภ. และเป็นการรักษามาตรฐานตามที่ ทสภ. ได้รับการรับรอง Airport Health Accreditation จากสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (Airports Council International : ACI) มาตรการด้านความปลอดภัยสุขอนามัยจากการเข้าร่วมโครงการ Airport Health Accreditation (AHA) Programme ซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสุขอนามัย และความปลอดภัยภายในท่าอากาศยานครอบคลุมทุกด้าน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41272 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประวิตร’ ชื่นชมให้กำลังใจ ก.แรงงาน จัดระบบตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
‘ประวิตร’ ชื่นชมให้กำลังใจ ก.แรงงาน จัดระบบตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามผลการดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกให้แก่แรงงาน
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 10.00 น.ที่ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมตรวจติดตามผลการดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุกให้แก่แรงงาน โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมขอขอบคุณ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกท่าน ที่ร่วมแรงร่วมใจ ให้ความช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อย่างเต็มความสามารถ และขอให้ทุกท่านอย่าลืมป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ผมขอชื่นชมกระทรวงแรงงานที่จัดให้มีการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก ใน 5 จังหวัดที่มีกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี และเชียงใหม่ ในการให้ช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อย่างทันท่วงที
ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานเปิดเผยว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ำการทำงานเพิ่มเติม ในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1) จัดระบบตรวจคัดกรองโควิด -19 เชิงรุก ให้เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด และขอให้ช่วยเหลือผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยงอย่างรวดเร็ว และเหมาะสม 2) ขอให้ประสานกับโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ในการเตรียมแผนรองรับผู้ประกันตนที่อาจติดโควิด-19 สำหรับผู้ที่ยังไม่แสดงอาการขอให้ประสานการส่งตัวไปยัง Hospitel 3) ขอให้มีการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ คัดกรองโรคโควิด-19 ในทุกสถานประกอบการ เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 4) ขอให้ช่วยเหลือคนทำงาน รวมไปถึงแรงงานนอกระบบที่อาจว่างงานหรือขาดรายได้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น พนักงาน Grab การพัฒนาทักษะฝีมือในรูปแบบที่เหมาะสม และให้กำลังใจในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ โดยขอให้กลุ่มแรงงาน และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ ร่วมมือ ร่วมใจ ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
“ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 พ.ค.นี้ ลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิด 19 คิวแรกกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง ผ่านไลน์หมอพร้อม หรือติดต่อรพ./ รพ.สต./ อสม. ใกล้บ้าน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
1 พ.ค.นี้ ลงทะเบียนนัดฉีดวัคซีนโควิด 19 คิวแรกกลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง ผ่านไลน์หมอพร้อม หรือติดต่อรพ./ รพ.สต./ อสม. ใกล้บ้าน
รัฐบาลยืนยันคนไทยทั้งประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่างทั่วถึงทุกคน วันที่ 1 พ.ค.นี้ เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค รวม 16 ล้านคน ผ่านไลน์ “หมอพร้อม” เวอร์ชัน 2 หรือติดต่อรพ.ใกล้บ้าน
รัฐบาลยืนยันคนไทยทั้งประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่างทั่วถึงทุกคน วันที่ 1 พ.ค.นี้เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค รวม 16 ล้านคน ผ่านไลน์ “หมอพร้อม” เวอร์ชัน 2 หรือติดต่อรพ.ใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษา รพ.สต./อสม. ในพื้นที่ เริ่มฉีดวัคซีน7 มิ.ย. – 31 ก.ค. ส่วนประชาชนทั่วไปอายุ 18-59 ปี ลงทะเบียนวันที่ 1 ก.ค. รับการฉีดตั้งแต่ส.ค.เป็นต้นไป
วันนี้ (28 เมษายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าว ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 โรค ผ่าน Line Official Account “หมอพร้อม”
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันคนไทยทั้งประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่างทั่วถึงทุกคน เพื่อควบคุมโรค สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยในระยะแรก มีเป้าหมายฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย ทั้งภาครัฐและเอกชน รวม 3.8 ล้านคน ปกป้องระบบสาธารณสุขของประเทศ ตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงขณะนี้ฉีดครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด รวมกว่า 1.2 ล้านโดส มีผู้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วกว่า 1 ล้านคน และรับวัคซีนครบ 2 เข็มอีกกว่า 2 แสนคน
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ระยะที่ 2 จะมีวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้า และเริ่มให้บริการฉีดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 โดยเริ่มฉีดให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.7 ล้านคน และผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค จำนวน 4.3 ล้านคน ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือดโรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน รวมทั้ง 2 กลุ่ม “16 ล้านคน 16 ล้านโดส” เพื่อลดความรุนแรงของโรคในกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูง โดยเปิดให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ลงทะเบียนแสดงความประสงค์รับวัคซีนโควิด 19 เพื่อจัดลำดับนัดหมาย ผ่านไลน์หมอพร้อมเวอร์ชัน 2 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 หรือติดต่อนัดหมายที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีประวัติการรักษา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)/อสม.ในพื้นที่ เริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน – 31 กรกฎาคมนี้ สำหรับระยะที่ 3 จะฉีดให้ประชาชนที่มีอายุ 18-59 ปี จำนวน 31 ล้านคน เพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ลงทะเบียนนัดหมายรับการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และเริ่มฉีดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
“ขอให้มั่นใจรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ฉีดให้คนไทยทุกคน ภายในปี 2564 นี้ ซึ่งจะช่วยเสริมการป้องกันควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพ และช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต” ดร.สาธิตกล่าว
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ทุกโรงพยาบาลที่ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังได้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบหมอพร้อมแล้ว โดยวันนี้ (28 เมษายน 2564) ได้อัปเดตไลน์ “หมอพร้อม” เป็นเวอร์ชัน 2 เพิ่มฟังก์ชันการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ทั้ง 2 กลุ่มลงทะเบียน เลือกโรงพยาบาล นัดหมายวันเวลา รับการฉีดวัคซีน ซึ่งประชาชนทำได้โดยการเพิ่มเพื่อน (Add Friend) ไลน์หมอพร้อม ลงทะเบียนการใช้งาน กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลักให้ถูกต้อง หากมีข้อมูลในระบบแล้วให้ใส่เบอร์โทรศัพท์และกดบันทึก หากไม่มีข้อมูลในระบบให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและกดบันทึก จะมีข้อความแจ้งยืนยันการลงทะเบียนสำเร็จ จากนั้นกดเมนูจองฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อลงทะเบียนการฉีดวัคซีน นัดวันและเวลาฉีดวัคซีนที่สะดวกหากต้องการลงทะเบียนแทนบุคคลในครอบครัว ให้กด “เพิ่มบุคคลอื่น” ที่เมนู “แก้ไขข้อมูลส่วนตัว” ซึ่งสามารถเพิ่มได้ไม่จำกัด แล้วค่อยเข้าเมนูจองฉีดวัคซีนโควิด 19 ต่อไป หากไม่สะดวกมาในวันนัดหมาย มีฟังก์ชันเปลี่ยนการนัดหมายการฉีดวัคซีนใหม่ด้วย หากมีข้อสงสัยเรื่องการใช้ “หมอพร้อม” สอบถามได้ที่ 1422 หรือ 02 792 2333
ทั้งนี้ ก่อนฉีดวัคซีน 1 วันจะมีข้อความแจ้งเตือนให้มารับวัคซีนตามนัด ฉีดวัคซีนแล้วจะได้รับข้อความยืนยันการรับวัคซีน รวมถึงจะมีการส่งแบบประเมินอาการไม่พึงประสงค์หลังรับวัคซีนหลังฉีดวัคซีน 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน ส่วนวัคซีนเข็มที่ 2 ระบบจะดำเนินการแบบเดียวกัน และมีการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มด้วย อย่างไรก็ตาม หากไม่สะดวกในการลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านไลน์หมอพร้อม สามารถโทรนัดหมายได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือติดต่อ อสม.ภายในหมู่บ้าน
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมสำหรับฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนทั่วประเทศ โดยมีหน่วยบริการฉีดวัคซีนทั้งหมด 1,373 แห่ง ให้บริการฉีดวัคซีนได้ถึงวันละ 3 แสนคน หรือประมาณเดือนละ 10 ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดหน่วยบริการวัคซีนนอกโรงพยาบาล ตามเกณฑ์ปฏิบัติของกรมการแพทย์ ซึ่งการฉีดวัคซีนทั้งภายในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลได้มีการจัดเตรียมสถานที่ในการฉีดวัคซีนไว้ 5 จุด ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีต่อจุด เมื่อฉีดวัคซีนเสร็จต้องรอสังเกตอาการอีก 30 นาที โดยรวมใช้เวลาในการรับวัคซีนประมาณ 35-40 นาที ทำให้การฉีดวัคซีนมีความรวดเร็วและความปลอดภัย ดังนั้น จึงสามารถให้วัคซีนกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีและผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค 16 ล้านคนเสร็จสิ้นได้ตามกำหนด
สำหรับการกระจายวัคซีนมีองค์การเภสัชกรรมกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท DKSH ที่มีระบบเก็บรักษาอุณหภูมิที่ได้มาตรฐาน สามารถจัดส่งวัคซีนให้ทุกจังหวัดได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อรอบการขนส่ง ดังนั้น โรงพยาบาลจึงไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์เก็บรักษาวัคซีนที่มากเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาระบบติดตามการกระจายวัคซีนที่สามารถตรวจสอบแหล่งเก็บวัคซีนและสถานการณ์ขนส่งวัคซีนได้แม่นยำ ช่วยควบคุมการกระจายวัคซีนได้อย่างเป็นระบบ ส่วนกรณีการออกหน่วยให้บริการวัคซีน โรงพยาบาลที่ออกหน่วยต้องมีความพร้อมและปฏิบัติตามเกณฑ์ของกรมการแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในส่วนของกรมควบคุมโรคมีแผนการกระจายวัคซีนเริ่มจาก 6 ล้านโดสในเดือนมิถุนายน และเดือนละประมาณ 10 ล้านโดสในเดือนต่อ ๆ ไป โดยระยะแรกจะฉีดกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตคือกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว โดยได้ออกคู่มือแนวทางการบริหารจัดการให้วัคซีน มีการเตรียมระบบ cold chain ครอบคลุมต้นทางถึงปลายทาง มีการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีด ได้แก่ ไซริงและเข็ม ไว้พร้อม อุปกรณ์และกล่องขนส่งวัคซีน โดยมีการสั่งซื้อไซริงที่ลดการสูญเสียวัคซีน คือ low dead space syringe เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าได้ถึง 11-12 โดสช่วยทำให้บุคลากรสะดวกและปฏิบัติงานง่ายขึ้น ส่งผลดีเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีนครอบคลุมได้เร็วและมาก ซึ่งการรับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม มีประสิทธิภาพป้องกันโรคได้อย่างน้อยร้อยละ 60-80 และจะลดโอกาสแพร่เชื้อได้ถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้มีระบบการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์โดยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและแพทย์สาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อวินิจฉัยและให้ความเห็นสาเหตุการป่วยว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่ ให้เกิดความชัดเจน และดูแลความปลอดภัยของผู้รับวัคซีน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในแผนงานของประเทศไทย
**************************** 28 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! เพิ่มสภาพคล่องกองทุนแก้หนี้ครู | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ไฟเขียว! เพิ่มสภาพคล่องกองทุนแก้หนี้ครู
...
ตามปกติของ กองทุนหมุนเวียนต่างๆ จะต้องส่งกำไรส่วนเกินในแต่ละปีบัญชี กลับเข้าคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน แต่สำหรับปีนี้ รัฐบาลมีนโยบายเร่งช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ประชุม ครม. จึงมีมติเห็นชอบให้
.
กองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขหนี้สินข้าราชการครู ส่งกำไรของปีบัญชี 2562 กลับเข้าคลังแค่ 350 ล้านบาท จากจำนวนเต็ม 590.67 ล้านบาท เพื่อให้กองทุนมีเงินใช้หมุนเวียน 240.67 ล้านบาท จะได้ช่วยเหลือครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เพิ่มขึ้น
.
สำหรับ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องการยืมเงินจากกองทุน ไปปลดหนี้ สามารถกู้ยืมได้คนละไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ผ่อนชำระคืนภายใน 12 ปี (144 งวด) โดยยื่นคำขอกู้ได้ที่หน่วยงานต้นสังกัดของตนเอง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสียค่าปรับเท่าไร? ถ้าไม่สวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
เสียค่าปรับเท่าไร? ถ้าไม่สวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน
...
ขณะนี้อย่างน้อย 56 จังหวัด ได้ประกาศคำสั่ง หากประชาชนไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน จะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 34 (6) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
.
ทำให้หลายคนมีข้อสงสัยว่า ถ้าไม่สวมหน้ากากอนามัยออกนอกบ้านเพียงครั้งเดียวจะโดนปรับถึง 20,000 บาท เลยหรือ?
.
ความจริงแล้ว การเปรียบเทียบปรับหรือการเสียค่าปรับกรณีไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน ตามคำสั่งกรมควบคุมโรคที่ 1746/2563 ลงวันที่ 14 ต.ค. 63 กำหนดให้ผู้มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพนักงานสอบสวนดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ. 2563 ที่กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 3 ระดับ คือ
.
1.กระทำผิดครั้งที่ 1 จำนวน 6,000 บาท
2.กระทำผิดครั้งที่ 2 จำนวน 12,000 บาท
3.กระทำผิดครั้งที่ 3 เป็นต้นไป จำนวน 20,000 บาท
.
นอกจากนี้ หากมีเหตุผลสมควรแก่การพิจารณาลดจำนวนค่าปรับ สามารถทำได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนเงินค่าปรับ เช่น ค่าปรับ 6,000 บาท ต้องเปรียบเทียบปรับไม่น้อยกว่า 2,000 บาท
.
มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพวกเราคนไทยทุกคน จึงขอความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายคนไทย 50 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนในปลายปีนี้ พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่หอการค้าไทยหนุนรัฐบาล ตั้ง 4 ทีม ร่วมกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือน มิ.ย | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายคนไทย 50 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนในปลายปีนี้ พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่หอการค้าไทยหนุนรัฐบาล ตั้ง 4 ทีม ร่วมกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือน มิ.ย
นายกรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายคนไทย 50 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนในปลายปีนี้ พร้อมเตรียมแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่หอการค้าไทยหนุนรัฐบาล ตั้ง 4 ทีม ร่วมกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ในเดือน มิ.ย. นี้
วันนี้ (28 เม.ย.64) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล คณะกรรมการหอการค้าไทยนำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกลินท์ สารสิน ประธานอาวุโสหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำเสนอแนวทางการทำงานของหอการค้าไทยในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจัดทำแผนตั้ง 4 ทีมสนับสนุน โดยมีบริษัทที่ถนัดในธุรกิจนั้น ๆ มาช่วยกระจายฉีดวัคซีนล็อตใหญ่ที่จะเริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยการหารือ นายกรัฐมนตรีดีใจที่รัฐบาลและเอกชนจะร่วมมือโดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อประเทศไทยเปิดประเทศ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงบทบาทสำคัญของรัฐบาลเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ เอกชน ดูแลกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ให้เกิดความยืดหยุ่นและดำเนินการได้ เช่นเดียวกับการโอนอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีมาเป็นของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว ใน พ.ร.บ.ทั้ง 31 ฉบับตามประกาศการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีฯ (ฉบับที่ 3) ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นการบูรณาการกฎหมาย เพื่อแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แผนการจัดหาวัคซีนเดิม จำนวน 63 ล้านโดส จัดหาเพิ่มเติม จำนวน 37 ล้านโดส เป้าหมาย 100 ล้านโดส ดูแลคนไทยทุกคนทั่วประเทศ รวมทั้งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 เฉพาะหน้าโดยเฉพาะการนำผู้ป่วยเข้าถึงสถานพยาบาล การเตรียมพร้อมบุคลากร เครื่องมือ เตียงและยา ด้วย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้กำลังใจในการทำงานของหอการค้าฯ มาโดยตลอด คณะกรรมการหอการค้าซึ่งประกอบด้วยผู้แทนธุรกิจเอกชนพร้อมจะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ทั้งการเพิ่มจำนวนวัคซีนโควิด-19 และการกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้มากขึ้นและเร็วขึ้น รวมทั้งการสร้างความมั่นใจในการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย และการเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน จึงได้จัดตั้งทีมสนับสนุนการฉีดวัคซีนภาคเอกชน ประกอบด้วย
TEAM A: ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน (Distribution and Logistics) เพื่อสนับสนุนสถานที่เพิ่มเติมจากภาคเอกชน ในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ รวมถึงใช้พื้นที่โรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรม เป็นพื้นที่ฉีดวัคซีน ด้วย
TEAM B: ทีมการสื่อสาร (Communication) สนับสนุนการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนทั่วไป สร้างการรับรู้ให้กับสังคม เชิญชวนประชาชนมารับการฉีดวัคซีนในสถานที่ที่พร้อมและรายงานความคืบหน้าที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงระบบ “หมอพร้อม”
TEAM C: ทีมเทคโนโลยีและระบบ (IT Operation) เพื่อจัดระบบลงทะเบียนให้รวดเร็วและระบบการติดตามตัวอย่างมีประสิทธิภาพ และ
TEAM D: ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม (Extra Vaccine procurement) ร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน โดยจะไปสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมจะทำงานเคียงคู่ไปกับภาคเอกชน เน้นการทำงานที่มีผลสัมฤทธิ์ โดยจะมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งทีมประสานงาน เพื่อดำเนินกิจกรรมคู่ขนานร่วมกับทีมภาคเอกชนทั้ง 4 ทีม รวมถึงการมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมและ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไปพิจารณาแนวทางการขึ้นทะเบียนสำหรับวัคซีนที่ได้รับการยอมรับจาก WHO นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนไทยทุกคน รวมทั้งแรงงานและชาวต่างประเทศที่ทำงานในประเทศไทยด้วย ไม่เพียงเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น ยังรวมถึงโรคภัยอื่น ๆ รวมทั้งเดินหน้าเศรษฐกิจ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) สำหรับ SMEs มาตรการเยียวยาผู้มีรายได้น้อย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว และตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อรองรับการเปิดประเทศของไทยหลังวิกฤตโควิด-19 ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41293 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุนค่ายมือถือ ส่งแพ็กเกจเน็ต เสริมการเรียนออนไลน์ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
หนุนค่ายมือถือ ส่งแพ็กเกจเน็ต เสริมการเรียนออนไลน์
...
การระบาดโรคโควิด-19 ส่งผลต่อระบบการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเรียนออนไลน์แทน
.
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งประสานงานขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการมือถือทุกรายพิจารณาร่วมกัน ในการออกแพ็กเกจรายเดือน 5GB ในความเร็วไม่ต่ำกว่า 4Mbps ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน (Unlimited Data)
.
สำหรับรองรับการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมกับนักเรียนและนักศึกษาในการเรียนการสอนออนไลน์
.
หลังจากนี้ จะประสานกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อสรุปรายชื่อนักเรียนนักศึกษากลุ่มเป้าหมาย พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อจัดทำฐานข้อมูล สำหรับการลงทะเบียนใช้สิทธิ ผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กำชับผู้ประกอบการสต็อกสินค้าเพิ่ม ช่วงคุมเข้มโควิด
ไฟเขียว! เพิ่มสภาพคล่องกองทุนแก้หนี้ครู
เร่งกระจาย "ฟาวิพิราเวียร์" 2 ล้านเม็ด
เสียค่าปรับเท่าไร? ถ้าไม่สวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน
อ่านให้ชัด! ต้องใส่หน้ากากอนามัยตอนไหนใน กทม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประวิตร’ มอบเงินกองทุนสงเคราะห์บรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง บ.บริลเลียนท์ กว่า 21 ลบ. | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
‘ประวิตร’ มอบเงินกองทุนสงเคราะห์บรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้าง บ.บริลเลียนท์ กว่า 21 ลบ.
รองนายกรัฐมนตรี มอบเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งกระทรวงแรงงานอนุมัติเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 21.4 ล้านบาท บรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ที่ถูกเลิกจ้างและยังไม่ได้รับค่าชดเชยจากนายจ้าง
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น.ที่ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมอบเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง จำนวน 21,465,350 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนท์ จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 1,161 คน กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชย โดยมีผู้แทนเข้ารับมอบจำนวน 6 คน โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต. นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยกล่าวว่า รัฐบาล มีความห่วงใยลูกจ้างทุกคนกรณีถูกเลิกจ้างเนื่องจากสถานประกอบกิจการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในวันนี้ผมจึงได้มอบเงินแก่ผู้แทนลูกจ้างจำนวน 6 คน เพื่อเป็นสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้ช่วยเหลือคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้อนุมัติเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจำนวน 21,465,350 บาท ให้กับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ นำไปจ่ายให้กับลูกจ้าง บริษัท บริลเลียนท์อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จำกัด อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในสตรี จำนวน 1,161 คน ที่ได้ยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างและยังไม่จ่ายค่าชดเชย โดยมีตัวแทนลูกจ้างเข้าร่วมพิธีรับมอบเงิน ซึ่งบริษัทฯ ได้ปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 สั่งให้ บริษัทฯ จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2564 ที่นายจ้างสั่งให้หยุดเป็นเงิน 774,897.24 บาท จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 27,004,038.02 บาท ค่าชดเชยเป็นเงิน 212,900,746.87 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมเป็นเงิน 2,010,180.57 บาท ให้กับลูกจ้างจำนวน 1,237 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 242,689,862.71 บาท (สองร้อยสี่สิบสองล้านหกแสนแปดหมื่นเก้าพันแปดร้อยหกสิบสองบาทเจ็ดสิบเอ็ดสตางค์) พร้อมดอกเบี้ย ในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 เมื่อครบกำหนดตามคำสั่งที่นายจ้างต้องปฏิบัติ นายจ้างไม่ปฏิบัติ ลูกจ้างจึงได้ยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ช่วยผู้ประกอบการปล่อยสินเชื่ออัตรากำไรต่ำ 2% ต่อปี ฟื้นฟูธุรกิจ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ไอแบงก์ ช่วยผู้ประกอบการปล่อยสินเชื่ออัตรากำไรต่ำ 2% ต่อปี ฟื้นฟูธุรกิจ
ไอแบงก์เตรียมวงเงิน 1,000 ลบ. ออกโครงการสินเชื่อ Soft Loan ฟื้นฟูธุรกิจ ให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ปีที่ 3-5 คิดกำไรไม่เกิน 7% ต่อปี ยกเว้นกำไร 6 เดือนแรก ผ่อนได้นานสูงสุด 5 ปี
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เตรียมวงเงิน 1,000 ล้านบาท ออกโครงการสินเชื่อ Soft Loan ฟื้นฟูธุรกิจ ให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ 2% ต่อปี ใน2ปีแรก ปีที่ 3 - 5 คิดกำไรไม่เกิน 7% ต่อปี ยกเว้นกำไร 6 เดือนแรก ผ่อนได้นานสูงสุด 5 ปี พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม
ไอแบงก์ ออกโครงการสินเชื่อ Soft Loan ฟื้นฟูธุรกิจ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ยังมีศักยภาพให้สามารถดำเนินธุรกิจ และรักษาระดับการจ้างงาน ช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยโครงการนี้ให้ความช่วยเหลือทั้งลูกค้าเดิมของธนาคารที่มีวงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 500 ล้านบาท ให้วงเงินสูงสุดสำหรับลูกค้าเดิม ไม่เกิน 30% ของวงเงินสินเชื่อรวมที่มีอยู่กับธนาคาร แต่ไม่เกิน 150 ล้านบาท และลูกค้าใหม่ที่ยังไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินใด ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท (รวมทุกสถาบันการเงิน) ซึ่งไอแบงก์ได้เตรียมวงเงินโครงการไว้ 1,000 ล้านบาท
โดยไอแบงก์ได้คิดอัตรากำไรต่ำพิเศษ 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก จากนั้นปีที่ 3 - 5 คิดอัตรากำไรแบบคงที่แต่ไม่เกิน 7 % ต่อปี พร้อมยกเว้นกำไรใน 6 เดือนแรก ฟรีค่าธรรมเนียม Front - end Fee ค่านิติกรรมสัญญา และยกเว้นค่าธรรมเนียมชำระคืนเสร็จสิ้นก่อนครบกำหนดอายุสัญญา (Prepayment Fee) นอกจากนี้สินเชื่อภายใต้โครงการนี้ยังสามารถยื่นขอการค้ำประกันจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีส่วนลดภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเหลือเฉลี่ยไม่เกิน 1.75% ต่อปี อีกด้วย
ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ของไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าวงเงินโครงการจะเต็ม หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ibank Call Center 1302
*หมายเหตุ:
1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม"
2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41292 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔
ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting
วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ ผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมี นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คณะอนุกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41304 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ร่วมแรง ร่วมใจ สู้ต่อไปการ์ดอย่าตก" | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
"ร่วมแรง ร่วมใจ สู้ต่อไปการ์ดอย่าตก"
#โควิด19
#สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41262 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม ชี้แจงข่าวกรณีการเปิดรับการเดินทางของชาวอินเดียโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กระทรวงคมนาคม ชี้แจงข่าวกรณีการเปิดรับการเดินทางของชาวอินเดียโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ
จากสถานการณ์โรคโควิดระบาดในประเทศอินเดีย กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีที่ประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับการเปิดรับการเดินทางของชาวอินเดียโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ เดินทางออกนอกประเทศจากสถานการณ์โรคโควิดระบาด โดยใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำมาที่ประเทศไทยนั้น
กระทรวงฯ ขอชี้แจงกรณีดังกล่าว ดังนี้
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำทำการบินเข้าประเทศไทย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีการอนุญาตเครื่องบินเช่าเหมาลำเศรษฐีชาวอินเดียเข้าประเทศไทย โดยมีข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวดังนี้
1. ยืนยันว่าไม่มีเครื่องบินเช่าเหมาลำโดยเศรษฐีชาวอินเดีย ขออนุญาตทำการบินมาที่ กพท. เพื่อเข้ามายังประเทศไทยตามที่ประชาชนเป็นกังวล ส่วนการเดินทางโดยเครื่องบินปกติจากสายการบินของประเทศอินเดียที่ขออนุญาตเข้ามายังประเทศไทย ปัจจุบันมีเที่ยวบินลักษณะนี้สัปดาห์ละหนึ่งเที่ยวบิน ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้ามาได้ต้องเป็นไปตามเกณฑ์เฉพาะบุคคลตามข้อยกเว้นเท่านั้น รวมถึงต้องปฏิบัติตามมาตรการการกักตัวอย่างเคร่งครัด
2. ส่วนที่ปรากฏภาพผลการติดเชื้อของชาวอินเดียที่เข้ามายังประเทศไทย เป็นการตรวจพบจากการกักตัวตามมาตรการการคัดกรองก่อนให้เข้าประเทศตามปกติ ซึ่งผู้โดยสารในรายชื่อได้เดินทางเข้ามาในวันที่ 17 เมษายน 2564 และได้ตรวจพบเชื้อในวันที่ 21 เมษายน 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงการกักกันตามมาตรการ
3. เครื่องบินจากอินเดียที่เข้ามาในประเทศไทยนั้น เป็นเที่ยวบินปกติที่บินอาทิตย์ละหนึ่งเที่ยว สำหรับให้ผู้เดินทางตามความจำเป็นและเพื่อรับคนไทยกลับบ้าน (Repatriation flight) โดยในเดือนพฤษภาคม 2564 มีคนไทยได้ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าแล้ว ตามกำหนดการ คือ วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 จำนวน 1 คน วันที่ 8 พฤษภาคม 2564 จำนวน 70 คน วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 จำนวน 60 คน และวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ยังไม่มีผู้ลงทะเบียนกลับไทย และกระทรวงการต่างประเทศได้ชะลอชาวต่างชาติจากอินเดียที่จะขอเข้าไทยไว้แล้วทั้งหมด และผู้ที่เข้าประเทศไทยทั้งหมดจะต้องเข้าสู่มาตรการคัดกรอง คือ การยื่นเอกสารการตรวจก่อนทำการบิน และเข้ารับการกักตัวตามมาตรการของรัฐในสถานที่ที่รัฐกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการระบาดเพิ่มเติมจากผู้ที่เดินทางกลับไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
4. จากข่าวที่ปรากฏกรณีที่กองทัพอากาศได้มีการจัดเครื่องบินไปรับคณะของผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศอินเดียกลับไทยในช่วงเวลานี้ ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยต้องดำเนินการตามมาตรการเช่นกัน
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ยืนยันว่าไม่มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากอินเดียเข้ามายังประเทศไทย พร้อมดำเนินมาตรการเข้มงวดดูแลการเดินทาง เข้า - ออกประเทศตามนโยบาย ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โดยเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2564 นาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า ต่อกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีเครื่องบินเช่าเหมาลำจากประเทศอินเดียซึ่งขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง เข้ามายังประเทศไทยนั้น ทสภ. ได้ตรวจสอบแล้ว ขอยืนยันว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีเครื่องเช่าเหมาลำเดินทางจากประเทศอินเดียมายังประเทศไทย ผ่าน ทสภ. แต่อย่างใด ทั้งนี้ ศบค. และ กพท. ได้ชี้แจงแล้วว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ทสภ. ขอยืนยันว่าภารกิจการรับเที่ยวบินจากประเทศอินเดียในเวลานี้ มีเพียงส่วนการรับคนไทยกลับบ้าน (Repatriation flight) ตามภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งคนไทยจะเข้ามาได้จะต้องลงทะเบียนล่วงหน้า ทสภ. ได้ให้การสนับสนุนมาตรการคัดกรองผู้โดยสารของกระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC ) อย่างเข้มงวด สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ขนผู้โดยสารต่างชาติเข้าประเทศไทยในขณะนี้ยังเป็นไปตามเงื่อนไขที่ กพท. กำหนด ผู้โดยสารทุกคนต้องผ่านมาตรการคัดกรองที่ ทสภ. อย่างเคร่งครัด โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อผู้โดยสารทั้งคนไทยและคนต่างชาติเดินทางมาถึง สำหรับขั้นตอนดำเนินการ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ทสภ. จะดำเนินการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน โดยจัดให้ผู้โดยสารนั่งพักคอย เพื่อตรวจความครบถ้วนของเอกสารและตรวจคัดกรองโรค หลังจากที่ด่านควบคุมโรคฯ คัดกรองเรียบร้อยแล้ว กรณีถ้าผู้โดยสารไม่มีไข้จะไปผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋า และออกทางช่องทางพิเศษ เพื่อขึ้นรถ ที่จัดเตรียมไว้เฉพาะ โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) คอยกำกับดูแลนำผู้โดยสารไปส่งยังสถานกักตัวตามที่รัฐกำหนด ตามระยะเวลาการกักตัว 7 - 14 วันแล้วแต่เงื่อนไข ส่วนผู้โดยสารที่มีไข้ด่านควบคุมโรคฯ จะดำเนินการนำส่งโรงพยาบาลและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบการคัดกรองของภาครัฐที่ ทสภ. ว่ามีการดำเนินการอย่างเคร่งครัด รัดกุม
ทสภ. ได้ให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสาธารณสุข โดยเน้นย้ำในการดูแลรักษาความสะอาดในทุกพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน รวมถึงบริเวณพื้นที่จุดสัมผัสต่าง ๆ เช่น ห้องน้ำ ลิฟต์ ทางเดินเลื่อน แบบ Deep Cleaning อย่างต่อเนื่องทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และได้ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทุกคนต้องถือปฏิบัติยึดหลักวิถีบินใหม่ D – M – H – T – T ประกอบด้วย D (DISTANCING) เว้นระยะห่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น M (MASK - WEARING) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา H (HAND WASHING) หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ T (TEMPERATURE CHECK) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และ T (THAICHANA) สแกนแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ขอให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ เชื่อมั่นและมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยและสาธารณสุขของ ทสภ. ที่ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างละเอียดและต่อเนื่อง โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ AOT Contact Center 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41275 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางของ ด่านฯ ปากน้ำ 3 (ทางออก) | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางของ ด่านฯ ปากน้ำ 3 (ทางออก)
...
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประโยชน์การโยธา ให้ดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทางฯ ของด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ปากน้ำ 3 (ทางออกสมุทรปราการ) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 28 เมษายน 2564 - วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ช่วงเวลา 22.00 น. - 04.00น. โดยผู้ใช้ทางพิเศษสามารถหลีกเลี่ยงไปใช้ทางลงสำโรงได้
ทั้งนี้ กทพ. ได้ติดตั้งป้ายเตือนก่อนถึงพื้นที่ดำเนินการป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจรและติดตั้งไฟสัญญาณวับวาบเพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางพิเศษทราบล่วงหน้า
กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้และขอความร่วมมือผู้ที่ใช้เส้นทางบริเวณดังกล่าวโปรดสังเกตป้ายเตือน สัญญาณจราจรต่างๆ และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณวีรภัทรา ม่วงศิริธรรม (ผู้ควบคุมงาน) โทร.061-385-2292
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำใส่หน้ากากป้องกันโควิด ช่วยลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ เร่งจัดหาวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
สธ.ย้ำใส่หน้ากากป้องกันโควิด ช่วยลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ เร่งจัดหาวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส
กระทรวงสาธารณสุขเผยภาพรวมผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เริ่มชะลอตัว แต่ตัวเลขถือว่ายังสูงและเริ่มมีผู้ป่วยอาการรุนแรงมากขึ้น ขอประชาชนร่วมมือป้องกันตนเอง 100% เข้มใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง พร้อมเร่งจัดหาวัคซีนร่วมกับเอกชนอีก 37 ล้านโดส ให้ครบ 100 ล้าน
กระทรวงสาธารณสุขเผยภาพรวมผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เริ่มชะลอตัว แต่ตัวเลขถือว่ายังสูงและเริ่มมีผู้ป่วยอาการรุนแรงมากขึ้น ขอประชาชนร่วมมือป้องกันตนเอง100% เข้มใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง พร้อมเร่งจัดหาวัคซีนร่วมกับเอกชนอีก37 ล้านโดส ให้ครบ 100 ล้านโดสครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรหรือ 50 ล้านคน
วันนี้ (28 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,012 ราย เสียชีวิต 15 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 27,119 ราย มีอาการปอดอักเสบ695 ราย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 199 ราย โดยกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้สูงสุด 830 รายจำนวนรายงานมีแนวโน้มชะลอลดลงในช่วง 4 วันที่ผ่านมา แต่ถือว่าจำนวนการติดเชื้อรายวันยังคงสูง และยังพบผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจำนวนมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยที่รับการรักษาก่อนหน้าจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมีโรคประจำตัวและเป็นผู้สูงอายุจะปรากฎความรุนแรงของโรคทำให้มีจำนวนการเสียชีวิตสูงขึ้น
“ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อในระลอกเมษายน เริ่มต้นมาจากสถานบันเทิง และมีการติดเชื้อจากการสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้ามากที่สุด นอกจากนี้ ยังพบการติดเชื้อจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ตลาด สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร งานแสดงสินค้า คอนเสิร์ต ประชุม อบรม สัมมนา ดังนั้นพวกเราต้องช่วยกันไม่ให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ด้วยการป้องกันตนเอง 100% เข้มงวดการสวมหน้ากาก เพราะเราไม่ทราบว่าใครติดเชื้อบ้าง โดยเฉพาะผู้ไม่มีอาการ ทุกคนจึงต้องป้องกันตนเองไว้ก่อน รวมถึงเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และล้างมือบ่อยๆ” นายแพทย์ทวีทรัพย์กล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด19 ขณะนี้ฉีดสะสมแล้ว 1,279,713 โดส แบ่งเป็นรับวัคซีนเข็มแรก 1,038,960 ราย และครบ 2 เข็ม 240,753 ราย ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 70 ของประชากร หรือ 50 ล้านคน ซึ่งขณะนี้จัดหาแล้ว 63 ล้านโดส จึงได้มีความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมกันจัดหาเพิ่มอีก 37 ล้านโดส ภายในช่วงตุลาคม 2564 แบ่งเป็น ภาครัฐจัดหา 30 ล้านโดส จากผู้ผลิตวัคซีนที่มีเทคโนโลยีแตกต่างกัน เช่น ไฟเซอร์ 5-10 ล้านโดส Sputnik V 5-10 ล้านโดสจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน5-10 ล้านโดส และซิโนแวค 5-10 ล้านโดส เป็นต้น ส่วนภาคเอกชนจัดหาอีก 7 ล้านโดสเพื่อเป็นทางเลือกและช่วยจัดหาให้แก่บุคลากรของตนเอง โดยเป็นทางเลือกจาก โมเดอร์นนา ซิโนฟาร์ม หรือวัคซีนอื่นที่จะขึ้นทะเบียนในอนาคต
**************************** 28 เมษายน 2564
***********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41307 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 145 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ขสมก. ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 145 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 145 เพศหญิง ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลสมุทรปราการ ได้นำรถพยาบาลมารับพนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 145 เพศหญิง อายุ 52 ปี (ปัจจุบันองค์การให้พนักงานดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานธุรการ ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) เพราะว่าพนักงานเป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย) พร้อมบุคคลในครอบครัว จำนวน 6 คน ไปกักตัว ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลฯ ได้แจ้งให้ทราบว่าหลานสาว (1 ใน 6 ของบุคคลในครอบครัว) เป็นผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อมาเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลแจ้งให้ทราบว่าพนักงานและทุกคนในครอบครัวเป็นผู้ติดเชื้อฯ
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 3 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID -19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี
- วันที่ 12 เมษายน 2564 เวลา 06.00 น. พนักงานพร้อมครอบครัว เดินทางไปพักผ่อนที่หาดบางแสน จังหวัดชลบุรี และเดินทางกลับที่พักอาศัย ในเวลา 17.00 น.
- วันที่ 13 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. พนักงานพร้อมครอบครัว เดินทางไปพักผ่อนที่ฟาร์มจระเข้ จังหวัดสมุทรปราการ และเดินทางกลับที่พักอาศัย ในเวลา 15.00 น.
- วันที่ 14 เมษายน 2564 พักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน
- วันที่ 15 เมษายน 2564 พักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน โดยหลานสาวเริ่มมีอาการไอ
- วันที่ 16 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 17 เมษายน 2564 พนักงานลาหยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน โดยหลานสาวเริ่มมีไข้
- วันที่ 18 เมษายน 2564 เวลา 06.00 - 12.00 น. พนักงานทำงานด้านเอกสารในห้องทำงาน ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 3 เขตการเดินรถที่ 3 หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 19 เมษายน 2564 เวลา 06.00 - 12.00 น. พนักงานทำงานด้านเอกสารในห้องทำงาน ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 3 เขตการเดินรถที่ 3 หลังเลิกงานได้เดินทางไปฟอกไตที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ
- วันที่ 20 เมษายน 2564 เวลา 06.00 - 12.00 น. พนักงานทำงานด้านเอกสารในห้องทำงาน ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 3 เขตการเดินรถที่ 3 หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 21 เมษายน 2564 เวลา 06.00 - 12.00 น. พนักงานทำงานด้านเอกสารในห้องทำงาน ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 3 เขตการเดินรถที่ 3 หลังเลิกงานได้เดินทางไปฟอกไตที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ
- วันที่ 22 เมษายน 2564 เวลา 06.00 – 12.00 น. พนักงานทำงานด้านเอกสารในห้องทำงาน ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) กลุ่มงานปฏิบัติการเดินรถ 3 เขตการเดินรถที่ 3 หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 23 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 24 เมษายน 2564 พนักงานพาหลานสาวไปตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อพนักงานเดินทางกลับมาถึงที่พักอาศัยเริ่มมีอาการไข้
- วันที่ 25 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ แจ้งให้ทราบว่าหลานสาว
ของพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานและทุกคนในครอบครัวกักตัวอยู่ที่บ้านเพื่อรอรถพยาบาลรับไปรักษา
- วันที่ 26 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมุทรปราการนำรถพยาบาลมารับพนักงานและทุกคนในครอบครัวไปกักตัว พร้อมตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ที่โรงพยาบาล
- วันที่ 27 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมุทรปาการ แจ้งให้ทราบว่าพนักงานและทุกคนในครอบครัวเป็นผู้ติดเชื้อฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
3. ผู้ติดเชื้อปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานธุรการ ณ อู่แพรกษา (บ่อดิน) จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในห้องทำงาน และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ
4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับพนักงานผู้ติดเชื้อหยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า รณรงค์เป็นเขตปลอดโฟมบรรจุอาหารและบุหรี่ภายในหน่วยงาน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประชาชน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า รณรงค์เป็นเขตปลอดโฟมบรรจุอาหารและบุหรี่ภายในหน่วยงาน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประชาชน
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม ร่วมรณรงค์ลด ละ เลิกการใช้โฟมบรรจุอาหารภายในหน่วยงาน โดยดำเนินการภายใต้นโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการลดขยะประเภทพลาสติกและโฟม ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ ที่ย่อยสลายยาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคเลิกใช้โฟม จึงเริ่มต้นจากบุคลากรภายในหน่วยงาน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ได้ออกประกาศ จท. ที่ 70/2564 เรื่อง ยกเลิกการใช้โฟมบรรจุอาหารภายในพื้นที่ จท. ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายการเลิกใช้พลาสติกบางประเภทให้ได้ร้อยละ 100 ในปี 2564 ซึ่งหนึ่งในประเภทพลาสติกดังกล่าว คือ โฟมบรรจุอาหาร ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ภายใน จท. เป็นเขตพื้นที่ปลอดโฟมบรรจุอาหาร จึงออกมาตรการ ดังนี้
1. จท. เป็นเขตปลอดโฟมบรรจุอาหาร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยห้ามเจ้าหน้าที่ จท. ผู้ประกอบการ ร้านค้า ร้านอาหาร และผู้มาติดต่อราชการ นำโฟมบรรจุอาหารเข้ามาใช้ในเขตพื้นที่ จท. เด็ดขาด รวมทั้งห้ามหน่วยงานภายนอกที่เข้ามาจัดกิจกรรมในบริเวณพื้นที่ จท. ใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหาร
2. ห้ามเจ้าหน้าที่ จท. ใช้โฟมบรรจุอาหารในการจัดกิจกรรมภายใน จท. ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เช่น การประชุม อบรม สัมมนา การแข่งขันกีฬา เป็นต้น โดยให้ใช้ภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือใช้วัสดุ ภาชนะ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3. ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ จท. ลด ละ เลิก การใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหาร ปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงการใช้โฟมด้วยวิธีต่าง ๆ และร่วมใจไม่ซื้ออาหารประเภทที่ใช้โฟมเป็นภาชนะบรรจุอาหาร
นอกจากนี้ ได้รณรงค์ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จท. ลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ ทั้งนี้ เพื่อให้ จท. เป็นเขตปลอดโฟมบรรจุอาหารและบุหรี่ โดยเริ่มต้นจากภายในหน่วยงาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนที่เข้ามาติดต่อราชการ หรือเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวภายใน จท. ให้ความร่วมมืองดสูบบุหรี่ และไม่นำโฟมเข้ามาใช้ภายในหน่วยงาน ให้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณโฟมบรรจุอาหารให้ได้มากที่สุด และรักษาสิ่งแวดล้อมให้สมดุลยาวนานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41278 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ชี้แจงเพิ่มเติมประเด็นเที่ยวบินอินเดียเข้าไทย | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ชี้แจงเพิ่มเติมประเด็นเที่ยวบินอินเดียเข้าไทย
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ชี้แจงเพิ่มเติมประเด็นเที่ยวบินอินเดียเข้าไทยด้วยมาตรการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอที่จะต้องให้บุคคลที่เดินทางเข้าไทยจะต้องมีการกักตัว 14 วันโดยจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564
ตามที่มีการเผยแพร่เรื่อง ศบค. สั่งชะลอการอนุญาตบุคคลจาก 3 ประเทศเดินทางเข้าไทย ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ รวมทั้งเพิ่มมาตรการกักตัวเป็น 21 วัน
ที่ประชุมล่าสุดของ ศบค. ชุดเล็กวันนี้ (27 เมษายน 2564) ได้ให้ความเห็นชอบมาตรการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอที่จะต้องให้บุคคลที่เดินทางเข้าไทยจะต้องมีการกักตัว 14 วันโดยจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564
สำหรับการเดินทางเข้าประเทศจากประเทศอินเดียนั้นจะมีเพียงคนไทยในอินเดียที่ได้ผ่านขั้นตอนการขอเดินทางกลับประเทศตามที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ในช่วงเวลานี้ และจะต้องผ่านขั้นตอนการคัดกรองตามมาตรการของกระทรวงสาธาณสุข โดยในเดือนเมษายนนี้ไม่มีเที่ยวบินจากอินเดียเพิ่มเติมแล้ว เที่ยวบินจากอินเดียที่จะบินเข้าไทยจะบินเข้ามาในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ จึงจะต้องมีการกักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรการสาธารณสุขที่จะมีผลในวันดังกล่าว
ส่วนการเดินทางจากประเทศปากีสถาน บังกลาเทศ และประเทศอื่น ๆ ทั้งคนไทยและต่างชาติ ขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากสถานทูตไทย หรือ สถานกงสุลไทยประจำประเทศต้นทาง เพื่อให้ทราบถึงมาตรการที่เป็นปัจจุบันต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41264 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ครั้งที่ 3/2564 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ครั้งที่ 3/2564
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ครั้งที่ 3/2564
โดยมี เรือโท ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ เข้าร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ณ ห้องประชุมแตรทอง 3 ศูนย์สวัสดิการท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร กล่าวว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลประโยชน์ตอบแทนภาครัฐของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ค่าสัมปทานคงที่มูลค่าสุทธิที่ 29,050 ล้านบาท และให้คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ประชุมเพื่อพิจารณาซองที่ 4 (ผลประโยชน์ตอบแทนด้านการเงิน) และมีมติเห็นชอบให้กลุ่มกิจการร่วมค้า จีพีซี ผ่านการประเมินซองที่ 4 และได้เปิดเอกสารข้อเสนอซองที่ 5 (ข้อเสนอแนะในการเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการฯ) ต่อหน้าผู้แทนกลุ่มกิจการร่วมค้า จีพีซี พร้อมทั้งมีมติแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างสัญญาร่วมทุน โดยมีผู้แทนของคณะกรรมการคัดเลือกฯ จากสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยจะเสนอให้ สกพอ. ลงนามในคำสั่งต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41270 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับจอง จ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
เปิดรับจอง จ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
กรมธนารักษ์เปิดรับจอง จ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 และจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562
กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 และเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” แนวคิดในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยน้ำพระราชหฤทัย อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรักที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ
วันนี้ (28 เมษายน 2564) ณ กระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากรมธนารักษ์ได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 และเหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 ดังนี้
• เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 จัดทำขึ้น จำนวน 4 ชนิด ประกอบด้วย
- เหรียญทองคำ ชนิดราคา 20,000 บาท ประเภทขัดเงา จำหน่ายราคาเหรียญละ 40,000 บาท
- เหรียญเงิน ชนิดราคา 1,000 บาท ประเภทขัดเงา จำหน่ายราคาเหรียญละ 3,000 บาท
- เหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทขัดเงา จำหน่ายราคาเหรียญละ 200 บาท
- เหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา จ่ายแลกราคาเหรียญละ 20 บาท
โดยเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา เปิดจ่ายแลกตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกประเภทขัดเงาเปิดจองตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 31 พฤษภาคม 2564 และกำหนดรับเหรียญ ณ สถานที่สั่งจอง หรือทางไปรษณีย์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ นายยุทธนา อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมธนารักษ์ยังได้จัดทำ
• เหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 (เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ) ชนิดบุรุษและสตรี จำหน่ายราคาเหรียญละ 1,600 บาท โดยเปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
สำหรับผู้สนใจสามารถสั่งจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและซื้อเหรียญเฉลิมพระเกียรติฯได้ ณ สถานที่ดังนี้
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562
• กรมธนารักษ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทร.0 2278 5439
• กองบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร.0 2565 7944
• พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ โทร.0 2282 0820
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ทั่วประเทศ
• Online : www.treasury.go.th
เหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ บรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562
• กรมธนารักษ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทร.0 2278 5439
• พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ โทร.0 2282 0820
• พิพิธบางลำพู ถนนพระสุเมรุ กรุงเทพฯ โทร.0 2281 9812
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ทั่วประเทศ
• พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์จังหวัดเชียงใหม่ ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โทร.0 5322 4237 - 8
• พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์จังหวัดสงขลา ศาลากลางจังหวัด อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โทร.0 7430 7071
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.0 2059 4999 นายยุทธนากล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41280 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เข้มงวดผู้มาติดต่อราชการและผู้ใช้บริการขนส่งโดยสารสาธารณะทางน้ำให้สวมหน้ากากทุกคน 100% | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า เข้มงวดผู้มาติดต่อราชการและผู้ใช้บริการขนส่งโดยสารสาธารณะทางน้ำให้สวมหน้ากากทุกคน 100%
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม ตั้งจุดคัดกรองผู้มาติดต่อราชการ ผู้ใช้บริการขนส่งโดยสารสาธารณะทางน้ำ และผู้ที่ทำงานในเรือ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ยืนห่าง ล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จท. ในฐานะเป็นหน่วยงาน ที่กำกับ ดูแลการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ได้มีมาตรการเข้มงวดกวดขันเจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามประกาศ จท. และมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่ง จท. ได้ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในบริเวณอาคารสำนักงาน จท. ส่วนกลาง และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้มาติดต่อราชการ พร้อมทั้งออกประกาศ จท. ให้ผู้ประกอบการเรือโดยสาร เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือที่ให้บริการในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในเขตอำเภอเมืองในจังหวัด รวมทั้งส่วนภูมิภาค พิจารณาปรับลดการให้บริการในช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00 - 04.00 น. และให้ลดจำนวนเที่ยวการเดินเรือตามความจำเป็นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการให้บริการผู้โดยสารระหว่างจังหวัด สำหรับในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด ในส่วนของการเฝ้าระวังบริเวณท่าเรือต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ต้องดำเนินการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ควบคุมดูแลให้ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A โดยเว้นระยะห่างหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา (M-Mask wearing) พร้อมทั้งบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอและทั่วถึง ควบคุมดูแล ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือและผู้โดยสารต้องทำ ความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ (H-Hand washing) ติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (T-Temperature) และตรวจหาเชื้อ (T-Testing) และสแกนแอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะ (A-Application) ให้กับผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารก่อนลงเรือโดยสาร นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทั้ง 41 สาขา ที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของการบริการประชาชนทำงานที่บ้าน เพื่อลดการเดินทางและการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว รวมทั้งต้องให้ความร่วมมือบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัดอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำผู้ประกอบการเรือโดยสารสาธารณะทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา คลองแสนแสบ และผู้ประกอบการเดินเรือโดยสารในส่วนภูมิภาคให้ดำเนินการตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางทางน้ำ หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้บริการเรือโดยสารสาธารณะทางน้ำ ขอให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากพบเห็นความไม่ปลอดภัยทางน้ำสามารถโทรแจ้งได้ที่ สายด่วน จท. 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ร่วม ไมโครซอฟ เตรียมถกประเด็น สังคมและอนาคตของการทำงาน | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
รมช.แรงงาน ร่วม ไมโครซอฟ เตรียมถกประเด็น สังคมและอนาคตของการทำงาน
- -
วันที่ 28 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด มีกำหนดจัดงาน Microsoft APAC Public Sector Digital Summit-Empowering nations for a digital society ขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 โดยประชุมผ่านระบบ Microsoft Teams Live โดยอภิปรายในประเด็น “สังคมและอนาคตของการทำงาน” ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายจากหลายประเทศมาให้ข้อมูลและนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานในอนาคต และทิศทางการทำงานรองรับดิจิทัล ประกอบด้วย Mr.Midas Marquea, Head of the Office of the Court Administrator Supreme Court ประเทศฟิลิปปินส์ และMr. Roger Jone, Executive General Manager Technology Auckland Transport ประเทศนิวซีแลนด์ ดำเนินรายการโดย Mrs. Andrea Della Mattea, Corporate Vice President, Microsoft Asia Pacific ภาคพื้นเอเชียแปซิกฟิค
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า การอภิปรายในงานดังกล่าว จะมีการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของกระทรวงแรงงานให้สอดคล้องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) เพื่อช่วยให้ประชาชนที่เป็นแรงงานในระบบและนอกระบบได้รับความช่วยเหลือ เยียวยา และได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้งการ Up-skill Re-skill หรือ New-skill เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดในยุค New Normal โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัลซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในปัจจุบัน
“การรับฟังแนวทางการทำงานในอนาคตจากประเทศที่เข้าร่วมอภิปราย จะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาประยุกต์ใช้และเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการทำงานในปัจจุบันที่ต้องมีทักษะที่หลากหลาย และต้องมีทักษะด้านดิจิทัลเป็นพื้นฐาน” รมช.กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เผยข้อมูลปริมาณผู้โดยสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID - 19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางราง เผยข้อมูลปริมาณผู้โดยสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID - 19
ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRT) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (ARL) และรถไฟฟ้า BTS
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยข้อมูลปริมาณเฉลี่ยผู้โดยสารรายเดือนในระบบขนส่งทางราง ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRT) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (ARL) และรถไฟฟ้า BTS ในสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)
โดยเริ่มเข้ามาระบาดประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2563 ซึ่งส่งผลให้การใช้บริการระบบขนส่งทางรางมีปริมาณน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จากตัวเลขที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 1 ล้านคนต่อเดือน โดยเฉพาะในเดือนเมษายน 2563 ที่ตัวเลขผู้โดยสารลดลงเหลือเพียงเฉลี่ย 2 แสนกว่าคนต่อเดือน
ทั้งนี้ ขร. ยังได้กำชับให้หน่วยงานผู้ให้บริการระบบขนส่งทางรางปฏิบัติตามประกาศของ ขร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินระบบรางให้กับผู้โดยสารต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์กเป็นครั้งแรกของประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
กระทรวงการคลังประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์กเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
รมว.คลัง และ ผอ.สบน. ร่วมพิธีลั่นระฆังออนไลน์ ในโอกาสที่พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนที่ออกโดยกระทรวงการคลังได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 28 เมษายน 2564
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เข้าร่วมพิธีลั่นระฆังออนไลน์ (Virtual Bell Ringing Ceremony) ในโอกาสที่พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ที่ออกโดยกระทรวงการคลังได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 28 เมษายน 2564 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของลักเซมเบิร์ก นาย Pierre Gramegna ให้เกียรติร่วมงานและแสดง ความยินดีที่พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลไทยได้รับการจดทะเบียนใน LGX ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้ออกพันธบัตร และยังเป็นการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อการลงทุนอย่างยั่งยืนผ่านการเปิดเผยข้อมูลตราสารอย่างครอบคลุมและเป็นมาตรฐาน
โดย LGX เป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับตราสารเพื่อความอย่างยั่งยืน (Sustainable Securities) ชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนพันธบัตรสีเขียวที่มีการออกในโลกมากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นทะเบียนอยู่ โดยการจดทะเบียนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนใน LGX อยู่ในรูปแบบของ LuxSE Security Official List (LuxSE SOL) ซึ่งเป็นการนำเอาตราสารไปขึ้นทะเบียนไว้ในตลาดหลักทรัพย์โดยไม่มีการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนตราสาร โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติและการแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ เป็นจำนวน 100,000 ล้านบาท ในรุ่น ESGLB35DA เพื่อสนับสนุนโครงการขนส่งพลังงานสะอาดในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันออก และโครงการที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ การขอจดทะเบียนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนใน LGX ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และธนาคารผู้จัดจำหน่าย เพื่อช่วยผลักดันการระดมทุนเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลให้ออกไปสู่สากลและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนให้มากยิ่งขึ้น
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5806 หรือ 5817
https://fb.watch/59NudTEZMG/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41313 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เปิดรับการเสนอชื่อข้าราชการเข้ารับคัดเลือกตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง 10 ตำแหน่ง ถึง 30 เมษายน ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการคัดเลือก 15 พฤษภาคมนี้ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
วธ. เปิดรับการเสนอชื่อข้าราชการเข้ารับคัดเลือกตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง 10 ตำแหน่ง ถึง 30 เมษายน ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการคัดเลือก 15 พฤษภาคมนี้
วธ. เปิดรับการเสนอชื่อข้าราชการเข้ารับคัดเลือกตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง 10 ตำแหน่ง ถึง 30 เมษายน ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการคัดเลือก 15 พฤษภาคมนี้
วธ. เปิดรับการเสนอชื่อข้าราชการเข้ารับคัดเลือกตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง 10 ตำแหน่ง ถึง 30 เมษายน ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการคัดเลือก 15 พฤษภาคมนี้
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประกาศคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูงและประเภทอำนวยการ ระดับสูง จำนวน 10 ตำแหน่ง แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ 1.ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน 2.วัฒนธรรมจังหวัดยะลา 3.วัฒนธรรมจังหวัดนราธิวาส 4.วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี 5.วัฒนธรรมจังหวัดอ่างทอง และกรมศิลปากร ได้แก่ 1.ผู้อำนวยการกองโบราณคดี 2.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา 3.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น 4.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี 5.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา
ปลัดวธ. กล่าวต่อว่า ทางหน่วยงานนำส่งเอกสารประกอบการพิจารณาของผู้เข้ารับการคัดเลือกที่มีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งครบถ้วนมาตั้งแต่วันที่ 22-30 เมษายน 2564 ซึ่งจะมีการแจ้งรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือก ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 จากนั้นให้ผู้ได้รับการคัดเลือกจากคุณสมบัติเข้ารับการคัดเลือกในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 โดยเกณฑ์การประเมินบุคคลทั้งเรื่องความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ ประวัติการรับราชการและคุณลักษณะอื่นๆ ประกอบกันโดยผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง จะต้องได้คะแนนรวมจากการคัดเลือกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 จะถือว่าเป็นผู้ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ส่วนตำแหน่งวัฒนธรรมจังหวัด จะต้องมีคุณสมบัติ ผลงาน ประวัติรับราชการ กับหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยจะมีการเสนอเอกสารประกอบการเสนอชื่อ ข้อเสนอวิสัยทัศน์และข้อมูลแนวทางการดำเนินงาน 1 เรื่อง คือ ท่านมีแนวคิดในการพัฒนาการขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมอย่างไร โดยจะมีวิธีการสอบทั้งสอบข้อเขียนและการสัมภาษณ์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พนักงาน CAAT ตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
พนักงาน CAAT ตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้รับแจ้งจากพนักงานทำหน้าที่เป็นพนักงานรับข้อร้องเรียนทางคอมพิวเตอร์ ตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 1 ราย
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กระทรวงคมนาคม ได้รับแจ้งจากพนักงาน 1 ราย เมื่อเย็นวานนี้ โดยผู้ติดเชื้อทำหน้าที่เป็นพนักงานรับข้อร้องเรียนทางคอมพิวเตอร์ และมีการติดต่อกับพนักงานอื่นเพียง 17 ราย จึงสามารถจำกัดวงของผู้ที่มีความเสี่ยงได้ง่ายและฝ่ายบุคคลได้มีการประสานไปยังผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ให้ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขแล้ว ทั้งนี้ CAAT ได้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดสำหรับสถานการณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ดังนี้
1. ทันทีที่ทราบข่าวพนักงานผู้ติดเชื้อได้ประสานมายังศูนย์เฉพาะกิจที่รับผิดชอบกรณีพนักงานติดเชื้อของ CAAT และได้ให้ข้อมูลรายชื่อกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงกับตนเองเท่าที่จำได้ทั้งหมด พร้อมทั้ง Timeline อย่างละเอียดย้อนหลัง 14 วัน
2. CAAT ได้ประสานงานให้คนที่ทราบว่ามีการสัมผัสใกล้ชิด และ พนักงานที่ทำงานในพื้นที่นั้น ในช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มผู้ติดเชื้อโดยจัดเป็นกลุ่มความเสี่ยงสูง CAAT ได้ประสานไม่ให้พนักงานกลุ่มนี้เข้ามาทำงานที่สำนักงาน พร้อมทั้งประสานไปยังสำนักงานเขตหลักสี่และหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึงส่ง Timeline ของผู้ติดเชื้อให้กับหน่วยงานดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบุคคลในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงนี้จะต้องปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่และจะต้องถูกบังคับตรวจหาเชื้อ COVID-19 จนกว่าจะได้ผลที่แน่ชัด
3. จากข้อ 2 บุคคลที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงาน CAAT ที่ปฏิบัติงานในชั้นอื่น ๆ จะถือว่าเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำ ได้สั่งการให้เฝ้าระวังอาการตนเอง 14 วัน และปฏิบัติตามมาตรการสลับกันเข้าปฏิบัติหน้าที่ ซึ่ง CAAT มีมาตรการให้ต้องสลับกันปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) มาตั้งแต่เริ่มสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่
4. สำนักงานจะหยุดดำเนินการในวันที่ 29 และ 30 เมษายน 2564 เพื่อพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่สำนักงานทุกชั้นรวมถึงทำความสะอาดตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ และให้พนักงานปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) ในช่วงเวลาดังกล่าว หากผู้มาติดต่อมีความประสงค์จะปรึกษากับพนักงานสามารถดำเนินการติดต่อผ่านทางระบบประชุมทางไกลได้
5. เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรค จะดำเนินการสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อคนดังกล่าวอย่างละเอียด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี Timeline อย่างเป็นทางการ หากมีความคืบหน้า Timeline อย่างเป็นทางการและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ CAAT จะแจ้งให้ทราบโดยเร็วต่อไป
ขอให้พนักงานและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านติดตามข่าวสารจาก CAAT หากมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อที่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41302 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งกระจาย "ฟาวิพิราเวียร์" 2 ล้านเม็ด | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
เร่งกระจาย "ฟาวิพิราเวียร์" 2 ล้านเม็ด
...
ขณะนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ กว่า 2 ล้านเม็ด สำหรับใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข กำลังดำเนินการจัดส่งให้สถานพยาบาลเครือข่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ ภายในวันนี้ (26 เม.ย. 64)
.
ในช่วงเดือนพ.ค. นี้ จะได้รับเพิ่มอีก 1 ล้านเม็ด รวมเป็น 3 ล้านเม็ด เป็นไปตามแผนการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ และจะจัดหาเพิ่มอีก 2 - 3 ล้านเม็ดโดยเร็ว
.
ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ประเทศไทยจะมียาเพียงพอสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
--------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41267 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอรัฐบาลทำการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้าในภาคคมนาคมขนส่งทุกระบบ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอรัฐบาลทำการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้าในภาคคมนาคมขนส่งทุกระบบ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยในสวัสดิภาพและสุขภาพของประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท เตรียมจัดหาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ผู้บริการภาคคมนาคมขนส่ง
พร้อมมอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการสำรวจและรวบรวมจำนวนผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะทุกระบบสำหรับใช้เป็นข้อมูลประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือในการจัดหาวัคซีน โดยเน้นให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้งบประมาณในส่วนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลร่วมไปด้วย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทวีคูณและกระจายไปทุกจังหวัดอย่างรวดเร็ว กระทรวงคมนาคม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการให้บริการขนส่งผู้โดยสารสาธารณะทุกประเภท การปฏิบัติงานของบุคลากรของหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้าที่ในงานแนวหน้า (Front Line) มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัส COVID-19 และอาจเป็นเหตุของการแพร่กระจายเชื้อ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงมอบให้หน่วยงานในสังกัดพิจารณาสำรวจจัดทำข้อมูลจำนวนบุคลากรในกลุ่มเสี่ยงสูงที่จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนเป็นลำดับแรกดังนี้
1. กลุ่มบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในงานแนวหน้าและสัมผัสกับประชาชนผู้รับบริการโดยตรง เช่น บุคลากรที่ปฏิบัติงานที่ทำอากาศยาน ทำเรือโดยสาร สถานีขนส่งผู้โดยสาร สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า รถโดยสารสาธารณะ ด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง เป็นต้น
2. บุคลากรภาคเอกชนที่ปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับหน่วยงาน เช่น พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ พนักงานเก็บค่าโดยสาร พนักงานเก็บค่าผ่านทาง พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่บนสายการบิน พนักงานอำนวยความสะดวกและบริการประชาชนประจำท่าอากาศยาน สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ และท่าเรือ เป็นต้น
ทั้งนี้ ได้มอบให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำการรวบรวมและพิจารณาผู้ให้บริการในระบบขนส่งสาธารณะทุกระบบ ทั้งในส่วนของผู้บริการภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชนทั้งหมดเป็นการเร่งด่วน เพื่อเสนอรัฐบาลพิจารณาจัดสรรการฉีดวัคซีนให้ผู้ให้บริการทุกคน เป็นลำดับถัดไป หลังจากฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากรอื่นที่สัมผัสใกล้ชิดกับประชาชน โดยกระทรวงฯ จะเร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41276 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” พอใจผลงานขายทุเรียนแบรนด์ไทยไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จ | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
“เฉลิมชัย” พอใจผลงานขายทุเรียนแบรนด์ไทยไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จ
“เฉลิมชัย” พอใจผลงานขายทุเรียนแบรนด์ไทยไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จ ย้ำนโยบายคุณภาพสำคัญสุด “อลงกรณ์” เผยสื่อจีนเด้งรับแพร่ข่าวกระหึ่มแดนมังกร มอบฑูตเกษตรขยายผลบุกทุกมณฑลจีนโรยัลฟาร์มกรุ๊ปมั่นใจตั้งเป้าใหม่ 1 ชม.ขาย 20 ตัน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (28 เม.ย.) ว่า เครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบินเซินเจิ้นแอร์ไลน์ที่นำทุเรียนเกรดพรีเมี่ยม 20 ตันจากสหกรณ์เมืองขลุง จังหวัดจันทบุรีเดินทางถึงที่สนามบินเซินเจิ้นแล้วเมื่อเช้ามืดวันนี้ โดยผู้ประกอบการจีนได้จัดส่งแบบ Delivery ถึงลูกค้าซึ่งสั่งซื้อล่วงหน้าทันที
ทั้งนี้ เป็นการส่งออกทุเรียนด้วยการจำหน่ายออนไลน์ระบบสั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order) ครั้งแรก โดยลูกค้าจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์มาก่อนโดยเปิดสั่งจองออนไลน์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เต็มล็อตแรกจำนวน 20 ตัน และได้ประสานงานกับทูตเกษตรไทยทั้ง 8 สำนักงานในจีนให้ขยายผลรุกตลาดจีนทุกมณฑล
“ได้รายงานผลดำเนินการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้แล้ว ท่านพอใจผลงานขายทุเรียนแบรนด์ไทยไปจีนด้วยแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าล็อตแรกสำเร็จและสั่งการให้เน้นเรื่องคุณภาพเป็นนโยบายสำคัญที่สุด” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ เปิดเผยด้วยว่า ทางสำนักงานทูตเกษตรไทยในจีนรายงานว่า สื่อมวลชนในจีนได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครมซึ่งเป็นการช่วยเผยแพร่ทุเรียนแบรนด์ไทยสู่ตลาด 1,400 ล้านคนแบบชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ได้ประสานกับบริษัท โรยัลฟาร์มกรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ใช้แพลตฟอร์มระบบสั่งซื้อล่วงหน้าเก็บข้อมูลความพึงพอใจของลูกค้าในจีนและพฤติกรรมการบริโภคทุเรียน เช่น นิยมทุเรียนพันธุ์อะไร ขนาดผลเล็กหรือใหญ่ ชอบรสชาติอย่างไร แต่ละมณฑลนิยมทานหวานมากหรือหวานน้อย เป็นต้น จากข้อมูลการสั่งซื้อเบื้องต้น พบว่า ลูกค้าในเมืองซึ่งเป็นครอบครัวขนาดเล็กจะสั่งทุเรียนผลเล็กทานเสร็จไม่ต้องเก็บรักษา ส่วนลูกค้าชานเมืองซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่นิยมสั่งผลใหญ่รับประทานได้หลายคนโดยจะนำข้อมูลมาเก็บในบิ๊กดาต้าทำการวิเคราะห์เพื่อนำไปพัฒนาการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ตามนโยบายตลาดนำการผลิตของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“จากการพูดคุยกับผู้บริหารบริษัท โรยัลฟาร์มกรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่เปิดขายระบบสั่งซื้อล่วงหน้าแสดงความมั่นใจว่าในการเปิดจองระบบสั่งซื้อล่วงหน้าในจีนล็อตแรก 20 ตันเกือบ 1 หมื่นลูกจบในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และด้วยคุณภาพที่สหกรณ์เมืองขลุงจันทบุรีคัดสรรมาอย่างดี รวมทั้งสื่อจีนขานรับช่วยเผยแพร่ข่าวอย่างกว้างขวาง จึงตั้งเป้าว่าล็อตต่อๆ ไปจะใช้เวลาขาย 20 ตันในเวลา 1 ชั่วโมง” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41306 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเร่งเจรจาสิทธิบัตร “ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อผลิตในประเทศเพิ่มความมั่นคงเวชภัณฑ์ยา พร้อมพิจารณาเปิดช่องทางประชาชนร่วมแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
ไทยเร่งเจรจาสิทธิบัตร “ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อผลิตในประเทศเพิ่มความมั่นคงเวชภัณฑ์ยา พร้อมพิจารณาเปิดช่องทางประชาชนร่วมแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
ไทยเร่งเจรจาสิทธิบัตร “ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อผลิตในประเทศเพิ่มความมั่นคงเวชภัณฑ์ยา พร้อมพิจารณาเปิดช่องทางประชาชนร่วมแก้ไขสถานการณ์โควิด-19
วันที่ 28 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามความคืบหน้าการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อย่างใกล้ชิดรับฟังประเด็นที่ยังเป็นปัญหาและมีข้อสั่งการให้แก้ไขให้เร็วที่สุด พร้อมกับย้ำกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการดูแลจัดหายา และเวชภัณฑ์อื่นๆ ให้เพียงพอ
ทั้งนี้ ในส่วนของยารักษาโรคโควิด-19 นั้น ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทราบว่า หลังจากได้สั่งยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 จากญี่ปุ่นเข้ามาให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศขณะนี้ได้กระจายไปยังหน่วยบริการต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนทั่วประเทศแล้ว และขณะนี้ได้อยู่ระหว่างให้องค์การเภสัชกรรมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเจรจาเกี่ยวกับสิทธิบัตร เพื่อให้ได้สิทธิผลิตยาชนิดนี้ในประเทศไทยได้เอง ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นก็ยังสามารถนำเข้ายาชนิดนี้ได้รัฐไม่ได้มีการผูกขาดนำเข้าแต่อย่างใด
“รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข แจ้งกับ ครม.ว่าองค์การเภสัชกรรมกำลังดำเนินการตามขั้นตอนการเพื่อให้ได้สิทธิยาฟาวิพิราเวียร์เข้ามาผลิตในประเทศเนื่องจากยามีสิทธิบัตรในต่างประเทศต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เมื่อได้แล้วจะมีส่วนให้ประเทศไทยมีความมั่นคงในส่วนของเวชภัณฑ์ยามากขึ้น”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 นายกรัฐมนตรีย้ำว่าจะต้องดำเนินการจัดหาวัคซีนที่ได้มาตรฐานโดยไม่ได้จำกัดผู้ผลิตว่าต้องเป็นรายใดให้ได้จำนวนมากที่สุด และให้กระจายวัคซีนให้ทั่วถึงประชาชนตามแผนที่วางไว้ กระจายไปให้ทุกจังหวัดทั้งรัฐและเอกชน และให้โรงพยาบาลเอกชนช่วยกระจายวัคซีน ดูแลระบบการให้วัคซีนให้มีปรระสิทธิภาพไม่ให้เกิดปัญหาระบบล่ม นอกจากจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เห็นว่าขณะนี้มีประชาชนหลายภาคส่วนต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระของบุคลากรสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงได้ให้มีการพิจารณาว่า จะสามารถเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในช่วยเหลือ เร่งแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆของภาครัฐ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ ให้เอาจริงเอาจังกับการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค
....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41290 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งปิดเบี่ยงจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพระราม3 (ขาเข้า) | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งปิดเบี่ยงจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพระราม3 (ขาเข้า)
---------------------------------------------------------
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้างบริษัท ช.การช่าง จํากัด (มหาชน) ผู้ดําเนินการก่อสร้าง โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก สัญญาที่ 4 จะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพระราม 3 (ขาเข้า) เพื่อทำการยกติดตั้งคานรูปตัวไอ ในวันที่ 28-29 เมษายน 2564 ตั้งแต่เวลา 22.00 น. – 04.00 น.
ทั้งนี้ กทพ. ได้มีการติดตั้งป้ายเตือนก่อนถึงพื้นที่ดําเนินการและติดตั้งไฟสัญญาณต่าง ๆ ป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจรพร้อมไฟวับวาบ เพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางพิเศษทราบ
กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอความร่วมมือผู้ที่ใช้เส้นทางบริเวณดังกล่าวโปรดสังเกตป้ายเตือน สัญญาณจราจรต่าง ๆ และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการทางพิเศษ หากมีข้อเสนอแนะสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โทร. 02-405-4896 ตั้งแต่ 08.00-19.00 น. และ 062-912-6211 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ขานรับ ศบค. ดำเนินตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนประชาชนใช้ M-Pass ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมทางหลวง ขานรับ ศบค. ดำเนินตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนประชาชนใช้ M-Pass ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด
อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกรมทางหลวง (ทล.) ทั่วประเทศดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกรมทางหลวง (ทล.) ทั่วประเทศดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พร้อมเชิญชวนประชาชนใช้บัตรผ่านทางด้วยระบบอัตโนมัติ M-Pass เพื่อลดการสัมผัส โดยมอบสิทธิพิเศษสำหรับประชาชนผู้ใช้ M-PASS เติมเงินบัตร M-PASS จำนวน 500 บาท จะได้รับเงินคืนเข้า Tag M-PASS จำนวน 50 บาท
สำหรับมาตรการบริเวณตู้เก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง ทล. ขอเชิญชวนประชาชนที่ใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) ใช้บัตรผ่านทางด้วยระบบอัตโนมัติ M-Pass โดย ทล. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย มอบสิทธิพิเศษสำหรับประชาชนผู้ใช้ M-PASS เติมเงินบัตร M-PASS จำนวน 500 บาท รับเงินคืนเข้า Tag M-PASS จำนวน 50 บาท จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เพื่อลดการสัมผัส ป้องกันการแพร่ระบาด พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยและสวมถุงมือยางตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่ตู้เก็บเงินทุกตู้ ทำความสะอาดบัตรผ่านทางด้วยน้ำยารักษาความสะอาดทุกครั้ง ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในตู้เก็บเงิน และดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงฯ ให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานแนวหน้าได้รับการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ ทล. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเข้มงวด โดยจัดทำ QR Code แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อเก็บข้อมูลบุคคลเข้า - ออก ใน ทล. และมีการตรวจวัดอุณหภูมิเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าปฏิบัติงาน รวมทั้งผู้ที่มาติดต่อราชการ และดำเนินตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ประมาณ 2 เมตร สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ได้มีการทำความสะอาดอาคารสำนักงานด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ พร้อมทั้งรายงานผู้เฝ้าระวังเป็นประจำทุกวัน จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย
ประชาชนผู้ที่ต้องการสมัครบัตร M-Pass สามารถสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน M-Pass ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา และด่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1586 กด 9
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41287 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. เผยดัชนีอุตฯ มี.ค. 64 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.12 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 29 เดือน การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
อก. เผยดัชนีอุตฯ มี.ค. 64 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.12 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 29 เดือน การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
กระทรวงอุตสาหกรรม เผยการผลิตในอุตสาหกรรมหลักปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มี.ค. 64 มีระดับอยู่ที่ 107.73 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.12 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 29 เดือน
กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เผยการผลิตในอุตสาหกรรมหลักปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนมีนาคม2564มีระดับอยู่ที่107.73เพิ่มขึ้นร้อยละ4.12เมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อนเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ29เดือน(ต.ค. 61 – ก.พ. 64)หลังจากที่ภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาและการแพร่ระบาดโควิด-19โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน(ร้อยละ69.59)เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนโควิด-19ทั้งในและต่างประเทศทำให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้ผลิตและผู้บริโภคส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำและรายการพิเศษเดือนมีนาคม2564ขยายตัวร้อยละ25.77เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่4และเป็นการขยายตัวระดับ2หลักในรอบ31เดือนซึ่งจากการกลับมาขยายตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมนี้ทำให้ในไตรมาสที่1/2564ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ0.25
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)เผยว่าสถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)เดือนมีนาคม2564อยู่ที่ระดับ107.73เพิ่มขึ้นร้อยละ4.12เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนกลับมาเป็นบวกและเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ29เดือน(ต.ค. 61 – ก.พ. 64)โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ69.59สะท้อนให้เห็นแนวโน้มภาคการผลิตของประเทศเติบโตตามเศรษฐกิจของโลกที่ดีขึ้นรวมถึงรัฐบาลไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์และกลุ่มแพร่ระบาดไม่ได้อยู่ในกลุ่มแรงงานโรงงานดังนั้นภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่องประกอบกับรัฐบาลยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเช่นโครงการเราชนะเรารักกันคนละครึ่งเฟส3เป็นต้นและประเทศไทยเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้ประชาชนและมีแผนบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในสิ้นปี2564ทำให้ความเชื่อมั่นทั้งในภาคการผลิตและการบริโภคดีขึ้น
นายทองชัยชวลิตพิเชฐผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)กล่าวว่าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งให้MPIขยายตัวได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ7.53จากการผลิตที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ทุกประเภทตามความต้องการทั้งจากในประเทศและการส่งออกที่ขยายตัวในกลุ่มประเทศเอเชียโอเชียเนียและยุโรปและอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ19.19เนื่องจากเร่งผลิตเพื่อทำกำไรในช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ40-60และการปรับตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้น
นายทองชัยกล่าวต่อว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม(ไม่รวมทองคำและรายการพิเศษ)ขยายตัวร้อยละ25.77ขยายตัวระดับ2หลักครั้งแรกในรอบ31เดือนอีกทั้งมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปขยายตัวร้อยละ26.45สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่เหล็กเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้นโดยในภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตในเดือนถัดไปจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่มีดัชนีผลผลิตขยายตัวในเดือนมีนาคม2564เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่รถยนต์และเครื่องยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ7.53จากรถบรรทุกปิคอัพรถยนต์นั่งขนาดเล็กและเครื่องยนต์ดีเซลเนื่องจากความต้องการในประเทศที่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม2564มีการจัดงานมอเตอร์โชว์และการส่งออกที่ขยายตัวในกลุ่มประเทศเอเชียโอเชียเนียและยุโรป
เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ19.19จากเหล็กแผ่นรีดเย็นเหล็กเคลือบสังกะสีเหล็กลวดเหล็กรูปพรรณรีดร้อนและเหล็กเส้นกลมเป็นหลักโดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลงทำให้ราคาเหล็กโลกปรับตัวสูงขึ้นผู้ผลิตจึงมีการเร่งผลิตเพื่อทำกำไรในช่วงที่ยังมีภาวะขาดแคลนสินค้า
น้ำตาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ26.89เนื่องจากปีนี้โรงงานปิดหีบช้ากว่าปีก่อนและผลผลิตอ้อยสดมีคุณภาพสามารถหีบสกัดเป็นน้ำตาลได้สูงกว่าปีก่อน
เฟอร์นิเจอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ42.76จากเครื่องเรือนทำด้วยไม้เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
อาหารสัตว์สำเร็จรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ15.48จากการขยายตลาดของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและสุกรโดยเฉพาะคำสั่งซื้ออาหารแมวจากสหรัฐอเมริกาที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ผู้ผลิตยังได้ขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตตามวิถีใหม่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41309 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย มอบเงินสนับสนุนโครงการ “ท่าเรือสู้ COVID-19 ไปด้วยกัน” | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทย มอบเงินสนับสนุนโครงการ “ท่าเรือสู้ COVID-19 ไปด้วยกัน”
...
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดำเนินมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ โดยสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและชุมชนรอบท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง และได้ดำเนินโครงการ “ท่าเรือสู้ COVID-19 ไปด้วยกัน” โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ได้มอบเงินสนับสนุนให้กับศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย จำนวน 200,000 บาท โดยมี นายแพทย์ชำนาญการ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย เป็นผู้รับมอบ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการสู้ COVID-19 ณ ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 คลองเตย รวมทั้งมอบแอลกอฮอล์สำหรับพ่นฆ่าเชื้อโรค ขนาด 18 ลิตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักแพทย์และอนามัย กทท. จำนวน 3 ถัง และหน้ากากอนามัย จำนวน 1,000 ชิ้น ให้กับชุมชนล็อก 1-2-3 โดยมี นายสมชาย อินทาราม รองประธานชุมชน เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารที่ทำการ กทท. และจะนำแอลกอฮอล์ไปฉีดพ่นฆ่าเชื้อบริเวณในชุมชนที่มีผู้ป่วยได้รับเชื้อ COVID-19 และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมทั้งนำหน้ากากอนามัยแจกให้กับคนในชุมชน เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ เป็นภารกิจสำคัญที่ กทท. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมให้ “ก้าวไปด้วยกัน ก้าวไปได้ไกล”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา | วันพุธที่ 28 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่า เร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา
กรมเจ้าท่า (จท.) กระทรวงคมนาคม เร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา โดยสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 2 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานกำจัดผักตบชวาและวัชพืช จังหวัดชัยนาท
นำเรือเจ้าท่า ผ.4, ผ.401, ผ.402 และ ผ.403 เข้าพื้นที่บริเวณตำบลธรรมมูล และตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวาหนาแน่นอย่างเร่งด่วน โดยมีการสะสมของผักตบชวาและวัชพืชปริมาณ 35,000 ตัน เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2564 มีเป้าหมายกำจัดผักตบชวาให้ได้ปริมาณ 300 ตันต่อวัน ซึ่ง จท. ได้บูรณาการร่วมกับกรมชลประทาน และกรมโยธาธิการและผังเมือง กำจัดผักตบชวาได้รวม 1,000 ตันต่อวัน ช่วยป้องกันการไหลของผักตบชวามายังบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่มีมากกว่า 30,000 ตัน
ทั้งนี้ จท. จะเร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2564 เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผักตบชวาหนาแน่น ส่งผลให้น้ำเน่าเสีย และให้ประชาชนผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และการสัญจรทางน้ำเกิดความสะดวกสบาย ซึ่ง จท. พร้อมพัฒนาแหล่งน้ำควบคู่ไปกับการกำจัดผักตบชวาตามเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานการณ์การแพรร่ระบาดของโรคติดเชื้อไรรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เห็นชอบแต่งตั้งชุดติดตามและตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว 6 ชุด | วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานการณ์การแพรร่ระบาดของโรคติดเชื้อไรรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เห็นชอบแต่งตั้งชุดติดตามและตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว 6 ชุด
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานการณ์การแพรร่ระบาดของโรคติดเชื้อไรรัสโคโรนา 2019
โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต. นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วยผู้บริหารกรมการจัดหางาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย และเน้นย้ำให้เฝ้าระวัง ตรวจสอบ คัดกรองโรคโควิด-19 ในทุกสถานประกอบการ เพื่อร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
“สำหรับการประชุมวันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งชุดติดตามและตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน 6 ชุด เพื่อตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการ และผู้เกี่ยวข้องที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมาย คนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองและทำงานโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งคนต่างด้าวกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันตามมติครม.วันที่ 29 ธ.ค. 63 ประกอบกับมติครม.วันที่ 26 ม.ค. 64 และมติครม.วันที่ 7 เม.ย. 64 แต่มิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดติดตามและตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวทั้ง 6 ชุด จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งคนต่างด้าวที่ทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และจะต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนนายจ้าง/สถานประกอบการ จะถูกดำเนินคดีข้อหารับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41311 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.