title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวม 2,000 โดส สร้างภูมิคุ้มกันบุคลากรด่านหน้าปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยความไม่สงบจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 รองนายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวม 2,000 โดส สร้างภูมิคุ้มกันบุคลากรด่านหน้าปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยความไม่สงบจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างปลอดภัย รองนายกรัฐมนมตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวม 2,000 โดส สร้างภูมิคุ้มกันบุคลากรด่านหน้าปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยความไม่สงบจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อวันที่2เม.ย. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่พร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานรองรับสถานการณ์ไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ตามแนวชายแดนโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยังมีการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้นายอนุทินได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลแม่สะเรียงอ.แม่สะเรียงจ.แม่ฮ่องสอนเพื่อมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19จำนวน2,000โดสเพื่อให้โรงพยาบาลกระจายฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์บุคลากรด่านหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่กับผู้อพยพลี้ภัย น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่ารองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขได้พบปะผู้บริหารจังหวัดแม่ฮ่องสอนอำเภอแม่สะเรียงเพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านและเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแม่สะเรียง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขได้กล่าวระหว่างการพบปะให้นโยบายทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขและความมั่นคงว่าการเดินทางมายังจังหวัดแม่ฮ่องสอนครั้งนี้นอกจากจะได้มอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19และอุปกรณ์ป้องกันโรคแล้วยังได้นำความปรารถนาดีและความห่วงใยจากพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมมาถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนเพื่อเป็นกำลังแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อมนุษยธรรมเพื่อนบ้านที่หนีภัยความไม่สงบเข้ามายังประเทศไทย อย่างไรก็ตามการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวทั้งบุคลากรด่านหน้าและประชาชนในพื้นที่ต้องปลอดภัยด้วยเพราะในประเทศเพื่อนบ้านขณะนี้ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19อยู่มากผู้ที่หลบหนีเข้ามาอาจจะมีผู้ที่ติดเชื้อทั้งหมดต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบและรัดกุมจึงเป็นที่มาที่รัฐบาลจัดสรรวัคซีนมาให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่และพร้อมสนับสนุนในประเด็นที่มีการร้องขอเข้ามายังส่วนกลางต่อไป ทั้งนี้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ที่จัดสรรให้พื้นที่อ.แม่สะเรียง2,000โดสครั้งนี้เป็นวัคซีนของซิโนแวคซึ่งรองนายกรัฐมนตรีให้นโยบายให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานกับผู้ลี้ภัยให้เร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างปลอดภัยพร้อมกับให้ความมั่นใจว่าฉีดวัคซีนแล้วปลอดภัยเพราะรองนายกรัฐมนตรีก็ฉีดวัคซีนของซิโนแวคครบทั้ง2โดสและไม่มีอาการข้างเคียงแต่อย่างใด น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าหลังจากนั้นรองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่สามแลบอ.สบเมยจ.แม่ฮ่องสอนเพื่อตรวจเยี่ยมรับฟังปัญหาผลกระทบทางด้านสาธารณสุขจากความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเป็นข้อมูลการกำหนดนโยบายรวมถึงการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ต่อไป นายชนกมากพันธุ์รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนรายงานในที่ประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีว่าจ.แม่ฮ่องสอนแบ่งการบริหารเป็น7อำเภอโดยมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเมียนมาทางบก326กิโลเมตรและทางน้ำ157กิโลเมตรตั้งแต่วันที่11มี.ค.-1เม.ย. 2564มีผู้ลี้ภัยจากความไม่สงบในเมียนมาเข้ามา4,297คนและเดินทางกลับประเทศแล้ว2,680คนส่วนที่เหลือพักอยู่ณพื้นที่จุดแรกรับตามแนวชายแดนริมแม่น้ำสาละวิน ส่วนในพื้นที่ชั้นในขณะนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวเมียนมาในพื้นที่พักพิงทั้ง4จุดในอ.เมืองแม่ฮ่องสอนอ.ขุนยวมและอ.สบเมยโดยข้อกังวลหลักของจังหวัดในสถานการณ์ขณะนี้คือปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ซึ่งต้องการการสนับสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และเวชภัณฑ์จากส่วนกลาง ............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” นั่งประธานรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน “ดีอีเอส”
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 “ชัยวุฒิ” นั่งประธานรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน “ดีอีเอส” “ชัยวุฒิ” นั่งประธานรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน “ดีอีเอส” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินงานพร้อมทั้งตรวจเยี่ยมสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ รายงานผลการดำเนินที่สำคัญของกระทรวงเพื่อสนับสนุนภารกิจของรัฐบาลต่อไป ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแนวทางแก้หนี้เกษตรกร 5 หมื่นราย จุรินทร์ส่งต่อคลังพิจารณาก่อนเข้า ครม. แก้ทันทีอีกหมื่นราย
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564 เคาะแนวทางแก้หนี้เกษตรกร 5 หมื่นราย จุรินทร์ส่งต่อคลังพิจารณาก่อนเข้า ครม. แก้ทันทีอีกหมื่นราย เคาะแนวทางแก้หนี้เกษตรกร 5 หมื่นราย จุรินทร์ส่งต่อคลังพิจารณาก่อนเข้า ครม. แก้ทันทีอีกหมื่นราย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ไปหารือกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงบประมาณ เพื่อกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) จะได้ยกร่างแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นธรรมทั้งฝ่ายเจ้าหนี้-ลูกหนี้ โดยต้องไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง และควบคู่กันไปนี้ ก็ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของฝั่งเกษตรกรด้วย และเมื่อวานนี้ (2 เม.ย 64) ทางกองทุนฟื้นฟูฯได้เสนอแนวทางให้คณะกรรมการกองทุนฯพิจารณา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนทั้งภาครัฐและเกษตรกร และคณะกรรมการฯได้มีมติเลือกแนวทางให้กองทุนฟื้นฟูฯชำระหนี้แทนเกษตรกร-รัฐบาลชดเชยเงินต้น ใช้งบประมาณรวม 9,282 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนฟื้นฟูฯชำระหนี้แทนให้เจ้าหนี้ เงินต้นร้อยละ 50 เป็นเงิน 4,641 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยเงินต้นให้เจ้าหนี้ ร้อยละ 50 เป็นเงิน 4,641 ล้านบาท สำหรับดอกเบี้ยตัดทิ้งทั้งหมด เกษตรกรลูกหนี้ต้องผ่อนชำระหนี้กองทุนฯ ให้ครบในระยะเวลา 5 - 15 ปี แนวทางดังกล่าว จะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรสมาชิก 50,621 ราย ทั้งนี้ จะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป มากไปกว่านั้น คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ยังได้เห็นชอบให้คณะกรรมการจัดการหนี้เกษตรกรดำเนินการจัดการหนี้ได้ตามอำนาจหน้าที่ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้ จำนวน 10,840 ราย 32,159 บัญชี มูลหนี้ 8.03 พันล้านบาท และเห็นชอบรายชื่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เป็นหนี้ NPA (เพิ่มเติม) จํานวน 33 ราย ยอดเงินรวม 39.88 ล้านบาท ........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.กลั่นกรองข้อมูลคอมพ์ฯ ดีอีเอส วางแนวทำงาน ยึดหลักกม.-ความสงบของสังคม
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 คกก.กลั่นกรองข้อมูลคอมพ์ฯ ดีอีเอส วางแนวทำงาน ยึดหลักกม.-ความสงบของสังคม คกก.กลั่นกรองข้อมูลคอมพ์ฯ ดีอีเอส วางแนวทำงาน ยึดหลักกม.-ความสงบของสังคม ปลัดดีอีเอส นั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ เคาะแนวทางดำเนินงาน มุ่งเป้าข้อมูลที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี มีผลกระทบรุนแรงกับสังคม ย้ำยึดหลักพิจารณาโดยเทียบเคียงหลักกฎหมายและมาตรฐานสากล เน้นสร้างความสงบสุขร่วมกันของคนในสังคม นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันที่ (26 มี.ค. 64) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีการแพร่หลายซึ่งไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายใด แต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้วางแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ โดยมุ่งเน้นที่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และมีผลกระทบกับสังคมในวงกว้างอย่างรุนแรง และได้วางหลักการพิจารณาโดยเทียบเคียงหลักกฎหมาย หลักความสงบเรียบร้อย และหลักศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมถึงหลักมาตรฐานที่เป็นสากลด้วย “แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดนี้ จะยึดมั่นในเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นสำคัญ คือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม เพื่อให้เกิดความมั่นคง ความสงบสุข และสันติภาพ ร่วมกันของคนในสังคม รวมถึงให้ความสำคัญกับความเชื่อตามประเพณีหรือศาสนาของคนในสังคมด้วย” นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว สำหรับคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ได้รับการแต่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2560 เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรอง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่เผยแพร่ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอื่นใด โดยคณะกรรมการชุดนี้ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานกรรมการ และกรรมการ 7 คนที่แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน/ด้านนิติศาสตร์ ด้านวัฒนธรรม ด้านคอมพิวเตอร์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ **********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. เปิดให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาผ่านแอปฯ “กยศ. Connect”
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 กยศ. เปิดให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาผ่านแอปฯ “กยศ. Connect” วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. เตรียมงบประมาณ 38,000 ล้านบาท สำหรับให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนกว่า 624,000 ราย สามารถกู้ยืมได้สูงสุดถึง 200,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรสาขาวิชาที่เลือกเรียน พร้อมเพิ่มช่องทางให้ยื่นขอกู้ยืมผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 เป็นต้นไป โดยกำหนดเงื่อนไขการกู้ยืม เช่น เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักของประเทศ หรือสาขาวิชาที่ขาดแคลน และทุนสำหรับปริญญาโท ผู้ที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2016-4888 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40606
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทจัดเตรียมแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 กรมทางหลวงชนบทจัดเตรียมแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการป้องกันและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่น สร้างความอุ่นใจในการเดินทางให้กับประชาชน นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดกรณีพิเศษเพิ่มเติม ในวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 รวมเป็นวันหยุดยาว 6 วันต่อเนื่อง ซึ่งจะมีประชาชนจำนวนมากใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนาแต่ละพื้นที่ ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงกว่าปกติ ทั้งนี้ ทช. ได้สั่งการ ให้หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน โดยได้จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเป็นการป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนน รวมทั้งได้ขอความร่วมมือให้ผู้รับจ้างคืนผิวจราจรและหยุดการก่อสร้าง พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องหมายเตือน ไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณไฟ และอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยให้ครบถ้วนตามรูปแบบที่ ทช. กำหนด ในระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 โดย ทช. ได้มีมาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ดังนี้ 1. ช่วงเตรียมความพร้อมและช่วงการรณรงค์ (ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม - 9 เมษายน 2564) - ปรับปรุงซ่อมแซมถนนและสะพาน ในความรับผิดชอบให้มีความสะดวกและปลอดภัยไร้หลุมบ่อ - ตรวจสอบและปรับปรุง ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณจราจร - โครงการก่อสร้างหรือบูรณะถนนและสะพาน วางแผนการทำงานให้สอดรับกับช่วงเทศกาล เตรียมความพร้อมคืนผิวจราจรให้สามารถสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย - เตรียมความพร้อมระบบสายด่วน 1146 CCTV วิทยุสื่อสาร และระบบ Conference ให้พร้อมใช้งาน - ประชาสัมพันธ์และรณรงค์การอำนวยความสะดวกและปลอดภัยบนถนน อาทิ รถประชาสัมพันธ์ คลิปเสียง (Mobile Unit) สื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิทยุ โปสเตอร์ ป้ายประชาสัมพันธ์ เป็นต้น 2. ช่วงควบคุมเข้มข้น (ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564) - โครงการก่อสร้าง บูรณะถนนและสะพาน คืนพื้นผิวจราจรเรียบร้อย และหยุดการก่อสร้างช่วงเทศกาล - จัดตั้งศูนย์อำนวยความปลอดภัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค - จัดตั้งหน่วยบริการประชาชน พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยให้ครบถ้วนตามรูปแบบที่ ทช. กำหนด - จัดเจ้าหน้าที่ประจำการสายด่วน 1146 CCTV ระบบวิทยุสื่อสาร และระบบ Conference - จัดตั้งชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทาง พร้อมเก็บข้อมูลจุดที่เกิดอุบัติเหตุ - จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเส้นทาง พร้อมติดตั้งสัญญาณไฟวับวาบบริเวณที่เสี่ยงอันตราย หรือจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง - ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แอปพลิเคชั่น คลิปเสียง หนังสือพิมพ์ และวิทยุ 3. ช่วงหลังเทศกาล (ระหว่างวันที่ 17 เมษายน - 21 มิถุนายน 2564) - รวบรวมสรุปข้อมูลอุบัติเหตุ วิเคราะห์ ประมวลผล พร้อมเสนอแนวทางการแก้ไขและป้องกัน - สนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุง แก้ไข จุดอันตรายที่เกิดอุบัติเหตุช่วงควบคุมเข้มข้น - เร่งดำเนินการปรับปรุง แก้ไข (ระยะสั้น) จุดเสี่ยงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ฝากความห่วงใยถึงประชาชน ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และก่อนเดินทางควรตรวจเช็คสภาพรถ ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ ไม่ประมาท เมาไม่ขับ และควรเว้นระยะห่างเพื่อร่วมมือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อให้ “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด" คมนาคมเน้นให้ใส่ใจตนเอง ใส่ใจผู้อื่น และใส่ใจประชาชน ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเส้นทางเลี่ยงหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐจัดทำแอปพลิเคชั่น-แพลตฟอร์มการให้บริการหรือข้อมูลแก่ประชาชนให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐจัดทำแอปพลิเคชั่น-แพลตฟอร์มการให้บริการหรือข้อมูลแก่ประชาชนให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐจัดทำแอปพลิเคชั่น-แพลตฟอร์มการให้บริการหรือข้อมูลแก่ประชาชนให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน เพิ่มความสะดวกลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการภาครัฐ วันที่ 4 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลและบริการของภาครัฐ ซึ่งได้ผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยต่อเนื่อง ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้มีข้อสั่งการให้ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดจัดทำแอปพลิเคชั่น แพลตฟอร์มดิจิทัลเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ ในความรับผิดชอบของแต่ละส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้บริการหรือให้ข้อมูลแก่ประชาชนให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน 3 เดือน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม ได้มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองติดตามผลการดำเนินการ และรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป “นายกรัฐมนตรีเห็นว่าแนวทางนี้จะมีส่วนในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลหรือเข้ารับบริการภาครัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการให้บริการการของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลดภาระการใช้กระดาษในการติดต่องานราชการ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ที่มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำเส้นตาย 16 เม.ย. 64 ต่างด้าวเร่งตรวจโควิด และเก็บอัตลักษณ์
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ย้ำเส้นตาย 16 เม.ย. 64 ต่างด้าวเร่งตรวจโควิด และเก็บอัตลักษณ์ กระทรวงแรงงาน เตือนนายจ้าง/สถานประกอบการ พาคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติครม.วันที่ 29 ธ.ค. 63 ตรวจหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ภายใน 16 เม.ย. 64 ก่อนจองคิวออนไลน์ทำบัตรชมพู นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงแรงงาน เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวแจ้งบัญชีรายชื่อ หรือข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้รับการผ่อนผัน ตามมติ ครม. 29 ธ.ค. 63 ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 64 ถึง 13 ก.พ. 64 ล่าสุดจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 267,916 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 62,426 คน ได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 62,392 คน และทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู/ใบอนุญาตทำงาน) 22,946 คน จากผู้ได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อทั้งสิ้น (มีนายจ้าง) 601,004 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ฯ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดในวันที่ 16 เม.ย. 64 “ขณะนี้ระยะเวลาที่กำหนดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ พาคนต่างด้าวไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ฯ เหลืออีกเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น หากไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 16 เมษายน 2564 และดำเนินการในขั้นตอนถัดไปตามระยะเวลาที่กำหนด จะทำให้มีสถานะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุม และกำกับดูแลการทำงานของคนต่างด้าวจำเป็นต้องดำเนินคดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เมื่อคนต่างด้าวได้รับการรับรองผลว่าไม่เป็นโรคโควิด-19 และผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว กลุ่มคนต่างด้าวที่มีนายจ้างต้องยื่นคำขออนุญาตทำงานในระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64 เพื่อไปจัดทำบัตรหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 64 และกลุ่มที่ยังไม่มีนายจ้าง ต้องมีนายจ้างยื่นขออนุญาตทำงานในระบบออนไลน์ภายในวันที่ 13 ก.ย. 64 และไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ พร้อมรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ก.พ. 65 ซึ่งสำหรับคนต่างด้าวที่แจ้งท้องที่ทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถจองคิวออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ http://nonthaidbkk.bangkok.go.th เพื่อเข้าทำบัตรฯ ณ สำนักงานเขต ของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต ที่จะเปิดให้บริการงานทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 เป็นต้นไป ในวันราชการปกติ (จันทร์ - ศุกร์) เวลา 16.00 – 18.00 น. โดยให้บริการไม่เกิน 30 ราย/วัน ส่วนในต่างจังหวัดให้ดำเนินการตามที่ศูนย์บริการการทะเบียนภาค สาขาจังหวัดนั้น ๆ หรือสถานที่ที่กรมการปกครองกำหนด “ในขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานจะดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงาน โดยปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้โทษของนายจ้างที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุก และไม่ให้จ้างคนต่างด้าวทำงานอีก 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี” นายไพโรจน์ฯ กล่าว ทั้งนี้ สามารถสอบถามขั้นตอนการขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ราชทัณฑ์ เข้มมาตรการโควิด-19 ประกาศ งดเยี่ยมญาติ ทั่วประเทศ เริ่ม 5 เม.ย.64 หลังพบเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขังติดเชื้อที่ จ.นราธิวาส”
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 “ราชทัณฑ์ เข้มมาตรการโควิด-19 ประกาศ งดเยี่ยมญาติ ทั่วประเทศ เริ่ม 5 เม.ย.64 หลังพบเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขังติดเชื้อที่ จ.นราธิวาส” “ราชทัณฑ์ เข้มมาตรการโควิด-19 ประกาศ งดเยี่ยมญาติ ทั่วประเทศ เริ่ม 5 เม.ย.64 หลังพบเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขังติดเชื้อที่ จ.นราธิวาส” ราชทัณฑ์ ประกาศงดเยี่ยมญาติแบบปกติทุกเรือนจำ เริ่ม 5 เม.ย. – 5 พ.ค.64 หลังพบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส วันที่ 4 เมษายน 2564 เวลา 09.00 นาฬิกา นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวขณะลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส ว่า หลังจากพบเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดนราธิวาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งยังอยู่ในช่วงการเดินทางเพื่อทำกิจกรรมภายนอกร่วมกับผู้อื่น กรมราชทัณฑ์จึงได้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน ด้วยการนำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำกลับมาใช้อีกครั้ง แม้จะเพิ่งประกาศผ่อนคลายมาตรการมาได้ไม่นาน สำหรับครั้งนี้ กำหนดเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 โดยมีการดำเนินการหลักๆ คือ 1.งดเยี่ยมญาติแบบปกติที่เรือนจำ 2.งดนำผู้ต้องขังออกทำงานนอกเรือนจำ 3.งดย้ายผู้ต้องขังระหว่างเรือนจำ 4.พิจารณาแนวทางอื่นแทนการนำผู้ต้องขังออกศาล 5.งดนำบุคคลภายนอกเข้าเรือนจำ 6.แยกกักโรคผู้ต้องขังเข้าใหม่โดยห้ามย้ายหรือออกจากห้องเป็นระยะเวลา 14-21 วัน และ 7.ประสานโรงพยาบาลแม่ข่ายในการเข้าตรวจหาเชื้อในผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายอย่างน้อย 2 ครั้งก่อนออกจากห้องแยกกักโรค ทั้งนี้ การดำเนินการที่ยังสามารถทำได้ คือ 1.การเยี่ยมญาติทางไกลผ่านจอภาพ (แอปพลิเคชั่นไลน์) 2.การซื้อสินค้าฝากผู้ต้องขังและการฝากเงิน โดยให้เรือนจำและทัณฑสถานทั้ง 143 แห่งทั่วประเทศถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ยกเว้นมีเหตุจำเป็นซึ่งต้องได้รับการอนุมัติเป็นการเฉพาะกรณี ภายใต้วิถี New Normal คือ การเว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ และสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบในเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดนราธิวาสนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนโรคเพิ่มเติม โดยเบื้องต้น ได้มีมาตรการรองรับในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส คือ 1. BUBBLE AND SEAL คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า 2. SEPARATE การแยกกักผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้ที่มีประวัติเสี่ยง และ 3. Mobile Field Hospital จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยใช้พื้นที่เรือนจำเก่า เพื่อรองรับผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง หรือไม่มีอาการให้อยู่ในการควบคุมไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก รวมถึงการเร่ง SWAB เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เชิงรุกในผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงทุกราย อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ อยากให้ประชาชน รวมถึงญาติของผู้ต้องขังทุกคนมั่นใจ ว่า กรมราชทัณฑ์จะสามารถควบคุมและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ได้ ภายใต้การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และขอให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการประกาศใช้มาตรการอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งรวมถึงการประกาศงดเยี่ยมญาติแบบปกติที่อาจทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในครั้งนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนบ้านเชียง
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนบ้านเชียง ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านเชียง ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาจากกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ การจัดทำแผนธุรกิจการท่องเที่ยวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตราสินค้า การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์/ตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดเป้าหมาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนบ้านเชียง วันนี้ (4 เมษายน 2564) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนบ้านเชียง พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายติณ เจริญใจ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 ณ ชุมชนบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี สำหรับหมู่บ้าน CIV ชมชุนบ้านเชียง เป็นการต่อยอดจากวัฒนธรรมบ้านเชียง ที่มีอารยธรรมครอบคลุมแหล่งโบราณคดีในภาคอีสาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนสำคัญของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมและสังคม รวมถึงหลักฐานทางการเกษตร การผลิตโลหะในภูมิภาค รวมทั้งวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการหลายด้าน โดยเฉพาะภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา สู่การพัฒนาเป็นหมู่บ้าน CIV กลุ่มพัฒนาเซรามิก โดยได้เข้าร่วมเป็นหมู่บ้าน CIV เมื่อปีพ.ศ. 2559 และได้รับการคักเลือกให้เป็น 1 ใน 9 ชุมชนต้นแบบของหมู่บ้าน CIV จากทั่วประเทศ ทั้งนี้ หมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านเชียง ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาจากกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ การจัดทำแผนธุรกิจการท่องเที่ยวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตราสินค้า การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์/ตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดเป้าหมาย แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาหมู่บ้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์บนพื้นฐานทางทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาให้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ตลอดจนการฝึกอบรมการทำเครื่องปั้นดินเผา และการก่อเตาเผาเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมการดำเนินงาน ศูนย์เรียนรู้ กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี ซึ่งเป็นศูนย์อนุรักษ์ภูมิปัญญาเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง โดยมีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่คงลวดลายไว้แบบโบราณ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งตรวจเข้มสายนายหน้าเถื่อนลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว หวั่นแพร่โควิด-19 ระลอกใหม่
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 รมว.แรงงาน สั่งตรวจเข้มสายนายหน้าเถื่อนลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว หวั่นแพร่โควิด-19 ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ตรวจสอบแรงงงานต่างด้าวในพื้นที่แนวชายแดน หลังพบคนต่างด้าวหลบหนีสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา มาหางานทำในประเทศไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงกังวลการแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 จากกลุ่มคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าประเทศไทยจากสถานการณ์ไม่สงบในประเทศเมียนมา กำชับกระทรวงแรงงานตรวจสอบสกัดกั้นมิให้นายหน้าเถื่อนฉวยโอกาส ซึ่งล่าสุดได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบลงพื้นที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวแล้ว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ติดพรหมแดนเมียนมาขอย้ำนายหน้าเถือนและนายจ้างสถานประกอบการที่คิดใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หากตรวจสอบพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งตรวจเข้มสายนายหน้าเถื่อนลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว หวั่นแพร่โควิด-19 ระลอกใหม่
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 รมว.แรงงาน สั่งตรวจเข้มสายนายหน้าเถื่อนลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว หวั่นแพร่โควิด-19 ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ตรวจสอบแรงงงานต่างด้าวในพื้นที่แนวชายแดน หลังพบคนต่างด้าวหลบหนีสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา มาหางานทำในประเทศไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงกังวลการแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 จากกลุ่มคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าประเทศไทยจากสถานการณ์ไม่สงบในประเทศเมียนมา กำชับกระทรวงแรงงานตรวจสอบสกัดกั้นมิให้นายหน้าเถื่อนฉวยโอกาส ซึ่งล่าสุดได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบลงพื้นที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวแล้ว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ติดพรหมแดนเมียนมาขอย้ำนายหน้าเถื่อนและนายจ้างสถานประกอบการที่คิดใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หากตรวจสอบพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกจังหวัด
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกจังหวัด ... “สามเหลี่ยมขับเคลื่อนวัคซีน” เป็นแนวทางการกระจายวัคซีนและฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในแต่ละจังหวัดอยู่ที่ร้อยละ 50 – 60 ของประชากร . สำหรับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค 800,000 โดสนั้น จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เป็นต้นไป ใน 22 จังหวัด แบ่งเป็น - พื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดของโรค 6 จังหวัด 3.5 แสนโดส - พื้นที่ท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 8 จังหวัด 2.4 แสนโดส - พื้นที่ชายแดนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 8 จังหวัด 5 หมื่นโดส - จังหวัดอื่น ๆ ที่เหลือจำนวน 1.6 แสนโดส . โดยเป็นการซักซ้อมความพร้อมก่อนเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ล็อตใหญ่ในเดือน มิ.ย. นี้ เน้นบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า โดยจะกระจายวัคซีนโควิด-19 ในจังหวัดขนาดเล็ก 800 โดส จังหวัดขนาดใหญ่ 1,000 โดส และจังหวัดใหญ่พิเศษ 1,200 โดส รวม อสม. จังหวัดละ 1,000 โดส . สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลใจในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลนำมาฉีดกับคนไทย เป็นวัคซีนที่ดี มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยสูง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.แรงงาน สั่งติวเข้มเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 รมว.แรงงาน สั่งติวเข้มเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว กระทรวงแรงงาน จัดอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวผิดกฎหมาย ตามพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ระหว่างวันที่ 4 – 8 เม.ย. 64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานในการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ การป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ตลอดจนคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม โดยกระทรวงแรงงานนำนโยบายเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติ เริ่มต้นจากบุคลกรในสังกัดต้องมีความรู้ ความเข้าใจตามบทบาทอำนาจหน้าที่ มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุประสงค์ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำกรมการจัดหางานให้ดูแล ตรวจสอบ และควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในประเทศให้เป็นไปตามกฎหมายมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ที่มีมติคณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งขณะนี้เป็นหน้าที่ของนายจ้าง/สถานประกอบการและคนต่างด้าว ที่ประสงค์ทำงานและอยู่ในประเทศไทยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อขอรับใบอนุญาตทำงานภายในระยะเวลาที่กำหนด ประกอบกับมีข้อร้องเรียนจากประชาชนว่าพบเห็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ “ กรมการจัดหางานมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว นายจ้าง/สถานประกอบการ และตรวจสอบบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศมีแนวทางปฏิบัติงานที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงได้จัด โครงการอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวผิดกฎหมาย ตามพระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 103 คน เข้าร่วมอบรม ณ โรงแรมสีดา รีสอร์ท จังหวัดนครนายก ระหว่างวันที่ 4 – 8 เมษายน 2564 ซึ่งในการฝึกอบรมตามหลักสูตร มีทั้งรูปแบบการบรรยายให้ความรู้ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการฝึกภาคปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้และทักษะที่จะนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานจริงต่อไป โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกรมการปกครอง กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการสนับสนุนวิทยากรตามโครงการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว นายไพโรจน์ ยังกล่าวต่อไปว่า ในปีงบประมาณ 2564 มีการตรวจสอบและดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการและคนต่างด้าวทั่วประเทศ โดยตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการ จำนวน 21,545 ราย/แห่ง ดำเนินคดี จำนวน 598 ราย/แห่ง ตรวจสอบการทำงานคนต่างด้าว จำนวน 312,276 คน ดำเนินคดี จำนวน 508 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564) ทั้งนี้ ผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40660
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงประชาชน เตือนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน มีผลกระทบถึงวันที่ 6 เมษายน 2564
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 นายกฯ ห่วงประชาชน เตือนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน มีผลกระทบถึงวันที่ 6 เมษายน 2564 นายกฯ ห่วงประชาชน เตือนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน มีผลกระทบถึงวันที่ 6 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังอันตรายจาก พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย ซึ่งจะมีผลกระทบถึงวันที่ 6 เมษายน 2564 โดยล่าสุด กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่า ประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้น โดยจะมีฝนตกหนักบางแห่ง เริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ตอนบน จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งระวังอันตรายจากฟ้าผ่าในขณะที่เกิดพายุฤดูร้อนไว้ด้วย สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ที่เว็บไซต์ http://www.tmd.go.th หรือสอบถามได้ที่สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ลงพื้นที่ ร่วมวางแผนควบคุมโรคโควิด 19 ในเรือนจำ จ.นราธิวาส
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ปลัด สธ. ลงพื้นที่ ร่วมวางแผนควบคุมโรคโควิด 19 ในเรือนจำ จ.นราธิวาส ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมโรคโควิด 19 ในเรือนจำ จังหวัดนราธิวาส ร่วมวางแผนสกัดการแพร่เชื้อ นำกลยุทธ์ Bubble and Seal ปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เปิดโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ อาการรุนแรงส่งรักษาที่โรงพยาบาล พร้อมมอบวัคซีนป้องกันโรคโค ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามการควบคุมโรคโควิด19 ในเรือนจำ จังหวัดนราธิวาส ร่วมวางแผนสกัดการแพร่เชื้อ นำกลยุทธ์ Bubble and Seal ปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เปิดโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ อาการรุนแรงส่งรักษาที่โรงพยาบาล พร้อมมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 5,000 โดส วันนี้ (4 เมษายน 2564) ที่จังหวัดนราธิวาส นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการควบคุมโรคโควิด 19 ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส พร้อมทั้งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้จังหวัดนราธิวาสจำนวน 5,000 โดส เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข/ ​เจ้าหน้าที่ด่านหน้า/ อสม. กลุ่มเสี่ยง รวมทั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำทั้ง 73 คน นายแพทย์เกียรติภูมิให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ ได้ลงพื้นที่เพื่อสนับสนุนการทำงาน และวางแผนจัดการสถานการณ์ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด ราชทัณฑ์ ตำรวจและหน่วยงานในพื้นที่ ล่าสุดได้รับรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด19 ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส รวม 116 ราย เป็นผู้ต้องขัง 92 ราย และเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ 24 ราย ในจำนวนนี้ เป็นพยาบาลประจำเรือนจำ 1 ราย โดยมีเป้าหมายดูแลกลุ่มผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเพื่อลดอัตราการป่วยตาย กลุ่มเจ้าหน้าที่เรือนจำเพื่อลดอัตราการป่วยตาย ลดการแพร่เชื้อ ส่วนกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ มีเป้าหมายลดการติดเชื้อ ส่วนผู้สัมผัสกว่า 1,000 ราย ได้มีการติดตามและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคแล้ว นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า เรือนจำถือเป็นสถานที่มีความเสี่ยงสูง จึงเน้นการควบคุมโรคภายในเรือนจำ ซึ่งเป็นพื้นที่ปิด อยู่ห่างไกลชุมชน ควบคุมพื้นที่จำกัดการเข้าออกได้ง่าย สามารถนำยุทธศาสตร์ Bubble and Seal เช่นเดียวกับที่ใช้ควบคุมการติดเชื้อในโรงงาน จ.สมุทรสาครซึ่งได้ผลดีมาแล้ว มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อควบคุมไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มภายใน 28 วัน โดยมอบหมายให้นายแพทย์อภิชาติ วชิระพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขันทะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการสถานการณ์และการดูแลผู้ติดเชื้อ ทำงานร่วมกับกรมราชทัณฑ์ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาสบริหารจัดการในพื้นที่ต่อไป นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ได้จัดพื้นที่ในเรือนจำใหม่ให้เป็นโรงพยาบาลสนาม เบื้องต้นสามารถเปิดได้291 เตียง หากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะขยายสูงสุดได้เกือบ 900 เตียง โดยแยกผู้ติดเชื้อเข้ารักษาในโรงพยาบาลสนามส่วนผู้ที่มีอาการหนักจะส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล และแยกกลุ่มเปราะบางที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอ ผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัวจำนวน52 รายออกมาดูแลในพื้นที่เฉพาะ ส่วนนักโทษรอจำหน่ายจะเข้ารับการกักตัวใน Local Quarantine เป็นเวลา 14 วัน ก่อนกลับคืนสู่สังคม นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับเวชภัณฑ์​และอุปกรณ์ทางการแพทย์ จังหวัดนราธิวาส มั่นใจว่ามีเพียงพอ ทั้งยารักษา หน้ากากอนามัยทางการแพทย์สำรองไว้ใช้ได้2 เดือน หน้ากาก N95 ใช้ได้ 40 วัน ชุด Cover Allใช้ได้ 4 เดือน มีชุดตรวจเชื้อทางโพรงจมูก 3,000 ตัวอย่าง และส่วนกลางพร้อมสนับสนุนเพิ่มเติมให้ทันทีที่พื้นที่แจ้งความต้องการ **********************************4 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ห่วงใยกรณีเพลิงไหม้ในหมู่บ้านกฤษฎานคร 31 ถนนบรมราชชนนี กำชับ สปส.เร่งตรวจสอบช่วยเหลือสิทธิประโยชน์แก่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บโดยด่วน
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ ห่วงใยกรณีเพลิงไหม้ในหมู่บ้านกฤษฎานคร 31 ถนนบรมราชชนนี กำชับ สปส.เร่งตรวจสอบช่วยเหลือสิทธิประโยชน์แก่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บโดยด่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตและห่วงใยลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือน ภายในหมู่บ้านกฤษฎานคร 31 ถนนบรมราชชนนี กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด เร่งช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนอย่างเร่งด่วน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน บ้านเลขที่ 138/12 ภายในซอยอัญมณี 17 หมู่บ้านกฤษฎานคร 31 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานครว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตและมีความเป็นห่วงลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บได้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์คุ้มครองของกฎหมาย และประสานญาติผู้เสียชีวิตกรณีเป็นผู้ประกันตนเพื่อดำเนินการช่วยเหลือค่าทำศพและสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพโดยด่วน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ซึ่งท่านทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 6 ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด โดยพบว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักอาศัยอาคาร 3 ชั้น เมื่อเพลิงสงบอาคารได้ถล่มลงมาพังเสียหายทั้งหมด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย เป็นผู้ประกันตนในปัจจุบัน 1 คน เคยเป็นผู้ประกันตน 3 คน และมีเงินบำเหน็จชราภาพ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน 1 คน คือ นายสมัญญา นิลธง อายุ 48 ปี ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1) นายสุทัศน์ เปลี่ยนกลัด อายุ 38 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และลูกจ้างบริษัท เคเอส พลาสติก พอเลิกงานก็จะมาเป็นอาสาสมัครดับเพลิง ทายาทจะได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีตาย 82,800 บาท เงินบำเหน็จชราภาพแก่ทายาท 132,884.03 บาท รวมทั้งสิ้น 265,684 .03 บาท 2) นายธนภพ ประไพ อายุ 44 ปี สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 ทายาทได้รับเงินบำเหน็จชราภาพรวมดอกผล 17,624.07 บาท 3) นายอรรพล ท้วมทอง อายุ 26 ปี สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ทายาทได้รับเงินบำเหน็จชราภาพรวมดอกผล 12,223.12 บาท 4) นายเกียรติ แพตเตอร์สัน อายุ 35 ปี สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ทายาทได้รับเงินบำเหน็จชราภาพรวมดอกผล 29,004.87 บาท รวมจ่ายประโยชน์ทดแทน 324,536.09 บาท และมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย คือ 1) นายอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ อายุ 34 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว 2) นายสุรศักดิ์ เปลี่ยนกลัด อายุ 32 ปี สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลวิชัยเวช หนองแขม 3) นายธีรพล ทองศิริ อายุ 26 ปี ไม่ใช่ผู้ประกันตน รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้รับการรักษาพยาบาลจนกว่าจะหายขาดและเงินทดแทนการขาดรายได้ตามใบรับรองแพทย์ที่กำหนดให้หยุดงานและการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 6 จะได้แจ้งสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน และทายาทผู้เสียชีวิตทราบ พร้อมดูแลอำนวยความสะดวกในการเบิกจ่ายสิทธิประโยชน์แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง 70 ราย เหตุนักเที่ยวไปหลายร้าน แพร่เชื้อต่อเป็นลูกโซ่
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 สธ.พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง 70 ราย เหตุนักเที่ยวไปหลายร้าน แพร่เชื้อต่อเป็นลูกโซ่ กระทรวงสาธารณสุข เผยเรือนจำ จ.นราธิวาสติดโควิด 100 กว่าคน แต่เป็นสถานที่ปิดไม่มีแพร่กระจายสู่ชุมชน ควบคุมเช่นเดียวกับกรณีห้องกัก ตม. ต้นเหตุติดเชื้ออยู่ระหว่างสอบสวนโรค ส่วนกรณีสถานบันเทิงใน กทม.-ปริมณฑลติดเชื้อรวม 70 ราย พบติดกันเป็นลูกโซ่จากปท กระทรวงสาธารณสุข เผยเรือนจำ จ.นราธิวาสติดโควิด 100 กว่าคน แต่เป็นสถานที่ปิดไม่มีแพร่กระจายสู่ชุมชน ควบคุมเช่นเดียวกับกรณีห้องกัก ตม. ต้นเหตุติดเชื้ออยู่ระหว่างสอบสวนโรค ส่วนกรณีสถานบันเทิงใน กทม.-ปริมณฑลติดเชื้อรวม 70 ราย พบติดกันเป็นลูกโซ่จากปทุมธานีมาทองหล่อและเอกมัย เหตุนักเที่ยว นักร้อง นักดนตรี ไปหลายร้าน ย้ำสถานที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี ไม่สวมหน้ากาก เป็นความเสี่ยง ยันไม่มีรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงที่บ้านทูตญี่ปุ่น วันนี้ (4 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 96 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 78 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 9 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และรักษาหายเพิ่มขึ้น 106 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 4 เมษายน 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 23,597 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.81 อยู่ระหว่างการรักษา 1,258 ราย และเสียชีวิตสะสม 35 คน ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 3 เมษายน 2564 ฉีดแล้ว 244,254 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 201,864 ราย และครบสองเข็ม 42,390 ราย ถือว่าฉีดได้ตามเป้าหมาย ไม่ได้ล่าช้า เนื่องจากช่วงแรกได้วัคซีนมา 2 แสนโดส ฉีดคนละ 2 เข็ม จึงฉีดได้ 1 แสนคน และเมื่อมีวัคซีนจำนวนมาก ตั้งแต่มิถุนายนที่จะมีวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าเดือนละ 10 ล้านโดส จะสามารถฉีดได้ครบถ้วนแน่นอน เช่น ชลบุรีฉีดได้ถึง 1 หมื่นโดสในวันเดียว โดยประชาชนสามารถเริ่มจองฉีดวัคซีนได้ผ่านแอปพลิเคชันหมอพร้อมได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 และจะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม. สำรวจกลุ่มเป้าหมายที่สมัครใจฉีดวัคซีน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทยด้วย สำหรับสถานการณ์ที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกล โรงพยาบาลไม่มีห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน ลงพื้นที่สนับสนุนการตรวจหาเชื้อในผู้ลี้ภัยชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และฝ่ายความมั่นคงที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อ ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที รวมถึงสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 เพิ่มเติม 2,000 โดสแก่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองที่ดูแลผู้ลี้ภัย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อมาสู่คนไทย ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อในเรือนจำ จ.นราธิวาส มีการส่งรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทานลงไปในพื้นที่เช่นกัน จากการสอบสวนโรคเบื้องต้นพบว่า เริ่มจากเจ้าหน้าที่พยาบาลในเรือนจำมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตรวจพบติดเชื้อ 1 คน จึงสอบสวนโรคเพิ่มเติม โดยตรวจผู้ต้องขังประมาณ 700 กว่าคน พบผู้ติดเชื้อ 100 กว่าคน สถานการณ์ถือว่าคล้ายกับสถานกักตัวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากเป็นสถานที่ปิด มีการอยู่อย่างแออัด ทำให้มีโอกาสติดเชื้อสูง ไม่มีความเสี่ยงแพร่กระจายไปยังชุมชน สำหรับจุดเริ่มต้นในการติดเชื้อต้องรอผลสอบสวนอย่างละเอียด เบื้องต้นเรือนจำดำเนินมาตรการต่างๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม เน้นย้ำเรื่องการกักตัวผู้ต้องขังแรกรับ 14 วันอย่างเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังโดยตรวจหาเชื้อเจ้าหน้าที่เป็นระยะ และเร่งฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ “กรณีที่มีผู้ต้องขังกลุ่มนี้เดินทางไปร่วมประชุมและกิจกรรมที่ จ.สุราษฎร์ธานี และตรวจพบว่าติดเชื้อมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1 พันคน จัดงานเพียง 1 วัน ผู้ต้องขังไม่ได้ปะปนกับคนหมู่มาก ได้สอบสวนและควบคุมโรค ติดตามผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงได้แล้วทั้งหมด โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้รับการแยกกัก และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำอยู่ในระบบเฝ้าระวัง” นพ.โอภาสกล่าว นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สถานการณ์การติดเชื้อในสถานบันเทิงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบติดเชื้อ 70 ราย พบว่ากลุ่มที่ติดเชื้อมีความเชื่อมโยงกัน จากการสอบสวนโรคคาดว่า เริ่มต้นจากสถานบันเทิง จ.ปทุมธานี ไปยังคริสตัล คลับ ทองหล่อ, ร้านบลาบลาบาร์ และเบียร์เฮาส์ เอกมัย เป็นลูกโซ่ เนื่องจากนักเที่ยวนำเชื้อมาติดพนักงานและติดไปยังนักเที่ยวคนอื่น ซึ่งนักเที่ยวมักไปเที่ยวหลายร้าน และพนักงาน นักร้องและนักดนตรีไปทำงานหลายร้าน ทำให้แพร่กระจายเชื้อไปร้านอื่นต่อ และนำไปติดคนในครอบครัว ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อมากมาจากสถานที่เสี่ยง คือ ความแออัด การระบายอากาศไม่ดี ไม่มีการเว้นระยะห่าง และพฤติกรรมเสี่ยง คือ ไม่สวมหน้ากาก ตะโกนเสียงดัง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ขาดสติ อาจใช้แก้วร่วมกัน เป็นต้น “แม้ในระยะผ่อนคลายจะเปิดสถานบันเทิงได้ แต่ต้องเป็นนิวนอร์มัล โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ สแกนไทยชนะเข้าออกสถานที่ พนักงานต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ผู้มารับบริการต้องใส่หน้ากากให้มากที่สุดทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ ตรวจหาเชื้อพนักงาน นักร้อง นักดนตรีสม่ำเสมอ โดยเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและสาธารณสุขจะลงพื้นที่ติดตามกำกับ หากดำเนินการไม่ได้หรือมีการแพร่ระบาด จะต้องดำเนินการทางกฎหมาย โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร สามารถสั่งปิดปรับปรุงตามกำหนดได้ หรือออกมาตรการเพิ่มเติมจากที่ ศบค.กำหนด ส่วนผู้ที่ไปเที่ยวในสถานบันเทิงดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป หากมีอาการผิดปกติให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจหาเชื้อ หากมีความกังวลขอรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422” นพ.โอภาสกล่าว ส่วนกรณีทูตญี่ปุ่นติดเชื้อโควิด 19 เข้ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง อาการทรงตัวดี ไม่มีอาการปอดบวม จากการสอบสวนโรคและซักถามผู้ที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า ไม่มีรัฐมนตรีท่านใดที่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่บ้านทูตญี่ปุ่น และไม่มีรัฐมนตรีท่านใดที่ไปสถานบันเทิงย่านทองหล่อดังกล่าว รวมถึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้เข้าร่วมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นายสุพัฒนพงษ์ซึ่งอยู่ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีจะเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เพื่อความสบายใจของประชาชน *********************************4 เมษายน 2564 ************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมตรวจติดตามความคืบหน้าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 การประชุมตรวจติดตามความคืบหน้าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ พร้อมคณะ ร่วมประชุมตรวจติดตามความคืบหน้าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี นายธีรยุทธ วินิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี สำหรับการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เป็นความร่วมมือระหว่าง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ภายใต้แนวคิดการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้กลยุทธ์การบริหารจัดการความยั่งยืน เน้นหลักการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความเจริญเติบโตและรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในขณะนี้การพัฒนาโครงการฯ กำลังเร่งดำเนินการในเฟสแรก ในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค บนพื้นที่กว่า 1,300 ไร่ เช่น การพัฒนาถนนและองค์ประกอบถนน งานระบบระบายน้ำฝน งานระบบน้ำเสีย งานระบบประปา ของถนนสายต่างๆในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี รวมระยะทางทั้งสิ้น 5.67 กิโลเมตร ที่ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 75% ซึ่งตามแผนการกำหนดจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564 นี้ ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการฯ คือทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง และแนวเส้นทาง One Belt One Road ที่เชื่อมโยงและเป็นประตูระหว่างกลุ่มประเทศ CLMV และจีนตอนใต้ เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางและโลจิสติกส์ในภูมิภาค และยังเป็นศูนย์การขนส่งสินค้าไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV และจีนตอนใต้ รวมถึงการขนส่งทางรางไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นอกจากนี้ แผนพัฒนาโครงการในเฟส 2 จำนวน 845 ไร่ ที่มีแผนจะพัฒนาในช่วงปี 2565 – 2567 โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายตามผังแม่บทการใช้ประโยชน์ที่ดินของนิคมฯ อาทิ อุตสาหกรรมยางพาราขั้นปลาย อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะและประกอบรถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเหล็กขั้นปลาย ศูนย์โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเหล็กขั้นปลาย และอุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิตในพื้นที่ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดโครงการ "Cook & Coff @ เขาระกำ...ท่องเที่ยวเชิงเกษตร" หวังเป็นแลนด์มาร์ค จ.ตราด กระตุ้นการท่องเที่ยวทางน้ำ จัดแข่งเจ็ทสกี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติสร้างรายได้มหาศาล
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 รมว.ยุติธรรม เปิดโครงการ "Cook & Coff @ เขาระกำ...ท่องเที่ยวเชิงเกษตร" หวังเป็นแลนด์มาร์ค จ.ตราด กระตุ้นการท่องเที่ยวทางน้ำ จัดแข่งเจ็ทสกี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติสร้างรายได้มหาศาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการเรือนจำท่องเที่ยว "Cook & Coff @ เขาระกำ...ท่องเที่ยวเชิงเกษตร" และตรวจเยี่ยม ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายคืนคนดีสู่สังคม ในวันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ สังกัดเรือนจำจังหวัดตราด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการเรือนจำท่องเที่ยว "Cook & Coff @ เขาระกำ...ท่องเที่ยวเชิงเกษตร" และตรวจเยี่ยม ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายคืนคนดีสู่สังคม โดยมีนายภิญโญ ประกอบผล ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายก อบจ.ตราด นายศักดินัย นุ่มหนู ส.ส.ตราด พรรคก้าวไกล นายวิทยา สุริยะวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นพ.ไตรฤทธิ์ เหมวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ร่วมงาน นายอายุตม์ กล่าวรายงานว่า เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ มีพื้นที่ ๑,๑๘๕ ไร่ มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนกลับสู่สังคม โดยมีการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนา ฝึกทักษะอาชีพด้านเกษตรกรรมให้กับผู้ต้องขังและได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวประมาณ ๓๐ ไร่ เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ต้องขังได้ทดลองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมจริง มีการฝึกทักษะอาชีพการประกอบอาหารประเภท สเต็ก ก๋วยเตี๋ยว กาแฟสด ให้สามารถมีอาชีพติดตัวภายหลังพ้นโทษ ด้วยจุดเด่นของที่นี่ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขา มีภูมิทัศน์และธรรมชาติที่สวยงาม ประกอบกับมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ กรมราชทัณฑ์จึงได้ขับเคลื่อนแนวนโยบายเรื่องเรือนจำท่องเที่ยวของ รมว.ยุติธรรม เพื่อเป็นการสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพแก่ผู้ต้องขัง ให้สามารถกลับคืนสังคมได้อย่างผาสุก ซึ่งเรือนจำเขาระกำแห่งนี้ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยว ลำดับที่ ๕ ของกรมราชทัณฑ์ที่เปิดอย่างเป็นทางการ และจะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ จ.ตราด ซึ่งทางจังหวัดได้คัดเลือกให้ที่นี่เป็นสถานที่จัดงานสำคัญ เช่น การแข่งขันเจ็ทสกีด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์มีภารกิจหลักในการควบคุมแและแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังไม่ให้กระทำผิดซ้ำเพื่อคืนคนดีสู่สังคม และกลับมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป กระทรวงยุติธรรมได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ จากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ที่ทรงพระราชทานแนวทางการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต และจากพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ทำให้เรือนจำชั่วคราวเขาระกำแห่งนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่มีประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน มาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมาก และเรือนจำแห่งนี้ได้นำแนวทางของนายกรัฐมนตรีในเรื่องการให้โอกาสผู้ก้าวพลาดฝึกอาชีพต่างๆ เช่น การปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด เลี้ยงสัตว์ รวมถึงสร้างงานสร้างอาชีพในระบบงานแบบนิคมอุตสาหกรรม "ผมขอชื่นชมกรมราชทัณฑ์ เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ ที่ได้สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ โดยเฉพาะโครงการเปิดจองทุเรียนยกต้น ซึ่ง ๑ ต้น มีมูลค่า ๑๕,๐๐๐ บาท หากปลูกได้ ๓๐๐ ต้น จะมีมูลค่าถึง ๔.๕ ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ให้แก่ผู้ฝึกอาชีพ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกีฬาทางน้ำต่างๆ เช่น ซับบอร์ด เรือคายัค เรือใบ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามทางธรรมชาติเหมาะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ปั่นจักรยาน วิ่งและถ่ายพรีเวดดิ้ง ซึ่งเราสามารถยกระดับให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น จีน อาหรับ ชาวยุโรป เข้ามาท่องเที่ยว จะกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่มหาศาลให้กับประเทศได้ และผมเชื่อมั่นว่าการทำโครงการเรือนจำท่องเที่ยวจะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสร้างประกายความหวัง ความเชื่อมั่นในตัวเองของผู้ต้องขัง เมื่อพ้นโทษออกไปจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ คืนคนดีสู่สังคมไม่กลับมากระทำผิดซ้ำอีก" นายสมศักดิ์ กล่าว จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้ตัดริ้บบิ้นปล่อยลูกโป่งบนซับบอร์ด เพื่อเปิดงานอย่างเป็นทางการ และได้พาคณะเยี่ยมชมนิทรรศการของกรมราชทัณฑ์ ชมตลาดอิ่มใจร้านค้าจากชุมชน และได้ทดลองชิมสเต็กโคขุนและก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังได้ร่วมปลูกต้นทุเรียนไว้ที่แปลงเกษตรของเรือนจำชั่วคราวเขาระกำ จากนั้นได้ดูการเลี้ยงโคขุน โครงการเลี้ยงไก่ การฝึกสุนัขด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​"รมว.วราวุธ" ติดตามสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง เมืองพัทยา ย้ำการท่องเที่ยวต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ​"รมว.วราวุธ" ติดตามสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง เมืองพัทยา ย้ำการท่องเที่ยวต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ​"รมว.วราวุธ" ติดตามสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง เมืองพัทยา ย้ำการท่องเที่ยวต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ "รมว.วราวุธ" ติดตามสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง เมืองพัทยา ย้ำการท่องเที่ยวต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ วันนี้ (3 เมษายน 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นำทีมผู้บริหาร ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกเมืองพัทยา ลงตรวจพื้นที่เพื่อหาแนวทางจัดการกิจกรรม Sea Walker โดยได้ย้ำให้ทุกฝ่ายมองเห็นทรัพยากรทางทะเลสำคัญกว่ารายได้จากการท่องเที่ยว พร้อมกำชับให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง และให้วางแผนรองรับการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่าหลังจากที่ได้เคยสั่งการให้ดำเนินคดีกรณีกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวเมืองพัทยา นำกลุ่มนักท่องเที่ยวทำกิจกรรมเดินใต้ทะเล (Sea Walker) โดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้ง ยังมีการจับสัตว์ทะเลและสัมผัสปะการังเล่น อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ดำเนินคดีไปแล้ว แต่ในระยะยาว ได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เร่งหารือกับทางจังหวัดชลบุรี และเมืองพัทยา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางในการจัดการ การกำหนดหลักเกณฑ์ และมาตรฐานในการออกใบอนุญาตให้กับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและไกด์นำเที่ยวด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้เกิดกรณีการท่องเที่ยวที่มีส่วนทำความเสียหายให้กับทรัพยากรใต้ทะเลอีก นายวรรวุธ ยังกล่าวอีกว่า “ทรัพยากรปะการังและสัตว์ทะเลต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฟื้นฟูให้คืนความสมบูรณ์ หากวันนี้เราทำเสียหาย กว่าจะคืนกลับมาไม่ใช่แค่รุ่นลูกที่จะได้เห็นทุกอย่างสมบูรณ์ อาจจะถึงรุ่นหลานเลยที่ได้เห็น เพราะฉะนั้น ไม่คุ้มเลยหากต้องเสียปะการังและสัตว์ทะเล เพื่อแลกกับเม็ดเงินที่จะเข้าชุมชนหรือประเทศ จึงอยากฝากไปถึงนักท่องเที่ยวทุกคนว่า ขอให้ท่องเที่ยวอย่างมีสติและคิดถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ” หลังจากนั้น รมว.ทส. ได้ร่วมดำน้ำลงสำรวจสภาพปะการังและเส้นทางการทำกิจกรรม Sea Walker ซึ่งสภาพโดยรวมยังค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้ง ได้ให้แนวทางในการจัดการการท่องเที่ยวดังกล่าว โดยให้มีการอบรมกลุ่มบริษัทท่องเที่ยว การกำหนดขั้นตอนและจำนวนนักท่องเที่ยวในการทำกิจกรรม Sea Walker เพื่อไม่ให้เกินศักยภาพที่ธรรมชาติจะรองรับได้ รวมถึง ให้มีการกำหนดช่วงเวลาทำกิจกรรมและปล่อยให้ธรรมชาติได้พักฟื้นบ้าง รวมถึง การเพิ่มกำลังพลในการตรวจตราพื้นที่ การประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมหากจำเป็น และสิ่งสำคัญ คือ การสร้างเครือข่ายพี่น้องประชาชนให้มีส่วนร่วมและช่วยกันเป็นหูเป็นตาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสริมความเข้มข้นในการเฝ้าระวัง และสุดท้าย คือ การติดตามและประเมินผล หากยังคงสร้างผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ อาจมีการพิจารณาให้ยุติการทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาด นายวราวุธ กล่าวย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40656
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากกลุ่มต่อต้านแชร์ลูกโซ่ หลังโดนหลอกร่วมลงทุนนอกอาณาจักร-ธรุกิจขายตรง เสียหายรวมหลายพันล้าน ยันให้ความยุติธรรมประชาชน ส่วนดีเอสไอเตรียมเรียกหลักฐานจดทะ
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากกลุ่มต่อต้านแชร์ลูกโซ่ หลังโดนหลอกร่วมลงทุนนอกอาณาจักร-ธรุกิจขายตรง เสียหายรวมหลายพันล้าน ยันให้ความยุติธรรมประชาชน ส่วนดีเอสไอเตรียมเรียกหลักฐานจดทะ เลขา รมว.ยุติธรรม รับหนังสือจากกลุ่มต่อต้านแชร์ลูกโซ่ หลังโดนหลอกร่วมลงทุนนอกอาณาจักร-ธรุกิจขายตรง เสียหายรวมหลายพันล้าน ยันให้ความยุติธรรมประชาชน ส่วนดีเอสไอเตรียมเรียกหลักฐานจดทะเบียนตรวจสอบ หวังเอาผิดขั้นเด็ดขาด ในวันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๒ อาคารกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง รับเรื่องจาก นางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้ก่อตั้งการต่อต้านแชร์ลูกโซ่ และหัวหน้าพรรคมะลิ ซึ่งได้นำผู้เสียหายส่วนหนึ่ง กว่า ๕๐ ราย มายื่นเรื่องกับกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบกรณีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. อ้างผู้จำหน่ายอิสระไม่ใช่ผู้บริโภค จึงไม่สามารถพิจารณาดำเนินการกรณีร้องเรียนได้ ทำให้ผู้จำหน่ายอิสระทั้งระบบทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อน หลังเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทธุรกิจขายตรงกับบริษัท ทรูเฟรนด์ ๒๐๒๐ จำกัด และกลุ่มบริษัทไอริช อินเตอร์เนชั่นแนล ๒๐๑๘ จำกัด แต่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายรวมหลายพันล้านบาท และต้องการให้ตรวจสอบ ธุรกิจ CROWD๑ ที่ไม่มีการจดทะเบียนขออนุญาตใด ๆ จึงเข้าข่ายประกอบธุรกิจแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หลังจากไปร้องเรียนกับบางหน่วยงานแต่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรม ตนยืนยันและสัญญาว่าจะรับเรื่องความเสียหายมาดำเนินการให้เรียบร้อย และขอย้ำว่าไม่อยากให้ประชาชนหลงเชื่อธุรกิจดังกล่าว ทั้งธุรกิจข้าว กาแฟขายตรง เพราะมักเอาผลตอบแทนจำนวนสูงมาล่อลวง โดยชุดแรก ๆ จะได้เงินตอบแทน แต่หลังจากนั้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมีทั้งได้เงินช้าลง และไม่ได้สักบาทเดียวก็มี โดยขณะนี้ตนได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้าไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ จะเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในการออกเอกสาร หรือใบอนุญาต เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำ ส่วนกรณีที่ไปร้องเรียนกับ สคบ. แล้วยังไม่ได้ข้อสรุปนั้น จะให้ดีเอสไอ ทำหนังสือเร่งรัดไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความคืบหน้าทางคดีต่อไป ส่วนกรณีการสร้างแฟลตฟอร์มออนไลน์เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ ของบริษัท CROWD1 ซึ่งอ้างว่ามีเครือข่ายอยู่ในต่างประเทศนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ไม่ได้มีการจดทะเบียนแต่อย่างใดในประเทศไทย โดยหลังจากนี้ตนจะสั่งการเน้นย้ำให้มีการบูรณการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น รวมถึงประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้พี่น้องประชาชนตระหนักถึงการลุงทุนในลักษณะดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ ภายใต้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้เสียหายทุกราย ที่ไม่สะดวกเดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองที่หน่วยงาน ให้สามารถส่งเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่เว็ปไซต์ของดีเอสไอได้แล้วเช่นกัน ขณะที่ นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ในส่วนธุรกิจขายตรงข้าวนั้น ดีเอสไอ ได้ตั้งเรื่องสืบสวนแล้ว โดยภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ส่วนการสร้างแฟลตฟอร์มออนไลน์ โดยหลอกว่ามีการลงทุนนอกอาณาจักรเพื่อลวงเหยื่อนั้น ในสัปดาห์หน้าเตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. เพื่อให้นำหลักฐานการกล่าวอ้างการจดทะเบียนนิติบุคคลมาให้ตนรับทราบ และเรียกผู้จดทะเบียนมาชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ควบคู่กับการสร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในทุกช่วงวัย พร้อมนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี เน้นเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ควบคู่กับการสร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในทุกช่วงวัย พร้อมนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา นายกรัฐมนตรี เน้นเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ควบคู่กับการสร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในทุกช่วงวัย พร้อมนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยความก้าวหน้าปฏิบัติการ “พาลีปราบยา” ภายใต้นโยบายของรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เปิดปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด” โดยมีเป้าหมายให้เข้าถึงตัวผู้บงการหรือผู้ค้ายารายใหญ่ สืบสวนเส้นทางการเงินเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 - 31 มีนาคม 2564 สามารถจับกุมคดียาเสพติดภาพรวม 163,603 คดี ผู้ต้องหา 170,467 ราย ของกลางยาบ้า 298 ล้านเม็ด ไอซ์ 16,041 กิโลกรัม กัญชา 15,848 กิโลกรัม เฮโรอีน 2,977 กิโลกรัม คีตามีน 803 กิโลกรัม โคเคน 22 กิโลกรัม เอ็กซ์ตาซี่ 241,591 เม็ด สามารถยึดอายัดทรัพย์คดียาเสพติด มูลค่า 3,142.81 ล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังย้ำให้เดินหน้ามาตรการปราบปรามยาเสพติด ควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานนอกระบบด้วย ขณะเดียวกันก็เน้นบำบัดรักษายาเสพติด นำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาที่เหมาะสม บำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง (CBTx) ดูแลผู้ผ่านการบำบัด โดยใช้กลไกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สำหรับผลดำเนินการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชน ผ่านสายด่วน 1386 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 30 มีนาคม 2564 จำนวนทั้งสิ้น 8,265 เรื่อง สามารถดำเนินการ 5,173 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.59 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือพบปัญหายาเสพติดผ่านทางโทรสายด่วน 1386 ในส่วนการปลดล็อกพืชกระท่อมนั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เสนอกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อถอดพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ซึ่งผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาแล้ว เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์2564 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเสนอนายกรัฐมนตรีนำร่างขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยจะมีผลบังคับใช้หลัง 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ที่เน้นการป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้นำพืชกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา “นอกจากการป้องกันปราบปรามยาเสพติดแล้ว ท่านนายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญและให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องค้ามนุษย์ ทุจริตคอร์รัปชั่น และการฮั้วประมูลต่าง ๆ อีกด้วย” โฆษกรัฐบาลกล่าว --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานเฮลั่น!! ม33เรารักกัน เงินเข้างวดสุดท้ายและกลุ่มทบทวนสิทธิผ่านได้ครบ 4,000 บาท รับสงกรานต์
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 แรงงานเฮลั่น!! ม33เรารักกัน เงินเข้างวดสุดท้ายและกลุ่มทบทวนสิทธิผ่านได้ครบ 4,000 บาท รับสงกรานต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ความคืบหน้าโครงการ ม33เรารักกัน วันนี้ (12 เม.ย.64) เป็นวันที่โอนเงินงวดสุดท้าย จำนวน 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาทให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับสิทธิ และกลุ่มที่ทบทวนสิทธิผ่านก็จะได้รับเงิน จำนวน 4,000 บาท เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ ม33เรารักกันว่า หลังจากที่วันนี้ (12 เม.ย.64) เป็นวันที่ได้มีการโอนเงินงวดที่ 4 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายของโครงการ จำนวน 1,000 บาท จบครบ 4,000 บาท ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับสิทธิ ส่วนกรณีผู้ที่ทบทวนสิทธิผ่านแล้วในวันนี้ก็จะได้รับเงินครบ 4,000 บาท ผ่านแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ เช่นเดียวกัน เพื่อให้พี่น้องแรงงานสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า โครงการ ม33เรารักกัน ที่รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ถือว่าได้ประโยชน์กับผู้ประกันตนหลายกลุ่ม ซึ่งพวกเขายังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเยียวยามาก่อน แม้ว่าเงิน 4,000 บาทจะดูเหมือนไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้มาก เนื่องจากเขาสามารถนำเงินที่ได้รับสัปดาห์ละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท ไปจ่ายใช้ในสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เงินส่วนนี้สามารถนำไปใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’เพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างร้านธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ รวมถึงช่วยพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยอย่างหาบเร่แผงลอยได้ด้วยก็จะเกิดเงินหมุนเวียนในหลายรอบและส่งผลทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวตามมาอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเงินจากโครงการ ม33เรารักกัน สามารถนำเงินในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น.ของทุกวัน ไปจนถึงวันที่ 31 พ.ค.64 เท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช1442 วันที่12เมษายน2564 ------------------ พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอนประจำฮิจเราะห์ศักราช1442ผมขอส่งความปรารถนาดีและขอแสดงความยินดีต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศที่จะได้ปฏิบัติศาสนกิจสำคัญในเดือนแห่งความศรัทธาของพี่น้องชาวมุสลิมในการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์รวมทั้งทดสอบความเข้มแข็งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณด้วยการถือศีลอดการละเว้นอบายมุขทุกประเภทและการยึดมั่นในการทำความดีอันเป็นการสร้างกุศลอันแรงกล้าแก่ตนเอง ในปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยอาจส่งผลต่อการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาหลายๆประการแต่การฝึกตนในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ย่อมจะทำให้ท่านทั้งหลายได้ใช้สติและความอดทนที่จะดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาทซึ่งจะช่วยทำให้จิตใจผู้ปฏิบัติมีความบริสุทธิ์งอกงามด้วยศรัทธาอันแรงกล้าและคุณงามความดีที่ได้เพียรปฏิบัตินี้ย่อมจะส่งผลให้ตนเองชุมชนสังคมและประเทศชาติมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นต่อไป ในโอกาสอันเป็นมงคลในเดือนรอมฎอนประจำปีฮิจเราะห์ศักราช1442นี้ผมขอให้พระผู้อภิบาลได้โปรดประทานพรอันประเสริฐให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกคนจงประสบแต่ความสุขสวัสดีมีความจำเริญรุ่งเรืองมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงและสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการเพื่อร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขแก่ประเทศชาติสืบไป สวัสดีครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 ส่งความปรารถนาดีต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 ส่งความปรารถนาดีต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ สารนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 ส่งความปรารถนาดีต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเนื่องในโอกาสต้อนรับเดือนรอมฎอน ประจำฮิจเราะห์ศักราช 1442 ส่งความปรารถนาดีและขอแสดงความยินดีต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศที่จะได้ปฏิบัติศาสนกิจสำคัญในเดือนแห่งความศรัทธาของพี่น้องชาวมุสลิมในการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ รวมทั้งทดสอบความเข้มแข็งทางด้านร่างกาย และจิตวิญญาณ ด้วยการถือศีลอด การละเว้นอบายมุขทุกประเภท และการยึดมั่นในการทำความดี อันเป็นการสร้างกุศลอันแรงกล้าแก่ตนเอง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย อาจส่งผลต่อการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาหลาย ๆ ประการ แต่การฝึกตนในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ย่อมจะทำให้ท่านทั้งหลายได้ใช้สติและความอดทน ที่จะดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ซึ่งจะช่วยทำให้จิตใจผู้ปฏิบัติ มีความบริสุทธิ์งอกงามด้วยศรัทธาอันแรงกล้า และคุณงามความดีที่ได้เพียรปฏิบัตินี้ย่อมจะส่งผลให้ตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นต่อไป นายกรัฐมนตรีอวยพรเนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลในเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1442 ขอให้พระผู้อภิบาลได้โปรดประทานพรอันประเสริฐให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกคนจงประสบแต่ความสุขสวัสดี มีความจำเริญรุ่งเรือง มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง และสัมฤทธิผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการ เพื่อร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขแก่ประเทศชาติสืบไป ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 ทุกคน ได้รับการรักษาฟรี ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน มีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วย
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 ทุกคน ได้รับการรักษาฟรี ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน มีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วย สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 ทุกคน ได้รับการรักษาฟรี ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน มีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขยืนยันคนไทยที่ติดเชื้อโควิด 19 ทุกคนจะต้องได้รับการรักษาฟรี มีเตียงรองรับทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน และมีHospitel เสริม หากตรวจพบเชื้อแล้วยังไม่ได้เตียง โทรสายด่วนกรมการแพทย์ 1668 หรือ สายด่วน สปสช. 1330 ขอความร่วมมือทุกคนที่ป่วย แม้ไม่มีอาการให้เข้ารับการรักษาตามระบบ ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ครอบครัวและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด วันนี้ (12 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวในประเด็นการบริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้นโยบายว่า ผู้ติดเชื้อโควิดทุกรายควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งกรมการแพทย์เป็นหน่วยงานหลักที่บริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ติดเชื้อ โดยทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้ทำงานเป็นเครือข่าย จัดทำข้อมูลเตียงผ่านระบบคอมพิวเตอร์ (Co-Ward) ในการบริหารจัดการเตียงร่วมกัน ข้อมูล ณ วันที่ 11 เมษายน 2564 ทั่วประเทศ มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั้งจากโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ทั้งหมด 23,483 เตียง ว่างอยู่ 18,257 เตียง สำหรับภาพรวมในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล มีเตียงรองรับทั้งหมด 4,454 เตียง ว่างอยู่ 2,056 เตียง หากรวมเตียงสนามและ Hospitel ที่ได้รับความร่วมมือจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและภาคเอกชน ที่ขณะนี้ว่างอยู่ อีก 944 เตียง จะสามารถรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ได้ทั้งหมด 3,000 เตียง ขอให้ความมั่นใจว่าผู้ติดเชื้อทุกคนไม่ว่าจะเป็นสิทธิการรักษาจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกันสังคม หรือสิทธิข้าราชการ จะต้องได้รับการรักษาฟรี จากทุกโรงพยาบาล ยกเว้นผู้ที่มีประกันสุขภาพ โรงพยาบาลจะคิดค่ารักษาจากประกันก่อน นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนให้มีการบริหารจัดการเตียงเป็นเครือข่าย หากตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลเอกชนจะเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนก่อน และจะมีHospitel ซึ่งใช้ห้องพักโรงแรมทำเป็นโรงพยาบาล มีโรงพยาบาลคู่ขนานดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย และไม่มีอาการแทรกซ้อน มีแพทย์ พยาบาล ประจำ ประเมินอาการทุกวัน หากอาการแย่ลง จะส่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลทันที นอกจากนี้ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดทำสายด่วน เพื่อรองรับสถานการณ์ และจัดการเตียงสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ได้แก่ สายด่วนกรมการแพทย์ (เฉพาะกิจ) 1668 รับสาย 08.00-22.00 น. ทุกวัน และสายด่วน สปสช. 1330 รับสายตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน นอกจากนี้ กรุงเทพมหานคร โดยศูนย์เอราวัณ ได้เพิ่มสายด่วน 1669 ร่วมกันประสานหาเตียงให้กับผู้ติดเชื้อโควิด 19 “ขอความร่วมมือผู้ที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อโควิด 19 แล้ว ทุกคนให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แม้จะไม่มีอาการ เนื่องจากอาจไม่เคร่งครัดการแยกตัวจากผู้อื่น และอาจพบอาการปอดอักเสบได้ในระยะหลัง ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างการรอผลการตรวจให้เคร่งครัดมาตรการ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ครอบครัวและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด”นพ.สมศักดิ์กล่าว นพ.สมศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็น ผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์นั้น ส่วนใหญ่ (มากกว่า 2 ใน 3)ของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ อาจพบอาการรุนแรงได้ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือครรภ์เป็นพิษ ข้อมูลจากกกรมอนามัย พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อจำนวน 60 ราย ยังไม่พบรายใดที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต ส่วนการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกข้อมูลจากทั่วโลกพบได้เพียงร้อยละ 2- 5และทารกมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด ประมาณร้อยละ 15.1 และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องการแท้งบุตร อย่างไรก็ตามควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากสูติ-นรีแพทย์ ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ติดเชื้อ ขอให้เข้ารับการฝากครรภ์ตามปกติ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากาอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดหรือสถานที่ชุมชน อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตนโล่งใจ แรงงาน จับมือ มหาดไทย สปสช. ตรวจโควิด-19 ฟรี!! เริ่มต้นที่ กทม. แห่งแรก
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ผู้ประกันตนโล่งใจ แรงงาน จับมือ มหาดไทย สปสช. ตรวจโควิด-19 ฟรี!! เริ่มต้นที่ กทม. แห่งแรก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ประกันตนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 กำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สปสช. และกรุงเทพมหานคร เพิ่มช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการตรวจหาเชื้อโควิด -19 แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ฟรี โดยกระทรวงแรงงานประสานโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมมาให้บริการ ณ อาคากีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยนายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงานเพื่อมาหารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับคุณสมบัติของคนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง และสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 300 คน ทราบผลการตรวจภายใน 24 – 48 ชั่วโมง ซึ่งจะ kick off ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้หารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงแรงงานจะบูรณาการทำงานร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่กำลังเดินทางกลับจากเทศกาลสงกรานต์เข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ฟรี ทั้งนี้ หากพบว่าผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด -19 จะได้รับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มีHQ 200 กว่าเตียง สำหรับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 แก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมาตรา 33,39 และ 40 ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มช่องทางของหน่วยบริการตรวจ เนื่องจากขณะนี้หลายโรงพยาบาลมีผู้มาใช้บริการเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด -19 เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความแออัด คิวยาว กระทรวงแรงงานจึงมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตน ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอีกทางหนึ่งอันจะส่งผลให้ภาคธุรกิจดำเนินการต่อไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล เลี่ยงจุดเสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง ดื่มแอลกอฮอล์ขาดสติติดเชื้อง่าย
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 สธ.เน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล เลี่ยงจุดเสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง ดื่มแอลกอฮอล์ขาดสติติดเชื้อง่าย สธ.เน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล เลี่ยงจุดเสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง ดื่มแอลกอฮอล์ขาดสติติดเชื้อง่าย กระทรวงสาธารณสุข พบภาพรวมผู้ติดเชื้อกระจายตัวไปหลายจังหวัด สาเหตุหลักจากสถานบันเทิง ให้เข้มมาตรการส่วนบุคคล เลี่ยงจุดเสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง ดื่มแอลกอฮอล์ขาดสติติดเชื้อได้ง่าย หากรู้ตัวมีความเสี่ยง ให้เฝ้าระวังตนเอง ไม่พบปะคนหมู่มากจะช่วยให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ (12 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 985 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 634 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 346 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 5 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้ว 570,052 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 498,791 ราย และครบ 2 เข็ม 71,261 ราย โดยฉีดให้กับ บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข และ อสม. จำนวน 200,525 คน, เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 48,765 คน ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 25,939 คน ,ผู้ที่มีโรคประจำตัว 22,2143 คน และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 201,319 คน นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อของประเทศไทยขณะนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมส่วนใหญ่ติดเชื้อจากการไปเที่ยวในสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และแพร่เชื้ออย่างรวดเร็วไปยัง 72 จังหวัด ทำให้เกิดการแพร่เชื้อในครอบครัว และยังแพร่เชื้อกันภายในจังหวัดด้วย ดังนั้นหากรู้ตัวมีความเสี่ยง ให้เฝ้าระวังตนเอง ไม่พบปะคนหมู่มาก และเข้มมาตรการส่วนบุคคล ไม่นำตัวเองไปในสถานที่เสี่ยง กิจกรรมเสี่ยง และเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากจะทำให้ขาดสติ มีพฤติกรรมง่ายต่อการติดเชื้อได้ หากทุกคนช่วยกันจะทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระยะเวลาไม่นาน นอกจากนี้ขอชื่นชม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่ (ข้อมูลล่าสุด 12 เมษายน 2564) มีผู้ติดเชื้อจำนวน 52 ราย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากผู้ติดเชื้อจากสถานบันเทิงในกรุงเทพมหานคร และแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัว และในสถานบันเทิงอื่นๆ โดยได้เร่งติดตาม สอบสวนและควบคุมโรค นำผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คัดกรองผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำ และปิดสถานที่เสี่ยง ส่วนมาตรการที่ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นได้ทำบิ๊กคลีนนิ่ง ปฏิบัติการทำลายเชื้อทุกจุดเสี่ยงในหัวหิน เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้หัวหินปลอดเชื้อแล้ว ส่วนที่เชียงใหม่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน และจากสถานบันเทิง ได้ดำเนินการดูแลตามระบบโดยมีโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 สำหรับวัคซีนจากซิโนแวคล็อตที่ 3 จำนวน 1 ล้านโดส ที่มาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ขณะนี้ อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบคุณภาพ (Lot Release) คาดว่าภายใน 2-3 วัน กระจายไปยังจังหวัดต่างๆ และฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องการติดเชื้อ ลดการป่วยที่รุนแรง การเสียชีวิต และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดในประเทศ สำหรับกรณีประสิทธิภาพ ของวัคซีนซิโนแวค ขอยืนยันว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในระดับมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกรับรองว่ามากกว่าร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วแต่ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ ขอให้ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก คงเข้มมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ให้ได้ 100% ล้างมือ หลีกเลี่ยง สถานที่เสี่ยง ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มั่นใจไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเจ็ตสกีและกอล์ฟระดับโลก ชูไทยแบบอย่างที่ดีในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายุค New Normal
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 นายกฯ มั่นใจไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเจ็ตสกีและกอล์ฟระดับโลก ชูไทยแบบอย่างที่ดีในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายุค New Normal นายกฯ มั่นใจไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเจ็ตสกีและกอล์ฟระดับโลก ชูไทยแบบอย่างที่ดีในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายุค New Normal นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมความสามารถในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกของไทย พร้อมเป็นต้นแบบการจัดการแข่งขันกีฬาโลก ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับโลกอย่างต่อเนื่องอีก 3 รายการ ได้แก่ - การแข่งขันเจ็ตสกี เวิลด์คัพ (JET SKI WORLD CUP) ระหว่างวันที่ 21-25 เมษายน 2564 - การเเข่งขันเจ็ตสกี โปรทัวร์ 2021 (JET SKI PRO TOUR 2021) ทั้งหมด 4 สนาม ระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2564 - การแข่งขันกอล์ฟสตรีระดับ LPGA (Ladies Professional Golf Association) รายการ Honda LPGA Thailand ระหว่างวันที่ 6 – 9 พฤษภาคม 2564 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั่วโลกชื่นชมความสำเร็จในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน HSBC BWF World Tour in Bangkok ด้วยการจัดการแบบวิถีใหม่ New Normal ที่ผ่านมา ไว้วางใจมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดที่ได้ดูแลความปลอดภัยให้กับนักกีฬาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่ การตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทาง ผ่านมาตรการกักตัว (Quarantine) สร้างระบบ Bubble ในแต่ละกิจกรรม และเน้นให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 D-M-H-T-T ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนของไทย รวมทั้ง มาตรการทางสาธารณสุขไทยที่เข้มงวดครอบคลุม ไทยจะสามารถจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างสำเร็จเป็นความภาคภูมิใจของชาติ และส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ....
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 ห่วงคนหางาน กำชับเจ้าหน้าที่ให้บริการจัดหางาน ใส่ใจประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 จับกัง1 ห่วงคนหางาน กำชับเจ้าหน้าที่ให้บริการจัดหางาน ใส่ใจประชาชน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า มีความห่วงใยคนตกงานจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ได้มอบหมายนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางานตรวจสอบการให้บริการจัดหางานทั่วประเทศ พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่นอกจากปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้ว ยังต้องปฏิบัติงานด้วยความใส่ใจประชาชน เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ว่างงานได้เข้าถึงตำแหน่งงาน นำไปสู่การมีงานทำ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าคนไทยที่ประสงค์ทำงานต้องได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงการจ้างงานที่สะดวกรวดเร็ว เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ล่าสุดได้สั่งการจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศและผู้อำนวยการสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่1-10 เตรียมตำแหน่งงานว่างในพื้นที่ให้บริการคนหางาน ซึ่งจากข้อมูลขณะนี้แต่ละพื้นที่ยังมีสถานประกอบการที่มีความประสงค์จ้างงานและมีตำแหน่งงานอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานให้บริการด้วยความใส่ใจ คำนึงถึงความลำบากของคนหางาน เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการหางานได้งานทำตามความต้องการโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการหางานทำ นายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความประสงค์จะรับคนเข้าทำงาน สามารถใช้บริการจัดหางานผ่านเว็บไซต์ smartjob.doe.go.th และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงตรวจด่านสบปราบ-แม่พริก ติดตามสถานการณ์ยาเสพติดพื้นที่ลำปาง พร้อมมอบอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานปราบปราม ชมทุกคนทำงานหนักเพื่อช่วยให้สังคมดีขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 รมว.ยุติธรรม ลงตรวจด่านสบปราบ-แม่พริก ติดตามสถานการณ์ยาเสพติดพื้นที่ลำปาง พร้อมมอบอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานปราบปราม ชมทุกคนทำงานหนักเพื่อช่วยให้สังคมดีขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส.และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสกัดกั้นยาเสพติด เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ ณ ด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ อ.สบปราบ จ.ลำปาง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสกัดกั้นยาเสพติด โดยมี ว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พล.ต.ต.เฉลิมพล จินตรัตน์ รอง ผบช.ภ.๕ พล.ต.ต.นันทวิทย์ เทียมบุญธง ผบก.ภ.จว.ลำปาง นายพนมพร ตุ้ยกาศ นายอำเภอสบปราบ พ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง ให้การต้อนรับ โดย พ.ต.อ.จรัญ สุวรรณเวช ผกก.สภ.สบปราบ จ.ลำปาง รายงานสถานการณ์ด้านยาเสพติด และผลการดำเนินงานสกัดกั้นยาเสพติดปี ๒๕๖๑ - ปัจจุบัน สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ๓๐๔ คน ของกลางยาบ้า ๖๓๓,๗๘๙ เม็ด ไอซ์ ๕๓๑ กิโลกรัม และกัญชา ๓๔๖ กรัม สำหรับคดีที่น่าสนใจ อาทิ วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ จับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางไอซ์น้ำหนัก ๕๐๐ กิโลกรัม วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า ๔ แสนเม็ด และล่าสุดวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า ๖ พันเม็ด ที่กำลังลำเลียงไปยังจังหวัดสุโขทัย ต่อมาเวลา ๑๒.๐๐ น. นายสมศักดิ์ และคณะได้เดินทางไปยังด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก สภ.แม่พริก จ. ลำปาง โดยมี พ.ต.อ.นภดล ใบเรือ ผกก.สภ.แม่พริก จ.ลำปาง ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานสถานการณ์ด้านยาเสพติด และผลการดำเนินงานสกัดกั้นยาเสพติดที่ผ่านมา อาทิ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า ๒.๕ ล้านเม็ด วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๓ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางไอซ์ ๑๘๖ กิโลกรัม วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า ๕ ล้านเม็ด วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้าได้ ๔ แสนเม็ด นายสมศักดิ์ ระบุว่า เวลานี้การตรวจค้นของทุกฝ่ายทั้ง ตำรวจ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ปกครองคงยากลำบาก เพราะสถานการณ์แพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 และต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก และยังเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีคนเดินทางเยอะ ส่วนในเรื่องการจับกุมปราบปราม ตนขอชื่นชมทุกฝ่ายทำงานหนัก แม้ว่าการจับกุมยาบ้าล่าสุดที่ สภ.สบปราบ จับกุมได้ล่าสุดวันนี้ ๖,๐๐๐ เม็ด จำนวนอาจไม่มากแต่หากลงสู่ชุมชน จะกลายเป็นปัญหาที่ตามมาเราอาจต้องทำงานหนักขึ้นในการแก้ปัญหายาเสพติดเพื่อให้สังคมนั้นดีขึ้น จากนั้นนายสมศักดิ์ และนายวิชัย ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำยาตรวจปัสสาวะ ถุงมือยาง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ ด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ อ.สบปราบ จ.ลำปาง และด่านตรวจยาเสพติดแม่พริก สภ.แม่พริก จ.ลำปาง ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บรรยากาศการเดินทางช่วงสงกรานต์ วันที่ 10 เม.ย.64 หมอชิต 2 เงียบเหงามีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาบางตา
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 บรรยากาศการเดินทางช่วงสงกรานต์ วันที่ 10 เม.ย.64 หมอชิต 2 เงียบเหงามีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาบางตา ขณะที่ บขส. ยังคุมเข้มมาตรการด้านความปลอดภัย และร่วมรณรงค์ “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยตัวเลขผู้โดยสารเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564) บขส. ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ (เที่ยวไป) จำนวน 4,046 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 58,244 คน ส่วนเที่ยวกลับ ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ จำนวน 3,874 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 42,833 คน ในวันที่ 10 เมษายน 2564 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนา ประมาณ 50,000 คน โดย บขส. ยังคงจัดรถโดยสารรองรับการเดินทางในเที่ยวไป กว่า 5,000 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 100,000 คน ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางมายังสถานีขนส่งผู้โดยสารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ก่อนเวลารถออก และผู้ที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้าให้ตรวจสอบเวลาและจุดขึ้นรถที่ระบุในบัตรโดยสาร โดยเฉพาะเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากในปีนี้ บขส.จัดรถโดยสารออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 เท่านั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า หลังจาก บขส. ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้โดยสารที่มีความประสงค์งดการเดินทางในระหว่างวันที่ 8 -18 เมษายน 2564 ให้คืนตั๋วโดยสาร บขส. ได้เต็มราคา ไม่หักค่าธรรมเนียม ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 10 เมษายน 2564) มีผู้โดยสารขอคืนตั๋วแล้ว จำนวน 9,322 ใบ คิดเป็น 15.74% โดยเส้นทางเหนือ มีผู้โดยสารคืนตั๋วมากที่สุด รองลงมาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ ทั้งนี้ ผู้โดยสาร ยังติดต่อขอคืนตั๋วหรือ เลื่อนการเดินทาง ได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ก่อนเวลารถออก ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนผู้โดยสารใช้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ , โครงการ“เราชนะ” และโครงการ “ม33เรารักกัน” ไม่สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วได้ แต่สามารถแจ้งเลื่อนการเดินทางได้ ก่อนเวลารถออกไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี บขส. ได้ร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” โดยการแจกหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในการสร้างความปลอดภัย เช่น คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้สั่งกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายให้เพิ่มการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง และบนรถโดยสาร ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และขอให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทาง สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ขณะใช้บริการตลอดเวลา รวมทั้งให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะหรือแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ และในการเดินทางข้ามจังหวัด ขอให้ประชาชน ติดตามข้อมูลข่าวสารและประกาศเข้าพื้นที่ของแต่ละจังหวัดก่อนออกเดินทางด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เผยภาพรวมการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 8-10 เม.ย. 2564
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 บขส. เผยภาพรวมการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 8-10 เม.ย. 2564 มีผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนากว่า 1.5 แสนคน พร้อมสั่งคุมเข้มมาตรการด้านความปลอดภัย และร่วมรณรงค์ “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยตัวเลขผู้โดยสารเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ตั้งแต่วันที่ 8-10 เมษายน 2564 บขส. ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ (เที่ยวไป) จำนวน 11,634 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 158,287 คน ส่วนเที่ยวกลับ ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ จำนวน 11,108 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 116,152 คน น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่งดเดินทาง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังมีประชาชนทยอยคืนตั๋วโดยสาร โดยข้อมูลล่าสุดของวันที่ 10 เมษายน 2564 มีผู้โดยสารขอคืนตั๋วเพิ่มอีก 4,138 ใบ ทำให้ยอดรวมการคืนตั๋วโดยสารสะสมอยู่ที่ 13,460 ใบ คิดเป็น 22.73% ของจำนวนที่นั่งที่มีการจำหน่ายตั๋วเดินทางระหว่างวันที่ 8-18 เมษายน 2564 โดยเส้นทางภาคเหนือ มีผู้โดยสารคืนตั๋วมากที่สุด รองลงมาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ "แม้ว่าจะมีผู้โดยสารทยอยคืนตั๋ว แต่ยังมีผู้โดยสารมาซื้อตั๋วเดินทางอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้บรรยากาศการเดินทางในช่วงสงกรานต์ปีนี้ไม่เงียบเหงานัก" นายสัญลักข์ กล่าว สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ บขส. ได้กำชับพนักงานขับรถเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ เนื่องจากในระยะนี้หลายพื้นที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขอให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เช่น ขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด คาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง เป็นต้น นอกจากนี้ ได้สั่งกำชับไปยังนายสถานีเดินรถและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพิ่มการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารและบนรถโดยสาร ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอให้ผู้ใช้บริการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารและประกาศเข้าพื้นที่ของแต่ละจังหวัดก่อนออกเดินทางด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ทำงานเชิงรุกเปลี่ยนวัดทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หวังประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ทำงานเชิงรุกเปลี่ยนวัดทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หวังประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ทำงานเชิงรุกเปลี่ยนวัดทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หวังประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายแผนงานช่วยเหลือประชาชาชนให้เข้าถึงสิทธิการไกล่เกลี่ยตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยล่าสุดกรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้ทำงานเชิงรุกให้บริการประชาชนโดยดึงวัดเข้ามีส่วนร่วม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามมติมหาเถรสมาคม จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ให้วัดที่มีความพร้อม ได้แก่ วัดเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร วัดเจ้าคณะเขต วัดเจ้าคณะแขวง วัดเจ้าคณะจังหวัด วัดเจ้าคณะอำเภอ วัดเจ้าคณะตำบล จัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ประชาชน รวมถึงนำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาเสริมความรู้ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ กรมคุ้มครองสิทธิฯ ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 แก่พระสงฆ์ ผ่านวัดพื้นที่ 180 แขวงในกทม. และอีก 76 จังหวัด โดยหวังว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะลดลง ภายใต้การมีส่วนร่วม "บวร" บ้าน วัด โรงเรียน ผ่านการดำเนินงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชน "กรมคุ้มครองสิทธิ จะดึงทุกภาคส่วนเข้าร่วมกับประชาชน และจะดึงทุกศาสนาที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการไกล่เกลี่ยด้วย เพื่อให้เข้าถึงและเป็นเครื่องมือในการบรรเทาช่วยเหลือสังคมลดความเดือดร้อน และจะเดินหน้าให้บริการในทุกมิติ หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยใดและหาคำตอบไม่ได้ สามารถ โทรปรึกษาได้ที่ 1111 กด 77 ตลอด 24 ชม."อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งกำลังใจให้ “โปรเหมียว” มุ่งสู่อันดับที่สูงขึ้น หลังคว้าแชมป์กอล์ฟ แอลพีจีเอทัวร์ ปี 2021
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 นายกฯ ส่งกำลังใจให้ “โปรเหมียว” มุ่งสู่อันดับที่สูงขึ้น หลังคว้าแชมป์กอล์ฟ แอลพีจีเอทัวร์ ปี 2021 นายกฯ ส่งกำลังใจให้ “โปรเหมียว” มุ่งสู่อันดับที่สูงขึ้น หลังคว้าแชมป์กอล์ฟ แอลพีจีเอทัวร์ ปี 2021 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความยินดีพร้อมส่งกำลังใจให้ นางสาวปภังกร ธวัชธนกิจ หรือ “โปรเหมียว” นักกีฬากอล์ฟไทย ซึ่งล่าสุดคว้าแชมป์ LPGA Tour (Ladies Professional Golf Association) รายการ ANA Inspiration 2021 ระดับเมเจอร์แรกของการแข่งขันกีฬากอล์ฟอาชีพสตรีในปีนี้ ณ สนามมิชชั่นฮิลล์ส คันทรีคลับ เมืองแรนโช มิราจ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1-4 เมษายน 2564 ในคะแนนรวม -18 คะแนน และได้รับการจัดอันดับโลกนักกอล์ฟหญิง (The Rolex Women's World Golf Rankings) จากอันดับที่ 103 ของโลก เป็นอันดับที่ 13 ของโลก ด้วยคะแนนเฉลี่ยสะสม 4.03 คะแนน (https://www.rolexrankings.com/rankings) โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ติดตามการแข่งขันมาโดยตลอด เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันที่สามารถทำออกมาได้คะแนนสูงและทำได้ดี ซึ่งชัยชนะครั้งนี้จะเป็นแนวทางที่นำไปสู่การแข่งขันระดับสูงในอนาคต โดยนายกรัฐมนตรี “ส่งกำลังใจให้โปรเหมียวประสบความสำเร็จและก้าวหน้าต่อไป เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยและวงการกีฬากอล์ฟอาชีพของไทย” พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งพัฒนาส่งเสริมนักกีฬาไทยตามความถนัดและความสามารถให้พร้อมต่อการแข่งขันทุกรูปแบบทั้งกีฬาเดี่ยวและกีฬาทีม ขณะเดียวกันได้มอบแนวทางให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ว่าจะทำอย่างไรให้มีนักกีฬาใหม่เพิ่มมากขึ้น และพัฒนาให้มีรูปร่างเป็นนักกีฬา เนื่องจากรูปร่างคนไทยส่วนใหญ่นั้นตัวเล็ก ความเข้มแข็งอดทนอาจสู้ไม่ได้ในระยะยาว จึงอาจเน้นการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และจัดการคัดเลือกนักกีฬาช้างเผือก นักกีฬาที่มีพรสวรรค์มาสู่วงการกีฬา เพราะเมื่ออายุมากขึ้น จะสามารถต่อยอดไปเป็นโค้ชอีกอาชีพหนึ่งได้ ในโอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมถึงความมุ่งมั่นของโปรเหมียวในการไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากความสามารถและเทคนิคด้านการกีฬา จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน และนักกีฬารุ่นใหม่ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาและส่งเสริมวงการกีฬาไทยให้มีความพร้อมในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เดินหน้า 4 มาตรการหลักควบคุมโควิดระลอกเมษายน
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 สธ.เดินหน้า 4 มาตรการหลักควบคุมโควิดระลอกเมษายน กระทรวงสาธารณสุขเผยโควิดระลอกเมษายนติดเชื้อในประเทศ 3,661 ราย ใน 70 จังหวัด คาดปิดสถานบันเทิงลดติดเชื้อร้อยละ 32.8 หากเพิ่มมาตรการส่วนบุคคล ลดการรวมตัว และทำงานที่บ้าน จะลดการติดเชื้อลงเป็นขั้น เร่งเดินหน้า 4 มาตรการหลัก ช่วยควบคุมการแพร่ระบาด กระทรวงสาธารณสุขเผยโควิดระลอกเมษายนติดเชื้อในประเทศ 3,661 ราย ใน 70 จังหวัด คาดปิดสถานบันเทิงลดติดเชื้อร้อยละ 32.8 หากเพิ่มมาตรการส่วนบุคคล ลดการรวมตัว และทำงานที่บ้าน จะลดการติดเชื้อลงเป็นขั้น เร่งเดินหน้า 4 มาตรการหลัก ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ วันนี้ (11 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 967 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 530 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 434 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกตั้งแต่วันที่ 1-11 เมษายน 2564มีผู้ติดเชื้อสะสม 3,762 ราย (ติดเชื้อในประเทศ 3,661 ราย และจากต่างประเทศ 101 ราย) หายป่วยแล้ว 788 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 4,314 ราย เสียชีวิตสะสม 3 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้ว 555,396 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 485,957 ราย และครบ 2 เข็ม 69,439 ราย “ขณะนี้ประเทศไทยมีการติดเชื้อแล้ว 70 จังหวัด ซึ่งเชื่อมโยงจากสถานบันเทิง ดังนั้น ผู้ที่เคยไปสถานบันเทิงต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการอย่างน้อย 14 วันจากวันที่ไปครั้งสุดท้าย หากมีอาการขอให้ไปตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว และระมัดระวังตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่คนอื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กในครอบครัว” นายแพทย์โสภณกล่าว นายแพทย์โสภณกล่าวว่า กองระบาดวิทยา และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศทำแบบจำลองคณิตศาสตร์เพื่อคาดประมาณจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 ในระยะ 1 เดือนข้างหน้า โดยเปรียบเทียบ5 สถานการณ์ที่มีการเพิ่มมาตรการเป็นขั้นพบว่า หากไม่มีมาตรการใดๆ อาจมีผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 9,140 รายต่อวันมีมาตรการปิดสถานบันเทิงจังหวัดเสี่ยงผู้ติดเชื้อลดลงเหลือร้อยละ 32.8 เมื่อเพิ่มมาตรการส่วนบุคคล เช่น สวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ลดการติดเชื้อลงเหลือร้อยละ 10.2 เพิ่มมาตรการลดกิจกรรมการรวมตัว ลดการติดเชื้อลงอีกเหลือร้อยละ 6.5 และเมื่อเพิ่มมาตรการองค์กร เช่น ทำงานที่บ้าน จะลดการติดเชื้ออีกเหลือร้อยละ 4.3 หรือเท่ากับผู้ติดเชื้อ 391 รายต่อวัน ทั้งนี้ การควบคุมโรคโควิด 19 ต้องอาศัย 4 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการสังคม คือ ลดกิจกรรมชุมนุมสังสรรค์ ลดการเดินทางข้ามจังหวัดที่ไม่จำเป็น ผู้นำชุมชนค้นหาติดตามผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง 2.มาตรการสาธารณสุข คือ คัดกรองเชิงรุก นำผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษา ลดโอกาสการแพร่เชื้อต่อ ป้องกันการเสียชีวิตในผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และฉีดวัคซีนให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 3.มาตรการส่วนบุคคล คือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ ตรวจวัดอุณหภูมิ หากมีอาการสงสัยตรวจหาเชื้อ ส่วนผู้ที่ประวัติเสี่ยงให้กักตัว 14 วัน และ 4.มาตรการองค์กร เน้นย้ำการทำงานจากที่บ้าน จัดประชุมหรือจัดการเรียนการสอนออนไลน์ นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐบาลให้ผู้ติดเชื้อโควิด 19 เข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อต่อ ดังนั้น การบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อ จึงมีการเปิดสายด่วน 1668 และ 1330 เพื่อประสานจัดหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่มีเตียง นอกจากนี้ มีการทำตึกผู้ป่วยสำหรับดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ (โคฮอร์ดวอร์ด) , Hospitel และโรงพยาบาลสนาม เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลมากกว่าพันเตียง โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตั้งโรงพยาบาลสนามแล้ว 470 เตียง เป็นต้น เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่อาการดี ทำให้โรงพยาบาลปกติมีเตียงรองรับในการรักษาผู้ติดเชื้อมีอาการรายใหม่เพิ่มขึ้นได้ สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประชาชนทั่วไป จะเริ่มเมื่อมีวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้าในเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งเป้าฉีดเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งประชาชนสามารถลงทะเบียนเพื่อขอเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ทางแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 โดยสถานพยาบาลจะนัดมารับวัคซีนตามกำหนดต่อไป ********************************** 11 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ.ยง ชี้วัคซีนที่ฉีดในประเทศไทย มีประสิทธิภาพ ป้องกันเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์อังกฤษได้
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 อ.ยง ชี้วัคซีนที่ฉีดในประเทศไทย มีประสิทธิภาพ ป้องกันเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์อังกฤษได้ ศ.นพ.ยง ชี้วัคซีนที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีป้องกันการป่วยที่มีอาการมากและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากวัคซีนอื่น ๆ และป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษได้ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ศ.นพ.ยง ชี้วัคซีนที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีป้องกันการป่วยที่มีอาการมากและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากวัคซีนอื่น ๆ และป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษได้ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ส่วนกรณีความกังวลการติดเชื้อที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องตรวจเชื้อทุกคน คนที่สัมผัสใกล้ชิด กินข้าวร่วมกัน ถือว่าเสี่ยงสูงควรตรวจ ส่วนผู้ร่วมงานอื่น ๆ เสี่ยงต่ำ แยกตัวสังเกตอาการ 14 วัน สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง วันนี้ (11 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19ที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งของซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีมากในการลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการป่วยที่มีอาการมาก และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากวัคซีนของโมเดอร์นาไฟเซอร์ และอื่น ๆ ส่วนการป้องกันอาการน้อยถึงปานกลาง วัคซีนซิโนแวคป้องกันได้ 78 เปอร์เซ็นต์ แอสตร้าเซนเนก้าได้ 76 เปอร์เซนต์ ขอให้มั่นใจในประสิทธิภาพวัคซีนที่นำมาใช้ในประเทศไทย สำหรับคำถามว่าฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่นั้น ไวรัสกลายพันธุ์ที่พบขณะนี้เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 เป็นอาร์เอ็นเอไวรัส มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งส่วนที่จับพื้นผิวเซลล์ ทำให้เกาะติดเซลล์ได้แน่น เพิ่มจำนวนง่าย ปริมาณไวรัสมาก กระจายโรคเร็ว ส่วนความรุนแรงไม่ต่างจากสายพันธุ์เดิมที่เคยพบในไทย ดังนั้นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และวัคซีนอื่น ๆ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิม ส่วนสายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิล วัคซีนอาจมีประสิทธิภาพลดลงบ้าง แต่ยังป้องกันความรุนแรงของโรคได้ สิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องช่วยกันป้องกันสายพันธุ์กลายพันธุ์หลุดเข้าไทย แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาไทยจะกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ ทำอย่างเต็มที่ ก็ยังพบสายพันธุ์อังกฤษเข้ามาและเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในไทยต่อจากนี้ ขอให้การ์ดอย่าตก เข้มมาตรการป้องกันตนเองต่อไป ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า การจะฉีดให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประชากรโลกที่มี 7 พันล้านคน ต้องฉีดให้ได้ 1 หมื่นล้านโดส หรือไม่น้อยกว่า 5 พันล้านคน ขณะนี้ทั่วโลกฉีดแล้วมากกว่า 700 ล้านโดส เฉลี่ย 15 ล้านโดสต่อวัน ต้องใช้เวลา 2 ปีจึงจะครบเป้าหมาย ต้องเร่งฉีด 30 ล้านโดสต่อวัน จึงจะบรรลุเป้าหมายใน 1 ปี ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากคือ อเมริกา จีน โดยประเทศที่ฉีดครอบคลุมมากสุดคือ อิสราเอล ใช้วัคซีนไฟเซอร์ ทำให้ผู้ติดเชื้อที่เคยสูงสุด 6 พันรายต่อสัปดาห์ เหลือหลักร้อยรายต่อสัปดาห์ อัตราเสียชีวิตเหลือหลักสิบรายต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนในประชาชนหมู่มาก ส่วนการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ประเทศอังกฤษ ที่ระดมฉีดประชาชนจำนวนมาก การป่วยและเสียชีวิตลดลงอย่างมาก ขณะที่ฝรั่งเศส เยอรมนี ที่หยุดฉีดบางช่วงเนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียงวัคซีน เกิดการระบาดระลอก 3 ขณะนี้ ประชาชนบางส่วนอยู่ในภาวะตระหนก ขอให้ตรวจสอบว่าตัวเองเสี่ยงสูงหรือต่ำ ซึ่งระลอกแรกเห็นชัดว่า ผู้เสี่ยงสูงคือคนในครอบครัว จะต้องไปตรวจหาเชื้อ ส่วนการสัมผัสในที่ทำงาน จากการศึกษาพบว่ามีโอกาสติดในที่ทำงานน้อยมาก จะติดในผู้สัมผัสใกล้ชิด เช่น กินข้าวด้วยกัน พูดคุยสนทนากัน สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย ถือว่าเสี่ยงสูง ควรไปตรวจหาเชื้อ ส่วนผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ อาจเสี่ยงบ้าง ขอให้สังเกตอาการ เคร่งครัดการปฏิบัติตน ใส่หน้ากาก 100% ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เป็นเวลา 14 วัน สำหรับอาการผื่นขึ้นนั้น พบได้จากหลายสาเหตุ หากเป็นโควิด 19 จะต้องมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เจ็บคอ ไข้ ไอ อาการระบบทางเดินหายใจซึ่งเป็นอาการหลัก ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า ส่วนข้อสงสัยวัคซีนโควิด 19 ในภาวะฉุกเฉินที่ใช้ขณะนี้ เป็นวัคซีนที่ไม่สามารถรอการพัฒนาแล้วขึ้นทะเบียนในภาวะปกติ ซึ่งต้องใช้เวลา 3- 5 ปี เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน ดังนั้นเมื่อไม่สามารถรอได้ จึงต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้จากวัคซีนกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากวัคซีน หากมีประโยชน์มากกว่า จึงขออนุมัติในภาวะฉุกเฉิน และมีการศึกษาติดตามเรื่องความปลอดภัยวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เมื่อมั่นใจแล้วจึงจะขออนุญาตอนุมัติการใช้ในภาวะปกติ ซึ่งต่างจากวัคซีนที่อนุมติใช้ในภาวะปกติ เช่น วัคซีนใหม่ในเด็กพบอาการข้างเคียงน้อยมากหรือแทบไม่มีไข้เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัคซีนโควิด 19 ไม่ว่าแอสตร้าเซนเนก้าซิโนแวค ฉีดแล้วอาจจะมีอาการข้างเคียงบ้าง เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อตัว ต้องยอมรับ เมื่อเป็นการพัฒนาในภาวะฉุกเฉิน บริษัทผู้ผลิตแจ้งแล้วว่าหากเกิดอะไรในภาวะฉุกเฉิน ฝ่ายอนุญาต(รัฐบาล) จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่งวัคซีนโควิดนี้ถึงจะอนุมัติให้ใช้ในภาวะปกติได้ ********************************** 11 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งพนักงานประจำตู้เก็บเงินค่าบริการลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม 9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) ตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 รฟม. แจ้งพนักงานประจำตู้เก็บเงินค่าบริการลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม 9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) ตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 พร้อมจัดมาตรการเร่งด่วน ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อพื้นที่จุดเสี่ยงป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่นั้น วันที่ 10 เมษายน 2564 เวลา 12.50 น. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับแจ้งจาก บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (บริษัทฯ) ผู้รับจ้างเก็บเงินค่าบริการจอดรถ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ว่า มีพนักงานประจำตู้เก็บเงินของลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) จำนวน 1 ราย ได้รับผลยืนยันว่าตรวจพบการติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดย รฟม. ขอเรียนชี้แจงประวัติการปฏิบัติงานของพนักงานรายดังกล่าว ดังนี้ - วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 เวลา 01.25 – 05.00 น. เดินทางไปเที่ยวกลางคืน - วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 เวลา 14.30 – 14.45 น. ปฏิบัติงานเป็นพนักงานสำรอง ณ อาคารจอดรถ 3 ชั้น สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ถนนรัชดาภิเษก เวลา 15.00 – 01.00 น. ปฏิบัติงาน ณ ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) - วันอังคารทึ่ 6 เมษายน 2564 เวลา 14.30 – 14.45 น. ปฏิบัติงานเป็นพนักงานสำรอง ณ อาคารจอดรถ 3 ชั้น สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ถนนรัชดาภิเษก เวลา 15.00 – 01.00 น. ปฏิบัติงาน ณ ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) - วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 เวลา 14.30 – 14.45 น. ปฏิบัติงานเป็นพนักงานสำรอง ณ ลานจอดรถสถานีห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก เวลา 15.00 – 01.00 น. ปฏิบัติงาน ณ ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) ดังนั้น รฟม. จึงได้ดำเนินการมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยปิดให้บริการพื้นที่จุดเสี่ยงทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าพระราม9 (รัชดาภิเษก ซอย 2) ลานจอดรถสถานีห้วยขวาง และอาคารจอดรถ 3 ชั้น สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยทันที และได้ประสานจัดหาบริษัทเข้ามาทำความสะอาด ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ ตามมาตรการป้องกันโรคที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดไว้ โดยลานจอดรถและอาคารจอดรถดังกล่าวจะสามารถเปิดให้บริการได้อีกครั้งในวันที่ 11 เมษายน 2564 พร้อมกันนี้ รฟม. ได้ประสานแจ้งผู้ใกล้ชิดกับพนักงานรายดังกล่าวและมีความเสี่ยงสูงทั้งหมด เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 และกักตัวเฝ้าระวังสังเกตอาการ เป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้ อาคารและลานจอดรถของ รฟม. ได้ดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มาโดยตลอด ดังนี้ 1. จัดให้มีการตรวจคัดกรองอุณหภูมิพนักงานเป็นประจำทุกวันก่อนเริ่มงาน 2. จัดให้พนักงานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ โดยกำชับให้สวมใส่ทุกครั้งที่เข้าพื้นที่ปฏิบัติงาน 3. จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ประจำตู้เก็บเงินทุกแห่ง 4. ทำความสะอาดบัตรจอดรถทุกครั้งก่อนให้บริการ ระหว่างให้บริการ และปิดให้บริการ 5. ติดตั้งอุปกรณ์และรักษาระยะห่างภายในลิฟต์ 6. เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดบริเวณจุดที่สัมผัสร่วมกัน 7. มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ถกประเด็นเขตผังเมืองตั้งโรงงาน ย้ำใช้กฎหมายรักษาความยุติธรรมตามความเป็นจริง
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ถกประเด็นเขตผังเมืองตั้งโรงงาน ย้ำใช้กฎหมายรักษาความยุติธรรมตามความเป็นจริง นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม ในวันศุกร์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๕-๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม โดยมี นายธีรยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุม นายสามารถ กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้ประกอบกิจการ โรงงานกิจการโรงงานผลิตน้ำกลั่น น้ำกรดเติมแบตเตอรี่และผลิตขวดพลาสติก ในแขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร รายหนึ่ง ได้ยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมต่อศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรมยุติธรรม ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการขอตั้งโรงงานทำให้ถูกเปรียบเทียบปรับอย่างต่อเนื่อง ตนจึงได้นัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ร้อง ในการนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ประกอบการ เพื่อมิให้เป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการกระทำผิดกฎหมายต่อไป ซึ่งมีแนวทาง คือ ให้ผู้ประกอบการยื่นคำร้อง ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๓๕ การแก้ไขผังเมืองรวมเฉพาะบริเวณหรือเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น แล้วแต่กรณี เสนอคณะกรรมการผังเมืองหรือคณะกรรมการผังเมืองจังหวัด พิจารณา กรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการแก้ไข ให้นำความในมาตรา ๒๗ วรรคสองและวรรคสามมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม เมื่อคณะกรรมการผังเมืองหรือคณะกรรมการผังเมืองจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้มีการปิดประกาศแผนที่แสดงเขตของผังเมืองรวมที่แก้ไขและรายละเอียดของการแก้ไขไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายในเขตของผังเมืองรวมนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันปิดประกาศ โดยให้ลงวันที่ที่ปิดประกาศไว้ในประกาศนั้นด้วย และในประกาศนั้นให้มีคำเชิญชวนให้ผู้มีส่วนได้เสียแสดงข้อคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรภายในระยะเวลาที่ระบุในประกาศ "ในเรื่องนี้ต้องใช้กฎหมายและความยุติธรรมให้เข้าถึงประชาชนตามหลักนิติศาสตร์และหลักรัฐศาสตร์ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศตามนโยบายของรัฐบาล โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกำกับดูแลศูนย์ร้องทุกข์ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในทุกมิติ จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการได้ใช้ พื้นที่ดังกล่าวในการตั้งโรงงานมาเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่พื้นที่รอบข้างถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีม่วงแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชนตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้จัดให้มีการหารือในวันนี้ เพื่อหาแนวทางและข้อสรุป และหาทางออกที่เหมาะสมให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งมีความตั้งใจที่ดีในการขออนุญาตตั้งโรงงานให้ถูกต้องตามผังเมือง แต่ด้วยข้อจำกัดของการกำหนดเขตผังเมือง ทำให้เขาต้องถูกเปรียบเทียบปรับเรื่อยมา ซึ่งผมมองว่า การใช้กฎหมายต้องมุ่งหมายชัดเพื่อรักษาความยุติธรรมไม่ใช่เพื่อรักษาตัวบทกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาให้ครอบคลุมถึงเหตุผลและความจำเป็น ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย" นายสามารถ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40896
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชียงใหม่ มอบนโยบายปราบยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชียงใหม่ มอบนโยบายปราบยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ ในวันศุกร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือแบบเบ็ดเสร็จ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ พร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมถ์ นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเจริญฤทธิ์ สงวนศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายชุติเดช มีจันทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พล.ท.ธนณัฐ ยังเฟื่องมนต์ ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ ๒ กอ.รมน. พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.บช.ปส. และนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ร่วมงาน นายสมศักดิ์ กล่าวมอบนโยบายว่า ตนในนามของผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการปฏิบัตินโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ ได้รับทราบผลปฏิบัติการที่ผ่านมาถือว่าน่าพอใจ ต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง แต่ยังมีการลักลอบขนยาเสพติดผ่านเข้ามาทั้งทางบกและทางน้ำ จึงขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการ ทำงานบูรณาการร่วมกัน สร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนเพื่อเป็นแนวร่วม และอาจจะได้รับข่าวสารที่ดีอีกด้วย การปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย ต้องทำควบคู่ไปกับยึดทรัพย์ตัดวงจร ส่วนการเข้าปิดล้อมตรวจค้นในหมู่บ้านชุมชนทุกครั้ง ขอให้มีการเก็บชีววัตถุ หรือดีเอ็นเอของกลุ่มเป้าหมายเพื่อเป็นการป้องปราบกลุ่มเป้าหมายไม่ให้เข้าร่วมขบวนการ เพราะดีเอ็นเอจะใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ การป้องกันยาเสพติดต้องเน้นสร้างความเข้มแข็งในทุกภาคส่วน ใช้แนวทางหมู่บ้านเข้มแข็งปลอดยาเสพติด เพื่อให้สอดคล้องดูแลซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและเน้นในสถานศึกษาด้วย และต้องมีการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด เพื่อให้กลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่น และยังมีโครงการร้อยใจรักษ์ ภายใต้พระราโชบาย ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ที่ถือเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหายาเสพติดอีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลที่ผ่านมามีการต่อสู้กับยาเสพติดมาอย่างยาวนานหลายสมัย ตนมาทำงานในกระทรวงยุติธรรม มีผู้ต้องขัง ๓๘๐,๐๐๐ คน มีผู้ต้องขังคดียาเสพติดถึง ๘๐% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไรให้ปัญหายาเสพติดน้อยลง และแก้ปัญหาคนล้นคุกด้วย หากเรายังใช้วิธีการปราบปรามอย่างเดียวเหมือนเดิม แม้จะเป็นแนวทางที่ดีแต่ยังไม่สุด ดังนั้นเราจะทำอย่างไร เราต้องมาปรับฐานทำความเข้าใจใหม่ โดยใช้แผนในอดีตเป็นขั้นที่ ๑ ส่วนแผนขั้นที่ ๒ คือ ให้ความรู้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานทั้งหลาย และดูเรื่องใหม่ๆในเรื่องดิจิทัล ตามที่นายกรัฐมนตรีให้นโยบายไว้ นอกจากนี้ ยังต้องมีเครื่องมือสืบค้นให้ทันผู้ร้าย ซึ่งคือการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด และจะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการกฎหมาย เพราะปัจจุบันมูลค่ายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ๒.๑ ล้านล้านบาท หากเราไม่ยึดทรัพย์ตัดวงจร จับแต่ของกลาง เขาก็ยังมีทุนในการผลิตอยู่ เพราะยาบ้าต้นทุนแค่เม็ดละ ๕๐ สตางค์ เท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติดในส่วนนี้อีกปีเศษคงได้เห็นน้ำเห็นเนื้อ และเมื่อเราปราบปรามยาเสพติดให้ลดน้อยลงไป ผู้ต้องขังในเรือนจำจะลดลง ลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าปฏิบัติงานต่างๆของเจ้าหน้าที่ อัยการและศาล เป็นการลดค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย นี่คือแนวทางการปราบปรามยาเสพติดที่เราเพิ่มขึ้นมาใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน ! วธ.เปิดหลักสูตรออนไลน์ - ออฟไลน์ ปั้นคนผลิตหนังฟรี สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในวงการภาพยนตร์หลังโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 ด่วน ! วธ.เปิดหลักสูตรออนไลน์ - ออฟไลน์ ปั้นคนผลิตหนังฟรี สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในวงการภาพยนตร์หลังโควิด-19 ด่วน ! วธ.เปิดหลักสูตรออนไลน์ - ออฟไลน์ ปั้นคนผลิตหนังฟรี สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในวงการภาพยนตร์หลังโควิด-19 ด่วน ! วธ.เปิดหลักสูตรออนไลน์ - ออฟไลน์ ปั้นคนผลิตหนังฟรี สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนในวงการภาพยนตร์หลังโควิด-19 หนุนต่อยอดเป็นนักสร้างสรรค์ พัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยให้เป็นมืออาชีพ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มียุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการภาพยนตร์ และวีดิทัศน์แห่งชาติ ในการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยให้เป็นอุตสาหกรรมหลัก ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน คือ การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยให้เป็นมืออาชีพ อาทิ พัฒนาบุคลากรสาขาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สร้างความร่วมมือทางวิชาการและการประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ ดังนั้น วธ. จึงได้จัดโครงการสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Content Thailand Academy) : การต่อยอดนักสร้างสรรค์ (Content Creator Masterclass) เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ทั้งในระบบการประชุมออนไลน์ และในรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการ จำนวน 6 หลักสูตร ประกอบด้วย 1. พัฒนาศิลปะในการเล่าเรื่องและต่อยอดภาพยนตร์ 2. ศิลปะและหัวใจของการแสดง 3. การเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหวอย่างมีชั้นเชิง 4. กระบวนการการตัดต่อและสร้างกราฟิกชั้นสูง 5. เสน่ห์เสียงและดนตรีในภาพยนตร์ และ 6. ศิลปะการออกแบบหนังให้เป็นหนัง ในแต่ละหลักสูตรจะมีการรับสมัครจำนวน 20 - 30 คน โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทยเป็นผู้ให้ความรู้ ปลัด วธ. กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สร้างผลกระทบต่อประชาชนทั่วโลก อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบขาดรายได้และขาดโอกาสในการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง ดังนั้นหลักสูตรดังกล่าว จึงเป็นการร่วมฟื้นฟูอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทย และเปิดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ ของบุคลากรในอุตสาหกรรมให้เป็นมืออาชีพ มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะจากบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญแก่บุคลากรรุ่นใหม่ สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อต่อยอดการพัฒนาและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต มีการให้ความรู้แก่บุคลากรผ่านช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายและสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงองค์ความรู้ และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วธ. จะเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมอบรมในหลักสูตรแรก ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 16 เมษายน 2564 จำนวน 20 คน สำหรับผู้ที่สนใจจะมีการเปิดรับสมัครเข้าร่วมรับฟังในหัวข้อออนไลน์ เพิ่มเติมภายหลัง จำนวน 10 คน และพิเศษสำหรับอาจารย์ในสถาบันการศึกษา สามารถติดต่อเข้ามาเพื่อเข้าร่วมรับฟังได้เช่นกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ พร้อมประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมอบรมวันที่ 17 เมษายน 2564 ผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก : สำนักเลขานุการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ โทร. 0 2209 3519 - 20 หรือ 08 8493 6307
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวดเร็ว! พ.ร.ก.ลดดอกเบี้ยผิดนัด และพ.ร.ก. ซอฟท์โลนช่วยผู้ประกอบการ 3.5 แสนล้าน มีผลบังคับใช้แล้ว
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 รวดเร็ว! พ.ร.ก.ลดดอกเบี้ยผิดนัด และพ.ร.ก. ซอฟท์โลนช่วยผู้ประกอบการ 3.5 แสนล้าน มีผลบังคับใช้แล้ว รวดเร็ว! พ.ร.ก.ลดดอกเบี้ยผิดนัด และพ.ร.ก. ซอฟท์โลนช่วยผู้ประกอบการ 3.5 แสนล้าน มีผลบังคับใช้แล้ว นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเร่งรัดการให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงสภาพคล่องและฟื้นฟูกิจการ และลดภาระลูกหนี้ทุกกลุ่มโดยเร็ว รวมถึงไม่ให้ลูกหนี้ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้จากการคิดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดสองฉบับ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวานนี้ และมีผลบังคับใช้แล้ว ฉบับแรกคือ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหน้ีในอัตราหรือวิธีการที่ก่อให้เกิดภาระแก่ลูกหนี้สูงเกินสมควร ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ 2468 จึงไม่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ อาทิ 1)ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินควร 2)เจ้าหนี้บางรายอาศัยความไม่ชัดเจน กำหนดให้ลูกหนี้เมื่อผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยบนเงินต้นทั้งหมด 3)สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ สาระของพระราชกำหนดฯ เป็นการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ประกอบด้วย 1) อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อนหรือไม่ได้มีกฎหมายกำหนด (แก้ไข มาตรา 7) ปรับลดจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งกระทรวงการคลัง จะทบทวน ทุก 3 ปี ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ 2)อัตราดอกเบี้ยผิดนัด (แก้ไข มาตรา 224) ปรับลดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ร้อยละ 3 ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และ 3) กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น จากเดิมที่มาตรา 224/1 ไม่ได้กำหนดไว้ ส่งผลให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด อนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ ให้ใช้กับการคิดดอกเบี้ย/การคิดดอกเบี้ยผิดนัด/การคิดดอกเบี้ยผิดนัดในงวดที่ถึงกำหนดเวลาชำระ ตั้งแต่วันที่พระราชกาหนดน้ีใช้บังคับ (11 เม.ย. 2564) แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยในระหว่างช่วงเวลาก่อนท่ีพระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ส่วนอีกฉบับ คือ พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 เป็นการตัดวงเงินที่เหลือจากพระราชกำหนดฯ ฉบับ พ.ศ.2563 โดยฉบับล่าสุดประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ ทั้งที่เป็นลูกหนี้เดิมและลูกหนี้ใหม่ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องในกิจการได้มากขึ้น ขยายเวลา ขยายวงเงิน ขยายการชดเชยรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น และกำหนดดอกเบี้ยให้เหมาะสม และ 2) มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวแต่ยังมีศักยภาพและมีหลักประกัน เป็นการลดความเสี่ยงในการขายทรัพย์สินในราคาต่ำเกินไป และช่วยให้ธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้ต่อไป นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ภายใต้สถานการณ์อันเร่งด่วนที่ต้องสร้างความมั่นคงและการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ รัฐบาลมีความจำเป็นต้องออกพระราชกำหนดทั้งสองฉบับ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดูแลช่วยเหลือประชาชนและเอกชน มุ่งเป้าเพื่อการบรรเทาภาระลูกหนี้ทั่วไปที่ต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่ไม่เป็นธรรมและการคิดคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดอย่างโหดร้าย และช่วยภาคธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ ในขั้นตอนทางกฎหมายลำดับต่อไป คณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณา ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40887
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเปิดประเทศอย่างปลอดภัย นำร่อง จ.ภูเก็ต จัดวัคซีนโควิด 19 ครอบคลุมประชากร 70% เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ปลัดสธ. พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเปิดประเทศอย่างปลอดภัย นำร่อง จ.ภูเก็ต จัดวัคซีนโควิด 19 ครอบคลุมประชากร 70% เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนการเปิดประเทศอย่างปลอดภัยตามนโยบายรัฐบาล นำร่องที่ จังหวัดภูเก็ต จัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ลงพื้นที่ให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ประชากรเป้าหมาย เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว สร้างเศรษฐกิจประเทศ วันนี้ (7 เมษายน 2564)ที่จังหวัดภูเก็ต นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือกับนายแพทย์พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 11 นายณรงค์ วุ่นซิ้วผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในสังกัด หัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชน ร่วมวางแผนบริหารจัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 พร้อมตรวจเยี่ยมระบบการบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสนาม ศูนย์กีฬาตะพานหิน โรงยิม 4,000 ที่นั่ง นายแพทย์เกียรติภูมิให้สัมภาษณ์ว่า จากการหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่จะเปิดเมืองภูเก็ตอย่างปลอดภัยในวันที่1 กรกฎาคม 2564 ได้กำหนดแผนฉีดวัคซีนในช่วงแรกจัดสรรตามวัคซีนที่มีอยู่จำกัดให้ครอบคลุมประชากรไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 หรือประมาณ 360,000 คน ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 และจะจัดสรรวัคซีนเพิ่ม เพื่อให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 420, 000 คน ภายในปี 2564 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว สร้างรายได้ และเศรษฐกิจประเทศ สำหรับในเดือนเมษายนนี้ ได้จัดสรรวัคซีนซิโนแวคจำนวน 1 แสนโดส เพื่อฉีดเพิ่มให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย และเพิ่มกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่นท่าอากาศยาน ท่าเรือ ท่ารถ คลินิกเอกชน ร้านยา หน่วยงานภาครัฐ, กลุ่ม อสม. อสต. อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย, ผู้ที่มีโรคประจำตัว ประชาชนทั่วไป พนักงานส่วนหน้าด้านการท่องเที่ยว โดยเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อการฉีดวัคซีน 5 จุด ได้แก่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ตึก เทอร์มินัล เอกซ์, โรงแรมอังสนา ลากูนา ภูเก็ต, ห้างจังซีลอนภูเก็ต ป่าตอง, โรงยิมตะพานหิน 4,000 ที่นั่ง และโรงแรมภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ทแอนด์สปา หาดกะรน มีศักยภาพฉีดได้วันละ 12,000 – 14,000 คนต่อวัน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่น และภาคเอกชนในการนำประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน และโรงพยาบาลเอกชนร่วมในการจัดบริการประชาชนเป้าหมาย ซึ่งพบว่าดำเนินการได้ดีกว่าที่คาด มีการจัดระบบ 8 ขั้นตอนเช่นเดียวกับที่กระทรวงสาธารณสุข และมีเว็บเพจ “ภูเก็ตต้องชนะ” เพื่อให้ประชาชนลงทะเบียนเข้ารับการฉีดด้วย ********************************* 7 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมดูแลรักษาพยาบาลกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบให้ดำรงชีพได้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรียืนยัน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมดูแลรักษาพยาบาลกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบให้ดำรงชีพได้ นายกรัฐมนตรียืนยัน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมดูแลรักษาพยาบาลกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบให้ดำรงชีพได้ วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความยินดีต่อ “โปรเหมียว” นางสาวปภังกร ธวัชธนกิจ นักกอล์ฟอาชีพหญิง ที่ได้รับรางวัลระดับเมเจอร์ รายการเอเอ็นเอ อินสไพเรชัน เป็นกำลังใจให้โปรเหมียวในรายการแข่งขัน PGA ในระดับสูงต่อไป พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงการกีฬาแห่งประเทศไทย เร่งพัฒนานักกีฬาไทยด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อให้มีร่างกายที่เหมาะสมต่อการแข่งขันทั้งรูปแบบเดี่ยวและทีม รวมทั้งคัดเลือกนักกีฬาช้างเผือก นักกีฬาที่มีพรสวรรค์ โดยส่งเสริมให้นักกีฬาที่มีอายุมากขึ้นมีประสบการณ์ เป็นโค้ชช่วยแนะนำ นายกรัฐมนตรียังเผยถึงสถานการณ์ชายแดนว่า ฝ่ายความมั่นคงดูแลและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรง รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนเพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ เนื่องจากไทย-เมียนมาร์ มีชายแดนติดกัน ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกัน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาผ่านช่องทางของกระทรวงการต่างประเทศและอาเซียน พร้อมยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง และต้องลดผลกระทบจากเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งจะมีนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อนำไปสู่การเจรจากับภาคเอกชน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อรัฐบาลในอนาคต ซึ่งทุกฝ่ายต้องรวมกันแก้ไข โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ รัฐบาลยังกังวลถึงยอดหนี้ กยศ. ที่มีจำนวนสูง ซึ่งพยายามหาทางแก้ไขให้สามารถผ่อนชำระได้ รวมทั้งเดินหน้าแก้ไขกฎหมายในหลายเรื่องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ยืนยัน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ให้สัมภาษณ์ออนไลน์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยและลดความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-1
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ปลัดกอบชัยฯ ให้สัมภาษณ์ออนไลน์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยและลดความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-1 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ออนไลน์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทยและลดความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-1 วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 14.30 น.นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ออนไลน์กับทางบริษัท Crossroad Capital จำกัด เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของไทยในการรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดต่อนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยและมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าเกี่ยวกับนโยบาย EEC เพื่อนำลงใน Mail magazine ของทางบริษัทฯ และเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการและเกี่ยวกับประเทศไทยและลดความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายผู้ว่าฯ - นายก อบจ. ทั่วประเทศ เน้นย้ำบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 มท.1 มอบนโยบายผู้ว่าฯ - นายก อบจ. ทั่วประเทศ เน้นย้ำบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน มท.1 มอบนโยบายผู้ว่าฯ - นายก อบจ. ทั่วประเทศ เน้นย้ำบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน พร้อมสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 64 เวลา 13.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 4 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกแห่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านการบังคับบัญชา และอีกหน้าที่หนึ่งคือเป็นพี่เลี้ยงในการส่งเสริมและกำกับดูแลการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งในทุกจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่ในการบริหารจัดการบริการสาธารณะในท้องถิ่นนั้น โดยทั้งสองส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการดำเนินงานภาครัฐและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ ในการทำงานที่ผ่านมา ขอขอบคุณและชื่นชมการขับเคลื่อนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับที่ได้ขับเคลื่อนการสกัดกั้นการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ตั้งแต่การจัดทำหน้ากากผ้ามอบให้กับประชาชน นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมีการช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ และเป็นตัวอย่างให้กับนานาประเทศ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินทุกระดับ ทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยนำยุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และแผนด้านความมั่นคงจัดทำเป็นนโยบายรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับแผนพัฒนาหมู่บ้าน แผนพัฒนาตำบล แผนพัฒนาท้องถิ่น แผนจังหวัด แผนกลุ่มจังหวัดอย่างสอดคล้องกันบนพื้นฐานของการพัฒนาพื้นที่ที่ผ่านการประชาคมจากประชาชนในพื้นที่ เช่น ด้านการเกษตร การท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานโครงการตอบสนองตามอำนาจหน้าที่และความต้องการของประชาชน ครอบคลุมทั้งมิติ Function Agenda และ Area เป็นไปในทิศทางเดียวกันในลักษณะ One Plan นอกจากนี้ ในด้านการดำเนินงานศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมเป็นคณะทำงานในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อร่วมกันบริหารและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นคณะทำงานในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทั้งภาวะน้ำแล้งและน้ำท่วม โดยดำเนินการบริหารจัดการ เช่น เมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วมต้องผลักดันน้ำไปเก็บในพื้นที่ไม่มีน้ำ เพื่อมีน้ำเพียงพอในช่วงฤดูแล้ง และในด้านการบูรณาการแก้ไขปัญหาผักตบชวาต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกแหล่งน้ำเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ในด้านการบริการจัดการขยะ คณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดจะพิจารณาแนวทางและให้คำแนะนำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะในพื้นที่ ทั้งพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ชุมชน และพื้นที่เกาะต่าง ๆ นอกจากนี้ ต้องรณรงค์ประชาชนให้เข้าใจและแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง คือ ครัวเรือน รวมทั้งการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่ท่อสาธารณะ หรือลำน้ำคูคลองเพื่อจะได้มีแหล่งน้ำสะอาดในการอุปโภคบริโภคของประชาชน โดยมีองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) เป็นพี่เลี้ยงในการพิจารณาดำเนินการบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ท้องถิ่นนอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนงานศูนย์ดำรงธรรมทุกระดับ ซึ่งเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ตึงขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับจังหวัดพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามอำนาจหน้าที่ สุดท้าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ำในการสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชนผ่านหอกระจายข่าว โดยนำข้อมูล องค์ความรู้ แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชน และผลการดำเนินงาน มาขยายผลสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ทราบและเข้าใจการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับประชาชนบนข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานกับภาครัฐ ทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาทุกท้องถิ่นเป็นไปอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. พร้อมภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยครอบครัวกลุ่มเปราะบางย้ายเข้าบ้านใหม่ที่เคหะรามอินทรา (ซอยคู้บอน 27) พร้อมใช้ “สมุดพกครอบครัว” ช่วยแก้ปัญหาความยากจน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ปลัด พม. พร้อมภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยครอบครัวกลุ่มเปราะบางย้ายเข้าบ้านใหม่ที่เคหะรามอินทรา (ซอยคู้บอน 27) พร้อมใช้ “สมุดพกครอบครัว” ช่วยแก้ปัญหาความยากจน ปลัด พม. พร้อมภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยครอบครัวกลุ่มเปราะบางย้ายเข้าบ้านใหม่ที่เคหะรามอินทรา (ซอยคู้บอน 27) พร้อมใช้ “สมุดพกครอบครัว” ช่วยแก้ปัญหาความยากจน วันนี้ (7 เม.ย. 64) เวลา 10.15 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ลงพื้นที่บูรณาการร่วมกันให้ความช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาทางสังคม จำนวน 1 ครอบครัว ที่มีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ว่างงาน ภายในซอยคู้บอน 30 ถนนรามอินทรา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ มีการช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางดังกล่าวย้ายไปยังที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ณ เคหะรามอินทรา (ซอยคู้บอน 27) แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า วันนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาทางสังคม ประกอบด้วย ชายอายุ 75 ปี พิการขาขวา ต้องใส่ขาเทียม อาศัยอยู่กับภรรยาอายุ 79 ปี ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ไม่สามารถเดินได้ ลูกชายอายุ 46 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องอยู่แลบิดา-มารดาอย่างใกล้ชิด ลูกสะใภ้อายุ 50 ปี ประกอบอาชีพหารายได้จุนเจือครอบครัวเพียงคนเดียว และหลานสาวอายุ 9 ปี วัยกำลังเรียน ซึ่งทั้ง 5 ชีวิต อาศัยในบ้านร้างสภาพเก่าทรุดโทรม ทั้งนี้ ได้บูรณาการความช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะสั้น ได้แก่ 1) การให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย โดยจัดให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในโครงการของเคหะรามอินทรา (ซอยคู้บอน 27) 2) การช่วยเหลือด้านเงินสงเคราะห์และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น 3) มอบทุนการศึกษาแก่เด็ก และ 4) การดูแลรักษาสุขภาพและโรคประจำตัวของผู้สูงอายุ 2. ระยะกลาง ได้แก่ 1) การจัดการเรื่องทะเบียนบ้าน เพื่อให้สามารถขอรับสิทธิและสวัสดิการของรัฐ 2) การจัดหาอาชีพสำหรับบุตรชายที่ว่างงาน โดยการรับงานมาทำที่บ้าน และจัดหาอาชีพเสริมสำหรับลูกสะใภ้ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้จุนเจือครอบครัว และ 3) การให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องการดูแลเรื่องสุขภาพ และการรักษาพยาบาลอาการผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง3.ระยะยาว ได้แก่ 1) ประสาน อพม. ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้การช่วยเหลือและติดตามครอบครัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและสวัสดิการต่างๆ 2) การให้ความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาของเด็ก เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาการของเด็กตามความเหมาะสม 3) ประสานศูนย์บริการสาธารณสุข (ศูนย์ 24 บางเขน) เพื่อติดตามให้บริการด้านสุขภาพและอาการป่วยของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง และ 4) การช่วยเหลือด้านเงินทุนประกอบอาชีพ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านอาชีพของครอบครัวในระยะยาว นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ได้มอบ “สมุดพกครอบครัว” ให้แก่ครอบครัวดังกล่าว ตามนโยบายของรัฐบาล “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการบูรณาการความช่วยเหลือด้านต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2563 ได้มีการนำร่องใช้สมุดพกครอบครัวใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40768
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การดำเนินการกรณีการแพร่ระบาด Covid-19 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 การดำเนินการกรณีการแพร่ระบาด Covid-19 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังได้รับทราบว่า สื่อมวลชนสายเศรษฐกิจประจำกระทรวงการคลังจำนวนหนึ่งอยู่ในข่ายความเสี่ยงติดเชื้อ Covid-19 กระทรวงการคลังขอยืนยันว่าทันทีที่ได้ทราบข่าว และได้รับการยืนยันถึงความเสี่ยงข้างต้น ผู้บริหารกระทรวงการคลังไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยได้มีการสั่งการและดำเนินการอย่างเร่งด่วน (วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564) ดังนี้ 1. แจ้งให้บุคลากรของกระทรวงการคลัง ที่มีความเสี่ยง ดำเนินการตรวจหาเชื้อโดยเร่งด่วน และเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้ารอดูอาการ 14 วันตามมาตรฐานทางสาธารณสุข 2. ประสานกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะผู้จัดกิจกรรม เพื่อยืนยันรายละเอียดของสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจประจำกระทรวงการคลังที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และขอความร่วมมือให้ทำงานที่บ้าน (work from home) เป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้ารอดูอาการ 3. ทำความสะอาดและฉีดฆ่าเชื้อบริเวณห้องพักสื่อมวลชนประจำกระทรวงการคลัง ห้องแถลงข่าว บริเวณห้องทำงานผู้บริหารกระทรวงการคลัง สำนักงาน และบริเวณอื่นๆ ที่เป็นจุดเสี่ยง 4. ประสานหน่วยงานในสังกัดที่ได้มีการติดต่อกับสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจประจำกระทรวงการคลังที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ให้เฝ้าระวังและปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีการติดตามเรื่องดังกล่าว และเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ บุคลากรของกระทรวงการคลัง และสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจประจำกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด อาทิ การฉีดพ่นฆ่าเชื้อให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ มากขึ้นในความถี่ที่มากยิ่งขึ้น และประเมินสถานการณ์ต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าการบริการประชาชน และการบริหารงานต่างๆ ของกระทรวงการคลัง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และปลอดภัยสูงสุด สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 02 126 5800
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ประชุมเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมมาตรการป้องกันโควิด-19 ในท่าอากาศยาน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ประชุมเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมมาตรการป้องกันโควิด-19 ในท่าอากาศยาน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในการประชุมเตรียมความพร้อมมาตรการดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผ่านระบบ Video Conference โดยมีผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน ผู้อำนวยการท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ณ ห้องประชุมจันทรางศุ กรมท่าอากาศยาน ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดูแลและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงดูแลในเรื่องของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในระบบขนส่งสาธารณะ กรมท่าอากาศยานได้มีการออกมาตรการ 3 ส่วน คือ 1. มาตรการดูแลและอำนวยความสะดวกโดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานทุกแห่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้โดยสาร ทั้งในเรื่องของเที่ยวบินที่จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบ เรื่องของรถสาธารณะรับส่งผู้โดยสาร โดยจะต้องไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่ท่าอากาศยาน 2. มาตรการด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย ให้ท่าอากาศยานดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานทุกเที่ยวบิน พร้อมดูแลอุปกรณ์ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงให้ประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เตรียมแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นและซักซ้อมอยู่เสมอ และเพิ่มการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทั้งในอาคารและพื้นที่รอบอาคารผู้โดยสาร 3. มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ได้ให้ทุกส่วนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทั้งในส่วนของภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร สายการบิน และรถสาธารณะ สำหรับการดูแลความสะอาดภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสาร รถเข็น เก้าอี้ ราวบันได รวมถึงอุปกรณ์ปฏิบัติงาน จัดจุดบริการเจล แอลกอฮอล์แก่ผู้โดยสาร และได้เน้นย้ำพนักงานทำความสะอาดให้เพิ่มรอบการปฏิบัติงานให้มากขึ้นตามจำนวนรอบของเที่ยวบิน เพื่อความสะอาดและสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร โดยได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการเดินทาง สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิทั้งขาเข้า - ขาออก และต้องเช็คอิน/เช็คเอาท์แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ ทุกครั้งที่ใช้บริการ โดยจะต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวด ในส่วนของการบริหารจัดการพื้นที่ท่าอากาศยาน เพื่อเตรียมรองรับการเดินทางของประชาชนนั้น กรมท่าอากาศยานได้มีนโยบายแจ้งให้ผู้รับจ้างงานโครงการต่างๆในท่าอากาศยาน ที่ใช้พื้นที่ในการก่อสร้างและอาจส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร ให้หยุดการก่อสร้างในระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 และเพิ่มพื้นที่จราจรเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารทั้งในท่าอากาศยานและบริเวณโดยรอบอีกด้วย นอกจากนี้ ขอแนะนำให้ผู้โดยสารดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ThaiFlightInfo เพื่อเช็คเที่ยวบินได้แบบ Real Time และรับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญของกรมท่าอากาศยาน โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Andriod
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือนกระบี่ หนุนแรงงานภาคเกษตร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นฤมล เยือนกระบี่ หนุนแรงงานภาคเกษตร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเยือน จ.กระบี่ เดินหน้าสร้างแรงงานคุณภาพภาคการเกษตร สู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน วันที่ 7 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ เพื่อพบปะเกษตรกรและร่วมชี้แจงแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปปลูกบำรุงดิน หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมกิจกรรมกระทรวงแรงงานเคลื่อนที่เพื่อประชาชน การจัดแสดงภารกิจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดกระบี่ 5 หน่วยงาน ซึ่งได้เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานภาคการเกษตร ณ ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เน้นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และการสร้างภาคีเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ความช่วยเหลือและดูแลแรงงานให้มีงานทำ ซึ่งต้องปูพื้นฐานและส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถด้านทักษะฝีมือ เพื่อให้สามารถเข้าสู่ระบบการจ้างงานหรือประกออบอาชีพอิสระได้ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดำเนินการภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” คือ สร้างแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ ยกระดับฝีมือให้ได้มาตรฐาน และมีทักษะที่หลากหลาย รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และให้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น การลงพื้นที่ จ. กระบี่ในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคจากแรงงานภาคการเกษตรในเขตจังหวัดกระบี่ รวมถึงความต้องการให้กระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ภายใต้ภารกิจของกระทรวง เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างแท้จริง ช่วยให้แรงงานมีงานทำ มีรายได้ ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป สำหรับกิจกรรมกระทรวงแรงงานเคลื่อนที่เพื่อประชาชน ประกอบด้วย โครงการแรงงานสัญจรพบประชาชนพื้นที่จังหวัดกระบี่ การประชาสัมพันธ์การป้องกันยาเสพติด การป้องกันโควิด-19 โดยสำนักงานแรงงานจังหวัดกระบี่ การรับสมัครงาน ให้คำปรึกษาการประกอบอาชีพ การรับงานไปทำที่บ้าน เอกสารเผยแพร่การรับสมัครงาน โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดกระบี่ รับสมัครฝึกอบรม สาธิตการฝึกอาชีพการทำผ้ามัดย้อม และการตัดผมชาย โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานกระบี่ การให้คำปรึกษาแนะนำ การรับคำร้องทุกข์ร้องเรียน เกี่ยวกับสภาพการจ้างแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน โดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ และการให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์กับผู้ประกันตน การรณรงค์ส่งเสริมการสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 และรับสมัครผู้ประกันตน มาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดกระบี่ “แรงงานที่ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือ รวมถึงพัฒนาทักษะอื่น ๆ สามารถติดต่อสมัครฝึกอบรมได้ที่หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 ปัจจุบันมีการปรับหลักสูตรให้ทันต่อเทคโนโลยี และรองรับวิถีชีวิตใหม่ อย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้นำไปต่อยอดในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดย กคช. เปิดตัวโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง-ร่มเกล้า) บ้านเช่าพร้อมอาชีพ บ้านในฝันของผู้มีรายได้น้อย
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 พม. โดย กคช. เปิดตัวโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง-ร่มเกล้า) บ้านเช่าพร้อมอาชีพ บ้านในฝันของผู้มีรายได้น้อย พม. โดย กคช. เปิดตัวโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง-ร่มเกล้า) บ้านเช่าพร้อมอาชีพ บ้านในฝันของผู้มีรายได้น้อย วันที่ 5 เม.ย. 64เวลา 14.00 น.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ภายใต้โครงการ บ้านเคหะสุขประชา พร้อมมอบสิทธิบ้านเช่าในโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงให้กับกลุ่มเปราะบาง ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือกของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จำนวน 14 หน่วย โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม)นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พันเอก ดร.เจียรนัย วงศ์สะอาด ประธานกรรมการในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และคณะผู้บริหาร กระทรวง พม. และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ โครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง ซอยร่วมพัฒนา 6 ถนนสังฆประชา เขตหนองจอก กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิค-19) ส่งผลกระทบ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก รวมทั้งความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย รัฐบาลนำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนในทุกมิติ สำหรับความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย กระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้ดำเนินการจัดสร้างที่อยู่อาศัยประเภทเช่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างโอกาสให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง โดยได้เสนอ โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยมีเป้าหมายในการจัดสร้าง 100,000 หน่วย ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2564 - 2568) กำหนดส่งมอบปีละประมาณ 20,000 หน่วย ซึ่งดำเนินงานภายใต้ชื่อ โครงการ บ้านเคหะสุขประชา เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ กลุ่มเปราะบาง ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณ รวมถึงผู้บุกรุกในพื้นที่สาธารณะ นายจุติกล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการบ้านเคหะสุขประชา มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ที่เรียนจบไม่มีงานทำ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ ลูกกตัญญู คนตกงาน ไม่มีที่ดินทำกิน คนพิการ และผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้ และแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการอาชีพ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 โครงการ จำนวน 572 หน่วย ได้แก่ โครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า จำนวน 270 หน่วย และโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง จำนวน 302 หน่วย มีอัตราค่าเช่าเริ่มต้น 1,500 ถึง 3,000 บาท ต่อเดือน นอกจากนี้ กระทรวง พม. โดย กคช. ได้สร้างเศรษฐกิจชุมชนคู่ขนานกันในมิติ มีบ้าน มีอาชีพ มีรายได้ มีสุข เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้สามารถประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยพื้นที่ เศรษฐกิจ สุขประชา ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการของแต่ละพื้นที่ มี 6 รูปแบบ ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ ปศุสัตว์ อาชีพบริการชุมชนและชุมชนข้างเคียง ตลาด อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และศูนย์การค้าปลีก ส่ง โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยประกอบอาชีพอิสระในชุมชน รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนตามภูมิสังคมของพื้นที่นั้นๆ เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนถึงช่องทางการจัดจำหน่าย โดยโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงจะถูกพัฒนาให้เป็นตลาด ส่วนโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้าจะถูกพัฒนาในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าถามว่าคนไม่มีบ้านจะมีความสุขแค่ไหน ถ้ามีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ครอบครัวจะมีความสุขที่นับเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าต้องลงทุนเท่าไรจะให้ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งพ่อแม่ลูกและญาติพี่น้อง ก็จะได้ตอบว่า ไม่มีอะไรมาแลกกับความสุขนี้ และชีวิตมีทางเลือก ซึ่งรัฐบาลมีทางเลือกระหว่างต้นทุนรัฐบาลกับต้นทุนความสุขของประชาชนต้องเลือกระหว่างค่าเสียโอกาสที่ประชาชนต้องรอกับการลงทุนที่มีผลกำไรเชิงสังคมมากกว่าเชิงพาณิชย์ รัฐบาลโดยกระทรวง พม. จะดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เพื่อสร้างบ้านให้ครบตามเป้าหมายที่วางไว้ และระดมทุน ด้วยการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนโดยไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะ พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการสร้างความมั่นคง โอกาส และความสุขให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เราตั้งใจสร้างบ้านที่เติมเต็มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อประชาชนที่ปรารถนาจะมีบ้านทุกครอบครัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รุดให้กำลังใจและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวอาสาสมัครกู้ภัยที่เสียชีวิตเหตุอาคารถล่มจากเพลิงไหม้ ที่ย่านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 รมว.พม. รุดให้กำลังใจและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวอาสาสมัครกู้ภัยที่เสียชีวิตเหตุอาคารถล่มจากเพลิงไหม้ ที่ย่านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ รมว.พม. รุดให้กำลังใจและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวอาสาสมัครกู้ภัยที่เสียชีวิตเหตุอาคารถล่มจากเพลิงไหม้ ที่ย่านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ วันที่ 5 เม.ย. 64เวลา 17.30 น. ที่วัดศาลาแดง ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา เขตบางแค กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม)พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมแสดงความเสียใจพร้อมให้กำลังใจและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวอาสาสมัครกู้ภัยที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้อาคารพักอาศัยแห่งหนึ่ง ย่านเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้อาคารทรุดตัวถล่ม จนทำให้อาสาสมัครกู้ภัยเสียชีวิต 4 ราย นายจุติกล่าวว่า วันนี้ ตนเป็นตัวแทนของรัฐบาลมาร่วมแสดงความเสียใจ และในฐานะกระทรวง พม. จะเข้ามาดูแลว่าสามารถช่วยเหลือเยียวยาอย่างไรบ้าง และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ติดตาม หลังจากมีพิธีพระราชทานเพลิงศพแล้ว หากมีอะไรที่กระทรวง พม. สามารถช่วยเหลือได้ ทั้งเรื่องของลูก สวัสดิการ ครอบครัวอุปถัมป์ต่างๆ เราจะช่วยเหลือให้เขาสามารถปรับตัวและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน รวมถึงในเรื่องอาชีพด้วย ทั้งนี้ ตนได้มอบเงินสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตในเบื้องต้น และจะหาแนวทางช่วยเหลือครอบครัวในระยะยาวต่อไป นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมายเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ให้ติดตามความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัวทุกเดือน เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เพื่อดูความคืบหน้าว่าแต่ละครอบครัวสามารถปรับตัวได้ เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีกทั้งได้แนะนำสวัสดิการของรัฐของกระทรวง พม. และรัฐบาล ที่แต่ละครอบครัวจะได้รับตามสิทธิ ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ดูแลอย่างเต็มที่ และฝากแสดงความเสียใจมายังครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกคน ถึงแม้ว่าการสูญเสียครั้งนี้ไม่มีอะไรที่สามารถมาทดแทนได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็มีคนที่ได้รับรู้ในความกล้าหาญ ความเสียสละ ซึ่งเป็นคนที่ปิดทองหลังพระตลอดเวลา ตนจึงอยากให้สังคม ขอบคุณและซาบซึ้งว่ามีคนเสียสละแทนเราอยู่ทุกเมื่อในยามวิกฤติ และกระทรวง พม. ขอขอบคุณแทนคนไทยทุกคน ที่อาสาสมัครได้เสียสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนและสังคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40754
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เผยครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด-19 และตรวจอัตลักษณ์เพิ่ม 2 เดือน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 รมว.แรงงาน เผยครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด-19 และตรวจอัตลักษณ์เพิ่ม 2 เดือน ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอขยายเวลาดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าวของที่ประชุมคบต. พบบางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เม.ย. 64 ดังนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นายจ้าง/สถานประกอบการมีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการได้ต่อไป โดยคนต่างด้าวดังกล่าวก็อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด - 19 รวมถึงบริหารจัดการคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ขยายระยะเวลาดำเนินการตรวจโควิด - 19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) จากเดิมภายในวันที่ 16 เม.ย. 64 เป็นวันที่ 16 มิ.ย. 64 และในส่วนขั้นตอนอื่นให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดเดิม ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ วันที่ 5 เม.ย. 64 พบว่ามีคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโควิด - 19 และขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแล้วประมาณ 170,000 คน และมีคนต่างด้าวที่ผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้วประมาณ 422,000 คน จากคนต่างด้าวลงทะเบียนทั้งสิ้น จำนวน 654,864คน ซึ่งประเมินสถานการณ์แล้วว่าไม่สามารถดำเนินการทันตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการพาคนต่างด้าว นัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด เนื่องจากจะไม่มีการผ่อนผันเพื่อขยายเวลาดำเนินการอีกต่อไป ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ กรมการจัดหางานจะตรวจสอบ และดำเนินคดีอย่างจริงจัง “สำหรับผู้ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบโควิดสายพันธุ์อังกฤษผู้ป่วยโควิดผับทองหล่อ 24 ราย ห่วงแพร่เร็วขึ้น ย้ำทุกคนเข้มมาตรการป้องกันโรค
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 สธ.พบโควิดสายพันธุ์อังกฤษผู้ป่วยโควิดผับทองหล่อ 24 ราย ห่วงแพร่เร็วขึ้น ย้ำทุกคนเข้มมาตรการป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุขพบผู้ติดเชื้อโควิดผับทองหล่อ 24 ราย ติดเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ แพร่เร็วขึ้น 1.7 เท่า ย้ำสงกรานต์ขอความร่วมมือเดินทางเท่าที่จำเป็น และเข้มมาตรการป้องกันโรค แจงปรับระดับสีพื้นที่ จะมีการพิจารณาใหม่ อาจปรับเข้มขึ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ กระทรวงสาธารณสุขพบผู้ติดเชื้อโควิดผับทองหล่อ 24 ราย ติดเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ แพร่เร็วขึ้น 1.7 เท่า ย้ำสงกรานต์ขอความร่วมมือเดินทางเท่าที่จำเป็น และเข้มมาตรการป้องกันโรค แจงปรับระดับสีพื้นที่ จะมีการพิจารณาใหม่ อาจปรับเข้มขึ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีการแพร่กระจายเชื้อมากขึ้น และเสนอ ศบค.ชุดเล็กพิจารณา วันนี้ (7 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 334 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 174 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 153 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 7 ราย หายป่วยเพิ่ม 121 ราย ไม่มีเสียชีวิต ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 6 เมษายน 2564 ฉีดแล้ว 323,989 โดส เป็นเข็มแรก 274,354 ราย และเข็มที่สอง 49,635 ราย ขณะนี้มีการระบาดในกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ทั้งพนักงาน นักเที่ยว นักดนตรี ได้กระจายไปหลายจังหวัด ซึ่งพบผู้ป่วยมีเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ ทำให้การติดเชื้อง่ายขึ้น 1.7 เท่า ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการเดินทางข้ามจังหวัดมากขึ้น หากไม่มีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่ดี อาจจะเพิ่มผู้ติดเชื้อมากขึ้น 1.3 - 100 เท่า ดังนั้น ความร่วมมือของประชาชนจึงสำคัญมากที่จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคและต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้น ขอให้เดินทางเท่าที่จำเป็น ระหว่างการเดินทางขอให้ป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เลือกใช้พาหนะส่วนบุคคล สแกนไทยชนะ ปฏิบัติตามคำแนะนำมาตรการของจังหวัดปลายทาง ซึ่งจะมีระบบเฝ้าระวังการติดตามสอบถามผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า จุดเสี่ยงแพร่ระบาดโรคที่เห็นชัดคือ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ มีการเต้นรำ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความแออัด พื้นที่ที่มีการระบาดจำเป็นจะต้องปิด ส่วนร้านอาหารมีความเสี่ยงแตกต่างกัน หากอยู่กลางแจ้ง เว้นระยะห่าง ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีความเสี่ยงน้อย แต่หากเป็นสถานที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท คนแออัด ดื่มแอลกอฮอล์ คุยเสียงดัง จะมีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ ข้อเสนอปรับพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด ศบค.ชุดเล็กไม่ได้ไม่เห็นชอบ แต่ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันพิจารณาประเมินกำหนดพื้นที่ใหม่ตามสถานการณ์เพิ่มเติม ซึ่งจากการประชุมเบื้องต้นเห็นตรงกันว่าจะปรับพื้นที่สีใหม่ ซึ่งอาจต้องปรับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์กระจายเชื้อมีมากขึ้น โดยจะมีมาตรการที่เหมาะสมในสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ และร้านอาหาร และจะเสนอ ศบค.ชุดเล็กใน 1-2 วันนี้ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การระบาดช่วงมีนาคม-เมษายน 2563 พบผู้ติดเชื้อประมาณ 3 พันคน เฉลี่ยวันละประมาณหลักสิบราย ส่วนการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ธันวาคม 2563 จนถึงตอนนี้ยังไม่ยุติ และเกิดเหตุการณ์สถานบันเทิงเรียกว่าระลอกซ้อนระลอก มีผู้ติดเชื้อประมาณหลักร้อยราย ตอนแรกสงสัยว่าเกิด Super Spread จากการเป็นสถานที่ปิด มีดนตรีเสียงดัง ร้องเพลงเสียงดัง พูดเสียงดัง โอกาสเชื้อกระจายลอยในอากาศง่าย แต่จากตรวจหาเชื้อพบว่าผู้ป่วยที่ไม่มีอาการก็มีปริมาณไวรัสในคอสูงมาก เมื่อตรวจสายพันธุ์ผู้ป่วย 24 คน จากผับทองหล่อ เป็นสายพันธุ์อังกฤษที่แพร่ง่ายกว่าสายพันธุ์ธรรมดา 1.7 เท่า แต่ความรุนแรงไม่เพิ่มขึ้น และไม่กระทบกับประสิทธิภาพของวัคซีน อย่างไรก็ตาม ที่เป็นห่วงคือ ปีนี้จำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าปีที่แล้ว 10 เท่า แต่มาตรการของปีที่แล้ว มีล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว ห้ามขายสุรา เลื่อนสงกรานต์ เข้มกว่ากัน 10 เท่า ดังนั้น เชื้อมีโอกาสแพร่กระจายเพิ่มอีก 100 เท่า เมื่อเป็นสายพันธุ์อังกฤษก็ยิ่งทวีคูณเป็น 170 เท่า ช่วงสงกรานต์ที่มีการเดินทาง คนหนุ่มสาวติดเชื้อส่วนใหญ่อาการน้อย แต่ปริมาณไวรัสมาก หากเดินทางไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ อาจนำเชื้อไปสู่ผู้สูงอายุ ซึ่งโอกาสป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้สูง “สงกรานต์ปีนี้ไม่สามารถล็อกอะไรได้ ถ้าเป็นไปได้ ควรลดการเคลื่อนย้ายประชากรให้มากที่สุด แต่หากมีความจำเป็นต้องเดินทางก็ต้องมีมาตรการทุกอย่างให้เคร่งครัด ตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน ขึ้นรถ จนถึงจุดหมายปลายทาง ให้ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดมีระเบียบวินัย เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ ถ้าทุกคนช่วยกัน เชื่อว่าจะควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศ.นพ.ยงกล่าว ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า วัคซีนโควิด 19 ช่วยลดอาการของโรค ป้องกันการนอนโรงพยาบาล และการเสียชีวิตเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แม้จะฉีดวัคซีนเข็มแรกหรือครบสองเข็มแล้ว ยังติดเชื้อได้ แต่อาการจะรุนแรงน้อยลง ขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นมาของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม เมื่อวัคซีนมีมากเพียงพอขอให้ทุกคนที่ถึงคิวฉีดวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีนตามกำหนด เพื่อร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น ********************************* 7 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! ร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ยกระดับการบริการประชาชน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 เคาะ! ร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ยกระดับการบริการประชาชน ... งานราชการยุคใหม่กำลังมา...ล่าสุด ครม. ได้เคาะ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563 - 2565 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ให้การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและกำหนดนโยบายประเทศ . แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ ฉบับนี้ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ 1) ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 2) อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 3) ผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในทุกกระบวนการทำงานของภาครัฐ 4) พัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล . ที่ผ่านมา แม้บ้านเราจะยังไม่มีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ อย่างจริงจัง แต่รัฐบาลก็ได้นำเทคโนยีดิจิทัลมายกระดับระบบงานราชการ ทั้งการลดจำนวนเอกสารเมื่อติดต่อราชการ ปรับรูปแบบการให้บริการเป็น e-Service รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม e-Government ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40747
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มอบกทม. มท. เตรียมพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มอบกทม. มท. เตรียมพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายกรัฐมนตรีเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มอบกทม. มท. เตรียมพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพมหานคร วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference เพื่อความสะดวกแก่คณะรัฐมนตรีบางท่านที่อยู่ระหว่างการกักตัวสังเกตอาการ โดยรัฐบาลเร่งหามาตรการที่เหมาะสมต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายกรัฐมนตรีเผยถึงการทำงานของรัฐบาลในปัจจุบันว่า ได้ให้ความสำคัญทั้งการควบคุมโรค บริหารเศรษฐกิจและความรู้สึกของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันนี้บุคลากรทางการแพทย์กำลังพิจารณาเพิ่มเติมในมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมไวรัสโควิด-19 ในทุกสายพันธุ์ และจะเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้มากยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ทยอยมาถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก มีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงในประเทศผู้ผลิตวัคซีนเอง อาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาวัคซีน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาพร้อมเจรจาทำข้อตกลงกับต่างประเทศ เพื่อเดินหน้าการลงทุนเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปยังสถานที่ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะสถานบันเทิง ที่ หากมีการตรวจสอบพบว่าไม่มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ได้มาตรฐานจะให้ปิดบริการโดยทันที ทั้งนี้ ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการป้องกัน และความสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ได้ รวมทั้งได้สั่งการให้กรุงเทพมหานครและกระทรวงมหาดไทยเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนามในสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดเป็นจำนวนมาก หากไม่เพียงพอก็มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมจัดหาพื้นที่เพิ่มเติม สำหรับส่วนภูมิภาค ได้ มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด พิจารณาจัดหามาตรการเพิ่มเติมเนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดที่แตกต่างกัน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงเกษตรฯ ใช้กลไก 3 ระดับ (ภูมิภาค-จังหวัด-เขต) ขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ​กระทรวงเกษตรฯ ใช้กลไก 3 ระดับ (ภูมิภาค-จังหวัด-เขต) ขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ​กระทรวงเกษตรฯ ใช้กลไก 3 ระดับ (ภูมิภาค-จังหวัด-เขต) ขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ห้อง 123) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project) รวมทั้งเห็นให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าว ต่อไป อีกทั้ง ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 250/2564 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2564 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง โดยมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกด้วย สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ดังนี้ 1. บริหารโครงการโดยคณะกรรมการโครงการและผู้อำนวยการโครงการภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และคณะกรรมการบริหาร AIC ร่วมกับทุกภาคีและทุกโครงการที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกัน 2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนงาน 3 ระดับ (ระดับภูมิภาค ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่เขต/เมือง) 3. สร้างความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงาน องค์กรและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น การเคหะฯ กรมธนรักษ์ การทางพิเศษ การรถไฟฯ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย เป็นต้น 4. แชร์ แบ่งปัน ระดมทรัพยากร เพื่อดำเนินการสร้างพื้นที่สีเขียว สร้างพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน และเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวตลาดสีเขียวชุมชนเมือง 5. รวบรวมข้อมูล กำหนดพื้นที่ ออกแบบแผนผัง เพื่อดำเนินการ 6. รณรงค์ สื่อสาร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และ 7. สรุปประเมิน และขยายผล ทั้งนี้ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project ) เป็นโครงการภายใต้รูปแบบเกษตรในเมือง (Urban Farming) เพื่อสร้างรายได้ อาชีพ และอาหารปลอดภัยให้กับคนในเมือง และสวนวนเกษตร (Forest Garden) โดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อรักษาความหลากหลายทางธรรมชาติ ระบบนิเวศน์เกษตร และเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้เชิงประจักษ์ในเมือง รวมทั้งเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจในเมือง เชื่อมโยงเศรษฐกิจชนบท สร้างความสมดุลใหม่ให้กับประเทศระหว่าง Urbanisation กับ Ruralization ด้วยการดำเนินการทำเกษตรกรรมยั่งยืน เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น ปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับมลพิษโดยพืชพรรณท้องถิ่น มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เป็นไม้ดอกไม้ประดับ พืชอาหาร ผักสวนครัวสร้างรายได้ และเพิ่มทางเดินเท้าสีเขียว ซึ่งจะเป็น “การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองอย่างยั่งยืน มีสวนสาธารณะด้วยการปลูกไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับ เพื่อดูดซับมลพิษ คาร์บอนไดออกไซด์ และกรองมลพิษ ผลิตก๊าซออกซิเจน สร้างความสมดุลการใช้พื้นที่ให้เกิดความเหมาะสม ลดภาวะโลกร้อน รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนพื้นที่สีเขียวในเมืองต่อจำนวนประชากร ตลอดจนพัฒนาที่ดินว่างเปล่าในเมือง ด้วยการทำเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อการผลิตอาหารที่มั่นคงและปลอดภัย รวมทั้งพัฒนาตลาดสีเขียว เพื่อสร้างรายได้ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ท้องถิ่น หน่วยงานและองค์กรภาคเอกชนต่างๆ.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ห่วงโควิด-19 แพร่ระบาดขยายวงกว้างในวงการกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวีดิทัศน์ ขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 วธ.ห่วงโควิด-19 แพร่ระบาดขยายวงกว้างในวงการกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวีดิทัศน์ ขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด วธ.ห่วงโควิด-19 แพร่ระบาดขยายวงกว้างในวงการกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวีดิทัศน์ ขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด วธ.ห่วงโควิด-19 แพร่ระบาดขยายวงกว้างในวงการกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและ วีดิทัศน์ ขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด หากจำเป็นอาจเชิญทุกฝ่ายมาหารือวางมาตรการป้องกันเข้มข้นขึ้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่ามีบุคลากรในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ในประเทศไทยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)อย่างต่อเนื่องในการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงที่ผ่านมานั้น กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ในฐานะผู้รับผิดชอบงานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทยและเป็นหน่วยงานร่วมกำหนดเกณฑ์ปฏิบัติและการประเมินความพร้อมของการถ่ายทำละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โฆษณาและวีดิทัศน์ในประเทศไทย รู้สึกมีความกังวลในเรื่องนี้และเกรงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะขยายสู่วงกว้างในวงการกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวิดีทัศน์ จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการดำเนินกิจกรรมด้านภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวีดิทัศน์ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานการทำงานกับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ทำให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศไม่จ้างงานทีมงานคนไทย ส่งผลให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการด้านการภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวีดิทัศน์ นักแสดงและทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับเดือดร้อนทางเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากงานหยุดชะงักและขาดรายได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.ขอความร่วมมือผู้บริหาร ผู้จัดละคร ทีมงานกองถ่ายทำละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โฆษณาและวีดิทัศน์และผู้จัดงานกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับกิจการการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โฆษณาและวีดิทัศน์อย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ ซึ่งภายในกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร โฆษณาและวิดีทัศน์ต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ลงทะเบียนแอปพลิเคชันไทยชนะทุกครั้ง และทีมงานแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ฝ่ายเสื้อผ้า ช่างแต่งหน้า-ทำผม ช่างภาพ ช่างเทคนิคหรือฝ่ายสวัสดิการกองถ่ายจะต้องใส่หน้ากากอนามัย มีแอลกอฮอล์ล้างมือไว้บริการตลอดเวลา และมีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดอุปกรณ์ในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งนักแสดงและทีมงานขอให้ดูแลตนเองและดูแลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยไม่พาตนเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจัดทำไทม์ไลน์ในแต่ละวัน หากเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงขอให้กักตัวเป็นเวลา 14 วันและคอยสังเกตอาการ หากป่วยขอให้รีบพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นวธ.อาจจะเชิญผู้ผลิต ผู้ประกอบการละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์มาประชุมหารือเพื่อชี้แจงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และทบทวนแนวทางการดำเนินงานป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันจักรี ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน ของทุกปี
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 วันจักรี ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40730
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามข้อกำหนดฯ โดยเคร่งครัด
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามข้อกำหนดฯ โดยเคร่งครัด ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ดำเนินการตามข้อกำหนดฯ โดยเคร่งครัด พร้อมเน้นย้ำปฏิบัติมาตรการ D-M-H-T-T และสร้างการรับรู้แพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus แก่ผู้ประกอบการ วันนี้ (7 เม.ย. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 64 ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน มีประเด็นข้อสั่งการ/ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย และในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.64 ได้มีการพิจารณากรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานบริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครและได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ำจังหวัดให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18) ข้อ 11 การดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคและการจัดระเบียบและปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ดังกล่าว โดยให้มีการตรวจสอบการใช้อาคารสถานที่และการดำเนินการของเจ้าของหรือผู้จัดการสถานที่ ให้เป็นไปตามแนวทางมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ มาตรการป้องกันโรค รวมทั้งการจัดระเบียบและระบบต่าง ๆ ที่ทางราชการกำหนด และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ยังได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านเมียนมา 10 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง กำชับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแจกจ่ายวัคซีนไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสคนจำนวนมากในบริเวณชายแดนและด่านชายแดนเป็นลำดับแรก และได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เร่งตรวจสอบสถานประกอบการ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมประชาสัมพันธ์แพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus ให้สถานประกอบการ กิจการ กิจกรรม มีมาตรการป้องกันให้ครบถ้วนตามเกณฑ์การประเมิน Thai Stop COVID Plus รวมทั้งรณรงค์ให้มีการล้างทำความสะอาดสถานที่ชุมชน ที่สาธารณะ เช่น ตลาด ส้วมสาธารณะ โดยการประเมินตนเองด้วยแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus (TSC+) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40735
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส รณรงค์คัดแยกขยะให้ถูกต้องปลอดภัย กระตุ้นองค์กรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดกิจกรรม “คนดี (DE) เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” ลดภัยสิ่งแวดล้อมต่อสังคม
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ดีอีเอส รณรงค์คัดแยกขยะให้ถูกต้องปลอดภัย กระตุ้นองค์กรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดกิจกรรม “คนดี (DE) เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” ลดภัยสิ่งแวดล้อมต่อสังคม ดีอีเอส รณรงค์คัดแยกขยะให้ถูกต้องปลอดภัย กระตุ้นองค์กรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดกิจกรรม “คนดี (DE) เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” ลดภัยสิ่งแวดล้อมต่อสังคม เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างความรู้ในเรื่องการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจสังคม และมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณแก่หน่วยงานผู้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม “คนดี (DE) เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมรูปแบบรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ มีความรู้ ความเข้าเกี่ยวกับวิธีกรคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง อาทิ กิจกรรมการส่งเสริมให้เกิดความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง กิจกรรม “คนดี (DE) เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” และกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึกร่วมกัน ซึ่งเชื่อว่ากิจกรรมทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมบุคลากรของกระทรวงฯ มีความรู้ความเข้าใจวิธีการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องและปลอดภัยตามหลักสากล และทุกคนเกิดความตระหนักถึงประโยชน์ของขยะรีไซเคิล เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการคัดแยกขยะเพื่อลดภัยสิ่งแวดล้อมต่อสังคม *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดการทดลองใช้มอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ประชาชนใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้ชั่วคราว ตั้งแต่ 9 - 19 เม.ย.นี้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีเปิดการทดลองใช้มอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ประชาชนใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้ชั่วคราว ตั้งแต่ 9 - 19 เม.ย.นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดการทดลองใช้มอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ประชาชนใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้ชั่วคราว ตั้งแต่ 9 - 19 เม.ย.นี้ วันนี้ (7 เม.ย.) เวลา 15.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดใช้งานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน – สระบุรี – นครราชสีมา ช่วง อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว เพื่อรองรับการเดินทางสงกรานต์ 2564 ณ บริเวณจุดตัดกับถนนมิตรภาพ กิโลเมตรที่ 65 บ้านหนองไผ่ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายอภิสิทธิ์ พรหมเสน รองอธิบดีกรมทางหลวง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สาย บางปะอิน – สระบุรี – นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง – อำเภอสีคิ้ว ระยะทาง 36 กิโลเมตร มีความคืบหน้าใกล้แล้วเสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่ได้มาร่วมเปิดโครงการก่อสร้างเส้นทางนี้เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2559 วันนี้ โครงการ ฯ มีความสำเร็จในอีกขั้นหนึ่งและพร้อมที่จะเปิดให้ประชาชนใช้งานเป็นการชั่วคราว ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 19 เมษายนนี้ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้ประชาชนได้ใช้เส้นทางนี้ในการสัญจรกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยเชื่อมโยงการเดินทางและคมนาคมขนส่งสินค้าระหว่างเมือง ระหว่างพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกับพื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมโยงเมืองหลักในภูมิภาคและเส้นทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รองรับความต้องการการเดินทางและการขนส่งสินค้า ให้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง เป็นการขยายโอกาสการค้าและการลงทุน สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ใกล้เคียงทั้งยังช่วยเชื่อมโยงให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ คือ ลดเวลา ลดระยะทาง และลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การจราจรทั้งหมดต้องสอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมทรัพยากรที่มีคุณค่า นายกรัฐมนตรียังห่วงใยถึงปัญหาการจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือการเวนคืนพื้นที่เพื่อใช้ก่อสร้าง กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงไปดูแลที่ดินของประชาชนที่ถูกเวนคืนให้มีความเป็นธรรม พร้อมสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขปัญหาครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตและให้ครอบครัวมั่นคงมีความสุข สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยย้ำว่า “รัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดใช้งานทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองฯ โดยเดินทางโดยรถยนต์ไปบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองฯ เพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมของเส้นทาง ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ........................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการที่ได้รับทุนฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในด้าน Digital Technology & Innovation ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ก.พ.
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ปลัดกอบชัยฯ มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการที่ได้รับทุนฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในด้าน Digital Technology & Innovation ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ก.พ. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการที่ได้รับทุนฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในด้าน Digital Technology & Innovation ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ก.พ. ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 13.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการในสังกัดที่ได้รับทุนฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในด้าน Digital Technology & Innovation สำหรับกระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งมีข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับทุน จำนวน 20 ราย โดยมีนางสาวอลินี ธนะวัฒน์สัจจะเสรี ผู้อำนวยการศูนย์นักบริหารระดับสูง สำนักงาน ก.พ. ผศ.ดร.อรรถวิทย์ สุดแสง หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมงาน ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเวทีผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 1 ปี 2564
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ดีอีเอส ร่วมเวทีผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 1 ปี 2564 ดีอีเอส ร่วมเวทีผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 1 ปี 2564 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวต้อนรับและเข้าร่วมการประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นำสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2564 (The 1st ADGSOM – ATRC Leasers’ Retreat of 2021) ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยมีนางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้แทนเจ้าหน้าที่จากกองการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม MOC ชั้น 6 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย”เร่งเครื่อง “ยุทธศาสตร์ที่5”รับมือโควิดระลอกใหม่
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 “เฉลิมชัย”เร่งเครื่อง “ยุทธศาสตร์ที่5”รับมือโควิดระลอกใหม่ “เฉลิมชัย”เร่งเครื่อง “ยุทธศาสตร์ที่5”รับมือโควิดระลอกใหม่ ตั้ง “อลงกรณ์”ขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)ชูBCGโมเดลสร้างเศรษฐกิจฐานรากชุมชน77จังหวัด ผนึก4ภาคีขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)ตั้งเป้าสร้างความมั่น นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(7เม.ย)ว่า ภายใต้ “5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตร”ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่5อีกแนวรุกหนึ่งคือ “ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา”โดยออกคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง” โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานทำหน้าที่พัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อเพิ่มความมั่นคงอาหารในเมืองและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากชุมชนทั่วประเทศเป็นการรับมือผลกระทบจากวิกฤติโควิด19ระลอกใหม่โดยมีวัตถุประสงค์5ประการได้แก่1. พัฒนาเกษตรในเมือง2.เพิ่มพื้นที่สีเขียว3.เพิ่มคุณภาพอากาศ ลดกรีนเฮ้าส์แก๊ซและพีเอ็ม2.54.ฟื้นฟูระบบนิเวศน์ธรรมชาติในเมืองและ5. สร้างเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มรายได้และอาชีพระดับชุมชนบนโมเดลBCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) นายอลงกรณ์กล่าวว่า นับเป็นทิศทางใหม่ของการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยและเป็นครั้งแรกของประเทศที่จะส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองอย่างยั่งยืนในระดับนโยบายคู่ขนานไปกับการพัฒนาภาคเกษตรในชนบท อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนเพื่อรับมือวิกฤตโดวิด19และเตรียมความพร้อมของประเทศหลังยุคโควิด19 จัดได้ว่าเป็นการตอบโจทย์ทั้งหมดของทั้งปัญหาและโอกาส(Pain pointและGain point)สำหรับปัจจุบันและอนาคต “การขับเคลื่อนโครงการนี้จะผนึกความร่วมมือบน5แกนหลักคือภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการภาคประชาสังคมและภาคเกษตรกรโดยมีศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์AIC ทั้ง77จังหวัดเป็นกลไกขับเคลื่อนระดับภูมิภาคร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับทุกภาคีภาคส่วน” นายอลงกรณ์ กล่าว โครงการนี้พัฒนาต่อยอดมาจากโครงการกรีนซิตี้(Green City)ที่มุ่งลดปัญหาพีเอ็ม2.5ด้วยการปลูกต้นไม้1ล้านต้นและโครงการตู้เย็นข้างบ้านส่งเสริมการปลูกผักรับประทานเองที่ดร.เฉลิมชัยริเริ่มและดำเนินการประสบความสำเร็จในช่วง1ปีกว่าที่ผ่านมา โดยออกแบบใหม่ภายใต้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน(Sustainable Agriculture)ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลักคือ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสานและเกษตรธรรมชาติ สำหรับ “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย”ประกอบด้วย1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.03. ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety-Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน)4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย”และ 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดเวทีสัมมนาการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำ (SOPs) มุ่งสร้างมาตรฐานการดูแลผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยึดหลั
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 รมว.ยุติธรรม เปิดเวทีสัมมนาการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำ (SOPs) มุ่งสร้างมาตรฐานการดูแลผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยึดหลั นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติ เปิดเวทีสัมมนาการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำ (SOPs) มุ่งสร้างมาตรฐานการดูแลผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยึดหลักสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ในวันอังคารที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ กรมราชทัณฑ์ ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำ (Standard Operating Procedures : SOPs) โดยมี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงผู้บริหารและผู้บัญชาการเรือนจำ/ทัณฑสถานทั่วประเทศ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ทั้งนี้ เพื่อให้เรือนจำ/ทัณฑสถานทั่วประเทศ นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในการปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัว ตามนโยบายของรัฐมนตรี โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเนื้อหาจะมีการบรรยายให้ความรู้ และรับฟังความคิดเห็นจากผู้บัญชาการเรือนจำ/ทัณฑสถาน ๑๔๓ แห่ง ในฐานะผู้ปฏิบัติงานจริง และการแบ่งกลุ่มร่วมทำเวิร์คช็อป แลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางปฏิบัติเพื่อให้มีความชัดเจน จากนั้นจะนำความรู้ที่ได้ไปจัดทำเป็นมาตรฐาน SOPs ของกรมราชทัณฑ์ต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวมอบนโยบายว่า โครงการนี้มีความสำคัญในการสร้างบทบาทหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ทำให้การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังและการควบคุมตัวเป็นไปอย่างมืออาชีพ ตามมาตรฐานสากล ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อกรมราชทัณฑ์ อีกทั้งจะเป็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริหารในการปฏบัติต่อผู้ต้องขัง จึงให้จัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรือนจำ เพื่อลดความผิดพลาดและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้เน้นย้ำถึงนโยบายที่ให้ไว้ อาทิ การเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และการปลูกพืชผลไม้ราคาแพง เช่น ทุเรียน เป็นต้น โดยขอให้ผู้บริหารพยายามหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อนำมาเป็นอาชีพรองรับให้แก่ผู้ต้องขังภายหลังพ้นโทษ รวมถึงขอให้ศึกษาเรื่องประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งจะมีบทบัญญัติที่เกี่ยวกับบทลงโทษแบบใหม่ โดยหากกฎหมายดังกล่าวผ่านรัฐสภาแล้ว เรือนจำจะต้องมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อมารองรับด้วย จึงขอให้ติดตามรายละเอียดอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ต้องขังในโอกาสต่อไป --------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เปิดจุดบริการทั่วไทยบริเวณจุดพักรถบรรทุกและสถานีตรวจสอบน้ำหนัก รวม 73 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับผู้ใช้ทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 กรมทางหลวง เปิดจุดบริการทั่วไทยบริเวณจุดพักรถบรรทุกและสถานีตรวจสอบน้ำหนัก รวม 73 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้กับผู้ใช้ทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ได้ทำการจัดตั้งจุดบริการประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 73 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยบนทางหลวงรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ประกอบด้วย จุดบริการบริเวณสถานีตรวจสอบน้ำหนัก จำนวน 62 แห่ง และจุดบริการบริเวณจุดพักรถบรรทุก (Truck Rest Area) จำนวน 11 แห่ง โดยได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดบริการ คอยดูแลและให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางหลวง เช่น สภาพการจราจร แนะนำเส้นทาง บริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ ห้องน้ำสะอาด พร้อมพื้นที่จอดพักรถที่กว้างขวางและปลอดภัย ควบคุมดูแลด้วยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และยังมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วพร้อมช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีการเปิดช่องทางพิเศษเตรียมระบายการจราจร หากมีการจราจรติดขัดบริเวณหน้าสถานีตรวจสอบน้ำหนัก ในทางหลวงสายหลักที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่น โดยการเปิดช่องทางพิเศษให้รถสามารถผ่านสถานีตรวจสอบน้ำหนักฯได้ มี 6 สถานีฯ ดังนี้ 1.สถานีฯบางปะอิน (ขาเข้า) จ.อยุธยา ทล.32 กม.4+150 (ขวาทาง) 2.สถานีฯแก่งคอย (ขาเข้า) จ.สระบุรี ทล.2 กม.15+550 (ขวาทาง) 3.สถานีฯสีคิ้ว (ขาออก) จ.นครราชสีมา ทล.2 กม.93+225 (ซ้ายทาง) 4.สถานีฯโนนสูง (ขาเข้า) จ.นครราชสีมา ทล.2 กม.170+040 (ขวาทาง) 5.สถานีฯโนนสูง (ขาออก) จ.นครราชสีมา ทล.2 กม.169+750 (ซ้ายทาง) และ 6.สถานีฯลำลูกกา (ขาออก) มอเตอร์เวย์ จ.ปทุมธานี ทล.9 กม.32+400 (ขวาทาง) สำหรับจุดพักรถบรรทุก (Truck Rest Area) 11 แห่ง ได้แก่ 1. ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน สระบุรี-มวกเหล็ก กม. 15+550(ขวาทาง) จ.สระบุรี 2. ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน นครราชสีมา-ดอนหวาย กม. 170+040(ขวาทาง) จ.นครราชสีมา 3. ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน นครราชสีมา-ดอนหวาย กม. 169+750(ซ้ายทาง) จ.นครราชสีมา 4. ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน บ่อท่อง-มอจะบก กม. 93+350(ขวาทาง) จ.นครราชสีมา 5. ทางหลวงหมายเลข 340 ตอน กม.55+207(ต่อเขตแขวงฯปราจีนบุรี) ขวาทาง กม. 82+136(ขวาทาง) จ.นครราชสีมา 6. ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน หินลาด-โนนสะอาด กม. 374+700(ซ้ายทาง) จ.ขอนแก่น 7. ทางหลวงหมายเลข 24 ตอน ประโคนชัย-จรอกใหญ่ กม. 160+955(ซ้ายทาง) จ.บุรีรัมย์ 8. ทางหลวงหมายเลข 214 ตอน ท่าตูม-จอมพระ กม. 146+758(ซ้ายทาง) จ.สุรินทร์ 9. ทางหลวงหมายเลข 24 ตอน เดชอุดม-อุบลราชธานี กม. 398+758(ซ้ายทาง) จ.อุบลราชธานี 10. ทางหลวงหมายเลข 1 ตอน วังไผ่-โนนปอแดง กม. 378+650(ขวาทาง) จ.นครสวรรค์ และ 11. ทางหลวงหมายเลข 4 ตอน วังครก - เสียบญวณ กม.474+157(ซ้ายทาง) จ.ชุมพร อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ใช้เส้นทาง ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” หากมีข้อร้องเรียน แจ้งเหตุหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ 1586 กด 5 หรือ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โดยมี นายสมหมาย ไชยนิจ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานบุรีรัมย์พร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (อทย.) กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โดยมี นายสมหมาย ไชยนิจ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานบุรีรัมย์พร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ อทย. ได้ประชุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยผู้อำนวยการท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ได้รายงานการเตรียมความพร้อมในการ อำนวยความสะดวกการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของผู้โดยสาร ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล และความพร้อมในการ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในทุกมิติและเน้นย้ำยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามแนวทาง D-M-H-T-T ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด นายอภิรัฐฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ได้สั่งการให้ ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน เตรียมความพร้อมให้ความร่วมมือกับทางจังหวัด ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องการป้องกัน การระบาดใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2564 โดยนายวิทิต สฤษฎีชัยกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ แจ้งว่า เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดบุรีรัมย์ กำหนดให้ 5 จังหวัดดังต่อไปนี้ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และนครปฐม เป็นพื้นที่สีแดง โดยผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าจังหวัดบุรีรัมย์ ต้องทำการกักตัว 14 วัน หรือ ตรวจหาเชื้อโควิด - 19 แบบ Rapid Test ที่ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ หรือ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ (ค่าใช้จ่าย 600 บาท ) หากผลตรวจเป็นลบไม่ต้องทำการกักตัว พร้อมกันนี้ อทย. ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการซ่อมบำรุง ทางวิ่ง ทางขับ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โดยโครงการดังกล่าว ได้รับงบประมาณในกรอบวงเงิน 102,792,000 บาท( หนึ่งร้อยสองล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันบาทถ้วน) โดยมีบริษัท สยามธรรมานนท์ จำกัด เป็นผู้รับจ้าง โดยมีความคืบหน้าของโครงการฯ 21.31 เปอร์เซ็นต์ ( ข้อมูล ณ วันที่ 5 เม.ย. 2564 ) และได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เร่งดำเนินการโครงการดังกล่าวฯ ให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ ปัจจุบันท่าอากาศยานบุรีรัมย์เปิดให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยมี สายการบินไทยแอร์เอเชียและสายการบินนกแอร์ ในเส้นทางดอนเมือง-บุรีรัมย์-ดอนเมือง เป็นประจำทุกวัน ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 044 666334 หรือสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ThaiFlightInfo เพื่อเช็คเที่ยวบินได้แบบ Real Time และรับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญของกรมท่าอากาศยาน โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Andriod
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40744
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ วันที่6 เม.ย. 64เวลา 10.00 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) และโฆษกกระทรวง พม. ลงพื้นที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ และผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ และยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ โดยมี ทีม One Home พม. จังหวัดราชบุรี เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่บูรณาการร่วมกัน นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียน โครงการเราชนะ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564 สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มีนโยบายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด ลงพื้นที่พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัดเข้าไปค้นหากลุ่มเปราะบางที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกเพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐให้ได้มากที่สุด และวันนี้ ตนได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ อพม. เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการและผู้สูงอายุ จำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งขณะนี้ ทีม พม. One Home จังหวัดราชบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มเปราะบางสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิโครงการเราชนะแล้ว จำนวนกว่า 1,500 ราย นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ และต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถติดต่อไปยัง สำนักงาน พมจ. ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40757
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 เตือนนายจ้างรถโดยสารสาธารณะ ห้ามให้ลูกจ้างขับรถเกินเวลา ช่วงสงกรานต์เกิดอุบัติเหตุเอาผิดนายจ้างโทษสูงสุด
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 จับกัง 1 เตือนนายจ้างรถโดยสารสาธารณะ ห้ามให้ลูกจ้างขับรถเกินเวลา ช่วงสงกรานต์เกิดอุบัติเหตุเอาผิดนายจ้างโทษสูงสุด กระทรวงแรงงานเตือนนายจ้างในกิจการขนส่งทางบกร่วมดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน ห้ามให้ลูกจ้างขับขี่ยานพาหนะเกินวันละ 8 ชั่วโมง OT ไม่เกิน 2 ชั่วโมง และต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด ด้านลูกจ้างต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวันพบว่าเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตจำนวนมาก สร้างความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินมิอาจประเมินค่าได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ ขับรถด้วยความเร็ว ประมาท พักผ่อนน้อย และเสพยา ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีวันหยุดต่อเนื่องระหว่างวันที่ 10 – 15 เมษายน 2564 รวม 6 วัน ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้พนักงานขับรถต้องทำงานหนักมากขึ้น จึงฝากเตือนไปยังนายจ้าง สถานประกอบกิจการประเภทขนส่งทางบกกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน และหากพบไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินคดีในอัตราโทษสูงสุด ด้านนายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ระบุให้นายจ้างกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานปกติของลูกจ้าง โดยทำงานได้ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมงหากทำงานล่วงเวลาต้องไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง หลังจากที่ลูกจ้างขับรถมาแล้ว 4 ชั่วโมง ต้องมีเวลาพักผ่อนติดต่อกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และในวันถัดไปห้ามให้ลูกจ้างเริ่มทำงานก่อนครบเวลา 10 ชั่วโมง หลังสิ้นสุดการทำงานของวันที่ล่วงมาแล้วทั้งนี้ งานในกิจการประเภทขนส่งทางบก โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะ ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร รวมไปถึงผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ มีสติตลอดเวลา ดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและขณะขับรถ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. คุมเข้มสินค้า 43 รายการ เร่งออกมาตรฐานควบคุมภายในปีนี้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 สมอ. คุมเข้มสินค้า 43 รายการ เร่งออกมาตรฐานควบคุมภายในปีนี้ “สุริยะ” จี้ สมอ. คุมเข้มสินค้า 43 รายการ เสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต ให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุม ทั้งไฟฟ้า ยานยนต์ เคมี วัสดุก่อสร้าง เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในปีนี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันจากที่เป็นอยู่ให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถดึงความสนใจของนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ และในการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำเป็นต้องมีมาตรการเสริมนอกเหนือจากการส่งเสริมการลงทุนโดยปกติ ซึ่งมาตรฐานก็เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความสำคัญต่อ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพสินค้าให้สามารถแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกได้ “ผมได้เร่งรัดให้ สมอ. เร่งดำเนินการกำหนดมาตรฐานเพื่อให้ทันกับความต้องการของภาค อุตสาหกรรม และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้เข้มงวด และควบคุมสินค้าที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุมด้วย” นายสุริยะฯ กล่าว นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ได้ขออนุมัติบอร์ด สมอ. กำหนดมาตรฐานสินค้าทั้งสิ้นจำนวน 361 เรื่อง ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve จำนวน 117 เรื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve จำนวน 60 เรื่อง เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงนโยบายและอื่นๆ จำนวน 113 เรื่อง ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เกษตรแปรรูป พลาสติก ยาง สมุนไพร นวัตกรรม เป็นต้น และกลุ่มผลิตภัณฑ์พื้นฐานตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จำนวน 71 เรื่อง ได้แก่ เครื่องกล เหล็ก คอนกรีต วัสดุก่อสร้าง และโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ไตรมาส 2 สมอ. กำหนดมาตรฐานแล้วทั้งสิ้นกว่า 250 เรื่อง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด ภายในไตรมาสที่ 4 อย่างแน่นอน “ขณะนี้ สมอ. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำมาตรฐานใหม่ที่จะประกาศเป็นสินค้าควบคุมอีกทั้งหมด 43 รายการ เช่น ยางหล่อดอกซ้ำ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสี หน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว ถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว กระดาษสัมผัสอาหาร ภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำบริโภค เครื่องฟอกอากาศ ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร เก้าอี้นวดไฟฟ้า และเครื่องเล่นสนาม ได้แก่ ชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน อุปกรณ์โยก เป็นต้น และนำมาตรฐานเดิมมาทบทวนและเสนอบังคับต่อเนื่องอีกจำนวน 21 รายการ เช่น มาตรฐานในกลุ่มสีย้อมสังเคราะห์ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักรกล เตารีดไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เครื่องดับเพลิง และแบตเตอรี่มือถือ เป็นต้น โดยทั้งหมดจะ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2564 นี้ จึงขอแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่จะทำสินค้าดังกล่าว ให้เตรียมตัวดำเนินการตามมาตรฐาน ทั้งที่ทำในประเทศ และนำเข้า เพราะท่านจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำหรือนำเข้า พร้อมทั้งให้เตรียมตัวยื่นขอใบอนุญาตก่อนวันที่มาตรฐานแต่ละรายการจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อได้ที่ สมอ. หรือจะยื่นขอ มอก. ออนไลน์ผ่านระบบ E-license ได้ที่ https://itisi.go.th/e-license/ ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ สมอ. กล่าว 7 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ เพื
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ เพื สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ เพื่อใช้ในงานด้านการป้องกันโควิด-19 ในเรือนจำพื้นที่ภาคใต้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด - 19 ในพื้นที่เรือนจำเขตภาคใต้ ทำให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาในฐานะองค์ประธานคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ฯ ทรงห่วงใยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งผู้ต้องขังในเรือนจำ จึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะองค์ที่ปรึกษาคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ฯ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ โดยพระราชทานรถชีวะนิรภัยลงไปช่วยวิเคราะห์ ผลการตรวจ พระราชทานให้แพทย์ทหารจิตอาสา ๙๐๔ ลงไปช่วยเหลือร่วมกับแพทย์ในพื้นที่ พระราชทานเจลทำความสะอาดแบบปั๊มและแบบขวด รวมทั้งพระราชทานเงิน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ กษัตริย์ ในการนี้ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมโดยนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้ารับพระราชทานเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เจลแอลกอฮอล์ ภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธานคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ฯ ซึ่งนับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ชาวราชทัณฑ์ที่ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาและความเดือดร้อนไม่เว้นแม้แต่ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำและทัณฑสถาน ให้ได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด โดยกรมราชทัณฑ์จะนำเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ภายใต้โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ได้รับพระราชทานไปจัดสรรให้แก่ เรือนจำจังหวัดนราธิวาส จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเรือนจำอื่นในเขตภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งเจลแอลกอฮอล์ เพื่อใช้ในงานด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน เตือนเดินทางช่วงสงกรานต์อย่างระมัดระวัง พร้อมขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน เตือนเดินทางช่วงสงกรานต์อย่างระมัดระวัง พร้อมขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน เตือนเดินทางช่วงสงกรานต์อย่างระมัดระวัง พร้อมขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 13.00 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอความร่วมมือประชาชนหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด อาทิ การรดน้ำดำหัวที่มีการรวมกลุ่มของคนหมู่มาก รวมถึงการทำบุญที่จะต้องมีการเว้นระยะห่าง และสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ พร้อมแนะให้จัดกิจกรรมสรงน้ำพระพุทธรูปในที่พักอาศัยของตนเอง จัดงานรดน้ำดำหัวเฉพาะภายในครอบครัว ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือประชาชนเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์อย่างปลอดภัย ระมัดระวังเรื่องการใช้ยานพาหนะ ไม่ดื่มสุรา พักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง คำนึงถึงตนเอง ครอบครัว และสังคม มีสติสัมปชัญญะในการดำรงชีวิตด้วย ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน ฉายภาพยนตร์ " วัยอลวนฮ่า ! " รอบปฐมทัศน์การกุศลเพื่อศิลปินพิเศษ (พิการ)
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน ฉายภาพยนตร์ " วัยอลวนฮ่า ! " รอบปฐมทัศน์การกุศลเพื่อศิลปินพิเศษ (พิการ) ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน ฉายภาพยนตร์ " วัยอลวนฮ่า ! " รอบปฐมทัศน์การกุศลเพื่อศิลปินพิเศษ (พิการ) วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน ฉายภาพยนตร์ " วัยอลวนฮ่า ! " รอบปฐมทัศน์การกุศลเพื่อศิลปินพิเศษ (พิการ) โดยมี นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณลลิสา จงบารมี ประธานมูลนิธิธารศิลป์รักษ์จิตรกร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปิน ดารา นักแสดง สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนิเพล็กซ์ โรงที่ ๘ ชั้น ๖ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดโอกาส กู้สูงสุด 3 แสนบาท สนับสนุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 เปิดโอกาส กู้สูงสุด 3 แสนบาท สนับสนุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน ... การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่ว่างงาน แรงงานนอกระบบ ให้สามารถมีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ เข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ และเป็นธรรมเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ . ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน ได้จัดสรรเงินเพื่อปล่อยกู้วงเงินรวม 7,000,000 บาท ผ่านกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อให้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต เพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน . ตั้งแต่เดือน ต.ค. 63 จนถึงปัจจุบันปล่อยกู้แล้วทั้งสิ้น จำนวน 20 กลุ่ม เป็นเงิน 3,210,000 บาท โดยยังมีวงเงินคงเหลือสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการกู้ยืมเงินกองทุนฯ อีก 3,790,000 บาท . ซึ่งผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการเงินทุน และเข้าเกณฑ์เงื่อนไขของกรมการจัดหางาน สามารถยื่นคำขอกู้เงินโดยปลอดดอกเบี้ยนาน 12 เดือน และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี แบ่งเป็น ประเภทบุคคลกู้ไม่เกิน 50,000 บาท ชำระคืนภายใน 2 ปี ส่วนกลุ่มบุคคลวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ชำระคืนภายใน 5 ปี . โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 30 ก.ย. 64 ที่กรมการจัดหางาน และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ วันที่ 6 เม.ย. 64เวลา 11.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) และโฆษกกระทรวง พม. ลงพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ และยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ โดยมี ทีม One Home พม. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่บูรณาการร่วมกัน นายอนุกูล กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียน โครงการเราชนะ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564 สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มีนโยบายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด ลงพื้นที่พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัดเข้าไปค้นหากลุ่มเปราะบางที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกเพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐให้ได้มากที่สุด และวันนี้ ตนได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ อพม. เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา ทีม พม. One Home จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับคลังจังหวัด เจ้าหน้าที่ทุกอำเภอ และธนาคารกรุงไทย ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกและรับลงทะเบียนกลุ่มเปราะบางเพื่อให้ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ จำนวนกว่า 2,500 ราย รวมทั้งมีการลงพื้นที่ ณ สนามกีฬา อบจ. ช่วยอำนวยความสะดวกกลุ่มเปราะบางเพื่อลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเราชนะ จำนวน 22,000 ราย นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ และต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถติดต่อไปยัง สำนักงาน พมจ. ทุกจังหวัดหรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน เน้นย้ำปฏิบัติมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่การ์ดตก
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายกฯ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน เน้นย้ำปฏิบัติมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่การ์ดตก นายกฯ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน เน้นย้ำปฏิบัติมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่การ์ดตก ไม่ให้ความร่วมมือ เป็นช่วงที่น่าอันตรายมาก วันที่ 6 เม.ย.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม โดยขอให้มีการเน้นย้ำ มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเต็มขีดความสามารถ คือ D - Distancing - เว้นระยะระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น M - Mask wearing - สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ตลอดเวลา H - Hand washing – ล้างมือบ่อย ๆ จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือ อย่างทั่วถึง เพียงพอ T - Testing – ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจหาเชื้อโควิด -19 (เฉพาะกรณี) T - Thaichana - ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำหน่วยงานต่าง ๆ ตรวจกำกับดูแลกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในพื้นที่รับผิดชอบ โดยมีมาตรการ ดังนี้ “ทุกพื้นที่” 1) เน้นมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 (D-M-H-T-T) 2) ขอความร่วมมือหรือพิจารณาให้หยุดดำเนินกิจการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ “พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อ” ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาปิดสถานประกอบการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ตามขนาดพื้นที่ และระยะเวลาที่เห็นเหมาะสม ตามระดับของสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อในพื้นที่ และเนื่องด้วยในสถานการณ์ปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อในประเทศจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในขีดความสามารถทางการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถควบคุมได้ แต่ผู้ที่คาดว่าติดเชื้อกระจายตามพื้นที่ทั่วไป เนื่องจากมีการสัญจรไปมาระหว่างพื้นที่ ดังนั้น จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เพื่อให้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลเต็มขีดความสามารถ ดังนั้น การเดินทางสัญจรในห้วงเวลานี้ ขอให้เน้นมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 (D-M-H-T-T) อย่างเคร่งครัด และในกรณีที่บุคคลใดทราบว่าตนเองได้เคยเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการติดเชื้อ ขอให้กักกันตนเองและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น เป็นระยะเวลา 14 วัน หากพบว่ามีอาการผิดปกติขอให้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลใกล้บ้านและให้ข้อมูลที่แท้จริงกับแพทย์ สำหรับแนวทางในการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ ให้เน้นแบบฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เน้นวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยวและสุขภาพ งดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมากและมีการสัมผัสกันใกล้ชิด ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมสงกรานต์ต้องสอดคล้องกับแนวทางมาตรการเทศกาลสงกรานต์ 2564 ของ ศบค. ยึดตามมาตรการ D-M-H-T-T ดังนี้ 1) การจัดพิธีรดน้ำดำหัว หลีกเลี่ยงการจัดในที่คับแคบหรือห้องปรับอากาศ จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมตามขนาดของสถานที่ 1 คน ต่อ 1 ตารางเมตร เรียงแถวเข้ารดน้ำเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร และสวมหน้ากากอนามัย 2) การจัดงานสงกรานต์ จัดในพื้นที่โล่งแจ้ง จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมตามขนาดของสถานที่ 1 คน ต่อ 1 ตารางเมตร งดการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ได้แก่ งดการจัดกิจกรรมรวมกลุ่มเล่นสาดน้ำ หรือสัมผัสกันใกล้ชิด ได้แก่ งดประแป้ง งดการเล่นปาร์ตี้โฟม หลีกเลี่ยงการจัดเลี้ยง และสังสรรค์ ในกลุ่มที่มาจากหลากหลายพื้นที่ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนยึดแนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่” มาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ตามมาตรการเทศกาลสงกรานต์ 2564 ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.ใส่ใจการควบคุมอุณหภูมิวัคซีนโควิด 19 ให้คงคุณภาพภาพมากที่สุดจนถึงการฉีด
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ปลัด สธ.ใส่ใจการควบคุมอุณหภูมิวัคซีนโควิด 19 ให้คงคุณภาพภาพมากที่สุดจนถึงการฉีด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ใส่ใจทุกกระบวนการฉีดวัคซีนโควิด 19 เน้นย้ำต้องเก็บรักษาไว้ที่ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อให้วัคซีนคงคุณภาพและประสิทธิภาพจนกระทั่งฉีดให้กับประชาชน พร้อมย้ำแม้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ขอให้ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนที่ จ.ภูเก็ตว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนของระบบบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับประชาชน ตั้งแต่การจัดสรรวัคซีนลงแต่ละพื้นที่ให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรเป้าหมายที่สมควรได้รับเพื่อป้องการติดเชื้อ ป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงและเสียชีวิต และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดในพื้นที่ และที่สำคัญคือการจัดส่งและเก็บรักษาวัคซีนที่ต้องมีระบบการควบคุมอุณหภูมิความเย็น ที่ 2-8 องศาเซลเซียส ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางตลอดเวลา จนกระทั่งจัดฉีดให้กับประชาชน เพื่อคงประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานที่สุด นอกจากนี้ได้ไปดูจุดเก็บวัคซีนสำหรับฉีดให้กับประชาชน ที่ บริเวณโรงยิม 4,000 ที่นั่ง ศูนย์กีฬาสะพานหิน ขอชื่นชมว่าสามารถจัดเก็บวัคซีนได้ตามมาตรฐานอย่างดี ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1-6 เมษายน 2564 รวม 5 วัน ฉีดวัคซีนไปแล้ว 44,408 คน ซึ่งดำเนินการได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า วัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขจะจัดหาให้มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง และเกิดประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ขอให้ ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก ยังคงสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และไม่นำตัวเองไปอยู่ในสถานที่เสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนใกล้ชิด” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ********************************* 7 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่ รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่ เพื่อลดความเลื่อมล้ำ ให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ และดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล จังหวัดกระบี่ พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์ปอเทืองให้แก่ผู้รับการจัดสรรที่ดิน และร่วมปลูกต้นรวงผึ้งและต้นปอเทือง ณ แปลงตำบลเขาพนม ท้องที่หมู่ที่ ๓ ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้ร่วมกับจังหวัดกระบี่ ดำเนินการยึดคืนพื้นที่แปลงนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่ มีมติให้เกษตรกรสิ้นสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ที่ได้รับมอบจาก ส.ป.ก. เนื้อที่ประมาณ ๙๗๖ ไร่ ต่อมาได้ส่งพื้นที่แปลงนี้ให้แก่คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย ในการจัดที่ดินในรูปแบบแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ และการดำเนินกระบวนการจัดที่ดินมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการคัดเลือกบุคคล ผู้มีคุณสมบัติสมควรได้รับการจัดที่ดิน และได้จัดตั้งสถาบันเกษตรกรเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ระหว่างการขออนุญาตใช้ที่ดินตามระเบียบของ ส.ป.ก. ซึ่งภายหลังที่มีการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว ก็จะมีการดำเนินการในขั้นตอนของการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้แก่ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป “ในวันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล และจัดผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินลงตำแหน่งแปลงที่ดิน แก่พี่น้องเกษตรกรผู้มีคุณสมบัติสมควรได้รับ ในแปลงเขาพนมจำนวน ๗๒ ราย พร้อมสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกรในการเข้าทำกินในที่ดิน พร้อทแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกร และให้การสนับสนุนการพัฒนาด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว การจัดที่ดินแปลงนี้ ดำเนินการโดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ทำหน้าที่กำหนดแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม ผ่านมายัง คทช.จังหวัดกระบี่ ดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในพื้นที่ ดังนั้น เพื่อให้ได้ผู้มีคุณสมบัติสมควรได้รับการจัดที่ดิน จังหวัดกระบี่โดย คทช.จังหวัดกระบี่ จึงได้จัดทำประชาคมในระดับหมู่บ้านกลั่นกรองผู้ขึ้นทะเบียนผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินกิน และนำเสนอคณะทำงานในระดับอำเภอพิจารณาคัดเลือก ก่อนที่ คทช.จังหวัดกระบี่ จะพิจารณาให้ความเห็นชอบ และได้ดำเนินการขออนุญาตใช้ที่ดินจาก ส.ป.ก. ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เร่งช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ วันที่ 5 เม.ย. 64เวลา 13.00 น. นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.ปลัด พม.) และรองโฆษกกระทรวง พม. ลงพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ และยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ โดยมีพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดฉะเชิงเทรา และทีม One Home พม. จังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 3 ปลัดจังหวัด คลังจังหวัด นายอำเภอพนมสารคาม เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย และประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จังหวัด ให้การต้อนรับและร่วมลงพื้นที่ นางจตุพร กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีโครงการเราชนะ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 และได้มีการการขยายระยะเวลาลงทะเบียน จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564 สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มีนโยบายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด ลงพื้นที่พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัดเข้าไปค้นหากลุ่มเปราะบางที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกเพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐให้ได้มากที่สุด นางจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ ตนได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา สำนักงาน พมจ.ฉะเชิงเทรา ทีม One Home พม. จังหวัด อพม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกกลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะแล้ว จำนวนกว่า 1,400 ราย นอกจากนี้ การลงพื้นที่ครั้งนี้ ยังได้ขับเคลื่อนโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน โดยได้แนะนำสมุดพกครอบครัวสำหรับแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งจะทำให้ทราบถึงสภาพปัญหาและความต้องการของครอบครัวกลุ่มเปราะบาง เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือรายครัวเรือนตามภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นางจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ และต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถติดต่อไปยัง สำนักงาน พมจ. ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดอบรม ITA สร้างความเข้าใจด้านการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ดีอีเอส จัดอบรม ITA สร้างความเข้าใจด้านการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ดีอีเอส จัดอบรม ITA สร้างความเข้าใจด้านการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ( ITA ) และวิธีการกรอกข้อมูลในระบบ ITAS ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 โดยมีคุณสุชาฎา วิรินทร์เวช ผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขมิให้เกิดปัญหาในปีถัดไป ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยมีเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินผล ITA ภายใต้หน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมการอบรมฯ ณ ห้องแมกโนเลีย 2-3 ชั้น 4 โรงแรมทีเค พาเลซ & คอนเวนชัน กรุงเทพฯ สำหรับ ITA เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการบริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพอย่างมีคุณธรรมและความโปร่งใส และสามารถนำผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนางานของหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2564
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (7 เมษายน 2564) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง และต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. 5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. 6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ขอความเห็นชอบยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา 8. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 726.25 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 4 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท 9. เรื่อง โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี 10. เรื่อง ขออนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F 11. เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500,000,000.00 บาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน) 12. เรื่อง รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563) 13. เรื่อง แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 14. เรื่อง กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 15. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 1/2564 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมกราคม 2564 16. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศสภาผู้แทนราษฎร 17. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 3 18. เรื่อง รายงานประจำปี 2563 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีสนามมวยนานาชาติรังสิตจัดให้มีการชกมวยในเด็ก โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง 20. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภา ผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา 21. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามีมติให้รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน สภาผู้แทนราษฎร 22. เรื่อง การขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลในคนต่างด้าว 23. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ต่างประเทศ 24. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – สิงคโปร์ แต่งตั้ง 25. เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานเทคนิคทางไฟฟ้าระหว่างประเทศ 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 27. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค 28. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และความเห็นของสมาคมธนาคารไทย และสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย มท. เสนอว่า 1. โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 บัญญัติให้เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 2. เนื่องจากปรากฏการณ์ New Normal ซึ่งเป็นผลจากการเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 (Covid-19) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของคนในสังคม และได้กำหนดกรอบในการพัฒนาระบบการทำงานของกรมการปกครอง เช่น ให้สำนัก/กอง ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงระบบงานการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการจองคิวอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ หรือระบบบริหารงานอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในเบื้องต้นสำนักบริหารการทะเบียนโดยส่วนบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีการทะเบียน ได้ดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการด้านงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนที่สำนักทะเบียน โดยทำการจองคิวหรือนัดหมายล่วงหน้าแบบออนไลน์ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ http://Q-Online.bora.dopa.go.th 3. ปัจจุบันได้มีการวางระบบคอมพิวเตอร์ด้านการทะเบียนราษฎรไว้ทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศเพื่อให้บริการประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ โดยได้ออกกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2547 ซึ่งกำหนดให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทุกสำนักทะเบียนไว้ประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร สำนักทะเบียนจังหวัด สำนักทะเบียนอำเภอ และสำนักทะเบียนท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตาม การให้บริการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงการให้บริการงานทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล เช่น การให้บริการประชาชนที่สามารถยืนยันตัวตนเพื่อยื่นคำขอแจ้งย้ายผ่านระบบดิจิทัล หรือการขอเลขที่บ้านใหม่หรือการขอคัดสำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น 4. ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่และการให้บริการประชาชนด้วยระบบดิจิทัลในการขอรับบริการงานทะเบียนราษฎรที่ประชาชนจะได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดที่ประชาชนจะต้องมาขอรับบริการ มท. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... เพื่อกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล ตลอดจนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและสอดคล้องกับหลักวิถีใหม่หรือ New Normal ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 5. มท. ได้รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ว่ามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมระยะเริ่มแรกเป็นเวลา 1 ปีสำหรับการใช้บริการผ่านระบบดิจิทัล โดยงานทะเบียนราษฎรที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะประกาศเพื่อให้บริการในช่วงแรก ได้แก่ การแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทางอัตโนมัติ ซึ่งช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 มีการเก็บค่าธรรมเนียมได้จำนวน 21,783,316 บาท ซึ่งการดำเนินการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมไปจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของประชาชนผู้ขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัล จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กำหนดนิยามคำว่า “การพิสูจน์และยืนยันตัวตน” หมายความว่า กระบวนการพิสูจน์และยืนยันความถูกต้องของตัวบุคคล และคำว่า “ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล” หมายความว่า เครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบุคคลใด ๆ หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนและการทำธุรกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพิสูจน์และยืนยันตัวตน 2. กำหนดให้ผู้ประสงค์จะเข้าใช้บริการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎรผ่านระบบดิจิทัลขอลงทะเบียนเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนและกำหนดรหัสประจำตัว โดยยื่นความประสงค์ต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ สำนักทะเบียนท้องถิ่น หรือสำนักทะเบียนอื่นตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด 3. กำหนดให้มีการบริการงานทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลแล้ว สามารถขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัลได้ด้วยตนเอง 4. การขอรับบริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัลผ่านการให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล ให้ถือว่าเป็นการยื่นคำขอหรือแจ้งตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนหรือนายทะเบียนผู้รับแจ้ง 5. วิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและการรับรองรายการทะเบียนที่เกิดจากการบริการด้วยระบบดิจิทัล ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด ทั้งนี้ ในระยะเริ่มแรกเป็นเวลาหนึ่งปี ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรที่จะต้องเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการด้วยระบบดิจิทัล และอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล 6. กำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประมวลผล การให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล และการปรับปรุงรายการที่เกิดจากการให้บริการด้วยระบบดิจิทัลในฐานข้อมูลการทะเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันตลอดเวลา 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. .... คณะรัฐมตนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ พน. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ตั้ง แผนผัง รูปแบบ และลักษณะของสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย การเก็บรักษา และการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กำหนดวิธีการคิดปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวในถังก๊าซหุงต้ม 2. กำหนดที่ตั้ง ลักษณะ และแผนผังของร้านจำหน่าย โดยห้ามตั้งร้านจำหน่ายถังก๊าซหุงต้มในอาคารชุด อาคารสรรพสินค้า อาคารแสดงสินค้า หรือสถานีบริการ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 3. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ รวมถึงปริมาณการเก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยร้านจำหน่ายที่อยู่ห่างจากอาคารอื่นไม่เกิน 6.00 เมตร ให้เก็บได้ไม่เกิน 2,400 ลิตร อยู่ห่างจากอาคารอื่นเกิน 6.00 เมตรขึ้นไป ให้เก็บได้ไม่เกิน 12,000 ลิตร 4. กำหนดระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงข้อห้ามในการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยกำหนดให้ร้านจำหน่ายลักษณะที่สอง (ร้านจำหน่ายที่มีการเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีปริมาณเกิน 500 ลิตรขึ้นไป) ต้องจัดให้มีระบบป้องกันภัยแบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Water Sprinklers) โดยต้องสามารถฉีดน้ำได้ครอบคลุมบริเวณที่เก็บถังก๊าซหุงต้มหรือกระป๋องก๊าซ และกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการร้านจำหน่ายต้องควบคุมดูแลไม่ให้มีการถ่ายเทก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซหุงต้ม 5. กำหนดบทเฉพาะกาล ให้ร้านจำหน่ายที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ภายในเวลา 1 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ และให้ร้านจำหน่ายที่ตั้งอยู่ในตึกแถวที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้มีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวข้างเคียงที่มีผนังร่วมกัน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกอาชญาบัตรสำรวจแร่ อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร รวมทั้งคุณสมบัติของผู้ขอรับอาชญาบัตรและประทานบัตรซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา 38 วรรคสอง และมาตรา 52 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรและประทานบัตร เช่น มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ต้องเป็นสมาชิกของสภาการแร่ และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น 2. กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร เช่น ผู้ขอรับอาชญาบัตรต้องไม่เคยถูกยกคำขอ ยกเลิกหรือเพิกถอนอาชญาบัตรผู้ขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ หรือประทานบัตร เป็นต้น 3. กำหนดขั้นตอนและกระบวนการขอยื่นคำขออาชญาบัตรและประทานบัตร เช่น การยื่นคำขออาชญาบัตรสำรวจแร่ให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในเขตเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลในท้องที่ที่จะขอสำรวจแร่ พร้อมด้วยข้อมูล เอกสารหรือหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ และการยื่นคำขอประทานบัตรให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องที่ ในท้องที่ที่จะขอทำเหมือง พร้อมด้วยข้อมูล เอกสารหรือหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ เป็นต้น 4. กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาออกประทานบัตร ได้แก่ ความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ ความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่จะใช้ในการทำเหมือง มาตรการป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และแผนการฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแร่ เป็นต้น 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ พณ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของ อก. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย พณ. เสนอว่า 1. โดยที่มาตรา 5 (5) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 บัญญัติให้ในกรณีที่จำเป็นหรือสมควร เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ การสาธารณสุข ความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดของรัฐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้สินค้าใดที่ส่งออกหรือนำเข้าเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หนังสือรับรองคุณภาพสินค้า หรือหนังสือรับรองอื่นใดตามความตกลงหรือประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศ และกำหนดมาตรการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกหรือการนำเข้าฯ 2. ประกอบกับได้มีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 2411/2562 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทาง มาตรการพัฒนาเกลือทะเลไทยทั้งระบบ รวมถึงกำหนดและจัดทำแผนงาน โครงการ และงบประมาณ และบูรณาการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเกลือทะเลไทยให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 3. ในคราวประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติให้ พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศพิจารณากำหนดแนวทางควบคุมการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลจากปัญหาการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้เกลือในประเทศมีราคาตกต่ำ รวมทั้งกำกับดูแลการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการจัดประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณาออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือและรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ และขอให้กรมการค้าต่างประเทศนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศ 4. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และได้นำร่างประกาศดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 1 – 30 ตุลาคม 2563 ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวน 31 ราย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างประกาศดังกล่าว เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลจากปัญหาการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างประกาศ 1. กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน 7 รายการ ได้แก่ 2501.00.10 – 000/KGM 2501.00.20 – 000/KGM 2501.00.91 – 000/KGM 2501.00.92 – 000/KGM 2501.00.99 – 003/KGM 2501.00.99 – 004/KGM และ 2501.00.99 – 090/KGM (เช่น เกลือป่นสำหรับรับประทาน เกลือหินที่ไม่ผ่านกรรมวิธี เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมยา เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ) ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือต่อกรมการค้าต่างประเทศ 2. กำหนดให้เกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน 7 รายการ ตามข้อ 1. เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin : C/O) หรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจจากประเทศผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้า 3. กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เช่น ขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือกับกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กรมการค้าต่างประเทศมอบหมายก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด และต้องรายงานการนำเข้า การครอบครอง และวัตถุประสงค์การใช้ เป็นรายเดือนต่อกรมการค้าต่างประเทศ 4. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ สธ. เสนอ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ สธ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางให้เหมาะสมและรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กำหนดให้ใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยาม “กระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง” ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 3. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการเครื่องสำอางมีอำนาจประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขึ้นบัญชี อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุด และค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด ประเภทและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอ รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มบทบัญญัติกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง 4. กำหนดให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย และผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้รับการขึ้นบัญชีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย ให้ทำหน้าที่พิจารณาคำขอตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารประเมินเอกสารทางวิชาการ ตรวจวิเคราะห์ ตรวจสถานที่ผลิตนำเข้า ขายหรือเก็บรักษาเครื่องสำอาง หรือตรวจสอบ เพื่อออกใบรับจดแจ้ง ตลอดจนพิจารณาใด ๆ เกี่ยวกับเครื่องสำอาง 5. กำหนดให้เงินค่าขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญฯ ให้เป็นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ส่วนค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บได้เป็นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมายให้ทำกิจการในหน้าที่และอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ได้จัดเก็บ และให้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด 6. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับประกาศที่ออกตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้นำมาใช้บังคับแก่กระบวนการพิจารณาเครื่องสำอางเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้ 6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป สาระสำคัญ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ (1) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ได้รับการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 โดยให้แสดงความจำนงภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 (2) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา 39 วรรคสาม สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมีนาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ทั้งนี้ รง. เสนอว่า เนื่องจากร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญเพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ไม่สามารถแสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 หรือนำส่งเงินสมทบได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นเหตุจำเป็นอย่างอื่น ซึ่งมาตรา 84/2 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการดำเนินการตามมาตรา 39 ออกไปได้ตามความเหมาะสมหรือจำเป็น กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รง. ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง และไม่ได้แสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ระหว่างเดือนกันยายน 2562 ถึง ธันวาคม 2563 มีจำนวนประมาณ 1,880,000 คน และผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เนื่องจากขาดส่งเงินสมทบระหว่างเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม 2563 จำนวนประมาณ 90,000 คน ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการตามมาตรการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แล้ว คาดว่าจะทำให้มีผู้มาแสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ร้อยละ 10 หรือประมาณ 188,000 คน และคาดว่าจะมีผู้ที่ขาดส่งเงินสมทบตามมาตรา 39 มาส่งเงินสมทบในงวดเดือนที่ขาดส่งเพื่อให้ได้รับสิทธิการเป็นผู้ประกันตนตามมารตรา 39 ตามเดิม ร้อยละ 22 หรือประมาณ 20,700 คน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนเพื่อให้มีหลักประกันทางสังคมต่อไป เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ขอความเห็นชอบยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) [กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.)] เสนอให้ยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา (โครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2) ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาจำนวน 11 สถานี ที่ นร. (กปส.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ สาระสำคัญของเรื่อง นร. (กปส.) รายงานว่า 1. กปส. ได้ดำเนินงานตามโครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2 ภายใต้โครงการ คพศ. 5 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2522 และวันที่ 10 เมษายน 2522 ซึ่งที่ผ่านมา กปส. ได้ดำเนินงาน ดังนี้ เรื่อง การดำเนินงาน การจัดตั้งสถานี และการกระจายเสียง กปส. ได้จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา รวม 11 สถานี สามารถส่งออกอากาศได้ครอบคลุมร้อยละ 90 ของพื้นที่ประเทศไทย ดังนี้ ระยะเวลา การดำเนินงานออกอากาศ ระยะแรก ปีการศึกษา 2526 ออกอากาศได้ 6 สถานี ได้แก่ สถานีกรุงเทพมหานคร (เป็นแม่ข่ายที่สามารถส่งออกอากาศ) สถานีลำปาง สถานีขอนแก่น สถานีอุบลราชธานี สถานีสุราษฎร์ธานี และสถานีสงขลา ระยะที่สอง ปีการศึกษา 2527 ออกอากาศเพิ่มเติมอีก 5 สถานี ได้แก่ สถานีนครสวรรค์ สถานีจันทบุรี สถานีกระบี่ สถานีแม่ฮ่องสอน และสถานีระนอง เนื้อหารายการ รายการที่ออกอากาศ รวม 7 รายการ ได้แก่ 1) รายการวิทยุโรงเรียน 2) รายการการศึกษานอกโรงเรียนทางวิทยุและไปรษณีย์ 3) รายการกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 4) รายการเสริมความรู้วิชาชุดครูทางไปรษณีย์ 5) รายการส่งเสริมทางการเกษตร 6) รายการสุขภาพและอนามัย และ 7) การถ่ายทอดข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการพิจารณาการใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษารับผิดชอบการบริหารงานของสถานี 2. ต่อมาได้มีการประกาศใช้กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2545 โดยปรับให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา เป็นหน่วยงานภายในอยู่ภายใต้การบริหารของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษา (สวศ.)” (หมายเหตุ : กปส. ได้ดำเนินโครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2522 - มิถุนายน 2527 และสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินตามโครงการในเดือนพฤศจิกายน 2528 อย่างไรก็ดี ภายหลังสิ้นสุดโครงการดังกล่าว สวศ. ได้ดำเนินภารกิจตามโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ) 3. ปัจจุบัน กปส. ได้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียง ตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 จำนวน 145 คลื่นความถี่ (รวมถึงคลื่นความถี่ของ สวศ. ทั้ง 11 สถานี จำนวน 11 คลื่นความถี่) โดยสถานะการได้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2565 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ขอให้ กปส. ยื่นความประสงค์หากจะให้บริการกระจายเสียงต่อไปภายหลังการสิ้นสุดการได้รับอนุญาตให้ใช้งานดังกล่าว โดยให้ กปส. ยื่นแผนประกอบกิจการกระจายเสียงและคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภายในวันที่ 3 เมษายน 2564 เพื่อเตรียมปรับเข้าสู่การประกอบกิจการให้บริการกระจายเสียงภายใต้ระบบใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมและกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ 4. กปส. ได้พิจารณาทบทวนในมิติต่าง ๆ ครอบคลุมถึงความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงและอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆ ตามโครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา ที่ สวศ. ดำเนินการอยู่ พบว่า มีอายุการใช้งานนานกว่า 35 ปี โดยบางสถานีมีสภาพชำรุดเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และหากจะพัฒนาประสิทธิภาพของสถานีต่อไปจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ประกอบกับสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิทยุกระจายเสียง และอาจมีความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษามากกว่าวิทยุกระจายเสียง จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้ 4.1 ยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา (รวม 11 สถานี) 4.2 ยื่นแผนประกอบกิจการกระจายเสียงและคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้ จำนวนคลื่นความถี่ (145 คลื่นความถี่) การดำเนินการ 1) การคงสถานีไว้ : เพื่อผลิตและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของรัฐ ให้สอดคล้องต่อบริบทสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับภารกิจของ กปส. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการบริหารโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 คณะกรรมการบริหารโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด คณะกรรมการบริหารโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เห็นชอบแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างและการควบคุมพัสดุของกลุ่มแปลงใหญ่ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนการดำเนินงานที่ปรากฎในคู่มือ วันพุธที่ 7 เมษายน 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และดชื่อมโยงการตลาด ครั้งที่ 2/2564 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมไชยยงค์ ชูชาติ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สำหรับผลการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา มีกลุ่มแปลงใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 3,448 แปลง คิดเป็นร้อยละ 65.68 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างและการควบคุมพัสดุของกลุ่มแปลงใหญ่ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนการดำเนินงานที่ปรากฎในคู่มือโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินการในระดับพื้นที่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนตามขั้นตอน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงสร้างการรับรู้ควบคุม กำกับดูแล การดำเนินการของกลุ่มแปลงใหญ่ที่ได้รับงบประมาณให้ดำเนินการได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง ขอให้จับมือประคองธุรกิจ หลังแนวโน้มเลิกจ้างสูงขึ้น
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 รมว.แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง ขอให้จับมือประคองธุรกิจ หลังแนวโน้มเลิกจ้างสูงขึ้น พบแนวโน้มการเลิกจ้างลูกจ้างสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานห่วงใยทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ขอให้จับมือประคองธุรกิจไปด้วยกันก่อนตัดสินใจหยุดกิจการหรือเลิกจ้างลูกจ้าง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกใหม่ มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวออกไปในวงกว้างส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการและลูกจ้าง จนทำให้สถานประกอบกิจการบางแห่งจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิต ลดชั่วโมงการทำงานของลูกจ้าง หยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนชั่วคราว โดยใช้มาตรา 75 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ลดพนักงาน หรือเลิกกิจการในท้ายสุด ซึ่งจะเกิดความเดือดร้อนแก่ลูกจ้างจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อลดปัญหาที่มีผลกระทบต่อความสงบสุขในวงการแรงงาน จึงขอให้นายจ้าง ลูกจ้างนำมาตรการและแนวปฏิบัติการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในภาวะวิกฤต และมาตรการและแนวทางบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) มุ่งส่งเสริมให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการมาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยเปิดใจปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อประคองการดำเนินธุรกิจก่อนหยุดกิจการหรือเลิกจ้างลูกจ้าง นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดี กสร. กล่าวว่า จากสถิติการเลิกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 18 เมษายน 2564 พบว่ามีสถานประกอบกิจการที่เลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 2,789 แห่ง จำนวนลูกจ้าง 7,614 คน สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมามีสถานประกอบกิจการที่เลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 2,708 แห่ง จำนวนลูกจ้าง 6,621 คน และมีการหยุดกิจการตามมาตรา 75 จำนวน 708 แห่ง เป็นการหยุดกิจการบางส่วน 517 แห่ง ลูกจ้าง 130,407 คน และหยุดกิจการทั้งหมด 289 แห่ง ลูกจ้าง 61,566 คน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ นายจ้างควรนำมาตรการบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างมาปรับใช้ ซึ่งมี 3 มาตรการ คือ 1.มาตรการลดค่าใช้จ่าย 2.มาตรการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และ 3.มาตรการลดจำนวนลูกจ้าง โดยขอให้การเลิกจ้างเป็นทางเลือกสุดท้ายในการตัดสินใจ ทั้งนี้นายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างในการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง เช่น ลดวันทำงาน ลดค่าจ้าง ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พร้อมรับมือภัยธรรมชาติ ด้วยแผนปฏิบัติการทางการแพทย์ฯ
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 พร้อมรับมือภัยธรรมชาติ ด้วยแผนปฏิบัติการทางการแพทย์ฯ ... ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญกับโรคและภัยพิบัติธรรมชาติในหลายรูปแบบ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูหลังเกิดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น . รัฐบาลจึงได้นำแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ.2563 – 2565 มาใช้รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน . สาระสำคัญของแผนฯ ดังกล่าว ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ คือ - สร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงสร้างองค์ความรู้ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน - พัฒนาระบบสื่อสารในภาวะฉุกเฉินและเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลการประเมินสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันและเชื่อถือได้ - พัฒนาระบบปฏิบัติการฟื้นฟูด้านการแพทย์และการสาธารณสุขให้สอดคล้องกับแนวทางการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ - พัฒนาขีดความสามารถ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข . ประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้รับ คือ การบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ทุกระยะของการเกิดภัยอย่างทันท่วงทีต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดตัว! โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 มาแล้ว หนังสือรับรองฉีดโควิด-19 ใช้เดินทางระหว่างประเทศ ขยายโครงการเยียวยาเกษตรชาวสวนลำไย ปี 2563 เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 200,000 อัตรา รองรับคนว่างงานทั่วประเทศ สำรองเตียงไอซียู รองรับผู้ป่วยโควิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ลงพื้นที่ ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ สนับสนุนไวไฟ รพ.สนาม 300 เตียง
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 รมว.ดีอีเอส ลงพื้นที่ ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ สนับสนุนไวไฟ รพ.สนาม 300 เตียง รมว.ดีอีเอส ลงพื้นที่ ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ สนับสนุนไวไฟ รพ.สนาม 300 เตียง “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสลงพื้นที่ปตอ.1กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแจ้งวัฒนะประสานเอกชนเข้าติดตั้งไวไฟความเร็วสูงสนับสนุนรพ.สนามจำนวน300เตียงสั่งการNTเข้าไปช่วยกรมการแพทย์ปรับปรุงระบบโทรสายด่วน1668เพิ่มคู่สายแก้ปัญหาโทรติดยาก นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าเช้าวันนี้(24เม.ย. 64)ได้ร่วมลงพื้นที่ปตอ.1กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแจ้งวัฒนะเพื่อศึกษาโซลูชั่นด้านการติดต่อสื่อสารและเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกในการติดตั้งใช้งานให้กับรพ.สนามจำนวน300เตียงเพื่อจัดหาบริการอินเทอร์เนตฟรีไวไฟสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจนอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯโดยบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(NT)ได้รับแจ้งจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)ว่ามีการใช้พื้นที่ในบริเวณปตอ.1กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแจ้งวัฒนะเป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19ระลอกล่าสุดจำนวน300เตียงปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาอยู่ที่นี่200กว่าราย “เราจึงได้เร่งประสานงานไปยังทั้งหน่วยงานของเราเองคือNTและเอกชนผู้ให้บริการมือถือเรายืนยันจะสนับสนุนอินเทอร์เน็ตฟรีไวไฟให้รพ.สนามเพื่อให้ประชาชนผู้ป่วยทุกคนสื่อสารได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและอาจต้องมีการติดตั้งซีซีทีวีในรพ.สนามทุกแห่งด้วยถือเป็นหน้าที่ของเราในการดูแล”นายชัยวุฒิกล่าว จากการลงพื้นที่สำรวจพบว่าสัญญาณโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่มีปัญหาในพื้นที่บางจุดซึ่งสัญญาณจะdropลงดังนั้นจะมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อขยายสัญญาณและอุปกรณ์Fixed Wireless Broadbandซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตั้งง่ายทุกที่ไม่ต้องเดินสายที่ผ่านมาแม้ดำเนินการไปบ้างแล้วแต่จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์รองรับความต้องการใช้งานที่มากขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากเอกชนเข้ามาสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์Fixed Wireless Broadbandจำนวน3ชุดรองรับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง20 Mbpsสามารถทำการเชื่อมต่อ4G/LTEโดยตรงไปยังคอมพิวเตอร์โทรทัศน์สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สมาร์ทอื่นๆผ่านการเชื่อมต่อWi-Fiระหว่างประจำที่โรงพยาบาลสนาม อำนวยความสะดวกให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วยในการติดต่อสื่อสาร "ไม่เพียงแต่ให้การสนับสนุนไวไฟเท่านั้นผมยังมอบหมายให้NTเข้าไปคุยกับกรมการแพทย์เพื่อปรับปรุงระบบ1668และเพิ่มคู่สายให้สามารถรองรับปริมาณการโทรจำนวนมากได้เนื่องจากต้องยอมรับว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขี้นระดับหลักพันระบบเดิมที่มีคู่สายจำกัดจึงรองรับไม่พอดังนั้นถ้าปรับปรุงระบบก็จะแก้ปัญหาโทรศัพท์ติดยากที่ผ่านมาได้”นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่าอยากขอเชิญชวนคนไทยร่วมกันส่งความห่วงใยไปถึงบุคลากรแถวหน้าในการสู้ภัยโควิด-19โดยสามารถส่งหน้ากากอนามัยเจล/สเปรย์แอลกอฮอล์อุปกรณ์ทางการแพทย์สิ่งของจำเป็นอื่นๆผ่านไปรษณีย์ไทยไปยังโรงพยาบาลและรพ.สนามทั่วประเทศด้วยบริการEMSโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดส่งผู้สนใจสามารถบรรจุสิ่งของลงกล่องน้ำหนักไม่เกิน20กิโลกรัมพร้อมจ่าหน้าถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ต้องการฝากส่งนำไปส่งได้ที่ไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้–31พ.ค.64 *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ลุยเปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ฟรี!! ที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จ.ชลบุรี
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ ลุยเปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ฟรี!! ที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จ.ชลบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน บูรณาการตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน บูรณาการตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33,39,40 ในพื้นที่สีแดง เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน และไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเปิดบริการตรวจตั้งแต่วันที่ 24 -30 เมษายนนี้ เริ่มรับบัตรคิวเวลา 06.00 น. เริ่มตรวจเวลา 08.00 น.วันละ 200 คน โดยให้ผู้ประกันตนนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 3 ฉบับ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน บูรณาการตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต. นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายรณเทพ อนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชลบุรี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นาวาตรี วิทวัส กู้ประเสริฐ ประกันสังคมจังหวัดชลบุรี นายแพทย์ธนู ลอบันดิส ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย และ สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ในวันนี้ผมในฐานะ รมว.แรงงาน และคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เป็นประธานเปิดโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตนในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการประสานความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ร่วมกับ สปสช.เขต 6 สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นหน่วยบริการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในจังหวัดพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด ลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า ในการตรวจคัดกรองผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เริ่มเปิดให้บริการ ตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.64) จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร โดยสามารถให้บริการตรวจคัดกรองฯได้วันละ 200 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ที่มีความเสี่ยงสูงตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. สามารถเดินทางมาที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร เพื่อเข้ารับการตรวจได้ โดยเริ่มรับบัตรคิวตรวจ เวลา 06.00 น. และโรงพยาบาลจะเริ่มให้บริการตรวจในเวลา 08.00 น. ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตน เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 3 ฉบับ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง เพื่อความรวดเร็วในการเข้ารับบริการ ซึ่งทางโรงพยาบาลจะทำการสอบสวนโรค และคัดกรอง หากเข้าหลักเกณฑ์ จะได้เข้ารับการตรวจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการดูแลผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอความร่วมมือประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 สธ.ขอความร่วมมือประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19 เผยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น มาจากผู้ติดเชื้อที่เป็นกลุ่มก้อนที่พบในช่วงสงกรานต์ หลังสงกรานต์ และบางส่วนมาจากการเคลียร์ข้อมูลสะสมก่อนหน้านี้ไม่นาน กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19 เผยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น มาจากผู้ติดเชื้อที่เป็นกลุ่มก้อนที่พบในช่วงสงกรานต์ หลังสงกรานต์ และบางส่วนมาจากการเคลียร์ข้อมูลสะสมก่อนหน้านี้ไม่นาน เพื่อให้อยู่ในระบบฐานข้อมูลเดียวกัน บ่ายวันนี้ (24 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,839 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 2,523 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน/ โรงงาน/สถานที่เสี่ยง 304 ราย ต่างประเทศ 12 ราย รักษาหายเพิ่ม 377 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 8 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564มีผู้ติดเชื้อสะสม24,159 ราย กำลังรักษา 22,327 ราย และเสียชีวิตสะสม 35 ราย โดยพบว่าผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ ปัจจัยเสี่ยงคือ เป็นโรคอ้วน, มีโรคประจำตัว, มีประวัติอยู่บ้านเดียวกันหรือสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน, เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 23 เมษายน 2564 ฉีดสะสม1,095,445 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 934,449 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 160,996 ราย เฉพาะวันที่ 23 เมษายน ฉีดได้130,620 โดส ซึ่งในช่วงนี้จะมุ่งเน้นเร่งฉีดให้บุคลากรสาธรณสุขด่านหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วย สัมผัสผู้ป่วย ครอบคลุมทั้งภาครัฐ เอกชน ขณะนี้ฉีดได้แล้วเกือบ 5 แสนราย รวมทั้งมีการฉีดให้กับตำรวจ ทหาร บุคลากรด่านหน้าให้ครบตามเป้าหมาย สำหรับข้อกังวลที่บอกว่าฉีดวัคซีนได้ล่าช้านั้น เนื่องจากขณะนี้เรามีวัคซีนในปริมาณจำกัด หากวัคซีนเข้ามาในปริมาณมาก ก็จะสามารถฉีดได้มากตามแผนที่กำหนดไว้ นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงสองวันนี้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงตั้งแต่สงกรานต์ หลังสงกรานต์ และต่อเนื่องมา พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน มีการค้นหาเชิงรุก และผู้ที่ประเมินตนเองว่ามีความเสี่ยงไปขอรับการตรวจจำนวนมาก ซึ่งทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลบางส่วนรอการตรวจสอบความถูกต้อง เช่น มีชื่อไม่มีผลแล็บ ชื่อไม่ชัดเจน และส่วนหนึ่งมาจากการเคลียร์ข้อมูลสะสมย้อนไปประมาณ 3-4วันที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบให้มาอยู่ในฐานเดียวกัน จึงทำให้ยอดเพิ่มสูงขึ้น ส่วนพื้นที่ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงก็ต้องมีมาตรการที่เหมาะสมต่อไป สำหรับการระบาดในหลายๆ เคสที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อน สาเหตุสำคัญมาจาก การจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ ร้านอาหาร สถานบันเทิง การจัดกิจกรรมรวมกลุ่มในสถานที่ทำงาน เช่น กรณีคลัสเตอร์ร้านอาหาร จ.สุโขทัย ที่มีลูกค้าที่มาใช้บริการหนาแน่นเกินไป ไม่มีการเว้นระยะห่าง เกิดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่เจ้าของร้าน พนักงาน และลูกค้าอื่นๆ ที่มาใช้บริการ และแพร่เชื้อให้กับคนในครอบครัว มีผู้ติดเชื้อจำนวน 21 ราย และเสียชีวิต 1 ราย อีกกรณีที่จ.สงขลา เกิดการระบาดในร้านอาหาร สถานบันเทิง ช่วงต้นเดือนเมษายนและมีการเชื่อมโยงไปเหตุการณ์ช่วงปลายสงกรานต์ การกระจายไปสู่กลุ่มที่จัดงานปาร์ตี้ ที่มีเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม จึงทำให้มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด97 ราย พบติดเชื้อ 5 ราย และกรณีธนาคารแห่งหนึ่ง จ.สงขลา ที่มีการจัดประชุม และรับประทานอาหารในที่ทำงานร่วมกันแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัว ญาติ และเพื่อน พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 26 ราย ติดเชื้อ 5 ราย “จากทั้ง 3 กรณีถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันยกการ์ดให้สูงอีกครั้ง เข้มมาตรการส่วนบุคคลสวมหน้ากาก ล้างมือ หากต้องออกไปในที่สาธารณะ ควรเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงลดกิจกรรมรวมกลุ่ม และขอความร่วมมือทำงานที่บ้าน(Work from home) ให้มากที่สุด เชื่อว่าหากร่วมมือร่วมใจกันเราจะปลอดภัยไปด้วยกัน”นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว **********************************24 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย บรรยากาศการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน หลังจากขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง ที่ปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ วันแรกรา
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 รมว.สุชาติ เผย บรรยากาศการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน หลังจากขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง ที่ปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ วันแรกรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย บรรยากาศการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในจังหวัดพื้นที่สีแดง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ ในวันแรกราบรื่นดี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในจังหวัดพื้นที่สีแดง 3 จังหวัด คือ ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี พบว่า ข้อมูล ณ วันที่ 24 เม.ย.64 เวลา 15.00 น. มีผู้ประกันตนมาตรวจแล้วรวมจำนวน 481 ราย แบ่งเป็น ม.33 จำนวน 387 ราย ม.39 จำนวน 45 ราย และ ม.40 จำนวน 49​ ราย หลังจากเปิดบริการจุดตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและพื้นที่ใกล้เคียงได้มาตรวจฟรี ในวันนี้ (24 เม.ย.64) เป็นวันแรก โดยที่จังหวัดปทุมธานีสามารถรองรับการตรวจได้วันละ 1,000 คน เช่นเดียวกับที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร ชลบุรี พบว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเวลา 15.00 น.มีผู้ประกันตนมาตรวจแล้วรวมจำนวน 182 ราย จากที่สามารถรองรับการตรวจได้วันละ 200 คน ซึ่งสาเหตุที่ผู้ประกันตนยังมาตรวจค่อนข้างน้อย เนื่องจากส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ให้ผู้ประกันตนทราบเพื่อจะได้มาเข้ารับการตรวจมากขึ้น เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก ไม่ต้องรอคิวนาน และจังหวัดเชียงใหม่ ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ รพ.สันป่าตอง รพ.มหาราช รพ.ราชเวช รพ.เทพปัญญา รพ.ลานนา และ รพ.เชียงใหม่ใกล้หมอ พบว่า ในวันแรกมีผู้ประกันตนมาตรวจจำนวนทั้งสิ้น 568 คน นายสุชาติ กล่าวว่า จากรายงานของสำนักงานประกันสังคม พบว่า หลังจากขยายจุดตรวจเปิดโควิด -19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง คือ ปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ ในวันนี้วันแรก ภาพรวมทั่วไปราบรื่นดี ไม่พบปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด ทุกขั้นตอนยังเป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากผู้ประกันตนรายใดที่ตรวจพบเชื้อจะถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมและ Hospitel ซึ่งมีทีมแพทย์ดูแลตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างดี สำหรับจังหวัดปทุมธานีอยู่ในพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 การแพร่ระบาดระลอกใหม่ และยังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีสถานประกอบการจำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้ประกันตนทั้งหมดจำนวนประมาณ 605,000 คน กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี จึงได้ร่วมกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี จัดตั้งศูนย์คัดกรองไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อผู้ประกันตน โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลการุณเวชปทุมธานี ให้การตรวจคัดกรองแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและใกล้เคียง เป็นระยะเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 – 30 เม.ย. 64 เวลา 08.00 -15.00 น.ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการเข้ารับการตรวจคัดกรองสามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php โดยคลิกเลือกศูนย์คัดกรองจังหวัดปทุมธานี เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งสามารถรองรับการตรวจได้วันละ 1,000 คน รอบเช้า 500 คน และรอบบ่าย 500 คน ส่วนที่จังหวัดชลบุรีนั้น มีผู้ประกันตนประมาณ 884,000 คน กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ร่วมกับ สปสช.เขต 6 สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี ได้เปิดเป็นหน่วยบริการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในจังหวัดพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด ลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เริ่มเปิดให้บริการ ตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.64) จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร โดยสามารถให้บริการตรวจคัดกรองฯได้วันละ 200 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่มีความเสี่ยงสูงตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. สามารถเดินทางมาที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร เพื่อเข้ารับการตรวจได้ โดยเริ่มรับบัตรคิวตรวจ เวลา 06.00 น. และโรงพยาบาลจะเริ่มให้บริการตรวจในเวลา 08.00 น.ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตน เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 3 ฉบับ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง เพื่อความรวดเร็วในการเข้ารับบริการ ซึ่งทางโรงพยาบาลจะทำการสอบสวนโรค และคัดกรอง หากเข้าหลักเกณฑ์ จะได้เข้ารับการตรวจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สำหรับบรรยากาศที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย- ญี่ปุ่น ) เขตดินแดง ซึ่งได้เปิดให้ผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาตรวจโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการตามปกติทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 08.00 -16.00 น. ผู้ที่ต้องการตรวจจะต้องลงทะเบียนจองคิวตรวจก่อนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php ซึ่งขณะนี้ในแต่ละวันยังมีผู้ประกันตนที่ทราบข่าวต่างลงทะเบียนจองคิวเข้ารับการตรวจกันอย่างหนาแน่น เนื่องจากภาพรวมทั่วประเทศยังพบผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น โดยที่ศูนย์แห่งนี้จะให้บริการไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายลง นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยมายังพี่น้องผู้ประกันตนทุกคนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย และ สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 กด 6 ทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -17.00 น. ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการดูแลผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัคซีนซิโนแวค 5 แสนโดส ถึงไทยวันนี้ ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ด มาถึง 26 เม.ย. ย้ำความพร้อมยาและเวชภัณฑ์ดูแลผู้ป่วยโควิด
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 วัคซีนซิโนแวค 5 แสนโดส ถึงไทยวันนี้ ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ด มาถึง 26 เม.ย. ย้ำความพร้อมยาและเวชภัณฑ์ดูแลผู้ป่วยโควิด วัคซีนซิโนแวค 5 แสนโดส ถึงไทยวันนี้ ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ล้านเม็ด มาถึง 26 เม.ย. ย้ำความพร้อมยาและเวชภัณฑ์ดูแลผู้ป่วยโควิด วันที่ 24 เม.ย. 2564 น.ส. ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้าของวันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของซิโนแวค จากประเทศจีนอีก 5 แสนโดส ได้มาถึงประเทศไทยแล้ว รวมถึงขณะนี้ประเทศไทยได้รับวัคซีนซิโนแวครวมแล้ว 2.5 ล้านโดส และได้รับแจ้งทางผลิตว่าภายใจกลางเดือนพ.ค. 2564 จะจัดส่งอีก 1 ล้านโดส รวมเป็น 3.5 ล้านโดส “รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า หลังจากนี้กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อกระจายวัคซีน ไปให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด และนอกเหนือจากวัคซีนแล้วยังได้เร่งดำเนินการจัดหายาและเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ โดยวันจันทร์ที่ 26 เม.ย. 2564 นี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 2 ล้านเม็ด จะมาถึงประเทศไทยซึ่งจะได้ส่งไปให้โรงพยาบาล เพื่อรักษาผู้ป่วยทันที” น.ส.ไตรศุลี กล่าว รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีน ยารักษาโรคโควิด-19 และเวชภัณฑ์ นี้เป็นไปตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีข้อสั่งการให้เตรียมและจัดหาทุกส่วนให้เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ารัฐบาลสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันก็ขอความร่วมมือประชาชนในการปฏิบัติตนตามมาตรการควบคุมโรคทั้งมาตรการส่วนบุคคล มาตรการองค์กร และมาตรการทางสังคมโดยเคร่งครัด เพื่อประสิทธิผลของการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายกการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564ขณะที่วัคซีนส่วนที่ทยอยส่งเข้ามายังประเทศไทยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดย ณ วันที่ 23 เม.ย. 2564 ผู้ที่ได้รับวัคซีนสะสม 964,825 โดส ใน 77 จังหวัดเป็นวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 834,082 ราย และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่2 (ครบโดส) 130,743 ราย ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ.แพทย์ศิริราช ชี้ฉีดวัคซีนประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ชวนบุคลากรทางการแพทย์รับการฉีด
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 อ.แพทย์ศิริราช ชี้ฉีดวัคซีนประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ชวนบุคลากรทางการแพทย์รับการฉีด ศ.ดร.นพ. วิปร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ชี้วัคซีนมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ผลวิจัยทั้งต่างประเทศและไทย พบว่าช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อโควิด 19 ลดความรุนแรงโรค ส่วนอาการไม่พึงประสงค์หากเกิดขึ้นรักษาได้ ชวนบุคลากรทางการแพทย์ไปรับการฉีด ศ.ดร.นพ. วิปร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ชี้วัคซีนมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ผลวิจัยทั้งต่างประเทศและไทย พบว่าช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อโควิด 19 ลดความรุนแรงโรค ส่วนอาการไม่พึงประสงค์หากเกิดขึ้นรักษาได้ ชวนบุคลากรทางการแพทย์ไปรับการฉีด เหตุโอกาสเสี่ยงที่ติดเชื้อและมีอาการรุนแรงมีมากกว่าเกิดผลแทรกซ้อน แนะประชาชนล็อกดาวน์ตัวเอง งดการเดินทางไปต่างจังหวัด หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมชน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ เข้มพฤติกรรมสุขภาพส่วนบุคคล ป้องกันการติดเชื้อ บ่ายวันนี้ (23 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าว “ฉีดวัคซีนดีไหม ปลอดภัยหรือเปล่า” ว่า การฉีดวัคซีนไม่ว่าจะเป็นชนิดใดจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานเพียงพอ วัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันการติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ปัญหาที่คนกังวลขณะนี้คือ ภาวะแทรกซ้อนหลังฉีด ดังนั้นเราต้องพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์และความเสี่ยง โดยความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน (AEFI) แบ่งได้ 2 ชนิด คือ 1.อาการไม่พึงประสงค์ อาจเกิดจากตัววัคซีน หรือส่วนประกอบ หรือปฏิกิริยาร่างกายแต่ละบุคคลที่ต่างกัน เป็นอาการเฉพาะที่ (local) เช่น เจ็บ บวม บริเวณที่ฉีดใช้การประคบเย็น หรือบริหารแขน หรือเป็นทั้งระบบ (systemic) เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ แก้ไขโดยทานยาลดไข้ ทายาแก้ปวด พักผ่อน และ 2.อาการแพ้วัคซีน จะเหมือนคนแพ้อาหารทะเล ไรฝุ่น โปรตีนในนมวัวมีอาการตั้งแต่แพ้ไม่มาก มีผื่น จนถึงความดันตกรุนแรงได้ สำหรับอาการไม่พึงประสงค์ชนิดหนึ่งที่เป็นข่าวในขณะนี้ เรียกว่า ปฏิกิริยาเครียดสนองตอบต่อการฉีดวัคซีน (Immunization Related Stress Response : ISRR) เกิดจากการตอบสนองต่อความเครียดของแต่ละคนที่แตกต่างกันเมื่อเกิดความตึงเครียดจะกระตุ้นระบบภายในร่างกาย หลั่งฮอร์โมนออกมากระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดหดตัวเกิดอาการหน้ามืด เป็นลม วิงเวียน ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ไม่ใช่การแกล้งทำ แต่เป็นปฏิกิริยาของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ปัจจุบันจึงมีข้อแนะนำเมื่อพบผู้ที่มีอาการทางระบบประสาทหลังการฉีดวัคซีน เช่น ชา อ่อนแรง ตามัววิงเวียน อาเจียน แพทย์ ต้องตรวจ ประเมินอาการว่า เกิดจากISRR หรือเกิดจากปัญหาอื่น ๆ เช่น มีลิ่มเลือดในสมองหรือมีเลือดออกเนื่องจากเกร็ดเลือดต่ำซึ่ง อาจเกิดได้ แต่พบน้อยมาก และยังไม่มีรายงานในประเทศไทย ซึ่งเรามีการสังเกตอาการ 30 นาทีหลังฉีดวัคซีน รวมทั้งแนะนำให้เตรียมตัวก่อนมารับการฉีด พักผ่อน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่เครียด ศ.ดร.นายแพทย์ วิปรกล่าวต่อว่า มีรายงานการศึกษาวิจัยวัคซีนซิโนแวคของประเทศบราซิล ในวารสารต่างประเทศ ออกมาเมื่อต้น เม.ย.2564 เปรียบเทียบระหว่างฉีดซิโนแวคกับใช้ยาหลอก พบว่า ปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแทบจะไม่ต่างกัน บางคนฉีดยาหลอกก็มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนแรง ส่วนอาการเฉพาะที่ผู้ฉีดวัคซีนมีอาการเจ็บเฉพาะที่มากกว่า รวมทั้งการวิจัยนี้ทำการศึกษาในกลุ่มบุคลากรแพทย์ ประมาณ 12,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขั้นต้นหลังการฉีดวัคซีน โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลอกมีการติดเชื้อและมีอาการเพิ่มขึ้นชัดเจน ขณะที่คนที่ได้รับวัคซีนจริง มีประสิทธิภาพดี ลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 50.7 เปอร์เซ็นต์ผ่านเกณฑ์องค์การอนามัยโลก และยังป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการปานกลางต้องให้ออกซิเจน ได้เกือบ 84 เปอร์เซ็นต์ และลดอาการรุนแรง เข้าICU และเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ จากงานวิจัยของ ศ. นพ. ยง ภู่วรวรรณ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาภูมิต้านทางหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มในประเทศไทย เปรียบเทียบกับการติดเชื้อในธรรมชาติ พบว่า ระดับภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเดียวกับการติดเชื้อในธรรมชาติ จึงเป็นข้อมูลสนับสนุนให้เรามั่นใจได้ว่าวัคซีนที่ฉีดให้คนไทยกระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีไม่แตกต่างจากข้อมูลในต่างประเทศ ศ.ดร.นายแพทย์วิปร กล่าวอีกว่า การรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อาจทำให้บุคลากรการแพทย์บางส่วนมีความวิตกกังวลว่าจะปฏิกิริยาแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีน ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นได้ มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์บอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร แต่รักษาได้ ทุกรายที่มีอาการก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดี จึงขอแนะนำให้ไปรับการฉีด เพราะโอกาสเสี่ยงที่ติดเชื้อและมีอาการรุนแรงมีมากกว่าที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน แต่หากเกิดขึ้นก็รักษาได้ ขอให้มั่นใจและไปรับการฉีดวัคซีน “ขณะนี้ มีการระบาดค่อนข้างมาก เราควรล็อกดาวน์ตัวเอง งดการเดินทางไปต่างจังหวัด หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ชุมชน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ งดทานอาหารในร้าน งดรับประทานอาหารร่วมกันทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เข้มพฤติกรรมสุขภาพส่วนบุคคล ไม่ไปเยี่ยมคนป่วย ไม่ไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น เคอร์ฟิวตัวเอง กลางคืนไม่ออกจากบ้าน จะช่วยป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ นอกเหนือไปจากการรับการฉีดวัคซีน” ศ.ดร.นายแพทย์วิปรกล่าว **************************************** 24 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี รับทราบวัคซีน 2.16 ล้านโดส ได้ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี รับทราบวัคซีน 2.16 ล้านโดส ได้ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19 นายกรัฐมนตรี รับทราบวัคซีน 2.16 ล้านโดส ได้ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขซึ่งยืนยันการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 “Sinovac” จำนวน 2,070,279 โดสและ “AstraZeneca” จำนวน 89,040 โดส รวมการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 2,159,319 โดส โดยมีการจัดส่งและกระจายวัคซีนทั้งหมดที่ได้นำเข้ามา ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดเรียบร้อยแล้วเพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการรายงานตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบทุกวันพร้อมทั้งจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโด๊ส ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทยอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนในแต่ละวันให้กับประชาชนในจุดต่างๆทั่วประเทศด้วย ซึ่งทราบว่าหากไทยได้รับวัคซีนมากขึ้น หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่จะประสานกับภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมมือฉีดวัคซีนให้ประชาชนก็จะสามารถดำเนินการฉีดได้มากขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ จะมีวัคซีนเข้ามากว่า 100 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคนอย่างแน่นอน นายอนุชา ยังได้ชี้แจงไทม์ไลน์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วจาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส เดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส และในเสาร์ที่ 24 เมษายน 64 นี้จะมีวัคซีนเข้ามาจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และมีแผนนำเข้า Sinovac เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 1,000,000 โดส ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เบื้องต้น 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 จนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไข นอกจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมพร้อมทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้มีไวรัสป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้ ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึง 21 เม.ย. 64 มีการฉีดไปแล้วทั้งสิ้นรวม 864,840 โดส เป็นการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คือ ครบ 2 เข็ม จำนวน 118,223 ราย ทั้งนี้แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดแล้ว 405,291 โดส เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 117,071 โดส ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 26,669 โดส บุคคลที่มีโรคประจำตัว 37,137 โดส และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 278,672 โดส โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่นำเข้ามาแล้ว ได้ถูกกระจายส่งต่อไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างทันท่วงทีด้วยความเร่งด่วน เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดและรัฐบาลขอขอบคุณ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และอาสาสมัครทุกๆท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด เพื่อรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ รวมถึงบุคลากรที่บริหารจัดการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41124
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการ “Happy Money สุขเงินสร้างได้”ต่อเนื่อง จับมือพันธมิตรสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินแก่ประชาชนทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการ “Happy Money สุขเงินสร้างได้”ต่อเนื่อง จับมือพันธมิตรสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินแก่ประชาชนทั่วประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เดินหน้าโครงการ “Happy Moneyสุขเงิน สร้างได้” สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เดินหน้าโครงการ “Happy Moneyสุขเงิน สร้างได้” สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี โดยได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินคาดปีนี้ส่งเสริมความรู้ประชาชนครอบคลุม 3 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านการร่วมมือของพันธมิตรลงนาม MOU เดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินสำหรับคนไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ฟื้นฟูการเงินภาคครัวเรือนไทย ภารกิจร่วมใจสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงิน (financial literacy)” ว่า สถานการณ์ด้านการเงินของคนไทยเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและติดตามใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่เพิ่มขึ้น พื้นฐานความรู้ด้านการเงินของคนไทย รวมทั้งการก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงต้องทำอย่างต่อเนื่องและบูรณาการ ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนที่เน้นให้ความสำคัญใน5 เรื่อง ได้แก่ 1.การสร้างโครงสร้างและกลไกเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้2.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้มีทักษะจำเป็นที่สามารถดูแลรับผิดชอบตนเองได้ และหนึ่งในทักษะดังกล่าวคือการเพิ่มพูนความรู้การเงิน การออม 3.การสร้างการตระหนักรู้ของประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของจัดการความเสี่ยงในชีวิตจากการวางแผนที่ดีและมีข้อมูลความรู้ที่เพียงพอ4.การเร่งฟื้นฟูและสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในเชิงบวกต่อเรื่องการเงินและการออม และ 5.ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ความรู้ทางการเงิน ดังนั้น โครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” จึงเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงที่เหมาะสมเพราะการจะฟื้นฟูเศรษฐกิจจะต้องทำควบคู่กับการสร้างศักยภาพของประชาชน โดยร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดผลในวงกว้างและรวดเร็ว เพื่อให้คนไทยสามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสมท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนได้ต่อไป ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องคือการส่งเสริมความรู้ด้านการเงินให้แก่ประชาชน (financial literacy) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสร้างความมั่นคงแก่ชีวิต ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดำเนินโครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ตั้งแต่ปี 2552 โดยร่วมกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนรวมแล้ว 523 แห่ง สร้างพี่เลี้ยงการเงิน 6,003 คน สร้างพื้นที่เรียนรู้ด้านการออมการวางแผนการเงินให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง ครอบคลุมพนักงานในองค์กรต่างๆ แล้ว 2.4 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะส่งเสริมความรู้ประชาชนรวมกว่า 3ล้านคนทั่วประเทศ “โครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปีนี้จะมีบทบาทเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการออมและการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ สนับสนุนองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการให้ส่งต่อความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาเนื้อหาและรูปแบบการให้ความรู้ผ่านโมเดลพี่เลี้ยงการเงินที่จะช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้สามารถบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตร เพื่อนำความรู้ไปสู่กลุ่มคนต่างๆ ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน และประชาชนทั่วไป” นายภากรกล่าว ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงนามต่ออายุ MOU ส่งเสริมความรู้ทางการเงินร่วมกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ต่อเนื่องเพื่อผนึกกำลังขยายการทำงานให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นคงทางการเงินแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ภารกิจการดูแลสมาชิก กบข. กว่าล้านคนทั่วประเทศนั้น นอกเหนือจากการนำเงินออมของสมาชิกไปบริหารสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงสำหรับชีวิตในวัยเกษียณแล้ว กบข. ยังดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการออมและการลงทุนอย่างแท้จริง โดยที่ผ่านมา กบข. และ ตลท. ได้ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ด้านการวางแผนการเงินให้แก่สมาชิก กบข. อย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาระบบ e-Learningเพื่อให้สมาชิก กบข. ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เหมาะสม รวมทั้งได้จัดทำคู่มือส่งเสริมความรู้ทางการเงินฉบับสมาชิก กบข. และร่วมบรรยายให้ความรู้สมาชิก กบข. โดยผู้เชี่ยวชาญจากตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับความร่วมมือในอนาคต กบข. จะประยุกต์องค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เข้ากับบริบทของสมาชิก กบข. มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกสามารถบริหารเงินออมใน กบข. ได้อย่างเข้าใจ และบรรลุเป้าหมายในการมีเงินออมยามเกษียณที่เพียงพอ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)กล่าวว่า กองทุนเป็นหน่วยงานของรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาในลักษณะต่างๆ โดยกองทุนได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งแต่ปีการศึกษา2562 เป็นต้นมา ในการนำองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ ได้แก่ e-Learning ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำมาให้ความรู้แก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม บุคลากรในสถานศึกษา และผู้ที่สนใจได้เรียนรู้การวางแผนการเงิน การลงทุน และความเป็นผู้ประกอบการ ผ่านระบบ SET e-Learning ซึ่งมีหลักสูตรให้เลือกเรียนกว่า 15 หลักสูตร เมื่อนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเรียนจบแต่ละหลักสูตร สามารถนำไปสะสมจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะให้ครบตามหลักเกณฑ์ที่กองทุนกำหนด ปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่เข้าเรียนหลักสูตร SET e-Learning แล้วจำนวนกว่า 560,000 ราย ทั้งนี้กองทุนคาดว่าหากผู้กู้ยืมเงินมีความรู้ทางการเงิน จะสามารถบริหารจัดการรายได้ ทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนตามกำหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้องต่อไป โดยกองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษาทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) กล่าวว่า กอช. มุ่งเสริมสร้างระบบบำนาญให้แก่ผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร นักเรียน นิสิตและนักศึกษา โดยผู้ที่มีสิทธิสมัครต้องมีอายุ 15-60 ปี เริ่มต้นออมตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิก กอช. จะได้รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐตามช่วงอายุของสมาชิก สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี และเงินออมสะสมสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนโดยความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการสร้างวินัยการออม การลงทุน รวมถึงการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านการออมกับ กอช.ทำให้มีสุขภาพการเงินที่ดี นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังช่วยส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน ภาคีเครือข่าย พนักงาน สมาชิก กอช. และกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นสมาชิก กอช. ผ่านองค์ความรู้และสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ การจัดอบรม Train the Trainers การพัฒนาเนื้อหาและสื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ กอช. เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของ กอช. การเผยแพร่สื่อออนไลน์สำหรับแรงงานนอกระบบ และนักเรียน นักศึกษา โดยมุ่งหวังให้ กอช. เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวินัยการออมเพื่ออนาคตสำหรับเยาวชนไทย พิธีเปิดโครงการ “Happy Money สุขเงิน สร้างได้” จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 เวลา 9.00-12.00 น. พร้อมด้วยเสวนาออนไลน์หัวข้อ “ปฏิบัติการรวมพลัง สร้างคนไทยใส่ใจเรื่องการเงิน” และหัวข้อ “ส่งต่อความรู้การเงินอย่างไร ให้เกิดวินัยยั่งยืน : ต้นแบบองค์กรร่วมขับเคลื่อนและเพิ่มพูนทักษะเรื่องการเงิน”โดยผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่าน Facebook และ YouTube “SET Thailand”สำหรับองค์กรที่สนใจความรู้ด้านการเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.set.or.th/happymoney “SET…Make it Work for Everyone” สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลได้ที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร หวานใจ ณ พัทลุง 0 2009 9490 /ณัฐยา เมืองแมน 020099488 / กนกวรรณ เข็มมาลัย 02009 9478
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“SME D Bank” ผนึก “ซีพี ออลล์” ช่วยเอสเอ็มอีไทยขยายตลาด เปิดโอกาสนำสินค้าขายผ่านร้านเซเว่นฯ เพิ่มรายได้ลดผลกระทบโควิด
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 “SME D Bank” ผนึก “ซีพี ออลล์” ช่วยเอสเอ็มอีไทยขยายตลาด เปิดโอกาสนำสินค้าขายผ่านร้านเซเว่นฯ เพิ่มรายได้ลดผลกระทบโควิด SME D Bank จับมือกับ ซีพี ออลล์ หนุนเอสเอ็มอีไทยเพิ่มรายได้ ลดผลกระทบโควิด-19 จัดโครงการ “เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า SME” เปิดโอกาสนำสินค้าขายผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางต่างๆ ของซีพี ออลล์ ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รับสมัครเข้าคัดเลือกผ่านออนไลน์ SME D Bank จับมือกับ ซีพี ออลล์ หนุนเอสเอ็มอีไทยเพิ่มรายได้ ลดผลกระทบโควิด-19 จัดโครงการ “เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า SME” เปิดโอกาสนำสินค้าขายผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางต่างๆ ของซีพี ออลล์ ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รับสมัครเข้าคัดเลือกผ่านออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน-31 พฤษภาคม 2564นี้ นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างรุนแรง ธนาคารในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเพื่อเอสเอ็มอีไทย จึงร่วมมือกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการ “เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า SME” สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการที่สนใจทั้งกลุ่มบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล เข้าคัดเลือกนำสินค้าจำหน่ายผ่านช่องทางตลาดต่าง ๆ ของซีพี ออลล์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นร้านเซเว่นอีเลฟเว่น (7-11) ทั่วประเทศ , All Online , ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง และร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทั้งนี้ เปิดรับกลุ่มสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอาง ของใช้ในชีวิตประจำวัน ฯลฯ โดยต้องเป็นสินค้าที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น ได้รับมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องหมายการผลิตปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกอย่าง GMP หรือเครื่องหมายมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น ผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสมัครผ่านทางออนไลน์ โดยคลิก https://qrgo.page.link/dyFfaหรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน-31 พฤษภาคม 2564 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1357 “SME D Bank ตระหนักดีถึงความเดือดร้อนที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกำลังได้รับจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ธนาคารจึงดำเนินมาตรการช่วยเหลือหลากหลาย ทั้งด้านการเงินควบคู่กับด้านเสริมศักยภาพธุรกิจ ซึ่งความร่วมมือกับซีพี ออลล์ ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในการช่วยเหลือด้านการตลาด โดยซีพี ออลล์มีศักยภาพการตลาดสูงจากเครือข่ายที่ครอบคลุม ทำให้สินค้าเอสเอ็มอีทั่วประเทศ สามารถส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยเพิ่มรายได้ เพิ่มยอดขาย รักษาการจ้างงาน ประคองธุรกิจให้ก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปได้” นางสาวนารถนารี กล่าว ด้านนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาบริษัทส่งเสริมเอสเอ็มอีผ่านเครือข่ายต่างๆ มาตลอด โดยเป็นช่องทางการตลาดสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีโอกาสขายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยตรงผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของบริษัท เช่น All Online และ ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับการคัดเลือก จะได้รับการแนะนำในการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพ รสชาติ บรรจุภัณฑ์ รวมถึงกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพเพิ่ม มียอดขายดี และมีโอกาสเติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต “สำหรับสินค้าเอสเอ็มอีที่จำหน่ายในช่องทางของซีพี ออลล์มีหลายประเภท โดยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลไม้, ผลไม้แปรรูป, เครื่องดื่ม, เบเกอรี่, ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เป็นต้น” นายยุทธศักดิ์ กล่าว นายยุทธศักดิ์ กล่าวสรุปว่า ซีพี ออลล์ มีปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” บริษัทจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือกับ SME D Bank ในครั้งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเอสเอ็มอี ให้สามารถรับมือและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในสภาวะยากลำบาก เช่น สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน หรือในสภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมามีการเติบโตอีกครั้ง โดยแต่ละปีบริษัทมีการส่งเสริม และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีหลายพันราย บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อให้เติบโตร่วมกันต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเปิดงานวัน Girls in ICT Day 2021
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 ดีอีเอส ร่วมเปิดงานวัน Girls in ICT Day 2021 ดีอีเอส ร่วมเปิดงานวัน Girls in ICT Day 2021 ดีอีเอสร่วมพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองวันGirls in ICT Day 2021ชูวิสัยทัศน์ต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตฟรีทั่วประเทศหนุนคนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงดิจิทัลส่งเสริมเด็กหญิงสนใจอาชีพมาแรง4สาขาทั้งด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์(STEM) นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(22เม.ย. 64)ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองวันGirls in ICT Day 2021ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU)ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯและหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐองค์กรระหว่างประเทศภาคเอกชนรวมถึงสถาบันการศึกษาได้แก่กระทรวงศึกษาธิการสำนักงานกสทช.สหประชาชาติ(UNESCAP, UNESCO, UNICEFและUN Women)องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)เป็นต้น โดยในโอกาสนี้ดีอีเอสได้นำเสนอถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะในช่วงโรคระบาดโควิด-19ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงความรู้ที่สะดวกรวดเร็วและที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านICTเพื่อให้มีอินเทอร์เน็ตฟรีครอบคลุมทั่วประเทศและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนทุกกลุ่มทุกเพศในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลรวมถึงช่วยส่งเสริมให้เยาวสตรีสนใจการศึกษาและประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์(STEM)ให้มากขึ้น ทั้งนี้ITUได้กำหนดให้วันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่4ของเดือนเมษายนทุกปีเป็นวันInternational Girls in ICT Dayทั่วโลกเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายและเสริมสร้างศักยภาพสตรีด้านSTEMโดยได้ร่วมมือกับประเทศสมาชิกในทุกภูมิภาคจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองวันดังกล่าวและปีนี้เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ10ปีของการจัดกิจกรรมดังกล่าว “นับเป็นการสานต่อความร่วมมือที่ดีอีเอสได้เคยจัดการฝึกอบรมและได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองวันGirls in ICT Dayเป็นประจำทุกปีอีกทั้งITUให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมนี้ร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อเป็นการส่งเสริมความพันธ์อันดีร่วมกัน”นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว สำหรับกิจกรรมปีนี้จะจัดต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคม2564โดยเฉพาะการฝึกอบรมออนไลน์ด้านทักษะดิจิทัลได้แก่ 1. Women ICT Frontier Initiative 2.ปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence) 3.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์(Cybersecurity) 4.เทคโนโลยีอุบัติใหม่(Emerging Technologies)และ 5. Technology for Good Online Challenge สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปที่ https://www.girlsinict-asiapacific.com/ ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้ติดเชื้อโควิด 19 แอดไลน์สบายดีบอต เป็นช่องทางช่วยหาเตียง
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 สธ.แนะผู้ติดเชื้อโควิด 19 แอดไลน์สบายดีบอต เป็นช่องทางช่วยหาเตียง กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มช่องทางไลน์ @sabaideebot ช่วยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียง รองรับผู้ติดเชื้อในเขต กทม.และปริมณฑลที่เพิ่มขึ้นวันละหลายร้อยคน ทำให้สายด่วน 1668 รับสายล่าช้า แนะผู้ติดเชื้อเตรียมเอกสารยืนยันผลการตรวจหาเชื้อ เพื่อความรวดเร็วในการเ กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มช่องทางไลน์@sabaideebot ช่วยผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่รอเตียง รองรับผู้ติดเชื้อในเขต กทม.และปริมณฑลที่เพิ่มขึ้นวันละหลายร้อยคน ทำให้สายด่วน 1668 รับสายล่าช้า แนะผู้ติดเชื้อเตรียมเอกสารยืนยันผลการตรวจหาเชื้อ เพื่อความรวดเร็วในการเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล วันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ แถลงข่าวว่า ขอขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยปัญหาสายด่วน 1668 ขัดข้องให้บริการประชาชนไม่ทันกับจำนวนที่โทรเข้ามา และขอโทษประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวก ต้องรอสายนานทั้งนี้ สายด่วน 1668 เปิดขึ้นเฉพาะกิจรวบรวมบุคลากรทางการแพทย์มาช่วยรับสาย คัดกรองให้คำแนะนำแก่ผู้ติดเชื้อรวมทั้งหาเตียงที่เหมาะสมให้ผู้ติดเชื้อในเขต กทม.และปริมณฑล โดยได้เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 พบว่าประชาชนที่ติดเชื้อให้ความสนใจโทรมาขอรับคำปรึกษาและให้ช่วยหาเตียงแล้วกว่า 3,400 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อที่ขอเตียง 1,733 ราย โดยผู้ป่วยกลุ่มสีแดงและสีเขียวมีโรงพยาบาลรับเข้ารักษาเกือบทั้งหมดแล้ว ยังเหลือรอเตียง 442 ราย ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเหลืองและมีบางส่วนที่ไม่มีเอกสารยืนยันทางห้องปฏิบัติการ ทำให้ถึงแม้ว่ามีโรงพยาบาลรับชื่อไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถนอนโรงพยาบาลได้ เพราะหากตรวจมาจากวิธีที่ไม่มาตรฐานอาจเป็นผลบวกลวง คือไม่ได้ติดเชื้อจริง เมื่อเข้าไปนอนรวมกับผู้ติดเชื้อจะอันตราย ดังนั้น ทำให้เกิดความล่าช้าในการหาเอกสารยืนยัน ขอให้ผู้ติดเชื้อเตรียมเอกสารยืนยันผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้พร้อม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ นายแพทย์สกานต์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อจะมีการคัดกรองแบ่งอาการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก ตาแดง ผื่นขึ้น จะส่งเข้ารับการรักษาในรพ.สนามหรือHospitelกลุ่มสีเหลือง คือ มีอาการไม่รุนแรง แต่มีเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว และในกลุ่มสีแดง มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบากปอดอักเสบรุนแรง มีภาวะปอดบวม 2 กลุ่มนี้รับไว้รักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากการทำงาน 12 วันของสายด่วน 1668 ได้พบข้อขัดข้องและดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอดทั้งการเพิ่มคู่สายเป็น 20 คู่สาย ระดมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่สามารถให้คำปรึกษา คัดกรองผู้ติดเชื้อเบื้องต้นได้จากรพ.ในสังกัดกรมการแพทย์ทั่วประเทศ รวมถึงเพิ่มช่องทางไลน์@sabaideebot เมื่อลงทะเบียนจะมี ทีมติดตามให้ความช่วยเหลือตามข้อมูลที่ให้ไว้ โดยความร่วมมือจากทั้ง 3 สายด่วน 1668 ,1669 และ1330 *************************************** 22 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายโครงการเยียวยาเกษตรชาวสวนลำไย ปี 2563
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 ขยายโครงการเยียวยาเกษตรชาวสวนลำไย ปี 2563 ... สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เกษตรกรประสบปัญหาลำไยล้นตลาดในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุม ครม. เคยมีมติเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ไปแล้ว 202,013 ครัวเรือน . เพื่อให้ครอบคลุมเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ครม. ครั้งล่าสุดจึงมีมติให้ขยายการเยียวยาแก่เกษตรกรชาวสวนลำไย เพิ่มขึ้นอีก 160 ครัวเรือน รวมเป็น 202,173 ครัวเรือน ภายใต้หลักการเดิม พร้อมทั้งขยายระยะเวลาโครงการจากเดิมสิ้นสุด 31 ม.ค. 64 เป็นสิ้นสุด 30 เม.ย. 64 . โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินให้แก่เกษตรกรโดยตรง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งแก้ปัญหาระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด โดยเร็ว เร่งบูรณาการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 นายกฯ สั่งแก้ปัญหาระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด โดยเร็ว เร่งบูรณาการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ นายกฯ สั่งแก้ปัญหาระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด โดยเร็ว เร่งบูรณาการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบถึงปัญหาการรับส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อทำการรักษาในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และรวมถึงเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม (Hospitel) ทั้งจากการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข การได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรง รวมถึงจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร่งประสานบูรณาการส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว ในกรณีที่อยู่ในระว่างรอรับตัว ต้องแจ้งแนวทางปฏิบัติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ทราบอย่างชัดแจน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานบูรณาการข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น สถานพยาบาลที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งของภาครัฐและเอกชน ไปจนถึงสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม รวมถึง Hospitel พร้อมกำชับให้แก้ไขปัญหาสายด่วนในการจัดหาเตียง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทราบว่าบุคลากรไม่เพียงพอ จึงได้แก้ไขปัญหาเป็นการด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระบวนการขนส่งผู้ป่วย โดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการมาเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ก็ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม อำนวยความสะดวกในส่วนนี้ ด้วยการนำยานพานะในกองทัพ ในช่วยในการขนส่งผู้ป่วยด้วย ซึ่งจะช่วยให้การข่นส่งผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่า ประชาชนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยรัฐบาลระดมทุกสรรพกําลังในการแก้ไขสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันระมัดระวังตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างทางสังคม สวมใส่หน้ากากอนามัย ตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุน สดช.เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมด้านดิจิทัล ปี 2564 ครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 พฤษภาคม 2564
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 ดีอีเอส หนุน สดช.เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมด้านดิจิทัล ปี 2564 ครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 พฤษภาคม 2564 ดีอีเอส หนุน สดช.เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมด้านดิจิทัล ปี 2564 ครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 พฤษภาคม 2564 สำนักงานคณะกรรมกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564ครั้งที่1ตั้งแต่วันที่22เมษายนพ.ศ.2564เวลา8.30น.ถึงวันที่31พฤษภาคมพ.ศ.2564เวลา16.30น.ตามกรอบนโยบาย6ด้านโดยผู้สนใจยื่นขอรับทุนและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์https://defund.onde.go.th **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41107