title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรม วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายซัยยิด เรซา โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยและอิหร่าน โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น 7 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์ เปิดบัญชีเงินฝากรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในตุรเคีย"
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 “ไอแบงก์ เปิดบัญชีเงินฝากรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในตุรเคีย" ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เร่งระดมเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศตุรเคีย นายธีระ ยีโกบ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานธุรกิจสาขา เผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรเคีย (ตุรกี) ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและผู้คนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ไอแบงก์จึงได้มีนโยบายช่วยเหลือด้วยการเปิดช่องทางให้ประชาชนชาวไทยมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในตุรเคีย เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยผู้ที่ประสงค์ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ สามารถโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย สำนักอโศก เลขที่บัญชี 008-1-36170-1 ชื่อบัญชี “ไอแบงก์และคนไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรเคีย” ผ่านโมบายแอปของทุกธนาคาร ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเงินที่ได้รับบริจาคทั้งหมด ไอแบงก์จะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศตุรเคียโดยเร็วต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1302
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน (วันที่ 23 มกราคม 2566) : ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดี พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ โถงชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารโยธี) ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้ที่เป็นสักขีพยานในวันนี้ เพราะความร่วมมือของภาคเอกชนและ สวทช. ทำมาได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญถือเป็นการเปลี่ยนโมเดลของการทำวิจัยในประเทศไทยไปแบบก้าวกระโดด แม้ว่าที่ผ่านมาระบบวิจัยเราทำด้าน Supply ไปสู่ Demand ซึ่งส่วนใหญ่เราทำวิจัยระดับความพร้อมเทคโนโลยี (Technology Readiness Level : TRL) ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปถึงการพัฒนาขั้นสุดท้ายของการสาธิตในสภาวะการทำงานเท่านั้น แต่ในระดับเทคโนโลยีส่งมอบผ่านการทดสอบสาธิตในสภาพการใช้งานจริงไปสู่อุตสาหกรรมนั้น ยังมีไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น EA ถือเป็นตัวอย่างในการร่วมวิจัย ที่เกิดจาก Demand ของบริษัทเอกชน และต้องการเข้ามาร่วมวิจัยสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการทำวิชาการด้านเดียว และที่ดีใจเป็นพิเศษ คือ เกิดความร่วมมือของภาคเอกชนและภาครัฐอย่าง สวทช. ในการขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย BCG Economy ซึ่งเป็นวาระประเทศและวาระของ APEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมาด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวง อว. เป็นกระทรวงที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี ดังนั้นต้องนำส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านธุรกิจ มาเป็นภาคีในการทำงานร่วมกับองค์ความรู้ที่ กระทรวง อว.มีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแบบอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลาง (Industrial Centric) ให้กับบุคลากรทางด้านวิจัย และบุคลากรด้านอุตสาหกรรม สร้างนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและเกิดเป็น National Product Champion ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากฐานเทคโนโลยีแนวหน้าของอุตสาหกรรม ให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและทำให้ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่มาจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมจุดแข็งให้ภาคอุตสาหกรรม ผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นเป็นแนวหน้าในอาเซียนต่อไป “การดำเนินงานวิจัยและพัฒนานั้น จะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อผลผลิตจากห้องปฏิบัติการมีการนำไปใช้แล้วเกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเอกชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งการทำงานของ สวทช. เป็นการคิดค้นเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อแก้ข้อจำกัด และเสริมจุดแข็งให้กับภาคเอกชนให้เกิดความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจ ตลอดจนช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวผ่านข้อจำกัดได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน และเป็นผู้เตรียมพร้อมด้านเทคโนโลยีพลังงานเพื่อรองรับบริบทของพลังงานที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดก็คือการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า (Electrification) ที่มาจากพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทางบริษัทฯ ยังได้เตรียมพร้อมโดยมีการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เพื่อพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าทางบริษัทฯ มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ครบวงจร ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เป็นแหล่งพลังงาน รวมถึงสถานีชาร์จประจุ ทำให้เกิด Economy of scale ขึ้น สามารถเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมให้มีความแตกต่าง เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยนั้นมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี และมีแรงงานที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน โดยเฉพาะการคมนาคมและขนส่ง โดยถือได้ว่าประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ผลิตและส่งออกยานยนต์ไปตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ แต่ด้วยในปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยยังรักษาความแข็งแรงในระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ดีต่อไป จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทย ให้มีผลผลิตจากการวิจัยและพัฒนาเป็น Nation’s Product Champion โดยไม่ใช่เพียงแค่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิจัยและพัฒนาด้าน Biochemical และผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพต่อไป “ความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเกิดขึ้นไปนับจากนี้ จะทำให้นักวิจัย สวทช. ได้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีดำเนินการวิจัยแก้ปัญหา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับภาคอุตสาหกรรมได้เป็นเอกภาพมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลเชิงวิชาการและเชิงอุตสาหกรรมระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่ Nation’s Product Champion ที่ออกสู่ตลาดได้และช่วยยกระดับการวิจัยพัฒนาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์ต่ออุตสาหกรรมไทยต่อไป” ด้าน นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า EA รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy กับ สวทช. ทั้งนี้ EA มุ่งดำเนินธุรกิจ “Green Product” โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาด้านพลังงานสะอาด ที่จะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศบนพื้นฐานความยั่งยืนให้เดินหน้าอย่างสมดุล ตามนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ดังนั้นถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ EA และ สวทช. ในการเตรียมความพร้อมจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงอุตสาหกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG Model ได้แก่ 1. แบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า รถ-ราง-เรือ และโครงสร้างพื้นฐาน 2. ผลิตภัณฑ์ด้าน Biochemicals และ 3. ผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการร่วมกันวิจัยพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานอย่างครบวงจร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkey ร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ตุรกี
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 กระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkey ร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ตุรกี กระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkey ร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ตุรกี กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บูรณาการสนับสนุนทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkey ซึ่งประกอบด้วย ทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Meduim USAR Thailand) ทีมแพทย์ทหาร รวม 42 คน และสุนัขกู้ภัย 2 ตัว พร้อมอุปกรณ์ค้นหาและกู้ภัย เพื่อเข้าร่วมสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกี โดยจะออกเดินทางจากประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยเที่ยวบิน Turkish airlines ในวันนี้ (9 ก.พ.66) เวลา 23:30 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม RCEP บังคับใช้ครบ 1 ปี ช่วยการค้าไทยกับประเทศสมาชิก ขยายตัวกว่า 7% เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการไทย ส่งออก - นำเข้าสินค้าเพิ่มเติมจาก FTA เดิม
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม RCEP บังคับใช้ครบ 1 ปี ช่วยการค้าไทยกับประเทศสมาชิก ขยายตัวกว่า 7% เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการไทย ส่งออก - นำเข้าสินค้าเพิ่มเติมจาก FTA เดิม ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม RCEP บังคับใช้ครบ 1 ปี ช่วยการค้าไทยกับประเทศสมาชิก ขยายตัวกว่า 7% เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการไทย ส่งออก - นำเข้าสินค้าเพิ่มเติมจาก FTA เดิม วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจผลรายงานความตกลง RCEP ซึ่งทำให้การค้าไทยกับประเทศสมาชิกขยายตัวร้อยละ 7.11 มูลค่าการค้ารวม 10 ล้านล้านบาท จากผลบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ครบ 1 ปี ส่งผลให้การค้าของไทยกับประเทศสมาชิก RCEP อาทิ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขยายตัว 7.11% จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าการค้ารวม 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 10 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.8 ล้านล้านบาท) โดยประเทศอาเซียน คือ อินโดนีเซีย กัมพูชา และสิงคโปร์ เป็นตลาดส่งออกอันดับต้น รองลงมาเป็น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย และการนำเข้าจากประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.7 ล้านล้านบาท) ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากบรูไนดารุสซาลาม ออสเตรเลีย และเมียนมา เป็นอันดับต้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง RCEP ในการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น โดยรายการสินค้าที่ได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออก อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น ทุเรียนสด น้ำมันรำข้าว ผงสิ่งทอ และปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง ขณะที่ประเทศที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง RCEP นำเข้าสินค้า จากประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยรายการสินค้าที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ คือ ด้ายใยยาวสังเคราะห์ ไม้อัดพลายวูด ส่วนประกอบเครื่องยนต์ โพลิเมอร์ของเอทิลีนในลักษณะขั้นปฐม และองุ่นสดหรือแห้ง “นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามแนวทางความตกลงที่รัฐบาลได้เจรจามา และทำให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้มีตัวเลขมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ความตกลง RCEP ประสบความสำเร็จ โดยถือเป็นความตกลงความร่วมมือทางการค้าที่มีตลาดขนาดใหญ่ มี 15 ประเทศที่เข้าร่วมตกลง และมีประชากรรวมคิดเป็น 30% ของประชากรโลก ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกและการนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิก ถือเป็นการศักยภาพการแข่งขันให้กับสินค้าไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เปิดเวทีประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 3 เสนอสมาชิกอาเซียน เร่งจัดตั้งหน่วยงานข้ามชาติ เเก้ปัญหา Call Center ลดภัยคุกคามผ่านสื่อออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 “ดีอีเอส” เปิดเวทีประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 3 เสนอสมาชิกอาเซียน เร่งจัดตั้งหน่วยงานข้ามชาติ เเก้ปัญหา Call Center ลดภัยคุกคามผ่านสื่อออนไลน์ “ดีอีเอส” เปิดเวทีประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 3 เสนอสมาชิกอาเซียน เร่งจัดตั้งหน่วยงานข้ามชาติ เเก้ปัญหา Call Center ลดภัยคุกคามผ่านสื่อออนไลน์ วันนี้ ( 9 ก.พ. 2566 ) นาย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เป็นผู้เเทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิทัลครั้งที่3 ณ.เกาะโบราไคย์ ประเทศฟิลิปปินส์พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม และ นาย ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูตณ.กรุงมะนิลา เข้าร่วมประชุมด้วย โดย นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านดิจิทัลของกลุ่มประเทศ10ประเทศ โดยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารไอซีทีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นการนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นมาใช้อย่างเต็มรูปแบบนอกจากนี้ ประเทศไทย ได้เสนอต่อที่ประชุมอาเซียนทั้ง10 ประเทศให้จัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อกำกับดูเเลและทำความร่วมมือระหว่างกันในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หรือ การหลอกลวงออนไลน์ การหลอกลงทุน เเก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งมีปัญหาในทุกประเทศดังนั้น เราต้องจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมากำกับดูเเลเเละเเก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้ได้อย่างจริงจังและเร่งด่วนเพราะเกิดความเสียหายกับประชาชนในทุกประเทศ ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ธนกร” ลุย ชลบุรี โชว์ผลงานรัฐบาลลุงตู่รุดหน้า EEC พร้อม-ประชาชนวางใจ เชื่อไทยจะก้าวพ้นกับดักความยากจน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​“ธนกร” ลุย ชลบุรี โชว์ผลงานรัฐบาลลุงตู่รุดหน้า EEC พร้อม-ประชาชนวางใจ เชื่อไทยจะก้าวพ้นกับดักความยากจน ​“ธนกร” ลุย ชลบุรี โชว์ผลงานรัฐบาลลุงตู่รุดหน้า EEC พร้อม-ประชาชนวางใจ เชื่อไทยจะก้าวพ้นกับดักความยากจน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC การพัฒนาเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวชุมชน เวลา 10.00 น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการดำเนินงานชุมชนเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชนเก่าชายทะเลบางเสร่ อ.สัตหีบ จ. ชลบุรี ในการนี้ ประธานกลุ่มท่องเที่ยววิถีชุมชน ได้ต้อนรับและพาเยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เพาะพันธุ์ปูไข่นอกกระดอง สะพานเทียบเรือ ชิมผลิตภัณฑ์ชุมชนกาแฟพริก และเพ้นท์ผ้าบาติก รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชื่นชมความร่วมมือของชุมชนเก่าชายทะเลบางเสร่ ที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างรายได้ให้กับชุมชน เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสวิถีชีวิตถิ่นประมง ซึ่งตนก็พร้อมจะเป็นผู้ประสานสิ่งที่ชาวบ้านขาดเหลือไปยังรัฐบาล เพื่อทำให้ชุมชนได้รับการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการยิ่งขึ้น ต่อจากนั้น เวลา 13.00 น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี ดร. อรทัย โยธินรุ่งเรือง สุดสงวน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ พร้อมนักศึกษาร่วมต้อนรับ โดยได้เยี่ยมชมผลงานของนักศึกษาและติดตามโครงการสัตหีบโมเดล ซึ่งเป็นการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสู่ตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ ได้ร่วมกิจกรรมสื่อสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน โดยได้พูดคุย-รับฟังปัญหากับกลุ่มนักศึกษาและชุมชนในพื้นที่ในหลากหลายประเด็น เช่น แนวทางการพัฒนาอาชีพต่อการเติบโตของ EEC การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น "รัฐบาลมุ่งหวังให้ EEC คือพื้นที่ที่จะนำอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต วันนี้เห็นได้ชัดว่า นโยบายที่ท่านนายกฯ ริเริ่ม นักศึกษาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่มีความพร้อมตอบโจทย์ อาทิ ช่างอากาศยาน โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว ฯลฯ และภาคอุตสาหกรรมขานรับ ซึ่งจะทำให้ EEC มีความพร้อมยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งรัฐบาลคาดว่าภายในปี 2570 จะมีการลงทุนถึง 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวพ้นกับดักความยากจน" นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64747
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ DEA ถกแนวทางสืบสวนการเงินกลุ่มค้ายา ขอช่วยทำโปรแกรมการเรียนรู้-แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ๆ หวังจนท.ทำงานได้ต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ DEA ถกแนวทางสืบสวนการเงินกลุ่มค้ายา ขอช่วยทำโปรแกรมการเรียนรู้-แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ๆ หวังจนท.ทำงานได้ต่อเนื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ DEA ถกแนวทางสืบสวนการเงินกลุ่มค้ายา ขอช่วยทำโปรแกรมการเรียนรู้-แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ๆ หวังจนท.ทำงานได้ต่อเนื่อง ตามขบวนการให้ทัน ด้านสหรัฐฯ ชมรัฐบาลไทยจริงจังปราบปราม พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์-ให้การช่วยเหลือเต็มที่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยมี นายนิค วิลส์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด สหรัฐฯ (DEA) ประจำกรุงเทพ นายไคล์ เคนท์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนทางการเงินDEA ประจำสหรัฐฯ นายวิลเลียม จอห์นสัน ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายสืบสวนทางการเงิน DEA ประจำสหรัฐฯ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพล.ต.ท.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผบ.บช.ปส. ร่วมการหารือ นายนิค กล่าวว่า การเข้าหารือในวันนี้ เพราะมีหลายอย่างที่เราอยากรู้และอยากเล่าประสบการณ์การทำงานของ DEA ให้ฟัง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งเราต้องขอขอบคุณการทำงานของรัฐบาลไทยและนายสมศักดิ์ ที่จริงจังในการปราบยาเสพติด และออกกฎหมายควบคุมโซเดียมไซยาไนต์ ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด โดยที่ผ่านมา DEA ได้ทำงานร่วมกับ ป.ป.ส. ดีเอสไอ และบช.ปส. มาโดยตลอด และประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ค้ายา เราจึงอยากให้คำแนะนำและถ่ายทอดประสบการณ์การสืบสวนเส้นทางการเงินที่เราได้ใช้ เพราะเรื่องนี้เราดำเนินการมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว หากมีอะไรที่ทางประเทศไทยต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ เรายินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นายไคล์ กล่าวว่า เราอยากช่วยแชร์ความรู้ในการทำงานของ DEA ในการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งสิ่งสำคัญในการปราบปรามคือการตัดเส้นทางการเงินของเครือข่าย ในการสืบสวนส่วนใหญ่หน่วยงานจะพยายามจับเม็ดยา แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเงินที่หล่อเลี้ยงองค์กรเหล่านั้น ดังนั้นทาง DEA จึงได้พัฒนาการสืบสวนทางด้านการเงินมากขึ้น ทำให้เราได้มองเห็นโครงข่ายของกลุ่มค้ายา รวมถึงแนวโน้มในการทำงานของขบวนการที่มีการพัฒนาอยู่ตลอด มีการนำเทคโนโลยีใหม่ เส้นทางการเงินใหม่ๆ เช่น สกุลเงินดิจิทัล มาใช้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเราพึ่งมีประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ที่ใช้มาได้แค่ 1 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่มีเรื่องการยึดอายัดทรัพย์สินผู้ค้ายาแบบเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งเรารู้ว่ายาเสพติดที่ส่งออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำมีมูลค่ามากมายมหาศาล จึงพยายามเน้นในจุดนี้เพื่อตัดวงจรเครือข่าย โดยการยึดอายัดทรัพย์เป็นเรื่องใหม่ในไทย หลายหน่วยงานยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงต้องพยายามทำให้เข้าใจ และได้มีการตั้งทีมขึ้นมาชื่อว่า พาลีปราบยา ที่เป็นการทำงานร่วมกันของ ป.ป.ส. ดีเอสไอ ตำรวจ อัยการ ป.ป.ง. และสรรพากร เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเรากำลังศึกษาเรื่องสกุลเงินดิจิทัล เพื่อตามกลุ่มผู้ค้ายาให้ทัน รวมถึงการทำระบบ Block Chain เพื่อให้การแจ้งเบาะแสมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนอยากให้ทาง DEA ช่วยให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ เช่น โปรแกรมและเครื่องมือต่างๆที่ทันสมัย หากมีวิธีการอะไรที่ดี ก็ขอให้ช่วยแนะนำกับเราด้วย โดยอยากให้ทำโปรแกรมการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้เราได้เปิดหลักสูตรสอนแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทำเป็นแผนการทำงานเพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลชุดต่อๆไปไว้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนคิดว่าแม้ว่าเราจะเริ่มเรื่องนี้ช้า แต่เราก็สามารถเรียนรู้ได้เร็ว โดยเราได้มีรางวัลสำหรับผู้แจ้งเบาะแส 5% และเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน 25% จากมูลค่าทรัพย์ที่ยึดได้ ซึ่งตนเชื่อว่าการที่เรามีแรงจูงใจแบบนี้จะช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวประมง สรุปมติ 5 ข้อเตรียมเสนอ
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 “อลงกรณ์” เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวประมง สรุปมติ 5 ข้อเตรียมเสนอ “อลงกรณ์” เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวประมง สรุปมติ 5 ข้อเตรียมเสนอ “รัฐมนตรีเฉลิมชัย” ยกเลิกคำสั่ง คสช. พร้อมชะลอประกาศกรมประมงเรื่องรางวัลนำจับ เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง โดยมีนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและกรรมการ ตลอดจนตัวแทนนายกสมาคมชาวประมง เจ้าของเรือประมงที่ได้รับผลกระทบจากพระราชกำหนดประมงปี พ.ศ.2558 นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง นายเดชา ปรัชญารัตน์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมประมง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอลงกรณ์ แถลงถึงผลการประชุมวันนี้ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาโดยจะเสนอ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้ 1. เห็นควรเสนอให้มีการปรับปรุงประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง คณะกรรมการเปรียบเทียบ และหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ พ.ศ. 2561 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 170 วรรคสองและวรรคสาม แห่ง พรก.การประมง พ.ศ.2558 2. เห็นควรยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 22/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม 3. กรณีที่มีการออกกฎระเบียบใด ๆ จะต้องกำหนดห้วงเวลาก่อนการบังคับใช้เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวประมง โดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการบังคับใช้ หลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 4. มอบหมายกรมประมงหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาถึงประเด็นความคลุมเครือในมาตรา 38 และมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 19 มาตรา 20 และมาตรา 105 เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้และการตีความกฎหมายเพื่อความเป็นธรรม 5. ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ใช้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ในการพิจารณาตั้งข้อกล่าวหากับชาวประมงที่กระทำผิด โดยใช้ดุลยพินิจดูที่เจตนาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายบนหลักความยุติธรรม เนื่องจากพรก.การประมงปี 2558 นั้น มีบทกำหนดโทษที่รุนแรง “ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ มีความห่วงใยพี่น้องชาวประมง จึงมีนโยบาย 3 ป. ป้อง ปราม ปราบ เพื่อเป็นแนวทางให้กรมประมงเร่งแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องชาวประมง โดยติดตามดูแลทุกประเด็นข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมงทุกกลุ่ม พร้อมรับข้อเรียกร้องของทางสมาคม และตัวแทนชาวประมงให้กรมประมงนำไปพิจารณา และขอขอบคุณชาวประมงที่ได้สะท้อนปัญหาเพื่อเป็นประโยชน์ในการบูรณาการร่วมมือกันหาแนวทางแก้ไข ทั้งนี้ ขอฝากไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายว่า เมื่อเกิดเหตุแล้วขอให้ใช้ดุลยพินิจในการดำเนินการกับผู้กระทำผิด โดยให้ดูที่เจตนาเป็นหลัก ในส่วนของมาตราที่ยังเป็นปัญหาทั้งข้อจำกัดของเวลาและเงื่อนไข ก็ให้กรมประมงนำมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขต่อไป ซึ่งการออกกฎหมายต่าง ๆ ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่ายให้ได้รับความเป็นธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายอลงกรณ์ กล่าว สำหรับประเด็นเรื่องร่างประกาศกรมประมงว่าด้วยรางวัลแก่ผู้แจ้งความนำจับที่แจ้งเบาะแสเรือประมงที่กระทำผิดกฎหมายนั้น ขณะนี้ได้ชะลอเรื่องดังกล่าวเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ประชาชน เชิญชวนคนไทยผู้มีสิทธิบัตรทอง เข้าถึงสิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรองความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก-ลำไส้-ช่องปาก-เต้านม
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ประชาชน เชิญชวนคนไทยผู้มีสิทธิบัตรทอง เข้าถึงสิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรองความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก-ลำไส้-ช่องปาก-เต้านม ​โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ประชาชน เชิญชวนคนไทยผู้มีสิทธิบัตรทอง เข้าถึงสิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรองความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก-ลำไส้-ช่องปาก-เต้านม เพิ่มโอกาสในการรักษามะเร็งให้หายขาด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตระหนักถึงภัยของโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคร้ายที่คุกคามสุขภาพประชากรทั่วโลกรวมถึงคนไทย จึงได้ร่วมรณรงค์ให้คนไทยดูแลสุขภาพ โดยได้เพิ่มโอกาสในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มต้น ให้ได้รับการรักษาโดยเร็วเพื่อการรักษาให้หายขาดได้ภายใต้ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) โดยจัดสิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง 4 รายการ เพื่อดูแลผู้มีสิทธิให้เข้าถึงบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งช่องปาก และมะเร็งเต้านม นายอนุชาฯ กล่าวว่า สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่ถึงวันละ 381 คน หรือ 139,206 คนต่อปี และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 230 คน หรือ 84,073 คนต่อปี โดย 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วน 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทย ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งปากมดลูก ด้วยข้อมูลสถานการณ์โรคมะเร็งของประเทศไทยที่ปรากฏนี้ ที่ผ่านมา สปสช. ได้จัดสิทธิประโยชน์บริการที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” อย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมบริการป้องกัน การรักษา ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีรักษา ฮอร์โมน ทั้งตามโปรโตคอลการรักษา 20 ชนิด (Protocol) และการรักษามะเร็งทั่วไป โดยเฉพาะการเข้าถึงยามะเร็งที่มีราคาแพงที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษา ในส่วนของบริการป้องกันและคัดกรองความเสี่ยงโรคมะเร็งนั้น กองทุนบัตรทองมี 4 สิทธิประโยชน์บริการ ได้แก่ บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สำหรับหญิงไทยทุกสิทธิ อายุ 30-59 ปี และอายุ 15-29 ปี ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ด้วยวิธีแปปสเมียร์ (Pap Smear) หรือ ตรวจและจี้ด้วยน้ำส้มสายชู (VIA) หรือ ตรวจคัดกรองด้วยวิธี HPV DNA Test โดยมีสิทธิรับบริการตรวจคัดกรอง 1 ครั้ง ทุก 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์บริการวัคซีนเอชพีวีสำหรับเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.5 ทุกคนทั่วประเทศ บริการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ด้วยวิธีตรวจหาเลือดแฝงในอุจาระ (Fit Test) สำหรับประชาชนอายุ 50–70 ปี จำนวน 1 ครั้งทุก 2 ปี กรณีผลตรวจผิดปกติจะได้รับการตรวจยืนยันด้วยการส่องกล้องและการเก็บเนื้อเยื่อส่งตรวจ และบริการคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก สำหรับประชาชนอายุ 40 ปีขึ้นไปปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีบริการตรวจค้นหาการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม BRCA1/BRCA2 ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเสี่ยงสูง และญาติสายตรงที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์ เพื่อค้นหาการกลายพันธุ์ของยีน ทั้งนี้เพื่อเป็นการค้นหาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงและเข้ารับการรักษาก่อนที่ภาวะโรคจะลุกลาม “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งมั่นพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้แก่ประชาชน ด้วยการขยายขอบเขตการรักษาโรคต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลโดย สปสช. รณรงค์ให้คนไทยร่วมตระหนักดูแลสุขภาพตนเอง โดยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์การคัดกรองความเสี่ยงมะเร็ง ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์บัตรทอง 30 บาท ที่สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงการรับบริการยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็ง โดยยื่นบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด แสดงตนใช้สิทธิ์บัตรทองก่อนรับบริการทุกครั้ง และกรณีพบความผิดปกติก็สามารถเข้ารับการรักษาได้ตามสิทธิประโยชน์ได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และhttps://www.facebook.com/NHSO.Thailand” นายอนุชาฯ กล่าว ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยมะเร็งได้รับการรักษาภายใต้กองทุนบัตรทอง 291,400 ราย หรือ 1,785,882 ครั้ง โดยเข้ารับบริการตรวจยืนยันมะเร็งลำไส้ใหญ่ 65,011 ราย หรือ 69,619 ครั้ง และบริการเคมีบำบัด/รังสีรักษาในผู้ป่วยมะเร็ง (ผู้ป่วยใน/ผู้ป่วยนอก) 94,154 ราย หรือ762,343 ครั้ง เป็นต้น รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงยามะเร็งที่เป็นรายการในบัญชียา จ.(2) จากข้อมูลในช่วง 5 ปี (ปี 2561-2565) มีผู้ป่วยได้รับยามะเร็ง ดังนี้ ยาโดซีแทคเซล (Docetaxel) ใช้รักษามะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด 10,697 ราย ยาเลโทรโซล (Letrozole) เพื่อรักษามะเร็งเต้านม 21,062 ราย ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) รักษามะเร็งเต้านม 4,859 ราย ยาอิมาทินิบ เมสิเลท (Imatinib mesylate) รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน 4,530 ราย ยาดาซาทินิบ (Dasatinib) รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว 514ราย ยาเออร์โลทินิบ (Erlotinib) รักษามะเร็งปอด จำนวน 3,138 ราย เป็นต้น ขณะเดียวกัน สปสช. ได้ดำเนินนโยบาย “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” (Cancer anywhere) บริการหนึ่งในนโยบายเพื่อยกระดับบัตรทอง ที่ได้เริ่มเมื่อ 1 มกราคม 2564 ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วเพิ่มขึ้น ผลดำเนินการในช่วง 2 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 - 30 กันยายน 2565 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม จำนวน 221,141 ราย หรือ 1,907,724 ครั้ง โดยปีงบประมาณ 2564 (1 ม.ค. 64 - 30 ก.ย. 64) มีผู้ป่วยรับบริการ 144,420 คน 737,675 ครั้ง และปีงบประมาณ 2565 (1 ต.ค. 64 - 30 ก.ย. 65) มีผู้ป่วยรับบริการ 191,194 คน หรือ 1,170,049 ครั้ง โดยมีหน่วยบริการที่มีศักยภาพร่วมดูแล 186 แห่ง แยกเป็นการรับบริการในหน่วยบริการประจำของตนเอง 290,104 ครั้ง หรือร้อยละ 15.2 ต่างหน่วยบริการประจำภายในจังหวัด 947,721 ครั้ง หรือร้อยละ 49.7 หน่วยบริการข้ามจังหวัดภายในเขตพื้นที่ 354,692 ครั้ง หรือร้อยละ 18.6 และหน่วยบริการข้ามเขตพื้นที่ 315,207 ครั้ง หรือร้อยละ 16.5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดส่งทีมแพทย์ร่วมปฏิบัติการกู้ภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกี
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.จัดส่งทีมแพทย์ร่วมปฏิบัติการกู้ภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกี กระทรวงสาธารณสุข จัดทีมบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมทีมค้นหากู้ภัยเหตุแผ่นดินไหวในประเทศตุรกี เตรียมเดินทางค่ำนี้ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นและเหมาะสมภายใน 1 สัปดาห์ และเตรียมพร้อมทีม Thailand EMT สนับสนุนตามความต้องการ วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีและซีเรีย ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ว่า ได้รับข้อสั่งการจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องนายกรัฐมนตรี มีดำริผ่านกระทรวงต่างประเทศ ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการแพทย์ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข โดยกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ จึงประชุมหารือร่วมกับกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงสถานการณ์และความช่วยเหลือ พบว่า ประเทศตุรกีมีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างมีการประกาศเขตภัยพิบัติ 10 จังหวัด ส่วนประเทศซีเรียได้รับผลกระทบวงกว้างเช่นกัน ภาพรวมประชากรได้รับบาดเจ็บมากกว่า 20,000 ราย และอยู่ระหว่างค้นหาผู้ติดอยู่ในซากตึก โดยอุณหภูมิ ในพื้นที่ประมาณ -10 องศาเซลเซียส สำหรับการพิจารณาสนับสนุนความช่วยเหลือเบื้องต้น จะแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. การส่งทีม Urban Search and Rescue (USAR) หรือทีมค้นหากู้ภัย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรับดำเนินการ ซึ่งจะมีบุคลากรแพทย์ พยาบาลกู้ชีพ และเวชกิจฉุกเฉิน ของกรมการแพทย์ จำนวน 3 คนเข้าร่วมทีม ออกเดินทางในช่วงค่ำวันนี้2.การสนับสนุนครุภัณฑ์และเวชภัณฑ์ ซึ่งสถานทูตตุรกีได้ส่งรายการเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ต้องการมา 215 รายการ กระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นและเหมาะสมต่อสถานการณ์แผ่นดินไหวในวงเงิน 5-6 ล้านบาท อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ ส่วนประเทศซีเรียไม่มีสถานทูตไทย การดำเนินการขอให้พิจารณาผ่านสถานทูตไทยณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน 3.การสนับสนุนทีมแพทย์เบื้องต้น โดยทีมแพทย์ทหารจัดส่งทีม MERT (Medical Emergency Response Team) ประมาณ 25 นาย ไปปฏิบัติการ และ 4.กระทรวงสาธารณสุข จะเตรียมความพร้อมทีม Thailand EMT (Emergency Medical Team) ซึ่งเป็นทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติที่ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียนกับองค์การอนามัยโลก อยู่ระหว่างการระดมทีม สรุปแผนและแนวทางการปฏิบัติ มีจำนวน 32 คน เป็นสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาลกู้ชีพ นักวิชาการสาธารณสุข เวชกิจฉุกเฉิน เทคนิคการแพทย์ วิศวกร บุคลากรอื่นๆ โดยจะมีการประชุมพรุ่งนี้ และจะประสานกับกระทรวงกลาโหม ว่าทีมแพทย์ทหารที่เดินทางไปแล้วต้องการทีมสนับสนุนเพิ่มเติมหรือผลัดเปลี่ยนหรือไม่ โดยกรมการแพทย์ เป็นผู้ประสานหลัก "การไปปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้มีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งเรื่องอุณหภูมิที่ต่ำถึง - 10 องศาเซลเซียส ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม รวมถึงการเกิด After Shock จึงเน้นย้ำให้บุคลากรที่จะเดินทางไปให้ความช่วยเหลือระมัดระวังอย่างเต็มที่ ดูแลความปลอดภัยทั้งของ ตนเองและผู้ประสบภัย" นพ.โอภาสกล่าว ************************* 9 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64743
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. เปิดการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.อว. เปิดการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22 รมว.อว. เปิดการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22 วันที่ 25 มกราคม 2566 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22 (Thai Medical Education Conference “Revolution of Medical Education : Transformation to the Modern World” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ดิลก ภิยโยทัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวรายงาน ณ ห้อง มิราเคิล แกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาเป็นประธานเปิดงานการประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22 ปัจจุบันวิทยาการด้านการแพทย์มีความก้าวหน้า และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อการจัดระบบการศึกษา การจัดประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษา และถือเป็นการพัฒนาวงการแพทยศาสตร์ศึกษา ด้าน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ดิลก กล่าวรายงานว่า การจัดประชุมในครั้งนี้เป็นการนำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของแพทยศาสตร์ศึกษายุคใหม่ในทุกมิติ ด้านการจัดหลักสูตร การคัดเลือกผู้เรียน การเรียนการสอน การประเมินผล การเรียนรู้ รวมทั้งการวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษาผ่านมุมมองและประสบการณ์ของวิทยากรที่มีชื่อเสียง ภารกิจหลักของแพทยศาสตร์ทุกสถาบัน คือ การดำเนินการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีคุณภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชน ความรู้ทางการแพทย์มีวามก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้โรงเรียนแพทย์ต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 22 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ทางด้านแพทยศาสตร์ศึกษาระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ กับคณาจารย์ นิสิต นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ รวมทั้งยังเป็นเวทีสำหรับเผยแพร่ผลงานทางวิชาการอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ปรับปรุงภูมิทัศน์โค้งเลข 9 ไทยสีชมพู จังหวัดสกลนคร เชื่อมโยงการเดินทางกลุ่มจังหวัดในภาคอีสาน ให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวง ปรับปรุงภูมิทัศน์โค้งเลข 9 ไทยสีชมพู จังหวัดสกลนคร เชื่อมโยงการเดินทางกลุ่มจังหวัดในภาคอีสาน ให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ..... นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวง (ทล.) โดยแขวงทางหลวงสกลนครที่ 1 ได้ดำเนินกิจกรรมปรับปรุงภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมบริเวณโค้งปิ้งงู บนทางหลวงหมายเลข 213 ตอน สร้างค้อ - สกลนคร ในพื้นที่ ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร แล้วเสร็จ ระยะทางประมาณ 1.72 กิโลเมตร ประกอบด้วย 3 โซน ได้แก่ 1.โค้งเลขเก้าไทยสีชมพู 2.โซนป้ายอเมซิ่งโค้งปิ้งงู และเสาหลักกิโลเมตรขนาดใหญ่ และ 3.โซนประติมากรรมช้างไทย ซึ่งแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่ประชาชนให้ความสนใจ คือ โค้งเลขเก้าไทยสีชมพู เน้นปลูกพรรณไม้ที่มีสีชมพู สื่อความหมายถึงความรักและสุขภาพ ได้แก่ ชมพูพันธุ์ทิพย์ เฟื่องฟ้า เมื่อออกดอกจะทำให้ถนนบริเวณดังกล่าวเป็นสีชมพูทั้งสายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม ระหว่างรอดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานเต็มที่ แขวงฯ ได้นำต้นซากุระเทียม ซึ่งมีสีชมพูมาตกแต่งเพิ่มบริเวณเลขเก้าไทยบางส่วนก่อน ปัจจุบันมีประชาชนทยอยเข้ามาท่องเที่ยวและถ่ายรูปจำนวนมาก ทั้งนี้ ทล. ได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้ใช้ทาง ตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยแขวงทางหลวงสกลนครที่ 1 ได้สั่งการให้หมวดทางหลวงทั้ง 6 แห่งที่อยู่ภายในสังกัดดำเนินการปรับปรุงโครงข่ายถนนในความรับผิดชอบที่มีระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมบริเวณที่มีการชำรุด ติดตั้งป้ายจราจร ป้ายเตือนต่าง ๆ ตีเส้นจราจรให้มีความเด่นชัด ทาสีเสาหลักนำทาง และตัดหญ้าบริเวณสองข้างทาง หรือเกาะกลางถนน ตรวจสอบไฟส่องสว่าง เพิ่มการมองเห็นและทัศนวิสัยในการขับขี่ให้สะดวก ปลอดภัย และลดอุบัติเหตุ รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว มีห้องน้ำ และจุดจอดรถบริการเพื่อความเป็นระเบียบไม่กีดขวางการจราจรบนไหล่ทาง เกิดความปลอดภัยในการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังจัดรถชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจะต้องเข้าพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนได้ทันที และขอความร่วมมือประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้เส้นทาง เดินทางอย่างปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติตาม “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้ร่วมทาง หากต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจรหรือขอความช่วยเหลือต่าง ๆ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน ทล. โทร 1586 ฟรี ทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.00 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ โดยมีผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวนฤมล สงวนวงศ์) และผู้อำนวยการสำนัก/กองต่างๆ ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ในส่วนของคำรับรองผลการปฏิบัติราชการระดับผู้อำนวยการกอง/สำนัก เพื่อให้เป็นไปตามแผนการประเมินผลการปฏิบัติราชการที่กำหนดไว้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เผยผลตรวจตรวจวัดฝุ่น PM 2.5/ PM 10 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กรมอนามัย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รฟท. เผยผลตรวจตรวจวัดฝุ่น PM 2.5/ PM 10 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กรมอนามัย หรือกรมควบคุมมลพิษ กำหนด พร้อมเดินหน้าเพิ่มความถี่ทำความสะอาด และเร่งจัดหาหัวรถจักรไฟฟ้ามาให้บริการ นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น เกี่ยวกับประเด็นฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นบริเวณชานชาลา ชั้น 2 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ล่าสุด รฟท. ได้ประสานความร่วมมือไปยังกรมควบคุมมลพิษ ตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้กองจัดการคุณภาพอากาศ และเสียง ลงพื้นที่ดำเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM 10) ในพื้นที่ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ระหว่างวันที่ 23 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 2 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 บริเวณชานชาลาที่ 8 ชั้น 2 และจุดที่ 2 บริเวณจุดพักรอของผู้โดยสารชั้น 1 เพื่อติดตามตรวจสอบสถานการณ์ฝุ่นละอองของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปัจจุบันการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองได้ดำเนินการเสร็จสิ้น และรายงานผลการตรวจวัดมายัง รฟท. แล้ว โดยพบว่าผลการตรวจวัดฝุ่นละอองฯ เบื้องต้น บริเวณจุดที่ 1 บริเวณชานชาลาที่ 8 ชั้น 2 มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของ PM 10 อยู่ในช่วง 35 - 97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่มีค่ามาตรฐานในบรรยากาศไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ PM 2.5 อยู่ในช่วง 18-60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่อยู่ในค่ามาตรฐานบรรยากาศ ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่จะมีเกินค่าเกณฑ์มาตรฐานเฉพาะวันที่ 31 มกราคม 2566 เท่านั้น ส่วนจุดที่ 2 บริเวณจุดพักรอของผู้โดยสารชั้น 1 พบค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของ PM 10 อยู่ในช่วง 6 - 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังตามประกาศของกรมอนามัย ที่ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ PM 2.5 อยู่ในช่วง 4 - 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่าเฝ้าระวังตามประกาศของกรมควบคุมมลพิษ ที่ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รฟท. ได้เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นที่ ทั้งในส่วนของอาคารโดยสาร และบริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รวมถึงเฝ้าระวังฝุ่นละอองจากรถไฟในบริเวณชานชาลา เพื่อลดการสะสม และการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองในพื้นที่ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมมลพิษดังอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ รฟท. โดยนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญ และรับฟังความคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะต่างๆ ของประชาชน ซึ่งได้สั่งการให้นำทุกข้อคิดเห็นมาพัฒนาปรับปรุงในทุกเรื่อง เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก ปลอดภัย และพึงพอใจสูงสุดในการใช้บริการรถไฟ โดยในส่วนของปัญหาฝุ่นควันบริเวณชานชาลานั้น ในอนาคตรฟท. มีแผนงานจะลดปัญหาการเกิดฝุ่น และควันอย่างยั่งยืน ด้วยการเร่งดำเนินการนำหัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train มาใช้งานภายในสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง พร้อมมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่รัฐบาลตุรกี ผ่านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​นายกฯ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง พร้อมมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่รัฐบาลตุรกี ผ่านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย ​นายกฯ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง พร้อมมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่รัฐบาลตุรกี ผ่านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามรัฐบาลไทยมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเบื้องต้นให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกีผ่าน นางแซรัป แอร์ซอย (H.E. Mrs. Serap Ersoy) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่จังหวัดคาห์รามันมาราช (Kahramanmaraş) สาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) (ห่างจากกรุงอังการาประมาณ 580 กิโลเมตร) และบริเวณใกล้เคียง ในช่วงเช้าของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 พร้อมขอมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 5 ล้านบาทแก่รัฐบาลตุรกี และรัฐบาลไทยจะได้จัดส่งทีมหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และความช่วยเหลืออื่นๆ ตามความต้องการ พร้อมหวังว่า รัฐบาล และประชาชนตุรกีจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้โดยเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากตุรกีต้องการความช่วยเหลือขอให้ประสานผ่านมายังกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณน้ำใจของรัฐบาลไทย และประชาชนไทยในโอกาสนี้ โดยได้เห็นถึงน้ำใจและความช่วยเหลือของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ประชาชน และภาคเอกชนที่ได้ส่งกำลังใจ และแสดงความช่วยเหลือมาทางสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยอย่างมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก หนักที่สุดครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ มิตรประเทศได้แสดงน้ำใจ ความช่วยเหลือ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเพื่อนแท้ของตุรกี เชื่อว่าตุรกีจะผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบากครั้งนี้ไปได้ พร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือและกำลังใจของประเทศไทยในครั้งนี้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ว่ามีสตรีชาวไทย 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก และได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา เร่งประสานงานกับทางการตุรกีเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลตุรกีช่วยดูแลชาวไทยซึ่งบางรายอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่ทางการตุรกีจัดหาให้ด้วย นอกจากนี้ ยังไม่มีรายงานว่าคนไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม และยังมีคนไทยดำรงชีวิตอยู่ในตุรกีรวม 30 ราย ซึ่งบางรายอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่ทางการตุรกีจัดหาให้ รวมทั้ง คืนนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ทีมช่วยเหลือ/กู้ภัย จำนวน 42 นายจะเดินทางไปตุรกี พร้อมสิ่งของสำหรับการกู้ภัย การบรรเทาสาธารณภัย และเวชภัณฑ์ อนึ่ง กรณีคนไทยต้องการความช่วยเหลือจำเป็นเร่งด่วน สามารถติดต่อหมายเลขฉุกเฉินของสถานเอกอัครราชทูตฯ +90 533 641 5698 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทาง Facebook Page สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ได้อีกด้วย ทั้งนี้ ญาติของคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ สามารถติดต่อกรมการกงสุล (กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ) ถนนแจ้งวัฒนะ หรือที่ Call Center 02 572 8442 ตลอด 24 ชั่วโมง สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอความร่วมมือคนไทยที่เดินทางมาชั่วคราวหรือพำนักในตุรกีลงทะเบียนเพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการประสานงานให้ความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน โดยสามารถลงทะเบียนผ่านลิงก์ https://forms.gle/BKZJXYj7MFdDHZ3t6 นี้ โปรดติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตฯ กระทรวงการต่างประเทศ หรือสื่อท้องถิ่นของตุรกีที่น่าเชื่อถือ อย่างใกล้ชิด หากมีพัฒนาการเพิ่มเติม ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จะประชาสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดอย่างต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง มีมาตรการคุมเข้มในการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามที่กฎหมายกำหนด
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวง มีมาตรการคุมเข้มในการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามที่กฎหมายกำหนด ..... นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ได้รวบรวมสถิติปี 2565 ถนนประเทศไทย มีระยะทาง 702,965.069 กิโลเมตร โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคมปี 2565 พบว่าถนนร้อยละ 85.56 ส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกำกับดูแลโดยกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครรวมเป็นระยะทาง 601,427.24 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 49,123.785 กิโลเมตร การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 224.600 กิโลเมตร โดยระยะทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง (ทล.) ระยะทางรวม 52,204.42 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 7.43 ของพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนี้ จำนวนรถบรรทุกสะสม ในประเทศไทย มีทั้งสิ้น 1,217,719 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ) รถบรรทุกที่วิ่งเข้าชั่งสถานีตรวจสอบน้ำหนักปีงบประมาณ 2565 มีทั้งหมด 30,418,851 คัน คิดเฉลี่ยต่อวัน ประมาณ 83,339 คัน/วัน ปัจจุบัน สำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะมีสถานีตรวจสอบน้ำหนักบนทางหลวงสายหลักทั่วประเทศที่เปิดใช้งาน 97 สถานี และชุดเฉพาะกิจส่วนกลางจำนวน 12 ชุด ชุดเฉพาะกิจส่วนภูมิภาคประจำแต่ละสถานี 97 ชุด โดยทางสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะได้มีการตรวจสอบบรรทุกที่เข้าชั่งน้ำหนักที่สถานีทุกคันและมีการใช้งานเทคโนโลยีระบบการตรวจสอบน้ำหนักเข้ามาช่วย ในการคัดกรองรถบรรทุกที่คาดว่ามีน้ำหนักเกินให้เข้าชั่งที่สถานีตรวจสอบน้ำหนักและมีการออกสุ่มตรวจสอบ โดยหน่วยชั่งน้ำหนักโดยหน่วยชั่งหนักน้ำหนักเคลื่อนที่ (Spot Check) ไปตามเส้นทางหลวง ในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผิดชอบของแต่ละสถานีและจังหวัดใกล้เคียงหรือที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ สำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะได้บริหารทรัพยากรบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ทั้งที่สถานีฯ และหน่วยชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่ (Spot Check) ในการตรวจสอบ ป้องกัน ปราบปราม จับกุม ประชาสัมพันธ์ ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ถูกต้อง สุจริต เป็นธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้น และเป็นการป้องกันมิให้บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยยึดหลักมาตรการ 5 ป. ของ ทล. ในการปฏิบัติงาน คือ ป. ที่ 1 ป.ป้องปราม จัดตั้งสถานีตรวจสอบน้ำหนักบนทางหลวงสายหลักให้ครอบคลุม โครงข่าย ทั่วประเทศ โดยดำเนินการตรวจสอบและจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินตลอด 24 ชั่วโมง โดยปัจจุบันมีสถานีตรวจสอบน้ำหนักทั้งหมด 97 แห่ง ป. ที่ 2 ป.ปราบปราม จัดตั้งหน่วยเครื่องชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่ (spot check) ออกดำเนินการสุ่มตรวจและควบคุมรถบรรทุกน้ำหนัก ไม่ให้เกินกว่ากฎหมายกำหนด บนทางหลวงสายหลัก หรือ บนทางหลวงสายรอง หรือ หรือ บนทางหลวงที่ไม่มีสถานีฯ หรือ บนหลวงทางที่เป็นเส้นทางหลบเลี่ยงสถานีฯ โดยมี - ชุดเฉพาะกิจส่วนกลาง 12 ชุด - ชุดเฉพาะกิจของส่วนภูมิภาค 97 ชุด (ทุกสถานีฯ) ป. ที่ 3 ป.ป้องกัน มาตรการป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่ โดยมี - ศูนย์ควบคุมกลางคอยติดตามควบคุมการปฏิบัติงานของสถานีตรวจสอบน้ำหนักตลอด 24 ชั่วโมง - ติดตั้งระบบป้องกันรถไม่เข้าชั่งที่สถานี - สับเปลี่ยนหมุนเวียนหัวหน้าสถานีฯ/หัวหน้าชุด ไม่เกิน 1 ปี ป. ที่ 4 ป.ปลอดภัย อำนวยความปลอดภัยให้กับรถบรรทุก และประชาชนผู้ใช้ทาง ดังนี้ - จุดจอดพักรถบรรทุก (Truck Rest Area) ปัจจุบันเปิดใช้งาน 21 แห่ง - จุดบริการทั่วไทยช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่/สงกรานต์ - การขออนุญาตเดินรถพิเศษเพื่อควบคุมการเดินรถที่มีขนาดใหญ่พิเศษ ป. ที่ 5 ป.ประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์เชิงรุก ในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับผู้ขับขี่รถบรรทุก ประชาชนผู้ใช้ถนนให้ทราบถึงข้อกฎหมาย มาตรการ นโยบาย ความสำคัญของการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกให้เป็นไปตามกฎหมายผลเสียจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน โดย - สายด่วน ทล. โทร. 1586 กด 5 สอบถามข้อมูลแจ้งเหตุ ฯ - ทาง Facebook, LINE, Twitter เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสาร ที่รวดเร็ว ครบถ้วน สำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ทล. ได้ดำเนินการตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ตามที่ ป.ป.ช.เสนอ โดยมอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานอื่น จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานร่วมกัน เช่น ทช. กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ขบ. กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ผสานความร่วมมือการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินที่หลบเลี่ยงการเข้าชั่งน้ำหนักบนทางหลวง โดยใช้การสัญจรของหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบ ให้สามารถครอบคลุมเป็นโครงข่าย เพื่อลดอุบัติเหตุ ลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากรถบรรทุกน้ำหนักเกิน และประชาชนผู้ใช้ทางมีความปลอดภัยในการใช้ถนน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้ทางช่วยสอดส่องดูแลรถบรรทุกน้ำหนักเกินวิ่งบนทางหลวง หากผู้ประกอบการขนส่งต้องการสอบถามข้อมูลน้ำหนักรถบรรทุกเพิ่มเติม หรือประชาชนประสงค์จะแจ้งเบาะแสรถน้ำหนักบรรทุกเกินในเส้นทางต่าง ๆ บนทางหลวง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 กด 5 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) หรือผ่านช่องทาง Facebook , LINE, Twitter ของสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ กรมทางหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ในปี 68 จ.เชียงราย จะมีศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภาคเหนือแบบครบวงจร หลังรัฐบาลอนุมัติโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ในปี 68 จ.เชียงราย จะมีศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภาคเหนือแบบครบวงจร หลังรัฐบาลอนุมัติโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย ​"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ในปี 68 จ.เชียงราย จะมีศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภาคเหนือแบบครบวงจร หลังรัฐบาลอนุมัติโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงรายระยะที่ 2 ในปีนี้ เพิ่มรายได้ประชาชน ดันเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง วันที่่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเร่งขับเคลื่อนพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ภายในอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียน โดยได้ผลักดันโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศไปสู่ภายในประเทศ รวมถึงเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากถนนไปสู่ทางรถไฟ โดยเป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่สามารถดำเนินพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้ในจุดเดียว โดยตั้งอยู่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ข้ามแม่น้ำโขง) แห่งที่ 4 ประชิดด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงรายฝั่งเหนือ เนื้อที่รวมประมาณ 335 ไร่ น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการนี้แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ จากปี 2561 ได้เปิดตัวโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระยะที่ 1 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2561 และได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 และเปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่ เพื่อเก็บสินค้าแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564ที่ผ่านมา ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ได้อนุมัติหลักการโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สำนักงานและส่วนประกอบและงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์และเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ทั้งหมด รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางต้านรายได้และจ่ายค่าสัมปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 15 ปี นับจากปีเปิดให้บริการ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับระยะที่ 2 นี้ ได้รับจัดสรรงบประมาณในปี 2566 จำนวน 690 ล้านบาท จะเริ่มดำเนินงานในปีงบประมาณ 2566 โดยจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ลานที่เก็บตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้เปล่า และตู้ที่บรรจุสินค้าแล้ว (Container Yard) สำหรับการวางตู้คอนเทนเนอร์ รวมทั้งเป็นพื้นที่การก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศ ประกอบด้วย อาคารคลังสินค้าขาเข้า-ออก อาคาร CFS หลังที่ 2 อาคารสำนักงานฝ่ายปฏิบัติการ ลานกองตู้คอนเทนเนอร์ โรงอาหารส่วนปฏิบัติงาน อาคารซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล อาคารเอกซเรย์และอาคาร CCA ซึ่งเป็นการก่อสร้างขยายในส่วนพื้นที่ปฏิบัติงาน เช่น อาคารเปลี่ยนถ่ายและบรรจุสินค้า และลานกองเก็บตู้สินค้า เป็นต้น รองรับรองรับการขนส่งสินค้าทางถนนระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R3A เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีนฝั่งตะวันตก (นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน) และสอดคล้องกับการเปิดบริการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นศูนย์ที่ครบวงจรในการขนส่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568 “ถือเป็นอีกหนึ่งผลงาน ที่มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศไว้ ซึ่งที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญ เร่งรัดและติดตามความคืบหน้าโครงการ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยโครงการนี้หากแล้วเสร็จ จะเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ของภาคเหนือแบบครบวงจรช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน เพิ่มรายได้ประชาชน ในพื้นที่จ.เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ต่อยอดธุรกิจภายในและระหว่างประเทศ รวมทั้งส่งผลถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ไทย-อินเดีย ความสัมพันธ์แนบแน่น เฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมให้ความร่วมมือทางวัฒนธรรม อาหาร ภาพยนตร์ ศิลปะร่วมสมัย ศาสนาอย่างต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ​ไทย-อินเดีย ความสัมพันธ์แนบแน่น เฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมให้ความร่วมมือทางวัฒนธรรม อาหาร ภาพยนตร์ ศิลปะร่วมสมัย ศาสนาอย่างต่อเนื่อง ​ไทย-อินเดีย ความสัมพันธ์แนบแน่น เฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมให้ความร่วมมือทางวัฒนธรรม อาหาร ภาพยนตร์ ศิลปะร่วมสมัย ศาสนาอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิ และยกระดับบทบาทวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก ไทย-อินเดีย ความสัมพันธ์แนบแน่น เฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมให้ความร่วมมือทางวัฒนธรรมอาหารภาพยนตร์ศิลปะร่วมสมัยศาสนาอย่างต่อเนื่องเสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิ และยกระดับบทบาทวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังที่นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินเดียว่าทางเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย แสดงความสนใจในความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและอินเดีย อาทิ การใช้ชื่อที่มีรากมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ประเพณีและวัฒนธรรมทางศาสนา และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างอินเดียและไทยที่มีความเป็นมาอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ซึ่งทำให้ฝ่ายอินเดียมีความประสงค์ที่จะดำเนินความร่วมมือทางวัฒนธรรมอื่นๆ ร่วมกับฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในการเสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิ และยกระดับบทบาทวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก ส่งเสริมSoftPowerด้วยมิติวัฒนธรรมผ่าน5Fอาหาร (Food)แฟชั่น(Fashion)ภาพยนตร์(Film) เทศกาลและประเพณี (Festival) มวยไทย (Fighting) ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไป สำหรับความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินเดียในอนาคต ทางเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์ในมิติทางวัฒนธรรม ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม อาทิ การดำเนินความร่วมมือในด้านการสนับสนุนงานศิลปะ ทัศนศิลป์ นาฏศิลป์ โดยทางอินเดียมีความประสงค์ที่จะนำคณะนักแสดงทางวัฒนธรรมอินเดียมาจัดแสดง รวมถึงริเริ่มการจัดกิจกรรม อาทิ เทศกาลอาหาร เทศกาลภาพยนตร์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนการจัดนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย หรือนิทรรศการเกี่ยวกับศาสนาพุทธร่วมกับฝ่ายไทย โดยในปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย อยู่ระหว่างเตรียมการจัดIndia–ASEANPainting Exhibition หรือนิทรรศการภาพจิตรกรรมอินเดีย–อาเซียน ซึ่งจะมีการนำผลงานจากศิลปินอาเซียนกว่า10 คนมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการด้วย ทั้งนี้ สำหรับความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทยอินเดียที่ผ่านมาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การเข้าร่วมงานวันต่อต้านความรุนแรงสากล (InternationalDayofNon-Violence)ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ , การมอบหมายผู้แทนเข้าร่วมงานวันโยคะสากล (International DayofYoga) ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อปี 2565 รวมถึงการจัดงาน North East India Festival ที่ประเทศไทยเป็นประจำทุกปี โดยภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมสองประเทศทั้งดนตรี อาหาร แฟชั่นโชว์ ศิลปะ และนิทรรศการ ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและประเทศอินเดียในปี 2565ล่าสุดทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมพิธีลงนามโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย พ.ศ. 2565 – 2570 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก สธ.” เข้ารับฟังและดูแลความเป็นอยู่ “ม็อบหมอสุภัทร” ขอมวลชนใช้ช่องทางปกติยื่นร้องเรียน ย้ำ ผอ.รพ.จะนะ คนใหม่ เป็นคนมีความสามารถ อยู่ในพื้นที่มานาน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 “โฆษก สธ.” เข้ารับฟังและดูแลความเป็นอยู่ “ม็อบหมอสุภัทร” ขอมวลชนใช้ช่องทางปกติยื่นร้องเรียน ย้ำ ผอ.รพ.จะนะ คนใหม่ เป็นคนมีความสามารถ อยู่ในพื้นที่มานาน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการหารือกับมวลชน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการหารือกับมวลชน ซึ่งมาชุมนุมคัดค้านคำสั่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในการโยกย้าย นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจผอ.โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ไปยัง รพ.สะบ้าย้อย จังหวัดเดียวกัน ว่า การพูดคุยเป็นไปด้วยดีผู้ชุมนุมได้ขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลความเป็นอยู่เป็นอย่างดี และขอให้ช่วยดูแลเพิ่มเรื่องห้องน้ำ ทั้งนี้ ได้ขอให้ชุมนุมโดยสงบและพยายามทำความเข้าใจกับมวลชนว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจกันมาแล้วในพื้นที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางราชการ และประโยชน์ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ข้าราชการต้องโยกย้าย และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยกรณีของนายแพทย์สุภัทร มีที่มาจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อยว่างลง และไม่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 จังหวัดสงขลาจึงต้องสรรหาผู้บริหารไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ เมื่อเปิดรับสมัครแล้วไม่มีผู้สมัคร ผู้บริหารในพื้นที่จึงต้องคัดเลือกมา แต่หากไม่สบายใจก็สามารถใช้กระบวนการปกติในการร้องเรียนตามระบบระเบียบที่มีอยู่ สำหรับ นายแพทย์หมัด หีมเหม ที่เข้าไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการแทนนายแพทย์สุภัทร เป็นคนดีมีความสามารถ และพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเป็นคนพื้นที่ ทำงานในพื้นที่มายาวนานกว่า 20 ปี มีความเข้าใจบริบทขององค์กร และทำหน้าที่รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาโดยตลอด ********************************************* 9 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.เฉลิมชัย สนับสนุนการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมั่นหากทำด้วยใจ จะสำเร็จอย่างแน่นอน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รมต.เฉลิมชัย สนับสนุนการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมั่นหากทำด้วยใจ จะสำเร็จอย่างแน่นอน รมต.เฉลิมชัย สนับสนุนการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมั่นหากทำด้วยใจ จะสำเร็จอย่างแน่นอน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และปลูกต้นรวงผึ้ง ณ โรงเรียนเขื่องในพิทยาคาร ว่า โครงการ 1 หลุม 1 เมนู ที่ทางโรงเรียนได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาฝึกปฏิบัติให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถือเป็นกิจกรรมที่ดีมาก ซึ่งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หากทุ่มเทและทำด้วยใจ เชื่อมั่นว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนในเรื่องของพันธุ์พืชผักสวนครัว โดยสามารถแจ้งขอไปที่หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ได้ อย่างไรก็ตาม หากเราช่วยกันสร้างรากฐานที่ถูกต้องให้กับเยาวชน จะสามารถสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในวันข้างหน้า และมีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศให้ดีขึ้นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ในห้วงวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2566 ทุกจังหวัดทั่วประเทศได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดนครสวรรค์ ที่วัดตากฟ้า พระอารามหลวง อ.ตากฟ้า นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแด่พระภิกษุ สามเณร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี ทันตแพทย์หญิงศิริรัตน์ ศิริมาศ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครสวรรค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมพิธี 2. จังหวัดอุบลราชธานี ที่วัดมหาวนาราม พระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี พระวชิรกิจโกศล รองเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าอาวาสวัดมหาวนาราม พระอารามหลวง ประธานฝ่ายสงฆ์ นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ประธานฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดทุ่งตลิ่งชัน ต.หนองโอ่ง อ.อู่ทอง นายกองตรี โกวิทย์ อุบลรัตน์ นายอำเภออู่ทอง พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารท้องถิ่นท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนชาวสุพรรณบุรี ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 4. จังหวัดระยอง ที่หอประชุมราชพฤกษ์ โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย ต.บ้านนา อ.แกลง นางสาวกานต์จรัส เอียดทองใส นายอำเภอแกลง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี นางสาวมณฑาทิพย์ เสาวคนธ์ คณะผู้บริหารโรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย คณะกรรมการสถานศึกษา ข้าราชการ และนักเรียน ร่วมพิธี 5. จังหวัดเลย ที่โรงเรียนเลยพิทยาคม อ.เมืองเลย นางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเลย ร่วมกับนายอภิชาต สะบู่แก้ว ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย โรงพยาบาลเลย และโรงเรียนเลยพิทยาคม ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ โดยมีคณะครู บุคลากร และนักเรียน ร่วมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ว โดยมีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 142 ราย เป็นจำนวนโลหิตทั้งสิ้น 63,900 ซีซี 6. จังหวัดลำปาง ที่วิทยาลัยเทคนิคลำปาง ต.สบตุ๋ย อ.เมืองลำปาง นางวรรณวิไล กันเพ็ชร์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ร่วมกับวิทยาลัยเทคนิคลำปางและโรงพยาบาลลำปาง รับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 38 ราย เป็นจำนวนโลหิตทั้งสิ้น 15,200 ซีซี นอกจากนี้ยังมีผู้บริจาคดวงตา 33 ราย และผู้บริจาคอวัยวะ 29 ราย 7. จังหวัดสิงห์บุรี ที่โรงเรียนวัดเสือข้าม ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี นายสุรศักดิ์ เพ็งภาค นายกองค์การบริหารส่วนตำบลประศุก พร้อมด้วย ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์บำเพ็ญประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดชลบุรี ที่กองบัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ นาวาเอก กิตติโชจน์ แสงใส ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน ฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมด้วย กำลังพลจิตอาสา กำลังพลฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมพิธีสวดมนต์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64723
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาล พร้อมดันส่งออกทุเรียนปี 66 ตรวจเข้มคุณภาพทุเรียนต้องได้มาตรฐาน สยบปัญหาทุเรียนอ่อน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ​รัฐบาล พร้อมดันส่งออกทุเรียนปี 66 ตรวจเข้มคุณภาพทุเรียนต้องได้มาตรฐาน สยบปัญหาทุเรียนอ่อน ​รัฐบาล พร้อมดันส่งออกทุเรียนปี 66 ตรวจเข้มคุณภาพทุเรียนต้องได้มาตรฐาน สยบปัญหาทุเรียนอ่อน วันที่่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดผลไม้ในประเทศไทยยังเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ รวมถึงการส่งออกผลไม้ไทยไปต่างประเทศยังสร้างรายได้ให้กับประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะทุเรียน ถือได้ว่าเป็นราชาผลไม้ไทย มีมูลค่าส่งออกแสนกว่าล้านบาทต่อปี ซึ่งผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนสิงหาคม 2566 โดยจะออกสู่ตลาดกระจุกตัวมากที่สุดในเดือนเมษายน ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2566 เป็นต้นไป ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ขึ้นทะเบียน “ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา” เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตัวใหม่ของจังหวัดยะลา ปัจจุบันทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลามีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 190 บาท สร้างรายได้ให้คนยะลามากถึง 2,800 ล้านบาทต่อปี มากไปกว่านั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมแผนรองรับสถานการณ์แก้ไขปัญหาผลไม้ทุเรียนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ช่วงการดูแลผลผลิต จนไปถึงการตัดทุเรียนขาย ที่ผ่านมามักประสบปัญหาการลักลอบขายทุเรียนอ่อน ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตร ได้สั่งการให้จัดระบบการทำงานเชิงรุก ผ่านคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย โดยคณะทำงานได้จัดทำแผนพร้อมรับมือการแข่งการส่งออกทุเรียนของประเทศเพื่อนบ้าน นางสาวรัชดา กล่าวต่อไปว่า นายเฉลิมชัย ยังมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร บูรณาการหน่วยงานในพื้นที่สวนทุเรียน จัดตั้งจุดบริการตรวจเปอร์เซ็นของน้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน ในพื้นที่ 5 จังหวัด รวม 68 จุด ได้แก่ จันทบุรี (40 จุด) ตราด (7 จุด) ระยอง (6จุด) ชุมพร (10 จุด) นครศรีธรรมราช (5 จุด) โดยได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจากกรมประมงและกรมปศุสัตว์ รวม 100 ท่าน ลงพื้นที่ตรวจรายแปลง และกรมวิชาการเกษตร มีหน้าที่ ตรวจสอบ โรงคัดบรรจุ (ล้ง) ทุเรียนที่นำมาส่งที่ล้ง จะต้องมีใบรับรองผลการตรวจเปอร์เซ็นน้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน ซึ่งทุเรียนไทยมีคุณภาพดีกว่าต่างประเทศมาก ขออย่างเดียวอย่าตัดทุเรียนอ่อน โดยกรมฯ ได้กำหนดวันเก็บเกี่ยวทุเรียน ดังนี้ ทุเรียนพันธุ์กระดุมและพวงมณี เก็บเกี่ยว วันที่ 10 มีนาคม พันธุ์ชะนี เก็บเกี่ยว วันที่ 20 มีนาคม และทุเรียนพันธุ์หมอนทอง เก็บเกี่ยววันที่ 15 เมษายน 2566 “ขอความร่วมมือเกษตรกร ถ้าเก็บเกี่ยวก่อนวันประกาศฯ ให้นำตัวอย่างผลทุเรียนลูกที่อ่อนที่สุดในรุ่นที่จะทำการเก็บเกี่ยวมาให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ณ สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เช่น แปลงใหญ่ ฯลฯ ตรวจวัดเปอร์เซ็นน้ำหนักแห้งเพื่อออกใบรับรองความแก่ เพื่อแนบไปกับรถขนส่งทุเรียนไปจำหน่าย ณ ที่ล้ง/โรงคัดบรรจุ โดยพันธุ์กระดุมเปอร์เซ็นน้ำหนักแห้งไม่น้อยกว่า 27 เปอร์เซ็น พันธุ์ชะนีไม่น้อยกว่า 30 พันธุ์พวงมณีไม่น้อยกว่า 30 และพันธุ์หมอนทองไม่น้อยกว่า 32” นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand and Ireland to deepen comprehensive relations and cooperation for mutual interest
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 Thailand and Ireland to deepen comprehensive relations and cooperation for mutual interest Thailand and Ireland to deepen comprehensive relations and cooperation for mutual interest February 8, 2023, at 0930hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Patrick Bourne, Ambassador of Ireland to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of duty. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister welcomed Irish Ambassador and affirmed Thailand’s full support on his tenure in the country. He also extended his invitation to the Prime Minister of Ireland to visit Thailand at a good opportunity to deepen relations and push forward bilateral cooperation between the two countries in a tangible manner. The Prime Minister also congratulated the Irish counterpart on assumption of the premiership. As the year 2025 will mark the 50th anniversary of diplomatic relations, the Prime Minister hoped that there be more exchange of visits at all levels. The Irish Ambassador expressed pleasure to be tenured in Thailand, and was of the view that the two countries have great potential to further expand cooperation. He committed to take on the duty to elevate relations between Thailand and Ireland in all levels and dimensions. Both parties also discussed issues of mutual interest: The Prime Minister and Irish Ambassador agreed on an increase of economic cooperation. The Prime Minister affirmed Thailand’s readiness to become Ireland’s trade and investment hub in the ASEAN region, and extended an invitation to Irish businesses to consider investing in the Eastern Economic Corridor (EEC) in the S-Curve industries that they have expertise. The Irish Ambassador informed about trade and investment cooperation advancement with the recent increase of engagement of the Irish investors in Thailand. Thailand and Ireland are also ready to reinforce education cooperation. The Prime Minister hoped for Ireland’s support on student exchange programs, and thanked the country for its continued cooperation on higher education with Thailand, especially through the HRH-UCD Scholarship conferred to HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn since 2015. He hoped that Ireland provides more scholarships to Thai students, and increase education cooperation with Thailand. Both parties also came to terms on tightening of cultural, innovative, and people-to-people exchange and cooperation. The Prime Minister commended Ireland Embassy in Thailand for actively promoting cultural relations through various campaigns to reinforce people-to-people relations and to draw Irish tourists to Thailand. The Ambassador also emphasized the importance of people-to-people relations promotion, and hoped for post-COVID interaction normalization. With regards to ASEAN – EU relations, both parties congratulated the success of ASEAN-EU Commemorative Summit, held in Brussels, Belgium, and the signing of Thai-EU Partnership and Cooperation Agreement (PCA). They strongly hoped that Thailand and EU would resume FTA negotiation soon. Thailand also thanked EU for close cooperation on sustainable and green development, and affirmed the country’s commitment to push forward the BCG Economic Model in a tangible manner. The Prime Minister and Irish Ambassador also constructively discussed current international issues, and came to terms that peace talk would be the best solution for global peace and security.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตรวจเยี่ยมและติดตามข้อสั่งการการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตรวจเยี่ยมและติดตามข้อสั่งการการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมและติดตามข้อสั่งการการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ และติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมและติดตามข้อสั่งการการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ และติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า โดยมี นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายองอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ โฆษกประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินสถานการณ์ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานมีความพร้อมทั้งมาตรการให้บริการจราจรทางอากาศและการให้บริการภาคพื้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจากข้อมูลปริมาณเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารของ ทอท. (ตั้งแต่วันที่ 8 - 31 มกราคม 2566) ทอท. มีเที่ยวบินในภาพรวม จำนวน 43,300 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 1,800 เที่ยวบิน/วัน และผู้โดยสารในภาพรวม 6.89 ล้านคน หรือเฉลี่ย 287,000 คน/วัน โดยเป็นเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 25,690 เที่ยวบิน และผู้โดยสารจำนวน 4.3 ล้านคน ซึ่ง ทอท. มีเป็นเที่ยวบินเส้นทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2,000 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 80 เที่ยวบิน/วัน โดยมีผู้โดยสาร จำนวน 255,000 คน หรือเฉลี่ย 11,000 คน/วัน ซึ่งเป็นเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 1,126 เที่ยวบิน และผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก จำนวน 238,374 คน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ พบว่าในเดือนมกราคม 2566มีปริมาณเที่ยวบิน เฉลี่ย 829 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 84 แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 561 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 139 และเที่ยวบินภายในประเทศ 268 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 24 และมีผู้โดยสารเดินทางเข้า - ออก เฉลี่ย 138,287 คน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 317 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 101,551 คน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 981 และผู้โดยสารภายในประเทศ 36,736 คน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 55 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 จากการประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการภาคพื้นทั้ง 2 ราย (TG และ BFS) ที่ใช้เวลามากกว่า 30 นาที เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งมีประมาณ 50 เที่ยวบินต่อวัน ปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2566) ลดลงเหลือประมาณ 15 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งจะเห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนนั้น บริษัทผู้ให้บริการภาคพื้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้ง 2 ราย มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดประเทศ รวมทั้ง ทอท. ได้ขยายระยะเวลาให้บางสายการบินบริการภาคพื้นด้วยตนเอง (Self Handling) เป็นการชั่วคราว สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ทอท. อยู่ระหว่างการสรรหาผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ในส่วนของการจัดระเบียบพื้นที่จุดนัดพบของบริษัทท่องเที่ยว (กรุ๊ปทัวร์) ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันมีการเดินทางเป็นหมู่คณะเพิ่มขึ้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่สำหรับกรุ๊ปทัวร์ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2565 เพื่อเป็นการลดความแออัดบริเวณหน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน ไม่ให้กีดขวางทางเดินผู้โดยสาร โดยจัดพื้นที่รองรับกรุ๊ปทัวร์ขาออกโดยเฉพาะไว้ที่บริเวณชั้น 4 ประตู 10 ซึ่งจากการดำเนินการมาประมาณ 1 เดือนกว่า บริษัทท่องเที่ยวให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามแนวทาง การจัดระเบียบพื้นที่เป็นอย่างดี ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ทำให้เกิดปัญหาความแออัดของพื้นที่บริเวณชั้น 4 ประตู 10 เนื่องจากปัจจุบันกรุ๊ปทัวร์หนาแน่นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับเที่ยวบินขาออกในเส้นทางยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น ส่วนกรุ๊ปทัวร์ของนักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่จะเดินทางขาออกช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลากับกรุ๊ปทัวร์หนาแน่นในช่วงเวลากลางคืน สำหรับประเด็นที่มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์จากนักท่องเที่ยวว่าจุดทำ VISA ON ARRIVAL (VOA) มีการเรียกเก็บค่าบริการนั้น กระทรวงคมนาคมได้ตรวจสอบข้อมูลจาก ทอท. และผู้แทนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 พบว่า ไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการดังกล่าว โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะเรียกเก็บเพียงค่าธรรมเนียมการขอรับตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (VOA) ตามกฎหมายเท่านั้น รวมไปถึงการให้บริการช่องทาง Fast Track VISA ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารทั้ง 10 ประเภท ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นกัน ทั้งนี้ ท่าอากาศยานทุกแห่งมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวภายหลังเปิดประเทศ โดยได้ประสานข้อมูลกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศ ทั้งด้านบุคลากร และสิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในส่วน Landside และ Airside ของท่าอากาศยาน เพื่อรองรับผู้โดยสารที่จะเดินทางผ่านเข้า - ออก ท่าอากาศยาน ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็วที่สุด โดยได้กำชับให้ผู้ให้บริการภาคพื้น ที่ให้บริการขนถ่ายสัมภาระผู้โดยสาร ดำเนินการขนถ่ายสัมภาระให้ตรงตามเวลาที่กำหนด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้สร้างความรับรู้ในการปรับปรุงบริการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับทราบ จัดทำวีดีโอคลิปประชาสัมพันธ์บนเครื่องบินเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งมีการพัฒนา service mind ของเจ้าหน้าที่เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการของท่าอากาศยานและมีจัดเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ผู้โดยสารเมื่อเวลาเกิดปัญหา เพื่อช่วยลดความกังวลให้แก่ผู้โดยสารที่ประสบปัญหา พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการโครงการต่างๆ ของ AOT เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ปรับลดขั้นตอนการทำงานในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และมอบให้ ทอท. สนับสนุนข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในการขยายอัตรากำลังเพื่อรองรับการตรวจคนเข้าเมืองให้สอดคล้องกับการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยว มอบให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยบริหารจัดการ จัดสรรตารางการบิน ให้แก่สายการบินต่าง ๆ ปรับเส้นทางบินตรงไปยังท่าอากาศยานในภูมิภาคและปรับช่วงเวลาการเดินทางเพื่อลดความแออัดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองรวมถึงกระตุ้นให้เกิดการกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และใช้ระบบ IT และ automation มาช่วยปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการ ทั้งการให้บริการและการจราจรทางอากาศ ให้สามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสายการบิน และผู้ประกอบการภาคพื้น (Ground Handling) ให้การบริการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และกำชับให้ผู้ประกอบการภาคพื้นจัดหาบุคลากรและยานพาหนะให้เพียงพอแก่การให้บริการผู้โดยสาร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์กรณีรถ Shuttle Bus ไปรับผู้โดยสารลงจากเครื่องล่าช้าอีกในอนาคต เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร และสายการบิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความปลอดภัยสูงสุด รวมทั้งเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในทุก ๆ ด้าน อันจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน กระทรวงคมนาคมมีกำหนดการเปิดให้บริการ SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเดือนกันยายน 2566 โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเตรียมทดสอบความพร้อมการเปิดให้บริการ (Operational Readiness and Airport Transfer: ORAT) ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างผู้ประกอบการภายในอาคาร SAT-1 ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเข้าปรับปรุงพื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อน กันยายน 2566 ในส่วนของรถไฟฟ้า APM ดำเนินงานแล้วเสร็จ 100% ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 มีความพร้อมในการให้บริการในช่วง ORAT และเปิดใช้ SAT-1 สำหรับงานที่อยู่ในระหว่างการทดสอบร่วมกับระบบเดิมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (BHS) และระบบตรวจอาวุธและวัตถุระเบิด (EDS) ขาออก ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 96% นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังกำชับให้ ทอท. ประสานอำนวยความสะดวกจุดรับ - ส่งผู้โดยสาร และบริหารจัดการรถโดยสารสาธารณะและ Taxi ให้เพียงพอ รวมถึงมอบนโยบายให้ ทอท.จัดทำศุนย์บริการข้อมูลระบบขนส่งมวลชน ล้อ-ราง-เรือ ของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้บริการข้อมูลการเดินทางและบัตรโดยสารพร้อมทั้งส่วนลดพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบการขนส่งมวลชนสำหรับประชาชนและผู้ใช้บริการท่าอากาศยานของ ทอท. สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT เพื่อดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับท่าอากาศยานและจองการใช้บริการรถ TAXI ได้ที่ https://apps.apple.com/th/app/sawasdee-by-aot/id792579639 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.AOT
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจง พนักงานไม่ได้เดิน อยู่บนรางรถไฟชานเมืองสายสีแดง
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รฟท. ชี้แจง พนักงานไม่ได้เดิน อยู่บนรางรถไฟชานเมืองสายสีแดง ย้ำมีการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างถูกต้อง นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ต่อกรณีพนักงาน รฟท. เดินกีดขวางอยู่บนรางของขบวนรถชานเมืองสายสีแดงนั้น จากการตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าวพบว่า เป็นภาพของช่างเครื่องของฝ่ายการช่างกล ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ลากจูงขบวนรถโดยสารขึ้นบนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เพื่อทำขบวนไปยังปลายทาง โดยมีการลงจากหัวรถจักร เพื่อมาปลดขอพ่วงให้รถจักรสับเปลี่ยนออกจากตัวรถโดยสาร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างถูกต้อง โดยมีการแจ้งขออนุญาตจากพนักงานควบคุมเส้นทางเพื่อลงบริเวณพื้นรางตามข้อบังคับระเบียบการเดินรถ และได้รับอนุญาตตามขั้นตอนหลักการเข้าเขตพื้นที่อันตราย ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ในคลิปดังกล่าว ไม่ได้มีการเดินอยู่บนรางรถไฟสายชานเมืองสายสีแดงอย่างที่เข้าใจ โดยเป็นการเดินอยู่บนทางเดินระหว่างรางของขบวนรถทั้งสองขบวน แต่อาจเป็นเพราะมุมกล้อง ทำให้มุมมองในการเห็นมีความคาดเคลื่อนไปบ้าง นอกจากนี้ ขบวนรถชานเมืองสายสีแดงดังกล่าว ก็ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ระหว่างการตั้งขบวนรถ เพื่อจอดรถให้หยุดในเขตดังกล่าว ไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเพื่อออกจากชานชาลาแต่อย่างใด ท้ายนี้ ยืนยันว่าทุกการปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการ รฟท. ได้ยึดหลักมาตรฐานสากล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน ผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ พร้อมกับมีการซักซ้อมแผนป้องกันความเสี่ยงต่อบุคลากรอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเข้าใช้พื้นที่ร่วม ได้เน้นย้ำให้มีการติดต่อสื่อสารร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64728
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.สุชาติ” ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.เพชรบุรี ส่งที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงและช่วยเหลือทันที
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 “รมว.สุชาติ” ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.เพชรบุรี ส่งที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงและช่วยเหลือทันที “รมว.สุชาติ” ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.เพชรบุรี ส่งที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงและช่วยเหลือทันที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตพลาสติกในจังหวัดเพชรบุรี ส่งที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์”ลงพื้นที่ร่วมกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ตรวจสอบหาสาเหตุและช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย โดยเชิญนายจ้างมาพบวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตพลาสติกในจังหวัดเพชรบุรี ว่า ทันทีที่ทราบข่าวผมได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เกิดเหตุร่วมกับพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 7 (เพชรบุรี) และเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาประมาณ 17.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในตำบลหนองชุมพล อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประกอบกิจการผลิตภัณฑ์พลาสติกกึ่งสำเร็จรูป (แผ่นพลาสติกอะคริลิก) มีลูกจ้างทั้งหมด 405 คน เป็นชาย 266 คน หญิง 139 คน สถานที่เกิดเหตุเป็นอาคารฝ่ายผลิตที่เก็บสารเคมีชนิด MMA สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งเป็นของเหลวชนิดไวไฟสูง จึงประสานรถน้ำและรถดับเพลิงชนิดฉีดโฟมเคมีจากพื้นที่ใกล้เคียงช่วยระดมดับเพลิง ซึ่งสามารถควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดเรียบร้อยแล้ว พบลูกจ้างได้รับบาดเจ็บเป็นคนไทย 1 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ นางธิวัลรัตน์ฯ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ได้เดินทางไปเยี่ยมลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลเขาย้อย และจะเร่งดำเนินการให้ได้ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายต่อไป ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 7 เชิญนายจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 พร้อมตรวจสอบว่า นายจ้างมีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 หรือไม่ ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่กันพื้นที่เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และกำชับให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ในส่วนสำนักงานประกันสังคม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว พบว่า ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเขาย้อย ชื่อนางสาวเพชรลัดดา หอมนิท อายุ 28 ปี เป็นพนักงานฝ่ายผลิตผสมน้ำยาปั่นสี ได้รับบาดเจ็บที่แขนข้างซ้ายบริเวณฝ่ามือเล็กน้อยและบริเวณปลายจมูก โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องการรักษาพยาบาล สิทธิการได้รับเงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรี อาทิ ค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท กรณีต้องหยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับค่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีรักษาสิ้นสุดแล้วแต่สภาพอวัยวะต่าง ๆ มีการสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานจะมีค่าทดแทนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.หนองบัวลำภู จับมือเครือข่าย เร่งช่วยเหลือเยียวยาเด็กนักเรียนถูกไฟคลอก
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 พม.หนองบัวลำภู จับมือเครือข่าย เร่งช่วยเหลือเยียวยาเด็กนักเรียนถูกไฟคลอก พม.หนองบัวลำภู จับมือเครือข่าย เร่งช่วยเหลือเยียวยาเด็กนักเรียนถูกไฟคลอก เมื่อคืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์นักเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 5 คน ถูกไฟคลอกขณะทำกิจกรรมรอบกองไฟ วันนี้ (6 ก.พ. 66) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลำภู (พมจ.หนองบัวลำภู) พร้อมทีม พม. One Home และหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดหนองบัวลำภู รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวนักเรียนที่ถูกไฟคลอก จำนวน 2 คน ซึ่งแพทย์ให้กลับมาพักรักษาตัวที่บ้านแล้ว เนื่องจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มีนักเรียนอีก 3 คน ยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยนักเรียนคนหนึ่ง อายุ 14 ปี ถูกไฟคลอกมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย มีอาการสาหัส และกำลังรักษาตัวในห้องปลอดเชื้อ ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยทีม พม One Home จังหวัดหนองบัวลำภู ได้เร่งให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น เป็นการพิจารณาเงินช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน จำนวน 2,000 บาท สำหรับครอบครัวนักเรียนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมอบเงินช่วยเหลือญาติในขั้นต้นจากกองบุญของจังหวัดขอนแก่น รายละ 2,000 บาท อีกทั้งวางแผนการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เป็นระยะต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โรงเรียนโนนสังได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 10,000 บาท และผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5,000 บาท และนายอำเภอโนนสัง ได้มอบเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการดูแลสำหรับผู้ปกครองนักเรียน #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่ารายงานความคืบหน้าการดำเนินงานกรณีเรือนำเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก เรียกเก็บค่าโดยสารในอัตราสูงกว่าปกติ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่ารายงานความคืบหน้าการดำเนินงานกรณีเรือนำเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก เรียกเก็บค่าโดยสารในอัตราสูงกว่าปกติ ... กรมเจ้าท่ารายงานความคืบหน้าการดำเนินงานกรณีเรือนำเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก เรียกเก็บค่าโดยสารในอัตราสูงกว่าปกติ จากนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้กรมเจ้าท่า (จท.) กำกับ ดูแล อำนวยความสะดวก และความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทางทางน้ำทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อรองรับการเปิดประเทศในภาคการท่องเที่ยว นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ สั่งการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐม ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีมีผู้โพสต์ทวิตเตอร์ เรื่อง เรือนำเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เรียกเก็บค่าโดยสารในอัตราสูงกว่าปกติ (5,000 บาท) ซึ่งจากการตรวจสอบเจ้าของท่าเรือแฟมิลี่ ผู้ให้บริการเรือนำเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวกได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนที่จะลงเรือได้ตกลงราคากับนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้วในอัตรา 5,000 บาท (ต่อการเดินทางท่องเที่ยว 3 ชั่วโมง) ซึ่งเป็นไปตามอัตราค่าโดยสารตามประกาศจังหวัดราชบุรีที่กำหนดไว้สูงสุดที่ 3,000 บาท (ต่อการเดินทางท่องเที่ยว 2 ชั่วโมง) ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐมได้ตรวจสอบสภาพเรือและนายท้ายเรือที่ให้บริการในวันดังกล่าวพบว่า เรือมีสภาพแข็งแรง ปลอดภัย ใบอนุญาตใช้เรือและใบประกาศนียบัตรครบถ้วน ไม่ขาดอายุ ซึ่ง จท. จะประชุมร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดราชบุรี สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดราชบุรี และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะประเด็นการกระทำซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 และจะรายงานผลให้ทราบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.เฮ้ง” ห่วงหนุ่มทีวีเสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน สั่ง กสร. และ สปส. เร่งช่วยเหลือสิทธิประโยชน์พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 “รมว.เฮ้ง” ห่วงหนุ่มทีวีเสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน สั่ง กสร. และ สปส. เร่งช่วยเหลือสิทธิประโยชน์พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยทายาทหนุ่มใหญ่ฝ่ายจัดทำผัง TNN วัย 44 ปี เสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันบนโต๊ะทำงาน เมื่อ 6 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา พร้อมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต สั่งการให้ สปส.และ กสร. เร่งช่วยเหลือสิทธิ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตนได้รับรายงานข่าวของหนุ่มใหญ่ฝ่ายจัดทำผังรายการทีวีเสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน ผมขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมนี้ ได้มอบหมายให้นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ให้กับทายาทผู้เสียชีวิต พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยด่วน ในส่วนสำนักงานประกันสังคม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว พบว่า ผู้เสียชีวิตชื่อ นายศราวุฒิ ศรีสวัสดิ์ อายุ 44 ปี เป็นพนักงานบริษัท ไทยนิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด เสียชีวิต จากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันบนโต๊ะทำงาน ซึ่งบริษัทฯ ของลูกจ้างที่เสียชีวิตอยู่ในเขตความผิดชอบ ของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ซึ่งหากกรณีดังกล่าวเป็นการเสียชีวิตเนื่องจาก การทำงานจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้ เงินค่าทำศพ จ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ จำนวน 50,000 บาท เงินทดแทนกรณีเสียชีวิตจ่ายให้ทายาทผู้มีสิทธิ ในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน มีกำหนด 10 ปี เงินบำเหน็จชราภาพจากกองทุนประกันสังคม แต่หากเสียชีวิตไม่เนื่องจากการทำงานจะได้รับสิทธิเป็นเงินค่าทำศพ 50,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต และเงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งจะได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือและประสานทายาทผู้เสียชีวิตเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานประกันสังคมต่อไป สำหรับในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขณะนี้พนักงานตรวจแรงงานอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานว่านายจ้างปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เช่น นายจ้าง ได้จัดวันหยุดประจำสัปดาห์ให้กับลูกจ้างหรือไม่ ถ้านายจ้างให้ทำงานโดยไม่ได้กำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ ถือว่านายจ้างมีความผิด ในกรณีที่นายจ้างให้ทำงานล่วงเวลาต้องดูว่าได้รับความยินยอมจากลูกจ้างหรือไม่ กรณีที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างมีเพียงกรณีเดียวคือลักษณะของงานที่ต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน จึงจะสามารถสั่งให้ลูกจ้างทำได้ อย่างไรก็ตามการที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด ทำงานล่วงเวลา และทำงานล่วงเวลาในวันหยุดต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายคุ้มครองแรงงานด้วยว่า สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมง หากพบว่านายจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมเข้าดูแลสิทธิประโยชน์อันมีเป้าหมายการให้บริการและสร้างหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต แก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตน เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64609
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคม ของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคม ของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคม ของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 16.00 น. ณ โรงแรม อัล มีรอซ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” และมอบรางวัลชนะเลิศแก่ผู้เข้าทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1 โดยมีนายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลอาซีซ อัล ซูไฮบานี เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย นายเอาวาฎ บิน สัฟตีย์ อัลอะนะซีย์ ปลัดกระทรวงกิจการศาสนาอิสลามและการเผยแพร่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย นายยัสเซอร์ บิน ราชิด บิน ฮุสเซน อัล-วาดานี อัล-โดซารี แกรนด์อิหม่ามและนักเทศน์ของแกรนด์มัสยิดฮารอมและนักอ่านอัลกุรอานแห่งมหานครมักกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายอรุณ บุญชม ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1 และผู้บริหารคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย นักเรียน นักศึกษา ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน โดยเมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึง นายชาติชาย บัลบาห์ อัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลแก่ผู้เข้าทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1 จำนวน 12 รางวัล และกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมกล่าวว่า คำสอนของทุกศาสนาล้วนเป็นวิถีปฏิบัติและเครื่องขัดเกลาจิตใจของคนในสังคมโดยรวมให้มีศีลธรรม ประเทศไทยเป็นประเทศพหุวัฒนธรรม มีหลากหลายเชื้อชาติและศาสนาที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบร่มเย็นภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก และทรงอุปถัมภ์กิจการของศาสนาอิสลามเสมอมา โดยเฉพาะการได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีรับสั่งให้นายต่วน สุวรรณศาสน์ อดีตจุฬาราชมนตรี แปลพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยฉบับพระราชทาน เพื่อให้ชาวไทยมุสลิมได้เข้าใจในหลักการของศาสนาอิสลามได้มากขึ้น โดยในส่วนของราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียได้มีการพัฒนาและยกระดับความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นและดำเนินการมาครบ 1 ปี ในวันพุธที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา จากความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล ตลอดจนด้านวัฒนธรรมและการศึกษา ดังนั้น การจัดทดสอบท่องจำในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งมิติความร่วมมือระหว่างกัน และยังส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมของสองประเทศ เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมชาวมุสลิมให้มีการรักในการอ่าน การท่องจำ และการศึกษาความหมายของฮะดีษอันเป็นวจนของพระศาสดา และสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ตามแบบฉบับของท่านศาสดามูฮัมหมัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในฐานะผู้นำรัฐบาล รำลึกอยู่เสมอว่าคนไทยทุกคนคือพี่น้องกัน อาจมีความแตกต่างทางความเชื่อ แต่ก็ให้เกียรติและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน โดยในส่วนของชาวมุสลิมถือเป็นประชาชนไทยที่รัฐบาลได้ให้การดูแลมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องการดำรงชีพและการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกแก่ชาวไทยมุสลิมทั้งการออกกฎหมายที่สอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลาม การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ปีละกว่า 13,000 คน การจัดงานเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอนแก่ชาวไทยมุสลิมและบรรดาทูตานุทูตประเทศมุสลิมประจำประเทศไทย รวมทั้งการจัดตั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านธุรกรรมการเงินอิสลามแก่ชาวมุสลิมและบุคคลทั่วไป ตลอดจนเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งกองทุนประกันภัยและประกันชีวิตแบบอิสลาม ในรูปแบบตะกาฟุล (TAKAFUL) คือ การค้ำประกันร่วมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการประกันภัยที่ศาสนาอิสลามให้การยอมรับบนพื้นฐานของความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการจัดทดสอบท่องจำฮะดีษฯ และผู้มีส่วนร่วมทุกคน รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือฉันมิตรในมิติต่าง ๆ ระหว่างกันต่อไป สำหรับการจัดการทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทยภายใต้การอุปถัมภ์ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย ร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมของสองประเทศ อีกทั้งเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมมวลมุสลิมให้มีความตระหนักในการอ่าน การท่องจำ และการศึกษาความหมายของฮะดีษอันเป็นวจนของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) และซุนนะห์ อันเป็นจริยวัตรของท่านไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น อันเป็นการเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจของผู้ศึกษา โดยเฉพาะเยาวชนมุสลิม เพราะฮะดีษมีความสำคัญรองจากอัลกุรอานต่อวิถีการดำรงชีวิตของมุสลิมในการจรรโลงตนเอง ครอบครัว และสังคมให้ธำรงมั่นในคุณงามความดีตามจริยวัตรอันสูงส่งของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) แห่งอิสลาม อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมให้เกิดแรงบันดาลใจ กระตุ้นความสนใจทั้งนักอ่านและนักท่องจำพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ได้มีการท่องจำอัลกุรอานมากยิ่งขึ้น และการสร้างภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิตตามครรลองแห่งอิสลาม -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่2 เน้นย้ำจัดการพลาสติกที่ยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน คลอด4มาตรการ ตั้งเป้าขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบฝังกลบ100%
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่2 เน้นย้ำจัดการพลาสติกที่ยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน คลอด4มาตรการ ตั้งเป้าขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบฝังกลบ100% ครม.เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่2 เน้นย้ำจัดการพลาสติกที่ยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน คลอด4มาตรการ ตั้งเป้าขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบฝังกลบ100% รีไซเคิลผลิตภัณฑ์พลาสติก100% และลดปริมาณขยะพลาสติกลงสู่ทะเล50% น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบและเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการต่อไป สาระสำคัญของ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ สรุปได้ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์หลักมี 2 ข้อ คือ 1.เพื่อเป็นทิศทางการดำเนินงานของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ 2.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาการบริหารจัดการพลาสติกของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและครบวงจรตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การบริโภค และการจัดการ ณ ปลายทาง 2. กรอบแนวคิดการจัดลำดับความสำคัญของการจัดการขยะรูปแบบใหม่และการบริหารจัดการขยะตามวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1.การจัดการ ณ ต้นทาง ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การกำหนดหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในการร่วมรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของตนตลอดวัฏจักรชีวิต 2.การจัดการ ณ กลางทาง ส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดยการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้ซ้ำ และเรียกคืนกลับไปรีไซเคิลเพื่อให้เหลือขยะที่ต้องกำจัดให้น้อยที่สุด 3.การจัดการ ณ ปลายทาง โดยจัดให้มีระบบคัดแยกและนำกลับคืนวัสดุรีไซเคิล ระบบกำจัดแบบผสมผสานโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ก่อนการฝังกลบขั้นสุดท้าย เช่น การเผาเพื่อผลิตพลังงาน และการหมักปุ๋ย เพื่อให้เหลือขยะที่ต้องฝังกลบให้น้อยที่สุด และ 4.การพัฒนาเครื่องมือบริหารจัดการขยะพลาสติก เ ช่น รูปแบบความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต มาตรฐานผลิตภัณฑ์พลาสติก (ภาคบังคับ) หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการออกแบบผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานและระบบการรับรองวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล 3. มาตรการหลัก 4 ข้อ คือ 1.การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการควบคุม ป้องกัน เพื่อลดการเกิดขยะพลาสติก ตั้งแต่การออกแบบการผลิตสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนากฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อใช้บริหารจัดการผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เช่น การยกร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนร่างอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 2.การลดขยะพลาสติกในขั้นตอนการบริโภค มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการดำเนินการต่อเนื่องและขยายผลให้ผู้ประกอบการและประชาชนสนับสนุนการลดขยะพลาสติก รวมทั้งรณรงค์สื่อสารต่อสาธารณะภายใต้แนวทาง “งดการให้-ปฏิเสธการรับ ลดการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว” 3.การจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะจากบ้านเรือน อาคาร สำนักงานที่สอดคล้องกับวิธีการกาจัดที่ปลายทาง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ต้องนำกลับเข้าระบบรีไซเคิล และต้องทิ้งเพื่อนำไปกำจัด และ 4.การจัดการขยะพลาสติกในทะเล มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการป้องกันการเกิดขยะพลาสติกในทะเล เช่น การคัดแยกขยะก่อนนำไปกำจัดและควบคุมกรณีมีการขนส่งขยะมากำจัดบนฝั่ง วางระบบคัดแยก รวบรวม และการจัดการขยะพลาสติกและขยะประเภทอื่น “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา มุ่งมั่นที่จะดำเนินการเรื่องการจัดการขยะพลาสติกเพื่อ “ก้าวสู่การจัดการพลาสติกที่ยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน” โดยในแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2570) มีเป้าหมายให้ปริมาณขยะพลาสติกเป้าหมาย (เช่น ขวดพลาสติก ฝาขวด และถุงพลาสติกหูหิ้ว) ที่เข้าสู่ระบบฝังกลบขยะลดลง ร้อยละ 100 และผลิตภัณฑ์พลาสติกเป้าหมายเข้าสู่ระบบรีไซเคิล ร้อยละ 100 รวมถึงลดปริมาณขยะพลาสติกที่มีโอกาสหลุดรอดลงสู่ทะเล ร้อยละ 50 โดยทั้งหมดจะต้องมีเครื่องมือในการบริหารจัดการขยะพลาสติก 10 ประเภทตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสำคัญแก่บุคลากรในสังกัด ถือเป็นตัวแทนของกระทรวงเกษตรฯ ในการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสำคัญแก่บุคลากรในสังกัด ถือเป็นตัวแทนของกระทรวงเกษตรฯ ในการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ และถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรอย่างแท้จริง ยืนยันหากทำในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมจะปกป้องในทุกเรื่อง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายแก่ผู้บริหารกรมส่งเสริมการเกษตร เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ในปีงบประมาณ 2566 โดยมีนายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เกษตรจังหวัดคือตัวแทนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่อยู่ในภูมิภาค มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติงานร่วมกับหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อื่น ๆ โดยจะต้องเน้นย้ำถึงยุทธศาสตร์ของกระทรวง ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งหน่วยงานในสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย ทั้งในเรื่องการชดเชยความเสียหาย และภัยพิบัติต่าง ๆ จึงอยากฝากว่าหากมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันได้ จะทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น นโยบายจะถูกนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง และขับเคลื่อนลงสู่พื้นที่และเข้าถึงเกษตรกรได้ ซึ่งเป้าหมายของกระทรวงเกษตรฯ คือต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร เพิ่มรายได้ โดยบุคลากรของกระทรวงเกษตรฯ จะต้องเข้าไปเป็นพี่เลี้ยง และเชื่อว่าถ้าเราสามารถเปลี่ยนภาคการเกษตรให้ดีขึ้นได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนประเทศนี้ได้ จึงต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคการเกษตร ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้กล่าวกับผู้เข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า หากการปฏิบัติงานมีปัญหาติดขัดตรงไหน ขอให้แจ้งผู้บริหารกรมได้เลย หากสามารถแก้ไขตรงไหนได้จะรีบดำเนินการให้ทันที เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และพร้อมให้โอกาสข้าราชการได้ทำงานและเข้าสู่ตำแหน่ง ยืนยันหากทำในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมจะปกป้องในทุกเรื่อง จึงอยากให้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ นำนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติ และถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรอย่างแท้จริง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on January 31, 2023
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 The cabinet met on January 31, 2023 The cabinet met on January 31, 2023. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Royal Decree on land expropriation in parts of Bangkok (Bang Bon district’s Bang Bon Tai subdistrict), B.E. … The cabinet approved the draft Royal Decree on land expropriation in parts of Bangkok (Bang Bon district’s Bang Bon Tai subdistrict), B.E. …, as proposed by Ministry of Interior. Ministry of Interior shall take comments of Ministry of Transport, Ministry of Natural Resources and Environment, Office of National Economic and Social Development Council, and Official of Council of State into consideration. Gist The Royal Decree prescribes areas in Bangkok (Bang Bon district’s Bang Bon Tai subdistrict) to be expropriated for construction and expansion of a local road (Soi Ekachai 101) to facilitate traffic flow. Land survey and appropriation shall commence within 120 days after the Royal Decree is in effect. Title: Draft Announcement of Ministry of Commerce on prescription of sand as export prohibited goods, B.E. … The cabinet has made approval to the Announcement of Ministry of Commerce on prescription of sand as export prohibited goods, B.E. …, as proposed by Ministry of Commerce, to reserve sand, which is an important natural resource, for domestic use in industrial sector. Gist The draft Ministerial Announcement prescribes revision of measures to ban sand export and revocation of export control for mineral sands. Detail is as follows: 1) Prescribing natural sands of all kinds, whether or not colored, other than metal-bearing sands, as export prohibited goods. They are: 1.1. silica sand (mostly found at beaches and seaside, and used in glass and ceramic industries), and quartz sands (high-quality silica sand with great heat resistance, which is normally used in heat-resistant industry, water filter production, reinforced concrete and materials); and 1.2. other kinds of sand. 2) Exception is made in the case of: 2.1. export as sample products or for research purposes, or for personal use (not over 2 kg.); or 2.2. sand being delivered in a vehicle for use in that particular vehicle (quantity of sand to be in accordance with related international obligations), i.e., for making a ship balanced and stable, and for preventing and extinguishing fire on board a ship under the Safety Of Life At Sea (SOLAS) Convention, 1974. Title: Draft documents to be adopted at the 26th Meeting of ASEAN Tourism Ministers (26th M-ATM) The cabinet approved the proposal made by Ministry of Tourism and Sports as follows: Approved 5 documents to be adopted at the 26th Meeting of ASEAN Tourism Ministers (26th M-ATM) Joint Statement of 26th M-ATM Joint Statement of 22nd M-ATM+3 (China, Japan and Korea) Joint Statement of 10th M-ATM+India Joint Statement of 2nd M-ATM+Russia Cooperation Work Program on Tourism between ASEAN and India (2023-2027) Approved for Permanent Secretary to Ministry of Tourism and Sports (representing Minister of Tourism and Sports) to attend the 26th M-ATM and related meetings as Thailand’s ASEAN Tourism Minister, and to adopt and endorse outcome documents without signing.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64610
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวหลังวันที่ 13 ก.พ. 66
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวหลังวันที่ 13 ก.พ. 66 ครม.เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวหลังวันที่ 13 ก.พ. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวหลังวันที่ 13 ก.พ. 66 ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาให้คนต่างด้าวตามมติ ครม. วันที่ 5 ก.ค. 65 ซึ่งประกอบด้วยแรงงาน 4 สัญชาติได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชาและเวียดนามซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 ก.พ. 66 ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานถึงวันที่ 15 พ.ค. 66 และให้ยกเว้นการเปรียบเทียบปรับการอยู่ในราชอาณาจักรเกินระยะเวลาถึงวันดังกล่าว เพื่อให้แรงงานสามารถจัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่ครบถ้วนต่อไป และเป็นการช่วยเหลือนายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังต้องการแรงงานเพื่อดำเนินกิจการในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด19 โดยที่แรงงานยังอยู่ในกำกับและการบริหารของหน่วยงานรัฐ และแรงงานก็ยังคงได้รับการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ สวัสดิการตามกฎหมายตามสิทธิที่พึงได้ นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการออกเอกสารรับรองของบุคคล (Certificate of Identity: CI) ของทางการเมียนมาในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ระนอง และชลบุรีจาก 13 ก.พ. 66 เป็น 13 พ.ค. 66 เนื่องจากปัจจุบันมีแรงงานเมียนมาประมาณ 300,000 คนอยู่ระหว่างการทำเอกสาร CI ส่วนทางการ ลาว และกัมพูชา หากประสงค์จะจัดเก็บข้อมูลเพื่อออกเอกสารประจำตัว ให้มีหนังสือผ่านช่องทางการทูตและสามารถดำเนินการได้ไปพลางก่อนโดยดำเนินการได้ถึง 13 พ.ค. 66 ทั้งนี้ เมื่อคนต่างด้าวยื่นเอกสารครบถ้วนตามกำหนดแล้ว ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานถึงวันที่ 13 ก.พ. 67 หรือ 13 ก.พ. 68 แล้วแต่กรณี น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับความจำเป็นที่ต้องมีการออกแนวทางการบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวดังกล่าวนี้ เนื่องจากคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทำงานตาม มติ ครม. วันที่ 5 ก.ค. 65 จำนวน 2,425,901 คน ประกอบด้วย 1) คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน จำนวน 1,719,231 คน และ 2) คนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ได้รับการผ่อนผันอนุญาตทำให้ทำงาน จำนวน 706,670 คน ตามมติ ครม. ได้กำหนดว่าหากคนต่างด้าวทั้ง 2 กลุ่ม ประสงค์จะทำงานต่อจะต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานและชำระค่าธรรมเนียมภายในวันที่ 13 ก.พ. 66 อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าล่าสุดได้มีการยื่นขอต่ออายุและชำระค่าธรรมเนียมแล้ว 403,062 คน และยังไม่ดำเนินการยื่นคำขอ 2,022,839 คน เนื่องด้วยเอกสารหลักฐานยังไม่ครบถ้วนตามแนวทาง ที่ครม. เมื่อวันที่ 5 ก.ค 65 กำหนด ได้แก่ อยู่ระหว่างจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเล่มใหม่กับประเทศต้นทาง ตลอดจนเอกสาร CI จึงจำเป็นต้องมีการผ่อนผันให้คนต่างด้าวดังกล่าวยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานและดำเนินการจัดทำเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน นอกจากนี้ ครม.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้การบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อไป อาทิ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน ออกประกาศหรือระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้อง กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ และสำนักแพทย์ กรุงเทพมหานครปรับปรุงขั้นตอนการขยายประกันสุขภาพให้คนต่างด้าวให้สามารถซื้อประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและสะดวก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้สอดคล้องกับมติ ครม. ตลอดจนดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลของคนต่างด้าว เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.71 ล้านบาท
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.71 ล้านบาท ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.71 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้อนุมัติการเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.71 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ประกอบด้วย ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประาณ 59-63 เป็น 59-66 จำนวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่5,20 และ 24 ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ 59-63 เป็นปีงบประมาณ 59-67 จำนวน 5 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 2,18,19,34 และ39 และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ 59-63 เป็นปีงบประมาณ 59-68 จำนวน 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่1,4,21 และ23 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้จะทำให้กรอบวงเงินค่าก่อสร้างทั้งโครงการรวมการก่อสร้าง 40 ตอน เพิ่มจากเดิม 59,410.24 ล้านบาท เป็น 64,380.95 ล้านบาท และวงเงินลงทุนรวมทั้งโครงการ(รวมค่าจัดการกรรมสิทธิ์ 6,630ล้านบาทซึ่งเบิกจ่ายเสร็จสิ้นแล้ว) เพิ่มจาก 66,040.24 ล้านบาท เป็น 72,795.90 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบที่ ครม. อนุมัติงบประมาณสำหรับทั้งโครงการครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 59 ที่ 76,600 ล้านบาท โดยค่าก่อสร้างรวมยังต่ำกว่าวงเงินค่าก่อสร้างที่ ครม. อนุมัติ ร้อยละ 7.99 ขณะเงินลงทุนทั้งโครงการต่ำกว่ากรอบวงเงินที่ ครม. อนุมัติร้อยละ 7.30 แต่ที่ต้องเสนอให้ ครม. อนุมัติครั้งนี้เนื่องมาจากค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและระยะเวลาดำเนินการได้เกินกว่ารายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ครม. เคยอนุมัติสำหรับการก่อสร้างแต่ละตอน สำหรับความจำเป็นที่ต้องขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างดังกล่าว กระทรวงคมนาคมรายงานว่าเนื่องจากมีงานก่อสร้างที่พบอุปสรรคจำเป็นต้องปรับปรุงแบบก่อสร้างให้เหมาะสม ใน 4 กรณี ได้แก่ 1.สภาพพื้นที่ในสถานที่ทำการก่อสร้างเปลี่ยนแปลงจากเดิม 2.ต้องปรับปรุงรูปแบบทางวิศวกรรมให้สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ในปัจจุบัน 3.ปรับปรุงให้เหมาะสอดคล้องกับโครงสร้างสาธารณูปโภคหรือความจำเป็นของหน่วยงานที่โครงการตัดผ่าน และ 4.ปรับปรุงรูปแบบการก่อสร้างเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่และให้สอดคล้องกับโครงข่ายถนนที่ประชาชนใช้ทางในปัจจุบัน ทั้งนี้ ณ เดือน พ.ย. 65 โครงการฯ มีความคืบหน้างานก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 87.67 จากแผนที่ ณ เวลาดังกล่าวต้องมีความคืบหน้าร้อยละ 89.67 หรือล่าช้าไปจากแผนร้อยละ 2 ซึ่ง ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงเร่งรัดดำเนินการแก้ไขไขสัญญาเพิ่มเติมตามที่ได้อนุมัติในครั้งนี้ และกำกับการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่หลือให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2566
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก) http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลกและสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด) 3. เรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม [ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม] 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทาสบเส้า จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เศรษฐกิจ-สังคม 6. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติด 7. เรื่อง การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่ได้มอบหมายให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติพิจารณา 8. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน –สระบุรี – นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน 9. เรื่อง การขออนุมัติเพิ่มจำนวนการรับนิสิตโครงการเพชรในตม 10. เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการสร้างคนดีตามหลักการทางศาสนาที่ถูกต้องเพื่อสืบสานและรักษาสังคมพหุวัฒนธรรมที่ดีงามของจังหวัดชายแดนใต้ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2566 – 2570 11. เรื่อง (ร่าง) แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) 12. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย 13. เรื่อง (ร่าง) นโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศ พ.ศ. 2565 – 2580 14. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัยปี 2565 15. เรื่อง รายงานสรุปการดำเนินการของงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” 16. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) 17. เรื่อง การกำหนดระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสำหรับโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” บนที่ดินราชพัสดุ 18. เรื่อง ทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย 19. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายหลังวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ต่างประเทศ 20. เรื่อง สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวกรอบ ACMECS ครั้งที่ 5 21. เรื่อง ร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย 22. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – เบลเยียม 23. เรื่อง ร่างแถลงข่าวร่วมสำหรับการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 24. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 25 (The 25th GMS Ministerial Conference) แต่งตั้ง 25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย) 30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2566) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้ ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือนายมัวริซิโอ สุไลมาน (Mr. Mauricio Saldivar Sulaiman) ประธานสภามวยโลก มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ผลักดันมวยไทยสู่ระดับสากล
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 นายกฯ หารือนายมัวริซิโอ สุไลมาน (Mr. Mauricio Saldivar Sulaiman) ประธานสภามวยโลก มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ผลักดันมวยไทยสู่ระดับสากล นายกฯ หารือนายมัวริซิโอ สุไลมาน (Mr. Mauricio Saldivar Sulaiman) ประธานสภามวยโลก มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ผลักดันมวยไทยสู่ระดับสากล วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 14.30 ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมัวริซิโอ สุไลมาน (Mr. Mauricio Saldivar Sulaiman) ประธานสภามวยโลก เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมงาน Amazing Muay Thai Festival ระหว่างวันที่ 4 – 6 กุมภาพันธ์ 2566 ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบกับ ประธานสภามวยโลก (WBC) อีกครั้งหนึ่ง และแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 60 ปี ของการก่อตั้ง WBC ในปีนี้ และจะครบรอบ 20 ปีในปี 2567 ของการก่อตั้ง WBC Muay Thai อีกด้วย พร้อมขอบคุณ WBC สำหรับการสนับสนุนและเป็นเจ้าภาพร่วมงาน “Amazing MuayThai Festival” ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในพัฒนากีฬา โดยเฉพาะกีฬามวย ทั้งมวยสากล และมวยไทย เนื่องจากมวยไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและศิลปะการป้องกันตัวประจำชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลต้องการส่งเสริมและพัฒนากีฬามวยไทยอย่างเป็นระบบในทุกมิติ โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยได้จัดตั้ง “สถาบันมวยไทยแห่งชาติ” ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานกลางด้านความร่วมมือกับองค์กรภาคีทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกีฬามวยไทย (Muaythai Sport Hub) โดยได้มีการรับรองมาตรฐานค่ายมวยไทยไปแล้วกว่า 190 ค่าย เพื่อรองรับการท่องเที่ยงเชิงกีฬา ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีและประธาน WBC ยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือกันมายาวนาน และ มีความร่วมมือส่งเสริมกีฬามวย ดูแลสวัสดิการ สุขภาพและคุ้มครองความปลอดภัย ของนักมวยด้วยกองทุนโฆเซ่ สุไลมาน (WBC José Sulaimán Boxers Fund) ซึ่งร่วมกับโครงการ WBC Cares Thailand ที่ได้จัดสรรเงินช่วยเหลือนักมวยที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งหวังว่าความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย จะช่วยสนับสนุน ส่งเสริมการกำกับดูแลการแข่งขันมวยไทยระดับอาชีพทั่วโลก ให้เป็นไปตามกฎระเบียบและกติกา ของคณะกรรมการกีฬามวย สำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย และเสริมสร้างความนิยมของมวยไทยในระดับโลกต่อไป ด้านประธานสภามวยโลก กล่าวว่า ตนเองและบิดา ชื่นชอบกีฬามวยอย่างมากจากการมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย จึงมีความพยายามที่จะส่งเสริมกีฬามวยด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนผ่านกองทุนของ WBC เพื่อสนับสนุนการแข่งขันกีฬามวยให้เป็นไปตามแบบแผนดั้งเดิม และ ในความร่วมมือกับ โครงการ WBC Cares Thailand เพื่อช่วยเหลือนักมวย และต้องการสนับสนุนกีฬามวยไทยให้ไปไกลในระดับโลก ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬาอย่างชัดเจน โดยไทยได้กำหนดในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งจะมีการส่งเสริมการจัดกิจกรรมและการแข่งขันกีฬาทุกระดับตั้งแต่กีฬาเป็นเลิศ กีฬาอาชีพ กีฬาเพื่อการท่องเที่ยวและสันทนาการ (Sport Tourism) โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อหวังที่จะให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านมวยไทยของโลก และประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจให้มาเรียนรู้ศิลปะมวยไทย ในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย ในตอนท้าย ประธาน WBC ได้มอบสายเข็มขัดแชมป์สีเขียวทอง ที่มีสัญลักษณ์ WBC ให้แก่นายกรัฐมนตรี เป็นของที่ระลึกอีกด้วย โดยสีเขียว หมายถึง เลือดนักสู้ และสีทอง หมายถึง หัวใจที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ซึ่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสีเข็มขัดของผู้ชนะการแข่งขัน WBC
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64656
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศ 16 เทศกาลประเพณีไทย พร้อมยกระดับให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ ดึงนักท่องเที่ยวซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 วธ. ประกาศ 16 เทศกาลประเพณีไทย พร้อมยกระดับให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ ดึงนักท่องเที่ยวซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน วธ. ประกาศ 16 เทศกาลประเพณีไทย พร้อมยกระดับให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ ดึงนักท่องเที่ยวซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน วธ. ประกาศ 16 เทศกาลประเพณีไทย พร้อมยกระดับให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ ดึงนักท่องเที่ยวซึมซับวัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มุ่งขับเคลื่อนงานตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG รวมทั้งผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5F โดยขับเคลื่อนงานเทศกาลประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) ตลอดจนนโยบายวธ. สนับสนุนส่งเสริมการยกระดับเทศกาลประเพณีของไทยสู่ระดับนานาชาติ จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีเพื่อยกระดับไปสู่ระดับชาติและนานาชาติของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นเทศกาลประเพณีที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นเพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สร้างรายได้แก่ประชาชน ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม ปราชญ์ชาวบ้าน ได้รับการเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ปลัด วธ. เปิดเผยว่า ล่าสุด วธ. ได้ดำเนินการคัดเลือกเสร็จแล้ว และประกาศผลการคัดเลือกเทศกาลประเพณีเพื่อยกระดับไปสู่ระดับชาติและนานาชาติของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด เป็นที่ประจักษ์ จำนวน 16 เทศกาล/ประเพณี ดังนี้ 1. ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภขเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี 2. เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี 3. ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง จังหวัดน่าน 4. ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก "มาฆบูชา อารยธรรมอีสาน" จังหวัดยโสธร 5. ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช 6. เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art จังหวัดนครราชสีมา 7. เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ปราสาทศิลา "สด๊กก๊อกธม" จังหวัดสระแก้ว 8. เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ จังหวัดสกลนคร 9. เทศกาลอาหารอร่อย เมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร จังหวัดภูเก็ต 10. ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส จังหวัดชลบุรี 11. เทศกาล "นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี" จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12. ประเพณีตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา จังหวัดสระบุรี 13. ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร จังหวัดนครพนม 14. เทศกาลไทลื้อ "โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ" จังหวัดพะเยา 15. เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ จังหวัดเพชรบุรี และ16. เทศกาลโคมแสนดวงที่เมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ทั้งนี้ วธ. โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จะดำเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนำไปบูรณาการจัดกิจกรรมเพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ส่งเสริมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกันสืบสาน รวมถึงต่อยอดประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จัก เกิดความสนใจ และอยากกลับมาท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สร้างรายได้แก่ชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานเปิดงานเฟสติวัลมวยไทย ประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก กำลังพลกองทัพบก 3,660 นาย ไหว้ครูมวยไทย-แสดงแม่ไม้มวยไทย
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 นายกฯ เป็นประธานเปิดงานเฟสติวัลมวยไทย ประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก กำลังพลกองทัพบก 3,660 นาย ไหว้ครูมวยไทย-แสดงแม่ไม้มวยไทย นายกฯเปิดงานเฟสติวัลมวยไทยประจำปี 66 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลกกำลังพลกองทัพบก 3,660 นายไหว้ครูมวยไทย-แสดงแม่ไม้มวยไทย เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ ณ อุทยานราชภักดิ์ อย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโลก นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 17.00 น. ณ อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานเฟสติวัลมวยไทย ประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้แทน Guinness World Records ผู้ช่วยทูตทหาร ข้าราชการทหาร ข้าราชการในพื้นที่ ผู้ร่วมไหว้ครูมวยไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงลานอเนกประสงค์อุทยานราชภักดิ์ นายกรัฐมนตรี ถวายความเคารพพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ โดยการคำนับ วางพานพุ่มสักการะ จุดเครื่องทองน้อยแล้วถวายความเคารพโดยการคำนับอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น นายกรัฐมนตรีถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระเจ้าเสือโดยการคำนับ วางพานพุ่มสักการะ จุดเครื่องทองน้อยแล้วถวายความเคารพโดยการคำนับอีกครั้งหนึ่ง และถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการคำนับ เปิดกรวยกระทงดอกไม้ แล้วถวายความเคารพโดยการคำนับ ตามลำดับ ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรียืนบนแท่นพิธีเพื่อรับความเคารพจากนักแสดง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชมการแสดง จำนวน 3 ชุด ได้แก่ 1) การแสดงชุด “มวยไทยโบราณ สืบสานสู่สากล” 2) การแสดงชุด “น้อมสาธุการ ไหว้ปรมาจารย์ครูมวย ชูเชิดนวอาวุธมวย อำนวยมงคลชัย” และ 3) การแสดงชุด “รวมพลังแปรขบวนธงชาติไทย น้อมรำลึกแปรอักษร เทิดไท้พระเจ้าเสือ” จบแล้ว นายกรัฐมนตรีชมการไหว้ครูมวยไทยและการแสดงแม่ไม้มวยไทยเพื่อบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลก โดยมีกำลังพลกองทัพบก จำนวน 3,660 นาย ร่วมแสดงและถ่ายทอดความภาคภูมิใจในศิลปะของชาติ เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ และมีร้อยโท สมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว นักมวยไทยอาชีพที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นผู้นำไหว้ครูมวยไทย ซึ่งก่อนเข้าสู่การบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) มีการกล่าวบทกลอนเพื่อระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชามวยไทยด้วย ภายหลังการแสดงฯ เพื่อบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) นายกรัฐมนตรีชมการแสดงแม่ไม้มวยไทย 15 ท่า และการแสดงชุดที่ 4 “มวยไทยโบราณ ผสานทหารไทย ประลองฤทธิ์เกรียงไกร กึกก้องโลกา” จบแล้ว นายกรัฐมนตรีมอบตุ๊กตาจำลองศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทยทำจากผักตบชวา เป็นของที่ระลึกให้กับผู้สนับสนุนการจัดงานฯ จำนวน 12 หน่วยงาน ในตอนท้าย มิสเตอร์ คิริมุระ คัสสึโยชิ ประธานกรรมการบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) ประกาศผลการตัดสิน นายกรัฐมนตรี รับมอบใบประกาศนียบัตรจากกรรมการการบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) และส่งมอบให้ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เสร็จพิธี จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินกล่าวขอบคุณนักแสดงแทนคนไทยทั้งประเทศ และนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ทุกคนร่วมกันภาคภูมิใจ ทั้งนี้ กีฬามวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติอยู่คู่ประเทศไทยมานาน การจัดกิจกรรมการแสดงการไหว้ครูมวยไทย และแม่ไม้มวยไทย ด้วยจำนวนคนที่มากที่สุดในโลกเพื่อบันทึกสถิติโลกนับเป็นการส่งเสริมมวยไทยอย่างเป็นรูปธรรม และนับเป็นเรื่องที่ดีที่เยาวชนจะสืบสานกีฬามวยไทยให้อยู่คู่คนไทยต่อไป ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมวยไทย” เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือสมเด็จพระเจ้าเสือ ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านมวยและได้รับการถ่ายทอดเป็นตำรามวยไทยให้แก่คนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเผยแพร่มวยไทยและสืบสานมรดกของชาติไทยให้คงอยู่คู่คนไทยตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64606
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมขับเคลื่อนโครงการนำร่อง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” ดูแล/บำบัด/ฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.ร่วมขับเคลื่อนโครงการนำร่อง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” ดูแล/บำบัด/ฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด นำร่อง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” บูรณาการความร่วมมือตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม แล้ว 75 แห่ง กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด นำร่อง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” บูรณาการความร่วมมือตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม แล้ว 75 แห่งเปิดศูนย์คัดกรองในโรงพยาบาลทุกแห่งและศูนย์แพทย์ชุมชนอีก 6 แห่ง พร้อมยก อสม.เป็นกำลังร่วมเฝ้าระวังแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ อธิบดีกรมการปกครอง ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จ.หนองบัวลำภู ระยะเร่งด่วน (3 เดือน) นพ.โอภาส กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดวาระเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการบำบัด รักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ได้สั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงาน 7 เรื่อง ได้แก่1.สำรวจและขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล 2.สนับสนุนและร่วมบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบำบัดรักษา ฟื้นฟูและติดตามผู้ป่วยยาเสพติด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน (CBTx) 3.สำรวจ ตรวจสอบและยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม 4.จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 5.จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชน 6.สนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูภาคีเครือข่ายในจังหวัด ในการฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดระยะยาว 7.ลงทะเบียนบุคคลผู้ใช้งานระบบข้อมูล บสต. ทั้งในและนอกกระทรวงฯ โดยดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดซึ่งขณะนี้สามารถจัดตั้งศูนย์คัดกรองในตำบลแล้ว 9,473 แห่ง มีสถานพยาบาลยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (CBTx) 1,079 แห่ง ครอบคลุม 659 ชุมชน มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมในชุมชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 1,185 แห่ง และเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ในส่วนโครงการนำร่อง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย โดยเปิดศูนย์คัดกรองในโรงพยาบาลครบทั้ง 6 แห่ง ศูนย์แพทย์ชุมชน 6 แห่ง และทุก อปท. รวมทั้งสิ้น 95 แห่ง มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมครอบคลุมทั้งในระดับจังหวัด/อำเภอ/อปท. รวม 75 แห่ง มีการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภูและจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ในโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง และได้เข้าคัดกรองผู้เสพยาเสพติดอย่างละเอียดในหมู่บ้านต้นแบบ 67 หมู่บ้าน พบผู้ติดยาเสพติด 701 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการบำบัด รักษา และฟื้นฟู นอกจากนี้ ยังมีแผนการดำเนินงานยาเสพติดสุขภาพจิตและการดูแลผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ระดับจังหวัด โดยมีอสม. ผู้นำชุมชน ตำรวจ เป็นต้น ร่วมเป็นฝ่ายสนับสนุน ซึ่งหลังจากนี้จะมีการถอดบทเรียนที่เป็นประโยชน์เพื่อนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป “นอกจากการบูรณาการการบำบัด รักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดอย่างเป็นระบบ อีกส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ บุคลากรผู้ทำหน้าที่บำบัดรักษา คณะรัฐมนตรีจึงมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขผลิตจิตแพทย์เพิ่ม 800 คน และพยาบาลวิชาชีพอีกกว่า 3,000 คน นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังได้มอบนโยบายให้ อสม. ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับคนในชุมชน ช่วยสอดส่องดูแล เฝ้าระวังยาเสพติดทุกชนิด และร่วมติดตามผู้ผ่านการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด เน้นช่วยเหลือด้านสุขภาพภายหลังการหยุดใช้ยาเสพติด เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก” นพ.โอภาสกล่าว ****************************************** 7 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้ายกระดับท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา 29 ท่าสู่ท่าเรืออัจฉริยะ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 รัฐบาลเดินหน้ายกระดับท่าเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยา 29 ท่าสู่ท่าเรืออัจฉริยะ วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลเดินหน้ายกระดับท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 29 ท่าให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง โดยมีท่าเรือที่ดำเนินการเสร็จในช่วงปี 2562 – 2564 เปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง คือ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือนนทบุรี ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือสาทร และท่าเรือพายัพ ในปี 2565 อีก 2 แห่ง คือ ท่าเรือราชินี และท่าเรือบางโพ สำหรับปี 2566 นี้ จะแล้วเสร็จอีก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือพระราม7 ท่าเรือท่าเตียน และท่าเรือเกียกกาย ที่เหลืออีก 18 แห่ง คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผนคือเสร็จสิ้นในปี 2568 เพื่อให้ทุกท่าเรือเป็นสถานีเรือที่ทันสมัย สะดวก ปลอดภัย สวยงาม เป็นแลนด์มาร์คเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะทางถนนและทางรางตามนโยบาย ล้อ- ราง-เรือ อย่างไร้รอยต่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ให้ความเห็นชอบต่อร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.ให้ความเห็นชอบต่อร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ครม.ให้ความเห็นชอบต่อร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้ให้ความเห็นชอบต่อร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) พร้อมกับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในร่างจดหมายสนับสนุนฯ ดังกล่าว สำหรับการให้ความเห็นชอบนี้ สืบเนื่องจากที่ประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีสมาชิกตามข้อบทของความตกลงเพื่อการจัดตั้ง AIIB เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 58 และความตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันเมื่อ 29 ธ.ค. 59 และข้อบทที่ 44 วรรคสอง ของความตกลงก็ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการเพื่อให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการให้สถานะ ความคุ้มกัน เอกสิทธิ์ และการยกเว้นแก่ AIIB มีผลบังคับใช้ในดินแดนของตน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า AIIB ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระกระทรวงการคลังขอให้ประเทศไทยในฐานะสมาชิกพิจารณาลงนามในร่างจดหมายสนับสนุนการดำเนินงานของ AIIB เพื่อรับรองว่าการดำเนินงานของ AIIB ในประเทศสมาชิกจะได้รับเอกสิทธิ์ และความคุ้มกันตามที่กำหนด เช่น การคุ้มกันจากกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย การคุ้มกันทรัพย์สิน เอกสิทธิในการติดต่อประสานงาน ความคุ้มกันและเอกสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่และลูกจ้าง การยกเว้นภาษีอากร เป็นต้น ซึ่งกระทรงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาและปรับปรุงร่างจดหมายสนับสนุนฯ ให้อยู่ในขอบเขตของข้อบทของความตกลงฯ โดยไม่เพิ่มภาระผูกพันแก่ประเทศไทย และให้สอดคล้องกับระเบียบของหน่วยงานแล้ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พันธกรณีภายใต้ความตกลงยังได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นผู้รับฝากสินทรัพย์ของ AIIB ในประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการขยายการสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามข้อบทที่ 33 ของความตกลงที่ให้ประเทศสมาชิกแต่งตั้งธนาคารกลางหรือสถบันอื่นใดเป็นสถานที่รับฝากเงินตราหรือทรัพย์สินของ AIIB นอกจากนี้รัฐบาลจะจัดเตรียมสกุลเงินตราอื่นที่พึงแลกเปลี่ยนได้สำหรับการทำธุรกรรมของ AIIB ในประเทศไทยโดยปราศจากภาษี โดยหากประเทศไทยจะดำเนินการกู้ยืมหรือกอกเอกสารทางการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการระดมเงินทุน ประเทศไทยต้องให้สิทธิ์แก่ AIIB ไม่น้อยไปกว่าที่ให้กับประเทศอื่นหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น และกรณีที่ AIIB เปิดสำนักงานหรือจัดงานอย่างเป็นทางการในประเทศสมาชิก รัฐบาลจะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ที่จะให้คุ้มครองเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเพิ่มเติมสำหรับ AIIB และเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของ AIIB ตามความจำเป็น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2022 ชื่นชมการสร้างสรรค์ ต่อยอด ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 นายกฯ แสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2022 ชื่นชมการสร้างสรรค์ ต่อยอด ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม นายกฯ แสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2022 ชื่นชมการสร้างสรรค์ ต่อยอด ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (7 ก.พ. 66) เวลา 08.50 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมด้วยคณะผู้ได้รับรางวัล เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์นิทรรศการประกาศรางวัลเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Digital Award 2022: PM Awards 2022) ซึ่งรางวัลดังกล่าวถือเป็นการเชิดชูเกียรติบุคลากรในสายเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ได้ร่วมกันพิจารณาคัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศใน 5 สาขา เพื่อเข้ารับรางวัลเกียรติยศแห่งวงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลไทย Prime Minister’s Digital Awards 2022 จากนายกรัฐมนตรี ซึ่งรางวัลนี้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่และบุคคลทั่วไป พร้อมสร้างความตระหนัก สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเห็นถึงศักยภาพและความสำเร็จ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลสามารถเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัล เพื่อต่อยอดไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมชื่นชมการสร้างสรรค์ ต่อยอด และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อคนไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรม ทำให้เกิดการเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วนอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ และเป็นแรงขับเคลื่อนไทยก้าวไปสู่ ‘ดิจิทัลไทยแลนด์’ อย่างมั่นคงต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างความสะดวกสบายให้กับประเทศไทย ขณะนี้รัฐบาลพยายามปรับให้ประเทศไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลให้ได้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าการดำเนินการต่าง ๆ ในปัจจุบันมีความรวดเร็วมากขึ้นจากเทคโนโลยี ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งโอกาสและวิกฤต ทุกคนต้องเตรียมการรองรับเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ต้องมีการศึกษาอย่างถี่ถ้วน ใช้งานด้วยความระมัดระวัง เพราะบางคนนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด สร้างความเสียหาย ความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยขอย้ำให้ทุกหน่วยงานต้องช่วยกันสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกฎหมายระหว่างประเทศด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีร่วมถ่ายรูปรางวัลเกียรติยศ Prime Minister’s Digital Awards 2022 กับผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ ทั้ง 5 สาขา ประกอบด้วย 1. Digital Youth of the Year ผู้ได้รับรางวัล คือ โรงเรียนท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลงาน ระบบกระชังปลากะพงอัจฉริยะ 2. Digital Community of the Year ผู้ได้รับรางวัล คือ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยทราย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผลงาน ระบบดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (PODD LTC) 3. Digital Organization of the Year ผู้ได้รับรางวัล คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 4. Digital Startup of the Year ผู้ได้รับรางวัล คือ บริษัท ไลน์แมน (ประเทศไทย) จำกัด 5. Digital Entrepreneur of the Year ผู้ได้รับรางวัล คือ นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย มอบทองคำแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 มหาดไทย มอบทองคำแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย มหาดไทย มอบทองคำแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมดำรงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบรางวัลสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565 กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดี โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบรางวัลที่ 1 ทองคำแท่ง หนัก 20 บาท มูลค่ารวม 595,000 บาท ให้แก่นายสงบ สะโตน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา ซึ่งเป็นผู้ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565 กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 138990 พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล “ในนามของกระทรวงมหาดไทย ขอเเสดงความยินดีกับผู้รับรางวัล ที่เป็นคนมหาดไทยผู้มีจิตเป็นกุศล ช่วยสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศล ของกระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จะได้บำรุงสภากาชาดไทยในงานการสาธารณสงเคราะห์มากขึ้น และขอให้ได้ช่วยกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นตัวอย่างการทำความดีให้กับเพื่อนข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยต่อไป" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวแสดงความยินดีในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทย เป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมตามหลักกาชาดสากล โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาสภากาชาดไทย และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ขณะดำรงพระอิสริยยศที่ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ทรงเป็น “สภาชนนี” และต่อมาสภากาชาดสยามเปลี่ยนชื่อเป็น สภากาชาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2482 และในปัจจุบันมี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงดำรงตำแหน่ง องค์สภานายิกา และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตำแหน่ง องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย นอกจากนี้ เพื่อให้กิจการสภากาชาดไทยสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ องค์สภานายิกา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้คู่สมรสของผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดำรงตำแหน่ง นายกเหล่ากาชาดจังหวัด ทำหน้าที่ สังคมสงเคราะห์ประชาชนที่ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร และกิจการของสภากาชาดไทยในพื้นที่จังหวัด "กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินจัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565 จำนวน 100,000 ฉบับ ฉบับละ 100 บาท มูลค่าสลากฯ รวมทั้งสิ้น 10,000,000 บาท โดยขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จังหวัดทุกจังหวัด และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำหน่ายสลากฯ ซึ่งได้ทำการออกรางวัลสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565 ของกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ณ เวทีกลาง หน้าหอสมุดประชาชน สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร มีรางวัล ทั้งสิ้น 51 รางวัล คือ รางวัลที่ 1 ทองคำแท่ง หนัก 20 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 สร้อยคอทองคำ หนัก 5 บาท จำนวน 10 รางวัล และรางวัลที่ 3 สร้อยคอทองคำ หนัก 1 บาท จำนวน 40 รางวัล ซึ่งรางวัลที่ได้มีผู้ถูกรางวัลนั้นกระจายไปในหลายจังหวัด กระทรวงมหาดไทยจึงอำนวยความสะดวกในการรับรางวัล โดยมอบให้จังหวัดเป็นผู้มอบรางวัลให้แก่ผู้ถูกรางวัลในจังหวัดนั้น ๆ" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า การออกสลากบำรุงกาชาดไทย เป็นสลากบำรุงการกุศลที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายให้สามารถจัดได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อมอบรายได้ให้กาชาดไว้ใช้จ่ายในกิจการสาธารณกุศลเท่านั้น เนื่องจากสภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการสาธารณกุศลเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือว่าเป็นการทำบุญร่วมกัน จึงขอเชิญชวนช่วยกันสื่อสารสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากต่อไป "สิ่งที่ทุกท่านได้ช่วยสภากาชาดในวันนี้ ด้วยการซื้อสลากบำรุงสภากาชาด 1 ใบ เงินที่ได้จำหน่ายสลากหลังหักค่าใช้จ่าย กระทรวงมหาดไทยจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายองค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทยในการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งเรื่องหยูกยา เวชภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชน รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ถือเป็นการสร้างบุญร่วมกัน แต่ที่พิเศษกว่าคนอื่น คือ เป็นการทำบุญที่มีโชค และหลังจากนี้ ขอให้ได้ชักชวนเพื่อน ๆ ช่วยกันทำความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และร่วมกิจกรรมบำรุงกาชาดกับกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนในอนาคตต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุโรงพยาบาลปัตตานี เพิ่มเติมวงเงินงบประมาณเป็น 356.6 ล้านบาท เพื่อให้ได้อาคารที่เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมาย
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุโรงพยาบาลปัตตานี เพิ่มเติมวงเงินงบประมาณเป็น 356.6 ล้านบาท เพื่อให้ได้อาคารที่เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมาย ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุโรงพยาบาลปัตตานี เพิ่มเติมวงเงินงบประมาณเป็น 356.6 ล้านบาท เพื่อให้ได้อาคารที่เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมายให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 ก.พ.66 ได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการ เพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาการก่อสร้างอาคารผ่าตัด ผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ โรงพยาบาลปัตตานี ต.สะบารัง อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี 1 หลัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงานก่อสร้างครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) 7 ชั้น จากเดิมแบบแปลนเลขที่ 8135 พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,576 ตารางเมตร ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ 930 วัน เป็น แบบแปลนเลขที่ 8135 เอกสารเลขที่ ก.25/ก.พ./65 และรายการประกอบแบบก่อสร้างเอกสารเลขที่ ข.55/พ.ค./65 พื้นที่ใช้สอยประมาณ 14,703ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 1,395 วัน วงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มจาก 153.8 ล้านบาท เป็น 356.6 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณปี 2566 จำนวน 32.5 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 324.1 ล้านบาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567-69 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เรื่องเดิมก่อนที่จะนำมาสู่การขออนุมัติจาก ครม. เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงการนั้นมาจากที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2565 งบลงทุน ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างแผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กิจกรรมพัฒนาระบบบริการสุขภาพทุกระดับ ตาม Service Plan รายการอาคารผ่าตัดผู้ป่วยนอกฯ ร.พ.ปัตตานีฯ 1 หลัง พื้นที่ใช้สอย 13,576 ตารางเมตร งบประมาณ 153.8 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณปี 2565-67 ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมาเสริมศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลปัตตานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งเดียวในจังหวัด มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 1,600 คน ซึ่งปัจจุบันพื้นที่คับแคบแออัด จำนวนเตียงไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งโครงการก่อสร้างนี้จะทำให้โรงพยาบาลสามารถรองรับผู้ป่วยได้จากเดิม 546 เตียง เป็น 700 เตียง เพิ่มศักยภาพการบริการด้านรักษาพยาบาลแก่ประชาชนในพื้นที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลปัตตานี และคณะกรรมการจัดทำแบบรูปรายการก่อสร้างและกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง ได้พิจารณาแบบแปลนเลขที่ 8135 แล้ว พบว่าเป็นแบบแปลนเมื่อปี พ.ศ. 2534 ซึ่งไม่สอดคล้องกับมาตรฐานป้องกันอัคคีภัยตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารและมาตรฐานห้องให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งครอบคลุมถึงห้องผ่าตัด ห้องผู้ป่วยหนัก และห้องฉุกเฉิน รวมทั้งรายละเอียดรายการวัสดุก่อสร้างและครุภัณฑ์บางรายการตามแบบแปลนดันกล่าวไม่มีจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบันแล้ว จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแบบรูปรายการอาคารให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรี อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมในส่วนงานโยธาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรี อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมในส่วนงานโยธาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ..... ตามที่ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ในส่วนของงานโยธามาตั้งแต่ปี 2559 โดยแบ่งงานออกเป็น 40 ตอน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 24 ตอน ส่วนอีก 16 ตอน ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากติดปัญหาอุปสรรคใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) สภาพพื้นที่ในสนามที่ทำการก่อสร้างได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 2) ปรับปรุงรูปแบบทางวิศวกรรมให้สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ในปัจจุบัน 3) ปรับรูปแบบให้เหมาะสมสอดคล้องกับโครงสร้างสาธารณูปโภค หรือความจำเป็นของหน่วยงานที่โครงการตัดผ่าน และ 4) ปรับรูปแบบการก่อสร้างเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ และให้สอดคล้องกับโครงข่ายถนน ที่ประชาชนใช้ทางในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องแก้ไขแบบก่อสร้าง ส่งผลให้ค่างานก่อสร้างเพิ่มขึ้น ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตามและเร่งรัดให้ ทล. แก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2566) คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเห็นชอบเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ในส่วนของงานโยธาที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 12 ตอน วงเงินรวม 4,970.7107 ล้านบาท ประกอบด้วย - ตอน 1 กม. ที่ 0+000.000 - 7+332.494 วงเงิน 631.2045 ล้านบาท - ตอน 2 กม. ที่ 0+000.000 - 5+470.673 วงเงิน 70.3000 ล้านบาท - ตอน 4 กม. ที่ 9+008.350 - 15+000.000 วงเงิน 971.8108 ล้านบาท - ตอน 5 กม. ที่ 15+000.000 - 27+500.000 วงเงิน 69.1874 ล้านบาท - ตอน 18 กม. ที่ 72+328.075 - 74+300.000 วงเงิน 271.4985 ล้านบาท - ตอน 19 กม. ที่ 74+300.000 - 77+000.000 วงเงิน 596.7523 ล้านบาท - ตอน 20 กม. ที่ 77+000.000 - 82+500.000 วงเงิน 161.7828 ล้านบาท - ตอน 21 กม. ที่ 82+500.000 - 86+000.000 วงเงิน 1,310.1243 ล้านบาท - ตอน 23 กม. ที่ 102+000.000 - 110+900.000 วงเงิน 406.2323 ล้านบาท - ตอน 24 กม. ที่ 110+900.000 - 119+000.000 วงเงิน 26.4170 ล้านบาท - ตอน 34 กม. ที่ 140+040.000 - 141+810.000 วงเงิน 291.6938 ล้านบาท - ตอน 39 กม. ที่ 175+100.000 - 188+800.000 วงเงิน 163.7071 ล้านบาท ทำให้วงเงินค่าก่อสร้าง รวม 40 ตอน เพิ่มขึ้นจากเดิม รวมเป็นจำนวนเงิน 66,165 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบวงเงิน 69,970 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 สำหรับงานก่อสร้างที่ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน วงเงินประมาณ 1,785 ล้านบาท นั้น ทล. มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายละเอียด ทั้งในส่วนของเนื้องานและความรับผิดชอบของบริษัทผู้รับจ้างคู่สัญญาให้มีความละเอียดรอบคอบ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ โดยมีรองอธิบดีฝ่ายดำเนินงาน เป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องทั้งด้านวิศวกรรม ระเบียบ กฎหมาย อาทิ สภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบัญชีกลาง สำนักกฎหมาย กระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ทล. จะเร่งรัดเดินหน้าการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือให้สามารถเปิดทดลองให้บริการได้โดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดทดลองวิ่งช่วงปากช่องถึงทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ได้ในช่วงปลายปี 2566 รวมถึงการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เอกชนคู่สัญญาร่วมลงทุนการดำเนินงาน และบำรุงรักษา (O&M) เพื่อเร่งรัดงานติดตั้งระบบต่าง ๆ เช่น ระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง M-Flow ระบบบริหารควบคุมการจราจร คาดว่าจะเริ่มทดสอบระบบพร้อมทยอยเปิดทดลองให้บริการได้ในปี 2567 และเปิดใช้บริการเส้นทางอย่างเต็มรูปแบบในปี 2568 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64642
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลจัดพิธีไหว้ครูมวยไทยและแม่ไม้มวยไทย เนื่องในวันมวยไทย 6 ก.พ.
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ​รัฐบาลจัดพิธีไหว้ครูมวยไทยและแม่ไม้มวยไทย เนื่องในวันมวยไทย 6 ก.พ. วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 6 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันมวยไทย ซึ่งตรงกับวันเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระปรีชาสามารถด้านมวยไทยเป็นที่ประจักษ์ สำหรับวันมวยไทยประจำปี 2566 มีกิจกรรมในวันนี้(6ก.พ.66) ที่ วัดตึก หรือ ตำหนักพระเจ้าเสือ จ.พระนครศรีอยุธยา เช่น พิธีบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าเสือ พิธีครอบครู พิธีไหว้ครูร่ายรำมวยไทยเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ นอกจากนี้ ยังมีการแสดงการไหว้ครูมวยไทยและแม่ไม้มวยไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวน 5,000 คน บันทึกสถิติ Guinness World Records ที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้มวยไทย มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาติสู่สายตาชาวโลก “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64614
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นและพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นและพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นและพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.30 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นและพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ โดยมีคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นฯ ได้แก่ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวนฤมล สงวนวงศ์) ผู้อำนวยการสำนัก/กอง ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนคณะกรรมการจริยธรรมประจำสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมฯ การประชุมดังกล่าว เพื่อรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นและพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับทราบหลักเกณฑ์การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2565 (คู่มือฯ จากกระทรวงศึกษาธิการ) และร่วมกันพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น และพนักงานราชการดีเด่น ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี พ.ศ.2565 โดยผลการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2565 ได้แก่ 1.นายกิตติชัย คำขันธ์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2.นายยุทธภูมิ ประสมทรัพย์ นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ สถาบันเกษตราธิการ ผลการคัดเลือกพนักงานราชการดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2565 ได้แก่ 1.นายธีรพล พันธุ์เปรม นักวิชาการเผยแพร่ กองเกษตรสารนิเทศ 2.นายบัญชา ไชยนา นิติกร สำนักกฎหมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบผลการดำเนินการ4มาตรการเร่งด่วน แก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7หมื่นราย กวาดล้าง ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.รับทราบผลการดำเนินการ4มาตรการเร่งด่วน แก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7หมื่นราย กวาดล้าง ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด ครม.รับทราบผลการดำเนินการ4มาตรการเร่งด่วน แก้ปัญหาอาวุธปืน-ยาเสพติด โชว์ผลงานจับผู้ต้องหากระทำผิดอาวุธปืน-ระเบิดได้ 2.7หมื่นราย กวาดล้าง ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด อายัดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด 11 ล้านบาท เดินหน้าปกป้องชุมชน ขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรอง น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดในภาพรวมเสนอต่อ ครม. ภายใน 90 วัน โดยสรุปผลการดำเนินการตามมาตรการฯ รวม 4 ประการ ดังนี้ 1. มาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน 1.1 การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เช่น เพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง และตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต นั้น กระทรวงมหาดไทยได้หารือกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดของผู้ยื่นขอใบอนุญาต และได้ศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 เพื่อเพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนท้องที่ออกคำสั่งให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดและตรวจสอบประวัติอาชญากรและการรับรองความประพฤติของผู้ขออนุญาตทุกราย 1.2 กำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาตทั้งก่อนและหลังการออกใบอนุญาตและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางการอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัด 1.3 เชื่อมโยงฐานข้อมูล โดยกระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติสิทธิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ส่วนกลาง) สามารถเข้าระบบเพื่อตรวจดูข้อมูลทะเบียนอาวุธปืน และอยู่ระหว่างหารือด้านเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 1.4 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกฎหมายกลางเพื่อจัดการอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต 1.5 การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน และสืบสวน ปราบปราม ตรวจค้นแหล่งค้า/ผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย ทั้งนี้ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2565) รวม 29,464 คดี ผู้ต้องหา 27,637 ราย 1.6 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการมาตรการทางดิจิทัล เช่น การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมในการปิดกั้นแพลตฟอร์มหากมีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเกี่ยวเนื่องกับอาวุธปืนและยาเสพติด 2. มาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2.1 การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด เช่น ระงับการส่งออก และชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการชั่วคราว ยึดและอายัดวัตถุอันตราย ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด โดยอายัดสารโซเดียมไซยาไนด์ 220 ตัน หากนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสารตั้งต้นจะสามารถนำไปใช้ในการผลิตยาบ้า 4,840 ล้านเม็ด 2.2 การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน เช่น ดำเนินการสืบสวนและขยายผลเพื่อทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยได้จัดทำรายงานข่าวสารยาเสพติดของเครือข่าย 739 ฉบับและรายงานเป้าหมายบุคคลในเครือข่าย 1,098 คน และสามารถอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,280 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565) 2.3 การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด สามารถดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติดได้ 88หมายจับ โดยกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้า-ส่งออกบริเวณชายแดน ทำให้สกัดกั้นจับกุมยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า 12.29 ล้านเม็ด เฮโรอีน 11 กิโลกรัม ยาไอซ์ 586,956.75 กรัม และยาอี 15,000 เม็ด (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2565) และได้ปราบปรามยาเสพติดโดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถจับกุม/ตรวจยึดยาเสพติด ผู้ต้องหา 18 คน ยาบ้า 11.93 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 435.1 กิโลกรัม และเคตามีน 9.9 กิโลกรัม 2.4 การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกันในการบูรณาการฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ติด ผู้มีอาการทางจิตเวช โดยจัดตั้งฐานข้อมูลด้านยาเสพติดที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ Re X-ray ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิตเวช 158,333 ราย โดยผู้ใช้ ผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัด 106,937 ราย ผู้มีอาการทางจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 25,586 ราย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 20 ธันวาคม 2565) 2.5 การตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนของประชาชน มีการดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของประชาชนผ่านสายด่วน 1386 มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 5,016 เรื่อง ดำเนินการแล้ว 2,256 เรื่อง และดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ 330 หมู่บ้าน/ชุมชน (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565 3. มาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มีระบบบูรณาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย 30 จังหวัดในพื้นที่ต้นแบบเพื่อลดอัตราการกลับมาเสพซ้ำและไม่ก่อความรุนแรง และเร่งรัดสำรวจศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองแล้ว จำนวน 9,473 แห่ง รวมถึงเร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวแล้ว 659 ชุมชน และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน 439 แห่ง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูผู้ติดยา และยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล 4. มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เช่น จัดทำแนวปฏิบัติในการขอรับการตรวจประเมินปัญหาสุขภาพจิตสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดทุกโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปให้ครอบคลุม 65 จังหวัด ใน 12 เขตสุขภาพ 97 แห่ง จัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทุกแห่ง โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแล้ว 1,080 แห่ง และสนับสนุนให้สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกอบรมเพื่อป้องกันยาเสพติดใน 603 กิจกรรม จำนวน 37,620 คนทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ มุ่งพัฒนาทักษะไอทีแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม พัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัล
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ มุ่งพัฒนาทักษะไอทีแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม พัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัล รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ มุ่งพัฒนาทักษะไอทีแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม พัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัล วันที่7กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนแนวทางและสรุปผลการดำเนินงานงวดที่1เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานโครงการความร่วมมือการพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัลสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมโดยมีนางสาวไพลินจินดามณีพรรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีและผู้เข้าร่วมประชุมให้การต้อนรับณโรงแรมลองบีชชะอำตำบลชะอำอำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี นางธิวัลรัตน์กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีนโยบายสำคัญที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีและสามารถใช้เทคโนโลยีในการสร้างมูลค่าให้กับตนเองและครอบครัวได้ในส่วนของกระทรวงแรงงานโดยท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบนโยบายในการส่งเสริมพัฒนาทักษะแรงงานสร้างโอกาสและการพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานทุกช่วงวัยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลผู้มีรายได้น้อยคนพิการเยาวชนผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีทักษะความรู้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในการประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่ากระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการความร่วมมือการพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัลสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมเพื่อพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานทุกช่วงวัยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลผู้มีรายได้น้อยคนพิการเยาวชนผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีทักษะความรู้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้อันจะนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำ “การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโครงการในแต่ละจังหวัดได้มาทบทวนแนวทางการดำเนินงานวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคและปรับปรุงในการดำเนินโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นไปตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานกสทช.ที่สำคัญประชาชนผู้ด้อยโอกาสในสังคมจะได้เข้าถึงสวัสดิการจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมอันจะนำไปสู่ความเสมอภาคในสังคมสามารถสร้างรายได้ลดรายจ่ายให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”นางธิวัลรัตน์กล่าวทิ้งท้าย +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 7 กุมภาพันธ์2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 3,092.72 ล้านบาท ซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทาน ใน 48 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี 2565 เน้นย้ำดำเนินการอย่างเหมาะสม คุ้มค่า โปร่งใส
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม. อนุมัติ 3,092.72 ล้านบาท ซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทาน ใน 48 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี 2565 เน้นย้ำดำเนินการอย่างเหมาะสม คุ้มค่า โปร่งใส ครม. อนุมัติ 3,092.72 ล้านบาท ซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทาน ใน 48 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยปี 2565 เน้นย้ำดำเนินการอย่างเหมาะสม คุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของราชการและประชาชนเป็นสำคัญ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (7 ก.พ. 2566) อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 3,092.72 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายโครงการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุทกภัยปี 2565 รวม 1,167 รายการ ในพื้นที่ 48 จังหวัด ของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจากอิทธิพลของร่องมรสุมกำลังแรงและพายุโนรูเมื่อเดือนกันยายนปี 2565 เพื่อช่อมแซม/ปรับปรุงอาคาร และระบบชลประทานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการใช้งานให้กลับคืนสู่สภาพเดิมหรือมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น มีสภาพพร้อมใช้งานและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำให้ดีขึ้น สามารถรองรับปริมาณน้ำหลากได้ และสามารถบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อการอุปโภค-บริโภค หรือกิจกรรมอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งน้ำและระบายน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรได้ทันในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน โดยมีแผนงานซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลประทานที่ได้รับความเสียหายครอบคลุมทั้ง 4 ภูมิภาค จำแนกเป็น 1)การปรับปรุงงานชลประทาน 11 โครงการ วงเงิน 191.76 ล้านบาท 2)การซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำ 39 โครงการ วงเงิน 152.98 ล้านบาท 3)การซ่อมแซมฝาย/อาคารบังคับน้ำ 31 โครงการ วงเงิน 64.21 ล้านบาท 4)การซ่อมแซมคลอง/ระบบส่งน้ำ 523 โครงการ วงเงิน 1,079.34 ล้านบาท และการซ่อมแซมระบบระบายน้ำ 563 โครงการ วงเงิน 1,604.43 ล้านบาท “นายกรัฐมนตรีกำชับให้มีการจัดทำแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ คำนึงถึงศักยภาพ ภารกิจเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม คุ้มค่า โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องมีความโปร่งใส และตรวจสอบได้” นายอนุชากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ สร้างความตระหนักต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาพนันออนไลน์
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 นายกฯ ร่วมกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ สร้างความตระหนักต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาพนันออนไลน์ นายกฯ ร่วมกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ สร้างความตระหนักต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาพนันออนไลน์ เร่งแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสั่งปิดเว็บไชต์พนันได้ทันที นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (7 ก.พ.66) เวลา 08.40 น ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมสร้างความตระหนักรู้วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) เพื่อสร้างความตระหนักต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน และให้ความรู้ เรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ พร้อมกับการประชาสัมพันธ์กิจกรรมการส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ตรงกับวันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยสากล หรือ Safer Internet Day โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาคเอกชน กองทุนสื่อสร้างสรรค์ และภาคีเครือข่ายจัดขึ้น โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเยี่ยมชม พร้อมด้วยนางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย นายสันติ ศิริธีราเจษฎ์ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF) และนายธนวัฒน์ พรหมโชติ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ผู้แทนเด็กและเยาวชน ร่วมกิจกรรมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีรับฟังสรุปรายงานกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) และการจัดตั้งเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัยประเทศไทย (Thailand Safe Internet Coalition) และการขับเคลื่อนกิจกรรม โดยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะที่ประธานสภาเด็กและเยาวชน และผู้แทนเด็กเยาวชน ได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินนโยบายเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจัง ซึ่งสภาเด็กและเยาวชนได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการเฝ้าระวังเว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยปัจจุบันพบว่ามีเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่ยังคงให้บริการอยู่ถึงจำนวน 595 เว็บไซต์ จึงขอเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการสร้างความตระหนักรู้การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ และขอเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการทำงานเพื่อประชาชน และการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญในการป้องกันให้เด็กและเยาวชนปลอดภัยจากการพนันออนไลน์ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทันรวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน และการให้ความรู้เรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องของเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่เกิดขึ้นขณะนี้อย่างต่อเนื่องจริงจัง ซึ่งกรณีของเว็บไซต์พนันออนไลน์ทั้ง 595 เว็บไซต์ดังกล่าวนั้น ขอให้ส่งมาที่นายกรัฐมนตรีเพื่อจะสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันกับเทคโนโลยีและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเว็บไชต์พนันออนไลน์ได้ทันต่อเหตุที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการให้สามารถสั่งปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ได้ทันที เพื่อให้เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตที่สำคัญของประเทศปลอดภัยจากพนันออนไลน์และใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF Thailand) สภาเด็กและเยาวชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) เพื่อสร้างความตระหนักต่อภัยออนไลน์ที่เกิดกับเด็กและเยาวชน และให้ความรู้เรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของคนในประเทศให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและรู้เท่าทันโดยไม่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้ และขอให้ทุกคนรวมทั้งสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ช่วยกันดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมผู้แทนเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยถือป้าย #SaferInternetDay #ThaiSafeNet #SID2023 #เน็ตเซฟไม่แซด ฯลฯ เพื่อร่วมกันประชาสัมพันธ์กิจกรรมสร้างความตระหนักรู้วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) ด้วย จากผลสำรวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2565 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดำเนินการร่วมกับ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ในการสำรวจเด็กอายุ 9-18 ปี จำนวน 31,965 คน จาก 77 จังหวัด พบว่า เด็กไทยมีความเสี่ยงภัยออนไลน์สูงมาก เด็ก 81% มีสมาร์ตโฟนเป็นของตัวเอง และ 85% ใช้โซเชียลมีเดียทุกวัน เด็ก 50% เข้าถึงสื่อลามกอนาจารออนไลน์ ในจำนวนนี้ 60% เป็นสื่อลามกอนาจารเด็ก 36% เคยถูกจีบออนไลน์ การถูกละเมิดทางเพศ ไซเบอร์บูลลี่ เสพติดเกม การพนัน และความรุนแรง เป็นปัญหาหลัก ๆ ในการใช้สื่อออนไลน์ที่เด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งนี้ พม. โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน มีศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ โคแพท (COPAT) ที่ทำหน้าที่ประสานการขับเคลื่อนงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ เพื่อให้เด็กเยาวชนใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ เมื่อได้รับแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1300 และแอปพลิเคชัน “คุ้มครองเด็ก” นอกจากนี้มีการผลักดันการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญา เพื่อเพิ่มฐานความผิดใหม่ ๆ เช่น การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ หรือ grooming การข่มขู่แบล็กเมลทางเพศ หรือ sextortion การระรานทางออนไลน์ หรือ cyber bullying กฎหมายใหม่นี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองเด็กจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่บนโลกออนไลน์ -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 คุ้มครองสิทธิ 11 กลุ่ม ครอบคลุมกลุ่มหลากหลายทางเพศ เร่งแก้ปัญหาท้าทาย ทั้งปัญหาที่ดิน ฝุ่นพิษ และหนี้ภาคครัวเรือน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.เห็นชอบแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 คุ้มครองสิทธิ 11 กลุ่ม ครอบคลุมกลุ่มหลากหลายทางเพศ เร่งแก้ปัญหาท้าทาย ทั้งปัญหาที่ดิน ฝุ่นพิษ และหนี้ภาคครัวเรือน ครม.เห็นชอบแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 คุ้มครองสิทธิ 11 กลุ่ม ครอบคลุมกลุ่มหลากหลายทางเพศ เร่งแก้ปัญหาท้าทาย ทั้งปัญหาที่ดิน ฝุ่นพิษ และหนี้ภาคครัวเรือน และธุรกิจเอสเอ็มอีจากสถานการณ์โควิด น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566-2570) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ พร้อมกับเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนของหน่วยงานที่ครอบคลุมการดำเนินการของหน่วยงานในสังกัดทุกระดับและรายงานผลการปฏิบัติตามแผนสิทธิมนุษยชนฯ เมื่อสิ้นปีงบประมาณปีละ 1 ครั้ง (ในห้วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ของทุกปี) และให้หน่วยงานภาครัฐ (ระดับกรมหรือเทียบเท่า) บรรจุวิชา สิทธิมนุษยชน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ในหลักสูตรฝึกอบรมข้าราชการทุกระดับตามขอบเขตและเนื้อหาหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด โดยที่แผนสิทธิมนุษยชนฯ ฉบับนี้ได้นำประเด็นที่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์จากแผนฉบับเดิมมาดำเนินการต่อ เช่น ปัญหาที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน ปัญหาสิทธิในการทำงานและสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลสำหรับคนไทยและคนต่างด้าวทั้งในระบบและนอกระบบ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศในเด็กและสตรี เป็นต้น และประเด็นข้อห่วงกังวลและประเด็นท้าทายต่าง ๆ จากระดับพื้นที่ เช่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหาการเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐที่ต้องใช้ความรู้และทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญหาการเคารพสิทธิผู้อื่นและการเคารพผู้เห็นต่าง น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า (ร่าง) แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 จำแนกออกเป็นแผนสิทธิมนุษยชนรายด้าน 5 ด้าน คือ ด้านการเมืองการปกครอง ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา และด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ และยังครอบคลุมถึงการคุ้มครองสิทธิรายกลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 11 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน กลุ่มผู้เสียหายและเหยื่อในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มเด็กและสตรี กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้เสพยาเสพติด กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนและกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้ต้องหาผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ และสุดท้ายคือ กลุ่มผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่อยู่ร่วมกับ HIV และผู้ป่วยจิตเวช เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยใช้เป็นกรอบทิศทางของหน่วยงานในการดำเนินงานเพื่อแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของประเทศ ปกป้อง คุ้มครองสิทธิของประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ คำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างสังคมที่ตระหนักถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับประเด็นท้าทายของแผนสิทธิมนุษยชนรายด้าน 5 ด้านที่จะมีการดำเนินการ คือ 1.เร่งจัดสรรที่ดินและแก้ไขปัญหา การเข้าถึงทรัพยากรของประชาชน 2.ส่งเสริมความรู้ให้แก่ประชาชนในขั้นตอนต่าง ๆ ด้านกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้รับรู้สิทธิในแต่ละขั้นตอนตั้งแต่ชั้น การสอบสวน การฟ้องร้อง และการดำเนินคดี 3.ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” 4.ปรับปรุงมาตรการของรัฐในด้านต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงได้โดยประชาชนทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบความช่วยเหลือเป็นการเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และ 5.ส่งเสริมสนับสนุนให้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและกลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 “เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 นี้ ครม. จึงเห็นชอบให้มีกลไกการดำเนินการและการติดตาม โดยให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมีหน้าที่ในการสร้างการรับรู้และความตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนแผนสิทธิมนุษยชนฯ จัดทำคู่มือในการแปลงแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้หน่วยงานที่ขับเคลื่อนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และจัดให้มีช่องทางสื่อสารเพื่อรับแจ้งปัญหา อุปสรรค หรือข้อขัดข้อง ในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนสิทธิมนุษยชนฯ โดยมีตัวชี้วัดด้านกระบวนการ (Process indicator) โดยการผลักดันและนำร่างกฎหมาย นโยบาย และมาตรการเพื่อสร้างหลักประกันสิทธิในแต่ละประเด็น/กลุ่มเป้าหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้มีตัวชี้วัดด้านผลสัมฤทธิ์ (Outcome indicator) เช่น แนวโน้มสถานการณ์/สถิติข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในแต่ละประเด็น/กลุ่มเป้าหมายลดลง สำหรับการติดตามและประเมินผล ได้กำหนดให้หน่วยงานรับผิดชอบ ตามแผนฯ รายงานผลการดาเนินงาน ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือน ต.ค. - ธ.ค. ของทุกปี และให้ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและมีความเป็นกลางทำการประเมินผลการดำเนินการ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะเชิงกระบวนการ หรือกลไกเพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้แผนไม่บรรลุเป้าหมาย และเสนอ ครม. เพื่อทราบต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64636
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน”
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ผลการจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครม.มีมติรับทราบผลการจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก และถือว่าประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นวาระแห่งชาติ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566) คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบผลการจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก และถือว่าประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ จัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” (งานมหกรรมฯ) ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขและการปรับโครงสร้างหนี้สินของประชาชนและผู้ประกอบการเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและทั่วถึง สนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการสร้างรายได้เพิ่มเติมและการสร้างความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้การแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือนเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ ผลของการจัดงานมหกรรมฯ ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงการคลัง (นายชื่นชอบ คงอุดม) ได้ชี้แจงรายละเอียดดังนี้ 1. ผลการจัดงานมหกรรมฯ รูปแบบสัญจร จำนวน 5 ครั้ง ในกรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรี และสงขลา มีประชาชนและผู้ประกอบการขอรับบริการภายในงานเป็นจำนวนมากกว่า 34,000 รายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการขอรับคำปรึกษาด้านการเงินและแนวทางในการประกอบอาชีพ จำนวนมากที่สุด 13,000 รายการ รองลงมา คือ การขอแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิมมากกว่า 10,000 รายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 10,000 ล้านบาท การขอสินเชื่อเพิ่มเติมมากกว่า 4,000 รายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 8,000 ล้านบาท และการเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อส่งเสริมการออม การตรวจข้อมูลเครดิตโดย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด การแนะแนวอาชีพโดยสำนักงานจัดหางาน การขอคำแนะนำจากสำนักงานพัฒนาชุมชน การจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของทั้งสถาบันการเงินและบริษัทเอกชน เป็นต้น จำนวนประมาณ 7,000 รายการ 2. ผลการจัดงานมหกรรมฯ รูปแบบออนไลน์ มีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ทั้งสิ้นมากกว่า 188,000 ราย คิดเป็นจำนวนรายการสะสมมากกว่า 413,000 รายการ ประกอบด้วย ลูกหนี้ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลร้อยละ 35 ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 31 และภาคอื่น ๆ ร้อยละ 34 ของลูกหนี้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด และประเภทสินเชื่อที่มีการลงทะเบียนสูงสุด คือ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลร้อยละ 75 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ร้อยละ 6 สินเชื่อรายย่อยอื่นร้อยละ 5 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยร้อยละ 4 และสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ร้อยละ 10 ถึงแม้ว่าการจัดงานมหกรรมฯ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ประชาชนยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีแนวทางการดำเนินการ ในระยะต่อไป ดังนี้ 1. มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน โดยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งสนับสนุนให้สถาบันการเงินแก้ไขปัญหาหนี้สินและปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มากกว่าการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เพียงอย่างเดียวเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้อย่างแท้จริงและคำนึงถึงภาระของลูกหนี้ตลอดสัญญา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินมาตรการถึงสิ้นปี 2566 นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้กำหนดให้การดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง 2. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดช่องทางเสริมเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ (1) ทางด่วนแก้หนี้ ซึ่งเป็นช่องทางเสริมออนไลน์สำหรับประชาชนที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้แต่ติดต่อเจ้าหนี้ไม่ได้หรือติดต่อแล้วแต่ยังไม่สามารถตกลงเงื่อนไขกันได้ (2) หมอหนี้เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นช่องทางให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างครบวงจรแก่ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบธุรกิจ SMEs และ (3) คลินิกแก้หนี้ ซึ่งเป็นช่องทางปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ไม่มีหลักประกัน 3. ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเผยแพร่เอกสารทิศทาง (Directional Paper) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพื่อสื่อสารแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยให้ทุกภาคส่วนเห็นทิศทางการดำเนินงานในระยะต่อไปและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยเอกสารดังกล่าวประกอบด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีอยู่เดิม และการปล่อยหนี้ใหม่ให้มีคุณภาพในลักษณะการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) รวมถึงการวางรากฐานที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น การพัฒนาฐานข้อมูลให้มีข้อมูลหลากหลาย สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของลูกหนี้ การปลูกฝังให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน (Responsible Borrowing) เป็นต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าการจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” จะจบลงแล้ว แต่การแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ประชาชนยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยลูกหนี้ที่ประสบปัญหาหนี้สินสามารถติดต่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ที่สาขาของสถาบันการเงินทุกแห่งทั่วประเทศ หรือเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการทางด่วนแก้หนี้ โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน หรือ โครงการคลินิกแก้หนี้ ได้ตลอดเวลา” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1. สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โทร. 02 202 1868 หรือ 02 202 1961 2. ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือสายด่วน 1115 3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555 4. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000 5. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือสายด่วน 1357 6. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 169 9999 7. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือสายด่วน 1302 8. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999 9. โครงการทางด่วนแก้หนี้ และโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน โทร. 1213 หรือ www.1213.or.th/app/debtcase หรือ ทาง Line @doctordebt 10. โครงการคลินิกแก้หนี้ โทร. 1443 หรือ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ www.debtclinicbysam.com หรือ Line @debtclinicbysam
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ถึง ก.ย.2566
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ขยายเวลาโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ถึง ก.ย.2566 วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ จากเดิมสิ้นสุดปีงบประมาณ 2565 ขยายเป็นสิ้นสุด ก.ย. 2566 โดยโครงการนี้เป็นการสนับสนุนเงินอุดหนุนแก่เกษตรกรที่ผ่านการประเมินเพื่อปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นข้าวอิน ทรีย์รายละไม่เกิน 15 ไร่ แบ่งเป็นระยะเตรียมความพร้อม ไร่ละ 2,000 บาท ระยะปรับเปลี่ยนไร่ละ 3,000 บาท และระยะรับรองมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ไร่ละ 4,000 บาท ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมแล้ว 94,888 คน มีพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์กว่า 847,373 ไร่ คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตข้าวเปลือกอินทรีย์ได้ประมาณ 400,000 ตัน และเกิดเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีความเข้มแข็ง รักษาระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมให้คงความสมดุลได้ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64612
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ต้อนรับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 กระทรวงยุติธรรม ต้อนรับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กระทรวงยุติธรรม ต้อนรับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ในวันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น . กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการประชุมสำหรับการศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับ “แนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย” โดยมีนายศุภชัย ใจสมุทร ประธานกรรมาธิการฯ และนายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรม เป็นประธานร่วมกัน นอกจากนี้ การประชุมฯ ยังได้รับเกียรติจากนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายธีรยุทธ แก้วสิงห์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ นางสาวจิฬาภรณ์ ตามชู กฤษสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา และนางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและนายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมให้ข้อมูลและต้อนรับคณะกรรมาธิการฯ ณ ห้องประชุม ๑๐-๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม การประชุมฯ ดังกล่าว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงประเด็นการดำเนินการส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของกระทรวงยุติธรรม จากนั้น กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ นำเสนอ “การขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ” ผอ.จิฬาภรณ์ฯ นำเสนอ “การดำเนินงานพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙” ผอ.นรีลักษณ์ฯ นำเสนอ “ความคืบหน้าและการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕” รวมทั้ง ผอ.มนินธ์ฯ ได้ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ความคืบหน้าการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรม” ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ความสนใจสอบถามในหลากหลายประเด็น อาทิ ความคืบหน้าและสาระสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ การเตรียมการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ทนายอาสา การจัดทำคำแปลเกี่ยวกับเอกสารสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการควบคุมฝูงชน และการสร้างการรับรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้ทุกภาคส่วน เป็นต้น ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจะได้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพัฒนาเพื่อนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องของกระทรวงยุติธรรมต่อไป หลังจากนั้นเวลา ๑๓.๓๐ น. คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าศึกษาดูงาน ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีนางอรัญญา ทองน้ำตะโก รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ และรับฟังการบรรยาย เรื่อง “แนวทางการปฏิบัติงานด้านการป้องกัน การปราบปรามการสืบสวนและการสอบสวนคดีความผิดทางอาญา โดยใช้วิธีการพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ” โดยร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ “การดำเนินงานคดีพิเศษที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยนายทรงพล รักษ์เผ่า ผู้อำนวยการส่วนกลั่นกรองคดีและการข่าวคดีพิเศษภาค กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค และ “การดำเนินการเก็บข้อมูลการตรวจ DNA ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์” โดย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามหนี้นอกระบบและอำนวยความเป็นธรรม และนางชนิดาภา ศรีหนองหว้า ผู้อำนวยการกองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64608
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้จังหวัดลำปาง จัดพิธีรับมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่แต่ละจังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงวันที่ 5 - 6 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ 1. จังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดป่าสุรีย์พรวนาราม ต.สันนาเม็ง อ.สันทราย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุ สามเณร ถวายพระพรชัยแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมพิธี 2. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่บริเวณริมเขื่อนแม่น้ำตาปี อ.เมืองสุราษฎร์ธานี นางอุรสา จินโต นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี มอบหมายให้ที่ปรึกษาและกรรมการสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับธนาคารเลือดโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะในงาน "ของดีเมืองสุราษฎร์ กาชาดประจำปี 2566" เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีประชาชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีร่วมลงทะเบียนบริจาคโลหิต 98 ราย ได้รับโลหิต 94 ยูนิต (คิดเป็น 32,900 ซีซี) มีผู้แสงความจำนงบริจาคดวงตา 24 ราย และแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ 22 ราย 3. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่วัดมหาธาตุพระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมืองเพชรบูรณ์ พระศรีพัชราธร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุพระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุเมธ ธีรนิติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมพิธี 4. จังหวัดอุดรธานี ที่วัดมัชฌิมาวาส พระอารามหลวง ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี พระธรรมวิมลมุนี เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส (พระอารามหลวง) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจังหวดเพชรบูรณ์ ร่วมพิธี 5. จังหวัดสุโขทัย ต.ทุ่งเสงี่ยม อ.ทุ่งเสงี่ยม ด.ต.สมบูรณ์ ฝั้นสกุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเสงี่ยม พร้อมคณะเหล่ากาชาดจังหวัดสุโขทัย ร่วมกันมอบถุงยังชีพพระราชทานและเงินสงเคราะห์ครอบครัวตามโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้และผู้ด้อยโอกาสที่ไม่มีผู้ดูแล เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 6. จังหวัดสมุทรปราการ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายกนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานส่วนตำบล ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้าง ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดอุทัยธานี ที่องค์การบริหารส่วนตำบลเจ้าวัด ต.เจ้าวัด อ.บ้านไร่ นายสังวาล ฤทธิ์สำเเดง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเจ้าวัด พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจตำบลเจ้าวัด พนักงานส่วนตำบล ลูกจ้างประจำ และพนักงานในสังกัดร่วมกันเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. กรุงเทพมหานคร ที่วัดกุนนทีรุทธาราม (วัดห้วยขวาง) แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง พระสมุห์สุข มหาปญฺโญ เลขานุการเจ้าคณะแขวงทุ่งพญาไท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกุนนทีรุทธาราม ร่วมกับข้าราชการ/ลูกจ้างสำนักงานเขตดินแดง พุทธศาสนิกชน เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมงานเฟสติวัลมวยไทยประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก 3,660 คน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ​ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมงานเฟสติวัลมวยไทยประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก 3,660 คน ​ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมงานเฟสติวัลมวยไทยประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก 3,660 คน ไหว้ครูมวยไทย-แสดงแม่ไม้มวยไทย เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ ณ อุทยานราชภักดิ์ อย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมงานเฟสติวัลมวยไทยประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” Guinness World Records บันทึกสถิติโลก 3,660 คน ไหว้ครูมวยไทย-แสดงแม่ไม้มวยไทย เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ ณ อุทยานราชภักดิ์ อย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโลก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงานเฟสติวัลมวยไทย ประจำปี 2566 “Amazing MuayThai Festival 2023” โดยมีนายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ผู้ร่วมไหว้ครูมวยไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้า ร่วมงาน ณ อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของโลก โดยมีกำลังพลกองทัพบก จำนวน 3,660 นาย ร่วมแสดงและถ่ายทอดความภาคภูมิใจในศิลปะของชาติ เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์ และมีร้อยโท สมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว นักมวยไทยอาชีพที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นผู้นำไหว้ครูมวยไทย และบันทึกสถิติโลก (Guinness World Records) ทั้งนี้ กีฬามวยไทยเป็นกีฬาประจำชาติอยู่คู่ประเทศไทยมานาน การจัดกิจกรรมการแสดงการไหว้ครูมวยไทย และแม่ไม้มวยไทย ด้วยจำนวนคนที่มากที่สุดในโลกเพื่อบันทึกสถิติโลกนับเป็นการส่งเสริมมวยไทยอย่างเป็นรูปธรรม และนับเป็นเรื่องที่ดีที่เยาวชนจะสืบสานกีฬามวยไทยให้อยู่คู่คนไทยต่อไป ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมวยไทย” เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือสมเด็จพระเจ้าเสือ ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านมวยและได้รับการถ่ายทอดเป็นตำรามวยไทยให้แก่คนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเผยแพร่มวยไทยและสืบสานมรดกของชาติไทยให้คงอยู่คู่คนไทยตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64617
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล มอบโชคใหญ่รางวัลสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล มอบโชคใหญ่รางวัลสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบรางวัลสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565 ณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.00 น. ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบรางวัลสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565 ณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมออกร้านในงานกาชาด ประจำปี 2565 ณ บริเวณสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 8 – 18 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมรวมใจ ใต้ร่มพระบารมี สดุดี 90 พรรษา” เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ครบ 66 ปี และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย MIND ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทยทั้งสิ้น 60,000 ใบ มีรางวัลมูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท สำหรับผู้โชคดีได้รับรางวัลสลากบำรุงสภากาชาดไทย ร้านกระทรวงอุตสาหกรรม มีดังนี้ รางวัลที่ 1 รถยนต์ MG EP PLUS สีขาว ผู้โชคดี ได้แก่ นางสาวภคภัทร สุวรรณเรือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน รางวัลที่ 2 รถยนต์ SUZUKI SWIFT รุ่น GL PLUS 1.2L สีแดง ผู้โชคดี ได้แก่ นางสาวน้ำใส ศุภรัชชานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม รางวัลที่ 3 รถจักรยานยนต์ 4 คัน ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ HONDA รุ่น New Scoopy จำนวน 2 คัน ผู้โชคดี ได้แก่ นายศุภากร โพธิ์ศรี อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายวิเชียร เล็กวิจิตรธาดา อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร รถจักรยานยนต์ YAMAHA รุ่น Fazzio จำนวน 2 คัน ผู้โชคดี ได้แก่ นายนคร ศรีมงคล เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ และนายวศพล งางาม อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี โดยมี นายสุรพล ชามาตย์ นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64623
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยเดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาลปราบยาเสพติดยกเป็นวาระแห่งชาติ พาปลัดสธ. ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส.ดูความสำเร็จ “หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด” หนุน 5 ทหารเสือในหมู่บ้าน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ปลัดมหาดไทยเดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาลปราบยาเสพติดยกเป็นวาระแห่งชาติ พาปลัดสธ. ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส.ดูความสำเร็จ “หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด” หนุน 5 ทหารเสือในหมู่บ้าน ปลัด มท. เดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาลปราบยาเสพติดยกเป็นวาระแห่งชาติ พาปลัดสธ. ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส.ดูความสำเร็จ “หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด” หนุน 5 ทหารเสือในหมู่บ้านผนึกทีมจิตอาสาจาก 7 ภาคีเครือข่ายเสริมทัพสร้างความเข้มแข็งร่วมแก้ไขปัญหา ปลัดมหาดไทยเดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาลปราบยาเสพติดยกเป็นวาระแห่งชาติ พาปลัดสธ. ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส.ดูความสำเร็จ “หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด” หนุน 5 ทหารเสือในหมู่บ้านผนึกทีมจิตอาสาจาก 7 ภาคีเครือข่ายเสริมทัพสร้างความเข้มแข็งร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์ปฏิบัติการชุมชนยั่งยืนบ้านท่าอุทัย (ศาลาประชาคมบ้านท่าอุทัย) ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดหนองบัวลำภูในระยะเวลาเร่งด่วน 3 เดือน โดยได้รับเมตตาจาก พระราชวชิรธาดา เจ้าคณะจังหวัดหนองบัวลำภู ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่าย ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ร่วมให้การต้อนรับ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยที่เกี่ยวข้องต่างมี “หัวใจเดียวกัน” คือ “อยากเห็นสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในสังคมไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อคิดสำคัญที่ว่า “ทำอย่างไรให้เกิดความยั่งยืน” ซึ่งความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ที่ “ใจ” และอยู่ที่ “พวกเราทุกคน” ที่ต้องก้าวผ่านข้อจำกัดของทรัพยากรการบริหารทั้งงบประมาณ กำลังคน เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อน “แก้ไขปัญหายาเสพติด” ที่เป็นวาระแห่งชาติ โดยสั่งการให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบแนวทางการทำงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำให้ยาเสพติดหมดไปจากสังคมไทย ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำและกำชับให้ทุกองคาพยพของมหาดไทย. ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และทุกกลไกได้ประกาศสงครามกับยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมทั้งมอบนโยบายและหนุนเสริมเพื่อให้ทุกพื้นที่ทำงานอย่างเต็มสติกำลัง เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน เพราะปัญหายาเสพติดถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ดังพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่พระราชทานพระราชดำรัสถึงโทษภัยของยาเสพติดว่า “ยาเสพติดทำให้คนกลายเป็นสัตว์ สัตว์ซึ่งฆ่าได้กระทั่งแม่ของตนเอง สัตว์ซึ่งฆ่าได้กระทั่งลูกของตนเอง ซึ่งสัตว์ในโลกนี้มีลักษณะอย่างนี้หายากมาก” โดยพระราชทานแนวทางทำให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาดูแลลูกหลานให้มีภูมิคุ้มกัน ทำให้ชุมชน/หมู่บ้านปลอดยาเสพติด ด้วยพลังของคนในหมู่บ้านภายใต้ชื่อ “กองทุนแม่ของแผ่นดินหรือหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน” นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และภาคีเครือข่าย Re X-Ray ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งได้ทำสำเร็จตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 65 มีจำนวนผู้ค้า/ผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ 1.2 แสนคน และร่วมกันบูรณาการทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ขับเคลื่อนแก้ปัญหาอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยกรมการปกครอง ได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 994 ล้านบาท เพื่อจัดโครงการช่วยเหลือผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด รุ่นละ 50 คน จำนวน 2,000 รุ่น รวม 100,000 คน เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้าสู่ระบบฟื้นฟูและการบำบัดรักษาด้วยโปรแกรมที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดไว้ “โครงสร้างการขับเคลื่อนที่สำคัญที่จะทำให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เกิดความยั่งยืนเพิ่มเติมเสริมกำลังของ 5 ทหารเสือในหมู่บ้าน/ชุมชน คือ “ทีมจังหวัด ทีมอำเภอ ทีมตำบล และทีมหมู่บ้านแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน โดยมี ทีมจิตอาสาจาก 7 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ภาคราชการทุกกระทรวง ผู้นำศาสนา ผู้นำวิชาการ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อมวลชน อำเภอละ 10 คน จาก 878 อำเภอ เรียกว่า “ทีมอำเภอ” ได้ลุกขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการกระตุ้นปลุกเร้าผู้มีจิตอาสาในพื้นที่ รวมพลังกันเป็น “ทีมตำบล” “ทีมหมู่บ้าน” ช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในทุกเรื่องที่เป็นปัญหาความเดือดร้อน ไม่ใช่แค่เรื่องยาเสพติดอย่างเดียว ครอบคลุมทั้งเรื่องโรคระบาด ปัญหาสิ่งแวดล้อม การคัดแยกขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การช่วยเหลือเด็กไม่มีทุน เพื่อให้เกิดการ “บูรณาการทั้งคนและทุกภารกิจในพื้นที่เพื่อให้เกิดความยั่งยืน” เพราะแม้ว่าผู้นำ คือ ท่านนายอำเภอจะเกษียณอายุราชการ หรือย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่น “ทีมเหล่านี้” จะยังคงเป็นทีมที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติดและทุกปัญหาในพื้นที่ด้วยพลังของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน” ปลัด มท. กล่าวเน้นย้ำ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดเป็นนโยบายที่ต้องบูรณาการร่วมกันทั้งการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษา โดยเฉพาะการบำบัดรักษาและฟื้นฟู โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งหน่วยบริการบำบัดรักษา โดย 1) จัดตั้งหอผู้ป่วยจิตเวชและบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่โรงพยาบาลจังหวัดครบทุกจังหวัดแล้ว 2) ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ผลิตจิตแพทย์เพิ่มเติม 800 คน และพยาบาลจิตเวช 3,000 พันคน โดยจะดูแลผู้ป่วยเป็นรายบุคคล มี อสม. เป็นกลไกในพื้นที่ร่วมแก้ปัญหายาเสพติด ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ กล่าวว่า ภารกิจการแก้ปัญหายาเสพติดยังไม่จบ การทำงานต้องบูรณาการพื้นที่ที่ต้องสู้ต่อไปเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องน้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงย้ำว่า “หนองบัวลำภูอย่าให้เหตุการณ์นี้สูญเปล่า ขอให้แก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง” นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด เป็นขุนพลช่วยสนับสนุนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและท่านนายอำเภอ ลงพื้นที่แก้ปัญหาและติดตามการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะ “การลงพื้นที่” เป็นคำตอบสุดท้ายที่พี่น้องประชาชนจะพึงพอใจและรู้สึกว่าปลอดภัย ดังนั้นตำรวจทุกหน่วยต้องร่วมกันลงพื้นที่ร่วมกันบูรณาการกับฝ่ายปกครองและทุกหน่วยอย่างจริงจังต่อเนื่อง ขณะที่ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ขอให้ขยายผลต้นแบบนี้ไปยังทุกจังหวัด พร้อมทั้งขอสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของกระทรวงมหาดไทยที่ได้ขอรับสนับสนุนงบกลาง 994 ล้านบาท เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งย้ำเตือนประชาชนได้ช่วยกันสร้างการรับรู้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยหากผู้ใดยินยอมให้ผู้อื่นนำบัตรประชาชนไปเปิดบัญชี หรือซิมการ์ดโทรศัพท์ หรือเอาไปให้ผู้อื่นใช้เช่าบ้าน ทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับยาเสพติด ต้องรับโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งพนักงานสอบสวนสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ทันที นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า ขอให้ทุกอำเภอได้เตรียมความพร้อมโครงสร้างและกระบวนการทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่ให้พร้อมดำเนินการได้ทันที พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงานทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเรื่องที่สำคัญของเราพวกเราทุกคน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงและยั่งยืน ด้าน นายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวบรรยายสรุปผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดหนองบัวลำภูในระยะเวลาเร่งด่วน 3 เดือน ด้วยแนวทาง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติดครบวงจร” ที่ครอบคลุมมาตรการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาด้วยแนวคิด Change for Good โดย “5 เสือพาพี่น้องทำความดี” ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และคุ้ม 2) จัดทำตู้ราชสีห์ ผ่านระบบ QRCODE กระจายทุกหมู่บ้าน ตลาด ชุมชน สถานที่ราชการในทุกอำเภอ เพื่อประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทำผิด 3) จัดชุดกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. รพ.สต. ตำรวจ อาสาตำรวจ และหัวหน้า/คณะกรรมการคุ้ม 5,149 คุ้ม คัดกรองและดูแลผู้ป่วยจิตเวช โดยมี อสม. และ กม. ที่ผ่านการอบรมการดูแลสังเกตผู้ป่วย ทั้งมีทีมผู้พิทักษ์ และชุดนาคาพิทักษ์ เข้าระงับเหตุทันที หากมีผู้ป่วยคลุ้มคลั่ง4) จัดทำ Family folder รวบรวมข้อมูลปัจจัยเพื่อเลิกยาเสพติด การช่วยเหลือ และข้อมูลครอบครัว ครอบคลุมทั้งสุขภาพ รายได้ และข้อมูลอื่น ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทหมู่บ้าน/ชุมชนมีส่วนร่วม ด้วยกองทุนแม่ของแผ่นดิน 272 กองทุน กองทุนหมู่บ้านยั่งยืน 67 หมู่บ้าน ซึ่งจากการ Re X-ray ข้อมูลในพื้นที่ พบผู้เสพ 2,044 คน ผู้ค้า 389 คน ผู้ป่วยจิตเวช 320 คน และได้คัดกรองประชาชนอายุ 12-65 ปี ในชุมชน พบผู้เสพ 701 คน เข้ารับการคัดกรองจำแนกเป็นสีแดง เข้าบำบัดรักษาที่โรงพยาบาล และสีเหลือง สีเขียว บำบัดโดยชุมชน และในด้านปราบปราม ได้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ถนนสายหลัก 7 จุด ถนนสายรอง 721 จุด ทำการสุ่มตรวจ 644 ครั้ง ตรวจพัสดุไปรษณีย์ 6 ครั้ง ขยายผลเครือข่ายยาเสพติดทำการยึดทรัพย์แล้ว 2 คดี และได้สุ่มตรวจเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหาสารเสพติด 76 หน่วย 3,783 ราย พบมีสารเสพติด 43 ราย เข้ารับการบำบัดรักษา พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รองผบช.ภ. 4 กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการนาคาพิทักษ์ รักษ์ประชา ปัจจุบันมีทีมเผชิญเหตุ 2,549 ทีม และทีมผู้พิทักษ์ 3,361 ทีม พร้อมบูรณาการเจ้าหน้าที่ฟื้นฟู และส่งเสริมทักษะใช้ชีวิตในสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตในสังคมได้ และนำเสนอโครงการหัวโทนโมเดล โดยสถานีตำรวจภูธรหัวโทน อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ด้วยการตั้งกลุ่มไลน์โดยดึงผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ร่วมกันดูแลการบำบัดรักษา ทำให้ในปัจจุบัน พื้นที่ สภ.หัวโทน ไม่มีสถิติรับแจ้งเหตุผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุในพื้นที่ พระราชวชิรธาดา เจ้าคณะจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเมื่อตำรวจและฝ่ายปกครองจับกุมผู้กระทำความผิด (ต้นน้ำ) พระสงฆ์ได้ขับเคลื่อนโครงการนำคุกเข้าวัด “เรือนจำชั่วคราวบ้านห้วยเตย” ณ วัดพัชรกิติยาภาราม ฝึกวิชาชีพ พัฒนาด้านจิตใจให้กับผู้ต้องขังที่ได้รับโทษทางกฎหมาย (กลางน้ำ) และเมื่อฝึกแล้วก็กลับไปสู่ชุมชนเดิม (ปลายน้ำ) พร้อมทั้งเน้นย้ำเรื่องความยั่งยืน ด้วยการน้อมนำหลักการทรงงาน “บวร” บ้าน วัด ราชการ ทำให้วัดเป็นที่พึ่งของสังคม ทำให้เกิดความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน ทำให้ทุกภาคส่วนเป็นผู้ร่วมพัฒนาประเทศชาติ พระศาสนา และประชาชนอย่างยั่งยืน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้สนธิความคิด สนธิกำลัง สนธิแผนงานและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของหนองบัวลำภูและตำรวจภูธรภาค 4 ในวันนี้ ขยายผลทำให้ทุกจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ได้รู้จัก “หัวโทนโมเดล” และ “ผ้าป่าผู้ค้ายาเสพติด” ไปประยุกต์ใช้ตามภูมิสังคม และขอให้จังหวัดหนองบัวลำภูได้นำกลไก 7 ภาคีเครือข่ายเข้าไปเติมเต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคีเครือข่าย “ผู้นำศาสนา” มีพระสงฆ์ เป็นกำลังสำคัญ เพื่อทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมที่มีแต่ความดี ความสงบสุข ไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะโดนลูกหลงจากคนคลุ้มคลั่ง ไม่มีเหตุลูกฆ่าพ่อแม่ พ่อต้องตี หรือเป็นสังคมที่ผู้คนปราศจากความสุข ทำให้สังคมหนองบัวลำภูและสังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ครม. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ "มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน" ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ พร้อมมหกรรมสัญจรฯ กทม.และ 4 ภูมิภาคทั่วไทย เร่งรัดแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนและผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (7 ก.พ. 2566) รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการในการกำหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุนของประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) โดยกระทรวงการคลังได้ร่วมกับ ธปท. จัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ "มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน" ในรูปแบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 มีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ทั้งสิ้น 188,739 ราย คิดเป็นจำนวนรายการสะสม 413,780 รายการ และการจัดงานรูปแบบสัญจรทั้งในกรุงเทพมหานครและ 4 ภูมิภาค รวม 5 ครั้ง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสงขลา มีประชาชนและผู้ประกอบการขอรับบริการภายในงานจำนวน 33,859 รายการ จำนวนเงินประมาณ 23,286 ล้านบาท โดยมีการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง การสร้างรายได้ผ่านการสร้างอาชีพหรืออาชีพเสริม รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนด้วยการส่งเสริมทักษะการประกอบอาชีพเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง พร้อมสร้างความตระหนักรู้การบริหารจัดการด้านการเงินอย่างถูกต้องด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและธปท. มีแนวทางเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องและสนับสนุนให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรม โดยมีมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีระยะเวลาดำเนินมาตรการถึงสิ้นปี 2566 การจัดช่องทางเสริมเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1)ทางด่วนแก้หนี้ ซึ่งเป็นช่องทางออนไลน์สำหรับประชาชนที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ 2)หมอหนี้เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นช่องทางให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครบวงจร และ 3)คลินิกแก้หนี้ ที่เป็นช่องทางปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน นอกจากนี้ ธปท.จะเผยแพร่เอกสารทิศทาง (Directional Paper) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพื่อสื่อสารแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยให้ทุกภาคส่วนเห็นทิศทางการดำเนินงานในระยะต่อไปและสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียังได้กำชับในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้ขับเคลื่อนการทำงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนต่อไป เพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนการแก้ไขและโครงสร้างหนี้สินของประชาชนและผู้ประกอบการไทยเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติม รวมทั้งพิจารณาแนวทางการสร้างรายได้เพิ่มเติมและการสร้างความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนเกิดผลอย่างยั่งยืน บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ณัฏฐิญา ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 รองปลัดฯ ณัฏฐิญา ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก “นายกฯ ประยุทธ์” ประชุมความพร้อมจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระสังฆราช เร่งให้ทันตามกำหนด 26 มิ.ย. นี้ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครั้งที่ 1 / 2566 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมาก ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล และผ่านทางระบบออนไลน์โปรแกรม Zoom โดยที่ประชุมมีการพิจารณาและหารือในประเด็นสำคัญ ดังนี้ เรื่องเพื่อทราบ การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานชุดต่าง ๆ การกำหนดขอบเขตการจัดงาน การจัดทำตราสัญลักษณ์งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ การจัดทำเข็มที่ระลึก จำนวน 30,000 เข็ม เพื่อจำหน่ายราคาเข็มละไม่เกิน 300 บาท และการกำหนดชื่อการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ โดยกำหนดชื่อการจัดงานว่า “การจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566” นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาการจัดทำโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 9 โครงการสำคัญ ดังนี้ (1) โครงการกำหนดประโยชน์ใช้สอยพื้นที่ภายในกระทรวงมหาดไทย (2) โครงการจัดสร้างสถาบันกรรมฐานศึกษาสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี (3) โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ (4) กิจกรรมการฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ด้านการศึกษาเรียนรู้) (5) โครงการ “ธรรมะ สานใจ สูงวัยพลังบวก” เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ (96 พรรษา) (6) โครงการอบรม “พระบริบาลภิกษุไข้” ประจำวัด 1 วัด 1 รูปทั่วไทย เฉลิมพระเกียรติ (7) โครงการพัฒนาวัดต้นแบบ (8) โครงการจัดสร้างสิ่งสะสมพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ และ (9) โครงการจัดทำเหรียญที่ระลึก งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยกรมธนารักษ์จะเป็นผู้จัดทำเหรียญที่ระลึก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64626
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติเพิ่มจำนวนนิสิตตามโครงการเพชรในตม จากเดิม 45 คน เป็น 161 คน เริ่มปี 2566 เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.อนุมัติเพิ่มจำนวนนิสิตตามโครงการเพชรในตม จากเดิม 45 คน เป็น 161 คน เริ่มปี 2566 เป็นต้นไป ครม.อนุมัติเพิ่มจำนวนนิสิตตามโครงการเพชรในตม จากเดิม 45 คน เป็น 161 คน เริ่มปี 2566 เป็นต้นไป น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้อนุมัติการเพิ่มจำนวนการรับนิสิตโครงการเพชรในตม จากเดิม 45 คน เป็น 161 คน หรือเพิ่มขึ้น 116 คน โดยแยกกลุ่มที่1 จาก 73 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 2 คน ยกเว้นผู้มีภูมิลำเนาในกรุงเทพฯ และจังหวัดชายแดนใต้ และกลุ่มที่2 นิสิตจากจังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสงขลา 4 อำเภอ (จะนะ, เทพา,นาทวี และสะบ้าย้อย) จำนวน 15 คน พร้อมกันนี้ ได้เห็นชอบให้บรรจุบัณฑิตจำนวน 161 คนตามโครงการ เป็นข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในโรงเรียนพื้นที่ภูมิลำเนาของนิสิตตามโครงการหรือหมู่บ้านใกล้เคียงโดยไม่ต้องสอบแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ พร้อมกับให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนนิสิตตามโครงการฯ ในครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรการอำนวยการโครงการเพชรในตมได้รับทราบจากรายงานว่า จำนวนครูในโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ตลอดจนพื้นที่แนวชายแดนยังคงชาดแคลนครูระดับชั้นประถมศึกษา ขณะที่การผลิตบุคลากรครูของโครงการปีละ 45 คนยังไม่เพียงพอ สำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กอ.รมน. จึงได้เสนอแนวทางการรับนิสิตตามโครงการเพิ่มเติมตามจำนวนดังกล่าว เพื่อเป็นการขยายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการกศึกษาให้กับเยาวชนทั่วประเทศ ทั้งนี้ กอ.รมน. ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการภายหลังเพิ่มจำนวนนิสิตร่วมโครงการว่า งบประมาณตามโครงการจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นคาดว่าปี 2566-69 งบประมาณจะอยู่ที่ 14.48 ล้านบาท 18.98 ล้านบาท 24.33 ล้านบาท และ 29.09 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งปี 2566 ที่งบประมาณเพิ่มขึ้น 5.39 ล้านบาท จากเดิมที่ กอ.รม. จัดเตรียมงบประมาณไว้ 9.09 ล้านบาทนั้น ส่วนที่เพิ่มขึ้นจะใช้จ่ายจากงบของ กอ.รมน. จากนั้นจมีการตั้งงบประมาณตามโครงการเพิ่มเติมในในปี 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ โครงการเพชรในตมจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์การพัฒนาบุคลากรในหมู่บ้าน อพป. ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลให้มีความรู้ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง เพื่อให้มีบุคคลที่มีความสามารถไปเป็นครูผู้พัฒนาในท้องถิ่นของตนเองหรือพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งนับแต่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2529 ถึง 2565 มีนิสิตเข้ารับการศึกษาตามโครงการรวม 37 รุ่น จำนวน 1,259 คน จบการศึกษาแล้ว 1,034 คน และกำลังศึกษาชั้นปีที่ 1-5 จำนวน 225 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) ติดกับพรมแดนประเทศซีเรีย
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) ติดกับพรมแดนประเทศซีเรีย โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) ติดกับพรมแดนประเทศซีเรีย วันที่7 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบด้วยความเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ศูนย์กลางอยู่ในเขต Pazarcık ทางตอนใต้ของจังหวัด Kahramanmaras (ห่างจากกรุงอังการาประมาณ 580 กิโลเมตร) มีศูนย์กลางลึกลงไป 7 กิโลเมตร ติดกับพรมแดนประเทศซีเรีย ในช่วงเช้าของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 จนเกิดความสูญเสียต่อชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อสาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) และทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจะสามารถก้าวผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้ในเร็ววัน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการฟื้นฟูได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ ตอนนี้ยังไม่พบว่ามีคนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยขอให้ประชาชนไทยในพื้นที่ระมัดระวัง โดยตรวจสอบและติดตามข่าวสาร ตลอดจนคำเตือนจากทางการตุรกี โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกอย่างสม่ำเสมอ หากต้องการความช่วยเหลือจำเป็นเร่งด่วน สามารถติดต่อหมายเลขฉุกเฉินของสถานเอกอัครราชทูตฯ +90 533 641 5698 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทาง Facebook Page สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64616
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่าง พรฎ. ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 1 มี.ค. 66
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.เห็นชอบร่าง พรฎ. ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 1 มี.ค. 66 ครม.เห็นชอบร่าง พรฎ. ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 1 มี.ค. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา(พรฎ.) ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่2 พ.ศ..... ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 66 เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ทั้งนี้ ร่าง พรฎ. ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญฯ นี้ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 ซึ่งบัญญัติให้ 1 ปี มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา 2 สมัย สมัยหนึ่งให้กำหนดเวลา 120 วัน และการปิดประชุมให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งตามที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่2 พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่1 พ.ย. 65 จะสิ้นกำหนดเวลา 120 ในวันที่ 28 ก.พ. 66 จึงสมควรที่จะกำหนดให้ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่2 ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 66
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ผู้ว่าพาเข้าวัด ปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาฯ สู่นครบวรสุข” พ่อเมืองนครศรีฯ นำชาวจุฬาภรณ์ กว่า 500 คน เข้าวัดฟังธรรม เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 “ผู้ว่าพาเข้าวัด ปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาฯ สู่นครบวรสุข” พ่อเมืองนครศรีฯ นำชาวจุฬาภรณ์ กว่า 500 คน เข้าวัดฟังธรรม เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน “ผู้ว่าพาเข้าวัด ปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาฯ สู่นครบวรสุข” พ่อเมืองนครศรีฯ นำชาวจุฬาภรณ์ กว่า 500 คน เข้าวัดฟังธรรม เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนด้วยการนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาและหลักการทรงงานตามหลัก "บวร" จึงได้จัดกิจกรรม “ผู้ว่าพาเข้าวัด ปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาฯ สู่นครบวรสุข” ตามโครงการปลูกฝังค่านิยมวิถีพุทธ จังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยได้รับเมตตาจากพระครูโพธยานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอจุฬาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดโพธิวงศาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางพิชานันท์ เผือกผ่อง ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช นำผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช นายประสงค์ จันทร์หยู นายอำเภอจุฬาภรณ์ นำข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษา และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่อำเภอจุฬาภรณ์กว่า 500 คน ร่วมกิจกรรม จัดขึ้น ณ วัดโพธิวงศาราม ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมตักบาตรทักสิณาพระภิกษุ และสามเณร 20 รูป พร้อมกล่าวพบปะกับพี่น้องชาวอำเภอจุฬาภรณ์ โดยเน้นย้ำว่า "กิจกรรมชวนลูกหลานเข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้ว ยังนำความห่วงใยในเรื่องของปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วน ทุกคนจะต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา ร่วมกันดูแลบุตรหลานของตัวเองไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด นอกจากนี้ จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังมีโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งของประเทศ ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีโครงการคนนคร รักษาวินัยจราจร 100% ให้ปฏิบัติตามมาตรการ ทั้ง สวมหมวกนิรภัย คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ขับรถเร็ว เมาไม่ขับ ไม่ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด และไม่ขับรถสวนเลน เพี่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "โครงการบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง" เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนปลูกผักไว้บริโภคในครัวเรือน ซึ่งนอกจากจะทำให้ประหยัดแล้ว ยังได้รับประทานผักที่ปลอดจากสารเคมี เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น" นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรม “ผู้ว่าพาเข้าวัด ปฏิบัติบูชา ตามรอยพระสัมมาฯ สู่นครบวรสุข” เป็นโครงการที่ดำริขึ้นโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช มุ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เข้าวัดสดับรับฟังคำสอนทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม นำหลักศีล 5 มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สร้างสังคมมีศีล มีสุข อีกทั้งเป็นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของจังหวัดตามสโลแกน “มาน๊ะ มานคร มาหาศรัทธา”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการเพชรบูรณ์ ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ ปี 66
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการเพชรบูรณ์ ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ ปี 66 เน้นย้ำการทำงานตามนโยบาย MIND ครอบคลุม 4 มิติ ความสำเร็จทางธุรกิจ ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อตรวจราชการกรณีปกติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รอบที่ 1 มี นายพสุ สุครีวก อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมเพชรบูรณ์ เข้าร่วม โดยผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินงานตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ความสำเร็จทางธุรกิจ ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามแนวคิด"ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน" และขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์การแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการโรงงานรายเดือน (รง.8) และรายปี (รง.9) ตามกฎหมาย ตามแบบ Single Form เน้นย้ำการป้องกันการลักลอบเผาอ้อยและการบริหารการขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. เร่งรัดการส่งเสริมโรงงานให้ได้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% การตรวจกำกับดูแลสถานประกอบกิจการโรงงานและเหมือนแร่ให้ได้ 100% โดยมุ่งเน้นสถานประกอบการที่มีนัยสำคัญ การขออนุญาตและการรายงานการจัดการของเสีย (สก.1,2,3) ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การดำเนินงานการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ (ITA) โดยให้มีคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา การติดตามโรงงานที่มีการร้องเรียนและฟ้องร้อง การติดตามโรงงานที่เข้าข่ายต้องประเมินความเสี่ยงฯ ตามกฎหมาย ดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่ได้รับงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ยังได้พบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการบูรณาการการทำงานในพื้นที่จากตัวแทนภาคเอกชน อาทิ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเพชรบูรณ์ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาเพชรบูรณ์ หลังจากนั้น ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ และคณะ ได้ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนผู้ประกอบการ บริษัท ศรีแก้วหล่มเก่า จำกัด ประกอบกิจการห้องเย็นเก็บมะขามแปรรูปและแปรรูปมะขาม ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมทั้ง 4 มิติ คือ ความสำเร็จทางธุรกิจ การช่วยเหลือชุมชน สังคม ประกอบการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นให้เกิดการกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลยกระดับการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เพิ่มสิทธิบัตรทองตรวจแล็บฟรี! 24 รายการ ที่คลินิกเทคนิคการแพทย์ 17 แห่ง เตรียมขยายทั่วประเทศเร็วๆ นี้
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ​รัฐบาลยกระดับการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เพิ่มสิทธิบัตรทองตรวจแล็บฟรี! 24 รายการ ที่คลินิกเทคนิคการแพทย์ 17 แห่ง เตรียมขยายทั่วประเทศเร็วๆ นี้ ​รัฐบาลยกระดับการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เพิ่มสิทธิบัตรทองตรวจแล็บฟรี! 24 รายการ ที่คลินิกเทคนิคการแพทย์ 17 แห่ง เตรียมขยายทั่วประเทศเร็วๆ นี้ วันนี้ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการยกระดับการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข ครอบคลุมการตรวจคัดกรองโรคมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น รัฐบาลโดยสภาเทคนิคการแพทย์ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือแล็บ (Laboratory: LAB) 24 รายการฟรี! ให้กับผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง ที่คลินิกเทคนิคการแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับบริการตรวจแล็บ 24 รายการ ประกอบด้วย 1.ตรวจการตั้งครรภ์ 2.ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ และ 3.ผู้ป่วยนอกโรคเรื้อรัง ที่มีใบส่งตรวจจากแพทย์ก็สามารถเข้ารับบริการตรวจเลือดและปัสสาวะอีก 22 รายการ นางสาวรัชดา กล่าวว่า ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถรับบริการตรวจที่ “คลินิกเทคนิคการแพทย์” ที่เข้าร่วมโครงการ โดยสังเกตจากสติกเกอร์หรือโลโก้ที่ระบุข้อความ “คลินิกเทคนิคการแพทย์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ซึ่งเป็นคลินิกเทคนิคการแพทย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ใช้วิธีการตรวจที่เป็นมาตรฐาน และให้ผลการตรวจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการนำร่องแล้ว 17 แห่ง และเตรียมพร้อมให้บริการทั่วประเทศเร็ว ๆ นี้ “ในอนาคตจะเพิ่มบริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้รับบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่คลินิกเทคนิคการแพทย์มากขึ้น เช่น ตรวจวัดไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด จำนวนเม็ดเลือดและความเข้มข้น เป็นต้น” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ปรับอัตราการคืนเงินเป็นร้อยละ20-30 พร้อมขยับเพดานการคืนเงินต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาท เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขัน
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.ไฟเขียวทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ปรับอัตราการคืนเงินเป็นร้อยละ20-30 พร้อมขยับเพดานการคืนเงินต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาท เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขัน ครม.ไฟเขียวทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ปรับอัตราการคืนเงินเป็นร้อยละ20-30 พร้อมขยับเพดานการคืนเงินต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาท เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันหลังหลายประเทศออกมาตรการดึงดูดกองถ่าย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 7 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยการปรับเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขมาตรการส่งเสริม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ จะเป็นการปรับปรุงใน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่1 ปรับอัตราการคืนเงิน (Cash Rebate) จากเดิม ร้อยละ 15-20 เป็นร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยสิทธิประโยชน์หลักอยู่ที่ร้อยละ 20 เมื่อมีการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่วนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมรวมแล้วไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งหลังจากนี้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการปรับปรุงประกาศกรมการท่องเที่ยวในส่วนของเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยโดยตรงเป็นลำดับแรก เช่น การกระจายรายได้สู่เมืองรอง การเพิ่มการจ้างงานคนไทย การเพิ่มมูลค่า ค่าใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประชาชนโดยตรง ส่วนที่2 เป็นการปรับเพิ่มเพดานการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง ซึ่งจะทำให้เพดานเงินลงทุนสร้างภาพยนต์ต่อเรื่องเพิ่มเป็น 750 ล้านบาท จากเดิม 375 ล้านบาท เพื่อเป็นการรับกับแนวโน้มที่คณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาในไทยเป็นผู้สร้างรายใหญ่ เงินทุนสูง โดยเฉพาะภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ โดยเรื่องที่เข้ามาถ่ายทำในไทยสูงสุดขณะนี้คือภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่อง Thai Cave Rescue น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับความจำเป็นที่ต้องมีการทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำาภาพยนตร์ต่างประเทศ เนื่องมาจากปัจจุบันประเทศต่างๆ เห็นประโยชน์จากธุรกิจถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศจึงได้ออกมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) หรือคืนภาษี (Tax Rebate/Tax Credit)เพื่อดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ให้เข้าไปถ่ายทำในประเทศตนอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับเกณฑ์และเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ การปรับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข สำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยทั้ง 2 ส่วน จะส่งผลต่อภาระงบประมาณในปี 2567-68 (มาตรการมีผลในปี 66 แต่การคืนเงินจะเกิดขึ้นในปี 67-68) รวม 2 ปี เพิ่มขึ้นจาก 821.82 ล้านบาท เป็น 1,845 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.54 อย่างไรก็ตาม การเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพกว้าง มีเงินจากการลงทุนของบริษัทภาพยนตร์หมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น 900-1,200 บาทต่อปี กระจายรายได้ไปสู่ภาคส่วนต่างๆ และการที่ชาวไทยได้ร่วมงานกับคณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศนอกจากจะให้คนไทยได้รับการจ้างงานเพิ่มกว่า 800 อัตราต่อปี ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มทักษะและประสบการณ์ เป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสู่ระดับสากลด้วย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติมาตั้งแต่ปี 60 ซึ่งได้มีคณะถ่ายทำได้เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2562 ก่อนเกิดโควิด19 ประเทศไทยมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 4,463.74 ล้านบาท ส่วนปี 64 ที่ยังมีโควิด19 ผู้สร้างภาพยนตร์ก็ยังคงเข้ามาถ่ายทำในไทยสร้างรายได้ 5,007 ล้านบาท โดยนับแต่มีมาตรการส่งเสริม ได้มีภาพยนตร์ 43 เรื่องที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในไทย 8,560 ล้านบท มีภาพยนตร์ที่ได้รับอนุมัติสิทธิประโยชน์ 34 เรื่อง เงินลงทุน 6,283 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้กระจายไปยังภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทย เช่นค่าจ้างทีมงานชาวไทย ค่าเช่าเครื่องมืออุปกรณ์ ค่าเช่าที่พัก ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่ารถ ค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันโควิด ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น โดย ณ สิ้นเดือน ต.ค. 65 รัฐบาลได้จ่ายเงินคืนภายใต้มาตรการดังกล่าวแล้วจำนวน 29 เรื่อง เป็นเงิน 772.13 ล้านบาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณกระทรวงการท่องเที่ยวฯ 560.03 ล้านบาท และจากการจัดสรรงบกลางเพิ่มเติม 212.10 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ประชุมร่วม TNSC หารือแนวทางการพัฒนาพาณิชยนาวีไทย รองรับการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า ประชุมร่วม TNSC หารือแนวทางการพัฒนาพาณิชยนาวีไทย รองรับการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ ... กรมเจ้าท่า ประชุมร่วม TNSC หารือแนวทางการพัฒนาพาณิชยนาวีไทย รองรับการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้กรมเจ้าท่าเตรียมความพร้อมด้านพาณิชยนาวี เพิ่มคุณภาพในด้านโลจิสติกส์เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมหารือระหว่างกรมเจ้าท่าและสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (Thai National Shippers' Council) เพื่อหารือถึงประเด็นการพัฒนาพาณิชยนาวีไทยเพื่อรองรับการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ ผู้แทนจากกองส่งเสริมการพาณิชยนาวี ผู้แทนจากสำนักกฎหมาย ผู้แทนจากสำนักแผนงาน และผู้แทนจากสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ กรมเจ้าท่า ณ ห้องประชุมชั้น 10 อาคาร 162 ปี กรมเจ้าท่า การประชุมในครั้งนี้ ได้หารือร่วมกัน ถึงแนวทางการส่งเสริมบทบาทของผู้ส่งสินค้า (Shippers) เพื่อผลักดันการแก้ปัญหาการถ่ายลำ (Transshipment) การเก็บข้อมูลสถิติค่าระวาง ปริมาณสินค้า ตู้สินค้า ปัญหาความแออัดในท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ และการเร่งรัดการพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) และการผลักดันการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ทั้งสายเรือและผู้ส่งสินค้า รวมไปถึงการขุดลอกร่องน้ำในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยกรมเจ้าท่า ยินดีดำเนินการในส่วนที่อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ของกรมเจ้าท่า ทั้งนี้ จะเร่งผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกคณะกรรมการที่แต่งตั้ง ตลอดจนพัฒนาความร่วมมือระหว่างกรมเจ้าท่า หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เพื่อทำงานร่วมกันในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ และส่งเสริมการพัฒนากิจการพาณิชยนาวีของไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบคืบหน้าโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้มีรายได้น้อยกว่า 3.5หมื่นบาท/เดือน ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 พื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม.รับทราบคืบหน้าโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้มีรายได้น้อยกว่า 3.5หมื่นบาท/เดือน ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 พื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ครม.รับทราบคืบหน้าโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้มีรายได้น้อยกว่า 3.5หมื่นบาท/เดือน ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 พื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขยายเวลาให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรันอีก1ปี พร้อมอนุมัติกรมธนารักษ์เดินหน้าโครงการ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. รับทราบผลการดำเนินโครงการ “บ้านคนไทยประชารัฐ” บนที่ดินราชพัสดุ และมีมติอนุมัติให้กำหนดระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (Pre Finance และ Post Finance) สำหรับธุรกรรมนโยบายภาครัฐ (PSA) โครงการฯ จากเดิม ที่ ครม. ได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 โดยขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี ระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2566 – 2 มกราคม 2567 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยคงเดิม โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติ ตามประกาศ ธปท. กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และมติ ครม. อย่างเคร่งครัด น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นดำเนินโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ จำนวน 2,757 ยูนิต เพื่อให้ประชาชน 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยเป็นโครงการบ้านแฝด/บ้านแถว/อาคารชุดพักอาศัย ที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตร.ม. ในระดับราคา 350,000-700,000 บาท ซึ่งเป็นโครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัยและผู้ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการ ซึ่งมีมาตรการสินเชื่อ ดังนี้ 1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) กำหนดอัตราดอกเบี้ย คือ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-4 ร้อยละ 2.75 ต่อปี หลังจากนั้น กรณีรายย่อย MRR - ร้อยละ 0.75 ต่อปี หรือกรณีสวัสดิการหักเงินเดือน MRR - ร้อยละ 1 ต่อปี มีระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปีโดยมีการผ่อนปรนการกำหนดอัตราส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้/ราย/เดือน (DSR) หรืออัตราส่วนภาระผ่อนชำระหนี้รวมต่อรายได้สุทธิรวม (DIR) ตามที่ธนาคารกำหนด 2. สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) กำหนดอัตราดอกเบี้ย คือ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-3 ร้อยละ 3 ต่อปี หลังจากนั้น MLR - ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ระยะการกู้ ไม่เกิน 5 ปี เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ และหรือ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัดที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการ “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ 8 พื้นที่ ได้แก่ ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ลำปาง นครพนม ประจวบคีรีขันธ์ และอุดรธานี ได้ดำเนินการก่อสร้างเรียบร้อยแล้วใน 1 พื้นที่ คือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนพื้นที่ใน 7 จังหวัดที่เหลือที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ในวันนี้ ครม. จึงมีมติอนุมัติให้กรมธนารักษ์นำที่ราชพัสดุที่รองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวใน 7 จังหวัดเดินหน้ารองรับการดำเนินโครงการสำคัญอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล หรือนำไปบริหารจัดการหรือพัฒนาจัดหาประโยชน์เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐต่อไป เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและรัฐมีการพัฒนาที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64639
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. เผยอบรมนายอำเภอไปแล้ว 432 อำเภอ พร้อมติดตามและขับเคลื่อนโครงการอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการอย่างเต็มที่ ย้ำ ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด วอนทุกฝ่ายเร่งสานงานในพื้นที่
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ปมท. เผยอบรมนายอำเภอไปแล้ว 432 อำเภอ พร้อมติดตามและขับเคลื่อนโครงการอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการอย่างเต็มที่ ย้ำ ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด วอนทุกฝ่ายเร่งสานงานในพื้นที่ ปมท. เผยอบรมนายอำเภอไปแล้ว 432 อำเภอ พร้อมติดตามและขับเคลื่อนโครงการอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการอย่างเต็มที่ ย้ำ ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด วอนทุกฝ่ายเร่งสานงานในพื้นที่อย่างจริงจัง เพราะความทุกข์ของพี่น้องประชาชนรอไม่ได้ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 เวลา 13.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอำเภอ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 4 ที่เข้ารับการฝึกอบรมในระหว่างวันที่ 6 – 10 กุมภาพันธ์ 2566 และบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ทำไมต้อง CAST” โดยได้รับความเมตตาพระครูสุภัทรธรรมโฆษิต (พระครูต้น) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เข้าร่วมพิธีเปิดเเละรับฟังการบรรยาย ณ ห้อง War Room ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยการบรรยายในครั้งนี้ได้มีการบรรยายผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกลไปยังศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน จำนวน 11 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยมีนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นผู้กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจาก นายอรรษิษฐ์ สัมพันธ์รัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมทุกกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังด้วย พร้อมกับคณะผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 1,080 คน จาก 108 อำเภอ เข้าร่วมพิธีเปิดและรับฟังการบรรยายพิเศษ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระบรมราโชบายที่ทรงมุ่งหวังทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นัยยะที่สำคัญ คือ ในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องสนอง ด้วยการทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกิดความชัดเจน ที่เป็นรูปธรรม ภายใต้การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy: SEP) มาใช้ ซึ่งเป็นฐานคิดที่สำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ เป้าหมายของโครงการอำเภอ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ที่แท้จริง คือ การปิดจุดอ่อนของการทำงานแบบเดิมที่พอถึงฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการ “คนใหม่มารับตำแหน่งไม่สามารถสานงานของคนเก่าได้” กระทรวงมหาดไทยจึงพยายามหาแนวทางในการทำให้รอยต่อของภารกิจเกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยให้นึกถึงพี่น้องประชาชนที่ยังมีความทุกข์ยาก มีความลำบาก และไม่ได้รับโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งความทุกข์เหล่านี้รอไม่ได้ จึงเกิดเป็นแนวคิดให้นายอำเภอในฐานะผู้นำในระดับพื้นที่ต้องเร่งสร้างทีม (Team) เพื่อบูรณาการภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขในพื้นที่ พร้อมกับสร้างภาคีเครือข่ายเข้มแข็งในการขับเคลื่อนภารกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่อว่า นอกจากการสานงานอย่างไร้รอยต่อแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากเห็น คือ การเกิดขึ้นของหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) และการขับเคลื่อนเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน มุ่ง Change for Good ด้วยแนวคิด 76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา” ที่กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้ไปร่วมประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอในฐานะผู้นำในพื้นที่ จะต้องมีหน้าที่ระดมสรรพกำลัง โดยการกำหนดเป้าหมายการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง นำหลักการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การกระทำทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีล้วนเกิดจากความคิด ให้พึงระลึกว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นายอำเภอต้องปลุกเร้าและกระตุ้นให้ทีมที่เป็นจิตอาสาที่มาวันนี้ กลับไปขยายผลเสริมสร้างความเข้มแข็งของทุกทีมในพื้นที่ ทั้งที่เป็นทางการ คือ ทีมข้าราชการ และบุคลากรของอำเภอ และท้องถิ่น และทีมที่เป็นกลไกประจำพื้นที่ คือ ท่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล คณะกรรมการหมู่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวน ขอให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในอำเภอ นำหลักการทำงานแบบ “บวร บรม ครบ” มาใช้ รวมทั้ง บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืนที่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมลงนามเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ก็สามารถนำมาใช้เป็นกลไกการขับเคลื่อนภารกิจการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ในพื้นที่ได้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเน้นย้ำว่า กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด คือ การให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ การสร้างคนจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบทันที (Disruptive) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะความร่วมมือจากทุกท่านผู้เสียสละ คุณสมบัติของผู้ที่จะขับเคลื่อนงาน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีใจ และมีอุดมการณ์ (Passion) ส่วนความรู้ (Knowledge) และความสามารถ (Ability) สามารถหาได้ในพื้นที่อำเภอ เพราะผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่ผู้นำมีหน้าที่บูรณาการและใช้ทรัพยากรในพื้นที่ ขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายให้ได้เป็นการ Change for Good สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น และหากพวกเราทุกอำเภอลุกขึ้นมาช่วยกันทำก็จะทำให้เกิดเป็น Momentum for Change ให้กับสังคมไทยระดับจังหวัด และระดับประเทศต่อ ๆ ไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระราชทานแนวคิด Sustainable Village ผ่านหนังสือ Sustainable City และกระทรวงมหาดไทยได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้ขยายผลให้เป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ได้คัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพน้อยที่สุดในแต่ละตำบลของทุกอำเภอ และได้ใช้ข้อมูล กชช.2ค ในการยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งพบว่าร้อยละ 84 มีข้อมูลตรงกัน และจะเร่งตรวจสอบอีกร้อยละ 16 ต่อไป เพื่อนำหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกมาพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านยั่งยืน และขยายผลคู่ขนานให้ทุกหมู่บ้านที่มีความพร้อมได้ร่วมพัฒนาไปด้วยกัน ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของหมู่บ้านยั่งยืน คือ มีการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริโครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และ โครงการ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ใช้พื้นที่ภายในบ้าน และภายในหมู่บ้านปลูกพืชผล ทั้งไม้ผล ไม้ดอก ผักสวนครัว เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงปลา ฯลฯ เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไว้กิน พร้อมกับนำไปแบ่งปันให้แก่คนในชุมชนได้ ซึ่งผลผลิตที่เหลือจากการแบ่งปันก็นำไปขายสร้างเป็นรายได้เสริม อีกทั้งจะต้องส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น มีการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อน ควบคู่กับการเพิ่มแร่ธาตุในดิน เป็นต้น นอกจากนี้ จะต้องนำหลักการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขมาใช้ สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่าง ๆ และภูมิคุ้มกันต่อภัยอันตรายอื่น ๆ ด้วย รวมถึงมีการถ่ายทอดภูมิปัญญา องค์ความรู้ประจำถิ่น การทำอาหาร การแปรรูป การถนอมอาหาร งานหัตถศิลป์ หัตถกรรม ฯลฯ ซึ่งจะต้องมีการดูแลกันภายในหมู่บ้านในลักษณะคุ้ม หรือ ป๊อก หรือ หย่อมบ้าน ที่ใช้หลักการพึ่งพากันและกันระหว่างคนในชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างรอยยิ้มและความสุขให้แก่คนชุมชน/หมู่บ้าน ดังปรากฎตัวอย่างความสำเร็จมากมาย อาทิ ที่บ้านดอนกอย ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร, ตำบลโก่งธนู อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี, บ้านป่าบุก ต.แม่แรง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน หรือ บ้านโพนฮาด ต.ดงครั่งน้อย อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับท่านนายอำเภอและผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมที่เป็นทีมของนายอำเภอในวันนี้ ขอขอบคุณที่เสียสละ และตั้งใจที่จะร่วมขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข อย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ขอให้นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ ช่วยร่วมกันระดมสมอง ช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน เพื่อขับเคลื่อนสนองแนวพระราชปณิธานการทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้บรรลุมรรคผลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนได้ในทุกมิติอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยร่วมอุดหนุนหอมแดงและกระเทียม GI เกรด A ของดีจังหวัดศรีสะเกษ ผ่านกิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” ปี 2566 สั่งง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook, Line
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยร่วมอุดหนุนหอมแดงและกระเทียม GI เกรด A ของดีจังหวัดศรีสะเกษ ผ่านกิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” ปี 2566 สั่งง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook, Line นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยร่วมอุดหนุนหอมแดงและกระเทียม GI เกรด A ของดีจังหวัดศรีสะเกษ ผ่านกิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” ปี 2566 สั่งง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook, Line รับของภายใน 3-5 วัน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (7 ก.พ. 2566) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และคณะผู้บริหารจังหวัดศรีสะเกษ เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” ปี 2566 จังหวัดศรีสะเกษ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เข้าร่วม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอชื่นชมการดำเนินโครงการเกษตรแปลงใหญ่จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีส่วนสำคัญทำให้ได้ผลผลิตและราคาหอมสูงขึ้น ดีใจกับเกษตรกร พร้อมขอบคุณทุกส่วนราชการที่บูรณาการทำงานจนประสบความสำเร็จ ช่วยขับเคลื่อนการเกษตรส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนให้คนไทยทุกคนช่วยกันอุดหนุนหอมแดง กระเทียม ศรีสะเกษผ่านกิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” นอกจากจะได้อุดหนุนสินค้าเกษตรยังได้รับความสุขด้วย และเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก อยากให้ทุกคนส่งความรักให้กันผ่านหอม “ขอให้หอมกันเยอะ ๆ เลือกหอมให้ดี อย่าหอมผิดคน” พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชิมชาศรีสะเกษ พร้อมกล่าวชมว่าชาดี อร่อย ให้นำชาไปในห้องประชุม ครม. และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับตัวแทนเกษตรกรในตอนท้ายว่าว่า รู้ใช่ไหมนายกรัฐมนตรีชอบหวาน “เป็นคนไม่ค่อยหวาน ต้องเติมน้ำตาล” น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอมฯ เป็นกิจกรรมที่ จ.ศรีสะเกษ จัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการบริโภคหอมแดงและกระเทียมซึ่งเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มยอดขายให้กับเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก ด้วยการจัดกิจกรรมมีขึ้นในช่วงเดือนแห่งความรัก จ.ศรีสะเกษ ได้เชิญชวนให้คนไทยทั่วประเทศมอบความสุขในช่วงวันวาเลนไทน์ด้วยการมอบหอมแดงและกระเทียม GI เกรด A บรรจุในถุงตาข่ายพร้อมป้ายอวยพรส่งให้บุคคลที่รักและห่วงใย ชุดละ 3 กิโลกรัม (กก.) แยกเป็น หอมแดงชุดละ 230 บาท กระเทียม ชุดละ 527 บาท และ หอมแดง+กระเทียม ชุดละ 467 บาท โดยราคานี้รวมค่าจัดส่งแล้ว สำหรับช่องทางการสั่งซื้อมี 2 ช่องทาง คือ Facebook สำนักงานพาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ และ ไลน์ “รักใครให้หอมศรีสะเกษ” โดยสแกนคิวอาร์โค้ดแล้วเพิ่มเป็นเพื่อน โดยสินค้าจะถูกส่งออกภายใน 1 วันหลังรับการชำระเงินจากผู้ซื้อ และถึงผู้ซื้อภายใน 3-5 วัน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจุบันศรีสะเกษมีพื้นที่ปลูกหอมแดงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ 24,371 ไร่ และมีอัตลักษณ์เฉพาะพื้นถิ่นที่ได้จากพื้นที่เพาะปลูก ที่ปลูกบนดินทรายมูลซึ่งเป็นตะกอนทับถมจากลุ่มแม่น้ำมูลและเทคนิคการเพาะปลูกที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ได้หอมแดงที่มีรูปลักษณ์ กลิ่น และรสชาติที่โดดเด่น คือ เปลือกแห้งมัน สีแดงเข้ม ปนม่วง หัวมีลักษณะกลม มีกลิ่นฉุน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) หอมแดงศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2563 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันยื่นคําขอขึ้นทะเบียน 3 ก.ค. 2562 ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอ กันทรารมย์ พยุห์ เมืองศรีสะเกษ ยางชุมน้อย ราษีไศล วังหิน และอุทุมพรพิสัย สำหรับผลผลิตหอมแดงที่จะออกมาในเดือน ม.ค.-ก.พ. 66 คาดว่าจะอยู่ที่ 91,756 ตัน มีเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ 20 แปลง พื้นที่รวม 3,763.25 ไร่ ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ที่ยังคงอายุการรับรอง 1,068 แปลง พื้นที่รวม 2,415.45 ไร่ เกษตรกรได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ GI 137 ราย ทั้งนี้ ด้วยสรรพคุณที่หลากหลายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หน่วยงานของจังหวัดศรีสะเกษได้นำหอมแดงไปพัฒนาและวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร เช่น ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษวิจัยได้สารสกัดหอมแดงในการนำไปผลิตเครื่องสำอาง เช่น ครีมบำรุงผิว โฟมล้างหน้า เจลแต้มสิว น้ำมันหอมระเหยจากหอมแดง ใช้เป็นส่วนผสมในสูตรตำรับน้ำหอมแดงแผ่นสติ๊กเกอร์ แคปซูลหอมแดง หอมแดงอบแห้ง ขณะที่สำนักงานสาธารณสุขศรีสะเกษร่วมกับโรงพยาบาลเบญลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นำหอมแดงไปพัฒนาเป็นเวชสำอาง เช่น สบู่เหลว โลชั่น แชมพู สติ๊กเกอร์ ยาดม ชาชง และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 38 ศรีสะเกษ นำไปแปรรูเป็นผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ เพื่อจำหน่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบผลการใช้จ่ายงบประมาณ ไตรมาสแรก ปี 2566 ภาพรวมผลการใช้จ่ายงบประมาณสูงกว่าแผนและเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 ครม. รับทราบผลการใช้จ่ายงบประมาณ ไตรมาสแรก ปี 2566 ภาพรวมผลการใช้จ่ายงบประมาณสูงกว่าแผนและเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ ครม. รับทราบผลการใช้จ่ายงบประมาณ ไตรมาสแรก ปี 2566 ภาพรวมผลการใช้จ่ายงบประมาณสูงกว่าแผนและเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (7 ก.พ. 2566) รับทราบ รายงานผลการปฎิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2566 (ไตรมาสที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2565 วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 3.185 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 986,498.7599 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30.97 แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 873,288.5891 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.65 รายจ่ายลงทุน มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 123,449.3612 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.57 ทั้งนี้ ภาพรวมรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไตรมาสที่ 1 มีผลการใช้จ่ายงบประมาณสูงกว่าแผนและเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ทั้งนี้ ผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2566 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณเป็น 6 ยุทธศาสตร์และ 1 รายการ ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง งบประมาณ จำนวน 292,593.6677 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 58,774.7761 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.09 มีผลการใช้จ่าย(ก่อหนี้) จำนวน 74,302.5937 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.39 ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 11.91 และ 8.69 ตามลำดับ 2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน งบประมาณ จำนวน 397,239.2473 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 146,022.1212 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.76 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 239,930.9818 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.40 สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 4.76 และ 26.32 ตามลำดับ 3.ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ งบประมาณ จำนวน 544,455.5039 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 149,288.6645 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27.42 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 162,767.7356 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29.90 ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 4.58 และ 4.18 ตามลำดับ 4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม งบประมาณ จำนวน 767,403.0444 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 265,129.0095 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.55 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 271,754.3066 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.41 สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 2.55 และ 1.33 ตามลำดับ 5.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งบประมาณ จำนวน 122,605.9595 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 22,606.0023 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.44 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 41,590.4537 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33.92 ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 13.56 และ 0.16 ตามลำดับ 6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ งบประมาณ จำนวน 658,184.6140 ล้านบาท มีผลการเบิ่กจ่ายแล้ว จำนวน 173,225.9830 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.32 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน 180,291.6609 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27.39 ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 5.68 และ 6.69 ตามลำดับ และ 1 รายการ คือ รายการค่าดำเนินการภาครัฐ งบประมาณ จำนวน 402,517.9632 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 171,452.2033 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.59 มีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้)จำนวน 171,526.6833 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.61 สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ 10.59 และ 8.53 ตามลำดับ “นายกฯ กำชับให้มีการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยมีการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด รวมถึงการวางระบบการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ ทิ้งการติดตามและประเมินผลก่อนการจัดสรรงบประมาณ ระหว่างการใช้จ่ายงบประมาณ และภายหลังจากการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนให้มีการรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งระบุปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไขด้วย นอกจากนี้ สำนักงบประมาณได้เสนอแนะให้หน่วยรับงบประมาณมีการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและเป้าหมายของมาตรการฯ ที่กำหนดไว้ ตลอดจนการกำหนดทิศทางแนวทางหรือปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์และก่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบลงทุนรายการปีเดียวให้สามารถก่อหนี้ผูกพ้นให้เสร็จสิ้นทุกรายการภายในไตรมาสที่ 2 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยสำนักงบประมาณจะได้นำผลการเบิกจ่ายและการใช้จ่าย เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ต่อไป ” นายอนุชากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม ในวันนี้(3ก.พ.66) เพื่อติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย แนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อ จ.สมุทรสงคราม เส้นทาง วงเวียนใหญ่-มหาชัย-บ้านแหลม- แม่กลอง ระยะทางรวม 66.9 กม. โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักและระบบป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมืองสมุทรสงครามและชุมชนต่อเนื่อง พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมวิถีเศรษฐกิจชุมชน ที่สถานีรถไฟแม่กลอง จากนั้นเดินทางไปรับฟังปัญหาและข้อเสนอจากประชาชนชาวสมุทรสงครามเพื่อหาแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจส ร้างมูลค่าและยกระดับรายได้ประชาชน ณ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Krungthai COMPASS นำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “อัตราเงินเฟ้อเดือน ม.ค. อยู่ที่ 5.02% ชะลอลงตามราคาพลังงานและอาหารสด”
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 Krungthai COMPASS นำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “อัตราเงินเฟ้อเดือน ม.ค. อยู่ที่ 5.02% ชะลอลงตามราคาพลังงานและอาหารสด” อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ม.ค. ชะลอลงที่ 5.02% จากราคาหมวดพลังงานที่ชะลอตัวตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่ากระแสไฟฟ้าด้วยผลของฐานในปีก่อนที่เริ่มสูงขึ้น และราคาหมวดอาหารสดที่ชะลอลงจากราคาเนื้อสุกร Key Highlights - อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ม.ค. ชะลอลงที่ 5.02% (YoY) จากราคาหมวดพลังงานที่ชะลอตัวตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่ากระแสไฟฟ้าด้วยผลของฐานในปีก่อนที่เริ่มสูงขึ้น และราคาหมวดอาหารสดที่ชะลอลงจากราคาเนื้อสุกร ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงที่ 3.04% (YoY) จากราคาหมวดอาหารตามราคาน้ำมันพืช อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าและบริการบางชนิดขยายตัวต่อเนื่อง เช่น ค่าโดยสารสาธารณะ และค่าของใช้ส่วนตัว เป็นต้น - แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลของฐานในปีก่อนที่เริ่มสูงขึ้น แต่ระดับราคาสินค้าและบริการหลายชนิดยังทยอยเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ กนง. ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป (ครั้งละ 25bps) ไปจนถึงระดับ 2.0% ภายในครึ่งแรกของปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-MDES ร่วมประชุมประเมินผลงานปณท. และ NT
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 MDES ร่วมประชุมประเมินผลงานปณท. และ NT MDES ร่วมประชุมประเมินผลงานปณท. และ NT 7 กุมภาพันธ์ 2566 - นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาร่างบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ประจำปีบัญชี 2566 ซึ่งเป็นการจัดประชุมภายใต้คณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารและพลังงาน โดยทั้ง 2 บริษัท เป็นรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสาร ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ ZOOM) ____________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาลสั่งปิดชั่วคราว “กองสลากพลัส”
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลสั่งปิดชั่วคราว “กองสลากพลัส” ศาลสั่งปิดชั่วคราว “กองสลากพลัส” วันนี้ 7 ก.พ. 66 ศาลอาญาได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มกองสลากพลัส และปิดเว็บไซต์ชั่วคราว นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลาย หรือลบแพลตฟอร์มกองสลากพลัสออกจากระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา และความผิดอื่น ๆ รวมถึงการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เด็กและเยาวชนซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาจเข้าข่ายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยอยู่ระหว่างกระบวนพิจารณาของศาล ล่าสุด ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้กระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มกองสลากพลัส และห้ามทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของแพลตฟอร์มกองสลากพลัสไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ คดีดังกล่าว จะมีการไต่สวนนัดสุดท้ายในวันที่ 20 มีนาคม 2566 และศาลจะได้มีคำสั่งในคดีหลังการไต่สวนแล้วเสร็จต่อไป ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2566
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2566 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2566 กระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2566 วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 14.00 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 2/2566 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมฯ ที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็น ดังนี้ 1) เห็นชอบการต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เป็นบริษัทส่งออกน้ำตาลทราย 2) เห็นชอบสถาบันชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิได้รับเงินค่าบำรุงสถาบันชาวไร่อ้อยฤดูการผลิตปี 2565/2566 3) เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าบำรุงสถาบันชาวไร่อ้อยฤดูการผลิตปี 2565/2566 4) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้จ่ายเงินงบประมาณในการดำเนินงานของฝ่ายไทย กรณีบราซิลยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เรื่องไทยให้การอุดหนุนการส่งออก 5) เห็นชอบการแต่งตั้งลูกจ้างประจำให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 8 6) เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64607
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง แก้ปมต่างด้าวหลุดระบบ เสนอครม.ขยายเวลาต่อวีซ่า ถึง 15 พ.ค. 66
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 07/02/2566 รมว.เฮ้ง แก้ปมต่างด้าวหลุดระบบ เสนอครม.ขยายเวลาต่อวีซ่า ถึง 15 พ.ค. 66 ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ขยายระยะเวลาให้แรงงาน 4 สัญชาติ ที่ขอต่อใบอนุญาตทำงาน + ชำระเงินแล้ว ภายใน 13 ก.พ. 66 พร้อมขยายเวลาให้บริการ ศูนย์ CI 90 วัน วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 คลี่คลาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูประเทศไทยอย่างเร่งด่วน ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และแปรรูปสินค้าเกษตร อาหารแช่แข็งเพื่อการส่งออก ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ขยายตัวและต้องการแรงงานต่างชาติเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามกระบวนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานไม่สามารถทำได้ทันภายในกำหนดเวลา เนื่องจากประเทศต้นทางไม่สามารถดำเนินการออกหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางให้แรงงานของตนได้ทัน ดังนั้น เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น กระทรวงแรงงานจึงเสนอต่อครม. จนมีมติเห็นชอบ "ครม.ผ่อนผันให้แรงงานต่างชาติที่ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานและชำระค่าธรรมเนียม ภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 เพื่อยื่นเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน เพื่ออยู่และทำงานต่อไปได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 หรือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 แล้วแต่กรณี พร้อมกับขยายระยะเวลาการดำเนินการออกเอกสารรับรองบุคคล (CI) ของทางการเมียนมา ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ระนอง และชลบุรี จนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เพื่อแก้ปัญหาแรงงานหลุดออกจากระบบ" รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตทำงาน กรมการจัดหางานจะออกเอกสารซึ่งแสดงว่าคนต่างด้าวได้รับอนุญาตทำงาน เป็นเอกสารหลักฐานแทนใบอนุญาตทำงาน ได้แก่ ใบรับคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน หรือทะเบียนใบอนุญาตทำงาน ตามแต่ละกรณี คู่กับใบเสร็จรับเงิน เพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายแล้ว "ขอฝากถึงนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีแรงงาน 4 สัญชาติ ซึ่งได้รับอนุญาตทำงาน ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แล้ว หากประสงค์จะทำงานต่อไป ให้รีบยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานผ่านระบบต่ออายุใบอนุญาตทำงานคนต่างด้าว (4 สัญชาติ) ทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เว็บไซต์ alien13febrenewal.doe.go.th ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 โดยดำเนินการ ดังนี้ 1. ลงทะเบียนผู้ใช้งาน 2.เข้าสู่ระบบต่ออายุใบอนุญาต โดยเลือกสถานที่ยื่นคำขอต่อใบอนุญาต ตรวจสอบข้อมูลของนายจ้างและคน ต่างด้าว กรอกข้อมูล บต.50 และยื่นเอกสาร อ.5 3. พิมพ์ใบชำระเงินและชำระเงินผ่านช่องทางการชำระเงินของธนาคารกรุงไทย/พิมพ์ใบเสร็จออกจากระบบ เพื่อดำเนินการจัดทำหนังสือเดินทาง ตรวจลงตราขออยู่ในราชอาณาจักร และยื่นผ่านระบบ ภายใน 15 พ.ค. 66 4. รอพิจารณาอนุมัติการยื่นต่ออายุ 5. รอรับใบอนุญาตทำงาน" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ หากมีปัญหาอุปสรรคในการยื่นคำขอต่ออายุผ่านระบบฯ สามารถติดต่อสอบถามสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติปรับรายการใช้จ่าย พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพื่อเตรียมพร้อมต้านโรคโควิด-19
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติปรับรายการใช้จ่าย พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพื่อเตรียมพร้อมต้านโรคโควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลเตรียมความพร้อมดูแลสวัสดิภาพประชาชนจากโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการใช้จ่ายจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ สำหรับ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดหายารักษาโรคโควิด-19 Favipiravir หรือ Molnupiravir จำนวน 30 ล้านเม็ด ยา Remdesivir จำนวน 300,000 ขวด และขยายระยะเวลาโครงการ เป็นสิ้นสุด มี.ค.2566 โครงการจัดหาวัคซีน AstraZeneca โดยพิจารณาจัดหาเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่สามารถรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อ จำนวน 60 ล้านโดส โครงการพัฒนาศักยภาพหน่วยบริการเพื่อขยายการรองรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการจนถึงระยะวิกฤติ และโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สัญชาติไทย ChulaCov19 mRNA เพื่อทดสอบทางคลินิกและรองรับสายพันธุ์ใหม่ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ไทย-ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 นายกฯ ไทย-ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค นายกฯ ไทย-ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค วันนี้ (9 เมษายน 2564) เวลา 15.00 น. ณ ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายซูกะ โยชิฮิเดะ (H.E. Mr. Suga Yoshihide) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้ารับตำแหน่ง โดยนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ทราบว่านายกรัฐมนตรีฯ ได้เคยทำหน้าที่เป็นประธานร่วมฝ่ายญี่ปุ่นของคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย -ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) สมัยที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงหวังว่าจะสานต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าทั่วโลกจะพบกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้อำนวยความสะดวกการเดินทางระหว่างนักธุรกิจและประชาชนของทั้งสองฝ่ายตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก จากที่มีโอกาสทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกัน ผ่านการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องแบบออนไลน์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563ทั้งนี้ ญี่ปุ่นชื่นชมการจัดการเพื่อควบคุมโควิดของไทย และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ตู้แช่วัคซีน และบริการขนส่งแก่ไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ภายใต้ โครงการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าฉุกเฉินผ่านองค์การ UNICEF และ JICA ซึ่งจะช่วยทำให้แจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนการค้าการลงทุนกับไทย และให้ความสำคัญกับการลงทุนในเขตEEC มาโดยตลอด รัฐบาลไทยเตรียมการที่จะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคด้านการลงทุนต่าง ๆ พร้อมยกระดับสภาพแวดล้อม การทำธุรกิจภายในประเทศเพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพและมีความสนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประสงค์ให้มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย -ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) ครั้งที่ 5 เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีส่วนฟื้นฟูสำคัญภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) อนุรักษ์พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงเชิญชวนให้ญี่ปุ่นพิจารณาไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทย ในส่วนของความร่วมมือพหุภาคี ญี่ปุ่นเชื่อมั่นบทบาทของไทยการเป็นผู้นำในหลายด้านของภูมิภาค และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับไทยเพื่ออนาคตความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong-Japan Cooperation - MJ) ที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียนในโอกาสที่ไทยเป็นผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน –ญี่ปุ่น ช่วงปี 2564-2567 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของไทย และร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในห้วงที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคในปี 2565 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทของไทยและอาเซียน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนเมียนมาให้ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสันติวิธี และยืนยันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบในเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40857
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ผลักดันโครงการขยายโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 กระทรวงแรงงาน ผลักดันโครงการขยายโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ รมว.แรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาล จัดทำโครงการขยายโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ เตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงวัย ปีงบ 64 ตั้งเป้าขยายโอกาสฯผู้สูงอายุ 17,615 คน คืบหน้าแล้ว 10,514 คน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานโดยการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงประชากรไทย สู่สังคมสูงวัย ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ ซึ่งมีมาตรการส่งเสริมการทำงานและการหารายได้ ส่งเสริมการฝึกอาชีพและจัดหางานให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถ “ปัจจุบันมีกรมการจัดหางานรับผิดชอบภารกิจดังกล่าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ตั้งแต่เดือน(ตุลาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564) มีผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพและส่งเสริมการจ้างงานแล้ว 10,514 คน จากเป้าหมาย 17,615 คน คาดว่าภายในเดือนกันยายน 2564 จะสามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่วางไว้สำเร็จแน่นอน และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะมีการเพิ่มเป้าหมายการให้บริการผู้สูงอายุมากกว่า 18,000 คน พร้อมเพิ่มกิจกรรมพัฒนาต่อยอดสู่ตลาดออนไลน์ด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงโครงการขยายโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีเป้าหมายรวม 17,615 คน ประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ ส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้สูงอายุ เป้าหมาย 2,580 คน และส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัย และประสบการณ์ เป้าหมาย 15,035 คน โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระให้แก่ผู้สูงอายุที่ไม่มีทักษะด้านอาชีพอิสระ ได้ฝึกปฏิบัติในอาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพ จนสามารถประกอบอาชีพหรือรวมกลุ่มได้ กิจกรรมพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุสู่การเป็นวิทยากรถ่ายทอดภูมิปัญญา โดยการพัฒนาความสามารถด้านการถ่ายทอดภูมิปัญญาให้แก่ผู้สูงอายุ เพื่อทำหน้าที่เป็นวิทยากรอุทิศภูมิปัญญาสืบทอดไว้ให้ชุมชุน กิจกรรมสานพลังประชารัฐ จัดหางานให้ผู้สูงอายุ โดยการสำรวจข้อมูลผู้สูงอายุที่ต้องการประกอบอาชีพ รวมทั้งการสร้างการรับรู้ให้นายจ้าง สถานประกอบการ เรื่องการจ้างงานผู้สูงอายุ และการบริการลงทะเบียนผู้สูงอายุที่ต้องการสมัครงานและบรรจุงาน กิจกรรม 1 อำเภอ 1 ภูมิปัญญา โดยการจ้างผู้สูงอายุเป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ จำนวน 115 คน (1 คน : 1 อำเภอ) และกิจกรรมสร้างโอกาสการมีงานทำให้ผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรจุงาน โดยการจ้างงานจากหน่วยงานภาครัฐ “สำหรับผลการดำเนินงานตามโครงการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564 มีผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพและส่งเสริมการจ้างงานแล้ว 10,514 คน แบ่งเป็นผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพ 1,113 คน สร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุ 185,850 บาท ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมการจ้างงาน 9,401 คน ผู้สูงอายุใช้บริการจัดหางาน 888 คน และได้รับการบรรจุงาน 739 คน โดยเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตำแหน่งที่ผู้สูงอายุได้รับการบรรจุงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิตต่าง ๆ , แรงงานทั่วไป 2.พนักงานดูแลความปลอดภัย 3.พนักงานบริการลูกค้า 4.แม่บ้าน 5.ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการสอนในด้านอื่นๆ “นายไพโรจน์ฯ กล่าว สำหรับผู้สูงอายุที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job center) อาคาร 3 ชั้น ด้านหน้ากระทรวงแรงงาน หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40834
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุนเสมอภาค ช่วยเด็กไทยให้ได้ไปโรงเรียน
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ทุนเสมอภาค ช่วยเด็กไทยให้ได้ไปโรงเรียน วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ แม้ประเทศไทยจะมีระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงได้ แต่ความพร้อมทางเศรษฐกิจของครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กได้เรียนไม่เท่ากัน รัฐบาลจึงจัดให้มี “ทุนเสมอภาค” ขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียนแก่เด็กยากจน เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์การเรียน ปีละ 3,000 บาท โดยเกณฑ์ในการพิจารณา คือ รายได้เฉลี่ยของสมาชิกในครัวเรือนจะต้องไม่เกิน 3,000 บาท/คน/เดือน มีภาระพึ่งพิง เช่น เลี้ยงดูคนพิการ ผู้สูงอายุ ซึ่งจะพิจารณาร่วมกับสภาพยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ของใช้ในครัวเรือน ที่ดินทำการเกษตร และแหล่งไฟฟ้าหลัก เป็นต้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นเด็กยากจนที่เสี่ยงจะต้องออกจากโรงเรียน สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะทำงานฝ่ายฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลและนำเกษตรกรเข้าร่วมงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 คณะทำงานฝ่ายฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลและนำเกษตรกรเข้าร่วมงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ รองปลัดฯ อำพันธุ์ ประชุมคณะทำงานฝ่ายฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลและนำเกษตรกรเข้าร่วมงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฝ่ายฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลและนำเกษตรกรเข้าร่วมงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในฐานะประธานคณะทำงานฯ โดยมีคณะทำงานจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมส่งเสริมการเกษตร เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกรมส่งเสริมสหกรณ์ เทเวศร์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา หารือโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการฝึกซ้อมเกษตรกรฯ การมอบหมายหน้าที่การปฏิบัติงาน กิจกรรมการฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้าเฝ้ารับพระราชทานรางวัล วิธีการฝึกซ้อมเกษตรกรผู้เข้าเฝ้าฯ ขั้นตอนเข้ารับพระราชทานรางวัล รวมถึงมาตรการป้องกันและการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 เพื่อให้การดำเนินการดำเนินงานพระราชพิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คล่องตัวและประสบความสำเร็จ รวมถึงเป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40832
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ “ชีวิตวิถีใหม่สงกรานต์ปลอดภัย - ปลอดโควิด 19”
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ “ชีวิตวิถีใหม่สงกรานต์ปลอดภัย - ปลอดโควิด 19” นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ “ชีวิตวิถีใหม่สงกรานต์ปลอดภัย - ปลอดโควิด 19” จัดโดย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มูลนิธิเมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด นายธานี สืบฤกษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ให้การต้อนรับพร้อมเข้าร่วมกิจกรรม ณ สถานีขนส่งหมอชิต อาคารผู้โดยสารภาคกลาง ในวันที่ 8 เมษายน 2564 ภายในงานมีกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และอันตรายจากการเมาแล้วขับ มีการแจกหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แผ่นพับคู่มือการปฏิบัติตนเองเพื่อป้องกันไวรัส COVID-19 และคู่มือการเดินทางสงกรานต์อย่างไรให้ปลอดภัย นอกจากนี้มีการจัดเสวนา “ฉลองสงกรานต์อย่างไร ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากอุบัติเหตุ” โดยมีเหยื่อเมาแล้วขับร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งจากสถิติอุบัติเหตุเทศกาลสงกรานต์ในปี 2563 พบว่า มีผู้เสียชีวิต จำนวน 150 ราย ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1,700 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี สาเหตุหลักเกิดจากการเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ง่วงแล้วขับ และการขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด รวมถึงไม่สวมหมวกกันน็อกหรือการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า กระทรวงฯ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่องมากถึง 6 วัน ประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยว ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ดูแลเรื่องความสะดวก ปลอดภัย และให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ทุกโหมดการเดินทางทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ กระทรวงฯ จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันปฏิบัติตามคำแนะนำ ข้อกำหนดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ในการงดของมึนเมาทุกชนิดเมื่อต้องขับขี่ยานพาหนะ คาดเข็มขัดนิรภัยหรือสวมหมวกกันน็อกและระหว่างการเดินทางทุกครั้ง และกระทรวงฯ ในฐานะกำกับดูแลการขนส่งทางบก จึงได้มีมาตรการดูแลความปลอดภัยของประชาชนอย่างเข้มงวด ทั้งในด้านมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 และอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกับผู้โดยสารที่เดินทางมายังสถานีขนส่งหมอชิตทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ส่วนในเรื่องการป้องกันอุบัติเหตุ กระทรวงฯมีนโยบายที่สำคัญ คือ ต้องอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน พนักงานที่ขับรถโดยสาร สาธารณะต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งผู้ขับรถโดยสารสาธารณะของ บขส. ขสมก. และรถร่วม หากตรวจพบว่าพนักงานขับรถมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินศูนย์มิลลิกรัมจะมีการลงโทษตามที่ บขส. กำหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมสืบสานประเพณีไทย “สงกรานต์ วิถีใหม่” พร้อมกันทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ทส. ร่วมสืบสานประเพณีไทย “สงกรานต์ วิถีใหม่” พร้อมกันทั่วประเทศ ทส. ร่วมสืบสานประเพณีไทย “สงกรานต์ วิถีใหม่” พร้อมกันทั่วประเทศ ทส. ร่วมสืบสานประเพณีไทย “สงกรานต์ วิถีใหม่” พร้อมกันทั่วประเทศ วันนี้ (9 เมษายน 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ทั่วประเทศ สรงน้ำพระและขอพรเนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี 2564 พร้อมกันทั่วประเทศ ผ่านระบบ Video Conference เพื่อความเป็นสิริมงคลและสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ อีกทั้งร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย โอกาสนี้ นายวราวุธ ได้กล่าวอวยพรเนื่องในวันสงกรานต์แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ทั่วประเทศ “ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลประทานพรให้ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ และครอบครัว ทุกท่าน มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ และความเจริญก้าวหน้าในหน้าการงาน อีกทั้งขอฝากให้ทุกท่านปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโควิด -19 และขอให้ดูแลระมัดระวัง ดูแลรักษาสุขภาพ เพราะกำลังของเพื่อนๆ ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน เป็นกำลังสำคัญในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสู่ลูกหลานในอนาคตต่อไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดให้บริการ ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax ในวันที่ 10 - 11 เมษายน 2564
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดให้บริการ ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : shop Thru for Tax ในวันที่ 10 - 11 เมษายน 2564 นายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนโดยออกหน่วยเคลื่อนที่รับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าวันเสาร์ อาทิตย์ ตามโครงการ ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี : Shop Thru for Tax ทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการชำระภาษีรถประจำปีหลากหลายช่องทาง ทั้งนี้ สำหรับวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ 10 - 11 เมษายน 2564 ขบ. มีภารกิจในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 เพื่อให้ประชาชนทุกคนเดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งจะจัดเจ้าหน้าที่ออกตั้งจุดตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะ และอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน ทั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุด Checking Point และจุด Rest Area ทั่วประเทศ ขบ. จึงมีความจำเป็นขอแจ้งงดการออกหน่วยเคลื่อนที่รับชำระภาษีรถประจำปี ณ ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชนตามโครงการช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี (Shop Thru for Tax) ในวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ 10 - 11 เมษายน 2564 ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี จำนวน 11 สาขา (สาขาบางบอน บางปะกอก เพชรเกษม อ่อนนุช สุวินทวงศ์ รัชดาภิเษก สุขาภิบาล 3 ลาดพร้าว รามอินทรา สำโรง และสมุทรปราการ) ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค เซ็นทรัลศาลายา เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เซ็นทรัลเวสต์เกต เดอะมอลล์งามวงศ์วาน โดยจะเปิดให้บริการตามปกติในวันเสาร์และวันอาทิตย์ถัดไป สำหรับต่างจังหวัดสามารถสอบถามการให้บริการได้ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดโดยตรง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประชาชนที่ต้องการชำระภาษีรถประจำปีในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถใช้บริการชำระภาษีรถผ่านเว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax ตู้ Kiosk เคาน์เตอร์เซอร์วิส โมบายล์แอปพลิเคชัน (mPAY) และ Truemoney Wallet ธนาคารกรุงไทย, ธกส., CIMB THAI, ออมสิน, กรุงศรีอยุธยา, ไทยพาณิชย์, UOB และห้างสรรพสินค้า Tesco Lotus ซึ่งเป็นช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ทุกที่ทุกเวลา เจ้าของรถที่ต้องการชำระภาษีสามารถชำระภาษีรถล่วงหน้าได้ก่อนวันที่ภาษีรถสิ้นอายุภายใน 90 วัน โดยใช้เอกสารสำเนาเล่มทะเบียนรถ หรือเล่มทะเบียนรถ และกรมธรรม์ประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ สำหรับรถที่ค้างชำระภาษีเกินกว่า 1 ปี และรถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี หรือรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ต้องผ่านการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) รอรับเครื่องหมายการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ภายใน 5 วันทำการหลังชำระเงิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40848
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยประชาชนกังวลคนการ์ดตกช่วงเทศกาลสงกรานต์ ย้ำจัดกิจกรรมแบบ New Normal
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 สธ.เผยประชาชนกังวลคนการ์ดตกช่วงเทศกาลสงกรานต์ ย้ำจัดกิจกรรมแบบ New Normal กระทรวงสาธารณสุข เผยอนามัยโพลล์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนกังวลสถานการณ์โควิด 19 ร้อยละ 76.6 เรื่องการ์ดตกและการติดเชื้อจากการรวมกลุ่ม ย้ำจัดสงกรานต์ สืบสานวัฒนธรรมไทย แบบวิถีใหม่ ยึดหลัก DMHTT กระทรวงสาธารณสุข เผยอนามัยโพลล์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนกังวลสถานการณ์โควิด 19 ร้อยละ 76.6 เรื่องการ์ดตกและการติดเชื้อจากการรวมกลุ่ม ย้ำจัดสงกรานต์ สืบสานวัฒนธรรมไทย แบบวิถีใหม่ ยึดหลัก DMHTT ด้านกรมการขนส่งขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกน ไทยชนะ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดคุยงดทานอาหาร พร้อมเปิดศูนย์คุ้มครองผู้โดยสาร 1584 วันนี้ (9 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วยนายธานี สืบฤกษ์ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร กรมการขนส่งทางบก แถลงข่าวสงกรานต์เดินทางปลอดภัยจากโควิด 19 โดยนายแพทย์สุวรรณชัยกล่าวว่า กรมอนามัย ได้จัดทำอนามัยโพลล์ สำรวจระดับความกังวลของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 7 เมษายน 2564 พบว่า มีความกังวลปานกลางและกังวลมากร้อยละ 76.6 เรื่องที่กังวลมากที่สุดคือการละเลยการป้องกันตัวเองร้อยละ 21.27 รองลงมาคือ กลัวการติดเชื้อจากการรวมกลุ่มในสถานที่ต่างๆ, สถานที่ต่างๆ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรค, สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ สำหรับเรื่องพฤติกรรมการป้องกันโรคด้วยหลัก DMHTT ในประชาชน 6,987 คน พบว่า ประชาชนปฏิบัติได้มากที่สุด คือ สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อไปในที่สาธารณะร้อยละ 92 รองลงมาคือตรวจวัดอุณหภูมิร้อยละ 91.5 ล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ร้อยละ 85.5 เว้นระยะห่างร้อยละ 78.9 และลงทะเบียนไทยชนะร้อยละ 72 โดยกลุ่มอายุ 45-59 ปีมีพฤติกรรมป้องกันโรคมากที่สุดและกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปีทำได้น้อยที่สุด ส่วนกิจกรรมที่ประชาชนจะทำในช่วงสงกรานต์มากที่สุด คือไปทำบุญตักบาตร รองลงมาคือรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ สรงน้ำพระ และพบว่ากลุ่มอายุ 25–59 ปี จะใช้ระบบออนไลน์แทนการนัดรวมกลุ่มกัน นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าวต่อว่า รัฐบาล ต้องการสืบสานวัฒนธรรมไทย เป็นเทศกาลสงกรานต์ที่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด 19 จัดกิจกรรมแบบวิถีใหม่ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ การคัดกรอง การลงทะเบียนไทยชนะ และที่สำคัญสถานประกอบการ สถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ต้องประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Thai-Stop COVID การดำเนินกิจกรรมในช่วงสงกรานต์ เช่น การจัดพิธีรดน้ำดำหัว การสรงน้ำพระ ใช้การ ริน รด พรม จัดในที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากตลอดเวลา เตรียมอุปกรณ์รดน้ำมาเอง, งดจัดกิจกรรมสงกรานต์ที่มีการรวมกลุ่มคน งดสาดน้ำ ประแป้ง งดจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รวมกลุ่มคนที่มาจากหลายพื้นที่, การจัดงานเลี้ยง ขณะอยู่ในงานให้สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ลดการพูดคุย/ ตะโกนเสียงดัง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่ถึงบ้าน หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงในช่วง 14 วันงดร่วมงาน สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร ต้องลดความแออัด จัดโต๊ะให้เว้นระยะห่าง จำนวนคนต่อโต๊ะ แยกภาชนะอุปกรณ์รายบุคคล และทำความสะอาดพื้นผิวบ่อยๆ “ขอความร่วมมือประชาชนเมื่อเดินทางถึงบ้านขอให้อยู่กับครอบครัวที่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ลดกิจกรรม ลดเวลาร่วมกิจกรรม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ส่วนผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวยึดหลัก New Normal ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ควรมีผู้ติดตามและนำยาประจำตัวไปด้วย” นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าว ด้านนายธานี สืบฤกษ์ รองอธิบดีฝ่ายบริหาร กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก ได้มีมาตรการอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทาง อาทิ จัดยานพาหนะอย่างเพียงพอ ดูแลการจราจรให้คล่องตัว แนะนำการใช้เส้นทางที่เหมาะสม และมาตรการดูแลความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อจากระบบขนส่งต่ำมาก โดยได้จัดช่องทางจำหน่ายตั๋วล่วงหน้า ผ่านระบบออนไลน์ ลดแออัดหนาแน่นที่สถานี จัดระบบคิวซื้อตั๋วแบบเว้นระยะห่าง มีการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ผู้โดยสาร/ พนักงานขับรถและประจำรถ ไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากขึ้นรถ ทำความสะอาดผิวสัมผัสภายในสถานี ภายในรถ งดบริการอาหารและรับประทานอาหารบนรถ เปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศที่จุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสาร สแกน ไทยชนะ หรือลงทะเบียนการเดินทางกับขนส่ง เพื่อความสะดวกในการสอบสวนโรคกรณีพบการติดเชื้อ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา งดคุยโทรศัพท์ ร้องเรียนด้านบริการ เช่น พนักงานขับรถเร็ว หวาดเสียว ไม่สวมหน้ากาก ได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสาร 1584 หรือเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก https://www.dlt.go.th ********************************** 9 เมษายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัด หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการในพื้นที่ ให้ปิดสถานประกอบการนั้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรค
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัด หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการในพื้นที่ ให้ปิดสถานประกอบการนั้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรค ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัด หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการในพื้นที่ ให้ปิดสถานประกอบการนั้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรค วันนี้ (9 เม.ย. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน ได้มีประเด็นข้อสั่งการ/ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.64 ในการดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สำหรับสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ คาราโอเกะ รวมทั้งกำกับและติดตามร้านอาหารในพื้นที่ให้ดำเนินการตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ดำเนินการ 1) หากพบผู้ติดเชื้อในสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ แห่งใดแห่งหนึ่ง ให้ปิดสถานประกอบการนั้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ กรณีพบในสถานประกอบการหลายแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง ให้ปิดสถานประกอบการในพื้นที่นั้น ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และกรณีมีการแพร่ระบาดในสถานประกอบการหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดใด ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร พิจารณาปิดสถานประกอบการในพื้นที่ทั้งจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และ 2) ในการจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม สามารถดำเนินการได้ตามที่ทางราชการกำหนดในแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด ในกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อในสถานประกอบการ ให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อมีคำสั่งปิดสถานที่นั้น ๆ เพื่อจัดระเบียบและระบบป้องกันโรคโควิด-19 อย่างน้อย 2 สัปดาห์ และหากตรวจพบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในร้านอาหารหรือเครื่องดื่มหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดใด ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานครพิจารณาเพิ่มการปิดร้านอาหารที่มีความเสี่ยง ได้แก่ สถานประกอบการที่เป็นห้องแอร์ และสถานประกอบการที่ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจกำกับการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ทางราชการกำหนดอย่างสม่ำเสมอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอคืนค่าตั๋วรถไฟได้ 100% หากเปลี่ยนใจ งดเดินทางช่วงสงกรานต์
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ขอคืนค่าตั๋วรถไฟได้ 100% หากเปลี่ยนใจ งดเดินทางช่วงสงกรานต์ ... จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อเป็นการควบคุม ป้องกัน และลดความเสี่ยงของประชาชน การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการให้ประชาชนที่จองตั๋วรถไฟล่วงหน้าสำหรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 – 18 เม.ย. 64 สามารถคืนเงินตั๋วโดยสารได้เต็มราคา ดังนี้ . 1.ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล) ไว้ล่วงหน้า และต้องการงดเดินทาง สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วโดยสารเป็นกรณีพิเศษได้เต็มราคา (ก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 1 วัน) แต่หากเป็นตั๋วโดยสารที่ชำระด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร่วมกับเงินสด จะได้รับค่าโดยสารคืนเฉพาะส่วนที่ได้จ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น 2.ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วหมู่คณะ ตั๋วนำเที่ยวหมู่คณะ ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และตั๋วเช่ารถโดยสารไว้ล่วงหน้า สามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วโดยสารเป็นกรณีพิเศษได้เต็มราคา (ก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน) เช่นกัน 3.กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสาร ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 4.ผู้โดยสารที่จองตั๋วทางอินเทอร์เน็ต สามารถยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าตั๋วโดยสารเป็นกรณีพิเศษได้เต็มราคา โดยแนบไฟล์ตั๋วส่งมาที่อีเมล [email protected] . และขอความร่วมมือประชาชนที่ยังประสงค์เดินทางด้วยรถไฟ สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง ลงทะเบียนไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ หรือหากพบเห็นผู้โดยสารที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานี/ขบวนรถได้ทันทีครับ . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1690 ตลอด 24 ชั่วโมง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแจงเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้เพื่อเป็นทางเลือก เชิญชวนประชาชนร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์แบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรีแจงเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้เพื่อเป็นทางเลือก เชิญชวนประชาชนร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์แบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ นายกรัฐมนตรีแจงเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้เพื่อเป็นทางเลือก เชิญชวนประชาชนร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์แบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ วันนี้ (9 เมษายน 2564) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงต่อสื่อมวลชนว่าวันนี้ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐและสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการจัดหาและบริหารวัคซีนโควิด-19 พร้อมตั้งนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อเดินหน้าแก้ไขปรับกฎกติการ่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา องค์การเภสัชกรรม และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนเพื่อเป็นวัคซีนทางเลือก ยืนยันสถานพยาบาลของไทยยังมีน้ำยาตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพียงพอ แต่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ที่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งจัดหามาตรการลดความแออัดในโรงพยาบาลให้ได้มากที่สุด โดยเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า แม้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังสามารถควบคุมติดตามผู้ป่วยได้ทั้งหมด ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 350,000 โดส ในเดือนเมษายนจะมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติม 1,500,000 โดส โดยเป็นการทยอยเข้ามา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังมีความรุนแรง ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อการผลิตวัคซีนของประเทศผู้ผลิตเอง ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับเพื่อดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด ทั้งเร่งกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ควบคู่ไปกับการบริหารความรู้สึกประชาชน หากประชาชนที่มีความประสงค์จะรับการฉีดวัคซีนสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” เพื่อนัดคิวและสถานที่ฉีดล่วงหน้าได้เมื่อวัคซีนมาถึง นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการระบาดจากเหตุที่บุคคลไปสถานบันเทิงว่า รัฐบาลได้มีมาตรการปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ 41 จังหวัดเป็นเวลา 14 วัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังห่วงใยประชาชนในช่วงเดือนรอมฎอนและเทศกาลสงกรานต์ ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการไปพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะสถานที่อโคจร งดจัดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวภายในครอบครัว สรงน้ำพระที่บ้าน มีจิตสำนึกแก่ส่วนร่วม ถือว่าเป็นการทำบุญกุศลและเป็นการเสียสละ ขอให้ทุกคน “รู้คิด รู้ธรรม รู้ปฏิบัติ” ฉลองเทศกาลสงกรานต์แบบ New Normal .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40850
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม วันนี้ (9 เม.ย. 64) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ให้กระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย พิจารณาผ่อนคลายกิจกรรมตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18) กรณีสนามชนโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา สนามฝึกซ้อมหรือแข่งขันหรือการจัดกิจกรรมอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยให้สามารถจัดการฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้แบบไม่มีผู้ชม และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกจังหวัด รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค ไก่ชน และปลากัด ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และต้องปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบว่ากิจกรรมใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข ให้เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาสั่งปิดเป็นรายกรณีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ปลัดกอบชัยฯ นำคณะผู้บริหารข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 วันนี้ (9 เมษายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ซึ่งถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณเป็นประเพณีที่งดงาม ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40860
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย" วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด "สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย" โดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรม : ปฏิบัติการจาก “เปราะบางสู่เข้มแข็ง” (1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา) ดึงภาคีเครือข่ายบูรณาการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 พม. จัดกิจกรรม : ปฏิบัติการจาก “เปราะบางสู่เข้มแข็ง” (1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา) ดึงภาคีเครือข่ายบูรณาการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง พม. จัดกิจกรรม : ปฏิบัติการจาก “เปราะบางสู่เข้มแข็ง” (1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา) ดึงภาคีเครือข่ายบูรณาการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง แก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้ (9 เม.ย. 64) เวลา 09.00 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม : ปฏิบัติการจาก “เปราะบางสู่เข้มแข็ง” (1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา) ภายใต้โครงการบูรณาการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ร่วมกับ 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อน “โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน” โดยมุ่งเน้นการดําเนินการแบบบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด อําเภอ ตําบล และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เป็นการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งที่ผ่านมา ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย 1) พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ณ ทําเนียบรัฐบาล 2) โครงการ “ดืองันฮาตี” การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับครัวเรือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล 3) โครงการ 1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา ดําเนินการในพื้นที่ 8 ชุมชนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 1) ชุมชนภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 9/1 เขตบางกอกใหญ่ 2) ชุมชนรัชฎภัณฑ์ (ซอยหมอเหล็ง ) เขตราชเทวี 3) ชุมชนวัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย 4) ชุมชนลำชะล่า (โคกบ่าวสาว) เขตบางเขน 5) ชุมชนวัดจอมสุดาราม เขตดุสิต 6) ชุมชนเฟื่องฟ้าพัฒนา เขตประเวศ 7) ชุมชนภายในซอยศรีนครินทร์ 9 เขตสวนหลวง และ 8) ชุมชนกลุ่มริมคลองกะจะ เขตบางกะปิ โดยมีการกรองข้อมูลและใช้สมุดพกครอบครัวในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อนำมาวางแผนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางในชุมชนอย่างเหมาะสม 4) โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ 10 จังหวัดนําร่อง ด้วยการนําผลการศึกษาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มากําหนดนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน 5) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนระดับจังหวัด ดําเนินการในพื้นที่ 76 จังหวัด ด้วยการกรอง จัดเก็บ และรวบรวมข้อมูล โดยใช้สมุดพกครอบครัว เพื่อใช้ในการวางแผนและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การดําเนินโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของหน่วยงานราชการที่มีการบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้กับกลุ่มเปราะบางในประเทศ ซึ่งกิจกรรม : ปฏิบัติการจาก “เปราะบางสู่เข้มแข็ง” ในวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 1 กรม 1 พื้นที่พัฒนา ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เป็นการขับเคลื่อนงานช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการจากภาครัฐ นับเป็นการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบบและยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านกระบวนการจัดการรายกรณี (Case Management) และการจัดทําแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน โดยมีนวัตกรรม คือ สมุดพกครอบครัว เป็นเครื่องมือในการดําเนินงานและขับเคลื่อนงาน โดยเชื่อมโยงกลไกระดับพื้นที่ทั้งจังหวัด อําเภอ และตำบล รวมถึงเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเปราะบางซึ่งทุกกรมของกระทรวง พม. ได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา และจะดำเนินการจนกว่ากลุ่มเปราะบางจะสามารถดํารงชีวิตและพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40844
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน เตือนลดเสี่ยงเพลิงไหม้ ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนหยุดยาว พร้อมย้ำดูแลตัวเอง ลดเสี่ยงโควิด-19
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 แรงงาน เตือนลดเสี่ยงเพลิงไหม้ ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนหยุดยาว พร้อมย้ำดูแลตัวเอง ลดเสี่ยงโควิด-19 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเตือนระวังเหตุเพลิงไหม้ในช่วงสงกรานต์ ขอความร่วมมือตรวจสอบเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดก่อนหยุดยาว ย้ำแรงงานที่เดินทางออกต่างจังหวัด ควรขับรถด้วยความระมัดและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดอย่างเคร่งครัด นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยในความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของลูกจ้าง นายจ้าง และสถานประกอบกิจการ ในช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 เนื่องในเทศกาลสงกรานต์โดยสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกจ้างได้กลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว และร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการเกิดอัคคีภัย จึงได้ขอความร่วมมือนายจ้าง ลูกจ้าง ในสถานประกอบกิจการ ตรวจสอบเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปลอดภัย หากพบว่าชำรุดต้องซ่อมแซมทันที รวมทั้งปิดเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และระบบต่าง ๆ ที่ไม่ได้ทำงานให้เรียบร้อย นอกจากนี้สถานประกอบกิจการต้องจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิง สัญญาณแจ้งเหตุให้พร้อมสำหรับการใช้งานเพื่อจะได้ช่วยลดความเสียหายกรณีที่เกิดเพลิงไหม้ได้ อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังห่วงถึงสวัสดิภาพของพี่น้องผู้ใช้แรงงานและนายจ้างที่เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขอให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง มีสติ ไม่ประมาท ทั้งคนขับและผู้โดยสารต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง และขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แต่ละสถานประกอบกิจการขอความมืออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการรับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น โดยสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดและไปในพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ขออวยพรให้ประชาชนทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ สุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะกลับปฏิบัติหน้าที่การงานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40841
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกย้ำ ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก เดินทางสงกรานต์ 2564 รถโดยสารสาธารณะต้องปลอดภัยห่างไกลเชื้อไวรัส COVID-19
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 กรมการขนส่งทางบกย้ำ ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก เดินทางสงกรานต์ 2564 รถโดยสารสาธารณะต้องปลอดภัยห่างไกลเชื้อไวรัส COVID-19 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้กำชับมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในรถโดยสารสาธารณะ และสถานีขนส่งผู้โดยสารให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันขั้นสูง เพื่อให้การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะของประชาชนปลอดภัย ห่างไกลจากเชื้อไวรัส COVID-19 ขบ. จึงกำชับผู้ประกอบการขนส่งดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดดังนี้ 1. ขอความร่วมมือให้พิจารณาปรับเพิ่มมาตรการการอนุญาตให้คืนตั๋วโดยสารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น การงดเดินทางก่อน 24 ชั่วโมง หากมีกำหนดเดินทางวันที่ 9 เมษายน 2564 ให้คืนก่อนวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยประชาสัมพันธ์แจ้งให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจน 2. จัดให้มีมาตรการคัดกรองผู้โดยสารและตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจคัดกรองพนักงานขับรถและผู้ให้บริการ ให้เข้มงวดการตรวจคัดกรอง และป้องกันดูแลอย่างเข้มงวดที่สุด ให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ดูแล เพิ่มความถี่ให้มากที่สุด หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส สามารถปฏิเสธการให้บริการและให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขทันที 3. เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร เช่น ราวจับบริเวณประตูรถ หรือบันได ที่นั่ง ช่องจำหน่ายตั๋ว บันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ และห้องสุขา โดยให้ทำความสะอาดทุกชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และจัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับผู้โดยสารล้างมือก่อนขึ้นรถและจุดบริการภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร 4. ผู้ประกอบการควรมีช่องทางการจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าผ่านทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อสัมผัส ในกรณีการซื้อตั๋วโดยสารที่สถานีขนส่งต้องจัดระบบคิวให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) 5. ขณะเดินทางให้มีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศ โดยให้พนักงานขับรถพิจารณาจอดพักรถและเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศภายในรถ และงดให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารบนรถเว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการแพร่หรือรับเชื้อจากการถอดหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะอยู่บนรถโดยสารสาธารณะ 6. กำกับดูแลให้พนักงานขับรถและผู้ให้บริการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง โดยให้จัดทำสมุดตรวจอุณหภูมิก่อนและหลังการปฏิบัติงานอย่างเข้มงวดสูงสุด พร้อมทั้งดูแลให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง โดยต้องไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขึ้นรถโดยสารเด็ดขาด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T คือ D - Distancing อยู่ห่างไว้ M - Mask Wearing ใส่หน้ากากอนามัย H - Hand washing หมั่นล้างมือ T - Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ T - Thai Cha na ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบฟอร์มที่ ขบ. กำหนดทั้งก่อนและหลังการเดินทาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40845
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยแจ้งติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่หลังมีการเดินทางไปหลายพื้นที่ พร้อมเปิดไทม์ไลน์ 24 มีนาคม - 7 เมษายน 2564
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยแจ้งติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่หลังมีการเดินทางไปหลายพื้นที่ พร้อมเปิดไทม์ไลน์ 24 มีนาคม - 7 เมษายน 2564 ความคืบหน้ากรณีนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เข้ารับการตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 และได้รับการยืนยันผลตรวจเป็นผู้ติดเชื้อ นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เข้ารับการตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 และได้รับการยืนยันผลตรวจเป็นผู้ติดเชื้อนั้น ล่าสุดได้รับการประสานข้อมูลเบื้องต้น คาดว่าการติดเชื้อโควิดของผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนายนิรุฒได้มีการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อโควิดขึ้นได้ ทั้งนี้ ผู้ว่าการรถไฟฯ ได้มีการแจ้งไทม์ไลน์ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม - 7 เมษายน 2564 โดยยืนยันว่าไม่เคยเดินทางไปสถานบันเทิงย่านทองหล่อตามที่มีผู้กล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันนายนิรุฒอยู่ระหว่างการเข้ารับการงรักษาตามขั้นตอนและกระบวนการที่ถูกต้องทางการแพทย์ ขณะเดียวกันในด้านความเคลื่อนไหวของพนักงานและลูกจ้างการรถไฟฯ ก็ได้มีการเชิญชวนให้คนรถไฟร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าการรถไฟฯ หายจากอาการป่วยในเร็ววัน ด้วยการติดแฮชแท็ก #กำลังใจให้ผู้ว่าการรถไฟฯ อีกด้วย นายเอกรัช กล่าวต่อว่า นายนิรุฒได้มอบนโยบายให้พนักงานและลูกจ้าง รฟท. ทุกคนดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในการให้บริการแก่ผู้โดยสารทั้งบนขบวนรถ และสถานีทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจ และความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ โดยมีการกำหนดจุดคัดกรองวัดไข้ผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ การให้สวมหน้ากาก พร้อมกับให้สแกนแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ รวมถึงให้ผู้โดยสารที่ไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะให้กรอกข้อมูลการเดินทางแทน โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัย อำนวยความสะดวก ตลอดจนขอความร่วมมือผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ทั้งนี้ รฟท. ยังจัดให้มีการทำความสะอาดสถานีรถไฟ ขบวนรถโดยสาร สถานที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร ที่พักผู้โดยสาร สถานที่ให้บริการ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนประชาชนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40835