title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 28 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 28 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ
เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 15 - 16 กุมภาพันธ์ 2566
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 28 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64967 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจงข่าว “16 ก.พ. จองตั๋วรถไฟ ต้องใช้บัตรเครดิตและเดบิตเท่านั้น” เป็น เฟคนิวส์ ย้ำประชาชนจองหรือซื้อตั๋วได้ทุกสถานี ชำระเป็นเงินสด ทรูมันนี่ ตลอดจนบัตรเครดิต เดบิต ได้ตามปกติ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
รฟท. แจงข่าว “16 ก.พ. จองตั๋วรถไฟ ต้องใช้บัตรเครดิตและเดบิตเท่านั้น” เป็น เฟคนิวส์ ย้ำประชาชนจองหรือซื้อตั๋วได้ทุกสถานี ชำระเป็นเงินสด ทรูมันนี่ ตลอดจนบัตรเครดิต เดบิต ได้ตามปกติ
จากกรณีที่มีสื่อออนไลน์แห่งหนึ่งได้นำเสนอภาพประกอบข่าว โดยระบุว่า “16 ก.พ. จองตั๋วรถไฟ ต้องใช้บัตรเครดิตและเดบิตเท่านั้น” จนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า รฟท. ขอชี้แจงว่าการนำเสนอภาพประกอบข่าวดังกล่าวไม่เป็นเรื่องจริง โดยถือเป็น ”เฟคนิวส์” ที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง ซึ่ง รฟท. ขอแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่า ผู้โดยสารทุกคนที่ต้องการซื้อตั๋วโดยสาร หรือสำรองที่นั่งล่วงหน้า ยังสามารถเลือกซื้อตั๋วโดยสาร หรือสำรองที่นั่งได้ที่สถานีรถไฟ หรือผ่านทางโทรศัพท์สายด่วน 1690 สามารถชำระเป็นเงินสดหรือเลือกชำระผ่านรูปแบบระบบทรูมันนี่ รวมถึงบัตรเครดิต/เดบิต ได้ทุกสถานีทั่วประเทศเป็นปกติ ไม่ได้มีการปิดกั้นหรือบังคับให้ชำระได้เฉพาะบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่รฟท. มีการปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินเป็นบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ได้ปรับเปลี่ยนเฉพาะการซื้อตั๋วและสำรองที่นั่งผ่านระบบ D-Ticket ทั้งเว็บไซต์ D-Ticket (https://dticket.railway.co.th) และแอปพลิเคชัน D-Ticket (ระบบ Android และ IOS) เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยกระจายโอกาสในการซื้อตั๋วแก่ผู้โดยสารทุกคนอย่างทั่วถึง โดยเริ่มตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้สำรองที่นั่งผ่านช่องทางระบบ D-Ticket และไม่นำรหัสการจองตั๋วมาชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดจำนวนมาก จนส่งผลให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ขาดโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์การสำรองที่นั่งที่ต้องการในช่วงระยะเวลานั้นๆได้
ท้ายนี้ ขอย้ำว่ารฟท. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสารเสมอมา โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ขณะเดียวกัน รฟท. ขอความร่วมมือสื่อมวลชนดังกล่าว ให้นำเสนอข่าวสารหรือภาพประกอบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ตามหลักจรรยาบรรณของสื่อมวลชน ไม่ควรบิดเบือน หรือหยิบยกบางประโยค หรือบางประเด็นมานำเสนอ จนทำให้ภาพรวมของเนื้อหาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ตลอดจนสร้างความเสียหายต่อรฟท.
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ www.railway.co.th หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64972 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด พร้อมหารือเครือข่ายรับฟังปัญหาอุปสรรคและร่วมบูรณาการการทำงานในพื้นที่
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.00 น. นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจติดตามงานเขตตรวจราชการที่ 5 ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประชุมตรวจติดตามงานตามประเด็นการตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รอบที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ห้องประชุมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ โดยมีนายคณบดี สัมพัชนี อุตสาหกรรมจังหวัดและคณะร่วมรับตรวจ พร้อมร่วมหารือเครือข่ายในพื้นที่ ประกอบด้วย สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด SMEs Bank สาขานครศรีธรรมราช สาขาทุ่งสง และประธานเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานปัญหาอุปสรรค พร้อมทั้งภาพรวมศักยภาพทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดฯ จากภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนได้ให้ข้อแนะนำในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม นำนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ภายใต้หลักการ "อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี" สู่ความสำเร็จ 4 มิติ ต่อไป หลังจากนั้น ได้ตรวจติดตามการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการซึ่งอยู่ระหว่างการเร่งรัดผู้รับเหมางวดงานสุดท้าย และสำรวจความชำรุดของบ้านพักฯเดิม โดยให้จังหวัดจัดทำรายการและคำของบประมาณซ่อมแซมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65006 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการอาหารแช่แข็ง ที่เน้นการกระจายรายได้สู่ชุมชน | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจสมพลฯ ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการอาหารแช่แข็ง ที่เน้นการกระจายรายได้สู่ชุมชน
นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการอาหารแช่แข็ง ที่เน้นการกระจายรายได้สู่ชุมชน
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสุนัย พิริยสกุลพัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดนครนายกและคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการอุตสาหกรรม บริษัท ทิมฟู้ด จำกัด จังหวัดนครนายก ประกอบกิจการ ผลิตอาหารแช่แข็ง ซึ่งมีการกระจายรายได้ให้ชุมชนโดยการส่งเสริมให้คนในพื้นที่เพาะปลูกผัก ผลไม้ และได้รับซื้อมาเป็นวัตถุดิบเพื่อแปรรูปและส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งส่งเสริมการจ้างงานซึ่งพนักงาน 95% เป็นคนในพื้นที่ กระบวนการผลิตได้ดำเนินการตรวจสอบหม้อต้มน้ำ/ระบบบำบัดน้ำเสียพร้อมรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เป็นการดำเนินการตามนโยบายในด้านการดูแลชุมชนรอบโรงงาน ดูแลสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้ให้คำแนะนำแนวทางการประกอบกิจการโดยให้ปฏิบัติตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการสร้างงานสร้างอาชีพและมีการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ประชาคมโลก ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” สร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เฟส2 เป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานโลกแห่งแรกในอาเซียน คืบหน้าร้อย55 แล้วเสร็จปี 69 คาดทำรายได้ปีละ 968 ล้านบาท | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” สร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เฟส2 เป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานโลกแห่งแรกในอาเซียน คืบหน้าร้อย55 แล้วเสร็จปี 69 คาดทำรายได้ปีละ 968 ล้านบาท
"ทิพานัน" โชว์ “พล.อ.ประยุทธ์” สร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เฟส2 เป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานโลกแห่งแรกในอาเซียน คืบหน้าร้อย55 แล้วเสร็จปี 69 คาดทำรายได้ปีละ 968 ล้านบาท
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมีวิสัยทัศน์ โดยผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกได้ติดตามและผลักดันการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center – ATTRIC) เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างไปอย่างมาก
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 อนุมัติโครงการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ วงเงิน 3,705.7 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 และระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน โดยการก่อสร้างระยะที่ 1ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ส่วนระยะที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ55 ในคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 เมื่อเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการ จะเป็นทางเลือกในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ได้ภายในประเทศ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายไม่ต้องส่งไปทดสอบในต่างประเทศอย่างที่ผ่านมา คาดว่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 968 ล้านบาท และสร้างรายได้กระจายในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 148 ล้านบาทต่อปี
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตั้งบนพื้นที่ 1,234.98 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือEEC เพื่อให้บริการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อตามมาตรฐานสากล เพื่อส่งเสริมและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทย ไปสู่การเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ผลักดันให้ไทยเป็นผู้นำและเป็นศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อมาตรฐานโลกแห่งแรกในอาเซียน ทั้งยังช่วยดึงดูดนักลงทุนอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพิ่มปริมาณการใช้ยางพารา และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์แปรรูป ส่งเสริมธุรกิจและเกษตรกรชาวสวนยาง
“สะท้อนพล.อ.ประยุทธ์มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีวิสัยทัศน์ เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ให้พ้นจากความยากจนในทุกมิติ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64966 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล เป็นประธานการประชุมสรุปผลการจัดงานร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาดประจำปี 2565 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล เป็นประธานการประชุมสรุปผลการจัดงานร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาดประจำปี 2565
ดร.ณัฐพล รังสิตพล เป็นประธานการประชุมสรุปผลการจัดงานร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาดประจำปี 2565
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาด ประจำปี 2565 ครั้งที่ 1/2566 พร้อมด้วยนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย คณะผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมครั้งนี้ เป็นการรายงานผลการดำเนินงานการจัดงานร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาด ประจำปี 2565 ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการ การจัดกิจกรรมร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาด การจำหน่ายสลากกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม การจำหน่ายคูปองสำหรับกิจกรรมภายในร้าน และการสรุปรายรับ-รายจ่ายร้านกาชาดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยในปี 2565 มียอดรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนเงิน 6,002,539.85 บาท ซึ่งจะนำทูลเกล้าถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้รับผิดชอบการจัดงานร้านกระทรวงอุตสาหกรรมในงานกาชาด ประจำปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัดประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน ภายใต้โครงการบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ชิงเงินรางวัลรวมมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งผลงานได้ถึง 31 มีนาคม 2566 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ธอส. จัดประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน ภายใต้โครงการบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ชิงเงินรางวัลรวมมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งผลงานได้ถึง 31 มีนาคม 2566
ธอส. แถลงข่าวการจัด “ประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน” ภายใต้โครงการบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ส่งผลงานการออกแบบบ้านมุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2566
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงข่าวการจัด “ประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน” ภายใต้โครงการบ้านอยู่เย็น เป็นสุข เปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป หรือคณะบุคคลที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปนิกทั่วประเทศ ร่วมส่งผลงานการออกแบบบ้านมุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ชิงทุนการศึกษาและเงินรางวัลมูลค่ารวมมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งผลงานได้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2566 และประกาศผลการตัดสินรอบสุดท้ายวันที่ 12 พฤษภาคม 2566
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ ทำให้คนไทยมีบ้าน ขอเชิญชวนนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป หรือคณะบุคคลที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปนิกทั่วประเทศ ที่สนใจส่งผลงานเข้า “ประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน” ภายใต้โครงการบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนวิสัยทัศน์ของธนาคาร "ธนาคารที่ดีที่สุด สำหรับการมีบ้าน" ที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารที่มีความยั่งยืนในระยะยาว โดยมุ่งมั่นส่งเสริมให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมด้วยการมอบผลิตภัณฑ์ บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของลูกค้าประชาชน โดยเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสายวิชาสถาปัตยกรรม และบุคคล คณะบุคคลที่ประกอบอาชีพสถาปนิก ที่มีใบประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมทั่วประเทศ ได้สร้างสรรค์ผลงานแบบบ้านประหยัดพลังงานและใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนเข้าถึงได้ รวมถึงสอดคล้องกับพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยของประชาชนและครอบครัวคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ด้วยการใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งประชาชนทั่วไปยังสามารถดาวน์โหลดแบบบ้านที่ได้รับการคัดเลือกจากการประกวดในครั้งนี้ได้ฟรี!! เพื่อนำไปใช้ในการปลูกสร้างและยื่นคำขอสินเชื่อกับธนาคารได้อีกด้วย สำหรับผลงานที่ส่งเข้าประกวด จะได้รับการตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร สภาสถาปนิก สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันอาคารเขียวไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม
สำหรับการประกวดจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภทนิสิต นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสายวิชาสถาปัตยกรรม (แบบเดี่ยว หรือแบบกลุ่มไม่เกิน 3 คน) : สามารถส่งผลงานการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานขนาดเล็ก พื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 150 ตารางเมตร งบประมาณการก่อสร้างไม่เกิน 3 ล้านบาท และ 2.ประเภทบุคคล คณะบุคคลที่ประกอบอาชีพสถาปนิก ที่มีใบประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมทั่วประเทศ (แบบเดี่ยว หรือแบบกลุ่มไม่เกิน 3 คน) : ส่งผลงานออกแบบบ้านประหยัดพลังงานขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตรขึ้นไป งบประมาณการก่อสร้างไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยมีเงินรางวัลรวม 1,040,000 บาท แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1.นิสิต นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสายวิชาสถาปัตยกรรม
- รางวัลที่ 1 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 150,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัล ที่ 2 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัล ที่ 3 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
2.กลุ่มบุคคล คณะบุคคลที่มีใบประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม
- รางวัลที่ 1 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 300,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัล ที่ 2 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัล ที่ 3 จำนวน 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
- รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าวธนาคารยังได้จัดเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางการสร้างที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงานในประเทศไทย” โดย นายสมศักย์ ปรางทอง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นายกิตติพงษ์ วีระโพธิ์ประสิทธิ์ อุปนายกสภาวิศวกร นายคมสัน สกุลอำนวยพงศา นายทะเบียนสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ศ.ดร.กิจชัย จิตขจรวานิช กรรมการสถาบันอาคารเขียวไทย ผศ.ศุภวัฒน์ หิรัญธนวิวัฒน์ อาจารย์และสถาปนิก นายณัฏฐ์ กิจจริต สถาปนิกและนักแสดง เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงานในประเทศไทยให้แก่ผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดอีกด้วย
สำหรับผลงานที่ชนะการประกวดจะถูกนำไปเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ธนาคาร ให้ประชาชนทั่วไปที่ต้องการสร้างบ้าน สามารถดาวน์โหลดแบบบ้านประหยัดพลังงาน ฟรี!!!! ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าธนาคารประหยัดค่าใช้จ่ายในการออกแบบบ้านและยังได้แบบบ้านที่มีคุณภาพตามหลักสถาปัตยกรรม อีกทั้งธนาคารยังได้ช่วยส่งเสริมให้ลูกค้าใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดหลักเกณฑ์และการส่งผลงานเข้าประกวดได้ที่ Facebook “โครงการประกวดแบบบ้านประหยัดพลังงาน บ้านอยู่เย็นเป็นสุข ธนาคารอาคารสงเคราะห์” หรือ ส่งผลงานเข้าประกวดได้ทาง https://forms.gle/tLtf4fSzqK26aUpKA ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2566 โดยธนาคารจะประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบ 10 ทีม ในวันที่ 7 เมษายน 2566 นำเสนอผลงานรอบสุดท้ายและประกาศผลการตัดสินในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคาร ได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64986 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves MOU between Thailand and Vietnam to tackle IUU fishing | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
Cabinet approves MOU between Thailand and Vietnam to tackle IUU fishing
Cabinet approves MOU between Thailand and Vietnam to tackle IUU fishing
February 15, 2023, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that the cabinet, in its meeting on February 14, approved a Memorandum of Understanding (MOU) on Exchange of Fishery Information Against IUU Fishing between Thailand’s Ministry of Agriculture and Cooperatives (Department of Fishery) and Vietnam’s Ministry of Agriculture and Rural Development (Department of Fishery). Signing of the MOU will take place during the 7th Meeting of Vietnam-Thailand joint working group on anti-IUU fishing to be hosted by Vietnam in March 2023.
The MOU on Exchange of Fishery Information Against IUU Fishing is aimed for the two countries to share experiences, information, and measures pertaining to IUU fishing, especially on encroachment of fishing vessels, catch certificate, and traceability, to prevent IUU fishing products from entering the supply chain. Scopes of cooperation are: 1) exchanging information on transshipment and landing of aquatic animals at port, traceability, and verification of catch certificates; 2) enhancing capacity of anti-IUU fishing activities, such as compliance with port state measures, inspection, control and surveillance; and 3) collaborating and exchanging information on illegal fishing vessels under ASEAN network mechanism. The MOU will take effect for 5 years.
According to the Deputy Government Spokesperson, Ministry of Agriculture and Cooperatives, through the Department of Fishery, has earlier signed MOUs and Agreements related to counter-IUU fishing with Fiji, South Korea, Myanmar, Japan, and Cambodia.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมการจัดหางาน เตือนภัย!! มิจฉาชีพปลอม QR Code สำรวจความต้องการไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ (วีซ่า E- 8) | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
อธิบดีกรมการจัดหางาน เตือนภัย!! มิจฉาชีพปลอม QR Code สำรวจความต้องการไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ (วีซ่า E- 8)
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า หลังจากกรมการจัดหางาน เปิดให้คนไทยที่ต้องการไปทำงานเกาหลีใต้ตอบแบบสำรวจความต้องการไปทำงานเกษตรตามฤดูกาล ณ สาธารณรัฐเกาหลี
เพื่อสำรวจจำนวนความต้องการไปทำงานความถนัดด้านงานเกษตรและภูมิลำเนาได้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีนำภาพประชาสัมพันธ์ การตอบแบบสำรวจของกรมการจัดหางาน มาดัดแปลงแก้ไข QR Code เพื่อหลอกลวงให้ผู้ตอบแบบสำรวจกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงขอข้อมูลส่วนบุคคล ขอให้ผู้ที่ต้องการไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ แจ้งความต้องการผ่านเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas เท่านั้น โดยสามารถแสกน QR Code ที่แบนเนอร์ “แบบสำรวจเกษตรกรที่ประสงค์ไปทำงานเกษตรตามฤดูกาล ณ สาธารณรัฐเกาหลี” ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 ก.พ. 66
ทั้งนี้ กรมการจัดหางานขอย้ำว่าการแจ้งความต้องการครั้งนี้ เป็นเพียงการสำรวจความต้องการเท่านั้น โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อช่วยให้ท่านได้รับการคัดเลือก เพราะอาจถูกหลอกลวงให้เสียทรัพย์ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากกรมการจัดหางานได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02 245 6706
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส – ดีป้า” เดินเครื่อง ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ หนุนภาครัฐ-เอกชนเข้าถึงบริการดิจิทัล | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
“ดีอีเอส – ดีป้า” เดินเครื่อง ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ หนุนภาครัฐ-เอกชนเข้าถึงบริการดิจิทัล
“ดีอีเอส – ดีป้า” เดินเครื่อง ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ หนุนภาครัฐ-เอกชนเข้าถึงบริการดิจิทัล
วันนี้ (15 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ประธานแถลงข่าวการจัดทำ ‘บัญชีบริการดิจิทัล’พร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ นโยบายขับเคลื่อนกลไกการเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Scaling up) ของผู้ประกอบการดิจิทัลไทย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทย หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในการจัดทำราคากลางการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า/บริการดิจิทัลให้ชัดเจนมีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล ผ่านแพลตฟอร์ม TECHHUNT โดยมี ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า ให้การต้อนรับ ณ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท
_____________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติลงนาม MOU ไทย-เวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูลต่อต้านทำประมงผิดกฎหมาย เน้นการรุกล้ำน่านน้ำ ตรวจสอบย้อนกลับ ใบรับรองจับสัตว์น้ำ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ครม.อนุมัติลงนาม MOU ไทย-เวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูลต่อต้านทำประมงผิดกฎหมาย เน้นการรุกล้ำน่านน้ำ ตรวจสอบย้อนกลับ ใบรับรองจับสัตว์น้ำ
ครม.อนุมัติลงนาม MOU ไทย-เวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูลต่อต้านทำประมงผิดกฎหมาย เน้นการรุกล้ำน่านน้ำ ตรวจสอบย้อนกลับ ใบรับรองจับสัตว์น้ำ
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.อนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลการต่อต้านการทำการประมงผิดกฎหมาย ระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมประมง กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างการประชุมคณะทำงานร่วมกลุ่มย่อยด้านการประมงระหว่างไทยและเวียดนาม ครั้งที่ 7 ซึ่งเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม คาดว่า จะจัดขึ้นประมาณเดือนมีนาคม 2566
บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลการต่อต้านการทำการประมงผิดกฎหมายฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำการประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) โดยเฉพาะข้อมูลเรือประมงรุกล้ำน่านน้ำ ข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับและใบรับรองการจับสัตว์น้ำ เพื่อไม่ให้มีสินค้าประมงจากการทำการประมงผิดกฎหมายเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต โดยทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการภายใต้ขอบเขตความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ 1.แลกเปลี่ยนข้อมูลการขนถ่ายสัตว์น้ำและการนาสัตว์น้ำขึ้นท่าเรือ การตรวจสอบย้อนกลับและการตรวจสอบใบรับรองการจับสัตว์น้ำ 2.ส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถในกิจกรรมเพื่อต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น การปฏิบัติตามมาตรการรัฐเจ้าของท่า และการตรวจตรา ควบคุม และเฝ้าระวัง 3.ร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเรือประมงผิดกฎหมายภายใต้กลไกของเครือข่ายอาเซียน ส่วนขั้นตอนการดำเนินการนั้น ทั้งสองประเทศจะต้องรายงานข้อมูลของเรือประมงผิดกฎหมาย ตามแบบฟอร์มรายงานที่กำหนดขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคู่ภาคี โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้มีการจัดทำความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) กับประเทศต่าง ๆ แล้ว อาทิ ฟิจิ เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่น และกัมพูชา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64963 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่นครพนม ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมชี้แจงนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่นครพนม ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมชี้แจงนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่นครพนม ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมชี้แจงนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม โดยมี นายชาญชัย อนุสรณ์ อุตสาหกรรมจังหวัดนครพนมพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการ
ทั้งนี้ ผู้ตรวจทาวันฯ ยังได้ชี้แจงนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับสิ่งแวดล้อมมอบนโยบายและข้อเสนอแนะการตรวจราชการ ดังนี้ 1) การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้เร่งรัดการตรวจกำกับดูแล โรงงานอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการหากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2) เน้นย้ำการดำเนินการพิจารณาอนุญาต อนุมัติให้เป็นไปตามกระบวนการ หากอยู่ในขั้นตอนส่งให้หน่วยงานอื่นพิจารณา ควรมีการติดตามความคืบหน้าการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ 3) การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้เร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการพร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ พร้อมเตรียมยกระดับการขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวให้ผู้ประกอบการ และ 4) การปรับปรุงแก้ไขปัญหาผังเมืองรวมจังหวัด เนื่องจากได้มีการปรับแก้ไขประเภทโรงงานอุตสาหกรรม ตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ โรงงาน ปี 2535 ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2562 ควรปรับปรุงแก้ไขบัญชีแนบท้าย กฎกระทรวงผังเมืองรวมจังหวัดให้เป็นปัจจุบัน พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขอให้เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดทุกท่านปฏิบัติงานอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ และประชาชนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64994 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล ตรวจเยี่ยม สปอ. ย้ำใช้ 4 มิติ ขับเคลื่อนผู้ประกอบการ พร้อมนำ iSingle Form สร้างฐานข้อมูลทั้งระบบ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล ตรวจเยี่ยม สปอ. ย้ำใช้ 4 มิติ ขับเคลื่อนผู้ประกอบการ พร้อมนำ iSingle Form สร้างฐานข้อมูลทั้งระบบ
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยม สปอ. ย้ำใช้ 4 มิติ ขับเคลื่อนผู้ประกอบการ พร้อมนำ iSingle Form สร้างฐานข้อมูลทั้งระบบ
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมประกอบด้วย นายสุรพล ชามาตย์ นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ สปอ. ให้การต้อนรับและร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผ่านระบบ Zoom Meeting
โดย รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิญา ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (สปอ.) ประกอบด้วยหน่วยงานส่วนกลาง และหน่วยงานส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่กำกับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผล รวมทั้งประสานการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมส่งเสริม สนับสนุน กำกับ ดูแล และพัฒนาการประกอบกิจการอุตสาหกรรมในส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยแร่ กฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานมุ่งเน้นแนวทางตามนโยบายของปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อตอบโจทย์ MIND ต้องทำให้ สปอ. แข็งแกร่ง ด้วยการยกระดับการบริหารจัดการและการบัญชี ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน IT เข้ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรทั่วทั้งองค์กรให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการ พร้อมเดินหน้าด้วย 5 กลยุทธ์ คือ 1.เพิ่มขีดข่าวกรองนำร่องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม 4.0 2.ปั้นชุมชน สร้างแนวร่วม เช่น การปรับโครงการ OPOAI-C โดยประสานความร่วมมือกับร้านค้า 7-11 นำสินค้าของผู้ประกอบการไปวางจำหน่าย 3.บูรณาการแก้ปัญหาปรับลด Carbon Emission เช่น การดำเนินโครงการ BCG การปฏิรูป Green Industry ลดข้อร้องเรียน 4.สร้างโอกาสเพิ่มความสุข ด้วยแนวทาง DIPROM HERO และการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ 5.อุตสาหกรรมดีมี MIND คือการบูรณาการรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น/ยอดเยี่ยมใหม่ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ต่อไป อย่างไรก็ดี เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สปอ. ต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้การกำกับของ อก. ทั้งในระดับกรมฯ กนอ. ธพว. และสถาบันเครือข่าย รวมถึงหน่วยงานภายนอก อาทิ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังต้องมีการนำระบบ iSingle Form มาใช้ในการสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูล เพื่อการนำไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ต่อไป
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า การมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น/ยอดเยี่ยม จะต้องคัดเลือกสถานประกอบการที่นำนโยบาย 4 มิติ ไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ได้ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับรางวัลอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และเน้นย้ำเรื่องการใช้ระบบ i-industry และ iSingle Form ในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจติดตามราชการ เพื่อให้การดึงข้อมูลส่วนกลางออกมาใช้ได้ในทุกเวลา นอกจากนี้ ในอนาคตควรมีการจัดทำคู่มือตรวจกำกับโรงงานให้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้การตรวจติดตามโรงงานทั่วประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและง่ายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมอภิปรายในงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมอภิปรายในงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023
...
ทอท. ร่วมอภิปรายในงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023
นางลัชชิดา อาภาพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานยุทธศาสตร์) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม เป็นผู้แทน ทอท. เข้าร่วมอภิปรายในงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 ในหัวข้อการพัฒนาเส้นทางการบินเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินงานในอนาคต เช่น การเพิ่มเส้นทางบินใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทาง แผนการจัดฝูงบิน เป็นต้น โดยมีผู้แทนจากสายการบินและสนามบินต่าง ๆ ได้แก่ สายการบินแบมบูแอร์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด และท่าอากาศยานอิสตันบูล เข้าร่วมอภิปรายเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2554 (ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่) จังหวัดเชียงใหม่
อนึ่ง ทอท.เป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 ซึ่งเป็นงานประชุมเจรจาธุรกิจด้านการบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เป็นเวทีเจรจาธุรกิจระหว่างท่าอากาศยาน สายการบิน หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในธุรกิจการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีโอกาสพบปะ เจรจา แลกเปลี่ยนมุมมอง และแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practice) อันจะนำไปสู่การปรับปรุงเครือข่ายทางการบินและการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดการพัฒนาการบริการในอนาคตที่ดียิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท จัดแข่งขันประกอบสะพานเบลีย์หน่วยงานในสังกัด 18 แห่ง มุ่งพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความชำนาญ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบท จัดแข่งขันประกอบสะพานเบลีย์หน่วยงานในสังกัด 18 แห่ง มุ่งพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความชำนาญ
เข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จัดโครงการแข่งขันประกอบสะพานเหล็กสำเร็จรูป หรือสะพานเบลีย์ (Bailey Bridge) สำหรับสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 1 - 18 ครอบคลุมทั่วประเทศ มุ่งพัฒนาทักษะของบุคลากรในการประกอบสะพานเหล็กสำเร็จรูปให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้น เพื่อเข้าช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยให้สัญจรได้โดยเร็ว เนื่องจากทุกปีที่ผ่านมาถนนและสะพานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทช. ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
โครงการแข่งขันประกอบสะพานเหล็กสำเร็จรูป หรือสะพานเบลีย์ (Bailey Bridge) สำหรับสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 1 - 18 เพื่อเตรียมความพร้อม ทบทวน พัฒนาทักษะของบุคลากรในการประกอบสะพานเหล็กสำเร็จรูป ในการเข้าช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้สามารถสัญจรได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย สำหรับการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เข้าร่วมต้องทำการประกอบสะพานเหล็กสำเร็จรูปทั้งหมด 4 ช่วง (ความยาวรวม 12 เมตร) จะต้องประกอบชิ้นส่วนให้ครบตามกำหนด ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันไม่เกินทีมละ 15 คน และจะคัดเลือกทีมที่ทำผลงานได้ผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนด จำนวน 3 ทีม เพื่อเข้ารับโล่รางวัล เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานให้กับบุคลากรของ ทช. ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดี หน่วยงานขานรับแนวทาง BCG ที่รัฐบาลผลักดัน ล่าสุด กกพ. สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสีเขียว แต่ยังคงรักษาความมั่นคงทางพลังงานในประเทศ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
นายกฯ ยินดี หน่วยงานขานรับแนวทาง BCG ที่รัฐบาลผลักดัน ล่าสุด กกพ. สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสีเขียว แต่ยังคงรักษาความมั่นคงทางพลังงานในประเทศ
นายกฯ ยินดี หน่วยงานขานรับแนวทาง BCG ที่รัฐบาลผลักดัน ล่าสุด กกพ. สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสีเขียว แต่ยังคงรักษาความมั่นคงทางพลังงานในประเทศ
วันนี้ (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ขานรับแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตาม BCG
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เป็นที่น่าชื่นชมการทำงานของทุกหน่วยงานในประเทศที่รับเอาแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมโดยจะพัฒนา เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดย กกพ. มีแนวทางที่จะสร้างกลไกเพื่อเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงาน ทั้งกิจการก๊าซธรรมชาติที่อาจปรับปรุงโครงสร้างรองรับการแข่งขันพร้อมกับรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน โดยสนับสนุนการใช้พลังงานสีเขียว
ทั้งนี้ ในระยะเร่งด่วน กกพ. ให้ความสำคัญกับการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น พลังน้ำ และพลังงานหมุนเวียน และในส่วนระยะยาว จะให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้พลังงานสีเขียวตอบสนองความต้องการภาคธุรกิจการค้า และการลงทุนของภาคเอกชนระหว่างประเทศ ซึ่งมีความต้องการซื้อและได้รับการรับรองการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนจากมาตรการภาษีคาร์บอนข้ามแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) และข้อกีดกันทางการค้าการลงทุนอื่นๆ หนึ่งในกลไกสำคัญได้แก่ ไฟฟ้าสีเขียว หรือ Green Tariff ที่ออกแบบให้มีการขายไฟฟ้าพร้อมใบรับรอง (REC) ที่สามารถระบุที่มาของแหล่งผลิตไฟฟ้าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้า
ในส่วนของ โครงสร้างการซื้อขายไฟฟ้าของไทยที่ซื้อขายแบบ Regulated Market นั้น กกพ. มีแนวคิดที่จะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้จากการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แบบ FiT พ.ศ. 2565 – 2573 จำนวน 5,203 เมกะวัตต์ ที่รัฐได้รับสิทธิ์ใน REC มาเป็นองค์ประกอบหลักของ Green Tariff และจะยังมีการขยายผลให้รวมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของ กฟผ. ในอนาคตที่จะมีการผลิตเพิ่มเติมตามแผน PDP และการผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ที่รัฐมีกรรมสิทธิ์ใน REC ให้มารวมอยู่ใน Green Tariff ตลอดจนใน่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านนี้ กกพ. จะส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน เพิ่มมากขึ้นเข้าสู่ระบบไฟฟ้า ส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เอง และสนับสนุนให้มีพลังงานสีเขียวมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรม
“นายกรัฐมนตรียินดีที่ทุกหน่วยงานเห็นประโยชน์จากแนวคิด BCG ที่รัฐบาลได้ผลักดัน เป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า BCG จะเป็นแนวทางการพัฒนาที่สมดุล มีประสิทธิภาพ อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแนวทางการทำงานไว้ในโครงสร้างการพัฒนาประเทศแล้ว และประเทศไทย คนไทย จะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดตามแนวทางการพัฒนาที่ได้วางไว้” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2566 เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคม | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2566 เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคม
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
นายชยธรรม์ พรหมศร กล่าวว่า ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ กฎหมาย โดยยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เสมอมา เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส่ ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) กระทรวงจึงได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2566 เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมคุณธรรมการทำความดี ที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยเพื่อให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐได้พัฒนาระบบและการเสริมสร้างขีดความสามารถของกลไกเพื่อการขับเคลื่อนและส่งเสริมคุณธรรม และเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กร โดยปลัดกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมคุณธรรม และมุ่งหวังให้ทุกหน่วยงานมีผลประเมินและผ่านการประเมินองค์กรคุณธรรม ในระดับที่ 3 คือ ระดับองค์กรคุณธรรมต้นแบบ
ในที่ประชุม ได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องแจ้งเพื่อทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมกระทรวงคมนาคม ตามคำสั่งกระทรวงคมนาคมที่ 918/2565 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 รวมถึงได้มีการชี้แจงหลักการแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ 2
(พ.ศ. 2566 – 2570) โดยมีเป้าหมายหลัก คือ คนไทยมีพฤติกรรมที่สะท้อนการมีคุณธรรมเพิ่มขึ้น มุ่งสู่สังคม
ที่คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความสมานฉันท์ ภายใต้หลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วิถีวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม และประเทศไทยปลอดทุจริตและประพฤติมิชอบ มีการรายงานผลการเปรียบเทียบข้อมูลการประเมินองค์กรคุณธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ 2562 – 2565 ให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งพบว่าในภาพรวมกระทรวงคมนาคมมีความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนการประเมินองค์กรคุณธรรมในระดับหนึ่งโดยมีหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมการประเมินและผ่านการประเมินองค์กรคุณธรรมเพิ่มขึ้นทุกปี และมีจำนวนหน่วยงานที่ผ่านการประเมินองค์กรคุณธรรมในระดับที่ 2 คือ ระดับองค์กรคุณธรรม และระดับที่ 3 คือ ระดับองค์กรคุณธรรมต้นแบบ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเพิ่มมากขึ้น พร้อมชี้แจงตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมินองค์กรคุณธรรม สำหรับประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
ให้คณะอนุกรรมการทราบ
สำหรับกรอบระยะเวลาการดำเนินการขับเคลื่อนการประเมินองค์กรคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมจะจัดส่งผลการประเมินองค์กรคุณธรรมของหน่วยงานซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะทำงานกลั่นกรองผลการประเมินองค์กรคุณธรรมของหน่วยงานแล้วในช่วงเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม และจัดส่งผลการประเมินองค์กรคุณธรรมของกระทรวงคมนาคม ไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ในช่วงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64961 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าอย่างใกล้ชิด ห่วงกังวลค่า PM2.5 พุ่งสูง กระทบต่อสุขภาพประชาชน ขอความร่วมมือทุกพื้นที่ “งดการเผาทุกกรณี” | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าอย่างใกล้ชิด ห่วงกังวลค่า PM2.5 พุ่งสูง กระทบต่อสุขภาพประชาชน ขอความร่วมมือทุกพื้นที่ “งดการเผาทุกกรณี”
โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าอย่างใกล้ชิด ห่วงกังวลค่า PM2.5 พุ่งสูง กระทบต่อสุขภาพประชาชน ขอความร่วมมือทุกพื้นที่ “งดการเผาทุกกรณี”
วันนี้ (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ห่วงกังวลค่า PM2.5 พุ่งสูง กระทบต่อสุขภาพประชาชน
ด้วยสถานการณ์ไฟป่าในหลายพื้นที่มีความรุนแรง ทั้งจากภาวะความแห้งแล้งจัด รวมถึงการลักลอบเข้าป่าและจุดไฟเผาป่า เพื่อแสวงผลประโยชน์จากป่า โดยไม่คำนึงถึงภาพรวม และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้หมอกควันจากไฟป่าลอยปกคลุม ค่า PM2.5 เพิ่มสูงขึ้นเกินมาตรฐาน กระทบต่อสุขภาพประชาชน
นายกรัฐมนตรีได้ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมหารือแนวทางการป้องกันและรับมือ เกี่ยวกับสถานการณ์ไฟป่าของแต่ละหน่วยงาน เพื่อการถอดบทเรียนปัญหาไฟป่า ป้องกันการลุกลาม สร้างความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่การเกษตร บ้านเรือนประชาชน อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เพิ่มขึ้นในอากาศ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ใช้ทุกมาตรการเพื่อลดจำนวนการเกิดไฟป่า และขอความร่วมมือทุกพื้นที่ “งดการเผาทุกกรณี” 89 วัน ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2566 หากฝ่าฝืนมีโทษ พร้อมได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างความเข้าใจ และขอความร่วมมือประชาชน
“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เพิ่มขึ้นในอากาศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมือ เฝ้าระวัง และจัดการสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ พร้อมแจ้งเตือน และขอความร่วมมือประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ขอให้พร้อมปรับแผน และมาตรการให้เข้มงวดขึ้นอย่างทันท่วงที” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64980 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (Expo 2022 Floriade Almere) ครั้งที่ 1/2566 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (Expo 2022 Floriade Almere) ครั้งที่ 1/2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (Expo 2022 Floriade Almere) ครั้งที่ 1/2566
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (Expo 2022 Floriade Almere) ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม 134 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านระบบ Zoom Application
สำหรับการประชุมในวันนี้เป็นการรายงานผลการดำเนินงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (Expo 2022 Floriade Almere) และขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการดำเนินการโครงการดังกล่าวจนสำเร็จลุล่วง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มันสำปะหลัง ปี พ.ศ.2564 - 2567 ด้านการผลิต | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มันสำปะหลัง ปี พ.ศ.2564 - 2567 ด้านการผลิต
รองปลัด กษ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มันสำปะหลัง ปี พ.ศ.2564 - 2567 ด้านการผลิต
นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มันสำปะหลัง ปี พ.ศ.2564 - 2567 ด้านการผลิต ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการกรมส่งเสริมการเกษตร และผ่านระบบการประชุมทางไกล ZOOM Meeting มีเรื่องสำคัญในที่ประชุมคือ
1) การทดสอบและผลักดันการใช้พันธุ์ทนทาน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะคือ การทดสอบและผลักดันการใช้พันธุ์ทนทาน การพัฒนาพันธุ์ต้านทานต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง และการขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนพันธุ์ทนทานในพื้นที่ระบาด
2) การตอบสนองของพันธุ์มันสำปะหลังต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง
3) (ร่าง) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปี 2564 – 2567 ด้านการผลิต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโรงพยาบาล โดยเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายช่วยพัฒนาศักยภาพ ดูแลรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลลูกข่ายในอำเภอใกล้เคียง
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์อภิชัย ลิมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย ให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน และเปิดแพรคลุมป้ายทองรายนามผู้บริจาคตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ปี 2564-2565 บริเวณหน้าห้องผ่าตัด
นายแพทย์อภิชัย ลิมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราโชบายให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเป็นฐานที่แข็งแรงในการพัฒนางานด้านสุขภาพสู่ชุมชน เป็นที่พึ่งแก่ประชาชนในพื้นที่ ทำงานร่วมกับชุมชนภายใต้แนวคิด นำความดีและความเก่งของโรงพยาบาลไปสู่ชุมชน จากโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ได้พัฒนาจนเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 160 เตียง และเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่รับส่งต่อผู้ป่วยสาขาหลักจากอำเภอใกล้เคียง ทำให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีคุณภาพ ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง และมีการจัดอบรมพัฒนาศักยภาพโดยแพทย์เฉพาะทางให้กับโรงพยาบาลลูกข่าย ได้แก่ อำเภอเขาวง อำเภอห้วยผึ้ง อำเภอนาคู เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อ การประเมินความเสี่ยงทารกในครรภ์
นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชนให้ยั่งยืน โดยความร่วมมือของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คณะกรรมการชุมชน และประชาชน นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ซึ่งครัวเรือนต้นแบบสุขภาพดี มีสิ่งแวดล้อมน่าอยู่ เขตเทศบาลเมืองกุฉินารายณ์ มีการจัดการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง และนำขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือนและชุมชนไปทำปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำกลับมาใช้ในการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ ลดการใช้สารเคมี ปัจจุบันมีสมาชิกโครงการครัวเรือนต้นแบบสุขภาพดี 1,284 หลังคาเรือน สามารถกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือนต่อหลังคาเรือน ได้น้อยที่สุด 3 กิโลกรัม และมากที่สุด 67 กิโลกรัม
************************************* 15 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” เตือนรับจ้างเปิดบัญชีม้า - ซิมม้า ระวัง! โทษปรับ-คุก หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
“ชัยวุฒิ” เตือนรับจ้างเปิดบัญชีม้า - ซิมม้า ระวัง! โทษปรับ-คุก หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์
“ชัยวุฒิ” เตือนรับจ้างเปิดบัญชีม้า - ซิมม้า ระวัง! โทษปรับ-คุก หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์
รมต.ดีอีเอส เตือน! แก๊งรับจ้างเปิดบัญชีม้า - ซิมม้า ระวังโทษหนัก รีบไปแจ้งยกเลิกบัญชี หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.ก.ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ เตรียมเช็กบิล ต้นตอคอลเซ็นเตอร์ หลังระบาดหนักต่อเนื่อง
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยว่า คณะรัฐมตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ เมื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยกฎหมายฉบับดังกล่าว จะช่วยแก้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์รวมถึงอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการระงับยับยั้งการโอนเงินผ่านบัญชีม้า ซึ่งต่อไปผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า จะมีความผิดตามกฎหมาย คือ โทษจำคุก 3 ปี ปรับ 300,000บาท และหากพบว่ามีการใช้บัญชีม้าในการโอนเงินของคนร้าย หรือมิจฉาชีพ จะสามารถอายัดบัญชี และหยุดการโอนเงินทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในการโอนต่อไปเป็นทอดๆ ได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมากํากับดูแลและออกนโยบาย และกําหนดว่าลักษณะที่เป็นพฤติกรรมต้องสงสัยในการโอนเงิน หากเข้าข่ายเป็นพฤติกรรมต้องสงสัย และตรวจพบจะสามารถอายัดบัญชี และหยุดการทําธุรกรรม เพื่อรอการตรวจสอบได้เป็นเวลา 7 วัน ถ้าพบว่าทําถูกต้องตามกฎหมายไม่ใช่มิจฉาชีพก็จะปล่อยให้สามารถทําธุรกรรมต่อไปได้ แต่หากพบว่าเป็นบัญชีที่มีปัญหา ก็จะสั่งปิดและดําเนินคดี โดยการเพิ่มอํานาจนี้จะทําให้กระทรวงดีอีเอสสามารถป้องกันและแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ได้ทันที
“ในกฎหมายก็จะมีการตั้งคณะกรรมการ โดยนายกรัฐมนตรีมีอํานาจจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อมากําหนดนโยบายประสานงานกับทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ปัญหานี้ รวมถึงกําหนดบัญชีต้องสงสัย หรือพฤติกรรมต้องสงสัยที่จะระงับการทําธุรกรรมทางการเงิน” นายชัยวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากการปราบปรามแก๊งเปิดบัญชีม้าแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงเรื่องของซิมม้า โดยการใช้ซิมหรือการติดต่อผ่านมือถือ ต่อไปต้องมีการลงทะเบียนตามที่ กสทช. กําหนด ซิมม้าหรือการนำซิมอื่นมาใช้ ก็จะมีความผิดเช่นเดียวกับการใช้บัญชีม้า จึงขอเตือนประชาชน และคนที่ไปเปิดบัญชี หรือไปลงทะเบียนมือถือให้ผู้อื่นใช้ จะมีความผิด โดยมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งไม่คุ้มกับที่ไปรับจ้างได้เงินเพียง 500- 2,000 บาท แต่ต้องมาโดนปรับเงินถึง 300,000 บาท และเป็นคดีความด้วย จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้กระทำการดังกล่าวไปแล้ว ไปที่ธนาคาร และแจ้งยกเลิกบัญชีที่ท่านไปรับจ้างเปิดไว้ไม่เช่นนั้นอาจจะมีความผิดหนัก หากตรวจพบในภายหลัง
__________________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64993 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมง ประกาศปิดอ่าวไทย ปี 66 คุ้มครองพ่อแม่พันธุ์ปลาทูและสัตว์น้ำมีไข่ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
กรมประมง ประกาศปิดอ่าวไทย ปี 66 คุ้มครองพ่อแม่พันธุ์ปลาทูและสัตว์น้ำมีไข่
กรมประมง ประกาศปิดอ่าวไทย ปี 66 คุ้มครองพ่อแม่พันธุ์ปลาทูและสัตว์น้ำมีไข่ หวังเพิ่มผลผลิตและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2566 เพื่อคุ้มครองพ่อแม่พันธุ์ปลาทูและสัตว์น้ำมีไข่ให้แพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างยั่งยืน โดยมี นายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกรมประมง เข้าร่วม ณ สวนสาธารณะปากน้ำปราณบุรี อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำดังกล่าว ครอบคลุมพื้นที่บริเวณอ่าวไทยทั้งหมด แบ่งเป็น บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนกลาง 2 ช่วงระยะเวลา ได้แก่ ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่ปลายแหลมเขาม่องไล่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถึงอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และระหว่างวันที่16 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน 2566 ในบริเวณอาณาเขตตามแผนที่แนบท้ายของประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลางและเขตต่อเนื่องตั้งแต่ปลายแหลมเขาม่องไล่ ถึงอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบริเวณพื้นที่อ่าวไทยรูปตัว ก 2 ช่วงระยะเวลา ได้แก่ ระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2566 ในพื้นที่อ่าวไทยตอนในฝั่งตะวันตกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร และระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน ในพื้นที่อ่าวไทยตอนในด้านเหนือของจังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
สำหรับพิธีประกาศปิดอ่าวฯ ในวันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกอบพิธีบวงสรวงพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และกล่าวคำปฏิญาณตนที่บริเวณด้านหน้าอ่าวประจวบฯ พร้อมกล่าวเปิดพิธีประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ มีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2566 พร้อมทั้งได้มอบแผ่นป้ายเงินอุดหนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านประมงให้กับผู้แทนองค์กรประมงท้องถิ่นทั่วประเทศ จำนวน 200 ชุมชน โดยมอบให้กับผู้แทนสมาคมประมงพื้นบ้าน และมอบป้ายเงินอุดหนุนให้แก่ประธานองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในเขตจังหวัดชุมพร จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ สมาคมประมงด่านสวี หมู่ที่ 3 ตำบลด่านสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ชุมชนประมงท้องถิ่นบ้านควนเสาธง หมู่ที่ 9 ตำบลตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร กลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านกลางอ่าว 1 หมู่ที่ 13 ตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านกลางอ่าว 2 หมู่ที่14 ตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ประธานองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในเขตจังหวัดชุมพรประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 3 ชุมชน ได้แก่ กลุ่มแปรรูปอาหารทะเลบ้านเขาแดง ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านปากคลอง ตำบลบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนประมงและการท่องเที่ยวบางสะพาน ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และประธานองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 3 ชุมชน ได้แก่ กลุ่มประมงพัฒนาสาหร่ายทะเลเพชรบุรี ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี และกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ตำบลนาพันสาม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี และได้มอบพันธุ์สัตว์น้ำให้แก่ตัวแทนชุมชนประมงท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนรวมทั้งสิ้น 215,000 ตัว ประกอบด้วย กุ้งกุลาดำ 200,000 ตัว กุ้งแชบ๊วย 10,000 ตัว และปลากะพง 5,000 ตัว
จากนั้นนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดแผ่นป้ายประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ มีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2566 พร้อมพิธีปล่อยเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติงานในพื้นที่ ประกอบด้วย เรือตรวจประมงทะเลขนาด 60 ฟุต เรือตรวจประมงทะเล ขนาด 38 ฟุต เรือตรวจประมงทะเลขนาด 24 ฟุต เรือตรวจประมงทะเลขนาด 19 ฟุต และเรือยางตรวจประมงทะเล และได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานกรมประมงและนิทรรศการหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาทิ นิทรรศการการจัดตู้แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่เพาะพันธ์เพื่อการอนุรักษ์พร้อมบอร์ดแสดงข้อมูล นิทรรศการผลการศึกษาทางวิชาการมาตรการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน บริเวณอ่าวไทยตอนกลาง อ่าวไทยรูปตัว ก นิทรรศการมาตรการปิดอ่าวไทยตอนกลางและมาตรการปิดอ่าวไทยตอนในในภาพรวม รวมไปถึงมาตรการที่เกี่ยวข้อง นิทรรศการการลงทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาตประมงพื้นบ้านและเตรียมความพร้อมก่อนลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน นิทรรศการการควบคุมการทำประมงการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมชุมชนประมง การอนุรักษ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (MMPA) นิทรรศการการจัดทำหนังสือคนประจำเรือ (Sea book) ฯลฯ
“ขอแสดงความชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับทุกภาคส่วน ซึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบาย 3 ป. คือ ป้อง ปราม ปราบ เพื่อให้พี่น้องชาวประมงร่วมมือและสร้างความเข้าใจต่อมาตรการ และลดความเสี่ยงต่อการละเมิดมาตรการ ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่กระทำผิด ซึ่งทั้ง 3 มาตรการ จะนำมาซึ่งความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือพี่น้องชาวประมงทุกภาคส่วน ร่วมกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ ที่จะป็นแหล่งรายได้ และขอให้ช่วยกันอนุรักษ์ป่าชายเลนด้วย เพราะจะเป็นที่อนุบาลของสัตว์น้ำ ภายใต้แนวทางระเบียงเศรษฐกิจสีน้ำเงิน หรือ Blue Economy ในพื้นที่ก้นอ่าวไทย หรืออ่าวไทยโดยรวม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน" นายอลงกรณ์ กล่าว
ด้าน นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการปิดอ่าวไทยในปีที่ผ่านมา จากข้อมูลทางวิชาการ พบว่า การประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวไทย ทำให้พ่อแม่พันธุ์ปลาทูมีความสมบูรณ์เพศและมีการแพร่กระจายของลูกปลาทูและสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดอื่นในพื้นที่ที่ประกาศใช้มาตรการอย่างชัดเจน ส่วนพื้นที่อ่าวไทยบริเวณบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบของลูกปลาทูและสัตว์น้ำชนิดอื่น พบว่า ระยะเวลาและพื้นที่บังคับใช้มาตรการ มีการปรับปรุงประกาศให้สอดคล้องกับสภาวะทรัพยากรและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ ปริมาณการจับปลาทูในอ่าวไทยปีที่ผ่านมา (ปี 2565) จับได้ถึง 31,999 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,156.01 ล้านบาท มากกว่าผลการจับของปี 2564 ถึง 12,402 ตัน คิดเป็นมูลค่า 780.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 63.28 ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันดีที่แสดงถึงความเหมาะสมของการใช้มาตรการปิดอ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามในการติดตามประเมินผลทางวิชาการของมาตรการฯ พบว่าในห้วงเวลาก่อนการประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 64 – 65) ในช่วงวันที่ 1 – 14 กุมภาพันธ์ พบพ่อแม่ปลาทูมีความสมบูรณ์เพศในอัตราที่สูงสุดถึงร้อยละ 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปลาทูมีความสมบูรณ์เพศก่อนช่วงมาตรการปิดอ่าวไทยตอนกลาง และพบความยาวเฉลี่ยของพ่อ-แม่ปลาทูอยู่ที่ 18.5 เซนติเมตร ซึ่งพร้อมสืบพันธุ์วางไข่จึงมีข้อเสนอแนะทางวิชาการว่าเห็นควรปรับปรุงมาตรการปิดอ่าวไทยตอนกลางให้สอดคล้องกับสภาวะทรัพยากรและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจากการรับฟังความคิดเห็นของชาวประมงในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และสุราษฎร์ธานีเห็นด้วย โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้มีข้อเสนอว่าควรปรับช่วงเวลาปิดอ่าวตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในปี พ.ศ. 2567
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าส่วนภูมิภาค คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมชูชีพก่อนโดยสารเรือทุกครั้ง | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่าส่วนภูมิภาค คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมชูชีพก่อนโดยสารเรือทุกครั้ง
...
กรมเจ้าท่าส่วนภูมิภาค คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมชูชีพก่อนโดยสารเรือทุกครั้ง
จากนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) มอบหมายให้กรมเจ้าท่าตรวจตรา คุมเข้ม ดูแลด้านความปลอดภัยทางน้ำ ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ให้กรมเจ้าท่าในส่วนภูมิภาคที่ 1 - 7 ตรวจตรา ความปลอดภัยทางน้ำ เน้นย้ำประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องสวมใส่ชูชีพก่อนลงเรือทุกครั้ง โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 ได้จัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจตรา ดูแลความปลอดภัยทางน้ำ เช่น จังหวัดชุมพร เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ จังหวัดพิษณุโลก ดังนี้
1. อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน พร้อมดูแลความปลอดภัยบริเวณท่าเทียบเรือ แพโดยสาร
2. กำชับให้เจ้าของเรือ ผู้ควบคุมเรือ ตรวจสภาพอุปกรณ์ประจำเรือ แพชูชีพ พวงชูชีพ เสื้อชูชีพให้พร้อมใช้งานห้ามบรรทุกผู้โดยสารเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
3. ติดตามข้อมูลข่าวสารสภาพอากาศ ข่าวพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินเรือ พร้อมติดตามประกาศจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ โทรสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64985 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมสถานประกอบการที่นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมสถานประกอบการที่นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ
ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมสถานประกอบการที่นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของ บริษัท ยูเนี่ยน แอพพลาย จำกัด อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการพลิกธุรกิจ SMEs ไทยสู่การผลิตสมัยใหม่ 4.0 เพื่อส่งเสริมให้มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotic & Automation) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและบริการ และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม 4.0 มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ หรือ S-Curve รวมถึงธุรกิจและการผลิตรูปแบบใหม่
และในเวลา 13.00 น. ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ บริษัท เอ็มไอเอ็ม คอสแล็บแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ตำบลบางหลวง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นสถานประกอบการ ที่ประสบความสำเร็จ (Success Case) BCG Model ด้าน Bio Economy โดยการนำผลผลิตทางการเกษตร เช่น สมุนไพรไทยต่าง ๆ กล้วยหอมทองปทุมธานีที่ตกเกรด มาสกัดทำเป็นเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ได้แก่ โลชั่น ครีม สบู่ ฯลฯ ทั้งนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ให้กับประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบ และต่อยอดอาชีพที่ดี
ต่อมาเวลา 15.00 น. ได้ลงพื้นที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชมรมเพื่อนปาริชาติ 345 ตำบลบางคูวัด อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี โดยเป็นกลุ่มวิสาหกิจที่ทำภาชนะ (จาน ชาม) จากใบไม้ต่าง ๆ ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แปรรูปกล้วย และทำกระเป๋าสาน ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้กับประชาชนทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ยังเป็นกลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมโครงการ MIND หัวใจเพื่อชุมชน ของกระทรวงอุตสาหกรรม อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ ร่วมเสวนากับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่” | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
บีโอไอ ร่วมเสวนากับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่”
บีโอไอ ร่วมเสวนากับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่”
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ได้รับเชิญจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ให้ร่วมเสวนา ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่” ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO เป็นผู้ดำเนินรายการและร่วมเสวนาในประเด็นดังกล่าว โดยมีการเสวนาในเรื่องโอกาสในการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต ปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และทิศทางและยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64990 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิญาฯ เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิญาฯ เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิญา เนตยสุภา เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 ให้แก่หน่วยงานใน สปอ. ที่มีคำขอ (ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค) เสนอการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 รวมทั้งการพิจารณาปฏิทินการดำเนินการจัดสัมมนาโดยใช้เงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประจำปี 2566 และการพิจารณาสนับสนุนเบี้ยประชุมคณะกรรมการเปรียบเทียบคดีในส่วนภูมิภาค
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เสนอระเบียบวาระเพื่อทราบ ได้แก่ ยอดเงินคงเหลือของเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานส่วนกลางของปีงบประมาณ 2566 ผลการจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ตามมติที่ประชุมของคณะกรรมการในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 และข้อมูลใช้เงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยมี นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวชิระ ไม้แพร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นายจักรพันธ์ เด่นดวงบริพันธ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน นายดุสิต อนันตรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ นางสาวชลาริน นิลพิฤกษ์ ผู้อำนวยการกองกลาง นายสมชัย เอมบำรุง ผู้อำนวยการกองกฎหมาย และเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64992 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้หัวและใจ เป็นแนวทางการปฏิบัติงานปี 2566 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจทาวันฯ ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้หัวและใจ เป็นแนวทางการปฏิบัติงานปี 2566
กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่มุกดาหาร ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร โดยมี นายบุญรวย เลิศวนิชย์ทิพย์ อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการพร้อมรับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการฯ ได้เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้หัวและใจ เป็นแนวทางการปฏิบัติงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้
พร้อมให้ข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานจากการตรวจราชการ ดังนี้ 1) การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้ตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ กำกับให้โรงงานปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบโรงงานพร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการหากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2) การอำนวยความสะดวก การสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจ เน้นย้ำการพิจารณาอนุมัติ อนุญาต ให้เป็นไปตามกระบวนการ /กฎหมาย หากอยู่ในขั้นตอนส่งให้หน่วยงานอื่นพิจารณา ควรมีการติดตามความคืบหน้าการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ 3) การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้เร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ พร้อมยกระดับการขอรับรองอุตสาหกรรมให้ผู้ประกอบการในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศต่อไป 4) การปรับปรุงแก้ไขปัญหาผังเมืองรวมจังหวัด ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับแก้ไขประเภทโรงงานอุตสาหกรรม ตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ โรงงาน ปี 2535 ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2562 ควรปรับปรุงแก้ไขบัญชีแนบท้าย กฎกระทรวงผังเมืองรวมจังหวัดให้เป็นปัจจุบันเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่
สุดท้ายนี้ ได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขอให้ปฏิบัติงานอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ และประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เปิดเวทีติวเข้ม “ผู้ไกล่เกลี่ย” ชุดใหม่ ถอดบทเรียนข้อพิพาทด้านประกันภัย พร้อมเติมองค์ความรู้ก่อนรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อปรับปรุงกลไกการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
คปภ. เปิดเวทีติวเข้ม “ผู้ไกล่เกลี่ย” ชุดใหม่ ถอดบทเรียนข้อพิพาทด้านประกันภัย พร้อมเติมองค์ความรู้ก่อนรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อปรับปรุงกลไกการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพ
เลขาธิการ คปภ. เปิดโครงการสัมมนาผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาทักษะและถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2566 ณ คุ้มดำเนิน รีสอร์ท จ.ราชบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนทั้งสิ้น 121 คน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาทักษะและถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ณ คุ้มดำเนิน รีสอร์ท จังหวัดราชบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนทั้งสิ้น 121 คน ประกอบด้วย ผู้ไกล่เกลี่ย จำนวน 70 คน ผู้บริหารและพนักงานของสำนักงาน คปภ. ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค จำนวน 51 คน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปิดเวทีให้ผู้ไกล่เกลี่ยมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และระดมความคิดเห็นจากบทเรียนที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติงานการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อนำไปพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายธวัชไชย สนธิวนิช อดีตตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง และอนุญาโตตุลาการ สำนักงาน คปภ. ให้เกียรติมาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “แนวทางการพิจารณาประเด็นข้อพิพาทด้านการประกันภัยที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ไกล่เกลี่ย” และได้รับเกียรติจาก นายโชติช่วง ทัพวงศ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการความขัดแย้งและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้เกียรติบรรยายในหัวข้อ “แนวทางและเทคนิคการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย” เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำกิจกรรมถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นต่อไป และในโอกาสนี้สำนักงาน คปภ. และผู้ไกล่เกลี่ยฯ ที่เข้าร่วมสัมมนาได้ร่วมกันจัดกิจกรรม CSR ณ วัดราษฎร์เจริญธรรม (วัดสุน) โดยบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการทำความสะอาดลานวัด และร่วมกันทำบุญถวายสังฆทานเพื่อเป็นศิริมงคลด้วย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยโดยผู้ชำนาญการ นับตั้งแต่เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยมาเป็นเวลาเกือบ 7 ปี มีเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการทั้งสิ้น 1,565 เรื่อง โดยไกล่เกลี่ยสำเร็จเป็นจำนวน 1,227 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 78.40 ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีพอสมควร และหากได้มีการถอดบทเรียนเพื่อรับทราบประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในทุก ๆ ปี และได้หาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็นระบบก็จะทำให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสัมฤทธิ์ผลและมีสถิติเรื่องร้องเรียนที่สามารถยุติประเด็นข้อพิพาทได้มากยิ่งขึ้น
ผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่ 4 จำนวน 80 คน ได้รับการขึ้นทะเบียนรายชื่อฯ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ประกอบด้วยกลุ่มผู้ไกล่เกลี่ยเดิมที่มีประสบการณ์การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยมาแล้ว และกลุ่มผู้ไกล่เกลี่ยใหม่ที่ยังไม่เคยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. มาก่อน โดยในปัจจุบันกลุ่มผู้ไกล่เกลี่ยใหม่หลายท่านได้รับเรื่องไกล่เกลี่ยจากสำนักงาน คปภ. ไปบ้างแล้ว ซึ่งผู้ไกล่เกลี่ยแต่ละท่านอาจใช้เทคนิคหรือวิธีการในการไกล่เกลี่ยที่แตกต่างกัน และอาจพบปัญหาหรืออุปสรรคในการไกล่เกลี่ยที่แตกต่างกัน ดังนั้นเวทีการสัมมนาในครั้งนี้จึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลผู้ไกล่เกลี่ยฯ เกี่ยวกับทิศทางและนโยบายในการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ในปี 2566 โดยสำนักงาน คปภ. จะปรับทิศทางในการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน จากที่เคยอยู่ในสถานะของการตั้งรับและเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าสู่โหมดการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยและเดินทางไปสู่การสร้างสมดุลของระบบประกันภัย ควบคู่กับการเสริมสร้างความทนทาน มั่นคง และยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัย ประกอบกับในปี 2566 เป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้แผนยุทธศาสตร์ สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2564 - 2566) จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์และผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
สำหรับการจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยและการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสัญจร ในปี 2566 ได้มอบหมายให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประสานการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และขยายพื้นที่ในการดำเนินการให้มากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้จะขยายการดำเนินการไปยังสำนักงาน คปภ. ภาค ที่ไกลขึ้น หรือเป็นพื้นที่ที่เป็นสถานที่ทำการอนุญาโตตุลาการ เช่น สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) หรือสำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) เพื่อจะได้เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับกลุ่มอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของผู้ไกล่เกลี่ยและพนักงานที่เกี่ยวข้อง
“การนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการมาช่วยแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนด้านการประกันภัย ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับประชาชนในการระงับข้อพิพาทด้านการประกันภัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยด้วย ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะได้นำข้อเสนอแนะที่ได้จากการถอดบทเรียนในการสัมมนาครั้งนี้ไปปรับปรุงการทำงานของศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ สำนักงาน คปภ. ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลทำงานตามหลักการ หลักเกณฑ์ ไม่ละเว้น เป็นไปตามกฎหมาย | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลทำงานตามหลักการ หลักเกณฑ์ ไม่ละเว้น เป็นไปตามกฎหมาย
ไม่เอื้อประโยชน์หรือละเว้นการตรวจสอบให้กับใคร
วันนี้ (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 15.54 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับฟังมาตั้งแต่เริ่มต้น มีการแสดงความคิดเห็น กล่าวตักเตือน และกล่าวหา หลายเรื่องไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการในหลาย ๆ เรื่อง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ตั้งแต่ในระดับฐานราก SMEs วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน ประชาชนผู้มีรายได้น้อย แก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้า เป็นต้น จึงขอให้ศึกษาและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้วย
สำหรับการทุจริต นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวโยงกับบุคคลต่างๆ ที่ฝ่ายค้านได้กล่าวถึง และเน้นย้ำว่าไม่เคยเอื้อประโยชน์ หรือละเว้นการตรวจสอบให้กับใคร สามารถตรวจสอบได้ และจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงต่อไป สำหรับเรื่องที่ดีๆ รัฐบาลจะรับไว้ ส่วนประเด็นใดที่ไม่ถูกต้อง จะให้ส่วนที่เกี่ยวข้องชี้แจงต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้การอภิปรายอยู่ในกรอบ ไม่ใช้โอกาสในการหาเสียงให้กับพรรคตนเอง ขอให้เป็นไปตามกติกา มารยาทของสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลทำงานตามหลักการหลักเกณฑ์ ไม่เคยปล่อยปะละเว้น เป็นไปตามกฎหมาย ขอให้เคารพกระบวนการยุติธรรม นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้อำนาจนิติบัญญัติเข้ามายุ่งกับฝ่ายบริหารมากเกินไป บางเรื่องที่เป็นเรื่องการบริหารแผ่นดิน ก็ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารได้จัดการ หากไม่ดีขอให้ไปร้องทุกข์ตามกระบวนการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Military aircraft to deliver royal donations to Turkey and transport back repatriated Thai citizens | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
Military aircraft to deliver royal donations to Turkey and transport back repatriated Thai citizens
Military aircraft to deliver royal donations to Turkey and transport back repatriated Thai citizens
February 14, 2023, at 13.30 hrs, at the Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha gave an interview on the disastrous earthquake in Turkey that the Thai Government has closely followed up with and offered humanitarian assistance to the Turkish Government. A team of 42 emergency search and rescue workers from the Department of Disaster Prevention and Mitigation and K-9, dispatched by Ministry of Interior, has now been in the country as part of the international rescue and relief operation. His Majesty King Rama X also made the royal support and donation which will be sent to Turkey via Ministry of Defense’s Boeing 747 flight. The aircraft will transport 23 repatriated Thai citizens and body of the Thai victim on its way back to Thailand.
The Prime Minister also clarified on the state welfare card scheme, approved by the cabinet, under which subsidy would be transferred to card holders by March 1, 2023. He emphasized that personal information of card holders would be protected under the Personal Data Protection Act. Card holders may check, but cannot disclose publicly, whether they are eligible for the subsidy.
The Prime Minister also expressed concern over the rise in financial fraud and online scam which has caused great damages. According to the data compiled by Ministry of Digital Economy and Society, over 800 fraud cases per day were recorded during the first 10 months of 2022. Legal enforcement is, therefore, necessary, and drafting of related law has been accelerated. Meanwhile, the public is urged to take precaution and immediately check with alleged agencies. Public agencies, especially those that are most referred to by scammers, such as Ministry of Finance, the Revenue Department, Customs Department, and the Excise Department, are instructed to create public awareness on possible online scams.
Additionally, the Royal Decree on Cybercrime Prevention and Suppression, B.E. … is being drafted, which will illegalize and penalize those who open a bank account, electronic card, or electronic wallet for purposes other than personal use (nominee accounts). Ministry of Digital Economy and Society and Office of National Broadcasting and Telecommunication Commission are also instructed to send text message to mobile phone users to warn them not to pick up unknown phone calls.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัชดาฯ รองโฆษกรัฐบาล แจ้งความคืบหน้าโครงการช่วยเหลือเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
รัชดาฯ รองโฆษกรัฐบาล แจ้งความคืบหน้าโครงการช่วยเหลือเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี
รัชดาฯ รองโฆษกรัฐบาล แจ้งความคืบหน้าโครงการช่วยเหลือเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ กล่าวว่า ตามที่พี่น้องชาวประมงปัตตานีได้สอบถามถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกรณีเร่งด่วน (เรือชุดที่ 1 จำนวน 96 ลำ) ซึ่งทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้สรุปเรื่องเสนอไปยังสำนักงบประมาณ ในฐานะหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลงบกลาง การใช้จ่ายงบประมาณ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุเฉินหรือจำเป็น
ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอขอใช้งบกลางแล้ว จากนี้จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64991 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่นครนายก ตรวจราชการ รอบ 1 เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ดำเนินการตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่นครนายก ตรวจราชการ รอบ 1 เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ดำเนินการตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566
กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน”
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก โดยมีนายสุนัย พิริยสกุลพัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมรับการตรวจราชการในครั้งนี้ พร้อมรายงานการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนโครงการสำคัญของ กระทรวงอุตสาหกรรม
พร้อมนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้มอบนโยบายและเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินการตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน พร้อมข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแนวทางปฏิบัติงานตามข้อสั่งการที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ พร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตต่างๆ จะต้องดำเนินการให้อยู่ในกรอบระยะเวลาและอำนาจหน้าที่รวมทั้งได้รับฟังแนวทางการดำเนินงาน และข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครนายก ประธานหอการค้าจังหวัดนครนายก และ ผู้จัดการธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สาขานครนายก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65002 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่นครพนม ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ที่ร่วมดูแลสังคม ชุมชนโดยรอบ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่นครพนม ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ที่ร่วมดูแลสังคม ชุมชนโดยรอบ
นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นครพนม ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ที่ร่วมดูแลสังคม ชุมชนโดยรอบ
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายชาญชัย อนุสรณ์ อุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัทไทยศิลาวัฒน์ จำกัด ประกอบกิจการเหมืองแร่ หินอุตสาหกรรมชนิดเหมืองทรายเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตั้งอยู่พื้นที่ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และเข้าเยี่ยมชมศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านนาคำ และโรงเรียนบ้านนาคำ โดยบริษัทไทยศิลาวัฒน์ จำกัด สนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างอาคารเรียนให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และ ปรับปรุงติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ห้องน้ำ และงบประมาณจ้างครูเป็นการดูแลชุมชนรอบเหมืองแร่ ตามมิติที่ 2 การดูแลสังคมรอบโรงงาน/เหมืองแร่ในพื้นที่จังหวัดนครพนม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
รฟม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)
ลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานด้านความปลอดภัยการก่อสร้างในช่วงเวลากลางวัน (Day Audit) และกลางคืน (Night Audit)
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมโดย สำนักงานความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (สปอ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานด้านความปลอดภัย การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ในช่วงเวลากลางวัน (Day Audit) บริเวณสถานีสามยอด สถานีวงเวียนใหญ่ สถานีครุใน และจุดทดสอบเสาเข็มบริเวณซอยสุขสวัสดิ์ 21 ถึงซอยสุขสวัสดิ์ 23 และในช่วงเวลากลางคืน (Night Audit) บริเวณสถานีพระประแดง และสถานีครุใน โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ รฟม. ได้ตรวจสอบการติดตั้งแผงผ้าใบแบริเออร์ ไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณเตือน การยึดวัสดุอุปกรณ์และการติดป้ายปิดเบี่ยงจราจร รวมถึงป้ายเตือนต่างๆ ให้อยู่ในความเรียบร้อย มีความมั่นคงแข็งแรงและอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และเกิดความปลอดภัยต่อประชาชนมากที่สุด พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องตาม “ปฏิญญาว่าด้วยความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน Zero Fatal Accident” ซึ่งเป็นการเเสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างเเน่วเเน่ของ รฟม. ในการกำกับดูเเลการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนในความรับผิดชอบ เพื่อให้บุคลากร ประชาชน ทรัพย์สินสาธารณะ เเละสิ่งเเวดล้อม มีความปลอดภัย อาชีวอนามัยเเละสภาพเเวดล้อมในการทำงานที่ดีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ ทั้งต่อบุคลากรของโครงการฯ และประชาชนผู้สัญจรบนถนนสาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการ D-M-H-T-T ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำอย่างต่อเนื่อง
สามารถติดตาม สอบถามข้อมูลโครงการฯ ได้ที่ Facebook โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ และ Line @mrtpurpleline หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม.เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.ณัฐพล เคาะ“คนดีมี MIND” และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2565 | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ดร.ณัฐพล เคาะ“คนดีมี MIND” และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2565
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เคาะ“คนดีมี MIND” และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2565
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ครั้งที่ 2/2566 พร้อมด้วยนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย คณะผู้บริหาร และคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก ข้าราชการพลเรือนดีเด่น และ “คนดีมี MIND” ประจำปี พ.ศ.2565 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกันพิจารณาบริบทของการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ได้แก่ แผนการดำเนินการ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกพิจารณาคัดเลือก การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น และ “คนดีมี MIND” ประจำปี พ.ศ.2565
ซึ่งสำหรับบุคคลที่ได้รับตำแหน่งคนดีมี MIND จะต้องเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานให้กับราชการอย่างเต็มกำลัง ส่งผลต่อภาพรวมและเกี่ยวเนื่องถึงประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนทุกคน นอกจากการจะเป็นคนเก่งแล้ว จะต้องเป็นคนดี และมีจิตสาธารณะ มีการร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวของข้าราชการทุกกรมในสังกัด เพื่อให้งานในภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรมสำเร็จตามเป้าหมาย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน ตามนโยบาย MIND ของท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเน้นให้เจ้าหน้าที่ใช้ "หัว" และ "ใจ" ทำงาน เพื่อปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ภายใต้ 4 มิติ คือ การส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม การดูแลสังคมโดยรอบ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ประชาชน เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและเป็นขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ในการปฏิบัติงานราชการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การพิจารณาคัดเลือกดังกล่าว จะต้องสอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการที่ได้กำหนดให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของแต่ละส่วนราชการที่จะดำเนินการให้ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยมีเป้าหมายและผลการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของแต่ละส่วนราชการเป็นที่ยอมรับ สร้างคุณค่า คุณภาพของแต่ละส่วนราชการเป็นสำคัญ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2566 | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2566
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก)
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. รวม 4 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหารพุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือ ฉบับที่ .. และร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ฉบับที่ .. รวม 2 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
เศรษฐกิจ-สังคม
7. เรื่อง ผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC)
8. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2565
9. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2565
10. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2565
11. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566
12. เรื่อง ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ
13. เรื่อง การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
14. เรื่อง การดำเนินงานโครงการจัดเตรียมความพร้อมในการให้บริการการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด
15. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,786.55 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ (จำนวน 32 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
16. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของสำนักงานอัยการสูงสุด
17. เรื่อง การเสนอวิธีและขั้นตอนยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ต่อคณะรัฐมนตรี
18. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2566
19. เรื่อง ขออนุมัติปรับระยะเวลาและแผนการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 4 จากปี พ.ศ. 2564 – 2567 เป็นปี พ.ศ. 2566 – 2569
20. เรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD : OKMD National Knowledge Center (Ratchadamnoen Center 1 และ 2)
21. เรื่อง การพิจารณามีมติให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการชั่วคราว
22. เรื่อง สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 20 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 - 30 พฤศจิกายน 2565)
23. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ครั้งที่ 3
24. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนธันวาคม 2565 และทั้งปี 2565
ต่างประเทศ
25. เรื่อง สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP 27) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
26. เรื่อง การเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (European Union: EU)
27. เรื่อง ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลการต่อต้านการทำการประมงผิดกฎหมาย ระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมประมง กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
28. เรื่อง ร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง
29. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – ซาอุดีอาระเบีย
แต่งตั้ง
30. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม และรองโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม
31. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ย.ป.
32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
33. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่
35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
36. เรื่อง ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
37. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
38. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูลและ คณะกรรมการเฉพาะด้านระบบสุขภาพดิจิทัล
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
3. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ให้สามารถดำเนินการและสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ตลอดจนการลงทุนร่วมลงทุนกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบกิจการให้เกิดรายได้ในเชิงพาณิชย์ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยสามารถดำเนินธุรกิจหรือกิจการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของสถาบัน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ในเรื่องดังต่อไปนี้
พระราชบัญญัติเดิม
ร่างพระราชบัญญัตินี้
1. วัตถุประสงค์ของ วว.
ให้ วว. มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(1) ริเริ่ม จัดดำเนินการวิจัย และให้บริการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศในทางเศรษฐกิจและสังคม ให้แก่หน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจเอกชน
คงเดิม
(2) วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การอนามัยและสวัสดิภาพของประชาชน
คงเดิม
(3) สนับสนุนการเพิ่มผลผลิตตามนโยบายของรัฐบาลโดยเผยแพร่ผลของการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
(3) ดำเนินการและสนับสนุนการเพิ่มผลผลิตตามนโยบายของรัฐบาล โดยการถ่ายทอดองค์ความรู้และเผยแพร่ผลของการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
(4) ฝึกอบรมนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
(5) ให้บริการในการทดสอบ ตรวจวัด และบริการอื่น ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
(6) ดำเนินการและสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศตลอดจนการลงทุน ร่วมลงทุนกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อนำผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปประกอบกิจการให้เกิดรายได้ในเชิงพาณิชย์
(7) กระทำการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสถาบัน
2. อำนาจหน้าที่ของ วว.
วว. มีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(1) ซื้อ สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครองหรือทรัพยสิทธิต่าง ๆ และจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุดหนุนหรืออุทิศให้
(1) ซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ อนุญาต แลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือการทำนิติกรรมใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของ วว. ตลอดจนถือครองกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือทรัพยสิทธิต่าง ๆ ในทรัพย์สินของ วว. และจำหน่ายทรัพย์สิน ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุดหนุนหรืออุทิศให้
ในกรณีการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
ในกรณีการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาท ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
(2) รับค่าตอบแทนในการวิจัย และค่าบริการในการให้บริการภายในอำนาจหน้าที่ของ วว. รวมทั้งทำความตกลงและกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าตอบแทนและค่าบริการนั้น
(2) รับค่าตอบแทนในการวิจัย ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ดอกผลของเงิน ค่าสิทธิประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา รายได้ และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใด ที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในอำนาจหน้าที่ของ วว. รวมทั้งทำความตกลงและกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าตอบแทนและค่าบริการนั้น
(3) จัดตั้งหน่วยงาน ดำเนินงานและปรับปรุงหน่วยงานเกี่ยวกับการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
(4) ร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือของเอกชน ในกิจการที่เกี่ยวกับการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการนำผลของการวิจัยไปใช้ให้เป็นประโยชน์
(4) ทำความตกลงและร่วมมือกับบุคคล องค์กรหรือหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ วว. และการนำผลของการวิจัยไปใช้เป็นประโยชน์
(5) จัดให้มีและดำรงไว้ซึ่งมาตรฐานแห่งชาติทางกายภาพ เพื่อการตรวจวัดปริมาณและคุณภาพต่าง ๆ
คงเดิม
(6) รวบรวมและเผยแพร่ข้อนิเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
(7) จัดพิมพ์โฆษณาเอกสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนกรรมวิธีในทางหรือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับงานของสถาบัน
คงเดิม
(8) กู้ยืมเงิน ให้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน หรือลงทุน ทั้งนี้ เพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น
(8) กู้ยืมเงิน ให้กู้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ถือหุ้น หรือเข้าเป็นหุ้นส่วน ลงทุนหรือร่วมลงทุนกับนิติบุคคลอื่น ในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์
การกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน หรือการลงทุน ถ้าเป็นจำนวนเงินเกินคราวละห้าล้านบาท ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
การกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน การเข้าถือหุ้น การเข้าเป็นหุ้น และการลงทุน หรือการร่วมลงทุน ถ้าเป็นจำนวนเงินเกินคราวละยี่สิบล้านบาท ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
(9) ร่วมมือกับประเทศอื่น องค์การ หรือหน่วยงานต่างประเทศ ในกิจการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ยกเลิก เนื่องจากซ้ำซ้อนกับข้อ (4) ที่แก้ใหม่
(10) จัดให้มีและให้ทุนการศึกษาและทุนการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คงเดิม
(10) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อใช้ในการดำเนินการในกิจการของ วว. โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง (กค.) มีความเห็นในเรื่องนี้)
(11) จัดตั้งหรือร่วมกับบุคคลอื่นจัดตั้งบริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคลอย่างอื่นเพื่อนำผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบกิจการใช้ให้เกิดรายได้ในเชิงพาณิชยกรรม (กค. และสำนักงบประมาณ (สงป.) มีความเห็นในเรื่องนี้)
(12) ดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ วว.
3. รายได้ของ วว.
รายได้ของ วว. มีดังต่อไปนี้
(1) เงินทุนอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้
คงเดิม
(2) เงินทุนอุดหนุนจากแหล่งอื่น และเงินที่มีผู้อุทิศให้
คงเดิม
(3) ค่าตอบแทนและค่าบริการที่ วว. ได้รับ
(3) ค่าตอบแทน ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงดอกผลของเงิน ค่าสิทธิประโยชน์ รายได้และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่ วว. ได้รับ
(4) ดอกเบี้ยและผลประโยชน์อย่างอื่นจากการให้กู้ยืมเงิน การลงทุน และจากทรัพย์สินของ วว.
ในกรณีที่รายได้มีจำนวนไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ วว. และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม และ วว. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ วว. เท่าจำนวนที่จำเป็น
คงเดิม
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการ
1.1 ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.2 ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.3 ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.4 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. ....
รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในตลาดทุน สร้างความชัดเจนในการกำกับดูแล และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมประเด็น
1) เพิ่มการรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน (เช่น กำหนดให้การขออนุญาต การรายงาน และการส่งหรือยื่นเอกสารสามารถดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เท่านั้น เป็นต้น)
2) ปรับปรุงการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตลาดรอง และองค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ (เช่น ให้อำนาจคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สามารถกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทและทุกแห่ง เป็นต้น)
3) ปรับปรุงการระดมทุนและการกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีและผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน (เช่น การไม่กำหนดมูลค่าขั้นต่ำ – ขั้นสูงของหุ้นกู้ การผ่อนคลายข้อห้ามหักกลบลบหนี้ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์มีอำนาจกำกับดูแลการจัดทำงบการเงินของกองทุนรวม และที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินในตลาดทุน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฯลฯ เป็นต้น)
4) เพิ่มหลักการเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการ การประกอบวิชาชีพ หรือการให้บริการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (แก้ไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสำนักงานสอบบัญชีและผู้สอบบัญชีในตลาดทุน จากเดิมเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการต่ออายุคำขอความเห็นชอบราย 5 ปี เป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการให้ความเห็นชอบแบบไม่จำกัดอายุการให้ความเห็นชอบ)
5) เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ (เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสำนักงานคุ้มครองพยานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้แนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546)
6) เพิ่มอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท (เช่น ให้อำนาจเลขาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจสอบสวนผู้กระทำความผิดในความผิดฐานบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จ ความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหลักทรัพย์ และความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น)
7) ปรับปรุงบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง (เพิ่มบทกำหนดโทษทางอาญาและเปรียบเทียบความผิด และเพิ่มบทกำหนดโทษทางปกครองและโทษปรับเป็นพินัย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565)
2. ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมประเด็น
1) เพิ่มการรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน (เช่น กำหนดให้การขออนุญาต การรายงาน และการส่งหรือยื่นเอกสารสามารถดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เท่านั้น เป็นต้น)
2) ปรับปรุงการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลาดรอง องค์กรและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง [แก้ไขหลักเกณฑ์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จากเดิมพิจารณาจาก “จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง” เป็น “จำนวนสิทธิออกเสียง” เพื่อเป็นการสะท้อนสิทธิออกเสียงที่แท้จริงของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (เช่น กรณีผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น อาจมีสิทธิออกเสียงได้ 0.5 เสียง ซึ่งแตกต่างจากผู้ถือหุ้นสามัญ 1 หุ้น มีสิทธิออกเสียงได้ 1 เสียง) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจให้ความเห็นชอบบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนก่อนการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ผู้แนะนำการลงทุน ผู้วางแผนการลงทุน และผู้จัดการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น]
3) เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ (เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสำนักงานคุ้มครองพยานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้แนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546)
4) เพิ่มอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท (เช่น ให้อำนาจเลขาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจสอบสวนผู้กระทำความผิดในความผิดฐานบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จ ความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหลักทรัพย์ และความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น)
5) ปรังปรุงบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง (ปรับปรุงบทกำหนดโทษทางปกครองสำหรับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า)
3. ร่างพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมประเด็น
1) เพิ่มการรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน (เช่น กำหนดให้การขออนุญาต การรายงาน และการส่งหรือยื่นเอกสารสามารถดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เท่านั้น เป็นต้น)
2) เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ (เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสำนักงานคุ้มครองพยานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้แนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546)
4. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมประเด็น
1) เพิ่มการรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน (เช่น กำหนดให้การขออนุญาต การรายงาน และการส่งหรือยื่นเอกสารสามารถดำเนินการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เท่านั้น เป็นต้น)
2) เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ (เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสำนักงานคุ้มครองพยานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยใช้แนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546)
3) เพิ่มอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท (เช่น ให้อำนาจเลขาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจสอบสวนผู้กระทำความผิดในความผิดฐานบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จ ความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหลักทรัพย์ และความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น)
ทั้งนี้ การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับดังกล่าวสอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริการภาครัฐไปสู่ระบบดิจิทัล เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย รวมทั้งมีกลไกส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (www.sec.or.th) และระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว
3. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชกำหนดฯ ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สืบเนื่องจากปัจจุบันได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 กำหนดมาตรการป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งรวมถึงการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบการควบคุมตัว ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมตัวและแจ้งให้พนักงานอัยการและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองในท้องที่ทราบโดยทันที ซึ่งขณะนี้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในระดับหนึ่งแล้ว โดยได้จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น ตลอดจนฝึกอบรมความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งวางระเบียบและแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการกระทำให้บุคคลสูญหาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ในขณะที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติการตามกฎหมายแจ้งว่ายังมีปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับความพร้อมด้านงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ และขั้นตอนการปฏิบัติงานในการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความละเอียด ซับซ้อน และมีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของประชาชนโดยตรง หากมีการใช้บังคับกฎหมายในขณะที่หน่วยงานยังไม่มีความพร้อมอาจเกิดผลร้ายแรงต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เสนอร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. .... เพื่อขยายกำหนดเวลาในการมีผลใช้บังคับของมาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวออกไป โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ตามมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เตรียมความพร้อมในด้านอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ตลอดจนให้มีการวางหลักเกณฑ์และมาตรฐานการปฏิบัติงานอย่างรอบคอบ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของประชาชนอย่างแท้จริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ
สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนด
1. ขยายกำหนดระยะเวลาในการมีผลใช้บังคับบางมาตรา ได้แก่ มาตรา 22 (ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าว) มาตรา 23 (ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว) มาตรา 24 (การเข้าถึงข้อมูลของผู้ถูกควบคุมตัว) และมาตรา 25 (การไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวกรณีอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย ละเมิดต่อความเป็นส่วนตัว เกิดผลร้ายต่อบุคคลหรือเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนสอบสวน) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ออกไป โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป
2. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบการควบคุมตัวตามมาตรา 22 และมาตรา 23 เร่งเตรียมการให้มีความพร้อมรองรับการปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566 เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายมีมาตรการและกลไกที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
4. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ และส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจลงตรา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมืองและเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมือง
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. กำหนดคำนิยามต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- ผู้ดำเนินการเดินอากาศ หมายความว่า เจ้าของอากาศยานผู้จดทะเบียนอากาศยาน หรือผู้ดำเนินการเดินอากาศตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
- บัตรผ่านแดน (Border pass) ให้หมายความรวมถึง บัตรผ่านแดนชั่วคราว (Temporary Border pass) บัตรผ่านแดนอิเล็กทรอนิกส์ (E-Border pass) และบัตรผ่านแดนอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
- ด่านช่องทางบกและช่องทางน้ำ หมายความว่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองถาวรทางบกและทางน้ำ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้หมายความรวมถึงด่านตรวจ จุดตรวจ หรือช่องทางอื่นที่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจกำหนดเพื่อการตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และยานพาหนะของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย
- ยานพาหนะเชิงพาณิชย์ หมายความว่า ยานพาหนะที่ใช้เพื่อการประกอบธุรกิจที่เดินทาง ผ่านด่านช่องทางอากาศ ด่านช่องทางบกและช่องทางน้ำ
- ผู้ดำเนินการ หมายความว่า นิติบุคคลผู้ได้รับมอบหมายจากกองทุนให้เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม การจัดเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านด่านช่องทางบกและช่องทางน้ำ เพื่อส่งให้กองทุน
3. กำหนดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราดังต่อไปนี้
3.1 เดินทางผ่านช่องทางอากาศ ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราคนละ 300 บาทต่อคนต่อครั้ง
3.2 เดินทางผ่านช่องทางบกและช่องทางน้ำ ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราคนละ 150 บาทต่อคนต่อครั้ง
4. กำหนดให้ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมแก่บุคคลต่าง ๆ ได้แก่ ผู้ถือหนังสือเดินทางเพื่อการทูต กงสุล หรือการปฏิบัติราชการ (Diplomatic or Official Passport) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพในประเทศ (Work Permit) หรือหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ผู้โดยสารผ่าน ซึ่งมิได้ออกนอกบริเวณห้องผู้โดยสารผ่าน ในกรณีการเดินทางระหว่างประเทศ (Transit Passenger) นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งเป็นทารกและเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี และบุคคลอื่น ตามที่คณะกรรมการกำหนด
5. กำหนดคุณลักษณะของผู้ดำเนินการเดินอากาศที่มีหน้าที่จัดเก็บค่าธรรมเนียม โดยเป็นผู้ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศซึ่งมีสถานที่ประกอบธุรกิจหลักหรือมีถิ่นที่อยู่ถาวรตั้งอยู่ในไทย หรือเป็นผู้ดำเนินการเดินอากาศของต่างประเทศที่ให้บริการแบบประจำมีกำหนด หรือแบบไม่ประจำประเภทเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินเป็นช่วงเวลา และมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ในไทยหรือมีตัวแทนรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดเก็บและนำส่งเงินค่าธรรมเนียมของผู้โดยสารขาเข้าในไทย
6. กำหนดหน้าที่ของผู้ดำเนินการเดินอากาศ ดังนี้
6.1 ลงทะเบียนกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยเพื่อพัฒนาระบบของตนเองเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อนำเข้า นำส่ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้โดยสาร รวมถึงข้อมูลการชำระค่าธรรมเนียมกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (Thailand Tourism Fee: TTF) ตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนด ก่อนทำการบินเข้าประเทศไทย
6.2 จัดเก็บค่าธรรมเนียม โดยให้จัดเก็บผ่านบัตรโดยสารเครื่องบิน ทั้งนี้ ให้แสดงอัตราค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บไว้ในบัตรโดยสารหรือเอกสารอย่างอื่นที่ผู้โดยสารต้องชำระ
6.3 นำส่งบัญชีรายชื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เป็นผู้โดยสารขาเข้าก่อนอากาศยานนั้นออกเดินทางจากสนามบินประเทศต้นทาง
6.4 นำส่งค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บได้ให้แก่กองทุนตามวิธีการที่กองทุนกำหนดภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากกองทุน
7. กำหนดหน้าที่เพิ่มเติมของผู้ดำเนินการเดินอากาศของต่างประเทศ ที่ให้บริการแบบประจำมีกำหนดและไม่มีสำนักงานสาขาฯ โดยต้องมีการวางเงินล่วงหน้าไว้กับกองทุนตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนด และต้องนำส่งบัญชีรายชื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เป็นผู้โดยสารขาเข้าและค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บได้แก่กองทุนตามวิธีการที่กำหนด ภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากกองทุน
8. กำหนดหน้าที่ของผู้ดำเนินการ (นิติบุคคลผู้ได้รับมอบหมายจากกองทุนให้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม) ดังนี้
8.1 ลงทะเบียนกับกองทุนเพื่อพัฒนาระบบของตนเอง เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อนำเข้า นำส่ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงข้อมูลการชำระค่าธรรมเนียมกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนดให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนเริ่มดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียม
8.2 จัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านด่านช่องทางบกและช่องทางน้ำแทนกองทุน โดยผ่านเว็บไซต์ โมบายแอปพลิเคชันตู้ให้บริการชำระค่าธรรมเนียม (Kiosk) และช่องทางอื่นตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด
9. กำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการที่ได้ลงทะเบียนกับกองทุนและพัฒนาระบบของตนแล้วให้เริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามประกาศฉบับนี้ และมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากกองทุนตามที่ได้ตกลงกัน
10. กำหนดให้สำนักงานปลักกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอาจแต่งตั้งนิติบุคคลให้เป็นตัวแทนทำหน้าที่ประสานงานด้านข้อมูลกับผู้ดำเนินการเดินอากาศและมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการดำเนินการจากกองทุนตามที่ได้ตกลงกัน โดยมีหน้าที่ในการจัดทำรายการสรุปบัญชีรายชื่อ ข้อมูลผู้โดยสารขาเข้าประเทศไทยของแต่ละผู้ดำเนินการเดินอากาศในทุกเที่ยวบิน ยอดรวมในแต่ละวันในแต่ละเดือนของแต่ละสนามบินพร้อมทั้งวิเคราะห์กลั่นกรองตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวรวมถึงข้อมูลอื่นๆ ตามที่กองทุนกำหนด จัดทำเอกสารการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ดำเนินการเดินอากาศ และประสานติดตามทวงถามตามที่กองทุนกำหนด เพื่อให้สามารถตรวจสอบรายละเอียด และยืนยันการชำระค่าธรรมเนียมได้
11. กำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศหรือผู้ดำเนินการเกิดข้อปัญหาในการปฏิบัติตามประกาศ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณาหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหารพุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือ ฉบับที่ .. และร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ฉบับที่ .. รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหารพุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือ ฉบับที่ .. และร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ฉบับที่ .. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ กห. เสนอว่า
1. เนื่องจากเครื่องแบบทหารเรือและเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือขาดความสง่างามไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันและยังไม่เป็นสากล ส่งผลให้การแต่งกายของทหารเรือไทยและทหารเรือต่างประเทศเกิดความแตกต่างกันไม่เป็นไปตามหลักสากลนิยม จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมเครื่องแบบทหารเรือเพื่อปรับปรุงส่วนประกอบของเครื่องแบบให้มีความเป็นสากลและให้เกิดความสง่างาม สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
2. กห. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือ ฉบับที่ .. และร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ฉบับที่ .. รวม 2 ฉบับ ขึ้นและคณะกรรมการตรวจร่างกฎหมายประจำ กห. และสภากลาโหมได้เห็นชอบด้วยแล้ว
3. นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือ ฉบับที่ ..
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมส่วนประกอบของเครื่องแบบทหารเรือ ดังนี้
(1) เข็มขัดประกอบเครื่องแบบปกติขาวคอพับ แก้ไขส่วนของเครื่องแบบทหารเรือในส่วนของเข็มขัด จาก “เข็มขัดสีดำ” เป็น “เข็มขัดสีขาว” เพื่อให้เป็นไปตามสากลนิยมของทหารเรือนานาประเทศ เนื่องจากทหารเรือต่างประเทศส่วนใหญ่นิยมแต่งกายโดยใช้เข็มขัดสีขาวประกอบเครื่องแบบปกติขาวคอพับ
(2) แก้ไขสายรัดคางประกอบหมวกทรงหม้อตาลสำหรับนายทหารสัญญาบัตรชายและนักเรียนนายเรือ จาก “ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ” เป็น “ทำด้วยแถบไหมทอง หรือวัตถุเทียมไหมทอง” และแก้ไขหมวกหนีบสำหรับนายทหารสัญญาบัตรชั้นนายพลเรือ ด้วยการเพิ่มขลิบสีทองขนาดใหญ่ที่ขอบสาบหมวก
2. ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ฉบับที่ .. เป็นการแก้ไขเข็มขัดเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารเรือ สำหรับประกอบเครื่องแบบปกติขาวคอพับ จาก “เข็มขัดสีดำ” เป็น “เข็มขัดสีขาว”
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 กำหนดให้การรายงานข้อมูลต่าง ๆ ของโรงงานที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้ง 2 ฉบับ (รวม 7 ประเภทโรงงาน เช่น โรงงานที่มีการใช้หม้อไอน้ำ โรงงานที่มีการใช้สารกัมมันตรังสี และโรงงานที่มีสารมลพิษหรือสารเคมี) ให้เป็นไปตามแบบและวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด แต่โรงงานทั้ง 7 ประเภทที่กำหนดไว้ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงโรงงานที่ทำให้เกิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และโรงงานที่รับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้ว
2. ประกอบกับปัจจุบัน อก. กำหนดให้การรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วเป็นไปตามประกาศ อก. เรื่อง การกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2548 โดยโรงงานผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้ว และโรงงานผู้บำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วต้องส่งรายงานประจำปีตามแบบใบแจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วสำหรับผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (สก.3) และใบแจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วสำหรับผู้บำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (สก.5) ภายในวันที่ 1 มีนาคมของปีถัดไป และหากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (มาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติโรงงานฯ ดังกล่าวเป็นบทกำหนดโทษสำหรับการขออนุญาตต่าง ๆ ในการประกอบกิจการโรงงาน เช่น ที่ตั้งโรงงานและเอกสารจำเป็นในการขอตั้งโรงงาน ไม่ใช่บทกำหนดโทษสำหรับการรายงาน)
3. อก. พิจารณาแล้ว เพื่อให้มีการกำหนดโรงงานที่ทำให้เกิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและโรงงานที่รับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วมีการรายงานข้อมูลและมีการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการ รวมทั้งเพื่อให้การกำหนดโทษสำหรับการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วเป็นไปตามที่บัญญัติตามมาตรา 46 (ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษสำหรับการรายงาน โดยบัญญัติให้ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 8 (7) กำหนดข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแจ้งให้ทราบเป็นครั้งคราวหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท) แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ดังนี้
3.1 ผู้ที่เข้าข่ายต้องรายงานข้อมูล ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการโรงงาน จำนวน 64,107 โรงงาน จำแนกเป็นโรงงานผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จำนวน 61,854 โรงงาน และโรงงานผู้รับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จำนวน 2,253 โรงงาน (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2566)
3.2 วิธีการรายงานข้อมูล กำหนดให้รายงานข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก หรือกระทำ ณ กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
3.3 ข้อมูลที่ต้องรายงานและกำหนดเวลาการรายงาน
(1) โรงงานผู้ก่อกำเนิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว กำหนดให้รายงานข้อมูลรายละเอียดการกักเก็บและการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วภายในบริเวณโรงงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) โรงงานผู้รับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว กำหนดให้รายงานข้อมูลรายละเอียดวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
4. อก. ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน โดยได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (www.diw.go.th) และระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ระหว่างวันที่ 1 - 15 ธันวาคม 2565 รวม 15 วัน ทั้งนี้ มีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวน 5 ราย จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ประกอบกิจการโรงงาน หน่วยงานของรัฐ และประชาชน เป็นต้น และเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ทำให้เกิดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและผู้ประกอบกิจการโรงงานที่รับบำบัดและกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วให้พนักงงานเจ้าหน้าที่ทราบ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกำหนด โดยกำหนดให้เพิ่มเป็นข้อ 8 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
เศรษฐกิจ-สังคม
7. เรื่อง ผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC)
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC)1
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 พฤศจิกายน 2564) รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (Conference of the parties: COP 26) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 12 พฤศจิกายน 2564 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร และถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) เป็นการเน้นจุดยืนของไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งไทยได้เข้าเป็นภาคีความตกลงปารีส2 และดำเนินการที่สอดคล้องตามพันธกรณีมาอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานตามแผนที่การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMA)3 นอกจากนี้ ได้แสดงเจตนารมณ์ของไทยที่จะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และด้วยทุกวิถีทาง ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในหรือก่อนปี ค.ศ. 2065
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่าคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ [รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานคณะกรรมการ] ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 มีมติรับทราบผลการประชุม TCAC ซึ่งจัดขั้นระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2565 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ณ สถานที่จัดงานและผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจของไทย ทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ และมอบหมายให้ ทส. โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำผลการประชุมฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
สาระสำคัญ เช่น
1. ภาพรวมและวัตถุประสงค์
เพื่อเป็นเวทีสร้างพลังขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยในทุกระดับและทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 พร้อมทั้งเป็นการเริ่มต้นดำเนินงานตามความตกลงปารีสอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ไทยมุ่งสู่เป้าหมายที่ได้แสดงเจตจำนงไว้ต่อประชาคมโลกในการประชุม COP 26 ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงไว้
2. พิธีเปิดการประชุมและกิจกรรมในห้องประชุมใหญ่
- นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “เป้าหมาย Net zero 2065 เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของไทยในเวทีโลก (Mission to D-emission 2065 for Thailand Sustainable Growth)” เพื่อยืนยันถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) และแผนพัฒนาระดับชาติตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy) เพื่อสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนาและเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ และการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
- รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติได้เน้นย้ำการมุ่งยกระดับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในประเทศร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเข้มข้นและมุ่งแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “TCAC: Road to COP 27 and Beyond” และ “จากนโยบายสู่ความสำเร็จด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยเน้นย้ำว่า ทส. ได้แปลงเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่นโยบายและแผนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เช่น แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2563 และแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
- ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กล่าวถ้อยแถลงเพื่อแสดงถึงความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
- เครือรัฐออสเตรเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศญี่ปุ่น สมาพันธรัฐสวิส และสหรัฐอเมริกาได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การสนับสนุนด้านพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้า
- องค์การสหประชาชาติได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการและนำเสนอกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและโครงการนำร่องด้านสภาพภูมิอากาศที่ดำเนินการกับไทย
- ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจตอบรับต่อเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศและพร้อมสนับสนุนภาครัฐ โดยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ
- เยาวชนและภาคประชาชนพร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนการทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและการออกแบบธุรกิจเพื่อสังคม
3. การเสวนาเชิงวิชาการในห้องประชุมใหญ่
- เสริมสร้างไทยสู่ความยั่งยืนด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนไทยไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เช่น (1) ภาครัฐ โดย สผ. ในฐานะผู้กำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศได้ระบุถึงเส้นทางสู่ความยั่งยืนด้านสภาพภูมิอากาศผ่านการจัดทำเครื่องมือเชิงนโยบายและกลไกสนับสนุน เช่น กลไกทางการเงินและกฎหมาย และ (2) รัฐวิสาหกิจและเอกชนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมปรับกลยุทธ์องค์กรและการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเพิ่มแหล่งกักเก็บดูดซับคาร์บอน
- บูรณาการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่การดำเนินงานระดับจังหวัดนำเสนอความเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับบริบทการพัฒนาระดับพื้นที่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ระหว่างหน่วยงานด้านนโยบายและตัวแทนของจังหวัดเพื่อนำเข้าสู่แผนพัฒนาจังหวัด
- ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จของโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยร่วมดำเนินการกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA)4 โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้กับเกษตรกรและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 4 ด้าน คือ การปรับพื้นที่นาให้ราบเรียบด้วยระบบเลเซอร์ การจัดการน้ำในนาแบบเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และการจัดการฟางในนาข้าวอย่างถูกวิธี
4. การเสวนาเชิงวิชาการในห้องประชุมกลุ่มย่อย
- ป่าไม้และการกักเก็บคาร์บอน นำเสนอแลกเปลี่ยนนโยบายและการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ โดยต้องบูรณาการจากทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อน เช่น การปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าทั้งในพื้นที่ของภาครัฐ การป้องกันการบุกรุกป่าและควบคุมไฟป่า
- เกษตรกรเท่าทันภูมิอากาศ นำเสนอสาระสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคเกษตรและความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการข้าวยั่งยืนที่เน้นการจัดการน้ำในนาแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสอดคล้องกับโครงการ Thai Rice NAMA ที่จะเป็นต้นแบบที่ดีในการทำนาทั้งเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนจากการใช้น้ำและการใช้ปุ๋ย
- การบริการข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในภาคเมือง นำเสนอในเรื่องต่าง ๆ เช่น (1) การพัฒนาข้อมูลด้านภูมิอากาศ (2) การประยุกต์ใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และ (3) แนวทาง/แนวคิดการออกแบบภูมิสถาปัตย์ที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำมาใช้ในการจัดการเมืองให้มีการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
- พลังงานและการขนส่งที่ยั่งยืนผ่านนโยบายและทิศทางการดำเนินงานภายใต้แผนพลังงานชาติ พ.ศ. 2565 เช่น การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมให้ระบบรางเป็นโครงข่ายหลักของประเทศในการเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างเมือง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ เช่น EV-Bus EV-Boat EV-Bike สำหรับภาคเอกชนได้สะท้อนถึงข้อจำกัดของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเด็นราคาและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะต้องครอบคลุมพื้นที่ใช้งานและพัฒนาให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ได้ทุกค่ายรถยนต์
- ตลาดคาร์บอนเครดิต4 ตอบโจทย์ธุรกิจรักษ์โลกด้วยกลไกราคา เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานในการใช้กลไกราคาหรือตลาดคาร์บอนเพื่อสร้างโอกาสและแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยดำเนินการผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของไทย
5. การแสดงนิทรรศการของหน่วยงานและองค์กรภาคธุรกิจ
เช่น (1) เทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Teachnology) เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนและพลังงานทดแทนและยานยนต์ไฟฟ้า และ (2) แหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนในธรรมชาติ (Green and Blue Carbon) เช่น ระบบนิเวศบนบกและระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง
_____________________
1 เป็นการประชุมที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศที่เน้นการมีส่วนร่วมจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ เข้าใจ และให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065
2 ไทยได้ลงนามความตกลงปารีสเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 เพื่อแสดงเจตจำนงทางการเมืองในทางนโยบายของไทยในการเข้าร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 เมษายน 2559) เห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมในพิธีลงนามระดับสูงความตกลงปารีส] ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินการตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
3 แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564-2573 เป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่ร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2573 [คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 พฤษภาคม 2560) เห็นชอบ]
4 โครงการ Thai Rice NAMA ดำเนินการในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี
4 คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่บุคคลหรือองค์กรได้รับจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละปีซึ่งหากปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ปริมาณคาร์บอนที่เหลือจะถูกนำมาตีราคาและสามารถนำไปจำหน่ายในรูปแบบคาร์บอนเครดิต ให้กับองค์กรอื่น ๆ ที่ต้องการได้ สำหรับตลาดคาร์บอนเครดิต คือพื้นที่กลางสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่กระตุ้นให้ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม
8. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เสนอ ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนธันวาคม 2565 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ
1.1 การขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566-2580) (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) สศช. ได้ปรับเปลี่ยนชื่อแผนแม่บทฯ จากเดิม แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566-2580) (ฉบับปรับปรุง) เป็น แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2566-2580) (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคีเครือข่ายการพัฒนาที่มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ต้องประสานความร่วมมือในการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายของแผนแม่บทฯ เป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อการบรรลุเป้าหมายแผนแม่บทย่อยและสอดคล้องกับปัจจัยภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand: FVCT) เพื่อเป็นเครื่องมือประกอบการวิเคราะห์และจัดทำโครงการ/การดำเนินงานให้สอดคล้องเชื่อมโยงกัน
1.2 การดำเนินการปฏิรูปประเทศ ภายหลังจากที่แผนการปฏิรูปประเทศได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์มีความยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องทบทวนยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ และคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ โดยในส่วนของ สศช. จะจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 เพื่อยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศที่หมดความจำเป็นโดยดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ สศช. จะเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ความเห็นชอบการจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติยกเลิกฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
1.3 ความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ได้กำหนดกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินการไว้ 3 ระดับ ได้แก่ (1) กลไกเชิงยุทธศาสตร์ เป็นกลไกในระดับนโยบายเพื่อเชื่อมโยงไปสู่ระดับปฏิบัติในการทำงานอย่างบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและภาคีการพัฒนาต่างๆ (2) กลไกตามภารกิจ เป็นการดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่ต้องจัดทำแผนระดับ 3เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทฯ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รวมทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และ (3) กลไกระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงและขยายผลประเด็นการพัฒนาระดับประเทศไปสู่ระดับชุมชนโดยมีแผนพัฒนาในระดับพื้นที่ (One Plan) เช่น แผนพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชน และท้องถิ่น ที่มีความสอดคล้องกัน
และสามารถตอบสนองต่อการพัฒนาของแต่ละภูมิสังคมของพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมโดยเริ่มจากความต้องการจุดย่อยสู่จุดใหญ่ (Bottom-up) ทั้งนี้ การขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ระดับตำบล ได้มุ่งเน้นพื้นที่ที่มีภาคีเครือข่ายการพัฒนาที่มีศักยภาพในการประสานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับประเด็นการพัฒนาของหมุดหมายการพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่นและการพัฒนาคนสมรรถนะสูงและการพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่เติบโตบนฐานทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่น
2. การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
2.1 ความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) สศช. ได้ร่วมกับภาคีภาคการพัฒนาต่าง ๆ ในพื้นที่และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ในการออกแบบและพัฒนาระบบการแสดงผลข้อมูล (Dashboard) ที่แสดงสถานะการพัฒนา สภาพปัญหา และภูมิสังคมของพื้นที่ในรูปแบบที่ง่ายต่อการนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจและสอดคล้องกับความต้องการของภาคีพัฒนาระดับต่าง ๆ ในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง โดยจะช่วยสนับสนุนการทำงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อให้การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาสอดคล้องกับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย
2.2 การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติผ่านแผนระดับที่ 3 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีแผนปฏิบัติการด้าน... เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองรวม 25 แผน โดยเป็นแผนฯ ที่มีกฎหมายรองรับ 9 แผน และเป็นแผนฯ ที่จัดทำโดยไม่มีกฎหมายรองรับ 16 แผน จะเห็นได้ว่าหน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน...อาจยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับหลักการในการมีแผนปฏิบัติการด้าน... เฉพาะที่จำเป็นเท่าที่ควร ดังนั้น เพื่อให้มีแผนปฏิบัติการด้าน...เฉพาะกรณีที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือเฉพาะที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเชิงประเด็นที่ยังคงมีช่องว่างการพัฒนาที่ต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่มิใช่เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานภายในกระทรวงเดียวกันเท่านั้น จึงควรให้ความสำคัญในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน...ให้เป็นแผนที่เติมเต็มช่องว่างการพัฒนาและพุ่งเป้าในการขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม
3. การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
3.1 ระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีการนำเข้าข้อมูลโครงการ/การดำเนินงานในระบบ eMENSCR จำนวน 36,948 โครงการ หากเทียบกับรายการโครงการตามรหัสงบประมาณในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ พบว่า มีข้อมูลโครงการ/การดำเนินงานส่วนหนึ่งที่ไม่มีการนำเข้าในระบบ eMENSCR ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลที่ใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติไม่มีความครอบคลุมและครบถ้วน ทั้งนี้ การนำเข้าข้อมูลโครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขอให้ทุกหน่วยงานของรัฐมอบหมายให้หน่วยงานระดับกองหรือเทียบเท่าที่รับผิดชอบโครงการ นำเข้าข้อมูลของทุกโครงการ/การดำเนินงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
3.2 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลผ่านกลไกการตรวจราชการ โดยใช้ข้อมูลสถานะการบรรลุเป้าหมายจากรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (รายงานประจำปี) FVCT และข้อมูลโครงการจากระบบ eMENSCR เพื่อประกอบการวางนโยบายและแนวทางการตรวจสอบและประเมินผล ในภาคราชการ ทั้งนี้ ประเด็นการตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้แก่ (1) การท่องเที่ยว ในประเด็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมและการพัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยว และ (2) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิตในประเด็นการพัฒนาช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น และการพัฒนาและยกระดับศักยภาพวัยแรงงาน ทั้งนี้ การตรวจราชการของกระทรวงที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ผู้ตรวจราชการจะต้องประสานและบูรณาการกับผู้ตรวจราชการกระทรวงอื่น ๆ ที่มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะส่งผลให้มีความสอดคล้องและสามารถบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติอย่างเป็นรูปธรรม
4. ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทุกหน่วยงานของรัฐต้องให้ความสำคัญในการจัดทำแผนปฏิบัติราชการรายปี และราย 5 ปี เพื่อถ่ายระดับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายแผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกโครงการ/การดำเนินงานที่บรรจุไว้ภายใต้แผนปฏิบัติราชการส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างแท้จริง และในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน….หน่วยงานผู้รับผิดชอบจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการวิเคราะห์หาช่องว่างของการพัฒนาเพื่อนำไปกำหนดประเด็นในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน...โดยใช้ข้อมูลจากระบบ eMENSCR และการวิเคราะห์ข้อมูลสถานะการบรรลุเป้าหมายจากรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและช่องว่างในการขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมาย FVCT โดยในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน...ในห้วงที่ 2 ของยุทธศาสตร์ชาติ ให้ยึดเป้าหมายของแผนแม่บทฯ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2580) เป็นกรอบในการกำหนดประเด็นเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิด “พุ่งเป้า” ในการบรรลุเป้าหมายของแผนระดับชาติร่วมกัน
9. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2565
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2565 (เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 24 ที่บัญญัติให้ สศช. จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การประเมินผลการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ 23 ประเด็น 37 เป้าหมาย และเป้าหมายระดับแผนแม่บทย่อย 140 เป้าหมาย สรุปได้ ดังนี้
1.1 การประเมินผลในภาพรวม 6 มิติ
มิติ
ผลการประเมิน
(1) ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย
ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทยลดลง โดยมีสาเหตุสำคัญจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับความอยู่ดีมีสุขของนานาประเทศที่ลดลงทั่วโลก
(2) ขีดความสามารถในการแข่งขันการพัฒนาเศรษฐกิจ
และการกระจายรายได้
มีการพัฒนาที่ลดลง จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมีความ ท้าทายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ดี
(3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
ภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในช่วง ปี 2565 ประเทศไทยมีการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวมลดลง
(4) ความเท่าเทียมและเสมอภาคทางสังคม
มีการพัฒนาค่อนข้างคงที่ โดยหดตัวลงเล็กน้อยจากสถานการณ์ด้านสิทธิส่วนบุคคลและการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่
(5) ความหลากหลายทางชีวภาพคุณภาพสิ่งแวดล้อม
และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ
ความหลากหลายทางชีวภาพและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในภาพรวมลดลงส่วนความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติในภาพรวมมีการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย
(6) ประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการเข้าถึง การให้บริการของภาครัฐ
มีการพัฒนาที่ดีขึ้น เนื่องจากการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ การปรับปรุงระบบราชการเพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพ การบริหารจัดการและการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐค่อนข้างคงที่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
1.2 การประเมินผลการพัฒนายุทธศาสตร์ 6 ด้าน
1.2.1 ภาพรวมการพัฒนาในช่วง 5 ปีแรก (พ.ศ. 2561-2565)
ด้าน
ผลการประเมิน
(1) ความมั่นคง
มีการพัฒนาค่อนข้างคงที่จากความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและหลากหลาย โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และนาโนเทคโนโลยีส่งผลให้เกิดพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารใหม่ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของรูปแบบสงครามในอนาคต รวมถึงมีความขัดแย้งในประเทศเพิ่มขึ้น
2) การสร้างความสามารถ
ในการแข่งขัน
การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงเล็กน้อย ชื่งส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยด้านการค้าระหว่างประเทศและด้านการคลังภาครัฐเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
(3) การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
คนไทยมีคุณภาพชีวิต สุขภาวะ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นลดลง รวมทั้งความก้าวหน้า
ของคนในภาพรวมและการพัฒนาสังคมและครอบครัวไทยมีการปรับตัวลดลง
(4) การสร้างโอกาส
และความเสมอภาคทางสังคม
การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมปรับตัวลดลง โดยส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การจ้างงานและวิถีชีวิตของคนไทยเป็นจำนวนมาก
(5) การสร้างการเติบโต
บนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อม
มีการดำเนินการเพื่ออนุรักษ์ พื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นและมีผลการดำเนินการในภาพรวมดีขึ้น
(6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
ประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐในภาพรวมมีการพัฒนาดีขึ้น แต่หากพิจารณาในช่วงปี 2564-2565 ประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐค่อนข้างคงที่
1.2.2 ผลการประเมินสถานะการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 23 ประเด็น พบว่า สถานะการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระดับประเด็นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ปี 2564 สรุปได้ ดังนี้
(1) เป้าหมายระดับประเด็นที่บรรลุตามค่าเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 12 เป้าหมาย (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 10 เป้าหมาย) เช่น การต่างประเทศ (เป้าหมาย : การต่างประเทศของไทยมีเอกภาพ ทำให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีมาตรฐานสากล และมีเกียรติภูมิในประชาคมโลก) พื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ (เป้าหมาย : ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เกิดศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมของทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อกระจายความเจริญด้านเศรษฐกิจและสังคม) โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล (เป้าหมาย : ความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศดีขึ้น) เขตเศรษฐกิจพิเศษ (เป้าหมาย : การลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทั้งหมดได้รับการยกระดับ) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (เป้าหมาย : คนไทยทุกช่วงวัยมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญาและคุณธรรมจริยธรรม เป็นผู้ที่มีความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 และรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต) การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี (เป้าหมาย : คนไทยมีสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น) การเติบโตอย่างยั่งยืน (เป้าหมาย สภาพแวดล้อมของไทยมีคุณภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน) และการบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ (เป้าหมาย : ภาครัฐมีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้)
(2) เป้าหมายระดับประเด็นที่บรรลุเป้าหมายต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 9 เป้าหมาย (ลดลงจากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 12 เป้าหมาย) เช่น การท่องเที่ยว (เป้าหมาย : รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น) ผู้ประกอบการและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ (เป้าหมาย : ผู้ประกอบการในทุกระดับเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ที่มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น) เศรษฐกิจฐานราก (เป้าหมาย : รายได้ของประชากรกลุ่มรายได้น้อยเพิ่มขึ้นอย่างกระจายและต่อเนื่อง) และการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (เป้าหมาย : ความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น)
(3) เป้าหมายระดับประเด็นที่บรรลุเป้าหมายระดับต่ำกว่าค่าเป้าหมายระดับเสี่ยง จำนวน 6 เป้าหมาย (ลดลงจากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 5 เป้าหมาย) เช่น อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต (เป้าหมาย : ผลิตภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้น) และการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ (เป้าหมาย : แม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพให้มีระบบนิเวศที่ดี)
(4) เป้าหมายระดับประเด็นที่บรรลุเป้าหมายระดับต่ำกว่าค่าเป้าหมายขั้นวิกฤต จำนวน 10 เป้าหมาย (เท่ากับปี 2564) เช่น ความมั่นคง (เป้าหมาย : ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีความสุขดีขึ้น) การเกษตร (เป้าหมาย : ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในสาขาเกษตรเพิ่มขึ้น และผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตรเพิ่มขึ้น) การท่องเที่ยว (เป้าหมาย : ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้น) การต่อต้านการทุจริตและการประพฤติมิชอบ (เป้าหมาย : ประเทศไทยปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ)
2. ประเด็นท้าทายที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ สรุปได้ ดังนี้
2.1 หน่วยงานมีความเข้าใจว่าแผนแม่บทฯ เป็นแผนของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ส่งผลให้การดำเนินงานต่าง ๆ ขาดการบูรณาการที่ควรต้องมุ่งเน้นการบรรลุผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ของเป้าหมาย
2.2 หน่วยงานบางหน่วยไม่ได้นำเข้าแผนปฏิบัติราชการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และแผนปฏิบัติการด้าน... หลายแผนขาดการกำหนดองค์ประกอบของแผน
2.3 การนำเข้าข้อมูลโครงการ/การดำเนินงานในระบU eMENSCR ยังไม่ครบถ้วน ส่งผลให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติยังไม่มีความครอบคลุมและครบถ้วนทุกการดำเนินงานของรัฐ อีกทั้งการกำหนดประเด็นการตรวจติดตามยังไม่ครอบคลุมประเด็นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ
2.4 ข้อมูลสนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมประเด็นการพัฒนาในด้านต่าง ๆ การจัดทำแผนยังขาดข้อมูลประกอบการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคตและข้อมูลประกอบการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่เหมาะสม รวมทั้งข้อเสนอโครงการส่วนใหญ่ไม่ได้มีการอ้างถึงข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น ข้อมูลสถิติและงานวิจัย ทำให้ไม่สะท้อนเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องจัดทำโครงการ
3. ข้อเสนอแนะในการดำเนินการระยะต่อไป เช่น
3.1 หน่วยงานของรัฐต้องทำความเข้าใจหลักการ วัตถุประสงค์ และความสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 ต่าง ๆ โดยเฉพาะแผนแม่บทฯ ซึ่งทุกหน่วยงานของรัฐต้องปรับกระบวนทัศน์และมองเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ เป็นเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
3.2 หน่วยงานของรัฐต้องศึกษาและทำความเข้าใจในหลักการของการจัดทำแผน ระดับที่ 3 ซึ่งเป็นแผนในเชิงปฏิบัติที่ถ่ายระดับแผนระดับที่ 1 และแผนระดับที่ 2 และต้องกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด แนวทางการพัฒนา และโครงการ/การดำเนินงานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนต่อการบรรลุเป้าหมายของแผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม
3.3 หน่วยงานของรัฐต้องยึดหลักการของแผนปฏิบัติการด้าน... ที่เป็นแผนการพัฒนาเชิงประเด็น ไม่ใช่การดำเนินภารกิจปกติ และต้องมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานระดับกระทรวงมากกว่า 1 กระทรวงขึ้นไป โดยต้องจัดทำเท่าที่จำเป็นหรือต้องมีกฎหมายกำหนดให้จัดทำขึ้นเท่านั้น
10. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2565
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอ สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2565 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล และให้ส่วนราชการรับประเด็นและมติของที่ประชุม กตน. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ในการประชุม กตน. ครั้งที่ 6/2565 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นประธานการประชุมฯ มีผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนการดำเนินงานของ กตน. ปีงบประมาณ พ.ศ 2566 (เดือนกันยายน 2565-มีนาคม 2566) และขอความร่วมมือให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นต่าง ๆ เตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานของ กตน. ต่อไป โดยในห้วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2566 มีแผนการดำเนินงานฯ ดังนี้
1.1 จัดการขยะมูลฝอยครบวงจร จัดการของเสียอันตรายและของเสียจากภาคอุตสาหกรรม แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและหมอกควันไฟป่า และดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ปี 2566 (เดือนมกราคม 2566)
1.2 พัฒนาระบบการให้บริการประชาชน ขับเคลื่อนสู่รัฐบาลดิจิทัล พัฒนาและยกระดับศักยภาพแรงงานไทย ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข (เดือนกุมภาพันธ์ 2566)
1.3 จัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้ง ขับเคลื่อน soft power นำสายไฟและสายสื่อสารลงดิน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) (เดือนมีนาคม 2566)
2. การส่งเสริมการนำไทยสู่เมืองหลวงสุขภาพโลก
ประเด็นสำคัญเร่งด่วน/ผลการดำเนินงาน
ข้อเสนอแนะ/มติที่ประชุม กตน.
(1) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical
Tourism Hub) และการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
(1.1) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ดำเนินการ ดังนี้
(1.1.1) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) (พ.ศ. 2560-2569) โดยคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติได้จัดทำโครงการสำคัญเร่งด่วน (Flagship Project) ได้แก่ 1) ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) 2. ศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาล (Medical Service Hub) 3. ศูนย์กลางบริการวิชาการ (Academic Hub) และ 4. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
(1.1.2) ดำเนินโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก1 โดยคณะกรรมการอำนวยการฯ ได้ส่งเสริมการลงทุนผ่านโครงการฯ มีความคืบหน้า เช่น 1) กรมธนารักษ์อนุญาตให้ สธ. (โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต) ใช้ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก153 (บางส่วน) ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 141-2-64 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการฯ 2) คณะทำงานโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 เห็นชอบรูปแบบการบริหารจัดการโครงการฯ ได้แก่ 2.1) งบประมาณแผ่นดิน 2.2) เงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นความร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย 2.3) โครงการความร่วมมือระหว่าง สธ. กรมธนารักษ์ และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด และ 2.4) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนและ 3) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ โดยได้จัดจ้างที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพิจารณาเลือกรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการโครงการฯ ต่อไป
1. เนื่องจากโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของสำนักงานปลัด สธ. เห็นควรมอบ สำนักงานปลัด สธ. เป็นหน่วยดำเนินการขับเคลื่อนโครงการฯ (สธ.)
2. ควรผลักดันการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสถานประกอบการและพัฒนาทักษะแรงงานด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ และควรเร่งจัดเก็บข้อมูลรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทยตลอดจนข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้พัฒนาแผนงานโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป (กก.)
3. เห็นควรดำเนินการขออนุญาตใช้ที่ดินในการดำเนินโครงการ Sports Complex ให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องในที่ดินที่มีพื้นที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลน
(กก.)
4. มุ่งกลุ่มตลาดเป้าหมายใหม่ ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียรวมถึงตลาดที่จะเข้ามาแทนสหพันธรัฐรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐคาซัคสถานซึ่งมีกำลังซื้อสูง (กก.)
มติที่ประชุม : รับทราบ และให้ สธ. กก. กระทรวงมหาดไทย (มท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(1.2) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) ได้ดำเนินการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดังนี้
(1.2.1) ดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ได้แก่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวอันดามันอย่างยั่งยืน และคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่)
(1.2.2) ดำเนินการภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565-2566 มีการดำเนินการ เช่น ยกระดับสถานประกอบการตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล พัฒนาเมืองสมุนไพรและจังหวัดท่องเที่ยว ยกระดับการสร้างสรรค์สินค้า บริการและกิจกรรมเมืองท่องเที่ยวให้มีคุณค่าและมูลค่าสูงและยกระดับการบริการและการบริหารจัดการการท่องเที่ยวยั่งยืนและในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีการจัดทำคำของบประมาณภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยมีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านบริการท่องเที่ยวประเภทที่พักแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) ขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพ Specialized Expo 2028 เพื่อยกระดับจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในรูปแบบ Sports Tourism โดยจัดกิจกรรมวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬางาน AIR SEA LAND กลุ่ม Ex-Treme และ World Sports Event
(2) การพัฒนาภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริม การท่องเที่ยวทุกฤดูกาล กก. ได้จัดทำปฏิทินกิจกรรมท่องเที่ยวและกีฬาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565-กันยายน 2566 และดำเนินโครงการยกระดับภาพลักษณ์ การท่องเที่ยวไทย เช่น ส่งเสริมเทรนด์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่เมือง รอง มุ่งเน้นการทำการตลาดเชิงรุก เร่งพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์และยกระดับภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High value Tourism)
3. การเยียวยาและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มีการดำเนินงานและแผนงานของหน่วยงาน สรุปได้ ดังนี้
ประเด็นสำคัญเร่งด่วน/ผลการดำเนินงาน
ข้อเสนอแนะ/มติที่ประชุม กตน.
(1) นโยบายรัฐบาลเร่งด่วนในการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
(1.1) มท. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้ดำเนินการ เช่น
(1.1.1) ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและการเกษตร จำนวน 1.05 ล้านครัวเรือนตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้การช่วยเหลือตามระเบียบฯ จำนวน 20 จังหวัด วงเงิน 71.14 ล้านบาท และตามอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 62 จังหวัด วงเงิน 914.61 ล้านบาท ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้การช่วยเหลือตาม ระเบียบฯ จำนวน 13 จังหวัด วงเงิน 20.45 ล้านบาท และตามอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 42 จังหวัด วงเงิน 149.39 ล้านบาท
(1.1.2) ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแนวทางการปฏิบัติให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบ สาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินทั้งในรูปแบบเอกสารและระบบออนไลน์ และขอรับการจัดสรรงบประมาณจาก สงป.
(1.1.3) ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 (ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม- 28 ตุลาคม 2565) โดยเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (29 พฤศจิกายน 2565)2 โดยในห้วงเดือนดังกล่าวได้ช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000, 7,000 หรือ 9,000 บาท แล้วแต่กรณีระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง และให้ตรวจสอบผู้ได้รับผลกระทบให้ชัดเจนและครอบคลุม ทุกพื้นที่
(1.2) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดำเนินการ ดังนี้
(1.2.1) เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย โดยหน่วยงานในพื้นที่และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เตรียมพร้อม เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ จัดตั้งศูนย์อพยพหรือสถานที่พักพิงชั่วคราว จัดทำแผนการฟื้นฟูพัฒนาผู้ประสบภัยหรือได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารแผนความต่อเนื่องของ กรมกิจการเด็กและเยาวชน พม.
(1.2.2) จัดทำแผนฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลดโดยจัดการฝึกอาชีพระยะสั้นให้กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เสริมสร้างทักษะอาชีพและคุณภาพชีวิตผู้ประสบอุทกภัยด้านการฝึกอาชีพ และส่งเสริมพัฒนาทักษะอาชีพแก่สตรีและครอบครัวในพื้นที่ประสบภัย
(2) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับสำรวจบ้านเรือนและพื้นที่ทำกินที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย
(2.1) กษ. ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยตั้งแต่เดือนสิงหาคม-30 พฤศจิกายน 2565 จนสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จำนวน 66 จังหวัด และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 3 จังหวัด (จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช) เช่น ด้านพืช ให้ความช่วยเหลือแล้ว 7,296 ราย พื้นที่ 35,880 ไร่ วงเงิน 63.40 ล้านบาท ด้านประมง ให้ความช่วยเหลือแล้ว 3,775 ราย พื้นที่ 5,273 ไร่ วงเงิน 33.95 ล้านบาท และด้านปศุสัตว์ ให้ความช่วยเหลือแล้ว 38 ราย ช่วยเหลือสัตว์ตายและสูญหาย 179,377 ตัว คิดเป็นเงิน 420,000 บาท
(2.2) พม. ได้ดำเนินการ เช่น
(2.2.1) ช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ เช่น ช่วยเหลือเฉพาะหน้าทุกกลุ่มเป้าหมายตามระเบียบของ พม. จำนวน 1,678 ราย เป็นเงิน 5.34 ล้านบาท เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน เป็นเงิน 172.625 ล้านบาท และเงินสงเคราะห์เด็กรายบุคคลจากกองทุนคุ้มครองเด็ก เป็นเงิน 8.5 ล้านบาท
(2.2.2) มอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 324,460 ครัวเรือน เป็นเงิน 8.8 ล้านบาท และมอบอาหารปรุงสุกให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 219,725 กล่อง เป็นเงิน 904,700 บาท
(2.2.3) จัดตั้งศูนย์อพยพ/ศูนย์พักพิงชั่วคราวมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเข้ามาใช้บริการจำนวน 54 คน และบูรณาการความร่วมมือกับจังหวัด เหล่ากาชาด มูลนิธิ และเครือข่ายต่าง ๆ ในการให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเข้ามาใช้บริการ จำนวน 6,634 คน
ข้อเสนอแนะ :
1. ควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่เกษตรกรและทุกภาคส่วนให้เข้าใจถึงความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตร ทั้งพืช ประมง และปศุสัตว์รวมถึงเงื่อนไขจำเป็นในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)]
2. ควรนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการตรวจสอบยืนยันความเสียหายจากภัยพิบัติด้านการเกษตร เพื่อลดระยะเวลาและข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรในการสำรวจตรวจสอบความเสียหาย (กษ.)
3. ควรบูรณาการความร่วมมือในการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยระหว่าง พม. กับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยเน้นบูรณาการด้านงบประมาณ บุคลากรและทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (พม.)
4. ควรมีการกำหนดมาตรการและกลไกในการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย (พม.)
5. ควรมีการระดมความช่วยเหลือและจัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค/ถุงยังชีพให้หน่วยงานนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน (พม.)
มติที่ประชุม : รับทราบ และให้ กษ. พม. มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
4. รับทราบรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณที่เกินกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ดังนี้
4.1 ผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2565
หน่วย : ล้านบาท
งบประมาณ
รายจ่าย
วงเงิน พ.ร.บ.
งบประมาณ
จัดสรร
แผนการใช้จ่ายฯ
ผลการใช้จ่ายฯ
สูง/ต่ำกว่าแผนฯ
ภาพรวม
ร้อยละ/พ.ร.บ.
ร้อยละ/จัดสรร
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลแก้ปัญหายาเสพติดจริงจังตามนโยบายนายกฯ ทุกภาคส่วนทำงานเชิงรุก ควบคู่บำบัดรักษาผู้เสพ ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้มั่นคง | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลแก้ปัญหายาเสพติดจริงจังตามนโยบายนายกฯ ทุกภาคส่วนทำงานเชิงรุก ควบคู่บำบัดรักษาผู้เสพ ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้มั่นคง
โฆษกรัฐบาลย้ำ รัฐบาลแก้ปัญหายาเสพติดจริงจังตามนโยบายนายกฯ ทุกภาคส่วนทำงานเชิงรุก ควบคู่บำบัดรักษาผู้เสพ ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้มั่นคง ปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการปฏิบัติการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ตามนโยบายรัฐบาลและพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ล่าสุดกับการดำเนินการระยะเร่งด่วน (1 พ.ย. 65-31 ม.ค. 66) กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ได้บูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ โดยผลการปฏิบัติเรื่องร้องเรียนยาเสพติดและผลการจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 มีดังนี้ (1) ผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียนยาเสพติด ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2565 โดยร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนยาเสพติด 1386 สำนักงาน ป.ป.ส. จำนวน 4,787 เรื่อง และร้องเรียนผ่านสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 1111 จำนวน 7 เรื่อง รวมเรื่องร้องเรียน จำนวน 4,794 เรื่อง (บุคคล 4,470 คน และพื้นที่ 324 เรื่อง) ดำเนินการแล้ว จำนวน 2,142 เรื่อง (บุคคล 2,023 คน และพื้นที่ 119 เรื่อง) คิดเป็นร้อยละ 44.68 และ (2) ผลการดำเนินงานจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2565 สามารถดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรวม จำนวน 7 ราย จำแนกประเภทเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ 1 ราย เจ้าหน้าที่สมาชิกสภาองค์กรส่วนท้องถิ่น 1 ราย ลูกจ้างปกครองส่วนท้องถิ่น 2 ราย และจำแนกตามข้อหาคือสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด 2 ราย และครอบครองเพื่อการค้า 4 ราย และเสพ 1 ราย โดยสามารถยึดทรัพย์รวมมูลค่าประมาณ 4,402,905 บาท
นายอนุชากล่าวย้ำว่า รัฐบาลได้มีมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ประกอบด้วย
1) การควบคุมสารเคมีที่นำไปใช้ผลิตยาเสพติด เช่น ระงับการส่งออกและชะลอการนำเข้าวัตถุอันตรายบางรายการชั่วคราว ได้แก่ (1) ระงับการอนุญาตให้ส่งออกและชะลอการอนุญาตให้นำเข้าสารโซเดียมไซยาไนด์และสารเบนซิลไซยาไนด์ไว้จนกว่าจะได้ปรับปรุงวิธีพิจารณาอนุญาตการนำเข้าและการส่งออก และจัดทำหลักเกณฑ์การควบคุมแล้วเสร็จ ทั้งนี้ การอนุญาตให้นำเข้าและส่งออกสารเคมีทั้ง 2 ชนิด จะอนุญาตตามปริมาณการใช้จริงเป็นราย ๆ ไปเท่านั้น และ (2) การขออนุญาตส่งออกและขออนุญาตนำเข้าสารโซเดียมไซยาไนด์และสารเบนซิลไซยาไนด์ และสารเบนซิลคลอไรด์จะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้ซื้อ ต้องยืนยันตนโดยการลงทะเบียนเพื่อควบคุมปริมาณและการติดตามการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด รวมทั้งยึดและอายัดวัตถุอันตรายที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด โดยอายัดสารโซเดียมไซยาไนด์ 220 ตัน
2) การทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดและยึดอายัดทรัพย์สิน โดยดำเนินการสืบสวน ขยายผล เพื่อทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด ซึ่งในห้วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 มีการกำหนดเครือข่ายเป้าหมายในการดำเนินการ 242 เครือข่าย และได้จัดทำรายงานข่าวสารยาเสพติดของเครือข่าย 739 ฉบับ รวมทั้งจัดทำรายงานเป้าหมายบุคคลในเครือข่าย 1,098 คน รวมถึงกำหนดเป้าหมายยึด อายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด ใบปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มูลค่า 100,000 ล้านบาท ผลการดำเนินงานยึด อายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,280 ล้านบาท (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2565)
3) การติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติด โดยสำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดเป้าหมาย 8,402 หมายจับ สามารถดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมผู้มีหมายจับคดียาเสพติดได้ 88 หมายจับ (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2565) ขณะที่กระทรวงกลาโหม ได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้าและส่งออกยาเสพติดตามบริเวณแนวชายแดน ดังนี้ (1) สกัดกั้นยาเสพติด ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-26 ธันวาคม 2565 สามารถจับกุมและสกัดกั้นยาเสพติด ได้แก่ ยาบ้า จำนวน 12.29 ล้านเม็ด เฮโรอีน จำนวน 11 กิโลกรัม ยาไอซ์ จำนวน 586,956.75 กรัม และ ยาอี จำนวน 15,000 เม็ด (2) ปราบปรามยาเสพติด โดยมีมาตรการหลัก ได้แก่ การปฏิบัติการข่าวเชิงลึกด้วยการจัดตั้งตัวแทนในพื้นที่พิเศษพื้นที่ชายแดน การรวบรวมข่าวสาร ติดตาม ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่ม/ขบวนการค้ายาเสพติด การบูรณาการกำลังในการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจพื้นที่เพ่งเล็ง และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2565 สามารถดำเนินการจับกุม/ตรวจยึดยาเสพติดได้ ดังนี้ ผู้ต้องหา จำนวน 18 คน ยาบ้า จำนวน 11.93 ล้านเม็ด ยาไอซ์ จำนวน 435.1 กิโลกรัม และเคตามีน จำนวน 9.9 กิโลกรัม รวมไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ดำเนินการเชิงรุกในการปราบปรามและจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ขยายผลและใช้มาตรการทางทรัพย์สิน และกฎหมายปราบปรามการฟอกเงินและร่วมกับภาคีเครือข่ายค้นหาผู้ติดยาเสพติดจัดทำฐานข้อมูล (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2565 มีการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรวม 80,354 คดี ผู้ต้องหา 79,931 ราย
4) การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดทั่วประเทศ ได้แก่ (1) สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ ตช. และ มท. ในการบูรณาการฐานข้อมูลผู้เสพ ผู้ติด ผู้มีอาการทางจิตเวช โดยจัดตั้งฐานข้อมูลด้านยาเสพติดที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงาน ป.ป.ส. (2) ตช. ดำเนินการ Re X-Ray ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และผู้มีอาการทางจิตเวช จำนวน 158,333 ราย มีผู้ใช้ ผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัด 106,937 ราย ผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด 25,586 ราย และไม่ได้มีสาเหตุมาจากยาเสพติด 25,810 ราย (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-20 ธันวาคม 2565) (3) มท. ดำเนินการ Re X-Ray ผู้เสพ ผู้ติด ผู้ค้า และผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พบผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดทั่วประเทศ จำนวน 119,195 คน ผู้ค้ายาเสพติดทั่วประเทศ จำนวน 18,374 คน (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2565)
5) การศึกษาและทบทวนกรณีผู้เสพเป็นผู้ป่วย โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ดำเนินการทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 1 ประเภท 2 หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. .... (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์)
รวมทั้งรัฐบาลมีมาตรการด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด แบ่งเป็น ดังนี้ 1) มาตรการระยะเร่งด่วน เช่น (1) บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โดยในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีผลการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ตามแบบบำบัดรักษาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แบ่งเป็น มาตรา 113 จำนวน 9,447 ราย มาตรา 114 จำนวน 7,414 ราย และศาล จำนวน 1,160 ราย (2) มีระบบบูรณาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด (SMI-V Care) ในพื้นที่นำร่อง 30 จังหวัด (3) เร่งรัดสำรวจศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกตำบล และดำเนินการขึ้นทะเบียนศูนย์คัดกรองแล้ว จำนวน 9,473 แห่ง (4) เร่งรัด สนับสนุน และร่วมบูรณาการการดำเนินงานกับหน่วยงานในพื้นที่ CBTx (Community based treatment and rehabilitation) สร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวชุมชน สังคม ดูแลผู้ติดยาเสพติด ดำเนินการแล้ว 659 ชุมชน และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 775 แห่ง ดำเนินการแล้ว จำนวน 439 แห่ง 2) มาตรการระยะกลาง เช่น สนับสนุนการดำเนินงานของสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดภาคีเครือข่าย จำนวน 146 แห่ง เร่งรัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด เพื่อสำรวจ ตรวจสอบและยื่นขึ้นทะเบียนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครอบคุลมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล โดยได้ดำเนินการศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมขึ้นทะเบียนเว็บไซต์แล้ว จำนวน 912 แห่ง และจัดให้มีบริการหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดทุกโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และครอบคลุมทุกจังหวัด และ 3) มาตรการระยะต่อเนื่อง โดยดำเนินการควบคุมกำกับ ติดตาม ศูนย์คัดกรอง สถานพยาบาลยาเสพติด/สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมและการใช้ชุมชนเป็นฐานการบำบัดยาเสพติด ให้เป็นไปตามมาตรฐานโดยมีการประเมินจากคณะกรรมการระดับเขตสุขภาพด้วย
“การดำเนินงานที่เกิดผลเป็นรูปธรรมดังกล่าว เป็นนโยบายนายกรัฐมนตรีที่เน้นย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทำงานเชิงรุกทั้งการปราบปราม จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ขยายผลไปสู่การทำลายเครือข่าย จับกุมนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ควบคู่ประสานความร่วมมือทุกฝ่ายในสังคม นำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษา เป็นกำลังใจให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีของสังคม ทั้งนี้ รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นหูเป็นตากับภาครัฐ และแจ้งเบาะแสยาเสพติดมาได้ทางสายด่วน 1386 สำนักงาน ป.ป.ส. หรือทางสายด่วน 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความมั่นคง และเป็นสังคมปลอดภัยยาเสพติด” นายอนุชา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่พัทลุง ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่พัทลุง ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่พัทลุง ตรวจติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด พร้อมหารือภาคเอกชนและเครือข่ายรับฟังปัญหาอุปสรรคและร่วมบูรณาการการทำงานในพื้นที่
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 14.30 น. นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจติดตามงานเขตตรวจราชการที่ 5 ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จังหวัดพัทลุง ได้ประชุมตรวจติดตามงานตามประเด็นการตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รอบที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ห้องประชุมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ โดยมีนางดวงธิดา จันทร์พุ่ม อุตสาหกรรมจังหวัดพัทลุงและเจ้าหน้าที่รายงานผลการดำเนินงานและรับตรวจ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมหารือภาคเอกชนและเครือข่ายในพื้นที่ อาทิ สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ผู้จัดการ SMEs Bank สาขาพัทลุง และประธานเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและร่วมบูรณาการการทำงานในพื้นที่ ซึ่งภาคเอกชนได้ขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรมที่นำสินเชื่อกองทุนฯประชารัฐ มาช่วยเหลือและเสริมศักยภาพธุรกิจให้สามารถฟื้นฟูหลังวิกฤติโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และอยากให้ขยายเวลาการให้สินเชื่อนี้ออกไปอีก นอกจากนี้ผู้ตรวจภาสกรฯ ได้ให้ข้อแนะนำในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม นำนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ภายใต้หลักการ "อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี" สู่ความสำเร็จ 4 มิติ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดสุราษฎร์ธานี | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
13 กุมภาพันธ์ 2566
นายกรัฐมนตรีเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ในท้องถิ่น
นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และปัญหาที่ดินทำกิน ยืนยันรัฐบาลสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเป็นธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64964 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจง ข้อเท็จจริงการดำเนินโครงการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรค (UV-C) | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
รฟท. ชี้แจง ข้อเท็จจริงการดำเนินโครงการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรค (UV-C)
ดำเนินการตามระเบียบทุกขั้นตอนด้วยความโปร่งใส และนำมาใช้งานตามแผนที่กำหนดเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า
ตามที่ปรากฏเป็นข่าว รฟท.ได้จัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรค (UV-C) โดยวางทิ้งไว้ไม่นำมาใช้งานนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่มีข้อมูลไม่ถูกต้อง โดยภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพของหุ่นยนต์ ฆ่าเชื้อ (UV-C) ถูกจัดเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอใช้งานตามวันที่กำหนดไว้ในแผนงาน ไม่ได้มีการวางทิ้งโดยไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบัน รฟท. ยังมีการนำหุ่นยนต์ออกมาใช้งานฆ่าเชื้อโรคภายในขบวนรถโดยสาร และสถานีรถไฟอยู่เป็นประจำต่อเนื่อง โดยนำออกมาในช่วงเวลากลางคืน หรือเวลาที่ไม่มีประชาชนหรือผู้โดยสารอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้เกิดความสะอาด ปลอดภัย และป้องกันไม่ให้รังสียูวีชี (UV-C) ที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ กระทบต่อผู้โดยสารและประชาชนผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้รฟท. ขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาในการดำเนินการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) โดยเริ่มต้นในปี 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงที่สถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก โ่ดยขณะนั้น ยังคงมีประชาชนที่มีความจำเป็นในการเดินทางมาใช้บริการรถไฟ ประกอบกับมีผู้ปฏิบัติงาน ได้รับเชื้อและอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง จนส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้โดยสาร ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสารรถไฟที่ใช้บริการบนขบวนรถและสถานี รวมทั้งดูแลผู้ปฏิบัติงานของ รฟท. ให้ลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
รฟท. จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) ขึ้น โดยพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) โดยใช้รังสีการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด C มีความสามารถในการทำลาย DNA และ RNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและเชื้อโรคต่างๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส สปอร์ของเชื้อ ไวรัสโควิด-19 ได้ดี และมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่ำกว่าการฆ่าเชื้อโรคโดยวิธีฉีดพ่นสารเคมี และการเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ และไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตรายไว้หลังการใช้งาน
จากนั้น รฟท. จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) โดยดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เปิดให้มีการเสนอราคา ทำการประมูลแข่งขันอย่างเป็นธรรม ตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยมีการสอบราคาตามขั้นตอนที่ถูกต้อง โปร่งใส ครบถ้วน จนกระทั่งสามารถจัดหา หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อไวรัสด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย จำนวน 20 ตัว รวมวงเงิน 96.25 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในวงเงินดังกล่าว ไม่ใช่เป็นแค่มูลค่าเฉพาะหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคจำนวน 20 ตัวเท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงการดูแลบำรุงรักษา การซ่อมแซม และรับประกันตลอด 2 ปีเต็ม และยังรวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ โดยจัดการอบรมการใช้งานหุ่นยนต์ให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ รฟท. จำนวน 30 คน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถใช้งานหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อฯ ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบันรฟท. ได้นำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) นำมาใช้งานกับขบวนรถโดยสาร และตามสถานีต้นทาง/ปลายทางต่างๆ ดังนี้
1. สถานีกรุงเทพ จำนวน 4 ตัว
2. สถานีเชียงใหม่ จำนวน 2 ตัว
3. สถานีหนองคาย จำนวน 2 ตัว
4. สถานีอุบลราชธานี จำนวน 2 ตัว
5. สถานีชุมทางหาดใหญ่ จำนวน 2 ตัว
6. สำนักงานและพื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงาน รฟท. จำนวน 3 ตัว
7. สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จำนวน 5 ตัว
ที่สำคัญผลดำเนินงานจากการจัดหาและนำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคมาใช้ปฏิบัติงาน ฆ่าเชื้อโรคภายในสถานี และบนขบวนรถโดยสาร ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงผู้โดยสารที่ใช้บริการอย่างชัดเจน ซึ่งจากสถิติตั้งแต่มีการนำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อมาใช้งานเห็นได้ว่า จำนวนของผู้โดยสารที่เดินทางรถไฟในช่วงระยะเวลาดังกล่าวกว่า 17 ล้านคน ไม่มีผู้โดยสารที่ติดเชื้อโควิด-19 จากการเดินทางโดยรถไฟหรือมาใช้บริการที่สถานีเลย ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าในการช่วยป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดในขณะนั้น และช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความสูญเสียแก่พี่น้องประชาชน ตลอดจนทำให้รถไฟ ยังเป็นระบบขนส่งสาธารณะ ที่เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน สามารถเปิดให้บริการได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงเกิดวิกฤติดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม รฟท. ขอชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับความคุ้มค่า และคุณสมบัติพิเศษของหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหุ่นยนต์ที่มีสเป็ก และเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งการฆ่าเชื้อไวรัสด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตชนิดเข้มข้น การประมวลผลการทำงานด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองผ่านระบบไวไฟ 5G อีกทั้งผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานโดย CE และ TUV Rheinland (UVDR/Ultra Violet Disinfection Robot, AGV/Autonomous Guide Vehicle) และการทดสอบจากหลายหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คุณสมบัติของ หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) เป็นเทคโนโลยีกำจัดแบคทีเรียโดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด C หรือที่เรียกว่า UV-C เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 200 – 280 นาโนเมตร มีความสามารถในการทำลาย DNA และ RNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคชนิดต่างๆ ไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้ มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% ในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที จึงมีข้อได้เปรียบกว่าการฆ่าเชื้อโรคโดยวิธีการฉีดพ่นสารเคมี และการเช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งในแง่ของความสะดวกและระยะเวลาในการทำความสะอาดและที่สำคัญ สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่ำ และไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตรายไว้หลังการใช้งาน อีกทั้งหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยใช้รังสียูวีซี (UV-C) ยังสามารถกำจัดหรือทำลายเชื้อโรคได้ทุกชนิด รวมถึงสปอร์ของเชื้อโรค ซึ่งเป็นการการฆ่าทำลายเชื้อโดยวิธีทางกายภาพ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ COVID-19 โดยใช้แสง UV ที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ มีความเหมาะสมในการใช้งานเฉพาะพื้นที่ เช่น สถานีรถไฟ หรือ บนขบวนรถ รวมทั้งสถานที่อื่นๆ
- ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรค โดยมีการทดสอบ ด้วยการใช้เครื่องมือพิเศษหรือ ATK สำหรับการตรวจสอบนับปริมาณเชื้อโรคต่างๆ บนวัตถุของบริษัท 3 M ประเทศไทย ซึ่งมีการตรวจวัดปริมาณเชื้อโรคต่างๆ จากมือจับประตู ก่อนทดสอบการใช้หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ วัดค่าได้1,095 RLU ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงมาก เชื้อโรคต่างๆสามารถติดไปกับผู้ที่ใช้มือสัมผัสมือเปิดประตูได้ง่ายมาก แต่หลังจากทดสอบใช้หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อเพียงไม่กี่วินาที ก็สามารถทำให้ปริมาณเชื้อโรคต่างๆบนบริเวณมือจับประตูลดลง ส่งผลทำให้ลดการแพร่เชื้อโรคต่างๆได้อย่างชัดเจน
- ผ่านการทดสอบ โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ทดลองฉายรังสีอัลตราไวโอเลตเพื่อฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยที่ใช้งานแล้วพบว่า ฉายรังสีเป็นเวลา 30 นาที สามารถทำลายเชื้อ COVID-19 และเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในหน้ากากได้โดยไม่ทำให้เส้นใยหน้ากากอนามัยเสียหายจนเสียประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคและการทดสอบยังพบว่ารังสียูวีชี UV-C สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ บนพื้นผิวทั่วไป และในน้ำได้เป็นอย่างดี
- การฆ่าเชื้อไม่มีกลิ่นและผลข้างเคียง ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานต่อผู้โดยสาร ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสารรถไฟ ที่ใช้บริการบนขบวนรถและสถานี รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานการรถไฟจากความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเป็นมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าการโดยสารทาง รถไฟ เป็นการเดินทางที่ปลอดภัย ปลอดเชื้อและมีมาตรฐานระดับโลก
การทดสอบทำงานด้วยคำสั่งทางไกลแบบอัตโนมัติ และขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง
- ผ่านการทดสอบ การสั่งการได้ทันที หรือสั่งการอัตโนมัติด้วยการกำหนดโปรแกรมไว้ล่วงหน้า ซึ่งควบคุมได้จากโทรศัพท์มือถือในระยะไกลจัดอยู่ในประเภท Autonomous Guide Vehicle (AGV) และสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนไปใช้สำหรับ Thermal scan หรือ Security Camera รวมถึงทดสอบความเร็วของระบบนำทาง (Navigation Speed) ทางตรง 2 เมตร/นาที ทางโค้ง 1 เมตร/นาที
- ผ่านการทดสอบการทำงานแบบ Simultaneous localization and mapping (SLAM) โดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ด้วยทำการสร้างแผนที่เป็นแบบ 3 มิติ โดยรอบพื้นที่ ( Program based mapping ) ที่เหมาะสมก่อนก่อนเข้าดำเนินการตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหรือ ณ เวลาปัจจุบันก็ได้ และมี WIFI Router 5G ในตัว อีกทั้งยังมีระบบเซ็นเซอร์ อินฟราเรด ควบคุมการทำงาน ได้แก่
1. มีระบบป้องกันมนุษย์ ( Human detection) หุ่นยนต์จะหยุดอัตโนมัติทันที เมื่อ Infra-Red เซ็นเซอร์ จับสัญญาณมนุษย์ได้ภายในรัศมี 5 เมตร
2. ระบบเซ็นเซอร์ป้องกันการชน (Anti-collision electric sensors) ด้วยระบบ Laser & Lidar ระบบ Ultrasonic และกล้องในตัว
3. กลไกป้องกันการชน (Mechanical anti-collision) สามารถป้องกันการชนได้ 360 องศา
4. สวิตช์หยุดฉุกเฉิน (Emergency stoppage)
- ผ่านการทดสอบจากหลายหน่วยงาน และนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยถือว่ามีความเหมาะสมต่อการใช้งาน เนื่องจากมีระบบป้องกัน เมื่อมีวัตถุหรือคนเคลื่อนไหวเข้ามาในรัศมีที่กำหนด ระบบจะตัดการทำงานทันที เมื่อมีระยะห่างหรือในรัศมีที่ปลอดภัย ระบบจะทำงานต่ออัตโนมัติ จึงมีความปลอดภัยเมื่อนำไปใช้งานจริง
อย่างไรก็ตาม ท้ายนี้ เพื่อเป็นการสร้างความกระจ่างชัดเจน ในการจัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคมาใช้งานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเชื้อโรคต่างๆ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่ารฟท. ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตาม และประเมินผลการดำเนินการในด้านต่างๆ ของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงจุดยืนว่า รฟท. ได้ยึดมั่นความโปร่งใส ซื่อสัตย์ มีธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ และประเทศชาติเป็นสำคัญอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64973 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 22 ล้านบาท 15 กุมภาพันธ์นี้ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 22 ล้านบาท 15 กุมภาพันธ์นี้
ธ.ก.ส.โอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีก 22 ลบ. มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 9,266 ครัวเรือน ในวัที่ 15 ก.พ.นี้
ธ.ก.ส. โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีก 22 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวนกว่า 9,266 ครัวเรือน ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยโอนเงินให้เกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ซึ่งโอนไปแล้ว 53,876.52 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4.62 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1 - 17 โอนไปแล้ว 7,846.54 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 2.59 ล้านครัวเรือน
และในวันนี้ ธ.ก.ส. ได้ทำการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 เข้าสู่บัญชีเกษตรกรโดยตรงอีกจำนวน 22.77 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ 9,266 ครัวเรือน โดยแบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ครั้งที่ 11 เป็นเงินกว่า 21.41 ล้านบาท และมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4,319 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 18 และงวดที่ 1 - 17 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 1.36 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4,947 ครัวเรือน
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64976 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมการดำเนินงานของสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด ต้นแบบสถานประกอบการที่ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบาย MIND | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมการดำเนินงานของสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด ต้นแบบสถานประกอบการที่ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบาย MIND
นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ปทุมธานี เยี่ยมชมการดำเนินงานของสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด ต้นแบบสถานประกอบการที่ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการและเยี่ยมชมการดำเนินงานของ บริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด จังหวัดปทุมธานี
บริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด ได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการส่งเสริมและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน เช่น ส่งเสริมการทำกระยาสาทของกลุ่มแม่บ้านเมืองบางกะดี การดำเนินงานด้านการช่วยเหลือสังคม เช่น การจัดตั้งกองทุนสำหรับนักเรียนนักศึกษาในชุมชนบางกะดี ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าเพื่อสร้างบุคลากรที่มีธรรมาภิบาลและจบมาพัฒนาชุมชนบางกะดีต่อไป การให้ความสำคัญกับการรับพนักงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในสวนอุตสาหกรรมบางกะดีประกอบกิจการโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานอย่างเคร่งครัด การติดตั้งระบบโซล่าโฟลทติ้ง (Floating Solar Mounting Component) บนบ่อบำบัดนำเสีย เพื่อตอบสนองนโยบายประเทศในเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เป็นต้น
และในเวลา 13.00 น. ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ตรวจราชการและการดำเนินงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 รอบที่ 1 ซึ่งมี นายอุดม สอนจิตต์ อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานีและเจ้าหน้าที่จังหวัดปทุมธานีเข้าร่วม
โดย ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินงานตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามแนวคิด "ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน" พร้อมเร่งรัดและติดตามงานเกี่ยวกับ การประชาสัมพันธ์การแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการโรงงานรายเดือน (รง.8) และรายปี (รง.9) ตามกฎหมาย ตามแบบ i-Single Form การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. การส่งเสริมโรงงานให้ได้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% การตรวจกำกับดูแลสถานประกอบกิจการโรงงานให้ได้ 100% โดยมุ่งเน้นสถานประกอบกิจการโรงงานที่มีนัยสำคัญ การขออนุญาตและการรายงานการจัดการของเสีย (สก.1,2,3) ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การดำเนินงานการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ (ITA) โดยให้มีคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา การติดตามโรงงานที่มีการร้องเรียนและฟ้องร้อง การติดตามโรงงานที่เข่าข่ายต้องประเมินความเสี่ยงฯ ตามกฎหมาย การดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ยังได้พบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและบูรณาการการทำงานในพื้นที่จากตัวแทนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี ประธานหอการค้าจังหวัดปทุมธานี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาปทุมธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64989 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ปรับอัตราผลตอบแทนเงินฝากจำพิเศษ มอบผลตอบแทนสูงสุด 1.50% ต่อปี | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
ไอแบงก์ปรับอัตราผลตอบแทนเงินฝากจำพิเศษ มอบผลตอบแทนสูงสุด 1.50% ต่อปี
ไอแบงก์ปรับอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ สำหรับเงินฝากประจำพิเศษ ทั้งแบบระยะเวลาการฝาก 4 เดือน 7 เดือน 13 เดือน และ 24 เดือน ให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับสูงสุดถึง 1.50% ต่อปี จ่ายผลตอบแทนทุกเดือน เปิดบัญชีขั้นต่ำ 5,000 บาท
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ปรับอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ สำหรับเงินฝากประจำพิเศษ ทั้งแบบระยะเวลาการฝาก 4 เดือน 7 เดือน 13 เดือน และ 24 เดือน ให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับสูงสุดถึง 1.50% ต่อปี จ่ายผลตอบแทนทุกเดือน เปิดบัญชีขั้นต่ำ 5,000 บาท ฝากได้สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย
ไอแบงก์ ได้ทำการปรับอัตราผลตอบแทนเงินฝากประจำพิเศษ เพื่อสนองคนรักการออม โดยผู้ฝากสามารถเลือกระยะเวลาการฝากได้ตามต้องการ เริ่มต้นที่ระยะเวลาการฝากต่ำสุด 4 เดือน สูงสุด 24 เดือน มีผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับตามอัตราดังนี้
ระยะเวลา อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (ต่อปี)
4 เดือน 0.70%
7 เดือน 0.80%
13 เดือน 1.35%
24 เดือน 1.50%
โดยผู้ฝากสามารถเปิดบัญชีขั้นต่ำ 5,000 บาท ฝากได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่ฝากได้สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย จ่ายผลตอบแทนทุกเดือน ทั้งนี้หากถอนเงินฝากก่อนครบกำหนด ธนาคารจะเรียกผลตอบแทนคืน 100% ก่อนหักภาษี ฝากได้ทั้งในนามนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
ผู้สนใจสามารถติดต่อเปิดบัญชีได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ ถึง 25 เมษายน 2566 ยกเว้นเงินฝากประจำ 13 เดือน เปิดบัญชีได้ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2566 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call Center 1302 หรือ แชททาง Messenger : Islamic Bank of Thailand - ibank (@ibank.th) และ Line : iBank 4 all (@ibank)
หมายเหตุ:
1. “อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม”
2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65010 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ห่วงใย เคสเครื่องจักรหนีบลูกจ้างเสียชีวิต สั่ง กสร.จับมือ สปส.สอบข้อเท็จจริงพร้อมเร่งช่วยเหลือตามสิทธิพึงได้ | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
15/02/2566
รมว.สุชาติ ห่วงใย เคสเครื่องจักรหนีบลูกจ้างเสียชีวิต สั่ง กสร.จับมือ สปส.สอบข้อเท็จจริงพร้อมเร่งช่วยเหลือตามสิทธิพึงได้
รมว.แรงงาน ห่วงเหตุลูกจ้างถูกเครื่องโรยยางหนีบเสียชีวิต สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ตรวจสอบสาเหตุ พร้อมเร่งช่วยเหลือตามสิทธิพึงได้ เตรียมเรียกนายจ้างสอบ 17 กุมภาพันธ์นี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีลูกจ้างโรงงานผลิตยางพารา จ.อุดรธานี ถูกเครื่องจักรหนีบเสียชีวิต ว่า ผมได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานประกันสังคมจังหวัดอุดรธานี ลงพื้นที่หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ทันที เบื้องต้นได้รับรายงานจากพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุดรธานีว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 12.25 น. ขณะที่นายเนตร เครือสี อายุ 35 ปี ลูกจ้างซึ่งในทำงานตำแหน่งผู้ช่วยช่าง นำด้ามเหล็กขึ้นไปเขี่ยแซะยางที่ตะแกรงเหล็กบริเวณเครื่องโรยยาง ใบพัดของเครื่องโรยยางได้ดึงและหนีบตัวลูกจ้างเข้าไปในเครื่อง ทำให้ลูกจ้างเสียชีวิตทันที ขณะเกิดเหตุลูกจ้างที่เป็นหัวหน้ากะและเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน ได้เข้าไปช่วยเหลือและนำร่างลูกจ้างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรพลิกศพ ณ โรงพยาบาลหนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ญาติของลูกจ้างผู้เสียชีวิตมา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ผมได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดอุดรธานี เร่งดำเนินการช่วยเหลือครอบครัว ญาติของลูกจ้างผู้เสียชีวิตให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย เช่น ค่าทำศพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต โดยเร็ว
ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า พนักงานตรวจความปลอดภัย สนง.สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดอุดรธานี และ ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 4 จะร่วมกันตรวจสอบหาสาเหตุ โดยเชิญนายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ว่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. 2564 หรือไม่ หากพบว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทางด้าน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวเพิ่มว่า ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดอุดรธานี ตรวจสอบพบว่า นายเนตร เครือศรี ลูกจ้างผู้เสียชีวิต เป็นผู้ประกันตนทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานเป็น ค่าทำศพจำนวน 50,000 บาท เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จำนวน 716,352 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพ จำนวนเงิน 22,542 บาท (ยังไม่รวมดอกผล) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 788,894 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64981 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม | วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
ครม. รับทราบ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม
ครม. รับทราบ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม
ครม. รับทราบ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม และรองโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องจากวธ. มีการเปลี่ยนแปลงการมอบหมายการปฏิบัติราชการใหม่ และเพื่อให้การดำเนินงานของ วธ. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน วธ. จึงแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษก วธ. ขึ้นใหม่ โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม และนางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมผู้แทนกรมและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเป็นคณะทำงาน
ทั้งนี้ ตำแหน่งโฆษกของวธ. มีหน้าที่กำหนดแนวทาง ประเด็น เนื้อหาการประชาสัมพันธ์ ตามนโยบายของวธ. ให้การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวบรวมข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ ของวธ. เพื่อจัดทำข่าว สื่อประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ในนามของกระทรวงวัฒนธรรม สร้างการรับรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของวธ.สู่สาธารณะ ตลอดจนติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมเสนอแนวทางการรับมือกับข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64987 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ รับทราบ การจัดเก็บภาษี ปี 2566 ไตรมาสแรก ได้เกินเป้ากว่า 6 หมื่นล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเดินหน้าถูกทาง เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ รับทราบ การจัดเก็บภาษี ปี 2566 ไตรมาสแรก ได้เกินเป้ากว่า 6 หมื่นล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเดินหน้าถูกทาง เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ รับทราบ การจัดเก็บภาษี ปี 2566 ไตรมาสแรก ได้เกินเป้ากว่า 6 หมื่นล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเดินหน้าถูกทาง เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบรายงานจาก กรมสรรพากรถึงตัวเลขการจัดเก็บภาษี โดยในระยะเวลา 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 ตั้งแต่ ตุลาคม 2565 ถึง มกราคม 2566 สามารถจัดเก็บภาษีเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บภาษีนิติบุคคล และมูลค่าเพิ่มเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ และการบริโภคในประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของการรายงานของกระทรวงการคลังช่วง 3 เดือน ของไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ เป็นจำนวนถึง 6.33 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 13.2% ซึ่งเฉพาะกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากถึง 4.46 แสนล้านบาท โดยเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 10% สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งจากภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ทำให้มีเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า ในปี 2566 ระบบเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 3.8% จากอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว
สำหรับในปีงบประมาณ 2566 นี้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เก็บภาษี กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และ กรมศุลกากร ได้ดำเนินการตามแผนนโยบายของรัฐบาล และติดตามสถานการณ์การจัดเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลตั้งเป้าการเก็บภาษีไว้ที่ 2.49 ล้านล้านบาท ซึ่งจากปริมาณการเก็บภาษีในไตรมาสแรกที่เกินเป้า คาดว่าในปีนี้ทั้งปีจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ และกรมสรรพากรดำเนินการตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี ให้มีแผนการที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษี โดยการดึงธุรกิจเกิดใหม่หลายๆประเภท เช่น การค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์อินฟลูเอนเซอร์ เข้าสู่ระบบภาษี เพื่อให้สามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
“นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กำชับการทำงานของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ชื่นชมการเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย โดยมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยเดินมาถูกทาง และกำลังฟื้นตัว ตลอดจนยินดีที่การจัดเก็บภาษีในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 เป็นไปได้ด้วยดี มีตัวเลขการจัดเก็บที่เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน โดยภาษีเหล่านี้ จะถูกนำไปพัฒนาประเทศ รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน และเหมาะสมตามกระบวนการกฎหมายต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65124 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ชื่นชมบุคลากร ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินบนเครื่องบิน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัด สธ. ชื่นชมบุคลากร ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินบนเครื่องบิน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมแพทย์โรงพยาบาลนางรอง และพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ทำหน้าที่ตามวิชาชีพให้การช่วยเหลือผู้ป่วยใกล้หมดสติบนเครื่องบิน ขณะเดินทางจากญี่ปุ่นกลับมาสนามบินสุวรรณภูมิ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล 2 แห่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินบนเครื่องบิน ว่า ขอแสดงความชื่นชมเป็นอย่างมากกับ นายแพทย์ภานุวัฒน์ ชัยสิทธิ์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และคุณดวงใจ ศิริเดชอุดม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ได้แสดงตนและปฏิบัติตามวิชาชีพให้การช่วยเหลือผู้โดยสารที่มีกำลังจะหมดสติบนเครื่องบินจากเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น มาสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ทราบว่าทั้ง 2 ท่านเดินทางไปท่องเที่ยว ขณะเดินทางกลับ ลูกเรือได้ประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสารที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ จึงได้แสดงตนและเข้าให้การช่วยเหลือทันที ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและปลอดภัย
“แม้จะเป็นช่วงของการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน แต่เมื่อพบว่ามีผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือ ทั้ง 2 ท่านก็ได้รีบให้การช่วยเหลือผู้ป่วยจนปลอดภัย แสดงถึงจิตวิญญาณของชาวสาธารณสุขที่มุ่งดูแลสุขภาพและชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และแบบอย่างที่ดีให้กับบุคลากรสาธารณสุขต่อไป” นายแพทย์โอภาสกล่าว
*********************************************** 18 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65133 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์ผลงานทีมเเศรษฐกิจ 'พล.อ.ประยุทธ์' โรดโชว์สหรัฐฯ ดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนไทยสำเร็จ ชี้ความสงบและโครงสร้างพื้นฐานดีเป็นตัวตัดสินใจของนักลงทุน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
"ทิพานัน" โชว์ผลงานทีมเเศรษฐกิจ 'พล.อ.ประยุทธ์' โรดโชว์สหรัฐฯ ดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนไทยสำเร็จ ชี้ความสงบและโครงสร้างพื้นฐานดีเป็นตัวตัดสินใจของนักลงทุน
"ทิพานัน" โชว์ผลงานทีมเเศรษฐกิจ 'พล.อ.ประยุทธ์' โรดโชว์สหรัฐฯ ดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนไทยสำเร็จ ชี้ความสงบและโครงสร้างพื้นฐานดีเป็นตัวตัดสินใจของนักลงทุน
วันนี้ 18 ก.พ. 66 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ รับทราบและยินดีผลสำเร็จ ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและผู้แทนการค้าไทย จากการเดินสายโรดโชว์ครั้งแรกของปี 2566 ณ นครซีแอตเติล และนครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2566
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากการเข้าพบหารือกับผู้บริหารของบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริษัท Amazon Web Services (AWS) ได้ประกาศลงทุนในประเทศไทยด้วยเงินลงทุนกว่า 1.9 แสนล้านบาท บริษัท Google ที่ประกาศจัดตั้ง Google Cloud Region ในประเทศไทย บริษัท Microsoft ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลกที่ทำธุรกิจในไทยมายาวนาน บริษัท Western Digital ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอยู่ในประเทศไทย และบริษัท Analog Devices ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และ IC อันดับต้นของโลก ซึ่งได้ลงทุนและขยายฐานการประกอบและทดสอบเซมิคอนดัคเตอร์ในไทยอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ทีมประเทศไทยได้ชูจุดเด่นของประเทศไทยทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ซัพพลายเชนครบวงจร รวมทั้งความสามารถในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทชั้นนำ นอกจากนี้ บีโอไอยังมีมาตรการใหม่ ๆ หลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนสหรัฐฯ
พร้อมกันนี้ในการหารือกับสหรัฐฯ ผู้แทนการค้าไทยได้นำเสนอทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 50 การกำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติในการลดการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งการส่งเสริมเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) อีกทั้งยังได้ชูนโยบายมุ่งเป้าใน 3 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล
โดยในปี 2565 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 33 โครงการ เงินลงทุนรวม 50,296 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ถือเป็นผลสำเร็จจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นในห้วงเวลานี้ อยากให้ทั้งฝ่ายค้านและผู้ไม่หวังดีกับประเทศไทย ได้รับทราบข้อมูลว่า จากสถานการณ์ความสงบทางการเมืองที่ผ่านมา แม้มีวิกฤตโควิด 19 ก็ยังทำให้ประเทศไทยฟื้นตัว เศรษฐกิจกำลังเติบโต จากการวางรากฐานทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทั้งความสงบเรียบร้อยในประเทศ อันแสดงถึงเสถียรภาพที่จะทำให้ต่างชาติตัดสินใจมาลงทุน ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่รัฐบาลกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ และยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคได้ในไม่ช้า" น.ส. ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ ติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา | วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการ ติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
...
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ และนายสุรชัย บุรพานนทชัย ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน กรมเจ้าท่า ร่วมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ โดยมี นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายประเวศน์ สุภาชัย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 7 สิบตำรวจโท สิทธิชัย พลไกรสร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่า สาขานครราชสีมา และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ในพื้นที่ ให้การต้อนรับและร่วมประชุม ณ ห้องประชุม สำนักงานทางหลวงที่ 10 ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ให้เร่งพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งในทุกมิติให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ และสามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ กระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดผลักดันการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ประชาชน ลดมลพิษและแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในพื้นที่เขตเมือง และพัฒนาโครงการด้านคมนาคมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้ครอบคลุมทุกมิติ
ในส่วนของการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางน้ำที่สำคัญ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า รายงานในที่ประชุม ว่าได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “พัฒนาแหล่งน้ำ สร้างอีสานเขียว ท่องเที่ยวปลอดภัย วิถีใหม่ชุมชน” โดยมอบหมายให้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 7 และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา ร่วมกับสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ รวมถึงได้ดำเนินโครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในประเทศ จังหวัดนครราชสีมา โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2565 จำนวน 6 โครงการ ระยะทางการขุดลอกรวม 16.45 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการขุดลอกลำทะเมนชัย ตำบลบ้านยาง อำเภอลำทะเมนชัย โครงการขุดลอกลำสะแทด หมู่ที่ 2 ตำบลโนนแดง อำเภอโนนแดง โครงการขุดลอกลำสะแทด หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งสว่าง อำเภอประทาย โครงการขุดลอกลำสะแทด หมู่ที่ 1 ตำบลละหานปลาค้าว อำเภอเมืองยาง โครงการขุดลอกแม่น้ำชี ตำบลแก้งสนามนาง อำเภอแก้งสนามนาง และโครงการขุดลอกลำน้ำแก่ง หมู่ที่ 3, 5 และ 9 ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินโครงการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังแม่น้ำมูล บ้านหนองรี ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำชี หมู่ที่ 7 บ้านฤทธิ์รักษา ถึงหมู่ที่ 3 บ้านแก่งโก โครงการก่อสร้างก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำมูล บ้านม่วง หมู่ที่ 7 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย การจัดทำระบบเข้าถึงการอนุญาตสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยช่วงที่ผ่านมา สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครราชสีมาได้ระดมสรรพกำลังบูรณาการร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดสุรินทร์ มอบน้ำดื่ม อาหาร และเครื่องอุปโภค รวมทั้งเคลื่อนย้ายประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในพื้นที่รับผิดชอบ ระหว่างวันที่ 27 กันยายน - 31 ตุลาคม 2565
ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้การเชื่อมต่อด้านคมนาคมขนส่งทุกโหมดการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมขนส่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถรองรับปริมาณการเดินทางและคมนาคมขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมต้องมีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยต้องจัดทำแผนการดำเนินงานแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การดำเนินงานต้องคำนึงถึงปัจจัยการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65121 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ชื่นชม รพ.สมุทรปราการ ปรับโฉมเป็น Smart & Modernize hospital บริการทันสมัยครบวงจร ลดแออัด | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัด สธ. ชื่นชม รพ.สมุทรปราการ ปรับโฉมเป็น Smart & Modernize hospital บริการทันสมัยครบวงจร ลดแออัด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการดำเนินงานของโรงพยาบาลสมุทรปราการ ชื่นชมการปรับโฉมเป็น Smart & Modernize Hospital ที่ทันสมัย ให้บริการครบวงจร นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพออนไลน์ทั้งจังหวัด ประชาชนได้รับบริการสะดวก รวดเร็ว
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการดำเนินงานของโรงพยาบาลสมุทรปราการ ชื่นชมการปรับโฉมเป็น Smart & Modernize Hospital ที่ทันสมัย ให้บริการครบวงจร นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพออนไลน์ทั้งจังหวัด ประชาชนได้รับบริการสะดวก รวดเร็ว ช่วยลดความแออัด
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ และกล่าวว่า โรงพยาบาลสมุทรปราการมีการพัฒนาตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องครอบคลุมในทุกมิติ โดยเฉพาะการปรับโฉมเป็น Smart & Modernize Hospital ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สะอาด สวยงาม ทันสมัย พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการแผนกผู้ป่วยนอก เช่น แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน แผนกทันตกรรม แผนกจักษุวิทยา ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัด ทั้งการลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ ตู้ลงทะเบียนอัตโนมัติ เครื่องวัดสัญญานชีพอัตโนมัติด้วยตนเอง จนถึงการจ่ายค่าบริการผ่านตู้เก็บเงินอัตโนมัติ ไม่ต้องรอคิว ส่วนแผนกผู้ป่วยใน มีเครื่องจัดยาอัตโนมัติ เครื่องส่งยาอัตโนมัติ เชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยทั้งประวัติการรักษา บันทึกทางการพยาบาล การใช้อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ลดปัญหาข้อมูลสูญหายและเรียกดูข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ เป็น OPD/IPD Paperless เต็มรูปแบบ และยังเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพกับโรงพยาบาลชุมชนทั้งจังหวัด ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่สะดวก รวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมี “ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด” ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ หอผู้ป่วยเฉพาะทางโรคหัวใจ จำนวน 12 เตียง หอผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ (CCU) จำนวน 7 เตียงซึ่งในปี 2565 ได้ให้บริการสวนหัวใจและทำบอลลูน 1,479 ราย การผ่าตัดบายพาสและเปลี่ยนลิ้นหัวใจ 98 ราย ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการเร็วขึ้น ทำให้อัตราเสียชีวิตของผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันลดลง จากร้อยละ 16.02 ในปี 2564 เหลือร้อยละ 7.1 ในปี 2565 รวมถึงมีการให้บริการศูนย์ไตเทียม ซึ่งในปี 2565 สามารถฟอกไตได้ถึง 18,355 รอบ
“ปัจจุบัน โรงพยาบาลสมุทรปราการ เป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่ได้รับคำชื่นชมจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือเป็นอย่างดีของบุคลากรโรงพยาบาล ภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่ ทำให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการให้บริการที่ทันสมัยและมีสิ่งแวดล้อมภายในโรงพยาบาลที่สวยงาม ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบบริการได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของเรามีความเข้มแข็ง” นายแพทย์โอภาส กล่าว
*********************************************** 18 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลติดตามและขับเคลื่อนการลงทุน ดูแลภาคการท่องเที่ยว | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลติดตามและขับเคลื่อนการลงทุน ดูแลภาคการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลติดตามและขับเคลื่อนการลงทุน ดูแลภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายในประเทศเต็มที่แม้เป็นช่วงปลายรัฐบาล ชี้ต้องรักษาเศรษฐกิจภายในให้เข้มแข็งตั้งรับความผันผวนจากต่างประเทศ หลังข้อมูลไตรมาส4/65 สะท้อนทั่วโลกไม่แน่นอนสูง
วันนี้ 18 ก.พ. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ถึงข้อมูลเศรษฐกิจปี 65 ที่ขยายตัวได้ร้อยละ 2.6 โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี65 ข้อมูลได้ชี้ให้เห็นผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจต่างประเทศที่ชัดเจน
โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าแม้จะเป็นช่วงปลายของรัฐบาลและกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งแต่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่เพื่อดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง สามารถรับกับผลความผันผวนและความไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจโลก ทั้งการติดตามเร่งรัดขับเคลื่อนการการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ผ่านการอนุมัติ มีการผูกพันงบประมาณตามขั้นตอนไปแล้วให้ดำเนินไปตามแผนงาน เบิกจ่ายงบประมาณทั้งรายจ่ายประจำและลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยในปีงบประมาณ 66 มีงบประมาณที่เป็นงบลงทุนถึง 6.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 จากปี 65 ที่พร้อมจะถูกผลักดันเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
รวมถึงสนับสนุนให้เอกชนที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเริ่มการลงทุนให้เร็วที่สุด โดยในปี 65 ที่ผ่านไปสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้การออกบัตรส่งเสริมซึ่งหมายถึงโครงการที่พร้อมจะลงทุนสูงถึง 1,490 โครงการ มูลค่า 489,088 ล้านบาท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการบริโภคและใช้จ่ายในประเทศให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากกับการการรักษาแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวที่ขณะนี้กำลังฟื้นตัวได้ดี โดยเร่งแก้ไขในจุดที่ยังเป็นปัญหา ให้เกิดความพร้อมรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยดำเนินการไปพร้อมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
“นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานดูแลเรื่องการเบิกจ่ายการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะเม็ดเงินจากภาครัฐจะมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยข้อมูลของ สศช. ชี้ให้เห็นว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ปี 66 ยังมีปัจจัยบวกทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนรัฐ เอกชน การบริโภคในประเทศ หากขับเคลื่อนทุกส่วนเป็นไปตามเป้าหมายเศรษฐกิจไทยก็ยังสามารถเติบโตได้แม้อยู่ในช่วงรอยต่อของการเลือกตั้ง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีข้อกังวลว่าระหว่างมีการเลือกตั้งและรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดถัดไปอาจจะส่งผลให้กระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 และการเริ่มมีผลบังคับของ พ.ร.บ.งบฯ ปี 67 ล่าช้ากว่ากรอบเวลาปกตินั้น กรณีจะไม่กระทบต่องบประมาณรายจ่ายประจำและงบประมาณที่เป็นส่วนดูแลสวัสดิการกลุ่มเปราะบางต่างๆ เนื่องจาก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ได้กำหนดไว้ว่าหากเกิดกรณีล่าช้าให้สามารถใช้งบประมาณของปีก่อนหน้าไปพลางก่อนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนด ดังนั้นแม้จะมีความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบฯปี 67 ส่วนของงบรายจ่ายประจำก็ไม่มีปัญหาสะดุดแต่อย่างใด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65123 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อทำใบขับขี่ปลอมทางออนไลน์และอย่าโอนเงินโดยเด็ดขาด พร้อมเผยรายชื่อเพจเฟซบุ๊กปลอมกว่า 23 เพจ | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางบก เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อทำใบขับขี่ปลอมทางออนไลน์และอย่าโอนเงินโดยเด็ดขาด พร้อมเผยรายชื่อเพจเฟซบุ๊กปลอมกว่า 23 เพจ
...
กรมการขนส่งทางบก เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อทำใบขับขี่ปลอมทางออนไลน์และอย่าโอนเงินโดยเด็ดขาด พร้อมเผยรายชื่อเพจเฟซบุ๊กปลอมกว่า 23 เพจ ย้ำหากพบการปลอมแปลงใบขับขี่จะดำเนินคดีทุกรายและลงโทษผู้ฝ่าฝืนขั้นสูงสุด
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ณ ปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างว่าสามารถรับทำธุรกรรมกับ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะรับทำหรือต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ พฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพจะนำรูปตราสัญลักษณ์ ขบ. มาใส่ในรูปโปรไฟล์ หรือนำรูปภาพของผู้ที่ได้รับใบขับขี่มาแอบอ้าง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยจะโฆษณาหลอกลวงว่าสามารถออกใบขับขี่หรือต่ออายุใบขับขี่ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานขนส่ง หรือใช้คำว่า “รับทำใบขับขี่ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องอบรม รอรับได้เลย” และมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอยู่ที่ประมาณ 1,000 - 6,000 บาท เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปแล้วจะเรียกร้องให้โอนเงินเพิ่มอีกและเงียบหาย ไม่สามารถตามคืนได้หรือจะได้รับใบขับขี่ปลอม ซึ่ง ขบ. ได้ติดตามดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 52 ราย ทั้งนี้ ขบ. ตรวจพบเพจเฟซบุ๊กปลอมอีกจำนวน 23 เพจ ดังนี้ 1) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่” โดยใช้โลโก้ ขบ. 2) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ สอนขับรถยนต์ พร้อมสอบใบขับขี่” 3). เพจเฟซบุ๊ก “โรงเรียนสอนขับรถ สอบ และ อบรมใบขับขี่ UPd” 4) เพจเฟซบุ๊ก “บริการรับจองคิวอบรม/ทำ/ต่อ ใบขับขี่ใหม่” 5) เพจเฟซบุ๊ก “รับปรึกษางานใบขับขี่ ทำใหม่ ต่อใบขับขี่ เปลี่ยนประเภท ตรวจประวัติ” 6) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ออนไลน์ ราคาถูก by เจ๊พร” 7) เพจเฟซบุ๊ก “ใบขับขี่ออนไลน์” 8) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ ทุกชนิด” 9) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ทุกชนิด” 10) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ถูกกฎหมายทั้วไทย” 11) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ทุกชนิด” 12) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ เด้งด่วน” 13) เพจเฟซบุ๊กภายใต้ชื่อ “DEE” หรือ แอดไลน์ @395ifebq 14) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่แบบเร่งด่วน” 15) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ทุก ชนิด” โดยใช้โลโก้ ขบ. 16) เพจเฟซบุ๊กภายใต้ชื่อ “Sukson Chaiyarat” 17) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่” 18) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ทุกประเภท ถูกกฎหมาย” 19) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ มอเตอร์ไซค์รถยนต์” 20) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ทั่วประเทศ” 21) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์-รถยนต์ทุกรุ่น” 22) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่รถทุกรุ่น” และ 23) เพจเฟซบุ๊ก “รับทำใบขับขี่ด่วน รถทุกชนิด”
ขบ. ขอเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมกับเพจเหล่านี้เด็ดขาดจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินและเอกสารส่วนบุคคล และเสี่ยงได้รับใบขับขี่ปลอม ซึ่งผู้หลงเชื่อจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการหรือใช้เอกสารราชการปลอม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 5 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากพบเพจเฟซบุ๊กปลอมขอให้กดรายงานบัญชีหรือเพจเฟซบุ๊ก (report) หรือสามารถแจ้งเบาะแสมายัง ขบ. ได้โดยตรง หรือ โทร.1584 ตลอด 24 ชั่วโมง
ขบ. ขอย้ำว่าการขอรับใบขับขี่ทุกชนิดมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่สามารถดำเนินการ ตั้งแต่การตรวจสอบเอกสาร การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย การอบรม การทดสอบข้อเขียน การทดสอบขับรถ ที่สำนักงานขนส่งหรือโรงเรียนสอนขับรถที่รับรองโดย ขบ. และการถ่ายรูปเพื่อออกใบอนุญาตขับรถต้องมาดำเนินการได้ที่สำนักงานขนส่งเท่านั้น สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่ใหม่สามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งสามารถเลือกสำนักงานขนส่ง วันและเวลาที่สะดวกได้ด้วยตนเอง ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎหมายกำหนด (รวมค่าคำขอ) ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 205 บาท ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราว 105 บาท ในส่วนการต่ออายุใบขับขี่สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า (walk in ) อัตราค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล 505 บาท ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 255 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65127 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเร่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน พร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
ล่าสุดกระทรวงคมนาคม เปิดเส้นทางบริการรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่ม 2 สายในกทม. ตั้งเป้าในปี 2566 ขยายรถเมล์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,850 คัน ใน 45 เส้นทาง
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการเปิดให้บริการเดินรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม 2 สาย ได้แก่ สาย 38 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 48 มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา-ท่าช้าง ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ภายใต้แนวคิด “Thai Smile Change For The Better” เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า อำนวยความสะดวกให้ประชาชนพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2565 ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือจัดสรรให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชนกว่า 1,250 คัน ใน 77 เส้นทาง เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และในปี 2566 กระทรวงคมนาคมได้ตั้งเป้าหมายให้มีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1,850 คัน เพื่อขยายผลบริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพ โดยภาคเอกชนมีการพัฒนาคุณภาพบริการรถโดยสารเอกชนจากรถที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ในอีก 45 เส้นทาง ตั้งเป้าภายในปี 2566 จะมีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้บริการถึง 3,100 คัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายเพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ประหยัด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ได้ดำเนินการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก โดยเน้นการเชื่อมต่อกับทางเดินในรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนให้เอกชนเริ่มใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างความรู้กับภาคเอกชนในการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการให้บริการขนส่งสาธารณะที่ดี และขอความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะที่ราคาประหยัด และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้จัดทำรูปแบบการชำระค่าโดยสารราคาพิเศษผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร HOP CARD) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมและขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่มุ้งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ พัฒนาบริการที่ดีแก่ประชาชน และให้ความสำคัญต่อนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะเพื่อให้บริการประชาชน และสนับสนุนให้ผู้คนที่เดินทางมาใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย ในราคาที่ประหยัด และช่วยการแก้ปัญหามลพิษ PM 2.5 รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และการจราจรของกรุงเทพฯ ” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัด สธ.” เปิดมหกรรม “ผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” รพ.สมุทรปราการ เร่งรัดผ่าตัดต้อกระจกให้ผู้สูงวัย ลดการสูญเสียการมองเห็น | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
“ปลัด สธ.” เปิดมหกรรม “ผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” รพ.สมุทรปราการ เร่งรัดผ่าตัดต้อกระจกให้ผู้สูงวัย ลดการสูญเสียการมองเห็น
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดมหกรรม “ผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” โรงพยาบาลสมุทรปราการ ช่วยให้ผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรปราการที่เป็นโรคต้อกระจกชนิดบอด และชนิดสายตาเลือนรางที่จำเป็นต้องผ่าตัด ได้รับการผ่าตัดที่รวดเร็ว มองเห็นได้ชัดขึ้น
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดมหกรรม “ผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” โรงพยาบาลสมุทรปราการ ช่วยให้ผู้สูงอายุในจังหวัดสมุทรปราการที่เป็นโรคต้อกระจกชนิดบอด และชนิดสายตาเลือนรางที่จำเป็นต้องผ่าตัด ได้รับการผ่าตัดที่รวดเร็ว มองเห็นได้ชัดขึ้น ลดปัญหาการสูญเสียการมองเห็น
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานมหกรรม “ผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” โดยมี นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และประชาชน เข้าร่วมงาน
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย โดยสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบและทั่วถึง ทั้งการคัดกรองสุขภาพกายและใจ การให้บริการคลินิกผู้สูงอายุ และสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์จำเป็นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น สามารถดูแลตนเองขั้นพื้นฐานได้ ทั้งนี้ ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลสมุทรปราการ มีการปรับการให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่และรับเชื้อ เช่น ลดการผ่าตัดผู้ป่วยโรคต้อกระจกในรายที่ไม่เร่งด่วน เหลือผ่าตัดเฉพาะรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเท่านั้น ทำให้มีผู้ป่วยต้อกระจกที่ต้องได้รับการผ่าตัดสะสมเพิ่มขึ้น กว่า 400 ราย เป็นต้อกระจกชนิดบอดประมาณ 300 ราย และมีระยะเวลารอคอยการผ่าตัดนานกว่า 6 เดือน จึงได้มีการจัดงาน “มหกรรมผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก” ขึ้น เพื่อเร่งรัดการผ่าตัดต้อกระจกให้กับผู้สูงอายุ ลดระยะเวลารอคอยและลดภาวะแทรกซ้อน
ด้านนพ.นเรศฤทธิ์ กล่าวว่า โรคต้อกระจกพบมากเป็นอันดับหนึ่งทั้งของผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล แต่ละปีมีผู้เข้ารับการรักษามากกว่า 1,200 ราย โรงพยาบาลสมุทรปราการ จึงร่วมกับทีมจักษุแพทย์โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) จัดโครงการ “มหกรรมผู้สูงอายุไทย ดวงตาสดใส ไร้ต้อกระจก”ให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคต้อกระจกได้รับการผ่าตัดที่รวดเร็วขึ้น แก้ไขและลดปัญหาการสูญเสียการมองเห็น เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงวัยไทย โดยวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 จัดบริการตรวจยืนยันต้อกระจก และวัดเลนส์แก้วตาเทียม จำนวน 400 ราย วันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2566 ผ่าตัดต้อกระจกวันละ 500 ราย และนัดตรวจติดตามหลังผ่าตัด ในวันที่ 3 และ 24 มีนาคม 2566 ต่อไป
*********************************************** 18 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65131 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ต้อนรับ ทีม USAR Thailand กลับสู่ประเทศไทย ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ย้ำไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แสดงถึงน้ำใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
นายกฯ ต้อนรับ ทีม USAR Thailand กลับสู่ประเทศไทย ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ย้ำไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แสดงถึงน้ำใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
นายกฯ ต้อนรับ ทีม USAR Thailand กลับสู่ประเทศไทย ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ย้ำไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แสดงถึงน้ำใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 10.30 น. ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีรับชุดค้นหาและกู้ภัยในเมืองแห่งชาติ (National Urban Search and Rescue : USAR) หรือ “ทีม USAR Thailand” ที่เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกี ภายใต้ปฏิบัติการ “Thailand for Turkiye” กลับสู่ประเทศไทย โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางแซรัป แอร์ซอย (H.E. Mrs. Serap Ersoy) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดร.ธเนศ วีระศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันอุบัติเหตุภัยแห่งชาติ และที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้บริหารของหน่วยงานที่เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด เข้าร่วมพิธี นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายเลอพงศ์ สวนสังข์ หัวหน้าทีม USAR Thailand รายงานผลการปฏิบัติงาน โดย ทีม USAR Thailand มีจำนวนทั้งหมด 42 คน และสุนัขกู้ภัย (K9) 2 ตัว โดยใช้อุปกรณ์และเทคนิคการกู้ภัย ยาและเวชภัณฑ์ สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกีได้เดินทางเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search & Rescue) ในพื้นที่เมือง Hatay ประเทศตุรกี ระหว่างวันที่ 9 – 17 กุมภาพันธ์ 2566 รวม 9 วัน โดยทำงานร่วมกับทางการตุรกีและศูนย์ประสานงานทีมกู้ภัยนานาชาติของสหประชาชาติจำนวน 86 ทีมสามารถระบุตำแหน่งของผู้ประสบภัยได้ทั้งสิ้น 25 ราย และทีมแพทย์ยังได้ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งประชาชนชาวตุรกีได้แสดงความขอบคุณทีมไทยที่เข้าร่วมช่วยเหลือในครั้งนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ ชื่นชม และยกย่องในความเสียสละของทีม USAR Thailand ที่ได้ทำงานอย่างสมศักดิ์ศรี รวมทั้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการตัดสินใจครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนับว่าเป็นครั้งแรก ของทีมค้นหาและกู้ภัยของประเทศไทย ที่ได้ปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญร่วมกับนานาประเทศ และได้สร้างชื่อเสียง เกียรติภูมิ และศักดิ์ศรีของประเทศในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและตุรกีให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนรักษามาตรฐานการทำงาน ปฏิบัติภารกิจด้านการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย เพื่อความปลอดภัยพี่น้องประชาชนต่อไป ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเหรียญที่ระลึกตราสำนักนายกรัฐมนตรีให้กับทีมฯ
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตตุรกีฯ กล่าวขอบคุณความช่วยเหลือของรัฐบาลไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ สะท้อนถึงมิตรภาพระหว่างไทยและตุรกี ซึ่งความช่วยเหลือนี้ทำให้มิตรภาพของเราแน่นแฟ้นขึ้นอีก
อนึ่ง ทีม USAR Thailand เป็นทีมปฏิบัติการพิเศษจากความร่วมมือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัยจาก Thailand rescue Dog (THAI RDA) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอน เมนทอล เซอร์วิส จำกัด โรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลราชวิถี โดยมีศักยภาพในการปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมืองที่มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และมีขีดความสามารถในการรองรับสาธารณภัยขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนการการจัดการสาธารณภัยของประเทศไทย ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญติดตามรับฟังการให้สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฎ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
ขอเชิญติดตามรับฟังการให้สัมภาษณ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฎ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ขอเชิญติดตามรับฟังการให้สัมภาษณ์
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฎ์ วิศิษฏ์สรอรรถ
ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ขอเชิญติดตามรับฟังการให้สัมภาษณ์
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฎ์วิศิษฏ์สรอรรถ
ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ในรายการเปลี่ยนโฉมประเทศไทย"รู้เท่าทันภัยออนไลน์"
ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่19กุมภาพันธ์2566เวลา22.00น.ถึง23.00น.
ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
กรมประชาสัมพันธ์
ช่องNBTหรือ
เพจข่าวจริงประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65122 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดแข่งกีฬายิงธนูโบราณ ที่เบตง ส่งเสริมกีฬาและวัฒนธรรมท้องถิ่น | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
รัฐบาลจัดแข่งกีฬายิงธนูโบราณ ที่เบตง ส่งเสริมกีฬาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
รัฐบาลจัดแข่งกีฬายิงธนูโบราณ ที่เบตง ส่งเสริมกีฬาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ สนามกีฬากลางเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาลในฐานะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ด้านประสานการมีส่วนร่วมเยี่ยมชมการแข่งขันกีฬายิงธนูเทรดดี้ (กีฬายิงธนูโบราณ) Amazean Archery 2023 @BETONG ซึ่งจัดขึ้นภายใต้การแข่งขันวิ่งเทรล Amazean jungle Thailand by UTMB 2023 ระหว่าง 17-19 กุมภาพันธ์ 2566 โดยภายในงานมีการแข่งขันประเภทต่างๆ อาทิ การแข่งขัน Fun Game, Night shooting ซึ่งนักกีฬายิงธนูจะใส่ชุดพื้นเมือง ชุดประจำถิ่นหรือชุดรายอ และผ้าลือปัส หรือสมูตา ตลอดที่ทำการแข่งขัน ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกีฬาธนูเทรดดี้ด้วย
นางสาวรัชดา กล่าวว่ากีฬายิงธนูโบราณ ถือเป็นกีฬาด้านการสร้างศิลปวัฒนธรรม ควบคู่กับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมความเป็นมลายู รัฐบาลจึงให้การสนับสนุนและได้นำมาบรรจุเป็นกิจกรรมคู่ขนานกับการแข่งขันรายการ Amazean jungle Thailand by UTMB 2023 และขณะนี้เยาวชนให้ความสนใจกีฬาชนิดนี้เพื่มมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการสนับสนุนในระดับโรงเรียน แสดงให้เห็นถึงกีฬาและวัฒนธรรมเป็นของคู่กัน โดยภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุน
ขณะที่ นายฮาบีบุดดีน ลือแบเต๊ะ คณะกรรมการชมรมยิงธนูพื้นเมืองจังหวัดยะลา กล่าวว่า เสน่ห์ของการยิงธนูในกิจกรรมครั้งนี้คือการแต่งกาย ซึ่งส่งเสริมให้นักกีฬาทุกคนแต่งกายด้วยชุดท้องถิ่น เป็นการอนุรักษ์การแต่งกายของท้องถิ่น และจะไม่ค่อยเน้นผลการแข่งขัน แต่จะเน้นเพื่อมาพบปะกัน ดีใจที่ได้เห็นภาพเด็กๆและผู้ใหญ่สามารถทำกิจกรรมร่วมกัน รวมถึงเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ร่วมกันในครอบครัว สามารถส่งเสริมความรักความสามัคคีในครอบครัว และในอนาคตก็จะมีการต่อยอดการทำกิจกรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังสถานที่ต่างๆในพื้นที่ เพื่อเผยแพร่ให้แก่น้องๆเยาวชนได้หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65134 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภูมิใจ นักกฎหมายชม พ.ร.บ.ป้องกันทรมานและอุ้มหาย ถือเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในรอบ 100 ปี | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภูมิใจ นักกฎหมายชม พ.ร.บ.ป้องกันทรมานและอุ้มหาย ถือเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในรอบ 100 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภูมิใจ นักกฎหมายชม พ.ร.บ.ป้องกันทรมานและอุ้มหาย ถือเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในรอบ 100 ปี เผย กฎหมายยังบังคับใช้ 22 ก.พ.นี้ แต่เลื่อนใช้ 4 มาตรา หลังตำรวจ ไม่พร้อมด้านเครื่องมือ ลั่น ต้องการยกระดับกระบวนการยุติธรรม
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่า กฎหมายป้องกันการทรมานและอุ้มหาย ยังจะมีผลบังคับใช้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ นี้ โดยไม่ใช่เป็นการเลื่อนบังคับใช้ทั้งฉบับ แต่เป็นเพียงการเลื่อนบังคับใช้แค่ 4 มาตราเท่านั้น เนื่องจากเป็นกฎหมายใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่มีความพร้อมด้านเครื่องมือ จึงมีหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ในหมวด 3 ซึ่งมีทั้งหมด 8 มาตรา ออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากมีเหตุขัดข้อง ทั้งงบประมาณ อุปกรณ์ความพร้อมของบุคลากร และมาตรฐานกลางในการปฏิบัติงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จึงมีการหารือร่วมกัน ทั้งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กระทรวงยุติธรรม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อยุติ ยอมให้เลื่อนบังคับใช้กฎหมายแค่ 7 เดือน และให้เลื่อนใช้แค่ 4 มาตรา จากที่ขอมา 8 มาตรา ทางกระทรวงยุติธรรม จึงจัดทำพระราชกำหนด เพื่อขยายกำหนดเวลาบังคับใช้ 4 มาตรา คือ มาตรา 22-25 ออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 โดยมาตรา 22 คือ การบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง มาตรา 23 การบันทึกข้อมูลผู้ถูกควบคุม เช่น ชื่อ นามสกุล อัตลักษณ์ มาตรา 24 ญาติ ทนาย ขอเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลผู้ถูกควบคุมตัวได้ และมาตรา 25 ข้อยกเว้นการเปิดเผยข้อมูล เช่น ละเมิดสิทธิส่วนตัว
“กฎหมายฉบับนี้ ได้ถูกผลักดันตั้งแต่ปี 2550 แต่ก็สะดุดมาโดยตลอด จนมาถึงยุคผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระรวงยุติธรรม ก็ได้เสนอกฎหมายนี้ เข้าครม.ใหม่ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.63 และเสนอกฎหมายเข้าสภา เมื่อวันที่ 15 ก.ย.64 จนทุกฝ่ายเห็นชอบ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ต.ค.65 และกำลังจะมีผลบังคับใช้วันที่ 22 ก.พ.นี้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ ผมต้องการยกระดับกระบวนการยุติธรรม ให้มีความโปร่งใส เท่าเทียม ไม่มีการกลั่นแกล้งกันได้อีกต่อไป เพราะทุกขั้นตอนจากนี้ ต้องมีการบันทึกภาพทั้งหมด โดยผมรู้สึกภูมิใจ ที่มีหลายฝ่ายชื่นชมกฎหมายฉบับนี้ ถึงขั้นมีนักวิชาการด้านกฎหมาย ยกให้ว่า เป็นการช่วยปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทย ในรอบ 100 ปี ก็ทำให้ผมรู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่ง ที่ได้ช่วยพัฒนากระบวนการยุติธรรม ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง” รมว.ยุติธรรม กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65130 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอสตรวจการดำเนินงานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และ e-Document หน่วยงานในสังกัดจ.สงขลา-จ.พัทลุง | วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอสตรวจการดำเนินงานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และ e-Document หน่วยงานในสังกัดจ.สงขลา-จ.พัทลุง
ดีอีเอสตรวจการดำเนินงานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และ e-Document หน่วยงานในสังกัดจ.สงขลา-จ.พัทลุง
(วันนี้) 17ก.พ.66 -ศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยนางสาวสุกันยานียะวิญชาญผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอสและผู้แทนสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.)ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานด้านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์และระบบ e-Documentของหน่วยงานภายใต้กระทรวงฯในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุงโดยมีหัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่ให้การต้อนรับและร่วมประชุมสรุปความคืบหน้าการดำเนินงานสำคัญรวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานต่างๆ ประกอบด้วยสำนักงานสถิติจังหวัดศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติจังหวัดบจ.ไปรษณีย์ไทยจังหวัดสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลสาขาภาคใต้ตอนล่างณจังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุง
_______________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65120 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับลูกนโยบายรัฐบาล เดินหน้าประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก 2 ภูมิภาค | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
โฆษกรัฐบาล เผยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับลูกนโยบายรัฐบาล เดินหน้าประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก 2 ภูมิภาค
งาน Biofach 2023 ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และงาน Gulfood 2023 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยินดีที่ได้ทราบสินค้าข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกใน 2 ภูมิภาค ที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าด้วยการผลักดันนโยบายของนายกรัฐมนตรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำสินค้าข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของไทยร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกใน 2 ภูมิภาค ได้แก่
1. งาน BIOFACH 2023 ครั้งที่ 33 วันที่ 14-17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ เมืองนูเรมเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์นานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ ในงานได้จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับข้าวอินทรีย์ไทย จัดแสดงตัวอย่างสินค้าข้าวอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของไทยไปจัดแสดง เช่น ข้าวหอมมะลิไทยอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ แป้งข้าวอินทรีย์ เครื่องดื่มจากข้าวอินทรีย์ และขนมอบกรอบที่ทำมาจากข้าวอินทรีย์ เป็นต้น รวมถึงการเจรจาธุรกิจการค้ากับผู้นำเข้าข้าวภายในงานด้วย
2. งาน Gulfood 2023 ครั้งที่ 28 วันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในงานได้จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของข้าวไทยควบคู่กับเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และจัดแสดงตัวอย่างข้าวไทยชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวขาว และข้าวนึ่ง รวมถึงข้าวคุณลักษณะพิเศษ เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสังข์หยด และข้าว กข43 พร้อมสาธิตการหุงข้าวไทยแจกให้กับผู้เข้าชมภายในคูหา ได้ทดลองชิมคู่กับอาหารของไทยอีกด้วย
“นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้รับนโยบายของรัฐบาลไปดำเนิน เพื่อสร้างโอกาสอันดี ในการประชาสัมพันธ์ข้าวไทย สินค้าไทย และนวัตกรรมจากอาหารของไทย ให้ผู้นำเข้าสินค้าและผู้บริโภคในต่างประเทศรับรู้ และเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐานของข้าวไทย ซึ่งถือเป็นการขยายตลาด กระตุ้นการซื้อขาย ข้าว และผลิตภัณฑ์ข้าวไทยได้เพิ่มมากขึ้น” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย นำทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ลงชุมพร รับฟังปัญหาจากพี่น้องเกษตรกรโดยตรง | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
รมว.เฉลิมชัย นำทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ลงชุมพร รับฟังปัญหาจากพี่น้องเกษตรกรโดยตรง
รมว.เฉลิมชัย นำทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ลงชุมพร รับฟังปัญหาจากพี่น้องเกษตรกรโดยตรง พร้อมเยี่ยมชมกลุ่มเกษตรกรผลิตกล้วยหอมทองปลอดสารเคมีเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการและพบปะเกษตรกร ณ กลุ่มเกษตรกรทำสวนหุ่งคาวัด ต.ทุ่งคาวัด อ.ละแม จ้งหวัดชุมพร ซึ่งกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด เป็นกลุ่มเกษตรกรที่รวมกลุ่มกันเพื่อทำการผลิตกล้วยหอมทองปลอดสารเคมีเพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวบรวมกลุ่มผู้ที่สนใจผลิตกล้วยหอมทองปลอดสารเคมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และได้ดำเนินงานมาถึงปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มมีกำลังผลิตกล้วยหอมทองอยู่ที่ประมาณ 20 - 40 ตันต่อสัปดาห์
ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มีการจัดทำโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร เพื่อเข้าถึงแหล่งทุนในการผลิตและการตลาด เป็นทุนหมุนเวียนในการรวบรวมผลผลิต นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ด้วย
"วันนี้ได้นำผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่มารับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรโดยตรง ซึ่งปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระทรวงเกษตรฯ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนจากกระทรวงด้านการผลิตอย่างเดียว มาช่วยในการหาช่องทางการตลาด โดยสหกรณ์ทั่วประเทศได้นำผลผลิตจากพี่น้องเกษตรกรมาจำหน่าย นอกจากนี้ ยังบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กรมราชทัณฑ์ และสภาอุตสาหกรรม เป็นต้น เข้ามาช่วยระบายผลผลิตจากพี่น้องเกษตรกรด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะสนับสนุนปัจจัยการผลิต และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกร รวมถึงสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65152 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน มกราคม 2566 เพิ่มสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนประสิทธิภาพของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจ | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน มกราคม 2566 เพิ่มสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนประสิทธิภาพของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน มกราคม 2566 เพิ่มสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน สะท้อนประสิทธิภาพของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจ
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ประจำเดือนมกราคม 2566 จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย ซึ่งพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 49.7 เป็น 51.7 โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นทั้ง 3 รายการ เมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจเดือนธันวาคม 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ปรับตัวจากความเชื่อมั่น ระดับ 43.9 สู่ระดับ 46.0 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม ปรับตัวจากระดับ 47.0 สู่ระดับ 49.0 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ปรับตัวจากระดับ 58.1 สู่ระดับ 60.2 ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ามีการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจกำลังกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น และจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในเดือนแรกของปีนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจดังกล่าวยังระบุถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2566 จากภาครัฐ เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 15% มาตรการการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงิน 2. การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งของคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น 3. SET Index ในเดือนมกราคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80จุด 4. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้เกษตรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดปรับตัวดีขึ้น
“แนวโน้มของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกรายการ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก นายกรัฐมนตรีขอบคุณเสียงสะท้อนที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนให้ความเชื่อมั่นกับสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังฟื้นตัว สอดรับกับการทำงาน นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ออกมาตรการช่วยเหลือภาคประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เปิดรับการลงทุน เพื่อช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการการแก้ไขปัญหามาตลอดตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยนำผู้บริหารระดับสูง มท. และพ่อเมือง 17 จังหวัดเมืองเหนือ ถอดบทเรียนโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประยุกต์ขยายผลตามภูมิสังคมแต่ละพื้นที่ | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
มหาดไทยนำผู้บริหารระดับสูง มท. และพ่อเมือง 17 จังหวัดเมืองเหนือ ถอดบทเรียนโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประยุกต์ขยายผลตามภูมิสังคมแต่ละพื้นที่
มหาดไทยนำผู้บริหารระดับสูง มท. และพ่อเมือง 17 จังหวัดเมืองเหนือ ถอดบทเรียนโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประยุกต์ขยายผลตามภูมิสังคมแต่ละพื้นที่ ด้าน ปลัดสุทธิพงษ์ฯ ย้ำ “ผู้นำ” และ “ทีม” ต้องร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา
มหาดไทยนำผู้บริหารระดับสูง มท. และพ่อเมือง 17 จังหวัดเมืองเหนือ ถอดบทเรียนโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประยุกต์ขยายผลตามภูมิสังคมแต่ละพื้นที่ ด้าน ปลัดสุทธิพงษ์ฯ ย้ำ “ผู้นำ” และ “ทีม” ต้องร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา และร่วมรับผลประโยชน์จากการดำเนินการ เพื่อพัฒนาความสำเร็จอย่างยั่งยืน
วันนี้ (18 ก.พ. 66) เวลา 13.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงของ มท. ผวจ. 17 จังหวัดภาคเหนือ คณะที่ปรึกษาปลัด มท. หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ร่วมรับฟังการถอดบทเรียนการพัฒนาตามแนวทางพระราชดำริเชิงพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง โดยมี อาจารย์คณิต ธนูธรรมเจริญ ที่ปรึกษาเครือข่ายลุ่มน้ำแม่กวง/หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ผศ.ดร. วันเพ็ญ เจริญตระกูลปิติ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายประคอง เชียงแรง หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายมงคล ชัยวุธ นายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย นายมณเฑียร บุญช้างเผือก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 บ้านป่าสักงาม ต.ลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และแกนนำชุมชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมเสวนาถอดบทเรียน ณ อาคารอเนกประสงค์ วัดพระธาตุดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ พร้อมลงพื้นที่พบปะแกนนำชุมชนและประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้บริหารระดับสูงของ มท. และผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ จะได้ร่วมรับฟังการถอดบทเรียนการพัฒนาตามแนวทางพระราชดำริเชิงพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง เพื่อนำเอาหลักคิด วิธีการ และองค์ความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในโอกาสที่เหมาะสมตามภูมิสังคมต่อไป
“พื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวงเป็นพื้นที่ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดตั้ง “โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เพื่อให้ผู้คนในชุมชนได้ร่วมกันฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรป่าไม้ที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนกลับสู่สภาพอุดมสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม และเป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ ของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตน โดยน้อมนำเอาแนวทางและพระราชดำริมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน จนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างแท้จริง” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
อ.คณิตฯ กล่าวว่า พื้นที่ป่าลุ่มน้ำแม่กวงมีขนาดพื้นที่ราว 1.7 ล้านไร่ ครอบคลุมตั้งแต่ อ.ดอยสะเก็ด-สันทราย-แม่ออน-สันกำแพง-สารภี จ.เชียงใหม่ ข้ามไปถึง อ.บ้านธิ เมืองลำพูน และ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ซึ่งในส่วนของการดำเนินงานพัฒนาตามแนวทางพระราชดำริเชิงพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง ได้เริ่มต้นดำเนินงานในปี 2525 โดยได้มีการขีดพื้นที่ดำเนินการไว้จำนวน 345,000 ไร่ บริเวณตอนบนของลุ่มน้ำแม่กวง โดยได้รับพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง โดยให้พิจารณาดำเนินการพัฒนาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง แบ่งพื้นที่ดำเนินการเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (2536-2537) มีขอบเขตทางด้านทิศเหนือของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นไปจนจรดขอบอ่างเก็บน้ำแม่กวง รวมเนื้อที่ประมาณ 30,000 ไร่ ระยะที่ 2 (2537-2539) มีขอบเขตต่อจากระยะที่ 1 ขึ้นไปทางด้านทิศเหนือจนจรดเขตอ.แม่แตง และอ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 70,000 ไร่ และระยะที่ 3 (2539-2544) พื้นที่ส่วนที่เหลือในเขตลุ่มน้ำแม่กวงด้านเหนืออ่างเก็บน้ำแม่กวงทั้งหมด จำนวน 245,000 ไร่ มีบริเวณต่อจากขอบเขตระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ไปทางด้านตะวันออกครอบคลุมพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด สันกำแพง จ.เชียงใหม่ , อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย และ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ 1.ป้องกันรักษาป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์อยู่ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามิให้ถูกทำลาย ตลอดจนรักษาสภาพแวดล้อม และฟื้นฟูสภาพป่าที่ถูกทำลายจนเสื่อมโทรมให้คืนสู่สภาพป่าที่สมบูรณ์ดังเดิม 2.แก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่เหมาะสม สำหรับราษฎรที่อาศัยอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่โครงการ ตลอดจนการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในด้านแหล่งน้ำและที่ดินทำกิน 3.พัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่โครงการให้สูงขึ้น สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามความเหมาะสมของท้องถิ่น และ 4.นำผลการศึกษาและวิจัยของศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เหมาะสมมาขยายผลในการพัฒนา และให้บริการแก่ราษฎรในพื้นที่โครงการฯ
ด้านผู้ใหญ่มณเฑียรฯ กล่าวว่า แต่ก่อนนี้ธรรมชาติในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก แต่เนื่องด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและความต้องการทางทรัพยากรธรรมชาติที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการตัดไม้ทำลายป่าในวงกว้างขึ้นในอัตราที่มากและรวดเร็วขึ้น เป็นเหตุให้ช่วงเวลาหนึ่ง มีการขาดน้ำในน้ำตกเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี นอกจากนี้ สภาพความเป็นอยู่ก็เริ่มแร้นแค้นยากลำบากขึ้นด้วย แต่โชคดีที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของลุ่มน้ำแม่กวง และทรงมีพระราชดำริให้มีโครงการฯ ดังกล่าวขึ้น ทำให้ชาวบ้านหันมาใส่ใจและฟื้นฟูธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง จนสภาพแวดล้อมกลับคืนมาสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ประชาชนเกิดทางเลือกในอาชีพและรายได้ที่มากขึ้น รวมถึงชุมชนก็ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีความสามารถในการผลิตที่หลากหลายขึ้นจากการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์
นายมงคลฯ กล่าวเสริมว่า การสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทจากทุกคนในพื้นที่ โดยเน้นกระบวนการ ความเข้าใจ เข้าถึง เพื่อการพัฒนา ซึ่งแนวทางการทำงานที่ผ่านมาจะเป็นลักษณะการสร้างการตระหนักรู้อย่างสร้างสรรค์และลงมือทำเพื่อเป็นตัวอย่างของการสร้างความเปลี่ยนแปลง
ผศ.ดร. วันเพ็ญฯ กล่าวว่า ความสนใจในการเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูธรรมชาติในโครงการฯ ดังกล่าว เกิดจากผลลัพธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวอย่างเป็นรูปธรรมจากการลงแรงและการสร้างความร่วมมือของคนในชุมชน ซึ่งจากการเข้ามาศึกษาจึงพบว่า ชาวบ้านและภาคีเครือข่ายที่เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนนั้น ได้ใช้ทั้งหลักการบูรณาการการทำงานแบบชาวบ้าน หลักการทางความเชื่อ ศาสนา ความรู้ของศาสตร์จากปราชญ์ชาวบ้าน ศาสตร์พระราชา ตลอดจนความโดดเด่นทางภูมิศาสตร์มาเป็นส่วนผสมสำคัญทำให้การดำเนินงานเกิดผลสำเร็จอย่างที่เห็น ธรรมชาติได้ถูกฟื้นฟูทีละเล็กน้อย ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างทางและเกิดความตระหนักรู้หวงแหนในถิ่นฐานบ้านเกิดของตน
อ.คณิตฯ กล่าวเสริมว่า สำหรับปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญก็คือ การอาศัยหลักการ “ระเบิดจากข้างใน” ตามพระราชดำริ ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมแก้ปัญหา และร่วมรับผลประโยชน์โดยตรง ผ่านกลไกการประชุมร่วมหลายฝ่ายในรูปแบบกึ่งทางการ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ และให้เวทีนี้ช่วยส่งเสริมและสร้างการมีส่วนร่วมควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในชุมชน เพื่อเป้าหมาย “เปลี่ยนจากผู้มีอาชีพตัดไม้ แปรรูปไม้ขาย มาเป็นผู้อนุรักษ์และเห็นถึงคุณค่าของธรรมชาติที่สมดุล” (เปลี่ยนจากผู้ทำลายเป็นผู้สร้าง) โดยตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประชาชนในชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของการฟื้นฟู รักษาธรรมชาติ มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง น่าเชื่อถือ มีคนรุ่นใหม่ที่กลับมาเป็นกำลังสำคัญในพื้นที่ มีภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาส่งเสริมทุกมิติ เช่น น้ำในน้ำตกที่แห้งหายไปได้กลับคืนสู่สภาพเดิม มีการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ให้กับคนในชุมชนแทนอาชีพการตัดไม้ ลดการเผาป่า ลดมลพิษ และมีการรวมกลุ่มประกอบอาชีพ อาทิ วิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน เป็นต้น
ด้านนายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การได้ร่วมรับฟังการถอดบทเรียนในวันนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความถึงพร้อมสามประการ คือ ความเข้าใจถึงพร้อม พื้นที่ถึงพร้อม และประชาชนถึงพร้อม จึงเกิดเป็นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อสร้างความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งยังเป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นถึงพลังของภาคประชาชนที่มาจากความต้องการของคนในพื้นที่ที่ต้องการลุกขึ้นมาปรับปรุงแนวทางการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น และประการสำคัญที่สุด “โครงการตามพระราชดำริต่าง ๆ” มีความสำคัญและมีความหมายอย่างมากต่อการพัฒนาชาติและบ้านเมืองให้เกิดความมั่นคงอย่างพอเพียง
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันความท้าทายของชุมชน คือ ต้องเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านธรรมชาติ เทคโนโลยี เศรษฐกิจสังคม โครงสร้างประชากร รวมถึงการเมืองการปกครอง จึงจำเป็นยิ่งที่ชุมชนต้องสามารถพึ่งตนเองบนฐานทรัพยากรของชุมชนให้ได้ และเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาที่เหมาะสมต่อภูมิประเทศและภูมิวัฒนธรรมของตนเอง นั่นหมายถึง “ชุมชนมีภูมิคุ้มกัน” ในการรับมือกับความท้าทายดังกล่าว เพื่อให้บรรลุถึงความมีอยู่ มีกิน อย่างมีสุข ในอนาคต ด้วยการต้องเข้าใจพื้นที่ของตนเองทั้งในด้านภูมิศาสตร์และสังคม เพื่อนำไปกำหนดชุดแผนกลยุทธ์ของชุมชนตนเองเพื่อเป็นเครื่องมือนำทางไปสู่อนาคตที่มั่นคง
นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า อีกส่วนสำคัญของการพัฒนา คือ “ปัจจัยผู้นำ” ซึ่งสังเกตได้ว่า ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นของโครงการฯ ที่ได้รับฟังในวันนี้ มี “ผู้นำ” เป็นทั้งปัจจัยหลักและปัจจัยสนับสนุนตลอดเวลา เราในฐานะคนมหาดไทย ต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะและคุณสมบัติของการเป็นผู้นำอย่างถูกต้อง แบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) ผู้นำตามตำแหน่ง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ต้องหมั่นคอยก่อร่างสร้างตัวตนให้เป็นคนน่าเชื่อถือ น่าไว้ใจ ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน จุดประกายไฟสร้างแรงบัลดาลใจไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งยังต้องหมั่นคอยเพิ่มพูนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วย และต้องแสวงหาผู้นำในลักษณะที่ 2) ให้เจอ ซึ่งก็คือ “ผู้นำตามธรรมชาติ” อันหมายถึง กลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนผู้มีจิตใจในการรุกรบ มีความรู้ความสามารถ มีความต้องการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยผู้นำทั้งสองรูปแบบนี้ ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและนำเอาภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาบูรณาการการทำงานร่วมกันในลักษณะของ “ทีม” ผ่านกลไก 4 ร่วม ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา และร่วมรับผลประโยชน์จากการดำเนินการ เพื่อให้ทีมเป็นเสมือนคำตอบและทางออก (solution) ของปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน
ต่อมา ปลัด มท. ได้นำคณะลงพื้นที่วัดแม่ตอน ต.เทพเสด็จ อ.ดอยสะเก็ด เพื่อพบปะแกนนำชุมชนและประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง โดยมีพระสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนพี่น้องประชาชน ร่วมให้การต้อนรับ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ สอดคล้องตามหลักการทำงานของคนมหาดไทยที่ว่า ลงพื้นที่ "ให้รองเท้าสึกก่อนก้นกางเกงขาด" โดยได้รับฟังการพัฒนา สภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่อการพัฒนาระยะต่อไป อาทิ ปัญหาดินสไลด์ในช่วงฤดูฝน ปัญหาการก่อสร้างถนนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน เป็นต้น
ปลัด มท. กล่าวในช่วงท้ายว่า สำหรับประเด็นที่เป็นอุปสรรคปัญหาข้างต้น กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจาณาแก้ไขปัญหาตามอำนาจหน้าที่โดยเร็ว และขยายผลติดตามในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อการแก้ปัญหาภาพรวมอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งให้ข้อแนะนำ พัฒนาตำบลเทพเสด็จให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว หมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี ด้วยปัจจัยศักยภาพและความพร้อมในหลายมิติ จึงให้พื้นที่ริเริ่มวางแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65140 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเก่ง” ย้ำคนมหาดไทยต้องเป็นข้าราชการที่ดีของ “ในหลวง” เป็นราชสีห์ผู้ภักดีต่อเเผ่นดิน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
“ปลัดเก่ง” ย้ำคนมหาดไทยต้องเป็นข้าราชการที่ดีของ “ในหลวง” เป็นราชสีห์ผู้ภักดีต่อเเผ่นดิน
ปมท. ถกผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือย้ำต้องเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นราชสีห์ผู้ภักดีต่อเเผ่นดิน เดินหน้าปฏิบัติภารกิจ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" เพื่อเดินสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อของสหประชาชาติ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันนี้(18 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น.นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามรับฟังการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ณ อาคารอเนกประสงค์ วัดพระธาตุดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ โดยมี ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รองอธิบดี กรมที่ดิน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการ จังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง อุตรดิตถ์ อุทัยธานี เชียงราย ตาก นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก ลำพูน และจังหวัดสุโขทัย รวมไปถึง รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ , ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อาจารย์คณิต ธนูธรรมเจริญ ที่ปรึกษาเครือข่ายลุ่มน้ำแม่กวง/หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม โดยก่อนการประชุมปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ถวายโฉนดที่ดินวัด จำนวน 303 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา แด่พระราชโพธิวรคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอันเเนวแน่ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป ประกอบกับ กระทรวงมหาดไทย ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ร่วมประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ด้วยเเนวคิด “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน เพื่อคนไทยกว่า 69 ล้านคน ร่วมกับสหประชาชาติ “โลกนี้เพื่อเรา”” ซึ่งในฐานะข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นราชสีห์ผู้ภักดีต่อเเผ่นดินและข้าราชการที่ดีของพี่น้องประชาชน มีความตั้งใจที่จะ Change for Good ด้วยอุดมการณ์ (Passion) ที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม จึงเป็นที่มาของการประชุมในครั้งนี้
"ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยกำลังขับเคลื่อนโครงการอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมการปกครอง ได้กำหนดให้นายอำเภอเเละทีมงาน อำเภอละ 10 คน จาก 878 อำเภอทั่วประเทศ มาร่วมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในระยะเวลา 4 คืน 5 วัน จำนวน 8 ห้วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 เพื่อสร้างทีมงานในระดับพื้นที่ ทั้งทีมที่เป็นทางการ หรือ ทีมบุคลากรประจำพื้นที่ตามกฎหมาย เเละทีมจิตอาสา หรือ ทีมที่มาจาก 7 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ภาครัฐ ทั้งท้องที่เเละท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ซึ่งจะเป็นกลไกที่สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นเเละจะเป็นทีมที่สามารถปิดจุดอ่อนของการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ อันเกิดจากการเลื่อนตำแหน่ง หรือโยกย้าย หรือ การเกษียณอายุราชการของบุคลากรภาครัฐ" ปลัด มท. กล่าว
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะนายกรัฐมนตรีประจำจังหวัด และนายอำเภอ ในฐานะนายกรัฐมนตรีประจำพื้นที่อำเภอ มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจในการบูรณาการงานของทุกกระทรวง ทบวง กรม เชิงพื้นที่ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ภารกิจการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของกระทรวงมหาดไทย ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน คือ การสร้างทีม และทำให้ทีมทั้งทีมที่เป็นทางการ เเละทีมจิตอาสา หล่อหลอมรวมกันให้มีความรักใคร่สามัคคี มีความเข้มเเข็ง เเละมีความปรารถนาที่จะพัฒนาบ้านเมือง สามารถบูรณาการทุกหน่วยงานให้มีทิศทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ควบคู่กับการพัฒนาระบบการดูแลกันในชุมชนหมู่บ้านเดิม ที่เรียกว่า คุ้มบ้าน หรือ หย่อมบ้าน หรือ ป๊อกบ้าน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลเเละดูเเลกันเเละกัน หากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด เเละนายอำเภอมีทีมงานที่พร้อมจะทำงานเเล้ว ก็จะสามารถทำให้การบูรณาการคน งาน และทรัพยากรต่าง ๆ ในพื้นที่สามารถตอบสนองภารกิจทุกภารกิจได้อย่างมีคุณภาพอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การทำงานโดยยึดหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คือ การเข้าใจ เข้าถึง เเละพัฒนา ซึ่งจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เเละเข้าใจสภาพปัญหาตามบริบทของเเต่ละภูมิสังคม เปิดโอกาสให้ทีมงานได้ร่วมเเสดงความคิดเห็น เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการร่วมคิดเเละร่วมทำ มีความเป็นเจ้าของ (Ownership) เพื่อให้เกิดความยั่งยืนที่เเท้จริง
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวย้ำว่า กระทรวงมหาดไทยมีเป้าหมายการทำงาน คือ การทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีโอกาสนำคณะผู้แทนองค์การสหประชาติประจำประเทศไทย นำโดยคุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ไปลงพื้นที่ในหลายจังหวัด พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้บริหารจังหวัดที่ได้ลงพื้นที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่ทุกจังหวัดจะร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่ความยั่งยืน ซึ่งในขณะนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกพื้นที่ดำเนินการเเก้ไขปัญหาตามข้อมูลจากฐานข้อมูล ThaiQM และ TPMAP อย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เเก้ไขเฉพาะเชิงปริมาณ
"ยกตัวอย่างเช่น ในหมู่บ้านหนึ่งมีครัวเรือนตกเกณฑ์ เรื่องรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จำนวน 5 ครัวเรือน การที่ภาครัฐจะลงไปช่วยเหลือเเล้วนำสิ่งของที่สามารถประกอบอาชีพได้ไปให้โดยให้เหมือนกันทั้ง 5 ครัวเรือนนั้นอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เเต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียดเเต่ละครัวเรือนอาจจะมีสภาพปัญหาต่างกัน เช่น บางครัวเรือนมีเเต่ผู้สูงวัย บางครัวเรือนมีคนพิการหรือผู้ป่วยติดเตียง หรือบางครัวเรือนผู้นำของบ้านถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ขาดรายได้ ดังนั้น เเต่ละครัวเรือนย่อมมีความต้องการในการได้รับความช่วยเหลือต่างกัน ซึ่งเราทุกคนต้องเลิกทำงานเเบบไฟไหม้ฟาง ด้วยการต้องทำงานเเบบรองเท้าขาดก่อนก้นกางเกงขาด และทำตัวเป็นรวงข้าวสุกที่โน้มลงหาพื้นดิน คือ ให้ลงพื้นที่ไปหาปัญหา ไม่ใช่รอรับรายงานเพียงอย่างเดียว ให้ไปถามไถ่พูดคุยรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ กับพี่น้องประชาชน เพื่อจะได้เข้าใจสภาพปัญหา เเละเเก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด พร้อมติดตามว่าปัญหาเหล่านั้นสามารถเเก้ไขได้อย่างยั่งยืนหรือไม่” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการอำเภอ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการร้อยเรียงภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงมหาดไทย อาทิ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผ่านโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง หรือโครงการทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ตามพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการหัตถศิลป์หัตถกรรม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมอัตลักษณ์เเละมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติอีกด้วย โครงการพัฒนาพื้นการส่งเสริมเเละอนุรักษ์สิ่งเเวดล้อม ทั้งการสร้างวัฒนธรรมคน 3Rs (Reduce Reuse Recycle) การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การรณรงค์สร้างความตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรดินเนื่องในโอกาสวันดินโลก ภายใต้เเนวคิด Soils, where food begins. หรือ อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา" โครงการ “การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพอเพียงด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ที่มีเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล การกำหนดรูปแบบการจัดทำผังการจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน และผังภูมิสังคมพื้นที่ (Geo - Social Mapping) การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน (CBDRM) ฯลฯ ซึ่งโครงการฯ นี้ จะร้อยเรียงทุกเรื่องเข้าไว้ด้วยกัน เป็นร่มใหญ่ของการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ผ่านทีมทางการ ทีมจิตอาสา เเละทีมตำบล/หมู่บ้าน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้กลไกการทำงานทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับชุมชนหมู่บ้าน ระดับจังหวัด เเละระดับประเทศขยายผลการสร้างทีม เพื่อเตรียมความพร้อมและหนุนเสริมความเข้มเเข็งในการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สู่การยกระดับทุกหมู่บ้านให้เป็นหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และทำให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65138 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนผู้มีความรู้ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิชาการ ใน 34 จังหวัดสมัครรับการสรรหาเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
รัฐบาลเชิญชวนผู้มีความรู้ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิชาการ ใน 34 จังหวัดสมัครรับการสรรหาเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน
รัฐบาลเชิญชวนผู้มีความรู้ประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิชาการ ใน 34 จังหวัดสมัครรับการสรรหาเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรศุลี ไตรสรณกุล กล่าวว่า สำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ทปษ.ภาคประชาชน) ครั้งที่2 เพื่อเข้ารับตำแหน่งที่ยังไม่ครบอีก 48 ตำแหน่ง ใน 34 จังหวัด รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือ วิชาการเข้ารับการสรรหาซึ่งจะเป็นโอกาสในการร่วมเป็นหนึ่งในกลไกของส่วนราชการในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่และนำไปสู่การพัฒนาที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนแต่ละจังหวัดอย่างทั่วถึง
การรับสมัครบุคคลเพื่อรับการสรรหาเป็น ทปษ.ภาคประชาชนนี้ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ.2562 ซึ่งส่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจราชการ ช่วยให้ผู้ตรวจราชการได้รับทราบข้อมูลในพื้นที่ที่ครอบคลุมในทุกมิติ เป็นประโยชน์ต่อการติดตามการปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล บรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล คุ้มค่า โปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์และการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในแต่ละจังหวัดจะประกอบไปด้วย ทปษ.ภาคประชาชน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวิชาการ ด้านละไม่เกิน 3 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี นับแต่วันที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยจะคัดเลือกจากผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 3 ปี มีความรู้และประสบการณ์ในแต่ละด้านดังกล่าว
นอกจากคุณสมบัติเฉพาะของ 4 ด้านแล้ว ยังกำหนดคุณสมบัติทั่วไป เช่น ต้องไม่เป็นข้าราชการ พนักงานราชการหรือลูกจ้างหน่วยงานของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง เจ้าหน้าที่พรรคการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นของรัฐ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย บุคคลไร้ความสามารถ ต้องไม่เคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษา เป็นต้น โดยแต่ละคนสามารถสมัครได้ 1 ด้าน โดยประชาชนผู้สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. - 16 มี.ค. 66 ผ่านระบบออนไลน์ตาม QR Code หรือที่เว็บไซต์ https://eform.opm.go.th/q/2UWml6
ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดของประกาศรับสมัคร เงื่อนไข คุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะแต่ละด้าน เอกสารประกอบการสมัคร เกณฑ์การคัดเลือก ตลอดจนช่องทางการประกาศผลได้ที่ http://bit.ly/3ka10Vq
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับ 34 จังหวัดที่เปิดรับสมัครผู้เข้ารับการสรรหา ทปษ.ภาคประชาชน ครั้งที่ 2 มีดังนี้ กาญจนบุรี กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชุมพร เชียงราย นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บุรีรัมย์ ปทุมธานี ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พังงา เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง เลย สกลนคร สตูล สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุพรรบุรี หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุทัยธานี และอุบลราชธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
รัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา
รัฐบาลออกประกาศ “เด็กท้องต้องได้เรียน” แม่วัยรุ่นต้องได้โอกาสทางการศึกษา
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราชกิจจานุเบกษา (18 กุมภาพันธ์ 2566) ได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 โดยมีความว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษา และการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา ตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น
ทั้งนี้ ในท้ายกฎกระทรวง ได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงเอาไว้ด้วยว่า...
ปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ถูกสถานศึกษาให้ย้ายสถานศึกษาโดยมิได้สมัครใจสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินการของสถานศึกษาเพื่อเป็นการคุ้มครองวัยรุ่นซึ่งตั้งครรภ์ขณะที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาให้มีสิทธิได้รับการศึกษาในสถานศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่องตามความประสงค์ของนักเรียนหรือนักศึกษานั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งจะเป็นอนาคตชาติ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงให้สถานศึกษาทุกระดับที่มีเด็กตั้งครรภ์ ต้องไม่ให้เด็กออกจากสถานศึกษา โดยต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมและต่อเนื่อง แต่ยังคงมีบุคลากรทางการศึกษารวมถึงผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่า การให้เด็กตั้งครรภ์เรียนร่วมกับเด็กทั่วไป เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ผลการศึกษาในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า เด็กคนอื่น ๆ จะเกิดความตื่นตัวมากขึ้นในการดูแลป้องกันตนเองไม่ให้ตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันจะเกิดความรู้สึกเห็นใจเพื่อนที่กำลังท้อง และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีในขณะที่เรียนร่วมกัน
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนทัศนคติของครูผู้สอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ครูต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ต้องไม่ปฏิบัติใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคองเด็กให้ได้เรียนต่อเนื่องโดยไร้ความกังวล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65143 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 กำชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
มท.1 กำชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
มท.1 กำชับผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม 2566 พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
วันนี้ (18 ก.พ. 66) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ได้ติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ในตอนกลางวัน จากนั้นจนถึงปลายเดือนเมษายน จะมีอากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป มีอากาศร้อนจัด และจะเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ โดยจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง รวมทั้งอาจมีลูกเห็บตกลงในบางแห่ง ซึ่งสภาวะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนผลผลิตทางการเกษตรได้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เตรียมการรับสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยดำเนินการ ด้านการเตรียมความพร้อม ด้วยการ 1) ติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฤดูร้อนกับกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมอบหมายเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2) ให้ผู้อำนวยการแต่ละระดับ เร่งตรวจตราอาคารสถานที่ ป้ายโฆษณา สิ่งก่อสร้าง รวมถึงไม้ยืนต้นตามที่สาธารณะที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง พร้อมทั้งแจ้งให้หน่วยงานตามกฎหมาย เข้าตรวจสอบ ซ่อมแซมตามอำนาจหน้าที่ ตลอดจนเชิญชวนประชาชนจิตอาสามีส่วนร่วมในการสอดส่อง ปรับปรุง ดูแลให้เกิดความปลอดภัยต่อไป 3) ให้ผู้อำนวยการท้องถิ่นเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ ทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันท่วงที 4) สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย อาทิ การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของที่พักอาศัย การป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า และกรณีต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรงล้มทับ พร้อมทั้งแจ้งช่องทางการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ตลอดจนมาตรการในการดูแลประชาชน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการเผชิญเหตุ หากจังหวัดใดเกิดสถานการณ์พายุฤดูร้อนในพื้นที่ ให้จังหวัดดำเนินการตามแนวทาง 1) หากเกิดเหตุวาตภัยที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในพื้นที่ใด ให้เร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง 2) กรณีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายให้แบ่งมอบการกิจ พื้นที่รับผิดชอบและบูรณาการหน่วยงาน เพื่อจัดทีมปฏิบัติการเร่งเข้าซ่อมแชมบ้านเรือนประชาชนโดยเร่งด่วน 3) กรณีป้ายโฆษณา สิ่งก่อสร้าง ไม้ยืนต้น หรือโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหาย ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าดำเนินการแก้ไขไม่ให้กีดขวางพื้นที่สาธารณะ และซ่อมแซมให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว 4) กรณีความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและอำเภอร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือตามกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง 5) เมื่อเกิดสถานการณ์วาตภัยจากพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสรุปสถานการณ์และรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบผ่านกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
"กระทรวงมหาดไทยได้ย้ำเตือนให้จังหวัด อำเภอ ได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างการรับรู้หมายเลขโทรศัพท์สายด่วนที่เกี่ยวข้อง ผ่านทุกช่องทางสื่อสารในพื้นที่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อหน่วยงานในการขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์วาตภัยและภัยต่าง ๆ สามารถติดต่อแจ้งขอรับความช่วยเหลือผ่านสายด่วนนิรภัยโทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือต่อไป" พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65139 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ.ชัยนาทบูรณาการร่วมทุกภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนากำจัดผักตบชวาในแหล่งน้ำสาธารณะ บุ่งหาดสิน” เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
จ.ชัยนาทบูรณาการร่วมทุกภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนากำจัดผักตบชวาในแหล่งน้ำสาธารณะ บุ่งหาดสิน” เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
จังหวัดชัยนาทบูรณาการร่วมทุกภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนากำจัดผักตบชวาในแหล่งน้ำสาธารณะ บุ่งหาดสิน” เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 66 เวลา 08.30 น. ที่บุ่งหาดกองสิน บริเวณวัดลัดเสนาบดี (วัดเกาะ) ตำบลเขาท่าพระ อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท นายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท เป็นประธานในกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนากำจัดผักตบชวาในแหล่งน้ำสาธารณะ” ภายใต้โครงการ “รวมใจชัยนาท เพื่อแหล่งน้ำสะอาด บุ่งหาดกองสิน” โดยมี จิตอาสาจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่กว่า 150 คน ร่วมกันทำกิจกรรม
"กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในวันนี้ ได้มีวิทยากรจากสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดชัยนาท บรรยายให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ข้อมูล และสาธิตการใช้ประโยชน์จากการนำผักตบชวาไปแปรรูปทำปุ๋ย รวมถึงมีการวางแผนการขนย้ายซากผักตบชวา โดยได้รับการสนับสนุนรถบรรทุกจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาทและภาคีเครือข่ายภาคเอกชนทำการขนย้ายซากผักตบชวาไปยังพื้นที่เขาขยาย ตำบลเขาท่าพระ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ เพื่อใช้ในการแปรรูปเป็นปุ๋ยสำหรับบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ และเป็นการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ปัญหากลิ่นเหม็นจากซากผักตบชวา เป็นต้น" ผวจ.ชัยนาท กล่าว
นายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวต่ออีกว่า จังหวัดชัยนาทได้ดำเนินการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ตำบลเขาท่าพระ บริเวณแหล่งน้ำบุ่งหาดกองสิน ซึ่งมีผักตบชวาและวัชพืชเป็นจำนวนมากถึง 24,000 ตัน บนพื้นที่ผิวน้ำรวม 546 ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งเเต่เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ด้วยเรือกำจัดผักตบชวา จำนวน 2 ลำ ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณและกำลังคนจากกรมเจ้าท่า และเครื่องจักรสำหรับขนย้ายจากภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยคาดว่า เมื่อการดำเนินการแล้วเสร็จ จะส่งผลทำให้แหล่งน้ำบุ่งหาดกองสินมีความสวยงาม น้ำมีคุณภาพที่ดี ที่สามารถใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและปรับปรุงพัฒนาเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในอนาคต นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นที่พักน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูเเล้ง และเป็นพื้นที่สำหรับรองรับน้ำส่วนเกินในฤดูน้ำหลากปริมาณกว่า 2.2 ล้านลูกบาศก์เมตร
"นับเป็นความน่าภาคภูมิใจของพี่น้องประชาชนชาวชัยนาทอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดชัยนาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 17 ในด้านการเสริมสร้างความร่วมมือ (Partnership) ทั้งนี้ การดำเนินการ ต้องไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วเสร็จสิ้นไป หากแต่ต้องได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันดูแลรักษาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทยอยเก็บเล็ก เก็บน้อย กำจัดผักตบชวาด้วยตัวเราอย่างสม่ำเสมอ และต้องไม่ทิ้งขยะลงในแหล่งน้ำ และรณรงค์สร้างจิตสำนึก สร้างพลังภาคีเครือข่ายในการช่วยกันดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้สภาพแวดล้อมเหมาะสม มีสถานที่ที่สวยงาม และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศที่ดี อันจะส่งผลทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป" ผวจ.ชัยนาท กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65136 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคี ต.หาดยาย อ.หลังสวน จ.ชุมพร | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคี ต.หาดยาย อ.หลังสวน จ.ชุมพร
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคี ต.หาดยาย อ.หลังสวน จ.ชุมพร มอบกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดิน เพื่อเป็นสถานที่ในการรวบรวมผลผลิต การจำหน่าย และการแปรรูป พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรรักษาคุณภาพผลผลิต
ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสกรณ์ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามนโยบายตลาดนำการผลิตณวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคีตำบลหาดยายอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพรซึ่งวิสาหกิจชุมชนดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตมังคุดล้นตลาดเนื่องจากสภาพแวดล้อมเหมาะสมทำให้ผลผลิตกระจุกตัวส่งผลให้ราคาตกต่ำเกษตรกรจึงได้รวมตัวเพื่อผลิตมังคุดคุณภาพและรวบรวมจำหน่ายโดยวิธีประมูลซึ่งขณะนี้มีเครือข่ายประมูลมังคุด28กลุ่มทั้งนี้จังหวัดชุมพรเป็นแหล่งผลิตไม้ผลเขตร้อนที่สำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่อำเภอหลังสวนที่เป็นแหล่งผลิตมังคุดและทุเรียนรวมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตเพื่อการส่งออกมีประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือสาธารณรัฐประชาชนจีนมีโรงงานคัดบรรจุทุเรียนและมังคุดไม่ต่ำกว่า400แห่ง
สำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคีได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนเมื่อวันที่2พฤษภาคม2560โดยมีนายประเสริฐช่วยละแมเป็นประธานกลุ่มสมาชิกร่วมกันตั้งจุดรวบรวมผลผลิตมังคุดโดยขอเช่าพื้นที่ของเอกชนเป็นจุดรวบรวมผลผลิตมังคุดมีสมาชิกจำนวน59รายกิจกรรมของกลุ่มได้แก่การผลิตมังคุดคุณภาพการรวบรวมผลผลิตคัดแยกจัดจำหน่ายโดยวิธีประมูลและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยในปี2564กลุ่มสามารถผลิตมังคุดคุณภาพได้จำนวน495ตันราคาที่ประมูลได้เฉลี่ย27.10บาท/กิโลกรัมคิดเป็นมูลค่า13,414,500บาทสำหรับในปี2565ภาคใต้มีปริมาณฝนตกชุกก่อนมังคุดออกดอกทำให้ไม่เกิดช่อดอกจึงมีผลผลิตมังคุดเพียงเล็กน้อยทั้งภาคทั้งนี้การคาดการณ์ผลผลิตมังคุดในปี2566ผลผลิตมังคุดจะมีปริมาณมากใกล้เคียงกับปี2564ในช่วงที่มังคุดออกสู่ตลาดมากที่สุดกลุ่มจะประสบปัญหาตระกร้าหูเหล็กที่ใช้บรรจุเพื่อขนส่งผลผลิตและกระจายผลผลิตมังคุดไม่เพียงพอเกษตรกรจำหน่ายได้ราคาลดลงนอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนสมาชิกและปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกลุ่มไม่มีพื้นที่เป็นของตนเองและสถานที่ไม่เพียงพอในการรวบรวมผลผลิตการจำหน่ายรวมทั้งการแปรรูปกลุ่มจึงขอใช้พื้นที่ของสหกรณ์นิคมอำเภอหลังสวนดำเนินกิจกรรม
ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้ามาสนับสนุนปัจจัยการผลิตในด้านต่างๆรวมถึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานที่ในการรวบรวมผลผลิตการจำหน่ายรวมทั้งการแปรรูปจึงได้มอบกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดินพื้นที่ของสหกรณ์นิคมหลังสวนหมู่ที่4ตำบลหาดยายอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพรจำนวน7ไร่2งานเพื่อให้กลุ่มมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนนอกจากนี้ยังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานพาณิชย์จังหวัดชุมพรสถาบันการศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเสริมการบริหารจัดการกลุ่มการผลิตการพัฒนาคุณภาพผลผลิตการตลาดการยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรซึ่งส่งผลให้กลุ่มสามารถบริหารจัดการกลุ่มให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นเกิดความมั่นคงและสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกได้เป็นอย่างดี
“รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่งที่จังหวัดชุมพรได้นำนโยบายตลาดนำการผลิตมาขับเคลื่อนจนประสบความสำเร็จมีตัวอย่างเป็นที่ประจักษ์เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มผลิตมังคุดคุณภาพและรวบรวมผลผลิตจำหน่ายโดยวิธีการประมูลให้แก่ผู้ประกอบการได้ตรงตามความต้องการของประเทศคู่ค้าจนสามารถแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดในช่วงผลผลิตกระจุกตัวซึ่งจังหวัดชุมพรมีกลุ่มผลิตมังคุดคุณภาพจำนวน28กลุ่มโดยรวมตัวกันในลักษณะของเครือข่ายดำเนินกิจกรรมด้านการผลิตและการตลาดร่วมกันสามารถทำให้มังคุดมากกว่า50เปอร์เซ็นต์เข้าสู่ระบบตลาดประมูลทำให้มูลค่าผลผลิตสูงขึ้นสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรโดยเฉพาะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดคุณภาพหาดสำราญสามัคคีตำบลหาดยายอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพรที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มสามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพตามแนวทางการผลิตเกษตรดีที่เหมาะสมซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนดไว้และการจำหน่ายโดยวิธีการประมูลทำให้มังคุดของกลุ่มเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการสอดคล้องกับนโยบายตลาดนำการผลิตเกษตรกรมีความสามารถในการวางแผนตามความต้องการของตลาดทั้งปริมาณและคุณภาพรวมทั้งสร้างรายได้จากการประมูลสูงกว่าราคาตามท้องตลาดอย่างไรก็ตามได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนรวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคด้วย”ดร.เฉลิมชัยกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกจังหวัดทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพร เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
ทุกจังหวัดทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพร เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ทุกจังหวัดทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
ทุกจังหวัดทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง และกรรมการกำกับห้องสอบในการสอบบาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ระหว่างวันที่ 15 - 17 กุมภาพันธ์ 2566 ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 83 สนามสอบ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เป็นประธานในพิธี อาทิ จังหวัดนครนายก ณ วัดพราหมณี พระอารามหลวง ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอเมืองนครนายก นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารพระราชทาน แด่พระภิกษุ สามเณร โดยมี พระราชพรหมคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ร่วมพิธี เช่นเดียวกับจังหวัดสมุทรสาคร ณ พระอุโบสถวัดเจษฎาราม พระอารามหลวง นายอาวุธ วิเชียรฉาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารพระราชทานแด่พระภิกษุ สามเณร ในการสอบบาลีสนามหลวง โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนชาวสมุทรสาคร ร่วมพิธี และจังหวัดแพร่ ณ พระอุโบสถ วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ นายธาตรี บุญมาก รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารพระราชทานแด่พระภิกษุ สามเณร โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนจังหวัดแพร่ ร่วมพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยในห้วงวันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2566 ประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลฯ ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. จังหวัดมุกดาหาร ที่ห้องแก้วมุกดา ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานในพิธีรับหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อเชิญไปถวายวัดในจังหวัดมุกดาหาร เพื่อใช้เป็นบทสวดสาธยายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ในเร็ววัน โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมพิธี
2. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา พระธรรมรัตนมงคล เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมพิธี
3. จังหวัดอุดรธานี ที่วัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี พระราชสารโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานี ร่วมพิธี
4. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่วัดคลองโพธิ์ พระอารามหลวง ต.บ้านเกาะ อ.เมืองอุตรดิตถ์ นายทัศนัย สุธาพจน์ ปลัดจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมพิธี
5. จังหวัดกำแพงเพชร ที่ศาลาการเปรียญ วัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง อ.เมืองกำแพงเพชร นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ ปลัดจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
6. จังหวัดระยอง ที่พระอุโบสถ วัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง พระครูโสภิตปัญญากร เจ้าคณะอำเภอเมืองระยอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายวรวุฒิ ด่านสมพงศ์ วัฒนธรรมจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนชาวระยอง ร่วมพิธี
7. จังหวัดนครราชสีมา ณ โครงการอ่างเก็บน้ำทับรั้ง อ.เทพารักษ์ นายกิตติธัช เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 8 พร้อมด้วยข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมปล่อยพันธุ์ปลาและกุ้งก้ามกราม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ และแพร่พันธุ์สัตว์น้ำในอ่างเก็บน้ำ เพื่อส่งเสริมการประมงและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่ราษฎรในพื้นที่ โดยมี พระครูกนกเทพานันท์ เจ้าอาวาสวัดโนนทอง นางเพียร แซ่ลี้ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแวง ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรม
8. กรุงเทพมหานคร ที่วัดใหม่เทพนิมิต แขวงบางพลัด เขตบางพลัด พระมหาสิทธิชัย ชยสิทธิ เจ้าอาวาสวัดหนองกาด จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดใหม่เทพนิมิต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางสาวมานิตา รุจะศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบางพลัด ประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี นางสาวจินตนา ชาญศรี หัวหน้าฝ่ายโยธาฯ พร้อมด้วย ข้าราชการ บุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตบางพลัด และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65135 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลต้อนรับทีม USAR Thailand กลับจากภารกิจ Thailand for Turkiye ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี | วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566
18/02/2566
รัฐบาลต้อนรับทีม USAR Thailand กลับจากภารกิจ Thailand for Turkiye ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี
รัฐบาลต้อนรับทีม USAR Thailand กลับจากภารกิจ Thailand for Turkiye ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี
วันนี้ (18 ก.พ.66) เวลา 10.30 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมต้อนรับทีม USAR Thailand กลับจากการปฏิบัติภารกิจ Thailand for Turkiye ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกี โดยมี Mrs. Serap Ersoy เอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมการแพทย์ นางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ดร.ธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ นายประกาศ บุตตะมาศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท NPC ผู้แทนมูลนิธิ พลเอกชาติชาย (K-9) ผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ
จากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ศูนย์กลางใกล้เมืองกาซีอันเท็พ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐตุรกี สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ซึ่งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “Thailand for Turkiye” โดยส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue) หรือ USAR Thailand จำนวน 42 คน และสุนัขค้นหา K-9 จำนวน 2 ตัว พร้อมด้วยอุปกรณ์ค้นหาและกู้ภัยกว่า 200 ชิ้น ร่วมสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว โดยได้ตั้งฐานปฏิบัติการในเขต Antakya จังหวัด Hatay ซึ่งได้ออกสำรวจและค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร โดยใช้อุปกรณ์โซนาร์และสุนัขค้นหา K-9 ในการระบุตำแหน่งผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารเพื่อให้ทีมท้องถิ่นนำร่างออกมาได้จำนวน 25 ราย รวมถึงยังได้ให้บริการทางการแพทย์และปฐมพยาบาลแก่ผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บ และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ทีม USAR Thailand ได้ยุติการค้นหาผู้ประสบภัย เนื่องจากสิ้นสุดวงรอบการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย พร้อมทั้งส่งมอบภารกิจให้ทีมกู้ภัยท้องถิ่นดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ทีม USAR Thailand ได้ปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ภัยร่วมกับทีมกู้ภัยนานาชาติจำนวน 86 ทีม สามารถช่วยชีวิตผู้ประสบภัยได้กว่า 300 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทีม USAR Thailand ได้ปฏิบัติหน้าที่ในนามของคนไทยทั้งประเทศด้วยความเข้มแข็งและหัวใจที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
สำหรับชุดค้นหาและกู้ภัยในเขตเมืองแห่งชาติ (National Urban Search and Rescue: USAR) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้พัฒนาศักยภาพของทีม USAR อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 และทำการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด เพื่อให้เป็นทีมที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง และขีดความสามารถในการรองรับสาธารณภัยขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ตามคำสั่งของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยบูรณาการความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาและกู้ภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบกำลังกัน ทั้งจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, มูลนิธิพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ (สุนัข K-9) และบริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอน เมนทอล เซอร์วิส จำกัด โดยภารกิจ ของ USAR จะต้องปฏิบัติงานร่วมกับชุด USAR ของประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในด้านการค้นหาและกู้ภัยแก่ประเทศที่ประสบสาธารณภัยตามที่ได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับศักยภาพของ ทีม USAR Thailand สู่มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนการการจัดการสาธารณภัยของประเทศไทยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564 – 2570 ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้มีการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรม และพัฒนาศักยภาพชุดค้นหาและกู้ภัยในเขตเมืองที่มีสมรรถสูงตามมาตรฐานสากลอย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65137 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอสหารือแนวทางการดำเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดพัทลุง | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอสหารือแนวทางการดำเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดพัทลุง
ดีอีเอสหารือแนวทางการดำเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดพัทลุง
(วันนี้) 18ก.พ. 66 –ศ.พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยนางสาวสุกันยาณียะวิญชาญผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส,ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก,สถิติจังหวัดพัทลุง,ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาพัทลุง,โทรคมนาคมจังหวัดพัทลุง,ผู้แทนสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.)ร่วมประชุมหารือกับผู้บริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ(องค์การมหาชน)และหัวหน้าหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการดำเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดพัทลุงการขับเคลื่อนการพัฒนาและประยุกต์ใช้ข้อมูลสารสนเทศบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้BCG Modelในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและการบริหารจัดการน้ำชุมชนลุ่มน้ำทะเลน้อยจังหวัดพัทลุงพร้อมทั้งลงพื้นที่ศึกษาดูงานการจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ2จุดจุดแรกที่ตัวอย่างแปลงเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ต.ป่าพะยอมอ.ป่าพะยอมและจุดที่2การฟื้นฟูและป้องกันไฟป่าพรุควนเคร็งต.ทะเลน้อยอ.ควนขนุนซึ่งกระทรวงดีอีเอสสามารถสนับสนุนด้านการเชื่อมโยงข้อมูลและได้มอบหมายสถิติจังหวัดพัทลุงร่วมมือกับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯในพื้นที่พิจารณาให้การสนับสนุนด้านสถิติข้อมูลที่สำคัญในมิติต่างๆโดยเฉพาะด้านภาคการเกษตรเพื่อเป็นฐานข้อมูลการขับเคลื่อนGDPของจังหวัดพัทลุงต่อไปณจังหวัดพัทลุง
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมร่วมมือสมาชิกเอเปคสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
ไทยพร้อมร่วมมือสมาชิกเอเปคสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพของเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพเพื่อพร้อมรับมือกับโรคระบาด และการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนและบริการสุขภาพของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพของเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพเพื่อพร้อมรับมือกับโรคระบาด และการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนและบริการสุขภาพของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพของเอเปค (APEC Health Working Group) ซึ่งปีนี้สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์ 2566 ณ เมืองปาล์มสปริงส์รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยมีสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคเข้าร่วมประชุมทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ รวมทั้งไทยภายใต้หัวข้อหลัก ”Creating a resilient and sustainable future for all” หรือ การสร้างอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับทุกคน โดยเน้นการสร้างความเชื่อมโยง นวัตกรรมและความครอบคลุม มีวาระการประชุมครั้งนี้มากกว่า20 วาระ และมีวาระการประชุมที่สำคัญคือ การพิจารณาแผนการดำเนินงานของคณะทำงานปี ค.ศ. 2030 การสร้างความเชื่อมั่นในวัคซีน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพให้พร้อมรับมือกับโรคระบาด และการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาสุขภาพของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ซึ่งผู้แทนไทยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของไทยในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในประเด็นดังกล่าวกับที่ประชุมและแสดงความพร้อมในการทำงานร่วมกับทุกเขตเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาสุขภาพของประชาชนของเอเชีย - แปซิฟิก
“ได้ใช้โอกาสที่ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นประธานของคณะทำงานด้านสุขภาพของเอเปคครั้งนี้ ผลักดันให้เขตเศรษฐกิจมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในการสร้างเสริมความเข้มแข็งของระบบสุขภาพของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกให้พร้อมรับกับภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ และทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยต่อยอดจากเป้าหมายกรุงเทพว่าด้วยเศรษฐกิจBCG และการสร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญของการประชุมที่ไทยเป็นเจ้าภาพในปีที่ผ่านมา” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
ทั้งนี้ การประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพของเอเปค จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ระหว่างการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคช่วงที่ 1 (SOM 1) และในเดือนสิงหาคมระหว่างการประชุมของเจ้าหน้าที่อาวุโสในช่วงที่ 3 (SOM 3) ซึ่งประเทศไทย นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับการคัดเลือกเป็นประธานของคณะทำงานด้านสุขภาพเอเปค มีวาระ 2 ปี (ค.ศ. 2022-2023)
*********************************************** 19 กุมภาพันธ์2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65148 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพก่อนออกเรือ เพื่อความปลอดภัย | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพก่อนออกเรือ เพื่อความปลอดภัย
...
กรมเจ้าท่า คุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำ กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพก่อนออกเรือ เพื่อความปลอดภัย
ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ควบคุม กำกับ และอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปฏิบัติการ) กำกับ ดูแล ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ เน้นย้ำประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องสวมใส่เสื้อชูชีพขณะเดินทางทางน้ำตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันหยุดที่จะมีการใช้บริการเรือโดยสารและเรือท่องเที่ยวไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างหนาแน่น โดยในส่วนของการท่องเที่ยวในภูมิภาคที่ 3 และ 7 ได้มีการกำกับดูแล ควบคุม คุมเข้มความปลอดภัยแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ดังนี้
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 ได้จัดชุดตรวจการณ์ เพื่อลงตรวจสอบเรือบรรทุกคนโดยสารในพื้นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จำนวน 22 ท่าเรือ เรือ 228 ลำ โดยตรวจสอบเอกสารประจำเรือ สภาพตัวเรือต้องมีความแข็งแรง ปลอดภัย อุปกรณ์ประจำเรือ เสื้อชูชีพ ครบถ้วน ถูกต้อง ผู้ควบคุมเรือมีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถตามระเบียบฯ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านความปลอดภัยในการบริการนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ได้ตรวจพบผู้กระทำความผิดจำนวน 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.9 ของจำนวนเรือที่ตรวจ พร้อมกันนี้ได้ดำเนินการตามกฎหมายเน้นย้ำให้ทุกสาขาในเขตพื้นที่ของ จภ.3 ที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเรือโดยสาร และผู้ควบคุมเรือปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 7 ได้จัดชุดตรวจการณ์ออกตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ บริเวณท่าเรือสำคัญต่าง ๆ ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวใช้บริการจำนวนมาก อาทิ
- ท่าเรือวัดพระธาตุหล้าหนอง เรือโดยสาร จำนวน 7 ลำ 61 เที่ยว ผู้โดยสาร 197 คน
- ท่าเรือเทศบาลตำบลบึงโขงหลง เรือโดยสาร จำนวน 115 ลำ เที่ยวไป 75 เที่ยว ผู้โดยสาร 645 คน
- ท่าเรือทะเลบัวแดง เรือโดยสาร จำนวน 54 ลำ 82 เที่ยว ผู้โดยสาร 1048 คน
- ท่าเรือด่านศุลกากรบึงกาฬ เรือโดยสาร จำนวน 6 ลำ ไม่มีผู้ใช้บริการ
- ท่าเรือศุลกากรปากชม เรือโดยสาร จำนวน 5 ลำเที่ยวไป 3 เที่ยว ผู้โดยสาร 15 คน เที่ยวกลับ 5 เที่ยว ผู้โดยสาร 42 คน
- ท่าเทียบเรือและโดยสารเทศบาลนครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม โดยสารขาเข้า 16 เที่ยว 499 คน โดยสารขาออก 14 เที่ยว จำนวนผู้โดยสาร 361 คน
รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมาตรการด้านความปลอดภัยทางน้ำ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้จัดเรือตรวจการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ ออกตรวจตรา อำนวยความสะดวก ความปลอดภัยทางน้ำ อย่างเคร่งครัด โดยเรือต้องมีอุปกรณ์ความปลอดภัยประจำเรือครบถ้วน ผู้ควบคุมเรือโดยสารต้องมีความพร้อมไม่เสพติดของมึนเมา ท่าเรือต้องปลอดภัยมีอุปกรณ์ประจำท่าเรือ อาทิ พวงชูชีพ พร้อมระบุจำนวนผู้โดยสาร มีการประชาสัมพันธ์การสวมใส่เสื้อชูชีพ และให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรืออย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเห็นความไม่ปลอดภัยทางน้ำ สามารถแจ้งสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญและผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทยและอาเซียน ตั้งเป้าเศรษฐกิจอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และยั่งยืน | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญและผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทยและอาเซียน ตั้งเป้าเศรษฐกิจอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และยั่งยืน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญและผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทยและอาเซียน ตั้งเป้าเศรษฐกิจอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และยั่งยืน
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบประเด็นเรื่องการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (Senior Economic Officials Meeting: SEOM) ที่ผ่านมา ณ เมืองเซอมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งในปีนี้เน้นย้ำถึงประเด็น “บทบาทอาเซียนที่มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการเจริญเติบโต (ASEAN Matters: Epicentrum of Growth)” และตั้งเป้าให้เศรษฐกิจอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และยั่งยืน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้พิจารณาประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งติดตามความคืบหน้าในการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) ระหว่าง อาเซียน-แคนาดา ซึ่งจะสามารถสรุปผลได้ในปี 2567 ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-จีน และ ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งตั้งเป้าสรุปผลในปี 2568 ความตกลงการค้าสินค้าออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งจะมีการลงนามพิธีสารแก้ไขความตกลงในปีนี้ โดยจะเป็นความตกลงฉบับที่ 3 ของไทย ที่สามารถใช้รูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง เพิ่มเติมจากความตกลง ATIGA และ RCEP ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ตลอดจน ได้พิจารณาผลักดันประเด็นในการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้แก่ การจัดตั้งสำนักเลขาธิการ RCEP เพื่อกำกับดูแลภายใต้ข้อตกลง RCEP การจัดทำกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการบริการของอาเซียน เช่น การนำหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า e-Form D มาใช้อย่างเต็มรูปแบบผ่านระบบ ASEAN Single Window (ASW) อำนวยความสะดวกทางการค้า ลดต้นทุนทางธุรกิจ ส่งเสริมการค้าดิจิทัลข้ามพรมแดน และส่งเสริมการใช้ e-Form D เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน ATIGA e-Form D มีอัตราการใช้อยู่ที่ 89.6% นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ผลักดันประเด็น การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของ MSMEs การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การพัฒนาที่ยั่งยืน การลดกำแพงภาษี ระหว่างภูมิภาค รวมถึงขยายความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค
“นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นที่จะใช้ทุกความร่วมมือระหว่างประเทศให้เกิดโอกาส และประโยชน์สูงสุด พร้อมผลักดัน และสนับสนุนในประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งต่อไทย และภูมิภาค เพื่อกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจในตลาด ส่งผลถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย พร้อมส่งกำลังใจให้ผู้บริหาร-พนักงานการบินไทยทุกคน ร่วมกันทำให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูได้ก่อนกำหนด | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย พร้อมส่งกำลังใจให้ผู้บริหาร-พนักงานการบินไทยทุกคน ร่วมกันทำให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูได้ก่อนกำหนด
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย พร้อมส่งกำลังใจให้ผู้บริหาร-พนักงานการบินไทยทุกคน ร่วมกันทำให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูได้ก่อนกำหนด ย้ำทำต่อไปให้ดีที่สุด ให้สมกับเป็นสายการบินแห่งชาติที่คนไทยภาคภูมิใจ
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้การบินไทย ดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดไปแล้วราว 70% ประกอบกับผลการดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 ซึ่งผู้บริหารการบินไทยมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2566 ก่อนต้นทุนทางการเงิน ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) จะเป็นบวกมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเข้าเกณฑ์กำหนดของการยื่นขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ดังนั้น จะทำให้การบินไทยสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการก่อนเป้าหมายกำหนดในปลายปี 2567 และกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายในปี 2568 โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณและชื่นชมคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน ที่ได้กำกับเดินหน้าแผนฟื้นฟูกิจการฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขอบคุณผู้บริหารตลอดจนพนักงานของการบินไทยทุกฝ่ายทุกคน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำให้การบินไทยกลับมาแข็งแกร่ง สามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ก่อนเป้าหมายที่วางไว้
นายอนุชากล่าวต่อไปว่า ล่าสุดการบินไทยได้เผยถึงภาพรวมการดำเนินงานในปัจจุบัน การบินไทยมีอัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 80% และคาดว่าทั้งปี 2566 จะคงอยู่ในระดับ 80% ส่วนรายได้ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 40% จากปี 2565 ที่คาดการณ์รายได้ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่การบินไทยมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 1.6-1.7 แสนล้านบาทต่อปี ด้านความสามารถทำการบิน ขณะนี้การบินไทยเริ่มกลับมาทำการบินคิดเป็น 65% ของเส้นทางบินทั้งหมด หากเทียบกับปี 2562 และมีแผนจะทยอยเปิดบินเพิ่มเติมต่อเนื่องในเส้นทางเอเชีย จีน ญี่ปุ่น และยุโรปในเมืองที่มีความนิยมสูง ซึ่งจะทำให้การบินไทยกลับมาเปิดบินคิดเป็น 80% ในปี 2568 นอกจากนี้ จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของปริมาณความต้องการเดินทางในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 ประกอบกับแผนเพิ่มเส้นทางและความถี่เที่ยวบินตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 เป็นต้นไป การบินไทยจึงได้เปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกว่า 300 อัตราเมื่อเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา
“ขณะนี้การบินไทยกำลังพิจารณาเรื่องการจัดหาเงินทุนใหม่วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเปรียบเทียบแนวทางจัดหาเงินทุนใหม่ และรอประเมินสถานการณ์ทางการเงิน ว่ามีความจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนมากน้อยเพียงใด เนื่องจากปัจจุบันการบินไทยมีกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับทราบการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูของการบินไทยมาโดยตลอด พร้อมชื่นชมการบินไทยที่เป็นองค์กรที่มีความสามารถในการแข่งขัน เสมือนเป็นทูตวัฒนธรรมที่ร่วมประชาสัมพันธ์ประเทศไทยมากว่า 60 ปี ผ่านการทุ่มเทการทำงานของบุคลากรจำนวนมาก ทั้งนักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน วิศวกร พนักงานภาคพื้น รวมทั้งพนักงานในส่วนอื่น ๆ ของบริษัทฯ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้กำลังใจการบินไทย คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ตลอดจนผู้บริหารและพนักงานการบินไทย ขอให้ทำต่อไปให้ดีที่สุด ให้การบินไทยกลับมาดำเนินกิจการอย่างเต็มขีดความสามารถ สมกับที่เป็นสายการบินแห่งชาติที่คนไทยภาคภูมิใจ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2565 บริษัท การบินไทยฯ ได้รายงานผลการดำเนินการไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงาน ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 3,920 ล้านบาท เทียบจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,310 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 32,860 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 582% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่กว่า 30,000 ล้านบาทมาจากการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า สาเหตุที่รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากธุรกิจการบินเริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทำให้มีผู้โดยสารเดินทางมากขึ้น 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่มีเพียง 9% เท่านั้น ทำให้การบินไทยได้เพิ่มความถี่ในการบินมากขึ้นในหลายเส้นทาง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าทั้งในส่วนของเครื่องบินและอื่น ๆ เป็นกำไรจำนวน 6,181 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ขาดทุน 3,100 ล้านบาท ทั้งนี้ EBITDA สำหรับบริษัทฯ มากกว่า 20,000 ล้านบาทในรอบ 12 เดือนคือเงื่อนไขหนึ่งในการออกจากแผนฟื้นฟู
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมประชุม APEC TELWG 66 ที่สหรัฐอเมริกา | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอส ร่วมประชุม APEC TELWG 66 ที่สหรัฐอเมริกา
ดีอีเอส ร่วมประชุม APEC TELWG 66 ที่สหรัฐอเมริกา
(วันที่18กุมภาพันธ์66)นายณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมThe 66th APEC Telecommunications and Information Working Group (APECTELWG 66)เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและโทรคมนาคมร่วมกันในอนาคตพร้อมนำเสนอความก้าวหน้าเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายการกำกับดูแลและการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัลของไทยประกอบด้วย(1)โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล(โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐโครงการเน็ตประชารัฐโครงการASEAN Digital Hubการพัฒนา5GเมืองอัจฉริยะและโครงการThailand Digital Valley) (2)ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมการป้องกันปัญหาCall CenterและSMSหลอกลวงและพัฒนาการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และ(3)การพัฒนาศักยภาพบุคลากร(การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐและการอบรมด้านทักษะไอซีที)ณเมืองปาล์มสปริงส์มลรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่18 – 21กุมภาพันธ์2566
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ตรัง พัฒนาศักยภาพรักษาโรคหลอดเลือดสมองผ่านสายสวนหลอดเลือดสมอง ไม่ต้องผ่าตัด | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
รพ.ตรัง พัฒนาศักยภาพรักษาโรคหลอดเลือดสมองผ่านสายสวนหลอดเลือดสมอง ไม่ต้องผ่าตัด
โรงพยาบาลตรัง รักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยวิธีใส่สายสวนหลอดเลือดสมองร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ (mechanical thrombectomy) ไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพิการ
โรงพยาบาลตรัง รักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยวิธีใส่สายสวนหลอดเลือดสมองร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ (mechanical thrombectomy)ไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพิการ พร้อมพัฒนาศักยภาพทีมบุคลากรทางการแพทย์และระบบการส่งต่อ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสรอดชีวิตตั้งเป้าปี 2570 เป็นโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 12 เปิดเผยว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุของความพิการและเสียชีวิต เป็นอันดับ 2 ของประชากรไทย โดยพบว่า ร้อยละ 80 เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด อีกร้อยละ 20 เกิดจากเลือดออกในสมอง ซึ่งการรักษาจะต้องแข่งกับเวลา เพราะทุกๆ 1 นาที จะสูญเสียเซลล์สมองไป 1.9 ล้านเซลล์ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้ ร่วมกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ และพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดและเพิ่มโอกาสรอดชีวิต โรงพยาบาลตรัง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่รองรับการดูแลประชาชนในเขตสุขภาพที่ 12 และพื้นที่ใกล้เคียง ได้มีการพัฒนาระบบการรักษาโรคหลอดเลือดสมองมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้นำวิธีการรักษาที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง คือ การใส่สายสวนหลอดเลือดสมองเพื่อลากลิ่มเลือดโดยขดลวด ร่วมกับเครื่องเอกซเรย์ที่ทันสมัย (Mechanical thrombectomy)มาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดใหญ่สมองอุดตัน โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพิการเนื่องจากความเสียหายของสมองได้และมีความปลอดภัยสูง เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมองเส้นใหญ่ นอกเหนือจากการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด
ด้าน นายแพทย์สมบัติ สธนเสาวภาคย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตรัง กล่าวว่า วิธีMechanical thrombectomyเป็นการรักษาโดยใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ จากนั้นใช้ขดลวดหรือสายสวนขนาดใหญ่ลากลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือด ร่วมกับการเอกซเรย์ด้วยเครื่องbiplane or single plane (DSA)ซึ่งเป็นเครื่องเอกซเรย์สำหรับการตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาระบบหลอดเลือดโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ ร้อยละ 40 โดยในปี 2563 – 2565 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 204 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่รับส่งต่อจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ และพัทลุง ซึ่งระยะทางที่ไกลทำให้มีผลต่อการรักษาโดยมีผู้ป่วยที่มารักษาทันภายใน 6 ชั่วโมง เพียงร้อยละ 15 โรงพยาบาลจึงพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 14 จังหวัดภาคใต้ แบบไร้รอยต่อ โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบระหว่างโรงพยาบาลตรัง โรงพยาบาลหาดใหญ่ และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากทีมSky doctorร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หน่วยลำเลียงทางอากาศ 1669 กองทัพอากาศ กองบิน 7 สุราษฎร์ธานี กองทัพเรือภาค 3 สำนักงานตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดภูเก็ต และกองทัพภาค 4 ค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมปฏิบัติการลำเลียงทางอากาศ ส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตรัง 8 ราย ช่วยลดระยะเวลาในการส่งต่อ โดยเฉพาะจังหวัดที่ใช้ระยะเวลาเดินทางนานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิต
ทั้งนี้ โรงพยาบาลยังคงพัฒนาการรักษาโรคหลอดเลือดสมองต่อเนื่อง โดยเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองและโรคหลอดเลือดเชื่อมต่อผิดปกติในสมอง ด้วยการใส่ขดลวดผ่านสายสวนหลอดเลือดโดยไม่ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (Coil Embolization)ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการรักษาแล้ว 19 รายพร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์โรคหลอดเลือดสมองเพื่อดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบและหลอดเลือดสองแตกแบบครบวงจรโดยตั้งเป้าหมายให้โรงพยาบาลตรังเป็นโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ในปี 2570
*********************************************** 19 กุมภาพันธ์2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” เผย คนนครศรีฯ สุดปลื้ม นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ติดตามโครงการในพื้นที่ พร้อมลุยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และการบริหารจัดการน้ำให้ | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
“ธนกร” เผย คนนครศรีฯ สุดปลื้ม นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ติดตามโครงการในพื้นที่ พร้อมลุยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และการบริหารจัดการน้ำให้
“ธนกร” เผย คนนครศรีฯ สุดปลื้ม นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ติดตามโครงการในพื้นที่ พร้อมลุยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และการบริหารจัดการน้ำให้ เชื่อได้รับฟังต้นตอปัญหาจากปากชาวบ้าน จะช่วยให้วางแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้แน่นอน
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 20 ก.พ. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงข้อสั่งการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก และการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งทันทีที่พี่น้องชาวนครศรีธรรมราชทราบข่าว ต่างสื่อสารผ่านตนในช่องทางต่าง ๆ ในฐานะที่ตนก็เป็นลูกหลานคนนครศรีธรรมราชเช่นกันว่า ในวันดังกล่าวจะเดินทางไปต้อนรับท่านนายกฯ ด้วย เพราะดีใจที่ท่านนายกฯ มองเห็นถึงความเดือดร้อน และให้ความสำคัญกับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ที่ต้องทนทุกข์กับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาอย่างยาวนาน แม้ว่ารัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาอาจจะให้ความช่วยเหลือบ้าง แต่ก็น้อยครั้งมากที่จะลงมารับฟังปัญหาจากปากของชาวบ้านด้วยตัวเองแบบนี้ เชื่อว่ารัฐบาลจะได้ทราบถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง เพื่อที่จะสามารถวางแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นแผนระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม
“การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชของท่านนายกฯ ครั้งนี้ เป็นการแสดงให้พี่น้องชาวนครศรีธรรมราชได้เห็นว่า ความทุกข์ของคนนครศรีฯ ที่ต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากนั้น จะได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน เหมือนกับที่ท่านนายกฯ มักพูดเสมอว่า ปัญหาของพี่น้องประชาชน รัฐบาลต้องเข้าไปแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่กฎหมายเอื้ออำนวยให้ นอกจากนี้ ยังจะเป็นการรับฟังความต้องการของพี่น้องคนใต้ด้วยว่า ต้องการให้รัฐบาลวางโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องอย่างไรอีกด้วย” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ยัน ส่งคนงานเก็บผลไม้ฟินแลนด์ - สวีเดน โปร่งใส | วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566
19/02/2566
กรมการจัดหางาน ยัน ส่งคนงานเก็บผลไม้ฟินแลนด์ - สวีเดน โปร่งใส
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ของนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชลบุรี พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ซึ่งได้ระบุถึงการจัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ กรณีประเด็นกรมการจัดหางานปล่อยให้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์มากจนเกินไป รวมทั้งแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าไม่ได้รับการคุ้มครองดูแล กรมการจัดหางานสร้างความน่าเชื่อถือให้เอกชนโดยจัดอบรมให้แรงงานก่อนไปเก็บผลไม้ป่า และแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากค่าจ้างและสวัสดิการนั้น ซึ่งในเรื่องนี้ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การที่แรงงานไทยจะได้ไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ จำนวนกี่คน ใครได้รับอนุญาตบ้างนั้นในแต่ละปีจะต้องมีการประชุมร่วมกัน 3 ฝ่ายคือ สถานทูตไทยประจำประเทศฟินแลนด์และสวีเดน ประเทศต้นทาง และกรมการจัดหางาน ถึงจำนวนแรงงานที่ต้องการจัดส่ง โดยประเทศต้นทางจะเป็นผู้อนุมัติและมีหนังสือขอโควตาจำนวนคนงานที่จะให้ไปเก็บผลไม้ป่า ซึ่งในปีที่ผ่านมาประเทศฟินแลนด์และสวีเดนแจ้งมายังประเทศไทยว่าปีนี้ผลผลิตเบอร์รี่ออกมาจำนวนมาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีคนงานไปเก็บผลไม้ป่า ประกอบกับเกิดภาวะสงครามระหว่างยูเครน รัสเซีย ทำให้คนงานยูเครนไม่สามารถไปเก็บผลไม้ป่าได้ ทำให้สวีเดนและฟินแลนด์จึงต้องร้องขอให้ไทยจัดส่งแรงงานมากขึ้นกว่าปกติ
ส่วนกรณีการคุ้มครองดูแลคนงานที่ไปเก็บผลไม้ป่านั้น สำหรับประเทศฟินแลนด์ไม่มีสัญญาจ้างให้กับคนงาน เนื่องจากกฎหมายในประเทศฟินแลนด์ไม่เอื้อ กรมการจัดหางาน จึงได้ผลักดันให้บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยจัดทำสัญญาจ้างงานให้คนงานไทยทุกรายก่อนเดินทางออกจากประเทศไทย และแจ้งให้สถานทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทยทราบ เพื่อยืนยันการปรับรูปแบบวิธีการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ให้เป็นรูปแบบนายจ้างในประเทศไทยขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศสวีเดนกฎหมายกำหนดให้บริษัทสามารถทำสัญญาจ้างงานระหว่างนายจ้างกับคนงานได้ ทั้งนี้ หากบริษัทผู้ประสานในประเทศไทยผิดสัญญา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบสัญญาจ้างตามกฎหมายเพื่อให้มีการดูแลคนหางานอย่างครอบคลุมเข้มงวดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในเรื่องสวัสดิการกรมการจัดหางานได้กำหนดมาตรการให้บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์/บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยต้องจัดเตรียมสวัสดิการทั้งที่พัก ห้องน้ำ ห้องสุขา ห้องรับประทานอาหาร อุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ให้คนงานไทยทุกคน รวมทั้งต้องทำประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพและได้มีหนังสือแจ้งให้สถานทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทยทราบแล้ว ส่วนเรื่องของการประกันรายได้ ในส่วนของฟินแลนด์กำหนดให้บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์/บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทย ต้องประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยโดยวางหลักประกันทางการเงินตามจำนวนที่กรมการจัดหางานกำหนด ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหลังสิ้นสุดฤดูกาลต้องดำเนินการให้คนงานไทยมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 30,240 บาท ส่วนการประกันรายได้ของคนงานที่สวีเดน กรณีคนงานที่ไปทำงานที่สวีเดน สหภาพแรงงานของสวีเดนได้มีเงินประกันรายได้ให้คนงานคนละ 24,000 โครน คิดเป็นเงินไทยกว่า 80,000 บาท ทั้งนี้ หากรายได้คนงานไม่ถึงจำนวนดังกล่าว บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบในการจ่ายคนงานให้ครบ
นายไพโรจน์ยังกล่าวถึง กรณีกรมการจัดหางานสร้างความน่าเชื่อถือให้เอกชนโดยจัดอบรมให้แรงงานก่อนไปเก็บผลไม้ป่านั้น โดยปกติแล้วกรมการจัดหางานมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่แรงงานไทยทุกคนก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศทุกประเทศอยู่แล้ว อาทิ อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งการอบรมนี้เพื่อให้แรงงานได้เรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ ของประเทศนั้น ๆ ที่จะไปทำงานเพื่อให้แรงงานได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง แต่ในส่วนของสวีเดนและฟินแลนด์ บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทย เป็นผู้จัดอบรมเอง และบริษัทฯ ได้เชิญข้าราชการกระทรวงแรงงานไปเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่แรงงานด้วย ไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนแต่อย่างใด
นายไพโรจน์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในปี 2565 บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยได้จัดส่งคนงานไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ประมาณ 10,000 กว่าคน ในจำนวนนี้พบว่า มีแรงงานไทยที่มีปัญหาในเรื่องรายได้ที่ได้ต่ำกว่า 30,000 บาทนั้น มีอยู่ประมาณ 375 คน ซึ่งส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นแรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าเป็นครั้งแรก แรงงานเหล่านี้จึงยังไม่มีประสบการณ์ความชำนาญในการเก็บผลไม้ป่าจึงเก็บได้น้อยทำให้มีรายได้น้อย โดกรมการจัดหางานได้เชิญบริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยมาดำเนินการนำเงินประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายที่บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยวางหลักประกันไว้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จ่ายเงินชดเชยให้แรงงานตามสัดส่วนครบทุกรายแล้ว
“กรมการจัดหางานขอยืนยันว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานมุ่งมั่นทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด และจากนี้จะยิ่งเพิ่มความเข้มงวด ในการตรวจติดตาม การประพฤติปฏิบัติต่อแรงงานของบริษัทนายจ้างในประเทศไทย หากพบว่ามีการเรียกรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้อง เป็นธรรม หรือ การสนับสนุนให้แรงงานก่อภาระหนี้สิน จากเงินกู้นอกระบบ/เครือข่ายผิดกฎหมาย ผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบจะต้องได้รับโทษขั้นสูงสุด เพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคนที่ไปทำงานต่างประเทศ ตลอดจนคุ้มครองมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดดีอีเอส ประชุมหารือ “Traffy Fondue” | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดดีอีเอส ประชุมหารือ “Traffy Fondue”
รองปลัดดีอีเอส ประชุมหารือ “Traffy Fondue”
วันนี้ (9 ก.พ.66) ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมหารือการส่งเสริมการใช้ระบบรับเรื่องร้องทุกข์ “Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ของประชาชน โดยมีผู้แทนจาก กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สวทช. บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สป.ดศ.
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64740 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือนภัย อย่าหลงเชื่อนายทุนชักชวนให้ลงทุนและปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกค้า ธ.ก.ส. นำไปปลดหนี้ ยืนยัน ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
09/02/2566
ธ.ก.ส. เตือนภัย อย่าหลงเชื่อนายทุนชักชวนให้ลงทุนและปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกค้า ธ.ก.ส. นำไปปลดหนี้ ยืนยัน ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังนายทุนชักชวนให้ร่วมลงทุนและปล่อยเงินกู้นอกระบบ เพื่อให้ลูกค้านำไปปิดหนี้ ธ.ก.ส. โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยร้อยละ 3 ภายใน 7 - 14 วัน ยืนยัน ธ.ก.ส. ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังนายทุนชักชวนให้ร่วมลงทุนและปล่อยเงินกู้นอกระบบ เพื่อให้ลูกค้านำไปปิดหนี้ ธ.ก.ส. โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยร้อยละ 3 ภายใน 7 - 14 วัน ยืนยัน ธ.ก.ส. ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว และพร้อมเอาผิดทางกฏหมายกับผู้แอบอ้างชื่อเสียงธนาคารไปหลอกลวงหาประโยชน์ส่วนตน ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พร้อมดูแลเกษตรกรลูกค้าผ่านมาตรการช่วยเหลือด้านภาระหนี้สิน ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การขยายระยะเวลาและการลดภาระในการชำระหนี้บางส่วน ควบคู่กับการเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุนผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรอยู่แล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปกู้หนี้นอกระบบเพื่อมาชำระหนี้
นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวนายทุนในหมู่บ้านทำการหลอกลวงชาวบ้านตำบลหนองซอน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม โดยชักชวนให้ร่วมลงทุนและปล่อยเงินกู้นอกระบบ โดยแอบอ้างว่า ให้ลูกค้ากู้เพื่อนำเงินไปปิดหนี้ ธ.ก.ส. สาขาโกสุมพิสัย ซึ่งได้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 3 ซึ่งผู้ที่ร่วมลงทุนจะได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยคืนภายใน 7 – 14 วัน และมีการทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งในช่วงแรกชาวบ้านลงทุนและได้รับเงินตามข้อมูลดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านคนอื่น ๆ หลงเชื่อ นำเงินทุนจากการประกอบอาชีพค้าขายสินค้าทางเกษตรมาลงทุนปิดหนี้ให้ลูกค้า ธ.ก.ส. ที่นายทุนกล่าวอ้างจำนวนหลายราย นอกจากนี้ ยังมีการชักชวนให้นำเงินไปปล่อยกู้นอกระบบให้กับลูกค้าในกรณีเร่งด่วน รวมถึงแอบอ้างว่า ลูกค้า ธ.ก.ส. ต้องการปิดหนี้ด่วน และ ธ.ก.ส. สาขาโกสุมพิสัย ต้องการทำผลงานในการปิดยอดเงินกู้
ธ.ก.ส. ขอแจ้งว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวและไม่มีนโยบายในการให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเข้าไปมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ดังนั้น ข้อมูลที่ปรากฏบนสื่อจึงเป็นวิธีการที่มิจฉาชีพใช้แอบอ้าง โดยนำชื่อเสียงของ ธ.ก.ส. มาใช้เพื่อหลอกลวงให้หลงเชื่อและสร้างความเข้าใจผิด ดังนั้น ธ.ก.ส. จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อบุคคลดังกล่าวหรือกระทำการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นการสนับสนุนเด็ดขาด ทั้งนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้กระทำผิด ธ.ก.ส. มีมาตรการในการตรวจสอบวินัยและลงโทษตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และ ธ.ก.ส. จะดำเนินการเอาผิดทางกฏหมายกับผู้ที่แอบอ้างในลักษณะดังกล่าวต่อไป หากพบเห็นมิจฉาชีพทำการแอบอ้างชื่อเสียงธนาคาร หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ ติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเว็บไซต์ www.baac.or.th และ Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ”
นายไพศาล กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีมาตรการในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาหนี้สินที่เป็นภาระหนักแบบครบวงจร ตามนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เช่น มาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย และมาตรการทางด่วน ลดหนี้ เป็นต้น เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งในและนอกระบบ ควบคู่กับการเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน เช่น สินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ ดังนั้น ลูกค้าที่มีปัญหาเดือดร้อน จากภาระหนี้สินที่เกิดจากเหตุสุจริตและจำเป็น ขอให้เข้าไปพบพนักงานที่สาขาที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อจัดการเรื่องหนี้สินตามมาตรการที่มีต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เพื่อนำมาชำระหนี้ เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มุ่งมั่นที่จะดูแลเกษตรกรให้ก้าวพ้นกับดักหนี้ เพื่อให้เกษตรกรกลับมาประกอบอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64725 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566
รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566
วันนี้ (9 ก.พ. 66) ดร.ณัฐพล ณัฐฏสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย
_________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” ชู วชช.ธงนำการอุดมศึกษาไทย สร้างโอกาสทางการศึกษาเพื่อคนยากไร้และกลุ่มชาติพันธุ์ ให้สามารถประกอบอาชีพหรือต่อยอดได้ทันที | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
“เอนก” ชู วชช.ธงนำการอุดมศึกษาไทย สร้างโอกาสทางการศึกษาเพื่อคนยากไร้และกลุ่มชาติพันธุ์ ให้สามารถประกอบอาชีพหรือต่อยอดได้ทันที
“เอนก” ชู วชช.ธงนำการอุดมศึกษาไทย สร้างโอกาสทางการศึกษาเพื่อคนยากไร้และกลุ่มชาติพันธุ์ ให้สามารถประกอบอาชีพหรือต่อยอดได้ทันที
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว. การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดสัมมนา เรื่อง “วิทยาลัยชุมชน สถาบันอุดมศึกษา สร้างโอกาสแก่ชุมชน” โดยมี ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วย รมว.อว. นายสัมพันธ์ เย็นสำราญ ที่ปรึกษา รมว.อว. ดร.สิริกร มณีรินทร์ นายกสภาสถาบันวิทยาลัยชุมชน (วชช.) และผู้บริหาร วชช. ทั่วประเทศเข้าร่วม ที่ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัด อว.
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า สถาบันวิทยาลัยชุมชน หรือ วชช.เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ตอบโจทย์นโยบายสำคัญ ๆ ของกระทรวง อว. โดยเฉพาะการสร้างโอกาสให้คนยากไร้ คนชายขอบ เพราะมีการจัดการศึกษาและหลักสูตรในภาพรวมที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ทันทีหรือนำไปต่อยอดเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ วชช.จึงเป็นสถาบันที่เปิดโอกาสให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และทำให้คน 10% ที่มีฐานะยากจนในระดับล่างสุด รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้ได้รับการศึกษา เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้ที่ยากไร้ที่สุด ด้วยมีหลักคิดคือ การเป็นสถาบันการศึกษาที่ช่วยคนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นหลักคิดที่เป็นหนึ่งในเป้าประสงค์ของการจัดการและปฏิรูปอุดมศึกษา ที่มีการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ มีการนำเอาคนคนเก่ง มีความรู้จริง มีความสามารถมาสอน โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิหรือมีปริญญาหรือตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งนับเป็นการยกย่องภูมิปัญญาท้องถิ่น เชิดชูผู้ปฏิบัติงานได้จริง และแสดงให้เห็นว่าความรู้เกิดนอกมหาวิทยาลัยได้ เกิดจากการทำงานและจากชุมชน ทำให้ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยต้องไปเรียนรู้จาก วชช. ในเรื่องนี้ เรียกได้ว่า เป็นการกลับขั้วครั้งใหญ่ของการอุดมศึกษา โดยมี วชช.เป็นหน่วยนำด้านการจัดการศึกษาเพื่อกลุ่มคนที่ขาดโอกาสในสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง
“วชช. จะเป็นธงนำของการอุดมศึกษาไทยในการสร้างโอกาสให้ชุมชน มุ่งผลิตหลักสูตรที่ตอบโจทย์ชุมชนและคนในพื้นที่ โดยร่วมทำงานกับ “ธัชภูมิ” ที่ อว.เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อสังเคราะห์ความรู้ในเชิงพื้นที่และให้ทุนวิจัยเรื่องชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของ วชช. ต่อไปในอนาคต” รมว.อว.กล่าว
ด้าน ดร.สิริกร กล่าวว่า วชช. มีหลักสูตรที่ตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพในแต่ละพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค หลักสูตรมีความหลากหลาย เช่น หลักสูตรอนุปริญญา หลักสูตรประกาศนียบัตร หลักสูตร ปวส. หลักสูตร ปวช. มีผู้เรียนจำนวน 16,774 คน และหลักสูตรฝึกอบรม โดยเฉพาะหลักสูตร Nondegree มีผู้เรียนจำนวน 61,234 คน และยังมีแนวโน้มของผู้เรียนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับในทุกหลักสูตร โดยสามารถแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำให้ผู้ที่มีฐานะยากจน 10% ล่าง ชนกลุ่มชาติพันธุ์ ให้เข้าถึงการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิตและยกระดับรายได้ ด้วยทุนการศึกษาจากแหล่งทุนกว่า 939 ทุน นอกจากนี้ ยังมีโครงการวิจัยแก้ไขปัญหาความยากจน ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ชัยนาท มุกดาหาร และยโสธร โดยใช้กระบวนการค้นหาคนจน จัดทำโมเดลแก้จน การยกระดับรายได้ บรรจุโมเดลแก้จนในแผนพัฒนาจังหวัด และส่งต่อนักศึกษาเข้าโครงการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) รวมถึงสืบสานงานศิลป์ “ช่างศิลป์ท้องถิ่น” ใน 14 วิทยาลัยชุมชน เพื่อผลักดันให้ทุนทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตซาอุดีอาระเบียเข้าพบ รมว.อว. แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
ทูตซาอุดีอาระเบียเข้าพบ รมว.อว. แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ทูตซาอุดีอาระเบียเข้าพบ รมว.อว. แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว. )เร่งสานสัมพันธ์และผลักดันความเร่งมือด้านการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.)กับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในเชิงรุก โดยศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไลปลัดกระทรวง อว. ได้มีการประชุมหารือร่วมกันและเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันต้อนรับนายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซุฮัยบานี (H.E. Mr. Abdulrahman A. Alsuhaibani)เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยในโอกาสการเข้ารับตำแหน่งใหม่ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของทั้งสองประเทศให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยกระทรวง อว. ได้เชิญให้เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย เข้าเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยในสังกัดกระทรวง อว. ในภาคเหนือและภาคใต้ เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนและนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้สถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานวิจัย และภาคเอกชนของประเทศซาอุดีอาระเบียมาขยายความร่วมมือกับหน่วยงานไทยต่อไป
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียได้แสดงความขอบคุณและตอบรับที่จะไปลงพื้นที่ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และยังได้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ให้นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. เดินทางไปเยี่ยมชมสถาบัน อุดมศึกษาและหน่วยงานของซาอุดีอาระเบียเช่นเดียวกัน เพื่อตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64720 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเดินหน้าขับเคลื่อนผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo - Social Map) ด้านปลัด มท. เน้นย้ำ ผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ต้องสร้างทีมภาคีเครือข่าย | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
09/02/2566
มหาดไทยเดินหน้าขับเคลื่อนผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo - Social Map) ด้านปลัด มท. เน้นย้ำ ผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ต้องสร้างทีมภาคีเครือข่าย
มท. เดินหน้าขับเคลื่อนผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo - Social Map) เน้นย้ำ ผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ต้องสร้างทีมภาคีเครือข่ายในพื้นที่บูรณาการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ขับเคลื่อนกระบวนงานให้เกิดฐานข้อมูลนำไปสู่การพัฒนา
มหาดไทยเดินหน้าขับเคลื่อนผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชนแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo - Social Map) ด้านปลัด มท. เน้นย้ำ ผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ต้องสร้างทีมภาคีเครือข่ายในพื้นที่บูรณาการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ขับเคลื่อนกระบวนงานให้เกิดฐานข้อมูลนำไปสู่การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมชี้แจงและให้ความรู้การจัดทำผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo – Social Map) โดยได้รับเมตตาจาก พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายปรีชา เดชพันธ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง คณะที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference และ DOPA Channel ร่วมกับผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และนายอำเภอ ทั่วประเทศ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมเพื่อยืนยันถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของชาวมหาดไทยและภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ในการร่วมกันสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” โดยมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมดังพระบรมราชโองการ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทยในหลายมิติด้วยกัน เฉกเช่นที่พวกเราพยายามกระตุ้นปลุกเร้า ส่งเสริมให้นายอำเภอ และทีมอำเภอ ได้เป็น Change Agent ตามโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน จึงเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า พวกเราทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานด้วยการบูรณาการความร่วมไม้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อจะยังประโยชน์สุขไปสู่พี่น้องประชาชนโดยรวม สมดังเจตนารมณ์ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ทำให้ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง และที่สำคัญที่สุด “ต้องยั่งยืน”
“การจัดทำผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo – Social Map) จะช่วยนำเราไปสู่เป้าหมายการปฏิบัติภารกิจเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ สิ่งที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงนั้น ก็เพราะว่าการใช้ชีวิตของพวกเราตั้งแต่บรรพบุรุษ อาจจะเผลอกระทำ หรือตั้งใจกระทำ โดยที่ไม่ได้เจตนาหรือคิดว่าจะกลายเป็นสิ่งผิด เช่น เราปล่อยปละละเลยในการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำคูคลอง ไม่ปลูกสร้างสิ่งรุกล้ำทางน้ำ ไม่ทำสิ่งที่กีดขวางทางน้ำ เพราะเราเจตนาอยากทำให้พี่น้องประชาชนมีความสะดวกในการเดินทางสัญจรด้วยการสร้างถนน ซึ่งถนนบางสายก็ไม่ได้มีระดับสูงกว่าแม่น้ำ เท่านั้น แต่ก็ยังมีระดับสูงกว่าหลังคาบ้านเรือนประชาชนด้วย นั้นเป็นสิ่งที่เราทำให้เกิดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพราะเป็นถนนที่เราสร้างข้ามลำห้วยลำคลองข้ามแม่น้ำสายเล็ก ๆ เราไม่ได้ทำให้พื้นที่ใต้ถนนให้มันมีทางที่น้ำจะสามารถไหลผ่านได้โดยสะดวก หรือในบางพื้นที่ ประชาชนก็ไปสร้างบ้านริมถนนไปถมดินเชื่อมถนนทับทางน้ำและไม่ได้ใส่ท่อระบายน้ำ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาไม่รู้ เฉกเช่นเดียวกับผลกระทบของแนวทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มุ่งยกระดับการพัฒนาโดยไปส่งผลกระทบทำให้ชาวไร่ชาวนาไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ สูญเสียที่ดินทำไร่ทำนาที่ตกทอดมา หรือมีผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา ซึ่งก็เป็นความไม่เจตนา จึงถึงเวลาที่พวกเราต้องช่วยหาแนวทางในการ “แก้ไขในสิ่งที่ผิด” มุ่งมั่นตั้งใจเป็นข้าราชการที่ดีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการปลุกไฟในหัวใจของตัวเองขึ้นมา และยอมรับว่าประเทศไทยก็ยังมีสิ่งที่ผิดอยู่ และพวกเราต้องร่วมกันขับเคลื่อนในการแก้ไขสิ่งที่ผิดนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญผู้มีความรู้ความสามารถมาช่วยกันศึกษาวางระบบเพื่อทำให้ประเทศไทยได้มีฐานข้อมูลในเรื่องแหล่งน้ำและที่อยู่ของน้ำตามสภาพข้อเท็จจริงที่เคยเป็นมาตั้งแต่ในอดีตจากผู้ที่รู้จริง นั่นคือ “พี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/ตำบล/หมู่บ้าน” เพราะเขารู้ว่าที่ไหนเคยมีหนองน้ำ ร่องเขาตรงไหนเคยมีทางน้ำผ่าน รวมทั้งการทำทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจส่งผลกระทบทำให้แหล่งน้ำนั้นสูญเสียไปอย่างไร โดยการน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” มาใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งการจะเข้าใจ เข้าถึงได้นั้น ข้าราชการในฐานะที่เป็นผู้นำ ต้องไปช่วยกันทำไฟในใจของเราให้ลุกโชนขึ้นมา เพื่อต่อไฟไปจุดในใจของพี่น้องประชาชนและภาคีเครือข่าย ทั้ง 7 ภาคี ให้ช่วยกันลงมือทำให้เรามีสิ่งที่เป็นองค์ความรู้เพื่อใช้ในการศึกษาและเข้าใจข้อเท็จจริง นำไปสู่แนวทาง (Solution) ที่จะวางแผนพัฒนาร่วมกันแก้ไขในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต แล้วลุกขึ้นมาร่วมกันทำต่อไปในอนาคตอันใกล้ “จึงเป็นจุดเริ่มต้น” ที่จะทำให้เราสามารถเดินหน้าได้ด้วยความถูกต้อง ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจองค์ความรู้และนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้กับทุกจังหวัดอย่างจำกัดไปสนับสนุนการทำงานของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยไม่คิดว่าข้อจำกัดเหล่านั้นจะทำให้เราทำงานไม่สำเร็จ ซึ่งเราจะต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่อยากให้เกิดการจัดทำผังภูมิสังคมเพื่อบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า “คน” ต้องปลุกอุดมการณ์การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาย้ำเตือนตนเองและมุ่งมั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจากการพัฒนาเมืองที่เกิดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรต่าง ๆ จากอุทกภัยหรือน้ำท่วม ไม่ต่ำกว่า 1.44 ล้านล้านบาท ไม่นับรวมผลกระทบความเสียหายทางเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะความเสียหายองค์รวมนั้นมีมูลค่ามากยิ่งกว่านั้น โดยจากสถานการณ์ที่ผ่านมา ขณะนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มีความห่วงใยและดำเนินการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือกรอบวงเงินเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งก็ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากภัยแล้ง และภัยอื่น ๆ ที่ส่งผลทำให้พืชพรรณผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบ
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพวกเราชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงเคยเตือนสติพวกเราทุกคนไว้ว่า “เวลาน้ำท่วมหรือเวลาน้ำมาก เราพยายามที่จะระบายน้ำให้ออกไปจากพื้นที่เร็ว ๆ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ แต่พอสูบน้ำ ระบายน้ำออกไปเสร็จแล้ว จากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมก็กลายเป็นไม่มีน้ำให้ใช้บริโภค จึงทำให้เราต้องหาน้ำไปช่วยเหลือในหน้าแล้ง เกิดเป็นความเสียหายที่เกิดจากภัยแล้ง” ดังนั้น จึงต้องช่วยกันคิดหาพื้นที่กักเก็บน้ำในหน้าฝน เพื่อน้ำก็จะไม่ท่วม ในขณะเดียวกันในยามหน้าแล้งเราจะมีน้ำใช้ ซึ่งถ้าทำได้จะเป็นประโยชน์ 2 ต่อ ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ การจุดไฟในใจของผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด และนายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ ที่เป็น “ผู้นำ” ที่ประชาชนให้ความศรัทธาเชื่อมั่น เพื่อทำให้ทุกท่านได้มุ่งมั่นตั้งใจสร้าง “ทีมงาน” ในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ในการบริหารจัดการน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน และนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาสู่ระบบการวางแผนให้เกิดแผนองค์รวม คือ สามารถเห็นภาพตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เพื่อที่จะกำหนดจัดทำเป็น Road Map ว่าเราจะบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ “แก้ไขในสิ่งที่ผิด” และ “ก่อให้เกิดความยั่งยืน” ได้อย่างไร โดยต้องอาศัยการบูรณาการทีม บูรณาการงาน บางเรื่องอาจต้องบรรจุในแผนพัฒนาท้องถิ่น แผนอำเภอ แผนจังหวัด แผนภาค จนถึงแผนระดับกระทรวง แผนระดับชาติ ผ่านระบบกลไกที่มีตามอำนาจหน้าที่โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งต้องอาศัยฐานข้อมูลที่ต้องมาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ มาจากคนที่รู้และเข้าใจจริง โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ และทีมงานทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และจิตอาสา หมั่นลงพื้นที่ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด ต้องเข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงหัวใจ ชาวบ้าน เพื่อรวบรวม ประมวล วิเคราะห์ อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ “ข้อมูลที่ถูกต้อง” เพื่อนำไประดมสมองว่าเราจะช่วยกันแก้ไขสิ่งผิด ด้วยการการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแนวพระราชดำริตามศาสตร์พระราชามาแก้ปัญหาอย่างไร โดยที่ไม่ต้อง “งอมืองอเท้า รองบประมานจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว” ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสำเร็จได้ต้องอาศัยภาวะผู้นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ในการหลอมรวมจิตใจภาคีเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่ ให้สามารถพึ่งพาตนเอง ใช้ศักยภาพของตนเอง ทำให้ลำห้วยลำธารที่ตื้นเขินกลับมาเป็นแหล่งน้ำที่ทำให้ประชาชนใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กระตุ้นปลุกเร้าและทำให้ “ทีมอำเภอ” ตามโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนที่ได้ผ่านการอบรมไปแล้วกว่า 432 อำเภอ เร่งบูรณาการคน บูรณาการงาน และไม่บ่ายเบี่ยงเกี่ยงว่ามีงานใหม่เข้ามา เพราะงานที่เรากำลังทำนี้ ทีมงานอำเภอที่ประกอบด้วยภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีต้องผนวกกับเทคโนแครต ซึ่งเป็นทีมงาน Extra Team รวมทั้งขยายผลจัดตั้งทีมเพิ่มขึ้นในหมู่บ้าน ทั้งการอาศัยผู้นำจากคุ้มต่าง ๆ สร้างให้เกิด Partnership ตามข้อที่ 17 ของ UN SDGs คือ การวางระบบให้เกิดความร่วมมือระหว่างคนที่มีกลุ่มบ้านเดียวกัน มาเป็นหุ้นส่วนหรือพันธมิตรในการขับเคลื่อนงาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ด้วยกัน อันมีนัยสำคัญว่า ชาวมหาดไทยจะบรรลุเป้าหมายการมี Geo – Social Map Partnership ร่วมกับเทคโนแครต คือ บุคลากรของกรมโยธาธิการและผังเมือง ท่านโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด วิศวกร สถาปนิก และนายช่าง เป็นต้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอต้องออกแรงช่วยกันกับคนในพื้นที่ หัวหน้าช่างในพื้นที่ ช่างที่อยู่ในท้องถิ่นท้องที่ต่าง ๆ จึงจะเห็นได้ว่า จากเดิมเรามี 7 ภาคี ตอนนี้เพิ่มเป็น 8 ภาคีเครือข่าย เป็น extra ขึ้นมา อันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คือ ทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยฐานข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขยายศักยภาพโครงข่ายขนส่งทางกาศในท่าอากาศยานหลัก สุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา ภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมวางนโยบายการบินพลเรือนปี 65-80 | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
09/02/2566
รัฐบาลขยายศักยภาพโครงข่ายขนส่งทางกาศในท่าอากาศยานหลัก สุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา ภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมวางนโยบายการบินพลเรือนปี 65-80
รัฐบาลขยายศักยภาพโครงข่ายขนส่งทางกาศในท่าอากาศยานหลัก สุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา ภูเก็ต รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมวางนโยบายการบินพลเรือนปี 65-80 เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวหลังโควิด19 และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) คาดว่าจำนวนจะกลับไปเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดได้ในปี 2567 แต่รัฐบาลยังคงเร่งขับเคลื่อนการลงทุนในโครงการขยายศักยภาพของท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (International Airport) หลักๆ ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า-ออกจำนวนมาก เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และอู่ตะเภา ตามแผนงาน
“ช่วงก่อนมีโควิด19 ท่าอากาศยานแต่ละแห่งรองรับผู้โดยสารเกินศักยภาพอยู่มากทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและภูเก็ต และตามคาดการณ์ของ กพท. ในปีหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวก็จะกลับไปเท่ากับช่วงก่อนมีโควิด19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมจึงให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการขยายศักยภาพท่าอากาศยานระหว่างประเทศต่อเนื่อง และมีเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางอากาศให้สามารถรองรับผู้เดินทางตามประมาณการของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ที่คาดว่าจะมีผู้เดินทางเข้าประเทศไทยแตะ 200 ล้านคนต่อปีในปี 2574” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับโครงการขยายศักยภาพท่าอากาศยานระหว่างประเทศของรัฐบาลมีดังนี้ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ประกอบไปด้วยการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ซึ่งขณะนี้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระทรวงคมนาคมมีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2566 นี้ ซึ่งอาคาร SAT-1 จะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปีจากปัจจุบัน 45 ล้านคนต่อปี การพัฒนาทางวิ่งเส้นที่3 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จปี 2567 จะทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีศักยภาพรองรับเที่ยวบินเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบัน 2 ทางวิ่งรองรับได้อยู่ 68 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 ได้รับอนุมัติจาก ครม. ไปเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2565 ดำเนินการก่อสร้างระหว่างปี 2566-72 ประกอบด้วยการก่อสร้างหลายส่วน อาทิ อาคารผู้โดยสารหลังที่3 อาคารเทียบเครื่อง ทางขับ หลุมจอด คลังสินค้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านงานสนับสนุน เช่น อาคารจอดรถ อาคารสำนักงาน ถนนภายในท่าอากาศยาน อาคารบำรุงรักษาและพื้นที่พักขยะ ระบบระบายน้ำ อาคารดับเพลิงและกู้ภัย เป็นต้น โดยโครงการนี้จะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็น 40 ล้านคน จากปัจจุบันรองรับได้ 30 ล้านคน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีแผนการพัฒนารวม 4 ระยะ โดยจะสิ้นสุดระยะที่ 4 ที่รองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี ในปี 2598 สำหรับระยะที่ 1 ที่มีกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2567 จะรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 15.9 ล้านคน และ
โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 เพื่อขยายขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารจากเดิม 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปี ประกอบไปด้วยการขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ขยายหลุมจอดอากาศยาน ลานจอด รวมถึงขีดความสามารถของระบบสาธารณูปโภค ขณะนี้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) อยู่ระหว่างเตรียมจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดโครงการ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังได้จัดทำนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศ พ.ศ. 2565-80 เพื่อกรอบในการจัดทำแผนด้านการบินพลเรือนของประเทศที่มีประสิทธิภาพ เกิดการบูรณาการการทำงานของหน่วยงาน นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการบินของประเทศ โดยร่างนโยบายได้ผ่านการอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ประกอบด้วยนโยบาย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจการบิน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านมาตรฐานการบิน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64714 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ติดตามการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข รพ.บ้านโป่งและเหตุเพลิงไหม้ รพ.ดำเนินสะดวก | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัด สธ. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ติดตามการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข รพ.บ้านโป่งและเหตุเพลิงไหม้ รพ.ดำเนินสะดวก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีติดตามการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขโรงพยาบาลบ้านโป่ง และติดตามเหตุเพลิงไหม้ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลดำเนินสะดวก โดยปรับใช้พื้นที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมชายเป็นจุดให้บริการฉุกเฉินแทน รองรับผู้ป่วยได้ตามปกติ
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ที่จังหวัดราชบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะ ลงพื้นที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง และโรงพยาบาลดำเนินสะดวก เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข โดยที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา มีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ได้วางแผนการพัฒนาระบบบริการต่อเนื่อง 5 ปี โดยปี 2566 จะให้บริการผ่าตัดส่องกล้อง ขยายหอผู้ป่วยจิตเวช เพิ่มเตียงผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ทำการผ่าตัดด้านสมอง และจัดคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพ ปี 2567 เปิดศูนย์ผ่าตัดเส้นเลือด ศูนย์ทารกแรกเกิดวิกฤต ปี 2568 จัดสร้างอาคารสนับสนุนบริการและหอพักบุคลากร ปี 2569 ให้บริการห้องไอซียูสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผ่าตัดสมอง และในปี 2570จะขยายอาคารผู้ป่วยในและห้องผ่าตัด และเป็นศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง สำหรับการให้บริการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ได้ปรับอาคารหอผู้ป่วยอนุสรณ์ 45 ปี บริเวณชั้น 2 เป็นหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดรับส่งต่อไปยังโรงพยาบาลราชบุรี และสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจำนวน 5 ราย พร้อมทั้งได้ส่งบุคลากรและเจ้าหน้าที่เข้ารับการอบรมต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายบริการต่อไป
สำหรับการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์เหตุเพลิงไหม้ ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลดำเนินสะดวก ได้รับรายงานอุปกรณ์เกิดความเสียหาย เช่น เครื่องอัลตร้าซาวน์ เครื่องปั๊มหัวใจอัตโนมัติ (Auto CPR )คาดว่าสาเหตุเกิดจากตัวอุปกรณ์ ส่วนโครงสร้างอาคารไม่ได้รับผลกระทบ โรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 5 ได้จัดส่งเครื่องมืออุปกรณ์มาช่วยเหลือทำให้สามารถรองรับผู้ป่วยได้ตามปกติ ขณะนี้ปรับพื้นที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมชายเป็นจุดให้บริการห้องฉุกเฉินชั่วคราว ไม่กระทบบริการประชาชน ส่วนยาและเวชภัณฑ์ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วัสดุการแพทย์ต่างๆยังมีเพียงพอให้บริการ ทั้งนี้ ได้กำชับทีมสุขภาพจิตดูแลและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมเน้นซ้อมแผนเผชิญเหตุ จัดทำคู่มือเพื่อป้องกันการเกิดเหตุในอนาคต
“จากที่ได้รับทราบข้อมูล ทำให้เห็นถึงความตั้งใจและการปฏิบัติงานที่มุ่งมั่นของเขตสุขภาพที่ 5 ทั้งผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และความร่วมมือของคนในชุมชนที่เข้มแข็ง ทำให้มีศักยภาพในการให้บริการประชาชน อย่างไรก็ตามขอย้ำเรื่องการเชื่อมโยงการทำงานเชิงรุก เน้นการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ให้เข้าถึงบริการที่สะดวก ลดความแออัดรวมทั้งต้องไม่ลืมดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย” นายแพทย์โอภาส กล่าว
*********************************** 9 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64750 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เตือนลักทรัพย์ของทางราชการมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบท เตือนลักทรัพย์ของทางราชการมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี
พร้อมขอความร่วมมือประชาชนหากพบเหตุผิดปกติแจ้งสายด่วน โทร. 1146
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ไลงพื้นที่ลาดตระเวนตรวจสอบสายทางอย่างต่อเนื่องและมักได้รับแจ้งเหตุว่ามีการลักลอบขโมยตัดสายไฟส่องสว่างทั้งบนสะพานและถนน รวมถึงลักลอบขโมยตะแกรงเหล็ก ฝารางระบายน้ำเป็นจำนวนมากในพื้นที่ของ ทช. ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนที่สัญจรไป - มา บนสะพานหรือถนน ไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งมีความผิดฐานทำลายหรือทำให้เสียหายแก่ทางหลวงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 43 ประกอบมาตรา 72 ซึ่งเจ้าพนักงานทางหลวงมีอำนาจจับกุมในขณะกระทำความผิดได้ เมื่อกระทำโดยมีเจตนาลักทรัพย์จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 100,000 บาท ตามมาตรา 335 (10) และหากร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือกระทำในเวลากลางคืนจะมีโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 335 วรรคสอง จำคุกตั้งแต่ 1 - 7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 140,000 บาท และผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายและสูญหายนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ทช. ขอความร่วมมือจากประชาชนร่วมสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ หากพบเหตุผิดปกติ โปรดแจ้งที่สายด่วน ทช. โทร. 1146 หรือสำนักงานทางหลวงชนบท แขวงทางหลวงชนบท และหมวดบำรุงทางหลวงชนบทในพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและเป็นการร่วมกันดูแลรักษาทรัพย์สินของทางราชการให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64744 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง
รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง เน้นการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีและมีมาตรฐานเพื่อลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ดียิ่งขึ้น
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบปะสมาชิกศูนย์ข้าวชุมชนและเป็นประธานเปิดงานรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง ณ โรงเรียนม่วงสามสิบอัมพวันวิทยา อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ดยรูปแบบการจัดงานในครั้งนี้เป็นการรณรงค์ให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงความสำคัญของการลดต้นทุนการผลิตข้าวโดยจัดแสดงนิทรรศการการบรรยายความรู้ทางวิชาการและการสาธิต “เทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง” โดยวิทยากรผู้มีความรู้และประสบการณ์นอกจากนี้ยังจัดแสดงการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่เช่นเครื่องจักรกลการเกษตรและโดรนเพื่อการเกษตรโดยภาคเอกชนเป็นต้นและการจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากข้าวโดยกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและประชาชนผู้สนใจในพื้นที่อำเภอม่วงสามสิบอำเภอเหล่าเสือโก้กอำเภอดอนมดแดงและอำเภอตาลสุมจังหวัดอุบลราชธานีเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยราชการส่วนภูมิภาคและหน่วยราชการส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมโดยมุ่งหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะได้รับทราบและเข้าใจองค์ความรู้เรื่อง “เทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง” และนำไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพทำนาได้
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปเปิดงานรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริงภายใต้โครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกิจกรรมหลักสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ณ ศูนย์แสดงสินค้า OTOP อำเภอเขื่องในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวการลดต้นทุนการผลิตข้าวการเพิ่มผลผลิตและยกระดับคุณภาพให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพัฒนาการผลิตข้าวให้มีความรู้ความเข้าใจได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวที่เหมาะสมเพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตและผลตอบแทนจากการผลิตโดยมีการเชื่อมโยงนโยบายการพัฒนาข้าวลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญกับนโยบาย “ลดต้นทุนการผลิต” จึงได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายนี้กรมการข้าวจึงได้มีการสนับสนุนองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตข้าวแก่เกษตรกรพี่น้องชาวนาทุกท่านให้สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้เสริมสร้างความรู้และสั่งสมประสบการณ์ก่อให้เกิดความเข้มแข็งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนนอกจากนี้ยังเน้นการเพิ่มผลผลิตข้าวการยกระดับคุณภาพผลผลิตข้าวสนองความต้องการของตลาดและการปรับระบบการผลิตข้าวให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเชื่อมั่นว่าแนวทางการลดต้นทุนการผลิตนี้จะสร้างผลประโยชน์แก่เกษตรกรคือการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้นช่วยให้เกษตรกรเรียนรู้และวางแผนการทำนาอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่อุปทานช่วยลดต้นทุนการผลิตเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยกระดับคุณภาพผลผลิตเกษตรกรมีความรู้เรื่องการตลาดสินค้าเกษตรสามารถผลิตสินค้าได้ตามที่ตลาดต้องการซึ่งภาครัฐสามารถช่วยกำหนดตลาดล่วงหน้าได้และสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการผลักดันการแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูงการใช้การตลาดสมัยใหม่ซึ่งมีโอกาสในการขยายตลาดไปช่องทางต่างๆได้มากขึ้นรวมถึงตลาดต่างประเทศด้วย
สำหรับการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติจริงได้สิ่งสำคัญคือการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีและมีมาตรฐานซึ่งศูนย์ข้าวชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพตามเกณฑ์และมาตรฐานของกรมการข้าวนอกจากนี้การใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพจะสามารถลดต้นทุนการผลิตในส่วนอื่นๆได้ทั้งการลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาแพงในปัจจุบันโดยทดแทนด้วยการไถกลบตอซังข้าวการปลูกพืชปุ๋ยสดบำรุงดินการใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่จะได้ทั้งธาตุอาหารและปรับปรุงโครงสร้างดินลดการสูญเสียธาตุอาหารการลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูข้าวโดยทดแทนด้วยสารชีวภัณฑ์ต่างๆเป็นต้นซึ่งเป็นทั้งการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดความปลอดภัยต่อพี่น้องเกษตรกรเองและผู้บริโภค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64746 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ติดตามความก้าวหน้าโครงการ “สุขภาวะดี ทำดีเพื่อน้อง” นำภาคีเครือข่ายออกคัดกรองและจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกในชุมชนและโรงเรียน สร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพให้กับคนในชุมชน
องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ติดตามความก้าวหน้าโครงการ “สุขภาวะดี ทำดีเพื่อน้อง” นำภาคีเครือข่ายออกคัดกรองและจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกในชุมชนและโรงเรียน สร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพให้กับคนในชุมชนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขคณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้า โครงการ “สุขภาวะดี ทำดีเพื่อน้อง” โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี และมอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง ได้น้อมนำพระราโชบาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนำโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชออกนอกรั้วโรงพยาบาลเพื่อประชาชน นำความรู้ความสามารถด้านสาธารณสุขไปทำประโยชน์กับสังคม โดยจัดทำโครงการ “สุขภาวะดี ทำดีเพื่อน้อง” ที่หมู่บ้านนาดี ตำบลนาคำ เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกล ชุมชนและโรงเรียนยังต้องได้รับการพัฒนาและการดูแลด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในชุมชน โดยการดำเนินงานในชุมชน ได้จัดสร้างอาคารเรียนรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพของชุมชนจากเงินบริจาค มีพื้นที่ใช้สอย 72 ตารางเมตร เป็นสถานที่สำหรับใช้ในการจัดกิจกรรมออกกำลังกาย และกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพอื่น ๆ อาทิ การปลูกผักปลอดสารพิษ การป้องกันภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ เป็นต้น และออกคัดกรองโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงให้กับคนในชุมชนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 235 คน พบเป็นกลุ่มดี 174 คน กลุ่มเสี่ยง 21 คน และกลุ่มป่วย 40 คน โดยกลุ่มดีและกลุ่มเสี่ยง จะใช้วิธีการดูแลด้วยเทคนิคยา 9 เม็ด และเทคนิคการดูแลพฤติกรรมและจิตสังคม (BPSC : Behavioral and Psychosocial Care) ส่วนกลุ่มป่วย ได้นำกิจกรรม DM HT Remission โดยปรับพฤติกรรมอย่างเข้มงวดมาใช้ในการการคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่วนการดำเนินงานในโรงเรียน มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียน 8 ฐาน ได้แก่ 1.การจัดการขยะ โดยใช้แนวทาง GREEN & CLEAN Hospital 2.การตรวจคัดกรองสายตา ซึ่งพบว่าปกติทุกคน 3.การป้องกันการจมน้ำ 4.การดูแลสุขภาพฟันและช่องปาก 5.การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) 6.การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก 7.การปลูกผักสวนครัวและพืชสมุนไพร และ 8.ส่งเสริมการออกกำลังกายนอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีแผนการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพให้กับคนในชุมชนอย่างยั่งยืน
******************** 9 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64735 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า จัดอบรมหลักสูตรตรวจแรงงานทางทะเลเพิ่มศักยภาพด้านแรงงานทางทะเลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า จัดอบรมหลักสูตรตรวจแรงงานทางทะเลเพิ่มศักยภาพด้านแรงงานทางทะเลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
...
กรมเจ้าท่า จัดอบรมหลักสูตรตรวจแรงงานทางทะเลเพิ่มศักยภาพด้านแรงงานทางทะเลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
จากนโยบาย รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ 1 - 7 จัดอบรมหลักสูตรที่สามารถ ช่วยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตามอนุสัญญาของ IMO และให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล แก่บุคลากรของกรมเจ้าท่า
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้มอบหมาย นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ด้านปลอดภัย เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจแรงงานทางทะเลตาม พ.ร.บ.แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558
ทั้งนี้ การจัดอบรมหลักสูตรดังกล่าว เพื่อเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. แรงงานทางทะเล พ.ศ.2558 รวมทั้งอนุสัญญาทางทะเลระหว่างประเทศอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคนประจำเรือ ผู้เข้ารับการอบรม ได้แก่ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกองมาตรฐานคนประจำเรือ โดยการอบรมฯ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่า ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ตอบสนองต่อความต้องการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ คนประจำเรือ และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยจัดฝึกอบรมขึ้นระหว่าง วันที่ 7 - 10 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุมกัปตันบุช กรมเจ้าท่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง
รัฐมนตรีเกษตรฯลุยอุบลราชธานีรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง เน้นการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีและมีมาตรฐานเพื่อลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ดียิ่งขึ้น
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบปะสมาชิกศูนย์ข้าวชุมชนและเป็นประธานเปิดงานรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง ณ โรงเรียนม่วงสามสิบอัมพวันวิทยา อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ดยรูปแบบการจัดงานในครั้งนี้เป็นการรณรงค์ให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงความสำคัญของการลดต้นทุนการผลิตข้าวโดยจัดแสดงนิทรรศการการบรรยายความรู้ทางวิชาการและการสาธิต “เทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง” โดยวิทยากรผู้มีความรู้และประสบการณ์นอกจากนี้ยังจัดแสดงการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่เช่นเครื่องจักรกลการเกษตรและโดรนเพื่อการเกษตรโดยภาคเอกชนเป็นต้นและการจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากข้าวโดยกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและประชาชนผู้สนใจในพื้นที่อำเภอม่วงสามสิบอำเภอเหล่าเสือโก้กอำเภอดอนมดแดงและอำเภอตาลสุมจังหวัดอุบลราชธานีเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยราชการส่วนภูมิภาคและหน่วยราชการส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมโดยมุ่งหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะได้รับทราบและเข้าใจองค์ความรู้เรื่อง “เทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง” และนำไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพทำนาได้
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปเปิดงานรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริงภายใต้โครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกิจกรรมหลักสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ณ ศูนย์แสดงสินค้า OTOP อำเภอเขื่องในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวการลดต้นทุนการผลิตข้าวการเพิ่มผลผลิตและยกระดับคุณภาพให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพัฒนาการผลิตข้าวให้มีความรู้ความเข้าใจได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวที่เหมาะสมเพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตและผลตอบแทนจากการผลิตโดยมีการเชื่อมโยงนโยบายการพัฒนาข้าวลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญกับนโยบาย “ลดต้นทุนการผลิต” จึงได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายนี้กรมการข้าวจึงได้มีการสนับสนุนองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตข้าวแก่เกษตรกรพี่น้องชาวนาทุกท่านให้สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้เสริมสร้างความรู้และสั่งสมประสบการณ์ก่อให้เกิดความเข้มแข็งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนนอกจากนี้ยังเน้นการเพิ่มผลผลิตข้าวการยกระดับคุณภาพผลผลิตข้าวสนองความต้องการของตลาดและการปรับระบบการผลิตข้าวให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเชื่อมั่นว่าแนวทางการลดต้นทุนการผลิตนี้จะสร้างผลประโยชน์แก่เกษตรกรคือการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้นช่วยให้เกษตรกรเรียนรู้และวางแผนการทำนาอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่อุปทานช่วยลดต้นทุนการผลิตเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยกระดับคุณภาพผลผลิตเกษตรกรมีความรู้เรื่องการตลาดสินค้าเกษตรสามารถผลิตสินค้าได้ตามที่ตลาดต้องการซึ่งภาครัฐสามารถช่วยกำหนดตลาดล่วงหน้าได้และสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการผลักดันการแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูงการใช้การตลาดสมัยใหม่ซึ่งมีโอกาสในการขยายตลาดไปช่องทางต่างๆได้มากขึ้นรวมถึงตลาดต่างประเทศด้วย
สำหรับการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติจริงได้สิ่งสำคัญคือการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีและมีมาตรฐานซึ่งศูนย์ข้าวชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพตามเกณฑ์และมาตรฐานของกรมการข้าวนอกจากนี้การใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพจะสามารถลดต้นทุนการผลิตในส่วนอื่นๆได้ทั้งการลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาแพงในปัจจุบันโดยทดแทนด้วยการไถกลบตอซังข้าวการปลูกพืชปุ๋ยสดบำรุงดินการใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่จะได้ทั้งธาตุอาหารและปรับปรุงโครงสร้างดินลดการสูญเสียธาตุอาหารการลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูข้าวโดยทดแทนด้วยสารชีวภัณฑ์ต่างๆเป็นต้นซึ่งเป็นทั้งการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดความปลอดภัยต่อพี่น้องเกษตรกรเองและผู้บริโภค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64745 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาภาคเกษตรและอาหารในทุกระดับ | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
กระทรวงเกษตรฯ จับมือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาภาคเกษตรและอาหารในทุกระดับ
กระทรวงเกษตรฯ จับมือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาภาคเกษตรและอาหารในทุกระดับ มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ภาคเกษตร
(เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566) นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังได้รับมอบหมายจาก นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ร่วมหารือกับ ดร.จาง เจียงเฟิง (Dr. Jiangfeng Zhang) ผู้อำนวยการด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและการเกษตร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Director, Environment, Natural Resources & Agriculture Division Southeast Asia Department) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) สำนักงานใหญ่ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ การกระชับความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับ ADB ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกันมาอย่างยาวนาน ในลักษณะหุ้นส่วนการพัฒนาทุกระดับ ทั้งระดับประเทศ ระดับทวิภาคี พหุภาคี อนุภูมิภาค ภูมิภาค และระดับโลก
สำหรับการหารือในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะดำเนินการและร่วมมือกับ ADB ในการเพิ่มศักยภาพการผลิตภาคการเกษตร การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในภาคการเกษตร และการส่งเสริมการทำเกษตรที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้เสนอให้ฝ่าย ADB ไปศึกษาดูงานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่อง 1 ใน 5 จังหวัดและกลุ่มสินค้าเป้าหมาย ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีสินค้าเป้าหมาย คือ มะพร้าวน้ำหอม อ้อย สุกร โคนม กุ้งก้ามกราม สินค้าเกษตรปลอดภัยเกษตรอินทรีย์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยและ ADB ให้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือกับภูมิภาคอื่น ๆ
นางสาวนฤมลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอบคุณที่ ADB ได้ให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ไทยในโครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเพื่อการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง (Climate Change Adaptation in Agriculture for Enhanced Recovery and Sustainability of Highlands) ที่อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งโครงการนี้ช่วยลดความเปราะบางและส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของชุมชนและระบบนิเวศพื้นที่สูง ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเพิ่มเติมแนวทางที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่สามารถรักษาโครงการนี้ได้อย่างยั่งยืนหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ”
ทั้งนี้ ฝ่าย ADB ชื่นชมประไทยที่มีความก้าวหน้าด้านการเกษตรและความร่วมมือและช่วยเหลือประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการผลิต การค้า และการลงทุนในห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นคงด้านน้ำ อาหาร และพลังงานในภาคการเกษตร จึงประสงค์ให้ประเทศไทยถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ในด้านการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices) สำหรับการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกระทรวงเกษตรฯและ ADB จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตร ความมั่นคงทางอาหารและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64727 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒน์ เดินหน้าแก้ปมขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ ระดมทีมทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
กรมพัฒน์ เดินหน้าแก้ปมขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ ระดมทีมทั่วประเทศ
กรมพัฒน์ จัดสัมมนาระดมทีมผู้บริหารทั่วประเทศร่วมแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ ขานรับนโยบายรัฐมนตรีแรงงาน “สุชาติ ชมกลิ่น” เร่งเครื่องผลิตแรงงานป้อนผู้ประกอบการ หลังเคาะประตูบ้านสำรวจความต้องการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์” ร่วมพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
09/02/2566
“ไอแบงก์” ร่วมพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย
ไอแบงก์ ร่วมพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรม อัลมีรอซ รามคำแหง ซอย 5 กรุงเทพฯ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (7 ก.พ. 2566)
เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (7 ก.พ. 2566) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดยนายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ประธานกรรมการธนาคาร นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ผศ.ดร.มะรอนิง สะแลมิง ประธานที่ปรึกษาธนาคาร (ด้านศาสนา) และผู้บริหารธนาคาร เข้าร่วมพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรม อัลมีรอซ รามคำแหง ซอย 5 กรุงเทพฯ
โดยพิธีปิด “การจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1” ได้รับเกียรติจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลชนะเลิศแก่ผู้เข้าทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1 จำนวน 12 รางวัล ซึ่งมีนายเอาวาฎ บิน สัฟตีย์ อัล อะนะซีย์ ปลัดกระทรวงกิจการศาสนาอิสลามและการเผยแพร่ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายยัสเซอร์ บิน ราชิด บิน ฮุสเซน อัล-วาดานี อัล-โดซารี แกรนด์อิหม่ามและนักเทศน์ของแกรนด์มัสยิดฮารอมและ นักอ่านอัลกุรอานแห่งมหานครมักกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และนายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลอาซีซ อัล ซูไฮบานี เอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ให้เกียรติร่วมงานและเป็นสักขีพยาน
การจัดทดสอบครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทยภายใต้การอุปถัมภ์ของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย ร่วมกับ สำนักจุฬาราชมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมีนายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดทดสอบท่องจำฮะดีษ ระดับชาติ ครั้งที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมของสองประเทศ และเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจของผู้ศึกษา โดยเฉพาะเยาวชนมุสลิม เพราะฮะดีษมีความสำคัญรองจากอัลกุรอาน ต่อวิถีการดำรงชีวิตของชาวมุสลิม
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียภายใต้การนำของสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซีซ อาล ซะอูด, เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซีซ อาล ซะอูด และสำนักจุฬาราชมนตรี ตลอดจนผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่จัดงานในครั้งนี้ และกล่าวย้ำให้ทุกคนตระหนักเสมอว่า คนไทยทุกคนคือพี่น้องกัน ความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบร่มเย็นภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาสนาอิสลามเป็นหนึ่งศาสนาในโครงสร้างของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยให้การดูแลมาโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนชาวมุสลิมสามารถดำรงชีพตามหลักคำสอนของศาสนาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการออกพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 การจัดตั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านธุรกรรมการเงินอิสลามแก่ชาวมุสลิมและบุคคลทั่วไป ตลอดจนการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในทุกๆปีเสมอมา นับได้ว่าถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมในประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64716 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ตรวจสอบกรณีเรือโดนกัน บริเวณตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า ตรวจสอบกรณีเรือโดนกัน บริเวณตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
...
กรมเจ้าท่า ตรวจสอบกรณีเรือโดนกัน บริเวณตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ควบคุม กำกับ และอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 ตรวจสอบกรณีเรือเพลาใบจักรยาวบรรทุกคนโดยสาร ในตลาดน้ำดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เกิดเหตุโดนกันเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 โดยนายสุริยา กิตติมณฑล ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 และนายมาโนช สรังษี ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐม พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าเรือทั้ง 2 ลำ ชื่อ เรือศิริไพศาล เลขทะเบียน 6536 00685 โดยมี นายโกวิท ลี้นิยม เป็นผู้ควบคุมเรือ และเรือ ทรัพย์จันทร์งาม เลขทะเบียน 6236 00817 มีนายเทพกร จันทร์งาม เป็นผู้ควบคุมเรือ ทั้ง 2 คนมี ใบประกาศนียบัตรครบถ้วนไม่ขาดอายุ รวมทั้งใบอนุญาตใช้เรือและประกันชีวิตไม่ขาดอายุ จากการเชิญผู้ควบคุมเรือทั้ง 2 ลำมาบันทึกถ้อยคำประกอบ คลิปวีดีโอจากศูนย์ควบคุมการจราจรทางน้ำฯ จังหวัดสมุทรสงคราม โดยหลังจากที่เรือทั้ง 2 ลำ ได้ส่งผู้โดยสารเรียบร้อยและกำลังเดินทางกลับด้วยความเร็วปกติ ในขณะแซงกัน ได้เกิดการกระแทกกันทำให้เรือเสียอาการและไปชนเรือพายซึ่งบรรทุกคนโดยสารชาวต่างชาติ แต่ไม่เกิดความเสียหายกับตัวเรือ นายท้ายเรือพายบาดเจ็บเล็กน้อย นักท่องเที่ยวไม่ได้รับบาดเจ็บ
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนายท้ายเรือทั้ง 2 ลำได้ชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลกับผู้เสียหายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐม ได้ออกคำสั่งงดใช้ประกาศนียบัตรผู้ควบคุมเรือ มีกำหนด 3 เดือน และได้ว่ากล่าวตักเตือนนายท้ายทั้ง 2 ลำ โดยขอให้ใช้เรือด้วยความระมัดระวังเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นร่องน้ำแคบและให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเดินเรือ ฯ โดยเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64751 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเนปาล ซุกยางกัญชาในกระเป๋าสัมภาระเข้าไทย น้ำหนัก 5.6 กิโลกรัม มูลค่า 560,000 บาท | วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
09/02/2566
กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเนปาล ซุกยางกัญชาในกระเป๋าสัมภาระเข้าไทย น้ำหนัก 5.6 กิโลกรัม มูลค่า 560,000 บาท
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566 ) กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเนปาล ซุกยางกัญชาในกระเป๋าสัมภาระ 5.6 กิโลกรัม มูลค่า 560,000 บาท ณ สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่านและการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาและออกนอกราชอาณาจักรทุกเส้นทาง ซึ่งกรมศุลกากรขานรับนโยบายดังกล่าว และเพิ่มความเข้มงวดในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาประมาณ 18.45 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากร สำนักงานตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปรามได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้หลักบริหารความเสี่ยง และทำการตรวจค้น ชายสัญชาติเนปาล เดินทางมาจากท่าอากาศยานนานาชาติตริภูวัน กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ประเทศไทย เวลาประมาณ 17.30 น. ของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เนื่องจากมีข้อมูลการเดินทางจากประเทศต้นทางที่มีความเสี่ยง เมื่อพบผู้โดยสารขณะเดินผ่านเข้าช่องตรวจศุลกากรไม่มีสิ่งของต้องสำแดง (ช่องเขียว) ทางออก B ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ พร้อมกระเป๋าสัมภาระ เจ้าหน้าที่ฯ จึงให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าสัมภาระผ่านเข้าเครื่องเอกซเรย์ เพื่อทำการเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระทรงอ่อนสีดำ มีล้อลาก จำนวน 1 ใบ จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายเอกซเรย์เบื้องต้น พบความผิดปกติในกระเป๋าสัมภาระ เมื่อทำการเปิดตรวจค้นโดยละเอียด พบช่องลับซึ่งได้จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษบริเวณพื้นกระเป๋า เมื่อใช้ไขควงเปิดช่องลับ พบแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอัดแข็ง มีขนาด 98 x 38 เซนติเมตร จำนวน 1 แผ่น พันด้วยเทปกาวสีน้ำตาลถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกสีดำ เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้มีดคัตเตอร์กรีดแผ่นวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว พบว่ามีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอัดแข็งสีน้ำตาลเข้ม จึงได้ทดสอบวัตถุสีน้ำตาลเข้มดังกล่าวด้วยน้ำยาทดสอบเบื้องต้น ผลการทดสอบจากสารสีใสได้กลายเป็นสารสีม่วง เชื่อได้ว่าวัตถุต้องสงสัยเป็นยางกัญชา ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จึงได้ทำการชั่งน้ำหนักยางกัญชาดังกล่าวต่อหน้าผู้ต้องหา น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 5.6 กิโลกรัม มูลค่า 560,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงทำบันทึกจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ในกรณีนี้ เป็นความผิดกระทำความผิดฐานนำยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ยางกัญชา) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ยางกัญชา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดและเป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากร มาตรา 242 ประกอบมาตรา 166 มาตรา 167 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64736 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.