title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เผย 10 เส้นทางที่รถหนาแน่นช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 คาดปริมาณจราจรกว่า 7.3 ล้านคัน สอบถามสภาพจราจร โทร. 1586 | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เผย 10 เส้นทางที่รถหนาแน่นช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 คาดปริมาณจราจรกว่า 7.3 ล้านคัน สอบถามสภาพจราจร โทร. 1586
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักอำนวยความปลอดภัย แจ้งว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 15 เมษายน 2564 เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางและหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ทล. พร้อมดำเนินการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยใน 10 เส้นทาง ที่มีการจราจรหนาแน่น ดังนี้
1. ดอนเมือง - รังสิต - ต่างระดับบางปะอิน (ทล.1) - อยุธยา - บางปะหัน - อ่างทอง - สิงห์บุรี - ชัยนาท - อุทัยธานี - นครสวรรค์ (ทล.32) ระยะทาง 172 กิโลเมตร
2. ลาดบัวหลวง - สุพรรณบุรี - ชัยนาท (ทล.340) ระยะทาง 164 กิโลเมตร
3. ต่างระดับบางปะอิน - วังน้อย - หนองแค - สระบุรี (ทล.1) - แก่งคอย - ปากช่อง - ลำตะคอง - สีคิ้ว - แยกปักธงชัย - นครราชสีมา (ทล.2) ระยะทาง 195 กิโลเมตร
4. รามอินทรา - มีนบุรี - หนองจอก - แยกฉะเชิงเทรา/พนัสนิคม - ฉะเชิงเทรา - ปราจีนบุรี -กบินทร์บุรี - แยกปักธงชัย (ทล.304) ระยะทาง 278 กิโลเมตร
5. รังสิต - ธัญบุรี - องครักษ์ - บ้านนา (ทล.305) - กบินทร์บุรี (ทล.33) ระยะทาง 135 กิโลเมตร
6. ต่างระดับบางขุนเทียน - สมุทรสาคร - บ้านบ่อ - สมุทรสงคราม - ต่างระดับวังมะนาว (ทล.35) ระยะทาง 75 กิโลเมตร
7. ตลิ่งชัน - ศาลายา - นครชัยศรี (ทล. 338) - นครปฐม - บางแพ - ราชบุรี - ต่างระดับวังมะนาว (ทล.4) ระยะทาง 120 กิโลเมตร
8. ทับช้าง - สุวรรณภูมิ - ลาดกระบัง - บางปะกง - หนองขาม - หนองปรือ - พัทยา (ทล.7) ระยะทาง 119 กิโลเมตร
9. บางนา - บางพลี - บางวัว - บางปะกง (ทล.34) ระยะทาง 38 กม.
10. วงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก (ทล.9) ระยะทาง 148 กิโลเมตร
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 รวม 7 วัน คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางบนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ จำนวน 7,369,351 คัน แบ่งเป็นฝั่งขาเข้า 3,594196 คัน และฝั่งขาออก 3,775,155 คัน เพิ่มขึ้นจากเทศกาลสงกรานต์ 2563 กว่า 2.5 ล้านคัน นอกจากนี้ ทล. ขอความร่วมมือประชาชนเดินทางเหลื่อมเวลากระจายการเดินทางโดยบ้านใกล้กรุงเทพฯ ให้เดินทางออกทีหลัง และเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง โทร. 1193
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40837 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมพร้อมมาตรการความปลอดภัยในเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย เพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวกและปลอดภัยในเทศกาลสงกรานต์ 2564 | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
รฟม. เตรียมพร้อมมาตรการความปลอดภัยในเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย เพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวกและปลอดภัยในเทศกาลสงกรานต์ 2564
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เตรียมพร้อมมาตรการความปลอดภัยในเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย เพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวกและปลอดภัยในเทศกาลสงกรานต์ 2564
ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมพร้อมมาตรการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 นั้น
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า รฟม. ได้สั่งการให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยให้ผู้รับจ้างงานโยธาทั้ง 3 โครงการ ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในงานก่อสร้างอย่างเคร่งครัด หมั่นตรวจสอบและจัดสภาพหน้างานให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เช่น การจัดการพื้นที่ปิดปากบ่อ หลุม และช่องเปิดต่างๆ การจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักร ให้เรียบร้อยและปลอดภัย ไม่กีดขวางการจราจร การจัดแนวแบริเออร์ให้เป็นระเบียบ จัดทำป้ายเตือน ป้ายทางเบี่ยง ทางเลี่ยง และปิดกั้นแนวรั้วคอนกรีตบริเวณจุดที่เป็นอันตรายให้เรียบร้อย รวมถึงการติดตั้งไฟส่องสว่างให้ชัดเจน การตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า และการจัดเก็บวัตถุไวไฟหรือสารไวไฟให้เรียบร้อย นอกจากนี้ ยังจัดให้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและจัดเตรียมอุปกรณ์ด้านจราจร เพื่อเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ รฟม. ได้ร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้แคมเปญ “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์บริเวณอาคารจอดแล้วจรของรถไฟฟ้า และตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยรัฐยินดีเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมจัดหา-บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชน | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
สธ. เผยรัฐยินดีเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมจัดหา-บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชน
ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเผย ภาครัฐยินดีเปิดโอกาสให้เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน /สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ร่วมจัดหา-บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชน เพิ่มช่องทาง ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น ไม่มีการปิดกั้นแต่ต้องรอพ้นช่วงที่วัคซีนมีจำกัด
วันนี้ (9 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.นคร เปรมศรีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีน แถลงข่าวประเด็นความร่วมมือในการจัดหาวัคซีนร่วมกับภาคเอกชน ว่า วันนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหาร หารือร่วมกับเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ถึงแนวทางการจัดหา-บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชนเพิ่มเติม โดยมอบให้ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งภาคเอกชนได้แสดงเจตจำนงมีส่วนร่วมในการจัดหาวัคซีน โดยอาศัยว่าอาจมีความคล่องตัวมากกว่าภาครัฐ รวมทั้งยินดีทำตามแผนบริหารจัดการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการกระจายวัคซีนและบริการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ การร่วมดำเนินงานจะเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งทาง อย. ได้เปิดกว้างการขึ้นทะเบียนวัคซีนทุกชนิด ให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนส่งเอกสารเข้ามาพิจารณาเพื่อให้เกิดความมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย และการที่ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมนับเป็นการช่วยสนับสนุนภาครัฐ และช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น โดยช่วงเวลาที่มีความเป็นไปได้ที่ภาคเอกชนจะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมได้นั้น น่าจะเป็นช่วงที่วัคซีนมีมากขึ้นหลังเดือนมิถุนายน 2564
นพ.นคร กล่าวต่อว่า การจัดหาวัคซีนภาครัฐโดยกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ดำเนินการได้เป็นอย่างดีสามารถจัดหาได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขมีศักยภาพในการจัดบริการวัคซีน มีโรงพยาบาลของภาครัฐกว่า 1,000 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีกประมาณ 10,000 แห่ง
“การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส เป็นอีกปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ วัคซีนที่มีอยู่ยังสามารถใช้ป้องกันโรคและอาการป่วยรุนแรงได้ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ในอนาคต สิ่งสำคัญที่จะเอาชนะไวรัสกลายพันธุ์ได้ คือการกระจายวัคซีนออกไปให้ครอบคลุมประชาชนมารับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนในระยะเวลารวดเร็ว ป้องกันไม่ให้ระบาดใหญ่ ขอย้ำว่า กรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ สามารถจัดหาวัคซีนเพียงพอสำหรับประชาชนคนไทย การที่เอกชนมีเจตนาในการเข้ามาเสริมการทำงานก็ยินดี เพื่อเดินหน้าต่อสู้กับโควิดด้วยกันต่อไป” นายแพทย์นครกล่าว
************************************** 9 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40864 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ยำแผนบูรณาการ เทรนแรงงานป้อนอุตสาหกรรม S-Curve | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
รมช.แรงงาน ยำแผนบูรณาการ เทรนแรงงานป้อนอุตสาหกรรม S-Curve
- -
วันที่ 9 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนของประเทศรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สิมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะทำงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำแผนพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้รวบรวมแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ประกอบด้วย ข้อมูลแผนงาน/โครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมจำนวน 160 โครงการ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมพัฒนาคนและการศึกษา เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาแรงงานในกลุ่ม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
จากข้อมูลแผลการดำเนินของแต่ละหน่วยงาน มีเป้าหมายในการพัฒนาจำนวนกำลังแรงงานประมาณ 890,000 คน ครอบคลุมประมาณการความต้องการกำลังแรงงานใหม่และแรงงานที่อยู่ในสถานประกอบกิจการ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2562 - 2566 รวมกว่า 475,000 คน ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ มีความต้องการแรงงานกว่า 142,00 คน อุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนกว่า 116,000 คน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จำนวนกว่า 58,000 คน เป็นต้น ซึ่งการจัดทำแผนฯ ครั้งนี้ ทำให้สามารถเห็นภาพความต้องการกำลังแรงงานของ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใน S-Curve ของประเทศ พร้อมวางแผนการพัฒนากำลังแรงงานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาแรงงานในเชิงรุก ด้วยการ re skill และ up skill
“แผนพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ โดยเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อการทำงาน ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและการประกอบอาชีพในอนาคต โดยจะนำกรอบแผนพัฒนากำลังคนเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) เพื่อเร่งขับเคลื่อนต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. คาดวันนี้ (9 เม.ย.64) มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ต่ำกว่า 50,000 คน | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
บขส. คาดวันนี้ (9 เม.ย.64) มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ต่ำกว่า 50,000 คน
เตรียมจัดรถโดยสารรองรับการเดินทางประชาชนกว่า 5,000 เที่ยว พร้อมยืนยัน บขส. มีมาตรการคุมเข้มความปลอดภัยบนรถโดยสาร-สถานีขนส่ง มั่นใจ เดินทางปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยตัวเลขผู้โดยสารเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า เมื่อวานนี้ (วันที่ 8 เมษายน 2564) บขส. ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ (เที่ยวไป) จำนวน 3,443 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 40,017 คน ส่วนเที่ยวกลับ ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ จำนวน 3,470 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 31,868 คน ส่วนวันนี้ (9 เมษายน 2564) คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนา ประมาณ 50,000 คน โดย บขส. ยังคงจัดรถโดยสารรองรับการเดินทางในเที่ยวไป กว่า 5,000 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 100,000 คน ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางมายังสถานีขนส่งผู้โดยสาร อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนเวลารถออก และผู้ที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้าให้ตรวจสอบเวลาและจุดขึ้นรถที่ระบุในตั๋วโดยสาร โดยเฉพาะเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากในปีนี้ บขส.นำรถโดยสารออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 เท่านั้น
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บขส. ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้โดยสารที่มีความประสงค์งดการเดินทางในระหว่างวันที่ 8 -18 เมษายน 2564 ให้คืนตั๋วโดยสาร บขส. ได้เต็มราคา ไม่หักค่าธรรมเนียม ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 9 เมษายน 2564 มีผู้โดยสารนำตั๋วโดยสารมาขอคืนแล้ว 4,160 ใบ คิดเป็น 6.58% โดยตั๋วโดยสารที่จองล่วงหน้าเดินทางในวันที่ 9 เมษายน 2564 มีผู้โดยสารขอคืนตั๋วมากที่สุด จำนวน 1,074 ใบ ส่วนใหญ่เดินทางในเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ เส้นทาง กรุงเทพฯ - สกลนคร ,กรุงเทพฯ-นครพนม และกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถติดต่อขอคืนตั๋วหรือเลื่อนการเดินทาง ได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ก่อนเวลารถออก ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนผู้โดยสารใช้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ , โครงการ“เราชนะ” และโครงการ “ม33เรารักกัน” ไม่สามารถขอคืนเงินค่าตั๋วได้ แต่สามารถแจ้งเลื่อนการเดินทางได้ ก่อนเวลารถออกไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง
อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สั่งกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายให้เพิ่มการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง และบนรถโดยสาร ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และขอให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทาง สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ขณะใช้บริการตลอดเวลา รวมทั้งให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะหรือแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ และในการเดินทางข้ามจังหวัด ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารและประกาศเข้าพื้นที่ของแต่ละจังหวัดก่อนออกเดินทางด้วย สอบถามรายละเอียดข้อมูล บขส. เพิ่มเติมได้ที่ ช่องจำหน่ายตั๋ว บขส.ทุกแห่งทั่วประเทศ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40839 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงวัฒนธรรม | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี นางนนทพร พรประยุทธ วันงาม ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40854 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่าง พ.ร.บ.กองทุน บำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ... | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
ร่าง พ.ร.บ.กองทุน บำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ...
วันพุธที่ 7 เมษายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ... โดยให้ลูกจ้างทั้งในภาคเอกชน ราชการ องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีรายได้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนโดยฝ่ายนายจ้างสมทบให้เท่ากัน เริ่มต้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของค่าจ้าง เพื่อสะสมเป็นรายได้ของลูกจ้างในการดำรงชีพหลังเกษียณ กรณีที่ลูกจ้างมีเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ให้นายจ้างส่งเงินฝ่ายเดียว โดยเมื่อลูกจ้างมีอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับเงินสะสมรวมผลตอบแทนจากกองทุน ได้ทั้งในรูปของบำเหน็จและบำนาญ นอกจากนี้ หากลูกจ้างเจ็บป่วยสาหัสจนต้องออกจากงานสามารถขอรับเงินคืนก่อนอายุ 60 ปีได้ด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง 604 ราย ใน 32 จังหวัด ขอกลุ่มเสี่ยงแยกตัว-สวมหน้ากาก | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
สธ.พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง 604 ราย ใน 32 จังหวัด ขอกลุ่มเสี่ยงแยกตัว-สวมหน้ากาก
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากสถานบันเทิง 604 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ กระจายใน 32 จังหวัด สูงสุดในกทม. 310 ราย ย้ำผู้ที่มีความเสี่ยงควรแยกตัว สวมหน้ากากอย่างเข้มงวด เตือนประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์ “การ์ดต้องไม่ตก”
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 จากสถานบันเทิง 604 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ กระจายใน32 จังหวัด สูงสุดในกทม. 310 ราย ย้ำผู้ที่มีความเสี่ยงควรแยกตัว สวมหน้ากากอย่างเข้มงวด เตือนประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์ “การ์ดต้องไม่ตก” ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโรค
วันนี้ (9 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 559 ราย แบ่งเป็น กลุ่มคลัสเตอร์สถานบันเทิง 214 ราย, ผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อสถานบันเทิง 31 ราย, ไม่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง 124 ราย, อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 32 ราย, คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 148 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย โดยมีผู้รักษาหายเพิ่ม 27 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นผู้ต้องขังชายไทยอายุ 60 ปี ในจ.นราธิวาส มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า ส่วนภาพรวมฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 8 เมษายน 2564 รวม 466,374 โดสใน 77 จังหวัด เป็นเข็มแรก 405,911 ราย และรับครบสองเข็ม 60,463 ราย
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า กรณีการติดเชื้อในสถานบันเทิงข้อมูลตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม - 8 เมษายน 2564 พบผู้ติดเชื้อสะสม 604 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนไทย เพศหญิงมากกว่าชาย ผู้ติดเชื้อร้อยละ 64 ไม่มีอาการ ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 20-29 ปี โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายใน 32 จังหวัด กรุงเทพมหานครพบผู้ติดเชื้อสูงสุด 310 ราย เฉพาะร้านเหล้า/สถานบันเทิงย่านทองหล่อ พบ 248 ราย ส่วนจำนวนสถานบันเทิงที่พบผู้ติดเชื้อมีจำนวน 80 ร้านใน 11 จังหวัด อยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุด 52 ร้าน
“ความเสี่ยงของสถานบันเทิงในกทม.และต่างจังหวัดมีความแตกต่างกัน แต่ความเสี่ยงไม่แตกต่างกัน แม้ว่าต่างจังหวัดสถานที่ไม่ได้คับแคบ อากาศถ่ายเทสะดวก แต่มีความเสี่ยงจากการที่มีคนไปรวมกันจำนวนมาก ไม่สวมหน้ากากป้องกัน และอยู่รวมกันเป็นเวลานาน จึงต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยง” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขไม่มีข้อห้ามเดินทางหรือการกักตัว ขึ้นกับมาตรการของจังหวัดปลายทาง แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง อาจรับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ และอาจแพร่เชื้อต่อได้ จึงควรแยกตัว ใส่หน้ากากอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่เชื้อ
ส่วนประชาชนทั่วไปหากไม่มีแผนเดินทางหรือเลื่อนการเดินทางได้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเดินทางของคนจำนวนมาก หากจำเป็นต้องเดินทาง การ์ดต้องไม่ตก ป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากากตลอดเวลา และหากไปพบปะกับผู้สูงอายุ ต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเองไม่ควรใช้เวลามากเกินไป
สำหรับหน่วยงานที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ขอให้ประสานหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที เพื่อประเมินผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงควรตรวจหาเชื้อโดยเร็ว หากตรวจไม่พบเชื้อโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้ที่สัมผัสก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ต้องกักตัวให้ครบ 14 วัน และตรวจซ้ำอีกครั้ง กลุ่มเสี่ยงต่ำให้สังเกตอาการตนเองจนครบระยะฟักตัว 14 วัน หากสงสัยว่าป่วย เช่นมีไข้ เจ็บคอ ให้ไปรับการตรวจ ส่วนสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องปิดทั้งอาคาร ปิดเฉพาะแผนกหรือชั้นที่เกี่ยวข้อง 1-3 วัน เพื่อทำความสะอาด เน้นเช็ดถูพื้นผิวและจุดสัมผัสร่วม เก็บขยะติดเชื้อ และมีระบบคัดกรองผู้เข้าสถานที่ วัดอุณหภูมิ สแกนไทยชนะ
********************************** 9 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40863 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลห่วงใยประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์นี้ คปภ. มอบประกันภัยกลุ่ม 10 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุและ โควิด-19 เป็นของขวัญคนไทย อุ่นใจในการเดินทาง | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
รัฐบาลห่วงใยประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์นี้ คปภ. มอบประกันภัยกลุ่ม 10 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุและ โควิด-19 เป็นของขวัญคนไทย อุ่นใจในการเดินทาง
รัฐบาลห่วงใยประชาชนเดินทางช่วงสงกรานต์นี้ คปภ. มอบประกันภัยกลุ่ม 10 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุและ โควิด-19 เป็นของขวัญคนไทย อุ่นใจในการเดินทาง
วันนี้ (9 เมษายน 2564) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนและต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการแบกรับภาระความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นช่วงวันหยุดยาวทั่วประเทศ ซึ่งจะมีประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงานคปภ.) ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย พัฒนากรมธรรม์ “ประกันภัยกลุ่ม 10 บาท สงกรานต์อุ่นใจ นิวนอร์มอล ซุปเปอร์พลัส” (ไมโครอินชัวรันส์) โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 10 บาท ได้รับ ความคุ้มครองที่ 1 กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการ ถูกฆาตกรรม ลอบทำร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 100,000 บาท
ความคุ้มครองที่ 2 กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรม ลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 50,000 บาท
ความคุ้มครองที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 14 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) รวมถึงกรณีเสียชีวิตจากผลกระทบการฉีดวัคซีน โควิด-19 โดยคุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่ทำประกันภัยและมีการฉีดวัคซีนหลังทำประกันภัย จะได้รับความคุ้มครอง 5,000 บาท ความคุ้มครองที่ 4 ค่าชดเชยรายวันระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน เนื่องจากอุบัติเหตุ รวมถึงได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันละ 300 บาท ไม่เกิน 20 วัน จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 6,000 บาทความคุ้มครองที่ 5 กรณีติดเชื้อโควิด-19 จะได้รับคุ้มครอง 3,000 บาท
โดยมีเงื่อนไขการรับประกันภัยที่สำคัญ คือผู้ทำประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน และผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้ถือกรมธรรม์ โดยเริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 - 31 พฤษภาคม 2564 โดยประชาชนที่สนใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท สามารถร่วมกลุ่มกัน 10 คน และซื้อได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 23 แห่ง โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect ”
“สถิติในช่วงสงกรานต์ประจำปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเข้มข้น จำนวนประชาชนเดินทางน้อยกว่าปีก่อนๆไปมาก แต่ยังมีสถิติอุบัติเหตุทางถนนสูงถึง 1,307 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย และเสียชีวิต 167 ราย และในปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 บูรณาการทุกหน่วยงานร่วมรณรงค์ใช้รถ ใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง เดินทางด้วยปลอดภัยและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ห่างไกลจากไวรัสโควิด-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ สำหรับประกันภัยกลุ่ม 10 บาท สงกรานต์อุ่นใจ นิวนอร์มอล ซุปเปอร์พลัส” ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยได้ง่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อระบบการประกันภัยโดยรวมด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40840 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทพร้อมเปิดใช้ถนนสายแยก ทล.7 - ท่าเรือแหลมฉบัง สนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
กรมทางหลวงชนบทพร้อมเปิดใช้ถนนสายแยก ทล.7 - ท่าเรือแหลมฉบัง สนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 - ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 - ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แล้วเสร็จ
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นท่าเรือสินค้าหลักของประเทศ โดยปัจจุบันได้เปิดดำเนินการตามโครงการถึงระยะที่ 2 และอยู่ระหว่างดำเนินการขยายสู่โครงการระยะที่ 3 ซึ่งเส้นทางการขนส่งสินค้าทางถนนจะใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 เป็นเส้นทางหลัก ส่งผลให้มีปริมาณการจราจรที่หนาแน่น ประกอบกับในอนาคตเมื่อเปิดใช้งานโครงการในระยะที่ 3 จะทำให้การจราจรติดขัดมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายของจังหวัดชลบุรีให้สมบูรณ์ ลดระยะการขนส่งระหว่างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอปลวกแดงสู่ท่าเรือแหลมฉบัง แบ่งเบาการจราจรบนถนนสายหลัก สนับสนุนการขนส่งสินค้าทั้งในและต่างประเทศ และสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันออกหรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
ทช. จึงได้พัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อเชื่อมต่อทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 บริเวณ กม. ที่ 107+200 ไปบรรจบกับท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 - ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระยะทางรวม 10.570 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 8+500 บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชบ.3009 ไปทางด้านทิศตะวันตก ข้ามถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 (กม. ที่ 107+200) ข้ามจุดตัดทางแยกบริเวณบ้านหนองคล้า ข้ามทางรถไฟสายตะวันออก และข้ามถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (กม. ที่ 130+450) สิ้นสุดโครงการบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งโครงการดังกล่าวแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 16+300 ถึง กม.ที่ 19+070 ระยะทาง 2.770 กิโลเมตร
ตอนที่ 2 มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 14+100 ถึง กม.ที่ 16+300 ระยะทาง 2.200 กิโลเมตร
ตอนที่ 3 มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 11+400 ถึง กม.ที่ 14+100 ระยะทาง 2.700 กิโลเมตร
ตอนที่ 4 มีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 8+500 ถึง กม.ที่ 11+400 ระยะทาง 2.900 กิโลเมตร
โดยได้ก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 6 - 8 ช่องจราจร มีเกาะกลางถนน ไหล่ทาง เครื่องหมายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง และสิ่งอำนวยความปลอดภัย พร้อมก่อสร้างสะพานขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย สะพานข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) บริเวณ กม. ที่ 17+800 สะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณ กม. ที่ 15+700 สะพานข้ามแยกหนองคล้า บริเวณ กม. ที่ 12+975 และสะพานข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 (ถนนมอเตอร์เวย์) บริเวณ กม. ที่ 9+400 ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ครบทั้ง 4 ตอน และได้เปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรแล้ว ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 1,499.255 ล้านบาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40842 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือเครือข่ายเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด พร้อมเปิดสายด่วน 1668 ช่วยผู้ติดเชื้อหาเตียง | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
สธ.จับมือเครือข่ายเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด พร้อมเปิดสายด่วน 1668 ช่วยผู้ติดเชื้อหาเตียง
กระทรวงสาธารณสุข จับมือโรงเรียนแพทย์ กรุงเทพมหานคร ตำรวจ-กลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ประสานส่งต่อผู้ป่วยในเครือข่ายหรือข้ามเครือข่ายได้ เปิดสายด่วน 1668 ประสานช่วยผู้ติดเชื้อที่ยังหาเตียงรักษาไม่ได้ พร้อมจัดหา Hospitel
กระทรวงสาธารณสุข จับมือโรงเรียนแพทย์ กรุงเทพมหานคร ตำรวจ-กลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน เตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ประสานส่งต่อผู้ป่วยในเครือข่ายหรือข้ามเครือข่ายได้ เปิดสายด่วน 1668 ประสานช่วยผู้ติดเชื้อที่ยังหาเตียงรักษาไม่ได้ พร้อมจัดหา Hospitel รองรับเพิ่มอีก 1,000 เตียง และโรงพยาบาลสนาม (โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ) 450 เตียง ภายในสัปดาห์นี้
วันนี้ (9 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ว่า การบริหารจัดการเตียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการดำเนินการร่วมกันภายใต้ 5 เครือข่าย ได้แก่ กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ กรุงเทพมหานคร ตำรวจ-กลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน โดยจัดทำข้อมูลเตียงผ่านระบบคอมพิวเตอร์ร่วมกัน ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชนในการรับผู้ติดเชื้อ ข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2564 เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน มีจำนวนเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิดอีกเกือบ 300 เตียง
“แนวคิดการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้นโยบายว่า ผู้ติดเชื้อโควิดทุกรายควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีข้อตกลงกันในเครือข่ายว่า โรงพยาบาลที่ตรวจพบเชื้อโควิดต้องดำเนินการประสานในเครือข่าย เพื่อให้ผู้ป่วยทุกรายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ดังนั้น ขอความร่วมมือโรงพยาบาลเอกชน หากตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีเตียงรองรับ สามารถประสานส่งต่อในเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน หรือส่งต่อข้ามเครือข่ายได้ ซึ่งเป็นหลักการที่ตกลงกันมา 1 ปีแล้ว”นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ในการจัดหาเตียงให้เพียงพอรองรับผู้ป่วย กรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ดำเนินการจัดหา Hospitel คือ ใช้ห้องพักโรงแรมทำเป็นโรงพยาบาล เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยซึ่งขณะนี้จัดหาได้แล้ว 800 เตียง และจะหาเพิ่มเป็น 1,000 เตียง ภายใน 1-2 วันนี้ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติได้เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนาม 450 เตียงในสัปดาห์นี้ เพื่อแก้ปัญหาไม่มีเตียง ทางสถาบันเพื่อการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ รับผู้ป่วยได้ทันทีวันนี้ 40 เตียง นอกจากนี้ ยังได้เปิดบริการสายด่วนกรมการแพทย์ 1668 ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่มีเตียงรักษา อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลราชวิถีหากพบว่ามีความเสี่ยงสูงให้เข้ารับการตรวจ ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองหรือปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความแออัดในการรอรับบริการ
********************************** 9 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนชี้แจง กรณีนักศึกษาตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมจัดมาตรการเร่งด่วน และเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
สถาบันการบินพลเรือนชี้แจง กรณีนักศึกษาตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมจัดมาตรการเร่งด่วน และเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม ได้รับแจ้งจากนักศึกษาจำนวน 2 ราย ว่าได้ตรวจพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งนี้ นักศึกษาทั้งสองรายไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ โครงการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักศึกษา ปีการศึกษา 2564
จากกรณีดังกล่าว ผู้ว่าการ สบพ. ได้ประชุมเป็นกรณีเร่งด่วน เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 เพื่อสอบถามข้อมูล ประสานงานหน่วยงานภาครัฐ และสรุปผล ทั้งนี้ เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีความชัดเจน สบพ. จึงออกมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดดังนี้
1. ขอให้พนักงาน ลูกจ้าง นักศึกษา ผู้ประกอบการทุกคนที่ปฏิบัติงาน ณ สบพ. กรุงเทพฯ หยุดปฏิบัติงานในวันที่ 8 เมษายน 2564 ช่วงเวลาบ่าย และปิดทำการในวันที่ 9 เมษายน 2564 โดยรายละเอียดและข้อกำหนดขอให้พิจารณาตามประกาศที่สำนักงานทรัพยากรบุคคล สำหรับนักศึกษาที่มีเรียนในวันที่ 10, 11, 16, 17 และ 18 เมษายน 2564 สบพ. ได้จัดให้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่กองวิชา โดยจะทำการเรียนการสอนเป็นปกติในวันที่ 19 เมษายน 2564 สำหรับพนักงาน ลูกจ้าง นักศึกษา ผู้ประกอบการทุกคนที่ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ฝึกการบิน สบพ. หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขอให้พิจารณาตามประกาศที่ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบิน หัวหิน แจ้ง
2. ให้แผนกอาคารและสถานที่ดำเนินการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้ทั่วพื้นที่ของ สบพ. กรุงเทพฯ ทันที สำหรับศูนย์ฝึกการบิน สบพ. หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้แผนกบริการดำเนินการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้ทั่วพื้นที่
3. ให้พนักงาน ลูกจ้าง หรือนักศึกษาที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ และเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงเข้าตรวจ คัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งนี้ หากผู้ใดสงสัยว่าตนเองอาจเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อและเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง ขอให้ดำเนินการติดต่อโรงพยาบาลใกล้เคียงหรือติดต่องานพยาบาล สบพ. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของสาธารณสุขต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40847 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สินเชื่อบ้าน New Home เพื่อผู้มีรายได้ปานกลาง | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
สินเชื่อบ้าน New Home เพื่อผู้มีรายได้ปานกลาง
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษยน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางเข้าถึงโอกาสในการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยไม่เป็นการแบกรับภาระหนี้สินมากจนเกินไป เพิ่มความมั่นคงในชีวิตของตนเองและครอบครัว โดยออก “สินเชื่อบ้าน New Home” วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านหรือห้องชุด มือ 1 ในราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2.5 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นผ่อนชำระเพียง 5,200 บาทต่อเดือน โดยตัดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินที่ทำนิติกรรม โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.64 และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ก.ค.64 ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40852 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ท่าเรือระนอง | วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ท่าเรือระนอง
เพื่อนำข้อเสนอที่ได้รับจากประชาชนไปกำหนดขอบเขตการศึกษาให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ ประกอบการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ และสร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง กทท. และภาคประชาชน
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กทท. จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ครั้งที่ 1 ต่อร่างข้อเสนอรายละเอียด ขอบเขตการศึกษา และการประเมินทางเลือกของรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง (ท่าเรือระนอง) จังหวัดระนอง โดยมี พลเรือเอก โสภณ วัฒนมงคล ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นประธาน นายชนินทร์ แก่นหิรัญ กรรมการ กทท. ผู้บริหาร และพนักงาน กทท. ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ณ ห้องราชาวดี เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง
กทท. ได้ให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท โชติจินดา คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท กรีนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ศึกษาและสำรวจออกแบบ (Detail Design) รวมทั้งศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาศักยภาพท่าเรือระนอง จัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม นำข้อเสนอต่าง ๆ ของภาคประชาชนไปประกอบการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ สร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง กทท. และภาคประชาชน เพื่อพัฒนาให้สามารถดำเนินการควบคู่กันการดำเนินกิจการ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (Southern Economic Corridor : SEC) และเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) การจัดประชุมฯ ดังกล่าว เป็นหนึ่งในขั้นตอนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประชาชนร่วมให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการศึกษาโครงการฯ พร้อมทั้งข้อเสนอ/ห่วงกังวลในประเด็นด้านต่าง ๆ ซึ่ง กทท. จะนำผลที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว ไปกำหนดขอบเขตการศึกษาเพื่อให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ และรอบด้าน รวมทั้งจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความเห็นชอบประกอบการขออนุญาตดำเนินโครงการฯ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40846 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่ประกาศเคอร์ฟิว และไม่ล็อกดาวน์ พร้อมจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดอื่น เพิ่มเติม มั่นใจคนไทยร่วมมือประเทศไทยต้องชนะ | วันเสาร์ที่ 17 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่ประกาศเคอร์ฟิว และไม่ล็อกดาวน์ พร้อมจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดอื่น เพิ่มเติม มั่นใจคนไทยร่วมมือประเทศไทยต้องชนะ
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่ประกาศเคอร์ฟิวและไม่ล็อกดาวน์ พร้อมจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดอื่น เพิ่มเติม มั่นใจคนไทยร่วมมือประเทศไทยต้องชนะ
วันนี้ (16 เม.ย.64) เวลา 15.45 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ได้เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เผย สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย แต่ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ซึ่งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ มั่นใจสามารถควบคุมการระบาดได้ ระยะที่ 3 มีสาเหตุมาจากสถานที่ท่องเที่ยวและการประกอบกิจการท่องเที่ยวและบริการท่องเที่ยว เช่นเดียวกับระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งไวรัสโควิด-19 สามารถที่จะแพร่ระบาดไปในทุกพื้นที่
นายกรัฐมนตรียังติดตามการประชุมของคณะทำงานตลอด 7 วันที่ผ่านมา ทั้งแนวทางในการวางแผน มาตรการการควบคุม การสกัดกั้นการแพร่ระบาด รวมไปถึงมาตรการจัดหาวัคซีนเและฉีดวัคซีนมาอย่างต่อเนื่องให้ประชาชน ซึ่งมีประชาชนที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว 5-6 แสนกว่าคน หลังจากนี้ ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนเพิ่มเติมในจำนวนมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้มีการวางแผนงานในการที่จะฉีดวัคซีน ให้ ทั่วถึง 60% ของประชากรตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ มาหารือร่วมกันเพื่อที่จะได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากวัคซีนขณะนี้เป็นกรณีฉุกเฉินจะขายให้รัฐต่อรัฐเท่านั้น ซึ่งองค์การเภสัชกรรม จะเป็นผู้สั่งซื้อเพื่อนำมาแจกจ่าย หรือให้กับสมาคม โรงพยาบาลเอกชนต่อไป พร้อมเชิญชวนไปถึงแพทย์ และพยาบาลที่เกษียณอายุไปแล้ว ให้มารวมพลังกัน เพื่อฝึก ซ้อม ในการที่จะฉีดวัคซีนให้มากขึ้นในพื้นที่ทุกจังหวัดด้วย อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน โควิด-19 เป็นการเพิ่มภูมิต้านทาน จะไม่ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิดให้แก่บุคคลอื่น
นายกรัฐมนตรีเผยถึงแผนการจัดหาวัคซีนที่มีความก้าวหน้า ซึ่งได้ติดต่อซื้อวัคซีนสปุดนิคกับรัสเซีย ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนการขึ้นทะเบียนกับ อย. ในส่วนการฉีดวัคซีนซิโนแวคจำนวน 1.3 ล้านโดสนั้น ได้สั่งการให้วางแผนเป็นรายสัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่ 1 จะฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และสายงานอื่นที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างทั่วถึงภายในพื้นที่ระบาดหนัก สัปดาห์ที่ 2 ฉีดให้ประชาชนในจังหวัดที่มีการระบาดหนัก และฉีดให้กับบุคลาการทางการแพทย์ และสายงานอื่นที่สัมผัสผู้ป่วยระยะปานกลาง สัปดาห์ที่ 3 ฉีดให้กับประชาชนในจังหวัดที่มีการระบาดปานกลาง และฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และสายงานอื่นที่สัมผัสผู้ป่วยในพื้นที่ที่มีการระบาดเบา และสัปดาห์ที่ 4 ฉีดให้กับประชาชนในจังหวัดที่มีการระบาดเบา โดยทั้งหมดจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
นายกรัฐมนตรียังยอมรับว่า ไม่สบายใจและหนักใจกับมาตรการต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชนในทุกระดับโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยซึ่งอาจได้รับความเดือดร้อนมาก แต่จะพยายามแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุด ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้มีการแพร่ระบาดรวดเร็วจึงต้องมีการจัดการที่รวดเร็วด้วย ตั้งแต่ต้นทางกลางทาง และปลายทาง ตั้งแต่ต้น เพื่อลดความเสียหายในระยะที่ 3 ลงไปให้ได้มาก ซึ่งประชาชนกว่า 90% สวมใส่หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยแต่ก็ขอให้เน้น Social distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม
นายกรัฐมนตรีได้ยกคำกล่าวสุภาษิตโบราณที่ว่า “ประเทศไทยต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขัน ประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ไม่พูดไร้สาระ ไม่พูดสิ่งที่ใดที่ไม่เป็นประโยชน์ บิดเบือน ยามมีข้าวมีน้ำ ก็ต้องการผู้เป็นที่รัก ยามเกิดปัญหาก็ต้องการบัณฑิต” โดยทุกคนควรนำสิ่งต่าง ๆ ในคำกล่าวนี้มาเป็นหลักนำในการดำรงชีวิตในช่วงนี้ ทุกคนจะต้องช่วยกัน เพราะประเทศไทยคือของทุกคน ทุกคนเป็นคนไทยขออย่ารังเกียจกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานี้ได้ระมัดระวังอย่างที่สุด เป็นการตัดสินใจที่เจ็บปวด เพราะรู้ว่าทุกคนเดือดร้อน ซึ่งชีวิตของนายกรัฐมนตรีให้กับคนไทยและประเทศไทยไปแล้ว จะทำงานให้เต็มที่จนกว่าจะทำไม่ได้ พร้อมย้ำว่าไม่มีการเคอร์ฟิว ยังไม่ล็อกดาวน์ การชุมนุมต่าง ๆ ที่ถึงแม้จะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญก็ขอให้ระมัดระวัง และขอร้องทุกคนให้ช่วยกันเพื่อทำให้ประเทศชาติปลอดภัย เวลานี้ประเทศต้องการบัณฑิต ไม่ต้องการคนที่บ่อนทำลายซึ่งกันและกัน รวมทั้งขอขอบคุณสื่อทุกสื่อด้วย
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ชวนฝึกออนไลน์ ช่วง work from home | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
นฤมล ชวนฝึกออนไลน์ ช่วง work from home
รมช.แรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาล กำชับแรงงานช่วง work from home แนะฝึกออนไลน์กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสพัฒนาตนเองรับวิถีชีวิตใหม่ ลดเสี่ยงติดโควิด-19
วันที่ 16 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ซึ่งมีการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ด้วยการเชิญชวนให้คนไทย หยุดอยู่บ้าน งดการเดินทาง การรวมกลุ่ม โดยในส่วนของหน่วยงานราชการและเอกชน กำหนดให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ work from home จะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อไปว่า การฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ดำเนินการฝึกอย่างต่อเนื่องนั้น ได้มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งคัด ทั้งการคัดกรอง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการใช้แอลกอฮอล์ล้างมือให้บ่อยครั้ง รวมถึงจำกัดจำนวนคนเข้าอบรม ไม่เกิน 20 คน นอกจากนี้ ยังจัดโปรแกรมการฝึกออนไลน์ ในรูปแบบ VDO Training ในช่วงที่แรงงานต้องหยุดอยู่บ้าน สามารถเข้าเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ถึง 16 หลักสูตร โดยสามารถดูรายละเอียดและเข้าเรียนรู้ได้ที่ www.dsd.go.th เมนู ฝึกทักษะออนไลน์ (online Training) ปัจจุบัน ได้เพิ่มหลักสูตรที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่มของ Microsoft office สำหรับหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้ว ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้านช่าง ภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพอิสระ เช่น การทำอาหาร การทำขนม และงานศิลปะประดิษฐ์ เป็นต้น ผู้สนในสามารถลงทะเบียนเข้าฝึกอบรมตามเว็บไซต์ที่แจ้ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
“ถ้าทุกคนช่วยกันและปฏิบัติตัวตามมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้กำหนด เชื่อมั่นว่าจะสามารถหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40954 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” ตรวจความสมบูรณ์ป่าในเมืองบ้านท่าเลน พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของป่าชายเลน จ.กระบี่ | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
“วราวุธ” ตรวจความสมบูรณ์ป่าในเมืองบ้านท่าเลน พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของป่าชายเลน จ.กระบี่
“วราวุธ” ตรวจความสมบูรณ์ป่าในเมืองบ้านท่าเลน พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของป่าชายเลน จ.กระบี่
“วราวุธ” ตรวจความสมบูรณ์ป่าในเมืองบ้านท่าเลน พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของป่าชายเลน จ.กระบี่
วันนี้ (16 เมษายน 2564) เวลา 11.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดโครงการป่าในเมืองแห่งที่ 2 ของ จ.กระบี่ ที่บ้านท่าเลน ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ พร้อมพายเรือคายัคสำรวจความสมบูรณ์ของผืนป่าชายเลน โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ร่วมลงพื้นที่ และมีนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ
นายวราวุธ กล่าวว่า ภาพรวมป่าชายเลนของประเทศไทย มีสภาพที่สมบูรณ์ขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง ผลการสำรวจล่าสุดของ GISTDA เมื่อปี 2564 พบว่า มีผืนป่าชายเลนที่คงสภาพสมบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ 1.73 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก ปี 2557 กว่า 2 แสนไร่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ ยังคงมีแผนเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สำหรับป่าชายเลนที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ได้เน้นให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
และในวันนี้ ได้มาเป็นประธานเปิดโครงการป่าในเมือง ซึ่งเป็นป่าในเมืองแห่งที่ 2 ของ จ.กระบี่ ถือได้ว่าเป็น “มหัศจรรย์ป่าชายเลน ท่าเลน แคนยอนเมืองไทย” และจากการพายเรือคายัค สำรวจผืนป่าชายเลนโดยรอบ ทำให้ได้เห็นถึงความสมบูรณ์ของผืนป่าชายเลนแห่งนี้ ที่มีพื้นที่กว่า 3,700 ไร่ รู้สึกภูมิใจ และดีใจกับพี่น้องชาวกระบี่ ที่ช่วยกันดูแล อนุรักษ์ จนผืนป่าชายเลนมีความสวยงามและสมบูรณ์เช่นนี้ และคิดว่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ก็อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้เช่นกัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเยี่ยมชม จึงได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หามาตรการในการจัดการและแนวทางในการควบคุมการท่องเที่ยวให้คงความสวยงาม มีความสะอาด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรป่าชายเลนโดยรวม ที่พี่น้องประชาชนจังหวัดกระบี่ ได้พยายามช่วยกันดูแลผืนป่ามาจนสมบูรณ์
“ป่าชายเลน 1 ไร่ เมื่อเทียบกับป่าทั่วไปในพื้นที่เท่ากัน จะมีคุณค่ามากกว่ามาก เพราะเป็นทั้งแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และยังช่วยปกป้องเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ และสิ่งที่สำคัญกว่าการเปิดโครงการในวันนี้ คือการดูแลบำรุงรักษาให้พื้นที่คงความสมบูรณ์”
สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่จะมีขึ้นหลังจากเปิดพื้นที่นี้อย่างเป็นทางการ ได้แก่ การพายเรือคายัคบริเวณอ่าวท่าเลน ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวประมาณ 7 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่หายาก สลับกับความสวยงามของธรรมชาติภูเขาหินปูนมากมายหลายสิบลูก รวมทั้งมีสัตว์ป่านานาพันธุ์ที่สามารถมองเห็นได้แบบใกล้ชิด ผืนป่าแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่เพียง 25 กิโลเมตร บางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองกาโหรดและป่าคลองหิน และบางส่วนเป็นป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ในอนาคตอาจเพิ่มกิจกรรมที่สร้างการเรียนรู้ให้กับนักท่องเที่ยวตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติเพิ่มขึ้นด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' ติดตามการสำรวจและประเมินเสถียรภาพ “เขาตาปู” สั่งเข้มแลนด์มาร์ค จ.พังงา ต้องอยู่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
'วราวุธ' ติดตามการสำรวจและประเมินเสถียรภาพ “เขาตาปู” สั่งเข้มแลนด์มาร์ค จ.พังงา ต้องอยู่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
'วราวุธ' ติดตามการสำรวจและประเมินเสถียรภาพ “เขาตาปู” สั่งเข้มแลนด์มาร์ค จ.พังงา ต้องอยู่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
'วราวุธ' ติดตามการสำรวจและประเมินเสถียรภาพ “เขาตาปู” สั่งเข้มแลนด์มาร์ค จ.พังงา ต้องอยู่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
วันนี้ (16 เมษายน 2564) เวลา 14.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังการดำเนินงานสำรวจทางธรณีวิทยา ธรณีเทคนิค และประเมินเสถียรภาพบริเวณพื้นที่เขาตาปู ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา เพื่อประเมินเสถียรภาพและความเสี่ยงต่อการพังทลายจากการถูกกัดเซาะของน้ำทะเล จากกรมทรัพยากรธรณี และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา และหน่วยงานในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
นายวราวุธ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการพังทลายของแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีหลายแห่งของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา จึงมีความห่วงใยต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และไม่อยากให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างทางธรณีที่มีคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นนี้อีก จึงได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการสำรวจอย่างเร่งด่วนเพื่อหาแนวทางอนุรักษ์ต่อไป
“การอนุรักษ์ ‘เขาตาปู’ ถือได้ว่าเป็นการสู้กับธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังส่งผลกระทบต่อสภาพทางธรณีวิทยา และอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง จึงต้องมีการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่ออนุรักษ์ให้ ‘เขาตาปู’ เป็นแลนด์มาร์คของ จ.พังงา และเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยไปให้ได้ยาวนานที่สุด และการศึกษาในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการดำเนินงานด้านธรณีวิทยาของประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เร่งสำรวจแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญของประเทศไทย ที่มีความเสี่ยงต่อการพังทลายเช่นนี้ เพื่อวางแนวทางการป้องกันก่อนที่จะต้องสูญเสียแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ไป”
‘เขาตาปู’ เป็นอัตลักษณ์ที่สวยงามและมีความโดดเด่นทางธรณีวิทยาแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีรูปร่างคล้าย "ตาปู" นับเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของ จ.พังงา และของประเทศไทย หลายคนรู้จักในนามเกาะเจมส์บอน ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
ปัจจุบันโครงสร้างธรณีวิทยาของเขาตาปูแห่งนี้ อาจมีเสถียรภาพที่เสี่ยงต่อการพังทลายจากหินร่วง ที่ผ่านมาพบเหตุการณ์พังทลายปรากฏเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้ง อาทิ บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี เกาะทะลุ จ.พังงา และปราสาทหินพันยอด จ.สตูล
โดยในการสำรวจ ‘เขาตาปู’ เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการพังทลาย ใช้วิธีการสำรวจธรณีเทคนิค - ธรณีวิศวกรรม (การวัดรอยแตก คำนวณอัตราการกัดเซาะ โดยเครื่อง 3D Scanner) การสำรวจธรณีฟิสิกส์ ธรณีวิทยาโครงสร้างพื้นผิวท้องทะเล โดยเครื่องวัดคลื่นไหวสะเทือน (marine seismic) หยั่งน้ำลึก (echo sounder) และการสำรวจด้านอุทกศาสตร์ เพื่อวัดทิศทางการไหลของกระแสน้ำและความสูงคลื่น เป็นต้น
สำหรับแนวทางการอนุรักษ์จากการประเมินในเบื้องต้น อาจเป็นการเสริมความแข็งแรง เพิ่มเสถียรภาพของฐานราก โดยไม่ให้เสียทัศนียภาพ การใช้หลักเทคนิควิศวกรรมฐานราก ลดความรุนแรงของคลื่นที่จะเข้าปะทะหรือส่งผลต่อฐานราก ทั้งนี้ การดำเนินการจะเป็นแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40963 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วมกองทัพบก แจงยืนยันการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ปฏิบัติตามมาตรการดูแลพื้นที่ชายแดนทั้งด้านความปลอดภัย และการควบคุมโรค | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
สธ.ร่วมกองทัพบก แจงยืนยันการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ปฏิบัติตามมาตรการดูแลพื้นที่ชายแดนทั้งด้านความปลอดภัย และการควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกองทัพบก ชี้แจงยืนยันการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ปฏิบัติตามมาตรการดูแลพื้นที่ชายแดนทั้งด้านความปลอดภัย และการควบคุมโรค
เมื่อวันที่14เมษายน2564นายแพทย์ณรงค์สายวงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงกรณีที่มีการวิจารณ์ผ่านสังคมออนไลน์ถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา(จ.แม่ฮ่องสอน) ที่นำสารเคมียาฆ่าเชื้อมาฉีดพ่นตามถนนและพื้นที่สาธารณะว่าการทำความสะอาดสถานที่ที่พบผู้ติดเชื้อนั้นไม่จำเป็นต้องพ่นยาฆ่าเชื้อในอากาศเนื่องจากเชื้อไม่ได้อยู่ในอากาศนานแต่จะตกอยู่ตามพื้นผิวต่างๆการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแบบละอองฝอยในอากาศในทุกห้องเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นและหากทำไม่ถูกวิธีหรือไม่มีการป้องกันที่ดีอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้
ขณะที่กระทรวงกลาโหมกองทัพบกชี้แจงว่าต้นเดือนเม.ย.มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาจำนวนมากเข้ามาพักชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัยแนวชายแดนและได้เดินทางกลับประเทศหลังเหตุการณ์คลี่คลายดังนั้นกองกำลังชายแดนจึงปฏิบัติตามมาตรการดูแลพื้นที่ชายแดนทั้งด้านความปลอดภัยและการควบคุมโรคเพื่อให้พื้นที่นั้นกลับสู่สภาพปกติพร้อมทั้งได้ทำความสะอาดและฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคป้องกันโรคติดต่อที่อาจแฝงมากับผู้หนีภัยฯตามมาตรการด้านสาธารณสุขทั้งนี้การฉีดพ่นฆ่าเชื้อหน่วยทหารได้บริหารจัดการอุปกรณ์และกำลังพลที่มีอยู่แล้วโดยขอสนับสนุนน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจากหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อดูแลประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนท้องถิ่นในการกลับเข้าทำกิจกรรมต่างๆตามวิถีเดิมเช่นปลูกพืชล้มลุกหรือหาอาหารเป็นต้น
_______________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40953 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ สคร. กำกับรัฐวิสาหกิจให้มีการทำงานรูปแบบใหม่ สร้างรายได้ เน้นบริการประชาชน เพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ พร้อมเร่งรัด โครงการบ้านเคหะสุขประชา สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ สคร. กำกับรัฐวิสาหกิจให้มีการทำงานรูปแบบใหม่ สร้างรายได้ เน้นบริการประชาชน เพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ พร้อมเร่งรัด โครงการบ้านเคหะสุขประชา สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ สคร. กำกับรัฐวิสาหกิจให้มีการทำงานรูปแบบใหม่ สร้างรายได้ เน้นบริการประชาชน เพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ พร้อมเร่งรัด โครงการบ้านเคหะสุขประชา สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
วันนี้ ( 16 เมษายน 2564 ) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2564 ทางไกลผ่านระบบวิดิโอ เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ ร่วมทั้งพิจารณาโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมด้วย
โอกาสนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นภาพรวมรัฐวิสาหกิจไทย 52 แห่งซึ่งมีทั้งกลุ่มรัฐวิสาหกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศและกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริการสาธารณะ ต้องสร้างแนวทางและวิธีการทำงานใหม่ สามารถทำเงิน สร้างรายได้ให้กับประเทศ บริการประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ เพิ่มแนวทางการลงทุนร่วมภาคเอกชนในรูปแบบ PPP เพื่อลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐ ซึ่งต่อไปจะมีการนำผลประกอบการและการบริการประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจด้วย
นายกรัฐมนตรียังย้ำการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจที่ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง ความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และต้องสอดคล้องกับการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล ภายใต้ BCG Model โดยมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า นายกรัฐมนตรียังกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ไปพิจารณาให้แนวทางบริหารจัดการบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจที่ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 123 แห่งโดยคำนึงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจและสอดคล้องกับภารกิจของรัฐวิสาหกิจแม่ รวมทั้งให้มีการพิจารณาดำเนินการ กรณีบริษัทในเครือที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินงานต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดภาระของภาครัฐในอนาคตเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ 2559 รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ริเริ่มกระบวนการพิจารณาจัดตั้งบริษัทในเครือต้องผ่านการพิจารณา คนร. ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ทั้งนี้ ในที่ประชุมเร่งรัดการเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยในโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” ภายใต้แนวคิด “บ้านเคหะสุขประชา = บ้านพร้อมอาชีพ” จำนวน 100,000 หน่วย ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ ในระยะเวลา 5 ปี โดยให้มีการพิจารณานำการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) มาใช้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเสนอแนวทางการดำเนินการในที่ประชุม คนร. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
โดยในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงความสำคัญของรัฐวิสาหกิจว่า เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศ พร้อมฝากให้บุคคลที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม และส่งเสริมให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานด้วย
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชี้หลังเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด คาด 2-3 สัปดาห์อาจเริ่มเห็นแนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
สธ.ชี้หลังเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด คาด 2-3 สัปดาห์อาจเริ่มเห็นแนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง
กระทรวงสาธารณสุขเผยโควิดระลอกเดือนเมษายนติดเชื้อครบทุกจังหวัด คาดหลังเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ผู้ติดเชื้อจะลดลงใน 2-3 สัปดาห์ เตือนประชาชนทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อทั้งจากคนใกล้ตัวและพื้นที่ที่เดินทางไป ให้เข้มข้นป้องกันตนเอง
กระทรวงสาธารณสุขเผยโควิดระลอกเดือนเมษายนติดเชื้อครบทุกจังหวัด คาดหลังเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ผู้ติดเชื้อจะลดลงใน 2-3 สัปดาห์ เตือนประชาชนทุกคนมีความเสี่ยงติดเชื้อทั้งจากคนใกล้ตัวและพื้นที่ที่เดินทางไป ให้เข้มข้นป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ส่วนผู้ติดเชื้อที่พักรักษาในโรงพยาบาลสนาม หลีกเลี่ยงรวมกลุ่มทำกิจกรรมใกล้ชิด เสี่ยงมีการฟุ้งกระจายของเชื้อเพิ่มขึ้น
วันนี้ (16 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,582 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 921 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 656 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 5 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 97 ราย ไม่มีเสียชีวิต ทำให้การการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน มีผู้ติดเชื้อสะสม 10,172 ราย หายป่วยแล้ว 1,054 ราย และเสียชีวิตสะสม 3 ราย ทั้งนี้ สถานการณ์ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นมีผู้ติดเชื้อเกิน 1 พันรายติดต่อกัน 3 วัน ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่กระจายเชื้อในช่วง 5-7 วันก่อนหน้านี้ตามระยะเวลาการฟักตัวของโรค แต่หลังจากมีมาตรการปิดสถานบันเทิงตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน และการทำงานที่บ้าน
หลังสงกรานต์ คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์ อาจจะเห็นแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อคงตัวและลดลง
สำหรับจ.ระนองและจ.สตูลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อระลอกเมษายน 2564 ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีการติดเชื้อครบทั้ง 77 จังหวัด โดยจ.ระนองพบ 2 ราย เป็นพ่อลูกไป กทม.รับเชื้อแล้วเดินทางกลับมา ส่วนจ.สตูลพบ 1 ราย เป็นหญิงชาวญี่ปุ่นมาท่องเที่ยวในไทย และตรวจพบติดเชื้ออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ทั้งนี้ จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 100 รายหรือพื้นที่สีแดงเข้มมี 13 จังหวัด ส่วนที่มีการติดเชื้อเฉพาะในครอบครัวมี 20 จังหวัด
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ภาพรวมของการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในช่วงเดือนเมษายนพบจำนวน 10 คลัสเตอร์ใน 7 จังหวัดได้แก่ 1.จ.เชียงใหม่เป็นคลัสเตอร์ค่ายอาสานักศึกษาติดเชื้อ 34 ราย กระจายไป 13 จังหวัด 2.จ.นครสวรรค์เป็นคลัสเตอร์สถานบันเทิงติดเชื้อ 39 ราย กระจายไป 2 จังหวัด 3.จ.กาญจนบุรีเป็นคลัสเตอร์กิจกรรมโรงเรียนติดเชื้อ 28 ราย 4.จ.สงขลาเป็นคลัสเตอร์ผับที่หาดใหญ่ติดเชื้อ 16 รายและคลัสเตอร์งานเลี้ยงรุ่นติดเชื้อ 8 ราย 5.จ.นครราชสีมาเป็นคลัสเตอร์ร้านอาหารติดเชื้อ 14 ราย และคลัสเตอร์กลุ่มสังสรรค์คาราโอเกะติดเชื้อ 5 ราย 6.จ.นนทบุรีเป็นคลัสเตอร์งานสัมมนาบริษัทติดเชื้อ 19 ราย กระจายไป 8 จังหวัด และ 7.จ.นครศรีธรรมราชเป็นคลัสเตอร์งานกิจกรรมรวมกลุ่มคนติดเชื้อ 20 ราย กระจายไป 3 จังหวัด และคลัสเตอร์งานบวชติดเชื้อ 10 ราย
“ตอนนี้เป็นช่วงที่โรคมีความชุกของการติดเชื้อสูง เราจึงไม่อาจไว้ใจได้เลยว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวหรือพื้นที่ที่เราไปมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้น การป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด และแนะนำให้ดูแลคนในครอบครัวให้ดีที่สุดเป็นทางเลือกที่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง วัดอุณหภูมิ ลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด”นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อที่อยู่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม แม้จะเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยขอให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมกลุ่มระหว่างกันอย่างใกล้ชิด และสวมหน้ากากเสมอ แม้จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่ม เนื่องจากเป็นผู้ติดเชื้ออยู่แล้ว หากคลุกคลีกันมากเกินไป อาจมีการฟุ้งกระจายของเชื้อเพิ่มขึ้น และธรรมชาติของโรคนี้ต้องติดตามอาการทุกวัน เนื่องจากอาการอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีอาการเปลี่ยนแปลง เช่น เริ่มไอ มีความเสี่ยง ฟุ้งกระจายเชื้อ จะประเมินและอาจให้กลับไปอยู่ในโรงพยาบาลหลัก ยืนยันว่าโรงพยาบาลสนามมีมาตรฐานในการดูแล ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ตรวจหาเชื้อ 2 ครั้งและกักตัวครบ 14 วันแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำ แต่ขอให้เฝ้าสังเกตอาการถ้าวันท้ายๆ มีอาการผิดปกติ มีอาการทางเดินหายใจ ขอให้รายงานต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อพิจารณาการตรวจเพิ่มเติมต่อไป
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 15 เมษายน 2564 ฉีดแล้ว 586,032 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 510,456 ราย และเข็มที่สองรวม 75,576 ราย ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับการฉีดวัคซีนในในช่วงที่มีวัคซีนล็อตใหญ่ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่จะมีวัคซีนเข้ามา 6 ล้านโดส และหลังจากเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปที่จะมีเข้ามาอีกเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งวัคซีนที่ได้มาไม่ใช่สั่งวันนี้แล้วจะได้ทันที แต่เป็นการเตรียมการสั่งซื้อตั้งแต่วัคซีนยังวิจัยไม่สำเร็จ
********************************** 16 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40958 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ นำทีมเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกผู้ประกันตน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนฯ (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง กทม. ก่อนเปิดบริการ 17 เม.ย.นี้ | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ นำทีมเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกผู้ประกันตน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนฯ (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง กทม. ก่อนเปิดบริการ 17 เม.ย.นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะลงพื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบความพร้อมของสถานที่สำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานครนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการตรวจความพร้อมของสถานที่เพื่อสำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้ เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานนายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. นายสมบูรณ์ หอมนาน ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19 จึงกำชับกระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เป็นการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกหนึ่งเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจความพร้อมของสถานที่ที่จะเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ (17 เม.ย.64)
นายสุชาติกล่าวต่อว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้หารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ประกันตนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับการรักษาฟรี ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มีHQ 200 กว่าเตียง
สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39, และ 40 สามารถเข้าเว็บไซต์ https://www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า แรงงานเราสู้ด้วยกัน แล้วคลิกที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อวานนี้ (15 เม.ย.64) เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยแต่ละวันสามารถตรวจได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องพกบัตรประชาชน พร้อมสำเนา 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจด้วย หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้
“ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.phpเพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งช่องทางดังกล่าวกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัดและเพิ่มช่องทางให้กับผู้ประกันตนได้เข้าถึงการตรวจโควิด -19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที”รมว.สุชาติกล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40955 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตั้งทีมทำงานเร่งนำผู้ติดโควิด 19 กทม.ทุกรายเข้าสู่การรักษา | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
สธ.ตั้งทีมทำงานเร่งนำผู้ติดโควิด 19 กทม.ทุกรายเข้าสู่การรักษา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งตั้งทีมทำงานเร่งนำผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในกทม.ทุกรายเข้าสู่การรักษา ให้โรงพยาบาลทุกเครือข่ายจัดหา Hospitel และเตียงไอซียูมากขึ้น เตรียมจัดทำคู่มือการดูแลผู้ติดเชื้อกักตัวที่บ้านในอนาคต สำหรับผู้ที
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งตั้งทีมทำงานเร่งนำผู้ติดเชื้อโควิด 19ในกทม.ทุกรายเข้าสู่การรักษา ให้โรงพยาบาลทุกเครือข่ายจัดหา Hospitel และเตียงไอซียูมากขึ้น เตรียมจัดทำคู่มือการดูแลผู้ติดเชื้อกักตัวที่บ้านในอนาคต สำหรับผู้ที่พักอาศัยคนเดียวที่ไม่มีโอกาสแพร่เชื้อต่อ
วันนี้ (16 เมษายน 2564) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลและการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครทุกเครือข่าย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 จะนำเข้าสู่การรักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีการเปิดHospitel และโรงพยาบาลสนามทำให้มีเตียงในการรองรับมากขึ้น แต่ยังมีผู้ติดเชื้อในเขตกรุงเทพมหานครบางส่วนที่ยังอยู่ระหว่างรอเตียงจึงมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จัดตั้งทีมคณะทำงานหารือการนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษาโดยเฉพาะ โดยให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เข้ามาร่วมประสานกับทางศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร ในการช่วยกันนำส่งผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษาให้รวดเร็วคล่องตัวมากขึ้น โดยสายด่วนทั้ง 1330 1668 และ 1669 จะมีการติดตามผู้ติดเชื้อทุกรายให้เข้าสู่การรักษาทั้งหมดโดยเร็ว
นอกจากนี้ ขอให้โรงพยาบาลทุกเครือข่ายเร่งรัดการจัดทำHospitel เพื่อให้มีเตียงรองรับมากขึ้น รวมถึงการจัดหาเตียงไอซียูให้มากขึ้น เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิดที่อาจมีอาการเพิ่มมากขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการรับส่งต่อจากโรงพยาบาลสนามและ Hospitel ที่มีอาการ รวมถึงมอบให้กรมการแพทย์เตรียมจัดทำคู่มือแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อที่จำเป็นต้องกักตัวที่บ้านหากอนาคตมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในบ้านหรือห้องพักคนเดียว ไม่มีโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นในครอบครัว เนื่องจากจะต้องมีการติดตามอาการทุกวัน เพราะอาการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ซึ่งในวัยหนุ่มสาวพบว่ามีปอดบวมทั้งที่ไม่มีอาการ เพื่อให้ดูแลผู้ติดเชื้อได้อย่างปลอดภัย
“ขอให้ประชาชนอย่าช้อปปิ้งตรวจแล็บหาเชื้อโควิด 19 รวมถึงการโทรประสานหาเตียงซ้ำซ้อน ทั้งโทรเองหรือเพื่อนโทร เนื่องจากจะทำให้มีตัวเลขซ้ำซ้อนและต้องใช้เวลาในการจัดการตัวเลขและรายชื่อให้ตรงกัน” นายอนุทินกล่าว
*********************************16 เมษายน 2564
************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา รองรับคนว่างงานทั่วประเทศ | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
ก.แรงงาน เตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา รองรับคนว่างงานทั่วประเทศ
รมว.แรงงาน สั่งรวบรวมตำแหน่งงานทั่วประเทศ ช่วยกลุ่มเปราะบางและคนตกงานจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ล่าสุดพร้อมเสิร์ฟงานแล้ว 225,207 อัตรา
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ำกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญและดูแลกลุ่มเปราะบาง ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ อย่างเท่าเทียม นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว โดยมอบหมายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ติดตามสถานการณ์การจ้างงานอย่างเร่งด่วน ซึ่งนายสุชาติ เปิดเผยว่า รู้สึกห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้าง การชะลอการจ้างงาน ตลอดจนมาตรการลาพักโดยไม่จ่ายเงินเดือน ล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางานลงพื้นที่พบปะนายจ้าง/สถานประกอบการที่ยังมีกำลังการจ้างงาน เพื่อรวบรวมตำแหน่งงานว่าง เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ที่ว่างงานและประสงค์หางานทำจากทั่วประเทศ พร้อมการแนะแนวอาชีพ แนวทางการประกอบอาชีพอิสระ และการฝึกอาชีพอิสระ ที่เน้นการเพิ่มทักษะที่หลากหลาย ให้สามารถปรับตัวเพื่อประกอบอาชีพอื่นๆได้
“ขณะนี้มีนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความต้องการจ้างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีตำแหน่งงานว่างทั้งสิ้น จำนวน 225,207 อัตรา โดยตำแหน่งงานว่าง 10 อันดับแรกที่นายจ้าง/สถานประกอบการต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.แรงงานในด้านการผลิตต่าง ๆ, แรงงานทั่วไป 3.แรงงานด้านการประกอบอื่น ๆ 4.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 5. พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่นๆ 6.พนักงานบริการลูกค้า 7. พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 8.ผู้ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สินค้า (เส้นใย , เสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ) 9. ตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ 10. เจ้าหน้าที่คลังสินค้าอื่น ๆ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ผู้ว่างงานที่ประสงค์จะหางานทำ สามารถเลือกสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ในกรณีที่ไม่สามารถใช้บริการแบบออนไลน์ได้ สามารถติดต่อขอรับบริการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40961 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายปราบยาเสพติดตำรวจภาคเหนือตอนล่าง ภายใต้ยุทธการ "พาลีปราบยา" หวังทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันก้าวสู่แผนบันไดขั้นที่ 2 เน้นยึดทรัพย์ตัดวงจรมากกว่าจำนวนเม็ดยา เชื่อ | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
รมว.ยุติธรรม มอบนโยบายปราบยาเสพติดตำรวจภาคเหนือตอนล่าง ภายใต้ยุทธการ "พาลีปราบยา" หวังทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันก้าวสู่แผนบันไดขั้นที่ 2 เน้นยึดทรัพย์ตัดวงจรมากกว่าจำนวนเม็ดยา เชื่อ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน “การมอบนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง”ภายใต้ยุทธการ พาลีปราบยา สืบสวน ขยายผล ยึดทรัพย์สิน เครือข่ายยาเสพติด
ในวันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน “การมอบนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง”ภายใต้ยุทธการ พาลีปราบยา สืบสวน ขยายผล ยึดทรัพย์สิน เครือข่ายยาเสพติด โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภาค ๖ พล.ต.ต.พยูห์ ธนะศรีสืบวงศ์ รองผบช.ภาค ๖ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายมนู พุกประเสริฐ นายก อบจ.สุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ผู้บังคับการในสังกัดตำรวจภูธรภาค ๖ ข้าราชการตำรวจและตัวแทนกองทุนแม่ของแผ่นดิน ร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในแนวทางของรัฐบาลได้ดำเนินการแนวทางของการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาโดยตลอด และดำเนินการมาในรูปแบบคล้ายกันแทบทุกรัฐบาล และเราเห็นว่าปัญหาปราบยาเสพติด ยิ่งปราบยิ่งเยอะ ทำให้เราต้องคิดและดำเนินการว่าจะทำอย่างไรให้น้อยลง การดำเนินการตรงนี้ในมาตรการของการปราบปรามยาเสพติดไม่ได้มีแค่ส่วนนี้ส่วนเดียว การแพร่ระบาดของยาทำให้มีคนติดคุกจำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้ต้องขังคดียาเสพติดถึง ๘๐% ทำให้คนล้นคุกเกิดความแออัด ซึ่งตนได้เข้าไปแก้ปัญหาให้ความแออัดลดน้อยลง คนค้ายาส่วนใหญ่สมองดี เป็นนักธุรกิจ ค้าขาย อยากได้เงินเร็ว บางคนทำผิดซ้ำถึง ๙ ครั้ง วิธีการที่เราจับอย่างเดียวอาจไม่สัมฤทธิ์ผล สถิติปีหนึ่งมูลค่ายาเสพติดจากสามเหลี่ยมทองคำมากถึง ๒.๑ ล้านล้านบาท ซึ่งเราจับมาเผากันไม่ไหว โรงงานผลิตอยู่นอกประเทศเรา เรามีความร่วมมือกับกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ๖ ประเทศ จับมือร่วมกันปราบปรามสารตั้งต้น แต่ตนยังไม่พอใจเพราะเราจับได้แต่ยา ที่ผ่านมาเรายึดเงินจากผู้ค้ายาได้ไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาทต่อปี แต่เราใช้งบบูรณาการ ๖,๐๐๐ กว่าล้านบาท ดังนั้นเราจึงต้องเน้นการขยายผลการยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในอีกส่วนคือเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ที่เรากำลังจัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งจะทำให้งานต่างๆ มีความคล่องตัวมากขึ้น และเราต้องมีการให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน การสร้างความปลอดภัยให้กับหมู่บ้านเก็บข้อมูลสืบสาวเรื่องไปต้นตอใหญ่ และเราจะต้องมีการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด และสุดท้ายมาตรการทุกอย่างจะต้องบูรณาการร่วมกัน ในอดีตรัฐบาลแก้ปัญหาแต่ปลายเหตุ ตนหารือกับ ป.ป.ส. ว่าที่ทำมาเป็นบันไดขั้นที่ ๑ วันนี้เราจะขึ้นบันไดขั้นที่ ๒ หากประมวลกฎหมายยาเสพติดผ่านรัฐสภา เราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันปราบปราม วันนี้เราตั้งเป้าการยึดทรัพย์ยาเสพติดไว้ ๖,๐๐๐ ล้านบาท และได้ตั้งคณะทำงานชุดพิเศษ "พาลีปราบยา" มี ๑๖ คณะ ทำงานและประชุมร่วมกันทุกสัปดาห์ แต่เดิมตัวชี้วัดเราดูที่เม็ดยา แต่ตนได้ขอเปลี่ยนเป็นการยึดทรัพย์เป็นหลักในวันนี้ท่านมองดูอาจจะยากเพราะยังไม่เคยทำ แต่เรามีถังข้อมูลต่างๆอยู่แล้ว
"การปราบปรามยาเสพติด เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ท่านทั้งหลายไม่ต้องหนักใจกับเป้าหมายการยึดทรัพย์ หากท่านฟังเราอธิบายประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ก็ทำได้แล้ว ซึ่งทุกท่านมีฝีมือในการทำงาน ค่อยๆ สาวจากรายเล็กไปยังรายใหญ่ เชื่อว่าทุกท่านทำได้อย่างแน่นอน ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มารับฟังนโยบายรัฐบาล เราพร้อมปรับเปลี่ยนและพัฒนาเพื่อลูกหลานชาวไทย กับบันไดขั้นที่ ๒ ที่เรากำลังจะก้าวขึ้นไป หากมีข้อสงสัยตรงจุดใดสามารถสอบถามมาได้เลยเราพร้อมที่จะช่วยอธิบายให้ทุกท่านได้เข้าใจ" นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
ผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
19 มกราคม 2564
คณะผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมนำแพทย์ และทีมนักวิจัยและพัฒนา เสนอผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย เครื่องตรวจวินิจฉัย “ลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย” “ปัญญาประดิษฐ์ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชน” รวมทั้งผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2564 ได้แก่ “เครื่องผลิตละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อ” จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “ระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสแบบไฮบริดควบคุมผ่านอินเตอร์เนตของสรรพสิ่งสำหรับการให้บริการบริเวณสถานที่สาธารณะ” จากคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทีมแพทย์และคณะวิจัยและพัฒนา รัฐบาลพร้อมผลักดันการคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ สามารถนำไปสู่กระบวนแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งการวิเคราะห์แหล่งที่มาทำให้สามารถระบุสายพันธุ์ไวรัส ช่วยในการควบคุมให้มีประสิทธิมากขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การจัดทำมาตรการตรวจสอบคัดกรองที่เข้มข้น ซึ่งไทยมีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ จึงต้องไม่ประมาทและควบคุมโรคตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งอยากเห็นการต่อยอดงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาทิ การนำระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสใช้ในสถานศึกษา โรงพยาบาล การพัฒนาเครื่องปรับอากาศให้สามารถพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ให้โรงพยาบาลสนามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดเชียงใหม่ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
รมช.มนัญญา ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ให้โรงพยาบาลสนามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดเชียงใหม่
รมช.มนัญญา ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ให้โรงพยาบาลสนามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งมอบกำลังใจให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค อาทิ นมยูเอชที โยเกิร์ต ให้กับโรงพยาบาลสนามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยโรงพยาบาลสนามดังกล่าว ได้มีกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็ก 'คลัสเตอร์ศูนย์เด็กเล็ก' จังหวัดเชียงใหม่ มีเด็กติดโควิด 16 ราย อายุน้อยสุด 2 ขวบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย รวมถึงคุณครู บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งการส่งมอบผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ครั้งนี้ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 อย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เผยครม. ขยายเวลายกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของนำเข้าใช้รักษา ป้องกันโรคโควิด-19 ถึง มี.ค. 65 พร้อมให้สิทธิประโยชน์ค่ารักษาครอบคลุมค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการข้างเคียง | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
นายกฯ เผยครม. ขยายเวลายกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของนำเข้าใช้รักษา ป้องกันโรคโควิด-19 ถึง มี.ค. 65 พร้อมให้สิทธิประโยชน์ค่ารักษาครอบคลุมค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการข้างเคียง
นายกฯ เผยครม. อนุมัติขยายเวลายกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของนำเข้าใช้รักษา ป้องกันโรคโควิด-19 ถึงมี.ค. 65 พร้อมขยายสิทธิประโยชน์ค่ารักษาไวรัสโควิด-19 ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจากการฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการข้างเคียง
วันนี้ (27 เมษายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงความเข้มแข็งทางพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ที่ตอนนี้อาจมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจรายครัวเรือนบ้าง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีการขยายตัว จากการรายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้พบว่าเศรษฐกิจขยายตัวสูงสุดในรอบหลายเดือนในด้านอุตสาหกรรม พาณิชย์ และอื่น ๆ มีแนวโน้มกำลังซื้อจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะมีวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร พืช ผล ทางการเกษตร ที่หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบ โดยประเทศไทยจะต้องรักษาคุณภาพอาหารอย่างเต็มที่ และดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเพื่อติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในทวิภาคีและพหุภาคี
วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มเติม รวมถึงมีการหารือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากงบประมาณที่มีอยู่และกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศขยายเวลาการยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาใช้ในการรักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงเดือนมีนาคม ปี 2565 และอนุมัติงบประมาณให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น การฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการข้างเคียง ค่ายานพาหนะในการนำส่งผู้ป่วย เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชี้แจงกรณีการมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบตามแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าว โดยมอบหมายแนวทางเพื่อให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมยืนยันว่านายกรัฐมนตรีดูแลทุกพื้นที่ทั้งของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นการทำงานลักษณะ Top-Down โดยเห็นชอบแผนงานจัดทำโครงการและอนุมัติงบประมาณโดยคณะรัฐมนตรี อาทิ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และการทำงานลักษณะ Bottom-Up โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้พิจารณาแผนงานโครงการในพื้นที่ ดังนั้น รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายจะต้องติดตามแผนงานโครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้ว และนำข้อเสนอแนะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดสรรโครงการเพิ่มเติม ยืนยันไม่ใช่การทำตามคะแนนเสียงการเมืองและยึดความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41253 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” สั่งกรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาแก้ปัญหาเมียนมาห้ามนำเข้าเครื่องดื่มทางบกจากไทย | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
“จุรินทร์” สั่งกรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาแก้ปัญหาเมียนมาห้ามนำเข้าเครื่องดื่มทางบกจากไทย
วันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 10.45 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นแผนรับมือพม่างดการนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มชั่วคราว ว่า ได้รับรายงานจากทูตพาณิชย์ประจำเมียนมา
ว่าในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 อาจจะมีคำสั่งเรื่องสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม ที่เมียนมาอาจระงับไม่ให้นำเข้าผ่านด่านทางบก แต่ให้นำเข้าผ่านด่านทางเรืออย่างเดียว ซึ่งในเรื่องนี้ตนได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าต่างประเทศ เร่งดำเนินการเจรจากับเมียนมา โดยช่วงบ่ายวันนี้จะมีการนัดหารือกับอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศของเมียนมา เพื่อถามถึงสาเหตุและหนทางในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
โดยสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มนั้น ประเทศไทยส่งออกไปยังเมียนมาปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อมีการหารือกันแล้วจะแจ้งข้อเท็จจริงรวมทั้งความคืบหน้าในการหาทางออกร่วมกันต่อไป เพราะที่ผ่านมาทุกอย่างก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี ตัวเลขการค้าชายแดนไทยกับเมียนมายังเดินหน้าต่อไปได้ เรื่องนี้เป็นกรณีเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และนมเปรี้ยว เป็นต้น
โดยจะกระทบทำให้เราต้องไปส่งทางเรือทำให้มีต้นทุนการขนส่งมากขึ้นแทนที่จะส่งไปทางบก ซึ่งที่ผ่านมาเราส่งผ่านด่านใหญ่ 3 ด่าน คือ 1.แม่สอด 2.แม่สาย 3.ที่ระนอง
“บ่ายวันนี้จะมีการหารือกันระหว่างฝ่ายไทยกับเมียนมา และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอีกครั้งครับ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41244 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง จะเปิดจนถึง 30 เม.ย.นี้ ย้ำ สายด่วน 1506 กด 6 ช่วยประสานส่งผู้ประกันตนถึงโรงพยาบาลได้ทันท่วงที | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง จะเปิดจนถึง 30 เม.ย.นี้ ย้ำ สายด่วน 1506 กด 6 ช่วยประสานส่งผู้ประกันตนถึงโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกันใน 5 จังหวัด ขณะนี้ตรวจไปแล้ว 29,065 คน ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ 607 คน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกันใน 5 จังหวัด ขณะนี้ตรวจไปแล้ว 29,065 คน ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ 607 คน เน้นย้ำศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ จากนั้นจะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการตรวจคัดกรองอีกครั้งในวันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ ด้านผู้ประกันตนกล่าวขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ประสานความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1506 กด 6 นำส่งโรงพยาบาลจนถึงมือหมอได้อย่างทันท่วงที
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งภาพรวมขณะนี้ตรวจไปแล้วทั้งหมด 29,065 คน พบผู้ติดเชื้อ 607 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เม.ย.64 เวลา 16.00 น.) ซึ่งแต่ละศูนย์มีผลการตรวจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ตรวจแล้ว 23,055 คน พบผู้ติดเชื้อ 602 คน ซึ่งได้ประสานส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วจำนวน 31 คน ส่งเข้า Hospitel จำนวน 290 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค จังหวัดชลบุรีตรวจแล้ว 596 คน พบผู้ติดเชื้อ 5 คน และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ปทุมธานี ตรวจแล้ว 3,296 คน เชียงใหม่ ตรวจแล้ว 1,389 คน นนทบุรี ตรวจแล้ว 729 คน ซึ่งในส่วนของ 3 จังหวัดยังไม่ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อ โดยศูนย์ตรวจที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง กรุงเทพมหานครจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ จากนั้นจะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการตรวจคัดกรองอีกครั้งในวันที่ 5 – 11 พ.ค.นี้ และจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า เมื่อผู้ประกันตนเข้ารับการตรวจโควิด-19 แล้ว และระหว่างรอผลตรวจต้องกักตัวที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เมื่อทราบผลการตรวจแล้วทางโรงพยาบาลจะแจ้งให้ทราบผ่าน 3 ช่องทาง คือ QR Code , SMS และทางโทรศัพท์เพื่อแจ้งแนวการปฏิบัติตนขณะรอเข้ารับการรักษาตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ผู้ประกันตนที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย (กลุ่มสีเขียว) โรงพยาบาลให้เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) หรือโรงพยาบาลสนาม 2) สำหรับกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรงหรือกลุ่มที่มีอาการรุนแรง (กลุ่มสีส้มและกลุ่มสีแดง) พิจารณาให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กรณีโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ประกันตนได้เนื่องจากเตียงเต็มโรงพยาบาลสามารถส่งต่อผู้ป่วยให้กับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการดูแลต่อไป ทั้งนี้ โรงพยาบาลที่ตรวจคัดกรองโควิด-19 ทั้ง 5 จังหวัดที่เปิดเป็นศูนย์ตรวจจะมีหน้าที่ในการสอบสวนโรคและพิจารณาส่งผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลหรือ Hospitel ซึ่ง ณ ขณะนี้มีโรงพยาบาล ที่จัดตั้ง Hospitel จำนวน 23 แห่ง จำนวน 6,943 เตียง และอยู่ระหว่างประสานหาเตียงเพิ่มสำหรับรองรับผู้ป่วยที่ประสานหาเตียงผ่านสายด่วน 1506 กด 6 อีกจำนวน 3,000 เตียง
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกันตนได้ขอความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงานและสายด่วน 1506 กด 6 ว่า ผู้ติดเชื้อรายหนึ่งเธอมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว และรู้สึกกังวลใจ เนื่องจากมีโรคประจำตัวเป็นมะเร็งเต้านมได้เดินทางมาตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง และทราบผลตรวจเมื่อวานนี้ (26 เม.ย.64) และทางกระทรวงแรงงานได้ประสานโรงพยาบาลลาดพร้าว ให้นำรถพยาบาลมารับเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ และเมื่อเวลา 17.27 น.ที่ผ่านมาเจ้าตัวโทรมาแจ้งว่าได้ขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ให้การประสานการดูแลจนเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลลาดพร้าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่อีกราย เป็นผู้ประกันกันมาตรา 33 มีอาการคอแห้ง เจ็บคอ มีไข้อ่อนๆ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงประสานขอความช่วยเหลือรับมายังกระทรวงแรงงาน เพื่อขอรถพยาบาลให้ไปรับ และกระทรวงแรงงานได้ให้รถพยาบาลของโรงพยาบาลวิชัยเวช เข้าไปรับในวันนี้เวลาประมาณ 18.00 น.จนถึงเจ้าตัวได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
เช่นเดียวกับอาม่ารายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีอาการไออย่างรุนแรง ผู้ดูแลใกล้ชิดจึงเป็นห่วงอาม่าต้องการให้พาไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยจึงตัดสินใจประสานความช่วยเหลือมายังกระทรวงแรงงานให้หารถมารับ จนล่าสุดรถพยาบาลของโรงพยาบาลสมุทรปราการได้รับตัวอาม่าไปรักษาเรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพินิจฯ ยกระดับป้องกันโควิดขั้นสูงสุด สั่งงดกิจกรรมไม่จำเป็นทั้งหมด ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่เด็ดขาด ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเขียนไทม์ไลน์ส่งรายงานทุกวัน | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
กรมพินิจฯ ยกระดับป้องกันโควิดขั้นสูงสุด สั่งงดกิจกรรมไม่จำเป็นทั้งหมด ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่เด็ดขาด ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเขียนไทม์ไลน์ส่งรายงานทุกวัน
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมพินิจฯ ยกระดับป้องกันโควิดขั้นสูงสุด สั่งงดกิจกรรมไม่จำเป็นทั้งหมด ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่เด็ดขาด ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเขียนไทม์ไลน์ส่งรายงานทุกวัน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในหลานพื้นที่ทั่วประเทศ จนศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ประกาศยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สีแดงเข้ม และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) นั้น
ล่าสุด พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่รระบาดเชื้อโควิดในขณะนี้ จึงเร่งสั่งการให้สถานพินิจทั่วประเทศ ยกระดับมาตรการขั้นสูงสุด 30 วัน เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ เจ้าหน้าที่ ได้ให้เจ้าหน้าที่ทุกนายปฏิบัติตัวอย่างเข้มงวดในการดูแลและระมัดระวัง ตามแนวทางที่ ศบค. และ จว. กำหนด รวมถึงให้ดูแลครอบครัวและผู้ใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน ไม่อนุญาตให้ไปในพื้นที่เสี่ยงอย่างเด็ดขาด หากมีความจำเป็นต้องขออนุญาตก่อน และสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีหน้าที่ภายในพื้นที่ควบคุมเข้าไปในพื้นที่ควบคุมโดยเด็ดขาด รวมถึงงดการเรียนการสอนวิชาชีพ และกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องใช้บุคลากรจากภายนอกเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของเราติดเชื้อ หรือมีการสัมผัสบุคคลจากภายนอกให้มากที่สุด
ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในเขตควบคุมได้สั่งการให้ทุกคนเขียนไทม์ไลน์ก่อนและหลังเข้างานของตัวเองแล้วส่งรายงานแก่ผู้อำนวยการสถานพินิจรับทราบทุกวัน นอกจากนี้ยังให้ผู้อำนวยการใช้อำนาจทางบริหารดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามมาตราการได้อย่างเต็มที่ และให้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคนในการใช้มาตราการนี้อย่างเข้มงวด เพื่อความร่วมมือร่วมแรงกัน
โดยส่วนต่อมาคือ การบริหารทรัพยากร ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรสำรองในพื้นที่เขตใกล้เคียงให้มาปฏิบัติงานแทนได้ทันที หากมีการระบาดภายในพื้นที่ควบคุมหรือมีเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงขณะนี้ได้ประสานงานกับสาธารณสุขจังหวัดเพื่อเตรียมความพร้อมหากมีเหตุการณ์สามารถปรับเปลี่ยนสถานพินิจฯ เป็นโรงพยาบาลสนามในการดูแลเด็กและเยาวชนได้อีกด้วย โดยกรมฯจะสนับสนุนทรัพยากรการทำงานอย่างเต็มที่ ขณะนี้ให้ทุกสถานพินิจและศูนย์ฝึกฯ เป็นพื้นที่สวมแมส 100 % ในขณะปฏิบัติงานทั้งในส่วนสำนักงานและพื้นที่ควบคุม
สำหรับส่วนสุดท้ายคือ เยาวชน โดยในช่วงนี้ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่อง เราพยายามบริหารจัดการลดจำนวนเยาวชนในการเข้าสู่สถานพินิจให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก จึงได้ประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ใช้การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้แนวทางอื่น มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานและการให้บริการ เช่น การนัดหมาย การเลื่อนวันนัดรายงานตัว การประกันตัว การเยี่ยมญาติ การประชุม การไต่สวนเด็กและเยาวชน ให้ใช้ระบบ conference เพื่อลดกิจกรรมกับบุคคลภายนอก รวมถึงลดการเคลื่อนที่ของเด็กและเยาวชนของกรมพินิจให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันทุกรูปแบบ แต่ทั้งนี้การให้บริการและการปฏิบัติงาน ยังต้องสามามรถดำเนินการได้ครบถ้วน เป็นต้น
“ขอให้เชื่อมั่นว่ากรมพินิจฯจะใช้มาตรการที่เราดำเนินการในขณะนี้ให้มีความเข้มงวดอยู่ในขั้นสูงสุดทุกขั้นตอน มีการพ่นยาฆ่าเชื้อในเขตควบคุมทุกจุด ตรวจวัดไข้เยาวชนและเจ้าหน้าที่ ผ่านการเก็บข้อมูลติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดทุกวัน วันละ 2 รอบเช้าเย็น พร้อมสั่งให้ทุกสถานพินิจและศูนย์ฝึกฯ เป็นพื้นที่สวมแมส 100 % ในขณะปฏิบัติงาน ยิ่งไปกว่านั้นเรายังต้องดูแลครอบคลุมไปถึงครอบครัวของเจ้าหน้าที่ด้วย” พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41254 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมอ. คุมเข้ม “อะแดปเตอร์” ชาร์จโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต ต้องได้มาตรฐาน มอก. เร่งบังคับใช้ภายในกลางปีนี้” | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
“สมอ. คุมเข้ม “อะแดปเตอร์” ชาร์จโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต ต้องได้มาตรฐาน มอก. เร่งบังคับใช้ภายในกลางปีนี้”
สมอ. เตรียมออกมาตรฐานควบคุม “อะแดปเตอร์” ชาร์จโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง วีดิทัศน์ และการสื่อสาร ที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 600 โวลต์ รวม 20 รายการ ต้องได้มาตรฐาน มอก. เร่งบังคับใช้ภายในกลางปีนี้
สมอ.เตรียมออกมาตรฐานควบคุม“อะแดปเตอร์”ชาร์จโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเสียงวีดิทัศน์และการสื่อสารที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน600โวลต์รวม20รายการต้องได้มาตรฐานมอก.หลังมีข่าวประชาชนถูกไฟดูดเสียชีวิตจากการใช้อย่างต่อเนื่อง เร่งบังคับใช้ภายในกลางปีนี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมและการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าโดยกำหนดเป็นนโยบายสำคัญและได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือสมอ.ดำเนินการเนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินงานด้านการมาตรฐานของประเทศทั้งการกำหนดมาตรฐานการควบคุมและกำกับติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
“การดำเนินงานด้านการกำหนดมาตรฐานของสมอ.มีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะการคุ้มครองประชาชนที่ต้องได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมอีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไปเพื่อให้การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศสามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนซึ่งผมได้กำชับกับบอร์ดสมอ.ให้เร่งรัดดำเนินการโดยเฉพาะมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนให้ดำเนินการเป็นอันดับแรก”นายสุริยะฯกล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กล่าวเพิ่มเติมว่าการประชุมบอร์ดสมอ.เมื่อวันที่20เมษายน2564ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบให้สมอ.ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเสียงวีดิทัศน์และการสื่อสารที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน600โวลต์ได้แก่เครื่องรับวิทยุเครื่องรับโทรทัศน์เครื่องขยายสัญญาณเครื่องเล่นแผ่นดิสก์เครื่องเล่นวีดีโอเกมส์เครื่องรับสัญญาณไมโครโฟนไร้สายเครื่องรับสัญญาณวิทยุเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมลำโพงพร้อมขยายสัญญาณเครื่องแปลงสัญญาณเครื่องปรับแต่งสัญญาณเครื่องผสมสัญญาณเสียงเครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์เครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต (อะแดปเตอร์)เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เครื่องเล่นเสียงและภาพเครื่องรับสัญญาณภาพและเสียงผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเครื่องรับสัญญาณเคเบิลทีวีและเครื่องแปลงสัญญาณเสียงและภาพรวม20รายการเป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐานมอก. 62368-2563หลังมีผู้ใช้อะแดปเตอร์ไม่ได้มาตรฐานชาร์จโทรศัพท์มือถือถูกไฟดูดเสียชีวิตโดยจะเร่งดำเนินการประกาศบังคับใช้มาตรฐานภายในกลางปีนี้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนจากอันตรายที่เกิดจากไฟฟ้าโดยข้อกำหนดในมาตรฐานจะควบคุมด้านความปลอดภัย มีการทดสอบเกี่ยวกับการบาดเจ็บที่เกิดจากไฟฟ้าการทดสอบเกี่ยวกับไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าการทดสอบความร้อนการทดสอบการแผ่รังสีและการทดสอบเกี่ยวกับสารอันตรายเป็นต้น
“การประชุมบอร์ดสมอ.ในครั้งนี้นอกจากจะเห็นชอบให้สมอ.ควบคุมอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องแล้วยังได้เห็นชอบในเรื่องสำคัญๆดังนี้1)ให้สมอ.จัดทำมาตรฐานทั้งที่เป็นมาตรฐานใหม่และมาตรฐานเดิมที่นำมาทบทวนรวม9มาตรฐานได้แก่สีอิมัลชันใช้งานทั่วไปสีอิมัลชันทนสภาวะอากาศ สีอิมัลชันลดความร้อนจากแสงอาทิตย์และเครื่องทำน้ำร้อนแบบฮีตปั๊มเป็นต้น2)ให้สมอ.ควบคุมสินค้าอีก5รายการที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชนได้แก่ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหารภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสำหรับอาหารและถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟเป็นต้น3)ให้สมอ.ทำลายผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานของผู้ประกอบการจำนวน4รายที่คดีถึงที่สุดแล้วได้แก่ของเล่นเหล็กเส้นกลมหมวกนิรภัยและสับปะรดกระป๋องมูลค่ารวมกว่า1,050,000บาทอีกด้วย”เลขาธิการสมอ.กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41223 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม เร่งผลักดัน โครงการช่องทางพิเศษ สำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย (Perishable Premium Lane : PPL) | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
กระทรวงคมนาคม เร่งผลักดัน โครงการช่องทางพิเศษ สำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย (Perishable Premium Lane : PPL)
จับมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าเกษตร เพิ่มมูลค่าการส่งออก พืช ผัก ผลไม้ ออกสู่ตลาดโลก
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายและงานสำคัญของกระทรวงคมนาคม ในวันที่ 26 เมษายน 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม และมีสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินโครงการช่องทางพิเศษสำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย (Perishable Premium Lane : PPL) ของ ทอท. เพื่อเป็นศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าการเกษตรก่อนส่งออกไปยังประเทศปลายทางได้อย่างมีมาตรฐานสากล ซึ่งในระยะแรกจะดำเนินการจัดตั้ง “สถานที่สำหรับเตรียมสินค้าเกษตร สินค้าเน่าเสียง่าย และตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งออกต่อไปในอนาคตผ่านทางช่องทางพิเศษ” (Perishable Premium Lane) ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานที่ให้บริการ บริเวณอาคารคลังสินค้า 4 (WH4) อยู่ภายในเขตปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยดำเนินงานผ่านบริษัทจำกัดในนาม บริษัท ท่าอากาศยานไทย ทาฟ่า โอเปอเรเตอร์ จำกัด (AOT TAFA Operator Co.,Ltd : AOTTO) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ทอท. และ บริษัท ทาฟ่า คอนซอร์เที่ยม จำกัด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายละเอียดของการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงคมนาคม โดย ทอท. และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานในระยะยาวของโครงการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Pre-Shipment Inspection Center) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างทั้งสองกระทรวงในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร และการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรก่อนส่งออกทางอากาศไปยังประเทศปลายทางได้อย่างมีมาตรฐานสากล และเป็นการยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบสินค้าเกษตรให้แก่ผู้ส่งออกและเกษตรกรไทย รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งออกสินค้าภาคเกษตรเพิ่มมูลค่าประเภท พืช ผัก ผลไม้ ไปสู่ตลาดต่างประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางอากาศและระบบโลจิสติกส์ในภาพรวมของประเทศ โดยในระยะแรกจะเริ่ม ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจะขยายต่อไปยังท่าอากาศยานอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะร่วมมือกันในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ร่วมกันพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูงขึ้น
2. ร่วมกันวางระบบการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรก่อนบรรทุกขึ้นเครื่องบิน (Pre-Shipment Inspection) เพื่อขนส่งไปยังประเทศปลายทาง
3. ร่วมกันผลักดันและโน้มน้าวให้ประเทศคู่ค้าตระหนักถึงประโยชน์ของการตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนบรรทุกขึ้นเครื่องบิน
4. ร่วมกันผลักดันและโน้มน้าวให้ประเทศคู่ค้าส่งเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรหรือหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจมาตรวจสอบสินค้าเกษตร ณ ท่าอากาศยานของไทยก่อนบรรทุกขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศปลายทาง
5. จัดตั้งคณะทำงานหรือคณะเจรจาเพื่อติดต่อประสานงานกับประเทศต่าง ๆ หรือหน่วยงานหรือองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ
6. ร่วมกันจัดสัมมนาหรือการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย หรือให้แก่บุคคลภายนอก รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน
7. ร่วมกันพัฒนาระบบดิจิทัลหรือโซลูชั่นเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน และเพื่อประสานการทำงานของทั้งสองกระทรวงภายใต้ MOU ฉบับนี้ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
8. จัดตั้งงบประมาณเชิงบูรณาการเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้ MOU ฉบับนี้
9. ดำเนินกิจกรรมร่วมกันในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ได้มีข้อสั่งการให้ สนข. ร่วมกับ ทอท. เร่งจัดทำรายละเอียด MOU ระหว่างกระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถลงนามได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2564 รวมถึงจัดทำ Action Plan เพื่อให้การดำเนินงานเกิดความชัดเจน และสามารถมุ่งไปสู่การพัฒนาเป็นศูนย์ตรวจสอบและรับรองคุณภาพสินค้าก่อนส่งออก (Certified Hub) ในอนาคต ทั้งนี้จะมีการกำหนดการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานดังกล่าวในเดือนพฤษภาคม 2565 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41225 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ครอบคลุมกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
สธ.เตรียมจองซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ครอบคลุมกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป
กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงบริษัทไฟเซอร์ไม่เคยเสนอขายวัคซีนโควิด19 ให้ไทย 13 ล้านโดส การจองต้องวางเงินมัดจำ ไม่มีข้อเสนอให้ใช้วัคซีนก่อนจ่ายทีหลัง และไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบ มีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมจองซื้อแล้ว
กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงบริษัทไฟเซอร์ไม่เคยเสนอขายวัคซีนโควิด19 ให้ไทย 13 ล้านโดส การจองต้องวางเงินมัดจำ ไม่มีข้อเสนอให้ใช้วัคซีนก่อนจ่ายทีหลัง และไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบ มีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมจองซื้อแล้ว หลังมีข้อมูลใช้ได้ในอายุ 12 ปีขึ้นไป จัดเก็บในอุณหภูมิสูงขึ้นได้ สะดวกต่อการขนส่ง พร้อมส่งให้ไทยได้ในไตรมาส 3
วันนี้ (27 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ได้ 100 ล้านโดสโดยได้เจรจากับผู้ผลิตวัคซีนหลายราย ทั้งเรื่องจำนวนวัคซีนและระยะเวลาส่งมอบ เงื่อนไขสำคัญคือต้องส่งมอบได้ภายในปีนี้ ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ถือว่าประสบความสำเร็จส่งตรวจคุณภาพแล้ว 2 รุ่นการผลิต และรุ่นการผลิตถัดไปอยู่ระหว่างรอผลการตรวจคุณภาพจากห้องปฏิบัติการกลางที่สกอตแลนด์และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้จากการหารือกับแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) ยืนยันว่าจะผลิตและส่งมอบวัคซีนให้ได้ตามแผนที่กำหนดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนหรืออาจเร็วกว่านั้น
สำหรับกรณีการส่งต่อข้อมูลทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการเจรจาจัดซื้อวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ มีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจผิด สถาบันวัคซีนแห่งชาติและไฟเซอร์ (ประเทศไทย) ได้ร่วมกันตรวจสอบแล้ว จึงขอชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อลดความเข้าใจผิดและข้อกล่าวหาใน 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก ไฟเซอร์ไม่เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้านโดส แต่ไฟเซอร์ได้นำตัวเลขแผนการจัดหาวัคซีนของไทยช่วงปี 2563 ที่มีแผนการจัดซื้อวัคซีนแบบทวิภาคีหรือซื้อตรงกับผู้ผลิตคิดเป็น 10% ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 6.5 ล้านคนรวม 13 ล้านโดส ไปเสนอบริษัทแม่ (Head Office) ว่าจะมีวัคซีนเพื่อนำเสนอขายให้ประเทศไทยหรือไม่ จึงไม่ใช่ตัวเลขที่เสนอขายให้ไทย
ประเด็นที่สอง การซื้อวัคซีนไม่ต้องใช้เงินซื้อ มีวัคซีนให้ใช้ก่อนค่อยจ่ายทีหลัง เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเอกสารสัญญาการจองซื้อจากไฟเซอร์ทุกฉบับที่เจรจากันมาตั้งแต่ต้นปี 2564 มีเงื่อนไขการจองที่ต้องวางเงินมัดจำทั้งสิ้น และไม่มีข้อเสนอจัดส่งวัคซีนให้ใช้ก่อนแต่อย่างใด ซึ่งในสถานการณ์ที่แย่งชิงวัคซีนกันทั่วโลก ไม่มีบริษัทใดให้ใช้วัคซีนก่อนแล้วจ่ายเงินภายหลัง และประเด็นสุดท้าย ไฟเซอร์เสนอรัฐบาล 4 รอบแต่ถูกปฏิเสธก็ไม่เป็นจริง เรามีการเจรจามาโดยตลอด ทำให้ได้รับทราบข้อมูลการพัฒนาวัคซีนของไฟเซอร์อย่างต่อเนื่อง
เช่น ความคงตัวของวัคซีนจากข้อจำกัดที่ต้องเก็บวัคซีนในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียสเหลือเพียง -20 องศาเซลเซียส ทำให้สะดวกในการจัดเก็บและขนส่งในไทยมากขึ้น การใช้วัคซีนในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปซึ่งกำลังรออนุมัติจาก อย.สหรัฐอเมริกา รวมถึงเงื่อนไขที่สามารถจัดส่งวัคซีนได้ในช่วงต้นของไตรมาส 3 ทำให้การเจรจามีความเป็นไปได้มากขึ้น
“วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำผู้บริหารกระทรวงฯหารือกับทางไฟเซอร์ จนได้ความชัดเจนว่าให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติและกรมควบคุมโรคจองซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์ รวมทั้งการเจรจาร่างเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงเงื่อนไขและส่งมอบวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด เนื่องจากวัคซีนของไฟเซอร์ช่วยปิดช่องว่างกลุ่มประชากรนักเรียน ที่มีแนวโน้มอาจทำให้เกิด
การระบาดขนาดใหญ่ได้ จากการมารวมกลุ่มกันในโรงเรียน”นายแพทย์นครกล่าว
******************************* 27 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41260 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” ผู้ป่วยโควิด | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” ผู้ป่วยโควิด
...
ชัดเจนขึ้นอีกระดับหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สธ. เตรียมเปิด “ศูนย์แรกรับและส่งต่อ” เป็นแห่งแรก เพื่อนำผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างรอเตียงเข้ามาดูแลด้วยทีมแพทย์ พยาบาล
.
สถานที่คือ สนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก ช่วยสนับสนุนและแบ่งเบาภาระของ กทม. ในการรับส่งและจัดหาเตียงผู้ป่วย โดยจะมีทีมแพทย์ พยาบาล ยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ เข้ามาดูแลผู้ป่วยในลักษณะหอผู้ป่วยโควิดรวม
.
นอกจากนี้ ศูนย์แห่งนี้จะทำหน้าที่ส่งผู้ติดเชื้อไปโรงพยาบาลในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่เขตปริมณฑล หากเตียงใน กทม.เต็ม และในอนาคตอาจปรับเป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19” อีกด้วย
Cr : ศูนย์ข้อมูล COVID-19
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41221 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมหารือภาคเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม สั่งเร่งนำผู้ป่วยเข้าถึงการรับบริการรักษาพยาบาล | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีเตรียมหารือภาคเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม สั่งเร่งนำผู้ป่วยเข้าถึงการรับบริการรักษาพยาบาล
นายกรัฐมนตรีเตรียมหารือภาคเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม สั่งเร่งนำผู้ป่วยเข้าถึงการรับบริการรักษาพยาบาล
วันนี้ (27 เมษายน 2564) เวลา 12.30 น. ณ โถงตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนาม ณ ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีระบบการรับรองผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีการคัดกรองการผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แบ่งออกเป็น 3 ระดับสีด้วยกัน คือ ผู้ป่วยสีเขียว คือ ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย จะถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ผู้ป่วยสีเหลือง คือ ผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง จะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทั่วไปที่จำเป็นต้องจัดหาเตียงรักษาพยาบาลให้รองรับได้ และผู้ป่วยสีแดง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จะต้องถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางโดยเร็วที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการระบบข้อมูลเพื่อบริการทางการแพทย์ผ่านสายด่วนต่าง ๆ ร่วมกับอาสาสมัครที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่รับสายเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด และจะมีการจัดเตรียมเพิ่มจำนวนสถานที่คัดกรองให้มากยิ่งขึ้นเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันนี้มีจำนวน 15 ราย ทำให้มีความกังวลจากประชาชนถึงการรักษาพยาบาลที่ล่าช้านั้น กำชับให้เร่งแก้ไขปัญหาดำเนินการเร่งนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อกว่า 1,400 รายที่ยังตกค้างเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว และได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว พร้อมขอความร่วมมือจากสถานที่ตรวจคัดกรองจากโรงพยาบาลภาคเอกชนให้รายงาน แจ้งข้อมูล ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ต่อกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้สามารถดำเนินการส่งตัวผู้ป่วยติดเชื้อระดับสีเขียวเข้าสู่โรงพยาบาลสนามได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังได้มีการเร่งแก้ไขปัญหาขาดแคลนรถพยาบาลหรือรถนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อไม่เพียงพอ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและกระทรวงกลาโหม และหากขาดแคลนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกระทรวงกลาโหมได้จัดเตรียมเหล่าทหารเสนารักษ์เพื่อช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกด้วย
สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้เดินหน้าจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคธุรกิจ เอกชน ที่ให้ความช่วยเหลือประสานความร่วมมือติดต่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่าง ๆ ซึ่งในการทำงานร่วมกันนั้นจะมีรัฐบาลมีหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบหากมีผลกระทบข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจแต่ปัจจุบันวัคซีนเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของทุกภูมิภาค จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศหารือและขอความร่วมมือต่อรัฐบาลหลายประเทศเพื่อให้มีการนำเข้า – ส่งออกวัคซีนได้ ทั้งนี้ ในประเทศไทยมีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วกว่า 2 แสนคน และมีการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ล้านโดส และจะเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมโดยเร็วที่สุดตามจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ เมื่อได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ก็จะดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลเอกชนให้ช่วยดำเนินการฉีดเพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้รัฐบาลตั้งเป้าในการจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน ภายในปี 2564 นี้ โดยในวันที่ 28 เมษายน จะมีการหารือร่วมกับภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ร่วมกันเสียสละปฏิบัติงานเป็นด่านหน้า รวมถึงภาคธุรกิจ ภาคเอกชน และกลุ่มจิตอาสา กลุ่มองค์กรมูลนิธิ หรือบุคคลต่าง ๆ ที่ร่วมแสดงน้ำใจช่วยเหลือการทำงานของภาครัฐ รวมทั้งการช่วยเหลือส่วนตัว ซึ่งจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาพิจารณาประกอบการบริหารด้วย ซึ่งทุกปัญหาได้นำไปสู่การพิจารณาหารือเพื่อดำเนินการแก้ไข ขณะเดียวกันไทยก็มีมาตรการเฉพาะและระงับการเดินทางชั่วคราวจากประเทศต้นทางที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง ซึ่งขอส่งกำลังใจไปยังประเทศอินเดียที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวนมาก
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกเคหะสถาน อาทิ ในวัด การจัดรายการในสตูดิโอ การโดยสารรถยนต์ที่มากกว่า 1 คน เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวและผู้อื่น และอนุโลมแก่เด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีไม่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย พร้อมย้ำว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน ทำในสิ่งที่ทำได้ อันเป็นการแสดงถึงน้ำใจของคนไทย แต่จะต้องไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อตนเองและผู้อื่น และขอให้ทุกคนร่วมกันเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรด่านหน้าและทีมประเทศไทยที่ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อให้ผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้โดยเร็วที่สุด
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41252 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศ เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศ เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 4 เพศชาย อายุ 37 ปี (ปฏิบัติหน้าที่เก็บค่าโดยสารช่วงกะบ่าย) ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานอยู่ที่บ้าน เพื่อรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม โรงแรมรอยัล คิงส์ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 26 เมษายน 2564
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 4 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของพนักงาน ตั้งแต่วันที่ 16 - 23 เมษายน 2564 อยู่ที่ 36.5 องศาเซลเซียส โดยไทม์ไลน์ของพนักงานสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 16 - 17 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80349 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 21.00 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 18 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 19 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข - 80349 ตั้งแต่เวลา 16.00 - 22.40 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที โดยพนักงานเริ่มมีอาการเวียนหัวและเจ็บคอ
- วันที่ 20 - 21 เมษายน 2564 ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80349 ตั้งแต่เวลา 13.45 - 21.15 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 22 เมษายน 2564 พนักงานมีอาการเวียนหัวและเจ็บคอ จึงเดินทางไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์กีฬาเวชศาสตร์สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง หลังการตรวจเสร็จสิ้น ได้เดินทางมาทำงาน โดยปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80349 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 21.00 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 10.00 - 11.00 น. พนักงานได้เดินทางไปรับประทานอาหารที่บ้านของญาติ บริเวณตลาดคลองเตย หลังจากนั้นได้เดินทางมาทำงาน โดยปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารธรรมดา สาย 4 หมายเลข 4 - 80349 ตั้งแต่เวลา 13.30 - 22.15 น. หลังเลิกงานได้กลับที่พักอาศัยทันที
- วันที่ 24 เมษายน 2564 เวลา 09.30 - 10.00 น. พนักงานได้เดินทางไปรับประทานอาหารที่บ้านของญาติ บริเวณตลาดคลองเตย ต่อมาเวลา 12.30 น. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แจ้งให้ทราบว่าพนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงแจ้งหัวหน้างานเพื่อขออนุญาตกักตัวอยู่ที่บ้าน และรอรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวในวันที่ 26 เมษายน 2564
- วันที่ 25 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 26 เมษายน 2564 รถพยาบาลมารับพนักงาน ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม โรงแรมรอยัล คิงส์ จังหวัดสมุทรปราการ
3. พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกะบ่าย ซึ่งเป็นกะสุดท้ายของแต่ละวัน จึงไม่มีพนักงานขับรถคนใดนำรถไปขับต่อ อีกทั้ง เมื่อพนักงานขับรถโดยสารนำรถกลับเข้าอู่ในแต่ละรอบ จะมีการฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารทันทีด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% จึงมั่นใจได้ว่ารถโดยสารขององค์การมีความสะอาด ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้พักการใช้งานรถโดยสารธรรมดา สาย 4 จำนวน 1 คัน ที่พนักงานผู้ติดเชื้อได้ปฏิบัติหน้าที่ คือ รถโดยสารหมายเลข 4 - 80349 เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำการฉีดพ่น ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถ รวมถึง อู่จอดรถและท่าปล่อยรถโดยสาร
4. ขสมก. ได้มีการตรวจสอบ พบว่าพนักงานขับรถโดยสาร จำนวน 1 คน ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารคันเดียวกับพนักงานผู้ติดเชื้อ จึงให้พนักงานขับรถโดยสารดังกล่าวหยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41242 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
ครม. อนุมัติโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการจ่ายค่าทดแทนเสี่ยงภัย ให้กับ อสม. ระยะเวลาการจ่าย 3 เดือน ตั้งแต่ เดือน เมษายน 2564 – มิถุนายน 2564 ในกรอบวงเงิน ไม่เกิน 1575.4590 ล้านบาท พร้อมทั้งเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งพิจารณาฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุม อสม. และ อสส. ทุกราย เพื่อลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้วย
ที่มา : facebook ศูนย์ข้อมูล Covid-19 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564
https://web.facebook.com/informationcovid19/photos/a.106455480972785/296466021971729/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41250 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ใช้รพ.สมุทรปราการ ขยายเตียงรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ส่งต่อจากกทม.-ปริมณฑล | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
สธ. ใช้รพ.สมุทรปราการ ขยายเตียงรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ส่งต่อจากกทม.-ปริมณฑล
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปรับหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีสมุทรปราการ เป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 ขนาด 800 เตียงรองรับผู้ป่วยในจังหวัด และรับส่งต่อจากกทม.-ปริมณฑล
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในกทม. และปริมณฑล จากการตรวจเยี่ยมจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า โรงพยาบาลสมุทรปราการและโรงพยาบาลบางพลี ได้ดัดแปลงหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีสมุทรปราการ จำนวน 2 อาคาร เป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด 19 สามารถขยายได้ถึง 800 เตียง และเตรียมหอประชุมเป็นโรงพยาบาลสนาม ขนาด 120 เตียง ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รักษาอยู่ประมาณ 400 คน เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ อาการน้อย ไม่มีโรคแทรกซ้อน และผู้ป่วยจากโรงพยาบาลสมุทรปราการที่มีอาการคงที่ผลการตรวจเชื้อเป็นลบ รวมทั้งผู้ป่วยที่ส่งต่อจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วยให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วด้วย
“ขอให้เร่งค้นหาเชิงรุกในสถานที่เสี่ยงเกิดการแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย เช่น ตลาดสด โรงงาน โรงเรียน และพื้นที่เสี่ยง เพื่อตรวจหาเชื้อรู้ผลให้เร็วขึ้น นำเข้าสู่ระบบการรักษา ซึ่งจะช่วยควบคุมโรคได้โดยเร็ว” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
ด้านนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 กล่าวว่า จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีการค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ ตลาดสด โรงงาน โรงเรียนแล้ว 47,059 ราย พบผู้ติดเชื้อ 118 ราย และเฝ้าระวังในคลินิกโรคทางเดินหายใจ 31,621 ราย พบผู้ติดเชื้อ 544 ราย จากสถานที่กักกัน 85 ราย และสนามบิน 95 ราย รวมทั้งมีการบริหารจัดการเตียงร่วมกันทั้งโรงพยาบาลของภาครัฐและเอกชน ทำให้มีเตียงเพียงพอดูแลผู้ป่วยสีแดงและสีเหลือง สามารถช่วยดูแลผู้ติดเชื้อในจังหวัดและรองรับผู้ติดเชื้อบางส่วนจากกทม.และปริมณฑลได้ วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 110 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อระลอกเมษายนสะสม 1,176 ราย รักษาในโรงพยาบาล 744 ราย ในจำนวนนี้ มีอาการปอดอักเสบ 67 ราย โดยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 7 ราย
************************ 27 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41240 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แบ่ง 6 โซน รพ.รัฐ-เอกชนดูแลผู้ป่วยโควิด กทม.และปริมณฑล เปิดอาคารนิมิบุตรเป็นศูนย์แรกรับ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
สธ.แบ่ง 6 โซน รพ.รัฐ-เอกชนดูแลผู้ป่วยโควิด กทม.และปริมณฑล เปิดอาคารนิมิบุตรเป็นศูนย์แรกรับ
กระทรวงสาธารณสุข แบ่งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็น 6 โซน มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย กลาโหม กทม. เป็นหัวหน้าโซน เป็นที่ปรึกษาโรงพยาบาลรัฐและเอกชนในโซน และรับส่งต่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมเปิดอาคารนิมิบุตร เป็นศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อทุกราย
กระทรวงสาธารณสุข แบ่งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็น 6 โซน มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย กลาโหม กทม. เป็นหัวหน้าโซน เป็นที่ปรึกษาโรงพยาบาลรัฐและเอกชนในโซน และรับส่งต่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 พร้อมเปิดอาคารนิมิบุตร เป็นศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อทุกรายเข้าระบบ ส่งรักษาตามอาการ
วันนี้ (27 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิด 19 ว่า กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการเตียงทั้งประเทศ สถานการณ์เตียงของประเทศข้อมูล ณ วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 16.30 น. ทั้ง 13 เขตสุขภาพ มีเตียงทั้งหมด 44,560 เตียง ครองเตียง 21,695 เตียง เตียงว่าง 22,865 เตียง โดยเฉพาะเขตสุขภาพที่ 13 คือกรุงเทพมหานคร มีเตียง 12,679 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 7,959 เตียง มีเตียงว่าง 4,720 เตียง ซึ่งเป็นเตียงของโรงพยาบาลภาครัฐทุกสังกัด และเอกชนซึ่งมีเตียงมากที่สุด
ส่วนที่ประชาชนสงสัยว่ายังมีเตียงว่างแต่ทำไมถึงยังมีการรอเตียงอยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นเตียงที่อยู่ใน Hospitel สำหรับคนไข้สีเขียว ส่วนเตียงไอซียูห้องความดันลบ (AIIR-ICU) มีเครื่องมือดูแลผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และเตียงห้องรองลงมาที่เป็นระบบความดันลบ (Modified AIIR) สามารถดูแลผู้ป่วยหนักได้ ทั้ง 2 ส่วนนี้มีผู้ป่วยครองเตียงแล้วร้อยละ 70-80 ค่อนข้างตึง ไม่มีพื้นที่เหลือให้ผู้ป่วยรายใหม่เข้าได้ จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดี นำผู้ป่วยในห้องไอซียูที่มีอาการดีออกมาอยู่หอผู้ป่วยมากขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยที่จำเป็นจริง ๆ เข้าไป ส่วนห้องประเภทต่างๆ ทั้งห้องโรงพยาบาลสนาม หรือฮอสพิเทล ยังมีเตียงว่างอยู่ โดยผู้ป่วยสีเขียว ที่ไม่มีอาการสามารถรับบริการได้
นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้กรมการแพทย์ รับผู้ติดเชื้อทุกคนเข้าโรงพยาบาลสนาม เปิดอาคารนิมิบุตร เป็นศูนย์แรกรับ ก่อนส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตามระดับอาการ สีเหลือง สีแดง และได้ขยายเตียงผู้ป่วยสีเหลือง ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี 200 เตียง โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี 45 เตียง สถาบันประสาทวิทยา 15 เตียง ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่รับให้เข้ารพ.สนาม ขออย่าปฏิเสธ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ ได้รับยารักษาโดยเร็ว ลดความรุนแรง
สำหรับคำถามว่าประชาชนไปตรวจในรพ.แห่งหนึ่ง แต่อยากไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง หรือโรงเรียนแพทย์ได้หรือไม่ ขอเรียนว่า โรคโควิดสามารถรักษาได้ในโรงพยาบาลขนาดเล็กทั่วไป หากมีอาการหนักมีโรคประจำตัว หรือมีภาวะแทรกซ้อน จะส่งต่อไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องมือและแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยได้แบ่งพื้นที่ กทม. เป็น 6 โซนตามพื้นที่ติดต่อกัน ได้แก่ โซนที่ 1 รพ.ทั้งหมดในส่วนกลาง มีรพ.พระมงกุฎเกล้าและรพ.ราชวิถี เป็นหัวหน้าโซน 2.โซนใต้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 3.โซนเหนือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลภูมิพล 4.โซนตะวันออก โรงพยาบาลรามาธิบดี 5.โซนโรงพยาบาลศิริราช 6.โซนวชิรพยาบาลโดยโรงพยาบาลหัวหน้าโซน ช่วยดูแลโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน และรับส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ส่วนภาคเอกชนจะมีเครือใหญ่ ๆ เช่น สมิติเวช เกษมราษฎร์ กรุงเทพ มีระบบดูแลโรงพยาบาลในเครือ หากมีความจำเป็น สามารถปรึกษาข้ามโซน โดยมีศูนย์บริหารจัดการเตียงโรงพยาบาลราชวิถี เป็นศูนย์กลาง
************************ 27 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41257 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ปรับลดเที่ยววิ่งรถโดยสารทุกประเภท | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
ขสมก. ปรับลดเที่ยววิ่งรถโดยสารทุกประเภท
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม จะปรับลดจำนวนเที่ยววิ่ง รถโดยสารประจำทางทุกประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกรมการขนส่งทางบก
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม จะปรับลดจำนวนเที่ยววิ่ง รถโดยสารประจำทางทุกประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เรื่อง “การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” และจำนวนผู้ใช้บริการในปัจจุบัน โดยจะเริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตามที่
ขบ. ได้ออกประกาศ เรื่อง “การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่ง พิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินรถ ในการให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยให้พิจารณาจัดการเดินรถตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งปรับลดการให้บริการ ในช่วงเวลา 23.00 - 04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งในส่วนของการปรับลดจำนวนเที่ยววิ่ง รถกะสว่าง ขสมก. ได้ดำเนินการไปแล้ว
ขสมก. จึงเตรียมปรับลดจำนวนเที่ยววิ่งรถโดยสารทุกประเภท ในช่วงเวลาการให้บริการปกติ
ทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว และเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้บริการในปัจจุบันที่มีจำนวนลดลง เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นการทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home) และสถานศึกษาหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ขสมก.
จะปรับลดจำนวนเที่ยววิ่งเฉพาะเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการลดลง ส่วนเส้นทางที่มีจำนวนผู้ใช้บริการเท่าเดิม
จะไม่มีการปรับลดจำนวนเที่ยววิ่งแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
อย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการรถโดยสารของ ขสมก.
โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
ด้านพนักงานประจำรถ
1. ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้งก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร หากตรวจพบว่าพนักงานมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
2. กำชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่
บนรถโดยสาร
3. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
ด้านรถโดยสารประจำทาง
1. เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายใน รถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
3. กำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร
4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สำหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง
กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียวและเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือน
ผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
ด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็คอินเมื่อขึ้นรถ และเช็คเอาท์ก่อนลงจากรถ สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก.ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์โดยอัตโนมัติ เมื่อนำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระค่าโดยสาร
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และลงทะเบียน
5. ขอความร่วมมือนั่งบนเบาะที่กำหนด (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และยืนบนจุดที่กำหนด หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 30 เซนติเมตร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
6. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจและเจ้าหน้าที่ สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
7. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์
ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต-เครดิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง
เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41243 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" เคาะรายการ “NBT รวมใจ สู้ภัยโควิด-19” เพิ่มช่องทางประสานช่วยเหลือประชาชน คลายทุกข์ยุคโควิด-19 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
"อนุชา" เคาะรายการ “NBT รวมใจ สู้ภัยโควิด-19” เพิ่มช่องทางประสานช่วยเหลือประชาชน คลายทุกข์ยุคโควิด-19
"อนุชา" เคาะรายการ “NBT รวมใจ สู้ภัยโควิด-19” เพิ่มช่องทางประสานช่วยเหลือประชาชน คลายทุกข์ยุคโควิด-19
จากกรณีสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ปัจจุบันพบตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และพบว่าผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ อีกทั้งประสบปัญหาการประสานงานเพื่อขอรับการรักษาพยาบาล เนื่องจากสายด่วนหลัก เช่น 1668 1669 1330 มีผู้ติดต่อเป็นจำนวนมาก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าว ได้สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์สร้างช่องทางการประสานงาน ส่งต่อ และติดตามการให้ความช่วยเหลือระหว่างประชาชนกับสถานพยาบาลในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือและประสานงาน ผ่านรายการ NBT รวมใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ในช่วง “NBT รวมใจ สู้ภัย COVID-19” ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการประชาสัมพันธ์เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือประชาชนผ่านทาง “NBT รวมใจ สู้ภัย COVID-19” พบว่ามีประชาชนโทรเข้ามาเพื่อสอบถามเพื่อขอความช่วยเหลือ และขอคำแนะนำต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาทางสถานีได้ดำเนินการประสานผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา รวมถึงประสานเตียงและรถพยาบาล เป็นผลสำเร็จแล้ว จำนวน 23 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามชมรายการสด “NBT รวมใจ สู้ภัย COVID-19” ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-11-30 น. ทางช่อง NBT2HD ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลและประสานขอความช่วยเหลือผ่านทาง โทร. 02-275-4225 (10 คู่สาย) ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อลดการสูญเสียและช่วยเหลือประชาชนให้ทั่วถึงในช่วงสถานการณ์โควิด-19 การรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านทาง NBT เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายประสานความร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้อีกครั้ง และขอให้ประชาชนร่วมเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเท เสียสละ ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่ย่อท้อ ขณะเดียวกันขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41237 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรม Innovation Thailand | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
นวัตกรรม Innovation Thailand
2 มีนาคม 2564
แสดงผลงานจากนักศึกษา สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการ เป็นนวัตกรรมโดยคนรุ่นใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกโครงการภายใต้ผลงานนวัตกรรม (Innovation Thailand) ได้แก่ โครงการ Startup Thailand League ผลงานร้านขายของชำออนไลน์ Happy Grocers โครงการ Founder Apprentice ผลงานแอปพลิเคชัน Health tech startup ชื่อ Agnos โครงการ Deep South Startup ผลงาน เครื่องล้างปลาระบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับผลิตปลาส้มฮาลาล และโครงการ ม้านิลมังกร จำนวน 2 ผลงาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำพริกต่างๆ By Chef May และนวัตกรรมสเปรย์ดับเพลิง แบรนด์ FLAMEX
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41229 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด เคลียร์ประกันภัยจ่ายค่าสินไหมให้ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถทัวร์ไฟไหม้ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
บริษัท ขนส่ง จำกัด เคลียร์ประกันภัยจ่ายค่าสินไหมให้ญาติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถทัวร์ไฟไหม้
รายละ 1.1 ล้านบาท
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (26 เมษายน 2564) บขส. ได้ส่งฝ่ายกฎหมาย ร่วมเจรจาการจ่ายสินไหมทดแทน ระหว่างตัวแทนบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท 407 พัฒนา จำกัด กับญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถทัวร์โดยสาร 2 ชั้น ของบริษัท 407 พัฒนา จำกัด บริเวณถนนมิตรภาพ (ขาเข้า) กิโลเมตรที่ 13-14 อำเภอบ้านแฮด จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการเจรจาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ทั้งนี้ วิริยะประกันภัย ได้จ่ายสินไหมทดแทน ให้ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 1,100,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,400,000 บาท ส่วนผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย วิริยะประกันภัย ได้จ่ายสินไหมทดแทน จำนวน 600,000 บาท และญาติได้เรียกร้องสินไหมเพิ่มเติมจากผู้ประกอบการรถร่วมฯ จึงมีการนัดจ่ายอีก จำนวน 1,050,000 บาท ในวันที่ 30 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41224 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม แจงข่าว "โตโต้" ป่วยไม่จริง เผยได้รับรายงานจากเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ วัดอุณภูมิทุกเช้า ล่าสุด 26 เม.ย.วัดได้ 36.6 องศา-ผลตรวจไม่ติดโควิด ยันทุกแห่งมีการช่วยเหลือ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
เลขา รมว.ยุติธรรม แจงข่าว "โตโต้" ป่วยไม่จริง เผยได้รับรายงานจากเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ วัดอุณภูมิทุกเช้า ล่าสุด 26 เม.ย.วัดได้ 36.6 องศา-ผลตรวจไม่ติดโควิด ยันทุกแห่งมีการช่วยเหลือ
เลขา รมว.ยุติธรรม แจงข่าว "โตโต้" ป่วยไม่จริง เผยได้รับรายงานจากเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ วัดอุณภูมิทุกเช้า ล่าสุด 26 เม.ย.วัดได้ 36.6 องศา-ผลตรวจไม่ติดโควิด ยันทุกแห่งมีการช่วยเหลือตามหลักสากล วอนหยุดปล่อยข่าวลือสร้างความวุ่นวาย เตรียมให้ฝ่าย กม.ฟ้องเ
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณี มีเฟซบุ๊กของกลุ่ม Wevo โพสข้อความระบุว่า นายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ แกนนำกลุ่ม Wevo เกิดอาการปวดหัว มีไข้สูงถึง 38 องศาเชลเชียส และตั้งแต่มีอาการยังไม่ได้รับยาหรือการรักษาจากทางเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า การโพสข้อความดังกล่าวนั้น ไม่มีข้อมูลความเป็นจริงเลย จากการตรวจสอบล่าสุดกับทางเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับรายงานว่า ปัจจุบันนายปิยรัฐได้ช่วยงานอยู่ที่แดนพยาบาลของเรือนจำ และได้รับรายงานจากพยาบาลที่ดูแลนายปิยรัฐว่าไม่มีอาการไข้หรือการป่วยแต่อย่างใด ในทุกเช้าจะมีการวัดไข้ตลอด ล่าสุดวันที่ 26 เมษายน 2564 วัดอุณภูมินายปิยรัฐได้ 36.6 องศาฯ และมีการตรวจหาเชื้อโควิดไป เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ซึ่งผลออกมาเป็นลบ ทั้งนี้มาตรการในเรือนจำทั่วประเทศมีการป้องกันโควิดอย่างเข้มงวดเหมือนกันทุกแห่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเรามีมาตรฐานเดียวกับสากล หากมีใครเจ็บป่วยทางเรือนจำพร้อมให้การช่วยเหลือทุกคนไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแต่อย่างใด
"ผมขอร้องในช่วงนี้ที่ประเทศกำลังประสบกับวิกฤตอย่างหนัก อย่าเสนออะไรที่ไม่เป็นความจริงและเป็นการสร้างความตื่นตระหนกหรือความวุ่นวายอีกเลย วันนี้บ้านเมืองก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว ซึ่งกับเพจที่นำเสนอเรื่องนี้ ผมจะให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ให้มีคนอื่นพยายามสร้างกระแสความวุ่นวายอีก ซึ่งการทำแบบนี้นอกจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะวุ่นวายแล้ว ครอบครัวของนายปิยรัฐ ก็จะเกิดความกังวลใจ ไม่สบายใจและเป็นกังวลอีกด้วย ขอให้หยุดปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นจริงเสียเถอะ" ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41235 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคม ร่วมกันปฏิบัติงาน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 อย่างเต็มกำลัง มุ่งบริการคมนาคมขนส่งให้ประชาชนเดินทาง สะดวก ปลอดภัย และห่างไกลโควิด | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
กระทรวงคมนาคม ร่วมกันปฏิบัติงาน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 อย่างเต็มกำลัง มุ่งบริการคมนาคมขนส่งให้ประชาชนเดินทาง สะดวก ปลอดภัย และห่างไกลโควิด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมติดตาม ผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม และมีสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ 2564 ที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านคมนาคมขนส่งแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเข้มข้น ภายใต้แนวนโยบาย “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” ตามแผนการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 ระยะเวลารวม 7 วัน โดยสามารถดำเนินการได้บรรลุเป้าหมายสำคัญทั้งการให้บริการการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะและบนโครงข่ายถนน ประกอบด้วย การบริการระบบขนส่งสาธารณะทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย มีบริการที่เพียงพอและไม่ล่าช้า และการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในการใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างปลอดภัย โดยเน้นดูแลรักษาความปลอดภัยในการให้บริการขนส่งสาธารณะอย่างเข้มงวด ดำเนินการตรวจความพร้อมขนส่งสาธารณะ รวมถึงเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งบริหารจัดการจราจรทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ให้มีความคล่องตัวและปลอดภัยยิ่งขึ้น และดำเนินมาตรการพิเศษบนเส้นทางเข้า-ออกกรุงเทพมหานครที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่น ตลอดจนบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนจนถึงที่หมายอย่างปลอดภัย โดยอุบัติเหตุทางถนนลดน้อยลงจากช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา เป็นการลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากอุบัติเหตุทางถนน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้ สนข. รวบรวมข้อมูลสำคัญจากหน่วยงานในสังกัดรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ และใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวถัดไปให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สรุปได้ดังนี้
1. การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
จากการรวบรวมข้อมูลสถิติการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564ที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถโดยสารสาธารณะ รถไฟ เรือโดยสารและเครื่องบิน รวมจำนวน 7.5 ล้านคน-เที่ยว โดยมีมาตรการเพิ่มเติมด้านระบบขนส่งสาธารณะดังนี้
- เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในการให้บริการขนส่งสาธารณะทุกระบบและมีการประชาสัมพันธ์รณรงค์อย่างต่อเนื่อง
- ออกมาตรการดูแลผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19โดยเปิดช่องทางให้ผู้โดยสารที่ต้องการงดเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 สามารถคืนตั๋วหรือเลื่อนตั๋วโดยสาร เพื่อเปลี่ยนแผนการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะได้
- กระทรวงฯ โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ร่วมกับเครือข่ายภาคีภาคท้องถิ่น จัดเจ้าหน้าที่ประจำการเฝ้าระวังตรวจตราและดูแลพื้นที่บริเวณจุดตัดรถไฟกับถนน ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ ได้ดำเนินการตรวจความพร้อมการให้บริการขนส่งสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 อย่างเข้มข้น โดยผลการตรวจความพร้อมผู้ปฏิบัติงานรถโดยสารสาธารณะ รถไฟ และเรือโดยสาร ไม่พบผู้ปฏิบัติงานเสพสิ่งเสพติดและระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจของผู้ปฏิบัติงาน ผลการตรวจความพร้อม ประกอบด้วย ตรวจรถโดยสารสาธารณะ จำนวน 75,673 คัน ตรวจพนักงานขับรถ 75,673 คน ตรวจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรถไฟ จำนวน 2,012 คน ตรวจความพร้อมท่าเรือ จำนวน 163 แห่ง ตรวจเรือโดยสาร จำนวน 4,099 ลำ ตรวจพนักงานประจำเรือ จำนวน 6,744 คน และตรวจอากาศยาน จำนวน 20 ลำ ทั้งนี้ พบว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 มีรถโดยสารสาธารณะที่เกิดอุบัติเหตุ 4 คัน และรถไฟเกิดอุบัติเหตุ 5 ครั้ง รวมมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขนส่งสาธารณะ จำนวน 9 ราย โดยไม่มีอุบัติเหตุจากการเดินทางทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งกระทรวงฯ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงเยียวยาผู้ประสบเหตุอย่างเหมาะสม ส่วนอุบัติเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการขนส่งสาธารณะนั้น กระทรวงฯ จะนำไปถอดบทเรียนเพื่อปรับปรุงการบริการขนส่งสาธารณะให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
2. การเดินทางบนโครงข่ายถนนของกระทรวงคมนาคม
จากการรวบรวมสถิติการเดินทางบนโครงข่ายถนนของกระทรวงฯ พบว่า มีจำนวนลดลง โดยประชาชนเดินทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ บนถนนทางหลวงสายหลักและทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 รวม 7 วัน รวมจำนวน 6,469,748 คัน หรือประมาณ 920,000 คันต่อวัน ลดลงจากช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาประมาณ 140,000 คัน สำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 โดยบนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก (บางปะอิน-บางพลี) ตั้งแต่วันที่ 9 - 16 เมษายน 2564 รวมระยะเวลา 8 วัน พบว่ามีรถที่ใช้บริการรวมจำนวน 4.28 ล้านคัน และบนทางพิเศษ 5 สายทาง ได้แก่ ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ตั้งแต่วันที่ 9 - 16 เมษายน 2564 รวมระยะเวลา 8 วัน พบว่ามีรถใช้บริการรวมจำนวน 2.05 ล้านคัน สำหรับทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ตั้งแต่วันที่ 13 - 15 เมษายน 2564 รวมระยะเวลา 3 วัน พบว่ามีรถใช้บริการรวมจำนวน 1.73 ล้านคัน
3. สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนโครงข่ายถนนของกระทรวงคมนาคม
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 มีปริมาณการเดินทางของประชาชนชนที่ลดลง ดังนั้นสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนโครงข่ายถนนของกระทรวงฯ ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 จึงลดน้อยลงมากกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ก่อนหน้าทั้ง 3 ปี (พ.ศ 2560 - 2562) โดยเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 1,344 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต จำนวน 165 ราย และมีผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,327 ราย การเกิดอุบัติเหตุทางถนนบนโครงข่ายถนน ของกระทรวงฯ ส่วนใหญ่ยังมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด การไม่สวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และการดื่มแล้วขับ ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะยังคุมเข้มมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนไว้ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี สำหรับการดำเนินการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางและกำกับดูแลความปลอดภัยทางถนนดังนี้
- กระทรวงฯ ได้บูรณาการการบริหารจัดการจราจรร่วมกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง ทั้งบนทางหลวง ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ทางหลวงชนบท และทางพิเศษอย่างเข้มข้น มีการวางแผนบริหารจัดการจราจรอย่าง ทันสถานการณ์เพื่อประชาชนเดินทางอย่างสะดวกและปลอดภัย โดยได้เปิดช่องการจราจรพิเศษเพื่อระบายการจราจรบริเวณพื้นที่ที่มีการจราจรติดขัดหรือเกิดอุบัติเหตุบนถนน หยุดงานก่อสร้างที่กีดขวางช่องทางจราจร รวมถึงตั้งจุดบริการประชาชนและจุดพักรถ (Rest Area) บนถนนสายหลักทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทางให้กับประชาชน นอกจากนี้ ได้ใช้ประโยชน์จากอากาศยานไร้คนขับ (Drone) ของกรมทางหลวง (ทล.) บินสำรวจสภาพเส้นทางจราจรบนเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น จำนวน 8 เส้นทาง โดยบริหารจัดการจราจรร่วมกับกล้อง CCTV ครอบคลุมพื้นที่เส้นทางสายหลักเข้า-ออกกรุงเทพฯ และบูรณาการร่วมกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง เข้มงวดวินัยจราจร โดยตรวจจับความเร็วและถ่ายรูปป้ายทะเบียนรถยนต์บริเวณจุดเสี่ยงด้วยกล้อง CCTV ในช่วงเทศกาล สงกรานต์ 2564
- เพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนที่จะเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายปริมาณการจราจรเข้า-ออกกรุงเทพฯ จากถนนมิตรภาพ โดยเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการเดินทางฟรีบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) ช่วงปากช่อง - สีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กิโลเมตร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ระหว่างวันที่ 9 - 19 เมษายน 2564 รวมระยะเวลา 11 วัน พบว่า มีรถยนต์เลี่ยงไปใช้บริการสาย M6 จำนวน 206,105 คัน คิดเป็น 18.84% ของปริมาณรถบนถนนมิตรภาพขาเข้า-ออกกรุงเทพฯ
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทางและช่องทางจราจรบนถนน โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขอความร่วมมือผู้ประกอบการรถบรรทุกงดว่าจ้างขนส่งสินค้าและงดวิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งกองบังคับการตำรวจทางหลวงได้ออกบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป วิ่งบนถนน 7 เส้นทางหลักของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- บริการข่าวสารข้อมูลการเดินทางหลายช่องทาง มุ่งเน้นให้เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด เช่น แอปพลิเคชันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ สื่อออนไลน์ เว็บไซต์ และโทรศัทพ์สายด่วนของหน่วยงาน รวมถึง
มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานความปลอดภัยคมนาคมบริการความช่วยเหลือและให้ข้อมูลการเดินทางแก่ประชาชน
ตลอด 24 ชั่วโมง
- ร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์เน้นให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยได้รณรงค์ ขอความร่วมมือกลุ่มประชาชนที่อยู่ในกลุ่มจังหวัดบ้านใกล้ (กลุ่มจังหวัดที่อยู่ในรัศมีระยะทางไม่เกิน 200 กิโลเมตร
จากกรุงเทพฯ) ให้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ช่วงระหว่างวันที่ 11 - 12 เมษายน 2564 และเดินทางกลับก่อน ช่วงระหว่างวันที่ 15 - 16 เมษายน 2564 แนวทางเหลื่อมการเดินทางดังกล่าว มุ่งการกระจายการเดินทางของประชาชน เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในเส้นทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม
1. มอบหมายและกำชับให้ รฟท. ร่วมกับเครือข่ายภาคีภาคท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการประเมินโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดรถไฟกับถนนอย่างจริงจัง
2. มอบหมายให้ ขบ. และบริษัท ขนส่ง จำกัด ร่วมกันทบทวนแก้ไขกฎ ระเบียบ ข้อบังคับและมาตรการต่าง ๆ โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ศึกษาในรายละเอียดกรณีการเกิดเพลิงไหม้ของรถโดยสารสาธารณะ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน
3. มอบหมายให้ ขบ. ร่วมกับ ทล. และ ทช. ดำเนินการจัดหางบประมาณเพื่อจัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากรถข้ามเลน
4. มอบหมายให้ ขบ. กรมเจ้าท่า และการท่าเรือแห่งประเทศไทย จัดประชุม Workshop เพื่อหารือร่วมกับผู้ประกอบการรถบรรทุกและผู้ประกอบการเดินเรือ เพื่อหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวต่าง ๆ
5. มอบหมายให้ สนข. จัดประชุม Workshop ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการเดินทางที่ปลอดภัย โดยเน้นประเด็นปัญหาที่สำคัญโดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์
6. มอบหมายให้ สนข. ถอดบทเรียนจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเพื่อประกอบการจัดทำแผนนโยบาย มาตรการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชน ในเทศกาลวันหยุดยาวต่าง ๆ ที่จะมาถึง เช่น วันหยุดต่อเนื่องในวันเข้าพรรษาและวันอาฬาหบูชา ในเดือนกรกฎาคม 2564 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41226 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การพัฒนากำลังคนดิจิทัล ในหัวข้อ Edtech for all Gens จัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
การพัฒนากำลังคนดิจิทัล ในหัวข้อ Edtech for all Gens จัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
8 ธันวาคม 2563
การพัฒนาทักษะดิจิทัลสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (Edtech) เพื่อเสริมสร้างทักษะดิจิทัลด้วยการ Reskill, Upskill และ New Skill ได้แก่ เครื่องมือช่วยประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนแก่คุณครูในห้องเรียนผ่านเกมตอบคําถาม การแสดง Virtual Reality (VR) ช่วยพนักงานฝึกปฏิบัติผ่านโลกเสมือนจริงในสถานการณ์จําลอง และการแข่งขันหุ่นยนต์ซูโม่ด้วยการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองในการแข่งขัน หุ่นยนต์ยุวชนชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจําปี 2562
นายกรัฐมนตรีชื่นชมดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย พร้อมสนับสนุนคนรุ่นใหม่ เปิดพื้นที่ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในระดับมาตรฐานที่สามารถแข่งขันกับสตาร์ทอัพจากต่างประเทศได้ ทั้งสนใจการใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือ VR โดยเห็นว่า อาจนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการฝึกอบรมแรงงานหรือบุคคลจำนวนมาก ในลักษณะเป็น e-training ได้เช่นกัน โอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรียังชมการสาธิตแข่งขันหุ่นยนต์ซูโม่ โดยนักเรียนจากโรงเรียนชลประทานวิทยา พร้อมสนใจสอบถามถึงแนวทางการออกแบบโปรแกรมและกติกาในการเล่น โดยย้ำให้นักเรียนเยาวชนทำกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียนด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41227 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสถาบันการเงินของรัฐเปิดตัวเว็บไซต์ www.gfa.or.th รับกระแสดิจิทัล รวมข้อมูลสถาบันการเงินของรัฐ สื่อสารให้ประชาชนค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ง่ายยิ่งขึ้น | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐเปิดตัวเว็บไซต์ www.gfa.or.th รับกระแสดิจิทัล รวมข้อมูลสถาบันการเงินของรัฐ สื่อสารให้ประชาชนค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ง่ายยิ่งขึ้น
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐจึงได้พัฒนาเว็บไซต์ www.gfa.or.th เพื่อเป็นช่องทางการสืบค้นข้อมูลของประชาชนได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น โดยจัดวางรูปแบบเว็บไซต์ให้มีดีไซน์สวยงาม ทันสมัย และที่สำคัญการจัดวางเมนู content และ หัวข้อที่กระชับ อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน
วันนี้ ( 27 เมษายน 2564) นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID – 19 ) พบว่าประชาชนมีพฤติกรรมการเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เนต จำนวนกว่า 47.5 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนผู้ใช้อินเตอร์เนต 71% ของคนไทย 66.4 ล้านคน เติบโตกว่า 150% ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดในยุค New Normal ประกอบกับการส่งเสริมการเข้าถึงมาตรการด้านการเงินของโครงการภาครัฐผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ และเครื่องสมาร์ทโฟนเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในยุควิถีใหม่
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐจึงได้พัฒนาเว็บไซต์ www.gfa.or.th เพื่อเป็นช่องทางการสืบค้นข้อมูลของประชาชนได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น โดยจัดวางรูปแบบเว็บไซต์ให้มีดีไซน์สวยงาม ทันสมัย และที่สำคัญการจัดวางเมนู content และ หัวข้อที่กระชับ อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน โดยแบ่งเป็น 6 เมนูหลัก ประกอบด้วย 1. เมนู “เกี่ยวกับสมาคม” จะกล่าวถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์การจัดตั้งสมาคมฯ รายนามคณะกรรมการซึ่งเป็นผู้บริหารของสถาบันการเงินของรัฐที่เป็นสมาชิก รวมถึงนโยบายและข้อบังคับของสมาคมฯ 2. เมนู “สมาชิก” ประกอบด้วย รายละเอียดของสมาชิกสามัญทั้งประเภทสถาบันการเงินและประเภทบุคคล รวมทั้งสมาชิกกิตติมศักดิ์ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เข้าร่วมเป็นสมาชิก 3. เมนู “มาตรการช่วยเหลือ” เป็นการรวบรวมมาตรการด้านการเงินที่สถาบันการเงินของรัฐได้ออกมาเพื่อดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งต่อไปหากมีมาตรการ หรือนโยบายภาครัฐเพิ่มเติมก็จะนำข้อมูลมาเผยแพร่ในส่วนนี้ 4. เมนู “ผลการดำเนินงาน” เป็นการแสดงข้อมูลผลการดำเนินงานของสมาคมสถาบันการเงินของรัฐในแต่ละปีที่ผ่านมา รวมถึงผลการดำเนินงานด้านการเงิน 5. เมนู “ข่าวประชาสัมพันธ์” เป็นการรวบรวมข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ของสมาคม และข่าวสารของสถาบันการเงินสมาชิกที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไป และ 6. เมนู “ติดต่อเรา” เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารกับประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสมาคมฯ และสถาบันการเงินของรัฐที่เป็นสมาชิก โดยสามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด ทางสมาคมฯ จะเป็นตัวกลางในการประสานกับสถาบันการเงินสมาชิกเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบต่อไป
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังได้รวบรวม “คำถามที่พบบ่อย” เพื่อเป็นแนวคำตอบสำหรับประชาชนที่ต้องการทราบข้อมูลการใช้บริการและผลิตภัณฑ์ของแต่ละสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการติดต่อสมาคมฯ สามารถติดต่อได้ที่ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2202-1868, 0-2202-1961 หรือ E-mail [email protected]
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (The Government Financial Institutions Association : GFA) จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อให้บริการและช่วยเหลือประชาชน โดยใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างสมาชิกสถาบันการเงินของรัฐ 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.), ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
โทร. 0-2202-1868 และ 0-2202-1961
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41230 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการเยียวยาธุรกิจไทยใน CLMV จากผลกระทบโควิด-19 และสถานการณ์ภายในเมียนมา | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
EXIM BANK ออกมาตรการเยียวยาธุรกิจไทยใน CLMV จากผลกระทบโควิด-19 และสถานการณ์ภายในเมียนมา
EXIM BANK ออกมาตรการสินเชื่อเยียวยาผู้ประกอบการ SMEs ไทยใน CLMV จากผลกระทบโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% ต่อปี ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี พร้อมมาตรการช่วยเหลือลูกค้า EXIM BANK ในตลาดเมียนมา
EXIM BANK ออกมาตรการสินเชื่อ เยียวยาผู้ประกอบการ SMEs ไทยใน CLMV จากผลกระทบของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% ต่อปี ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี พร้อมมาตรการช่วยเหลือลูกค้า EXIM BANK ในตลาดเมียนมา พักชำระหนี้เงินต้นกรณีวงเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 12 เดือน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ไต่อันดับขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 CLMV เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 4 ของไทย รองจากสหรัฐฯ อาเซียนเดิม 5 ประเทศ และจีน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยไปตลาด CLMV มีเหตุสะดุดลงในปี 2563 โดยหดตัวกว่า 11% ขณะที่ในปี 2564 ยังต้องเผชิญกับปัญหารอบด้าน ทั้งวิกฤตโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์ภายในเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจส่งออกและลงทุนในตลาดเมียนมา ขณะที่ในภาพรวมกลุ่มประเทศ CLMV ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตทางเศรษฐกิจและมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการของไทยอยู่มาก การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs มีแหล่งเงินทุนเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ ดังนั้น EXIM BANK จึงออกมาตรการช่วยเหลือดังต่อไปนี้
• มาตรการสินเชื่อ CLMV อุ่นใจ เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการไทยใน CLMV ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี ใช้เพียงหนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับบุคคลหรือนิติบุคคลค้ำประกันได้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2564 ทางเว็บไซต์ www.exim.go.th สอบถามได้ที่ EXIM BANK สำนักงานใหญ่และสาขาทุกแห่ง
• มาตรการเยียวยาธุรกิจไทยในเมียนมา สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ EXIM BANK สามารถพักชำระหนี้เงินต้นกรณีวงเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 12 เดือน ต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินรวมสูงสุดไม่เกิน 180 วัน โดยแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ EXIM BANK ภายใน 30 กันยายน 2564
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมาอย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบต่อลูกค้า ผู้ประกอบการไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากการชำระเงินล่าช้าและการชะลอคำสั่งซื้อของคู่ค้าในเมียนมา EXIM BANK จึงได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านมาตรการต่าง ๆ ตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีลูกค้า EXIM BANK ที่เป็นผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดเมียนมาจำนวนกว่า 200 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อประมาณ 5,300 ล้านบาท การออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในเมียนมาจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินและเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทยได้
นอกจากมาตรการด้านการเงินข้างต้นแล้ว EXIM BANK พร้อมให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในเมียนมา ทาง Hotline โทร. 0 2271 3700 ต่อ 3009
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งไทยและ CLMV มาตั้งแต่ต้นปี 2563 ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ CLMV เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงในระยะยาว EXIM BANK จึงต้องเร่งออกมาตรการเยียวยาในระยะสั้น ทั้งด้านสินเชื่อและการให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อประคับประคองสภาพคล่องทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย รอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาด CLMV ในระยะถัดไป” ดร.รักษ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches Relief Schemes for Thai Businesses in CLMV Affected by COVID-19 and Internal Situation in Myanmar
EXIM Thailand has issued a credit facility program to assist Thai SMEs in the CLMV affected by the COVID-19 pandemic and economic situations with a maximum credit line of 20 million baht at a special interest rate of 3.99% per annum and a maximum repayment period of 3 years together with an assistance program for its clients in Myanmar market with principal debt suspension of up to 12 months for long-term loans.
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) has increasingly and consistently become a major export market of Thailand. In 2020, the CLMV ranked no. 4 among Thailand’s major export markets, following the U.S., the original ASEAN member states and China respectively. However, Thai export to the CLMV stumbled in 2020 recording a contraction of more than 11%. The market has still been overwhelmed by multi-faceted problems in 2021, such as the prevailing COVID-19 pandemic and the tense situation in Myanmar. This has posed adverse impacts on Thai entrepreneurs engaging in export and investment in Myanmar, while in overall, the CLMV market still has economic growth potential and high demand for Thai goods and services. Liquidity enhancement for SMEs with adequate funding source for their international trade undertakings amid the surrounding challenges is accordingly crucial and swift remedial action is required. EXIM Thailand has thus released the following schemes:
• EXIM CLMV Comfort Credit Scheme offers a revolving credit facility to Thai entrepreneurs in the CLMV affected by the COVID-19 and economic slowdown, with a maximum credit line of 20 million baht per entrepreneur at a special interest rate of 3.99% per annum and a maximum repayment period of 3 years. The credit facility can be secured by a letter of guarantee from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG) together with a personal or juristic person guarantee. Entrepreneurs may apply for the credit facility from today until November 30, 2021 via the Bank’s website: www.exim.go.th. For further information, please contact the Bank’s Head Office or any of its branches.
• EXIM Relief Scheme for Thai Entrepreneurs in Myanmar offers to the Bank’s existing clients both principal debt suspension for a maximum of 12 months for long-term loans and roll-over of promissory notes for up to 180 days. To apply for assistance under the scheme, please contact the Bank’s officers by September 30, 2021.
EXIM Thailand President further said that, from the Bank’s close follow-up and assessment of the tough situation in Myanmar, Thai entrepreneurs have started to be affected by late payment for goods/services and orders suspended by buyers in Myanmar. EXIM Thailand has thus continuously worked out assistance measures as necessary up to present. The Bank currently has a total of over 200 clients in Myanmar, comprising both Thai exporters and investors, involving a total credit amount of approximately 5,300 million baht. The relief scheme should be able to reduce financial costs and boost liquidity for Thai entrepreneurs’ business operations to some extent.
Besides the above financial assistance, EXIM Thailand is ready to render advisory support to Thai exporters and investors in Myanmar via Hotline Tel. 0 2271 3700 ext. 3009.
“The ongoing COVID-19 spread that has ravaged countries across the globe including Thailand and the CLMV since the beginning of 2020 coupled with other emerging factors have posed profound impacts on Thai entrepreneurs. Considering the CLMV as a new frontier market with high and long-term economic potential, we have untiringly worked out short-term relief and assistance schemes covering both credit facility and provision of advice with a view to sustaining business liquidity for Thai entrepreneurs pending the economic recovery of the CLMV,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41238 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม แจง"อานนท์"ไม่ได้ติดโควิด ยันไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแดนกักโรค พร้อมชี้ 3 แกนนำผลเป็นลบอยู่ระหว่างกักตัว วอนอย่าสร้างข่าวปั่นป่วนขอให้เสนอความจริง บ้านเมืองวุ่นวาย | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
เลขา รมว.ยุติธรรม แจง"อานนท์"ไม่ได้ติดโควิด ยันไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแดนกักโรค พร้อมชี้ 3 แกนนำผลเป็นลบอยู่ระหว่างกักตัว วอนอย่าสร้างข่าวปั่นป่วนขอให้เสนอความจริง บ้านเมืองวุ่นวาย
เลขา รมว.ยุติธรรม แจง"อานนท์"ไม่ได้ติดโควิด ยันไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแดนกักโรค พร้อมชี้ 3 แกนนำผลเป็นลบอยู่ระหว่างกักตัว วอนอย่าสร้างข่าวปั่นป่วนขอให้เสนอความจริง บ้านเมืองวุ่นวายมากพอแล้ว ขู่ให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตรวจสอบ
ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณี มีการโพสเฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า นายอานนท์ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกกักโรคหรือติดโควิดอยู่ในแดนอื่น และล่าสุดได้มีการตรวจโควิดแล้วก็ไม่พบว่าติดเชื้อ ดังนั้นเพจทนายอานนท์ที่มีแอดมินดูแลอยู่ควรระมัดระวังในการเสนอเรื่องราวภายในเรือนจำมิฉะนั้นจะให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ดำเนินคดี เพราะทำให้เกิดความเสียหายและเกิดความวุ่นวาย ตนอยากฝากบอกว่าควรมีจิตสำนึก เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีโรคระบาดโควิดประชาชนก็เดือดร้อนอยู่แล้วอย่าสร้างความวุ่นวาย ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือเอมมี่ และนายเฉลิมพงษ์ คำวงศ์ แกนนำม็อบ ทั้ง 3 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัว และรอตรวจซ้ำสัปดาห์หน้า อีกครั้ง
"ช่วงที่สถานการณ์ของประเทศกำลังวิกฤติ ผมขอร้องอย่าสร้างความวุ่นวายในช่วงนี้เลย การจะเผยแพร่ข้อมูลใดๆ ควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนแบบนี้ และการที่ทนายเข้าไปเยี่ยมและนำข้อมูลที่ไม่จริงออกมาเผยแพร่ ตรงนี้อาจจะต้องให้สภาทนายความดำเนินการด้วย" ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41231 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เดินหน้ารณรงค์ทุกจังหวัดใช้และสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน มอบสวจ.ทุกแห่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ Infographic ขอความร่วมมือผู้ว่าฯเป็นแบบอย่าง พร้อมเชิญชวนคนไทยแต่งผ้าไทย | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
วธ.เดินหน้ารณรงค์ทุกจังหวัดใช้และสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน มอบสวจ.ทุกแห่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ Infographic ขอความร่วมมือผู้ว่าฯเป็นแบบอย่าง พร้อมเชิญชวนคนไทยแต่งผ้าไทย
วธ.เดินหน้ารณรงค์ทุกจังหวัดใช้และสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน มอบสวจ.ทุกแห่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ Infographic ขอความร่วมมือผู้ว่าฯเป็นแบบอย่าง พร้อมเชิญชวนคนไทยแต่งผ้าไทย
วธ.เดินหน้ารณรงค์ทุกจังหวัดใช้และสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน มอบสวจ.ทุกแห่งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ Infographic ขอความร่วมมือผู้ว่าฯเป็นแบบอย่าง พร้อมเชิญชวนคนไทยแต่งผ้าไทย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ส่งเสริมการใช้และสวมใส่ผ้าไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2563 และขับเคลื่อนนโยบายวธ. ในการส่งเสริมการต่อยอดทุนวัฒนธรรมด้วยคุณค่า เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประชาชน ชุมชนและประเทศ รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านวัฒนธรรมการแต่งกายผ้าไทยและผ้าในท้องถิ่น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังความภาคภูมิใจในความเป็นไทย โดยเชิญชวนให้หน่วยงานทุกภาคส่วนและประชาชนใช้และสวมใส่ผ้าไทย ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และสืบสานผ้าไทยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยนำเสนอผ้าไทยจากท้องถิ่น ผู้ประกอบการและชุมชนคุณธรรมฯ ทั่วทุกภูมิภาคผ่านช่องทางการสื่อสาร ที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิงพิมพ์ และสื่อออนไลน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.จึงได้แจ้งไปยังสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด(สวจ.)ทุกแห่ง เพื่อให้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ Infographic รณรงค์การแต่งกายผ้าไทยของจังหวัดโดยขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมกับมอบหมายวัฒนธรรมจังหวัดเป็นแบบอย่างในการแต่งกายผ้าไทยโดยมีข้อความ“รักษ์ผ้าไทย รักษ์ความเป็นไทย” และคำเชิญชวนประกอบ Infographic เพื่อเป็นสื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และชุมชนผ่านสื่อช่องทางต่างๆ นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จัดโครงการ“พลิ้ว”เพื่อให้องค์ความรู้เกี่ยวกับผ้าไทย เช่น ความเป็นมา คุณสมบัติ แหล่งผลิตผ้าไทยผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อออนไลน์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD ระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน 2564 ก่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างและประชาชนได้เห็นตัวอย่างในการประยุกต์ใช้ผ้าไทยสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง และสร้างรายได้สู่ชุมชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41248 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์” แจงมาตรการรับมือโควิดพาณิชย์ สั่งคุมเข้มค่าบริการดีลิเวอรี่กันเอาเปรียบผู้บริโภค พร้อมเปิดบริการ วัน สต๊อป เซอร์วิส 85 กิจกรรมผ่านระบบออนไลน์ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
“จุรินทร์” แจงมาตรการรับมือโควิดพาณิชย์ สั่งคุมเข้มค่าบริการดีลิเวอรี่กันเอาเปรียบผู้บริโภค พร้อมเปิดบริการ วัน สต๊อป เซอร์วิส 85 กิจกรรมผ่านระบบออนไลน์
วันที่ 27 เมษายน 2564 เวลา 10.45 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ในการรับมือโควิดรอบ 3 ว่า
ได้มีการดำเนินการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนทุกระดับ ทั้ง กรอ.พาณิชย์ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการที่กระทรวงพาณิชย์ทุกหน่วยงานกับภาคเอกชน ทั้งสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมผู้ส่งสินค้าทางเรือ และภาคส่วนอื่นๆ ในส่วนของภาคเอกชนเรามีการประชุมหารือร่วมกัน
ในช่วงสถานการณ์โควิดได้มีการดำเนินการ เช่น เร่งรัดการส่งออกปรับเปลี่ยนรูปแบบจากระบบออฟไลน์เป็นระบบออนไลน์ เรื่องการเข้าไปกำกับดูแลควบคุมราคาสินค้าบริการ นอกจากการตรวจตราตามวิธีปกติ โดยพาณิชย์แต่ละจังหวัดเข้าไปดำเนินการแล้ว ก็จะมุ่งเข้าไปตรวจสอบอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะในช่วงโควิดประชาชนมาใช้การส่งเดลิเวอรี่มากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบเรื่องของราคาค่าบริการกับภาคประชาชน
นอกจากนั้นการให้บริการของกระทรวงพาณิชย์ที่มีต่อผู้ประกอบการทุกระดับ ทั้งการจดทะเบียนนิติบุคคล การยกเลิกการแจ้งงบดุล การใช้บริการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ ขณะนี้เป็นการได้มีการปรับรูปแบบมาเป็นการให้บริการออนไลน์ แบบ One Stop Service ให้ได้รับบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ในเวลารวดเร็วโดยไม่ต้องเดินทางไปที่กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอีกต่อไป ได้เปิดให้บริการไปแล้ว 85 บริการ และจะมีการเพิ่มการให้บริการมากขึ้นไป ภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับความสะดวก
และในส่วนของสำนักงานกระทรวงพาณิชย์ ทั้งสำนักรัฐมนตรี สำนักปลัด กรมต่างๆมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด และกำชับเจ้าหน้าที่ให้ระมัดระวัง จัดระบบให้เจ้าหน้าที่ Work from Home แบ่งกะกัน โดยปลัดกระทรวงประชุมกับอธิบดีและมอบหมายให้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลไปก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้ว
“ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดตรวจตราเรื่องราคาสินค้าต่างๆที่จำหน่ายในภูมิภาค และในกรุงเทพมหานคร ไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบผู้บริโภค สินค้าบางอย่างต้องติดป้ายแสดงราคา บางอย่างถ้าจะมีการขึ้นราคาบต้องขออนุญาต แต่กระทรวงก็ยังไม่อนุญาตในการที่จะไปปรับราคาขึ้นใดๆทั้งสิ้น แต่ที่เน้นเป็นพิเศษ คือ อัตราค่าบริการในช่วงสถานการณ์โควิด ทำให้พี่น้องประชาชนทั่วทั้งประเทศ หันมาใช้บริการสั่งสินค้า สั่งอาหารทางเดลิเวอรี่มากขึ้น อันนี้ต้องเข้าไปกำกับดูแลไม่ให้เป็นภาระกับพี่น้องกับประชาชน เพราะเราต้องการสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำงานที่บ้านและอยู่กับบ้านเป็นด้านหลัก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41245 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ่านให้ชัด! ต้องใส่หน้ากากอนามัยตอนไหนใน กทม. | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
อ่านให้ชัด! ต้องใส่หน้ากากอนามัยตอนไหนใน กทม.
...
ปลัดกรุงเทพมหานคร ชี้แจงข้อสงสัยเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยตามประกาศของ กทม. ที่ให้ประชาชนใน กทม. สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนัก เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 64 เป็นต้นไป
.
โดยย้ำว่าเจตนาคือการป้องกันการติดต่อของโรคจากบุคคลไปสู่บุคคล การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในอาคารหรือที่ต่าง ๆ จะต้องสวมหน้ากาก สำหรับในที่สาธารณะต้องใส่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือไม่ เพราะบุคคลอื่นอาจมาใช้สถานที่นั้นต่อ
.
กรณีที่อยู่ในรถ ถ้ามีคนอื่นร่วมอยู่ด้วยในรถ ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ไม่ยกเว้นแม้เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ แต่ถ้านั่งคนเดียวอนุโลมให้ไม่ต้องใส่หน้ากาก
.
กรณีของผู้ประกาศข่าวหรือจัดรายการในสตูดิโอ เนื่องจากสตูดิโอถือว่าเป็นสถานที่นอกเคหสถานและสถานที่พำนัก และมีคนปฏิบัติงานมากกว่า 1 คน มีลักษณะเป็นห้องปิด ซึ่งจะมีผู้เข้ามาใช้งานต่อเนื่อง ขณะอ่านข่าวผู้ประกาศหรือจัดรายการจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องสวมหน้ากาก
.
นอกจากนี้ ผู้ประกาศข่าวเป็นบุคคลสาธารณะที่จะมีภาพปรากฏทั่วไป จึงควรเป็นภาพที่สวมใส่หน้ากากเพื่อเป็นแบบอย่างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรงและต้องการร่วมมือจากประชาชน
.
กรณีเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้สวมหน้ากาก เพราะเด็กยังไม่รู้วิธีที่จะถอดหน้ากากออกและอาจขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ จึงเข้าข่ายอนุโลมไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่ให้หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในสถานที่แออัด หรือพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. คิกออฟ วันนี้ ! สินเชื่อฟื้นฟู ... เฟสแรก 100,000 ล้านบาท ค้ำฯ ทุกราย กู้ได้เท่าไหน ค้ำฯ ให้เท่านั้น | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
บสย. คิกออฟ วันนี้ ! สินเชื่อฟื้นฟู ... เฟสแรก 100,000 ล้านบาท ค้ำฯ ทุกราย กู้ได้เท่าไหน ค้ำฯ ให้เท่านั้น
บสย. คิกออฟ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจับมือกระทรวงการคลัง – ธนาคารแห่งประเทศไทย ค้ำฯจัดเต็มสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจเดินหน้าเฟสแรก 100,000 ล้านบาท
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศคิกออฟวันนี้ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ จับมือกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยผู้ประกอบการธุรกิจผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อ “โครงการค้ำประกันสินเชื่อตามพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564” วงเงินเฟสแรก 100,000 ล้านบาท และจะเพิ่มในเฟสต่อไปอีก 150,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งโครงการ 250,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทีมงาน บสย. ทุกส่วนงานพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเต็มที่ สามารถรับคำขอจากสถาบันการเงินและเริ่มอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้ (27 เมษายน 2564) เป็นต้นไป
การค้ำประกันสินเชื่อในโครงการนี้ มีความแตกต่างจากโครงการเดิมๆ ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ บสย. ใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อ ภายใต้ พ.ร.ก. ฟื้นฟูสินเชื่อ ฉบับใหม่ เพื่อร่วมปลดล็อกข้อจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อ เพิ่มความมั่นใจให้สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ โดยเพิ่มสัดส่วน Max Claim สูงถึง 40% เพื่อช่วยอำนวยประโยชน์ต่อการเข้าถึงสินเชื่อให้มากที่สุดในช่วงสถานการณ์ Covid-19
1. ค้ำฯ เต็มพิกัด “กู้ได้เท่าไหน ค้ำฯ ให้เท่านั้น” ค้ำประกันทุกราย ระยะเวลาสูงสุด 10 ปี
2. วงเงินค้ำประกันเฟสแรก 100,000 ล้านบาท วงเงินรวม 250,000 ล้านบาท สิ้นสุด 9 ตุลาคม 2566
3. ค่าธรรมเนียมค้ำฯ ร้อยละ 1.75 ต่อปี ในปีที่ 1 และ 2 โดยในปีที่ 3-6 คิดค่าธรรมเนียมค้ำฯ ร้อยละ 1 ต่อปี ในปีที่ 7 คิดร้อยละ 1.25 และปีที่ 8-10 คิดค่าธรรมเนียมค้ำฯ ร้อยละ 1.75 ต่อปี (รัฐบาลสนับสนุนค่าธรรมเนียม รวมร้อยละ 3.5)
4. วงเงินค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 150 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41247 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปลื้ม JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย ย้ำรัฐบาลเตรียมเดินหน้าทั้งมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็ง | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีปลื้ม JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย ย้ำรัฐบาลเตรียมเดินหน้าทั้งมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็ง
นายกรัฐมนตรีปลื้ม JCR คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย ย้ำรัฐบาลเตรียมเดินหน้าทั้งมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็ง
วันที่ 27 เม.ย. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานจากกระทรวงการคลังกรณีที่บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น จัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ A - และยืนยันมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ายินดีและสะท้อนให้เป็นมุมมองของต่างประเทศต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคส่วนที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงอยู่มาก แต่ด้วยสถานการณ์การเงินและการคลังที่เข้มแข็งของประเทศจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าเต็มที่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเข้มแข็งได้
“จากที่ประเทศไทยได้เผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.เป็นต้นมา พร้อมกับมาตรการควบคุมโรคที่เพิ่มความเข้มงวดขึ้นโดยต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมเพื่อจะเดินหน้าทั้งมาตการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยรัฐบาลได้จัดเตรียมงบประมาณที่เพียงพอและจะพิจารณาอย่างรอบคอบในการดำเนินนโยบายที่เกิดประสิทธิผลสูงสุด”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
-----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41236 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
การประชุมคณะทำงานจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
รองปลัดฯ วรวรรณ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
วันนี้ (27 เมษายน 2564) เวลา 09.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1 โดยมี นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายนฤบดินทร์ วุฒิวรรณ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ห้องประชุมกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ชั้น 6 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยที่ประชุมฯ ได้มีการนำเสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในปีงบประมาณ 2558 – 2562 แนวคิดและการดำเนินงานรวมถึงแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมพร้อมประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน ตามที่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมพร้อมประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน ตามที่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมพร้อมประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน ตามที่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ
นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 ผ่านโปรแกรม ZOOM cloud Meetings ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้การจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น ไม่สามารถดำเนินการจัดได้ตามปกติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มีหนังสือถึงสำนักพระราชวัง ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตประกอบพิธีปลุกเสกพันธุ์ข้าวพระราชทาน เพื่อเป็นพันธุ์ข้าวสำหรับเพาะปลูก รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรทั่วประเทศ
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยงดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2564 และพระราชทานพระมหากรุณาในการต่างๆ ดังนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. และปฏิบัติหน้าที่ประธานในพิธีหว่านข้าวในแปลงนาทดลอง สวนจิตรลดา ในวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้หว่านข้าว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระคันธารราษฎร์ใหญ่ (ประทับนั่ง) พระคันธารราษฎร์จีน (ประทับนั่ง) ที่ประดิษฐาน ณ หอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานในพิธีปลุกเสกเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชต่างๆ ในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้แทนสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ประจำปีพุทธศักราช 2563 – 2564 จำนวน 76 คน เข้ารับโล่รางวัลพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41249 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา สั่งการ พศ. ขอวัดอย่าปฏิเสธศพโควิด ย้ำเผาศพได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ และต้องดำเนินการทันที | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
รมต.อนุชา สั่งการ พศ. ขอวัดอย่าปฏิเสธศพโควิด ย้ำเผาศพได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ และต้องดำเนินการทันที
รมต.อนุชา สั่งการ พศ. ขอวัดอย่าปฏิเสธศพโควิด ย้ำเผาศพได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการ และต้องดำเนินการทันที
จากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่พบว่ามีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทุกวัน ส่งผลต่อการนำศพผู้ติดเชื้อไปประกอบพิธีฌาปนกิจ โดยพบว่าบางวัดปฏิเสธการรับศพผู้ติดเชื้อมาประกอบพิธี จนกลายเป็นกระแสสังคมที่พูดกันในวงกว้าง
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการประสาน สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือวัดทุกวัด ทั่วประเทศ อย่าปฏิเสธการประกอบพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แต่ขอให้ใช้ความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ ในการดำเนินการฌาปนกิจศพ โดยให้ประสานกับสาธารณสุขพื้นที่ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดและถูกวิธี และต้องสร้างความเข้าใจกับญาติ เกี่ยวกับการประกอบพิธีฌาปนกิจนั้นต้องกระทำทันที ไม่ให้มีการไว้ทุกข์เป็นระยะเวลานาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในวัดและชุมชนใกล้เคียง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ในสถานการณ์วิกฤติของประเทศเช่นนี้ วัดเป็นที่พึ่งหลักของพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธามาตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น เมื่อเกิดการสูญเสียไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม จึงขอความร่วมมือไปยังทุกวัด ให้กรุณารับฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อ อย่าได้รังเกียจ และขอให้ปฏิบัติอย่างถูกวิธีตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 ที่ภาครัฐกำหนด
................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41255 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สรุปกรณีหญิง 23 ปี เสียชีวิต เบื้องต้นไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สรุปกรณีหญิง 23 ปี เสียชีวิต เบื้องต้นไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสรุปคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน กรณีหญิงอายุ 23 ปี เสียชีวิต เบื้องต้นไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เป็นเหตุร่วมโดยบังเอิญ รอข้อมูลการตรวจชันสูตรเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมแนะสมาชิกในครอบครัว
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสรุปคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน กรณีหญิงอายุ 23 ปี เสียชีวิต เบื้องต้นไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 เป็นเหตุร่วมโดยบังเอิญ รอข้อมูลการตรวจชันสูตรเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมแนะสมาชิกในครอบครัว การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่บ้าน ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ
บ่ายวันนี้ (27 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,179 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 2,149 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 25 ราย จากต่างประเทศ 5 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 15 ราย สำหรับระลอกเมษายน 2564
มีผู้ติดเชื้อสะสม 30,824 ราย รักษาหาย 6,125 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 69 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้ 15 ราย เป็นชาย 9 ราย หญิง 6 ราย (รายที่ 149-163) อายุระหว่าง 37 -88 ปี อยู่ในกทม. 9 ราย นครสวรรค์ 2 ราย ชัยภูมิ เพชรบุรี สมุทรปราการ สระบุรี จังหวัดละ 1 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด ไตเรื้อรัง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ มะเร็ง และภาวะอ้วน ส่วนผู้สูงอายุเกิดจากการสัมผัสในครอบครัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อและเสียชีวิต
“ทุกคนควรสวมหน้ากากอนามัย แม้จะอยู่ในบ้าน และเว้นระยะห่าง โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน หรือมีผู้สูงอายุ เนื่องจากเราไม่อาจทราบว่าตนเองหรือบุคคลในครอบครัวรับเชื้อมาหรือไม่ เพื่อการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว” นายแพทย์ทวีทรัพย์กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 26 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 1,227,032 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 1,012,388 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 214,644 ราย เฉพาะวันที่ 26 เมษายน ฉีดได้ 77,366 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 40,184 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 37,182 ราย รัฐบาลให้ความมั่นใจและปรับแนวทางการจัดหาวัคซีนให้กับประเทศไทยให้ได้ 100 ล้านโดส จากเดิม 63 ล้านโดส โดยจะฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายในปี 2564 ผู้ที่มีความจำเป็นและประสงค์จะฉีดวัคซีนจะได้รับการฉีดแน่นอน โดยจะเริ่มในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
นายแพทย์ทวีทรัพย์กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีหญิงอายุ 23 ปี ภูมิลำเนา จังหวัดอ่างทอง พักอาศัยที่จังหวัดปทุมธานี เสียชีวิตภายหลังการได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 นั้น ผลสรุปจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญฯ พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดร่วมโดยบังเอิญ และเกิดขึ้นภายหลังการฉีดวัคซีน 1 วัน จากประวัติได้รับประทานอาหารเสริม จากนั้น 30 นาที มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ต่อมามีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท ปวดศีรษะรุนแรง เริ่มมีการแสดงท่าทางแปลกๆ ซึ่งเป็นสัญญาณผิดปกติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม จะมีการตรวจชันสูตรเพิ่ม และนำผลเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้ง เพื่อยืนยันสาเหตุการเสียชีวิต ขอยืนยันว่ากระบวนการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังการฉีดวัคซีนได้มีการเฝ้าระวังทุกเหตุการณ์ ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงที่อาจทำให้เกิดการเสียชีวิต จะได้รับการสอบสวนและตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ หากเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือความบกพร่องของวัคซีน จะมีการหยุดฉีดและพิจารณาประเมินความเสี่ยงกับประโยชน์ต่อไป
******************************* 27 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41258 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 เมษายน 2564 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 เมษายน 2564
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (27 เมษายน 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่า ด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวล กฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม 2 ฉบับ)
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงบรรจุ พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….
6. เรื่อง การออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษี และการกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและ
สหราชอาณาจักร
7. เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
เศรษฐกิจ สังคม
8. เรื่อง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
9. เรื่อง การรายงานประจำปี 2563 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
10. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานสรุปผลการดำเนินงาน รอบ 9 เดือน (ตุลาคม 2562 - มิถุนายน 2563) ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม วุฒิสภา
11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอทิศทางประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด 19 ในด้านการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
12. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
13. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
14. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2564
15. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรใน
ประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 5 แสนโดส
16. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) (ฉบับที่ 3)
ต่างประเทศ
17. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU)
18. เรื่อง การเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai
19. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 24
20. เรื่อง รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ASEAN Labour Ministers’ Meeting : ALMM) ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องผ่านระบบการ ประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference)
21. เรื่อง การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (ICS-ICH) วาระปี พ.ศ. 2565 – 2569
22. เรื่อง การเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO)
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
แต่งตั้ง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพาณิชย์)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม 2 ฉบับ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม 2 ฉบับ ตามที่ กค. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
3. ให้ กค. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. สถาบันการเงินประชาชน เป็นองค์กรการเงินของชุมชนซึ่งได้จดทะเบียนเป็นสถาบันการเงินประชาชนตามพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. 2562 มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์และให้บริการทางการเงินแก่สมาชิก รวมทั้งส่งเสริมหรือสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ คุณภาพชีวิต และสวัสดิการของสมาชิกและประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นการดำเนินงานในระดับตำบล
2. ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรการเงินชุมชนยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสถาบันการเงินประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งช่วยลดภาระต้นทุนให้แก่องค์กรการเงินชุมชนที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสถาบันการเงินประชาชน เพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอที่จะเริ่มดำเนินการตามภารกิจของสถาบันการเงินประชาชน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์และช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่สมาชิกสถาบันการเงินประชาชน กค. พิจารณาแล้วจึงได้เสนอมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน โดยตราเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย รวม 2 ฉบับ
2.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร และ
2.2 ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เพื่อลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
3. ปัจจุบันมีองค์กรการเงินชุมชนที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสถาบันการเงินประชาชนภายใต้พระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. 2562 จำนวน 3 แห่ง ได้แก่
ลำดับ
ชื่อโรงงาน
สถานที่ตั้ง
วันที่จดทะเบียนจัดตั้ง
1.
กลุ่มสัจจะออมทรัพย์บ้านสระแก้ว ใช้ชื่อว่า สถาบันการเงินประชาชนตำบลบ้านเป้า
ตำบลบ้านเป้า อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
25 สิงหาคม 2563
2.
สถาบันการเงินชุมชนบ้านคูตีน ใช้ชื่อว่า สถาบันการเงินประชาชนตำบลน้ำขาว
ตำบลน้ำขาว อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
12 พฤศจิกายน 2563
3.
สถาบันการเงินชุมชนบ้านทานพอ ใช้ชื่อว่า สถาบันการเงินประชาชนบ้านทานพอ
ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
16 ธันวาคม 2563
4. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ พิจารณาแล้วเห็นว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากภาษีที่คาดว่าจะได้รับหากไม่มีการดำเนินการตามมาตรการนี้ประมาณปีละ 18 ล้านบาท และสูญเสียรายได้ที่ได้รับจากค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประมาณปีละ 2.6 ล้านบาท
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ มูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสาร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนสถานะขององค์กรการเงินชุมชนไปเป็นสถาบันการเงินประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินประชาชน
1.2 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่สมาชิกของสถาบันการเงินประชาชน สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับจากสถาบันการเงินประชาชนทุกบัญชีรวมกันของสมาชิกแต่ละราย รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษี
1.3 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่สมาชิกของสถาบันการเงินประชาชน สำหรับเงินได้ที่เป็นเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนที่ได้รับจากการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินประชาชน
1.4 ยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับตราสารที่สถาบันการเงินประชาชนออกให้กับสมาชิกใน การทำธุรกรรม
2. ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ อัตราร้อยละ 0.01 สำหรับการเปลี่ยนสถานะขององค์กรการเงินชุมชนเป็นสถาบันการเงินประชาชน ในกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่นิติบุคคล บุคคล หรือกลุ่มบุคคลอื่นที่มิใช่องค์กรการเงินชุมชนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โอนให้แก่สถาบันการเงินประชาชน ในส่วนที่ผู้โอนและผู้รับโอนอสังหาริมทรัพย์มีหน้าที่ชำระ
2.2 เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ อัตราร้อยละ 0.01 สำหรับกรณีการจำนองอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อระหว่างสมาชิกของสถาบันการเงินประชาชนกับสถาบันการเงินประชาชน
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงบรรจุ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงบรรจุ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ พน. เสนอ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงบรรจุ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้การออกแบบ การสร้าง การทดสอบและตรวจสอบถังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวต้องเป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมต้องเป็นผู้ค้าน้ำมันหรือเป็นตัวแทนค้าต่างจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวของผู้ค้าน้ำมัน และมีหน้าที่ควบคุมดูแลถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มให้เป็นไปตามที่กำหนด
3. กำหนดวิธีการในกรณีที่มีการยกเลิกการเป็นตัวแทนค้าต่างจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวระหว่างกัน
4. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมมีหน้าที่ควบคุมดูแลรถยนต์ที่ใช้บรรทุกถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มที่เข้ามาภายในบริเวณโรงบรรจุ และกำหนดวิธีการวัดระยะห่างของกังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว และอาคารที่ใช้บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
5. กำหนดลักษณะของแผนผังโดยสังเขป แผนผังบริเวณ และแบบก่อสร้างอาคาร แบบก่อสร้างกำแพงกันไฟ แบบก่อสร้างถังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว แบบก่อสร้างท่อหรือรางระบายน้ำ และรายการคำนวณความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร
6. กำหนดที่ตั้ง ลักษณะ และระยะปลอดภัยของสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทโรงบรรจุ โดยต้องตั้งอยู่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร ตั้งอยู่ห่างจากสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่น้อยกว่า 50 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากเขตสถานทูต สถานกงสุล สถานศึกษา สถานพยาบาล โรงมหรสพ ศาสนสถาน โบราณสถาน หรือสนามกีฬา ไม่น้อยกว่า 200 เมตร รวมทั้งกำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยของอาคารที่ใช้บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวและอาคารเก็บภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว
7. กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยการตั้งถังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวในโรงบรรจุ การวางระบบท่อก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการติดตั้งอุปกรณ์เข้ากับถังเก็บและจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมถึงกำหนดลักษณะของหัวจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวและสายหัวจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวในโรงบรรจุ ตลอดจนวิธีการบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม
8. กำหนดวิธีการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยต้องมีระบบท่อน้ำดับเพลิง ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยแบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (water sprinklers) และเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการกำหนดให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) และสถาบันอนุญาโตตุลาการ เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการบังคับคดีทางปกครองแทนได้ อันจะทำให้การบังคับทางปกครองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานอ้างอิงการพัฒนาเทคโนโลยี การทำและการใช้ภายในประเทศ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 348 – 2559 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5987 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ ประกาศ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานอ้างอิง การพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งการทำและการใช้ภายในประเทศ ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1499 – 2563 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5720 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเชื่อมประกอบ ประกาศ ณ วันที่ 1 เมษายน 2563 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
6. เรื่อง การออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษี และการกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร พ.ศ. …. และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ พณ. เสนอว่า
1. เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 รัฐสภาได้เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทย ตามมาตรา 28 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (แกตต์) 1994 ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขข้อผูกพันสำหรับสินค้าที่มีโควตาภาษีในตารางข้อผูกพันของสหภาพยุโรป อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร และต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ไทยได้ลงนามความตกลงกับสหราชอาณาจักรในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) เกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหราชอาณาจักรกรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลกของสหราชอาณาจักร
2. เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ได้แจ้งปลัดกระทรวงพาณิชย์ว่า เนื่องจากการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564) ทำให้ในปี 2564 ไทยได้รับจัดสรรโควตาสินค้าข้าวขาวปริมาณ 17,728 ตัน และข้าวหักปริมาณ 48,729 ตัน ต่อมากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้แจ้งกรมการค้าต่างประเทศว่าเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 สหราชอาณาจักรได้ออกระเบียบเลขที่ 1432 เรื่อง Exiting The European Union Customs: The Custom (Tariff Quotas) (EU Exit) Regulation 2020 No. 1432 (ระเบียบเลขที่ 2020/1432) ระบุมาตรการบริหารและจัดการปริมาณโควตาสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหราชอาณาจักร โดยไทยได้รับจัดสรรโควตาสินค้าข้าวขาวปริมาณ 3,727 ตัน และข้าวหักปริมาณ 3,271 ตัน
3. พณ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 76) พ.ศ. 2539 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกสินค้าข้าวไปสหภาพยุโรป พ.ศ. 2539 กำหนดให้เฉพาะกรณีการส่งออกข้าวภายใต้โควตาข้าวสหภาพยุโรปเป็นสินค้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออก โดยมิได้ครอบคลุมกรณีที่สหราชอาณาจักรได้ออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรป และการเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกไปสหราชอาณาจักร ประกอบกับสหราชอาณาจักรได้กำหนดให้การยกเว้นภาษี หรือลดหย่อนภาษี สำหรับการนำเข้าข้าวบางประเภทจากไทยต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก (Export Certificate) จากกรมการค้าต่างประเทศไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีหรือลดหย่อนภาษี ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับเงื่อนไขดังกล่าว พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศ จึงเห็นควรปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว โดยได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร พ.ศ. …. เพื่อกำหนดให้ข้าวขาวและข้าวหักที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก (Export Certificate) ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ ไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และกำหนดให้การส่งออกข้าวขาวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษ
4. ประกอบกับเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการส่งออกข้าวขาวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร และเห็นชอบแนวทางการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ โดยพิจารณาจากการแบ่งผลประโยชน์ที่ผู้ส่งออกจะได้รับจากการขายข้าวภายใต้โควตาภาษี ดังนี้
ประเทศ
อัตราภาษีนำเข้าข้าวขาว
การคำนวณ
อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ (บาท/ตัน)
สหภาพยุโรป
175 ยูโร/ตัน
1) ผลประโยชน์ฝ่ายละครึ่ง
- ผู้ส่งออก 87.5 ยูโร
- ผู้นำเข้า 87.5 ยูโร
2) แบ่งครึ่งหนึ่งของผู้ส่งออกเข้ากองทุนฯ
= 43.75 ยูโร x อัตราแลกเปลี่ยน (36.5 บาท : 1 ยูโร)
= 1,596.88 บาท
หมายเหตุ : 1) อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2564
2) ปัดเศษเหลือ 1,500 บาท/ตัน
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศ เรื่อง เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19 | วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศ เรื่อง เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพออกประกาศคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่อง เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 ติดเชื้อไวรัส COVID-19
คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขสมก. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามแนวทางปฏิบัติการป้องกันของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
ขสมก. ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 เวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล เขตการเดินรถที่ 6 เพศชาย อายุ 53 ปี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เขตการเดินรถที่ 6 อู่บรมราชชนนี ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อมาเมื่อเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่า พนักงานดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้รออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 26 เมษายน 2564
ขสมก. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว จากผู้อำนวยการเขตการเดินรถที่ 6 จึงได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ดังนี้
1. ขสมก. ได้มีการแจ้งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งรายละเอียดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 (ตามแนวทางปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อฯ) โดยได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข
2. พนักงานผู้ติดเชื้อ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะทำงาน และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนเข้าทำงานทุกครั้ง โดยไทม์ไลน์ของพนักงานผู้ติดเชื้อสรุปได้ดังนี้
- วันที่ 11 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 12 - 13 เมษายน 2564 อาศัยอยู่ที่บ้านพัก ตั้งอยู่ที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ขณะพักอาศัยอยู่ที่บ้านพัก ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวที่อื่น
- วันที่ 14 เมษายน 2564 เดินทางกลับที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ และพักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน
- วันที่ 15 เมษายน 2564 เวลา 08.00 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี ต่อมาเวลา 09.00 น. เดินทางไปอู่ไร่ขิง เวลา 11.00 น. เดินทางกลับอู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 13.00 น.
- วันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 17 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 17.30 น. เดินทางไปรับช่างซ่อมเครื่องยนต์ จำนวน 3 คน ณ อู่ซ่อมรถยนต์ ตั้งอยู่ที่บริเวณถนนพรานนก ต่อมาเวลา 20.30 น. เดินทางไปซื้อของที่โฮมโปร สาขาเพชรเกษม เวลา 23.00 น. เดินทางไปส่งช่างซ่อมเครื่องยนต์ที่อู่ซ่อมรถ และกลับถึงบ้าน ในเวลา 24.00 น.
- วันที่ 18 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานพักอาศัยอยู่ที่บ้าน
- วันที่ 19 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี เวลา 15.00 น. เดินทางไปสอบพยาน ณ ร้านอัดรูป มาสเตอร์ ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 20 - 22 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี และเดินทางกลับบ้านในเวลา 16.30 น.
- วันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. เดินทางไปทำงาน ณ อู่บรมราชชนนี เวลา 08.30 น. พนักงานเริ่มมีไข้ ต่อมาเวลา 10.00 น. พนักงานมีไข้ขึ้นสูง จึงขออนุญาตหัวหน้างานเดินทางกลับบ้าน
- วันที่ 24 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 12.30 น. เดินทางไปพบแพทย์ ณ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเดินทางกลับบ้าน ในเวลา 15.20 น.
- วันที่ 25 เมษายน 2564 วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลา 08.30 น. เดินทางไปที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 เวลา 10.30 น. เข้ารับการตรวจหาเชื้อฯ และเดินทางกลับบ้าน หลังจากได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วเสร็จ ระหว่างทางได้แวะรับประทานอาหาร ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนายเอก วัดศาลาแดง ต่อมาเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้แจ้งให้ทราบว่า พนักงานเป็นผู้ติดเชื้อฯ จึงให้พนักงานรออยู่ที่บ้าน โดยจะนำรถพยาบาลมารับไปรักษาตัวที่ศูนย์ฯ ในวันที่ 26 เมษายน 2564
- วันที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. รถพยาบาลมารับพนักงานไปรักษาตัวที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3. ผู้ติดเชื้อเป็นเจ้าหน้าที่งานบริหารงานบุคคล จึงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสารแต่อย่างใด นอกจากนี้ ขสมก. ได้ทำการฉีดพ่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในรถยนต์ส่วนกลาง ของเขตการเดินรถที่ 6รวมถึงห้องทำงาน และบริเวณโดยรอบสถานที่ทำการ
4. ขสมก. ได้ให้พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับพนักงานผู้ติดเชื้อฯ หยุดงานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 หากได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร การล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การฉีดพ่นทำความสะอาดภายในรถโดยสารด้วยแอลกอฮอล์ ทั้งก่อนและหลังนำรถออกวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบสถานบันเทิงแพร่โควิดอีกรอบ เจอติดเชื้อ 31 รายในสัปดาห์เดียว | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
สธ.พบสถานบันเทิงแพร่โควิดอีกรอบ เจอติดเชื้อ 31 รายในสัปดาห์เดียว
กระทรวงสาธารณสุขพบสถานบันเทิงแพร่โควิด 19 อีกรอบ ในสัปดาห์นี้พบผู้ติดเชื้อเชื่อมโยงหลายกรณี ทั้งคลัสเตอร์ทองหล่อ 13 ราย นครปฐม 6 ราย และปทุมธานี 12 ราย เตือนผู้ชอบเที่ยวผับบาร์ สถานบันเทิงเสี่ยงติดโควิดได้ง่าย
กระทรวงสาธารณสุขพบสถานบันเทิงแพร่โควิด 19 อีกรอบ ในสัปดาห์นี้พบผู้ติดเชื้อเชื่อมโยงหลายกรณี ทั้งคลัสเตอร์ทองหล่อ 13 ราย นครปฐม 6 ราย และปทุมธานี 12 ราย เตือนผู้ชอบเที่ยวผับบาร์ สถานบันเทิงเสี่ยงติดโควิดได้ง่าย ย้ำผู้ประกอบการและประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ วัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน และเช็คอินไทยชนะ ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดช่วงสงกรานต์
วันนี้ (2 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 58 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 42 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 3 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 13 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต รักษาหายเพิ่มขึ้น 58 ราย ทำให้การติดเชื้อในระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 2 เมษายน 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 23,429 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.82 อยู่ระหว่างรักษา 1,242 ราย เสียชีวิตสะสม 34 ราย
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์โรคโควิด 19 ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจาก 5 เหตุการณ์ ได้แก่ 1.ตลาดย่านบางแค พบการระบาดเชื่อมโยงไปหลายจังหวัดจากกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและการค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง 2.สถานบริการผับบาร์ ร้านอาหาร พบผู้ติดเชื้อที่มีไทม์ไลน์ไปรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับเพื่อนหรือครอบครัว ในย่านพระราม 9 และทองหล่อ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี และนครปฐม 3.โรงงานสถานประกอบการ ตลาด และชุมชน ใน จ.สมุทรสาคร ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องจากกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและการค้นหาเชิงรุก 4.สถานที่กักตัว ASQ พบผู้เดินทางและบุคลากรติดเชื้อ จึงต้องเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐานที่กำหนด และ 5.ห้องกัก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบการติดเชื้อทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ช่วยตักอาหาร และผู้ต้องกัก
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ขณะนี้สถานที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อจากการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 ได้แก่ สถานบริการ สถานบันเทิง ผับบาร์ และร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อหลายกรณีที่เชื่อมโยงกับสถานที่เหล่านี้ ได้แก่ กรณีนักศึกษาที่เชื่อมโยงสถานบันเทิง 3 แห่ง ในปทุมธานีและ กทม. โดยมีผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ 12 ราย เป็นนักศึกษา 9 ราย และมีการนำเชื้อไปติดคนในครอบครัว, กรณีเชื่อมโยงสถานบันเทิง จ.นครปฐม มีผู้ติดเชื้อ 6 ราย ได้แก่ นักร้อง 3 ราย นักศึกษา 1 ราย พนักงานบริษัท 1 ราย และติดคนในครอบครัว 1 ราย
ส่วนกรณีเชื่อมโยงสถานบันเทิงย่านทองหล่อ มีผู้ติดเชื้อ 13 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่งมีผู้ติดเชื้อ 4 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นชายไทยอายุ 24 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ไปเที่ยวร่วมกับเพื่อน ซึ่งต่อมาตรวจพบเชื้อเช่นกัน ยังรอติดตามผลการตรวจเพื่อนอีก 3 คน ทีมสอบสวนโรคจึงไปตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน สถานที่เสี่ยง และผู้สัมผัส ทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย โดยจำนวนนี้ 1 ราย ให้ประวัติว่านอกจากไปเที่ยวย่านทองหล่อแล้วยังไปเที่ยวต่อย่านรัชดาและพระราม 9 ด้วย กลุ่มที่สอง มีผู้ติดเชื้อ 9 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นชายอายุ 37 ปี จากการสอบสวนพบลูกชายติดเชื้อ 1 ราย ผู้ที่พูดคุยใกล้ชิด 1 ราย คนที่ทำงาน 4 ราย โดยจำนวนนี้ 1 รายนำเชื้อไปติดแฟน และแฟนนำเชื้อไปติดเพื่อนที่อาศัยอยู่ด้วยกันอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นการติดเชื้อต่อถึง 3 รุ่น
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สถานบันเทิงมีความเสี่ยงสูงในการแพร่ระบาดของโรค ปัจจัยเสี่ยง คือ การคลุกคลีใกล้ชิดกัน พนักงานไม่สวมหน้ากาก พูดคุยเสียงดังขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกัน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการและประชาชนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการ DMHTT คือ Distancing เว้นระยะห่างที่นั่ง ทั้งจุดรอคิว เวทีกับที่นั่ง ไม่ให้เกิดความแออัด Mask Wearing พนักงานและผู้ใช้บริการทุกคนต้องสวมหน้ากาก ยกเว้นช่วงรับประทานและดื่ม Hand washing จัดจุดบริการล้างมืออย่างเพียงพอ Testing วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนใช้บริการ และ Thaichana ให้สแกนไทยชนะและใช้หมอชนะเพื่อติดตามผู้สัมผัสได้ทันหากพบผู้ป่วย นอกจากนี้ ขอให้ใช้ระบบจองคิวเพื่อลดความแออัด และงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้รับบริการที่มึนเมา เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและอุบัติเหตุ
“การระบาดระลอกใหม่นี้เคยพบผู้ติดเชื้อจากสถานบันเทิงย่านบางพลัดและควบคุมได้แล้ว ไม่อยากให้มีการระบาดเกิดขึ้นอีก ขอความร่วมมือผู้ประกอบการช่วยกันเข้มการเว้นระยะห่าง ลดแออัด และสแกนไทยชนะจะช่วยตรวจจับการระบาดเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงแพร่เชื้อ และในช่วงสงกรานต์นี้มีการผ่อนคลายมาตรการ คนเดินทางจำนวนมาก ขอให้สวมหน้ากากตลอดเวลาที่เดินทาง เว้นระยะห่าง เลี่ยงสถานที่แออัด ก่อนเข้าใช้บริการมีการวัดอุณหภูมิ จึงอยากเน้นย้ำเพื่อไม่ให้ต้องกลับไปเพิ่มมาตรการควบคุมโรคอีก” นพ.จักรรัฐกล่าว
*************************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10 | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10
วันนี้ (3 เมษายน 2564) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ร่วมกับคณะขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาร์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10 พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วม ณ จังหวัดหนองคาย
สำหรับการลงพื้น กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ดังกล่าว โดยจุดแรก ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ได้ร่วมกับคณะ เข้าเยี่ยมชมติดตามการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปโกโก้ ณ สวนสังคมโกโก้ อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ซึ่งในปัจจุบันจังหวัดหนองคาย มีเกษตรกรที่ปลูกโกโก้ จำนวน 83 ราย พื้นที่ปลูกทั้งหมด 262.15 ไร่ ซึ่งในพื้นที่อำเภอสังคม เป็นอำเภอที่เพาะปลูกโก้โก้มากที่สุด โดยมีผลผลิตเฉลี่ย 5 ตันต่อไร่ต่อปี และตั้งเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ไร่ นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถนำโกโก้มาพัฒนาเป็นสินค้าแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตจากโกโก้ อาทิ ช็อคโกแลต ขนม เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
จุดที่สอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการท่องเที่ยวจุดชมวิวสกายวอร์ค วัดผาตากเสื้อ ตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นจุดชมวิวริมแม่น้ำโขง ที่สามารถมองเห็นฝั่งของประเทศลาว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยสามารถเดินทางมาชมวิวทิวทัศน์ของวัดผาตากเสื้อ และถ่ายรูปกันแบบ Panorama ได้ตลอดทั้งปี โดยสกายวอล์กแห่งนี้เป็นสกายวอร์คแห่งแรกในไทย มีความยาวประมาณ 16 เมตร ยื่นออกจากหน้าผาประมาณ 6 เมตร สามารถเดินชมได้ประมาณ 20 คน รวมน้ำหนักแล้วประมาณ 2,500 กิโลกรัม
จากนั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ และคณะ ได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานของด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย ทั้งนี้ สะพานมิตรภาพไทย - ลาว เป็นสะพานมิตรภาพเชื่อมต่อกับลาวเป็นแห่งแรก มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและลาว และยังส่งเสริมสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองประเทศ โดยสะพานแห่งนี้สามารถอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าซึ่งมีความสำคัญในด้านการค้าเป็นอย่างมาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40647 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจงประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะความเสี่ยงทางการคลัง | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจงประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะความเสี่ยงทางการคลัง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจงประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะความเสี่ยงทางการคลัง ย้ำเป็นการเสนอรายงานประจำปี ยืนยันสถานการณ์การคลังอยู่ในระดับปกติสอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาล
วันนี้ (2 เมษายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ที่พักผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา (30 มี.ค. 64) ซึ่งกระทรวงการคลังได้รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า เป็นการรายงานประจำปีปกติ ด้วยข้อกฎหมาย ตามมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังกำหนดว่า ในเดือนมีนาคมของทุกปีกระทรวงการคลังจะต้องทำรายงานความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการคลังประจำปี แสดงผลการประเมินความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาค ระบบการเงิน นโยบายของรัฐบาลและผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐที่อาจจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาลและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงนั้น ซึ่งเมื่อจัดทำรายงานเสร็จสิ้นแล้วให้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การรายงานความเสี่ยงดังกล่าวไม่ใช่เพราะประเทศไทยอยู่ในฐานะที่จะต้องประเมินเรื่องความเสี่ยง แต่เป็นการเสนอรายงานประจำปี ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งว่า สถานการณ์การคลังยังอยู่ในระดับปกติสอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลที่ยังอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโรค Covid- 19 อีกด้วย สำหรับการจัดเก็บรายได้ ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 คาดการณ์ว่า การจัดเก็บรายได้ต่ำ จากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค Covid- 19 ที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้ง ยังมีการขยายระยะเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ให้กับประชาชนและบริษัทต่างๆด้วยซึ่งทำให้รายได้ภาษีบางส่วนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีการย้ายไปชำระในเดือนมีนาคม 2564 แทน ทำให้ฐานะการคลังของรัฐบาลตามกระแสเงินสดในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 คือเดือนตุลาคม 2563 จนถึงกุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลได้มีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้นจำนวน 926,770 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 1,460,827ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 386,810 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 516,229 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ 5 เดือนแรกในปีงบประมาณ 2563 จะเห็นว่า มีอัตราที่มากกว่าถึงร้อยละ 50.8 นอกจากนี้ ยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้จ่ายอีกที่สามารถนำมาเยียวยาประชาชนหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2564 จำนวน 220,000 ล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลยังไม่คิดที่จะปรับภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราปัจจุบันที่จะ 7% ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2535ประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ร้อยละ 10 ตามประมวลรัษฎากร แต่ได้มีการบรรเทาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 เป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ จากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ให้คงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในแต่ละประเทศมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกันไป อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตราร้อยละ 10 สิงคโปร์จัดเก็บที่ร้อยละ 7 มาเลเซียจัดเก็บที่ร้อยละ 6 ซึ่งไทยมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจ ไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเกินจำเป็น และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย
...................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
จุรินทร์ ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
จุรินทร์ ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
2 เมษายน 2564 เวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำทีมผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากร ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมพิธี ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564 ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ยกระดับศักยภาพพลเมืองออทิสติก สร้างอาชีพ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
นฤมล ยกระดับศักยภาพพลเมืองออทิสติก สร้างอาชีพ
- -
วันที่ 2 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานวันรณรงค์ตระหนักรู้ออทิสติกโลกออนไลน์ และเยี่ยมชมระบบการเตรียมความพร้อมเพื่อการทำงานและประกอบอาชีพสำหรับบุคคลออทิสติก บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้ มูลนิธิออทิสติกไทย รวมถึงชมการแสดงศักยภาพของบุคคลออทิสติก รับฟังรายงานการขับเคลื่อนและสนับสนุน STS แฟลตฟอร์มสำรวจและคัดกรองเบื้องต้นบุคคลที่มีความจำเป็นพิเศษ การแนะนำ Ambassador ของมูลนิธิออทิสติกไทย การแถลงสาส์นวันออทิสติกโลก และเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการทำงานมูลนิธิออทิสติกไทย โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ เข้าร่วมด้วย
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า นโยบายการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด 3 ประการ คือ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพสำหรับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงคนพิการและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษและครอบครัว ให้เข้าถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพื่อให้อยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีความเข้มแข็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวของแรงงานและครอบครัว
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดหลักสูตรการอบรมการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพเพื่อการมีงานทำสำหรับบุคคลออทิสติก บุคคลที่มีความพกพร่องทางสติปัญญา การเรียนรู้ใน 5 หลักสูตรและส่งต่อบุคคลออทิสติกเข้าสู่ระบบการจ้างงานและประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมสำหรับกลุ่มคนพิการเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งปีนี้มีผู้เข้าการอบรมกว่า 100 คน และได้จัดศูนย์ต้นแบบ เพื่อสนับสนุนระบบการเตรียมความพร้อมเพื่อการทำงานและประกอบอาชีพสำหรับคนพิการในประเทศไทย ตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการต่อไป
“การเปิดให้บุคคลออทิสติกได้รับบริการพื้นฐานจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ รวมถึงการฝึกทักษะด้านอาชีพ จะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้แนวคิด “เพิ่มการจ้าง สร้างการจัด และลดการจ่าย” ด้วยการสร้างเครือข่ายทุกภาคส่วนให้เข้ามาร่วมมือมากยิ่งขึ้น เพราะการช่วยคนพิการ 1 คน สามารถช่วยคนในครอบครัวคนพิการได้ 3-4 คน นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมั่นคงต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา รมว.ยุติธรรม เผย ตั้งกรรมการสอบสวนพ่อบ้านทำร้ายเด็ก ๑๗ ปีแล้ว พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนอธิบดีกรมพินิจฯ ยัน กล้องวงจรปิดชัดเยาวชนไม่ถูกทำร้าย - กินอาหารครบทุกมื้อ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
เลขา รมว.ยุติธรรม เผย ตั้งกรรมการสอบสวนพ่อบ้านทำร้ายเด็ก ๑๗ ปีแล้ว พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนอธิบดีกรมพินิจฯ ยัน กล้องวงจรปิดชัดเยาวชนไม่ถูกทำร้าย - กินอาหารครบทุกมื้อ
เลขา รมว.ยุติธรรม เผย ตั้งกรรมการสอบสวนพ่อบ้านทำร้ายเด็ก ๑๗ ปีแล้ว พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนอธิบดีกรมพินิจฯ ยัน กล้องวงจรปิดชัดเยาวชนไม่ถูกทำร้าย - กินอาหารครบทุกมื้อ
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้พานางเล็ก แม่ของนายเอ อายุ ๑๗ ปี และนางใหญ่ แม่ของนายบี อายุ ๑๗ ปี เข้าพบ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เพื่อร่วมพูดคุยหาแนวทางช่วยเหลือกรณีเยาวชน อายุ ๑๗ ปี ๓ คน หลบหนีออกจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง บอกมารดาว่า ถูกพ่อบ้านทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ จึงเข้าร้องเรียนกับ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี เพื่อขอความเป็นธรรม พร้อมนำลูกชายเข้ารักษาตัวที่ รพ.ระยอง และเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ระยอง เพื่อดำเนินคดี
ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ล่าสุดมีเยาวชน ๑ คน จากทั้ง ๓ ราย ได้กลับเข้าสู่กระบวนการของสถานพินิจฯ แล้ว ส่วนอีก ๒ ราย ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ในวันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย เยาวชนอีก ๒ ราย จะต้องกลับเข้าสู่กระบวนการของสถานพินิจฯ ดังเดิม ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายนั้น จะขอสอบสวนและพูดคุยกับเด็กทั้งหมดโดยตรงก่อน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงแล้ว โดยใช้เวลา ๗ วัน ก่อนแถลงให้ทราบต่อไปอีกครั้ง
ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองกับเยาวชน แจ้งความประสงค์จะไม่ขอกลับไปสถานพินิจฯ เดิมนั้น ขอเรียนว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำให้สถานพินิจฯ มีกล้องวงจรปิดทุกจุด ฉะนั้นอยากให้มั่นใจว่าหากมีเรื่องรุนแรงหรือความไม่ปลอดภัยใด ๆ เกิดขึ้น สามารถขอตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดได้ทั้งหมด โดยกระทรวงยุติธรรมพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแน่นอน
ด้าน พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่องตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ จ.ระยอง เร่งสอบสวนข้อเท็จจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้ภายใน ๓ วัน ยืนยันว่าเยาวชนที่อยู่ในสถานพินิจฯ จ.ระยอง นั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะมีกล้องวงจรปิดทุกจุดคอยบันทึกภาพตลอด ๒๔ ชม. และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดนั้น ไม่พบการกระทำตามที่เด็กอ้างแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่เยาวชนอ้างว่าได้ทานอาหารมื้อเดียว ไม่เป็นความจริง เพราะสถานพินิจฯ จัดอาหาร และขนมให้ครบทุกมื้อ ส่วนผลทางการแพทย์อยู่ระหว่างแพทย์ตรวจสอบโดยละเอียด ทั้งนี้ พ่อบ้านที่ถูกเด็กอ้างยังปฎิบัติงานตามปกติ แต่หากตรวจสอบพบว่าทำร้ายร่างกายเด็กจริง จะต้องถูกลงโทษสถานหนักโดยการไล่ออกสถานเดียว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40635 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.รพ.สงฆ์ เผยกรณีพระสงฆ์มรณภาพ ผลอย่างไม่เป็นทางการ ไม่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
ผอ.รพ.สงฆ์ เผยกรณีพระสงฆ์มรณภาพ ผลอย่างไม่เป็นทางการ ไม่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เผยผลเบื้องต้นพระสงฆ์มรณภาพ ไม่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 พบมีเส้นเลือดหัวใจตีบที่อาจมีผลต่อการมรณภาพ รอผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการ และจะถวายการฉีดวัคซีนพระสงฆ์ตามแผนในพื้นที่เสี่ยง กทม. ทั้ง 6 เขต ก่อนเทศกาลสงกรานต์
วันนี้ (2 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ชำนิ จิตตรีประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ แถลงข่าวกรณีพระสงฆ์มรณภาพภายหลังการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กทม. ว่า ข้อมูลเบื้องต้นพระสงฆ์ที่มรณภาพ มีอายุ 71 ปี มีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง รับการรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์อย่างต่อเนื่อง 15 ปี ตรวจพบเป็นโรคหัวใจโตในปี 2561-2562 ขาดการรักษาในปี 2563 เนื่องจากเดินทางไปจำวัดในต่างประเทศ สำหรับการรับวัคซีนวันที่ 31 มีนาคม ได้รับการคัดกรองก่อนรับการฉีดวัคซีน พบว่า ความดันโลหิตปกติ ไม่มีไข้ และไม่มีภาวะแทรกซ้อน ได้รับการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า สังเกตอาการ 30 นาที และฉันเพลก่อนกลับวัดสัมพันธวงศ์ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด และพระสงฆ์ที่ได้รับวัคซีนขวดเดียวอีก 10 รูป ทุกรูปไม่มีอาการผิดปกติเช่นกัน
ทั้งนี้ ผลชันสูตรอย่างไม่เป็นทางการของโรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นไม่พบลิ่มเลือดในทุกจุด เช่น สมอง หัวใจ และอวัยวะอื่นๆ แต่พบเส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจมีผลต่อการมรณภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้แพทย์ผู้ชันสูตรลงความเห็นอย่างเป็นทางการ รวมทั้งการพิจารณาของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคณะกรรมการติดตามผลกระทบหลังการได้รับวัคซีนอีกครั้ง
นายแพทย์ชำนิกล่าวต่อว่า ผลการถวายการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสงฆ์และจุดบริการที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ถวายการฉีดวัคซีนพระสงฆ์ แล้วทั้งสิ้น 412 รูป พบ 2 รูป มีอาการผื่นขึ้น โดยเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 รูป และซิโนแวก 1 รูป และจะถวายการฉีดวัคซีนแด่พระสงฆ์ตามแผนการฉีดในพื้นที่เสี่ยง กทม. ให้ครบทั้ง 6 เขตก่อนเทศกาลสงกรานต์
********************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. มุ่งเชื่อมโยงและประสานร่วมมือด้านวิชาการ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. มุ่งเชื่อมโยงและประสานร่วมมือด้านวิชาการ
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีลงนาม MOU จัดทำหลักสูตร วกส. มุ่งเชื่อมโยงและประสานร่วมมือด้านวิชาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรมกับทุกภาคส่วน พัฒนาด้านการเกษตรสู่ Next Normal พร้อมเปิดตัวเพลงประจำกระทรวงฯ Agri Challenge Special
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการจัดทำหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) ว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 129 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 1 เมษายน 2564 กระทรวงเกษตรฯ จึงได้จัดกิจกรรมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการจัดทำ “หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง หรือ วกส.” โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.อนันต์ สุวรรณรัตน์ ประธานมูลนิธิเกษตราธิการ และดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีส่วนร่วมในการริเริ่มหลักสูตร วกส. อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหลักสูตรดังกล่าว จะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือในด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และเกษตรกร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตร ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดเครือข่ายในการขับเคลื่อน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและผลผลิตมวลรวมภาคการเกษตร (GDP) ในภาพรวม ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สร้างโอกาส สร้างรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มีภูมิต้านทานรองรับสภาพความผันผวนแบบ Disruptive รวมถึงรองรับการปรับตัวภายใต้สถานการณ์ Next Normal ภายหลังวิกฤต Covid – 19 โดยใช้กลไกความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตร วกส. ให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้จัดกิจกรรม Agri Challenge Special โดยเปิดตัวเพลงเกษตรวิถีใหม่ ที่ขับร้องโดยไมค์ภิรมย์พร และศิลปินอีกมากมาย
“การจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขับเคลื่อนองคาพยพของภาคการเกษตร ให้สามารถร่วมกันผลักดันการพัฒนาสินค้าและบริการด้านการเกษตร ให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่ผันผวน ตลอดจนช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน” ได้ต่อไป ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยทุกหน่วยงานในสังกัด มีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของหลักสูตร วกส. และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนการดำเนินงานของหลักสูตร วกส. ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการจัดทำบันทึกข้อตกลงนี้ จะประสบผลสำเร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เพื่อให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน และก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อภาคการเกษตรของประเทศไทยต่อไป” ดร.ทองเปลว กล่าว
สำหรับหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) เป็นหลักสูตรเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ให้เป็นผู้นำในระดับนานาชาติด้วยวิทยาการเกษตร เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ภายใต้หลักการตลาดนำการผลิตและเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความสมดุล มั่นคงและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและสร้างผู้นำระดับสูง ให้มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ระหว่างผู้นำทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่ โดยคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมหลักสูตร จะต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการทหาร/ตำรวจ ระดับ 9 ขึ้นไป และภาคเอกชนหรือองค์การสาธารณะ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.acemoac.in.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ
กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ
ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
วันที่ 2 เมษายน 2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงร่วมลงนามถวายพระพร ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40603 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้สถานพยาบาลเตรียมรับมือพายุฤดูร้อน 3-6 เมษายน ไม่ให้กระทบบริการประชาชน | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
สธ.ให้สถานพยาบาลเตรียมรับมือพายุฤดูร้อน 3-6 เมษายน ไม่ให้กระทบบริการประชาชน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกำชับสถานพยาบาลทุกแห่งในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2564 เตรียมแผนรับมือฝนตกหนัก ลมแรง ให้สำรวจความแข็งแรงของอาคารสถานที่ สิ่งก่อสร้าง ไม่ให้กระทบต่อการบริการประชาชน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกำชับสถานพยาบาลทุกแห่งในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2564 เตรียมแผนรับมือฝนตกหนัก ลมแรง ให้สำรวจความแข็งแรงของอาคารสถานที่ สิ่งก่อสร้าง ไม่ให้กระทบต่อการบริการประชาชน
วันนี้ (2 เมษายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือนจะมีพายุฤดูร้อนพัดผ่านเกือบทุกภูมิภาคของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 3 – 6 เมษายน 2564 ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตกบางพื้นที่ และมีฟ้าผ่า ได้กำชับให้โรงพยาบาลในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ สำรวจความแข็งแรงของสิ่งก่อสร้าง อาคาร หลังคา ลานจอดรถ ป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตรวจสอบระบบระบายน้ำและท่อระบายน้ำไม่ให้อุดตัน ตัดแต่งต้นไม้ และซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่ชำรุด ขนย้ายยาเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ไว้ในที่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการบริการประชาชนรวมทั้งเตรียมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็ว พร้อมออกปฏิบัติงานดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง หากต้องการความช่วยเหลือให้ประสานงานมายังกองสาธารณสุขฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งส่วนกลางยินดีให้การสนับสนุนทรัพยากรทางการแพทย์เต็มที่
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากลมพายุและฟ้าผ่า เลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่และป้ายโฆษณาขณะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ควรหาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงและขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด หากได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ที่หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
********************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้ และร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย. 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
“ชัยวุฒิ” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้ และร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย. 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
“ชัยวุฒิ” พร้อมคณะผู้บริหารฯ ดีอีเอส ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้ และร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย. 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ภริยา พร้อมด้วยนายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้ และร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัคซีนโควิด-19 ล็อตสอง 8 แสนโดส รัฐบาลกระจายให้โรงพยาบาลทั่วประเทศแล้ว พร้อมฉีดกลุ่มเป้าหมาย เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
วัคซีนโควิด-19 ล็อตสอง 8 แสนโดส รัฐบาลกระจายให้โรงพยาบาลทั่วประเทศแล้ว พร้อมฉีดกลุ่มเป้าหมาย เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว
วัคซีนโควิด-19 ล็อตสอง 8 แสนโดส รัฐบาลกระจายให้โรงพยาบาลทั่วประเทศแล้ว พร้อมฉีดกลุ่มเป้าหมาย เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกระจายวัคซีนวัคซีนโควิด -19 ล็อต2 ซิโนแวค 800,000 โดส เพื่อฉีดให้กลุ่มเป้าหมายทุกจังหวัดแล้ว โดยกระจายในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์/เจ้าหน้าที่ด่านหน้าและประชาชนกลุ่มเสี่ยงใน 22 จังหวัด จำนวน 640,000 โดส ประกอบด้วย 1) พื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดของโรค 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ตาก ปทุมธานี สมุทรปราการ นนทบุรี จำนวน 3.5 แสนโดส 2) พื้นที่ท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 8 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี (รวมพัทยา) ระยอง เชียงใหม่ ขอนแก่น กระบี่ พังงา อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต จำนวน 2.4 แสนโดส 3) พื้นที่จังหวัดชายแดนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 8 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สระแก้ว เชียงราย มุกดาหาร นราธิวาส ระนอง หนองคาย และจันทบุรี จำนวน 5 หมื่นโดส ส่วนวัคซีนที่เหลืออีก 160,000 โดส จะกระจายฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงวัคซีนสำหรับ อสม. จังหวัดละ 1,000 โดส แบ่งเป็น จังหวัดขนาดเล็ก (ประชากรน้อยกว่า 1 ล้านคน) จำนวน 800 โดส + 1,000 โดส (อสม.) รวม 1,800 โดส จังหวัดขนาดใหญ่ (ประชากร 1.0 -1.5 ล้านคน) จำนวน 1,000 โดส + 1,000 โดส (อสม.) รวม 2,000 โดส และ จังหวัดขนาดใหญ่พิเศษ (ประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน) จำนวน 1,200 โดส + 1,000 โดส (อสม.) รวม 2,200 โดส ทั้งนี้ จัดสรรการกระจายฉีดวัคซีนดังกล่าวเน้นบุคลากรสาธารณสุข อสม. เจ้าหน้าที่กลุ่มอื่น ๆ ที่จำเป็นและควบคุมการระบาดในจังหวัดใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมระบบในทุกจังหวัดก่อนเริ่มฉีดวัคซีนจำนวนมากในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการให้กระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายและในพื้นที่ที่มีความเสี่ยสูงก่อน และขยายไปสู่พื้นที่อื่นตามลำดับอย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ รวมทั้งสอดคล้องสถานการณ์ของโลกที่หลายประเทศได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล รัฐบาลพร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน/โรงพยาบาลเอกชน ที่สนใจยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ยื่นเอกสารเพื่อขอประเมินคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของวัคซีน ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเป็นผู้พิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 โดยขณะนี้ได้มีการอำนวยความสะดวก และเปิดช่องทางพิเศษในการยื่นคำขอขึ้นทะเบียน เพื่อให้สามารถอนุมัติทะเบียนได้อย่างรวดเร็วแล้ว เมื่อยื่นเอกสารครบถ้วนตามที่กำหนดคาดว่าจะใช้เวลาในการประเมินและพิจารณาอนุญาตประมาณ 30 วัน โดยคำนึงถึงคุณภาพความปลอดภัยของวัคซีนตามมาตรฐานสากลเป็นสำคัญ
.....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40642 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลตั้งเป้า GDP ไทย โต 4 % อาศัยการส่งออก การลงทุนจากภาครัฐ และการบริโภคของประชาชน ควบคู่กับการดูแลพี่น้องเกษตรกร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลตั้งเป้า GDP ไทย โต 4 % อาศัยการส่งออก การลงทุนจากภาครัฐ และการบริโภคของประชาชน ควบคู่กับการดูแลพี่น้องเกษตรกร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลตั้งเป้า GDP ไทย โต 4 % อาศัยการส่งออก การลงทุนจากภาครัฐ และการบริโภคของประชาชน ควบคู่กับการดูแลพี่น้องเกษตรกร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
วันนี้ (3 เมษายน 2564) เวลา 07.30น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยถึงความคืบหน้าการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด – 19 การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน เทศกาลสงกรานต์ และประเด็นอื่น ๆ ผ่าน PM PODCAST สรุปดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าวัคซีนซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ที่ได้เริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อวันที่ 28 ก.พ. โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 158,497 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 33,248 ราย ครอบคลุมพื้นที่การระบาดหรือมีความเสี่ยงสูง 13 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร เชียงใหม่ ตาก นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสงคราม ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพมหานคร และในเดือนเมษายนนี้ จะกระจายวัคซีนซิโนแวค 800,000 โดส ไปยังกลุ่มเป้าหมาย 77 จังหวัด แบ่งเป็น 3 แสนโดส ควบคุมการระบาดในพื้นที่ 6 จังหวัด 3 แสนโดส ฟื้นฟูเศรษฐกิจในจังหวัดท่องเที่ยว และจังหวัดชายแดน และ 2 แสนโดส กระจายไป 55 จังหวัด ยืนยันรัฐบาลมีแผนจัดหาวัคซีนโควิด - 19 ให้กับคนไทยอย่างทั่วถึง พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่นำร่อง ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลมีเป้าหมายให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 4% โดยต้องอาศัยการส่งออก การลงทุนจากภาครัฐ รวมถึงการบริโภคของประชาชน ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาคนละครึ่ง เฟส 3 และมาตรการอื่นเพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงคนที่มีเงินฝากจำนวนมาก ให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ย้ำว่าโครงการเหล่านี้ไม่ใช่การแจกเงินทิ้ง แต่เป็นการกระตุ้นให้เงินหมุนเวียนในระบบ นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เนื่องจากไทยเป็น Medical Hub จึงต้องคำนึงถึงการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวสูงอายุที่มีกำลังจ่าย ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลให้ประเทศไทยมี Big Data และการปรับแก้กฎหมาย เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนและพักอาศัย รวมทั้งดูแลพี่น้องเกษตรกรในภาคการเกษตร เร่งแก้ปัญหาน้ำ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต การทำเกษตร BCG พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการปลุกป่าดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่เกษตรกรและชุมชนได้อีกทางหนึ่ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเพณีสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย เน้นวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยวและสุขภาพ ตามมาตรการ DMHTT เน้นส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม สืบสานประเพณีอย่างเหมาะสม อีกทั้งฝากความห่วงใยให้ระมัดระวังในการเดินทาง พาหนะอยู่ในสภาพพร้อมใช้ เมาไม่ขับ โดยตลอดเส้นทางจะมีจุดให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งการตรวจสภาพรถ และดูแลสุขภาพอนามัยให้กับทุกคน
………………………………..
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40640 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมโครงการกระเป๋าสุขภาพ Health Wallet เพื่อประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมโครงการกระเป๋าสุขภาพ Health Wallet เพื่อประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมโครงการกระเป๋าสุขภาพ Health Wallet เพื่อประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน
วันนี้ (2 เมษายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ที่พักผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เช้านี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประชาชนคนไทยได้ลงทะเบียนรับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่ทยอยเข้ามาในประเทศไทย และได้มีการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปลายเดือนเดือนกุมภาพันธ์จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2564 ได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วทั้งหมด 204,642 โดส แบ่งเป็นจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 167,235 ราย และเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ครบถ้วน จำนวน 37,407 ราย นอกจากนี้ ยังได้รับวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน รอบที่ 2 เพื่อฉีดวัคซีนให้กับประชาชนครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยรัฐบาลต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการลงทะเบียนผ่าน Application ต่างๆ อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐโครงการคนละครึ่ง โครงการชิมช๊อปใช้ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราชนะ โครงการเรารักกัน ซึ่งปรากฏว่า ได้มีประชาชนที่ลงทะเบียนผ่าน Application ต่างๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น 47.4 ล้านคนทั่วประเทศ ครอบคลุมสวัสดิการทั้งหมดที่ประชาชนได้รับจากรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลจะมีโครงการที่ประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพอื่น ๆ ผ่าน ”กระเป๋าสุขภาพ (Health Wallet)” โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารกรุงไทย รวมทั้งจะประสานกระทรวงสาธารณสุขที่จะมี Application ที่เรียกว่า หมอพร้อม ที่จะช่วยบริหารจัดการลงทะเบียนให้กับประชาชนที่ต้องการรับวัคซีน ซึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบต่อไป
...........
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40627 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทแนะนำ 6 เส้นทางเลี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ แบ่งเบาการจราจรบนสายหลัก | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กรมทางหลวงชนบทแนะนำ 6 เส้นทางเลี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ แบ่งเบาการจราจรบนสายหลัก
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม แนะนำเส้นทางลัดเส้นทางเลี่ยงให้กับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และช่วยแบ่งเบาปริมาณการจราจรบนสายทางหลัก โดยมีเส้นทางเลี่ยงแนะนำ จำนวน 6 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม แนะนำเส้นทางลัดเส้นทางเลี่ยงให้กับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และช่วยแบ่งเบาปริมาณการจราจรบนสายทางหลัก โดยมีเส้นทางเลี่ยงแนะนำ จำนวน 6 สายทาง ดังนี้
1. เส้นทางเลี่ยงการจราจร (ถนนกัลปพฤกษ์ ถนนราชพฤกษ์ และถนนนครอินทร์) เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าถนนทางหลวงชนบทสาย กท. 1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม.ที่ 4+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 9.5 กิโลเมตร จนถึง กม.ที่ 16+500 (จุดที่ 3) เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.1020 (ถนนนครอินทร์) กม. ที่ 7+600 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร (จุดที่ 6) บรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 306 เพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนติวานนท์ ต่อไป
- เส้นทางเลี่ยงการจราจร (ถนนกัลปพฤกษ์ ถนนราชพฤกษ์ และถนนชัยพฤกษ์) เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 และ 306
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าถนนทางหลวงชนบทสาย กท.1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 4+650 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 28+000 (จุดที่ 4) เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3030 (ถนนชัยพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร (จุดที่ 7) บรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 เพื่อเดินทางเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะ ต่อไป
- เส้นทางเลี่ยงการจราจร (ถนนกัลปพฤกษ์และถนนราชพฤกษ์) เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 และ 345
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 9 กม. ที่ 20+600 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าถนนทางหลวงชนบทสาย กท. 1001 (ถนนกัลปพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7.65 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 4+650 (จุดที่ 2) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 37 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 346 กม. ที่ 14+120 (จุดที่ 5) เลี้ยวขวา เพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัดปทุมธานี ต่อไป
2. จังหวัดสระบุรีไปจังหวัดปราจีนบุรี เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 และ 304
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 กม. ที่ 36+000 (จุดที่ 1) เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นม.1016 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 27 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2090 กม. ที่ 20+340 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 2.9 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 23+240 (จุดที่ 3) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นม.3052 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 70 กิโลเมตร เพื่อบรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 กม. ที่ 55+000 (จุดที่ 4) แล้วเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งสู่ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี
3. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดสระบุรี เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กม. ที่ 80+000 (จุดที่ 1) ใช้เส้นทางคู่ขนานไปบรรจบถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3226 กม. ที่ 83+800 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงชนบทสาย สบ.4051 (จุดที่3) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงชนบทสาย สบ.3021 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร วิ่งตรงผ่านไฟแดงจุดที่ 5 และ 6 เพื่อบรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 362 กม. ที่ 3+290 (จุดที่ 7) แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งสู่จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อไป
4. จังหวัดสิงห์บุรีไปจังหวัดชัยนาท เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 กม. ที่ 87+800 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 369 เดินทางต่อเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3030 กม. ที่ 1+000 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 9.8 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงชนบทสาย สห.4035 (จุดที่ 3) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 7.3 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงชนบทสาย สห.5040 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 4.6 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงชนบทสาย ชน.4050 (จุดที่ 5) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3183 กม. ที่ 3+730 (จุดที่ 6) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 กม. ที่ 160+610 (จุดที่ 7) เพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัดชัยนาท
5. เส้นทางเลี่ยงการจราจรจังหวัดนครราชสีมา เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 กม. ที่ 102+135 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 41 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 41+000 (จุดที่ 2) เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2148 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 3+400 (จุดที่ 3) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย นม.4008 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 23.1 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2369 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 30.8 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 30+800 (จุดที่ 5) เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2246 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 65.5 กิโลเมตร บรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 กม. ที่ 257+650 (จุดที่ 6) เลี้ยวซ้ายเพื่อเดินทางมุ่งสู่จังหวัดขอนแก่น
6. เส้นทางเลี่ยงจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดเพชรบุรี เส้นทางเลี่ยงถนนทางหลวงหมายเลข 4
เริ่มจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 กม. ที่ 73+070 (จุดที่ 1) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย สส.2021 เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 23.7 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 23+700 เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3176 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 12.6 กิโลเมตร เพื่อเข้าสู่จังหวัดเพชรบุรี (จุดที่ 3)
- เส้นทางเลี่ยงการจราจรจากจังหวัดเพชรบุรี ไปอำเภอชะอำ
เริ่มจากถนนทางหลวงชนบทสาย สส.2021 (จุดที่ 2) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จนถึง กม. ที่ 60+000 เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3187 (จุดที่ 4) เดินทางต่อไปเป็นระยะทาง 18.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 กม. ที่ 169+070 (จุดที่ 5) เพื่อมุ่งสู่อำเภอชะอำ
ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเส้นทางเลี่ยงของ ทช.ได้ที่สายด่วน 1146 หรือติดตามได้ที่ www.drr.go.th, Facebook กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม และ Twitter กรมทางหลวงชนบท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ” เสียใจ นักผจญเพลิงเสียชีวิต เหตุไฟไหม้หมู่บ้านกฤษดา สั่ง ดูแลครอบครัว ส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคน | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
“นายกฯ” เสียใจ นักผจญเพลิงเสียชีวิต เหตุไฟไหม้หมู่บ้านกฤษดา สั่ง ดูแลครอบครัว ส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคน
“นายกฯ” เสียใจ นักผจญเพลิงเสียชีวิต เหตุไฟไหม้หมู่บ้านกฤษดา สั่ง ดูแลครอบครัว ส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคน
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามเหตุการเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายในซอยอัญมณี 17 หมู่บ้านกฤษดานคร 31 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้อาคารถล่มเสียหายทั้งหมด พร้อมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และแสดงความเสียใจต่ออาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย โดยขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและเสียสละทำงานเพื่อประชาชนของเจ้าหน้าน้าที่ จึงขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และส่งกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังสูงสุด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นกรณีพิเศษ พร้อมดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการสูญเสียเจ้าหน้าที่ระหว่างปฏับัติงาน ถือว่าเป็นการสูญเสียที่มีความสำคัญยิ่ง นอกจากนี้ ยังให้ดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างดี ป้องกันการสูญเสียให้ได้มากที่สุด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อหาสาเหตุเพลิงไหม้ได้แล้ว นายกรัฐมนตรี ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้สรุปบทเรียน พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบทั่วกัน เพื่อสร้างความรับรู้ เป็นแนวทางป้องกันในอนาคต นอกจากนี้ ยังขอให้ประชาชน ระมัดระวังอัคคีภัย เพราะฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีสถิติการเกิดเพลิงไหม้สูง เนื่องจากสภาพอากาศร้อน แห้งแล้ง และลมพัดแรง เมื่อเกิดเพลิงไหม้ไฟจึงลุกลามอย่างรวดเร็ว และยากต่อการควบคุม จึงขอให้ประชาชนอย่าประมาท
....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40646 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานฯ เพื่อพิจารณาปรับแผนแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
คณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานฯ เพื่อพิจารณาปรับแผนแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก
ว่า แนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่เสนอต่อที่ประชุมถือว่าเป็นแนวคิดที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปรถโดยสารประจำทางฯ และยังเป็นการยกระดับคุณภาพการให้บริการรถโดยสารประจำทาง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาตามนโยบาย 5 ด้านของกระทรวงคมนาคม ได้แก่ ลดค่าครองชีพของประชาชน ลดปัญหาการจราจร ลดมลพิษทางอากาศ ลดปัญหาการขาดทุนของ ขสมก. และลดภาระการเงินของภาครัฐ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ยังมีความเห็นว่าควรปรับปรุงรายละเอียดของแผนฟื้นฟูฯ ในบางประเด็นให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ การขอรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ การจัดหารถโดยสารใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจ้างเอกชนให้บริการเดินรถ เป็นต้น จึงได้สั่งการให้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาปรับแผน การดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางฯ ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่ โดยมี นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และอธิบดีกรมการขนส่งทางบกเป็นเลขานุการคณะทำงาน และให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และ ขสมก. ไปพิจารณาร่วมกันเพื่อให้การพัฒนาระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารประจำทางมีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว ประหยัด ปลอดภัย และตอบสนองการดำเนินชีวิตของประชาชนมากที่สุด โดยยังยึดหลักการจัดการเดินรถโครงข่ายเดียว (Single Network) การบริหารจัดการระบบเดียว (Single Management) และค่าโดยสารอัตราเดียว (Single Price) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ได้มอบไว้ในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ลดภาระงบประมาณของรัฐบาล ทั้งนี้ ได้กำหนดกรอบระยะภายใน 30 วัน เพื่อให้คณะทำงานสรุปผลและนำเสนอใหม่อีกครั้ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ปรับปรุงและกำหนดเส้นทางการให้บริการตามแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางฯ ใหม่ ให้มีความครอบคลุม ลดการทับซ้อนของเส้นทาง และรองรับการเชื่อมต่อระบบขนส่งอื่น ๆ ทั้งระบบราง น้ำ และอากาศ โดยในเบื้องต้นมีจำนวนทั้งสิ้น 162 เส้นทาง กำหนดรถที่นำมาให้บริการต้องเป็นรถปรับอากาศ จัดเก็บค่าโดยสารโดยใช้ระบบ E-Ticket
และกำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นอัตราเดียว (Single Price) ราคา 30 บาทต่อคนต่อวัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน ขณะที่การเดินทางเที่ยวเดียวกำหนดอัตราค่าโดยสาร ราคา 15 บาทต่อเที่ยว โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบ E-Ticket เป็นระบบตั๋วร่วม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งมวลชนโดยใช้บัตรโดยสารใบเดียวสามารถเดินทางได้ทุกระบบขนส่ง มี ขบ. เป็นหน่วยงานกำกับ ดูแล ผู้ประกอบการขนส่งรถโดยสารประจำทาง และประเมินผลการจัดการเดินรถของผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง ด้วยดัชนีชี้วัด (KPI) จำนวน 12 ตัวชี้วัด เช่น การเดินรถตรงตามเส้นทางที่กำหนด การเดินรถครบตามจำนวนเที่ยวที่กำหนด การเดินรถตรงตามเวลาที่กำหนด เป็นต้น อย่างไรก็ตามแนวทางทั้งหมดที่นำเสนอวันนี้จะต้องนำกลับไปให้คณะทำงานพิจารณาให้รอบด้านอีกครั้ง
.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40612 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.แรงงาน จับมือ ก.ล.ต. และภาคีเครือข่าย จัด CSR สร้างโอกาสคนพิการ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
ก.แรงงาน จับมือ ก.ล.ต. และภาคีเครือข่าย จัด CSR สร้างโอกาสคนพิการ
- -
วันที่ 2 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวความร่วมมือในรูปแบบการเสวนา ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นการร่วมจัดกิจกรรมเพื่อให้ความสำคัญต่อสังคมด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีในมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด (corporate social responsibility : CSR) ส่งเสริมสนับสนุนสร้างโอกาสให้คนพิการมีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายพัฒนาการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล และนายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว โดยจัดเสวนาเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้คนพิการ มีทักษะ ประสบการณ์ สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้
รมช.แรงงาน กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นกิจกรรมที่ช่วยเหลือคนพิการและสังคมรูปแบบหนึ่ง ให้คนพิการมีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีตามความประสงค์ของผู้ประกอบการ อาจมีการช่วยเหลือคนพิการ รายบุคคล รายกลุ่มในชุมชน หรือนอกชุมชน รวมถึงการเป็นจิตอาสาช่วยคนพิการ เช่น การพาคนพิการไปรับบริการด้านสุขภาพ การเดินทาง การศึกษา การช่วยปรับปรุงที่พักอาศัย การปรับสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นต้น การจัดหรือสนับสนุนการฝึกอบรมความรู้ การฝึกอาชีพ แก่กลุ่มคนพิการ ตามความถนัดของบุคลากรในหน่วยงาน หรือความประสงค์ของผู้ประกอบการ การสนับสนุนโดยการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์คนพิการตามความเหมาะสม การสนับสนุนกลุ่มกิจการเพื่อสังคมของคนพิการ เป็นต้น ซึ่ง จะนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและตอบโจทย์บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนที่ประสงค์จะช่วยเหลือคนพิการ
การแถลงข่าวความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการเสวนาใน 5 ประเด็น ได้แก่ วิสัยทัศน์กระทรวงแรงงานในการพัฒนาทักษะอาชีพคนพิการและแนวทางความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.). ตลาดทุนร่วมใจส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมขับเคลื่อนแผน NAP เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน. แนวทางการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม แนวทางการพัฒนาทักษะอาชีพคนพิการของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และการสนับสนุนและส่งเสริมอาชีพคนพิการตามมาตรา 35 ของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งกิจกรรม CSR จะเป็นการส่งเสริม สนับสนุนคนพิการให้มีอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี และมีคุณค่าตามความประสงค์ของผู้ประกอบการซึ่งกิจกรรมนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก ก.ล.ต. และเครือข่ายที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นแกนนำสำคัญเชิญชวนสถานประกอบการต่างๆ ร่วมกันจัดกิจกรรม CSR เพื่อส่งเสริมอาชีพคนพิการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40630 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ช่วยกลุ่มเปราะบาง 47 คน ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ช่วยกลุ่มเปราะบาง 47 คน ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.นครปฐม ช่วยกลุ่มเปราะบาง 47 คน ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
วันนี้ (2 เม.ย. 64) เวลา 09.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เพื่อติดตามและตรวจเยี่ยมการอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับผู้สูงอายุ จำนวน 47 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ ประกอบด้วย 1) ผู้สูงอายุพิการจำนวน 1 ราย ป่วยติดเตียงช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ในพื้นที่ตำบลห้วยจรเข้ อำเภอเมืองนครปฐม 2) ผู้สูงอายุ จำนวน 44 ราย ณ สถานสงเคราะห์คนชรานครปฐม ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม และ 3) ผู้สูงอายุพิการ จำนวน 2 ราย ไม่สามารถเดินได้ ในพื้นที่ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม
นายจุติ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียน โครงการเราชนะ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564 สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่นั้น วันนี้ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เพื่อติดตามและตรวจเยี่ยมการอำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนโครงการเราชนะให้กับกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง โดยมีทีม One Home พม. จังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย รวมทั้ง อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่อำนวยความสะดวก โดยได้เดินทางไปยังบ้านหญิงชราพิการ อายุ 68 ปี ที่ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ในพื้นที่ตำบลห้วยจรเข้ โดยกระทรวง พม. ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการต่างๆ จากรัฐต่อไป จากนั้นเดินทางไปยังห้องเช่าของหญิงชราสองพี่น้อง อายุ 72 ปี และ 68 ปี ในพื้นที่ตำบลโพรงมะเดื่อ ซึ่งทั้งคู่พิการไม่สามารถเดินได้ ต้องอาศัยการนั่งถัดตัวเองไปกับพื้นบ้าน ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ มีรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอในการจ่ายค่าเช่าห้อง และใช้จ่ายประจำวัน โดยกระทรวง พม. ได้มอบบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการต่างๆ จากรัฐต่อไป พร้อมทั้งมอบเงินสงเคราะห์กรณีฉุกเฉิน เงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมทั้งประสานส่งต่อเข้ารับการอุปการะในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดปทุมธานี สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นการมาเยี่ยมประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ โดยเป็นตัวแทนของรัฐบาล เพราะว่าโครงการเราชนะ เป็นโครงการดีๆ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่มาก โดยตนได้ให้นโยบายกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัดว่า ให้ลงพื้นที่เข้าไปหาผู้ที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ และตรวจสอบด้วยว่าการดำเนินงานมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร ซึ่งตนรู้สึกดีใจที่จังหวัดนครปฐมสามารถเข้าถึงผู้ที่พิการ ผู้สูงอายุ ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง จำนวนกว่า 700 ราย โดยกระทรวง พม. จะดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และจะทำ 7 วันที่เหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐให้ได้มากที่สุด และวันนี้ กระทรวง พม. ยังได้ทำเรื่องสมุดพกครอบครัวเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของกลุ่มเปราะบาง และให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้ความร่วมมือการบูรณาการ 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน ทั้งนี้ เมื่อกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว เราจะสามารถเข้าถึงปัญหาและดำเนินการช่วยเหลือได้ต่อไป โดยมีเป้าหมายการทำงานให้จำนวนครัวเรือนกลุ่มเปราะบางลดลงในทุกปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดเวทีระดมสมองจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหารของไทย | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
จัดเวทีระดมสมองจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหารของไทย
กระทรวงเกษตรฯ จัดเวทีระดมสมองจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหารของไทย เพื่อจัดทำเป็นท่าทีประเทศไทยในการประชุม UN Food System Summit และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อน 5 Action Tracks
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมในหัวข้อเวทีสานใจ สานพลังภาคี ว่าด้วยเรื่อง “ความมั่นคงทางอาหาร และระบบอาหารที่ยั่งยืน” ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกรอบและแนวทาง การขับเคลื่อนด้านความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต ซึ่งมีสาระสำคัญในการดำเนินการในระดับนโยบาย เช่น การบัญญัติ “สิทธิในอาหาร” ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การกำหนดเป้าหมายร่วม เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมและสามารถจัดการปัญหาเพื่อ “ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต” ได้ โดยกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 การผลักดันให้เกิดการดำเนินการของกลไกที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ. 2551 เพื่อการขับเคลื่อนกฎหมายดังกล่าว และกำหนดมาตรการรองรับด้านนโยบาย เช่น มาตรการทางภาษี มาตรการทางการเงิน นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างองค์ความรู้และระบบรองรับการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความพร้อมด้านองค์ความรู้ทั้งในและต่างประเทศ และการพัฒนาระบบอาหารให้พร้อมรับภาวะวิกฤต เช่น การผลิตอาหาร การสำรองอาหาร การบริหารจัดการตลาดและการค้า การพัฒนาระบบการกระจายอาหารอย่างทั่วถึงสำหรับประชากรกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แสดงความประสงค์ต่อสหประชาชาติที่จะเข้าร่วมกิจกรรมของการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (UN Food Systems Summit 2021: UNFSS 2021) โดยจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรจากทั่วโลก ระหว่างวันที่ 19 - 21 กรกฎาคม 2564 และการประชุมระดับผู้นำประเทศและนายกรัฐมนตรี ในเดือนกันยายน 2564 นี้ เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและอาหารจากทั่วโลก เร่งหารือและจัดทำนโยบายแผนงานการปฏิรูประบบอาหารและการเกษตรอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยให้มีการรวบรวมข้อเสนอจากผู้ที่มีบทบาทและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบการผลิตอาหารและการเกษตรของแต่ละประเทศ เพื่อนำไปเสนอในเวทีสหประชาชาติต่อไป
ทั้งนี้ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แต่งตั้งให้นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำรงตำแหน่ง National Dialogue Convener โดยมีหน้าที่รับผิดชอบหลัก คือ การขับเคลื่อนระดมความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหารประเทศไทย เพื่อจัดทำเป็นท่าทีประเทศไทยในการประชุม UN Food System Summit และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อน 5 Action Tracks ซึ่งจะมีกรอบการดำเนินการ 5 ด้าน (Action Tracks) ประกอบด้วย 1) การเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ 2) การปรับเปลี่ยนวิถีการบริโภคเพื่อความยั่งยืน 3) การส่งเสริมระบบการผลิตที่เพียงพอและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4) การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่เสมอภาคและกระจายความเท่าเทียม และ 5) การสร้างความยืดหยุ่นปรับตัวได้ในทุกวิกฤตเพื่อลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนจะดำเนินการจัดเวทีพูดคุยสาธารณะ (National Dialogues) เกี่ยวกับแผนงานและแนวทางในการปรับเปลี่ยนการจัดการระบบอาหารและเกษตรไปสู่ความยั่งยืน ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2564 โดยหารือและรวบรวมข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ผู้ที่มีบทบาท และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนภาคเกษตรกร สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ในระบบอาหารและการเกษตร มุ่งเน้นการผนึกกำลังทุกภาคส่วนให้ร่วมคิด ร่วมวางแผนพัฒนาอนาคตของภาคเกษตรไทย เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทยกลับสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามหลักการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG ที่ประกอบไปด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG) และร่วมสร้างสมดุลใหม่ให้กับภาคเกษตรและระบบอาหารของไทยให้เข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการแข็งขันอย่างยั่งยืน
“การประชุมในวันนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการระดมความคิดเห็นเพื่อขับเคลื่อนแนวทางการดำเนินงานของประเทศไทย ซึ่งเรามีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรหลายหน่วยงาน อีกทั้งประเทศไทยยังได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศในการเป็นครัวโลกที่ดี และการผลิตอาหารที่ปลอดภัย โดยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าตัวเลข GDP ด้านอาหารของไทยยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ประเทศต่าง ๆ จึงต้องการให้ประเทศไทยมาแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานกับสมาชิกของสหประชาชาติ โดยเฉพาะโครงการเยี่ยวยาและฟื้นฟูในส่วนของเกษตร อาหาร และสุขภาพ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการระดมความคิดเห็นในวันนี้ จะเป็นการวางรากฐานโครงสร้างให้เกิดผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม โดยมีนโยบายด้านการเกษตรและอาหารที่สนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายระพีภัทร์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ย้ำที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เร่งช่วยนักกีฬา/นักกีฬาพิการ เน้นสวัสดิการ หวังเติมเต็มกำลังใจ หนุนพัฒนากีฬาไทยต่อเนื่อง | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ย้ำที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เร่งช่วยนักกีฬา/นักกีฬาพิการ เน้นสวัสดิการ หวังเติมเต็มกำลังใจ หนุนพัฒนากีฬาไทยต่อเนื่อง
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ ย้ำที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เร่งช่วยนักกีฬา/นักกีฬาพิการ เน้นสวัสดิการ หวังเติมเต็มกำลังใจ หนุนพัฒนากีฬาไทยต่อเนื่อง
วันนี้ (2 เมษายน 2564) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยรับทราบการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่สำคัญ อาทิ การสนับสนุนของกองทุนฯ ด้านสวัสดิการกีฬา จำนวน 3 รายการ การให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการเงินค่ารักษาพยาบาล ประจำปี 2564 และการสนับสนุนทุนการศึกษาของนักกีฬาและบุคลากรกีฬา ประจำปีการศึกษา 2564
ทั้งนี้ ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบให้ความช่วยเหลือสวัสดิการ กรณีการเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บของอดีตนักกีฬา และบุคลากรกีฬา จำนวน 10 ราย รวมทั้งได้เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างกระแสกีฬาสู่ประชาชน จำนวน 5 รายการด้วยกัน
รองนายกรัฐมนตรียังกำชับให้เร่งขับเคลื่อนการส่งเสริมพัฒนาการกีฬาและบุคลากรกีฬา ตามระเบียบ ข้อบังคับ อย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อวงการกีฬา โดยเน้นการบริหารงบประมาณ จะต้องเร่งรัดให้เกิดความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันได้ย้ำให้สมาคมกีฬาเร่งฝึกซ้อมนักกีฬา เพื่อเตรียมการแข่งขันรายการต่าง ๆ มุ่งเป้าสู่ความเป็นเลิศ และให้ระมัดระวังการแพร่ระบาดจากโรคโควิด-19 ด้วย
.............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40608 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน บินด่วน จ.แม่ฮ่องสอน ส่งวัคซีนโควิด 2,000 โดส สำหรับบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
อนุทิน บินด่วน จ.แม่ฮ่องสอน ส่งวัคซีนโควิด 2,000 โดส สำหรับบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บินด่วนนำวัคซีนโควิด 19 จำนวน 2,000 โดส มอบให้ รพ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าแนวชายแดน ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บินด่วนนำวัคซีนโควิด 19 จำนวน 2,000 โดส มอบให้ รพ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าแนวชายแดน ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 จากการเฝ้าระวังดูแลผู้ได้รับผลกระทบและผู้เดินทางข้ามแดนมาทำงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
วันนี้ (2 เมษายน 2564) ที่โรงพยาบาลแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฝ่ายความมั่นคง และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบนโยบายดำเนินงานรองรับเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน และมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จำนวน 2,000 โดส ฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้าที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดน และหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จำนวน 100,000 ชิ้น หน้ากากอนามัยชนิด N 95 จำนวน 20,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ เพื่อใช้ในการป้องกันการติดเชื้อขณะปฏิบัติงานดูแลประชาชน
นายอนุทินกล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต้องการให้เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยขณะปฏิบัติงานดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภายในประเทศเพื่อนบ้าน และผู้ที่เดินทางข้ามแนวชายแดนเข้ามาตามปกติซึ่งมีประมาณวันละ 1,000 – 2,000 คน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีอัตราการระบาดของโรคโควิด 19 สูง มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อโควิด 19 ได้ ในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้นำวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของซิโนแวค จำนวน 2,000 โดส ที่ได้จัดส่วนหนึ่งสำรองไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า เช่น ทหาร ตำรวจ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง อาสาสมัครรักษาดินแดน และอสม. ที่ทำงานในพื้นที่ชายแดน เพื่อลดความรุนแรง ป้องกันการป่วยโรคโควิด 19 เป็นการยืนยันถึงความพร้อมของระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ในการเฝ้าระวัง คัดกรองคัดแยกผู้ที่ติดเชื้อโควิค 19 หากพบผู้ป่วยจะนำเข้าสู่ระบบการรักษา ส่วนผู้ที่ไม่แสดงอาการจะอยู่ในพื้นที่ที่ฝ่ายความมั่นคงจัดไว้เป็นเวลา 10 วัน และติดตามอาการจนกว่าจะหาย ซึ่งจากการตรวจเยี่ยมพบว่าโรงพยาบาลแม่สะเรียง มีความพร้อมในการดูแลรักษา ทั้งบุคลากร ยา เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และห้องแยกโรค รวมทั้งการดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้การดูแลตามหลักมนุษยธรรม หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บมาก จะตั้งโรงพยาบาลสนาม ตามหลักสากล โดยมีโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ เป็นโรงพยาบาลหลักในการดูแล ปัจจุบันมีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในประเทศไทย 7 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลสบเมย โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ และโรงพยาบาลแม่สะเรียง ทุกรายได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ผลไม่พบเชื้อ
******************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกขยายระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะ สามารถต่ออายุล่วงหน้าได้ไม่เกิน 6 เดือนก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กรมการขนส่งทางบกขยายระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะ สามารถต่ออายุล่วงหน้าได้ไม่เกิน 6 เดือนก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ทุกประเภท
ประกอบด้วย ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถบดถนน ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ให้สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุไม่เกิน 6 เดือน จากเดิมกำหนดไว้เพียง 3 เดือน เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ครอบครองใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะมีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงได้นำระบบอบรมออนไลน์ e-Learning เข้ามาช่วยลดขั้นตอนแล้ว แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนได้ทั้งหมด ดังนั้น ขบ. จึงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มระยะเวลาดำเนินการให้มากขึ้นจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน เป็นการเพิ่มประโยชน์และขยายโอกาสให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถมีเวลาในการดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถมากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com จากเดิมมีอายุรับรอง 90 วัน เป็น 6 เดือน นับแต่วันที่ผ่านการอบรมให้สอดคล้องกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถสามารถดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบ. อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบอนุญาตขับรถสามารถเลือกอบรม e-Learning ผ่านเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการอบรมทั้งหมดมี 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป นอกจากจะเป็นการลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการของประชาชนแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนในห้องอบรมเป็นระยะเวลานาน สอดคล้องตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยได้ขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ให้มีอายุ 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรม ทั้งนี้ ขอให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถทุกประเภทตรวจสอบวันสิ้นอายุใบอนุญาต เพื่อวางแผนการดำเนินการต่ออายุให้เรียบร้อย
ก่อนวันสิ้นอายุ โดยผู้ต้องการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถขอให้จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ดาวน์โหลดฟรี iOS: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์: http://bit.ly/2IkLpyO หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของ ขบ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "แนวทางพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล” เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก Hague Conference on Private International Law (HCCH) | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กระทรวงยุติธรรม จัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "แนวทางพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล” เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก Hague Conference on Private International Law (HCCH)
กระทรวงยุติธรรม จัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "แนวทางพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล” เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก Hague Conference on Private International Law (HCCH)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. กระทรวงยุติธรรม จัดงานเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "แนวทางพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก Hague Conference on Private International Law (HCCH)" โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ดร.วิลาวรรณ มังคละธนะกุล อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิชัย อริยนันทกะ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสประจำศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และรศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมการเสวนาฯ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ และบุคคลผู้สนใจ เข้าร่วมฟังการเสวนา ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๙ (Auditorium) ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร และการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Fanpage กระทรวงยุติธรรม
ที่ประชุมแห่งกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล หรือ HCCH เป็นองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล เป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างประเทศในด้านกฎหมายเอกชน มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความเป็นเอกภาพของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล วางกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนของประชาชนและภาคเอกชน อาทิ การรับบุตรบุญธรรม การลักพาตัวเด็กข้ามชาติ เป็นต้น
ประเทศไทยเป็นสมาชิก HCCH นับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นสมาชิกสำดับที่ 88 ของ HCCH โดยเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศที่ 5 ถัดจากมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จึงนับเป็นความสำเร็จและข้อริเริ่มของประเทศไทยในการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบกฎหมายในเชิงระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีสิทธิในการเข้าร่วมกระบวนการเจรจาร่างสนธิสัญญาต่าง ๆ ของ HCCH และมีโอกาสผลักดันความต้องการของไทยบนเวทีระหว่างประเทศได้ รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการติดตามพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ของประชาชน ในการดำเนินกิจกรรมข้ามรัฐ และเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงกฎหมายภายในของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40634 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ดร.เฉลิมชัย" เปิดตัวหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง พร้อมจับมือ 3 หน่วยงานหลัก พัฒนาศักยภาพผู้นำภาคเกษตร มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่สร้างเกษตรไทยอย่างเข้มแข็ง | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
"ดร.เฉลิมชัย" เปิดตัวหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง พร้อมจับมือ 3 หน่วยงานหลัก พัฒนาศักยภาพผู้นำภาคเกษตร มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่สร้างเกษตรไทยอย่างเข้มแข็ง
"ดร.เฉลิมชัย" เปิดตัวหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง พร้อมจับมือ 3 หน่วยงานหลัก พัฒนาศักยภาพผู้นำภาคเกษตร มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่สร้างเกษตรไทยอย่างเข้มแข็ง
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการจัดทำหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) ระหว่าง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.อนันต์ สุวรรณรัตน์ ประธานมูลนิธิเกษตราธิการ และดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าหลักสูตรดังกล่าว จะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือในด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และเกษตรกร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคเกษตร ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดเครือข่ายในการขับเคลื่อน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบ
“หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง หรือ วกส. ถือเป็นโครงการแรกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้จัดทำหลักสูตรนี้ขึ้น โดยในวันนี้ได้เปิดตัวหลักสูตร เนื่องในโอกาสครบรอบ 129 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย ผมมั่นใจว่าหลักสูตรนี้จะเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้เป็นอย่างมากในอนาคต อยากเชิญชวนผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงานให้มาเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรดังกล่าว มาช่วยกันระดมความคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นำเทคโนโลยี งานวิจัย นวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในภาคการเกษตร เป็นการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า มาร่วมกันพัฒนาภาคการเกษตรไทยของเราให้เข้มแข็ง ประเทศไทยเราก็จะเข้มแข็ง” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
สำหรับหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) เป็นหลักสูตรเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ให้เป็นผู้นำ
ในระดับนานาชาติด้วยวิทยาการเกษตร เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ภายใต้หลักการตลาดนำการผลิตและเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความสมดุล มั่นคงและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและสร้างผู้นำระดับสูง ให้มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ระหว่างผู้นำทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน มุ่งสู่การเกษตรวิถีใหม่ โดยคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมหลักสูตร จะต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการทหาร/ตำรวจ ระดับ 9 ขึ้นไป และภาคเอกชนหรือองค์การสาธารณะ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.acemoac.in.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการใช้ความเร็วรถยนต์สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วงบางปะอิน - ต่างระดับอ่างทอง | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการใช้ความเร็วรถยนต์สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วงบางปะอิน - ต่างระดับอ่างทอง
โดยมี นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ
นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงฯ นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงฯ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้บริหารกระทรวงฯ องค์กรปกครองท้องถิ่น และสื่อมวลชนร่วมในพิธี ในวันที่ 1 เมษายน 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายการปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์จากความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เฉพาะถนนที่ได้มาตรฐานตามที่กฎกระทรวงกำหนด มีช่องจราจรตั้งแต่ 4 ช่องขึ้นไป ไม่มีจุดกลับรถระดับราบ มีเกาะกลางถนนแบบกำแพงกั้น และมีความปลอดภัยด้านวิศวกรรมสูง โดยที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้เตรียมการนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นผลสำเร็จเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้ใช้อัตราความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ที่สำคัญคือ มีความปลอดภัยสูง และได้ประกาศกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วฉบับใหม่ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 สำหรับเส้นทางแรกที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือ ทางหลวงหมายเลข 32 หรือถนนสายเอเชีย ช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน - ทางต่างระดับอ่างทอง โดยกระทรวงฯ ได้สั่งการและเน้นย้ำให้กรมทางหลวงปรับปรุงเพิ่มมาตรฐานทางกายภาพให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ได้แก่ เสริมการก่อสร้างอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างทาง (Concrete Barrier) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเนื่องจากการเสียหลักตกเกาะกลาง ปรับปรุงจุดกลับรถระดับราบ เพื่อลดการตัดกันของกระแสจราจร ติดตั้งป้ายจราจรและป้ายเปลี่ยนข้อความได้เพื่อสื่อสารการใช้ความเร็วที่เหมาะสมในแต่ละช่องจราจร รวมทั้งติดตั้งแถบเตือน หรือ Rumble Strips เพื่อแจ้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการเข้าเขตควบคุมความเร็ว โดยเส้นทางนี้ถือเป็นต้นแบบของทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบท
นอกจากนี้ กรมทางหลวงมีแผนจะประกาศใช้สายทางในระยะที่ 2 ภายในเดือนสิงหาคม 2564 ครอบคลุมเส้นทางในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร เช่น ทางหลวงหมายเลข 32 ช่วงอ่างทอง - สิงห์บุรี ทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงหางน้ำหนองแขม - นครสวรรค์ ทางหลวงหมายเลข 2 ตอนบ่อทาง - มอจะบก และทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงเขาวัง - สระพระ เป็นต้น พร้อมทั้งดำเนินการต่อเนื่องเพิ่มเติมบนทางหลวงสายหลัก เช่น ทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน ทางหลวงหมายเลข 2 มิตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 24 สีคิ้ว - อุบลราชธานี ทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง - สุพรรณบุรี และทางหลวงหมายเลข 44 กระบี่ - ขนอม อีกประมาณ 1,760 กิโลเมตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า การกำหนดอัตราความเร็วรถเป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนสายเอเชียนั้น จะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดและปัญหาอุบัติเหตที่เกิดจากการชนท้ายหรือการเปลี่ยนช่องจราจร อันเนื่องมาจากรถวิ่งด้วยความเร็วที่แตกต่างปะปนกันไป ไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งยังทำให้ถนนสายเอเชียในอนาคตจะไม่มีจุดกลับรถระดับราบ ส่งผลให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัยตลอดเส้นทาง และขอให้พี่น้องประชาชนศึกษาข้อมูลเส้นทาง และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดปัญหาอุบัติเหตบนท้องถนนในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ให้สัมภาษณ์ว่า กรมทางหลวงได้คัดเลือกเส้นทางนำร่อง คือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 บางปะอิน - พยุหะคีรี (ช่วงอยุธยา – อ่างทอง) ระหว่าง กม. 4+100 ถึง กม. 50+000 ทั้งขาเข้าและขาออก ระยะทาง 45.9 กิโลเมตร แบ่งการใช้ความเร็วเป็น 3 ระดับ คือ ช่องซ้ายสุด ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่องกลางไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยในช่องขวาขับขี่ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วแตกต่างกันในเส้นทาง ใช้ทางสาธารณะร่วมกันได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นเส้นทางแรก
โดยกรมทางหลวงยังได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องหมายจราจรต่าง ๆ ในเส้นทางที่กำหนด เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ทาง เช่น ติดตั้งสัญลักษณ์กำหนดความเร็วบนพื้นถนน รวมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว
ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถติดตามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Website กรมทางหลวง (www.doh.go.th) แฟนเพจกรมทางหลวง และ Call Center 1586
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พัฒนาพยาบาลวิชาชีพ เป็นผู้นำทางการพยาบาลในระบบสุขภาพปฐมภูมิ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
สธ. พัฒนาพยาบาลวิชาชีพ เป็นผู้นำทางการพยาบาลในระบบสุขภาพปฐมภูมิ
กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มศักยภาพพยาบาลวิชาชีพเป็นผู้นำทางการพยาบาลในระบบสุขภาพปฐมภูมิ ริเริ่มวิธีการทำงานแบบใหม่ ๆ ในสถานการณ์โควิด 19 ดูแลสุขภาพเชิงรุกทุกกลุ่มวัย ให้บริการใกล้บ้าน ใกล้ใจ
วันนี้ (2 เมษายน 2564) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการพยาบาลในระบบสุขภาพปฐมภูมิ พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้กับผู้เข้ารับการอบรม 12 เขตสุขภาพ จำนวน 119 คน โดยมีหัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลชุมชน หัวหน้างานเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชน ตัวแทนจากกลุ่มงานเวชกรรมสังคม จาก รพศ./ รพท. เข้าร่วมอบรม
ดร.สาธิตกล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายพัฒนางานด้านสาธารณสุข โดยมีคลินิกหมอครอบครัว ช่วยเสริมระบบสุขภาพปฐมภูมิให้เข้มแข็ง 1 ทีมดูแลประชาชน 10,000 คน ประกอบด้วย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาลวิชาชีพ และสหสาขาวิชาชีพ ทำงานเชิงรุกร่วมกันในพื้นที่ โดยใช้หลักเวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลแบบองค์รวม ทั้งการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูประชาชนทุกกลุ่มวัย ให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ได้ดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชนที่ยังไม่ป่วยให้มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น ได้รับการประเมินภาวะสุขภาพที่จำเป็นเพื่อการป้องกันโรค ส่วนประชาชนที่เจ็บป่วยได้รับการดูแลรักษา ใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและการเดินทาง ลดแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ ลดระยะเวลารอคอย ปัจจุบันมีเครือข่ายคลินิกหมอครอบครัวแล้ว 1,991 ทีม พยาบาลประจำหน่วยประมาณ 2,000 คน
ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จะต้องมีความรู้และความสามารถ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจที่มีผลต่อสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของประชากร รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการพัฒนารูปแบบการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน การอบรมครั้งนี้จะช่วยพัฒนาสมรรถนะการเป็นผู้นำทีมการจัดบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิให้มีความเหมาะสม พัฒนานวัตกรรมรูปแบบการบริการที่ทันสมัย ปรับปรุงระบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงสามารถสื่อสารสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดการทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ เพื่อคนในชุมชนได้รับการดูแลรักษาใกล้บ้าน ใกล้ใจ
******************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เปิดแล้ว! ที่จอดรถอัตโนมัติ “Robot Parking” นำร่องสถานีสามย่านเป็นที่แรก | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
รฟม. เปิดแล้ว! ที่จอดรถอัตโนมัติ “Robot Parking” นำร่องสถานีสามย่านเป็นที่แรก
เพื่อเพิ่มที่จอดรถและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน
นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่ง ประเทศไทย (รฟม.) เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการที่จอดรถอัตโนมัติ “Robot Parking” แห่งแรกของรถไฟฟ้า MRT ณ สถานีสามย่าน สำหรับระบบที่จอดรถอัตโนมัติ หรือ Robot Parking นั้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่จอดรถที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเมื่อผู้ใช้บริการนำรถเข้ามาจอด จะมีเครื่องกลทำหน้าที่เสมือนหุ่นยนต์รับรถขึ้นไปจอดในลักษณะซ้อนกันในแนวดิ่ง ทำให้จอดรถได้มากขึ้น อีกทั้งใช้เวลาเฉลี่ยในการรับ – ส่งรถ เข้าและออกจากที่จอดรถเพียงคันละ 90 วินาที และหากรถจอดชั้นไกลที่สุดจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้บริการไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอดรถ นับเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ประหยัดเวลา และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ รฟม. ยังได้ติดตั้งและตรวจสอบระบบที่จอดรถอัตโนมัติดังกล่าวให้ มีความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยยังคงคิดอัตราค่าบริการที่จอดรถตามปกติ (กรณีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า คิดอัตราค่าจอดรถ 15 บาทต่อ 2 ชั่วโมง และผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้า คิดอัตราค่าจอดรถ 50 บาทต่อ 1 ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บริการที่จอดรถรายเดือน คิดอัตราค่าจอดรถ 2,000 บาทต่อเดือน) ทั้งนี้จะสามารถรองรับรถยนต์ในลานจอดรถสถานีสามย่านทั้งหมดจำนวน 46 คัน
นอกจากนี้ รฟม. ได้เตรียมดำเนินการติดตั้งที่จอดรถอัตโนมัติเพิ่มเติมบริเวณลานจอดรถสถานีห้วยขวาง และลานจอดรถอื่นๆ ในเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินเป็นลำดับต่อไป เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถให้เพียงพอต่อความต้องการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม
ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40610 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
ในวันพุธที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕ - ๐๑ ชั้น ๕ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานจัดทำรายงานประเทศตามกรอบสินธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ภายใต้กลไก UPR และการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางและความคืบหน้าในการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยยังไม่ได้เป็นภาคี และพิจารณาทบทวนท่าทีไทยในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับ ที่ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคี จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑) พิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (OP-ICCPR ๑) ๒) พิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (OP-ICCPR ๒) ๓) พิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (OP-ICESCR) ๔) พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OP-CAT)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-พ.ค.นี้
วธ.ช่วยเหลือศิลปินพื้นบ้านและเครือข่ายวัฒนธรรมได้รับผลกระทบโควิด-19 ให้กำลังใจ-สร้างงาน-สร้างรายได้ จัดมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย" 4 ภูมิภาคช่วงมี.ค.-พ.ค.นี้ เปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติฯพร้อมจัดงาน“มหกรรมอาหารพื้นบ้าน สืบสานตำนานวิถีถิ่นอยุธยา”อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น-หนุนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 1-4 เม.ย.นี้
วันที่ 1 เมษายน 2564 ที่สนามวัดพระราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย”และงาน“มหกรรมอาหารพื้นบ้าน สืบสานตำนานวิถีถิ่นอยุธยา”พร้อมเยี่ยมชมบูธจัดแสดงสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย(CPOT) และสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในจังหวัดต่างๆ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัฒนธรรมจังหวัด ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก 25 จังหวัด ศิลปินพื้นบ้านและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมสนับสนุนภูมิปัญญาพื้นบ้านให้มีพื้นที่ในการนำเสนอคุณค่าของงานศิลปวัฒนธรรม สร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม รวมทั้งเพิ่มบทบาทของหน่วยงานทางวัฒนธรรมในพื้นที่ในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่น ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง รวมถึงเสริมฐานรากวัฒนธรรมให้เกิดความเข้มแข็ง และมุ่งสร้างขวัญ กำลังใจ ให้แก่ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประกอบการด้านศิลปวัฒนธรรม และเครือข่ายทางวัฒนธรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ “วิถีถิ่น วิถีไทย” เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ตามนโยบายรัฐบาล โดยการเปิดพื้นที่ให้แก่ศิลปินพื้นบ้าน การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและสินค้าทางวัฒนธรรมจากชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรทั่วประเทศ ขณะเดียวกันได้มีการจัดงาน “มหกรรมอาหารพื้นบ้าน สืบสานตำนานวิถีถิ่นอยุธยา” ซึ่งอาหารเป็นหนึ่งในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น และวิถีชีวิตของความเป็นไทย เพื่ออนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า โครงการมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ"วิถีถิ่น วิถีไทย"จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยเริ่มต้นจัดกิจกรรมที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 23-29 มีนาคมที่ผ่านมาที่จ.นครราชสีมา ภาคกลางและภาคตะวันออกที่จ.พระนครศรีอยุธยา จัดงานวันที่ 1-4 เมษายนนี้ ณ สนามวัดพระราม มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงพื้นบ้านร่วมสมัย ชุดผีพุ่งใต้อำเภอหัวหิน คณะรักษ์ศิลป์ไทย จ.ประจวบคีรีขันธ์ หนังตะลุง คณะศรราม ศ.สาคร จ.ประจวบคีรีขันธ์ การแสดงชาติพันธุ์ไทยทรงดำ ไทยดำรำแคน จ.ราชบุรี หนังใหญ่คณะหนังใหญ่วัดขนอน จ.ราชบุรี ละครชาตรี คณะเบ็ญจา ศิษย์ฉลองศรี จ.เพชรบุรี ลิเก มหกรรมลิเกกรุงเก่า จ.พระนครศรีอยุธยา งิ้วรามเกียรติ์ เวอร์ชั่นจีน ลำตัดและเพลงพื้นบ้าน คณะหวังเต๊ะ จ.นครปฐม โขนสด คณะอำนวยพร จ.สิงห์บุรี หนังใหญ่คณะหนังใหญ่วัดบ้านดอน จ.ระยอง
ภาคใต้ที่จ.นครศรีธรรมราชจัดงานวันที่ 7-9 พฤษภาคมนี้ ณ สนามหน้าเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงโนรา หนังตะลุง ลิเกฮูลู เพลงบอกและลิเกป่า ภาคเหนือที่จ.เชียงราย จัดงานวันที่ 10-14 พฤษภาคมนี้ ณ สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ 75 พรรษา เทศบาลนครเชียงราย มีกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงขับซอล้านนา สะล้อ ซอ ซึง ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่ที่จัดงานมีบูธจำหน่ายสินค้า CPOTและสินค้าทางวัฒนธรรมของชุมชนคุณธรรมฯในจังหวัดต่างๆด้วย ขณะที่ส่วนกลางที่กรุงเทพฯคาดว่าจะจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันในส่วนของงาน“มหกรรมอาหารพื้นบ้าน สืบสานตำนานวิถีถิ่นอยุธยา”จัดขึ้นวันที่ 1-4 เมษายน 2564 มีกิจกรรม ได้แก่ การสาธิตและจำหน่ายอาหารพื้นบ้านกว่า 50 ร้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น การแสดงชุด สิบศิลป์อโยธยา โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ การแสดงชุดระบำอยุธยาและระบำทวารวดี การแสดงจากอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติและศิลปินนักร้อง อาร์ม กรกันต์ สุทธิโกเศศ การแสดงโขนรามเกียรติ์ ชุด ยกรบ การแสดงลิเก คณะจีรศักดิ์ พรหมช่วย จ.ปราจีนบุรี การแสดงเพลงพื้นบ้าน เพลงอีแซว การแสดงร้องเพลงลูกทุ่ง คณะลูกทุ่งชุมชนคนทุ่งมหาเจริญ จ.สระแก้ว การประกวดสำรับอาหารคาว หวาน หัวข้อ“วัฒนธรรมอาหารสำรับอยุธยา” การเสวนา หัวข้อ“วัฒนธรรมอาหารวิถีอยุธยา” และการจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม วธ.ได้กำชับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกแห่งที่เป็นพื้นที่จัดงานให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรมจิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กิจกรรมจิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน
รองปลัดจุลพงษ์ฯ เปิดกิจกรรมจิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน
จังหวัดลำพูน : วันนี้ (2 เมษายน 2564) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน ภายใต้โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2564 โดยมีนายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน นางจันทนา ไวยาวัจมัย อุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน ปลัดจังหวัดลำพูน และจิตอาสาจังหวัดลำพูน จำนวนกว่า 200 คน เข้าร่วมพิธี ณ ลานอเนกประสงค์ วัดศรีบุญยืน ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการ “จิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ประจำปี 2564 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายจาก ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้เป็นกระทรวงที่ร่วมบูรณาการพัฒนาคุณภาพน้ำในแม่น้ำและลำคลองสายสำคัญของประเทศ เพื่อช่วยป้องกัน กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาน้ำเสียภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ก่อนระบายลงสู่คูคลองและแม่น้ำ โดยในปี ๒๕๖๔ กระทรวงอุตสาหกรรม จะดำเนินการในพื้นที่นำร่อง ๑๐ คูคลอง ๑๐ ลุ่มน้ำสายหลัก ภายใต้ “โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ” นอกจากการตรวจกำกับดูแลโรงงาน การทำกิจกรรม CSR และการทำกิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ สิ่งสำคัญอีกประการคือ การบูรณาการการทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจิตอาสาในการทำกิจกรรมจิตอาสา เพื่อสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งกิจกรรมการลอกผักตบชวาในลำน้ำแม่กวง ภายใต้โครงการนี้ ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้โครงการของจังหวัดลำพูน
สำหรับกิจกรรมจิตอาสาฯ ภายใต้โครงการ “จิตอาสารักษ์แม่น้ำในลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดลำพูน เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” แบ่งเป็น ๓ กิจกรรม ดังนี้ 1) กิจกรรมการลอกผักตบชวาในลำน้ำแม่กวงในเขตพื้นที่ของเทศบาลตำบลบ้านกลาง ณ บริเวณแม่น้ำกวง ฝั่งสะพานศรีวิชัย 2 (บ้านหนองเป็ด) ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน โดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูนจะบูรณาการการลอกผักตบร่วมกับทางจังหวัดลำพูน ซึ่งดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ในการแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแหล่งน้ำในเขตพื้นที่จังหวัดลำพูน 2) กิจกรรมการส่งมอบถังดักไขมันให้แก่ 4 เทศบาล เทศบาลตำบลอุโมงค์ เทศบาลตำบลป่าสัก เทศบาลตำบลมะเขือแจ้ เทศบาลตำบลบ้านกลาง และ 3) กิจกรรมการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำแม่กวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40626 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. เปิดให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาผ่านแอปฯ “กยศ. Connect” | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กยศ. เปิดให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาผ่านแอปฯ “กยศ. Connect”
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. เตรียมงบประมาณ 38,000 ล้านบาท สำหรับให้กู้ยืมปีการศึกษา 2564 เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนกว่า 624,000 ราย สามารถกู้ยืมได้สูงสุดถึง 200,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรสาขาวิชาที่เลือกเรียน พร้อมเพิ่มช่องทางให้ยื่นขอกู้ยืมผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 เป็นต้นไป โดยกำหนดเงื่อนไขการกู้ยืม เช่น เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักของประเทศ หรือสาขาวิชาที่ขาดแคลน และทุนสำหรับปริญญาโท ผู้ที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2016-4888
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40605 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดหน่วยแพทย์อาสาดูแลประชาชนพื้นที่หมู่เกาะห่างไกล จ.พังงา เป็นของขวัญสงกรานต์ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
สธ.จัดหน่วยแพทย์อาสาดูแลประชาชนพื้นที่หมู่เกาะห่างไกล จ.พังงา เป็นของขวัญสงกรานต์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการออกหน่วยแพทย์เฉพาะทางอาสา กรมการแพทย์ ดูแลรักษาประชาชนในพื้นที่พิเศษและหมู่เกาะ จ.พังงา ให้เข้าถึงการรักษา 6 สาขาจากแพทย์เฉพาะทางทั้งโรคผิวหนัง ทันตกรรม โรคตา มะเร็ง พัฒนาการเด็ก และฟื้นฟูสมรรถภาพ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการออกหน่วยแพทย์เฉพาะทางอาสา กรมการแพทย์ ดูแลรักษาประชาชนในพื้นที่พิเศษและหมู่เกาะ จ.พังงา ให้เข้าถึงการรักษา 6 สาขาจากแพทย์เฉพาะทางทั้งโรคผิวหนัง ทันตกรรม โรคตา มะเร็ง พัฒนาการเด็ก และฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นของขวัญสงกรานต์พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอบรมบุคลากรโรงพยาบาลและ รพ.สต. “ชัยพัฒน์” 5 แห่ง
วันนี้ (2 เมษายน 2564) ที่โรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์ จังหวัดพังงา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการหน่วยแพทย์เฉพาะทางอาสา กรมการแพทย์ พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) และเครื่องดูดละอองฝอยน้ำลายนอกช่องปาก ให้แก่โรงพยาบาลและรพ.สต. ชัยพัฒน์ 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์, โรงพยาบาลคุระบุรีชัยพัฒน์, โรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์, โรงพยาบาลกะปงชัยพัฒน์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งรักชัยพัฒน์
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานด้านสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริ และมีนโยบายพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนในมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล (โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ) โรงพยาบาลชัยพัฒน์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ โดยชุมชนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล พื้นที่หมู่เกาะ และได้จัดโครงการหน่วยแพทย์อาสา กรมการแพทย์ ไปให้บริการตรวจรักษาโรคที่ซับซ้อนและบริการเฉพาะทางด้านต่างๆ ทั้งโรคผิวหนัง ทันตกรรม โรคตา มะเร็ง พัฒนาการเด็ก และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่โรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์ ถือเป็นของขวัญวันสงกรานต์ ปี 2564 ให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอท้ายเหมืองและอำเภอใกล้เคียง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้การตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา และให้คำปรึกษาแก่ประชาชน
รวมถึงอบรมพัฒนาขีดความสามารถให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลชัยพัฒน์ ซึ่งจะช่วยยกระดับโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล "ชัยพัฒน์" ด้วย
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โครงการหน่วยแพทย์เฉพาะทางอาสา กรมการแพทย์ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่พิเศษและพื้นที่หมู่เกาะได้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของกรมการแพทย์ ได้รับการตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา และให้คำปรึกษาแบบใกล้บ้าน (พาหมอไปหาชาวบ้าน) ใน 6 สาขา ได้แก่ 1.โรคผิวหนัง มีการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ตรววินิจฉัยและรักษาโรคผิวหนังที่พบบ่อยและซับซ้อนยุ่งยาก ตรวจวินิจฉัยเชื้อราที่ผิวหนัง เส้นผมและเล็บทางห้องปฏิบัติการ การทำหัตถการในการวินิจฉัยและรักษา และการผ่าตัดเล็กเพื่อตรวจชิ้นเนื้อ และตรวจคัดกรองมะเร็งผิวหนัง 2.ทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน ถอนฟัน ให้คำปรึกษาด้านโครงสร้างเพื่อปรับบริการทันตกรรมแบบ New Normal 3.โรคตา มีการตรวจวัดสายตา แก้ไขปัญหาสายตาด้วยแว่น และตรวจคัดกรอง วินิจฉัย รักษาโรคตาเบื้องต้น 4.พัฒนาการเด็ก มีการอบรมการคัดกรองและกระตุ้นพัฒนาการเด็กให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคทางพัฒนาการเด็ก 5.การดูแลผู้ป่วยกึ่งเฉียบพลันและการฟื้นฟูสมรรถภาพ มีการตรวจประเมินสมรรถภาพร่างกาย และการมอบเครื่องช่วยความพิการ เช่น อุปกรณ์ช่วยเดินรถนั่งคนพิการ เป็นต้น และ 6.โรคมะเร็ง มีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และตรวจคัดกรองวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
ทั้งนี้ จังหวัดพังงามีประชากร 266,038 คน มีโรงพยาบาลทั่วไป 2 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 7 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 64 แห่ง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม 1 แห่ง ศูนย์สุขภาพชุมชน 2 แห่ง ศูนย์การแพทย์เขาหลัก 1 แห่ง และสถานพยาบาลเรือนจำ 2 แห่ง ในจำนวนนี้มีโรงพยาบาลชัยพัฒน์ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุมัติงบประมาณมูลนิธิชัยพัฒนา ในการปรับปรุงโรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิ 5 แห่ง สำหรับอัตราการป่วยของประชากรส่วนใหญ่ ได้แก่ โรคระบบย่อยอาหารรวมโรคในช่องปากโรคระบบไหลเวียนเลือด โรคระบบทางเดินหายใจโรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ โภชนาการและเมตะบอลิสึม โรคระบบกล้ามเนื้อ อัตราตายที่เป็นปัญหาสำคัญในปี 2561-2563 ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) โรคหัวใจขาดเลือด เบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง
********************************** 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง แนะนำเส้นทางเลือกจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กรมทางหลวง แนะนำเส้นทางเลือกจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
พร้อมเผย 10 เส้นทางเลือก เพื่อให้ผู้ใช้ทางได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง สอบถามโทร 1586
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 นี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางและหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลดังกล่าว กรมทางหลวงจึงได้แนะนำเส้นทางเลือกบนทางหลวงสายหลักและสายรอง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี ดังนี้
กรุงเทพฯ – ภาคเหนือ
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไปรังสิต (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.พระนครศรีอยุธยา – จ.อ่างทอง – จ.สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 32 ถนนสายเอเชีย) – อ.มโนรมย์ (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป จ.นนทบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง – สุพรรณบุรี) –จ.สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 สุพรรณบุรี – ชัยนาท) – จ.ชัยนาท (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้า สู่จังหวัดนครสวรรค์
เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป รังสิต – อ.วังน้อย – จ.สระบุรี – จ.ลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – อ.ตากฟ้า (ทางหลวงหมายเลข 11) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลก
เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไปรังสิต – ต่างระดับคลองหลวง (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – เชียงรากน้อย (ทางหลวงหมายเลข 3214) – ทางหลวงหมายเลข 347 จากนั้นมุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 32 เข้าสู่ภาคเหนือ
เส้นทางที่5 จากกรุงเทพฯไปวงแหวนตะวันออก (ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9) – ต่างระดับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) – อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – ถนนโรจนะ (ทางหลวงหมายเลข 309) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 32 เข้าสู่ภาคเหนือ
กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ไป จ.สระบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – ต.ม่วงค่อม (ทางหลวงหมายเลข 21) –ต.ห้วยบง อ.เฉลิมพระเกียรติ (ทางหลวงหมายเลข 2256) – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 201) - อ.ด่านขุนทด (ทางหลวงหมายเลข 2148) – อ.ขามทะเลสอ (ทางหลวงหมายเลข 2068) - ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.สระบุรี – อ.ปากช่อง – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป จ.นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) – อ.บ้านนา (ทางหลวงหมายเลข 3051) – อ.แก่งคอย (ทางหลวงหมายเลข 3222) – อ.ปากช่อง (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา หรือจากอ.บ้านนาไร่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 33 มุ่งหน้าสู่อ.กบินทร์บุรีสู่อ.อรัญประเทศ
เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไป จ.ฉะเชิงเทรา (ทางหลวงหมายเลข 314 หรือ ทางหลวงหมายเลข 304) - อ.พนมสารคาม – อ.กบินทร์บุรี – อ.วังน้ำเขียว – อ.ปักธงชัย (ทางหลวงหมายเลข 304) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออก
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.ชลบุรี (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สาย กรุงเทพฯ – ชลบุรี – พัทยา)
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.บางปะกง (ทางหลวงหมายเลข 34 ถนนบางนา-ตราด) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท
เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป อ.พนัสนิคม – จ.ชลบุรี (ทางหลวงหมายเลข 304)
กรุงเทพฯ – ภาคใต้
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.สมุทรสาคร – จ.สมุทรสงคราม (ทางหลวงหมายเลข 35) – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.สามพราน – อ.นครชัยศรี – จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป ถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338 ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี) – อ.นครชัยศรี –จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และ ตำรวจทางหลวง 1193
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ดันเพิ่มป่า-เพิ่มเศรษฐกิจ จัดสรรที่ทำกินแล้วเกือบ 7 แสนไร่ ป่าชุมชนกว่า 6 ล้านไร่ | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
นายกฯ ยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ดันเพิ่มป่า-เพิ่มเศรษฐกิจ จัดสรรที่ทำกินแล้วเกือบ 7 แสนไร่ ป่าชุมชนกว่า 6 ล้านไร่
นายกฯ ยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ดันเพิ่มป่า-เพิ่มเศรษฐกิจ จัดสรรที่ทำกินแล้วเกือบ 7 แสนไร่ ป่าชุมชนกว่า 6 ล้านไร่
วันที่ 2 เม.ย.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดูแลประชาชนให้มีพื้นที่ทำกินและยกระดับความเป็นอยู่ว่า ภายใต้การบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จัทน์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เดินหน้าการพัฒนาที่ดินเพื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง อีกทั้งมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า โดยยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ซึ่งรัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายใหม่ที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังเห็นได้จาก การแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน ช่วยไม่ให้ชาวบ้านที่เก็บของป่ามาขายต้องถูกจับเหมือนในอดีต และให้อำนาจชาวบ้านในชุมชน ในการตัดสินใจดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ของชุมชนตัวเอง ณ ปัจจุบัน มีการประกาศจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้ว 11,327 ป่าชุมชน พื้นที่ 6.29 ล้านไร่ และมีแผนการจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ในปี 2564 อีก 300 ป่าชุมชน
มากไปกว่านั้น รัฐบาลยังได้ปลดล็อกพระราชบัญญัติป่าไม้ อนุญาตให้ประชาชนปลูกไม้หวงห้าม 158 ชนิดในพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่ถือเป็นไม้หวงห้ามอีกต่อไป ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลยังได้เปิดให้ลงทะเบียน “ปลูกไม้มีค่า” กับกรมป่าไม้ ถ้าปลูกในที่ดินของตัวเอง มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ก็สามารถทำไม้ ตัด แปรรูป ส่งออก หรืออื่น ๆ ได้ แต่ถ้าขึ้นอยู่ในป่า ยังถือเป็น “ไม้หวงห้าม” ปัจจุบันนี้ประชาชนปลูกไม้มีค่าและลงทะเบียนกับกรมป่าไม้แล้ว 7 หมื่นกว่าราย เนื้อที่รวมล้านกว่าไร่ โดยมีโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ ประชาชนสามารถนำไม้มีค่า ที่กำหนดไว้ 58 ชนิด (เช่น สัก ประดู่ พะยูง เต็ง มะค่าโมง เป็นต้น) ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรได้อีกด้วย
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลไกภาครัฐจึงต้องขับเคลื่อนในทิศทางที่ส่งเสริมโอกาสแก่ประชาชน ลดความขัดแย้ง ไม่ขัดกฎหมาย แนวคิด “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน ทั้งนี้ แม้จะพบปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินซ้ำซ้อนอยู่ในบางพื้นที่ ในภาพรวมของการดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ชุมชนให้สามารถอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ /ป่าชายเลน /ที่สปก. /ที่ราชพัสดุ /ที่สาธารณะประโยชน์ นับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จัดสรรให้แล้ว 60,419 ราย 74,612 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 665,000 ไร่ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น รัฐบาลยังได้ดำเนินการอย่างบูรณาการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำ ไฟฟ้า และถนน รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอาชีพที่เหมาะสม เช่น การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เป็นอาชีพเสริม เพื่อชุมชนมีรายได้เพี่มจากโครงการคาร์บอนเครดิตอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ขอนแก่นพัฒนา I-Smart Pharmacy ระบบจ่ายยาผู้ป่วยนอกอัตโนมัติ ถูกต้อง รัดกุม รวดเร็ว ปลอดภัย | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
รพ.ขอนแก่นพัฒนา I-Smart Pharmacy ระบบจ่ายยาผู้ป่วยนอกอัตโนมัติ ถูกต้อง รัดกุม รวดเร็ว ปลอดภัย
โรงพยาบาลขอนแก่นพัฒนาระบบห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอกโดยหุ่นยนต์ มีระบบคิวอัจฉริยะ (I-Smart Pharmacy KKH) เต็มรูปแบบแห่งแรกในภาคอีสาน ผู้ป่วยตรวจสอบสถานะและคิวได้ด้วยตนเอง ช่วยรับยาถูกต้อง รัดกุม รวดเร็ว และปลอดภัย
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพและการบริการด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงบริการให้แก่ประชาชน ล่าสุด โรงพยาบาลขอนแก่นได้พัฒนาห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอกระบบอัตโนมัติ พร้อมระบบคิวอัจฉริยะ (I-Smart Pharmacy KKH) เต็มรูปแบบแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่รองรับผู้ป่วยนอกวันละเกือบ 4,000 ราย โดยเฉพาะช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่รับยาถึง 10 รายการ ได้รับยาที่ถูกต้องและรวดเร็ว ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพ และลดขั้นตอน ภายใต้การกำกับและควบคุมคุณภาพตามหลักมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรม
สำหรับขั้นตอนการจ่ายยาด้วยระบบ I-Smart Pharmacy KKH เริ่มต้นจากผู้ป่วยยื่นใบสั่งยาพร้อมรับหมายเลขประจำตัวรับยา เจ้าหน้าที่จะบันทึกคำสั่งการใช้ยาและลงทะเบียนตะกร้ายากับใบสั่งยาโดยใช้การสแกน QR Code ส่งตะกร้ายาไปยังสถานีจัดยาด้วยระบบสายพาน โดยมีระบบไฟ LED นำทางและจอภาพแสดงผล ส่วนตู้ยาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และยาเสพติดให้โทษ เป็นต้น จะปิดล็อกตลอดเวลา ช่องยาจะเปิดเมื่อสแกนใบสั่งยาโดยผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าถึงยาได้เท่านั้น ช่วยเพิ่มความถูกต้อง รัดกุม และความปลอดภัยในการจัดยา
นอกจากนี้ ยังใช้หุ่นยนต์นับเม็ดยาช่วยจัดยาให้ครบถ้วนตามจำนวนที่ผู้ป่วยต้องได้รับ และมีเภสัชกรตรวจสอบยาและซองยาร่วมกับการใช้ฐานข้อมูลที่แสดงลักษณะเม็ดยา ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น จากนั้นส่งให้หุ่นยนต์จ่ายตะกร้ายาอัตโนมัติตามลำดับไปยังจุดจ่ายยา ซึ่งจะมีเภสัชกรตรวจสอบยาอีกครั้ง ก่อนจ่ายยาและแนะนำการใช้ยาให้แก่ผู้ป่วย หากผู้ป่วยไม่รอรับยามีระบบการพักตะกร้าที่สามารถกลับมาค้นหาได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและถูกต้อง ส่วนผู้ป่วยสามารถตรวจสอบลำดับคิวและสถานะการจัด-จ่ายยา ผ่านหน้าบริเวณหน้าห้องจ่ายยา หรือจอแสดงผลสถานะขนาดใหญ่บริเวณจุดนั่งรอ หรือตรวจสอบด้วยตนเองผ่านตู้ Kiosk
"ระบบจ่ายยา I-Smart Pharmacy KKH โรงพยาบาลขอนแก่นเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 เป็นต้นไป ถือเป็นการพัฒนาและก้าวสู่การเป็น Smart Hospital ที่มีคุณภาพและเป็นที่พึ่งด้านสุขภาพของประชาชนตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข" นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
**********************************3 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40645 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน” | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน”
จัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับกรมท่าอากาศยาน มีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) เข้าร่วมลงนามในพิธีดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ณ ห้องแกรนบอลรูม ชั้น G โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
การลงนาม MOU ในครั้งนี้ มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 23 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานส่วนกลาง ได้แก่ กรมอนามัย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กรมท่าอากาศยาน กรมควบคุมโรค กรมการขนส่งทางบก กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สมาคมโรงแรมไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมสายการบินประเทศไทย และหน่วยงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสงขลา จังหวัดอุดรธานี และเมืองพัทยา ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานกลุ่มการจัดประชุมและนิทรรศการและการท่องเที่ยวในเมืองอย่างปลอดภัย ด้านมาตรฐาน ด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้รับบริการ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานระบบบริการและสถานประกอบการต่าง ๆ ใน 10 เมืองซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพและความพร้อมในการจัดงาน ภายใต้กรอบและแนวทางความร่วมมือ โดยมีการส่งเสริม สนับสนุน ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานในกลุ่มจังหวัด ได้แก่ การประชุม สัมมนา การจัดการแสดงสินค้าและนิทรรศการ การท่องเที่ยว ใน 10 เมืองไมซ์ซิตี้ รวมถึงยกระดับมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสถานประกอบการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศน์ไมซ์ สนับสนุนและพัฒนาบุคลากร ด้านความรู้และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาด และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบการที่มีแนวทางปฏิบัติในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดี และสร้างความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างหน่วยงาน
นายสมเกียรติฯ กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของกรมท่าอากาศยาน จะให้ความร่วมมือในกรณีการเดินทางในอุตสาหกรรมไมซ์และระบบนิเวศน์ให้ปลอดภัยและเพียงพอ รวมทั้งมีมาตรการในการควบคุม กำกับติดตามการบังคับใช้มาตรการและแนวปฏิบัติสำหรับการเดินทางให้ปลอดภัย และจะดำเนินการเผยแพร่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ ทย. จำนวน 29 ทั่วประเทศ เพื่อให้การลงนามในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40611 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฝ้ารับเสด็จฯ | วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
เฝ้ารับเสด็จฯ
เฝ้ารับเสด็จฯ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เสด็จไปทรงงานโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี (เป็นการส่วนพระองค์)
วันศุกร์ที่2เมษายน2564สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดาพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติมหาวชิโรตตมางกูรสิริวิบูลยราชกุมารเสด็จทรงร่วมงานโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติจังหวัดกาญจนบุรี(เป็นการส่วนพระองค์)โดยมีนายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติจังหวัดกาญจนบุรีนายมนตรีเชื้อใจเกษตรจังหวัดกาญจนบุรีนางสาวอัลิปรียาสิริสิทธิ์สถาบันวิจัยพัฒนาพื้นที่สูงนางทิวาพรศรีวรกุลบริษัทประชารัฐนายไผทเจ้าของแปลงและคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้ารับเสด็จฯณแปลงของเกษตรกรบริเวณโรงเรียนบ้านกองม่องทะสาขาบ้านไล่โว่จังหวัดกาญจนบุรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40644 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งการ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานดูแลพื้นที่ชายแดน | วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564
นายกฯ สั่งการ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานดูแลพื้นที่ชายแดน
นายกฯ สั่งการ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานดูแลพื้นที่ชายแดน
วันนี้ (2 เมษายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ที่พักผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงต่อกรณีสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเมียนมา ซึ่งในโอกาสนี้ได้เชิญนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมชี้แจงกรณีนี้ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฝั่งเมียนมา ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้สั่งการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดน
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายในการทำงานให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้องได้แก่ กองทัพบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง บูรณาการการทำงานร่วมกัน ประเมินสถานการณ์ เตรียมแผนการดูแลกลุ่มผู้หนีภัยเข้าประเทศไทยตามแนวเขตพื้นที่ชายแดน ประเทศไทยมีประสบการณ์ในการดูแลกลุ่มผู้หนีภัยตามหลักมนุษยธรรม และหลักการสากล ตลอดจน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและให้จัดการดูแลตามหลักการทางสาธารณสุขเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทุกหน่วยงานได้ยึดถือปฏิบัติเป็นแนวทางในการทำงานมาตลอด โดยเฉพาะในส่วนของการดูแลผู้หนีภัย ซึ่งหลักการแรกที่รัฐบาลพิจารณาคือหลักการด้านมนุษยธรรม ไทยได้ช่วยเหลือ ดูแลผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างดีที่สุด
ในส่วนของการดูแลคนไทยในเมียนมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมความพร้อมในการดูแลช่วยเหลือคนไทย และประเมินสถานการณ์เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งซักซ้อมการดำเนินการให้สองคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานได้มีการรายงานมายังนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ
ด้านอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์ในเมียนมาโดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ดังนี้ 1. ท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่สบายใจอย่างมากต่อรายงานการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ทางการเมียนมาใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมากในการดำเนินการใด ๆ รวมถึงการคลี่คลายสถานการณ์ ยุติการใช้ความรุนแรง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวมากขึ้น และขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามร่วมกันหาทางออกโดยสันติวิธี ผ่านช่องทางที่สร้างสรรค์โดยเร็ว ประเทศไทยกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงเมียนมาเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนเมียนมาและเพื่อให้เมียนมากลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุดที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ เมียนมาที่มีสันติภาพ เสถียรภาพ ความเป็นปึกแผ่นและความเจริญรุ่งเรืองจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับเมียนมาแต่สำหรับอาเซียน ภูมิภาค และนอกภูมิภาคด้วย
2. การให้ความช่วยเหลือคนไทยในเมียนมา กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ว่าสถานการณ์ในกรุงย่างกุ้งยังมีการประท้วงและการปะทะกันเป็นจุด ๆ อย่างไรก็ดี ยังสามารถจัดหาอาหารและข้าวของต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ขาดแคลน กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง มีการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมช่วยเหลืออพยพคนไทยไว้อยู่แล้ว และมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ร่วมกับทีมประเทศไทย กรุงย่างกุ้ง รวมถึงผู้แทนชุมชนไทยและภาคธุรกิจไทยมีการประชุมหารือสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปรับปรุง ซักซ้อมแผนการอพยพคนไทยมาโดยตลอดให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและด้วยความรอบคอบรัดกุม
3. กรณีผู้หนีภัยความไม่สงบ ประชาชนชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงได้หนีภัยการสู้รบข้ามมาฝั่งไทยด้านอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นผลจากการปะทะในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมากับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) ไทยได้ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ในเมียนมาและบริเวณแนวชายแดนอย่างใกล้ชิดมาระยะหนึ่งแล้ว และได้มีการประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง สำหรับนโยบายต่อกลุ่มผู้หนีภัยเข้ามาในไทยนั้น ขอให้มั่นใจว่า ไทยมีประสบการณ์ในการรับมือกับกลุ่มต่าง ๆ ที่หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้านตามหลักมนุษยธรรมและหลักสากลระหว่างประเทศมาโดยตลอด
โดยในช่วงท้าย โฆษกรัฐบาลกล่าวเพิ่มเติมว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนจะได้รับข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเมียนมา เพื่อประเมินและเข้าใจสถานการณ์ในเมียนมาได้ดีขึ้น
...............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40628 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.