title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพบจุดความร้อนวานนี้ 682 จุด
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ไทยพบจุดความร้อนวานนี้ 682 จุด ไทยพบจุดความร้อนวานนี้ 682 จุด GISTDA เผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ของระบบเวียร์ (VIIRS) ไทยพบจุดความร้อนวานนี้ (19 ก.พ. 2566) จำนวน 682 จุด ในขณะที่จุดความร้อนของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ยังคงครองอันดับหนึ่งอยู่ที่ 1,729 จุด, กัมพูชา 517 จุด, สปป.ลาว 410 จุด, เวียดนาม 55 จุด และมาเลเซีย 11 จุด . สำหรับจุดความร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่พบในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 279 จุด ป่าสงวนแห่งชาติ 179 จุด พื้นที่เกษตร 86 จุด พื้นที่เขต สปก. 69 จุด ชุมชนและอื่นๆ 68 จุด และริมทางหลวง 4 จุด จังหวัดที่ พบจุดความร้อนมากที่สุดคือ #กาญจนบุรี 123 จุด, #อุตรดิตถ์ 60 จุด และ #เลย 55 จุด ตามลำดับ . ค่าฝุ่น PM2.5 เมื่อตรวจสอบจากแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” พบว่าหลายพื้นที่อยู่ระดับปานกลาง เว้นภาคกลางที่อยู่ระดับที่เริ่มมีผลต่อสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนออกจากบ้านควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจที่อาจจะตามมา . สิ่งหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังที่มักจะมากับเหตุการณ์ไฟป่าและจุดความร้อนคือ PM 2.5 สถานการณ์การจุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านอาจส่งผลให้เกิด PM 2.5 ได้ในพื้นที่บริเวณชายแดนเนื่องจากได้รับอิทธิ พจากประแสลมที่จะพัดผ่านเข้ามา ปัญหาไฟป่าหมอกควัน ส่งผลกระทบให้กับระบบต่างๆ ของประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยกำลังจะได้ ใช้ระบบ THEOS-2 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง 1 ในภารกิจสำคัญของระบบนี้ คือการสำรวจ วิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำ เพื่อการสนับสนุน ข้อมูลสำคัญให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำข้อมูลไปใช้วางแผน ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น . อย่างไรก็ตาม รายละเอียดข้อมูลเฉพาะพื้นที่ท่านสามารถติดตามจากหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบโดยตรงได้ GISTDA ยังคงติดตามและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลให้กับทุกหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องได้นำไปใช้บริหารจัดการในพื้นที่ ท่านสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://fire.gistda.or.th และควรติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65190
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส เยี่ยมชมโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC)
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดดีอีเอส เยี่ยมชมโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ปลัดดีอีเอส เยี่ยมชมโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) วันนี้ (20 ก.พ.66) ) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เยี่ยมชมโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ดำเนินการโดย สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลรองรับหน่วยงานรัฐให้เข้าถึงทรัพยากรด้านคลาวด์ด้วยมาตรฐานสากล โดยมี นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) และ ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจดิจิทัล บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับ ณ ศูนย์โทรคมนาคม นนทบุรี บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตยืนยันกรณีจับกุมสุราเถื่อน จ.แพร่ เป็นไปด้วยความชอบธรรม และปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 สรรพสามิตยืนยันกรณีจับกุมสุราเถื่อน จ.แพร่ เป็นไปด้วยความชอบธรรม และปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานสรรพสามิต สังกัดสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่ กรณีจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ขนสุราที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานสรรพสามิต สังกัดสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่ กรณีจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ขนสุราที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้รถจักรยานยนต์และเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของทางราชการ จนเป็นเหตุให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ โดยระบุว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ใช้รถของทางราชการพุ่งเข้าชน นั้น กรมสรรพสามิต ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ ก่อนวันเกิดเหตุสรรพสามิตพื้นที่แพร่ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีการขนสุราที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งลักลอบผลิตบริเวณป่าเขา เขตพื้นที่บ้านนาตอง ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ โดยจะใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการขนสุราที่ผลิตได้ และจะทำการขนในกลางคืน ประมาณเวลา 21.00 น. เป็นต้นไป โดยจะนำสุราซึ่งบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกที่มีปริมาณน้ำสุราประมาณ 25 ลิตร และห่อหุ้มด้วยถุงผ้า วางไว้บริเวณหว่างขาของผู้ขับ จะมาตามเส้นทางถนนช่อแฮ – นาตอง เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปในตำบลช่อแฮและตำบลใกล้เคียง สายตรวจสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่ จึงได้ร่วมกันวางแผนเข้าตรวจสอบจับกุม ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกำหนดจุดเพื่อทำการตรวจสอบ ณ บริเวณถนนสายช่อแฮ-นาตอง ห่างจากปากทางเข้าวัดพระธาตุดอยเล็ง ต.ช่อแฮ ประมาณ 150 เมตร ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีไฟฟ้าส่องสว่างข้างทางชัดเจน จนเวลาประมาณ 22.50 น. เจ้าพนักงานฯ ได้สังเกตเห็นรถจักรยานยนต์วิ่งตามกันมา 2 คัน สังเกตเห็นลักษณะตามที่ได้รับแจ้ง จึงได้ส่งสัญญาณไฟเพื่อให้หยุด เมื่อรถจักรยานยนต์ทั้ง 2 หยุดแล้ว เจ้าพนักงานฯ จึงได้แสดงตนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตขอตรวจสอบ โดยแยกกันตรวจสอบ คันแรก ผู้ขับขี่เป็นผู้หญิง คันที่สองผู้ขับขี่เป็นผู้ชาย ขณะทำการตรวจสอบรถคันที่สอง ผู้ขับขี่ได้เร่งเครื่องยนต์ย้อนกลับไปทางเดิม โดยมีเจ้าพนักงานฯ ได้พยายามคว้าจับรถจักรยานยนต์เพื่อให้หยุด แต่ไม่สามารถทำให้รถจักรยานยนต์หยุดได้ และทำให้ถุงผ้าขนาดใหญ่ จำนวน 1 ถุง ที่วางอยู่บริเวณหว่างขา ตกหล่นบนถนนห่างจากจุดหยุดรถประมาณ 6 – 8 เมตร เจ้าพนักงานฯ จึงวิ่งไล่ตามและส่วนหนึ่งได้ขับรถยนต์ราชการตามไปเพื่อแซงและส่งสัญญาณให้หยุด แต่ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของผู้กระทำผิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของทางราชการ บริเวณแก้มซ้ายและประตูหลังซ้ายของรถยนต์ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงและผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งบริเวณเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันห่างจากจุดตรวจสอบประมาณ 100 เมตร หลังจากนั้นเจ้าพนักงานฯ ได้เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและได้ตรวจสอบถุงผ้าขนาดใหญ่ทั้ง 2 ถุง ปรากฏว่าเป็นสุรากลั่นชนิดสุราขาว บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกห่อหุ้มด้วยถุงผ้า ส่วนผู้ขับขี่ผู้หญิงทราบชื่อภายหลัง ชื่อนางสายพิน แผ่นทอง เจ้าพนักงานฯ จึงแจ้งแก่นางสายพินฯ ว่าได้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และ แจ้งสิทธิตามกฎหมาย พร้อมนำตัวและของกลางส่งสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่ สาขาเมืองแพร่ เพื่อดำเนินการต่อไป และผู้มีอำนาจเปรียบเทียบคดีได้ทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 30,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงินเล่มที่ 00089 เลขที่ 46 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 คดีที่ 20/2566 ส่วนกรณีชายผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุทราบชื่อภายหลังชื่อนายสมบัติ แผ่นทอง ซึ่งมีบางสื่ออ้างว่าเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพยายามแก้ปัญหาโดยการนำผู้บาดเจ็บและจักรยานยนต์ชำรุดออกจากที่เกิดเหตุโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่นั้น กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยเจ้าพนักงานฯ ได้โทรศัพท์แจ้งหน่วยกู้ภัย ณ ที่เกิดอุบัติเหตุทันที เพื่อให้มารับตัวนายสมบัติฯ ไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลแพร่ โดยมีเจ้าพนักงานฯ ให้ความช่วยเหลือขึ้นติดตามไปกับรถกู้ภัยและอยู่ดูแลตั้งแต่เข้าห้องฉุกเฉิน จนนายสมบัติฯ ถูกส่งตัวขึ้นไปพักรักษาพยาบาลที่ตึกศัลยกรรมกระดูกชาย โรงพยาบาลแพร่ ในเบื้องต้นพบอาการบาดเจ็บที่บริเวณต้นขาซ้าย สำหรับพนักงานขับรถยนต์ราชการได้ไปพบพนักงานสอบสวน ที่สถานีตำรวจภูธรพระธาตุช่อแฮ ตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ เพื่อเข้าให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวน วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 01.50 น. หลังวันเกิดเหตุ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาประมาณ 09.30 น. ได้มีการนำรถยนต์ของทางราชการที่เกิดอุบัติเหตุไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองแพร่ เพื่อให้พิสูจน์หลักฐานจังหวัดแพร่ดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานการเกิดอุบัติเหตุ ร่องรอยการเฉี่ยวชนพร้อมรถจักรยานยนต์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตรวจยึดไว้ และเวลา 14.00 น. เจ้าพนักงานสรรพสามิตที่อยู่ในวันเกิดเหตุได้เดินทางไปชี้สถานที่เกิดเหตุ เพื่อจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมพนักงานสอบสวน ทางด้านการช่วยเหลือดูแลผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ได้รับบาดเจ็บนั้น ทางกรมสรรพสามิต ไม่ได้นิ่งดูดาย ได้มีเจ้าพนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่เข้าเยี่ยมด้วยความห่วงใย ณ โรงพยาบาลแพร่ พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานแจ้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ ให้ดูแลผู้บาดเจ็บได้ใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลจากประกันภัยด้วย เบื้องต้นจากการที่เจ้าพนักงานฯ ได้พูดคุยผู้ได้รับบาดเจ็บทราบว่า นายสมบัติฯ เคยเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ทำสุราชุมชนแต่ได้เลิกกิจการไปแล้ว ในส่วนของกลางสุรากลั่นบรรจุถุงพลาสติกและห่อหุ้มด้วยถุงผ้าที่ตกหล่นบนถนนนั้น ได้นำส่งสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่แพร่ สาขาเมืองแพร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป “กรมสรรพสามิต ขอยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานฯ ดังกล่าว เป็นไปตามหลักปฏิบัติในการเข้าตรวจสอบจับกุม และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทั้งได้ดูแลตามหลักมนุษยธรรมอีกด้วย อย่างไรก็ดี กรมสรรพสามิตขอย้ำเตือนว่า การผลิตสุราเถื่อนมีความผิดทางกฎหมาย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ จึงอยากรณรงค์ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ถูกต้อง” นายณัฐกร กล่าวสรุป หากผู้ใดพบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต หรือพบการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1713 หรืออีเมล์ [emailprotected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ส่งเสริมเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้และความมั่นคงเศรษฐกิจในชุมชน วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งส่งเสริมฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สร้างรายได้แก่ประชาชน ผ่านการคัดเลือกเทศกาลประเพณีทั่วประเทศที่โดดเด่น เพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีไทย (Festival) ไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล ขับเคลื่อน Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพ 5F (Food, Fight, Film, Fashion, Festival) โดยแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 16 ประเภท ซึ่งทั้ง 16 เทศกาลประเพณีที่ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ แสดงออกถึงวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด ส่งเสริมการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเผยแพร่ประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จัก ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชนและประเทศชาติ สำหรับเทศกาลที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 16 ประเภท ได้แก่ 1) ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จ.ปัตตานี 2) เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง จ.อุดรธานี 3) ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง จ.น่าน 4) ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก “มาฆบูชา อารยธรรมอีสาน” จ.ยโสธร 5) ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 6) เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art จ.นครราชสีมา 7) เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ ปราสาทศิลา “สด๊กก๊อกธม” จ.สระแก้ว 8) เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ จ.สกลนคร 9) เทศกาลอาหารอร่อย เมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร จ.ภูเก็ต 10) ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส จ.ชลบุรี 11) เทศกาล “นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี” จ.แม่ฮ่องสอน 12) ประเพณีตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา จ.สระบุรี 13) ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร จ.นครพนม 14) เทศกาลไทลื้อ “โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ” จ.พะเยา 15) เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ จ.เพชรบุรี และ 16) เทศกาลโคมแสนดวงที่เมืองลำพูน จ.ลำพูน “นายกรัฐมนตรีทราบถึงแผนการดำเนินงานการคัดเลือกเทศกาลประเพณีที่มีความโดดเด่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก เป็นการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย และสร้างมูลค่าให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนและยกระดับ Soft Power ของไทยด้านอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ และมีความโดดเด่น เพื่อสืบสาน ยกระดับประเพณีอันดีงามของไทย รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG เพื่อความยั่งยืน ตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (19 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้ร่วม ประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนารวมทั้งกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดสมุทรปราการ วัดบางนางเกรง ตำบลบางด้วน อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย วิทม สมใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางด้วน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 2. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดน้ำพุ ตำบลหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช พระครูสุวรรณวรเขต เจ้าคณะตำบลหัวเขา เจ้าอาวาสวัดน้ำพุ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชาตรี ฉิมพรัตน์ นายอำเภอเดิมบางนางบวช เป็ประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดปทุมธานี อำเภอลำลูกกา นางจินจณา โอสถธนากร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดปทุมธานี มอบหมายให้ นางพรอัปสร นิลจินดา พร้อมด้วย สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดปทุมธานี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมช่วยเหลือผู้พิการที่ด้อยโอกาสและให้กำลังใจในพื้นที่ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 4. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่บริษัท บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม นางมณีรัตน์ พรหมเขียว นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสงคราม มอบหมายให้ นางณัฐสุดา วงษ์สุวรรณ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสงคราม และสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสงคราม ออกรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เคลื่อนที่ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ว โดยมีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 28 ราย ได้รับปริมาณโลหิต 10,700 ซีซี 5. จังหวัดจันทบุรี ที่ศาลาธรรมรังษี วัดป่าคลองกุ้ง อำเภอเมืองจันทบุรี พลเรือตรี เทอดเกียรติ จิตต์แก้ว รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด พร้อมด้วย บุคลากรในสังกัด และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 6. กรุงเทพมหานคร ที่ศาลาสนิทวงศ์ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เขตปทุมวัน พระพรหมวชิราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา ประธานสงฆ์ พร้อมด้วย คณะสงฆ์วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดสระบุรี ที่พระอุโบสถวัดสมุหประดิษฐาราม พระอารามหลวง ตำบลสวนดอกไม้ อำเภอเสาไห้ พระครูสุธีปริยัติยาทร เจ้าอาวาสวัดสมุหประดิษฐาราม พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดสมุหประดิษฐารามและประชาชนในพื้นที่ ร่วมทำวัตรเย็น เจริญพระพุทธมนต์ บทโพชฌังคสูตร บำเพ็ญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย-สปสช. เพิ่มช่องทางใหม่ แจกถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด ผ่านแอปฯ เป๋าตัง
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 กรุงไทย-สปสช. เพิ่มช่องทางใหม่ แจกถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ สปสช. มอบสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กับโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย” บนแอปฯ เป๋าตัง เริ่มแล้ววันนี้ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ สปสช. มอบสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กับโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย” เพิ่มช่องทางให้บริการถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิด แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) กดรับสิทธิรับถุงยางอนามัย-ยาคุมกำเนิดฟรีผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง เริ่มแล้ววันนี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า สปสช. บรรจุ “บริการถุงยางอนามัยและยาเม็ดคุมกำเนิด” เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคซิฟิลิส โรคมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี หนองใน หนองในเทียม และเอดส์ เป็นต้น เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า และเพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) รับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้ง่ายขึ้น นอกจากไปขอรับที่หน่วยบริการแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสามารถขอรับผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ โดยเป็นความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการสิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค ในเมนูกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง ไม่เพียงแต่ดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองให้เข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด แต่ยังรวมถึงบริการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ ด้วย เช่น การใส่ห่วงอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นต้น “ที่ผ่านมา สปสช.มีความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขอรับชุดตรวจ ATK ผ่านแอปฯ เป๋าตัง การจองคิวเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในช่วงของการรณรงค์คือ พฤษภาคม-สิงหาคมของทุกปี รวมถึงบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในด้านต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของ สปสช.ได้ง่ายขึ้น” เลขาธิการ สปสช.กล่าว นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับชีวิตคนไทยในทุกมิติ ให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุขของประเทศ ตามแผนงานด้านการรักษาพยาบาลและสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) สามารถจองสิทธิรับถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง โดยเลือกทำรายการ “สิทธิสุขภาพดีป้องกันโรค” บนกระเป๋าสุขภาพ ระบบจะเปิดให้เลือกถุงยางอนามัยหรือยาคุมกำเนิดและเลือกหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลระบบบัตรทองที่พร้อมเปิดให้บริการแล้วกว่า 400 หน่วยบริการทั่วประเทศเพื่อติดต่อรับสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดอย่างทั่วถึงและเพียงพอทุกพื้นที่ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในกลุ่มวัยรุ่น ธนาคารสนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพของ สปสช.มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform เชื่อมต่อระบบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพื้นฐาน ตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของภาครัฐ ผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคยในปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้บริการเช็กสิทธิ นัดหมาย พร้อมยืนยันตัวตนผู้มารับบริการด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผ่านมาธนาคารร่วมกับ สปสช. เปิดบริการลงทะเบียนคัดกรองเพื่อรับชุดตรวจ ATK ให้กับประชาชนจำนวน 6.9 ล้านชุด ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเปิดบริการการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเพื่อดูแลประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง รวมถึงลงทะเบียนขอรับสิทธิบริการด้านคุมกำเนิด ผ่านกระเป๋าสุขภาพ ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของภาครัฐที่มอบให้คนไทยดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ยังมีแผนต่อยอดพัฒนาความร่วมมือกับ สปสช.ให้บริการการดูแลสุขภาพประชาชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขยายการบริการสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านกระเป๋าสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถกดรับสิทธิและเลือกหน่วยบริการหรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ กระเป๋าสุขภาพ ในแอปฯ เป๋าตัง หรือเช็กรายชื่อสถานพยาบาลได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/hospital สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน (เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การบริการวิชาการการจัดการความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน มุ่งเน้น 3 ด้านคือ การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนากำลังคน นำร่องด้วยฐานข้อมูลด้านคุณภาพน้ำประปาที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยี ในโรงเรียนพื้นที่ลำปางกว่า 100 แห่ง เพื่อสร้างนวัตกรคุณภาพน้ำ 100 คน รวมถึงนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปางกว่า 270 ครัวเรือน ด้วยเป้าหมาย 2 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดโรค ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาด เพิ่มคุณภาพน้ำและคุณภาพชีวิต ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ขับเคลื่อนไทยด้วยนโยบาย BCG เพื่อสร้างความเข้มแข็งสำหรับเศรษฐกิจฐานราก” ว่า นับเป็นวันที่เฝ้ารอคือ การทำข้อตกลงระหว่าง สวทช. ที่เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่และมีผลกระทบในระดับสูงของประเทศ เทียบเคียงต่างชาติได้อย่างดี กับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางที่ก่อนหน้านี้ เราได้ปฏิรูปมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ให้มีความโดดเด่นในแง่ของการมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยสาระสำคัญในวันนี้มี 2 เรื่องคือ การบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะการบำบัดน้ำเสียด้วยองค์ความรู้ทางเคมี และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่สร้างองค์ความรู้ด้านการวิจัยขั้นสูงและหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเชิงพื้นที่ โดยเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ โดยเพาะการบำบัดน้ำเสียด้วยองค์ความรู้ทางเคมีนั้น เราจะเห็นว่า ปกติการบำบัดน้ำเสียจะใช้ระบบกรองต่างๆ ซึ่งบางครั้ง ก็จำเป็นต้องใช้ไส้กรองพิเศษ อาทิ เซรามิก ซึ่งเป็นเคมีขั้นสูงมาช่วยแก้ปัญหาสารปนเปื้อนต่างๆ ที่ระบบกรองธรรมดาอาจจะไม่เพียงพอ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะปัญหาสำคัญของไทยคือ คุณภาพน้ำ ที่แม้เราจะมีน้ำมากจนบางครั้งเกิดน้ำท่วม หรือเกิดภาวะน้ำแล้งสลับกัน ก็จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค “ความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เชื่อได้ว่าจะเป็นการนำ "ความรู้สู่การปฏิบัติ" ที่เห็นภาพชัดเจน ที่ผ่านมาไทยเรามีการนำความรู้สู่การปฏิบัติไม่มากนัก แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับวิชาเคมีที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน และไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ได้อย่างไร การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการนำองค์ความรู้ด้านเคมีทั้งอินทรีย์และอนินทรีย์มาต่อยอดใช้ประโยชน์ในแง่การบริหารจัดการน้ำที่สำคัญอย่างมาก และอยากให้ต่อยอดเรื่องของน้ำเพื่อการบริโภค โดยเฉพาะเรื่องของการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในแต่ละพื้นที่เพื่อดูความเสี่ยงต่อสุขภาพ ที่จะสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปขยายผลเพื่อดูความเสี่ยงเชิงสุขภาพ ร่วมกับหน่วยงานทางการแพทย์ต่อไป” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนกกล่าว สาระสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. หน่วยงานที่สร้างองค์ความรู้ด้านการวิจัยขั้นสูง หรือเรียกว่า เป็น Scientific Partner และ มรภ.ลำปาง ในฐานะหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเชิงพื้นที่ ทำงานเป็น Local Partner ร่วมกันนำองค์ความรู้ด้านเคมีสู่การปฏิบัติใช้จริงในพื้นที่ เกิดการพัฒนา ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ภายในท้องถิ่น เชื่อว่า จากความร่วมมือนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก และอยากให้มีโอกาสแบบนี้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอื่นๆ อีก โดยอยากให้ได้มาเยี่ยมชม สวทช. เพื่อนำสู่ความร่วมมือที่จะนำความรู้สู่การปฏิบัติในมิติอื่นๆ ต่อไป ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.กล่าวว่า สวทช. พร้อมเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จาก วทน. ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด โดยอาศัยความสามารถของบุคลากรวิจัย ความพร้อมทางด้านเครื่องมือของ สวทช. ไปเสริมสร้างระบบวิจัยของประเทศให้เข้มแข็งโดยทำงานร่วมกับภาคเอกชน หน่วยวิจัย มหาวิทยาลัย รวมทั้งมหาวิทยาลัยในเชิงพื้นที่อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง “ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การบริการวิชาการการจัดการความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมวิจัยและพัฒนาเพิ่มความเข้มแข็งทางวิชาการ การพัฒนากำลังคนและจัดการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่นำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน จะเป็นการตอกย้ำความร่วมมือของหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ที่ สวทช. จะร่วมกันดำเนินการขับเคลื่อนจังหวัดการพัฒนาด้านการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) กรอบความร่วมมือดำเนินงานวิจัยและพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร ร่วมแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการ และร่วมกันพัฒนาบุคลากร พัฒนาหลักสูตรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือที่กล่าวไปข้างต้นนั้น โครงการนำร่องที่จะเกิดขึ้นมี 3 ด้านคือ ด้านการพัฒนากำลังคน ที่นักวิจัยนาโนเทค ร่วมพัฒนาหลักสูตรและอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเคมี ในรูปแบบ Cooperative and Work Integrated Education (CWIE) ในปี 2565 ที่ผ่านมา, ด้านการเกษตร โดยทำโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรการเกษตรโดยการใช้ชุดทดสอบสารตกค้าง GT-Pesticide Residual test kit เพื่อตรวจสอบคุณภาพผลผลิตเกษตรปลอดภัย และเทคนิคการขยายสารชีวภัณฑ์คุณภาพ และการพัฒนาจุดเรียนรู้ด้านเกษตรปลอดภัยและเกษตรอัจฉริยะ ที่บ้านสัก ต.บ้านเอื้อม ส่วนด้านบริหารจัดการน้ำนั้น จะเป็นการร่วมดำเนินการโครงการการตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคด้วยวิทยาศาสตร์ (โครงการบูรณาการน้ำ ปี 2566) ได้แก่ โครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านคุณภาพน้ำประปาที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยีสำหรับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดลำปาง และโครงการนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยี “เป้าหมายคือ ฐานข้อมูลคุณภาพน้ำในพื้นที่โรงเรียนของจังหวัดลำปางมากกว่า 100 โรงเรียน สร้างนวัตกรพัฒนาคุณภาพน้ำ 100 คน รวมถึงนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปางกว่า 270 ครัวเรือน ที่นำสู่คุณภาพน้ำที่มีมาตรฐาน น้ำประปาหมู่บ้านสำหรับชุมชน พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการขยายผลการพัฒนาฐานข้อมูลและคุณภาพน้ำโดยอาศัยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการพัฒนากำลังคน ตามเป้าหมาย 2 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดโรค ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาด เพิ่มคุณภาพน้ำและคุณภาพชีวิต” ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ ย้ำ รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ สมุทธารักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง(มรภ.ลำปาง)กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางเป็นมหาวิทยาลัยที่มีพันธกิจ ตามยุทธศาสตร์ราชภัฏ โดยเน้น การพัฒนาท้องถิ่น การผลิตบัณฑิตและการยกระดับการศึกษา ซึ่งยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนานในจังหวัดลำปางและจังหวัดลำพูน รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง โดยเน้นการยกระดับรายได้และคุณภพชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดการฐานข้อมูล และการบูรณาการฐานภูมิปัญญาจนเกิดองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาชุมชนควบคู่กับการพัฒนาบัณฑิต มีความรู้โดดเด่นเชิงพื้นที่ กระบวนการการทำงานเชิงพื้นที่เป็นการยอมรับในระดับจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและครูระดับโรงเรียน จากที่มรภ.ลำปาง มีความสนใจในความร่วมมือกับสวทช. ที่รู้กันดีว่า เป็นหน่วยงานที่นำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกันของศูนย์ทั้ง 5 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) มุ่งพัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) มุ่งพัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ จุดเริ่มต้นความร่วมมือของสองหน่วยงานความร่วมมือปี 2555-2564 การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรสู่ชุมชน กลุ่มเกษตรกร 5 กลุ่ม ในพื้นที่จังหวัดลำปาง และในงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการพัฒนาการผลิตน้ำสะอาดในชุมชน โดยเทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำ: ชุมชนบ้านป่าสัก ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จากงบประมาณวิจัย วช.งบประมาณ พ.ศ. 2566 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยได้มีโครงการร่วมมือ แผนบูรณาการน้ำ ปี 2566 สำหรับความคาดหวังที่มีต่อความร่วมมือรองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ เผยว่า มี3 เรื่องคือความร่วมมือ จะนำไปสู่การพัฒนาด้านการวิจัยร่วมกัน เช่น การพัฒนาโจทย์วิจัยเพื่อขอทุน, การพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เป็นการร่วมกันพัฒนาหลักสูตร การเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์และข้อมูลทางวิชาการ เป็นการส่งเสริมนักศึกษา และบุคลากรไปแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงาน “มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นหน่วยงานในการอำนวยการเชิงพื้นที่ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชี้เป้าประเด็นปัญหา รวมถึงรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ชุมชน โดย บุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จะรับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก สวทช. ดังเช่นที่ คณะวิทยาศาสตร์รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเคลือบเซรามิกแบบซิลเวอร์นาโนสำหรับฆ่าเชื้อในระบบกรองน้ำชุมชนจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. การพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน เช่น หลักสูตรวิทยาศาสตร์ เคมี ที่มีการแต่งตั้งอาจารย์ประจำหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยร่วม การจัดการและสนับสนุนทรัพยากร เช่น การใช้ทรัพยากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกัน” อธิการบดี มรภ.ลำปาง ชี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วช. จัดงาน “วันนักประดิษฐ์ 2566” ยิ่งใหญ่ โชว์สิ่งประดิษฐ์ของไทยและนานาชาติ ประชัน กว่า 1,000 ผลงาน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 วช. จัดงาน “วันนักประดิษฐ์ 2566” ยิ่งใหญ่ โชว์สิ่งประดิษฐ์ของไทยและนานาชาติ ประชัน กว่า 1,000 ผลงาน วช. จัดงาน “วันนักประดิษฐ์ 2566” ยิ่งใหญ่ โชว์สิ่งประดิษฐ์ของไทยและนานาชาติ ประชัน กว่า 1,000 ผลงาน 2 กุมภาพันธ์ “วันนักประดิษฐ์” สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะหน่วยงานกลางด้านการวิจัยและการประดิษฐ์ ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นเพื่อสนับสนุนผลงานสู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับนักประดิษฐ์ นักวิจัยไทยพร้อมก้าวสู่เวทีในระดับโลก การจัดงาน “วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566” (Thailand Inventors’ Day 2023) ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 24 เพื่อน้อมรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ การทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” แด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร“พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” และยังเป็นเวทีสำคัญระดับชาติและนานาชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ในด้านการประดิษฐ์คิดค้นต่อการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพออกสู่สายตาคนไทยและประชาคมโลก ในปีนี้มีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจากนักประดิษฐ์ไทยและนานาชาติส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 1,000 ผลงาน บนพื้นที่กว่า 17,000 ตารางเมตร โดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเข้าสู่งานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 พร้อมปาฐกถาพิเศษ “ชาติไทยมีนวัตกรรมหรือไม่” พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ผู้บริหาร อว. ผู้บริหารหน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ วช. และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00-17.00 น. ณ อีเว้นท์ ฮอลล์ 100-102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ชาติไทยมีนวัตกรรมหรือไม่” ว่า "ชาติไทยมีนวัตกรรมหรือไม่" ตอบได้เลยว่ามี ถ้าดูเฉพาะหน้าปัจจุบันมองไปถึงอนาคตจะเห็นว่าทุกวันนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม เวลานี้เรามีนวัตกรรมหลายอย่างทั้งในแง่วิทย์มารวมกับศิลป์ ของเก่ามารวมกับของใหม่ ซึ่งนี่ก็คือนวัตกรรม นวัตกรรมคือ การทำอะไรให้เกิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของใหม่ สินค้าใหม่ บริการใหม่ วิธีการใหม่หรือกระบวนการใหม่ เพราะฉะนั้นจึงเน้นไปที่คำว่าใหม่ คำนี้อาจจะทำให้นึกไปถึง 3 คำที่ว่า ปรับเปลี่ยน ปฏิรูป เปลี่ยนจากเก่าไปเป็นใหม่อย่างเป็นระบบและทำไม่กี่เรื่อง แต่ผลที่ได้จะกระจายไปยังแทบทุกเรื่อง โดยทำด้วยสันติวิธี และปฏิวัติ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คำนึงถึงของเก่า ต้องการสร้างสิ่งใหม่อย่างเป็นระบบ คำว่านวัตกรรมจึงใกล้เคียงกับ 3 คำนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีคำว่า disruption ซึ่งใกล้เคียงกับคำว่าปฏิวัติ แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรง ไม่มีนัยยะทางการเมืองมากนัก แต่มีความหมายหนักไปทางเรื่องเทคโนโลยี สำหรับเรื่องเทคโนโลยีของโลกในเวลานี้ทำให้เกิดการที่เปรียบเสมือนการปฏิวัติ บางเรื่องที่เรา disruption ของเก่าหายไปเฉยๆ เลย เช่น สมัยก่อนมีกล้องที่ใช้ฟิล์ม แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกล้องแบบดิจิทัล ซึ่งตอนนี้ทำให้คิดได้ว่าบางงานในเรื่องที่เราทำยังมี disruption มีนวัตกรรมไม่พอ ถึงต้องพยายามรับเอาแนวคิดจากตะวันตกเข้ามาแบบง่าย แต่เรานำมาแบบง่ายๆ เราจะต้องพยายามปรับปรุงตรงนี้ต่อไป วันนี้อยากจะชวนให้คิดว่าชาติไทยของเรามีนวัตกรรมมาตลอด คนไทยเก่งสามารถเป็นนักประดิษฐ์ได้ พร้อมทั้งยังเป็นศิลปินในตัว ซึ่งเก่งทั้งวิทย์และศิลป์ นวัตกรรมของไทยนำเอาความหลากหลายจากนานาประเทศเข้ามา และเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราทำนวัตกรรมขั้นสำคัญคือ การนำเอา 3 กระทรวงเข้ามารวมกัน กลายมาเป็นกระทรวง อว. ที่ใหญ่มาก ซึ่งการทำงานในแต่ละด้านที่ผ่านมาถือว่าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำเป็นอย่างดีเยี่ยม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวทิ้งท้าย ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า การจัดงาน “วันนักประดิษฐ์ หรือ Thailand Inventors’Day ถือว่าเป็นเวทีของนักประดิษฐ์ไทยและนักประดิษฐ์จากนานาชาติ ที่เปิดโอกาสให้นำผลงานมาจัดแสดงและเผยแพร่ผลงานเพื่อนำเสนอองค์ความรู้ความสามารถออกสู่สาธารณชน ให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์แบบบูรณาการ สู่การสร้างแรงจูงใจให้แก่เยาวชนและนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ภายในงานได้จัดให้มีการมอบรางวัลการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแสดงความยินดีกับนักประดิษฐ์และนักวิจัยทุกท่าน ที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ปี 2566 รวมถึงการมอบเกียรติบัตรและเหรียญรางวัลให้กับนักประดิษฐ์และนักวิจัยจากนานาชาติเป็นการแสดงความชื่นชมในความรู้ ความสามารถ ในการศึกษาวิจัย การประดิษฐ์คิดค้นจนประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านวิชาการ วิทยาการสู่การนำไปใช้ประโยชน์ ของนักประดิษฐ์และนักวิจัยของไทย และจะก่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากร สู่การยกระดับคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมให้ก้าวสู่โลกยุคใหม่ อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภายในงานจัดให้มี นิทรรศการ “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” และ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ นิทรรศการผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ นิทรรศการผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นที่ได้รับรางวัลจากนานาชาติ จำนวน 110 ผลงาน นิทรรศการนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ จำนวน 29 ผลงาน นิทรรศการสิ่งประดิษฐ์สร้างมูลค่า นิทรรศการพื้นที่เรียนรู้กับนวัตกรรมโดรน ขบวนการผู้พิทักษ์ป่าไม้ ขุมทรัพย์ป่าชายเลน นิทรรศการ U2T นิทรรศการสิ่งประดิษฐ์สู่นวัตกรรม นิทรรศการนักประดิษฐ์วิจิตรศิลป์ นิทรรศการจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ นิทรรศการสิ่งประดิษฐ์สู่การใช้ประโยชน์จากหน่วยงานเครือข่าย 6 กลุ่มเรื่อง จำนวน 249 ผลงาน ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง ด้านการเกษตรเพิ่มมูลค่า ด้านอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ด้านนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ด้านนวัตกรรมสังคมผู้สูงวัยและผู้พิการ และด้านนวัตกรรมสีเขียว มหกรรมสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมนานาชาติ จำนวน 470 ผลงาน จาก 24 ประเทศ อาทิ แคนาดา จีน โครเอเชีย ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์โปแลนด์ โรมาเนีย รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ซูดาน ไต้หวัน อังกฤษ เวียดนาม อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น การประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติ : โครงการ Bangkok International Intellectual Property, Invention and Technology Exposition (IPITEx) การประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับเยาวชน โครงการ Thailand New Gen Inventors Awards 2023 : I-New Gen Award 2023 มาร่วมจัดแสดงจำนวน 446 ผลงาน ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาจำนวน 245 ผลงาน ระดับอาชีวศึกษา จำนวน 103 ผลงาน และ ระดับอุดมศึกษาจำนวน 98 ผลงาน และยังจัดให้มีการเสวนาและฝึกอบรมอาชีพในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ นอกจากนี้ภายในงานยังจัดให้มีตลาดสินค้าและนวัตกรรมอย่างครบครันมาให้ได้เลือกชมและเลือกซื้ออีกด้วย ขอเชิญชวนทุกท่านผู้มีความสนใจเข้าร่วมชมงาน “วันนักประดิษฐ์ 2566” (Thailand Inventors’ Day 2023) ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00-17.00 น. ณ อีเวนท์ ฮอลล์ 100-102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา หรือ สามารถชมงานผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ “อนุทิน” ประชุมร่วมกับเครือข่ายธุรกิจเอกชนดึงความร่วมมือหนุนไทยเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 รองนายกฯ “อนุทิน” ประชุมร่วมกับเครือข่ายธุรกิจเอกชนดึงความร่วมมือหนุนไทยเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand รองนายกฯ “อนุทิน” ประชุมร่วมกับเครือข่ายธุรกิจเอกชนดึงความร่วมมือหนุนไทยเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้(20 ก.พ.) เวลา 14.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานในการประชุมความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand โดยมีนางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) หรือ TCEB และผู้บริหารภาคเอกชนเข้าร่วม ณ ห้อง Plenary Hall 1 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อหาแนวทางความร่วมมือกับเครือข่ายทางธุรกิจของเอกชนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากองค์การนิทรรศการนานาชาติ Bureau International des Expositions(BIE) ตลอดจนสมาชิก BIE ทั้ง 171 ช่วยให้ประเทศไทยได้รับชัยชนะเป็นเจ้าภาพงาน Expo 2028 Phuket Thailand ซึ่งไทยแข่งขันการเป็นเจ้าภาพกับอีก 4 ประเทศจากทวีปอเมริกา และยุโรป ประกอบด้วยสหรัฐฯ (มลรัฐมินิโซตา) อาร์เจนตินา (เมืองซาน คาร์ลอส เดอ บาริโลเช่) เซอร์เบีย (เมืองเบลเกรด) และสเปน (เมืองมาลาก้า) ระหว่างการประชุม นายอนุทิน ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย สำหรับการเป็นตัวแทนภูมิภาคเอเชียเพื่อเข้าแข่งขันเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ (Specialised Expo) ว่า ช่วง 8เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดภูเก็ต สสปน. และหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันเตรียมการในเรื่องนี้อย่างเป็นเอกภาพ โดย BIE เข้ามาตรวจสอบสถานที่จัดงานและความพร้อมของไทย และมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่ในขั้นตอนการหาเสียงให้ประเทศสมาชิกของ BIE ทั้ง 171 ประเทศ ให้ลงคะแนนเสียงโหวตให้ประเทศไทย ซึ่งการตัดสินจะมีขึ้นในเดือนมิ.ย. 66 นี้ พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงศักยภาพในมิติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นเจ้าภาพของไทยโดยเฉพาะการเป็นโอกาสเสนอทางออกให้กับสถานการณ์ต่างๆของโลกโลกในปัจจุบัน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และเรื่องโลกร้อน ด้วยดึงผู้เข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการนำเสนอแนวคิดครอบคลุมมิติในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการแบ่งปัน ภายใต้ธีม Future of Life; Living in Harmony, Sharing Prosperity นายอนุทิน กล่าวว่า ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยมีทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการพัฒนาเมือง ด้านการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย และด้านการบริหารและพัฒนาพื้นที่หลังการจัดงาน โดยในระยะเวลา 90 วันของการจัดงานคาดว่าผู้เดินทางเข้ามาดูงานประมาณ 5 ล้านคน และทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และเมื่องานสิ้นสุดลง สถานที่จัดงานก็จะกลายเป็นศูนย์สุขภาพระดับนานาชาติ เป็นแหล่งธรรมชาติ และเป็นสถานที่ประชุมนานาชาติแห่งใหม่ของไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และนักธุรกิจต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ระหว่างการประชุมผู้บริหาร TCEB ได้ให้ข้อมูลการดำเนินการของประเทศไทยในขั้นตอนต่างๆ ต่อเครือข่ายเอกชนต่างชาติ โดยกิจกรรมที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. นี้คือ การจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand Symposia ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งจะเป็นโอกาสการนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยต่อคณะกรรมการ และประเทศสมาชิก BIE ทางด้านผู้บริหารภาคเอกชนได้นำเสนอแนวทาง รวมถึงรูปแบบความร่วมมือและการสนับสนุนให้ประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand ในครั้งนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจ้งข่าวดี หารือ “เมียนมา” สำเร็จ เปิดด่านสะพาน 1 ท่าขี้เหล็ก ได้แล้วตั้งแต่เช้าวันนี้ ชี้ ช่วยเกิดการค้าขาย-กระตุ้นเศรษฐกิจ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจ้งข่าวดี หารือ “เมียนมา” สำเร็จ เปิดด่านสะพาน 1 ท่าขี้เหล็ก ได้แล้วตั้งแต่เช้าวันนี้ ชี้ ช่วยเกิดการค้าขาย-กระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจ้งข่าวดี หารือ “เมียนมา” สำเร็จ เปิดด่านสะพาน 1 ท่าขี้เหล็ก ได้แล้วตั้งแต่เช้าวันนี้ ชี้ ช่วยเกิดการค้าขาย-กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า จากที่ตนได้หารือกับ พลตรี ซิน มีน ทัก รองรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีตำรวจเมียนมา เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ขณะปิดการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ “อินทรีย์ 19” โดยขอให้มีการเปิดด่านพรมแดนไทย-เมียนมา สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อให้เกิดการค้าขาย และกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้กลับมาคึกคักเหมือนเดิม นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ล่าสุด นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เดินทางไปร่วมประชุมทวิภาคี ไทย-เมียนมา เรื่องความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ 19-23 ก.พ. ก็ได้มีโอกาสหารือเพิ่มเติมกับ พลตรี ซิน มีน ทัก ถึงการขอให้เปิดด่านพรมแดนไทย-เมียนมา ซึ่งทางการเมียนมา ได้เข้าใจ และเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้เปิดด่านพรมแดน จึงมีการสั่งการให้เปิดด่านพรมแดน ไทย-เมียนมา สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 หรือ ด่านสะพาน 1 ท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่เช้าวันนี้ทันที เพื่อให้ประชาชนไปมาหาสู่และมีการค้าขายกัน “ผมขอขอบคุณเมียนมา ที่ได้สั่งการเปิดด่านสะพาน 1 ท่าขี้เหล็ก ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นผลดีกับทั้ง 2 ประเทศ ที่จะเกิดการค้าขายร่วมกัน โดยนอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยให้ภาคธุรกิจฟื้นตัวเร็วขึ้นอีกด้วย ผมรู้สึกดีใจแทนพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ที่จะสามารถกลับมาค้าขาย ไปมาหาสู่กันได้อย่างคึกคักเช่นเดิม เพราะตลอดการลงพื้นที่ ผมมักได้รับเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน ให้ช่วยผลักดันเปิดด่านพรมแดน เพื่อช่วยให้ทำมาหากินได้ รวมถึงจะเป็นการช่วยสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ จึงนับว่า เป็นข่าวดี ที่สามารถเปิดด่านพรมแดนได้สำเร็จ” รมว.ยุติธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on February 14, 2023.
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 The cabinet met on February 14, 2023. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Announcement of National Tourism Policy Committee on Imposition of Tourist Entry Fee on Foreign Travelers, B.E. … The cabinet approved the followings: Approved in principle the draft Announcement of National Tourism Policy Committee on Imposition of Tourism Entry Fee on Foreign Travelers, B.E. …, as proposed by National Tourism Policy Committee. Assigned the Royal Thai Police (the Immigration Office) to amend Ministerial Regulations prescribing criteria, procedures and conditions for obtaining visa, and other related laws issued under the Immigration Act, B.E. 2522 Gist This announcement prescribes imposition of entry fee on foreign tourists at the following rates: Traveling by air: 300 Baht/person/entry Entering through land border and waterway: 150 Baht/person/entry Fee collection shall be exempted forDiplomatic or Official Passport holders, and foreigners/migrant workers with work permit, transit passengers, babies and toddlers not over 2 years old, and others as specified by the Committee. Announcement of National Tourism Policy Committee on Imposition of Tourist Entry Fee on Foreign Travelers, B.E. …,shall take effect 90 days after being announced in the Royal Gazette. Title: Draft Ministerial Regulation No. … (B.E. …) issued under the Factory Act, B.E. 2535 The cabinet approved in principle the draft Ministerial Regulation No. … (B.E. …) issued under the Factory Act, B.E. 2535, as proposed by Ministry of Industry. Gist The draft Ministerial Regulation No. … (B.E. …) issued under the Factory Act, B.E. 2535 requires factories that produce wastes or unused products, and operators of waste/unused product treatment and disposal factories to report concerned authorities on the detail of waste and unused products in accordance with rules, procedures and conditions prescribed by the Minister of Industry. Title: Report on Road Accidents During the New Year Holidays 2023 The cabinet acknowledged the report on road accidents during the New Year Holidays 2023 following the implementation of road accident prevention and reduction operation for New Year Holidays (December 29, 2022 – January 4, 2023). Gist Road accident statistics during the New Year Holidays 2023 (7 days) Number of accidents (case) Number of injuries (person) (admit) Number of casualties (person)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. จัดกิจกรรม นำ SubPAC เยี่ยมชมกิจการลูกค้า บสย. พื้นที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 บสย. จัดกิจกรรม นำ SubPAC เยี่ยมชมกิจการลูกค้า บสย. พื้นที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน บสย. นำคณะอนุกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ สาขาสถาบันการเงิน ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่และ จ.ลำพูน เยี่ยมชมกิจการผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของ บสย. จำนวน 2 ราย นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นำคณะอนุกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ สาขาสถาบันการเงิน (Performance Agreement Sub-Committee : SubPAC) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน เยี่ยมชมกิจการผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของ บสย. จำนวน 2 ราย โดยมี นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ สาขาสถาบันการเงิน (SubPAC) พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการ และหน่วยงานกำกับดูแล ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2566 สำหรับการเยี่ยมชมกิจการลูกค้า บสย. นั้น เพื่อศึกษาประสบการณ์การเริ่มต้นธุรกิจ จนประสบความสำเร็จ ซึ่ง บสย. ได้ให้การสนับสนุนด้านการค้ำประกันสินเชื่อจนเติบโตและพัฒนากิจการอย่างต่อเนื่อง จนก้าวสู่ตลาดโลก โดยบริษัทที่ บสย. และคณะ SubPAC เยี่ยมชมกิจการมี จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย บริษัท เอ็กซา ซีแลม จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตทันตกรรมเทียม หรือฟันปลอมที่มีนวัตกรรมและขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีนวัตกรรมการผลิตและส่งให้กับคลินิกทันตกรรม โรงพยาบาล ทั้งในประเทศและส่งออก บริษัท โกลด์มิลค์ฟาร์ม จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ และยูเอชที ภายใต้แบรนด์ “GOLD MILK GUERNSEY” เป็นฟาร์มผลิตน้ำนมโคสายพันธุ์เกิร์นซีย์ ซึ่งเป็นโคนมสายพันธุ์เก่าแก่และหายาก มีองค์ประกอบของน้ำนมและสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำนมจากโคนมสายพันธุ์ทั่ว ๆ ไป แห่งแรกในประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่ง บสย. สนับสนุนและเข้าไปเติมเต็ม โดยให้การค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ จนมีความเข้มแข็ง เติบโต สามารถขยายธุรกิจได้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมที่ดินเตือนภัย! ระวังมิจฉาชีพใช้โฉนดปลอมหลอกกู้เงิน พร้อมแนะวิธีสังเกตโฉนดเบื้องต้น ถ้าให้ชัวร์ ไปตรวจที่สำนักงานที่ดินทั่วประเทศได้
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ​กรมที่ดินเตือนภัย! ระวังมิจฉาชีพใช้โฉนดปลอมหลอกกู้เงิน พร้อมแนะวิธีสังเกตโฉนดเบื้องต้น ถ้าให้ชัวร์ ไปตรวจที่สำนักงานที่ดินทั่วประเทศได้ ​กรมที่ดินเตือนภัย! ระวังมิจฉาชีพใช้โฉนดปลอมหลอกกู้เงิน พร้อมแนะวิธีสังเกตโฉนดเบื้องต้น ถ้าให้ชัวร์ ไปตรวจที่สำนักงานที่ดินทั่วประเทศได้ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการหลอกลวงประชาชนได้แยบยลมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะมีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ ล่าสุด กรมที่ดินได้แจ้งเตือนภัย มิจฉาชีพใช้โฉนดที่ดินปลอมเป็นหลักประกันหลอกกู้เงิน ซึ่งโฉนดที่ดินปลอมมีความใกล้เคียงกับฉบับจริงมาก จึงขอแจ้งประชาชนหรือบริษัทที่ประกอบการปล่อยเงินกู้ให้เพิ่มความระมัดระวัง การพิมพ์โฉนดที่ดินสำหรับออกเป็นเอกสารสิทธิให้แก่เจ้าของที่ดินนั้น กรมที่ดินจะจัดทำโฉนดที่ดินในหนึ่งแปลงมี 2 ฉบับ ซึ่งเรียกว่า 1 คู่ฉบับ โดยที่ฉบับหนึ่งเป็นครุฑที่ไม่มีสี แต่จะเขียนด้านข้างว่า ฉบับสำนักงานที่ดิน อีกฉบับหนึ่งจะเป็นครุฑที่มีสี ไว้ให้เจ้าของที่ดินถือไว้ ทั้ง 2 ฉบับนี้จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินทุกอย่างตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแปลงที่ดิน ชื่อผู้ถือ เลขที่โฉนด ทุกอย่างจะมีข้อความเหมือนกัน สำหรับวิธีสังเกตโฉนดที่ดินฉบับจริงเบื้องต้น มีดังนี้ 1.ขนาดรูปแบบลักษณะของครุฑ เมื่อพิมพ์สีแดงทับแล้ว จะต้องเห็นลายเส้นสีดำของครุฑชัดเจนเหมือนของกรมที่ดิน 2.เมื่อยกโฉนดที่ดินขึ้นส่องกับแสงจะเห็นลายน้ำรูปครุฑ มีเส้นผ่าศูนย์กลางวงกลม 10 เซนติเมตร ส่วนตัวอักษรข้อความ "กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย" จะเป็นแนวโค้งตามรูปวงกลมยาว 10.5 เซนติเมตร 3.เนื้อกระดาษมีเส้นใยไหมสีฟ้า สีแดงอมม่วง โรยในเนื้อกระดาษ ความยาว 0.3-1.5 เซนติเมตร โดยเส้นใยไหมดังกล่าวจะมีลักษณะบางส่วนจมอยู่ในเนื้อกระดาษ และบางส่วนลอยอยู่บนผิวกระดาษ 4.เลขที่แบบพิมพ์เป็นตัวเลขอารบิคแบบโกธิค ความสูงตัวเลข 3/16 นิ้ว 5.เลขปีที่จัดพิมพ์เป็นเลขไทย 6.กระดาษเป็นสีครีมที่มีเนื้อเยื่อภายในกระดาษเป็นสีครีมเหมือนผิวภายนอก ทั้งนี้ การทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินไม่ว่าจะเป็นการรับจำนอง จำนำ และต้องการรู้ว่าโฉนดที่ดินเป็นของจริงหรือไม่ สามารถนำโฉนดที่ดินไปที่สำนักงานที่ดินทั่วประเทศ เพื่อตรวจสอบได้ หรือสอบถามขอคำแนะนำได้ที่ กองการพิมพ์ กรมที่ดิน โทรศัพท์ 0-2448-5711 "รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ หากเป็นการแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐ โดญเฉพาะเรื่องเอกสารสำคัญต่างๆ ขอให้ทำการตรวจสอบให้แน่ชัด เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีและมิจฉาชีพ" นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองนครศรีฯ เปิดอบรมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต้านยาเสพติด มุ่งส่งเสริมบทบาทผู้นำหมู่บ้าน/ชุมชน ผนึกกำลังป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 พ่อเมืองนครศรีฯ เปิดอบรมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต้านยาเสพติด มุ่งส่งเสริมบทบาทผู้นำหมู่บ้าน/ชุมชน ผนึกกำลังป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างยั่งยืน พ่อเมืองนครศรีฯ เปิดอบรมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต้านยาเสพติด มุ่งส่งเสริมบทบาทผู้นำหมู่บ้าน/ชุมชน ผนึกกำลังป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างยั่งยืน วันนี้ (19 ก.พ. 66) นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดโครงการฝึกอบรมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมใจต้านภัยยาเสพติด จังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รุ่นที่ 4 โดยมี ชรบ. จากอำเภอสิชล, อ.ขนอม, อ.ถ้ำพรรณรา, อ.ร่อนพิบูลย์​ และอ.จุฬา​ภรณ์​ รวมจำนวน 150 คน ร่วมฝึกอบรม โดยมี พ.ต.ท.หญิง สำรวย ศรีทองฉิม ผู้แทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช/ผู้บังคับกองร้อยปฏิบัติการจิตวิทยาที่ 4 ป้องกันจังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีฯ ณ กองร้อยปฏิบัติการจิตวิทยาที่ 4 ค่ายวชิราวุธ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล และนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มุ่งขับเคลื่อนทำให้ทุกพื้นที่เร่งนำตัวผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู พร้อมทั้งสร้างกลไกการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยการ Re X-Ray สถานที่สุ่มเสี่ยง เช่น สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ รวมถึงพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด และค้นหาผู้เสพ/ผู้ค้าเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการพุ่งเป้าแก้ไขปัญหา ซึ่งในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้น จังหวัดนครศรีธรรมราช เล็งเห็นว่า "ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)" เป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนและระวังป้องกันภัยจากยาเสพติดในพื้นที่อีกทางหนึ่ง โดยชรบ. จะเป็นผู้ช่วยและกองกำลังหลักของหมู่บ้านในการต่อต้านยาเสพติดและสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชนหมู่บ้าน . "กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการทำสงครามกับยาเสพติดในทุกพื้นที่โดยกำหนดเป้าหมาย "ยาเสพติดต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย" และในขณะเดียวกันทุกชุมชน/หมู่บ้านจะต้องมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันภัยจากยาเสพติด รวมถึงมีกลไกที่คอยเฝ้าระวัง เเละเเจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง รับรู้รับทราบ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี และนำผู้เสพเข้ารับการบำบัดตามหลักการสาธารณสุข ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะเเสการกระทำผิด สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ หรือสายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่จะมีกระบวนการเก็บข้อมูลของผู้เเจ้งเบาะเเสเป็นอย่างดีเเละเป็นความลับ เพื่อป้องกันไม่ให้แหล่งข่าวได้รับความเสียหาย อันเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลชุมชนและสังคมคนนครศรีธรรมราช และสังคมไทยให้ปลอดจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน" ผวจ.นครศรีธรรมราช กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เชิญชวนท่องเที่ยวเช็กอินบนสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ข้ามเขื่อนลำปาว “สะพานเทพสุดา”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท เชิญชวนท่องเที่ยวเช็กอินบนสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ข้ามเขื่อนลำปาว “สะพานเทพสุดา” กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเช็กอินบนสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทยข้ามอ่างเก็บน้ำลำปาว (เขื่อนลำปาว) “สะพานเทพสุดา” จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สะพานมีความยาว 2,040 เมตร เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กยอดนิยมของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยบริเวณลานสาธารณะเชิงสะพานจะมีรูปปั้นไดโนเสาร์ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ประชาชนและนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตก เนื่องจากมีความสวยงามและความพิเศษเห็นแสงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำเป็นสีทอง และเป็นจุดนั่งชมวิวพักผ่อนริมเขื่อน เดินเล่นออกกำลังกาย หรือหากมีเวลาสามารถล่องแพเพื่อชมบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวบ้าน อาทิ การยกยอ การทำประมง จากนั้นแนะนำให้เดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์สิรินธรแหล่งเรียนรู้ตำนานไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ศึกษาจุดกำเนิดโลก สิ่งมีชีวิตซากดึกดำบรรพ์ และไปกราบสักการะพระพรหมภูมิปาโลที่วัดพุทธาวาส ภูสิงห์ พร้อมชมวิว 360 องศาของเขื่อนลำปาว เรียกได้ว่ามาเที่ยวที่เดียวได้เช็กอินกันหลายจุด กลับบ้านไปพร้อมกับความประทับใจอย่างแน่นอน ในส่วนของการเดินทางหากเริ่มต้นจากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 227 มุ่งหน้าไปอำเภอสหัสขันธ์ ประมาณ 32 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายบริเวณสี่แยก (หลังจากผ่าน ปตท.สหัสขันธ์) เข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทสาย กส.3056 ขับตรงไปตามเส้นทางเลี้ยวขวาและเลี้ยวซ้าย ตามป้ายแนะนำเส้นทางประมาณ 6.6 กิโลเมตร จนถึงสะพานเทพสุดา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ทช. ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือโปรดระมัดระวังในการขับขี่และโปรดสังเกตป้ายจราจร เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง โดยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นายสุภวัฒน์ มูลนาม ผู้อำนวยการหมวดบำรุงทางหลวงชนบทหนองกุงศรี [
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 คู่บ่าวสาว สมรสไร้หนี้ ชีวีมีสุข รมว.พม. เจ้าภาพฝ่ายชาย แนะใช้สังคหวัตถุ 4 ครองรักกันยืนยาว
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 7 คู่บ่าวสาว สมรสไร้หนี้ ชีวีมีสุข รมว.พม. เจ้าภาพฝ่ายชาย แนะใช้สังคหวัตถุ 4 ครองรักกันยืนยาว 7 คู่บ่าวสาว สมรสไร้หนี้ ชีวีมีสุข รมว.พม. เจ้าภาพฝ่ายชาย แนะใช้สังคหวัตถุ 4 ครองรักกันยืนยาว เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 66เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีมงคลสมรส ตามโครงการ "สร้างสัมพันธภาพครอบครัว สมรสไร้หนี้ ชีวีมีสุข" ให้กับคู่บ่าวสาว 7 คู่ พร้อมทั้งจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนอำเภอวังทอง และลงนามในสัญญารักนิรันดร์ โดย นายธนสุนทร สว่างสาลี รองปลัด พม. พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก นายอำเภอวังทองพร้อมภรรยา และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอวังทอง พร้อมทั้งบิดามารดา บุตร และญาติพี่น้องของคู่บ่าวสาว ร่วมพิธี ณ บ้านสวนดินทอง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ กล่าวว่า พิธีมงคลสมรส ตามโครงการ "สร้างสัมพันธภาพครอบครัว สมรสไร้หนี้ ชีวีมีสุข" เป็นการจัดพิธีสมรสตามแบบประเพณีไทยสมัยต้นรัชกาลที่ 9 ให้กับคู่บ่าวสาว 7 คู่ ประกอบด้วย คู่ชายหญิง คู่ความหลากหลายทางเพศ คู่คนพิการ และคู่ผู้มีรายได้น้อย โดยตนเป็นเฒ่าแก่ฝ่ายชาย พร้อมทั้งกล่าวให้โอวาทและอวยพรแก่คู่บ่าวสาว และ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและครอบครัว เป็นเฒ่าแก่ฝ่ายหญิง ทั้งนี้ คู่บ่าวสาวทุกคู่จะได้รับริการฟรี ตั้งแต่การแต่งหน้า ทำผม การประกอบพิธีทางศาสนา ที่พัก ช่างภาพ การจดทะเบียนสมรส และการลงนามในสัญญารักนิรันดร์ โดยได้รับการสนับสนุนจาก โรงแรมท็อปแลนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ พิษณุโลก ลอรีอัล เฮ-ย่า มาดามอีเว้นท์ และมี อีเว้นท์ เรนทอล นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ กระทรวง พม. ต้องการสร้างครอบครัวที่อยู่กับความเป็นจริงและพอเพียง ด้วยความรัก ปรารถนาดี เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เพื่อเป็นของขวัญให้กับเจ้าสาว โดยฝ่ายเจ้าบ่าวต้องปฏิบัติอย่างดีด้วยการเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ แบ่งปัน มีปิยวาจา คือสังคหวัตถุ 4 เพื่อครองรักกันยืนยาว และต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสินสอดทองหมั้นที่เป็นคำสัญญานี้ จะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นที่เป็นวัตถุนิยม ทั้งนี้ ขอให้เจ้าสาวและเจ้าบ่าวทุกคู่เป็นผู้ที่ตั้งใจมาดี สร้างครอบครัวที่ดี เป็นตัวอย่างกับสังคม สำหรับคู่บ่าวสาวทั้ง 7 คู่ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย 1) นายสุเทพ พร้อมจิต อายุ 52 ปี ชาวจังหวัดยโสธร และนางธนาภา เขียวอ่อน อายุ 56 ปี ชาวจังหวัดสตูล ซึ่งฝ่ายชายเดินเท้าจากที่ทำงานในจังหวัดนครนายก เพื่อไปพบฝ่ายหญิงที่จังหวัดสตูล รวมระยะทาง 1,200 กิโลเมตร ในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา 2) นายอดิสรณ์ สีสาม อายุ 46 ปี และนางวาสนา สีสาม อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก ครองรักครองคู่อยู่ด้วยกัน 20 ปี 3) นายพรเทพ ฉันทารุนัย อายุ 36 ปี และนางสาวนรีรัตน์ เทพแสง อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดนครนายก 4) นายณภตน์ ภูละมูน อายุ 26 ปี และนางสาวนรมน พรหมเมือง อายุ 26 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก 5) นายนัฐพงษ์ เพชรรัตน์ อายุ 26 ปี และนางสาวนุชรี เมืองงาม อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก 6) นางสาวสุภาพักตร์ เพ็งพูล อายุ 22 ปี และนางสาวรัตนาภรณ์ ศรีสอาด อายุ 26 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก และ 7) นางสาวชลิดา มณฑาทอง อายุ 25 ปี และนางสาวอริศรา ข้าวก่ำ อายุ 24 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รับมอบวัคซีนโควิด 19 รุ่นใหม่ “Bivalent” กว่า 5 แสนโดส จาก "เกาหลีใต้" เตรียมกระจายทั่วประเทศ สิ้นเดือน ก.พ.นี้
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 สธ. รับมอบวัคซีนโควิด 19 รุ่นใหม่ “Bivalent” กว่า 5 แสนโดส จาก "เกาหลีใต้" เตรียมกระจายทั่วประเทศ สิ้นเดือน ก.พ.นี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบวัคซีนไฟเซอร์ bivalent จำนวน 501,120 โดส จากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เกาหลี เตรียมจัดสรรให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร สิ้นเดือน ก.พ. นี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบวัคซีนไฟเซอร์bivalent จำนวน 501,120 โดสจากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เกาหลี เตรียมจัดสรรให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร สิ้นเดือน ก.พ. นี้ ใช้ฉีดเป็นเข็มกระตุ้นในเจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัครสาธารณสุขกลุ่ม 608 ที่เสี่ยงเกิดอาการป่วยรุนแรง วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รับมอบวัคซีนโควิด 19 รุ่นใหม่ ไฟเซอร์bivalent จำนวน 501,120 โดส จากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี โดยมี นาย มุน ซึงฮยอน (Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย นาย จอน โจยอง (Jeon Joyoung) อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย และคณะ เป็นผู้แทนส่งมอบนายอนุทิน กล่าวว่า ในนามรัฐบาลไทย และกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความปรารถนาดีให้กับประเทศไทยเสมอมา รวมทั้งความร่วมมือด้านสาธารณสุขในการแก้ไขสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยสาธารณรัฐเกาหลีเคยสนับสนุนวัคซีนแอสตราเซนเนก้าให้กับไทยเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2564 จำนวน 470,000 โดส ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตให้กับคนไทยและคนเกาหลีที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับวัคซีนที่สนับสนุนเป็นครั้งที่ 2 ในครั้งนี้ เป็นวัคซีนรุ่นใหม่ของไฟเซอร์ ชนิด bivalent ซึ่งจะเป็นล็อตแรกของประเทศไทยที่จะนำมาใช้สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มเสี่ยงและประชาชน “ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 เข็ม ครอบคลุมประชากรมากกว่า 83% และฉีดเข็มกระตุ้นไปแล้ว 39% ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับภัยสุขภาพระดับโลก สำหรับการรับมอบวัคซีนในวันนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีที่ไม่ใช่เพียง 65 ปีเท่านั้น แต่จะเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดไป” นายอนุทินกล่าว นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ตามมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และผลการศึกษาในช่วงปลายปี 2565 ในประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์การอนามัยโลก มีข้อแนะนำให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์bivalent เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มขึ้นไป ซึ่งจะช่วยลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณ 28-56% ความปลอดภัยไม่ต่างกับวัคซีนรุ่นแรกชนิด monovalent สามารถใช้ทั้งชนิด monovalent และ bivalent มาเป็นเข็มกระตุ้นได้ เนื่องจากผลในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน โดยกรมควบคุมโรคจะจัดสรรวัคซีนให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ตามสัดส่วนของประชากรแต่ละจังหวัดอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม รวมทั้งจัดสรรให้กับเครือข่ายกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ (Uhosnet) กรมการแพทย์ และสภากาชาดไทย คาดว่าจะมีการจัดส่งวัคซีนประมาณสิ้นเดือน กุมภาพันธ์นี้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์bivalent เข็มกระตุ้น ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย อาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มเสี่ยงเกิดอาการป่วยรุนแรง (กลุ่ม 608) รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยง เช่น สัมผัสกลุ่มเสี่ยง สัมผัสนักท่องเที่ยว เป็นต้น โดยต้องได้รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วอย่างน้อย 2 เข็ม จะฉีดเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน และเข็มที่ 4 ห่างจากเข็มที่ 3 อย่างน้อย 4 เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด 19 มาแล้วและเคยติดเชื้อ จะฉีดหลังติดเชื้ออย่างน้อย 6 เดือน ******************************************** 20 กุมภาพันธ์2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทหารยุคแรก พ.ศ.๒๔๓๐
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ทหารยุคแรก พ.ศ.๒๔๓๐ ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาอย่างพร้อมเพรียงกัน ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 พสกนิกรทั่วประเทศร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาอย่างพร้อมเพรียงกัน ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทั่วประเทศร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาอย่างพร้อมเพรียงกัน ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ รวมทั้งประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดสกลนคร ที่อำเภอเมืองสกลนคร นางจุรีรัตน์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย นายโกมุท ทีฆธนานนท์ นายกเทศมนตรีนครสกลนคร สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดสกลนคร สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสกลนครร่วมลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแม่และเด็ก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สภานายิกาสภากาชาดไทย ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา 12 สิงหาคม 2566 และถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 2. จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนดัดดรุณี อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นางปิติมา รักพานิชมณี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา คณะกรรมการสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีคณะครูและนักเรียนโรงเรียนดัดดรุณี และประชาชนในพื้นที่ ร่วมบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้น จำนวน 101 ราย 3. จังหวัดนครสวรรค์ ณ ที่ว่าการอำเภอชุมแสง เหล่ากาชาดจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ที่ 8 จังหวัดนครสวรรค์ จัดหน่วยรับบริจาคโลหิต อวัยวะ และดวงตา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน และเพื่อนำโลหิตที่ได้รับไปช่วยเหลือผู้ป่วย ณ โรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และโรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียง โดยมีผู้ร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 165 คน 4. จังหวัดลำพูน วัดป่าพลู ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง นายประเชิญ สมองดี นายอำเภอบ้านโฮ่ง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 5. จังหวัดสุพรรณบุรี ศาลาการเปรียญวัดสามจุ่น ตำบลดอนปรู อำเภอศรีประจันต์ พระศรีประจันตคณาภิบาล เจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายปริญ นิทัศน์เอก นายอำเภอศรีประจันต์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 6. จังหวัดปทุมธานี ที่อาคารเอนกประสงค์วัดพืชอุดม ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา นายประทีป ตาปนานนท์ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบลพืชอุดม พร้อมด้วย ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลพืชอุดม คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดพืชอุดม และประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดสระบุรี ที่พระอุโบสถวัดสมุหประดิษฐาราม พระอารามหลวง ตำบลสวนดอกไม้ อำเภอเสาไห้ พระครูสุธีปริยัติยาทร เจ้าอาวาสวัดสมุหประดิษฐาราม พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดสมุหประดิษฐารามและประชาชนในพื้นที่ ร่วมทำวัตรเย็น เจริญพระพุทธมนต์ บทโพชฌังคสูตร บำเพ็ญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่พระวิหารหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง วรวิหาร ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา พระธรรมรัตนมงคล เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง วรวิหาร พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดพนัญเชิง วรวิหาร และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 9. จังหวัดกาญจนบุรี พระอุโบสถวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมืองกาญจนบุรี พระเทพปริยัติโสภณ เจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดไชยชุมพลชนะสงคราม และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และไหว้บูชาตาพรานบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ จ.นครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 นายกรัฐมนตรีสักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และไหว้บูชาตาพรานบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ จ.นครศรีธรรมราช นายกรัฐมนตรีสักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และไหว้บูชาตาพรานบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ จ.นครศรีธรรมราช นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 15.00 น. ณ วัดยางใหญ่ ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และนมัสการพระครูวินัยธร ณัฏฐาสันต์ สิทฺธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดยางใหญ่ ณ วิหารหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และไหว้บูชาตาพรานบุญ ณ วิหารปฐมบรมครูตาพรานบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพระครูวินัยธร ณัฏฐาสันต์ สิทฺธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดยางใหญ่ได้ให้พรนายกรัฐมนตรีขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้ประสบความสำเร็จคิดหวังสิ่งใดขอให้ได้สมดังปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นำพาประเทศพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตอบกล่าวขอบคุณและสอบถามประวัติของวัด พร้อมกล่าวฝากให้วัดเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชน สร้างความศรัทธาให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส และช่วยกันทำนุบำรุงพุทธศาสนา และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนที่มาทำบุญว่า คิดหวังอะไรไว้ขอให้ตั้งใจอธิษฐาน ขอให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง ที่สำคัญต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เลื่อมใสศรัทธาก่อน จึงจะมีผลต่อสิ่งที่ขอไว้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับกว่า 1,000 คน ว่า มาเพราะคิดถึง คิดถึงตลอดเวลา ไม่เคยลืมชาวนครศรีธรรมราช ตั้งใจมารับฟังปัญหา พร้อมพบปะกับประชาชน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ดีใจที่เห็นชาวนครเป็นคนจริงใจ รักใครรักจริงไม่ทิ้งไม่ขว้าง “รักจังฮู้”วันนี้มีความสุขมากได้กินอาหารอร่อย ได้กินกับข้าวทางใต้อร่อยมาก ซึ่งนานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวสองจาน วันนี้กินข้าวไปสองจานเพราะเจอกับข้าวอร่อย อาหารใต้กินที่กรุงเทพฯ ก็ไม่อร่อยเท่ากับกินที่ภาคใต้ โดยเฉพาะคั่วกลิ้ง กินแล้วแทบกลิ้งเพราะรสชาติที่เผ็ดจัดจ้าน นายกรัฐมนตรีขอบคุณพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่มีให้ ที่อวยพรให้นายกฯ มีสุขภาพแข็งแรงมีความสำเร็จ ขอขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และมากันเป็นจำนวนมาก ขอชื่นชมในความรักความสามัคคีของชาวนครศรีธรรมราชและชาวภาคใต้ ตนเองเชื่อว่าคนนครศรีธรรมราชและคนใต้มีความรักขอให้ช่วยกันรักชาติช่วยกันทำให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ที่ผ่านมาพวกเราได้ประสบปัญหาต่าง ๆ มา แต่เราก็ฟันฝ่าปัญหามาได้ด้วยความรัก ความสามัคคีของพวกเราทุกคน จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเดินทางไปตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากบริเวณคลองเปลี่ยนพื้นที่รอยต่อตำบลเปลี่ยน และตำบลเทพราช อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส หารือคณะผู้จัดงาน Infocomm Asia 2023
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดดีอีเอส หารือคณะผู้จัดงาน Infocomm Asia 2023 ปลัดดีอีเอส หารือคณะผู้จัดงาน Infocomm Asia 2023 วันนี้ (20 ก.พ.66) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) หารือความร่วมมือกับ Mr. Richard Tan ผู้บริหาร InfoComm Asia และนางสาวกนกวรรณ สุขชัยศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท Expo Inter ในการจัดงาน Infocomm Asia 2023 ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมด้านภาพและเสียงระดับมืออาชีพ (Pro-AV) ที่ล้ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะมาพลิกโฉมทุกธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ทั้งนี้ภายในงานจะจัดให้มีการสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการจากทั่วโลกมาให้ความรู้เรื่องมาตรฐานและเทคโนโลยี โซลูชั่น และเทรนด์ใหม่ล่าสุด อาทิ Next Integrated Xperience Technology (NIXT) Summit, AVIXA Seminar, Industry and Technology Forums และ Manufacturers’ Presentations เป็นต้น โดยงานดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รฟม. ลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ..... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)กระทรวงคมนาคมโดยสำนักความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (สปอ.) นำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย - มีนบุรี ตั้งแต่บริเวณสถานีมัยลาภ (PK20) สถานีวัชรพล (PK21) และสถานีรามอินทรา กม.6 (PK22) เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานก่อสร้างตามมาตรการด้านความปลอดภัย และตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน เพื่อดำเนินงานก่อสร้างโครงการให้มีความปลอดภัยแก่ประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ รฟม. ยังคงให้ความสำคัญกับมาตรการด้านความปลอดภัยในการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานบนที่สูง รวมทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนได้ โดยเพิ่มความถี่ของการจัดรถฉีดพรมน้ำ ในพื้นที่ก่อสร้าง และการติดตั้งจุดสเปรย์พ่นน้ำ เพื่อลดค่าฝุ่น PM 2.5 ซึ่ง รฟม. กำชับเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยในการก่อสร้างอย่างเคร่งครัด และให้สอดคล้องตาม “ปฏิญญาว่าด้วยความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน Zefo Fatal Accident พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติรักษามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และมาตรการ D-M-H-T-T ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำอย่างต่อเนื่อง สามารถติดตามสอบถามข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.mrta-pinkline.com และ Line : @MRTPinkLine และ FB :โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นครพนม เดินหน้าจับมือทุกภาคีเครือข่ายแก้ปัญหา "ส้วมไม่ได้มาตรฐาน" ตามแนวทางแก้จน โดยส่งมอบส้วมมาตรฐานแล้ว 621 ราย จาก 2,492 ราย พุ่งเป้าส่งมอบ.ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ก.พ.66 นี้
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 นครพนม เดินหน้าจับมือทุกภาคีเครือข่ายแก้ปัญหา "ส้วมไม่ได้มาตรฐาน" ตามแนวทางแก้จน โดยส่งมอบส้วมมาตรฐานแล้ว 621 ราย จาก 2,492 ราย พุ่งเป้าส่งมอบ.ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ก.พ.66 นี้ นครพนม เดินหน้าจับมือทุกภาคีเครือข่ายแก้ปัญหา "ส้วมไม่ได้มาตรฐาน" ตามแนวทางแก้จน โดยส่งมอบส้วมมาตรฐานให้ประชาชนแล้ว 621 ราย จาก 2,492 ราย พุ่งเป้าส่งมอบให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ก.พ. 66 นี้ วันนี้ (19 ก.พ. 66) นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนแนวทางการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือ ศจพ. ซึ่ง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน คำว่า "ยากจน คือ ทุกความเดือดร้อนที่พี่น้องประชาชนกำลังประสบพบอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง" "จังหวัดนครพนม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหา ด้วยการนำแพลตฟอร์ม ThaiQm ซึ่งพัฒนาโดยกรมการปกครองมาเป็นเครื่องมือในการ Re X-ray ข้อมูลความเดือดร้อนเพิ่มเติมนอกเหนือจากระบบ TPMAP ซึ่งจากข้อมูลพบว่า มีพี่น้องประชาชนที่เป็นสูงอายุ ผู้พิการ และผู้ได้รับความเดือดร้อน "ไม่มีส้วมที่ได้มาตรฐาน" จำนวนกว่า 2,492 ราย ทางจังหวัดฯ จึงได้ร่วมกับอำเภอและส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่แก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน" นายวันชัยฯ กล่าว นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวต่ออีกว่า เมื่อวานนี้ (18 ก.พ. 66) ตนพร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่ดำเนินโครงการ "โถสุขภัณฑ์ ปันสุข ลุกนั่งปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงวัย" โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. ในพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่ ซึ่งการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว เป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนตามแนวทางการแก้จน เพื่อให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ขาดโอกาสได้เข้าถึงโถสุขภัณฑ์ที่ถูกสุขลักษณะ และปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ ผู้พิการ อันจะเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนชาวจังหวัดนครพนม โดยได้ดำเนินการมอบโถสุขภัณฑ์ให้กับพื้นที่อำเภอท่าอุเทนและอำเภอเรณูนคร จำนวน 3 จุด รวม 60 ราย ได้แก่ 1) ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จำนวน 20 ราย 2) ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านค้อ สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านค้อ อำเภอโพนสวรรค์ จำนวน 20 ราย 3) ศาลาการเปรียญ วัดโพธิ์ตาก ตำบลโพนบก อำเภอโพนสวรรค์ จำนวน 20 ราย โดยเมื่อรวมกับจำนวนที่ได้ดำเนินการส่งมอบแล้วก่อนหน้านี้ รวมแล้วทั้งสิน 621 ราย ในพื้นที่ 7 อำเภอ จาก 12 อำเภอของจังหวัดนครพนม คงเหลืออีก 1,871 ราย ซึ่งจะดำเนินการส่งมอบให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 "เพราะทุกความเดือดร้อนของประชาชนคือหน้าที่ของคนมหาดไทย และข้าราชการทุกคนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการที่ดีของพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่ว่าปัญหาดังกล่าวจะลำบากยากเข็ญเช่นไร พวกเราจะไม่ทอดทิ้งประชาชน และจะพุ่งเป้าไป "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" พบปะ พูดคุย รับฟัง และนำปัญหาเหล่านั้นมาเป็นศัตรูที่ต้องสู้รบเพื่อคว้าชัยชนะ นั่นคือ "ความสุขที่ยั่งยืนของประชาชน" ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือต้องการขอรับความช่วยเหลือทุกเรื่อง ขออย่าเก็บไว้ ให้แจ้งมาที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 หรือแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ นายอำเภอ เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนทุกน้อยลงจนหมดไป มีแต่ความสุขที่เพิ่มพูนและยั่งยืน" ผวจ.นครพนม กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65156
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยได้อันดับ 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เสริมเกราะความสามารถในการแข่งขัน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยได้อันดับ 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เสริมเกราะความสามารถในการแข่งขัน และการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างยั่งยืน และสมดุล วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ ไทย ได้อันดับ 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย (Most Advanced Countries in Asia) จากการจัดอันดับ ของ Yahoo Finance โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากการจัดอันดับประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย (Most Advanced Countries in Asia) ของ Yahoo Finance ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 10 ประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเป็นประเทศที่มีภาคบริการที่โดดเด่นเติบโตสูง คิดเป็นร้อยละ 58.3 ของ GDP ของประเทศในปี 2563 ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.31 จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้รวมกว่า 1.37 แสนล้านดอลลาร์ โดย ระบุว่า คะแนนการพัฒนามนุษย์ในช่วงปี 2564-2565 นั้นสูงมากที่ 0.800 คะแนน และประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการลงทุนอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา R&D ในปี 2563 โดยมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละ 1.14 ของ GDP เมื่อพิจารณาคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ Human Development Index ที่ใช้ในการวัดผลพบว่า คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 78.7 ปี ระยะเวลาการศึกษา 15.9 ปี และมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 619,000 ต่อปี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดอันดับประเทศที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียของ Yahoo Finance พิจารณาจาก (1) ดัชนีการพัฒนามนุษย์ จาก Human Development Index หรือ HDI ของปี 2021-2022 ซึ่ง HDI มีการวัดจาก 3 ปัจจัยด้วยกันคืออายุคาดเฉลี่ย ระดับการศึกษา และรายได้ต่อหัว (GDP Per capita) (2) สัดส่วนของงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ต่อ GDP ที่เป็นข้อมูลจากธนาคารโลก และการประเมินยังคำนึงถึง (3) การมีบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศนั้นๆ ทั้งนี้ ศตวรรษที่ 21 ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเป็นศตวรรษแห่งเอเชีย ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่โลกตะวันตกมีการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเอเชีย โดย McKinsey บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจได้ประมาณการว่า ภูมิภาคเอเชียจะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของ GDP โลกภายในปี 2583 โดยมีผู้บริโภคชาวเอเชียเป็นผู้ขับเคลื่อนการบริโภคกว่าร้อยละ 40 ของโลกในเวลานั้น ในด้านองค์กร บริษัทในเอเชียกำลังเพิ่มมูลค่าเฉลี่ย 19 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจโลกทุกปี และระดับการพัฒนาทางเทคโนโลยีของเอเชียก็เป็นหนึ่งในระดับที่สูงที่สุดในโลก “นายกรัฐมนตรี กำชับและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งภาครัฐ การศึกษา เอกชน และประชาชน ได้ร่วมกันดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลยกระดับความสามารถทั้งขององค์กร และบุคลากร เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเร่งส่งเสริมให้เกิดความเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการลงทุน เพื่อความก้าวกน้าทางเศรษฐกิจ และสังคม เพื่อการใช้ประโยชน์ ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิจัยและพัฒนาจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อย่างสมดุล” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เดินหน้าสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร พม. เร่งช่วยของบประมาณสร้างสะพานใหม่ให้ชาวบ้าน 3 ตำบล ที่ จ.พิษณุโลก
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.พม. เดินหน้าสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร พม. เร่งช่วยของบประมาณสร้างสะพานใหม่ให้ชาวบ้าน 3 ตำบล ที่ จ.พิษณุโลก รมว.พม. เดินหน้าสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร พม. เร่งช่วยของบประมาณสร้างสะพานใหม่ให้ชาวบ้าน 3 ตำบล ที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 66นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเปิดการอบรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ใหม่ จังหวัดพิษณุโลก รวม 200 คน ณ เทศบาลตำบลป่าแดง และศูนย์ประสานแผนอำเภอชาติตระการ นอกจากนี้ ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 29/10 หมู่ 7 บ้านน้ำพึง ตำบลชาติตระการ อำเภอชาติตระการ เพื่อมอบบ้านแก่นายสหัส แสงปัญญา ผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัย เนื่องจากบ้านพังเสียหายทั้งหลังจากน้ำป่าไหลหลากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 นายจุติ กล่าวว่า การดำเนินงานของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 และ อพม. มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการให้คำแนะนำปรึกษาปัญหาสังคม ประสานช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน พิทักษ์คุ้มครองสิทธิกลุ่มเป้าหมาย ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ และการเข้าถึงสิทธิของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวง พม. นับเป็นเครือข่ายสำคัญในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ทั่วประเทศอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ จึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่าย อพม. โดยการพัฒนาประชาชนที่จะมาเป็น อพม. ให้มีความรู้พื้นฐานงานอาสาสมัครพัฒนาสังคม เป็นผู้มีคุณธรรม มีบุคลิกภาพและเจตคติที่เหมาะสม สามารถทำหน้าที่เป็นผู้แทนกระทรวง พม. ได้ตรงตามความต้องการของพื้นที่ นายจุติ กล่าวต่อไปว่า อพม. มีบทบาทหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้านในเรื่องของกระทรวง พม. ที่คอยช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายและผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้อายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส อีกทั้งทำหน้าที่คอยชี้เป้า เฝ้าระวังปัญหาต่างๆ ในชุมชน และขับเคลื่อนการทำงานของศูนย์ช่วยเหลือสังคมประจำตำบล โดยมีหน่วยงานราชการเป็นพี่เลี้ยงช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องสวัสดิการสังคม ที่อยู่อาศัย การศึกษา สุขภาพ กฎหมาย การประกอบอาชีพ ที่ดินทำกิน และหนี้สินครัวเรือน เป็นต้น โดยศูนย์นี้จะเป็นทางออกให้กับทุกคน ซึ่งทุกคนจะได้รู้ว่ากระทรวง พม. ทำอะไรบ้าง และคาดว่าทุกคนในพื้นที่ต้องการมีความสุขจากการแก้ปัญหาที่สามารถแก้ไขเองได้ หากแก้ไขเองไม่ได้ จะมีหน่วยงานของทางราชการเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งวันนี้ กระทรวง พม. ต้องการให้ประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวง พม. ด้วยการเป็นเครือข่ายอาสาสมัคร พม. นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมที่ดินทำกินและบ้านเรือนของชาวบ้านจำนวนมากในพื้นที่บ้านน้ำพึง ตำบลชาติตระการ อีกทั้งทำให้สะพานพังเสียหายจนชาวบ้าน 3 ตำบลไม่สามารถเดินทางสัญจรผ่านไปได้ ทั้งนี้ ตนขอให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ส่งการประเมินงบประมาณการก่อสร้างสะพานมาให้ เพื่อที่จะได้ช่วยประสานเรื่องการของบประมาณโดยเร็วที่สุด นับเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยเปิดงานบุญใหญ่ชาวล้านนา “ฮอมปอยบุปผชาติแม่ข่างาม ครั้งที่ 5” พร้อมปลุกสำนึกให้ชาวเชียงใหม่ร่วมพัฒนาคลองแม่ข่ากลับมาสะอาดและสวยงาม ตามพระบรมราโชบายของในหลวง
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 ปลัดมหาดไทยเปิดงานบุญใหญ่ชาวล้านนา “ฮอมปอยบุปผชาติแม่ข่างาม ครั้งที่ 5” พร้อมปลุกสำนึกให้ชาวเชียงใหม่ร่วมพัฒนาคลองแม่ข่ากลับมาสะอาดและสวยงาม ตามพระบรมราโชบายของในหลวง ปลัดมหาดไทยเปิดงานบุญใหญ่ชาวล้านนา “ฮอมปอยบุปผชาติแม่ข่างาม ครั้งที่ 5” พร้อมปลุกสำนึกให้ชาวเชียงใหม่ร่วมพัฒนาคลองแม่ข่ากลับมาสะอาดและสวยงาม ตามพระบรมราโชบายของในหลวง เป็นจุดเช็คอินเเห่งใหม่จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย เเละต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงานฮอมปอยบุปผชาติแม่ข่างาม ครั้งที่ 5 ประจำปี พ.ศ. 2566 ที่บริเวณท่าน้ำแม่ข่าบ้านพระนอน-บ้านป่ารวก ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ เเละประชาชนชาวชุมชนริมคลองเเม่ข่า ร่วมพิธีเปิดอย่างพร้อมเพรียง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นับเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ที่พี่น้องประชาชนชาวบ้านพระนอน-บ้านป่ารวก ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งในภาษาไทยล้านนา คำว่า "ฮอม" หมายถึง การนำปัจจัยหรือสิ่งของมารวมกัน และคำว่า "ปอย" หมายถึง งานบุญ หรือการจัดงานในวาระเฉลิมฉลองในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีผู้คนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก การ "ฮอมปอย" จึงเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนล้านนา อันหมายถึง การร่วมแรง ร่วมใจ ช่วยเหลือในสิ่งที่ตนมี คนละไม้ละมือ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม ควรค่าแก่การรักษาและสืบทอดไว้ในยุคปัจจุบัน นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า การพัฒนาคลองแม่ข่าให้กลับมามีสภาพภูมิทัศน์ที่สะอาดและสวยงาม ถือเป็นส่วนหนึ่งของการ "เเก้ไขในสิ่งผิด" ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระราชปณิธานอันเเน่วเเน่ในการทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นโอกาสดีของพี่น้องประชาชนเเละพี่น้องชาวจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้มีโอกาสร่วมกันพัฒนาคลองเเม่ข่า เพื่อยกระดับสู่จุดเช็คอินเเห่งใหม่ของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย เเละชาวต่างประเทศ “ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระบรมราชานุญาตให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เสด็จทรงร่วมกับจิตอาสาพระราชทาน 904 นำโดยท่าน พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาช่วยกันทำความสะอาดและฟื้นฟูคลองเเม่ข่า 1 ครั้ง และทรงมีพระราชานุญาตให้ทุกภาคส่วนได้มาขับเคลื่อนร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ และพี่น้องประชาชน ตลอดระยะทาง 32.5 กิโลเมตรของคลองเเม่ข่า จนทำให้มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม คุณภาพน้ำสะอาด ไม่เน่าเสีย ไม่มีกลิ่น ตลอดทั้งสาย”ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนมหาดไทยมีแนวทางการทำงานในการสนองพระบรมราโชบาย เพื่อมุ่ง Change for Good ให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน โดยนายกองค์การบริหารจังหวัดเชียงใหม่ ได้หารือกับกรมธนารักษ์ เพื่อขอใช้พื้นที่บริเวณคลองเเม่สา ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำของคลองเเม่ข่า กระทั่งได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ จำนวน 5 ไร่ ในการพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ตามเเนวพระราชดำริ และวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันเป็นการสืบสาน รักษา เเละต่อยอดพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านการแก้ไขในสิ่งผิด ส่งเสริมให้คนในชุมชนได้เรียนรู้การบำบัดเเละรักษาน้ำทั้งระบบ เพื่อให้ทุกครัวเรือนมีการบำบัดน้ำตั้งเเต่ต้นทางก่อนปล่อยลงสู่เเม่น้ำสาธารณะ และทำให้เกิดความรัก ความหวงเเหน และความรู้สึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำเสร็จได้ในทันที ดั่งคำพูดที่ว่า การพัฒนาคลองแม่ข่านี้จะสำเร็จได้ ก็ด้วยความร่วมมือของพี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ เเละที่สำคัญ "จะยั่งยืนได้" ด้วยการสร้างเป็นพื้นที่เเหล่งเรียนรู้ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงด้านอาหารตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง" และ "ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน" ด้วยการปลูกผักสวนครัว ต้นไม้ให้ผล ตลอดริมถนนและริมคลองสองฝั่ง พร้อมเชิญชวนให้ครัวเรือนตลอดสองฝั่งคลองร่วมกิจกรรม ทำให้มีไม้ผล ไม้ดอก สร้างเป็นเป็นถนนเเห่งความอุดมสมบูรณ์ ถนนแห่งความรู้รักสามัคคี ภายใต้หลักการ "ช่วยกันทำ ร่วมคุย ร่วมคิด ร่วมหาเเนวทาง" โดยมีผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ผู้นำภาคีเครือข่ายอื่น ๆ เเละประชาชน ได้มีส่วนร่วมกับการพัฒนาคลองสาธารณะ เพื่อยกระดับชุมชนให้เกิดความยั่งยืนให้ครบทุกเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ (UN SDGs) เพื่อจังหวัดเชียงใหม่จะได้มีสถานที่รับเเขกบ้านแขกเมือง เป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ และขอให้ช่วยกันดูเเลรักษาเเม่น้ำลำคลอง ดูเเลบ้านเกิดเมืองนอน ทำให้คลองเเม่ข่าเป็นคลองสวย น้ำใส ไหลดี ชุมชนมีสุขตลอดไปอย่างยั่งยืน ด้านนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้มีมาตรการเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่าอย่างยั่งยืน โดยกำหนดแนวทางดำเนินการไว้ 10 มาตรการ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปรับปรุงภูมิทัศน์สองฝั่งคลองแม่ข่าให้สวยงาม เป็นธรรมชาติตลอดทั้งสายน้ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน หมู่บ้าน จิตอาสาและหน่วยงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดวิสัยทัศน์ตามแผนแม่บทคลองแม่ข่า (พ.ศ. 2561 - 2565) คือ "คลองสวย น้ำใส ไหลดี ชุมชนมีสุข" ทั้งนี้ เพื่อเป็นการร่วมสนับสนุนขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ให้สัมฤทธิผลและเพื่อให้เชียงใหม่เป็นนครแห่งดอกไม้งาม (Flower City) ดังคำขวัญ "ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์" และส่งเสริมการพัฒนาฟื้นฟูคลองแม่ข่าซึ่งเป็น 1 ในไชยมงคล 7 ประการของเมืองเชียงใหม่ ให้เป็นแม่น้ำแห่งบุปผชาติ ที่งามตา และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนกับสายน้ำ "จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม "ฮอมปอยบุปผชาติแม่ข่างาม" ระหว่างวันที่ 15-19 กุมภาพันธ์ 2566 ในรูปของขบวนแห่บุปผชาติทางเรือในคลองแม่ข่าระยะทางประมาณ 275 เมตร จัดเป็นปีที่ 6 ตั้งแต่ปี 2561 อันจะยังผลให้เกิดการรณรงค์สร้างจิตสำนึก พัฒนาและฟื้นฟูคลองแม่ข่าให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ด้วยมวลดอกไม้ พืชพรรณไม้นานาพันธุ์และกลับมาเป็นไชยมงคลของเมืองเชียงใหม่สืบต่อไปอย่างยั่งยืน" นายก อบจ.เชียงใหม่ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65157
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พณ. ชี้แจงปัญหาราคาผักเมืองหนาวตกต่ำ ผลกระทบจากการนำเข้าผักจากประเทศจีน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 พณ. ชี้แจงปัญหาราคาผักเมืองหนาวตกต่ำ ผลกระทบจากการนำเข้าผักจากประเทศจีน อธิบดีกรมการค้าภายใน ยืนยันผักเมืองหนาวราคาตกต่ำ ไม่เกี่ยวผักจีนทะลักเข้าไทย ยันนำเข้ายังปกติ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงถึงกรณีที่เกษตรกรหลายจังหวัดในภาคเหนือและนักวิชาการมองว่าการนำเข้าผักผลไม้จากจีน กระทบต่อราคาผักในประเทศไทย เพราะจีนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า เกษตรกรบางรายต้องขายขาดทุน หรือบางครั้งต้องปล่อยทิ้งให้เน่าคาสวน นั้น กรมการค้าภายในได้ติดตามตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่าย ณ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง และศรีเมือง ซึ่งเป็นแหล่งค้าส่งใหญ่ พบว่า สถานการณ์การจำหน่ายผักที่นำเข้ามาจากประเทศจีนยังคงมีปริมาณปกติ ไม่พบว่าปริมาณนำเข้าที่ผิดปกติ ซึ่งการนำเข้าผักมาจากจีนจะมีต้นทุนค่าจัดการ ค่าขนส่ง และอัตราสูญเสีย เป็นต้น ดังนั้นการนำเข้าผักมาจำหน่ายในประเทศไทยจึงขึ้นอยู่กับปริมาณและราคาผักในประเทศ หากเป็นช่วงที่ผักไทยออกน้อยราคาสูงขึ้น ก็อาจจะมีการนำเข้ามาเพิ่มเติม จากการตรวจสอบราคาผักเมืองหนาว ในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าปัจจุบัน ราคาที่เกษตรกรขายได้ ยังอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปีก่อน เช่น ในปีนี้เกษตรกรขายกะหล่ำปลีอยู่ที่ กก.ละ 5-6 บาท สูงกว่าปีก่อนที่ 4-5 บาท/กก. และปีนี้ผักกาดขาวที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ กก.ละ 7-8 บาท สูงกว่าปีก่อนที่ 6-7 บาท/กก. อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากพบว่า ปริมาณผักออกสู่ตลาดมากและราคามีแนวโน้มลดลง กรมการค้าภายในได้ประสานผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อ และอีกทางหนึ่งจะใช้กลไกรถ mobile พาณิชย์ และจุดจำหน่ายต่างๆ ในการกระจายโดยตรงไปยังประชาชน ทั้งนี้ หากพบเห็นว่ามีการกดราคารับซื้อ หรือรับซื้ออย่างไม่เป็นธรรม แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เดินหน้ามอบบ้านพอเพียงช่วยผู้มีรายได้น้อย พร้อมงบประมาณซ่อมแซมบ้านกลุ่มเปราะบาง จ.พิษณุโลก
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.พม. เดินหน้ามอบบ้านพอเพียงช่วยผู้มีรายได้น้อย พร้อมงบประมาณซ่อมแซมบ้านกลุ่มเปราะบาง จ.พิษณุโลก รมว.พม. เดินหน้ามอบบ้านพอเพียงช่วยผู้มีรายได้น้อย พร้อมงบประมาณซ่อมแซมบ้านกลุ่มเปราะบาง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 66นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และนายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (ผอ.พอช.) ลงพื้นที่ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าหมื่นราม อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเปิดงาน "สานพลังความร่วมมือเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งและการแก้ไขปัญหาความยากจน มิติความเป็นอยู่ จังหวัดพิษณุโลก" จัดโดย กระทรวง พม. โดย พอช. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก เครือข่ายขบวนองค์กรประชาชนจังหวัดพิษณุโลก และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าหมื่นราม จากนั้น ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีปฐมฤกษ์ "ตอกตะปู เคาะฝาบ้าน" ซ่อมแซมปรับปรุงบ้านนายแดง ดัดโป่ง คนพิการทางการเคลื่อนไหว ณ บ้านเลขที่ 42/1 หมู่ 11 และพิธียกเสาเอกบ้านนางอัมพร บุญช่วย ผู้สูงอายุ ณ บ้านเลขที่ 26 หมู่ 8 ตำบลดินทอง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ รวมถึงการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งวันนี้ งาน "สานพลังความร่วมมือเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งและการแก้ไขปัญหาความยากจน มิติความเป็นอยู่ จังหวัดพิษณุโลก" เป็นการแก้ปัญหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ให้กับกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส โดยได้มอบบ้านเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการบ้านพอเพียง จังหวัดพิษณุโลก ปี 2565 จำนวน 247 ครัวเรือน ใน 37 ตำบล เป็นเงิน 5,099,600 บาท และมอบงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการบ้านพอเพียง จังหวัดพิษณุโลก ปี 2566 จำนวน 317 ครัวเรือน ใน 40 ตำบล เป็นเงิน 6,625,000 บาท อีกทั้งมอบเงินโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ปี 2566 สำหรับคนพิการ 5 ราย ในพื้นที่ตำบลท่าหมื่นราม เป็นเงิน 125,881 บาท และคนพิการและผู้สูงอายุ 8 ราย ในพื้นที่ตำบลพันชาลี เป็นเงิน 248,060 บาท นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน ซึ่งที่ไหนลำบากเดือดร้อนก่อน ให้สิทธิ์ในการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านในโครงการบ้านพอเพียงก่อน โดยชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นมีความเห็นชอบร่วมกัน โดยร่วมกับประชาชน เพื่อพิจารณาว่าครอบครัวไหนมีความเดือดร้อนมาก ให้ได้รับสิทธิ์ก่อน โครงการนี้สำเร็จได้เพราะความรัก ความสามัคคี และขอให้ทุกคนคงความรัก ความสามัคคีไว้ เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท.ผนึกกำลังนายกแม่บ้านมท.จับมือ UN ประจำประเทศไทย และกระทรวงทส.ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทยภูมิปัญญาไทยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้อมนำพระดำริ “เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ฯ"
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ปมท.ผนึกกำลังนายกแม่บ้านมท.จับมือ UN ประจำประเทศไทย และกระทรวงทส.ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทยภูมิปัญญาไทยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้อมนำพระดำริ “เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ฯ" ปลัดมท. ผนึกกำลังนายกแม่บ้านมท.จับมือ UN ประจำประเทศไทย และกระทรวงทส.ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทยภูมิปัญญาไทยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้อมนำพระดำริ “เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ให้เลิกใช้สีเคมีเลิกใช้เทคโนโลยีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมลดก๊าซเรือนกระจก ปลัดมหาดไทยผนึกกำลังนายกแม่บ้านมท.จับมือ UN ประจำประเทศไทย และกระทรวงทส.ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทยภูมิปัญญาไทยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้อมนำพระดำริ “เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ให้เลิกใช้สีเคมีเลิกใช้เทคโนโลยีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อก้าวไปสู่อนาคตทำให้โลกใบนี้อยู่คู่กับลูกหลานอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ภูมิปัญญาไทย ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนาม โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง คณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน ศ.ดร.ชนาธิป ผาริโน นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า “วันนี้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่” ที่พวกเราชาวมหาดไทยและภาคีเครือข่าย จะได้เป็นพลังที่สำคัญในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอาชีพเสริม และอาชีพหลักที่ก่อเกิดจากการนำภูมิปัญญาผ้าไทยของบรรพบุรุษมาส่งเสริมวิถีชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย “ทำในสิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้” เพราะความคุ้นชินของระบบอุตสาหกรรมจากการใช้สารเคมี สีเคมี มันฝังอยู่ในจิตสำนึกของวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่เราพยายามพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ “ด้วยพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นในการทรงงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผ่านกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการรักษาภูมิปัญญาผ้าไทย ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ผลักดันและเชื้อเชิญให้พี่น้องประชาชนได้ปรับเปลี่ยนการทำงานหาเลี้ยงชีพในด้านงานผ้า ด้วยการเลิกใช้สีเคมี เลิกใช้เทคโนโลยีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยทรงมีพระดำรัสให้ประชาชนช่างทอผ้าและผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทยทั้ง 76 จังหวัด น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้พี่น้องประชาชนพึ่งพาตนเองในเรื่องของการปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และปลูกพืชให้สีธรรมชาติ มาช่วยดูแลครอบครัว ดูแลสังคม และทำให้การประกอบการเรื่องการทอผ้าประเภทต่าง ๆ เกิดความเป็นมิตรให้กับสิ่งแวดล้อม และโลกใบนี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะยังผลทำให้เกิดความมั่นคงของชาติและส่งผลต่อความมั่นคงของโลก เพราะการที่เราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาตินั้นจะลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจกหรือภาวะโลกร้อน” นายสุทธิพงษ์ กล่าว ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวย้ำว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระประสงค์อันแรงกล้า โดยทรงแสดงออกทุกวิถีทางในการทำให้พี่น้องคนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ เช่น เมื่อครั้งเสด็จทรงงานในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ และเมื่อผู้ประกอบการทูลเกล้าฯ ถวายผืนผ้าสวย ๆ งาม ๆ และเมื่อทรงตรัสถามจนได้ทราบว่าผ้านั้นใช้สีเคมี พระองค์ท่านจะทรงปฏิเสธแบบตรงไปตรงมา ว่าไม่รับ และขอให้ช่วยกลับไปทอ โดยใช้ผ้าที่ใช้สีธรรมชาติ แล้วค่อยนำมาถวายใหม่ กลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการใช้สีเคมีในการทอผ้ามาสู่การใช้สีธรรมชาติ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงอนาคตของการดำรงชีวิตของประชาชน จึงพระราชทานแนวพระดำริเรื่อง “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ผ่านกระทรวงมหาดไทย ทั้งการน้อมนำแนวพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านสิ่งแวดล้อม การดูแลรักษาศิลปวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ เช่น การบริหารจัดการขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังจะรับรองในวันที่ 28 ก.พ. 66 นี้ว่าถังขยะเปียกสามารถนับจำนวนหน่วยการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยายกาศของโลกเป็นคาร์บอนเครดิตได้ รวมถึงการลดความหิวโหย ความอดอยาก และการสร้างความเท่าเทียม ทำให้ผู้คนในหมู่บ้าน/ชุมชน องค์กร สถาบันการศึกษา และพี่น้องประชาชน มาเป็น Partnership ทำสิ่งที่ดี เพื่อ Change for Good เฉกเช่นที่พวกเรามาพร้อมหน้ากันในวันนี้ ด้วยความภาคภูมิใจ นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณคุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ศ.ดร.ชนาธิป ผาริโน อ.ประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพวกเราชาวมหาดไทยทุกคน ที่เพียรพยายามเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำให้เราลดก๊าซเรือนกระจก ร่วมกันก้าวไปสู่อนาคตที่ทำให้โลกใบนี้อยู่คู่กับลูกหลานของเรา อันเป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเราเดินไปข้างหน้าพร้อมกับนานาชาติในการขับเคลื่อน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 7 ภาคีเครือข่าย ขับเคลื่อนด้วยคำมั่นสัญญาว่า “เราจะใช้เวลาที่มีอยู่ทุกนาทีเพื่อช่วยกัน Change for Good เพื่อให้โลกของเราเป็นโลกที่น่าอยู่ เป็นโลกที่คนทุกคนอาศัยอย่างมีความสุข ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตไปพร้อม ๆ กันกับ UN และ 7 ภาคีเครือข่ายตลอดไป” ด้าน นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่เป็นผู้นำการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างสองกระทรวงในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาการลดภาวะโลกร้อนให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างเร็วมากขึ้น เพราะภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมประเทศไทยและโลกใบนี้ การทำในวันนี้เป็นการทำในระดับฐานรากที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญคือประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 “การดำเนินงานในวันนี้เป็นการเพิ่มกระบวนการและเพิ่มสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากเป็นการช่วยโลกแล้ว ยังเป็นการช่วยเศรษฐกิจฐานรากของประชาชน สอดคล้องกับแนวทางด้านการค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในแถบยุโรปกำลังจะตั้งภาษีด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อกีดกันสินค้าต่าง ๆ ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสินค้าที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ ทำให้เห็นว่าประเทศเราได้ริเริ่มการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ก้าวนำไปพร้อมกับหลายประเทศในโลกแล้ว จึงต้องขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชน ที่ได้นำมาตรการดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสินค้า “ผ้าไทยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” อันหมายความว่าหลังจากนี้ต่อไป “ผ้าไทย” นอกจากมีคุณค่าต่อชุมชน/สังคม และมีคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนแล้ว ยังทำให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มโอกาสการแข่งขันด้านการตลาดกับประเทศต่าง ๆ และนำมาซึ่งรายได้ของเกษตรกรที่มีความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทยในการพัฒนาด้วยความมั่นคง มั่นคั่ง สู่อนาคตที่ยั่งยืน” รองปลัด ทส. กล่าว ขณะที่ นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่เป็นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลในการมองเห็นความสำคัญของก้าวที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งกิจกรรมในวันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการริเริ่มการทดสอบการวัดค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนของกระบวนการผลิตผ้าไทย โดยใช้มาตรฐานสากลที่กำหนดโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) การประเมิน Carbon Footprint จากการผลิตสิ่งทอในระดับท้องถิ่น อันเป็นกุญแจสำคัญในการลดการปล่อยมลพิษอย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงขั้นตอนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ซึ่งหลายประเทศในสหภาพยุโรปได้ดำเนินการประเมินและกำหนดค่ามาตรฐาน Carbon Footprint ในกระบวนการผลิตสิ่งทอแล้ว “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นผู้สนับสนุนการเสริมพลังชุมชนและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงริเริ่มการนำสีย้อมธรรมชาติ ลวดลายผ้าใหม่ ๆ และการออกแบบในรูปแบบใหม่ ๆ มาสู่พสกนิกรชาวไทย โดยคงอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยไว้ และยังทรงสนับสนุนการยกระดับฝีมือแรงงานหัตถกรรม โดยการนำนักออกแบบแฟชั่นระดับชั้นนำมาทำงานร่วมกับกลุ่มสตรีทอผ้า ทำให้โครงการนี้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับตลาด ส่งผลให้เกิดการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนสำหรับผู้หญิงในชุมชนและครอบครัวของพวกเขา ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในเชิงเศรษฐกิจและการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งตนได้เห็นถึงพระบารมีและกรุณาธิคุณที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ในการตามเสด็จพระองค์ทรงงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พัทลุง และการมีโอกาสลงพื้นที่ที่จังหวัดสมุทรสาครเมื่อไม่นานมานี้ อันเป็นเครื่องตอกย้ำว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตผ้าไทยให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย และในอีกไม่นานก็จะสามารถแข่งขันกับสินค้าระดับไฮเอนด์ได้” นางกีต้ากล่าวเน้นย้ำ “การดำเนินการในเรื่องนี้จะส่งผลให้เกิดการก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การผลิตผ้าไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่จะได้รับการยอมรับในระดับโลกต่อไป นอกจากนี้จะยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วน เนื่องจากภาคส่วนสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มทั่วโลกคิดเป็นสัดส่วนระหว่างร้อยละ 6 - ร้อยละ 8 ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดทั่วโลก และจะเป็นประโยชน์ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างมากอีกด้วย เพราะสตรีไทยผู้ทอผ้าเกือบ 2,000,000 คนที่ทำงานผ่านกลุ่มทอผ้ากว่า 100,000 กลุ่มที่ผลิตผ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการดำเนินการนี้ นอกจากนี้ ต้องขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้ดำเนินการสนับสนุนการคัดแยกขยะทั่วประเทศ และความร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน อ้างอิงจากการตรวจติดตามคุณภาพโดยหน่วยงานภายนอกนั้น แสดงให้เห็นว่าการขยายมาตรการการแยกขยะและการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนไปยังกว่า 12 ล้านครัวเรือนจะนำไปสู่การลดคาร์บอนกว่า 530,000 ตัน และเกิดเป็นคาร์บอนเครดิต โดยคาร์บอนเครดิตเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนยกระดับการคัดแยกขยะในชุมชนและการทำปุ๋ยหมักชีวภาพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ สหประชาชาติและกระทรวงมหาดไทยจะได้ร่วมมือเป็น Partnership กันเพื่อสร้างประโยชน์และการมีส่วนร่วมที่สำคัญในการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนในระยะยาวและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษ ในขณะเดียวกันก็จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนทางสังคมให้กับผู้คนหลายล้านคนในอีกหลายปีข้างหน้า” นางกีต้าฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ (กชย.) ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้แทนหน่วยงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยร่วมเป็นกรรมการ ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซึ่งเป็นที่ปรึกษา กชย. เข้าร่วมการประชุม ในวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุมบุญเลื่อน กรมเจ้าท่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า พระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 มาตรา 64/21 กำหนดให้มี กชย. โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมเป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทาง มาตรการ และเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย เห็นชอบร่างแผนการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ โดยคำนึงถึงมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติของ ICAO กำหนดมาตรการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอากาศยานที่อยู่ในภาวะอันตราย รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย และออกประกาศหรือคำสั่งเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ทั้งกระบวนการและวิธีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนดให้จัดการประชุม กชย. ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ตามหน้าที่และอำนาจของ กชย. ดังนี้ 1.รับทราบรายงานภาพรวมภารกิจด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยประจำปี พ.ศ. 2565 ดังนี้ 1.1การพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ICAO และตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (สกชย.) จัดทำแผน การดำเนินงานเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนางานด้านการค้นหาและช่วยเหลือฯ และเตรียมความพร้อม รับการตรวจสอบจาก ICAO ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาตรวจสอบประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ต่อไป 1.2การประชุมระหว่างประเทศด้านการค้นหาและช่วยเหลือ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกของ ICAO และองค์กรการค้นหาและช่วยเหลือด้วยการใช้ดาวเทียมระหว่างประเทศ (International Satellite System for Search and Rescue หรือองค์การ COSPAS-SARSAT) โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กระทรวงคมนาคม โดย สกชย. ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศในด้านการค้นหา และช่วยเหลือฯ ด้วยระบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 8 ครั้ง โดย สกชย. ได้นำผลสรุปที่ได้จากการประชุมระหว่างประเทศข้างต้น มาพัฒนาปรับปรุงระบบการค้นหาและช่วยเหลือฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติของ ICAO และองค์กร COSPAS-SARSAT และสร้างความเชื่อมั่น สำหรับเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไป 1.3สรุปการรับแจ้งอากาศยานประสบเหตุ ซึ่ง สกชย. ในฐานะศูนย์ประสานงานการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ประสานงานฯ ตลอด 24 ชั่วโมง และได้สรุปจำนวนการรับแจ้งอากาศยานประสบเหตุปี 2562 จำนวน 112 ครั้ง ปี 2563 จำนวน 33 ครั้ง ปี 2564 จำนวน 28 ครั้ง และปี 2565 จำนวน 83 ครั้ง ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ช่วงระหว่างปี 2563 จนถึงกลางปี 2564 ได้มีการปิดประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมการบิน มีการชะลอตัวและหยุดบิน ส่งผลให้จำนวนการแจ้งอากาศยานประสบเหตุลดลงตามไปด้วย และเมื่อสถานการณ์โรค COVID-19 เริ่มคลี่คลายและเริ่มมีการเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2564 ส่งผลให้มีเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้จำนวนการรับแจ้งเหตุสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดีเมื่อเปรียบเทียบภาพรวมระหว่างปี 2565 กับปี 2562 (ก่อน COVID-19) พบว่าจำนวนการแจ้งเหตุลดลงถึงประมาณร้อยละ 26 ทั้งนี้ สกชย. ได้ประเมินระดับของปฏิบัติการ และดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินตามแผนการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย และประสานแจ้งสำนักงานคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยาน เพื่อดำเนินการหาสาเหตุและวิธีป้องกันต่อไป 2.รับทราบรายงานผลการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2565 (SAREX 2022) ครั้งที่ 42 โดยมีกองทัพเรือ เป็นแกนกลาง กระทรวงคมนาคม โดย สกชย. เป็นฝ่ายเลขานุการ สถาบันการบินพลเรือนเป็นหน่วยงานประเมินผลการฝึกซ้อมฯ และจัดทำรายงานสรุปผลการประเมินผล ตลอดจนข้อเสนอแนะ ซึ่งมีผลการประเมินในภาพรวมในเกณฑ์ดี โดยได้รับคะแนนเฉลี่ย 4.27 (เต็ม 5.00) หรือร้อยละ 91.10 แสดงให้เห็นถึงภาพรวมความสำเร็จของการฝึกซ้อมฯ ในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบการค้นหาและช่วยเหลือฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจะนำข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับใช้ เพื่อพัฒนางานด้านการค้นหาและช่วยเหลือฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลตามที่ ICAO และ กพท. กำหนด และนำมาปรับใช้ในการฝึกซ้อม SAREX 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้ครอบคลุมและดียิ่งขึ้นต่อไป 3.รับทราบการลงนามความตกลงอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางอากาศและทางทะเล (ASEAN Agreement on Aeronautical and Maritime Search and Rescue Cooperation) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก โดยรัฐบาลไทยได้มีการลงนามในร่างความตกลงฯ ดังกล่าว ในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ASEAN Transport Minister Meeting : ATM) ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 16 - 17 ตุลาคม 2565 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งความตกลงฯ นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขข้อบกพร่อง (Finding) ที่ได้รับจาก ICAO เมื่อปี พ.ศ. 2558 รวมถึงสอดคล้องกับแผนพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานตามที่ ICAO กำหนด ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ ดังกล่าว ขณะนี้ ได้มีการเวียนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนลงนามความตกลงฯ ครบทุกประเทศแล้ว โดยกระทรวงคมนาคมจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบัน เมื่อ ครม. เห็นชอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะส่งมอบสัตยาบันสารให้แก่เลขาธิการอาเซียน ก่อนความตกลงฯ จึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไป 4.เห็นชอบในหลักการร่างเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย (Bangkok Search and Rescue Region : Bangkok SRR) ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย ที่มีรองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยร่วมเป็นอนุกรรมการ เสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการ สกชย. ดำเนินการจัดทำข้อตกลงกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ประเทศเพื่อนบ้านที่มีเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลือฯ ติดกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการด้านการค้นหาและช่วยเหลือให้ครอบคลุมเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย ก่อนนำเสนอ กชย. พิจารณา ในโอกาสต่อไป 5.อนุมัติจัดการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยประจำปี 2566 (ครั้งที่ 43) โดยมอบหมายให้ กองทัพบก เป็นแกนกลางในการฝึกซ้อมฯ และมอบหมายให้ สถาบันการบินพลเรือน เป็นหน่วยงานประเมินผลฯ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนการฝึกซ้อมฯ ให้ประสบความสำเร็จ เป็นไปตาม พ.ร.บ. การเดินอากาศ มาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติของ ICAO และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหน่วยค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานอนุกรรมการฯ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลจาก กฎ ระเบียบ เอกสารมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติ แผนการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง และกำหนดหน่วยงานหลัก สิ่งอำนวยความสะดวกและที่ตั้งของหน่วยค้นหา และช่วยเหลือ (Search and Rescue Unit : SRU) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของ ICAO และ กพท. โดยคำนึงถึงคุณสมบัติ และขีดความสามารถในการค้นหาและช่วยเหลือฯ ภายในเขตความรับผิดชอบในการค้นหาและช่วยเหลือฯ ก่อนเสนอร่างหน่วยค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทย ในระดับปฏิบัติการให้ กชย. พิจารณากำหนดหน่วยค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของประเทศไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65198
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.อยุธยา สั่ง กสร. ลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุทันที
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 รมว.เฮ้ง ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.อยุธยา สั่ง กสร. ลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุทันที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตพลาสติก จ.พระนครศรีอยุธยา สั่ง กสร. ลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุทันที เชิญนายจ้างพบ 21 กุมภาฯนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตพลาสติก จ.พระนครศรีอยุธยา สั่ง กสร. ลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุทันที เชิญนายจ้างพบ 21 กุมภาฯนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติก จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า เบื้องต้นผมได้รับรายงานจากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 1 (พระนครศรีอยุธยา) เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 12.00 น. จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณด้านนอกตัวอาคารและเป็นจุดที่วางชิ้นส่วนของถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป โดยเพลิงเริ่มลุกไหม้จากทุ่งหญ้าข้างกำแพง จากนั้นลุกลามไปติดไฟเบอร์ชิ้นงาน หน่วยดับเพลิงท้องถิ่นสามารถสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในเวลา 13:00 น. และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า มีเพียงชิ้นงานที่ได้รับความเสียหาย ไม่มีลูกจ้างได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตามผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 1 (พระนครศรีอยุธยา) ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ และเชิญนายจ้างมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อตรวจสอบว่า นายจ้างมีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 หรือไม่ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก บริเวณคลองเปลี่ยน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กำชับหน่วยงานเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก บริเวณคลองเปลี่ยน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กำชับหน่วยงานเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก บริเวณคลองเปลี่ยน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กำชับหน่วยงานเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน ยืนยันรัฐบาลจริงใจแก้ไขปัญหา นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 16.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากบริเวณคลองเปลี่ยน พื้นที่รอยต่อตำบลเปลี่ยน และตำบลเทพราช อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช สืบเนื่องจากเมื่อเกิดฝนตกหนักทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน และเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้ง และสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในพื้นที่เป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้น เพื่อลดความรุนแรงและบรรเทาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเปลี่ยนได้ดำเนินการก่อสร้างทางน้ำล้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับราษฎรในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง แต่ทางน้ำล้นดังกล่าวได้เกิดการชำรุดเสียหายเนื่องจากการเกิดอุกทกภัย ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาแก้ปัญหาดังกล่าว องค์การบริหารส่วนตำบลเปลี่ยน จึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างทางน้ำล้นสายเขาทราย-อ่าววาโย หมู่ที่ 7 ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรงมากขึ้น โดยองค์การบริหารส่วนตำบลเปลี่ยนจึงได้ขอรับสนับสนุนงบประมาณผ่านสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 8 กรมทรัพยากรน้ำ เพื่อบรรเทาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่โดยเร็ว ภายหลังรับฟังบรรยายสรุป และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากบริเวณคลองเปลี่ยน นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ และมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนมาตลอดเวลา นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเราได้มารวมตัวกัน ณ ที่ตรงนี้ ซึ่งขณะนี้มีรุ้งกินน้ำอยู่บนท้องฟ้าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ถือเป็นความโชคดีของทุกคน นายกรัฐมนตรีย้ำว่าดีใจที่ได้มาพบปะกับทุกคน คนนครศรีธรรมราชเป็นคนมีน้ำใจ สังคมครอบครัวไทยเป็นสังคมใหญ่ ขอให้รักษาสถาบันครอบครัว อย่าให้ใครมาทำร้าย และนายกรัฐมนตรีฝากให้ผู้ปกครองช่วยสนับสนุนบุตรหลาน ส่งเสริมเยาวชนให้เรียนสายอาชีพกันมาก ๆ เพราะการเรียนสายอาชีพ เมื่อจบแล้วมีงานทำ พร้อมกับขอให้พัฒนาฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานเพื่อให้ได้ค่าแรงสูงขึ้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะทักทายกับชาวบ้านที่มาให้การต้อนรับ และร่วมถ่ายรูปกับเด็กนักเรียนอย่างเป็นกันเอง ทั้งนี้ นายกฯ ได้ทำสัญลักษณ์มินิฮาร์ทส่งให้ชาวบ้านก่อนจะเดินทางต่อไปยังวัดเจดีย์ ตำบลฉลอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. มอบนโยบายผู้บริหาร มุ่งหวังให้ทุกคนหมั่นเรียนรู้ ไม่หยุดพัฒนาศักยภาพของตนเอง
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.อว. มอบนโยบายผู้บริหาร มุ่งหวังให้ทุกคนหมั่นเรียนรู้ ไม่หยุดพัฒนาศักยภาพของตนเอง รมว.อว. มอบนโยบายผู้บริหาร มุ่งหวังให้ทุกคนหมั่นเรียนรู้ ไม่หยุดพัฒนาศักยภาพของตนเอง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มอบนโยบายการดำเนินงานให้กับผู้บริหารและผู้อำนวยการกองสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเปล้า สป.อว. (ถนนโยธี) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกมอบนโยบายใจความโดยสังเขปว่า ขอให้บุคลากรใน สป.อว มุ่งพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่ใฝ่รู้ ทุกคนสามารถทำสิ่งที่คาดหวังได้ทุกเรื่องหากมีความตั้งใจ ขอให้ดำเนินงานไปตามเป้าหมายของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปการศึกษาให้คนในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน สร้างการศึกษาทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมนักวิจัยนานาชาติเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับโลก ภายใต้การกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนจากภาคปฏิบัติให้มากกว่าภาคทฤษฎี โดยใช้ข้อเด่นของทางด้านประเพณี ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของไทยมาประยุกต์เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อให้ได้หลักสูตรเฉพาะที่เป็นของประเทศไทย มุ่งเน้นการทำยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อให้ประเทศไทยได้พัฒนากลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2580 ทั้งนี้ยังเน้นย้ำการเรียนการสอนของผู้สูงอายุเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของโลกในปัจจุบัน ในช่วงท้ายของการประชุมศ.(พิเศษ) ดร.เอนกกล่าวว่า การเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญ อย่าหยุดเรียนรู้ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ให้กล้าคิดนอกหรอบ และมุ่งพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองเลย นำคณะร่วมงานมหกรรมบุญช้างแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว ครั้งที่ 16 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เกิดความแน่นแฟ้นอย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 พ่อเมืองเลย นำคณะร่วมงานมหกรรมบุญช้างแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว ครั้งที่ 16 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เกิดความแน่นแฟ้นอย่างยั่งยืน พ่อเมืองเลย นำคณะร่วมงานมหกรรมบุญช้างแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว ครั้งที่ 16 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เกิดความแน่นแฟ้นอย่างยั่งยืน วันนี้ (19 ก.พ. 66) นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เปิดเผยว่า จังหวัดเลยได้รับการประสานงานจากแขวงไซยะบูลี (จังหวัดไซยะบูลี) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการจัดงานมหกรรมบุญช้างไซยะบูลี ครั้งที่ 16 ประจำปี 2566 ในระหว่างวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งได้มีการประกอบพิธีเปิดไปแล้วเมื่อวานนี้ (18 ก.พ. 66) โดย นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วย นางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย และผู้แทนจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ และจังหวัดพิษณุโลก ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด โดยมี นายปริญญาเอก ไซสมพอน พมวิหาน (H.E. Dr. Xaysompone PHOMVIHANE) ประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นประธานลั่นฆ้องชัยและตัดแพรป้ายเปิดงาน และนายพงสะหวัน สิดทะวง เจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวเปิดงาน และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า งานมหกรรมบุญช้างไซยะบูลีจัดขึ้นในเดือนกุมภาของทุกปี เพื่อสืบทอดอนุรักษ์ รักษาวัฒนธรรม จารีตประเพณีอันดีงาม และวิถีการดำรงชีวิตของประชาชนและชาวเผ่าต่าง ๆ ของแขวงไซยะบูลีที่ผูกพันกับช้างมาตั้งแต่อดีต ให้ยั่งยืนเคียงคู่กับประชาชนตลอดไป สร้างโอกาสให้ช้างได้พบปะ และสืบทอดขยายพันธุ์ รวมทั้งเป็นเวทีแสดงทักษะความสามารถในการควบคุมช้างต่อสาธารณะชนและยังเป็นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของควาญช้างด้วย จึงได้หารือร่วมกันจัดงานมหกรรมบุญช้างประจำปี 2566 ขึ้นเป็นครั้งที่ 16 โดยได้นำช้างจากทุกเมือง (อำเภอ) ของแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว รวม 75 เชือก ร่วมกิจกรรม "สำหรับพิธีเปิดงานในปีนี้ เป็นขบวนแห่พลังมวลชนของ 11 เมืองของแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว ที่มีเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ขบวนแห่ของ 8 ชนเผ่าในแขวงขบวนละ 80 คน การแสดงของพลังมวลชนนักเรียน-นักศึกษา จำนวน 1,400 คน การแสดงกิจกรรมของช้างแสนรู้ 25 ตัว จำนวน 18 รายการ มีการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญช้าง และการแสดงของนักกีฬากระโดดร่ม จำนวน 15 คน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเลยได้ร่วมมอบเงินทำบุญในมหกรรมงานช้าง จำนวน 10,000 บาท และมอบวัตถุมงคล พระธาตุศรีสองรักจำลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคูเมืองที่ทั้งสองประเทศเคารพเลื่อมใสศรัทธาด้วย" ผวจ.เลย กล่าว นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมหลักของการจัดงานในปีนี้ มุ่งเน้นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับช้างและการอนุรักษ์ช้าง เช่น การแสดงของช้างแสนรู้ นอกจากนี้ในแต่ละวันจะมีกิจกรรมการแสดงสินค้าตลาดนัด ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา มีสินค้าหนึ่งเมืองหนึ่งผลิตภัณฑ์, สินค้าผลผลิตด้านการกสิกรรม (เกษตร) หัตถกรรมและอุตสาหกรรมแปรรูป ที่เป็นศักยภาพและผลงานของ 11 เมือง (อำเภอ) ในแขวงไซยะบูลี, หน่วยงานธุรกิจของภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งตัวแทนภาคประชาชน เข้าร่วมจำนวน 289 ร้าน ซึ่งการเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมของจังหวัดเลย และจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับแขวงไซยะบูลี สปป.ลาว ในครั้งนี้เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวซึ่งเป็นมิตรประเทศเพื่อนบ้าน อันจะนำมาซึ่งความรักความผูกพันและความร่วมมือกันในการดูแลประชาชนของทั้งสองประเทศ ดูแลสิ่งแวดล้อม ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี ของทั้งสองประเทศให้ยั่งยืนคู่กับโลกใบนี้ตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65159
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จับมือสถาบันอุดมศึกษา 36 แห่ง ระดมทรัพยากรและองค์ความรู้มาใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบำบัดทุกข์บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 19/02/2566 มหาดไทย จับมือสถาบันอุดมศึกษา 36 แห่ง ระดมทรัพยากรและองค์ความรู้มาใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบำบัดทุกข์บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน มหาดไทยจับมือสถาบันอุดมศึกษา 36 แห่ง ระดมทรัพยากรและองค์ความรู้มาใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบำบัดทุกข์บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน มุ่งลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร้รอยต่อ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (NSP) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาจังหวัดที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเชิงพื้นที่” ในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ครั้งที่ 1/2566 ร่วมกับ ศ.ดร.นพ. พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อธิการบดี และผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวม 36 แห่ง ร่วมในพิธี โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาจังหวัดที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเชิงพื้นที่” ร่วมกับศาสตราจารย์ ดร.นพ. พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์ นพ. บรรจง มไหสวริยะ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ รองประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย โดยมีผู้บริหารสถาบันการศึกษาเครือข่าย ทปอ. และหัวหน้าส่วนราชการจำนวนมากร่วมเป็นสักขีพยาน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีภารกิจที่สำคัญในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชนทุกคน ในฐานะผู้นำการบูรณาการงานของทุกกระทรวงในระดับพื้นที่ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านกลไก Area Base ด้วยพลังการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยที่พร้อมร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า ในรูปแบบ Change for Good ที่มีประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินงาน ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มีการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายโครงการและกิจกรรม อาทิ โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน โครงการหมู่บ้านยั่งยืนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และอีกมากมาย โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระองค์ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 ความว่า “....ถ้าทำโครงการอะไรที่ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ก็สามารถจะสร้างความเจริญให้กับเขตที่ใหญ่ขึ้นได้. เขตที่ใหญ่ ลงท้ายก็จะแผ่ทั่วประเทศได้ แต่เพื่อการนี้จะต้องมีความร่วมมืออย่างดี ระหว่างทุกฝ่าย ทั้งนักวิชาการ และนักปกครอง.” ซึ่งการลงนามความร่วมมือในวันนี้ เป็นการดำเนินการที่ตรงตามพระราชดำริอย่างแท้จริง อันเป็นแนวทางการทำงานหลักของกระทรวงมหาดไทยที่มุ่งสร้างพลังการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างสร้างสรรค์ นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาจังหวัดที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเชิงพื้นที่” ในวันนี้ มีเจตนารมณ์หลักซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญ เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยและสถาบันอุดมศึกษาเครือข่าย ทปอ. ได้ร่วมกันสร้างความร่วมมือในการบริหารจัดการที่ดี สร้างความสัมพันธ์ระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในด้านการระดมทรัพยากรมาใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะทำให้สถาบันอุดมศึกษาเครือข่ายของ ทปอ. สามารถนำบุคลากรและองค์ความรู้ มาร่วมสร้างสรรค์ผลประโยชน์ในการพัฒนาบนพื้นฐาน และแนวคิดการเชื่อมโยงภารกิจและพื้นที่ นอกจากนี้ ยังหนุนเสริมทำให้กระทรวงมหาดไทยและสถาบันอุดมศึกษาเครือข่าย ทปอ. สามารถกำหนดพื้นที่ร่วมกันในการวางแนวทางพัฒนาให้มีจุดเน้นที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำของการเติบโตในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการประสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาควิชาการและกระทรวงมหาดไทยอย่างไร้รอยต่อ เฉกเช่นที่กระทรวงมหาดไทยได้นำร่องแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยได้รับแรงสนับสนุนอย่างดีจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ซึ่งต้องขอขอบคุณท่านอธิการบดีฯ ที่ได้สนับสนุนให้ ศาสตราจารย์ ดร. สุรินทร์ คำฝอย รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล เข้ามาช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานภารกิจของกระทรวงมหาดไทยอย่างแข็งขัน “การดำเนินงานความร่วมมือต่อจากนี้ กระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในเครือข่าย ทปอ. ด้วยการมุ่งเดินหน้าบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนและพร้อมที่จะรับฟังและร่วมกันดำเนินงานในมิติต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาของพวกเขาเองอย่างสร้างสรรค์ ตามหลักการ “ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมแก้ปัญหา และร่วมรับผลประโยชน์” ที่จะเป็นพื้นฐานของการสร้างความยั่งยืนของความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวในช่วงท้าย ด้าน ศ.ดร.นพ. พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล ประธาน ทปอ. กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานหลักของประเทศที่มีบทบาทภารกิจในการส่งเสริมความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย และความมั่นคงภายใน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในเชิงพื้นที่ (Area Base) เป็นสำคัญ และในขณะเดียวกัน ทปอ. ก็เป็นเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐที่มีบทบาทหน้าที่ในการชี้แนะเชิงนโยบายแก่รัฐบาล สังคม ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้วยการวิจัยและพัฒนาแล้วนำเสนอการพัฒนาและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่คนไทยและประเทศไทย “การลงนามสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย และ ทปอ. ในวันนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ภาควิชาการและกระทรวงที่มีกลไกบริหารในระดับพื้นที่ ทั้งท้องที่ และท้องถิ่น หรือเรียกว่า "ฝ่ายปกครอง" จะได้บูรณาการในการพัฒนาเชิงพื้นที่และส่งเสริมการขับเคลื่อนประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนงานของส่วนราชการ บนพื้นฐานแนวคิดของการเชื่อมโยงภารกิจและพื้นที่ (Function-Area-Approach) เข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน” ประธาน ทปอ. กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65158
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเชิญชวนผู้ประกอบการไทย ใช้สิทธิ์ยื่นกู้สินเชื่อ Soft Loan ‘Re-Open’ ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% คงที่ 2 ปี สวนกระแสดอกเบี้ยขาขึ้น รองรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ออมสินเชิญชวนผู้ประกอบการไทย ใช้สิทธิ์ยื่นกู้สินเชื่อ Soft Loan ‘Re-Open’ ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% คงที่ 2 ปี สวนกระแสดอกเบี้ยขาขึ้น รองรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว สินเชื่อ Soft Loan Re-Open อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก 1.99% คงที่ 2 ปีแรก และสวนกระแสของภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ โดยสามารถรับข้อเสนอและเงื่อนไขพิเศษได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 มิ.ย.2566 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้นและกลับมามีกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สามารถดำเนินกิจการและให้บริการอย่างราบรื่น คล่องตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนหรือสภาพคล่อง ธนาคารออมสินจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม และ Supply Chain ของโรงแรม ร้านอาหาร และกลุ่มผู้ประกอบการที่มีเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของท้องถิ่น ใช้บริการสินเชื่อ Soft Loan Re-Open อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก 1.99% คงที่ 2 ปีแรก และสวนกระแสของภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในขณะนี้ โดยสามารถรับข้อเสนอและเงื่อนไขพิเศษได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 นี้เท่านั้น สินเชื่อ Soft Loan Re-Open เปิดให้กู้เพื่อนำเงินไปปรับปรุง ซ่อมแซมสถานประกอบการ จัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง โดยผู้กู้ต้องเป็นผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลที่มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุดถึง 5 ล้านบาท และมีระยะเวลากู้ได้นาน 10 ปี สามารถใช้หลักทรัพย์ หรือ บสย. อย่างใดอย่างหนึ่งในการค้ำประกันได้เต็มวงเงินกู้ หรือจะเลือกใช้ทั้งหลักทรัพย์และ บสย. ร่วมกันค้ำประกันก็ได้ คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก เพียง 1.99% ต่อปี โดยปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกัน และได้รับสิทธิพิเศษปลอดชำระเงินต้นเป็นเวลานานสูงสุดถึง 2 ปี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB SME Call Center โทร. 02-2998899, GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society โดยธนาคารออมสินไม่มีนโยบายเชิญชวนให้ยื่นกู้ทางโซเชียลมีเดียหรือลิงก์ส่งทาง SMS แต่อย่างใด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย.-อภ.จับมือ มูลนิธิกสิกรไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมพัฒนาวิจัยพืชเป็นยา ในโครงการน่านแซนด์บอกซ์
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อย.-อภ.จับมือ มูลนิธิกสิกรไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมพัฒนาวิจัยพืชเป็นยา ในโครงการน่านแซนด์บอกซ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ 3 ฉบับ 6 หน่วยงาน สนับสนุนวิจัยพัฒนา พืชเป็นยาในพื้นที่ป่าโครงการน่านแซนด์บอกซ์ ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกพืชสมุนไพรเพื่อผลิตยาอย่างมีมาตรฐาน สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ควบคู่การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ 3 ฉบับ 6 หน่วยงาน สนับสนุนวิจัยพัฒนา พืชเป็นยาในพื้นที่ป่าโครงการน่านแซนด์บอกซ์ ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกพืชสมุนไพรเพื่อผลิตยาอย่างมีมาตรฐาน สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ควบคู่การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ โดยมี องค์การเภสัชกรรมและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นหน่วยงานสนับสนุน วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ธนาคารกสิกรไทย อาคารราษฎร์บูรณะ กทม. นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฉบับ 6 หน่วยงาน เพื่อสนับสนุนโครงการน่านแซนด์บอกซ์ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือในการพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืช ระหว่างมูลนิธิกสิกรไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ศลช.),บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการร่วมพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืช ระหว่างมูลนิธิกสิกรไทย กับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ในการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืชยา ระหว่างมูลนิธิกสิกรไทยกับ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า โครงการน่านแซนด์บอกซ์ เป็นโครงการที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการสูญเสียป่าน่านซึ่งเป็นป่าต้นน้ำชั้นหนึ่งของประเทศ โดยเน้นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนให้มีชีวิตที่ดีไปพร้อมกับการฟื้นคืนป่า และมีการสร้างนวัตกรรม นวเกษตร-พฤกษเภสัช ให้เป็นห่วงโซ่มูลค่าใหม่ จากต้นน้ำ คือ พืชยาที่ชาวบ้านปลูกใต้ป่า สู่สินค้า คือ ยาที่พัฒนาจากพืชที่มูลค่าสูงเพียงพอที่จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้สูงขึ้นอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน ซึ่งการพัฒนายาจากพืชให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการของตลาดต้องมีความปลอดภัย คุณภาพ ประสิทธิภาพ และข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน มีทะเบียนยาถูกต้องตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งต้องมีความร่วมมือจากหลายภาคส่วน นำมาสู่การลงนามความร่วมมือในวันนี้ โดยหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามความร่วมมือ 2 ฉบับใน 3 ฉบับ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ อย. จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำการยกระดับมาตรฐานการวิจัยและผลิต รวมถึงการขึ้นทะเบียนเป็นยาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และ อภ.จะให้การแนะนำ สนับสนุนตลอดห่วงโซ่จนถึงการจัดจำหน่าย “เรื่องสมุนไพรถือเป็นโจทย์สำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีสมุนไพรพื้นบ้านต้องทำให้ชาวบ้านได้ปลูก และนำมาพัฒนาเป็นภูมิปัญญาและผลิตภัณฑ์ ลดการนำเข้า เพิ่มการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งความร่วมมือในโครงการนี้ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งให้ คนไทยสุขภาพดี เศรษฐกิจมั่งคั่ง : Health for Wealth โดยปัจจุบันเรามีรากฐานที่แข็งแกร่งด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งเรื่อง Medical Hub เป็นศูนย์การแพทย์ที่ดูแลชาวต่างชาติ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีความหลากหลายและต่างประเทศให้ความสนใจมาก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะได้ร่วมกันพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาสมุนไพรได้คุณภาพสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน” นายแพทย์โอภาสกล่าว ***************************************** 20 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​วธ. เตรียมจัดมาฆบูชา 4-6 มี.ค. 2566 เชิญชวนพุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุประจำปีเกิด และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 66 รูปที่ลานคนเมือง
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ​วธ. เตรียมจัดมาฆบูชา 4-6 มี.ค. 2566 เชิญชวนพุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุประจำปีเกิด และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 66 รูปที่ลานคนเมือง ​วธ. เตรียมจัดมาฆบูชา 4-6 มี.ค. 2566 เชิญชวนพุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุประจำปีเกิด และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 66 รูปที่ลานคนเมือง Walk Rally 9 มงคล สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเวียนเทียนที่วัดสุทัศนเทพวราราม เเละลานคนเมือง วธ. เตรียมจัดมาฆบูชา 4-6 มี.ค. 2566 เชิญชวนพุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุประจำปีเกิด และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 66 รูปที่ลานคนเมือง Walk Rally 9 มงคล สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเวียนเทียนที่วัดสุทัศนเทพวราราม เเละลานคนเมือง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหลักการที่สำคัญยิ่ง เรียกว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่สอนให้ละเว้นความชั่ว หมั่นทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ วันมาฆบูชาในปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้กำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา พุทธศักราช 2566 ขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ โดยในส่วนกลาง ร่วมกับวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา จัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 4 – 6 มีนาคม 2566 ประกอบด้วย พิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ สักการะพระธาตุประจำปีเกิด 12 ปีนักษัตร พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 66 รูป จัดแสดงนิทรรศการวันมาฆบูชา กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ได้แก่ การประกวดบรรยายธรรม การประกวดสุนทรพจน์ การประกวดอาราธนาศาสนพิธี และกิจกรรม “มีเทศน์ มี talk” จากพระธรรมวิทยากรเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี เกมคุณธรรม และตอบปัญหาธรรมะ การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม จากศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ชมภาพยนตร์ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชน ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และในวันที่ 6 มีนาคม 2566 จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เวียนเทียน และกิจกรรม Walk Rally 9 มงคล สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดสุทัศนเทพวราราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจัดทำบัตรอวยพรวันมาฆบูชาออนไลน์ (E-Card) และเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมตอบปัญหาธรรมะออนไลน์ ผ่านทาง www.dra.go.th อีกด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวต่อว่า ในส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด องค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ บูรณาการการจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ระหว่างวันที่ 1 – 6 มีนาคม 2566 ตามบริบทของแต่ละจังหวัด ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในมิติศาสนา ในรูปแบบสื่อสร้างสรรค์ กิจกรรมสืบสานเทศกาล ประเพณี และวัฒนธรรม นำวิถีถิ่น วิถีไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาค และส่งเสริมต่อยอดผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญา ความเชื่อ เคารพศรัทธาเชิงสร้างสรรค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวต่ออีกว่า ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อน้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.30 น. ณ อาคารอำนวยการและผู้ป่วยนอก ชั้น G โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โดยมีนายแพทย์พงษ์พจน์ ธีรานันตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนมารอให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีในโครงการเพิ่มศักยภาพการบริหารทางการแพทย์สู่ความเป็นเลิศในเขตภาคใต้ตอนบน โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช พร้อมขอบคุณแพทย์และพยาบาลที่ร่วมมือกันพัฒนาต่อยอดโรงพยาบาลแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพ โดยเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การดูแลรักษาสุขภาพย่อมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งประชาชนต้องดูแลรักษาตัวเองอยู่เสมอ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วง พร้อมฝากเตือนประชาชนว่าอย่าซื้อยาบำรุงต่าง ๆ ตามโฆษณาทางโซเชียลมารับประทานเอง มีทั้งราคาแพงและอันตราย โดยขอให้กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนด้วย พร้อมทั้งขอให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในโรงพยาบาล เช่น การบริการ Tele Medicine Video Call ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านระบบ Line Video Call แบบส่วนตัว และมีบริการจัดส่งยาให้ถึงบ้าน ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวก และมั่นใจเสมือนการมารับบริการที่โรงพยาบาลอีกด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีทักทายประชาชนที่มารอให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ซึ่งสร้างรอยยิ้มและเสียงเรียกลุงตู่ เรารักลุงตู่ โดยนายกฯ ได้ตอบกลับว่า รักคนใต้ รักคนนครฯ มาด้วยใจรักและคิดถึง ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อไปยังวัดยางใหญ่ ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช สำหรับโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลศูนย์ระดับ A ขนาด 1,000 เตียง เปิดให้บริการ 800 เตียง เป็น Excellent center ด้านหัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด และเตรียมพัฒนาเป็นศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์สาขาสุขภาพช่องปาก (Excellent center) ในระดับกระทรวงสาธารณสุข มีศักยภาพในการรักษาโรคที่ซับซ้อนอย่างครบวงจร ได้แก่ ศูนย์อุบัติเหตุ หน่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยกลุ่มโรคมะเร็ง ศูนย์สลายนิ่ว หน่วยไตเทียม ศูนย์รังสีรักษา ดูแลประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน รับส่งต่อผู้ป่วยจากจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 11 รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงในเขตภาคใต้ตอนบนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงทำให้โรงพยาบาลประสบปัญหาระบบบริการทางด้านอาคารสถานที่และขาดแคลนครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อให้บริการผู้ป่วย ดังนั้น โรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาสุขภาพประชาชนอย่างครบวงจร ให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงการรับบริการได้อย่างทันท่วงที โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณโครงการเพิ่มศักยภาพบริการทางการแพทย์สู่ความเป็นเลิศในเขตภาคใต้ตอนบน โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จากทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยการออกสลากพิเศษการกุศล จำนวนเงินทั้งสิ้นรวม 722 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างครบวงจร จำแนกเป็นสิ่งก่อสร้าง อาคารผู้ป่วยใน 5 ชั้น อาคารทันตกรรม 5 ชั้น อาคารจอดรถและศูนย์อาหาร 8 ชั้น และครุภัณฑ์ต่าง ๆ และอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการเพิ่มเติมในระยะที่ 2 ได้แก่ อาคารนิติเวช 5 ชั้น และครุภัณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม งบประมาณรวม 270 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการรักษาพยาบาลที่เป็นเลิศทางการแพทย์ และพัฒนาบุคลากรสู่ระดับมืออาชีพ เพื่อก้าวสู่ Hub การแพทย์ชั้นนำในระดับสากล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ (19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 18.00 น.) พลเอก นุชิต ศรีบุญส่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ พระอุโบสถ วัดชินวราราม วรวิหาร จังหวัดปทุมธานี โดยได้นำกำลังพลและครอบครัว พร้อมพุทธศาสนิกชนน้อมใจกันสวดมนต์บูชาธรรม อธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดีขอให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยเร็วและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยตลอดกาลนิรันดร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน มอบธงโรงงานสีขาว เชิดชู 10 สถานประกอบกิจการ ต้นแบบป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 กระทรวงแรงงาน มอบธงโรงงานสีขาว เชิดชู 10 สถานประกอบกิจการ ต้นแบบป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กระทรวงแรงงาน มอบธงโรงงานสีขาว เชิดชู 10 สถานประกอบกิจการ ต้นแบบป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบธงและประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการต้นแบบ 10 แห่ง ณ ห้องประชุมอมตะคาสเซิล นิคม อมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี สร้างแรงบันดาลใจสถานประกอบกิจการให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานตระหนักถึงปัญหายาเสพติดที่เป็นภัยร้ายและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน รวมถึงการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานประกอบกิจการ โดยให้ความสำคัญกับการจัดการ และหยุดยั้งปัญหาดังกล่าว ผ่านการมีส่วนร่วมของนายจ้างและแรงงานในสถานประกอบกิจการ โครงการโรงงานสีขาวเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ต้องการให้สถานประกอบกิจการสร้างระบบหรือกลไกในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ที่ครอบคลุมทั้งการสร้างจิตสำนึกที่ดี การป้องกัน เฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจสุขภาพและดูแลสุขภาวะทางอารมณ์ของแรงงาน การให้ความช่วยเหลือแรงงานที่เป็นผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ได้มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา และกลับเข้าทำงานตามปกติเพื่อคืนคนดีสู่สังคม และร่วมจัดทำระบบการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งประโยชน์ที่สถานประกอบกิจการจะได้รับ คือ ปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการได้รับการป้องกันและแก้ไข แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีภูมิคุ้มกันยาเสพติด และสถานที่ทำงานเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากยาเสพติด โดยผลการดำเนินตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน ส่งผลให้ปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการทั่วประเทศเข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การประเมินระบบการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน 72,992 แห่ง แรงงานมีภูมิคุ้มกันยาเสพติด 7,557,826 คน และคาดว่าในปี 2566 จะมีสถานประกอบกิจการเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า การมอบธงโรงงานสีขาวและประกาศเกียรติคุณ โครงการโรงงานสีขาว ป้องกันปัญหายาเสพติดในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติ สถานประกอบกิจการที่จัดทำระบบการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการทั่วประเทศ ในการดูแลคุณภาพชีวิตแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลจากยาเสพติด ตลอดจนดูแลให้สถานที่ทำงานเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากยาเสพติด ซึ่งมีสถานประกอบกิจการต้นแบบที่ได้รับมอบธงโรงงานสีขาวและประกาศเกียรติคุณ จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด 2.บริษัท ทสึจิย่า (ประเทศไทย) จำกัด 3.บริษัท ทาคาเบะ (ไทยแลนด์) จำกัด 4.บริษัท ทีบีเคเค (ประเทศไทย) จำกัด 5.บริษัท ไทย ไดโซ แอโรโซล จำกัด 6.บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์พาร์ทแมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 7.บริษัท ศารายา เอ็มเอฟจี (ไทยแลนด์) จำกัด 8.บริษัท สยาม เคียวซัน เด็นโซ่ จำกัด 9.บริษัท สยาม เด็นโซ่ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และ 10.บริษัท เอจีซี ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผลสำเร็จของการจัดโครงการโรงงานสีขาวป้องกันปัญหายาเสพติด จะเป็นประโยชน์แก่สถานประกอบกิจการทั่วประเทศ ในการจัดทำระบบการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวทางโครงการโรงงานสีขาว อันจะส่งผลให้แรงงานในสถานประกอบกิจการมีภูมิคุ้มกันยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจงกรณีพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ อภิปรายพาดพิง รฟท.
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รฟท. ชี้แจงกรณีพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ อภิปรายพาดพิง รฟท. การลงบันทึกบัญชีที่ดินบ้านโพธิ์มูลครบถ้วนแต่ไม่ลงบันทึกบัญชีที่ดินเขากระโดง ทั้งที่มีคดีพิพาทกับชาวบ้านเหมือนกัน ตามที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ ได้อภิปราย เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 พาดพิงถึง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับที่ดินบ้านโพธิ์มูล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และที่ดินเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ความว่า “รฟท. ได้มีการลงบันทึกในทะเบียนสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ของรฟท. ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ระบุเกี่ยวกับ ที่ดินบ้านโพธิ์มูล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งที่มีกรณีพิพาทอยู่กับชาวบ้านเช่นเดียวกันกับที่ดินบริเวณเขากระโดง แต่ไม่มีการลงบันทึกที่ดินบริเวณเขากระโดง ในทะเบียนสินทรัพย์ตามมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 16 ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงถึงข้อแตกต่างในการบันทึกบัญชีที่ดินดังกล่าว รฟท. จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ ​​ที่ดินบ้านโพธิ์มูล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี รฟท. ได้ดำเนินการนำลงบันทึกในทะเบียนสินทรัพย์ ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 รายงานรายละเอียดและมูลค่าสินทรัพย์ถาวร ณ วันที่ 30 กันยายน 2564ดังนี้ ลำดับที่ 252 ที่ดินในย่าน รฟท. บ้านโพธิ์มูล จ.อุบลราชธานี 202.500 ไร่ (226,000 ตร.ม.) ขึ้นบัญชี 1 กรกฎาคม 2494 ลำดับที่ 630 ที่ดินนอกย่านรฟท. บุ่งหวาย - โพธิ์มูล 22.25 ไร่ (35,600 ตร.ม.) ขึ้นบัญชี 1 กรกฎาคม 2494 หลังจากนั้น ได้มีประชาชนออกโฉนด ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นการออกเอกสารสิทธิทับซ้อนกับที่ดินของรฟท. ภายหลังจากที่รฟท. ได้ลงรายงานรายละเอียดและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรของรฟท. ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2494 แล้วซึ่งปัจจุบัน ศาลจังหวัดอุบลราชธานีได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ให้เพิกถอนโฉนด และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของ รฟท. แล้ว ​สำหรับที่ดินบริเวณเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิที่ศาลปกครองกลาง จึงยังไม่สามารถลงบันทึกในทะเบียนสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 ได้ ดังนั้น ที่ดินบ้านโพธิ์มูล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ นำมากล่าวอ้างนั้น ศาลจังหวัดอุบลราชธานีได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนโฉนด และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของรฟท. แล้ว จึงไม่ได้มีลักษณะ หรือกรณีเช่นเดียวกับที่ดินบริเวณเขากระโดง ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิที่ศาลปกครองกลาง ทั้งนี้ เมื่อกระบวนการพิสูจน์สิทธิเสร็จสิ้น จึงจะสามารถดำเนินการจัดทำบันทึกรายการทรัพย์สิน ตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 16 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เดินหน้าเร่งทดสอบเดินรถจนมั่นใจ ปลอดภัย ก่อนนำมาใช้บริการจริง ลากขบวนโดยสารเข้าสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รฟท. เดินหน้าเร่งทดสอบเดินรถจนมั่นใจ ปลอดภัย ก่อนนำมาใช้บริการจริง ลากขบวนโดยสารเข้าสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เตรียมจัดหาอีก 50 คัน ลดมลพิษ ยกระดับการให้บริการประชาชนภายในปี 66 นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ รฟท. ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA จัดทดสอบการใช้งานรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปรากฏว่า นอกจากจะได้รับความสนใจ และเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนคนไทยแล้ว รถจักรคันดังกล่าวยังโด่งดังไปไกลถึงประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ที่มีการแชร์เรื่องราวของรถจักรพลังงานไฟฟ้า ลงในกลุ่มเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศของเวียดนาม ซึ่งมีการแสดงความชื่นชมยินดีกับประเทศไทย และพูดคุยแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีชาวเวียดนามบางคน มาช่วยเพิ่มเติมข้อมูล และตอบคำถามในบางประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยกัน อาทิเช่น ทำไมถึงต้องใช้รถไฟแบตเตอรี่ ซึ่งประเด็นนี้นอกจากจะใช้แบตเตอรี่ เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดโดยการยกระดับขนส่งโดยสารของเมือง และรองรับการใช้งานในระบบรถไฟฟ้ารางเบา Light Rail Transit (LRT) ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามมีหลายคนยังเห็นด้วยว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำเพียงคนเดียวอาจเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งเมื่อพัฒนาขึ้นมาได้แล้ว เทคโนโลยีนี้ก็จะอยู่กับประเทศไทยตลอดไป สำหรับรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ประเทศไทยสามารถประกอบติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำหรับรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเองได้เสร็จเมื่อปี 2565 เป็นแห่งแรกของโลก ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดมลพิษ และบรรเทาภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบขนส่งของประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle :EV) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2573 ปัจจุบันรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ได้ดำเนินการทดสอบเดินรถในเส้นทางต่างๆ แล้ว รวมถึงการทดสอบลากจูงขบวนรถโดยสารขึ้นมาบนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถือว่าประสบความสำเร็จเรียบร้อยดี ซึ่งหลังจากนี้รฟท. จะพิจารณานำไปลากจูงรถโดยสาร และรถสินค้าในโอกาสต่อไป โดยในระยะแรกจะนำรถจักรดังกล่าวมาใช้ลากเป็นรถสับเปลี่ยน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลพิษในอาคารสถานีชั้นที่ 2 ซึ่งจากผลการทดสอบของ รฟท. สามารถลากขบวนรถจากย่านสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปที่ชานชาลาสถานีที่ชั้น 2 ได้จำนวน 12 เที่ยว ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ระยะเวลาการชาร์จจนแบตเตอรี่เต็มประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นในระยะต่อไปจะทดลองวิ่งในระยะทางใกล้ เช่น ขบวนรถโดยสารชานเมือง ระยะทางประมาณ 30 – 50 กิโลเมตร และระยะทางที่ไกลมากขึ้น เช่น ขบวนรถข้ามจังหวัด ระยะทางประมาณ 100 - 200 กิโลเมตร และขบวนรถขนส่งสินค้า จาก ICD ลาดกระบัง ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น เพื่อทดสอบจนเกิดความมั่นใจและปลอดภัย อย่างไรก็ตามรถจักรคันดังกล่าว มีความเร็งสูงสุดที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากลากตู้สินค้าจะใช้ความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหากลากตู้โดยสารจะใช้ความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยการชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้ง จะมีสมรรถนะในการลากจูงระยะทาง 300 กิโลเมตร ลากตู้สินค้าน้ำหนักประมาณ 2,500 ตันได้ และตู้โดยสาร ลากได้น้ำหนักไม่เกิน 650 ตัน ขณะนี้จุดชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าดำเนินการติดตั้งที่บริเวณย่านบางซื่อ และในอนาคตมีแผนจะติดตั้งจุดชาร์จแบตเตอร์รี่ไฟฟ้าที่สถานีอื่นๆ เพิ่ม เพื่อชาร์จไฟตามแนวเส้นทางรถไฟต่อไป รองรับการใช้หัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่จะพ่วงไปกับขบวนรถโดยสาร ทั้งนี้จุดเด่นของรถจักรพลังงานไฟฟ้าดังกล่าว ได้ถูกออกแบบ และผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ด้วยนวัตกรรมระบบชาร์จ Ultra Fast Charge ในเวลา 1 ชั่วโมงในระยะแรก และ Battery Swapping Station เพื่อสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ลดเวลาการรอชาร์จ และนำมาขยายผลใช้งานในระบบขนส่งได้จริง รฟท. มั่นใจว่ารถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เป็นก้าวสำคัญที่จะพลิกโฉมการให้บริการรถไฟไทย ช่วยยกระดับการเดินทาง และการขนส่งทางราง ให้เป็นรูปแบบการคมนาคมหลักของประเทศ เป็นระบบรางไร้มลพิษ ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนขนส่งไทย ที่มุ่งสู่ความยั่งยืนทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงประชาชนชาวไทย จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะได้รับการให้บริการด้วยรถไฟฟ้าที่มีความสั่นสะเทือนน้อยลง มีความสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น เปิดโลกอนาคตของรถไฟยุคใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรก็ตามขณะนี้ รฟท. อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการจัดหารถจักร EV อีกประมาณ 50 คัน ทยอยมาให้บริการประชาชนภายในปี 66 ตามข้อสั่งการของกระทรวงคมนาคม เพื่อยกระดับการให้บริการรถไฟแก่ประชาชน ลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งหัวรถจักร EV สามารถลดต้นทุนได้ 40-60% หากเทียบกับการหัวรถจักรดีเซลในปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ปั้น อพม. Smart หนุนใช้ระบบไอที แก้ปัญหากลุ่มเปราะบางเชิงรุก
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 พม. ปั้น อพม. Smart หนุนใช้ระบบไอที แก้ปัญหากลุ่มเปราะบางเชิงรุก พม. ปั้น อพม. Smart หนุนใช้ระบบไอที แก้ปัญหากลุ่มเปราะบางเชิงรุก เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 66นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) นับเป็นเครือข่ายสำคัญในการขับเคลื่อนงานของกระทรวง พม. ในระดับพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ด้วยการให้คำแนะนำปรึกษาปัญหาสังคม ประสานให้ความช่วยเหลือพิทักษ์คุ้มครองสิทธิ ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับและการเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการของรัฐที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกระทรวง พม. อีกทั้งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานของศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลในการให้บริการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมายและการพัฒนาสังคมในระดับพื้นที่อย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จึงได้จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพ อพม. Smart สู่การขับเคลื่อนศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล ระหว่างวันที่ 17 - 18 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรม The Imperial Hotel & Convention Center จังหวัดพิษณุโลก เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. จังหวัดพิษณุโลก เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่หน่วนงานทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก ให้มีความรู้และได้รับการพัฒนาทักษะในการปฏิบัติงานเทคนิคการจัดการรายกรณี (Case Management) การใช้สมุดพกครอบครัว การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน และการใช้เครื่องมือสอบข้อเท็จจริงอิเล็กทรอนิกส์ Web Application "อพม. Smart" สำหรับการให้บริการทางสังคมเชิงรุกในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลอย่างมีประสิทธิภาพ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเป็น อพม. Smart ไม่ได้หมายความแค่การใช้เทคโนโลยีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องบ่งบอกได้ว่า คิดเป็น ทำงานเป็น บริหารงานตามยุทธศาสตร์ และคำนึงถึงความสำคัญมาก่อนความเร่งด่วน ดังนั้น สิ่งที่ท่านทำด้วยความเสียสละ ทำให้ได้รับคัดเลือกเข้าอบรมโครงการนี้ เพื่อเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของกระทรวง พม. ในการแก้ปัญหาประชาชนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ อพม. Smart ต้องสมาร์ทในมิติทางความคิด ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่สิ่งที่ต้องเก่งคือ เมื่อเจอปัญหาแล้ว จะเลือกใช้เครื่องมืออะไรในการแก้ไขปัญหาประชาชน โดยกระทรวง พม. มีหน่วยงานอยู่ทั่วประเทศดูแลกลุ่มเปราะบาง แต่ด้วยมีเจ้าหน้าที่จำนวนจำกัด จึงต้องอาศัยการทำงานของ อพม. ถึงจะทำให้งานสำเร็จได้ ซึ่งมีการสร้าง อพม. เพิ่ม แต่จะไม่สร้าง อพม. แค่ปริมาณ แต่จะต้องสร้าง อพม. คุณภาพ และสร้างให้เป็น อพม. Smart ทำงานน้อยแต่ได้ผลงานมาก ทั้งนี้ ขอขอบคุณ อพม. ทุกท่านในความมีน้ำใจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ทิพานัน” โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ผู้นำหลักประกันสุขภาพไทยเปลี่ยนผ่านสู่ “บัตรทองพรีเมียม” ได้สำเร็จ ชูทันสมัยรวดเร็ว
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ​“ทิพานัน” โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ผู้นำหลักประกันสุขภาพไทยเปลี่ยนผ่านสู่ “บัตรทองพรีเมียม” ได้สำเร็จ ชูทันสมัยรวดเร็ว “ทิพานัน” โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ผู้นำหลักประกันสุขภาพไทยเปลี่ยนผ่านสู่ “บัตรทองพรีเมียม”ได้สำเร็จ ชูทันสมัยรวดเร็ว ทั้งฟอกไตฟรี-รักษามะเร็งฟรี-รับยาร้านสะดวกซื้อฟรี-ย้ายหน่วยรักษาฟรี ได้แล้ววันนี้ ชวนประชาชนเช็คสิทธิประโยชน์อีกเพียบที่ แอป สปสช. วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เท่าเทียมและทั่วถึง หลักประกันสขุภาพไทยได้เปลี่ยนผ่านบัตรทอง หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้กลายเป็น “บัตรทองพรีเมี่ยม” ยกระดับการบริการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมและทลายข้อจำกัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างแท้จริง น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับบัตรทองพรีเมียมในยุคของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้สิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์มากมาย เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ในหน่วยบริการสาธารณสุขทุกที่ โดยไม่เก็บค่ารักษาพยาบาลภายใน 72 ชั่วโมงหรือพ้นภาวะวิกฤต รักษาโรคติดเชื้อไวรัส-19โควิดฟรี โดยสามารถเข้ารักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ ผู้ป่วยโรคมะเร็งรับบริการที่ไหนก็ได้ ย้ายหน่วยบริการได้ทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน ให้สิทธิฟอกไตฟรี เพิ่มบริการสำหรับแม่และเด็ก มะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรอง การเพิ่มวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก รักษาโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลือง โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซียาต้านไวรัส HIV เพิ่มสิทธิด้านวัคซีน 5 ชนิด (คอดีบ บาดทะยัก ไอกรนไวรัสตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ รวมทั้ง การใช้กัญชาทางการแพทย์ ในผู้ป่วยโรคมะเร็งพาร์กินสัน ไมเกรน ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับเด็กหูหนวก การให้บริการแว่นตาเด็ก แจกผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่ายสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้มีปัญหากลั้นขับถ่ายการรักษาผู้ป่วยติดบ้านหรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนทุกสิทธิและทุกกลุ่มอายุ และยังลดภาระการเดินทางไปสถานพยาบาลของประชาชนลดความแออัดใน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ สามารถรับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันใกล้ เป็นต้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนสมัครรับสิทธิบัตรทองพรีเมียม และสมัครให้บุตรหลาน เพื่อเลือกหน่วยบริการ ซึ่งสามารถสมัครได้ตั้งแต่วัยแรกกเกิด ซึ่งในปี 2566 ได้มีการเพิ่มสิทธิใหม่ที่ได้มากกว่าเดิมได้แก่ 1. การดูแลภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn) 2. บริการทันตกรรม Vital Pulp Therapy หรือการรักษาเนื้อเยื่อในฟันกรามแท้ 3. บริการรากฟันเทียม 4. บริการห้องฉุกเฉิน คุณภาพภาครัฐ 5. ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ 6. บริการยาป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวี 7. เพิ่มยาจำเป็นแต่มีราคาแพง ในกลุ่มบัญชียา จ (2) จำนวน 14 รายการ 8. บริการดูแลผู้ป่วยกึ่งเฉียบพลัน 9. บริการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับพิษ 10. เพิ่มเติมบริการที่คลินิกการพยาบาลฯ กายภาพบำบัด คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมและคลินิกทันตกรรม เพิ่มเติมบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคปี 2566 1. การตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBe Ag) ในหญิงตั้งครรภ์ 2. บริการคัดกรองธาลัสซีเมียในสามีหรือคู่ของหญิงตั้งครรภ์ทุกราย 3. บริการคัดกรองซิฟิลิสในสามีหรือคู่ของหญิงตั้งครรภ์ทุกราย 4. บริการสายด่วนเลิกบุหรี่และสายด่วนสุขภาพจิต 5. บริการคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 6. บริการคัดกรองมะเร็งและมะเร็งช่องปาก 7. บริการคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่องTandem mass spectrometry (TMS) เด็กแรกเกิด 8. บริการคัดกรองและค้นหาวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงสูง 9. บริการตรวจยีน BRCA1/BRCA2 ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเสี่ยงสูงและญาติสายตรงที่มีประวัติครอบครัว ตรวจพบยีนกลายพันธุ์ พี่น้องประชาชนสามารถลงทะเบียนสมัครได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือสมัครผ่านแอพทำบัตรทองออนไลน์ ผ่านสปสช. โดยการดาวน์โหลดแอพผ่านทาง App Store https://apple.co/3ICV80i และ play Store https://bit.ly/41bEtIo โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 "จะเห็นว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหาร “กองทุนบัตรทอง” ให้ดีกว่าเดิมและเพิ่มสิทธิรักษาโรคให้ครอบคลุมพรีเมียม รวดเร็วพร้อมกับมีงบประมาณใช้จ่ายรองรับตามความต้องการของประชาขนได้อย่างมั่นคง มีวิสัยทัศน์ผู้นำที่พร้อมเดินหน้าและเพิ่มสิทธิให้ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาสปสช. ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ สปสช.มาแล้ว 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (ปี 2546-2550) สร้างระบบด้านหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทย ระยะที่ 2 (2551–2554) เพิ่มประสิทธิภาพ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ระยะที่ 3 (ปี 2555–2559) ความยั่งยืนของระบบฯ ครอบคลุมทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย และระยะที่ 4 (ปี 2560-2565) ประชาชนเข้าถึงบริการ การเงินการคลังมั่นคง ดำรงธรรมาภิบาล และล่าสุด คือระยะที่ 5 (ปี 2566-2570) โดยมุ่งเน้นให้ ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทย ได้รับความคุ้มครองหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้าด้วยความมั่นใจ" น.ส. ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดพิธีการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดพิธีการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ร่วมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ร่วมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศ โดยมี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมเจ้าท่า (จท.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศร.ชล.) กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยคณะผู้ตรวจประเมินจากประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ ได้แก่ นายโมลเอน อาซอฟ (Mr. Moain Al Zoubi) หัวหน้าคณะผู้ตรวจประเมินฯ กัปตันอานิช โจเซฟ (Capt. Anish Joseph) และนายอาจิ วาสุเดวัน (Mr. Aji Vasudevan) คณะผู้ตรวจประเมินฯ เข้าร่วมพิธีฯ ในวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุมวิสูตรสาครดิษฐ์ กรมเจ้าท่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ในนามของราชอาณาจักรไทย กระทรวงคมนาคมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการต้อนรับผู้เข้าร่วมพิธีเปิดการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับทุกคน โดยเฉพาะคณะผู้ตรวจประเมินฯ ที่เข้าร่วมโครงการ Member State Audit Scheme (IMSAS) ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 20 – 27 กุมภาพันธ์ 2566 การขนส่งทางทะเลเป็นเส้นทางอำนวยความสะดวกที่สำคัญของการค้าในยุคโลกาภิวัฒน์และระบบห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่สามารถรับประกันการขนส่งระหว่างประเทศที่เชื่อถือได้และประหยัดต้นทุน สำหรับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) เป็นหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและประสานมาตรฐานสำหรับความปลอดภัยและความมั่นคงของการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันมลพิษทางทะเลโดยเรือ ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิก IMO ตั้งแต่ปี 2516 และได้ปรับปรุงมาตรฐานการเดินเรือ เพื่อความปลอดภัยและการป้องกันสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนากระบวนการเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานทางทะเลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจถึงการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ตราสาร IMO การปรับปรุงขีดความสามารถของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนระดับชาติ และความปลอดภัยในชีวิตทางทะเลในระดับภูมิภาค เพื่อป้องกันมลพิษทางเรือผ่านยุทธศาสตร์การเดินเรือโดยรวมของประเทศไทย และเนื่องจากในปีนี้เป็นปีครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับ IMO จึงขอใช้โอกาสนี้ เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่มีต่ออาณัติของ IMO ในการพัฒนาการขนส่งทางทะเลอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเครื่องมือและประสบการณ์ระหว่างประเทศ พร้อมร่วมแผนการปฏิบัติระหว่างรัฐสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน เพื่อการขนส่งระหว่างประเทศที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เห็นชอบอนุมัติการลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและ IMO เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ IMSAS โดยมอบให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือรองอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้แทนฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว และอนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 16 หน่วยงานเข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศร.ชล. กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ โดยมีพันธกรณีที่ต้องรับการตรวจประเมินจาก IMO ในอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี 6 ฉบับ ประกอบด้วย อนุสัญญา SOLAS อนุสัญญา MARPOL (เฉพาะภาคผนวกที่ 1 และ 2) อนุสัญญา LOADLINE อนุสัญญา TONNAGE อนุสัญญา CORLEG และอนุสัญญา STCW ให้เป็นไปตามประมวลข้อบังคับว่าด้วยการอนุวัติการตรวจตราสารขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO Instruments Implementation Code : III Code) ประกอบด้วย ประเด็นโดยรวม (Common Area) รัฐเจ้าของธง (Flag State Implementation) รัฐชายฝั่ง (Coastal State Implementation) และรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State Implementation สำหรับประเด็นการตรวจประเมินฯ ในครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดทำกลยุทธ์ระดับประเทศในการขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนด การกำกับดูแลการดำเนินการโดยคณะกรรมการแห่งชาติ เพื่อประสานงานกับ IMO การลงนามบันทึกความร่วมมือแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา การฝึกอบรมให้กับเรือไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลตรวจอากาศทางทะเล การขยายสถานี Navtex เพื่อให้บริการข่าวสารด้านการเดินเรือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลอั่วไทยและอันดามัน การฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย การตั้งสำนักงานสืบสวนอุบัติเหตุทางน้ำ เพื่อให้การสอบสวนอุบัติเหตุทางน้ำเป็นอิสระ และการตั้งกลุ่มมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าและสินค้าอันตราย เพื่อกำหนดการกำกับ ดูแลความปลอดภัยระหว่างการขนส่งสินค้าทางเรือ สำหรับกระบวนการตรวจประเมิน IMSAS เป็นมาตรการเชิงสร้างสรรค์ (Positive Measure) ของ IMO ในการยกระดับการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยและการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งเป็นการรวบรวมผลการปฏิบัติจากประเทศสมาชิกต่าง ๆเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำโครงการช่วยเหลือทางวิชาการ ให้ประเทศสมาชิกได้ยกระดับความสามารถในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาได้โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติจากการประชุมคณะมนตรีสมัยวิสามัญ ครั้งที่ 32 (COUNCIL 32nd extraordinary session) ที่มีมติรับรองแผนการปรับปรุงกำหนดการตรวจประเมินประเทศสมาชิกภาคบังคับ (IMSAS) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยให้เลื่อนการตรวจประเมินในปี 2564 ออกไปเป็นปี 2565 และผลการประชุมคณะมนตรี ครั้งที่ 125 (125th Council : C125) ที่มีมติรับรองให้ใช้การตรวจประเมินทางไกล (Remote Audit) เป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ IMO ได้มีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 แจ้งประเทศสมาชิกถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ไม่สามารถตรวจประเมินประเทศต่าง ๆ ได้ตามแผนที่วางไว้ และปรับวิธีการตรวจประเมินทางไกล (Remote audit) แทนการตรวจประเมินแบบปกติ จึงจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการตรวจประเมินในปี 2565 ออกไปเป็นปี 2566 รวมถึงกำหนดการตรวจประเมินของประเทศไทยที่ถูกเลื่อนจากเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ด้วยเช่นกัน IMO เป็นทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ จัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดกรอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ สำหรับให้ประเทศสมาชิกยอมรับและนำไปปฏิบัติในรูปของตราสารต่าง ๆ ได้แก่ อนุสัญญา พิธีสาร กฎ และข้อบังคับ ปัจจุบันมีสมาชิก 174 ประเทศ และสมาชิกสมทบ (เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และหมู่เกาะแฟโร) ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารของ IMO 14 ฉบับ จากอนุสัญญาและพิธีสารทั้งหมด 59 ฉบับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดโครงการลงทุนขนส่งทางน้ำ รัฐบาลลุยเติมศักยภาพแข่งขันการค้าระหว่างประเทศ หนุนภาคท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกเพิ่มความปลอดภัยการเดินทางของประชาชน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 เปิดโครงการลงทุนขนส่งทางน้ำ รัฐบาลลุยเติมศักยภาพแข่งขันการค้าระหว่างประเทศ หนุนภาคท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกเพิ่มความปลอดภัยการเดินทางของประชาชน เปิดโครงการลงทุนขนส่งทางน้ำ รัฐบาลลุยเติมศักยภาพแข่งขันการค้าระหว่างประเทศ หนุนภาคท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกเพิ่มความปลอดภัยการเดินทางของประชาชน วันที่ 20 ก.พ. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ เป็นหนึ่งในระบบคมนาคมที่รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญและเร่งรัดลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ทั้งด้านการค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และการเดินทางของประชาชน เติมเต็มระบบขนส่งภาพรวมของประเทศให้สมบูรณ์ ซึ่งการลงทุนด้านคมนาคมที่ต่อเนื่องได้ส่งผลให้อันดับดัชนีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ (Logistic Performance Index : LPI) จากการจัดอันดับของธนาคารโลกของไทยล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 32 จาก 167 ประเทศทั่วโลก เทียบกับการจัดอันดับครั้งก่อนหน้าในปี 59 ที่ไทยอยู่อันดับที่ 45 ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการลงทุนโครงข่ายการขนส่งทางน้ำขนาดใหญ่หลายโครงการ ซึ่งในส่วนสนับสนุนภาคการค้าและอุตสาหกรรม ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในพื้นที่อีอีซี มูลค่าการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน 6.4 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แบ่งการลงทุนเป็น 2 ช่วง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาช่วงที่1 ซึ่งเป็นงานโครงสร้างพื้นฐาน และคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนสำหรับช่วงที่2 นอกจากนี้ในอีอีซียังอยู่ระหว่างพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่าลงทุน 1.14 แสนล้านบาท ร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนเช่นกัน ถือเป็นโครงการใหญ่ที่จะเพิ่มศักยภาพการนำเข้า-ส่งออกทางเรือของประเทศไทย โดยเมื่อพัฒนาโครงการเสร็จสิ้นจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ถึง 18.10 ล้านTEUs จากเดิม 11.10 ล้านTEUs ส่วนท่าเรือเพื่อการค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ มีโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรืออัตโนมัติ (Automated Container Terminal) เพื่อบริหารจัดการลานวางตู้สินค้าให้ได้เต็มประสิทธิภาพ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ด้านการพัฒนาเส้นทางเดินเรือเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและเพิ่มทางเลือกการเดินทางจากภาคตะวันออกไปยังภาคใต้ของประชาชน กระทรวงคมนาคมได้ร่วมกับภาคเอกชนเปิดให้บริการเรือ RoRo Ferry เส้นทางสัตหีบ-เกาะสมุย ส่วนการสนับสนุนการเดินทางของประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีลงทุนตามแผนพัฒนาท่าเรือสาธารณะในแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 29 แห่ง เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัยทางน้ำและพัฒนาเป็นท่าเรืออัจฉริยะเชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่นอย่างรถและรางอย่างไร้รอยต่อ ซึ่ง ณ สิ้นปี 65 ดำเนินการเสร็จไปแล้ว 8 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรมเจ้าท่า,ท่าเรือสะพานพุทธ,ท่าเรือนนทบุรี, ท่าเรือท่าช้าง, ท่าเรือสาทร, ท่าเรือพายัพ, ท่าเรือราชินีและท่าเรือบางโพ ในปี 66 จะพัฒนาเพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือท่าเตียน ท่าเรือพระราม 7 และท่าเรือเกียกกาย นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระบบขนส่งทางน้ำ โดยผลักดันให้มีการนำเรือโดยสารไฟฟ้ามาให้บริการทั้งในการขนส่งทางทะเล ในแม่น้ำ และลำคลอง ซึ่ง ณ ปี 65 มีเรือให้บริการทั้งหมด 51 ลำ และจะเพิ่มเป็น 69 ลำ ในปี 2566 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในปี 2566 รัฐบาลยังคงสานต่อการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำหลายโครงการ ทั้งที่อยู่ระหว่างการลงทุนต้องขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผนงาน ริเริ่มโครงการใหม่ เช่น การจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือสำราญ (Marina) ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย การศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือบก(Dry Port) ที่จ.ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น นครราชสีมา และนครสวรรค์ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศ รวมถึงการพัฒนา Landbridge เชื่อม 2 ฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามันที่ชุมพร-ระนอง ให้เป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65166
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณทัพนักกีฬาแบดมินตันไทย สู้สุดใจในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย 2023 ได้รับเหรียญทองแดงเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2560
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณทัพนักกีฬาแบดมินตันไทย สู้สุดใจในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย 2023 ได้รับเหรียญทองแดงเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2560 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณทัพนักกีฬาแบดมินตันไทย สู้สุดใจในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย 2023 ได้รับเหรียญทองแดงเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2560 วันนี้ (วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณทีมแบดมินตันไทย ในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย 2023 (Badminton Asia Mixed Team Championship 2023) นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ชื่นชมทีมไทยได้เหรียญทองแดง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ทัพนักแบดมินตันทีมชาติไทยได้เดินทางไปนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมการแข่งขัน Badminton Asia Mixed Team Championship 2023 ในรอบรองชนะเลิศ ไทย พบ เกาหลีใต้ ซึ่ง สิทธิคมน์ ธรรมศิลป์ มือ 33 ของโลก เอาชนะ โชว กอน ยอบ มือ 230 ของโลก จากเกาหลีใต้ 2-1 เกม แต่หลังจากนั้น เกาหลีใต้ พลิกกลับมาชนะไทย 3 คู่รวด จากหญิงเดี่ยว ชายคู่ และ หญิงคู่ ทำให้ ไทย แพ้ เกาหลีใต้ ไป 1-3 คู่ ได้เหรียญทองแดงในศึกแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชีย เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2017 “นายกรัฐมนตรีขอบคุณความตั้งใจ ทุ่มเท ของทีมนักกีฬาแบดมินตันไทย ที่สร้างชื่อคว้าเหรียญทองแดงในศึกแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์เอเชียอีกครั้ง เป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2560 โดยขอให้นำประสบการณ์ บทเรียน จากการแข่งขันไปพัฒนา เพื่อความสำเร็จของตนเอง และทีมในอนาคต ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีขอให้ “ตะวัน-แบม” ปลอดภัย ย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเคลื่อนไหวอะไรขอให้คำนึงถึงกฎหมาย อย่าหลงเชื่อกลุ่มบิดเบือนสร้างความขัดแย้งในสังคม
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​นายกรัฐมนตรีขอให้ “ตะวัน-แบม” ปลอดภัย ย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเคลื่อนไหวอะไรขอให้คำนึงถึงกฎหมาย อย่าหลงเชื่อกลุ่มบิดเบือนสร้างความขัดแย้งในสังคม ​นายกรัฐมนตรีขอให้ “ตะวัน-แบม” ปลอดภัย ย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเคลื่อนไหวอะไรขอให้คำนึงถึงกฎหมาย อย่าหลงเชื่อกลุ่มบิดเบือนสร้างความขัดแย้งในสังคม วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความห่วงใยกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) 2 เยาวชนนักกิจกรรมเคลื่อนไหวฯ ประกาศอดอาหารและน้ำ เพื่อเรียกร้องให้ศาลอนุมัติการประกันตัวผู้ต้องหา/จำเลย ในระหว่างต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ นั้น นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ทั้ง 2 คนปลอดภัยในฐานะคนไทยด้วยกัน กำชับให้คณะแพทย์ดูแลอาการอย่างใกล้ชิดให้ปลอดภัย พร้อมแสดงความเป็นกังวลต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชน สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ฝากให้ผู้ปกครองช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมลูกหลาน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่าหลงเชื่อและตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง นายกรัฐมนตรีย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเคลื่อนไหวอะไรขอให้คำนึงถึงกฎหมาย เคารพกฎหมายด้วย “นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือประชาชนในฐานะที่เป็นคนไทย ให้ช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่าไปเชื่อกลุ่มที่บิดเบือน สร้างความเกลียดชังจนเกิดความขัดแย้ง ความไม่สงบขึ้นในสังคม ขอให้ทุกคนรักและสามัคคีร่วมมือกันพัฒนาประเทศให้เดินต่อไปข้างหน้า” นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์น้ำภาคอีสาน สั่งตุนน้ำรับสถานการณ์ฤดูแล้ง ย้ำภาคอีสานต้องไม่ขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านสะท้อนพัฒนาการน้ำเข้าถึงตัวมากขึ้น
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์น้ำภาคอีสาน สั่งตุนน้ำรับสถานการณ์ฤดูแล้ง ย้ำภาคอีสานต้องไม่ขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านสะท้อนพัฒนาการน้ำเข้าถึงตัวมากขึ้น รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์น้ำภาคอีสาน สั่งตุนน้ำรับสถานการณ์ฤดูแล้ง ย้ำภาคอีสานต้องไม่ขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านสะท้อนพัฒนาการน้ำเข้าถึงตัวมากขึ้น วันนี้ (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น และ จังหวัดชัยภูมิ เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำภาพรวม และตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการกักเก็บน้ำต้นทุน โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบดีกรมชลประทาน และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆให้การต้อนรับ โดยรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคอีสาน ปัจจุบันความจุกักเก็บน้ำภาพรวมอยู่ที่ 60-70% พื้นที่กักเก็บน้ำยังไม่พอ มีพื้นที่เสี่ยงน้ำน้อยนอกเขตชลประทานจากฝนทิ้งช่วง ความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำ ปี 2561-2565 จังหวัดขอนแก่น ได้รับงบประมาณบริหารจัดการน้ำรวมกว่า 7,500 ล้านบาท มีพื้นที่รับประโยชน์ กว่า 180,000 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ กว่า 120,181 ครัวเรือน ความจุกักเก็บน้ำเพิ่ม 123.4 ล้านลูกบากศ์เมตร และจังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่รับประโยชน์กว่า 105,111 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 100,393 ครัวเรือน ความจุกักเก็บน้ำเพิ่ม 37 ล้านลูกบากศ์เมตร ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการแก้มลิงแก่งน้ำต้อน ตำบลดอนช้าง เป็นแหล่งกักเก็บน้ำรองรับแม่น้ำชีล้น เพื่อบรรเทาน้ำล้นตลิ่งและกักเก็บไว้ใช้ฤดูแล้ง พร้อมทั้งพบปะและรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ โดยประชาชนขอให้พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ต่อเนื่อง โดยชื่นชมการบริหารจัดการน้ำในปัจจุบัน เข้าถึงประชาชนในพื้นที่มากขึ้นต่อเนื่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำการแก้ปัญหาน้ำ ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นดำเนินการอย่างจริงจังมาต่อเนื่อง โดยกำชับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกรมชลประทาน และ หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ กักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุดปลายฤดูฝน เพ่งเล็งพื้นที่เสี่ยงขาดน้ำจากฝนทิ้งช่วง ย้ำอีสานต้องไม่ให้ขาดแคลนน้ำ จึงขอให้ดำเนินการ 10 มาตรการรับฤดูแล้ง และเร่งรัดความคืบหน้าโครงการแหล่งกักเก็บต้นทุนน้ำทั้งน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน พร้อมทั้งระบบกระจายน้ำให้ทั่วถึง ซึ่งต้องเร่งทำคู่กันกับการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและแหล่งแกล้มลิงที่มีอยู่เดิม เพื่อให้พื้นที่เสี่ยงขาดน้ำมีน้ำใช้อย่างเพียงพอเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการน้ำจากลำน้ำสายหลักในระยะยาว เวลา 13.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เดินทางไป จังหวัดชัยภูมิ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำ ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ พร้อมทั้งพบปะและรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับทราบ 6 ข้อเรียกร้องสหภาพลูกจ้างของรัฐฯ พร้อมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงาน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.รับทราบ 6 ข้อเรียกร้องสหภาพลูกจ้างของรัฐฯ พร้อมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงาน กระทรวงสาธารณสุขรับทราบ 6 ข้อเรียกร้องสหภาพลูกจ้างของรัฐฯ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงแต่ละเรื่อง ทั้งการจ้าง พกส.ด้วยเงินงบประมาณ สัญญาจ้าง 4 ปี การปรับเปลี่ยนลูกจ้างเป็น พกส. ค่าเสี่ยงภัยและค่าโอที เผยบางเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ กระทรวงสาธารณสุขรับทราบ 6 ข้อเรียกร้องสหภาพลูกจ้างของรัฐฯ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงแต่ละเรื่อง ทั้งการจ้าง พกส.ด้วยเงินงบประมาณ สัญญาจ้าง 4 ปี การปรับเปลี่ยนลูกจ้างเป็น พกส. ค่าเสี่ยงภัยและค่าโอที เผยบางเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนบางเรื่องเกินอำนาจหน้าที่กระทรวง ต้องมีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิระดับ 11) โฆษกกระทรวงสาธารณสุข และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรับเรื่องจากสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย (สลท.) ที่มาติดตามข้อเรียกร้องของพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างเหมาบริการ (รายวัน-รายเดือน) สายสนับสนุนบริการ 56 สายงาน นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข โดยที่ผ่านมามีนโยบายและการปฏิบัติเพื่อดูแลและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง ส่วนข้อเรียกร้องของ สลท.ในวันนี้ ตนได้รับมอบให้เป็นตัวแทนมารับเรื่องเพื่อไปดำเนินการต่อให้เป็นรูปธรรม ซึ่งหลายเรื่องมีการดำเนินการไปแล้ว บางเรื่องกำลังเร่งดำเนินการ ส่วนบางเรื่องที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของกระทรวงสาธารณสุข จะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยข้อเรียกร้องทั้ง 6 ข้อนั้น กระทรวงสาธารณสุขขอชี้แจง ดังนี้ 1.ขอให้จ้าง พกส.ด้วยเงินงบประมาณจากการศึกษาพบว่า การจ้างด้วยเงินงบประมาณต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ.กำหนด ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราว 4 ประเภท คือ ลูกจ้างชั่วคราวต่างประเทศที่มีสัญญา ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ลูกจ้างชั่วคราวตามระเบียบของสถาบันอุดมศึกษา และลูกจ้างชั่วคราวที่มีข้อตกลงพิเศษกับกระทรวงการคลัง ซึ่งการจ้าง พกส.อยู่ภายใต้ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยเงินบำรุงของหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562 หากจะจ้างด้วยเงินงบประมาณต้องแก้ไขระเบียบ พกส.และทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นกรณีพิเศษ “ที่ระบุว่าการจ้างเป็น พกส.ทำให้ไม่มีความมั่นคงในการจ้างงาน ถูกกดขี่ค่าจ้าง ไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องของการปรับเงินเดือนประจำปี ขอยืนยันว่า การจ้าง พกส.มีมาตรฐานการจ้างงานและมีความมั่นคง เพราะมีระเบียบชัดเจน มีมาตรฐานการกำหนดตำแหน่ง และมีบัญชีค่าจ้างผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งได้ปรับบัญชีค่าจ้างใหม่เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 และผู้ที่ไม่ถึงขั้นต่ำได้รับการปรับเพิ่มทุกคน นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลงาน 2 ครั้ง/ปี และปรับเพิ่มเงินเดือนปีละครั้งจากฐานเงินเดือนร้อยละ 4” นพ.รุ่งเรืองกล่าว นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า 2.เรื่องยกเลิกสัญญาการจ้างระยะสั้น 4 ปี เป็นจ้างถึงอายุ 60 ปี ซึ่งหลักการนี้เกิดจากการที่เดิมลูกจ้างชั่วคราว 1 ปีไม่มีความมั่นคง เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 11 ธันวาคม 2555 ให้พัฒนารูปแบบการจ้างงานให้ดีขึ้น จึงมีการศึกษาและนำระบบพนักงานราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยมาเป็นต้นแบบ โดยมีการประกาศใช้ระเบียบฯ ว่าด้วยพนักงานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2556 ซึ่งกำหนดการจ้างไม่เกินคราวละ 4 ปี จนถึงขณะนี้มี พกส.กว่า 1 แสนคน และที่ผ่านมามีการจ้างต่อตลอด เช่น การต่อสัญญาจ้างครั้งที่ 2 ช่วงตุลาคม 2564 - กันยายน 2568 มีการต่อสัญญา 110,566 ราย คิดเป็น 99% ส่วนกรณีที่มีการทำสัญญา 1 ปี เนื่องจากกรอบอัตรากำลังจะสิ้นสุดในปี 2564 ต้องรอกรอบอัตรากำลังใหม่ จึงขออนุมัติจ้างเพียง 1 ปี สำหรับ พกส.รายใหม่ แต่หลังจากนั้นจะกลับมาต่อสัญญาไม่เกินคราวละ 4 ปีตามเดิม ส่วนปัญหาเรื่องการทำธุรกรรม กู้ซื้อต่างๆ ได้รับเรื่องไว้และจะหาทางออกร่วมกันต่อไป 3.การยกเลิกสัญญาจ้างแบบลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างเหมาบริการ (รายเดือน-รายวัน) ให้เป็นพกส.ทั้งหมด กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเรื่องนี้แล้ว โดยในปีงบประมาณ 2562-2564 มีการอนุมัติจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเป็น พกส.ไปแล้ว 36,548 ราย 4.ขอให้ พกส.และลูกจ้างที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 5 อำเภอ จ.สงขลา ได้รับค่าเสี่ยงภัยเหมือนข้าราชการ กรณีนี้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังที่กำหนดให้ลูกจ้างประจำและพนักงานราชการ เป็นเรื่องที่เกินขอบเขตอำนาจของกระทรวงสาธารณสุข จึงต้องเสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งจะไม่ได้พิจารณาเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานเดียว5.ค่าเสี่ยงภัยโควิดสำหรับ พกส.และลูกจ้างทุกประเภท เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการเสนอขอรับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งสายวิชาชีพและสายสนับสนุนทั้งหมด และ 6.การปรับโอทีให้เหมาะสม ขณะนี้มีการออกประกาศปรับค่าตอบแทนนอกเวลา ร้อยละ 8 และผลัดบ่าย/ดึก ร้อยละ 50 ไปแล้ว ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขย้ำว่าให้เร่งดำเนินการ ****************************************** 6 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมศักดิ์” ปิดหลักสูตร “อินทรีย์ ๑๙” รุ่นที่ ๔ เสริมเขี้ยวเล็บให้​ ป.ป.ส.-เมียนมา ร่วมปราบยาเสพติดเข้มข้น ยกระดับต่อสู้ขบวนการค้ายาที่ใช้อาวุธหนัก
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 “สมศักดิ์” ปิดหลักสูตร “อินทรีย์ ๑๙” รุ่นที่ ๔ เสริมเขี้ยวเล็บให้​ ป.ป.ส.-เมียนมา ร่วมปราบยาเสพติดเข้มข้น ยกระดับต่อสู้ขบวนการค้ายาที่ใช้อาวุธหนัก “สมศักดิ์” ปิดหลักสูตร “อินทรีย์ ๑๙” รุ่นที่ ๔ เสริมเขี้ยวเล็บให้​ ป.ป.ส.-เมียนมา ร่วมปราบยาเสพติดเข้มข้น ยกระดับต่อสู้ขบวนการค้ายา ที่ใช้อาวุธหนัก หวัง ช่วยปราบยาแนวชายแดนได้มากขึ้น โชว์ ๓ รุ่นที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนจนท.-รถหุ้มเกราะ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อเวลา 09.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ “อินทรีย์ 19” รุ่นที่ 4 โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พลตรี ซิน มีน ทัก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งสหภาพเมียนมา พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พลตำรวจจัตวา วิน หน่าย เลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดแห่งสหภาพเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ที่กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย (อรินทราช 26) นายวิชัย กล่าวรายงานว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ “อินทรีย์ 19” รุ่นที่ 4 เพื่อรองรับภารกิจทางยุทธวิธีขั้นสูง โดยมีผู้ผ่านการทดสอบร่างกายเข้าเป็นนักเรียน จำนวนทั้งสิ้น 42 นาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสหภาพเมียนมา จำนวน 20 นาย เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่จากศูนย์รักษาความปลอดภัย รวมจำนวน 22 นาย โดยกำหนดการฝึกอบรมทั้งสิ้น 30 วัน ระหว่างวันที่ 8 มกราคม -6 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่ง“อินทรีย์ 19”ได้มีการฝึกอบรมไปแล้วจำนวน 3 รุ่น มีผู้สำเร็จการฝึกจำนวน 103 นาย โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้สำเร็จการฝึกอบรม หลักสูตรเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ “อินทรีย์ 19”รุ่นที่ 4 ทุกท่าน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ขบวนการค้ายาเสพติด ได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้และขัดขวางเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงมากขึ้น เช่น นำอาวุธที่มีอานุภาพสูง มาใช้ในการคุ้มกันการขนส่งยาเสพติด ทำให้ ป.ป.ส. ต้องยกระดับเจ้าหน้าที่ ด้วยการตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อินทรีย์ 19 ขึ้น ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อรองรับภารกิจในการปฏิบัติการทางยุทธวิธีขั้นสูง โดยใช้หลักสูตร ร่วมกับหน่วยอรินทราช 26 อย่าง การตรวจค้นจับกุมคนร้ายที่มีอาวุธร้ายแรง การเข้าอาคารที่คนร้ายมีอาวุธหลบซ่อน หรือ การสกัดคนร้ายที่ใช้ยานพาหนะหลบหนี นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผู้ที่ผ่านการอบรมทั้ง 3 รุ่น สามารถออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ในการปราบปรามยาเสพติด เช่น ภารกิจคุ้มครองพยานในคดียาเสพติด ถวายสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด , ชุดอินทรีย์ 19 พร้อมรถหุ้มเกราะกันกระสุน สนับสนุนภารกิจ ไล่ล่าแก๊งค์ยาเสพติด จากแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ยิงตำรวจ “สารวัตรบอล”เสียชีวิต ที่จังหวัดเชียงใหม่ ,ภารกิจจู่โจมทลายโกดังพักเก็บยาเสพติด ในพื้นที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 5 คน พร้อมของกลางยาบ้า 4.3 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 290 กิโลกรัม , ภารกิจจับกุมเครือข่าย “จง สิงหนคร” ที่ใช้อาวุธหนักต่อสู้เจ้าหน้าที่ เช่น ปืนกลมือ ปืนลูกซอง “จากสถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบัน พบว่า เครือข่ายการค้ายาเสพติด ได้มีการกระทำความผิดในรูปแบบขององค์กร อาชญากรรม ระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงให้สำนักงาน ป.ป.ส. ปรับหลักสูตรโดยให้มีเจ้าหน้าที่จากประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่ด้านการปราบปรามยาเสพติดไปพร้อมกัน ซึ่งการปรับปรุงหลักสูตรนี้ ได้เริ่มจากการฝึกร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ ไทย - สปป.ลาว และครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ไทย - เมียนมา โดยที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ ได้ร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติดเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ภายใต้โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย สามารถจับกุมคดียาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ได้จำนวนมาก รวมถึงการจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีหมายจับ อย่าง ในปี 2565 ถึง ปัจจุบัน สามารถจับกุม คดียาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมายของการปฏิบัติการ ได้ 1,373 คดี ผู้ต้องหา 2,304 คน ของกลางยาบ้า 559 ล้านเม็ด ไอซ์ 23,146 กิโลกรัม และสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ไม่ให้ไปยังแหล่งผลิต จำนวน 351,230 กิโลกรัม” รมว.ยุติธรรม กล่าว นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ผ่านการอบรม “อินทรีย์ 19” ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนร่วมปราบปรามยาเสพติด ขบวนการผู้ค้ายาที่มีอาวุธรุนแรง ทำให้สามารถจับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดได้มากขึ้น ดังนั้น หลักสูตรนี้ จึงถือเป็นอีกเครื่องมือสำคัญ ในการปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคนี้ ให้สามารถปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติดร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งตนขอให้ผู้ที่สำเร็จการฝึกทุกนาย นำความรู้ ทักษะ มาช่วยกันบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำให้การป้องกันปราบปรามยาเสพติด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้มีการขยายผลยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาได้มากขึ้นตามไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานช่างเชื่อมไทยในฮ่องกงถึงแคมป์คนงาน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานช่างเชื่อมไทยในฮ่องกงถึงแคมป์คนงาน ​รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานช่างเชื่อมไทยในฮ่องกงถึงแคมป์คนงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทน อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจพร้อมมอบของฝากแก่แรงงานช่างเชื่อมไทย ณ Sha Po Kong Village เขต Tsuen Mun เขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายบุญชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้แรงงานไทยได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีอาชีพ นำรายได้เข้าประเทศและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศทุกคน จึงมอบหมายให้ผมและคณะนำความห่วงใยและกำลังใจมาฝากพี่น้องแรงงานไทยทุกคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ เนื่องจากแต่ละคนต้องจากบ้านมาทำงานต่างแดน การมาเยือนฮ่องกงของกระทรวงแรงงานเพื่อขยายตลาดแรงงานในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่ได้มาสอบถามสารทุกข์สุกดิบ แรงงานไทยที่ทำงานในต่างประเทศถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละคนเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งใจมาทำงานหาเงินส่งกลับเลี้ยงครอบครัวที่ประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีมีรายได้ส่งกลับเพื่อพัฒนาประเทศเป็นจำนวนมาก ขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้ ทักษะ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ด้าน นายกำพล สินตะละ ช่างเชื่อมอัลลอยด์ บริษัท อาหว่าวเอนจิเนียริ่ง จำกัด หนึ่งในแรงงานไทยที่มาทำงานช่างเชื่อมในฮ่องกง กล่าวว่า ในวันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาล กระทรวงแรงงาน ที่เปิดโอกาสให้คนไทยได้มาทำงานต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างฐานะ มีรายได้ส่งกลับไปเลี้ยงดูครอบครัว และขอบคุณท่านนายกฯ ท่านรัฐมนตรีแรงงาน ที่ฝากความห่วงใยมาในครั้งนี้ ผมขอถือโอกาสนี้เชิญชวนให้พี่น้องแรงงานไทยที่สนใจอยากจะมาทำงานในฮ่องกงได้มุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝนพัฒนาฝีมือของตนเองให้เป็นช่างที่มีฝีมือ ผมเองไม่ได้เรียนจบช่างมาก่อน แต่อาศัยหมั่นฝึกฝนเรียนรู้ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติด้วยตนเองจากพี่ๆ ที่ทำงานเก่า จนสามารถพัฒนาต่อยอดทักษะฝีมือของตนเองให้มีทักษะที่สูงขึ้น เราก็จะมีโอกาสมาทำงานในต่างประเทศได้ จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้เดินตามความฝันของตนเอง +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 6 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” ต่อยอด NEXT INVEST ผนึกพันธมิตร “9 บลจ.-บล.” เสิร์ฟสินทรัพย์ลงทุน สร้างผลตอบแทนมั่นคง บน Krungthai NEXT
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 “กรุงไทย” ต่อยอด NEXT INVEST ผนึกพันธมิตร “9 บลจ.-บล.” เสิร์ฟสินทรัพย์ลงทุน สร้างผลตอบแทนมั่นคง บน Krungthai NEXT ธ.กรุงไทยต่อยอดบริการลงทุนดิจิทัล “NEXT INVEST” จับมือพันธมิตรผู้นำการลงทุน บลจ.และบล. 9 แห่ง เสิร์ฟการลงทุนครอบคลุมทุกสินทรัพย์ทั่วโลก เพิ่มทางเลือกสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง บนแอปฯ Krungthai NEXT ธนาคารกรุงไทย ต่อยอดบริการลงทุนดิจิทัล “NEXT INVEST” จับมือพันธมิตรผู้นำการลงทุน บลจ.และบล. 9 แห่ง เสิร์ฟการลงทุนครอบคลุมทุกสินทรัพย์ทั่วโลก เพิ่มทางเลือกสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง บนแอปฯ Krungthai NEXT ที่พัฒนาโดย บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย พร้อมจัดเต็มโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ รักษาการผู้บริหารสายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนดิจิทัลครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่มทุกมิติ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทันสมัย ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย ทั้งแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และ เป๋าตัง ที่พัฒนาโดย บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย ล่าสุดร่วมกับพันธมิตร คือ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บลจ.กรุงไทย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) บลจ.วรรณ บลจ.กรุงศรี บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.แอสเซท พลัส บลจ.พรินซิเพิล และบลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ต่อยอดบริการ NEXT INVEST แอปลงทุนของคนตัวเล็ก นำเสนอผลิตภัณฑ์ครบทุกการลงทุน ทั้งประเภทกองทุน ครอบคลุมทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ พันธบัตรออมทรัพย์ หุ้นกู้ ทองคำ บนแอปฯ Krungthai NEXT เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนการลงทุนจากสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่ ที่เปิดกว้างในรูปแบบ Open Architecture อำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนดีจากบลจ.ที่หลากหลายซึ่งรวบรวมไว้ในที่เดียว โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกองทุนหลายบัญชี สามารถซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนได้สะดวก เพียง 100 บาท ก็เริ่มลงทุนได้ โดยธนาคารจัดโปรโมชั่นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2566 เพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุน สร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งลูกค้าจะได้รับบัตรของขวัญของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท เมื่อมียอดซื้อ/สับเปลี่ยนเข้ากองทุน 50,000 บาทขึ้นไป (สงวนสิทธิ์รางวัล 1 ท่าน/สิทธิ์ ตลอดรายการ) ตั้งแต่ 13 ก.พ. 66 – 28 ก.พ. 66 และ 13 มี.ค. 66 – 31 มี.ค. 66 นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถเปิดบัญชีหลักทรัพย์ออนไลน์ สะดวก ง่าย ไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติม ผ่าน NEXT INVEST ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนง่าย เปิดบัญชีครั้งเดียว สามารถได้รับสูงสุดถึง 4 ประเภทบัญชี ครอบคลุมทั้งหุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ โดยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2566 ลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ และมีการซื้อขายหลักทรัพย์ตามที่กำหนด มีสิทธิ์รับ Starbucks e-Coupon มูลค่าสูงสุด 200 บาท ตั้งแต่ 15 ก.พ. 66 – 31 มี.ค. 66 รวมถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียม W-8BEN สำหรับการเทรดหุ้นอเมริกา (ปกติ 2,000 บาทต่อ 3 ปี) ทั้งนี้ NEXT INVEST ยังพร้อมเสิร์ฟความรู้จากกูรูด้านการลงทุนจากทีม Krungthai CIO Office ช่วยแนะนำการลงทุน สร้างโอกาสรับผลตอบแทนอย่างมืออาชีพอีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถเปิดใช้บริการ NEXT INVEST ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT โดยเลือกบริการ เลือก กองทุนรวม / หุ้น หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาหรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 หรือ www.krungthai.com
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โค้งสุดท้ายแล้วนะ! อีก 10 วันเท่านั้นจะสิ้นสุดโครงการช้อปดีมีคืน ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการภายใน 15 ก.พ. นี้อย่าลืมขอใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปไว้ลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​โค้งสุดท้ายแล้วนะ! อีก 10 วันเท่านั้นจะสิ้นสุดโครงการช้อปดีมีคืน ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการภายใน 15 ก.พ. นี้อย่าลืมขอใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปไว้ลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท ​โค้งสุดท้ายแล้วนะ! อีก 10 วันเท่านั้นจะสิ้นสุดโครงการช้อปดีมีคืน ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการภายใน 15 ก.พ. นี้อย่าลืมขอใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปไว้ลดหย่อนสูงสุด 40,000 บาท วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลดำเนินโครงการช้อปดีมีคืน โดยมีระยะเวลาให้ประชาชนที่จะใช้สิทธินำยอดการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการไปลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับปีภาษี 2566 สามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -15 ก.พ. 2566 ซึ่งขณะนี้โครงการดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายเหลือเวลาอีก 10 วันสุดท้าย ทั้งนี้ จึงขอย้ำเตือนผู้มีเงินได้ ที่ประสงค์จะร่วมโครงการหากมีการใช้จ่ายในช่วงนี้จนถึงวันที่ 15 ก.พ. อย่าลืมขอใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบกระดาษ หรือ ใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) จากผู้ขาย จากนั้นก็เก็บใบกำกับภาษีจากการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดำเนินโครงการนี้ไปประกอบการหักลดหย่อนภาษีในช่วงยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2566 ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. 2567 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการช้อปดีมีคืนเป็นโครงการที่รัฐบาลให้ประชาชนผู้มีเงินได้นำยอดการใช้จ่ายการซื้อสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 ม.ค. -15 ก.พ. 2566 ไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่ายอดการใช้จ่าย 30,000 บาทแรกนั้นสามารถใช้ได้ทั้งใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบกระดาษและใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ e-Tax Invoice & e-Receipt แต่อีก 10,000 บาทจะต้องเป็นการซื้อสินค้าและบริการที่ออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ e-Tax Invoice & e-Receipt เท่านั้น สำหรับสินค้าและบริการที่ผู้มีเงินได้เลือกซื้อและใช้บริการนั้นมีหลากหลายซึ่งรวมถึงการเติบน้ำมันรถยนต์และจักรยานยนต์ แต่ต้องเป็นการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพกรเท่านั้น ขณะเดียวกันก็มีสินค้าและบริการบางประเภทที่ไม่สามารถนำมาร่วมโครงการได้ อาทิ ค่าสุรา, ยาสูบ, ค่าซื้อรถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ, ค่าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร,ค่าบริการจัดนำเที่ยว,ค่าที่พักในโรงแรม, ค่าสาธารณูปโภค ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย เป็นต้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภายใต้โครงการช้อปดีมีคืนรัฐบาลคาดว่าจะเกิดการใช้จ่ายและมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 56,000 ล้านบาท สนับสนุนให้จีดีพีเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายร้อยละ 0.16 และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเป็นการสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” วางโครงสร้างคมนาคมอย่างครอบคลุม ยกโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี คืบหน้ากว่า 88% แล้ว พร้อมทดสอบบริการปีใหม่ 2567
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 "ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” วางโครงสร้างคมนาคมอย่างครอบคลุม ยกโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี คืบหน้ากว่า 88% แล้ว พร้อมทดสอบบริการปีใหม่ 2567 "ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” วางโครงสร้างคมนาคมอย่างครอบคลุม ยกโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี คืบหน้ากว่า 88% แล้ว พร้อมทดสอบบริการปีใหม่ 2567 ย้ำรัฐบาลวางโครงข่ายคมนาคมเพื่อแข่งขันทั้งในภูมิภาคและระดับโลก วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดันโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เชื่อมต่อการเดินทางทั้งทางถนน ราง เรือ และอากาศ โดยเฉพาะทางถนนคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ได้มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางและส่งเสริมระบบขนส่ง โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี มีพื้นที่ผ่าน 3 จังหวัด คือ จ.นนทุบรี จ.นครปฐม และจ.กาญจนบุรี ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 61,034 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าด้านงานโยธาก่อสร้างแล้วเสร็จ 13 สัญญา จาก 25 สัญญา ภาพรวมคืบหน้าไปมากกว่า 88 % ส่วนงานระบบหรือ O&M มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องโดยเข้าพื้นที่ทั้งหมด 8 ด่านเป็นที่เรียบร้อย ประกอบด้วย ด่านบางใหญ่ ด้านศีรษะทอง ด่านนครชัยศรี ด้านนครปฐม ฝั่งตะวันออก ด่านนครปฐม ฝั่งตะวันตก ด่านท่ามะกา ด่านท่าม่วง ภาพรวมคืบหน้า 12%อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ได้ติดตามความคืบหน้าโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ทดสอบใช้บริการสายทางชั่วคราวช่วงปีใหม่ 2567 โดยคาดว่าสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในช่วงหลังปีใหม่ 2568 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยส่งเสริมการเดินทางจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไปยังภาคตะวันตกของประเทศให้ เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งเชื่อมต่อเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จ.กาญจนบุรี และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างรวดเร็ว “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้วางรากฐานให้ประเทศไทย เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน กระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่สำคัญอนาคตอันใกล้นี้ ระบบการขนส่งเพื่อการค้าการลงทุนก็จะเชื่อมโยงกันครอบคลุม ทั้ง รถ ราง เรือ เครื่องบิน ก็จะสามารถเพิ่มการแข่งขันในภูมิภาคและระดับโลกในอนาคตได้แน่นอน ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เชิญไปถวายวัดแต่ละจังหวัด เพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 4 - 5 กุมภาพันธ์ 2566 ทุกจังหวัดทั่วประเทศได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดอุบลราชธานี ที่วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร อ.เมืองอุบลราชธานี นายนคร ศิริปริญญานันท์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 2. จังหวัดเชียงใหม่ วัดป่าสุรีย์พรวนาราม ต.สันนาเม็ง อ.สันทราย นายศิวะ ธมิกานนท์ นายอำเภอสันทราย พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดที่ทำการปกครองอำเภอสันทราย และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุ สามเณร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดสมุทรปราการ ที่วัดคลองมอญ ต.บ้านคลองสวน อ.พระสมุทรเจดีย์ นายสราวุธ เขมะสมบูรณ์ ปลัดอำเภอ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารองค์การบริการส่วนตำบลบ้านคลองสวน ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 4. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่บริเวณริมเขื่อนแม่น้ำตาปี อ.เมืองสุราษฎร์ธานี คณะเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับธนาคารเลือดโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ ในงาน " ของดีเมืองสุราษฎร์ กาชาดประจำปี 2566" เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีประชาชนร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 52 ราย ปริมาณโลหิตรวมทั้งสิ้น 13,650 ซีซี นอกจากนี้ยังมีมีผู้แจ้งความประสงค์บริจาคดวงตา จำนวน 21 ราย และผู้บริจาคอวัยวะ จำนวน 24 ราย 5. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่หอประชุมอำเภอหนองไผ่ นายสมพงษ์ มหาวังษ์ นายอำเภอหนองไผ่ พร้อมด้วย คณะกรรมการกิ่งกาชาด ร่วมกับโรงพยาบาลหนองไผ่ ออกหน่วยบริการรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี นักเรียน นักศึกษา และประชาชนร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 136 ราย ปริมาณโลหิตรวมทั้งสิ้น 61,200 ซีซี 6. กรุงเทพมหานคร ที่วัดตะกล่ำ แขวงหนองบอน เขตประเวศ พระครูปลัดธีรวรวัฒน์ ดร. เจ้าอาวาสวัดตะกล่ำ พร้อมด้วย อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดยะลา ที่วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง อ.เมืองยะลา พระครูวรพุทธาภิรักษ์ ดร. รองเจ้าคณะอำเภอเมืองยะลา เจ้าอาวาสวัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง พร้อมด้วยประชาชนชาวจังหวัดยะลา ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดท่าจัด อ.สองพี่น้อง พระอาจารย์จักรพันธ์ ชุติมนฺโต ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าจัด พร้อมด้วย คณะสงฆ์วัดท่าจัด อุบสกและอุบาสิกา ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ขยายผลโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.ดีอีเอส ขยายผลโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ รมว.ดีอีเอส ขยายผลโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ ​​ วันนี้(6ก.พ.66) นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ประธานแถลงข่าวขยายผลโครงการTransformตลาดสดยุควิถีใหม่จัดโดยดีป้าหนุนผู้ประกอบการไทยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์ธุรกิจยุคดิจิทัลพร้อมปักหมุด25จังหวัดเร่งให้มีการยกระดับพัฒนาทักษะและสร้างองค์ความรู้ด้านดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจคาดมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรวม30,500รายรวมทั้งช่วยยกระดับทักษะดิจิทัลแก่กลุ่มเป้าหมายมากกว่า1.2ล้านรายและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า300ล้านบาทโดยมีดร.ณัฐพลนิมมานพัชรินทร์ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้าให้การต้อนรับณโรงแรมเอส31 ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64589
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” เปิดช่องทางพลเมืองดี แจ้งเบาะแสพนันออนไลน์ได้ที่ 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 “ชัยวุฒิ” เปิดช่องทางพลเมืองดี แจ้งเบาะแสพนันออนไลน์ได้ที่ 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง “ชัยวุฒิ” เปิดช่องทางพลเมืองดี แจ้งเบาะแสพนันออนไลน์ได้ที่ 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้นโยบายเร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ รวมถึงการพนันออนไลน์ ก็ต้องขอบคุณทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ท่าน พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ท่านพล.ต.ท ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.พล.ต.ท วรวัฒน์วัฒน์ นครบัญชา เเละทีมตำรวจไซเบอร์ท่าน ที่เปิดปฏิบัติทลายขบวนการ “มาเก๊า888” ซึ่งเป็นบ่อนพนันออนไลน์รายใหญ่ ที่และที่สําคัญต้องขอบคุณ น้องดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ดาราชื่อดัง ช่วยแจ้งเบาะแสร้องเรียนจนเป็นที่มาของการทลายบ่อนออนไลน์ มาเก๊า888 “น้องดิว” ถือว่าเป็นพลเมืองดี และเป็นบุคลตัวอย่าง น่ายกย่อง เสียสละ และกล้าที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดีครั้งนี้ ผมขอฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลความปลอดภัยให้กับน้องดิวด้วย เพราะว่าพลเมืองดีที่ไม่ค่อยกล้าแจ้งเบาะแสเพราะกลัว ขบวนการเหล่านี้ เพราะว่าการไปบอกอะไรเกี่ยวกับพวกบ่อน เหมือนมาเฟียก็เป็นผู้มีอิทธิพลมันก็อาจจะมาทำร้าย ทำลายครอบครัว ดังนั้น ผมขอฝากตำรวจช่วยดูแลความปลอดภัยของน้องดิว และครอบครัวด้วยครับ และที่สำคัญการพนันออนไลน์ก็เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่จะต้องเร่งปราบปรามและแก้ปัญหานี้ให้ได้ เพราะว่าเรามีกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ จึงอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ให้ช่วยกันแจ้งเบาะแสเข้ามา เพื่อจะได้ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ให้เร็วที่สุด เพราะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประสานความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทำความผิด เบาะแส เว็บไซต์ หรืออะไรที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเข้ามาที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวง DES ได้ที่สายด่วน 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ https://facebook.com/DESMonitor เพจอาสาจับตาออนไลน์ หรือ บช.สอท. โทร.1441 หรือ 191 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com ______________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Prime Minister of Malaysia and spouse’s official visit to Thailand on Feb 9-10
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 Prime Minister of Malaysia and spouse’s official visit to Thailand on Feb 9-10 Prime Minister of Malaysia and spouse’s official visit to Thailand on Feb 9-10 Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Honourable Dato’ Seri Anwar Ibrahim, Prime Minister of Malaysia, and spouse, will pay an official visit to the Kingdom of Thailand as guests of the Royal Thai Government during 9-10 February 2023, as part of introductory tour to ASEAN countries. During the visit, Malaysian Prime Minister will be meeting with His Excellency General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister of Thailand, on 9 February 2023. The two Prime Ministers are expected to discuss cooperation on the promotion and integration of economic development in the Thai - Malaysian border area, particularly the five Southern Provinces of Thailand and the four Northern States of Malaysia. These include connectivities in trade, investment and infrastructure; the acceleration to achieve the bilateral trade target of USD 30 billion by 2025 through existing bilateral mechanisms to enhance trade facilitation and reduce barriers; and the promotion of cooperation in potential industries such as rubber, halal food and energy as well as in new areas such as digital economy and green technology. Both sides will also exchange views on regional and international developments to jointly address new challenges and stimulate post-COVID-19 economic recovery. Dato’ Seri Anwar Ibrahim became the 10th Prime Minister of Malaysia on 24 November 2022.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เพิ่มศักยภาพเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งพืชผลทางการเกษตร ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท เพิ่มศักยภาพเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งพืชผลทางการเกษตร ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สร้างสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เชื่อมสองตำบล คาดแล้วเสร็จกลางปี 2567 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) ตำบลงิ้วราย - ตำบลสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 29% ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างตอม่อสะพาน คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2567 จากนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งพืชผลทางการเกษตรระหว่างตำบล อำเภอ หรือจังหวัด เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชนให้ประชาชนมีรายได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนรองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต ประกอบกับองค์การบริหารส่วนตำบลงิ้วรายได้มีหนังสือขอรับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เนื่องจากการเดินทางระหว่างตำบลงิ้วราย ไปยังตำบลสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี ต้องเดินทางอ้อมไม่ได้รับความสะดวกรวดเร็ว ทช. จึงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณถนนขององค์การบริหารส่วนตำบลงิ้วราย ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์รถเก่า (เจษฎาเทคนิค มิวเซียม) และมีจุดสิ้นสุดโครงการที่ตำบลสัมปทวน บริเวณข้างวัดปิ่นจันทราราม (วัดกกตาล) โดยก่อสร้างเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 400 เมตร ผิวจราจรกว้าง 9 เมตร และก่อสร้างถนนต่อเชื่อมผิวทางลาดยางแอสฟัลท์คอนกรีตทั้งสองฝั่งของสะพาน รวมระยะทาง 710 เมตร พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย งานเครื่องหมายจราจร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 114.278 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ประหยัดเวลาในการเดินทางได้ประมาณ 2 กิโลเมตร และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งพืชผลทางการเกษตร อาทิ ชมพู่ ส้มโอ ฝรั่ง ซึ่งเป็นผลไม้ชื่อดังของจังหวัดให้เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนอยากมา พร้อมขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ร่วมจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว พร้อมสั่งการอย่างรอบคอบรัดกุมทุกด้าน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนอยากมา พร้อมขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ร่วมจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว พร้อมสั่งการอย่างรอบคอบรัดกุมทุกด้าน ตามมาตรการสาธารณสุข วันนี้ (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝัน ของนักท่องเที่ยวจีน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งยกให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝัน (Dream Destination) ที่ต้องการมาเยือนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ซึ่งล่าสุด ทางการจีนได้ประกาศเปิดประเทศ และอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวและบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ทั่วประเทศจีน รวมถึงธุรกิจตั๋วเครื่องบิน-โรงแรม ดำเนินกิจการจัดการท่องเที่ยวสำหรับชาวจีนแบบหมู่คณะ ไปยัง 20 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีการจัดแคมเปญเพื่อดึงดูด และมีมาตรการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมาประเทศไทย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้ากลยุทธ์ “China is Back” ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดแคมเปญใหญ่ Two Lands, One Heart (ไทย-จีน ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน) ส่งเสริมการตลาดดึงนักท่องเที่ยวจีนมาท่องเที่ยวไทย พร้อมทั้งใช้เครื่องมือทางดิจิทัลในลักษณะ Worldwide Platform และสานต่อกลยุทธ์ Celebrity Marketing ตลอดจนเร่งฟื้นเที่ยวบินรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน และร่วมกับพันธมิตรขายแพ็กเกจท่องเที่ยว ทั้งเดินทางข้ามชายแดนทางบก (R3A) รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และเรือครุยส์แม่น้ำโขง ทั้งนี้ ททท. ตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยได้ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคนในปีนี้ นอกจากนี้ ภาคเอกชนของไทยและจีนได้ร่วมมือกันผลักดันการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศ โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ไทยจะมีการจัดมหกรรมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยเพื่อจัดทำแผนและแคมเปญการท่องเที่ยวระหว่างกัน และในเดือนมิถุนายน 2566 ไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก ครั้งที่ 16 ซึ่งคาดว่าจะมีนักธุรกิจจีนจากทั่วโลกเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 3,000 คน มูลค่าเงินสะพัดกว่าพันล้านบาท และดึงดูดการค้าการลงทุนอีกมหาศาล “นายกรัฐมนตรียินดีที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว และมีสัญญาณบวกอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมกันจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากถึง 11 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5.31 แสนล้านบาท ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป โดยขอให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ คำนึงถึงมาตรการทางสาธารณสุข และเป็นเจ้าบ้านที่ดี” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมคณะทำงาน Digital ID
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส ประชุมคณะทำงาน Digital ID ดีอีเอส ประชุมคณะทำงาน Digital ID วันนี้ (6 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการใช้งานระบบยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 โดยมี ดร. เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วม ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 สป.ดศ. ________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตือนภัย มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหลอกโอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ธ.ก.ส. เตือนภัย มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหลอกโอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส. เตือนภัย ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการส่งลิงก์ให้คลิกและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมากับมัลแวร์ ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพสามารถควบคุมโทรศัพท์และทำการโอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส. เตือนภัย ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการส่งลิงก์ให้คลิกและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมากับมัลแวร์ ผ่านทาง SMS และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพสามารถควบคุมโทรศัพท์และทำการโอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร จึงควรใช้ความระมัดระวังในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์และการส่งข้อความ SMS แอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการ โดยให้คลิกลิงก์และติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมากับมัลแวร์ หลอกลวงให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงิน โดยมิจฉาชีพมักแอบอ้างว่า จะทำการตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารและการชำระภาษีของท่าน หรืออ้างว่าสามารถช่วยลดหย่อนภาษีหรือ ไม่ต้องเสียภาษีย้อนหลังได้ผ่านแอปพลิเคชันปลอมดังกล่าว ซึ่งหากหลงเชื่อคลิกลิงก์ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพสามารถเข้ามาควบคุมโทรศัพท์ด้วยวิธีการรีโมต เช่น การทำให้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนทำงานผิดปกติ หรือจอดับชั่วคราว จากนั้นมิจฉาชีพจะนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย จนถึงการทำธุรกรรมการเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่าง ๆ ทำให้สูญเสียทั้งทรัพย์สินและชื่อเสียง สำหรับแนวทางการป้องกันมิจฉาชีพเบื้องต้น ธ.ก.ส. ขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อหรือคลิกเข้าไปในลิงก์และติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมตามข้อมูลดังกล่าว พึงระมัดระวังการอนุญาตเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในอุปกรณ์สื่อสารของท่าน เช่น ข้อมูลส่วนตัว รายชื่อผู้ติดต่อ และตำแหน่งที่ตั้ง (GPS) เป็นต้น และระวังการกรอกข้อมูลส่วนตัว การทำธุรกรรมการเงินในลิงก์ที่ไม่ได้รับการยืนยันหรือแอปพลิเคชันปลอม รวมถึงการตรวจสอบที่มาของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันผ่าน Playstore หรือ Appstore นายไพศาล กล่าวต่อไปว่า ธ.ก.ส. กำหนดช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการในระบบออนไลน์คือ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า รวมถึงการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ และ LINE Official Account : @baacfamily ที่เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งหากถูกต้องตามหลักเกณฑ์ธนาคารจึงจะนัดหมายทำสัญญาที่สาขา ธ.ก.ส. ต่อไป ทั้งนี้ จุดสังเกต LINE Official Account : @baacfamily จะมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวบริเวณหน้าชื่อและมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 11 ล้านคน ทั้งนี้ หากพบเห็นมิจฉาชีพทำการแอบอ้างชื่อเสียงธนาคาร หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ ติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเว็บไซต์ www.baac.or.th และ Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64593
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดงาน 6 กุมภาพันธ์ “วันมวยไทย” เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ “พระบิดาแห่งมวยไทย”
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 วธ.จัดงาน 6 กุมภาพันธ์ “วันมวยไทย” เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ “พระบิดาแห่งมวยไทย” วธ.จัดงาน 6 กุมภาพันธ์ “วันมวยไทย” เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ “พระบิดาแห่งมวยไทย” ยิ่งใหญ่ ประชาชนร่วมสืบสานพิธีครอบครู ไหว้ครูร่ายรำมวยไทย ตื่นตากับศิลปะแม่ไม้-ลูกไม้มวยไทยที่หาชมได้ยาก วธ.จัดงาน 6 กุมภาพันธ์“วันมวยไทย”เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ“พระบิดาแห่งมวยไทย”ยิ่งใหญ่ ประชาชนร่วมสืบสานพิธีครอบครู ไหว้ครูร่ายรำมวยไทย ตื่นตากับศิลปะแม่ไม้-ลูกไม้มวยไทยที่หาชมได้ยาก เครือข่ายมวยไทยร่วมผลักดันขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ตระหนักถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ“มวยไทย”ศิลปะการป้องกันตัวและศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นSoft Powerพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้กำหนดจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันมวยไทย6กุมภาพันธ์2566ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และร่วมจัดที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับบรรยากาศช่วงเช้า ณ ตำหนักพระเจ้าเสือ วัดตึก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลา08.39น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบสมรรถนะครูมวยไทยและพิธีบวงสรวงสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าเสือ) โดยมีนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายนิวัตน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ อธิบดีกรมพลศึกษา นางนนทพร พรประยุทธ วันงาม ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรมด้านการประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรรม คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬามวยไทยพระเจ้าเสือ พระครูภาวนาวชิรคุณ เจ้าอาวาสวัดตึก เครือข่ายทางวัฒนธรรม ครูมวยไทยและต่างประเทศ นักมวย นักเรียนมวยไทย จำนวน 668 คน ประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมงานจำนวนมากร่วมพิธี ณ ตำหนักพระเจ้าเสือ วัดตึก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิธีดังกล่าวมีนายจรัสเดช อุลิต ครูมวยไทยอาวุโส (เจ้าพิธีประกอบพิธีบวงสรวง) จากนั้นเจ้าหน้าที่งานพิธีได้นำมงคลมอบแก่ประธานในพิธีเพื่อทำการมอบให้กับครูมวยไทยได้ใช้ประกอบพิธีครอบครู โดยมีครูมวยไทยทำหน้าที่ครอบครูในครั้งนี้ นำโดย นายจรัสเดช อุลิต นายกสมาคมกีฬามวยไทยพระเจ้าเสือ นายปรเมษฐ์ ภักดีคีรีไพรวัลย์ เลขาสมาคมกีฬามวยไทยพระเจ้าเสือ นายชาญณรงค์ สุหงษา นายกสมาคมสถาบันศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบไทย นายชินวุธ ศิริสัมพันธ์ นายกสมาคมครูมวยไทย นายแสวง วิทยพิทักษ์ อุปนายกสมาคมมวยโบราณ พร้อมวิทยากรครูมวยไทยอาชีพLicenseกกท. ทำพิธีครอบครูให้นักเรียนมวยไทย จากนั้น จึงเป็นกิจกรรม พิธีไหว้ครูร่ายรำมวยไทยเทิดพระเกียรติสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่8(สมเด็จพระเจ้าเสือ) ประกอบด้วย ครูมวยไทย ครูมวยไทยต่างประเทศ นักมวย พร้อมนักเรียนมวยไทย จำนวน668คน ร่ายรำมวยไทยเทิดพระเกียรติพระบิดาแห่งมวยไทย อย่างพร้อมเพรียงสวยงามสมพระเกียรติอย่างยิ่ง พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะและผู้เข้าประกวดคีตะมวยไทยเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ จำนวน8รางวัล ได้รับเกียรติบัตรพร้อมเงินรางวัล จากนั้นเป็นการแสดงคีตะมวยไทยเทิดพระเกียรติฯ โดยผู้แสดงประกอบด้วยนักเรียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นักแสดงคีตะมวยไทย ชมรมมวยไทยพระเจ้าเสือประเทศเกาหลี ร่วมแสดง ปิดท้ายด้วย การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย15แม่ไม้ และลูกไม้มวยไทย15ลูกไม้ ที่หาชมได้ยากซึ่งทำให้ผู้ชมงานได้ตื่นตาตื่นใจและประทับใจในศิลปะการต่อสู้มวยไทย ที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ส่วนกิจกรรมในภาคบ่าย มีการเสวนาหัวข้อ“มวยไทย : ที่มาและความสำคัญกับการขึ้นทะเบียนยูเนสโก”ณ ห้องประชุม อาคารเครื่องทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์ กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รองศาสตราจารย์ชัชชัย โกมารทัต อนุกรรมการกลั่นกรองด้านการเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว นายจรัสเดช อุลิต นายกสมาคมกีฬามวยไทยพระเจ้าเสือ ฯลฯ ส่วนที่อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เวลา16.30น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหาร ร่วมงานเฟสติวัลมวยไทย ประจำปี 2566“Amazing MuayThai Festival2023”โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ประวัติความเป็นมา ความสำคัญของมวยไทย และกิจกรรมการสาธิต ให้ผู้เข้าชมงานเทศกาลมวยไทย ได้ร่วมประดิษฐ์เครื่องแต่งกายนักมวยสมัยโบราณ พร้อมรับเป็นที่ระลึก เช่น มงคล สวมศีรษะ ประเจียด ผูกกับต้นแขน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯชื่นชม สองนักแบดมินตันหญิงคู่ไทย คว้าแชมป์รายการ "ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2023 : Princess Sirivannavari Thailand Masters 2023"
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯชื่นชม สองนักแบดมินตันหญิงคู่ไทย คว้าแชมป์รายการ "ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2023 : Princess Sirivannavari Thailand Masters 2023" ​โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯชื่นชม สองนักแบดมินตันหญิงคู่ไทย คว้าแชมป์รายการ "ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2023 : Princess Sirivannavari Thailand Masters 2023" วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดี อันนา นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด กับ มูนา เบญญาภา เอี่ยมสอาด สองนักแบดมินตันไทย คว้าแชมป์รายการ "ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2023 : Princess Sirivannavari Thailand Masters 2023" ประเภทหญิงคู่ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแข่งขันแบดมินตันรายการปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2023 ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นรายการเก็บคะแนนสะสมคะแนนอันดับโลก ที่ได้การรับรองจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 โดยสำหรับประเภทหญิงคู่ นักแบดมินตันไทย อันนา นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด กับ มูนา เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มือวาง 2 ของรายการ และคู่อันดับ 13 ของโลก คว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ จากการเอาชนะเบ็ค ฮานา กับ ลี โซฮี คู่มืออันดับ 53 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปได้ 2-0 เกม ถือเป็นแชมป์แรกของทั้งสองในปี 2566 นี้ และเป็นแชมป์บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ รายการที่ 4 ของทั้งคู่ นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้การแข่งขันในรายการนี้จะยังไม่เริ่มเก็บคะแนนสะสมไปโอลิมปิก แต่ก็ช่วยให้นักกีฬาไทยสามารถเก็บคะแนนสะสมในอันดับโลก เพิ่มโอกาสในการแข่งขันระดับสูง คัดเลือกไปโอลิมปิกเกมส์ต่อไป โดยรายการเก็บคะแนนสะสมคัดเลือกไปโอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 จะเริ่มวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่รายการบีดับเบิ้ลยูเอฟ สุธีรมาน คัพ ไฟนอลส์ 2023 เมืองวันตา ประเทศฟินแลนด์ ไปจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2567 และจะประกาศอันดับรายชื่อนักกีฬาที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายโอลิมปิก ปารีส 2024 ในวันที่ 30 เมษายน 2567 “นายกฯ ชื่นชมนักกีฬาไทยที่ร่วมการแข่งขันครั้งนี้ อุทิศตนฝึกฝนจนประสบความสำเร็จ พร้อมขอร่วมเป็นกำลังใจให้นักกีฬาไทยทุกประเภทกีฬาเก็บคะแนนสะสมให้ได้มากที่สุด และได้รับสิทธิ์ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล กำชับเข้มตรวจราชการอย่างจริงจัง ย้ำเดินตามแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ สู่ความสำเร็จ 4 มิติ
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล กำชับเข้มตรวจราชการอย่างจริงจัง ย้ำเดินตามแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ สู่ความสำเร็จ 4 มิติ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับเข้มตรวจราชการอย่างจริงจัง ย้ำเดินตามแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ สู่ความสำเร็จ 4 มิติ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 พร้อมมอบแนวทางในการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2566 โดยใช้ “MIND” ปรับอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ พร้อมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ของหน่วยงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ และให้รางวัลกับคนทำดี ประกอบด้วย มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจและอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมศักยภาพ หรือ S-curve มิติที่ 2 การดูแลสังคม โดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม พัฒนาอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการดูแลสังคม โดยส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน สังคม และสถานประกอบการ เพื่อให้โรงงานในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างรับผิดชอบและเป็นมิตร มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก ผลักดันปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมด้วยกลไกการกำกับดูแลที่ทรงประสิทธิภาพ และการส่งเสริมยกระดับสถานประกอบการหรือโรงงานด้วยแนวคิด BCG มิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มุ่งเน้นการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ทั้งนี้ ปลัดฯ ได้เน้นย้ำให้ผู้ตรวจราชการ อก. ดูแลพื้นที่ในกำกับ พร้อมทั้งประสานงานกับอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศในการปรับกลไกการทำงานของอุตสาหกรรมจังหวัด โดยส่งเสริมให้โรงงานทำถูกกฎหมาย มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคล การส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง การดูแลประชาชนให้มีรายได้ การพัฒนาชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงงานให้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตร ตลอดจนแก้ไขปัญหาเรื่องการร้องเรียนซ้ำซาก พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับมาตรการการเผาอ้อยของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา PM 2.5 โดยให้อุตสาหกรรมจังหวัดบูรณาการร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยมี นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายเดชา จาตุธนานันทน์ นายวีระกิตต์ รันทกิจธนวิชญ์ นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. -ภาคีเครือข่าย จัดงาน “มหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566” ยกระดับและพัฒนางานระบบบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 สธ. -ภาคีเครือข่าย จัดงาน “มหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566” ยกระดับและพัฒนางานระบบบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “มหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย เพิ่มพูนความรู้ทักษะการตรวจรักษาโรคที่พบบ่อยในพื้นที่ การนำเทคโนโลยีระบบ Telemedicine มาใช้ในการรักษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน “มหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย เพิ่มพูนความรู้ทักษะการตรวจรักษาโรคที่พบบ่อยในพื้นที่ การนำเทคโนโลยีระบบ Telemedicine มาใช้ในการรักษา รวมถึงส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินด้วย Sky Doctor เพิ่มศักยภาพสุขศาลาพระราชทานสู่หน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เป็นที่พึ่งให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดารและห่างไกล ได้เข้าถึงบริการที่เป็นธรรมและเท่าเทียม วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ โรงแรม สตาร์ คอนเวนชั่น ระยอง จังหวัดระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566” พร้อมมอบเกียรติบัตรให้กับสุขศาลาพระราชทาน 16 แห่ง ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ การรักษาพยาบาลและการสาธารณสุขชุมชน โดยมี นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนปราณีต รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน น.ต.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรประจำสุขศาลาพระราชทานทั่วประเทศ อสม. พี่เลี้ยงจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลแม่ข่าย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนกว่า 300 คน ร่วมงาน ดร.สาธิต กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และมีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดตั้งสุขศาลาพระราชทานขึ้น ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ปัจจุบันมีสุขศาลาพระราชทาน จำนวน 26 แห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและตามแนวชายแดนระหว่างประเทศ ให้บริการตรวจรักษาทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และบุคคลไร้รัฐ ประมาณปีละ 25,000 – 30,000 ราย มีสุขศาลาพระราชทานที่ผ่านการรับรองคุณภาพการให้บริการสาธารณสุขแล้ว จำนวน 16 แห่ง และในปี พ.ศ. 2567 ได้ตั้งเป้าผ่านการรับรองคุณภาพอีก 10 แห่ง ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนสุขศาลาพระราชทาน ให้เป็นหน่วยบริการสาธารณสุขปฐมภูมิที่มีคุณภาพ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขศาลาพระราชทาน จึงจัดงานมหกรรมคุณภาพสุขศาลาพระราชทาน ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2566 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เผยแพร่ผลงานระหว่างเครือข่ายสุขศาลาพระราชทาน รวมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีในการนำระบบ Telemedicine มาใช้ในการรักษา และสื่อสารด้านสุขภาพกับประชาชน การลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ หรือSky Doctor และการตรวจรักษาโรคที่พบบ่อยในพื้นที่ เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้แก่ครูพยาบาล เจ้าหน้าที่ และอสม. สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ตามบริบทพื้น เกิดการพัฒนาระบบบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน สามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ได้เข้าถึงบริการที่เป็นธรรมและเท่าเทียม และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ด้าน นพ.สุระ กล่าวว่า สุขศาลาพระราชทานเปรียบเสมือนสถานบริการสาธารณสุขขนาดเล็กของกระทรวงสาธารณสุข ต้องได้รับการรับรองตามเกณฑ์คุณภาพการให้บริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่กําหนดขึ้นจากการประเมินสภาพแวดล้อม ความต้องการ และความเป็นไปได้ ของการดําเนินงานในพื้นที่สุขศาลาพระราชทาน เพื่อให้เป็นแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาด้านการให้บริการสาธารณสุขที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยแบ่งการรับรองคุณภาพเป็น 6 หมวด ประกอบด้วย 1.วัตถุประสงค์ของหน่วยงาน การจัดโครงสร้างหน่วยงาน 2.การจัดอัตรากำลังและการพัฒนาบุคลากร 3.กระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน 4.ยา เวชภัณฑ์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ อาคารและสภาพแวดล้อม 5.กระบวนการรักษาพยาบาล การดูแลผู้ป่วย และให้บริการด้านสุขภาพ และ 6.กระบวนการสร้างเสริมสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งการที่สุขศาลาพระราชทานผ่านการรับรองคุณภาพการให้บริการสาธารณสุข ย่อมช่วยสนับสนุนให้การบริการเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ปลอดภัย และสามารถดูแลสุขภาพประชาชนและชุมชน ทั้งในด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค และการบําบัดรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ รวมทั้งจัดการสุขภาพในพื้นที่ของตนได้อย่างยั่งยืน ****************************************** 6 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ​เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน ​เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน เมื่อเร็วๆ นี้ นายเยฟเกนี โตมีฮิน (H.E. Mr. Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยและรัสเซีย โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวอุรุษยา อินทรสุขศรี ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น 7 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64579
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชนร่วมลงทุนที่พักริมทางมอเตอร์เวย์สาย 7 ศรีราชา และบางละมุง สร้างความปลอดภัย เพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชนร่วมลงทุนที่พักริมทางมอเตอร์เวย์สาย 7 ศรีราชา และบางละมุง สร้างความปลอดภัย เพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่ ..... วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา และสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง เพื่อให้เอกชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและบริหารที่พักริมทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเป็นการยกระดับการให้บริการและช่วยลดอุบัติเหตุจากการเดินทางแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยมี ผู้บริหารทล. กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเรเนสซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ทล. เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางและขนส่งสินค้าที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดย ทล. มีแผนการพัฒนาที่พักริมทาง (Rest Area) สำหรับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพฯ - บ้านฉาง ทั้งหมด 7 แห่ง ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ จุดพักรถลาดกระบัง สถานที่บริการทางหลวง บางปะกง และจุดพักรถหนองรี และกำลังเตรียมพัฒนาอีก 2 แห่ง ที่มีการจราจรผ่านพื้นที่สูงและมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างยิ่ง ได้แก่ 1) ศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา (Sriracha Service Center) เป็นที่พักริมทางขนาดใหญ่ บริเวณ กม. ที่ 93+750 บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ตั้งอยู่ระหว่างทางแยกต่างระดับบางพระ (คีรี) และทางแยกต่างระดับหนองขาม ขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 60 ไร่ 2) สถานที่บริการทางหลวงบางละมุง (Bang Lamung Service Area) เป็นที่พักริมทางขนาดกลาง บริเวณ กม. ที่ 137+100 บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ตั้งอยู่ระหว่างทางแยกต่างระดับห้วยใหญ่และทางแยกต่างระดับเขาชีโอน ขนาดพื้นที่ฝั่งละประมาณ 39 ไร่ ส่วนอีก 2 แห่ง ได้แก่ จุดพักรถมาบประชันและสถานที่บริการทางหลวงบางปะกงใหม่ ทล. จะพิจารณาดำเนินการในลำดับถัดไป ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทล. จึงได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการดำเนินโครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบในการลงทุนออกแบบ ก่อสร้าง และบริหารจัดการโครงการทั้งหมด มีระยะเวลาโครงการ 32 ปี แบ่งเป็นช่วงการออกแบบและก่อสร้าง 2 ปี และบริหารจัดการในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) อีก 30 ปี โดย ทล. จะได้รับค่าตอบแทนจากเอกชนตลอดอายุสัญญา สำหรับโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชาและสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง ทล. ได้ดำเนินการศึกษาและจัดทำรายงานวิเคราะห์รูปแบบการลงทุนของโครงการแล้วเสร็จ และผ่านความเห็นชอบหลักกาiของโครงการตามขั้นตอนแล้ว ส่วนความพร้อมของพื้นที่ได้ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและเตรียมพื้นที่เพื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน โดยการจัดงานในวันนี้เป็นการเปิดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนที่มีศักยภาพและมีความสนใจในการร่วมลงทุน เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการโครงการต่อไป นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.doh.go.th และ www.doh-motorway.com ได้จนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 จากนั้น ทล. จะประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นข้อเสนอการร่วมลงทุนต่อไป คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกเบื้องต้นบางส่วน อาทิ ที่จอดรถ พื้นที่พักผ่อน ห้องน้ำ ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มได้ภายในปี 2568 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้งพื้นที่ภายในปี 2569 ทั้งนี้ ที่พักริมทาง (Rest Area) จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เดินทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียจากความเหนื่อยล้าหรือหลับใน โดยภายในพื้นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่จอดรถ ศาลาพักผ่อน ห้องน้ำ ร้านอาหาร ร้านขายของ สถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชน ตลอดจนช่วยให้ผู้ใช้ทางประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทางเข้า - ออกทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64602
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีกับผลรายงาน The Grant Thornton International Business Report ภาคธุรกิจต่างชาติเชื่อมั่นการลงทุนในไทยต่อเนื่อง พร้อมย้ายฐานการผลิตเข้าไทย
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีกับผลรายงาน The Grant Thornton International Business Report ภาคธุรกิจต่างชาติเชื่อมั่นการลงทุนในไทยต่อเนื่อง พร้อมย้ายฐานการผลิตเข้าไทย สะท้อนผลสำเร็จนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ วันนี้ (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบ รายงานธุรกิจระหว่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 2565 จาก บริษัท แกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย (The Grant Thornton International Business Report) ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีกับผลของรายงานฯ ซึ่งระบุว่าภาคธุรกิจต่างชาติให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนและย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย ด้วยไทยมีปัจจัยรอบด้านที่เอื้อต่อประสิทธิภาพในการลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การอยู่อาศัย ซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รายงานธุรกิจระหว่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ของบริษัท แกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย (The Grant Thornton International Business Report) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำแนะนำและคำปรึกษาด้านธุรกิจ ได้สำรวจธุรกิจขนาดกลางกว่า 5,000 ธุรกิจ ใน 30 กว่าประเทศทั่วโลก พบว่า ธุรกิจไทยเป็นผู้นำของโลกด้านสถานภาพทางธุรกิจ โดยดัชนีขึ้นถึงระดับ 8.8 จากเดิม 3.8 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 5 ปี ที่สภาพธุรกิจของประเทศไทยมีปัจจัยบวกอย่างต่อเนื่อง และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งยังมากกว่าหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งในกลุ่มที่เป็นฐานการลงทุน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจที่เคยไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นย้ายกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อีกทั้งรายงานยังระบุว่า มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อไทย ทั้งความท้าทายทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปของไทยที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปัจจุบันซึ่งพบว่า ไทยมีความโดดเด่นในสายตานักลงทุนหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ฐานซัพพลายเชนที่ดีที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนรองรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ บุคลากรมีขีดความสามารถ สิทธิประโยชน์ที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่าง ๆ การบริหารจัดการวิกฤตโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและภาคธุรกิจยังสามารถฟื้นตัวได้ดีภายหลังจากการเปิดประเทศ “นายกรัฐมนตรียินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลของรายงานฯ และข้อมูลของหลายหน่วยงานที่สอดคล้องกัน ว่าแม้โลกเผชิญกับความท้าทาย ประเทศไทยยังเป็นจุดสนใจสำคัญ มีความโดดเด่น และศักยภาพที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน ทำให้นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นที่จะขยายการลงทุนในไทย สะท้อนถึงความสำเร็จของการทำงานของรัฐบาลตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ได้วางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมอำนวยความสะดวกต่อการค้า การลงทุน ภาคธุรกิจ และการเดินทางในประเทศ รวมถึงการดำเนินนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและมาตรการขับเคลื่อนต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจ (Relocation Program) และมาตรการ LTR (Long - Term Resident Visa) ซึ่งรัฐบาลพร้อมดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมเจ้าท่า ตรวจเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ​กรมเจ้าท่า ตรวจเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ ... กรมเจ้าท่าตรวจเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ จากนโยบายของรัฐบาลโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า (จท.) ดูแลด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทางทางน้ำทั่วประเทศ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ได้มอบให้ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ จท. ดูแล ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยได้สรุปรายงานสถานการณ์การเดินทางทางน้ำ (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566) ดังนี้ 1.ส่วนกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา เรือด่วนเจ้าพระยาให้บริการ 116 เที่ยว ผู้โดยสาร 15,510 คน เรือไฟฟ้าเจ้าพระยาให้บริการ 44 เที่ยว ผู้โดยสาร 2,158 คน เรือโดยสารข้ามฟากให้บริการ 883 เที่ยว ผู้โดยสาร 18,569 คน เรือภัตตาคารให้บริการ 20 เที่ยว ผู้โดยสาร 3,091 คน และเรือโดยสารคลองแสนแสบให้บริการ 167 เที่ยว ผู้โดยสาร 26,609 คน ซึ่ง จท. ได้ดำเนินการตามมาตรการด้านความปลอดภัยทางน้ำด้วยการจัดเรือตรวจการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราความปลอดภัยทั้งในแม่น้ำเจ้าพระยาพบว่า ผู้ให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาให้บริการเฉพาะธงส้ม ตั้งแต่เวลา 07.30 - 17.30 น. มีผู้ใช้บริการเรือไฟฟ้าเจ้าพระยาและเรือโดยสารข้ามฟากปริมาณพอประมาณ เรือโดยสารคลองแสนแสบให้บริการตามรอบการเดินเรือ สามารถระบายผู้โดยสารได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีผู้โดยสารตกค้างจท. ได้จัดเรือตรวจการณ์และเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนบริเวณท่าเรือต่าง ๆ และตรวจสอบความพร้อมของเรือโดยสาร ท่าเรือโดยสาร คนประจำเรือ และอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ก่อนออกเดินเรือ ตามมาตรการความปลอดภัยที่ จท. กำหนด พร้อมทั้งกำชับให้บริษัท ครอบครัวขนส่ง เพิ่มเที่ยวเรือโดยสารให้เพียงพอกับจำนวนของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน 2. ส่วนภูมิภาค จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก พร้อมเจ้าหน้าที่ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการท่าเรือต่าง ๆ รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมของเรือโดยสาร ท่าเรือโดยสาร คนประจำเรือ อุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ก่อนออกเดินเรือตามมาตรการความปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ควบคุมเรือติดตามรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน จท. โทร.1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ พร้อมร่วมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศ
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ พร้อมร่วมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศ ... กรมเจ้าท่า เตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ(IMO Member State Audit Scheme, IMSAS) พร้อมร่วมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization, IMO) มีพันธกรณีต้องรับการตรวจประเมินจาก IMO ในอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี จำนวน 6 ฉบับ ประกอบด้วย อนุสัญญา SOLAS / อนุสัญญา MARPOL (เฉพาะภาคผนวกที่ 1 และ 2) / อนุสัญญา LOADLINE / อนุสัญญา TONNAGE / อนุสัญญา CORLEG และ อนุสัญญา STCW ให้เป็นไปตามประมวลข้อบังคับว่าด้วยการอนุวัติการตราสารขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO Instruments Implementation Code : III Code) ประกอบด้วย ประเด็นโดยรวม (Common Area) รัฐเจ้าของธง (Flag State) รัฐชายฝั่ง (Coastal State) และรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State) โดยมีกำหนดรับการตรวจประเมินจาก IMO ระหว่างวันที่ 20 - 27 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการกำกับดูแลความปลอดภัยของการเดินเรือ การขนส่งทางทะเล และการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งอยู่ในขอบเขตของการตรวจประเมิน จำนวน 16 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน กสทช. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือประสบภัย กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ โดยหน่วยงานทั้งหมดได้รับทราบถึงกำหนดการตรวจประเมิน และดำเนินการเตรียมความพร้อมรับการตรวจประเมินอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจัดทำกลยุทธ์ระดับประเทศในการขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนด การกำกับดูแลการดำเนินการโดยคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ การลงนามบันทึกความร่วมมือแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา การฝึกอบรมให้กับเรือไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลตรวจอากาศทางทะเล การขยายสถานี Navtex เพื่อให้บริการข่าวสารด้านการเดินเรือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน การฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย การตั้งสำนักงานสืบสวนอุบัติเหตุทางน้ำเพื่อให้การสอบสวนอุบัติเหตุทางน้ำเป็นอิสระ และการตั้งกลุ่มมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าและสินค้าอันตรายเพื่อกำหนดการกำกับ ดูแล ด้านความปลอดภัยระหว่างการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวของ IMO มั่นใจได้ว่าประเทศสมาชิกมีการปรับปรุงการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การประเมินผล การทบทวน การติดตามการดำเนินการตามพันธกรณีและข้อแก้ไขของอนุสัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความปลอดภัยในการเดินเรือและการขนส่งทางทะเล รวมทั้งการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล อย่างยั่งยืนต่อไป ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองงานพันธกรณีระหว่างประเทศ กรมเจ้าท่า โทร. 0 2233 1311 - 8 ต่อ 290
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลหนุนภาคอุตสาหกรรมใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ผลิตคอนกรีต ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แก้ปัญหาโลกร้อน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​รัฐบาลหนุนภาคอุตสาหกรรมใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ผลิตคอนกรีต ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แก้ปัญหาโลกร้อน ​รัฐบาลหนุนภาคอุตสาหกรรมใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ผลิตคอนกรีต ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แก้ปัญหาโลกร้อน วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกลดภาวะโลกร้อน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการดำเนินโครงการและมาตรการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้หันมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตต่างๆ แทนการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า ซึ่งมีส่วนประกอบของปูนเม็ดในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณทั้งหมด โดยใช้วัสดุอื่นมาผสมทดแทน เช่น หินปูน กากถลุง และปอซโซลาน เป็นต้น แต่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพในการนำไปใช้งานที่ดีเทียบเท่ากับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ อีกทั้งการผลิตยังทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงด้วย หากประมาณการการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 1 ตัน จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน (CO2) เมื่อเทียบกับการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ในปริมาณที่เท่ากัน สำหรับแนวทางการส่งเสริมการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ขณะนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก มอก. 2594-2556 โดยระบุเกณฑ์กำหนดคุณลักษณะด้านต่าง ๆ และมีการแบ่งชนิดครอบคลุมการใช้งานที่แตกต่างกัน ทั้งการใช้งานทั่วไป งานที่ต้องการแรงอัดต้นสูง งานที่ทนต่อการกัดกร่อนของซัลเฟต และงานโครงสร้างขนาดใหญ่ พร้อมทั้งแก้ไขมาตรฐานให้สามารถใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตต่าง ๆ แล้ว จำนวน 71 มาตรฐาน อาทิ คอนกรีตทนไฟ กระเบื้องซีเมนต์เส้นใยแผ่นลอน ท่อคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จรูป คอนกรีตบล็อกกลวงรับน้ำหนัก และคอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น กระเบื้องหินขัดชนิดสองชั้น เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสําเร็จ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น และคอนกรีตบล็อกประสานปูพื้น เป็นต้น “ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสามารถยื่นขออนุญาตใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นวัตถุดิบในการผลิต และขอรับใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. บนผลิตภัณฑ์ ผ่านออนไลน์ในระบบ e-license ของ สมอ. ได้ที่ www.tisi.go.th ตลอด 24 ชั่วโมง” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64569
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมภริยาเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ 9-10 กุมภาพันธ์ 2566 มุ่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 นายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมภริยาเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ 9-10 กุมภาพันธ์ 2566 มุ่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมภริยาเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ 9-10 กุมภาพันธ์ 2566 มุ่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Honourable Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พร้อมด้วยภริยา มีกำหนดเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ระหว่างวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ 2566 ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ตามธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศสมาชิกอาเซียน สำหรับการเยือนฯ ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีกำหนดการเข้าพบหารือกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศจะหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมและเชื่อมโยง การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย โดยเฉพาะ 5 จังหวัดภาคใต้ของไทยกับ 4 รัฐ ทางตอนเหนือของมาเลเซีย ทั้งด้านการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุน และด้านคมนาคมขนส่ง รวมทั้งเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 โดยอาศัยกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ เพื่อลดอุปสรรคและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพระหว่างไทยและมาเลเซีย เช่น อุตสาหกรรมยางพารา อาหารฮาลาล พลังงาน และในมิติใหม่ ๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล และเทคโนโลยีสีเขียว นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อสถานการณ์ในภูมิภาคและในเวทีโลก เพื่อร่วมมือกันเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับความท้าทายใหม่ ๆ และฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อนึ่ง ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 โดยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซีย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64603
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. มุ่งสร้างบำนาญให้ประชาชนอาชีพอิสระ ทุกจังหวัดมีเงินออมยามเกษียณ”
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 “กอช. มุ่งสร้างบำนาญให้ประชาชนอาชีพอิสระ ทุกจังหวัดมีเงินออมยามเกษียณ” วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายบทบาทกองทุนการออมแห่งชาติ ในการส่งเสริมการออมภาคประชาชน ประจำปี 2566 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2566) ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร ได้มีการประชุมมอบนโยบายบทบาทกองทุนการออมแห่งชาติ ในการส่งเสริมการออมภาคประชาชน ประจำปี 2566 โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี และนายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวต้อนรับ รวมถึงนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงาน กอช. กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดการ และนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ให้การต้อนรับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) หรือมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ตั้งแต่ปี 2548 โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ 12.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากรทั้งประเทศ และจากอัตราการเกิด ที่ลดลง ประกอบกับประชากรมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนของประชากรสูงอายุ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) คือ มีสัดส่วนของประชากรสูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) หรือมีประชากรสูงอายุมากกว่าร้อยละ 28 ในปี 2577 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยดังกล่าว ส่งผลให้มีประชากรที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงมากขึ้น ดังนั้น ประชาชนทุกคนจึงควรมีการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการออมเงินระยะยาวให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายตลอดช่วงวัยเกษียณ การออมเพื่อการเกษียณเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญโดยรัฐบาลได้มีนโยบายเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐในการพัฒนาระบบการออมให้มีประสิทธิภาพและเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) รวมทั้งแผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม โดยกำหนดกิจกรรมที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมนั้นคือ การมีระบบการออมเพื่อสร้างหลักประกันรายได้หลังวัยเกษียณที่เพียงพอและครอบคลุมในกลุ่มแรงงานทั้งในและนอกระบบ รวมถึงแผนระดับรองที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้แก่ แผนแม่บท และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ตลอดจน แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 – 2570 ซึ่งมีเป้าหมาย ให้คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงิน สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน รวมถึงมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต สำหรับแรงงานในระบบมีการออมเงินภาคบังคับตามกฎหมายผ่านกองทุนประกันสังคมและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระมีระบบการออมภาคสมัครใจรองรับ โดยสามารถส่งเงินออม ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติหรือกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 40 แห่งกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม อย่างไรก็ดี การส่งเสริมการออมของกลุ่มแรงงานนอกระบบยังคงต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากปัจจุบันยังมีแรงงานนอกระบบ อีกจำนวนมากที่ยังไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ โดยในปี 2565 พบว่า แรงงานนอกระบบ 29.5 ล้านคน มีการออมเพื่อการเกษียณ 13.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของแรงงานนอกระบบทั้งหมด แบ่งเป็น ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่งกฎหมายประกันสังคม จำนวน 10.9 ล้านคน และสมาชิก กอช. จำนวน 2.5 ล้านคน จึงทำให้มีแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีการออมเพื่อการเกษียณอีก 16.1 ล้านคน หรือร้อยละ 55 ของแรงงานนอกระบบทั้งหมด การส่งเสริมให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระมีการออมเพื่อการเกษียณที่เพียงพอ จึงเป็นภารกิจที่ต้องเร่งผลักดัน ซึ่ง กอช. เป็นกองทุนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออม และสร้างหลักประกันทางด้านรายได้ในยามชราภาพให้กับกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมทั้งสร้างวินัยการออมให้ประชาชนคนไทยตั้งแต่วัยเด็กให้สามารถเข้าถึงระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุอย่างทั่วถึง ที่ผ่านมา กอช. ได้มีการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการเพิ่มจำนวนสมาชิก และส่งเสริมให้สมาชิกมีการออมอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด สถาบันการเงินของรัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) หน่วยงานภาคีเครือข่าย และหน่วยงานอื่น ๆ ส่งผลให้จำนวนสมาชิก กอช. เพิ่มขึ้นจาก 4 แสนคน ในปี 2558 เป็น 2.5 ล้านคน ในปี 2565 เงินกองทุนเพิ่มจาก 1,155 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 เป็น 11,669 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 กอช. นับว่าเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป ผู้มีงานทำ เด็กและเยาวชน นักศึกษา หรือแม้กระทั่งประชาชนสูงวัย โดยที่ผ่านมา กอช. ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการออมเงินของกลุ่มแรงงานนอกระบบ หรือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระกับ กอช. ผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ Facebook Live และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ รวมทั้งการจัดทำโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. โดยทำความตกลงและความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษา และบุคลากรในสถานศึกษาเข้าใจการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินและการลงทุนให้กับนิสิต นักศึกษา ทั้งการสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาบรรจุเนื้อหาการวางแผนทางการเงินและการลงทุนในวิชาศึกษาทั่วไป (General Education, GenEd) การจัดบรรยาย การอบรมให้ความรู้ ตลอดจนอบรมทักษะทางการเงินให้แก่ ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของ กอช. สอดคล้องกับเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ต้องการให้คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงินและเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน รวมถึงมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แม้ว่าที่ผ่านมา กอช. และหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ดำเนินการขับเคลื่อนการหาสมาชิกอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีแรงงานนอกระบบอีกจำนวนมากที่ยังไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ กระทรวงการคลังได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมการออมของแรงงานนอกระบบ จึงได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ปรับเพิ่มเพดานเงินสะสมของสมาชิกจาก 13,200 บาทต่อปี เป็น 30,000 บาทต่อปี เพื่อให้สมาชิกส่งเงินออมได้มากขึ้น และปรับเพิ่มเพดานเงินสมทบของรัฐบาลจากเดิม 600 – 1,200 บาทต่อปี ตามช่วงอายุของสมาชิก เป็น 1,800 บาทต่อปีทุกช่วงอายุของสมาชิก เพื่อจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้ามาเป็นสมาชิก และสมาชิกทุกช่วงอายุมีการออมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนเงินสะสมและเงินสมทบที่สูงขึ้น จะทำให้สมาชิก กอช. มีเงินบำนาญเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตให้มีเงินเพียงพอในการดำรงชีพยามชราภาพ โดยสมาชิก กอช. ที่เริ่มออมตั้งแต่อายุ 15 ปี และออมต่อเนื่องจนถึงอายุ 60 ปี จะมีโอกาสได้รับเงินบำนาญประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน จากเดิมประมาณ 5,300 บาทต่อเดือน ในกรณีส่งเงินสะสมเต็มเพดานเงินสะสม ซึ่งการปรับเพิ่มจำนวนเงินสะสมและจำนวนเงินสมทบดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนการออมของแรงงานนอกระบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มแรงจูงใจในการออม รวมทั้งเตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงอายุ โดยเฉพาะส่งเสริมให้กลุ่มเยาวชนมีการออมเพื่อการเกษียณเร็วขึ้น ในส่วนของ กอช. ภารกิจสำคัญ ในระยะต่อไปยังคงต้องมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้กลุ่มแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระได้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการมีระบบการออมเพื่อการเกษียณอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน กอช. ก็ควรพัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกปัจจุบัน พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ และสร้างวินัยการออมให้แก่สมาชิกและประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินการในระยะต่อไป กอช. มีแผนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2566 – 2570 ทั้งหมด 5 ด้าน ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 มุ่งเน้นการสื่อสารคุณค่าของการออมผ่าน กอช. โดยมุ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของ กอช. ให้เป็นที่รู้จักของประชาชน รวมทั้งจัดให้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกและเชิงรับ เพื่อสนับสนุนพันธกิจของ กอช. และเสริมสร้างค่านิยมสังคมการออม ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการตลาดให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่สมาชิก (Customer Centric) โดยมุ่งเพิ่มยอดสมาชิกใหม่กระตุ้นการออมสมาชิกเก่าและสร้างประสบการณ์ที่ดีของสมาชิกจากการรับบริการจาก กอช. ยุทธศาสตร์ที่ 3 บริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคง โดยปรับปรุงกฎหมายและการบริหารเงินทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกและสร้างโอกาส ความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว ยุทธศาสตร์ที่ 4 ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อยกระดับการให้บริการสมาชิกและเพิ่มผลิตภาพขององค์กร โดยเตรียมความพร้อมของเทคโนโลยีและฐานข้อมูลภายในองค์กร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาไปสู่องค์กรดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยกระดับขีดความสามารถการบริหารจัดการภายในองค์กร โดยการพัฒนาองค์กรทั้งในเชิงโครงสร้าง การบริหารจัดการ การส่งเสริมสมรรถนะภายในองค์กร รวมทั้งความสามารถรองรับการบริการในสภาวะวิกฤต ภายใต้การบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้านนี้ จะช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณ รู้จัก และเข้าร่วมเป็นสมาชิก กอช. เพิ่มมากขึ้น และ กอช. จะมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง ตลอดจนระบบเทคโนโลยีรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิกได้ดียิ่งขึ้น สำหรับการดำเนินงานในปี 2566 นี้ กอช. มีแผนงานลงพื้นที่ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ กอช. เพิ่มเติมอีก 28 จังหวัด จัดอบรมเสมียนตราอำเภอทั่วประเทศในเดือนมีนาคม โดยเลขาธิการคณะกรรมการ กอช. จะเป็นผู้บรรยาย พร้อมตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ กอช. และเพิ่มเป้าหมายตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านอีกจำนวน 10,000 ราย พร้อมทั้งจะมีการมอบรางวัลแก่จังหวัดที่ส่งเสริมวินัยการออมดีเด่นด้วย นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เป็นกองทุนบำนาญ สำหรับแรงงานนอกระบบ จัดตั้งขึ้นในปี 2554 เปิดรับสมัครสมาชิกครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ระยะยาวให้กับประชาชนที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญใด ๆ เพื่อไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้ เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา หรือ นอกจากผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้ว กอช. ยังเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่มีอายุระหว่าง 15 - 60 ปี สามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ด้วยการออมตั้งแต่ 50 – 30,000 บาทต่อปี จะมีเงินบำนาญรายเดือนกับ กอช. ไว้ใช้ในยามเกษียณ นับเป็นการเริ่มต้นการส่งเสริมการออมให้ประชาชนคนไทยได้เงินบำนาญอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ การเป็นสมาชิก กอช. จะช่วยให้ผู้เป็นสมาชิกมีแผนการออมแบบผูกพันระยะยาวให้กับตัวเองเมื่อยามเกษียณ โดยนอกจากเงินที่ออมสะสมเองแล้ว รัฐบาลจะช่วยจ่ายสมทบให้อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้ฐานเงินออมของแต่ละคนเพิ่มสูงขึ้นและเมื่อรวมกับผลตอบประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนที่ กอช. นำเงินไปบริหารแล้ว จะช่วยให้ประชาชนมีเงินบำนาญรายเดือนที่เพียงพอต่อการดำรงชีพเมื่อยามเกษียณ แต่ละคนจะมีเงินบำนาญมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับระยะเวลาการออมและจำนวนเงินการออม การออมกับ กอช. มีข้อดีอีกประการคือ สมาชิกสามารถออมเมื่อพร้อม พร้อมเมื่อไรออมเมื่อนั้น สิทธิ์การเป็นสมาชิกยังคงเดิม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงาน กอช. กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการส่งเสริมการออมกับ กอช. ในระดับพื้นที่ เพื่อดำเนินงานเชิงรุกในการเพิ่มสมาชิก กอช. ในภูมิภาคที่เป็นแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีระบบการออมเพื่อการเกษียณ โดยส่งเสริมให้มีวินัยทางการเงิน เริ่มต้นด้วยการออมทรัพย์ เพื่อความมั่นคงในบั้นปลายชีวิตยามเกษียณ ในโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ในระดับพื้นที่ ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย จะดำเนินการจัดประชุมชี้แจงการดำเนินงานในไตรมาสแรกเป็นประจำในทุกปี ก่อนที่จะดำเนินงานจัดกิจกรรมลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ กอช. ในแต่ละจังหวัดให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน อาทิ กรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด คณะผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด (คบจ.) หัวหน้าส่วนราชการในแต่ละจังหวัด ผู้บริหารสถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าใจความรู้ทักษะทางการเงินให้เป็นไปตามภารกิจของ กอช. ในการส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชนได้ตระหนักถึงการออมและการบริหารจัดการเงิน สร้างความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับ กอช. ในการถ่ายทอดความรู้ได้อย่างถูกต้องต่อไป ในปี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกในการดำเนินงานขับเคลื่อน โครงการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ในระดับพื้นที่ ในการกำกับดูแลของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านได้ให้ความสำคัญของการออมกับ กอช. เพื่อให้แรงงานนอกระบบในแต่ละพื้นที่มีเงินบำนาญใช้ถ้วนหน้า ซึ่งการดำเนินงานในพื้นที่ โดยมีการกำหนดเป้าหมายการส่งเสริมให้มีสมาชิก หมู่บ้านละ 20 คน ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมแรงงานนอกระบบให้ความสนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน และในปีต่อมาจึงได้ดำเนินงานขับเคลื่อนส่งเสริมการออมกับ กอช. มาโดยตลอด จึงจัดอันดับแก่จังหวัดที่ส่งเสริมวินัยการออมดีเด่นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย และจังหวัดที่ได้ผลการดำเนินงานสูงสุด โดยการมอบประกาศเกียรติคุณ 3 ลำดับ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ในปี 2562 กรมการปกครอง ได้เล็งเห็นความสำคัญการออมกับ กอช. จึงให้ความร่วมมือโดยให้เสมียนตราอำเภอทั่วประเทศ เป็นหน่วยรับบริการ กอช. ในการสมัคร ส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้มีการส่งเสริมการออมในระดับพื้น โดยการเปิดรับตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ได้ที่เสมียนตราอำเภอ ซึ่งมีเป้าหมายการสร้างตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 74,000 หมู่บ้าน ปัจจุบันมีผู้สมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน กว่า 38,787 คน ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาการออมเงินกับ กอช. แก่ประชาชนในหมู่บ้าน ทั้งการรับสมัครสมาชิก ส่งเงินออมสะสม แจ้งสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นสมาชิก กอช. และในปีต่อมาด้วยสถานการณ์โควิด 2019 ส่งผลให้การลงพื้นที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมให้ความรู้ได้ โดยเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมเป็นการอบรมผ่านระบบออนไลน์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ด้วยสถานการณ์นี้อาจทำให้ประชาชนขาดความตระหนักถึงการวางแผนทางการเงินที่น้อยลง ปี 2566 นี้ จึงได้จัด “การประชุมมอบนโยบายบทบาทกองทุนการออมแห่งชาติ ในการส่งเสริมการออมภาคประชาชน ประจำปี 2566” เพื่อทบทวนความเข้าใจข้อมูล กอช. และระบบงานเกี่ยวกับ กอช. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องกับเสาหลักของกระทรวงมหาดไทยในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สำหรับในปีนี้ กอช. ยังเปิดรับสมัครตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน เพิ่มขึ้นให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยผู้ที่มีคุณสมบัติในการสมัครต้องเป็นสมาชิก กอช. ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แต่ละหมู่บ้าน โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับรองการสมัคร สามารถสมัครได้ที่เสมียนตราอำเภอทั่วทั้งประเทศ เพื่อที่ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านจะได้เป็นกระบอกเสียงให้คนในชุมชนของท่านได้มีเงินออมกับ กอช. นอกจากนี้ที่ผ่านมา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ดำเนินการขับเคลื่อนส่งเสริมการออมกับ กอช. ให้คนในชุมชนมาโดยตลอด ดังนั้นหากในชุมชนมีผู้ที่เป็นกระบอกเสียงให้คำปรึกษา สร้างความมั่นใจที่ถูกต้องคนในชุมชน พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา อาชีพรับจ้างทั่วไป รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา ตั้งแต่อายุ 15 – 60 ปี จะได้ตระหนักถึงการออมได้ตั้งแต่ต้น ยิ่งน้อง ๆ เยาวชนออมไว ยิ่งมีเงินออมมากในยามเกษียณหรืออนาคตข้างหน้าจะมีเงินใช้ที่พอเพียงและคุณภาพชีวิตที่สุขเกษม นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า การออมเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน ต้องเก็บออมก่อนใช้จ่าย เมื่อเริ่มออมตั้งแต่อายุ 15 ปี จำนวน 13,200 บาทต่อปีเท่ากันทุก ๆ ปี ถึงอายุ 60 ปีบริบูรณ์ พร้อมรับเงินสมทบตามช่วงอายุ ในตลอดทุกปีตามเกณฑ์ของ กอช. สูงสุด 1,200 บาทต่อปี จะมีเงินในบัญชีรวมประมาณกว่า 1.5 ล้านบาท เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ ได้รับเงินบำนาญรายเดือนละ 7,XXX บาท โดยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 มติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการตามร่างประกาศกฎกระทรวง พ.ศ. ... กำหนดอัตราจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ ถ้าสมาชิกเริ่มออมตั้งแต่อายุ 15 ปี จำนวน 30,000 บาท จะได้รับเงินสมทบ 1,800 บาทต่อปี ในเดือนถัดไปทุกปี ถึงอายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะมีเงินในบัญชีรวมประมาณกว่า 3.4 ล้านบาท จะได้รับบำนาญรายเดือนละ 12,XXX บาท ในปี 2566 นี้ กอช. จะดำเนินการขับเคลื่อนสร้างความรู้การวางแผนทางการเงิน และสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ใน 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 28 จังหวัด ให้กับหน่วยงานในแต่ละจังหวัดได้สร้างความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับ กอช. ในการถ่ายทอดความรู้ได้อย่างถูกต้องต่อไป ปัจจุบัน กอช. ได้มีเครือข่ายอำนวยความสะดวกในการให้บริการสมาชิก ทั้งการสมัคร ส่งเงินออมต่อเนื่อง และการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ กอช. ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ สำนักงานคลังจังหวัด เสมียนตราอำเภอ ได้มีการส่งเสริมการออมให้กับ กอช. ด้วยดีมาตลอด ส่งผลให้ประชาชนในพื้นได้รู้จัก และเข้าใจ กอช. เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีธนาคารของรัฐ 5 แห่ง อาทิ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา รวมกว่า 3,836 สาขา สถาบันการเงินชุมชน จำนวน 128 แห่ง ที่ว่าการอำเภอ ทั่วประเทศ 878 แห่ง ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน 38,787 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2566) จาก 74,000 คน ที่ทำไปรษณีย์ไทย จำนวนกว่า 1,479 แห่ง เซเว่น-อีเลฟเว่น จำนวน 12,500 แห่ง เทสโก้โลตัส จำนวน 1,949 สาขา และตู้บุญเติมจำนวน 112,498 ตู้ อีกทั้ง กอช. ได้มีการออมที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีให้สมาชิกให้ประชาชนเข้าถึงการออมง่ายยิ่งขึ้นด้วยความสะดวกสบายได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน อาทิ แอปพลิเคชัน กอช., ไลน์ กอช., แอป K PLUS, แอป Krungthai NEXT และแอป Mymo GSB ทั้งนี้ กอช. ได้มีช่องทางหน่วยรับบริการที่หลากหลายในการอำนวยความสะดวก ให้สมาชิกครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ และกอช. ได้มีการจัดพิมพ์สมุดเงินออม กอช. ให้สมาชิก ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกในการออม โดยรับได้ที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพียงแสดงบัตรประจำตัวประชาชน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 รัฐบาลเตรียมจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 รัฐบาลเตรียมจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 วันนี้ (6 ก.พ. 66) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครั้งที่ 1/2566 โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่ปรึกษาฝ่ายบรรพชิต พร้อมด้วยประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ในฐานะที่ปรึกษา รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง กรรมการ ตลอดจนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญของการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครั้งที่ 1/2566 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ว่า เนื่องในโอกาสสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุครบ 8 รอบ 96 พรรษา ในวันที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2566 นับเป็นมหามงคลสมัยยิ่ง รัฐบาลเห็นสมควรจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทั้งนี้ เพื่อการจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติยศทุกประการ จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการฝ่ายพิธีการฯ คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมฯ คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ และคณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึกฯ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ในรูปแบบที่น่าสนใจ บอกเล่าเรื่องราวถึงความเป็นมาและประโยชน์ที่จะได้รับ โดยเฉพาะการนำหลักคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนาและกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ มาเเผยแพร่ในรูปแบบใหม่ ๆ น่าสนใจสอดคล้องกับสถานการณ์สังคมในปัจจุบัน รวมไปถึงการส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานและการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ มาช่วยพัฒนาจิตใจของประชาชนให้เข้มแข็ง เพื่อมีพลังใจและกายที่แข็งแรงในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ท่ามกลางสถานการณ์ของโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้ชาวต่างประเทศต่างให้ความสนใจหันมาศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานมากขึ้น ทั้งนี้ นอกจากประเทศไทยมีศาสนาพุทธที่คนนับถือจำนวนมากแล้วยังมีศาสนาอื่น ๆ ซึ่งเราก็ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม โดยเชื่อมั่นว่าศาสนารวมถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา จะช่วยกล่อมเกลาพัฒนาจิตใจของคนได้และทำให้เกิดภูมิต้านทานของตนเอง สังคม และประเทศชาติด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการ ที่ปรึกษาทั้งฝ่ายฆราวาส และที่ปรึกษาฝ่ายบรรชิต และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มาร่วมประชุมกันในวันนี้และขอให้การจัดงานฯ สำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ ที่ประชุมมีการพิจารณาและหารือในประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งการเชิญคณะที่ปรึกษาฝ่ายบรรพชิตและคณะที่ปรึกษาฝ่ายฆราวาสเป็นที่ปรึกษาของการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พร้อมทั้งรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ (1) คณะกรรมการฝ่ายพิธีการ งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) เป็นรองประธานกรรมการ (2) คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) เป็นประธานกรรมการ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นรองประธานกรรมการ (3) คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) เป็นประธานกรรมการ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ และ (4) คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึก งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกรรมการ และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองประธานกรรมการ 2. ที่ประชุมรับทราบการกำหนดชื่อการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 การกำหนดขอบเขตการจัดงาน การจัดทำตราสัญลักษณ์ งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก การจัดทำเข็มที่ระลึก งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สำหรับการกำหนดชื่อการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ดังนี้ - ชื่อการจัดงานเป็นภาษาไทยว่า “การจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566” - ชื่อการจัดงานภาษาอังกฤษว่า “Celebrations on the Occasion of His Holiness Somdet Phra Ariyavongsagatayana the Supreme Patriarch of Thailand ‘s 96th Birthday Anniversary 26th June 2023” โดยมีขอบเขตการจัดงานตลอดปี 2566 ส่วนการจัดทำตราสัญลักษณ์งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามได้ดำเนินการออกแบบตราสัญลักษณ์ฯ พร้อมความหมายภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ หากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั่วไป มีความประสงค์ขอใช้ตราสัญลักษณ์ฯ เพื่อประดับหรือประดิษฐานบนสิ่งของใด ๆ ก็ตาม ให้แจ้งความประสงค์ไปยังสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และการจัดทำเข็มที่ระลึก งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามได้ดำเนินการออกแบบเข็มที่ระลึกฯ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานแห่งเดียวที่ดำเนินการจัดทำเข็มที่ระลึก ซึ่งจะดำเนินการเพื่อจำหน่ายราคาเข็มละไม่เกิน 300 บาท เพื่อนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย ซึ่งเบื้องต้นสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะผลิตเข็มที่ระลึก จำนวน 30,000 เข็ม หรือจำนวนตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรดำเนินการ หากไม่เพียงพอก็ให้สามารถผลิตเพิ่มได้ตามที่เห็นสมควร โดยจะจัดจำหน่ายเข็มที่ระลึกที่วัดวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด และหน่วยงานเอกชนตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะขอความร่วมมือเป็นตัวแทนจำหน่าย 3. ที่ประชุมรับทราบการจัดพิธีการ วันอาทิตย์ที่ 25-26 มิถุนายน 2566 และการจัดทำโครงการและกิจกรรม จัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้แก่ (1) การจัดทำโครงการบรรพชาอุปสมบท 97 รูป ถวายพระกุศล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน-2 กรกฎาคม 2566 ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยผู้ร่วมบรรพชาอุปสมบท เป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชน จำนวน 97 คน และ (2) การจัดทำโครงการและกิจกรรม งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยจะจัดให้มีการลงนามถวายสักการะ ณ พระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ระหว่างวันที่ 19-25 มิถุนายน 2566 และมีการจัดสร้างพระกริ่ง เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา เป็นปูชนียวัตถุอนุสรณ์ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ รวมทั้งจัดพิมพ์หนังสือบรรณานุสรณ์ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ เพื่อมอบเป็นธรรมทาน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาการจัดทำโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 9 โครงการสำคัญ ดังนี้ (1) โครงการกำหนดประโยชน์ใช้สอยพื้นที่ภายในกระทรวงมหาดไทย ภายหลังจากกระทรวงมหาดไทยย้ายที่ทำการแล้ว เพื่อฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (2) โครงการจัดสร้างสถาบันกรรมฐานศึกษาสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี (3) โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ (4) กิจกรรมการฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ด้านการศึกษาเรียนรู้) (5) โครงการ “ธรรมะ สานใจ สูงวัยพลังบวก” เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ (96 พรรษา) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (6) โครงการอบรม “พระบริบาลภิกษุไข้” ประจำวัด 1 วัด 1 รูปทั่วไทย เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฉลองพระชนมายุ 8 รอบ (7) โครงการพัฒนาวัดต้นแบบ (8) โครงการจัดสร้างสิ่งสะสมพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และ (9) โครงการจัดทำเหรียญที่ระลึก งานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยกรมธนารักษ์จะเป็นผู้จัดทำเหรียญที่ระลึก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64598
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Thailand and Luxembourg to expand trilateral and multilateral cooperation
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​Thailand and Luxembourg to expand trilateral and multilateral cooperation ​Thailand and Luxembourg to expand trilateral and multilateral cooperation February 2, 2023, at 13.30 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Patrick Hemmer, Ambassador of the Grand Duchy of Luxembourg to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of duty. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister welcomed Luxembourg Ambassador to Thailand, and expressed pleasure over cordial and close relations between the two countries. He also commended Luxembourg Ambassador’s commitment to promote relations and cooperation, and affirmed Thailand’s full support given to the Ambassador during his tenure in Thailand. The Luxembourg Ambassador expressed appreciation for the warm welcome, and commended cooperation dynamism between Thailand and Luxembourg. He was of the view that the two countries have potential to increase cooperation, especially in space cooperation, satellite, financial cooperation, and academic cooperation, which are Luxembourg’s expertise. He also conveyed the regards of Luxembourg Prime Minister to the Prime Minister, and congratulated Thailand’s success in hosting the APEC Leaders’ Meeting and in putting forward the Bangkok Goals on Bio-Circular-Green (BCG) Economy. Both parties also discussed issues of mutual interest: The Prime Minister and the Ambassador agreed that there are potentials for the two countries for economic cooperation reinforcement. The Prime Minister thanked Luxembourg private sector for their confidence and investment in Thailand, and expressed hope that they consider increasing investment, especially in the Eastern Economic Corridor (EEC). He also extended an invitation for members of Luxembourg Chamber of Commerce to visit Thailand, and affirmed the Thai Government’s intent to use the BCG Economic Model as a compass to guide Thailand toward becoming economically sustainable, low-carbon society, and a digital economy, which is relevant with the “European Green Deal. This is, thus, a good opportunity for both Thailand and Luxembourg to promote export of environmental goods and green business investment between each other. The Ambassador stands ready to push forward trade and investment cooperation, and informed the Prime Minister that Cargolux, Luxembourg’s Cargolux Airlines, has now increased its flight to Thailand. Both parties were also pleased with financial cooperation dynamism between Thailand and Luxembourg, and came to terms to expand cooperation on the exchange of information, knowledge transfer, and financial training, especially FinTech. The Ambassador also called on Thailand to consider an amendment of the Convention for the Avoidance of Double Taxation and the Prevention of Fiscal Evasion with respect to Taxes on Income, B.E. 2539, and to push forward an agreement on social security, which would benefit the people and tourists of the two countries. The Prime Minister agreed to assign these matters to concerned agencies for further consideration. The Prime Minister was also pleased with strong trilateral cooperation, especially in the area of public health. Thailand stands ready to expand trilateral cooperation with Luxembourg in other areas through sharing of expertise, knowledge, and experiences, and transfer of technology, and to discuss the possibility for Luxembourg to participate in the development cooperation program under ACMECS’s 3rd Pillar. On multilateral cooperation, the Prime Minister congratulated successful negotiation on Partnership and Cooperation Agreement (PCA) between Thailand EU, and called on Luxembourg to help expedite PCA ratification process, and support renegotiation of Thailand-EU FTA.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุง
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี พระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุง และทอดพระเนตร นิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุง และทอดพระเนตร นิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.23 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปยังหอประชุมเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พันเอก ปกรณ์ จันทรโชตะ รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 พันตำรวจเอก ภาคิน ณ ระนอง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ เฝ้ารับเสด็จ ฯ โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทอดพระเนตรนิทรรศการ อาทิ ผ้ายกตานี ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้รื้อฟื้นมรดกมลายู "ผ้ายกตานี" ร่วมกับกลุ่มทอผ้าบ้านไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เพื่อให้มรดกสิ่งทอ อยู่คู่กับแผ่นดินหลังจากได้สูญหายมาชั่วระยะหนึ่ง, ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 14 จังหวัดภาคใต้ เช่น ผ้าลายแก้วชิงดวง จังหวัดตรัง, ผ้าทอเกาะยอ ลายราชวัตร จังหวัดสงขลา, ผ้าลายพิกุลพลอย จังหวัดนราธิวาส และผ้ายกเมืองนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งจัดแสดงผลิตภัณฑ์จากสมาชิกศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง จังหวัดนครศรีธรรมราช, กลุ่มศิลปาชีพปักผ้า ค่ายจุฬาภรณ์ เป็นต้น แล้วพระราชทานใบความรู้ ประกอบด้วย หนังสือฉบับดิจิทัล อาทิ หนังสือ 36 พรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา, หนังสือผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา และหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย ฉบับที่ 3 พร้อมพระราชทานคำแนะนำแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ประเภทผ้าและหัตถกรรมในพื้นที่ภาคใต้ กว่า 50 กลุ่ม จาก 14 จังหวัดภาคใต้ ที่เคยมีพระวินิจฉัยให้ปรับเปลี่ยน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กลุ่มผู้ผลิต และผู้ประกอบการ OTOP อาทิ ผ้าฝ้ายทอยกดอก ลายดอกพะยอมเล็ก จากกลุ่มทอผ้านิคมลานข่อย จังหวัดพัทลุง, กระเป๋ากระจูดลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ จากศูนย์ศิลปาชีพบ้านหัวป่าเขียว จังหวัดพัทลุง, ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา จากเก๋บาติก จังหวัดกระบี่,กระเป๋าย่านลิเภา จากกลุ่มเกษตรจักสานปลูกย่านลิเภา จังหวัดนครศรีธรรมราช, กระเป๋าย่านลิเภา จากกลุ่มเกษตรจักสานปลูกย่านลิเภา จังหวัดนครศรีธรรมราช, งานเซรามิกของสมาชิกศิลปาชีพฯ บ้านรอตันบาตู จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น โดยโปรดให้คณะผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย นายศิริชัย ทหรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย เจ้าของแบรนด์ THEATRE คุณจิรัฏฐ์ ทรัพย์พิศาลกุล สไตล์ไดเร็กเตอร์นิตยสาร VOGUE คุณวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ผู้ก่อตั้งแบรนด์ WISHARAWISH นายตะวัน ก้อนแก้ว ผู้ช่วยบรรณาธิการแฟชั่น VOGUE ดร.นวัทตกร อุมาศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และช่างทอผ้า เพื่อยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทรนด์สีสัน เทรนด์แฟชั่นผ้าไทย การออกแบบคอลเลกชั่นผ้าไทย การเลือกใช้เส้นใยที่มีคุณภาพ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับผ้าไทย และการสร้างแบรนด์ จากนั้น ทอดพระเนตรการแสดงรำโนราผสมท่า รำโนราตัวอ่อน ระบำพราน จากนักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง ซึ่งโนรา หรือ มโนราห์ เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านชั้นสูงของภาคใต้ ที่ผสมระหว่างการร้อง การรำ ที่สะท้อนถึงความเชื่อและพิธีกรรม โดยได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และถูกเสนอชื่อขึ้นบัญชีมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ของยูเนสโก ในปี 2564 ก่อนเสด็จกลับ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ให้แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน เนื่องในโอกาสเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุงในครั้งนี้ เพื่อเป็นของขวัญแก่ช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค เยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนคนไทยทุกคน ผู้มีจิตใจที่รุกรบมุ่งมั่นในการสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาและงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ซึ่ง “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” เป็นลายผ้าที่พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าลวดลายพื้นถิ่นภาคใต้ แล้วนำมาออกแบบผสมผสานกับ “ลายดอกรัก” ที่สื่อถึงความรักและกำลังใจที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ขึ้น ประกอบด้วย 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 ผ้าลายพระราชทาน ผ้าลายดอกรักราชกัญญา ประเภทผ้าบาติก ประเภทที่ 2 ผ้าลายพระราชทาน ผ้าลายดอกรักราชกัญญา ประเภทผ้ามัดหมี่ ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ มีลวดลายประกอบด้วย ตัวอักษร S สื่อถึงพระกรุณาธิคุณ พระวิสัยทัศน์ และพระอัจฉริยภาพในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้มีที่ยืนในโลกใบใหม่ได้อย่างภาคภูมิ ลายดอกรักสี่ทิศ สื่อถึงความจงรักภักดีที่ช่างทอผ้า ทุกกลุ่มทุกเทคนิคจากทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ แสดงต่อพระองค์ และได้เทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้า เหนือกระหม่อมชั่วลูกสืบหลาน ลายดอกรักห้ากลีบ สื่อถึงจิต 5 ประการ ที่ถักทอผืนผ้าแห่ง ความสำเร็จ ได้แก่ ความเชี่ยวชาญ ความคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ ความเคารพและเข้าใจ และความมีคุณธรรม และลายกระจังใจรัก สื่อถึงความรักและห่วงใยจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่มีต่อปวงชนชาวไทยอย่างอเนกอนันต์ สำหรับประเภทที่ 3 ผ้าลายพระราชทาน ผ้าลายดอกรักราชกัญญา ประเภทผ้ายก มีลวดลายประกอบด้วย ตัวอักษร S ตัวใหญ่ สื่อถึงพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาการทอผ้าและงานหัตถศิลป์ไทยในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตัวอักษร S ตัวเล็ก สื่อถึงพระดำริที่ตั้งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ในสมเด็จย่าของพระองค์ ทางด้านการฟื้นคืนภูมิปัญญาการทอผ้าของไทยให้มีความร่วมสมัยและเป็นสากล ลายกรอบย่อมุม สื่อถึงภูมิปัญญาการทอผ้าและหัตถศิลป์ พื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์ จากทุกภูมิภาค ของประเทศไทย ที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดิน ลายดอกรักสี่ทิศ สื่อถึงความรักและศรัทธา ในงาน ถักทอผืนผ้าแห่งภูมิปัญญาพื้นถิ่น ด้วยสมองและสองมือของช่างทอผ้า ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ลายเชิงช่อดอกรัก สื่อถึงความรักและกำลังใจที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานแก่ ช่างทอผ้า ผู้สืบสานภูมิปัญญาการทอผ้า และหัตถศิลป์พื้นถิ่นของไทยในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และ ประเภทที่ 4 ผ้าบาติกลายพระราชทาน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โปรดเกล้าฯ ให้พัฒนา “ผ้าบาติกลายพระนามาภิไธยสิริกิติ์” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2503 เพื่อให้มีความร่วมสมัยและเป็นสากล นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ด้วยทรงมีความรัก ความผูกพัน และความห่วงใยราษฎรของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีวิถีชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของระบบนิเวศ ด้วยทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด หลักการทรงงานและแนวทางอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้านางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีอาชีพ มีรายได้ จากภูมิปัญญาอัตลักษณ์งานหัตถศิลป์หัตถกรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และพัฒนาต่อยอดโดยพระราชทานโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำมาเป็นแนวทางขับเคลื่อนการส่งเสริมพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการผ้าอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของจังหวัดในพื้นที่ 4 ภูมิภาค ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 จัดที่จังหวัดพัทลุง เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ผลงานอัตลักษณ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของกลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการจำหน่ายผ้าไทย ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน และเสริมองค์ความรู้ ยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับผ้าไทย และการสร้างแบรนด์ จากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถผลิตผลงานที่สอดคล้องความต้องการของตลาด สามารถนำไปประกอบอาชีพได้และเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน “ในวันนี้ กลุ่มสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และช่างทอผ้าในพื้นที่ภาคใต้ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงนำประสบการณ์ส่วนพระองค์ทั้งจากการทรงงาน ทรงศึกษาผ้าทอพื้นเมือง และพระปรีชาสามารถด้านการออกแบบที่นำสมัย ถ่ายทอดสู่สมาชิกกลุ่มทอผ้าและช่างทอผ้าที่เฝ้ารับเสด็จฯ และถวายรายงานส่งการบ้านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาตามพระวินิจฉัย ทำให้สามารถนำไปออกแบบเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ของตนเองให้มีความร่วมสมัย และนำไปประยุกต์ปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัยได้อย่างสวยงาม นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับช่างทอผ้าทุกท้องถิ่น ท้องที่ และเป็นต้นแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว ด้าน ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของพวกเราที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยทรงต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาลวดลายผ้าให้แก่สมาชิกกลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ ซึ่งนับได้ว่าทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าไทยให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส อันเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก โดยสมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงรื้อฟื้นเรื่องผ้าไทย โดยทรงนำเอาวิชาการสมัยใหม่ในเรื่องของการออกแบบ Packaging Branding เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพและมูลค่าของผ้า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่สามารถเลือกงานทำ แต่กลับมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีรายได้ เลี้ยงดูครอบครัวได้ ทำให้วงการผ้าไทย มีลวดลายที่หลากหลาย เกิดการผสมผสานวัฒนธรรม มีความร่วมสมัยและเป็นสากล และขอเชิญชวนพวกเราคนไทยทุกคน ได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วยการสวมใส่ผ้าไทยในทุกวัน ทุกโอกาส เพื่อทำให้ผ้าไทยได้มีชีวิตที่ยืนยาว คนทอผ้าได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้จุนเจือสมาชิกในครอบครัว อันทำให้คนไทยอีกหลายล้านคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64568
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองโฆษกรัฐบาลเตือน “ข่าวปลอม” พายุลูกใหญ่หลงฤดูเข้าไทยแน่นอน 47 จังหวัด เป็นข้อมูลเท็จ...อย่าเชื่อ อย่าแชร์ สร้างความสับสนและตื่นตระหนก
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​รองโฆษกรัฐบาลเตือน “ข่าวปลอม” พายุลูกใหญ่หลงฤดูเข้าไทยแน่นอน 47 จังหวัด เป็นข้อมูลเท็จ...อย่าเชื่อ อย่าแชร์ สร้างความสับสนและตื่นตระหนก ​รองโฆษกรัฐบาลเตือน “ข่าวปลอม” พายุลูกใหญ่หลงฤดูเข้าไทยแน่นอน 47 จังหวัด เป็นข้อมูลเท็จ...อย่าเชื่อ อย่าแชร์ สร้างความสับสนและตื่นตระหนก วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีการส่งต่อข้อมูลเตือนภัยเกี่ยวกับพายุลูกใหญ่หลงฤดูเข้าไทยแน่นอน 47 จังหวัด ให้เตรียมตัวย้ายของนั้น กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยืนยันว่าเป็น “ข่าวปลอม” ไม่ได้มีพายุเข้าประเทศไทยแต่อย่างใด และข้อมูลที่ส่งต่อกันไม่ได้มาจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา นางสาวรัชดา กล่าว่า จากรายงานสภาพอากาศคาดการณ์ 7 วันข้างหน้า (7 - 13 ก.พ. 66) ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง ในขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้และทะเลนดามันมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนลดลง “ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนก ทั้งนี้ หากมีสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ โทรสายด่วน 1182 หรือติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th” นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชนตามนโยบายกระทรวงคมนาคม
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชนตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ... กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอก เพื่อดูแลประชาชนตามนโยบายกระทรวงคมนาคม ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ดำเนินการขุดลอก พัฒนาและบำรุงรักษา ร่องน้ำทางเรือเดิน เพื่อความสะดวกและปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินเรือ การระบายน้ำ การอุปโภคบริโภค และเพิ่มพื้นที่ รับน้ำเพื่อใช้ ในภาคการเกษตร นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผย กรมเจ้าท่า โดยสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 ได้เร่งดำเนินการเปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกลำน้ำสวย ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โดยใช้รถขุดตักดิน ขก.1 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน พร้อมด้วยรถขุดตักดินเช่าเพื่อสนับสนุนการขุดลอก โดยมีแผนงานขุดลอกตั้งแต่ กม. 160+500 ถึง กม. 162+650 ระยะทาง 2,150 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 55,114.50 ลูกบาศก์เมตร ความกว้างของร่องน้ำตามแผนการขุดลอก 6 - 27 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 156 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) โดยขุดลอกเพื่อเพิ่มความกว้างของร่องน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการกักเก็บน้ำ แก้ไขปัญหากระแสน้ำกัดเซาะตลิ่ง รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ได้ระยะทางรวม 1,085 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 29,070 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 52.74 % รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการขุดลอกลำน้ำสวย ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองจังหวัดหนองคาย และตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี มีวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เนื่องจากลำน้ำตื้นเขินจากการสะสมตะกอนดิน ส่งผลให้เกิดปัญหาในการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และอุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการในการใช้น้ำ รวมถึงช่วงฤดูน้ำหลากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรซ้ำซาก เป็นประจำทุกปี ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว กรมเจ้าท่า ได้ดำเนินการเอง ขุดลอกครอบคลุมพื้นที่บ้านวังยางเหนือ บ้านวังยางใต้ บ้านเดื่อ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย และบ้านโนนสมบูรณ์ บ้านทุ่งม่วง บ้านจอมศรี ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีประชากรรวมประมาณ 1,514 คน มีพื้นที่ทำการเกษตรกรรมประมาณ 2,478 ไร่ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากโครงการขุดลอกในครั้งนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM meets with Ambassador of Denmark to Thailand
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​PM meets with Ambassador of Denmark to Thailand ​PM meets with Ambassador of Denmark to Thailand February 2, 2023, at 09.30 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Jon Thorgaard, Ambassador of the Kingdom of Denmark to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of duty. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister welcomed Danish Ambassador to Thailand, and expressed pleasure with cordial relations between the two countries as this year marks the 165th anniversary of the diplomatic relations. He also congratulated the success of Denmark’s general election which took place in November 2022, and conveyed his regards to the incumbent Prime Minister of Denmark H.E. Mrs. Mette Frederiksen. Thailand stands ready to provide support to the Ambassador during his tenure in the country. The Danish Ambassador expressed pleasure to be tenured in Thailand, and committed to further tighten relations and cooperation in the areas of shared potential, especially trade and investment. Currently, over 100 Danish businesses have been operating in Thailand, and more are considering Thailand as their production base. The country also ranks in top 3 as tourist destinations the Danish are interested to visit the most in the post-COVID-19 era. Both parties also discussed other issues of mutual interest: The Prime Minister was pleased to reinforce agricultural cooperation with Denmark, as both countries may exchange knowledge and personnel in agriculture. He also emphasized Thailand’s commitment to the reduction of methane emissions in agricultural sector, on which the Ambassador agreed to liaise with concerned Danish counterparts. He also informed that Denmark’s Minister of Food, Agriculture and Fisheries is scheduled to visit Thailand soon to further forge agricultural cooperation. On renewal energy and green economic cooperation, the Danish Ambassador commended the Bangkok Goals, adopted at the APEC Leaders’ Meeting in Thailand. The BCG Economic Model reflects Thailand’s potentiality and commitment to promote clean energy, which is in line with the Danish Government’s policy to protect environment, in parallel with economic development, through sustainable use of resources and production and exchange of environmentally-friendly products and services. Denmark is pleased to share related experiences and innovations with Thailand. The Prime Minister also took the opportunity to welcome Denmark’s energy investment in Thailand. On bilateral and multilateral cooperation, the Prime Minister expressed confidence that the two countries have potential to expand cooperation to other regions under the ASEAN and EU frameworks. Thailand is pleased with Denmark’s ASEAN partnership, especially in the latter’s areas of expertise, i.e., environmental technology, waste management, clean energy, food technology, and green transition. Under the EU framework, Thailand signed the Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement (PCA) at the ASEAN - EU Commemorative Summit, held earlier in Brussels, Belgium. The Ambassador expressed confidence that the two countries would well contribute to the reinforcement of cooperation in all areas in a systematic manner, especially under the ASEAN framework and in the green economy for the interest of the global community. At the end of the meeting, the Ambassador asked the Prime Minister about Thailand’s upcoming general election. The Prime Minister emphasized that regardless of whom would be elected to take over national administration, the most important thing is to create as many as opportunities for the people to minimize disparity, and ensure justice in the society. Public understanding needs to be created in accordance with the diplomatic principle.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64578
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการก่อสร้างท่าเรือสำราญรองรับการเดินทาง เรือ Cruise ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Cruise Terminal)
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการก่อสร้างท่าเรือสำราญรองรับการเดินทาง เรือ Cruise ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Cruise Terminal) ... กรมเจ้าท่าเร่งดำเนินการก่อสร้างท่าเรือสำราญรองรับการเดินทาง เรือ Cruise ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Cruise Terminal) จากนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ให้กรมเจ้าท่าเร่งโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือ รองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Cruise Terminal) นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันเกาะสมุยยังไม่มีท่าเทียบเรือที่สามารถรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรือสำราญที่ต้องการเทียบท่าที่เกาะสมุยจึงต้องทอดสมอบริเวณหาดหน้าทอนและให้นักท่องเที่ยวโดยสารเรือเล็กเพื่อขึ้นชายฝั่งโดยมีนักท่องเที่ยวเพียงประมาณ 50% ที่ลงจากเรือสำราญเพื่อขึ้นชายฝั่ง การพัฒนาท่าเทียบเรือจะเป็นการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่นักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญ ที่เกาะสมุย มีความคืบหน้า ดังนี้ 1. กรมเจ้าท่า ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาตามงบปี 2563 - 2565 เพื่อทำ PPP (การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) สำหรับโครงการท่าเรือสำราญเกาะสมุย เป็นโครงการตามทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด อยู่บริเวณทางตอนใต้เกาะสมุย ที่แหลมหินคม งานศึกษาจะแล้วเสร็จต้นเดือนมีนาคม 2566 นี้ ซึ่งจะดำเนินการนำเสนอรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เห็นชอบ ก่อนเสนอ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เพื่อดำเนินการในรูป PPP ต่อไป โดยขอบเขตการดำเนินงาน ได้แก่ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร มีพื้นที่อย่างน้อย 7,200 ตารางเมตร และรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ 1,200 คนต่อชั่วโมง ตัวอาคาร รองรับและส่งเสริมการใช้งานของอาคารโดยสารให้มีกิจกรรมได้ตลอดทั้งปี อาทิ ห้องประชุม ร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร สะพานขึงต้องมีความกว้าง 40 เมตร และยาว 445 เมตร สะพานขึงสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสารและพื้นที่หลังท่าที่มีอาคารศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว อาคารจำหน่ายตั๋วโดยสาร ร้านอาหาร และอาคารบริการ โดยสะพานขึงสร้างขึ้นเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อซากปะการังที่อยู่บริเวณใต้สะพาน สำหรับท่าเรือที่จะให้บริการแบ่งออกเป็น ท่าเรือเฟอร์รี่ (ทางเลือก) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการผู้โดยสาร ที่ต้องการเดินทางไปและกลับจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช (จอดเรือได้สูงสุด 6 ลำ) ท่าเรือยอร์ช (ทางเลือก) จะมีท่าเทียบเรือที่ทันสมัย รองรับเรือยอร์ช ได้ถึง 80 ลำ ผู้ลงทุนสามารถออกแบบได้ใหม่เพื่อให้บริการเรือยอร์ช ได้หลากหลายประเภทมากขึ้นโดยรูปแบบอาคารบริการต้องออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมเจ้าท่า เพื่อรองรับกิจกรรมทั้งหมด ทั้งท่าเทียบเรือสำราญ ท่าเรือเฟอร์รี่และท่าเรือยอร์ช 2. กรมเจ้าท่า ได้ดำเนินการปรับปรุงท่าเรือ landing pier ที่จะรองรับเรือสำราญ cruise ที่จะเข้ามาทิ้งสมอบริเวณใกล้ท่าเรือหน้าทอน ตามงบปี 2564 - 2566 เพื่อก่อสร้างท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวก ในการรองรับการขนถ่ายนักท่องเที่ยวจากเรือ cruise ขึ้นฝั่งได้อย่างเป็นระเบียบ รวดเร็วและปลอดภัย ขอบเขตงาน ประกอบไปด้วย 1) ก่อสร้างที่พักคอยรองรับผู้โดยสาร ขนาด 30 x 60 เมตร พื้นที่ประมาณ 1,800 ตารางเมตร 2) ก่อสร้างสะพานทางเดิน ขนาด 5 x 152 เมตร พื้นที่ประมาณ 760 ตารางเมตร 3) ก่อสร้างโป๊ะเทียบเรือ คอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 4 x 20 เมตร จำนวน 8 ชุด พื้นที่ประมาณ 640 ตารางเมตร และ 4) ติดตั้งเสากันกระแทก และยางกันกระแทก โดยจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2566 ทั้งนี้ รูปแบบอาคารบริการต้องออกแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมเจ้าท่า เพื่อรองรับกิจกรรมทั้งหมด ทั้งท่าเทียบเรือสำราญ ท่าเรือเฟอร์รี่ และท่าเรือยอร์ช ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อด้านการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม และการท่องเที่ยวส่งเสริมเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ และภาครัฐต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.สุชาติ พบปะ อสร. พร้อมส่ง ปลัดฯ มอบประกาศเกียรติคุณสร้างขวัญกำลังใจอาสาสมัครแรงงานไทยในมาเก๊าดีเด่น
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 06/02/2566 ​รมว.สุชาติ พบปะ อสร. พร้อมส่ง ปลัดฯ มอบประกาศเกียรติคุณสร้างขวัญกำลังใจอาสาสมัครแรงงานไทยในมาเก๊าดีเด่น ​รมว.สุชาติ พบปะ อสร. พร้อมส่ง ปลัดฯ มอบประกาศเกียรติคุณสร้างขวัญกำลังใจอาสาสมัครแรงงานไทยในมาเก๊าดีเด่น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พบปะเยี่ยมเยียนอาสาสมัครแรงงานต่างประเทศพร้อมมอบหมายให้ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณและเข็มเชิดชูเกียรติแก่อาสาสมัครแรงงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊าดีเด่น พร้อมพบปะให้กำลังใจอาสาสมัครแรงงานไทยในมาเก๊าที่มาร่วมให้การต้อนรับ โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นางสาวปาริชาติ ประไพนพ กงสุล (ฝ่ายแรงงาน) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และอาสาสมัครแรงงานไทยในมาเก๊า ร่วมด้วย ณ โรงแรม Wynn Palace เขตบริหารพิเศษมาเก๊า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากความห่วงใยและให้กำลังใจอาสาสมัครแรงงานในต่างประเทศทุกคน ที่ได้ปฏิบัติงานในการประสานดูแลความช่วยเหลือแรงงานไทยในต่างประเทศให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร สิทธิประโยชน์ความคุ้มครอง และความปลอดภัยในการทำงาน จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ในวันนี้ผมและคณะได้มาพบปะกับทุกท่าน เพื่อแสดงความขอบคุณต่อการช่วยเหลืองานกระทรวงแรงงาน โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ถือเป็นงานจิตอาสาอย่างแท้จริง ผมขอแสดงความยินดีกับอาสาสมัครแรงงานดีเด่นทุกท่าน รวมทั้งขอชื่นชมอาสาสมัครแรงงานทุกท่านที่มีจิตอาสา อุทิศตนและเสียสละทุ่มเท ทำความดีด้วยหัวใจ อาสาสมัครแรงงานนับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้การปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มครอง ส่งเสริม และขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศของกระทรวงแรงงาน บรรลุวัตถุประสงค์ รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันระหว่างสำนักงานแรงงานกับหน่วยงานราชการในท้องถิ่น และอาสาสมัครผู้อุทิศตนและเสียสละ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่เป็นกำลังสำคัญสนับสนุนขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องต่อไป “ขอขอบคุณท่านกงสุล (ฝ่ายแรงงาน) รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนในสำนักงานแรงงาน และอาสาสมัครแรงงานที่ได้เป็นฟันเฟืองร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก ให้บริการด้านแรงงาน ตลอดจนดูแลแรงงานไทยเป็นอย่างดี การที่แรงงานไทยได้มีโอกาสมาทำงานที่ฮ่องกงเป็นหนึ่งในความท้าทาย และเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคง ช่วยยกระดับฐานะแก่ครอบครัวของแรงงาน นอกเหนือไปกว่านั้นยังเป็นการช่วยพัฒนาทักษะฝีมือ ประสบการณ์การทำงานของแรงงาน เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ในอนาคต ผมขอให้ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีอาชีพ นำรายได้เข้าประเทศ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย” นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 6 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่าย หนุนเพจ Because We Care เดินหน้า โครงการ “รัก...ในวัยเรียน” ลดความรุนแรงทุกมิติในโรงเรียน
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 พม. จับมือเครือข่าย หนุนเพจ Because We Care เดินหน้า โครงการ “รัก...ในวัยเรียน” ลดความรุนแรงทุกมิติในโรงเรียน พม. จับมือเครือข่าย หนุนเพจ Because We Care เดินหน้า โครงการ “รัก...ในวัยเรียน” ลดความรุนแรงทุกมิติในโรงเรียน วันนี้ (6 ก.พ. 66) เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดโครงการ “รัก...ในวัยเรียน” ซึ่งจัดโดย เพจ Because We Care โดยมีนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า พยาบาล (สบ.5) กลุ่มงานพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาปลัด พม. ด้านสื่อสารสังคม และผู้ดูแลเพจ Because We Care ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายชนะ สุ่มมาตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย กระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งได้รับเกียรติจากแขกคนพิเศษร่วมส่งเสียงสนับสนุนโครงการฯ ได้แก่ 1) คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาดผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 2) ผศ.ดร.อลิชา ตรีโรจนานนท์ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้ดูแลเพจ "ตุ๊กตาวิเศษ" 3) คุณพิทักษ์เดช ชุมไชโย รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย 4) คุณอนุชิต คำน้อย เจ้าของเพจ “คิ้วต่ำ” และ 5) ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร ผู้แทนบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ มีการรับมอบบทเพลง “อยากจะฟัง” จากคุณกริช อิทธิโชติกร ผู้ประพันธ์เพลงสำหรับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ อีกทั้ง ผศ.ดร.อลิชา ตรีโรจนานนท์ ได้มอบตุ๊กตาวิเศษจำนวน 88 ชุด ให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมี พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้แทนรับมอบ เพื่อให้สถานีตำรวจนครบาลทั้ง 88 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ นำไปใช้ประกอบการสอบสวนคดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนถูกกระทำความรุนแรง ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า เพจ Because We Care ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมูลนิธิพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้ตระหนักถึงปัญหาการกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนของสังคมต้องมีความร่วมมือในการทำงานอย่างบูรณาการระหว่างภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาสังคม รวมทั้งประชาชน เพื่อประสานเป็น "พลังทางสังคม" ส่งผลให้มีการดำเนินโครงการ "รัก...ในวัยเรียน " เพื่อปลูกจิตสำนึกและลดการกระทำความรุนแรงทุกมิติในวัยเรียน อีกทั้งสร้างภูมิคุ้มกันและการรับรู้ที่ดีในการป้องกันการกระทำความรุนแรงอย่างเข้มแข็งต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเตรียมนำร่องทำกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนพื้นที่กรุงเทพมหานครในวันแห่งความรัก 14 ก.พ. 2566 เป็นต้นไป ด้วยการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) การบรรยายให้ความรู้ในเรื่องสำคัญที่ควรรู้ ได้แก่ 1. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 2. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบูลลี่ (Bully) 4. การปฏิบัติตนเมื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศ และช่องทางการแจ้งเหตุฉุกเฉิน 5. การให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพจิต 6. การให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ 7. มาตรการ​ป้องกันอาชญากรรม และโปรแกรม​ สเก็ตช์​ภาพเบื้องต้น​ Z-Face​ Sketch รวมถึง QR CODE​ โปรแกรมสเก็ตช์​ภาพเบื้องต้น​ Z-Face​ Sketch​ และ 2) กิจกรรมสันทนาการเสริมสร้างสาระความรู้ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการรัก...ในวัยเรียน นับเป็นโครงการที่เกิดจากผู้ปราถนาดีต่อความเป็นมนุษย์ของคนรุ่นใหม่ วันนี้ อยากบอกว่า คุณมะตูม เตชินท์ เป็นผลพวงจากการถูกบูลลี่ และสามารถผ่านมาได้ จึงอยากจะให้เป็นกรณีศึกษา ด้วยพลังแห่งการฟื้นตัว ซึ่งเป็นพลังสำคัญและมีความจำเป็นมากสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมถึงคนรุ่นก่อนๆ ที่จะฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีคนประสบความสำเร็จมาแล้ว และคุณสามารถเป็นแบบอย่าง เป็นกำลังของสังคม ด้วยการคิดบวก และอยากบอกว่าให้รักตนเองมากๆ รักอย่างมีสติ ใช้ปัญญาเป็นเกราะกำบัง นอกจากนี้ เราต้องช่วยกันลดความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการมุ่งเน้นว่า เราต้องฟังให้เป็น ฟังแล้วให้เข้าถึง และให้ความรัก แล้วเราจะแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้ #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64599
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อุบลราชธานี ร่วมหารือเครือข่ายในพื้นที่เพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อุบลราชธานี ร่วมหารือเครือข่ายในพื้นที่เพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อุบลราชธานี ร่วมหารือเครือข่ายในพื้นที่เพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.30 น. ห้องประชุมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม และปรับการดำเนินสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ใน 4 มิติ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามนโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเชิงพื้นที่ และรับฟังแนวทางการดำเนินงานและความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 อุบลราชธานี (น.ส. ละเอียด มธุรส) ผู้จัดการเขต 14 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมแห่งประเทศไทย (น.ส. อภิรดี นามมุงคุณ) ผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมแห่งประเทศไทย สาขาอุบลราชธานี (นายบุญยฤทธิ์ เจริญบุญญา) และตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี (นางศราวดี เทียมประเสริฐ กรรมการสภาอุตสาหกรรม จังหวัดอุบลราชธานี) และหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี (น.ส. จารุณี พิมพ์หล่อ รองเลขาธิการหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี) โดยเน้นสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในจังหวัดอุบลราชธานี บูรณาการร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวก และจัดทำโครงการให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ ลดการสร้างปัญหามลภาวะ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดอุบลราชธานีในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำทัพ ก.อุตฯ กระชับสัมพันธ์ ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จัดงาน “MIND - PRESS SPORT DAY 2023”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำทัพ ก.อุตฯ กระชับสัมพันธ์ ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จัดงาน “MIND - PRESS SPORT DAY 2023” ปลัดฯ ณัฐพล นำทัพ ก.อุตฯ กระชับสัมพันธ์ ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จัดงาน “MIND - PRESS SPORT DAY 2023” วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมกีฬาสานสัมพันธ์ “MIND - PRESS SPORT DAY 2023” ณ อาคาร 100 ปี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ โดยมีนายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฎฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสากรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าร่วมกิจกรรม โดยมี นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหาร บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) และคณะให้การต้อนรับ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมกีฬาสานสัมพันธ์ “MIND - PRESS SPORT DAY 2023” เป็นครั้งที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงาน กับคณะผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทเอเจนซี่ ที่มาดูแลงานด้านการประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ โดยจัดแข่งขันกีฬาแบดมินตันระหว่างทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และนักข่าวเศรษฐกิจอุตสาหกรรม จำนวน 23 คู่ แบ่งเป็น ชายคู่ 9 คู่ หญิงคู่ 6 คู่ และคู่ผสม 8 คู่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีม คือ ทีมม่วงซ่า ประกอบด้วย ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนทีมฟ้าแซ่บ ประกอบด้วย ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และพนักงานบริษัทเอเจนซี่ ที่กำกับดูแลงานด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดงานครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรม มีโอกาสร่วมกิจกรรมแข่งขันกีฬากับผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี สร้างความรัก ความสามัคคีต่อกัน ส่งเสริมให้ทุกท่าน มีสุขภาพ “กาย” ที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีสุขภาพ “ใจ” ที่แจ่มใส และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ความสมบูรณ์ของสุขภาพ “กาย” และ “ใจ” เป็นสิ่งสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้พวกเรามีความพร้อมในการขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ โดยในส่วนของบุคลากรกระทรวงอุตสาหกรรม (MIND) เองก็มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและผลักดันการใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน และในขณะเดียวกัน พวกเราก็ต้องอาศัย “สื่อมวลชน” ในการเป็นกระบอกเสียงเพื่อสื่อสารผลการขับเคลื่อนการทำงานของพวกเรา และขอขอบคุณบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ด้านสถานที่จัดกิจกรรม รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เป็นอย่างดียิ่ง รวมถึงขอขอบคุณผู้สื่อข่าวทุกท่าน ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับพวกเราชาวกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับผลการแข่งขันกีฬาแบดมินตัน ปรากฎว่า ทีมสีฟ้า (นักข่าว) เป็นฝ่ายชนะ ส่วนการประกวดขบวนพาเหรดและกองเชียร์ ทีมสีม่วง (กระทรวงอุตฯ) เป็นฝ่ายชนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่นนทบุรี จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมโดยรอบ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่นนทบุรี จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมโดยรอบ ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่นนทบุรี จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมโดยรอบ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรีตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของ บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด ประกอบกิจการผลิตเบียร์ โดย บริษัทได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการดูแลสังคมโดยรอบโรงงานโดยมีการนำตะกอนน้ำเสียจากโรงงานมาใช้เป็นปุ๋ยทดแทนปุ๋ยเคมี และมีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลกโดยได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 3 และมีเป้าหมายมุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนผ่านโครงการโซล่าฟาร์มขนาด 10 ไร่ กำลังการผลิต 1,700 เมกะวัตต์ต่อปี สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่วนของกระบวนการผลิตได้ถึง 720 ตันต่อปี เทียบเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนคิดเป็น ร้อยละ 30 ของไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานผลิตทั้งหมด . และในเวลา 13.30 น. ผู้ตรวจวีระกิตติ์ ฯได้ตรวจเยี่ยมบริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตหรือประกอบผลิตภัณฑ์ (Intergrated Circuit: IC) บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการดูแลสังคมโดยรอบโรงงานผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือเครือข่ายในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มีการติดตั้งแผ่นป้องกันเสียง ณ จุดที่อยู่ติดกับชุมชน และได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน และมีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลกโดยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี พ.ศ.2575 ทั้งยังได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวในระดับที่ 3 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับทราบผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโก (Mondiacult 2022) ไทยชูโครงการ 5F สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อส่งเสริม Soft Power
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 รับทราบผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโก (Mondiacult 2022) ไทยชูโครงการ 5F สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อส่งเสริม Soft Power รับทราบผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโก (Mondiacult 2022) ไทยชูโครงการ 5F สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อส่งเสริม Soft Power และเดินหน้าระบุสิทธิทางวัฒนธรรมในนโยบายสาธารณะ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโกตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดพเนินงานตามปฏิญญาฉบับสุดท้ายของการประชุมฯ เพื่อขับเคลื่อนงานตามภารกิจที่รับผิดชอบและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันต่อไป น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ในการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโก (Mondiacult 2022) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมฯ ระหว่างวันที่ 28-30 กันยายน 2565 ณ กรุงเม็กซิโกซิตี้ เม็กซิโก ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในหัวข้อ “อนาคตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์บนฐานขององค์ความรู้ ทรัพย์สินทางปัญญาและการศึกษาวิจัยซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ การสั่งสมความรู้ของสังคม เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจ การผลิตสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือคุณค่าทางสังคม พร้อมกับผลักดันโครงการ 5F คือ อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) มวยไทย (Fighting) และการอนุรักษ์และขับเคลื่อนเทศกาลและประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) เพื่อเป็น Soft Power ของไทย ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. ไทยได้ดำเนินการตามแนวคิด “เศรษฐกิจวัฒนธรรมใหม่ สร้างรายได้ เสริมคุณค่า พัฒนาสังคม” เพื่อเพิ่มโอกาสทางอาชีพ สร้างรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิต เพิ่มการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม และเพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทย และการดำเนินโครงการ 5F ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) รวมถึงการส่งเสริม Soft Power ของไทย 2. ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาฉบับสุดท้ายของการประชุมฯซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น 1.สิทธิทางวัฒนธรรมที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาให้มีการระบุไว้ในนโยบายสาธารณะ เช่น สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมของศิลปิน และสิทธิเสรีภาพทางศิลปะ และ 2.การกำหนดให้มีการประชุมเวทีระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมขึ้นทุก 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2568 “ครม. พิจารณาเห็นว่าผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน และเพื่อเตรียมการเข้าร่วมการประชุมเวทีระดับโลกฯ ในปี 2568 จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทางานร่วมกันต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. มอบรางวัลผลการดำเนินงานกิจกรรม 5 ส ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมปี 2565
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 วธ. มอบรางวัลผลการดำเนินงานกิจกรรม 5 ส ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมปี 2565 วธ. มอบรางวัลผลการดำเนินงานกิจกรรม 5 ส ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมปี 2565 วธ. มอบรางวัลผลการดำเนินงานกิจกรรม 5 ส ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมปี 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานมอบรางวัลผลการดำเนินงานกิจกรรม 5 ส ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 2/2566 โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม และผ่านระบบ Zoom Meeting เมื่อเร็วๆนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 24 ล้านบาท 22 กุมภาพันธ์นี้
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 24 ล้านบาท 22 กุมภาพันธ์นี้ ธ.ก.ส.โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 กว่า 24 ลบ. มีผู้ได้รับประโยชน์ 9,184 ครัวเรือน ในวันที่ 22 ก.พ.นี้ นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าธ.ก.ส. เตรียมโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 แก่เกษตรกรอีกกว่า 9,184 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 24.91 ล้านบาท ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ โดยแบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ครั้งที่ 12 เป็นเงินกว่า 21.72 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 3,302 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 19 และงวดที่ 1 - 18 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 3.19 ล้านบาท และมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 5,882 ครัวเรือน ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เริ่มดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ไปแล้วจำนวนกว่า 53,896.82 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4.62 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1 - 17 จำนวนเงิน 7,847.73 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ไปแล้ว 2.60 ล้านครัวเรือน โดยเกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เตรียมหนุนโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ นำร่องทำ "แซนด์บ็อกซ์" พัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.พม. เตรียมหนุนโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ นำร่องทำ "แซนด์บ็อกซ์" พัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชน รมว.พม. เตรียมหนุนโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ นำร่องทำ "แซนด์บ็อกซ์" พัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 66เวลา 14.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นำคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ ณ โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจแกนนำยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 และรับฟังการนำเสนอภาพรวมการต่อยอดโครงการยุวทูตคุณธรรมสู่สถานศึกษา อีกทั้งประชุมหารือถึงแนวทางความร่วมมือต่างๆ กับคณะผู้บริหารโรงเรียนฯ นายจุติ กล่าวว่า ยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 เป็นแกนนำเด็กและเยาวชนที่ผ่านการอบรมจากการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแกนนำเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เสริมทักษะ ให้กับแกนนำเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศ ในการเป็นจิตอาสาทำความดี อีกทั้งเป็นการสร้างแกนนำเด็กและเยาวชนให้เป็นยุวทูตคุณธรรมในการขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในสังคมไทยทั้งระดับประเทศและสังคมโลกอย่างเข้มแข็งต่อไป นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ตนได้เชิญชวนโรงเรียนฯ มาร่วมกันทำแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) พัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งจะมีการฝึกอบรมครูให้เป็นแม่แบบในการสร้างคนดีก่อนคนเก่ง สร้างคนที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ส่งเสริมทุนมนุษย์ที่เป็นเด็กและเยาวชนให้ขยัน มีความซื่อสัตย์สุจริต สร้างคนที่รักชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และช่วยกันเป็นฐานผลิตคนดีสู่ประเทศ เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีวินัย มีอาชีพที่สุจริต สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต นอกจากนี้ จากการรับฟังรายงานของโรงเรียนฯ พบปัญหาว่ามีเด็กในครอบครัวเปราะบาง ขาดผู้อุปการะเนื่องจากพ่อแม่อพยพกลับภูมิลำเนา เด็กไม่มีสัญชาติ ครอบครัวมีฐานะยากจน เป็นต้น ทั้งนี้ จึงมีความเห็นร่วมกันในการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนที่โรงเรียนฯ โดยจะให้ครูและนักเรียนเป็นจิตอาสาของศูนย์ฯ โดยเฉพาะครูจะให้เข้าอบรมหลักสูตรของกระทรวง พม. เพื่อเป็นผู้จัดการรายกรณี (Case Manager) หรือ CM คอยช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนในชุมชนต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านให้กำลังใจคุณยาย อายุ 73 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่กับลูกชายและหลานสาวในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมในชุมชนติดกับโรงเรียนฯ ครอบครัวมีฐานะยากจน มีรายได้จากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ทั้งนี้ พบปัญหาว่า ห้องน้ำมีสภาพไม่เหมาะสมกับคุณยายที่เป็นทั้งผู้สูงอายุและคนพิการ ในเบื้องต้น จึงได้บรรเทาความเดือดร้อนด้วยการมอบ เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และให้คำปรึกษาแนะนะด้านสิทธิสวัสดิการของรัฐ โดยเฉพาะเตรียมช่วยเหลือในเรื่องการปรับปรุงซ่อมแซมห้องน้ำและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อไป #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส ประชุมคณะทำงานพัฒนาระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดดีอีเอส ประชุมคณะทำงานพัฒนาระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ปลัดดีอีเอส ประชุมคณะทำงานพัฒนาระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ วันนี้ (21 ก.พ 66) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพัฒนาระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2566 โดยมี ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงฯ และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม MOC ชั้น 6 __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล เปิดงานยิ่งใหญ่เมืองยุทธหัตถี "อุตสาหกรรมแฟร์ สุพรรณบุรี " เพิ่มศักยภาพการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชน ภายใต้นโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล เปิดงานยิ่งใหญ่เมืองยุทธหัตถี "อุตสาหกรรมแฟร์ สุพรรณบุรี " เพิ่มศักยภาพการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชน ภายใต้นโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ปลัดฯ ณัฐพล เปิดงานยิ่งใหญ่เมืองยุทธหัตถี "อุตสาหกรรมแฟร์ สุพรรณบุรี " เพิ่มศักยภาพการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชน ภายใต้นโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน วันที่18 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 15.30 น. ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน “อุตสาหกรรมแฟร์ สุพรรณบุรี” ครั้งที่ 1 โดยมีนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ และมีนายธีรยุทธ์ จันทร์ดิษฐวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายสุพจน์ พินิตกิตติสกุล อุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี นายพิเชษฐ์ มงคลศิริวัฒนา ผู้ช่วยประธานกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ บริษัทไทยฟู้ดส์ อาหารสัตว์ จํากัด หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบาย MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ซึ่งประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ ความสำเร็จทางธุรกิจ การได้รับการยอมรับจากชุมชน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก และการกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนติดปีกภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และข้อตกลง กติกาใหม่ของโลก พร้อมกับการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของ “ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชน และสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพยายามให้ทุกหน่วยงานใช้ความคิดและใช้ใจให้มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนมีความเข้มแข็งและยั่งยืน การจัดงานครั้งนี้มุ่งหวังให้ประชาชนได้รู้จักผู้ประกอบการที่มีความทุ่มเท เสียสละ ให้ความช่วยเหลือชุมชน โดยได้จัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ เพื่อการกระจายรายได้สู่ชุมชน สำหรับผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน และผู้ต้องการมีอาชีพ หากต้องการความช่วยเหลือ ทั้งในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต กระทรวงอุตสาหกรรม มีสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคต่างๆ ทั่วประเทศที่ค่อยให้ความช่วยเหลือในจังหวัดต่างๆ ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมและใจช่วยเหลือสังคม ดูแลสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมให้การสนับสนุนเชื่อมโยงเพื่อพัฒนาให้ทุกภาคส่วนเติบโตไปพร้อมกับภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ตลอดไป สำหรับงาน "อุตสาหกรรมแฟร์ สุพรรณบุรี" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ บริษัทไทยฟู้ดส์ อาหารสัตว์ จํากัด (สาขาสุพรรณบุรี) ตําบลสระพังลาน อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี บูรณาการร่วมกับ บริษัทไทยฟู้ดส์ อาหารสัตว์ จำกัด (สาขาสุพรรณบุรี) หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในจังหวัดสุพรรณบุรี อาทิ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี หอการค้าจังหวัดสุพรรณบุรี และเครือข่ายประชาสังคมจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ของจังหวัดสุพรรณบุรี ภายใต้การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ “MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมจัดแสดงนวัตกรรมการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ จำนวนรวมทั้งสิ้น 62 บูธ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 14 บูธ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จำนวน 11 บูธ ผลิตภัณฑ์ชุมชนในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 25 บูธ และผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน 8 บูธ กิจกรรมการฝึกอบรมอาชีพให้กับชุมชนภายใต้กิจกรรมนักส่งเสริมอาชีพดีพร้อม จากหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 8 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาสุพรรณบุรี สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสาขาสุพรรณบุรี จำนวน 4 บูธ และการจัดแสดงนวัตกรรมการผลิตของผู้ประกอบการในจังหวัดสุพรรณบุรี อาทิ บริษัท โชคนำชัยออโต้เพรสซิ่ง จำกัด บริษัท โตว่องไว จากัด และศูนย์การเรียนรู้นาเฮียใช้ เป็นต้น เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตให้แก่ประชาชน ชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กิจกรรมนาทีทองและกิจกรรมชิงโชคแจกของรางวัลแก่ผู้เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ผลการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการผลิตและเพิ่มช่องทางการตลาดเชิงรุกให้กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และผลิตภัณฑ์ชุมชนในจังหวัดสุพรรณบุรี ประชาชนจะได้อุปโภคบริโภคสินค้าราคาโรงงาน ลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ประชาชนยังจะได้รับความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพจากกิจกรรมการฝึกอบรม เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน และเกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับสังคม ชุมชนอย่างเกื้อกูล สอดคล้องตามนโยบายปฏิรูปการทำงานตามแนวคิด MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน เกิดผลสัมฤทธิ์ “ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชนและสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล พ.ศ. 2565 เพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลที่จะสิ้นสุดในวันที่ 12 มีนาคม 2566 นี้ “ในระยะแรก กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่อง ประเภทงานทะเบียนราษฎร ที่ให้บริการด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (DOPA-Digital ID) สามารถขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัลได้ด้วยตนเอง โดยมี 3 ประเภทงาน คือ 1.การแจ้งการย้ายที่อยู่ในสำนักทะเบียนเดียวกัน และการแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทาง 2.การมอบหมายหรือมอบอำนาจให้แจ้งหรือยื่นคำร้องเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร หรือระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร และ 3.การคัดหรือคัดและรับรองรายการทะเบียนบ้าน ทะเบียนประวัติ และทะเบียนคนเกิด เฉพาะกรณีรายการที่ผู้ขอเป็นเจ้าของข้อมูล โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ วันที่ 14 มีนาคม 2565 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2565 มีประชาชนใช้บริการผ่านระบบดิจิทัลที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล พ.ศ. 2565 จานวน 2,258 รายการ โดยเป็นการแจ้งการย้ายที่อยู่ 132 รายการ และการคัดหรือคัดและรับรองรายการทะเบียนบ้าน ทะเบียนประวัติ และทะเบียนคนเกิด 2,126 รายการ” น.ส.ทิพานัน กล่าว น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้จะเป็นการกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎร ด้วยระบบดิจิทัลที่ออกตามความใน พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับกฎกระทรวงจำนวน 2 ฉบับ คือ 1. กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 (เช่น การขอคัดและรับรองสาเนาทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด หรือทะเบียนคนตาย ฉบับละ 10 บาท การแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย การแจ้งย้ายที่อยู่ ฉบับละ 20 บาท) 2. กฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 เช่น การแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย การแจ้งย้ายที่อยู่ ฉบับละ 20 บาท “เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล นำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงานและให้บริการการทะเบียนราษฎรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ ลดการใช้เอกสาร ลดพื้นที่และประหยัดงบประมาณในการจัดเก็บเอกสาร และอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ที่สำคัญคือลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการขอรับบริการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับประชาชน และเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่เกี่ยวกับการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอำนาจเจริญ พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอำนาจเจริญ พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอำนาจเจริญ พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน เน้นนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีนายปิยะ ท้วมเกร็ด อุตสาหกรรมจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการพร้อมรับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน โดย หน.ผู้ตรวจฯ ได้ถ่ายทอดและเน้นย้ำนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ไว้เป็นแนวการทำงานของทุกหน่วยงาน MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ คือ 1) ความสำเร็จทางธุรกิจ การปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับโลกอนาคต 2) การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งยามปกติ และเมื่อเกิดวิกฤต 3) การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก 4) การกระจายรายได้ให้แก่ประชาชน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เน้น “การสร้างงาน สร้างอาชีพ” และกระตุ้นผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) ทำงานร่วมกับชุมชน และเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่อย่างจริงจัง พร้อมนี้ หน.ผู้ตรวจฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะการตรวจราชการ ดังนี้ 1. การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้เร่งรัดการตรวจกำกับดูแล โรงงานอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย (ซึ่งต้องการให้มีการตรวจกำกับ 100% ของโรงงานในพื้นที่) เพื่อป้องกันปัญหาข้อร้องเรียนของชุมชนด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมและเหตุเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งเกิดจากประกอบการของโรงงาน พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการหากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2. การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้เร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการพร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ พร้อมเตรียมยกระดับการขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวให้ผู้ประกอบการต่อไป 3. เน้นย้ำให้ สอจ. กำกับ ติดตาม ควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกัน การเผาอ้อยในพื้นที่ และการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัด ในการปราบปรามการเผาอ้อยให้หมดไป 4. การเน้นย้ำให้ สอจ. ประชาสัมพันธ์ พร้อมช่วยคัดเลือกและเสนอรายชื่อโรงงานในพื้นที่ ที่มีการประกอบการที่ดีเป็นแบบอย่างได้ เพื่อเข้าร่วมคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นและอุตสาหกรรมยอดเยี่ยมของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมนี้ ในเวลา 11.30 น. ห้องประชุมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอำนาจเจริญ หน.ผู้ตรวจฯ ได้ร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม และปรับการดำเนินสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ใน 4 มิติ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามนโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเชิงพื้นที่ และรับฟังแนวทางการดำเนินงานและความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาอำนาจเจริญ (น.ส. คำปิ่น พิมพ์พร) ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี (นางภัสนารินทร์ ชินภัทรจีรัสถ์) โดยเน้นสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในจังหวัดอำนาจเจริญ บูรณาการร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวก และจัดทำโครงการให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ ลดการสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือระหว่างโรงงานและชุมชนโดยรอบโรงงานให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ภายใต้แนวคิด "ชุมชนรักอุตสาหกรรม" ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดอำนาจเจริญในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ตราดตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่างตำบลคลองใหญ่ เน้นชูอัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนพื้นบ้าน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ตราดตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่างตำบลคลองใหญ่ เน้นชูอัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนพื้นบ้าน ลงพื้นที่ตราดตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่างตำบลคลองใหญ่ เน้นชูอัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนพื้นบ้าน ต่อยอดภูมิปัญญาของท้องถิ่นสู่แหล่งผลิตปุ๋ยชีวภาพนาโนของจังหวัดและเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้และบริหารโดยชุมชนอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวสันต์ นิสัยมั่น อุตสาหกรรมจังหวัดตราด และคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่างตำบลคลองใหญ่ จ.ตราด ณ สถานประกอบการสุวรรณลักษณ์ ประกอบกิจการ ดังนี้ ผ้ามัดย้อม สีเขียวจากใบหูกวาง ผ้ามัดย้อม สีน้ำตาลจากเปลือกมังคุด ภาชนะจากกาบหมาก และลูกประคบสมุนไพร และได้เข้าร่วมโครงการค่าใช้จ่ายแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม 1 จังหวัด 1 ชุมชน (OPOAI-C) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านธรรมชาติล่าง ได้ชูอัตลักษณ์วิถีชีวิตชุมชนพื้นบ้าน ต่อยอดภูมิปัญญาของท้องถิ่นสู่แหล่งผลิตปุ๋ยชีวภาพนาโนของจังหวัดและเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้และบริหารโดยชุมชนอย่างยั่งยืน มีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุน ทั้งนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้ให้คำแนะนำแนวทางการประกอบกิจการโดยให้ปฏิบัติตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการสร้างงานสร้างอาชีพและมีการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ประชาคมโลก ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้แนะนำเชิญชวนเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจโดยเฉพาะการออกแบบตราสินค้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 1,501 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้ NPL และ NPA
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. อนุมัติ 1,501 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้ NPL และ NPA ครม. อนุมัติ 1,501 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้ NPL และ NPA นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) อนุมัติ 1,500,755,595.00 บาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อจัดการหนี้ให้แก่เกษตรกรสมาชิก โดยเฉพาะกรณีหนี้ NPL และการซื้อทรัพย์คืน (NPA) โดยมีเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,148 ราย ทั้งนี้ การได้รับงบประมาณจะทำให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร มีงบประมาณเพียงพอ สามารถดำเนินแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกรสมาชิกและฟื้นฟูอาชีพและพัฒนาเกษตรกรสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ให้อำนาจกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถจัดการหนี้ของเกษตรกรกรณีบุคคล ค้ำประกันได้ รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก ที่แตกต่างและไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐหรือธนาคารของรัฐ เช่น การจัดการหนี้ให้แก่เกษตรกรสมาชิก กรณีหนี้ NPL และการซื้อทรัพย์สินคืน (NPA) ซึ่งเมื่อบุคคลได้รับการจัดการหนี้เหล่านี้ จะต้องเข้าสู่แผนการฟื้นฟูอาชีพด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิให้ถูกต้อง รวมทั้งสั่งการให้มีการแก้ไขปัญหาหนี้ได้โดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คุมเข้ม2ปี สิ้นปี67ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ หวังปลดล็อกไทยเป็นที่รองรับขยะจากประเทศอื่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติก
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คุมเข้ม2ปี สิ้นปี67ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ หวังปลดล็อกไทยเป็นที่รองรับขยะจากประเทศอื่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติก ครม.เห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คุมเข้ม2ปี สิ้นปี67ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ หวังปลดล็อกไทยเป็นที่รองรับขยะจากประเทศอื่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ และเพื่อมิให้ประเทศไทยเป็นที่รองรับเศษขยะจากประเทศอื่น โดยให้กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร 2. การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากร (ในช่วงปี 2566-2567) โดยจะอนุญาตเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่งที่กำหนด ได้แก่ โรงงานทั้งหมดที่ใช้เศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร นำเข้าไม่เกินความสามารถในการผลิตจริง รวม 372,994 ตันต่อปี สำหรับปีที่ 1 (2566) ให้นำเข้าปริมาณร้อยละ 100 ของความสามารถในการผลิตจริง, ปีที่ 2 (2567) ให้นำเข้าปริมาณไม่เกินร้อยละ 50 ของความสามารถในการผลิตจริงโดยการนำเข้าจะต้องมีมาตรการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดมลพิษในประเทศ เช่น เศษพลาสติกที่นำเข้าต้องแยกชนิดและไม่ปะปนกัน สามารถนาเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด ต้องใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น เป็นต้น 3. การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่ทั่วไป (ในช่วงปี 2566-2567) ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่ไม่มีเศษพลาสติกในประเทศหรือมีปริมาณไม่เพียงพอ โดยมีหลักเกณฑ์ เช่น ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแสดงหลักฐานว่ามีความจำเป็นในการนำเข้าและไม่สามารถหาได้ในประเทศ, นำเข้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกับกำลังการผลิต, นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบเท่านั้น (ไม่รวมถึงการคัดแยกหรือย่อยพลาสติก), สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชนคนไทยทุกคน ดังนั้นจึงเห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก โดยเน้นย้ำให้ดำเนินการมาตรการควบคุมในช่วง 2 ปี (ในช่วงปี 2566-2567) คือ มาตรการกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.ควบคุมปริมาณนำเข้าให้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการรีไซเคิลขยะพลาสติกในประเทศ 2.ป้องกันการลักลอบนำเข้า และ 3.ควบคุมการประกอบกิจการพลาสติกไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับทุกฝ่ายจึงให้มีมาตรการลดผลกระทบจากการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การป้องกันการขาดแคลนเศษพลาสติกบางชนิดที่ใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม 2.การคัดแยกขยะที่เป็นระบบตั้งแต่ต้นทางเพื่อนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม 3.งานวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับการนำพลาสติกกลับไปใช้ประโยชน์ และ 4.การมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกโดยเฉพาะ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯเดชา ลงพื้นที่ตรวจราชการ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เร่งเดินหน้านโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย ภายใต้แนวคิด “MIND" ใช้ “
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ผู้ตรวจฯเดชา ลงพื้นที่ตรวจราชการ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เร่งเดินหน้านโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย ภายใต้แนวคิด “MIND" ใช้ “ ผู้ตรวจฯเดชา ลงพื้นที่ตรวจราชการกลุ่ม จ.ภาคเหนือตอนบน 1 เร่งเดินหน้านโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย ภายใต้แนวคิด “MIND" ใช้ “หัว” และ “ใจ” ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ให้สมดุลและยั่งยืน ควบคู่กับอุตสาหกรรมสู่วิถีใหม่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกับนางพัชรี ใบยา อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงาน วิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของชาวบ้านที่มีรายได้จากการเก็บเมล็ดกาแฟเพื่อพัฒนาคุณภาพกาแฟสายพันธุ์อราบิก้า และรับซื้อกาแฟจากสมาชิกในราคาที่ยุติธรรม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกันกับชุมชนและสร้างรายได้ร่วมกัน โดยในปัจจุบันวิสาหกิจนี้ได้มีการพัฒนาและต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลผลิตภายใต้ผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วเทพเสด็จ ตราห้วยฮ่องไคร้ ต่อเนื่องวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกับนายสุภชัย ไวยาวัจมัย อุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พร้อมเยี่ยมชมโรงงานวิสาหกิจชุมชนซึ่งผลิตสารปรับปรุงดินจากสารฮิวมิค (Humic) ที่ได้จากกองดินเหลือทิ้งจากเหมืองถ่านหินซึ่งมีแร่ลีโอนาร์ไดต์เป็นองค์ประกอบ มาปรับคุณภาพเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามแนวคิด BCG Model เป็นตัวอย่างการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าที่เป็นอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตามนโยบายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และยังสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกับนางจันทนา ไวยาวัจมัย อุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เยี่ยมชม บริษัท นพดาโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตกระเทียมดำภายใต้ตราสินค้า B-Garlic ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินสินเชื่อจาก กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนานวัตกรรม และกระบวนการผลิตกระเทียมดำ ทำให้สามารถเพิ่มสารสำคัญต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ อีกทั้งยังทำให้เกิดรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ อร่อยเหมือนผลไม้อบ โดยปัจจุบันบริษัท ฯ ได้ขยายการตลาดไปสู่ต่างประเทศผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ตลอดจนขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งถือได้ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีส่วนช่วยธุรกิจให้สามารถยกระดับการผลิตดั้งเดิม ไปสู่เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ช่วยสร้างรายได้และส่งเสริมการสร้างงานในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับความต้องการของผู้ประกอบการ และการแก้ปัญหาการประกอบกิจการในพื้นที่ อาทิ ความร่วมมือในการสร้างและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดลำปาง การลดระยะเวลาการขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารและยา (อย.) และความต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายกิจการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะได้ทำการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65215