title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ในท้องถิ่น
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 นายกรัฐมนตรีเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ในท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ในท้องถิ่น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 18.30 น. ณ หาดนายอำเภอ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี (Suratthani Kite Festival) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งภาคีเครือข่ายร่วมกันจัดงาน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางมาเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้ประเพณีเล่นว่าวเป็นสื่อกลางการอนุรักษ์การเล่นว่าวไทยที่มีมานาน ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สินค้า OTOP ของดีของจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว นำไปสู่การสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี (Suratthani Kite Festival) ว่า วัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เพื่ออนุรักษ์การเล่นว่าวไทย ซึ่งการจัดแสดงโชว์ว่าวไทยและว่าวแฟนซีหาดูได้ยากในต่างประเทศ การจัดมหกรรมดังกล่าวจะทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยว ถือเป็นการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศแห่งความสุขแบบนี้เอาไว้ เพื่อสร้างโอกาสด้านการท่องเที่ยว ผลักดันให้เป็นจุดแข็งของการท่องเที่ยวในจังหวัด ให้เป็น soft power อย่าทำร้ายโอกาสการสร้างรายได้ด้วยความขัดแย้ง พร้อมกล่าวชื่นชมชาวสุราษฎร์ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ผ่านรอยยิ้มและแววตาที่มีแต่ความจริงใจ รู้สึกดีและมีความสุขทุกครั้งที่ลงพื้นที่ภาคใต้ สำหรับงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี (Suratthani Kite Festival) ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ภายในงานประกอบไปด้วยกิจกรรม การจัดแสดงโชว์ว่าวไทยและว่าวแฟนซีจากต่างประเทศ นิทรรศการว่าวมีชีวิต และสื่อสร้างสรรค์ การจัดแสดงสินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP ของดีจังหวัดสุราษฎร์ธานี การแข่งขันว่าวบินสูง การประกวดว่าวประเภทสวยงามและประเภทความคิดสร้างสรรค์ กิจกรรมการแสดง แสง สี เสียง การจัดจุดถ่ายภาพ จุดเช็คอิน สำหรับนักท่องเที่ยวแชะ&แชร์ การแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาด การแข่งขันฟุตบอลชายหาด การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน การแข่งขันการทำอาชีพในชุมชน กิจกรรม Kite running กิจกรรมการแสดงของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และการจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก ผู้ที่สนใจเข้าชมงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี Suratthani Kite Festival สามารถเดินทางเข้าชมได้ โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2566 ณ บริเวณหาดนายอำเภอ ตำบลตะกรบ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เยี่ยมชม "สวนแก้วคำเอ้ย" อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชื่นชมเป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดมหาดไทย เยี่ยมชม "สวนแก้วคำเอ้ย" อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชื่นชมเป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ปลัดมหาดไทย เยี่ยมชม "สวนแก้วคำเอ้ย" อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชื่นชมเป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 66 เวลา 09.09 น. ที่สวนแก้วคำเอ้ย ถ.สมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ต.สันทรายหลวง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายอาทร พิมชะนก ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นายประยุกต์ สุดธัญญรัตน์ พัฒนาการจังหวัดเชียงใหม่ นายศิวะ ธมิกานนท์ นายอำเภอสันทราย นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ นายอำเภอสันกำแพง และนางสาวญาดาภา หอมหวล เลขานุการกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมลงพื้นที่ โดย นายนที ดำรงค์ นายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานเทศบาล เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้ดูแลสวนแก้วคำเอ้ย ให้การต้อนรับและนำชม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณพันเอก (พ) ภมรวรรณ อยู่เย็น และครอบครัวอยู่เย็น ที่ได้ริเริ่มทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนชาวสันทราย และชาวเชียงใหม่ ด้วยการปรับปรุงพื้นที่ที่ดินของบรรพบุรุษให้กลายเป็นปอดแห่งใหม่ที่เป็นพื้นที่สันทนาการ พื้นที่นันทนาการ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาพื้นที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของครอบครัวอยู่เย็นที่เพิ่มพูนขึ้น จึงขอให้ท่านนายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง ได้หารือกับครอบครัวอยู่เย็น ได้ประยุกต์แนวทาง "สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา" ทำบันไดลิง เพื่อให้เด็ก ๆ ได้โลดโผนในกิจกรรมที่เสริมสร้างปัญญา เสริมสร้างการมีมนุษยสัมพันธ์ รวมทั้งพิจารณาจัดทำห้องสมุดต้นไม้ มีกระดานไวท์บอร์ด มีหนังสือการ์ตูน ให้เด็กได้ฝึกวาดเล่น เพื่อสามารถเติบโตตามวัยอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในส่วนระบบโซล่าเซลล์ที่ได้ติดตั้งอยู่ถือเป็นแนวคิดที่ดีอย่างมาก ซึ่งสามารถพิจารณาปรับพื้นที่ติดตั้งเพื่อรับแสงเพิ่มเติม และติดตั้งป้ายนิทรรศการขนาดเล็กเสริมองค์ความรู้ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม หลักการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ มี diagram เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ได้อีกด้วย "เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งพลังความรัก สามัคคี ท่านนายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง สามารถประสานเรียนเชิญครอบครัวอยู่เย็นร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และจิตอาสา ร่วมกันลงแขก จัดทำแปลงผักสวนครัวโดยรอบพื้นที่ ทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ต้นแบบด้านความมั่นคงด้านอาหาร โดยทำแปลงผักและปลูกผักจากตำหรับอาหารไทย เช่น "แปลงต้มยำ" มีป้ายบอกสรรพคุณอะไรบ้าง ต้องใส่ส่วนผสมอะไรบ้าง เช่น ตะไคร้ หัวข่า พริก ใบมะกรูด มะนาว มีคุณค่าทางยา ทำให้ระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต เลือดไม่ออกตามไรฟัน "แปลงส้มตำ" มะละกอ พริก มะนาว ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ ปลูกผักบุ้งในน้ำ เป็นต้น โดยทุกแปลงก็จะมีป้ายกำกับบอกชนิดของพืชผัก ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และจะทำให้สวนหย่อมแห่งนี้กลายเป็นตักศิลาแห่งผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร พร้อมทั้งจัดทำป้ายเชิดชูเกียรติเจ้าของพื้นที่ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณให้ประชาชนที่มาใช้พื้นที่ได้รับรู้รับทราบ ถึงการเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน มีจิตใจเสียสละ ด้วยการทำพื้นที่ส่วนตัวให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ทำให้เป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดของคนสันทราย" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม นายนที ดำรงค์ นายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง กล่าวว่า "สวนแก้วคำเอ้ย" เป็นสวนสาธารณะของครอบครัวอยู่เย็น โดยนำเอาพื้นที่ของบรรพบุรุษกว่า 12 ไร่ มาทำเป็นสาธารณะประโยชน์ให้ประชาชนทั่วไปใช้ออกกำลังกายและสันทนาการ เปิดให้ใช้พื้นที่ตั้งแต่เวลา 05.00 - 19.00 น. มีที่มาของชื่อจาก คุณทวดผู้ชาย ชื่อ "แก้ว" และคุณทวดผู้หญิง ชื่อ "คำเอ้ย" ทั้งนี้ ในบริเวณพื้นที่ มีต้นจามจุรีใหญ่ 2 ต้นที่มีมาแต่เดิมและได้รับการฟื้นฟู มีร่มเงาขนาดใหญ่ มีสระน้ำใหญ่ ที่ปลูกกระจูด บอน กระจับ และกกต่าง ๆ เลียนแบบเหมือนกับบึงในธรรมชาติ พร้อมด้วยทุ่งดอกไม้ ผักสวนครัว และโซนสนามเด็กเล่น "ด้วยสภาพที่ตั้งของเขตเทศบาลตำบลสันทรายหลวงตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ด้านทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่ เทศบาลตำบลสันทรายหลวง จึงมีแนวคิดในการบริหารจัดการด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประชาชนได้มีพื้นที่พักผ่อน สันทนาการ มีอากาศที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี โดยริเริ่มพัฒนาคลองลำน้ำโจ้ ที่ไหลผ่านกลางเขตพื้นที่เทศบาลประมาณ 8.4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นลำน้ำที่สำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำเสีย และน้ำแล้ง ด้วยวิสัยทัศน์ "สันทรายสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี ประชาชนมีส่วนร่วม" ซึ่งเทศบาลตำบลสันทรายหลวง จะได้นำคำแนะนำของท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย มาประสานกับเจ้าของสวนแก้วคำเอ้ย เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน มีสัดส่วนพื้นที่ที่เหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเจ้าของพื้นที่ อันจะยังประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนสามารถใช้ในการจัดกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ เสริมสร้างสัมพันธ์อันดี อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน" นายนทีฯ กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม.รับทราบผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน ครม.รับทราบผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ การประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2565 ณ กรุงเทพมหานคร. เพื่อเป็นเวทีสร้างพลังขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยในทุกระดับและทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “เป้าหมาย Net zero 2065 เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของไทยในเวทีโลก” เพื่อยืนยันถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาระดับชาติ ตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) เพื่อสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนาและเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น 2. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติได้เน้นย้ำการมุ่งยกระดับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในประเทศร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเข้มข้นและมุ่งแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ 3. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “TCAC: Road to COP27 and Beyond” และ “จากนโยบายสู่ความสำเร็จด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยเน้นย้ำว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แปลงเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่นโยบายและแผนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เช่น แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 - 2593 แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. ออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น สมาพันธรัฐสวิส และสหรัฐอเมริกาได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 5. ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจตอบรับต่อเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศและพร้อมสนับสนุนภาครัฐ โดยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นอกจากนี้ในการประชุมดังกล่าวยังได้มีการเสวนาเชิงวิชาการในประเด็นต่าง ๆ เช่น 1.เสริมพลังไทยสู่ความยั่งยืนด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนไทย ไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 2.ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จของโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยร่วมดำเนินการกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทานาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NANA) 3.ป่าไม้และการกักเก็บคาร์บอน 4.เกษตรเท่าทันภูมิอากาศ 5.การบริการข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในภาคเมือง 6.พลังงานและการขนส่งที่ยั่งยืนผ่านนโยบายและทิศทางการดำเนินงานภายใต้แผนพลังงานชาติ และ 7.ตลาดคาร์บอนเครดิต “ผลลัพธ์สำคัญของการจัดประชุมนี้ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศร่วมกัน โดยมีการนำเสนอผลการดำเนินงานต่อการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 27 (COP27) ใน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.การขับเคลื่อนนโยบายในระดับพื้นที่ 2.เทคโนโลยีที่เป็นมิตร เช่น การปลูกข้าวมีเทนต่ำ ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ยานยนต์ไฟฟ้า 3.กลไกการเงินผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต และ 4.การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในทุกระดับ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64944
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​THAI may be able to exit rehab plan sooner
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ​THAI may be able to exit rehab plan sooner ​THAI may be able to exit rehab plan sooner February 13, 2023, Deputy Government Spokesperson Tipanan Sirichana disclosed that the Government congratulates the implementation of Thai Airways International (THAI)’s rehabilitation plan (in accordance with the cabinet’s resolution on May 19, 2020), which has made approx. 70% progress, while the company’s operation outlook continues to be positive with the approx. income of 90 billion Baht in 2022. In 2023, the company expects the revenue to increase by 40%. With the steadily increasing operation revenue since May 2022, coupling with the rising air transport demand, it is expected that THAI would be able to exit rehabilitation sooner than the end of 2024, as earlier planned, and to resume trading on the Stock Exchange of Thailand in 2025. Not only that THAI strives to be recovered and make a comeback as Thailand’s national airline, the company also gears toward environment protection through reduction of greenhouse gas. According to the Deputy Government Spokesperson, THAI’s steady recovery reflects the vision and leadership of Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, in time of crisis, to save and recover national aviation industry.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทุกหมู่เหล่าประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 พสกนิกรทุกหมู่เหล่าประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทุกหมู่เหล่าประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พสกนิกรทุกหมู่เหล่าประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดปทุมธานี ที่ศาลาสุวรรณเจดีย์ วัดเปรมประชา ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี นายธรรมนูญ แจ่มใส นายอำเภอเมืองปทุมธานี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 2. จังหวัดนครปฐม ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน นายเชษฐา มั่นทองคำ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมสาขาสามพราน พร้อมด้วย ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรและฟังธรรม เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดห้วยตองสัก ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง พระสุวรรณเมธี (ดร.) วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เจ้าคณะอำเภอจอมทอง นายรุ่งสุริยา เชียงชีระ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลข่วงเปา เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 4. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่วัดก้างปลา ตำบลที่วัง อำเภอทุ่งสง นายถิรนาท เอสะนาชาตัง นายอำเภอทุ่งสง เป็นประธานในพิธีปลงผมนาคในโครงการบรรพชาอุปสมบท เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี กลุ่มพลังบุญ พุทธบริษัทอำเภอทุ่งสง และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 5. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่วัดเพชราราม ตำบลเพชรละคร อำเภอหนองไผ่ นางอัจจิมา มาลากรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเพชรละคร เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี ข้าราชการและพนักงานในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลเพชรละคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 6. กรุงเทพมหานคร ที่ศาลาสมเด็จพระพุทธชินวงศ์สภา วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสาน พระราชพิพัฒนโกศล เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร พร้อมคณะสงฆ์ ร่วมประกอบพิธีสวดมนต์เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี อุบาสกอุบาสิกาที่มาปฏิบัติธรรม ร่วมพิธี 7. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดท่าจัด อำเภอสองพี่น้อง พระอาจารย์จักรพันธ์ ชุติมนโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าจัด พร้อมด้วย คณะสงฆ์วัดท่าจัด และอุบาสก อุบาสิกาในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เตือนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างหลอกลงทุน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 กบข. เตือนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างหลอกลงทุน กบข. แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “กบข.” “ตราสัญลักษณ์” “ภาพผู้บริหาร” ชักชวนลงทุนโดยมีการประกันผลตอบแทนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ย้ำ กบข. ไม่มีนโยบายเชิญชวนสมาชิกลงทุนผ่านช่องทางส่วนบุคคล กบข. แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “กบข.” “ตราสัญลักษณ์” “ภาพผู้บริหาร” ชักชวนลงทุนโดยมีการประกันผลตอบแทนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ย้ำ กบข. ไม่มีนโยบายเชิญชวนสมาชิกลงทุนผ่านช่องทางส่วนบุคคล นอกเหนือจากการเลือกแผนการลงทุนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งเงินสะสมของสมาชิกจะถูกหักจากบัญชีเงินเดือนและนำส่ง กบข. โดยเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานสมาชิกเท่านั้น ไม่มีการให้สมาชิกโอนเงินเข้าบัญชีด้วยตนเอง ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้รับแจ้งว่ามีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นผู้บริหาร กบข. เชิญชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ เพื่อหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยมีพฤติกรรมสร้างบัญชีไลน์ ใช้ชื่อและรูปของผู้บริหาร กบข. เพื่อให้เข้าใจว่า กบข. เป็นผู้ชักชวน หลังจากนั้นได้ส่งข้อความหาสมาชิก กบข. และกระตุ้นให้เข้าร่วมกลุ่มไลน์และให้โอนเงินประกันผลตอบแทนเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอ้างว่าเป็นการทำภารกิจเพื่อให้ได้ผลกำไร พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำของมิจฉาชีพ ที่ทำให้สมาชิกต้องสูญเสียทรัพย์สินและเกิดความเสียหาย กบข. ขอชี้แจงว่า กบข. ไม่มีนโยบายเชิญชวนให้สมาชิกลงทุนผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น LINE Facebook หรือช่องทางส่วนบุคคล นอกเหนือจากการเลือกแผนการลงทุนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ซึ่งเงินสะสมของสมาชิกจะถูกหักจากบัญชีเงินเดือนและนำส่ง กบข. โดยเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานสมาชิกเท่านั้น ไม่มีการให้สมาชิกโอนเงินเข้าบัญชีด้วยตนเอง และขอแจ้งเตือนไปยังสมาชิกและประชาชนทั่วไปให้ใช้ความระมัดระวังไม่หลงเชื่อคำเชิญชวนต่าง ๆ หรือการติดต่อแอบอ้างจากช่องทางอื่น ๆ ที่ใช้ชื่อ “กบข.” “ตราสัญลักษณ์” หรือ “ภาพผู้บริหาร กบข.” ที่ไม่ใช่ช่องทางการสื่อสารหลักของ กบข. หากพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือโฆษณาชักชวนลงทุนที่ผิดสังเกตสามารถแจ้งมาได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก โทร. 1179 Facebook page กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่มีเครื่องหมายถูกสีฟ้าหลังชื่อเพจเพื่อยืนยันบัญชีทางการ หรือ LINE Official Account ไอดีไลน์ @gpfcommunity มีเครื่องหมายโล่สีเขียวหน้าชื่อบัญชี เพื่อยืนยันบัญชีทางการ ทั้งนี้ กบข. กำลังรวบรวมหลักฐาน และส่งเรื่องจากผู้เสียหายที่มีหลักฐานครบถ้วนถึงการกระทำผิดที่เกี่ยวกับ กบข. ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.19 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.21 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 ม.ค. 2566) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [emailprotected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ตรวจจับรถตู้ร่วมฯ ทำผิดเงื่อนไขการเดินรถ พร้อมแจ้งความเอาผิดผู้ที่ตั้งวินเถื่อน - จัดคิวรับผู้โดยสารขึ้นรถที่จุดจอดนวนคร
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 บขส. ตรวจจับรถตู้ร่วมฯ ทำผิดเงื่อนไขการเดินรถ พร้อมแจ้งความเอาผิดผู้ที่ตั้งวินเถื่อน - จัดคิวรับผู้โดยสารขึ้นรถที่จุดจอดนวนคร ..... นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากงานตรวจการ สำนักอำนวยการ บริษัท ขนส่ง จำกัด ว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ได้นำเจ้าหน้าที่งานตรวจการลงพื้นที่ตรวจสอบการเดินรถของรถตู้ร่วมบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ บขส. บริเวณจุดรับ-ส่งผู้โดยสารนวนคร (ขาเข้า) บนเส้นทางคู่ขนาน ถนนทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี หลังได้รับแจ้งว่า มีผู้มาตั้งวินและจัดคิวเรียกเก็บค่าบริการโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่า มีรถตู้โดยสารร่วมบริการ ของ บขส. เข้าทำการเดินรถ โดยมิได้รับอนุญาต จากกรมการขนส่งทางบก และนำรถออกมาให้บริการผู้โดยสาร โดยไม่ชำระค่าธรรมเนียมปล่อยรถ รวมทั้งไม่นำรถเข้าใช้สถานีขนส่งฯ ตามเงื่อนไขการเดินรถของ บขส. ทั้งนี้ บขส.จะเรียกผู้ประกอบการรถตู้มาชี้แจง และจะดำเนินการลงโทษตามระเบียบของบริษัทฯ ต่อไป นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบุคคลภายนอกมาตั้งวินเป็นจุดรับ - ส่ง ผู้โดยสาร และได้นำรถตู้โดยสารมาวิ่งทับซ้อนเส้นทาง โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย สำหรับการลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่งานตรวจการของ บขส. เป็นไปตามหน้าที่ เพื่อกำกับดูแล รถบริษัทฯ รถร่วมบริษัทฯ รถตู้ร่วมบริการฯ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย คำสั่งบริษัทฯ ระเบียบ และข้อกำหนดในสัญญารถร่วม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นที่ปฏิบัติตามระเบียบอย่างถูกต้อง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสำคัญ ในเบื้องต้นได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ได้จัดตั้งวินเถื่อนและมีการแสดงอากัปกิริยา ไม่พอใจ ใช้คำพูดหยาบคาย หมิ่นประมาทพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และหลังจากนี้ บขส. จะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองหลวง และกรมการขนส่งทางบก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ร่วมกับบริษัทไทย สมายล์ บัส รับสมัครพนักงานขับรถพลังงานไฟฟ้า + พนักงานต้อนรับ 1,074 อัตรา
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 กรมการจัดหางาน ร่วมกับบริษัทไทย สมายล์ บัส รับสมัครพนักงานขับรถพลังงานไฟฟ้า + พนักงานต้อนรับ 1,074 อัตรา กรมการจัดหางาน หารือร่วมกับบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด เสิร์ฟงาน 4 ตำแหน่ง 1,074 อัตรา รายได้ดี สมัครงานง่ายทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานเร่งเตรียมตำแหน่งงานรองรับคนหางาน ผู้ว่างงาน และคนไทยทุกคนที่ต้องการมีงานทำ เพื่อให้มีหลักประกันมีรายได้ที่มั่นคง โดยลงพื้นที่หารือสถานประกอบการที่มีศักยภาพในการจ้างงานมีสวัสดิการที่ดี เป็นบริษัทที่คนให้ความสนใจร่วมงานด้วย เพื่อบรรจุตำแหน่งงานลงใน แพลตฟอร์ม "ไทยมีงานทำ" ให้ผู้ที่กำลังหางานจากทั่วประเทศสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยล่าสุดบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถประจำทางนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แจ้งความต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนมาก ใน 4 ตำแหน่ง ได้แก่ พนักงานขับรถยนต์ 6 ล้อ/10 ล้อ พนักงานต้อนรับบนรถ พนักงานควบคุมรถยนต์โดยสารประจำทาง -นายท่าอู่ และพนักงานธุรการ รวม 1,074 อัตรา เงินเดือน 18,000 – 30,000 บาท ตามตำแหน่งที่สมัคร โดยผู้ที่สนใจทำงานร่วมกับบริษัท ไทย สมายล์ บัส สามารถค้นหาและสมัครงานได้ที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ.doe.go.th” หรือแอปพลิเคชัน “ไทยมีงานทำ” ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นระบบการให้บริการจัดหางานภาครัฐ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด “รัฐมนตรีสุชาติให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนตลาดแรงงาน เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการจ้างงานเต็มที่ สร้างความยั่งยืนให้กับภาคแรงงาน เพราะการว่างงานไม่เพียงเป็นปัญหาที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนคนใดคนหนึ่ง แต่ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อครอบครัว คุณภาพชีวิต ปัญหาอาชญากรรม และเศรษฐกิจฐานรากจนถึงเศรษฐกิจของประเทศ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว สำหรับตำแหน่งงาน และคุณสมบัติที่บริษัท ไทย สมายล์ บัส เปิดรับสมัคร มี 4 ตำแหน่ง 1,074 อัตรา ดังนี้ 1.พนักงานขับรถยนต์ 6 ล้อ/10 ล้อ จำนวน 999 อัตรา - อายุ 22 ปีขึ้นไป - จบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป หรือเทียบเท่า - มีทักษะในการขับรถโดยสาร หรือรถบรรทุกขนส่งสินค้า - มีใบอนุญาตขับรถประเภท 2 ขึ้นไป (n2) - สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอันอาจก่อให้เกิดอันตรายขณะปฏิบัติงานได้ - บุคลิกภาพดี รักงานบริการ ไม่มีประวัติอาชญากรรม - หากมีประสบการณ์การขับรถโดยสารไฟฟ้ามาก่อน จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ 2.พนักงานต้อนรับบนรถ จำนวน 50 อัตรา - อายุ 20 ปีขึ้นไป - จบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป หรือเทียบเท่า - มีทักษะด้านการคำนวณ - มีใบอนุญาตประจำรถ เก็บค่าโดยสาร - สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอันอาจก่อให้เกิดอันตรายขณะปฏิบัติงานได้ - บุคลิกภาพดี รักงานบริการ ไม่มีประวัติอาชญากรรม - หากมีประสบการณ์การขับรถโดยสารไฟฟ้ามาก่อน จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ 3.พนักงานควบคุมรถยนต์โดยสารประจำทาง -นายท่าอู่ จำนวน 20 อัตรา - อายุ 30 ปีขึ้นไป - จบการศึกษา ระดับอนุปริญญาขึ้นไป หรือเทียบเท่า - สามารถบริหารจัดการ และวางแผนการเดินรถได้ - สามารถทำงานเป็นกะได้ - หากมีประสบการณ์ในงานเดินรถ-ขนส่งมาก่อน จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ 4.พนักงานธุรการ จำนวน 5 อัตรา - อายุ 20 ปีขึ้นไป - จบการศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.)ขึ้นไป หรือเทียบเท่า - สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ โปรแกรม MS Office อุปกรณ์ และเครื่องมือสำนักงาน ได้เป็นอย่างดี - สามารถทำงานเป็นกะได้ สำหรับทุกคนที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการจัดหางานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือเลือกหางานผ่านระบบออนไลน์ บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ซึ่งให้บริการทั้ง Web Application ที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th และ Mobile Application หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (European Union: EU)
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม. เห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (European Union: EU) ครม. เห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (European Union: EU) วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทำ FTA กับสหภาพยุโรป และกรอบการเจรจา FTA ไทย - สหภาพยุโรป โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมประกาศหรือออกแถลงการณ์เปิดการเจรจาจัดทำ FTA ไทย - สหภาพยุโรป โดยเป็นการใช้หลักการเดียวกับการยกร่างกรอบการเจรจา FTA ไทย - สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) และกรอบเจรจา FTA อาเซียน - แคนาดา ที่ ครม. เคยมีมติเห็นชอบ ร่างกรอบการเจรจาฯ มีเนื้อหาครอบคลุม 20 หัวข้อ เช่น การค้าสินค้า การลงทุน พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์/การค้าดิจิทัล ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ประโยชน์ ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ โดยคำนึงถึงความพร้อม ระดับการพัฒนา และภูมิคุ้มกันของประเทศ ตลอดจนการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย สำหรับประโยชน์และผลกระทบที่คาดว่า ไทยจะได้รับจาก FTA ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งตลาดสินค้าของไทย ในกลุ่มประเทศสมาชิก สหภาพยุโรป ช่วยปรับโครงสร้างภาคการผลิต และบริการของไทยไปสู่การผลิต และบริการใหม่ที่มีศักยภาพ ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นโอกาสของไทยในการยกระดับมาตรฐานและกฎระเบียบในเรื่องต่างๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขันทางการค้า และการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้เป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าร่วมเจรจาจัดทำ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นผลความสำเร็จที่สืบเนื่องจากการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม เมื่อวันที่ 12-15 ธันวาคม 2565 ที่ทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตจำนงร่วมกัน เพื่อเปิดการเจรจา FTA ไทย - สหภาพยุโรป อย่างเป็นทางการได้โดยเร็วที่สุด และยังเป็นนโยบายสำคัญ เนื่องจากสหภาพยุโรปถือเป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประกอบด้วยสมาชิก 27 ประเทศที่มีศักยภาพ มีประชากรเกือบ 500 ล้านคน มี GDP อยู่ที่ประมาณ 17 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของไทย ซึ่งผลการวิเคราะห์แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์พบว่า การจัดทำ FTA จะทำให้ GDP ของไทย ขยายตัวร้อยละ 1.28 ต่อปี การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.83 การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.81 รวมทั้งทำให้การกระจายรายได้ในไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 18 ประเทศ รวม 14 ฉบับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชน ... กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชนตามนโยบายคมนาคม ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ดำเนินการขุดลอก พัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำทางเรือเดิน เพื่อความสะดวกและปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินเรือ การระบายน้ำ การอุปโภคบริโภค และเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อใช้ ในภาคการเกษตร นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปฏิบัติการ) ควบคุม กำกับ สำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ ให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงาน เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมีความคืบหน้าผลการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 ดังนี้ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำคำ ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ดำเนินการขุดลอก โดยใช้รถขุด ชม.10 ความกว้างก้นร่องน้ำ 15 - 20 เมตร ระยะทาง 3,100 เมตร ระดับขุดลอกก้นร่องเท่ากับ 372.00 - 373.00 เมตร (รทก.) ปริมาณวัสดุขุดลอก 43,000 ลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ได้ดำเนินการขุดลอกรวมทั้งปรับแต่งตลิ่ง กม. 26+700 ถึง 27+300 ระยะทางแล้วเสร็จสะสม 900 เมตร ผลที่คาดว่าจะได้รับหลังการขุดลอก เพิ่มพื้นที่หน้าตัดของร่องน้ำ รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก การอุปโภค บริโภค และการเกษตร ลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร การกัดเซาะตลิ่ง โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดลอก ประมาณ 500 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร ประมาณ 20,800 ไร่ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 หน่วยปฏิบัติงานขุดลอกคลองเขมร ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้รถขุด ขก.4 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน ทำการขุดลอกตั้งแต่ กม. 0+000 ถึง กม. 3+000 ระยะทาง 3,000 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 61,469.58 ลูกบาศก์เมตร ความกว้างของร่องน้ำ 16 - 17 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 164.50 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) โดยขุดลอกเพื่อเพิ่มความกว้างของร่องน้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการกักเก็บน้ำ แก้ไขปัญหากระแสน้ำกัดเซาะตลิ่ง รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เนื่องจากลำน้ำตื้นเขินจากการสะสมตะกอนดิน ส่งผลให้เกิดปัญหาในการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และอุปโภคบริโภคในฤดูแล้ง ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่ใช้น้ำ รวมถึงช่วงฤดูน้ำหลากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรซ้ำซาก เป็นประจำทุกปี ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ปัจจุบันขุดลอกได้ระยะทาง 2,580 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอก 51,340 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 83.52% สำหรับโครงการขุดลอกคลองเขมร ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่บริเวณขุดลอกประกอบด้วย บ้านตูม หมู่ที่ 1 ตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีประชากรรวมประมาณ 75 ครัวเรือน ประชากรประมาณ 336 คน มีพื้นที่ทำการเกษตรกรรมประมาณ 2,500 ไร่ ได้รับประโยชน์จากโครงการขุดลอกในครั้งนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท JKN พร้อมทีมนางงามจักรวาลประจำปี 2022 เข้าพบนายกฯ พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลขับเคลื่อน Soft power ไทยไปสู่ระดับโลกผ่านการจัดประกวดนางงามจักรวาล
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัท JKN พร้อมทีมนางงามจักรวาลประจำปี 2022 เข้าพบนายกฯ พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลขับเคลื่อน Soft power ไทยไปสู่ระดับโลกผ่านการจัดประกวดนางงามจักรวาล บริษัท JKN พร้อมทีมนางงามจักรวาลประจำปี 2022 เข้าพบนายกฯ พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลขับเคลื่อน Soft power ไทยไปสู่ระดับโลกผ่านการจัดประกวดนางงามจักรวาล วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.50 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล คุณแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN และเจ้าขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization: MUO) พร้อมทีมนางงามจักรวาลประจำปี 2022 เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่ในวันนี้ บริษัท JKN และองค์กรนางงามจักรวาล พร้อมนางสาว R’Bonney Gabriel นางงามจักรวาลปี 2022 นางสาว Andreina Martinez รองอันดับ 2 และนางสาว Gabriela Dos Santos ตำแหน่ง Top 5 จากการประกวดนางงามจักรวาลปี 2022 ได้มาพบปะกันในวันนี้ พร้อมกล่าวชื่นชมความสำเร็จของเวที Miss Universe ที่ปัจจุบันมีเจ้าของเป็นคนไทย และได้มีการนำเสนอ Soft power ของไทยผ่านเวทีการประกวด สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมและขับเคลื่อน Soft power ของไทยที่มีศักยภาพไปสู่สายตานานาชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท JKN กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมคารวะ การนำทีมนางงามจักรวาลปี 2022 มาพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้ถือเป็นโอกาสที่จะพูดคุยหารือกับรัฐบาล ยินดีที่เวที Miss Universe มีส่วนในการส่งเสริมและขับเคลื่อน Soft power ของไทย ซึ่งการที่คนไทยเป็นเจ้าของการจัดการประกวดนางงามจักรวาลที่มีผู้รับชมหลายร้อยล้านคนทั่วโลก สามารถเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการนำเสนอความเป็นไทยไปสู่สายตาคนทั่วโลกได้ พร้อมกล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพการประกวดนางงามจักรวาลของไทยในปีหน้า เชื่อมั่นว่าจะช่วยดึงดูดให้คนจากทั่วโลกเดินทางมายังประเทศไทย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการสร้างรายได้ให้ประเทศจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างมาก สำหรับทีมนางงามจักรวาลปี 2022 กล่าวแสดงความรู้สึกประทับใจที่ได้เดินทางมาประเทศไทย และได้เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมกล่าวชื่นชมถึงความสวยงามของประเทศไทย และอาหารไทยที่รสชาติดี ด้านนายกรัฐมนตรีพร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงาน รวมถึงบริษัท JKN และองค์กรนางงามจักรวาล เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย ขับเคลื่อน Soft power ของไทยไปสู่ระดับโลก ผ่านการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประกวดนางงามจักรวาล เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64948
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. มีมติอนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี อำนวยความสะดวกให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสวิสฯและครอบครัว จ. ชลบุรีและใกล้เคียง
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม. มีมติอนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี อำนวยความสะดวกให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสวิสฯและครอบครัว จ. ชลบุรีและใกล้เคียง ครม. มีมติอนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี อำนวยความสะดวกให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสวิสฯและครอบครัว จ. ชลบุรีและใกล้เคียง ยกระดับความสัมพันธ์ 2 ประเทศ เน้นด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมในระดับท้องถิ่น น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติให้สมาพันธรัฐสวิสเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงานด้านการให้บริการกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทยและอำนวยความสะดวกในการให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสวิสและครอบครัวที่พำนักใน จ. ชลบุรีและบริเวรณใกล้เคียง รวมทั้งจะเป็นกลไกพัฒนาความสัมพันธ์ระดับประชาชนและความร่วมมือระหว่างไทยและสวิสในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรม ซึ่งสวิสมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพที่อาจช่วยพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่นได้ น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การพิจารณาเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี เป็นไปตามหลักต่างตอบแทน โดยที่ประเทศไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น เป็นสำนักงานทางการทูตในสมาพันธรัฐสวิสและมีการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ในสวิส 3 แห่ง ณ เมืองบาเซิล นครซูริก และนครเจนีวา ดังนั้นสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี จะเป็นแห่งที่ 3 ในประเทศไทศไทย โดยมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดเชียงใหม่ และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดภูเก็ต เป็นแห่งที่ 1 และ 2 ตามลำดับ “สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่เลขที่ 489/9 หมู่ 12 ถนนหาดจอมเทียน ซอย 5 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีเขตกงสุลครอบคลุม 4 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด และสำหรับกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี ได้แต่งตั้งนางเอ็สเทอร์ เคาฟ์มันน์ (Mrs. Esther Kaufmann) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายก ลงสุราษฎร์ฯ เยี่ยมกลุ่มแรงงานนอกระบบ สร้างอาชีพ หนุนท่องเที่ยววัฒนธรรม - ภูมิปัญญา
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายก ลงสุราษฎร์ฯ เยี่ยมกลุ่มแรงงานนอกระบบ สร้างอาชีพ หนุนท่องเที่ยววัฒนธรรม - ภูมิปัญญา รมว.สุชาติ ร่วมคณะ นายก ลงสุราษฎร์ฯ เยี่ยมกลุ่มแรงงานนอกระบบ สร้างอาชีพ หนุนท่องเที่ยววัฒนธรรม - ภูมิปัญญา วันที่13กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมคณะของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลงพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีเพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำการแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่อำเภอไชยาและปัญหาที่ดินทำกินรวมทั้งเปิดงานมหกรรมว่าวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยมีนายวิชวุทย์จินโตผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานอาสาสมัครแรงงานจ.สุราษฏร์ธานีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชาวบานในพื้นที่ร่วมต้อนรับณหาดนายอำเภอต.ตะกรบอ.ไชยาจ.สุราษฎร์ธานี นายสุชาติกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประกอบอาชีพกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้เกิดการจ้างงานในระดับพื้นที่และพัฒนาต่อยอดเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญกับแรงงานนอกระบบเนื่องจากเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่คลี่คลายลงในปัจจุบันทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีถือเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานประชาชนมีทักษะฝีมือมีงานทำมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง โอกาสเดียวกันนี้รมว.สุชาติยังได้นำนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธและให้กำลังใจสมาชิกกลุ่มอาชีพที่ได้รับการส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้านและฝึกฝีมือจากกระทรวงแรงงานได้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมจักสานกระจูดบ้านห้วยลึกซึ่งกลุ่มนี้สำนักงานจัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ส่งเสริมอาชีพในการจัดการอบรมการเย็บผลิตภัณฑ์กระจูดด้วยจักรอุตสาหกรรมและจักรคอม้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จัดหาตลาดและสนับสนุนเงินกองทุนกลุ่มรับงานไปทำที่บ้านกลุ่มไข่เค็มอสม.ไชยาซึ่งสำนักงานจัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ส่งเสริมอาชีพในการฝึกอาชีพการทำไข่เค็มให้และมีการพัฒนาเรื่อยมาจนกลุ่มมีความเข้มแข็งเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านอาชีพการทำไข่เค็มและผลิตภัณฑ์กลุ่มได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในอาหารไทยบนโต๊ะผู้นำเอเปค2022ที่ผ่านมาและกลุ่มทำขนมอบที่ผ่านการฝึกพัฒนาฝีมือแรงงานจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน11สุราษฎร์ธานีในโครงการพัฒนาทักษะเฉพาะของแรงงานอิสระยุค4.0 (Gig Worker)ซึ่งผู้ผ่านการฝึกได้นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาความสามารถในการประกอบอาชีพอิสระทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณสามารถต่อยอดเพิ่มรายได้สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพอิสระ นายสุชาติยังได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจกับอาสาสมัครแรงงานระดับตำบลและเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานจ.สุราษฎร์ธานีที่มาร่วมต้อนรับซึ่งอาสาสมัครแรงงานเหล่านี้เป็นผู้เชื่อมประสานภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่พื้นที่เป็นผู้ที่มีความเสียสละอุทิศตนเพื่อส่วนรวมทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในชุมชนในการนำภารกิจประสานการให้บริการด้านแรงงานเพื่อให้ประชาชนมีงานทำมีทักษะฝีมือมีอาชีพมีรายได้ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมที่ยั่งยืนอีกด้วย +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 14กุมภาพันธ์2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64919
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรจับมือธนาคารกรุงไทยเพิ่มทางเลือกใหม่ให้ผู้เสียภาษียืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง”
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 กรมสรรพากรจับมือธนาคารกรุงไทยเพิ่มทางเลือกใหม่ให้ผู้เสียภาษียืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” อธิบดีกรมสรรพากร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี เพื่อเข้าใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่าง กรมสรรพากร กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี เพื่อเข้าใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ Innovation Lab ชั้น 3 อาคารนานาเหนือ ธนาคารกรุงไทย นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เสียภาษี และภาคธุรกิจทำธุรกรรมทางภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็วและใช้บริการได้อย่างปลอดภัย โดยคำนึงถึงความรอบคอบและให้ความระมัดระวังเรื่องของข้อมูลภาษี ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งกรมสรรพากรมีนโยบายพัฒนาการให้บริการผู้เสียภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่กรมสรรพากรให้ความสำคัญโดยความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ เป็นการนำบริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นแอปฯ ที่ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ผ่านกระบวนการการยืนยันตัวตนก่อนเข้าถึงบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่กรมสรรพากรได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เสียภาษี ได้แก่ บริการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing) ระบบตรวจสอบข้อมูลทางภาษี (My Tax Account) ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย (e-Withholding Tax) ระบตรวจสอบเงินบริจาค (e-Donation) ระบบยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี ผ่านแอปพลิเคชัน (RD Smart TAX) และระบบรับชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Stamp Duty) รวมทั้งบริการ ทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ของกรมสรรพากรที่จะพัฒนาเพิ่มอีกในอนาคต” การให้บริการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์บนแอปฯ “เป๋าตัง” เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยพัฒนาโดย บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เป็นแอปพลิเคชันที่ส่งเสริม ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึงเป็นช่องทางการชำระภาษีที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น มีระดับความน่าเชื่อถือของอัตลักษณ์เป็นไปตามกฎหมาย และข้อกำหนดของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงกฎหมายด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA อีกทั้งยังเป็นการนำเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้ในการให้ข้อมูลธุรกรรมภาษีอีกด้วย นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “กรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากรกับธนาคารกรุงไทยในการอำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษียืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลภาษีเมื่อใช้บริการธุรกรรมทางภาษีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางภาษีให้กับภาคธุรกิจได้อีกทางหนึ่งด้วย”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดูชัดๆ ร่าง พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ธนาคารต้องระงับธุรกรรมต้องสงสัยภายใน 7 วัน รับจ้างเปิดบัญชีม้า คุก 3 ปี ประชาชนร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจหรือออนไลน์
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ดูชัดๆ ร่าง พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ธนาคารต้องระงับธุรกรรมต้องสงสัยภายใน 7 วัน รับจ้างเปิดบัญชีม้า คุก 3 ปี ประชาชนร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจหรือออนไลน์ ดูชัดๆ ร่าง พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ธนาคารต้องระงับธุรกรรมต้องสงสัยภายใน 7 วัน รับจ้างเปิดบัญชีม้า คุก 3 ปี ประชาชนร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจหรือออนไลน์ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ตามที่ ครม.มีมติเมื่อ 24 มกราคม 2566 อนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... และให้ส่งร่างพระราชกำหนดดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา เพื่อใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุมเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชนจากมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนโอนเงินผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินไปยังบัญชีผู้อื่นที่อยู่ในขบวนการหรือที่เรียกว่า บัญชีม้า ซึ่งปัจจุบันมีคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอยู่ในระบบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกว่า 2 แสนคดี วันนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้ตรวจร่างพระราชกำหนดเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอ ครม. พิจารณา ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... ร่างพระราชกำหนดฉบับนี้ มีทั้งหมด 14 มาตรา ซึ่งสาระสำคัญยังคงเดิม โดยมีกลไกหลักสำคัญในการอายัดบัญชีและธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือบัญชีม้า คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นข้อมูลจากสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบการที่เก็บข้อมูลบัญชีเงินฝากหรือธุรกรรม รวมถึงผู้ประกอบการโทรศัพท์ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีหรืออาจมีการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ ต้องเปิดเผยข้อมูลหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีและธุรกรรมของลูกค้าที่น่าสงสัยนั้น ผ่านระบบกลางหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบร่วมกัน การตรวจสอบข้อมูล กรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและมีความจำเป็นต้องทราบข้อมูลการลงทะเบียนผู้ใช้งาน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีอำนาจสั่งให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจัดส่งข้อมูลดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมีสาระสำคัญ อาทิ 1)กรณีที่สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจพบเหตุสงสัยเองหรือได้รับข้อมูลจากระบบ ว่าบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจ มีหน้าที่ระงับการทำธุรกรรมและแจ้งสถาบันการเงินในหรือผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนถัดไปทราบ โดยระงับธุรกรรมนั้นไว้ทันทีเป็นการชั่วคราวไม่เกิน 7วัน นับแต่วันที่พบเหตุอันควรสงสัยหรือได้รับแจ้ง 2)กรณีกรณีที่สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เกี่ยวกับบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้มีการทำธุรกรรมเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ชั่วคราว พร้อมทั้งนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจผู้รับโอนทราบและระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ทันทีและแจ้งให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภายใน 72 ชั่วโมง นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า บทลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายฉบับนี้ ประกอบด้วย มาตรา 9 ผู้ใดเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมีได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 10 ผู้ใดเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มี การซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,00 – 500,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 11 ผู้ใดเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มี การซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,00 – 500,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “ประชาชนสามารถร้องทุกข์เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ที่ สถานีตำรวจทุกแห่ง หรือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือร้องทุกผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ และขอย้ำว่า ผู้ใดที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า ขอให้ปิดบัญชีและหยุดการกระทำดังกล่าว เพราะรัฐบาลเอาจริงในการจับกุมผู้กระทำความผิดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” นางสาวรัชดา กล่าวย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี ในวันนี้(13ก.พ.66) โดยตรวจติดตามโครงการบรรเทาอุทกภัยและบริหารจัดการน้ำพื้นที่ อ.ไชยาทั้งระบบ โครงการประตูระบายน้ำคลองหัววัว ต.เสม็ด อ.ไชยา และเดินทางไปเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์การละเล่นพื้นบ้าน ตลอดจนใช้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และของดีชุมชนให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของ จ.สุราษฎร์ธานี งานมีตั้งแต่วันที่ 10 – 14 ก.พ.2566 เวลา 10.00 – 21.00 น. บริเวณหาดนายอำเภอ ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยวันพรุ่งนี้(14ก.พ.66)จะมีกิจกรรมจดทะเบียนสมรส Kite of love ด้วย “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ้าท่าชลบุรี เผยความคืบหน้าขจัดคราบน้ำมัน เรือ MSC ALEXA จากการปั๊มน้ำอับเฉาเรือออก 2,000 ลิตร
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าท่าชลบุรี เผยความคืบหน้าขจัดคราบน้ำมัน เรือ MSC ALEXA จากการปั๊มน้ำอับเฉาเรือออก 2,000 ลิตร ... นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปลอดภัย) สั่งการให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันให้เสร็จโดยเร็ว ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และห้ามปล่อยเรือออกจากท่าเด็ดขาด เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี ได้รายงานความคืบหน้า(เพิ่มเติม) กรณี เรือ MSC ALEXA ทำน้ำมันรั่วไหลลงทะเล สภาพทะเลพื้นที่น้ำมันหกยังมีคราบน้ำมันบางๆและฟิล์มน้ำมันปริมาณเล็กน้อย โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี สำนักงานควบคุมการจราจรและความปลอดภัยทางทะเล ร่วมกันดำเนินการ แจ้งความร้องทุกข์และเข้าให้การสอบปากคำต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง ทางสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง จะเรียกนายเรือเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 พร้อมนี้ จะดำเนินการเก็บความเรียบร้อยในการขจัดคราบน้ำมันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำความสะอาดข้างเรือและเฟนเดอร์ท่าเรือ คาดว่าจะแล้วเสร็จกลับสู่สภาพเดิมภายในวันนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้กลับมาคงเดิมโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ แจง รัฐบาลติดตามช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีต่อเนื่อง เตรียมอากาศยานนำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ พร้อมรับคนไทยกลับประเทศ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ​นายกฯ แจง รัฐบาลติดตามช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีต่อเนื่อง เตรียมอากาศยานนำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ พร้อมรับคนไทยกลับประเทศ ​นายกฯ แจง รัฐบาลติดตามช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีต่อเนื่อง เตรียมอากาศยานนำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ พร้อมรับคนไทยกลับประเทศ เร่งรัดโครงการบัตรสวัสดิการฯ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ทัน 1 มี.ค. นี้ วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรีและตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีว่า รัฐบาลได้ติดตาม ประสานความร่วมมือ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือ และกระทรวงมหาดไทยได้จัดทีมช่วยเหลือพร้อมสุนัขเข้าปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผลการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยดี ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากทีมช่วยเหลือของต่างประเทศในการเข้าช่วยเหลือค้นหาผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในขณะนี้ยังคงมีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานสิ่งของช่วยเหลือเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี โดยทางรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมได้จัดเตรียมอากาศยานเครื่องบินโบอิ้ง 740 เพื่อนำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ประเทศตุรกี ขณะเดียวกัน ขากลับจะรับประชาชนคนไทยที่อยู่อาศัยในตุรกีกลับมาประมาณ 23 คน รวมทั้งนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมาด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้เร่งรัดให้นำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติและเริ่มโอนเงินให้กับประชาชนให้ทันเวลาในวันที่ 1 มีนาคมนี้ พร้อมเน้นย้ำว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ได้รับสิทธิจะต้องได้รับการคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบชื่อของตัวเองได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ว่าใครได้รับสิทธิหรือไม่ได้รับสิทธิ เพราะเป็นข้อมูลลับซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อกรณีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน โดยการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ โอนเงิน ดูดเงินจากบัญชีธนาคารผ่านสื่อโซเชียล ข้อความ อีเมล ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สถิติ 10 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2565 มีคดีออนไลน์มากกว่า 800 คดีต่อวัน จึงจำเป็นต้องมีฎหมายเพื่อใช้บังคับ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมายโดยจะต้องเร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด พร้อมขอให้ประชาชนมีความระมัดระวัง ไม่หลงเชื่อ หากได้รับการติดต่อให้เร่งตรวจสอบกับหน่วยงานที่ถูกกล่าวอ้าง และขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายร่วมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างมากที่สุด เช่น กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ร่างกฎหมาย ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... เพื่อแก้ปัญหาการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. ส่งข้อความเตือนประชาชนผ่านข้อความมือถือทุกค่าย เพื่อเตือนประชาชนได้โดยตรง หากมีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จักอย่ารับสายเด็ดขาด นอกจากนี้ ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ยังได้กำหนดให้ผู้ที่เปิดบัญชีบัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีเจตนาใช้งานเพื่อตนเองหรือกิจการที่ตนเองเกี่ยวข้อง หรือที่เรียกว่า “บัญชีม้า” มีความผิดทุกประการต้องถูกดำเนินคดีและจะมีการลงโทษทางกฎหมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ ให้การต้อนรับคณะ Japan - Thailand Business Forum (JTBF)
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 บีโอไอ ให้การต้อนรับคณะ Japan - Thailand Business Forum (JTBF) บีโอไอ ให้การต้อนรับคณะ Japan - Thailand Business Forum (JTBF) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ พร้อมด้วยนางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการบีโอไอ และนางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ให้การต้อนรับคณะ Japan - Thailand Business Forum (JTBF) โดยคณะได้รับฟังการนำเสนอยุทธศาสตร์และมาตรการการส่งเสริมการลงทุนใหม่ของบีโอไอ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย Japan - Thailand Business Forum (JTBF) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 ภายใต้การอุปถัมภ์ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย มีสมาชิกเป็นนักลงทุน นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารประจำบริษัทที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีสมาชิก 68 ราย โดยมี นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ร่วมเป็นที่ปรึกษา ในการนี้ คณะ JTBF ได้แสดงความยินดีที่ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ได้ขึ้นรับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พร้อมทั้งได้เชิญเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาของคณะอย่างเป็นทางการอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. บรรยายพิเศษในพิธีเปิดโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 5 ซึ่งขณะนี้ได้สร้างทีมอำเภอไปแล้ว 541 อำเภอ พร้อมกำชับหัวใจของทีม คือ “ผู้นำ”
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ปลัด มท. บรรยายพิเศษในพิธีเปิดโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 5 ซึ่งขณะนี้ได้สร้างทีมอำเภอไปแล้ว 541 อำเภอ พร้อมกำชับหัวใจของทีม คือ “ผู้นำ” ปลัด มท. บรรยายพิเศษในพิธีเปิดโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 5 ซึ่งขณะนี้ได้สร้างทีมอำเภอไปแล้ว 541 อำเภอ พร้อมกำชับหัวใจของทีม คือ “ผู้นำ” ที่เป็นแบบอย่างที่ดี และต้องเป็นผู้นำที่เข้าถึงพื้นที่ ปลัด มท. บรรยายพิเศษในพิธีเปิดโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 5 ซึ่งขณะนี้ได้สร้างทีมอำเภอไปแล้ว 541 อำเภอ พร้อมกำชับหัวใจของทีม คือ “ผู้นำ” ที่เป็นแบบอย่างที่ดี และต้องเป็นผู้นำที่เข้าถึงพื้นที่ เป็นรวงข้าวสุกที่โน้มเข้าหาพื้นดิน วันนี้ (14 ก.พ. 66) เวลา 09.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 5 ที่เข้ารับการฝึกอบรมในระหว่างวันที่ 13 – 17 กุมภาพันธ์ 2566 และบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ทำไมต้อง CAST” ณ ห้อง War Room ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นผู้กล่าวรายงาน และมีผู้เข้าร่วมพิธีเปิดโครงการฯ ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมทุกกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด พร้อมคณะผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 1,120 คน จาก 112 อำเภอ เข้าร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษ ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกลไปยังศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน จำนวน 11 ศูนย์ทั่วประเทศ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า CAST มาจากคำว่า Change Agent for Strategic Transformation หรือ เรียกในชื่อภาษาไทยว่า โครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน มีนัยที่สำคัญ คือ การสร้างทีมในระดับพื้นที่ ทั้งทีมที่เป็นทางการ หรือตามที่กฎหมายกำหนด และทีมที่ไม่เป็นทางการ หรือทีมจิตอาสา ซึ่งพวกเราทุกคนต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ มีความต้องการจะทดแทนคุณแผ่นดินด้วยการ Change for Good ให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ตำบล หมู่บ้าน และมีความปรารถนาที่จะเป็นพสกนิกรที่ดีสนองแนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความมุ่งมั่นทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงได้พระราชทานหลักการทรงงานที่สำคัญให้ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” กล่าวคือ ก่อนจะทำอะไร ต้องมีความเข้าใจเสียก่อน ทั้งเข้าใจภูมิประเทศ เข้าใจผู้คนในหลากหลายปัญหา ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านจารีตประเพณี และวัฒนธรรม ซึ่งทุกคนต่างจะต้องช่วยกันทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ข้าราชการทุกคนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและผู้ที่รับเงินเดือนจากภาษีของพี่น้องประชาชน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสนองพระราชปณิธานดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน “สิ่งสำคัญของคำว่า “ทีม” คือ ผู้นำ ซึ่งในสังคมไทย มีผู้นำทั้ง “ผู้นำตามกฎหมาย” คือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ “ผู้นำตามธรรมชาติ” คือ หัวหน้าครอบครัว หัวกลุ่มต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้คนที่มีความชอบ หรือมีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน โดยผู้นำตามกฎหมาย จะต้องมีหน้าที่อันสำคัญด้วยการ “เป็นต้นแบบที่ดี” ทั้งต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และต่อสังคมโดยรวม ฉะนั้นแล้วปัจจัยสำคัญที่จะมาปิดช่องว่างที่อาจเกิดจาก ผู้นำมีการเกษียณ โยกย้าย หรืออื่น ๆ คือ การมีทีมที่อยู่ในพื้นที่และเข้าใจภูมิสังคม เข้าใจปัญหาและอุปสรรค รวมถึงบริบทต่าง ๆ โดยสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ คือ นายอำเภอจะต้องสร้างทีมที่เป็นทางการ คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ให้มีความเข้มแข็ง ความรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และในขณะเดียวกัน ต้องสร้างทีมจิตอาสาที่มาจาก 7 ภาคีเครือข่าย อันประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ซึ่งจะต้องใช้ความรัก ความศรัทธา และความเลื่อมใส อันจะเกิดขึ้นได้อยู่ที่ท่านนายอำเภอ โดย “นายอำเภอ” ในฐานะนายกรัฐมนตรีประจำอำเภอ ต้องทำตัวให้เป็นตำนานของคนที่อำเภอ ลงพื้นที่เข้าไปหาประชาชน ไปอยู่ในหัวใจของประชาชน เป็นรวงข้าวสุกที่โน้มเข้าหาประชาชนก่อน ต้องทำงานแบบรองเท้าสึก ก่อนก้นกางเกงขาด อย่างจริงใจ ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “วิสฺสาสปรมา ญาติ” กล่าวคือ บุคคลบางคน ถึงไม่ได้เป็นญาติกันจริง ๆ แต่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน ไปไหนไปด้วยกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์กันตลอด มีปัญหาอาศัยได้ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ไม่ทอดทิ้ง บุคคลเช่นนี้ก็นับว่าเป็นญาติเช่นเดียวกัน คำว่า บำบัดทุกข์ และ บำรุงสุขจึงจะเกิดมรรคผลอย่างแท้จริง” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากการสร้างทีมที่เป็นทางการ และทีมจิตอาสาที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว การสร้างกลไกการดูแลกันในลักษณะพึ่งพาอาศัยกันที่เรียกว่า คุ้มบ้าน หรือ หย่อมบ้าน หรือ ป๊อกบ้าน ซึ่งอาจมีประมาณ 8 – 12 ครัวเรือนต่อคุ้ม/หย่อม/ป๊อก ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะได้ดูแลพึ่งพาอาศัยกันได้อย่างทั่วถึง นายอำเภอ ปลัดอำเภอ และทีมของนายอำเภอเองต้องหมั่นลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ไปให้คำแนะนำ Coaching กระตุ้นปลุกไฟในหัวใจ เพราะพี่น้องประชาชนบางคนไม่กล้าที่จะติดต่อส่วนราชการ เราจึงต้องมีกลไกที่จะช่วยทำให้ราชการใกล้ชิดกับประชาชน เพื่อรับประกันการันตีได้ว่าทุกเรื่องในพื้นที่อำเภออยู่ในความดูแลของท่านนายอำเภอและทีมงาน โดยสิ่งสำคัญ คือ ต้องมีใจ และมีอุดมการณ์ (Passion) ความรู้ (Knowledge) และความสามารถ (Ability) กล่าวโดยสรุป คือ ต้องมีหน้าที่ทั้งบูรณาการทีม และบูรณาการงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นภารกิจของทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และต้องมีความยั่งยืนด้วย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า กระทรวงมหาดไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน นี้จะช่วยปลุกกระแสความคิดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ ให้เป็นคนของพี่น้องประชาชน เป็นคนจุดประกายทีมที่เป็นทางการ ทีมจิตอาสา และทีมในระดับพื้นที่ หรือคุ้มบ้าน และที่สำคัญ ต้องเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทำให้ประชาชนชื่นใจ จากการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของพวกเรา ในท้ายที่สุด สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับพระราชทานพระอนุญาต จากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ให้น้อมนำพระดำริมาขยายผลให้เป็นรูปธรรม โดยแง่คิดที่สำคัญของหมู่บ้านยั่งยืน คือ คนจะต้องมีความสุข มีความรักใคร่สามัคคีกันในชุมชน มีอาชีพที่สุจริต มีอยู่ มีกิน มีใช้ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ลูกหลานได้รับการศึกษา ชุมชน/หมู่บ้านมีภูมิคุ้มกันต่อภัยทางสังคม และภัยธรรมชาติ บ้านเมืองมีความสะอาดเรียบร้อย มีการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีทั้งการคัดแยกขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน มีการสร้างความมั่นคงทางอาหารโดยน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ใช้พื้นที่ภายในบ้าน และ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” สำหรับพื้นที่สาธารณะภายในหมู่บ้าน เพื่อดูแลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ หมู่บ้านยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ต้องมี “ผู้นำและทีมงานที่เข้มแข็ง” จึงขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านในการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ส่งเสริมพื้นที่เศรษฐกิจการค้าร่วมกัน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 นายกรัฐมนตรีหารือนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ส่งเสริมพื้นที่เศรษฐกิจการค้าร่วมกัน วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดพิธีต้อนรับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 9 – 10 ก.พ.2566 โดยในวันนี้(9ก.พ.66) ผู้นำทั้งสองประเทศจะหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมและเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย- มาเลเซีย โดยเฉพาะ 5 จังหวัดภาคใต้ของไทยกับ 4 รัฐ ทางตอนเหนือของมาเลเซียทั้งด้านการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่ง รวมถึงเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 โดยอาศัยกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกทางการค้าในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ระหว่างกัน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และปัญหาที่ดินทำกิน ยืนยันรัฐบาลสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และปัญหาที่ดินทำกิน ยืนยันรัฐบาลสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเป็นธรรม นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และปัญหาที่ดินทำกิน ยืนยันรัฐบาลสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเป็นธรรม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 16.00 น. ณ ศาลาประชาคม ที่ว่าการอำเภอไชยา เขตเทศาลตำบลตลาดไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่อำเภอไชยา และปัญหาที่ดินทำกิน โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานสรุปโครงการบรรเทาอุทกภัยและบริหารจัดการน้ำพื้นที่อำเภอไชยา และเป็นประธานสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้เกษตรกรรวม 77 ราย จำนวน 116 แปลง จำนวนเนื้อที่ 398-3-50 ไร่ ดังนี้ 1. อำเภอไชยา เขตปฏิรูปที่ดินโครงการป่าชนะ จำนวน 17 ราย 20 แปลง จำนวนเนื้อที่ 301-2-10 ไร่ 2. อำเภอชัยบุรี เขตปฏิรูปที่ดินโครงการป่าใสท้อนและป่าคลองโซง จำนวน 60 ราย 96 แปลง จำนวนเนื้อที่ 397-1-40 ไร่ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนว่า ยินดีที่ได้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นครั้งที่ 6 ที่ได้เดินทางมาลงพื้นที่ ได้เห็นถึงการพัฒนาและปัญหาอุปสรรคที่จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อให้ประชาชนชาวสุราษฎร์ธานีมีความสุข ซึ่งสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเกษตร การประมง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีวัฒนธรรม ขอให้ชาวสุราษฎร์ธานีภูมิใจความเป็นสุราษฎร์ธานีและความเป็นไทย ดีใจที่เห็นรอยยิ้ม เห็นความหวังของพี่น้องประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในอนาคตประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกัน พร้อมกับฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่าริเริ่มลองยาเสพติด เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ดีทำร้ายอนาคต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลมีความตั้งใจแก้ไขปัญหา ปราบปราม รวมถึงบำบัดผู้เสพยาเสพติดอย่างจริงจังแต่ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยและเป็นกังวลกับปัญหาเรื่องดังกล่าว จึงมอบหมายให้ส่วนท้องถิ่น ฝ่ายความมั่นคง ทำงานร่วมกับสาธารณสุขแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีฝากให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ คำนึงถึงความต้องการของตลาดเป็นหลัก เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เกิดการรวมกลุ่มเป็นเกษตรแปลงใหญ่ สร้างอำนาจในการต่อรองราคา รวมถึงแปรรูปผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า ส่วนเรื่องปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน นายกรัฐมนตรีย้ำว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญ แก้ไขปัญหามาตลอด เพื่อให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน สร้างอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว รวมถึงการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของที่ดินให้เกิดความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จะต้องคำนึงถึงภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการระบายน้ำ การกักเก็บน้ำ การทำแก้มลิง ซึ่งการดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นต้องใช้งบประมาณ ที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หลายอย่างสามารถทำได้แล้ว อีกหลายอย่างยังเกิดปัญหาต้องแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ต้องปรับความคิดเห็นให้ตรงกัน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ต่อไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมทุกอย่าง นายกรัฐมนตรียืนยันจะต้องสร้างความเท่าเทียมสร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงอย่างเป็นธรรม คนไทยทุกคนต้องรักกัน แบ่งปันกัน เพราะทุกคนคือคนไทย มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลัก สำหรับตัวนายกรัฐมนตรีเองมีประชาชนเป็นที่รัก ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องร่วมมือกัน อย่าทะเลาะ สร้างความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม ทุกอย่างจะต้องเดินหน้าต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รองรับการเติบโตของเมืองในอนาคต ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าการขนส่ง
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท รองรับการเติบโตของเมืองในอนาคต ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าการขนส่ง แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สร้างถนนผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนนสาย ง1 ผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินงานผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต งานติดตั้งป้ายจราจร และงานทาสีตีเส้นผิวจราจร คาดว่าแล้วเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2566 ทช. ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสาย ง1 ผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต ช่วยแบ่งเบาการจราจรบนถนนทางหลวงสายหลัก แก้ไขการจราจรติดขัดในเขตชุมชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางด้านเศรษฐกิจการค้าการขนส่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเส้นทางเชื่อมไปยังสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานีรถไฟ และหน่วยงานราชการที่สำคัญหลายแห่งในตัวเมืองอุตรดิตถ์ โครงการมีจุดเริ่มต้นจากถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1045 บริเวณทางแยกม่อนดินแดงไปบรรจบกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1041 จุดสิ้นสุดโครงการเชื่อมกับถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 102 และ 117 บริเวณห้างเทสโก้โลตัส (สาขาอุตรดิตถ์) มีความยาวพื้นที่ก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 7.425 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 4 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร ช่วงบริเวณทางแยกก่อสร้างเป็นผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก เขตทางทั่วไป 30 - 50 เมตร มีระบบระบายน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณไฟจราจร สะพานลอยคนเดินข้าม และสิ่งอำนวยความปลอดภัยบนสายทาง ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 336 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64915
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกชนหนุนฝึกแรงงานติดตั้งกล้องวงจรปิดแบบ 4G mobile สู่ช่างยุคดิจิทัล
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เอกชนหนุนฝึกแรงงานติดตั้งกล้องวงจรปิดแบบ 4G mobile สู่ช่างยุคดิจิทัล วันที่ 14 ก.พ.66 กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานการติดตั้งบำรุงรักษากล้องวงจรปิดและกล้องติดรถยนต์ ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับ บริษัท ดิจิตอลโฟกัส จำกัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD ถ.ราชดำเนิน ศูนย์เรียนรู้รูปแบบใหม่ เชื่อมโยงเอกลักษณ์วิถีชีวิตและมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ สร้างชุมชนเข้มแข็ง เสริมรายได้ชุมชน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม. อนุมัติจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD ถ.ราชดำเนิน ศูนย์เรียนรู้รูปแบบใหม่ เชื่อมโยงเอกลักษณ์วิถีชีวิตและมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ สร้างชุมชนเข้มแข็ง เสริมรายได้ชุมชน ครม. อนุมัติจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD ถ.ราชดำเนิน ศูนย์เรียนรู้รูปแบบใหม่ เชื่อมโยงเอกลักษณ์วิถีชีวิตและมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ สร้างชุมชนเข้มแข็ง เสริมรายได้ชุมชน ดันเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD: OKMD National Knowledge Center (Ratchadamnoen Center 1 และ 2) ในบริเวณพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) เสนอ สำหรับเป็นศูนย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่เพื่อให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาที่มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนาศักยภาพของประชาชนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศอย่างยั่งยืน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ศูนย์การเรียนรู้ OKMD จะเป็นแหล่งเรียนรู้สาธารณะรูปแบบใหม่และเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ระหว่างผู้คนในสังคมที่มีความชอบและความสนใจที่หลากหลาย เป็นพื้นที่การเรียนรู้แห่งอนาคตที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นศูนย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่เปิดกว้างสำหรับประชาชนทุกช่วงวัยที่ส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต และกระตุ้นให้เกิดการค้นพบศักยภาพของตนเอง ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่ทันสมัยและหลากหลาย และจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่นำเสนอความรู้และทักษะแห่งอนาคตโดยเฉพาะทักษะความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาของโลกและทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 9 เดือน ตั้งแต่ปี 2567-2569 งบประมาณ 970 ล้านบาท ศูนย์การเรียนรู้ OKMD ตั้งอยู่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง โดยขอเช่าพื้นที่ว่างจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยอาคาร 2 หลังติดกัน พื้นที่รวม 6 ไร่ มีพื้นที่ใช้สอยรวมทั้งสิ้น 20,000 ตร.ม. แบ่งเป็น 2 อาคาร คือ 1. อาคาร Ratchadamnoen Center 1 (เดิมเป็นที่ทำการ ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) ขนาด 5 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 16,000 ตร.ม. จัดเป็นศูนย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ประกอบด้วยพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ 1.พื้นที่ห้องสมุดมีชีวิต เพื่อเป็นพื้นที่ ส่งเสริมการอ่าน กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และปลูกฝังอุปนิสัยรักการเรียนรู้ 2.พื้นที่เรียนรู้และพัฒนาทักษะและพัฒนาทักษะแห่งอนาคต ประกอบด้วยพื้นที่อเนกประสงค์ พื้นที่ปฏิบัติการทางนวัตกรรม พื้นที่ปฏิบัติการด้านงานฝีมือพื้นที่ปฏิบัติการด้านสื่อ และพื้นที่ปฏิบัติการสำหรับเด็ก และ 3. พื้นที่แสดงออก เป็นพื้นที่ส่งเสริมการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของประชาชน ประกอบด้วยหอประชุมอเนกประสงค์ พื้นที่จัดนิทรรศการ และพื้นที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม โดยจะย้ายพื้นที่ TK park จากชั้น 8 เซ็นทรัลเวิล์ดมารวมไว้ในอาคารนี้ 2. อาคาร Ratchadamnoen Center 2 ขนาด 1 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 4,000 ตร.ม. ประกอบด้วยพื้นที่จัดกิจกรรมทางวิชาการ จัดแสดงนิทรรศการและผลงานหลากหลายสาขา โดยจะย้ายสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) จากอาคารวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล มารวมไว้ในอาคารนี้ น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ร่วมกับแหล่งเรียนรู้เครือข่ายย่ายราชดำเนิน ได้แก่ หนังสือเดินทางสร้างความรู้ วันเดียวเที่ยวแหล่งเรียนรู้โดยทำเป็นเส้นทางนำชมแหล่งเรียนรู้ใน 1 วันตามความสนใจของผู้เข้าชม และจะมีกิจกรรมร่วมกับชุมชนในละแวกถนนราชดำเนินที่สื่อถึงเอกลักษณ์ ความร่วมมือและความผูกพันของคนในชุมชนที่มีต่อย่านราชดำเนิน แสดงถึงวิถีชีวิต เอกลักษณ์ ต่อยอดมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนดั้งเดิม ได้แก่ กิจกรรมถนนข้าวสารอ่านหนังสือ (Book Street) กินดีอยู่ดีบางลำพู (Street Food) ยามเย็นเดินเล่นคลองหลอด เทศกาลงานศิลปะชุมชน งานส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและเศรษฐกิจชุมชน “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินหน้าในการส่งเสริมการเรียนรู้สาธารณะเพื่อพัฒนาภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน พัฒนาและให้บริการต้นแบบแหล่งเรียนรู้สมัยใหม่เพื่อเป็นพื้นที่เสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความรู้ของคนไทยให้ก้าวทันโลก และต้องการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัย สำหรับศูนย์การเรียนรู้ OKMD สามารถสอดคล้องกับชุมชนดังนั้นจึงสนับสนุนให้มีการออกแบบภาพลักษณ์สถาปัตยกรรมภายนอกอาคารบริเวณด้านหลังอาคารให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ย่านชุมชนเก่าที่สามารถเอื้อต่อการเดินเข้าถึงด้วย และให้มีพื้นที่ภายนอกอาคารแสดงนิทรรศการเป็นการถาวร เพื่อให้ความรู้ และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมรดกสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์นในพื้นที่และข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดี เนื่องจากเป็นพื้นที่สำคัญในเขตกรุงรัตนโกสินทร์ และยังจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ราชดำเนินด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64943
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยภารกิจทีม USAR ดูแลผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บ แผ่นดินไหวตุรกี เตรียมนำคนไทยกลับประเทศ 34 ราย 16 ก.พ.นี้
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.เผยภารกิจทีม USAR ดูแลผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บ แผ่นดินไหวตุรกี เตรียมนำคนไทยกลับประเทศ 34 ราย 16 ก.พ.นี้ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าทีม USAR ประเทศไทย ช่วยค้นหากู้ภัยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกี วันแรกช่วยดูแลผู้ป่วยและบาดเจ็บ 3 ราย ล่าสุด ออกปฏิบัติภารกิจนอกฐานอีก 4 แห่ง ด้านมูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือฯ มอบถุงนอนศูนย์องศา สนับสนุนทีมแพทย์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าทีม USAR ประเทศไทย ช่วยค้นหากู้ภัยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกี วันแรกช่วยดูแลผู้ป่วยและบาดเจ็บ 3 ราย ล่าสุด ออกปฏิบัติภารกิจนอกฐานอีก 4 แห่ง ด้านมูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือฯ มอบถุงนอนศูนย์องศา สนับสนุนทีมแพทย์ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่อากาศหนาวเย็น เร่งจัดส่งพร้อมอุปกรณ์ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ พร้อมนำคนไทยกลับประเทศ 16 ก.พ.นี้ 34 ราย (เป็นผู้บาดเจ็บ 1 ราย) และผู้เสียชีวิต 1 ร่าง วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ส่งทีมบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกีตามนโยบายนายกรัฐมนตรี โดยทีมค้นหากู้ภัยหรือทีม Urban Search and Rescue (USAR) ของประเทศไทย นำโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ของกรมการแพทย์ 3 คนเดินทางไปด้วยนั้น ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กรณีช่วยผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวตุรกี ได้รับรายงานการดำเนินงานของทีม USAR ว่า วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแรกของการปฏิบัติงาน ได้ดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บชาวตุรกี 3 ราย คือ 1.หญิงอายุ 58 ปี บาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว มีแผลฉีกขาดที่หน้าผากข้างขวาได้ทำแผลและให้ยาฆ่าเชื้อ 2.ชายอายุ 58 ปี บาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว ปวดที่ต้นขาขวา เดินลงน้ำหนักไม่ได้ให้ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ และแนะนำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล และ 3.หญิงอายุ 15 ปี มีอาการไอ เจ็บคอเป็นทอนซิลอักเสบ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ และยาแก้ไอ ส่วนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้ออกปฏิบัติการนอกฐานที่ Hatay Province จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่อาคารถล่ม 2 แห่งใน Akbaba เนื่องจากสงสัยมีผู้เสียชีวิตติดภายใน แต่แห่งแรกโครงสร้างไม่เสถียรจึงไม่สามารถเข้าให้การช่วยเหลือได้ อีกแห่งพบผู้เสียชีวิต 1 ราย, พื้นที่อาคาร 4 ชั้นที่ถล่มใน Kantara มีผู้อาศัย 7 ราย เนื่องจากวันก่อนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่แจ้งว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หลังรถแบ็กโฮรื้อถอนมา 2 ชั่วโมง ทีม USAR เข้าตรวจสอบและค้นหา 1 ชั่วโมง ไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิต และสุดท้ายการช่วยเหลือแมวที่ติดอยู่ในห้องบนตึกชั้น 3 ของอาคารใน Akasya ได้เข้าพื้นที่และช่วยเหลือแมวออกมาได้อย่างปลอดภัย สรุปไม่มีผู้เจ็บป่วยที่เป็นผู้ประสบภัย แต่เจ้าหน้าที่ได้รับอุบัติเหตุหกล้ม มีแผลใต้หัวเข่าขวา 1 ราย ได้ทำแผลและให้ยาปฏิชีวนะส่วนเจ้าหน้าที่อีก 2 ราย มีอาการทางเดินหายใจส่วนบนติดเชื้อ ได้รับการรักษาและให้ยารับประทาน “ทีมช่วยเหลือของประเทศไทยที่ส่งไปในครั้งนี้ พร้อมที่ช่วยเหลือคนไทยและทุกชาติ โดยเบื้องต้นจะมีการนำคนไทยกลับประเทศ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 21.00 น. ที่ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง จำนวน 34 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้บาดเจ็บ 1 ราย และมีร่างผู้เสียชีวิตอีก 1 ร่าง โดยมอบหมายกรมควบคุมโรคดำเนินการคัดกรองโรค และนำส่งทุกรายไปพักรอที่ศูนย์กักกันโรคสถาบันบำราศนราดูรส่วนการจัดส่งทีมชุดต่อไป ได้เตรียมทีม Thailand EMT Type 1 แล้ว พร้อมเดินทางหากทางการตุรกีร้องขอ”นพ.ณรงค์กล่าว นพ.ณรงค์กล่าวต่อว่า ส่วนการมอบอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ที่จำเป็น จะสนับสนุนครุภัณฑ์จำนวน 10 รายการ รวม 5.52 ล้านบาท ให้แก่ประเทศตุรกีและซีเรียประเทศละ 2.76 ล้านบาท โดยกระทรวงการต่างประเทศรวบรวมของบกลางจากรัฐบาล สำหรับการสนับสนุนทีม USAR ที่เดินทางไปแล้วนั้น วันนี้ มูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือแห่งประเทศไทย ได้บริจาคถุงนอน (Sleep Bag) แบบศูนย์องศา จำนวน 55 ชุด ผ่านกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เดินทางไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวประเทศตุรกีที่ต้องปฏิบัติภารกิจในสภาพอุณหภูมิหนาวเย็นถึงขั้นติดลบ โดยจะเร่งจัดส่งไปพร้อมกับอุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข โดยเครื่องบินของทางการทหาร แต่หากขนส่งไม่ทันสายการบิน Turkish Airlineจะสนับสนุนการขนส่งต่อไป ***************************************** 14 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ปูพรมหนุนเอสเอ็มอีสมาชิก ส.อ.ท. ทั่วไทย มอบโปรโมชั่น 3 ต่อ จัดเต็มพาถึงเงินทุนคู่พัฒนาธุรกิจ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 SME D Bank ปูพรมหนุนเอสเอ็มอีสมาชิก ส.อ.ท. ทั่วไทย มอบโปรโมชั่น 3 ต่อ จัดเต็มพาถึงเงินทุนคู่พัฒนาธุรกิจ SME D Bank ร่วมกับ ส.อ.ท. จัดกิจกรรม “เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SMEs ปี 2566” ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. เข้าถึงสินเชื่อพิเศษของ SME D Bank วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดกิจกรรม “เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SMEs ปี 2566” ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. เข้าถึงสินเชื่อพิเศษของ SME D Bank วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี รวมถึง การพัฒนาสนับสนุนธุรกิจเติบโตยั่งยืน กำหนดจัด 20 ครั้ง ใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2566 ภายในงานพบกับกิจกรรมเติมความรู้เสริมแกร่งธุรกิจพร้อมพาเข้าถึงแหล่งเงินทุน พ่วงด้วยโปรโมชั่น 3 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1) เมื่อลงทะเบียนที่บูธ SME D Bank รับ บัตร Inthanin มูลค่า 200 บาท (จำนวนจำกัด) และโปรแกรมทางบัญชี จาก บริษัท แอ็คเค้าท์ติ้ง ทรานฟอร์ม เมชั่นส์ จำกัด (Accrevo) ฟรี 3 เดือน มูลค่า 3,500 บาท ต่อที่ 2) เมื่อแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อ พร้อมยื่นเอกสารครบ รับฟรี บัตรเติมน้ำมันบางจาก มูลค่า 500 บาท และ ต่อที่ 3) เมื่อได้เบิกจ่ายสินเชื่อทุกประเภท วงเงินตั้งแต่ 5-50 ล้านบาท รับฟรี บัตรเติมน้ำมันบางจาก มูลค่า 2,000 บาท รวมถึง รับสิทธิ์ร่วมกิจกรรมแบบพรีเมียม CEO Networking นอกจากนั้น ยังมีบริการด้าน “การพัฒนา” ในโครงการ “SME D Coach” ให้คำปรึกษาธุรกิจโดยโค้ชมืออาชีพ ฟรี ช่วยยกระดับธุรกิจ เพิ่มศักยภาพกิจการเติบโตเข้มแข็งยั่งยืน ทั้งนี้ นอกจากในพื้นที่ 20 จังหวัดที่จัดงานแล้ว สมาชิก ส.อท. ทุกจังหวัด สามารถแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อพร้อมรับโปรโมชั่นต่อที่ 2 และ 3 ได้เช่นกันที่สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมได้ที่ฝ่ายส่งเสริมการตลาด SME D Bank โทร.02-265-4597 , 02-265-4598 , 02-265-4961 และ 02-265-4064 หรือ Call CENTER 1357 และสถาบัน SMI โทร. 02-345-1122,02-345-1118
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลื่อนบังคับใช้มาตรา 22-25 กฎหมายป้องกันปราบปรามการทรมานและทำให้บุคคลสูญหาย มีผล 1 ต.ค.66 เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 เลื่อนบังคับใช้มาตรา 22-25 กฎหมายป้องกันปราบปรามการทรมานและทำให้บุคคลสูญหาย มีผล 1 ต.ค.66 เป็นต้นไป เลื่อนบังคับใช้มาตรา 22-25 กฎหมายป้องกันปราบปรามการทรมานและทำให้บุคคลสูญหาย มีผล 1 ต.ค.66 เป็นต้นไป นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 เพื่อขยายกำหนดเวลาในการมีผลใช้บังคับเฉพาะมาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 และมาตรา 25 ออกไป ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566 เป็นต้นไป (จากเดิมที่เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566) สำหรับมาตราที่ได้มีการขยายเวลาการบังคับใช้ออกไป มีสาระสำคัญ ดังนี้ มาตรา 22 การควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับ และควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าว มาตรา 23 การควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว มาตรา 24 การเข้าถึงข้อมูลของผู้ถูกควบคุมตัว และมาตรา 25 การไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว กรณีอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย ละเมิดต่อความเป็นส่วนตัว เกิดผลร้ายต่อบุคคล หรือเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนสอบสวน นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ความจำเป็นที่ต้องขยายเวลาบังใช้มาตรา 22 - 25 เนื่องจากจะต้องมีการปรับปรุงการดำเนินการ บทบาท และหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมระดับหน่วยปฏิบัติ อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ ยังมีข้อขัดข้องที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม อาทิ 1.การจัดซื้อกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม 1.71 แสนตัว กล้องติตรถยนต์ควบคุมผู้ถูกจับ 1,578 ตัว และกล้องติดสถานที่ควบคุมผู้ถูกจับ 6 พันกว่าตัว รวมถึงการจัดทำระบบจัดเก็บข้อมูล หน่วยความจำ ระบบ Cloud โดยต้องดำเนินการจัดซื้อด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา และ 2.การเตรียมความพร้อมของบุคลากร ที่ต้องฝึกอบรมบุคลากรในใช้งานอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียง ซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อและวิธีการใช้งานแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในการใช้งานและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ครม.จึงเห็นชอบการขยายเวลาการบังคับใช้ในมาตราดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องมีความพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และป้องกันการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการจับกุมไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินคดีในชั้นศาลได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โค้งสุดท้าย มาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 โค้งสุดท้าย มาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 ตามที่กรมสรรพากรได้ออกมาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ตามที่กรมสรรพากรได้ออกมาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” ปี 2566 ซึ่งผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถใช้สิทธิ์หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยเป็นค่าซื้อสินค้าหรือบริการที่มีหลักฐานการชำระเงินเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากร ได้ทั้งจำนวน หรือใช้ใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบกระดาษ ไม่เกิน 30,000 บาท ร่วมกับใบกำกับภาษีเต็มรูปผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ e-Tax Invoice ในที่นี้หมายความรวมถึง e-Tax Invoice by Email ด้วย และตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ผู้เสียภาษีที่ไม่ได้รับความสะดวกจากการขอให้ผู้ขายสินค้าหรือบริการออกใบกำกับภาษี เช่น ปฏิเสธไม่ยอมออกใบกำกับภาษี บวกราคาเพิ่ม เมื่อขอใบกำกับภาษี หรือพฤติกรรมอื่นใดที่เข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ท่านสามารถแจ้งกรมสรรพากร ผ่านระบบแจ้งเบาะแสหลีกเลี่ยงภาษี www.rd.go.th ได้ตลอดเวลา หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64906
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อำเภอบ้านสร้าง" เดินหน้าขยายผลอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการ มุ่งขับเคลื่อนพลังภาคีเครือข่ายจัดการน้ำชุมชน ด้วยผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 "อำเภอบ้านสร้าง" เดินหน้าขยายผลอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการ มุ่งขับเคลื่อนพลังภาคีเครือข่ายจัดการน้ำชุมชน ด้วยผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน "อำเภอบ้านสร้าง" เดินหน้าขยายผลอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการ มุ่งขับเคลื่อนพลังภาคีเครือข่ายจัดการน้ำชุมชน ด้วยผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นายเสฏฐวุฒิ วงศ์เลอวุฒิ นายอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผยว่า อำเภอบ้านสร้าง ได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาต่อยอดแนวความคิดเพื่อมุ่งสู่การเป็นอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน นับตั้งแต่การได้รับคัดเลือกให้เป็นอำเภอนำร่องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เมื่อปี 2565 อำเภอบ้านสร้าง มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการบูรณาการ ภาคีเครือข่าย ทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย การประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน เพื่อมุ่งสร้างสรรค์สิ่งที่ดี Change for Good ทำให้บ้านสร้างเป็นเมืองแห่งความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนของประชาชน "โดยในวันนี้ ตนได้นำทีมภาคีเครือข่าย ทั้งฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน ภาคประชาชน ทั้งเกษตรกร ผู้ใช้น้ำ และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ลงพื้นที่ หลอดหมออู๊ด ม.12 ต.บางแตน เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมตามโครงการ “บ้านสร้างร่วมใจ” รวมพลังภาคีเครือข่ายทั้ง 8 ภาคี เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำชุมชน ต่อยอดขยายผลภายหลังการฝึกอบรมโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และการประชุมรับฟังแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo – social Map) ที่จัดขึ้นโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ด้วยการจับมือภาคีเครือข่าย 7 ภาคี + ผู้เชี่ยวชาญ เป็นภาคีที่ 8 โดยมีบริษัท ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอลอุตสาหกรรม จำกัด เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเค็ม น้ำท่วม และน้ำแล้ง เพิ่มศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยกิจกรรมเอามื้อสามัคคีในวันนี้ เกิดขึ้นจากที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันวิเคราะห์ผังน้ำชุมชน ที่เชื่อมต่อกันทั้งคลอง ชวด หลอด ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรม เพื่อร่วมกันกำหนดแผนงานเข้าปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำเหล่านั้นให้มีศักยภาพในการรองรับปัญหาน้ำท่วม น้ำเค็ม และน้ำแล้ง โดยมีกิจกรรมพัฒนาแหล่งน้ำทั้งคลอง ชวด หลอด ด้วยแรงงานคน ตลอดจนการขุดลอก เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำสำหรับใช้ในการเกษตร และการประกอบอาชีพ ในทุกฤดูกาล" นายอำเภอบ้านสร้าง กล่าว นายเสฏฐวุฒิ วงศ์เลอวุฒิ นายอำเภอบ้านสร้าง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ยังคงมุ่งมั่นร่วมมือ ร่วมใจกันขับเคลื่อนแผนงาน / กิจกรรม ของโครงการ “บ้านสร้างร่วมใจ” รวมพลังภาคีเครือข่ายทั้ง 8 ภาคี เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำชุมชน อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลและประสบการณ์ในการดำเนินการในระดับพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2565 นับเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการนำไปต่อยอดสู่การจัดทำจัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action plan) ภายใต้โครงการจัดทำผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารน้ำหมู่บ้าน/ชุมชน แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน (Geo – social Map) เพื่อจัดการทรัพยากรน้ำ และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ทั่วทั้งพื้นที่อำเภอบ้านสร้าง ทั้งในระดับตำบล หมู่บ้าน ต่อไป เพื่อท้ายที่สุด จะยังผลประโยชน์ในด้านทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” แนะใช้วันวาเลนไทน์เริ่มต้นวางแผนครอบครัว แนะผู้ชายอยากมีบุตร อย่าอาบน้ำอุ่นจัดนานเกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ เสี่ยงกระทบคุณภาพและปริมาณอสุจิ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 “สาธิต” แนะใช้วันวาเลนไทน์เริ่มต้นวางแผนครอบครัว แนะผู้ชายอยากมีบุตร อย่าอาบน้ำอุ่นจัดนานเกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ เสี่ยงกระทบคุณภาพและปริมาณอสุจิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโฆษกคนใหม่ช่วยสื่อสารงานกระทรวง แนะกลุ่มที่อยากมีบุตรให้ใช้ “วันวาเลนไทน์” เป็นจุดเริ่มต้นนัดคลินิกตรวจสุขภาพ วางแผนครอบครัว ส่วนผู้ชายอย่าอาบน้ำอุ่นจัดนานเกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโฆษกคนใหม่ช่วยสื่อสารงานกระทรวง แนะกลุ่มที่อยากมีบุตรให้ใช้ “วันวาเลนไทน์” เป็นจุดเริ่มต้นนัดคลินิกตรวจสุขภาพ วางแผนครอบครัว ส่วนผู้ชายอย่าอาบน้ำอุ่นจัดนานเกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ เหตุอุณหภูมิสูงเกินไปส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณ “อสุจิ” วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้ตั้ง นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งมาช่วยราชการกรมอนามัย เป็นโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แทนคนเดิมที่ยื่นลาออกเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อช่วยสื่อสารงานกระทรวงสาธารณสุขในส่วนของกรมต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ดูแล โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลหากหมดวาระจะมาช่วยในการสื่อสารประเด็นต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อน ทั้งก้าวท้าใจ Season 5 การจับคลินิกเถื่อน หมอกระเป๋า การทำฟาสต์แทร็กการอนุญาตและจำหน่ายช่อดอกกัญชา ของ อย. รวมถึงเรื่องงานอนามัยเจริญพันธุ์ด้วย และเนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งความรัก จึงอยากสื่อสารว่าวันวาเลนไทน์ “รักเป็น ปลอดภัย สุขกายสบายใจ” โดยแนะนำให้นัดคลินิกเพื่อตรวจสุขภาพความพร้อมของคู่รัก เพื่อเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์ด้วยความปลอดภัย และปรึกษาวางแผนครอบครัว ส่วนกลุ่มที่ยังไม่พร้อมต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยยังรณรงค์ให้ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเช่นเดิม ด้าน นพ.โอฬาริก กล่าวว่า มีงานวิจัยว่าอุณหภูมิความร้อนมีผลกับตัวอสุจิ รวมถึงผู้ที่ใส่กางเกงยีนส์รัดแน่นๆ นั่งขับรถมอเตอร์ไซค์นานๆ รวมถึงนักกีฬาปั่นจักรยาน จะมีอสุจิที่น้อยกว่าคนทั่วไป ทั้งปริมาณและคุณภาพแต่ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่าระยะเวลานานเท่าใด ซึ่งอสุจิจะสร้างได้ดี อุณหภูมิต้องต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากต้องการมีบุตร แนะนำผู้ชายให้ลดการอาบน้ำอุ่นจัดนานๆ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงรัดแน่น ส่วนในผู้หญิงอุณหภูมิไม่มีผลต่อคุณภาพของไข่เนื่องจากอยู่ในร่างกายในอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่แล้ว ***************************************** 14 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการกรอบแผนงานฯ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการกรอบแผนงานฯ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการกรอบแผนงานความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ และบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด วันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group Workshop) เพื่อหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลในการจัดทำกรอบแผนงานความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber Council: ITRC) ทั้งไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย และบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การยางแห่งประเทศไทย สมาคมยางพาราไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ โรงแรม Impiana Hotel KLCC กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาและยกระดับให้ประเทศสมาชิกภายใต้ความร่วมมือ ITRC มีความเข้มแข็ง และกลยุทธ์ รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราที่สอดรับกับความ ท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่ทุกประเทศทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ยางกำลังเผชิญซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการยางพาราที่มีศักยภาพและมีความยั่งยืนทั้งห่วงโซ่อุปทาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ มนต์รักออนไลน์ เทศกาลวาเลนไทน์ ระวังหมดตัว
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ มนต์รักออนไลน์ เทศกาลวาเลนไทน์ ระวังหมดตัว ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ มนต์รักออนไลน์ เทศกาลวาเลนไทน์ ระวังหมดตัว สำหรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส มีความห่วงใยประชาชนทุกท่าน ที่อยู่ในช่วงเฉลิมฉลองวันแห่งความรัก ท่านอาจจะได้รับผลกระทบจากการเข้าถึงสื่อออนไลน์ ผ่านเฟสบุค โมบายแอปพลิเคชัน ทวิตเตอร์และอินสตาแกรม รวมถึงได้รับข้อความผ่านเอสเอ็มเอส เป็นต้น ขอให้ทุกท่านโปรดระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวของท่านกับคนแปลกหน้า นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ การทำงานของมิจฉาชีพที่จะมาหลอกลวง เหยื่อผ่านสื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดียต่างๆ มีความหลากหลายและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ท่านอาจจะได้รับข้อความส่งมาทาง Messenger เพื่อขอเป็นเพื่อนและขอเป็นคนรัก มีการเชิญชวนให้ท่านร่วมลงทุนเพื่อวางแผนอนาคตร่วมกัน ซึ่งมิจฉาชีพอาจจะหลอกให้โอนเงินไปยังปลายทางและหลอกว่าเป็นเงินเก็บร่วมกัน ขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อ เนื่องจากจะทำให้ท่านเสียทรัพย์สินได้ นอกจากนี้หากมิจฉาชีพ มีการเชิญชวนให้ท่านโหลดแอปพลิเคชัน และเล่นเกมส์ผ่านเว็บไซต์ รวมถึงท่านที่ต้องการซื้อช่อดอกไม้จากร้านค้าออนไลน์ที่มิจฉาชีพแปลงตัวเป็นร้านขายดอกไม้ออนไลน์ ขอให้ท่านตรวจสอบแอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ และร้านดอกไม้ที่น่าเชื่อถือ ก่อนที่ท่านจะชำระเงินหรือโอนเงินไปยังปลายทาง เพื่อป้องกันความเสียหายในการชำระเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพ นางสาวนพวรรณ กล่าวต่อว่า ดีอีเอส ขอให้ท่านทบทวนและระวังบุคคลแปลกหน้าที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนหรือคนรัก มิจฉาชีพอาจจะขอข้อมูลส่วนตัวของท่านในโชเชียลมีเดียไปแสวงผลประโยชน์ มีการถอนเงินจากบัญชีของท่านผ่านออนไลน์ แบงค์กิ้ง หรือเชิญชวนให้ท่านลงทุนเงินสกุลคริสโต เคอเรนซี่ เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับท่านที่เข้าไปหาเพื่อนคุยหรือมองหาคนรักผ่านแอปพลิเคชันจับคู่ ขอให้ท่านเข้าใช้แอปพลิเคชันหาคู่อย่างระมัดระวังเพื่อท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการเข้าถึงแอปพลิเคชั่นปลอม ซึ่งหากท่านพาดพลั้งโหลดแอปพลิเคชั่นปลอม นอกจากท่านจะไม่สามารถพบเพื่อนคุยและคนรัก ผ่านแอปพลิเคชั่น ท่านอาจจะถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลส่วนตัว ชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคารของท่านไปขายต่อยังเว็บไซต์ผิดกฎหมายหรือหน่วยงานอื่นๆที่นำข้อมูลส่วนตัวของท่านไปใช้ในทางที่ผิดได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการกระทำผิดบนสื่อออนไลน์ของมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ ดีอีเอส ไม่ได้นิ่งนอนใจ กระทรวงมีการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันการกระทำผิด ของมิจฉาชีพผ่านสื่อออนไลน์อย่างเข้มงวด รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามกลโกงของสื่อรักผ่านออนไลน์ หรือ Romance Scam ซึ่งเป็นการ หลอกให้รัก เพื่อหวังแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อใจของเหยื่อ โดยหลอกให้โอนเงินหรือทรัพย์สินไปให้ ปัจจุบันมีผู้เสียหายจากการหลอกโอนเงินจำนวนมาก ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า สถิติอาชญากรรมออนไลน์ประจำเดือน มกราคม 2566 จากศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ พบว่าสถิติคดีเกี่ยวกับการหลอกให้รัก มีจำนวนสูงถึง 403 คดี โดยแบ่งเป็นคดีประเภทหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน จำนวน 168 เรื่อง และคดีหลอกลวงให้รักแล้วลงทุน จำนวน 235 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 190 ล้านบาท ดีอีเอส ขอแนะนำให้ท่านทำความเข้าใจถึงกลอุบายของมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกลวงมักจะมาด้วยกลอุบาย ดังต่อไปนี้ 1. หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (Hybrid scam) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปลอมด้วยการโอนเงินหรือลงทุนในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล 2. หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท (Remote access scam) ควบคุมสมาร์ทโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี 3. หลอกให้รักแล้วแบล็คเมล์ (Sextortion) ขู่กรรโชกทางเพศ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ 4. มิจฉาชีพที่เป็นชาวต่างชาติจะทำทีมาจีบและให้ความหวังว่าอยากจะมาแต่งงานที่เมืองไทย และส่งทรัพย์สินให้ แต่ต้องชำระเงินค่าภาษีก่อน และขอให้ท่านช่วยชำระภาษีให้ก่อน 5. มิจฉาชีพแสดงตัวว่าได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่ต้องชำระภาษีมรดก ขอให้ท่านช่วยชำระภาษี 6. ป่วยหนัก แต่ประกันยังเบิกจ่ายไม่ได้ 7. ส่งของรางวัลราคาแพงมาให้ แต่ติดอยู่ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน ขอให้ท่านโอนเงินเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมรางวัลก่อน 8. เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติที่จะมาลงทุน แต่ต้องการให้ร่วมทุนด้วย ดังนั้น เพื่อไม่ให้ท่านตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ผ่านสื่อออนไลน์ ท่านสามารถสังเกตและจับเท็จมิจฉาชีพที่เข้ามาหลอกลวงได้โดย สังเกตจากการที่มิจฉาชีพมักใช้รูปโปรไฟล์ที่ดูดี มีฐานะ ทักทายด้วยคำหวาน และใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ถูกหลักไวยกรณ์ มิจฉาชีพส่งอีเมลหรือลวงให้ใส่ข้อมูลธนาคาร เมื่อท่านเริ่มรู้สึกสงสัย หรือเริ่มระแคะระคายว่าจะโดนหลอก ท่านสามารถป้องกันตัวท่านเองได้ โดย 1.ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนเอง หลีกเลี่ยงการเปิดกล้อง หรือพูดคุยเห็นหน้า 2.ตรวจสอบรูปโปรไฟล์ว่านำมาจากที่อื่นหรือไม่ 3.ตั้งสติ ใจเย็น หมั่นถามคำถาม 4.หากมีการนัดพบ ควรมีเพื่อนไปด้วย 5.หลีกเลี่ยงการโอนเงินทุกกรณี 6.ระวังตัวอยู่เสมอ เพราะมิจฉาชีพออนไลน์มีทุกที่ อย่างไรก็ตาม หากท่านรู้ตัวว่า ได้ตกเป็นเหยื่อแล้ว ควรตั้งสติและจัดการกับปัญหาดังนี้ 1.เตรียมเอกสารส่วนตัวและสำเนาบัตรประชาชน 2.เตรียมหลักฐาน เช่น ภาพสนทนาในแอปที่ใช้ รวมถึงรูปโปรไฟล์ของผู้กระทำผิด 3.เตรียมหลักฐานการโอนเงินต่างๆ เช่น สลิป หรือ รูปการทำธุรกรรม 4. แจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง 5. รีบไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุที่ใกล้ที่สุด หรือโทรสายด่วน 1710 (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน “กระทรวงดิจิทัลฯ มีความมุ่งมั่น ที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน และขอแสดงความห่วงใย ขอให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทัน ภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อ หากท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งมิจฉาชีพ หรือถูกหลอกลวงออนไลน์ต่าง ๆ หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วนโทร 1212 ตลอด 24 ชั่วโมง” นางสาว นพวรรณ กล่าว __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์ “บัตรทอง” ตรวจแล็บฟรี 24 รายการ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์ “บัตรทอง” ตรวจแล็บฟรี 24 รายการ วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับ สภาเทคนิคการแพทย์ เปิดให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการแก่ประชาชนในสิทธิบัตรทองฟรี 24 รายการ ประกอบด้วย ตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ และผู้ป่วยนอกโรคเรื้อรังที่มีใบส่งตรวจจากแพทย์เพื่อตรวจเลือดและปัสสาวะอีก 22 รายการ ที่ “คลินิกเทคนิคการแพทย์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” สังเกตจากสติ๊กเกอร์หรือโลโก้หน้าคลินิก ปัจจุบันเปิดให้บริการนำร่องแล้ว 17 แห่ง เตรียมขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศเร็ว ๆ นี้ และในอนาคตจะเพิ่มบริการด้านป้องกัน เช่น ตรวจวัดไขมัน คลอเรสเตอรอล จำนวนและความเข้มข้นของเม็ดเลือด ให้มากขึ้น “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างพรบ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถให้งานวิทยาศาสตร์ฯ การแข่งขันและการลงทุน ให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม.อนุมัติหลักการร่างพรบ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถให้งานวิทยาศาสตร์ฯ การแข่งขันและการลงทุน ให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ ครม.อนุมัติหลักการร่างพรบ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถให้งานวิทยาศาสตร์ฯ การแข่งขันและการลงทุน ให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ ด้านเกษตรกรรม-อุตสาหกรรม-พาณิชยกรรม น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ เพื่อปรับปรุงให้การดำเนินภารกิจของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในด้านการต่อยอดงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เกิดความคล่องตัว และส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. นี้มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านวัตถุประสงค์ มีการเพิ่มเติม 2 ข้อ คือ 1.1 ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม 1.2 ดำเนินการและสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ตลอดจนการลงทุน ร่วมลงทุนกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อนำผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปประกอบกิจการให้เกิดรายได้ในเชิงพาณิชย์ 2. ด้านอำนาจหน้าที่ มีการเพิ่มเติม 5 ข้อ คือ 2.1 การขาย จ้าง รับจ้าง อนุญาต จำหน่าย หรือทำนิติกรรมใดๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของสถาบันวิจัยฯ ตลอดจนมีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งแก้ไขเกี่ยวกับกรณีการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 2.2 การรับค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ดอกผลของเงิน ค่าสิทธิประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา รายได้และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใดที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในอำนาจหน้าที่ของสถาบันวิจัยฯ 2.3 การถือหุ้น การเข้าเป็นหุ้นส่วน และการร่วมลงทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสถาบันวิจัยฯ รวมทั้งแก้ไขเกี่ยวกับการกู้/ให้กู้ยืมเงิน การถือหุ้น การเข้าเป็นหุ้นส่วน การลงทุน หรือการร่วมลงทุน จำนวนเงินเกินคราวละ 20 ล้านบาทต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 2.4 การออกพันธบัตรหรือตราสาร เพื่อใช้ในการดำเนินการในกิจการของสถาบันวิจัยฯ โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 2.5 การจัดตั้งหรือร่วมจัดตั้งบริษัทหรือนิติบุคคลอื่น เพื่อนำผลงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบกิจการใช้ให้เกิดรายได้ในเชิงพาณิชย์ และเพิ่มแหล่งรายได้ของสถาบันวิจัยฯ เกี่ยวกับค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ดอกผลของเงิน ค่าสิทธิประโยชน์ รายได้และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่สถาบันวิจัยฯ ได้รับ “ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้รับฟังความคิดเห็นตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 77 บัญญัติไว้ผ่านทางระบบกลางทางกฎหมาย เว็บไซต์ของสถาบันวิจัยฯ และได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่ภายในสถาบันวิจัยฯ แล้ว และ ครม. รับทราบที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองฯ ที่ออกตามร่าง พ.ร.บ. นี้ โดยประกอบด้วย ข้อบังคับสถาบันวิจัยฯ 4 ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการลงทุน หรือร่วมลงทุนร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนในเรื่องต่างๆ และเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ครม. มีความเห็นให้สถาบันวิจัยฯ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เป็นไปตามแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566-2570” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 3,786.55 ล้านบาท ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติใน 32 จังหวัด
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม. อนุมัติ 3,786.55 ล้านบาท ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติใน 32 จังหวัด ครม. อนุมัติ 3,786.55 ล้านบาท ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติใน 32 จังหวัด วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติ วงเงิน 3,786.55 ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง จำนวน 2,654.83 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน 1,131.72 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและ ภัยพิบัติ ใน 32 จังหวัด ซึ่งได้รับความเสียหายจากอิทธิพลจากพายุและพายุโซนร้อน ตั้งแต่สิงหาคม -พฤศจิกายน 2565 เช่น มู่หลาน หมาอ๊อน โนรูและเนสาท ที่ทำให้ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทได้รับความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทางและส่งผลกระทบต่อ การคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ แผนงานบูรณะ/ซ่อมแซมเพื่อฟื้นฟูโครงสร้่างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2566 ของกรมทางหลวง วงเงิน 2,654.83 ล้านบาท ประกอบด้วยประเภทกิจกรรม ดังนี้ สะพานขาด/สะพานชำรุด จำนวน 8 รายการ วงเงิน 91.50 ล้านบาท ดินสไลด์/คั่นทางสไลด์ จำนวน 30 โครงการ วงเงิน 766 ล้านบาท อาคารระบายน้ำชำรุดเสียหาย จำนวน 12 รายการ วงเงิน 182.4 ล้านบาท และโครงสร้างทางชำรุดเสียหาย จำนวน 67 โครงการ วงเงิน 1,614.93 ล้านบาท แผนงานบูรณะ/ซ่อมแซมเพื่อฟื้นฟูโครงสร้่างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2566 ของกรมทางหลวงชนบท วงเงิน 1,131.72 ล้านบาท ประกอบด้วยประเภทกิจกรรม ดังนี้ ซ่อมแซมฟื้นฟูระบบระบายน้ำที่ชำรุด จำนวน 7 รายการ วงเงิน 191.50 ล้านบาท ซ่อมแซมการกัดเซาะ/สไลด์ของสายทาง จำนวน 13 โครงการ วงเงิน 163.85 ล้านบาท และซ่อมแซมโครงสร้างทางจากอุทกภัย จำนวน 38 รายการ วงเงิน 776.37 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการภายใต้ประเด็นการตรวจสอบฯ ของ ค.ต.ป. ประจำปี 2566
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการภายใต้ประเด็นการตรวจสอบฯ ของ ค.ต.ป. ประจำปี 2566 คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการภายใต้ประเด็นการตรวจสอบฯ ของ ค.ต.ป. ประจำปี 2566 นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ประธานกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ค.ต.ป.ดศ.) เป็นประธานการประชุม ค.ต.ป.ดศ. ครั้งที่ 2/2566 พร้อมทั้งนำคณะกรรมการฯ ลงพื้นที่ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานโครงการตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปี 2566 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 9 – 11 กุมภาพันธ์ 2566 โดยได้มีการประชุมร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานภายใต้กระทรวงฯ ในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานสถิติจังหวัดภูเก็ต ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันตก/สถานีอุตุนิยมวิทยาภูเก็ต สำนักงานไปรษณีย์เขต 8 ภูเก็ต ส่วนขายและบริการลูกค้า ภูเก็ต บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สาขาภาคใต้ตอนบน) เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการฯ ตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปี 2566 และโครงการอื่นที่สำคัญของกระทรวงดิจิทัลฯ รวมทั้งรับฟังปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานต่าง ๆ อาทิ โครงการ Smart City การให้บริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) โครงการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีแก่วิสาหกิจชุมชนด้านเกษตรและท่องเที่ยว โครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน โครงการจัดทำระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ (Government Data Catalog) การขับเคลื่อนการพัฒนาอาสาสมัครดิจิทัลในจังหวัดภูเก็ต โครงการ e-Commerce ชุมชน การดำเนินงานด้านอุตุนิยมวิทยาและการพยากรณ์ เป็นต้น พร้อมให้ข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงฯ ณ ห้องประชุม IOT AND SMART CITY ส่วนขายและบริการลูกค้า ภูเก็ต บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้รับรายงานว่าการดำเนินงานของทุกหน่วยงานเป็นไปตามแผนกำหนด นอกจากนี้ ค.ต.ป.ดศ. ยังได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน/การใช้ประโยชน์โครงการต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาอาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานสถิติจังหวัด จัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับอาสาสมัครเพื่อยกระดับการดูแลด้านสังคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศูนย์ดิจิทัลชุมชนตำบลรัษฎา อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดภูเก็ตแห่งที่ 2 ต.รัษฎา อ.เมือง โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ประกอบด้วย อาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการศูนย์ฯ ซึ่งเป็นการเรียนรู้การใช้ประโยชน์ภายในศูนย์ดิจิทัลชุมชน การเรียนรู้หลักสูตรการพัฒนา อสด. ด้วยการอบรมทักษะการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy) การใช้งานแอปพลิเคชัน อสด. รวมถึงการขยายผลองค์ความรู้สู่ประชาชนต่อไป พร้อมทั้งได้ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์ศูนย์ดิจิทัลชุมชนเทศบาลตำบลฉลอง ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลฉลอง อ.เมือง พบว่าศูนย์ฯ ดังกล่าวมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ เท่านั้นที่เข้ามาใช้งาน เนื่องจากจุดที่ตั้งไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้งานได้ โดยคณะ ค.ต.ป.ดศ. ได้แจ้งสถิติจังหวัดภูเก็ตให้ประสานงานกับ สดช. ในฐานะเจ้าของโครงการฯ และเทศบาลตำบลฉลองเพื่อพิจารณาเรื่องการใช้งานศูนย์ฯ ให้เกิดประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ ต่อไป จากนั้นได้เดินทางตรวจเยี่ยมการดำเนินงานระบบ City Data Platform ของเทศบาลเมืองป่าตอง และระบบ CCTV Smart Gate Face Recognition ของศูนย์ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ณ ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center: IOC) เทศบาลเมืองป่าตอง อ.กระทู้ ซึ่งผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอบทบาท City Data Platform ของเทศบาลเมืองป่าตองในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความเป็นอยู่ ด้านคมนาคม ด้านความปลอดภัย พร้อมนำเสนอมุมมองการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในหลากหลายมิติที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนโครงการด้านข้อมูลของเมือง เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการส่งเสริมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้เกิดความยั่งยืนต่อไป โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สศด.) สาขาภาคใต้ตอนบน ได้ให้การส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานต่างๆ ภายใต้โครงการภูเก็ตเมืองอัจฉริยะ (Phuket Smart City) ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อจังหวัดภูเก็ตทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้ร่วมมือกับกลุ่ม Startup ในพื้นที่ในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา/การพยากรณ์สภาพอากาศ มานำเสนอในรูปแบบ/แพลตฟอร์มที่ประชาชนสามารถเข้าถึง/เข้าใจง่าย และนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวสามารถดูข้อมูลสภาพอากาศในพื้นที่การท่องเที่ยวเพื่อใช้วางแผนการเดินทางได้ ตลอดจนได้ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการระบบควบคุมการฟีดอาหารปลาในกระชังอัจฉริยะ ของ สศด. ซึ่งได้ส่งเสริมและสนับสนุนผ่านมาตรการช่วยเหลือหรืออุดหนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชนในชนบท (depa Digital Transformation Fund for Community) ให้กับวิสาหกิจชุมชนประมงชายป่าเลนเกาะพร้าว ที่ประกอบธุรกิจกระชังเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเล อาทิ ปลา Black Salmon ปลากระพงขาว หอยมุก กุ้งมังกร ปูม้า หอยแมลงภู่ ปลานีโม ปลาหมอ และสาหร่ายพวงองุ่น รวมทั้งยังเป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลในกระชังแบบผสมผสาน สำหรับสัตว์น้ำมีการนำมาแปรรูปเป็นอาหาร รวมทั้ง ทำเป็นเครื่องประดับ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สำหรับระบบควบคุมการฟีดอาหารปลาในกระชังอัจฉริยะ เป็นระบบควบคุมการให้อาหารและสั่งงานควบคุมไร้สายระยะไกล พร้อมด้วยระบบกลไกการฟีดอาหารแบบเฟืองเกลียว ทำให้ได้ปริมาณอาหารที่แน่นอนคงที่ ชุมชนสามารถติดตามและสั่งการให้อาหารแบบ Real-time กำหนดปริมาณการให้อาหารในแต่ละครั้ง มีระบบรายงานการแจ้งเตือนการให้อาหารผ่านระบบ Line แจ้งเตือนอาหารหมด และคำนวณปริมาณการให้อาหารล่วงหน้า สามารถดูกราฟข้อมูลการให้อาหารย้อนหลังต่อเดือนและรอบการเลี้ยงและการสรุปปริมาณอาหาร ซึ่ง โครงการดังกล่าวสามารถช่วยชุมชนลดต้นทุนค่าใช้จ่ายการจ้างแรงงาน อีกทั้งยังมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากคุณภาพและน้ำหนักปลาที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ค.ต.ป.ดศ. เห็นว่า การดำเนินงานโครงการต่างๆ ของ สศด. โดยเฉพาะระบบ City Data Platform ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจังหวัดภูเก็ตในทุกมิติ ซึ่งควรมีการขยายผลไปทั่วประเทศ _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมให้บริการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 1,256 ล้านบาท
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม.อนุมัติให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมให้บริการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 1,256 ล้านบาท ครม.อนุมัติให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมให้บริการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 1,256 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้อนุมัติการดำเนินโครงการจัดเตรียมความพร้อมในการให้บริการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด วงเงินลงทุน 1,256 ล้านบาท พร้อมกับอนุมัติการจัดหาแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการจากเงินกู้ระยะยาววงเงิน 1,256 ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันวงเงินกู้ และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อคิดเห็นของหน่วยงานเกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับการดำเนินโครงการฯ จะเป็นการเตรียมความพร้อมในการให้บริการเดินอากาศ ณ สนามบินอู่ตะเภา ให้สามารถเปิดให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐานภายในปี 2568 และให้สอดคล้องตามกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นโครงการรองรับการเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเป็นสนามบินหลักหลักแห่งที่ 3 ของ กรุงเทพฯ โดยกระทรวงคมนาคมได้คาดการณ์ปริมาณการจราจรทางอากาศอยู่ที่ 241,100 เที่ยวบิน ในปี 2591 โดย บวท. จะให้บริการ 4 ด้าน ประกอบด้วย การบริการจัดการจราจรทางอากาศ, บริการระบบสื่อสาร ระบบช่วยการเดินอากาศและระบบติดตามอากาศยาน, บริการข่าวสารการบิน และ บริการออกแบบวิธีปฏิบัติการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอบเขตการดำเนินโครงการจะประกอบไปด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1)ด้านก่อสร้าง ประกอบด้วยหอควบคุมการจราจรทางอากาศและพ้นที่สนับสนุน ความสูงประมาณ 59 เมตร, อาคารสำหรับติดตั้งระบบ/อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเดินอาหาร ประกอบด้วยอาคาร 3 กลุ่ม ได้แก่ อาคารระบบวิทยุสื่อสาร (Communication) อาคารระบบช่วยการเดินอากาศ(Navigation) และอาคาระบบติดตามอากาศยาน(Surveillance) 2)ด้านการจัดหาและติดตั้งระบบและอุปกรณ์ ประกอบด้วย ระบบบการสื่อสาร (Communication System) ระบบติดตามอากาศยาน(Surveillance System) ระบบจัดการจราจรทางอากาศ(Air Traffic Management System :ATMS) และระบบสนับสนุนอื่นๆ 3) ด้านบุคลากร ประกอบด้วยการสรรหาบุคลากรและพัฒนาบุคลากร ประกอบด้วยพนักงานประจำ 79 อัตรา เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศบริเวณสนามบิน, เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศเขตประชิดสนามบินกรุงเทพ และวิศวกร พนักงานชั่วคราว(Outsource) 30 อัตรา ซึ่งจะปฏิบัติงานในส่วนสนับสนุน เช่น ไฟฟ้า โยธา แม่บ้าน รักษาความปลอดภัย 4)การเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการ เช่น การกำหนดขั้นตอนและแนวทางวิธีปฏิบัติ, การอบรมใช้อุกรณ์ และอบรวมทำความคุ้นเคยแนวทางวิธีปฏิบัติ และการดำเนินการด้านระบบการจัดการด้านนิรภัย ทั้งนี้ บวท. ได้ประเมินผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่ร้อยละ 4.26 ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจร้อยละ 56.96 นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์จากโครงการ ได้แก่ การสร้างโอกาสในการจ้างงาน การท่องเที่ยว และเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเพิ่มความปลอดภัยทางการบินในพื้นที่ เพิ่มความสามารถในการรองรับเที่ยวบินในบริเวณกรุงเทพฯ และลดการกระจุกตัวของเที่ยวบินและลดความล่าช้าให้กับเที่ยวบิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64937
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมร่วม ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจ มท. ชื่นชมการบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ของ “ทีมอำเภอ” พร้อมเน้นย้ำ ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ-หัวหน้าส่วนราชการ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 มท.1 ประชุมร่วม ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจ มท. ชื่นชมการบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ของ “ทีมอำเภอ” พร้อมเน้นย้ำ ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ-หัวหน้าส่วนราชการ มท.1 ประชุมร่วม ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจ มท. ชื่นชมการบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ของ “ทีมอำเภอ” พร้อมเน้นย้ำ ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ-หัวหน้าส่วนราชการ ทำงานตามอำนาจหน้าที่ดูแล บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มท.1 ประชุมร่วม ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจ มท. ชื่นชมการบูรณาการทำงานในระดับพื้นที่ของ “ทีมอำเภอ” พร้อมเน้นย้ำ ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ-หัวหน้าส่วนราชการ ทำงานตามอำนาจหน้าที่ดูแล บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เป็นประธานการประชุมติดตามการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายนริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3) พร้อมด้วยผู้บริหารฝ่ายข้าราชการการเมือง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายรัฐพล นราดิศร รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย แพทย์หญิงวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านนายอำเภอ ที่เป็นผู้นำในการบริหารจัดการงานในระดับพื้นที่ ทั้งในฐานะผู้นำของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย และในฐานะผู้นำการบูรณาการของทุกส่วนราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดทีมงานของอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ที่ได้บูรณาการอย่างแข็งขันช่วยเหลือเด็กที่ประสบเหตุจนกระทั่งช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย ซึ่งนับว่าเป็นตัวอย่างการบริหารจัดการงานพื้นที่ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน จนกระทั่งเกิดผลสำเร็จของการปฏิบัติงาน และขอให้ดำเนินการขับเคลื่อนงาน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ในลักษณะเน้นการบูรณาการทุกหน่วยงานในระดับพื้นที่ และให้ความกับทุกเรื่องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ติดตามการดำเนินงานและมอบแนวทางการบริหารราชการในพื้นที่ โดยได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานมูลนิธิ สมาคม โดยต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐาน และการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด และหากพบการกระทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีละเว้น โดยในส่วนของงานด้านเอกสารสิทธิกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งปัจจุบันพบประชาชนเข้าใจผิดในการนำโฉนดที่ดินไปเคลือบพลาสติก และทำให้เกิดความเสียหายกระทั่งเข้าข่ายเอกสารชำรุด ต้องเร่งสร้างความเข้าใจ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการสร้างการรับรู้สู่ชุมชน โดยใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย กระจายข้อมูลข่าวสารไปทุกชุมชน หมู่บ้าน และทุกการประชุม การประชาคม หรือการพบปะประชาชนของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในทุกช่องทาง เพื่อให้ประชาชนมีความรู้และปฏิบัติตามข้อกำหนดตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ต่อมา พลเอก อนุพงษ์ฯ ยังได้กำชับในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหากรณีเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งขณะนี้เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง สร้างความเสียหายมหาศาลที่ประเทศตุรกี โดยให้เตรียมความพร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อเร่งสำรวจตรวจสอบ มีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ ทั้งในพื้นที่เสี่ยงสูง เสี่ยงกลาง และพื้นที่เฝ้าระวัง นอกจากนี้ การตรวจสอบอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้าง ให้เป็นไปตามกฎหมายอาคาร ทั้งอาคารที่กำลังจะสร้าง และสร้างไปแล้ว ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ “แบบแปลนการก่อสร้าง” ที่เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บ โดยผู้ว่าฯ นายอำเภอที่กำกับ อปท. ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตไว้ เพื่อป้องกันหากเกิดเหตุ จะได้ช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งชีวิตเเละทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด โดยต้องทำให้ครบถ้วนตามกฎหมาย "ห้ามปล่อยปละละเลย" มท.1 ได้กล่าวถึงในส่วนของการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ด้วยกลไก ศจพ. ที่กระทรวงมหาดไทยมีโครงสร้าง ศจพ. ครอบคลุมทุกระดับ โดยใช้ฐานข้อมูล TPMAP ที่ได้ดำเนินการครบทุกพื้นที่แล้วเมื่อ 30 ก.ย. 2565 โดยย้ำสิ่งที่ต้องทำจากนี้ คือ การเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใน TPMAP จากข้อมูล THAI QM ที่ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายทีมงานไปสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะได้นำมาดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อประกาศในปี 2566 สำหรับวางแผนการดำเนินงานต่อไป แต่ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ที่มีครัวเรือนประชาชนตกเกณฑ์ จปฐ. และมีความยากลำบาก ขอให้ผู้ว่าฯ ใช้กลไกปกติตามอำนาจหน้าที่ไปแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อน และมอบหมายนายอำเภอไปดำเนินการบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ เช่น กรณีพ่อแม่แก่ ลูกถูกดำเนินคดี แล้วไม่มีใครดูแล มีผู้ป่วยติดเตียง ต้องประสานความร่วมมือทีมงานในพื้นที่อำเภอไปดูแล เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน” ตามปณิธานคนมหาดไทย และขอให้ได้ช่วยกันส่งเสริมการน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนได้เรียนรู้ว่า การใช้เงินซื้อทุกอย่าง มันทำให้มีรายจ่าย แต่หากเราใช้ที่ดินตนเอง ปลูกผักไว้รับประทานก็จะไม่ต้องซื้อ และนอกจากมีผักไว้รับประทานในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถแบ่งปันคนอื่นได้อีกด้วย และขอให้รณรงค์ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมการคัดเเยกขยะ ทั้งขยะเปียก ขยะทั่วไป ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย พร้อมให้ใช้กลไกอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.) เร่งรณรงค์ให้มีการทิ้งขยะในที่ทิ้งขยะ เพื่อทำให้บ้านเมือง พื้นที่สาธารณะ มีความสะอาด สวยงาม และกระตุ้นเสริมสร้างการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีในทุกด้าน และสำหรับด้านการจัดการคุณภาพน้ำ ได้เเนะนำให้ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ต้นทางอาคารบ้านเรือน เพื่อลดน้ำเสียที่ปล่อยลงสู่ลำรางสาธารณะ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้าน นายนริศ ขำนุรักษ์ (มท.3) ได้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้จัดให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด) ให้ถี่ขึ้น รวมทั้งดูแลบริหารจัดการเรื่องหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และการบริหารจัดการน้ำ พร้อมทั้งให้การประปานครหลวง เร่งศึกษาแสวงหาการลดต้นทุนในการผลิตน้ำประปา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกหน่วยงาน มุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้มอบอำนาจไว้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้มีชีวิตที่เป็นปกติสุข กินดี อยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี อันจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผาสุก ประชาชนมีความสุขที่ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ซาอุดีอาระเบียกระชับสัมพันธ์ด้านการบิน หลังเจรจาปรับปรุงสิทธิการบินและมีบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ไทย-ซาอุดีอาระเบียกระชับสัมพันธ์ด้านการบิน หลังเจรจาปรับปรุงสิทธิการบินและมีบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน ไทย-ซาอุดีอาระเบียกระชับสัมพันธ์ด้านการบิน หลังเจรจาปรับปรุงสิทธิการบินและมีบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้รับทราบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย พร้อมกับเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย (เนื้อหาเหมือนกับบันทึกความเข้าใจฯ) และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลบังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป สำหรับบันทึกความเข้าใจฯ นี้เกิดขึ้นจากที่คณะผู้แทนไทยและซาอุดีอาระเบีย ได้มีการประชุมเจราจาเพื่อปรับปรุงสิทธิการบินระหว่างกัน เมื่อเดือน ส.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาคณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศได้มีมิตรับทราบผลการเจรจาดังกล่าว โดยบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อ 2 ฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างกัน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า บันทึกวามเข้าใจฯ และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต มีเนื้อหาครอบคลุม ประเด็นพิกัดเส้นทางการบินระหว่าง 2 ฝ่าย จากแบบกำหนดจุดเป็นพิกัดเส้นทางบินแบบเปิด, ความจุ ความถี่ กำหนดเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสาร จากเดิมฝ่ายละ 9 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เฉพาะเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสาร เป็น ฝ่ายละไม่เกิน 42 เที่ยวบิน/สัปดาห์สำหรับเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสาร และไม่จำกัดจำนวนเที่ยวสำหรับเที่ยวบินขนส่งสินค้า, การทำการบินเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ซึ่งสายการบินของทั้งสองฝ่ายจะทำการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่เดินอากาศ โดยต้องไม่กระทบต่อการทำการบินแบบประจำ นอกจากนี้ บันทึกความเข้าใจฯ ยังครอบคลุมถึงกรณีทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน (Code-Sharing)โดยสายการบินที่ทั้ง2ฝ่ายกำหนด จะมีสิทธิทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับสายการบินของประเทศคู่ภาคีทั้งสิ้นทางระหว่างประเทศและเส้นทางภายในประเทศ รวมถึงสามารถใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับสายการบินประเทศเดียวกันและร่วมกันกับสายการบินของประเทศที่สาม, การใช้อากาศยานเช่า โดยสายการบินของแต่ละฝ่ายอาจเช่าอากาศยาน [หรืออากาศยานพร้อมลูกเรือ(wet lease)] จากบริษัทหรือสายการบินใดๆ เพื่อทำการบินได้,การกำหนดสายการบิน ที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดได้หลายสาย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเจรจาเพื่อปรับปรุงสิทธิการบินระหว่าง 2 ประเทศ จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้การทำการบินของสายการบินทั้ง 2 ฝ่าย มีความคล่องตัว เพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนการตลาดให้การบริการเกิดความคุ้มทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกแก่ผู้โดยสารด้วย นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้าและการบริการระหว่าง 2ประเทศให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ และยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งระดับรัฐบาลและระดับธุรกิจของ 2 ประเทศด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ กำหนดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดูแลนักท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม.อนุมัติร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ กำหนดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดูแลนักท่องเที่ยว ครม.อนุมัติร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ กำหนดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดูแลนักท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว สร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พ.ศ.... ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) เสนอ ทั้งนี้ ร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยกำหนดค่าธรรมเนียม 300 บาทต่อคนต่อครั้ง สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางอากาศ และ 150 บาทต่อคนต่อครั้งสำหรับผู้เดินทางเข้าช่องทางบกและช่องทางน้ำ โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับผู้หนังสือเดินทางเพื่อการทูต กงสุล หรือการปฏิบัติราชการ (Diplomatic or Official Passport) ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพในประเทศไทย(Work Permit) หรือหนังสืออนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะตามที่กระทรวงแรงงานกำหนด ผู้โดยสารผ่าน(Transit Passenger) ทารกและเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี และบุคคลอื่นตามที่คณะกรรมการ ท.ท.ช. กำหนด พร้อมกันนี้ ครม. ได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการตรวจลงตรา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมืองและ และให้ สตม. เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมืองต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การออกประกาศ ท.ท.ช. ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2562 ซึ่งให้ ท.ท.ช. สามารถเสนอต่อ ครม. ให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งใช้ในการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในระหว่างเที่ยวภายในประเทศไทย นอกจากนี้ พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวฯ ยังบัญญัติให้จัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการพัฒนาการท่องเที่ยว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะด้านการการบริหาร การตลาด หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยวในชุมชน ดูแลรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ในท้องถิ่น รวมถึงการจัดให้มีประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจัดกตั้งกองทุนฯ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการศึกษาเชิงเปรียบเทียบแล้วพบว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศทั่วโลกที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่เก็บค่าธรรมเนียมแล้วมีสวัสดิการคืนแก่นักท่องเที่ยวผ่านประกันอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และการส่งศพกลับประเทศ เพื่อดูแล ช่วยเหลือ เยียวยานักท่องเที่่ยว ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ สำหรับการดำเนินการดังกล่าวนี้จะช่วยลดภาระงบประมาณในการดูแล เยียวยานักท่องเที่ยว และด้านสาธารณสุข จากการเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลไม่เต็มจำนวนมีความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินปีละประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี รวมถึงงบประมาณสำหรับการดูแลแหล่งท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว รวมทั้งงบประมาณสำหรับการดูแลพัฒนาสาธารณูปโภคที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ปลอดภัย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างประกาศฯ นอกจากจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมข้างต้นแล้ว ยังได้กำหนดกรอบเวลาของการบังคับใช้ซึ่งจะมีผลบังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา, การกำหนดบทนิยามต่างๆ ให้ชัดเจน, กำหนดวิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยทางอากาศยานให้จัดเก็บผ่านค่าโดยสารเครื่องบิน ส่วนทางบกและทางน้ำเก็บผ่านเว็บไซต์ โมบายแอปพลิเคชั่นและตู้ให้บริการชำระค่าธรรมเนียม(Kiosk) โดยกำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยานและผู้ดำเนินการมีหน้าที่ลงทะเบียนกับกองทุนฯ เพื่อพัฒนาระบบของตนเองในการเชื่อมต่อเข้า นำส่ง และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้โดยสาร ข้อมูลชำระค่าธรรมเนียมกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมก่อนทำการบินเข้าประเทศไทย โดยผู้ดำเนินการเดินอากาศและผู้ดำเนินการจะได้รับค่าตอบแทนในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากกองทุนฯ ตามที่ได้ตกลงกัน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบยุติกองทุน BSF หลังตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ภาวะปกติ เอกชนระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ความเสี่องต่อเศรษฐกิจไทยมาจากภายนอกประเทศเป็นหลักและไม่รุนแรงเท่าโควิด19 ช่วงแรกเมื่อปี63
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ครม.เห็นชอบยุติกองทุน BSF หลังตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ภาวะปกติ เอกชนระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ความเสี่องต่อเศรษฐกิจไทยมาจากภายนอกประเทศเป็นหลักและไม่รุนแรงเท่าโควิด19 ช่วงแรกเมื่อปี63 ครม.เห็นชอบยุติกองทุน BSF หลังตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ภาวะปกติ เอกชนระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ความเสี่องต่อเศรษฐกิจไทยมาจากภายนอกประเทศเป็นหลักและไม่รุนแรงเท่าโควิด19 ช่วงแรกเมื่อปี63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบวิธีและขั้นตอนยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้(Corporate Bond Stabilization Fund) (กองทุน BSF) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับขั้นตอนและวิธียุติการดำเนินการของกองทุน BSF ประกอบด้วย 1) ให้ ธปท. ขายคืนหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ทั้งหมด (ณ วันที่ 31 ต.ค. 65 BSF มีสินทรัพย์สุทธิ 1,002.63 ล้านบาท) 2) ให้ยุติการดำเนินการของกองทุน BSF ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ ครม. เห็นชอบ 3)ให้มีการวินิจฉัยผลกำไรหรือความเสียหายของกองทุน BSF ตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณที่คณะกรรรมการพิจารณาผลการกำหนดและให้รายงานต่อ ธปท.และกระทรวงการคลัง โดยหากมีกำไรเกิดขึ้นให้ ธปท. นำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากเกิดความเสียหายให้กระทรวงการคลังชดเชยแก่ ธปท. ในวงเงินไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท (เป็นไปตามมาตรา 20 และ 21 พ.ร.ก.กำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563) และ 4)ให้กองทุน BSF ชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันยุติการดำเนินการของกองทุน หากมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาชำระบัญชีเกินกว่า 90 วัน ให้ขยายได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จำนวนไม่เกิน 2 ครั้ง น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กองทุน BSF จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 เพื่อรักษาเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ที่มีพื้นฐานดีแต่ประสบปัญหาสภาพคล่องชั่วคราวอันเนื่องมากจากการแพร่ระบาดของโควิด19 โดยการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ออกใหม่ ซึ่งแนวทางนี้เป็นมาตรการเชิงป้องกันและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้เอกชนในช่วงมีการแพร่ระบาด ทำให้ตลาดกลับมาทำงานปกติได้ในระยะอันสั้น ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาดำเนินการที่ผ่านมา BSF ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้รายใด เนื่องจากไม่มีบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ขอความช่วยหลือจากกองทุน ทำให้ต่อมาคณะกรรมการกองทุน BSF จึงเห็นชอบให้ยุติการเปิดรับขอความช่วยเหลือมายังกองทุน BSF หลังวันที่ 31 ธ.ค. 65 เป็นต้นไป และให้ยุติการดำเนินงานของกองทุน BSF โดยมีเหตุผลดังนี้ 1)ภาวะตลาดตราสารหนี้เอกชนทำงานได้เป็นปกติแล้ว ผู้ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามจำนวนที่เสนอขาย มีหุ้นกู้ออกใหม่มากกว่าหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าโอกาสที่ตราสารหนี้เอกชนจะประสบปัญหาสภาพคล่องมีลดลง 2)คุณภาพหุ้นกู้ในตลาดปรับตัวดีขึ้นในปี 65 สะท้อนจากบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลดลงเมื่อเทียบกับปี 63-64 นอกจากนี้ ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดตราสารหนี้ปรับลดลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด19 คลี่คลาย อีกทั้งหุ้นกู้เสี่ยงที่เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือจากกองทุน BSF มีลดลงเหลือ 16,000 ล้านบาท และในจำนวนนี้มีหุ้นกู้เสี่ยงในกลุ่ม BBB- ที่มีโอกาสขอรับความช่วยเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมในระยะต่อไป โดยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยขณะนี้โดยหลักเป็นปัจจัยภายนอก เช่น การดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลักของโลก ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งโดยรวมแล้วไม่รุนแรงเท่าช่วงต้นการแพร่ระบาดโควิด19 ในปี 63 3)การแพร่ระบาดของโควิด19 มีความรุนแรงลดลงต่อเนื่อง โดยภาครัฐได้ประกาศลดระดับความรุนแรงจากโรคติดต่ออันตราย เป็น โรคติดต่อเฝ้าระวังตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 พร้อมกับผ่อนคลายความเข้มงวดของมาตรการต่างๆ ประชาชนได้รับวัคซีนทั่วถึง การเสียชีวิตไม่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญและไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกิดความเสี่ยงเชิงระบบในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย จับมือ เกาหลี ศึกษาความเป็นไปได้เตรียมสร้าง “Spaceport” ในไทย
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ไทย จับมือ เกาหลี ศึกษาความเป็นไปได้เตรียมสร้าง “Spaceport” ในไทย ไทย จับมือ เกาหลี ศึกษาความเป็นไปได้เตรียมสร้าง “Spaceport” ในไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. และ Korea Aerospace Research Institute (KARI) ร่วมลงนามความ ร่วมมือการศึกษาความความเป็นไปได้ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา โดยมี ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA และ Mr.Sang-Ryool LEE ประธานบริหารKARI และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และ Mr.Bae Jae Hyun อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานฯ ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ถนนโยธี) ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีในครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอวกาศ (space industry/ space economy) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ รวมไปถึง (ร่าง) พ.ร.บ. กิจการอวกาศที่จะเป็นกลไกสำคัญในการใช้ประโยชน์จากอวกาศสู่การพัฒนาประเทศบนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างท่าอวกาศยาน หรือ Spaceport ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพและความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สำหรับการจัดตั้ง Spaceport มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การได้ร่วมมือกับ KARI ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิจัยอวกาศที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาตินี้เกิดขึ้นหลังจากการลงนาม MOU ความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา “การศึกษาความเป็นได้ในการสร้าง spaceport ในประเทศไทยครั้งนี้ KARI และรัฐบาลเกาหลี จะเป็นผู้ดำเนินการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับทีมไทยแลนด์ โดย GISTDA จะสนับสนุนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งร่วมจัดกิจกรรมด้านอวกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะศึกษารายละเอียดเชิงลึกอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ สถานที่จัดตั้ง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภัยพิบัติ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ชนิดของจรวดนำส่ง ใบอนุญาตและกฎระเบียบข้อบังคับในการนำส่งจรวด รวมทั้งโมเดลด้านธุรกิจ การวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการทำความเข้าใจกับสังคม เป็นต้น ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้นี้จะต้องเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในเวลา 3 ปี” ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวอีกว่า การศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาจัดตั้ง Spaceport ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ ต่อยอดขยายกิจการอวกาศของประเทศและภูมิภาคให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ที่จะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่กับประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรอินทรีย์มีเฮ ! “อลงกรณ์” ผนึกเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เดินหน้า
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เกษตรอินทรีย์มีเฮ ! “อลงกรณ์” ผนึกเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เดินหน้า เกษตรอินทรีย์มีเฮ ! “อลงกรณ์” ผนึกเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เดินหน้า“ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์”ทั่วประเทศ ชู”ตลาดท้ายเกาะโมเดล” เป็นต้นแบบ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นประธานเปิดเวทีขับเคลื่อนตลาดเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะอำเภอสามโคกปทุมธานีภายใต้โครงการออกานิค เวิล์ดไทยแลนด์ (Organic World Thailand)พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระบบเกษตรกรรมยั่งยืนของประเทศไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนและ BCG โมเดล “ในวันนี้ว่า การพัฒนาและขับเคลื่อน“ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ” หรือ โครงการ Organic World Thailand สามโคก-ปทุมธานี ในวันนี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture)โดยมีคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน(แห่งชาติ)มี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเป็นประธาน และมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งมีตนเป็นประธาน มีคณะทำงานขับ เคลื่อนหลายคณะ ได้แก่ คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตร ผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรธรรมชาติและวนเกษตร และ คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture) ใน 76 และกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนในระดับตำบล 7,255 ตำบลใน 76 จังหวัดแล้ว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทำงานเชิงพื้นที่ และในส่วนของเกษตรอินทรีย์ ได้ร่วมมือกับเครือข่ายเกษตรอินทรีย์และเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส แห่งประเทศไทยสำเร็จเป็นครั้งแรก “การเปิดเวทีขับเคลื่อนตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะโดยจะมีการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้บนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร และภาควิชาการ เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับตลาดเกษตรอินทรีย์ทุกจังหวัดและยกระดับสู่การเป็นตลาดส่งออกด้วย ทั้งนี้ มีนโยบายที่จะส่งเสริมขยายผลให้มีตลาดกลางและตลาดเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะ อนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนขอแสดงความชื่นชม คุณวิเชียร สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร ตลาดโรงเกลือท้ายเกาะ ที่มีจิดอาสาในการช่วยเกษตรกรให้มีตลาดจำหน่ายสินค้าเกษตร อินทรีย์ และขอขอบคุณ ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ และเครือข่าย ที่มีความมุ่งมั่นใน การพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าเกษตรอินทรีย์ซึ่งนำมาสู่การก่อเกิดตลาดกลาง และการเตรียม ความพร้อมในการเปิดตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะภายในเดือนเมษายนนี้ สำหรับโครงการตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ หรือ Organic World Thailand ทางสมาคมการค้าเกษตรกรรมยั่งยืนไทย และบริษัทสยามมินิแฟคจำกัด ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้นเป็นตลาดกลางอินทรีย์แห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาค ซึ่งจะมีกำหนดการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการภายในเดือนเมษายน 2566 โดยมุ่งหวังที่จะเป็นตลาดกลางเกษตรอินทรีย์เพื่อเชื่อมโยงผลผลิต เชื่อมโยงตลาดให้กับเกษตรกรที่สมาคมการค้าเกษตรกรรมยั่งยืนไทยได้ไปส่งเสริมและรับรองแปลง เชื่อมโยงกับตลาดค้าปลีกและค้าส่งที่ต้องการผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากทั่วประเทศไทย จากภูมิภาค และจากทั่วโลก โดยตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะนี้ ได้เปิดให้ผู้ประกอบการได้เข้ามาจับจองพื้นที่ ซึ่งมีทั้งร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ร้านจำหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ทั้งผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมง และผลิตภัณฑ์แปรรูป ร้านอาหารอินทรีย์ โรงล้างคัดตัดแต่งและบรรจุ โรงงานแปรรูปน้ำผัก ผลไม้ ศูนย์บริการห้องเย็น และศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์คนเมือง เป็นต้น นอกจากนี้ สมาคมการค้าเกษตรกรรมยั่งยืนไทย ยังได้ส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรม IOT และระบบ barcode ในการค้าขายในตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศด้วยระบบ Organic World Thailand Market Platform ซึ่งจะทำให้สามารถทำการซื้อขายอย่างคล่องตัว สามารถพัฒนาราคากลางผลผลิตเกษตรอินทรีย์ได้ โดยเชื่อมโยงกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ (0rganic Agriculture Network) เพื่อตรวจสอบย้อนกลับที่มาของผลผลิตและเอกสารยืนยันการรับรองผลผลิตอินทรีย์ และเชื่อมโยงกับระบบการค้าออนไลน์กับภาคีพันธมิตร เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับกิจกรรมวันนี้มีนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพิศาล พงศาพิชณ์เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ และเครือข่ายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ นายภานิต ภัทรสาริน รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายวิเชียรและนางศรีลำปาง สวาทยานนท์ ผู้บริหารตลาด นายอานนท์ นุ่นสุข ณฤทธิ์ นาควงษม์ คิว อรุโณรศ เถาวัลย์ ช่วยนุ่ม ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์จังหวัดปทุมธานี เกษตรกร และผู้ประกอบการ เข้าร่วม ณ โครงการตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ (Organic World Thailand) อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-14 ก.พ. “เลิฟปัง รักปลอดภัย” แจกยาคุม-ถุงยาง แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 14 ก.พ. “เลิฟปัง รักปลอดภัย” แจกยาคุม-ถุงยาง แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สปสช. จับมือเมืองพัทยา สสจ.ชลบุรี สคร.ที่ 6 ชลบุรี ธ.กรุงไทย บมจ.สบาย ภาคประชาสังคม ดีเดย์ 14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ เปิดตัวโครงการ เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แจกยาคุมกำเนิด-ถุงยางอนามัย สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง สปสช. จับมือ เมืองพัทยา สสจ.ชลบุรี สคร.ที่ 6 ชลบุรี ธนาคารกรุงไทย บมจ.สบาย ภาคประชาสังคม ดีเดย์ 14 ก.พ. วันวาเลนไทน์ เปิดตัวโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” แจกยาคุมกำเนิด-ถุงยางอนามัย สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ลงทะเบียนบนแอปฯ เป๋าตัง พร้อมเริ่มบริการใหม่ “ตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ” นำร่อง 2 พื้นที่ในเมืองพัทยา ที่ ท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ จ.ชลบุรี - เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับ เมืองพัทยา แถลงข่าว โครงการ เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 'แจกยาคุมกำเนิด-ถุงยางอนามัย' ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง พร้อมเปิดตัว “ตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ” นำร่องเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ 2 พื้นที่ในเมืองพัทยา โดยมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ชลบุรี ธนาคารกรุงไทย และบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) พร้อมตัวแทนจากองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ประกอบด้วย สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย สำนักงานชลบุรี มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (สวิงพัทยา) มูลนิธิซิสเตอร์ พัทยา และเครือข่ายสุขภาพและโอกาส Hon house พัทยา ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า 14 กุมภาพันธ์ “วันวาเลนไทน์” เป็นวันแห่งความรัก สปสช. ขอส่งมอบความรักและความปรารถนาดีในการดูแลสุขภาพให้กับคนไทยทั่วประเทศผู้ใช้สิทธิบัตรทอง โดยจับมือกับเมืองพัทยา โดยร่วมกับกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการ “เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” มอบสิทธิประโยชน์แจกยาคุมกำเนิดและถุงยางอนามัย ที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการป้องกัน นำไปสู่การแก้ปัญหาท้องไม่พร้อม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้รวมถึงบริการคุมกำเนิดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การใส่ห่วงอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นต้น และในปีนี้ สปสช. ได้พัฒนารูปแบบการบริการที่เพิ่มความสะดวกการรับถุงยางอนามัยด้วย “ตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ” ที่เริ่มให้บริการในวันนี้เช่นกัน ภายใต้โครงการฯ นี้เบื้องต้น สปสช. ได้จัดเตรียมถุงยางอนามัยเพื่อให้บริการแล้วจำนวน 94,566,600 ชิ้น มี 4 ขนาดด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนเลือกใช้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการป้องกัน โดยผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถรับบริการได้ 2 ช่องทาง คือ ช่องทางแรกลงทะเบียนบนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง และเข้ารับถุงยางอนามัยที่หน่วยบริการใกล้บ้านที่ท่านเลือก โดยช่องทางนี้ยังเป็นช่องทางเข้ารับบริการสิทธิประโยชน์คุมกำเนิดด้วย โดยกรณีผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถนำบัตรประชาชนไปลงทะเบียนขอรับบริการได้ที่หน่วยบริการ ส่วนช่องทางที่สอง คือการรับถุงยางอนามัยที่ตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ เพียงใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดยืนยันตัวตนเท่านั้น นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า ยุทธศาสตร์และแนวทางพัฒนาของเมืองพัทยา การคุ้มครองและป้องกันจากปัญหาโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ำ เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญ และปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน การดูแลเพื่อให้เกิดเข้าถึงบริการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น รวมถึงกรณีปัญหาท้องไม่พร้อม เมื่อ สปสช.มีสิทธิประโยชน์บริการถุงยางอนามัยและบริการคุมกำเนิดที่ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทางเมืองพัทยาก็พร้อมสนับสนุน สปสช. ในการดำเนินการในพื้นที่อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองในเมืองพัทยาเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง โดยในส่วนของ “ตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ” เมืองพัทยาเองมีความยินดีที่ได้เป็นพื้นที่นำร่อง เบื้องต้นได้ติดตั้งแล้วใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1) อาคารท่าเรือแหลมบาลีฮาย และ 2)โรงพยาบาลเมืองพัทยา โดยในอนาคตอาจมีการติดตั้งในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป “เรื่องนี้มองว่าเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ขณะเดียวกันยังส่งเสริมภาพลักษณ์ในเชิงการท่องเที่ยว สะท้อนถึงความใส่ใจของหน่วยงานภาครัฐและเมืองพัทยาต่อการดูแลสุขอนามัยของประชาชน” นายกเมืองพัทยา กล่าว นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าการให้บริการสิทธิประโยชน์ถุงยางอนามัยผ่านกระเป๋าสุขภาพ บนแอปฯ เป๋าตัง ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มช่องทางให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยอย่างทั่วถึงและเพียงพอทุกพื้นที่ ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นบริการเพิ่มเติมจากการขอรับสิทธิอื่นๆ ด้านการคุมกำเนิด ผ่านกระเป๋าสุขภาพ อาทิ การใส่ห่วงอนามัย ฉีดยาคุมกำเนิด ฝังยาคุมกำเนิด และการรับยาเม็ดคุมกำเนิด โดยธนาคารให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพของ สปสช. มาอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนไทย สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพื้นฐานที่ภาครัฐมอบให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศ นพ.อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า บริการถุงยางอนามัยและบริการคุมกำเนิด เป็นบริการสุขภาพที่จำเป็นที่นำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นกรณีท้องไม่พร้อม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม กามโรคต่อมและท่อน้ำเหลือง และแผลเริมอ่อน เป็นต้น ซึ่งการที่ สปสช. บรรจุสิทธิประโยชน์เหล่านี้ในระบบบัตรทอง 30 บาท ได้ช่วยให้คนไทยมีสิทธิรับบริการและเข้าถึงบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนงานควบคุมโรคของหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ให้สำเร็จและบรรลุเป้าหมายกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการเปิดตัวโครงการ เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวันนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ร่วมกระตุ้นเตือนให้สังคมร่วมตระหนักและให้ความสำคัญต่อการป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นายจำรอง แพงหนองยาง รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า มีความยินดีที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และมองว่ามีความตั้งใจในการพัฒนาระบบบริการเพื่อให้เกิดการเข้าถึงที่ง่ายและสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน การรับถุงยางอนามัยผ่านเครื่องจ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ รวมถึงสิทธิประโยชน์คุมกำเนิดอื่นๆ ในระบบ สปสช. ที่ขอรับบริการได้ผ่านแอปเป๋าตัง ภาพรวมมองว่าดีแต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่ม อย่างของกลุ่มพนักงานบริการ ก็อยากให้มีบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดที่ไม่ต้องแสดงบัตรประชาชนหรือเปิดเผยตัวตน เพราะแม้แต่การจ่ายผ่านตู้อัตโนมัติก็ต้องใช้บัตรประชาชนยืนยัน ถือเป็นข้อจำกัด สำหรับจำนวน 10 ชิ้นต่อครั้งต่อสัปดาห์ ภาพเฉลี่ยประชากรก็มองว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ส่วนจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่นั้น คงแล้วแต่มุมมอง แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการเตรียมพร้อมและป้องกันมากกว่า ดร.วชิรธร คงสุข กรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางบริษัท สบายฯ ได้ร่วมกับ สปสช. พัฒนาระบบการแจกถุงยางอนามัยผ่านตู้อัตโนมัติ โดยนำนวัตกรรมในการจำหน่ายสินค้า อุปโภค บริโภค ผ่านเครื่องอัตโนมัติของบริษัทฯ มาปรับกระบวนการเพื่อให้บริการให้สอดคล้องกับนโยบายและหลักเกณฑ์ของ สปสช. ถือได้ว่า เป็นอีกหนึ่งช่องทางเลือกให้กับประชาชนผู้มีสิทธิประโยชน์ บัตรทอง 30 บาท สามารถเข้าถึงสิทธิการรับถุงยาง โดยได้รับการให้บริการอย่างประสิทธิภาพและทั่วถึง ซึ่ง บริษัทฯ มองถึงประโยชน์ของช่องทางในการให้บริการแจกถุงยางผ่านตู้อัตโนมัติ ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์อุปนิสัยส่วนตัวของคนไทย ที่ส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามาขอรับถุงยางอนามัยผ่านเครือข่ายสถานพยาบาลที่ให้บริการในปัจจุบัน สำหรับการแจกถุงยางอนามัยผ่านตู้อัตโนมัติของเครือข่ายของกลุ่ม บริษัท สบายเทคโนโลยี นั้น ในช่วงแรกบริษัทได้ติดตั้งตู้แจกถุงยางอัตโนมัติในแหล่งชุมชนเมืองพัทยา จำนวน 2 จุด ได้แก่ บริเวณจุดรับส่งผู้โดยสารท่าเรือแหลมบาลีฮาย และบริเวณหน้าโรงพยาบาลเมืองพัทยา และในอนาคต ทางบริษัทมีแผนกระจายตู้แจกถุงยางอัตโนมัติ ไปยังแหล่งชุมชนและพื้นที่สำคัญๆ กระจายไปยังทั่วประเทศอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1.สายด่วน สปสช. 1330 2.ช่องทางออนไลน์ • ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 • Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64924
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ปรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ปรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลเพิ่มการดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเห็นชอบปรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย 2 ส่วน คือ ปรับอัตราการคืนเงิน จากร้อยละ 15 – 20 เพิ่มเป็นร้อยละ 20 – 30 เป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อมีการลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และ ปรับเพิ่มเพดานการคืนเงิน จากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่อง เป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เพดานเงินลงทุนสร้างภาพยนตร์ต่อเรื่องเพิ่มขึ้นจาก 375 ล้านบาท เป็น 750 ล้านบาท สอดรับกับแนวโน้มที่ผู้สร้างภาพยนตร์รายใหญ่เงินทุนสูงจะเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และเป็นการปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และการแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำประชุมคณะทำงานด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย มุ่งพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายในความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนงานให้ทันสมัย ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 ปลัด มท. นำประชุมคณะทำงานด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย มุ่งพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายในความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนงานให้ทันสมัย ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ปลัด มท. นำประชุมคณะทำงานด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย มุ่งพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายในความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนงานให้ทันสมัย ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” สนองตอบความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.00 น. ที่ห้องประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย ชั้น 6 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมการพัฒนากฎหมายและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย โดยมี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าหน่วยงานด้านกฎหมายของกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นการหารือร่วมกันของคณะทำงานที่เป็นผู้แทนของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาว่ากฎหมายในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยฉบับใดที่ควรต้องปรับปรุง แก้ไข หรือยกร่างใหม่ เพื่อทำให้กระทรวงมหาดไทย สามารถขับเคลื่อนงานดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” มุ่งบรรเทาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง “ระเบียบกฎหมาย” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้กระทรวงมหาดไทยสามารถปฏิบัติตามภารกิจความรับผิดชอบได้อย่างเต็มที่ อันจะทำให้ข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยใช้เป็นกลไกในการทำงานเพื่อน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ทุกกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งดำเนินการทบทวนกฎหมายทุกระดับที่กำกับการทำงานตามความรับผิดชอบของกรม รวมถึงกฎหมายลูก ทั้งกฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่ามีฉบับใดที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข โดยกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย หรือ กฎหมายที่เป็นคุณอย่างเดียว ก็ให้ดำเนินการหาทางแนวทางในการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้สอดคล้องสอดรับกับบริบทของสังคมในปัจจุบัน และทำให้เกิดการส่งเสริมพี่น้องประชาชนได้มีความอยู่ดี กินดี มีกฎ กติกาที่จะทำให้สังคมเกิดความผาสุก และหากกฎหมายฉบับใดที่ดีอยู่แล้ว ก็คงไว้ ทั้งนี้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานทุกฝ่ายภายในกระทรวงมหาดไทยนี้ จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อน ส่งเสริมให้เกิดการ Change for Good ด้วยกลไกของกฎหมายให้เกิดขึ้น “และนอกจากการประเมินผลสัมฤทธิ์และทบทวนกฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้วนั้น กระทรวงมหาดไทย โดยหน่วยงานด้านกฎหมายของแต่ละกรม จะต้องตั้งคณะทำงานเชิงรุก เพื่อคอยสอดส่องติดตามประเด็นต่าง ๆ ในสังคม รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake Holder) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละกรม เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านการจัดการทบทวน ประเมิน แก้ไข ได้อย่างทันท่วงที เกิดประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อสนองตอบความต้องการของพี่น้องประชาชนตามบริบทสังคมไทยได้อย่างถูกต้องและเป็นรูปธรรม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย ด้านนายยงยุทธ ชื้นประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติในความรับผิดชอบ รวมประมาณ 161 ฉบับ จำแนกเป็นในความรับผิดชอบของกรมการปกครอง 97 ฉบับ กรมที่ดิน 9 ฉบับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 1 ฉบับ กรมโยธาธิการและผังเมือง 7 ฉบับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 35 ฉบับ การประปานครหลวง 2 ฉบับ การประปาส่วนภูมิภาค 1 ฉบับ การไฟฟ้านครหลวง 1 ฉบับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1 ฉบับ และกรุงเทพมหานคร 7 ฉบับ นอกจากนี้มีกฎหมายลำดับรอง ได้แก่ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ ข้อบัญญัติ ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่ง รวมกว่า 898 ฉบับ โดยในปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การประกาศรายชื่อกฎหมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย การจัดทำคำอธิบายและคำแปลของกฎหมาย และการเผยแพร่ข้อมูลกฎหมายและกฎเกณฑ์ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนาม ออกตามความในมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยให้แล้วเสร็จทุกฉบับภายในปี 2568 เพื่อทำให้กฎหมายในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย สามารถขับเคลื่อนภารกิจในการทำให้พี่น้องประชาชนได้มีความสุข สังคมมีความผาสุก อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ้นสุดโครงการมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีผู้ร่วมโครงการกว่า 2.2 แสนคน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 14/02/2566 สิ้นสุดโครงการมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีผู้ร่วมโครงการกว่า 2.2 แสนคน วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลรับทราบผลการดำเนินโครงการมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ช่วงวันที่ 26 ก.ย.2565 – 31 ม.ค.2566 โดยมีผู้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ 188,739 ราย ลงทะเบียนในงานมหกรรมสัญจรทั้งใน กทม. และ 4 ภูมิภาค รวม 33,859 ราย ดำเนินการช่วยเหลือแล้วโดยปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ปัจจุบัน เสริมทักษะอาชีพสร้างรายได้เสริม และให้ความรู้ในการบริหารจัดการเงินอย่างถูกต้อง สำหรับปี 2566 นี้ ประชาชนที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ยังสามารถขอความช่วยเหลือได้ โดยผู้ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ ติดต่อ ทางด่วนแก้หนี้ โทร.1213 ผู้มีหนี้เสียจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ติดต่อคลินิกแก้หนี้ โทร.1443 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือทวิภาคีร่วมกับกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น เรื่อง แนวทางการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยกับญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือทวิภาคีร่วมกับกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น เรื่อง แนวทางการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยกับญี่ปุ่น รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือทวิภาคีร่วมกับ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยกับกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ในห้วงการประชุมเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียน - ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (Preparatory Meeting for the ASEAN-Japan Special Meeting of Justice Ministers) พันตํารวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เข้าร่วมหารือทวิภาคีร่วมกับ นางสาวโนริโกะ ชิบาตะ (Ms. Noriko Shibata) ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยกับกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม (Memorandum of Cooperation (MOC) between the Ministry of Justice of Japan and the Ministry of Justice of the Kingdom of Thailand in the Field of Legal and Justice Administration) ซึ่งได้ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด และการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ ซึ่งอาจพิจารณาการจัดทำแผนงาน (Work Plan) ระยะ ๒ ปี เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ MOC ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในด้านการป้องกันอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความมั่นคงทางไซเบอร์ (cybersecurity) และการฟอกเงิน (money laundering) ผ่านสกุลเงินดิจิทัล เป็นต้น ซึ่งเป็นช่องทางและแหล่งทุนขององค์กรอาชญากรรม โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นพ้องว่า การสืบพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเรื่องที่มีความท้าทายและประเด็นสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ (cybercrime) ดังนั้น จึงยินดีที่ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาล เชิญชวนครู-บุคลากรการศึกษา ร่วม “มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย” 4 ภูมิภาค นำร่อง “อีสาน” 18–19 ก.พ.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​รัฐบาล เชิญชวนครู-บุคลากรการศึกษา ร่วม “มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย” 4 ภูมิภาค นำร่อง “อีสาน” 18–19 ก.พ.นี้ ​รัฐบาล เชิญชวนครู-บุคลากรการศึกษา ร่วม “มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย” 4 ภูมิภาค นำร่อง “อีสาน” 18–19 ก.พ.นี้ วันที่ 16 ก.พ.66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเชิญชวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกกลุ่ม ร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย ซึ่งจัดขึ้นใน 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ นำร่องภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นครั้งที่ 1 วันที่ 18 – 19 ก.พ. 2566 ณ หอประชุมโรงเรียนกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ครั้งที่ 2 วันที่ 4 – 5 มี.ค. 2566 ณ หอประชุมราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคตะวันออก ครั้งที่ 3 วันที่ 11 – 12 มี.ค.2566 ณ จังหวัดสระแก้ว ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 วันที่ 18 – 19 มี.ค. 2566 ณ หอประชุมวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก และภาคใต้ ครั้งที่ 5 วันที่ 25 – 26 มี.ค. 2566 ณ หอประชุมสุราษฎร์ธานีวชิราลงกรณ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า งานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย เป็นความร่วมมือของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง, กระทรวงยุติธรรม, กรมส่งเสริมสหกรณ์, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ, สมาคมธนาคารไทย, สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ, ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารกรุงไทย, กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ฯลฯ จัดขึ้นเพื่อให้คำปรึกษา ปรับโครงสร้าง ไกล่เกลี่ยหนี้ ส่งเสริมการออมและการลงทุน และให้ความรู้ด้านการบริหารและจัดการการเงิน ให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกกลุ่มได้เข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้สินภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กรณีลูกหนี้ NPL ลดภาะผู้ค้ำประกัน ปรับโครงการหนี้ลดหรือพักดอกเบี้ย เป็นต้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย เป็นการต่อยอดจากการจัดจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย “Unlock a better life” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 17-18 ธ.ค.2565 ที่ผ่านมา ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยได้กำหนดเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเดือดร้อนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65022
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม Agoda เผย กรุงเทพฯ ติด Top 3 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ พร้อมทั้งแต่งบทกวีถึงกรุงเทพฯ โดย ChatGPT เพื่อมอบเป็นของขวัญต้อนรับวาเลนไทน์
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม Agoda เผย กรุงเทพฯ ติด Top 3 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ พร้อมทั้งแต่งบทกวีถึงกรุงเทพฯ โดย ChatGPT เพื่อมอบเป็นของขวัญต้อนรับวาเลนไทน์ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม Agoda เผย กรุงเทพฯ ติด Top 3 เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ พร้อมทั้งแต่งบทกวีถึงกรุงเทพฯ โดย ChatGPT เพื่อมอบเป็นของขวัญต้อนรับวาเลนไทน์ วันนี้ (วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดี Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลกสำหรับการท่องเที่ยว ที่เปิดเผยข้อมูลจากการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มในช่วง 14 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 2 ของเมืองยอดนิยม ที่ได้รับการค้นหามากที่สุดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ซึ่งโตเกียว กรุงเทพฯ และสิงคโปร์ เป็นเมืองยอดนิยม 3 อันดับแรก โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ Agoda ได้นำมาจัดอันดับในครั้งนี้ มาจากการอ้างอิงข้อมูลจากการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มของ Agoda นอกจากนี้ ทาง Agoda ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ โดยการนำข้อมูลจัดอันดับการค้นหาที่พักบนแพตฟอร์ม ผสานเข้ากับ เทคโนโลยีแชทบอทChatGPT แต่งเป็นบทกวีออกมาเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่นักเดินทาง ซึ่งในบทกวีของแต่ละอันดับ ได้ดึงจุดเด่น ของความเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ละเมืองขึ้นมา สำหรับ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ChatGPT ได้ชูจุดเด่นโดยการแต่งบทกวีว่า “จากผัดไทยสู่ต้มยำกุ้ง รสชาติอาหารเมืองกรุง (เทพฯ) นั้นอร่อยเหลือเชื่อ” ซึ่งจากบทกวีนี้ สะท้อนความโด่งดังของกรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัฒนธรรมอาหาร “นายกรัฐมนตรี ปลื้มผลการจัดอันดับเมืองที่ถูกค้นหามากที่สุด อันดับ 2 ของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม นายกฯ ชื่นชมและขอบคุณการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้พัฒนาภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65025
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่นนทบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือซึ่งได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่นนทบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือซึ่งได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นนทบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือซึ่งได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการและการดำเนินงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนนทบุรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 รอบที่ 1 ซึ่งมี นายอาทิตย์ อิงคุทานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดนนทบุรีและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วม โดย ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินงานตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามแนวคิด "ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน" พร้อมขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกท่านในการปฏิบัติงาน และได้มอบนโยบายและข้อเสนอแนะ อาทิ เน้นย้ำการตรวจกำกับดูแลสถานประกอบกิจการโรงงานให้ได้ 100% โดยมุ่งเน้นสถานประกอบกิจการโรงงานที่มีนัยสำคัญ การติดตามโรงงานที่เข่าข่ายต้องประเมินความเสี่ยงฯ ตามกฎหมาย การขออนุญาตและการรายงานการจัดการของเสีย (สก.1,2,3) ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เร่งรัดการส่งเสริมโรงงานให้ได้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% การติดตามโรงงานที่มีการร้องเรียนและฟ้องร้อง การประชาสัมพันธ์การแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการโรงงานรายเดือน (รง.8) และรายปี (รง.9) ตามกฎหมาย ตามแบบ i-Single Form รวมถึง เน้นย้ำการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. การดำเนินงานการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ (ITA) โดยให้มีคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ยังได้พบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและบูรณาการการทำงานในพื้นที่จากตัวแทนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนนทบุรี ประธานหอการค้าจังหวัดนนทบุรี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขานนทบุรี และในเวลา 13.00 น. ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร โดยการติดตั้งจอ LED บริเวณชุมชนเพื่อรายงานคุณภาพอากาศจากโรงไฟฟ้า ติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งแบบออนไลน์ ดำเนินโครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านเกณฑ์การประเมินธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม มีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลกโดยได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวในระดับที่ 4 ดำเนินงานจิตอาสาต่าง ๆ เช่น โครงการเยาวชนจิตอาสาเรียนรู้ชุมชน โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจรักษาในชุมชน โครงการแว่นสายตาเพื่อชุมชน โครงการพัฒนากีฬาเยาวชน เป็นต้น และมีการกระจายรายได้ให้กับประชาชนและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยการจัดสถานที่ขายสินค้าให้ร้านค้าชุมชนรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองลำปาง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควัน พร้อมตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครประจำด่านตรวจ ย้ำการเผาในที่โล่งทุกชนิดมีความผิดตามกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 พ่อเมืองลำปาง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควัน พร้อมตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครประจำด่านตรวจ ย้ำการเผาในที่โล่งทุกชนิดมีความผิดตามกฎหมาย พ่อเมืองลำปาง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ไฟป่าหมอกควัน พร้อมตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครประจำด่านตรวจ ย้ำการเผาในที่โล่งทุกชนิดมีความผิดตามกฎหมาย หากพบเหตุไฟป่าในพื้นที่แจ้งสายด่วนนิรภัย 1784 หรือสายด่วนที่หมายเลข 0-5426-5072-4 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาไฟป่าหมอกควัน พร้อมตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ผู้ปฏิบัติงานประจำจุดตรวจจุดสกัด ณ ด่านเฝ้าระวังป่าชุมชน บ้านโทกหัวช้าง หมู่ที่ 3 ตำบลพระบาท บ้านหัวฝาย หมู่ที่ 4 และวัดสามัคคีบุญญาราม พร้อมด้วย นายชนาธิป เสมแย้ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และคณะ เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนกำชับแนวทางปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำด่าน และเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เมื่อวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่จังหวัดลำปาง ปัจจุบันในหลายพื้นที่ได้ประสบกับปัญหาไฟป่าจึงทำให้สถานการณ์จุดความร้อนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก (จำนวน 338 จุด) โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการเข้มงวดกวดขันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเข้าทำการดับไฟทันทีที่มีเหตุรายงาน และได้มีการเฝ้าระวังกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยเกี่ยวกับการเผาป่า เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ นายชนาธิป เสมแย้ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำปาง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานขอเฮลิคอปเตอร์ดับไฟป่าของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน พร้อมมอบหมายให้อำเภอวิเคราะห์หาสาเหตุจากการเกิดไฟป่าที่เกิดขึ้นด้วย นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้น ขอให้มีการเฝ้าระมัดระวังปัญหาสุขภาพในประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก คนชรา หญิงมีครรภ์ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวในกลุ่มโรคทางเดินหายใจ และโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากคุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนทั่วไปและประชาชนกลุ่มเสี่ยงจึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย หากมีความจำเป็นต้องออกมายังพื้นที่ภายนอก อย่างไรก็ตาม หากมีอาการทางสุขภาพรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน สำหรับอาการป่วยที่พบโดยส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น มีเสมหะ มีน้ำมูก และคัดจมูก เป็นต้น ซึ่งทางจังหวัดอยากขอให้ประชาชนหยุดการเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเรือนที่อยู่ใกล้พื้นที่การเกษตร เพราะนอกจากจะทำให้สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันทวีความรุนแรงขึ้นแล้ว ยังมีโทษทางกฎหมายตามมาด้วย นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวย้ำเตือนในช่วงท้ายว่า การเผาในที่โล่งทุกชนิดล้วนมีความผิดตามกฎหมาย โดยมีอัตราโทษ ดังนี้ (1) การเผาป่าในเขตป่าไม้ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท (2) การเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 150,000 บาท (3) การเผาป่าในเขตอุทยานแห่งชาติ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000 ถึง 2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (4) การเผาป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000 ถึง 2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ (5) การเผาหญ้า เผาขยะ เป็นเหตุรำคาญ หากไม่ทำตามที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่แจ้ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากพบเหตุไฟป่าพื้นที่จังหวัดลำปางให้แจ้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำปาง โทร. 1784 หรือหมายเลขโทรศัพท์ 054-265072-4 ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าแก้ไขสถานการณ์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรง ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ถวายภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง และกรรมการกำกับห้องสอบในการสอบบาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ระหว่างวันที่ 15 - 17 กุมภาพันธ์ 2566 ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 83 สนามสอบ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เป็นประธานในพิธี อาทิ ที่จังหวัดลพบุรี ณ วัดชีป่าสิตาราม อ.เมืองลพบุรี พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นประธานสงฆ์ นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีถวายภัตตาหารเพลพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แด่พระภิกษุ สามเณร โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จิตอาสาพระราชทาน และพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธี เช่นเดียวกันที่จังหวัดกาญจนบุรี ณ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม อำเภอเมืองกาญจนบุรี โดยมี พระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี และเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีถวายภัตตาหารเพลและสิ่งของพระราชทาน แด่พระภิกษุ สามเณร โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชน ร่วมพิธี และที่จังหวัดนาน ณ วัดพญาภู พระอารามหลวง ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน พระราชศาสนาภิบาล เจ้าคณะจังหวัดน่าน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุ สามเณร โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนจังหวัดน่าน ร่วมพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยในห้วงวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2566 ประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลฯ ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดตาก ที่ห้องรับรอง ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดตาก นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานในพิธีรับหนังสือสวดมนต์บทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อใช้เป็นบทสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมพิธี 2. จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่วัดบางโรง ตำบลบางโรง อำเภอคลองเขื่อน นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายอำเภอ คณะกรรมการและสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอบางคล้า เข้าร่วมกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ (พอ.สว.) และเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคดวงตา อวัยวะ และร่างกาย เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดอุบลราชธานี ที่หอประชุมอำเภอศรีเมืองใหม่ นายภัทรนันท์ บุญมานัด นายอำเภอศรีเมืองใหม่ พร้อมด้วย เหล่ากาชาดอำเภอศรีเมืองใหม่ และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมปฏิบัติหน้าที่ออกหน่วยบริจาคโลหิต ร่วมกับโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนตำบล นักเรียน จิตอาสาพระราชทาน และพ่อค้าประชาชน ร่วมบริจาคโลหิต โดยมีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 183 ราย มีผู้บริจาคร่างกาย จำนวน 2 ราย ผู้บริจาคอวัยวะ จำนวน 4 ราย และผู้บริจาคดวงตา จำนวน 3 ราย 4. จังหวัดศรีสะเกษ ต.ก้านเหลือง อ.อุทุมพรพิสัย นางมัลลิกา เกษกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายศราวุธ ทรงโฉม นายอำเภออุทุมพรพิสัย คณะเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดศรีสะเกษ หัวหน้าส่วนราชการ ลงพื้นที่มอบช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 5. กรุงเทพมหานคร ที่ศาลาล้วน มุขมนตรี วัดเปาโรหิตย์ เขตบางพลัด พระครูสมุห์ ชัยพล โสภโณ เจ้าอาวาสวัดเปาโรหิตย์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จ่าเอก ชัยพร จันลี หัวหน้าฝ่ายปกครองเขตบางพลัด เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยข้าราชการ บุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตบางพลัด คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดเปาโรหิตย์ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 6. จังหวัดชัยภูมิ ที่หน้าสำนักงานเทศบาลตำบลคอนสวรรค์ อ.คอนสวรรค์ นางสาวเพชราพร ภูมิรัตนประพิณ นายกเทศมนตรีตำบลคอนสวรรค์ พร้อมคณะผู้บริหาร สมาชิกสภา ปลัดเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และพิธีบำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดสุรินทร์ ที่บริเวณหน้าอาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล นายชัยยา บุญสงค์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสนม พร้อมด้วย ผู้บริหารและบุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลสนม ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และพิธีบำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65038
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กระชับความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการต่างประเทศเพื่อประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กระชับความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการต่างประเทศเพื่อประชาชน รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กระชับความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการต่างประเทศเพื่อประชาชน วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเปโดร สวาห์เลน (H.E. Mr. Pedro Zwahlen) เอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย พบหารือนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นที่เป็นที่สนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (pm 2.5) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อนที่ไทย สมาพันธรัฐสวิส และประชาคมโลกต้องเผชิญเหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสร่วมกัน โดยเป็นการลงนามข้อตกลงถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตร่วมกันเป็นคู่แรกของโลก และเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศดำเนินความร่วมมือภายใต้ความตกลงปารีส ข้อ 6.2 เพื่อจัดทำกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ ซึ่ง “รถบัสไฟฟ้า” ถือเป็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยทั้งสองฝ่ายยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความตกลงดังกล่าวดำเนินการจนเห็นผลเป็นรูปธรรม และพร้อมกระชับความร่วมมือ และเดินหน้าโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ยินดีและพร้อมผลักดันเรื่องนี้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 ในขณะที่เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ฯ เห็นว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยไทยจะได้รับความรู้การถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงได้รับประโยชน์จากการลงทุน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอร์รี่ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ฯ ยังได้นำเสนอโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรแบบใหม่ลดการปล่อยก๊าซ โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อตรวจและวัดระดับปริมาณน้ำ เนื่องจากเห็นว่า เกษตรกรรมถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศไทย ซึ่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ให้ความสนใจต่อโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตฯ หารือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อจักได้กระชับความร่วมมือในเรื่องนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ สวทช. มีหลายโครงการที่มุ่งขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยก็ได้มุ่งผลักดันการตระหนักรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) เพื่อความยั่งยืนมาตลอด ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายกรุงเทพ (Bangkok goals on BCG Economy) ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ฯ ยังได้กล่าวขอบคุณที่รัฐบาลมีมติอนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสมาพันธรัฐสวิส ฯ และครอบครัว รวมทั้งเชื่อว่าจะเป็นกลไกพัฒนาความสัมพันธ์ระดับประชาชนและความร่วมมือระหว่างไทยและสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65040
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตสมุนไพร ต้นแบบการประกอบกิจการที่ดำเนินการตามนโยบาย MIND ใน 4 มิติ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตสมุนไพร ต้นแบบการประกอบกิจการที่ดำเนินการตามนโยบาย MIND ใน 4 มิติ นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตสมุนไพร ต้นแบบการประกอบกิจการที่ดำเนินการตามนโยบาย MIND ใน 4 มิติ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการอุตสาหกรรม บริษัท อุทัยประสิทธิ์ จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบกิจการผลิตสมุนไพร กลุ่มยาแก้ไข้ กลุ่มยาบำรุงหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มยาบำรุงร่างกาย กลุ่มยาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และกลุ่มยาใช้ภายนอก ซึ่งการประกอบกิจการได้ดำเนินการตามนโยบาย MIND ใน 4 มิติ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนโบราณ ยอดขายผลิตภัณฑ์ต่อเดือน จำนวน 3 ล้านบาท มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน สนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกงาน มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ลดขยะ สิ่งปฏิกูล และการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ควบคุมคุณภาพเพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต มิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชน สร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยการจ้างงานบริเวณชุมชนรอบโรงงาน รับซื้อวัตถุดิบสมุนไพรจากโรงงาน รวมทั้งสถานประกอบการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โครงการสินเชื่อ SMEs โตไว ไทยยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบการและให้กำลังใจในการประกอบการ พร้อมได้เชิญชวนเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับตา “ไวรัสมาร์บวร์ก” ในอิเควทอเรียลกินี แอฟริกากลาง มีอัตราตายสูง ติดต่อทางเลือดและอุจจาระเหมือนอีโบล่า
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.จับตา “ไวรัสมาร์บวร์ก” ในอิเควทอเรียลกินี แอฟริกากลาง มีอัตราตายสูง ติดต่อทางเลือดและอุจจาระเหมือนอีโบล่า กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) ซึ่งระบาดในประเทศอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) ในแอฟริกากลาง เป็นครั้งแรก กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) ซึ่งระบาดในประเทศอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) ในแอฟริกากลางเป็นครั้งแรก ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 9 ราย โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง มีเลือดออกและเสียชีวิตใน 7 วัน ลักษณะของโรคใกล้เคียงกับอีโบล่า วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) ในประเทศอิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) ในแอฟริกากลาง ที่ทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 9 ราย โดยได้รับรายงานว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีอาการติดเชื้อรุนแรง เป็นไข้และอาเจียนเป็นเลือด และยังมีผู้ป่วยสงสัยอีก 16 ราย ส่วนใหญ่มีอาการไข้ อ่อนเพลีย อาเจียนเป็นเลือดและท้องเสีย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการสอบสวนโรคเพิ่มเติม และองค์การอนามัยโลกได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญไปสอบสวนโรคในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อติดตามแยกกักผู้สัมผัส และให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่แสดงอาการ รวมถึงบริหารสถานการณ์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก เป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง ประเทศไทยกำหนดให้เป็น 1 ใน 13 โรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีอัตราการป่วยเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 88 เป็นไวรัสในสกุลเดียวกับไวรัสอีโบลา คือ Filoviridae ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หลายรายมีเลือดออกและอุจจาร่วงอย่างรุนแรง สามารถติดต่อได้ทางเลือดและอุจจาระเช่นเดียวกับไวรัสอีโบลา พบไวรัสในค้างคาวและแพร่เชื้อมาสู่คน นอกจากนี้ ยังติดต่อได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับเลือดและสารคัดหลั่งจากร่างกายผู้ติดเชื้อ หรือสัมผัสเชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนบนพื้นผิววัสดุต่างๆ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสที่รักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กได้ จะให้การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก แต่ปัจจุบันมีการเดินทางจากประเทศต่างๆ มายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น กรมควบคุมโรคจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจากองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ยังไม่มีการประกาศห้ามการเดินทาง แต่เน้นมาตรการคัดกรองผู้เดินทางจากประเทศอิเควทอเรียลกินี และประเทศใกล้เคียง ล่าสุดมีรายงานข่าวพบผู้ป่วยสงสัยเพิ่ม 2 รายบริเวณชายแดนประเทศแคเมอรูน ติดกับพื้นที่ระบาดในประเทศอิเควทอเรียลกินี จึงได้เพิ่มระดับการเตรียมความพร้อมระบบการเฝ้าระวังและคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศทุกแห่ง ตลอดจนแจ้งสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ หากพบผู้ป่วยสงสัยให้เก็บตัวอย่างส่งตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการและรายงานผู้ป่วยที่สงสัยภายใน 3 ชั่วโมง และหากประชาชนพบผู้ที่สงสัยโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก ให้แจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422 ************************************** 16 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65027
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ” มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ. ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ติดตามการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ รับฟังปัญหา บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 “นายกฯ” มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ. ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ติดตามการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ รับฟังปัญหา บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก “นายกฯ” มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ. ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ติดตามการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ รับฟังปัญหา บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก วันนี้ (16 ก.พ.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จ. ราชบุรี ในวันพรุ่งนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) โดยในช่วงเช้า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยัง ศาลากลาง จ.ราชบุรี เพื่อรับฟังรายงานสรุปจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต่อจากนั้น จะเดินทางไปตรวจราชการโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ณ บริเวณริมเขื่อนวัดช่องลม อ.เมือง จ.ราชบุรี จากนั้นจะเดินทางไปยัง เขื่อนรัฐประชาพัฒนา อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ช่วงบ่าย รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรีจะเดินทางไปยัง อุทยานหินเขางู เทศบาลตำบลเขางู อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อตรวจราชการและติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติชุมชนอย่างยั่งยืน “อุทยานหินเขางู” พร้อมทั้งพบปะผู้นำส่วนราชการ และภาคประชาชน เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและความต้องการของประซาชนในพื้นที่ “การลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ในครั้งนี้ ท่านนายกฯ มอบหมายให้ติดตามความคืบหน้าในหลายๆประเด็นอาทิ แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อการเชื่อมโยงกับการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก การแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ซึ่งรัฐบาล แนวทางการส่งเสริมพัฒนาตาม BCG Model ตลอดจน การขับเคลื่อนเกษตรมูลค่าสูง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่มีรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลมุ่งส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรสีเขียวแบบครบวงจรสู่เมืองอาหารปลอดภัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวและบริการวิถีใหม่อย่างมีคุณภาพบนฐานอัตลักษณ์ชุมชนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งรัฐบาล ตั้งเป้าหมายการพัฒนา จังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2566-2570 ให้เป็น เมืองเกษตรสีเขียว เศรษฐกิจเข้มแข็ง สังคมคุณภาพ” นายธนกร กล่าว --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65052
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค วันที่ 18 - 19 ก.พ. 66 จังหวัดกาฬสินธุ์
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 กยศ. ร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค วันที่ 18 - 19 ก.พ. 66 จังหวัดกาฬสินธุ์ กยศ.เชิญชวนผู้กู้ยืมที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า วันที่ 18 - 19 ก.พ.2566 นี้ ณ ห้องประชุมนิลปัทม์ โรงเรียนกมลาไสย กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เชิญชวนผู้กู้ยืมที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการและพันธมิตรกลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ พร้อมให้คำแนะนำในการวางแผนการออมการลงทุน วันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ ณ ห้องประชุมนิลปัทม์ โรงเรียนกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เข้าร่วมออกบูธภายในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ซึ่งจัดโดยกระทรวงศึกษาธิการและพันธมิตร กลุ่มสถาบันการเงินต่างๆ ระหว่างวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.30 - 17.00 ณ ห้องประชุมนิลปัทม์ โรงเรียนกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มข้าราชการครูหรือบุคลากรทางการศึกษาได้มีโอกาสในการเจรจาแก้ไขปัญหาหนี้ร่วมกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ตลอดจนการให้บริการอบรมความรู้ทางการเงิน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กองทุนขอเชิญชวนข้าราชการครูหรือบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืม กยศ. เข้าร่วมงาน โดยสามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาการชำระหนี้ได้ที่บูธ กยศ.” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​89-day no-burning rule to be put in place to curb haze and wildfire
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 15/02/2566 ​89-day no-burning rule to be put in place to curb haze and wildfire ​89-day no-burning rule to be put in place to curb haze and wildfire February 15, 2023, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha has closely followed up on haze and wildfire situation with great concern over PM2.5 particulates that may harm people’s health. With the increasingly severe situation of wildfire in many areas as a result of drought, forest burning and exploitation, wildfire smoke spreads all over and produces fine particulate matter of PM2.5 that jeopardizes people’s health. The Prime Minister ordered all concerned agencies to discuss and come up with responses and preventive measures. They are instructed to conduct after action review on wildfire situation according to different perspectives of each agency in a bid to prevent the damage of widespread wildfire to the environment, agricultural areas, and people’s properties, as well as to curb the rise of PM2.5 in the air. The Prime Minister ordered for the implementation of any measure possible to keep wildfire under control, and seek cooperation from all concerned localities to observe 89-day no-burning (of all kinds) rule during February 1 and April 30, 2023. Those who violate the rule will be penalized. Concerned agencies are also urged to work proactively to create public awareness. If the situation is not better, plan adjustment will be necessary to beef up related measures.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เตรียมความพร้อมก่อนรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS)
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เตรียมความพร้อมก่อนรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ... กรมเจ้าท่า เตรียมความพร้อมก่อนรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย เป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมก่อนรับการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) เพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดในการเตรียมความพร้อมรับการตรวจประเมิน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ประเทศไทยในฐานะสมาชิกขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) มีพันธกรณีต้องรับการตรวจประเมินจาก IMO ในอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี จำนวน 6 ฉบับ ประกอบด้วย อนุสัญญา SOLAS อนุสัญญา MARPOL (เฉพาะภาคผนวกที่ 1 และ 2) อนุสัญญา LOADLINE อนุสัญญา TONNAGE อนุสัญญา CORLEG และอนุสัญญา STCW ให้เป็นไปตามประมวลข้อบังคับว่าด้วยการอนุวัติการตรวจตราสารขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO Instruments Implementation Code : III Code) ประกอบด้วย ประเด็นโดยรวม (Common Area) รัฐเจ้าของธง (Flag State Implementation) รัฐชายฝั่ง (Coastal State Implementation) และรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State Implementation) โดยมีกำหนดรับการตรวจประเมินจาก IMO ระหว่างวันที่ 20 – 27 กุมภาพันธ์ 2566 สำหรับหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการกำกับ ดูแลความปลอดภัยของการเดินเรือ การขนส่งทางทะเลและการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งอยู่ในขอบเขตของการตรวจประเมิน จำนวน 16 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน กสทช. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดได้รับทราบกำหนดการตรวจประเมินและเตรียมความพร้อมรับการตรวจอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นการตรวจประเมินประกอบด้วย การจัดทำกลยุทธ์ระดับประเทศในการขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนด การกำกับดูแลการดำเนินการโดยคณะกรรมการแห่งชาติ เพื่อประสานงานกับ IMO การลงนามบันทึกความร่วมมือแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา การฝึกอบกรมให้กับเรือไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลตรวจอากาศทางทะเล การขยายสถานี Navtex เพื่อให้บริการข่าวสารด้านการเดินเรือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลอั่วไทยและอันดามัน การฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย การตั้งสำนักงานสืบสวนอุบัติเหตุทางน้ำ เพื่อให้การสอบสวนอุบัติเหตุทางน้ำเป็นอิสระ และการตั้งกลุ่มมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าและสินค้าอันตราย เพื่อกำหนดการกำกับ ดูแลความปลอดภัยระหว่างการขนส่งสินค้าทางเรือ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2565 เพิ่ม 21.1% สูงสุดหลังจากเกิด COVID-19 LTV ฉุดภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2566 ลดลง -10.2%
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2565 เพิ่ม 21.1% สูงสุดหลังจากเกิด COVID-19 LTV ฉุดภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2566 ลดลง -10.2% สรุปภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้านที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจาก “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” ที่ฉายภาพให้เห็นว่า ปี 2565 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว โดยมีค่าดัชนีรวมอยู่ที่ 91.7 จุด เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) สรุปภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้านที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจาก “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” ที่ฉายภาพให้เห็นว่า ปี 2565 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว โดยมีค่าดัชนีรวมอยู่ที่ 91.7 จุด เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 21.1 ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของค่าดัชนีสูงสุดนับจากปี 2562 ที่เริ่มปรับตัวลงแรงจากผลกระทบมาตรการ LTV และ อยู่ในจุดต่ำสุดต่อเนื่องกัน 2 ปี ในปี 2563 และ 2564 ที่ 75.6 และ 75.7 จุด ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล การผ่อนปรน LTV อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังไม่ปรับตัวนัก รวมถึงสภาพเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวได้รับประโยชน์จาการเข้ามาท่องเที่ยวของคนต่างชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยภาคอสังหาฯ แต่ปี 2566 กลับพบปัจจัยลบที่เข้ามากระทำต่อตลาดในหลายด้าน ตั้งแต่ไม่ผ่อนปรน LTV ซึ่งจะกระทบต่อคนที่ต้องการมีการซื้อสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุน ที่เป็นบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30% และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ลดค่าธรรมเนียมการโอนเพียง 1% ประกอบกับ ปี 2566 เป็นช่วงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่อาจจะสูงขึ้นถึงร้อยละ 0.75-1.0 และราคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะปรับตัวราคาขึ้นทางตรงและทางอ้อม (ส่วนลด/ของแถมน้อยลง) ทั้งนี้ REIC จึงคาดการณ์ว่าในปี 2566 ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงจากปี 2565 เล็กน้อยอยู่ที่ 90.2 จุด หรือลดลง ประมาณร้อยละ -1.6 สำหรับกรณีฐาน (Base Case) และหากมีปัจจัยบวกที่ดีกว่าที่คาดไว้อาจจะมีการขยายตัวได้ถึงร้อยละ 8.2 (Best Case) แต่หากมีปัจจัยที่ส่งผลรุนแรงกว่าที่คาดไว้ อาจจะติดลบได้ถึงร้อยละ -11.5 (Worst Case) • สถานการณ์อุปทานและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยปี 2565 หากพิจารณาเครื่องชี้สภาวะอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละด้าน พบว่าในด้านอุปทาน หน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ปี 2565 มีจำนวน 78,005 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 เมื่อเทียบกับปี 2564 ในขณะที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จำนวน 327,633 หน่วย ลดลงร้อยละ -2.0 จากปี 2564 ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแนวราบ 267,939 หน่วย ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด 59,694 หน่วย ทั้งนี้ หากพิจารณาอุปทานจาก ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในปี 2565 เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 100,269 หน่วย เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 94.6 เมื่อเทียบกับปี 2564 ประกอบด้วย โครงการอาคารชุด 51,635 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 145.3 และโครงการบ้านจัดสรร 48,634 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากสภาวะของอุปทานที่อยู่อาศัยข้างต้น ได้สะท้อนให้เห็นได้ว่า มีการฟื้นตัวอย่างมากในฝั่งอุปทานที่อยู่อาศัย ดังที่จะได้เห็นการขยายตัวค่อนข้างสูงถึงสูงมากในเกือบทุกเครื่องชี้ฯ ยกเว้นการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศที่มีการปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับด้านอุปสงค์ พบว่า หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2565 มีจำนวน 392,858 หน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 จากปี 2564 ประกอบด้วย การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 285,731 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 107,127 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.2 ในด้านมูลค่าพบว่าในปี 2565 มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จำนวน 1,065,008 ล้านบาท ประกอบด้วยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 776,523 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ12.6 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 288,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั่วประเทศในปี 2565 มีจำนวน 698,072 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 และมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศ จำนวน 4,741,133 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 • คาดการณ์ทิศทางอุปทานและอุปสงค์ที่อยู่อาศัย ปี 2566 สำหรับทิศทางเครื่องชี้สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้านที่อยู่อาศัย ในปี 2566 REIC คาดการณ์ว่า ด้านอุปทานจะมีสภาวะทรงตัวถึงชะลอเล็กน้อย เนื่องจากได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 โดยหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ จะมีจำนวนประมาณ 78,269 หน่วย เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.3 ขณะที่ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย มีจำนวนประมาณ 300,228 หน่วยลดลงร้อยละ -8.4 ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ มีจำนวนประมาณ 246,504 หน่วย และที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 53,724 หน่วย ด้านที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนประมาณ 98,132 หน่วย ลดลงร้อยละ -2.1 ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร จะมีจำนวนประมาณ 58,046 หน่วย ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 โครงการอาคารชุดจะมีจำนวนประมาณ 40,086 หน่วย ลดลงร้อยละ -22.4 ขณะที่ ด้านอุปสงค์ที่อยู่อาศัยปี 2566 คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลง ซึ่งจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 352,761 หน่วย ลดลงร้อยละ -10.2 จะมีมูลค่าประมาณ 1,016,838 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -4.5 แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 264,571 หน่วย ลดลงร้อยละ -7.4 มูลค่าประมาณ 753,628 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.9 โอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดพักอาศัยมีจำนวนประมาณ 88,190 หน่วย ลดลงร้อยละ -17.7 มูลค่าประมาณ 263,210 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -8.8 ทั้งนี้คาดว่าจะกระทบยอดการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ทั่วประเทศ ปี 2566 อาจจะมีจำนวนรวมประมาณ 650,764 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -6.8 และมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างทั่วประเทศจำนวนประมาณ 4,955,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับปี 2565 “ภาวการณ์ฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยในปี 2565 เป็นการฟื้นด้านอุปทานเป็นหลัก เนื่องจาก ปี 2563 – 2564 หน่วยเปิดขายใหม่เกิดขึ้นน้อย หน่วยที่เหลือขายในตลาดก็ลดลง และเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปีของ 2565 ที่มีการเปิดตัวใหม่สูงมากเพราะมีการเปิดตัวคอนโดราคาถูกในช่วงนั้นจำนวนมาก และสามารถมียอดขายที่ดี ในเวลาเดียวกันตลาดบ้านจัดสรรที่เป็นที่ต้องการของตลาด ก็มีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ตลาดในช่วงนั้นมีความคึกคัก และมีปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยต่ำ กู้ได้มาก(ผ่อนปรน LTV) ราคาไม่ขึ้น เศรษฐกิจเริ่มดี ขณะที่การฟื้นตัวฝั่งอุปสงค์ ในปี 2565 อาจจะยังไม่แข็งแรงนัก แต่อุปสงค์มีการขยายตัวได้จากแรงกดดันที่เกิดจากการที่จะสิ้นสุดการผ่อนปรน LTV ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าสู่ขาขึ้น และค่าธรรมเนียมการโอนที่ลดลงเหลือร้อยละ 1% จากปี 2565 ที่ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.01 เท่านั้น นอกจากนี้ การเร่งโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2565 เป็นการดึงจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคตมา ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ใน Q1-Q2/2566 ชะลอตัวลงได้ ดังนั้น จึงอาจทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มีโอกาสลดลงจากปี 2565 ถึงร้อยละ 10.2 และ 4.5 ตามลำดับ” รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565 และ 2566 ในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่ง และการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ​บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่ง และการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ ... ทอท. ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่ง และการเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ ตามที่นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 พาดพิงปัญหาความแออัดคับคั่ง ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในการรองรับนักท่องเที่ยว ​บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงการดำเนินการ เพื่อรองรับนโยบายการเปิดประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศของจีน ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้คลี่คลายลง ส่งผลให้มีปริมาณการเดินทางทางอากาศของประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ห่วงโซ่อุปทานด้านการบิน ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดปัญหาความแออัดคับคั่งของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour) โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่ตรวจสภาพปัญหาความแออัดคับคั่งของผู้โดยสาร ณ ทสภ. พร้อมมอบนโยบายการแก้ไขปัญหา ซึ่งในส่วนของ ทสภ.ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในด้านต่างๆ รวมถึงได้เปิดให้บริการจุดเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Check-In: CUSS) และจุดโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) บริเวณโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร ทสภ.เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่งบริเวณเคาน์เตอร์เช็กอิน ​ตามนโยบายรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานมีความพร้อมทั้งมาตรการให้บริการจราจรทางอากาศและการให้บริการภาคพื้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจากข้อมูลปริมาณเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารของ ทอท. (ตั้งแต่วันที่ 8 - 31 มกราคม 2566) ทอท. มีเที่ยวบินในภาพรวม จำนวน 43,300 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 1,800 เที่ยวบิน/วัน และผู้โดยสารในภาพรวม 6.89 ล้านคน หรือเฉลี่ย 287,000 คน/วัน โดยเป็นเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 25,690 เที่ยวบิน และผู้โดยสารจำนวน 4.3 ล้านคน ซึ่ง ทอท. มีเที่ยวบินเส้นทางจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2,000 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ย 80 เที่ยวบิน/วัน โดยมีผู้โดยสาร จำนวน 255,000 คน หรือเฉลี่ย 11,000 คน/วัน ซึ่งเป็นเที่ยวบินณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 1,126 เที่ยวบิน และผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก จำนวน 238,374 คน ​ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ พบว่าในเดือนมกราคม 2566 มีปริมาณเที่ยวบินเฉลี่ย 829 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 84 แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 561 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 139 และเที่ยวบินภายในประเทศ 268 เที่ยวบิน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 24 และมีผู้โดยสารเดินทางเข้า - ออก เฉลี่ย 138,287 คน/วันฟื้นตัวร้อยละ 317 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 101,551 คน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 981 และผู้โดยสารภายในประเทศ 36,736 คน/วัน ฟื้นตัวร้อยละ 55 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 จากการประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการภาคพื้นทั้ง 2 ราย (TG และ BFS) ที่ใช้เวลามากกว่า 30 นาที เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งมีประมาณ 50 เที่ยวบินต่อวัน ปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2566) ลดลงเหลือประมาณ 15 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งจะเห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนนั้น บริษัทผู้ให้บริการภาคพื้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้ง 2 ราย มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดประเทศ รวมทั้ง ทอท. ได้ขยายระยะเวลาให้บางสายการบินบริการภาคพื้นด้วยตนเอง (Self Handling) เป็นการชั่วคราว สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ทอท. อยู่ระหว่างการสรรหาผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ​การเตรียมการแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่ง บริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางและจุดตรวจค้น (Security Screening) ภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ.ในอนาคต ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงพื้นที่จุดตรวจหนังสือเดินทางทั้งขาเข้า - ออก โดยจะเพิ่มช่องตรวจในรูปแบบ Auto Channel รวมถึงเพิ่ม New Priority Zone เพื่อเพิ่มพื้นที่และเพิ่มจำนวนช่องตรวจหนังสือเดินทางและจุดตรวจค้น ตลอดจนเพิ่มพื้นที่ Visa on Arrival ที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) และเพิ่ม Pre-Immigration Kiosk ที่อาคารผู้โดยสารหลัก และอาคาร SAT-1 ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวจะพร้อมให้บริการในเดือนกันยายน 2566 และในปี 2567 จะเปิดให้บริการพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้า Visa on Arrival และพื้นที่จุดตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า บริเวณสวนไผ่ ชั้น 2 ทสภ. สำหรับความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ขณะนี้ ทอท. ได้ดำเนินงานก่อสร้างอาคาร SAT-1 เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (Baggage Handling System: BHS) คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2566 จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ (Operation Readiness Airport Transfer: ORAT) ในการทดสอบเต็มรูปแบบ (Full Scale Trial) เพื่อพร้อมเปิดรับผู้โดยสารภายในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความแออัดคับคั่งของผู้โดยสาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีขอบคุณทีม USAR Thailand เป็นตัวแทนคนไทยร่วมนานาชาติร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี ล่าสุดสิ้นสุดภารกิจเดินทางกลับถึงไทย 18 ก.พ.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​นายกรัฐมนตรีขอบคุณทีม USAR Thailand เป็นตัวแทนคนไทยร่วมนานาชาติร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี ล่าสุดสิ้นสุดภารกิจเดินทางกลับถึงไทย 18 ก.พ.นี้ ​นายกรัฐมนตรีขอบคุณทีม USAR Thailand เป็นตัวแทนคนไทยร่วมนานาชาติร่วมปฏิบัติการช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี ล่าสุดสิ้นสุดภารกิจเดินทางกลับถึงไทย 18 ก.พ.นี้ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้รับทราบรายงานการสิ้นสุดภารกิจเข้าร่วมค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการแผ่นดินไหวในประเทศตุรกี ของชุดค้นหาและกู้ภัยในเมืองแห่งชาติ (Urban Search and Rescue) หรือทีม USAR Thailand เช่นเดียวกับทีมกู้ภัยนานาชาติ ตามการปรับแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 18 ก.พ. 66 นี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมพร้อมกับแสดงความขอบคุณทีม USAR Thailand ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรเจ้าหน้าที่ 42 คน และสุนัขกู้ภัย 2 ตัว ที่เป็นตัวแทนคนไทยในการเข้าร่วมกับนานาชาติปฏิบัติภารกิจเพื่อมนุษยธรรมอย่างกล้าหาญ ซึ่งนอกจากจะเป็นความภูมิใจของคนไทยแล้ว การเข้าร่วมภารกิจครั้งยังเป็นโอกาสที่เจ้าหน้าที่จะได้ถอดบทเรียนการให้ความช่วยเหลือกู้ภัยในเหตุภัยพิบัติขนาดใหญ่ เพื่อเป็นองค์ความรู้ด้านการช่วยเหลือในภาวะภัยพิบัติของไทยต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทีม USAR Thailand ได้เดินออกทางเพื่อเข้าร่วมการค้นหาผู้รอดชีวิตในภารกิจชื่อ Thailand for Türkiye เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา ก่อนจะได้ยุติภารกิจเช่นเดียวกับทีมกู้ภัยจากนานาชาติ เนื่องจากรัฐบาลประเทศผู้ประสบภัยได้ปรับแผนจากการค้นหาผู้รอดชีวิตไปสู่การให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ขณะนี้ได้เป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำถึงแนวทางของประเทศไทยที่จะให้ความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือประเทศผู้ประสบภัยตามกรอบที่นานาชาติกำหนดให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ ทีม USAR Thailand มีกำหนดเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบิน TK64 ในเวลา 10.10 น. ของวันที่ 18 ก.พ. 66
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65021
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ณัฏฐิญาฯ ร่วมประชุมหารือคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 1/2566
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 รปอ.ณัฏฐิญาฯ ร่วมประชุมหารือคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 1/2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมหารือคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เพื่อพิจารณาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจประเมินมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก จำนวน 10 คณะ ประจำปี พ.ศ. 2566 และแนวทางการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการและการประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เสนอระเบียบวาระเพื่อทราบ ได้แก่ การจัดพิธีมอบโล่และตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (มาตรฐาน GECC) ประจำปี พ.ศ. 2565 การปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ประจำปี พ.ศ. 2566 การประชุมชี้แจงทำความเข้าใจหลักเกณฑ์มาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (มาตรฐาน GECC) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อศึกษาต้นแบบศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยการประชุมดังกล่าว มีนางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายดุสิต อนันตรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ และเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65026
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร หลักสูตร FOO (R) รุ่นที่ 8
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 สถาบันการบินพลเรือน จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร หลักสูตร FOO (R) รุ่นที่ 8 ... สบพ. จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร หลักสูตร FOO (R) รุ่นที่ 8 นางสาวภัคณัฏฐ์ มากช่วย ผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร FOO (R) รุ่นที่ 8 พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์ร่วมแสดงความยินดี ซึ่งดำเนินการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น จำนวน 38 คน เป็นทุนจากประเทศเนปาล ภูฏาน และกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ณ สบพ. กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ เมืองสิงห์ฯ เร่งฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมปี 65 ด้วย กิจกรรมขับเคลื่อนวันดินโลก (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด "อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน Soils, where food begins"
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ว่าฯ เมืองสิงห์ฯ เร่งฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมปี 65 ด้วย กิจกรรมขับเคลื่อนวันดินโลก (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด "อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน Soils, where food begins" ผู้ว่าฯ เมืองสิงห์ฯ เร่งฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมปี 65 ด้วย กิจกรรมขับเคลื่อนวันดินโลก (World Soil Day 2022) ภายใต้แนวคิด "อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน Soils, where food begins" ปลื้มทุกภาคส่วน ทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากอุทกภัยปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมานั้น มีน้ำท่วมครอบคลุมทั้งจังหวัดสิงห์บุรีในทุกอำเภอ ได้แก่ อ.อินทร์บุรี อ.เมืองสิงห์บุรี อ.ท่าช้าง อ.พรหมบุรี อ.บางระจัน และ อ.ค่ายบางระจัน หลังจากระดับน้ำได้ลดไปแล้วนั้นได้สร้างความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูกและพืชผลทางการเกษตรของประชาชนในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีเป็นอย่างมาก ทางจังหวัดสิงห์บุรีจึงได้หาทางออกเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากปัญหาอุทกภัยดังกล่าว จึงได้จัดทำโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ โดยใช้กิจกรรมขับเคลื่อนวันดินโลก (World Soil Day) แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวว่า กิจกรรมขับเคลื่อนวันดินโลก (World Soil Day) ของจังหวัดสิงห์บุรีนั้น ในวันนี้นางศิริลักษม์ เหมาะพิชัย นายอำเภออินทร์บุรี พร้อมด้วย ปลัดอำเภอ นางพัชรินทร์ ทองเอื้อ พัฒนาการอำเภออินทร์บุรี ท้องถิ่นอำเภออินทร์บุรี เกษตรตำบลห้วยชัน กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับ นายเทิดทัย เกตุแป้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยชัน พร้อมเจ้าหน้าที่ อบต.ห้วยชัน ออกติดตามโครงการฯ พร้อมเยี่ยมเยียนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับครัวเรือนในพื้นที่อำเภออินทร์บุรี นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวต่อว่า หลังจากการลงพื้นที่ของนายอำเภออินทร์บุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าประชาชนในพื้นที่และภาคีเครือข่ายได้ช่วยกันขับเคลื่อนโครงการฯ ให้มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรมชัดเจนเป็นอย่างมาก อาทิ มีการน้อมนำโครงการพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” โดยพบว่า จากการพูดคุยกับหัวหน้าครัวเรือน ยืนยันว่า จากการปลูกพืชผักสวนครัว สวนสมุนไพร สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียงเมื่อมีผลผลิตเหลือจากการบริโภคในครัวเรือน ก็สามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริม ซึ่งแม้จะเรียกได้ว่าเป็นรายได้เสริม แต่ก็เป็นรายได้ที่สำคัญเป็นอย่างมากในช่วงนอกฤดูการทำนาข้าว และนอกจากการนำไปจำหน่ายแล้วนั้น ก็สามารถแบ่งปันครัวเรือนใกล้เคียง เพื่อเป็นสร้างความสามัคคี สมัครสมานในชุมชนได้อีกทางหนึ่ง นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าวต่ออีกว่า นอกจากได้มีการปลูกผักสวนครัวแล้วนั้น ในพื้นที่ยังมีการการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุของสภาวะโลกร้อนควบคู่กับการเพิ่มแร่ธาตุในดิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นฟูพื้นที่ทางเกษตรที่ได้เสียหายไป โดยการเพิ่มแร่ธาตุในดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกในอนาคต ซึ่งถ้าหากทรัพยากรดินสมบูรณ์แล้วนั้น ตนเชื่อว่าจะเพาะปลูกพืชผลทางเกษตรอะไรก็สามารถเจริญเติบโตงอกงามเพราะมีแร่ธาตุที่สมบูรณ์จากการทำถังขยะเปียกของพี่น้องประชาชน นายสุพจน์ฯ กล่าวช่วงท้ายว่า “จังหวัดสิงห์บุรีได้ให้ความสำคัญในการสร้างทรัพยากรดิน เป็นอย่างมากโดยน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรดิน การฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน มาพระราชทานแนวพระราชดำริด้านการจัดการทรัพยากรดินเพื่อการเกษตร ผ่านโครงการพระราชดำริต่าง ๆ อาทิ โครงการแกล้งดิน ปลูกหญ้าแฝก การเลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช ฯลฯ จนเกิดผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์และได้รับการยกย่องจากนานาประเทศทั่วโลก ซึ่งต่อมาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และประเทศสมาชิกทั่วโลก ได้ประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก (World Soil Day) ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้กำหนดนโยบายสำคัญในการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของดิน ภายใต้แนวคิด "อาหารก่อกำเนิดเกิดจากดิน Soils, where food begins" เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน ที่เป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่างของอาหารบนโลก สร้างความมั่นคงทางอาหารแก่ทุกคน ซึ่งการทำถังขยะเปียก ลดโลกร้อน มีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น” "ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน หรือหน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชนที่สนใจเกี่ยวกับแนวคิดเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถติดตามได้ทางเพจ facebook "บ้านสวน ดินสวย" ซึ่งเป็นเพจที่นำเสนอการพัฒนาพื้นที่ส่วนตัวของประชาชนในจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อสร้างเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่นและผู้ที่สนใจ ผนึกกำลังเป็นทีมน้อมนำพระราชดำริเพื่อ Change for Good ไปด้วยกัน" ผู้ว่าฯ สุพจน์ฯ กล่าวในช่วงท้าย #WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nutrition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองอ่างทอง ลงพื้นที่ติดตามปัญหาข้อร้องเรียน พร้อมชี้แจงแนวทางดำเนินการศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทอง ย้ำ "การดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน คือหัวใจของความเป็นผู้ว่าฯ"
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 พ่อเมืองอ่างทอง ลงพื้นที่ติดตามปัญหาข้อร้องเรียน พร้อมชี้แจงแนวทางดำเนินการศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทอง ย้ำ "การดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน คือหัวใจของความเป็นผู้ว่าฯ" พ่อเมืองอ่างทอง ลงพื้นที่ติดตามปัญหาข้อร้องเรียน พร้อมชี้แจงแนวทางดำเนินการศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทอง ย้ำ "การดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน คือหัวใจของความเป็นผู้ว่าฯ" วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ตนเอง พร้อมด้วย นายศักดิ์ดา บรรดาศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง นางสาวแสงมณี มีน้อย ท้องถิ่นจังหวัดอ่างทอง นายเตือนใจ ทรงไตร นายกเทศมนตรีเมืองอ่างทอง ลงพื้นที่ติดตามปัญหาข้อร้องเรียนของประชาชน ณ บริเวณศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทอง ตำบลเทวราช อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง และร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีการเสนอข่าวทางช่องทางสื่อสารมวลชนต่างๆ ในประเด็นประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลเทวราช ได้รับความเดือดร้อนจากศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทอง ในเรื่องขยะมีกลิ่นเหม็น และรถบรรทุกขยะมีน้ำขยะหยดตามพื้นถนน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นายอำเภอไชโย นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สื่อมวลชนและชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมรับฟังการแถลงข่าว นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เปิดเผยว่า ศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทองแห่งนี้ ได้มีการออกแบบโดยที่ปรึกษามหาวิทยาลัยมหิดล และได้รับงบประมาณจากกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเพื่อก่อสร้างศูนย์กำจัดมูลฝอยที่เป็นศูนย์หลักในการดูแลบริหารจัดการขยะในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง โดยเปิดรับขยะมูลฝอยมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นมา ซึ่งคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดได้กำกับดูแลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ ต่อมาในปี 2557 กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 6 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอ่างทอง ได้บูรณาการตาม roadmap ในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ขอความร่วมมือปิดบ่อขยะที่ไม่ถูกหลักวิชาการ จำนวน 11 บ่อ เหลือ จำนวน 1 บ่อ คือ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทองแห่งนี้ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางการรวมกลุ่มพื้นที่ในการจัดการมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (คลัสเตอร์) โดยกำหนดให้จังหวัดอ่างทอง มี 1 กลุ่มคลัสเตอร์ คือ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแห่งนี้ นายรังสรรค์ ตันเจริญ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 จังหวัดอ่างทองได้มีการประชุมซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมของเทศบาลเมืองอ่างทอง และการบริหารจัดการขยะมูลฝอย ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทราบ ว่าการจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมของเทศบาลเมืองอ่างทองดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย และที่ผ่านมาคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดอ่างทอง ได้กำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด นายศักดิ์ดา บรรดาศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง กล่าวถึง ประเด็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมของเทศบาลเมืองอ่างทอง หลังช่วงสถานการณ์น้ำท่วม เมื่อปี พ.ศ. 2565 จังหวัดอ่างทองได้ตรวจสอบแล้ว ไม่พบการร้องเรียนกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์ดำรงธรรมได้มีการร้องเรียนล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 และได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำข้อปฏิบัติไปดำเนินการกำจัดสิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอยให้ถูกต้อง และให้เทศบาลเมืองอ่างทองดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพร้อมตรวจติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง นางสาวแสงมณี มีน้อย ท้องถิ่นจังหวัดอ่างทอง กล่าวถึงกรณีปัญหากลิ่นเหม็น มีขยะตกหล่น น้ำขยะหยดลงพื้นถนน โดยได้เน้นย้ำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2560 และประกาศของกระทรวงมหาดไทย โดยเคร่งครัด นายเตือนใจ ทรงไตร นายกเทศมนตรีเมืองอ่างทอง ได้กล่าวถึง การดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ว่าเป็นการดำเนินการร่วมกัน และไม่ต้องขออนุญาตจากองค์การบริหารส่วนตำบลเทวราช โดยมีบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินการ และได้กล่าวถึงมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยให้รถบรรทุกขยะต้องวิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสม และมีสภาพพร้อมใช้งาน ปิดคลุมมิดชิด ไม่มีขยะตกหล่น ไม่มีน้ำขยะหยดลงพื้นถนน ต้องนำขยะมาทิ้งเป็นช่วงเวลา ฝ่าฝืนงดรับขยะ ฯลฯ และได้ปรับปรุงศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทองให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล โดยการตั้งคันดินแยกขยะเก่าใหม่ เร่งการรื้อร่อนขยะเก่า เร่งจำหน่ายให้เอกชนจัดหาอุปกรณ์เครื่องจักรฝั่งกลบ/รื้อร่อนขยะให้เพียงพอ ซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสีย ปรับปรุงระบบระบายน้ำผิวดิน และระบบน้ำชะมูลฝอยปัจจุบันเทศบาลเมืองอ่างทองได้ดำเนินการจ้างเอกชนขนถ่ายขยะมูลฝอยใหม่ไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลโดยไม่มีขยะเหลือตกค้างในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็ได้เร่งดำเนินการรื้อร่อนขยะเก่าสะสมและจำหน่ายออกไปเป็นจำนวนมากทำให้ความสูงของกองขยะลดลง สำหรับมาตรการระยะยาว เทศบาลเมืองอ่างทองได้เสนอโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้าระบบปิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำประชาพิจารณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 โดยจัดทำประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเทศบาลเมืองอ่างทองได้รายงานผ่านคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดอ่างทอง เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลางจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย และเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว นายรังสรรค์ ตันเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นที่จะปิดศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมเทศบาลเมืองอ่างทองแห่งนี้เพื่อนำขยะไปทิ้งที่จังหวัดอื่นหรือขอเปิดที่แห่งใหม่ จะต้องดำเนินการขออนุญาตปรับปรุงกลุ่มคลัสเตอร์ไปที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องมีเหตุผลความจำเป็นที่จะขอปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าว และต้องเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการขยะ ซึ่งขยะเกิดที่จังหวัดใด จังหวัดนั้นต้องรับผิดชอบ "ตนในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอยู่ในหัวใจ คือ การดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องบ่อขยะ ตนเองได้ให้ความสำคัญ มีความใส่ใจในการกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน" นายรังสรรค์ฯ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65039
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลฯ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลฯ ครั้งที่ 3/2566 กองกำกับการพาณิชยนาวี จัดประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลฯ ครั้งที่ 3/2566 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลฯ และการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลซึ่งถือกรรมสิทธิ์เรือไทยเช่าและใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทยในการขนส่งทางทะเล ครั้งที่ 3/2566 พร้อมด้วย นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย ณ ห้องประชุมชั้น 10 อาคาร 162 ปี กรมเจ้าท่า โดยมีนางน้ำทิพ เอกนิพิฐสริ ผู้อำนวยการกองกำกับการพาณิชยนาวี เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ ตามคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ 302/2564 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุ และการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล และการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเล ซึ่งถือกรรมสิทธิ์เรือไทยเช่าและใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทยในการขนส่งทางทะเล โดยการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาอนุญาตการต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล ฯ และการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลซึ่งถือกรรมสิทธิ์เรือไทย เช่าและใช้เรืออื่นที่มีใช่เรือไทยในการขนส่งทางทะเล ที่ประชุมฯได้ร่วมกันพิจารณาการขออนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 จำนวน 1 ราย คือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จังหวัดภูเก็ต รวมถึงร่วมพิจารณาการขอต่อใบอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 จำนวน 10 ราย เพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจการท่าเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพาณิชยนาวีของประเทศ ทั้งนี้ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้สั่งการให้พิจารณาเพิ่มเติมเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตฯ เกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย หนังสือรับรองการตรวจสภาพท่า และหนังสือรับรองการปฏิบัติของท่าเรือเพื่อการรักษาความปลอดภัย (ISPS Code) โดยให้ผู้รับอนุญาตต้องเอาประกันภัยความรับผิดที่เกี่ยวกับการประกอบการกิจการท่าเรือ โดยขณะประกอบการกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องมีผลและสามารถนำมาใช้บังคับกรณีเกิดความเสียหายในการประกอบกิจการและให้ใบอนุญาตนี้สิ้นผล หากปรากฏว่ากรมธรรม์ประกันภัยหมดอายุ และท่าเรือที่ได้รับอนุญาตจะต้องมีหนังสือรับรองการตรวจสภาพท่าและหนังสือรับรองการปฏิบัติของท่าเรือเพื่อการรักษาความปลอดภัย (ISPS Code) ที่มีอายุตลอดเวลาที่ได้รับอนุญาต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65033
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ปราจีนบุรี ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ปราจีนบุรี ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ปราจีนบุรี ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ปราจีนบุรี ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สอจ. โดยมีนายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมรับการตรวจราชการ และรายงานผลการดำเนินงานตามประเด็นการตรวจราชการกรณีการตรวจกำกับ เร่งรัด ติดตาม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ และโครงการสำคัญของ อก. ทั้งนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้มอบนโยบายโดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินการตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้ง 4 มิติ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน พร้อมข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแนวทางปฏิบัติงานตามข้อสั่งการที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. รวมทั้งจะต้องจัดสรรและบริหารจัดการการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ - การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ พร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ หากมีเหตุภาวะฉุกเฉินขอให้ลงพื้นที่และรายงานเบื้องต้นผ่านกลุ่มไลน์ฯ โดยทันทีเพื่อให้ผู้บริหารได้รับทราบข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตต่างๆ จะต้องดำเนินการให้อยู่ในกรอบระยะเวลาและอำนาจหน้าที่ นอกจากนี้ยังได้พบปะและรับฟังแนวทางการดำเนินงานและข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี หอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65059
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ชี้แจงกรณีประเด็นอภิปรายพาดพิงกรมทางหลวง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวง ชี้แจงกรณีประเด็นอภิปรายพาดพิงกรมทางหลวง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ..... กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีนายพัฒนา สัพโส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายพาดพิง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ดังนี้ 1. การทำผิวทางลาดยางแบบพาราแอสฟัลต์ (Para AC.) เป็นการนำยางพารามาผสมกับยางมะตอยที่โรงงานผลิต แล้วนำมาใช้ทำเป็นผิวถนนชั้นบน คุณภาพดี แต่ราคาสูงกว่าผิวทางลาดยางที่ใช้อยู่ การทำผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์เพียง 5% ปัจจุบัน ทล. ไม่มีการก่อสร้างผิวทางลาดยางแบบพาราแอสฟัลต์แล้ว โดยในปี 2563 รัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยเหลือเกษตรกร ชาวสวนยาง กระทรวงคมนาคมจึงได้ตั้งคณะกรรมการ และมอบหมายให้ ทล. และกรมทางหลวงชนบท พิจารณานำงานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ได้ศึกษาทดลองการนำยางพารามาทำหลักนำทางยางพารา และแผ่นยางครอบแท่งแบริเออร์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์โดยตรงเป็นสัดส่วนมากถึง 70% และตั้งแต่มีการก่อสร้างแท่งแบริเออร์คอนกรีตในปี 2564 ยังไม่มีการเกิดอุบัติเหตุการชนประสานงาจากการที่รถเสียหลักวิ่งข้ามเลนบริเวณที่มีการติดตั้งแท่งแบริเออร์คอนกรีต 2. การขอตั้งงบประมาณของ ทล. คำนึงถึงความคุ้มค่า ความพร้อมในการก่อสร้าง ความสำคัญของโครงข่าย ความต้องการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การแก้ไขปัญหาที่ได้รับข้อร้องเรียนและข้อเสนอแนะ ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ การซ่อมแซมบำรุงรักษาเส้นทางที่มีความเสียหาย การติดตั้งอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงจุดอันตราย เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางได้รับความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย การจัดงบประมาณกระจายอย่างทั่วถึงทุกจังหวัดทุกภาค โดยการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่เป็นการพัฒนาปรับปรุงเส้นทางต่อเนื่องเป็นโครงข่ายทางหลวง หรือแก้ไขปัญหาจุดตัดทางแยกขนาดใหญ่ รวมถึงแก้ไขปัญหาจราจร ตามแผนพัฒนาทางหลวง ส่วนโครงการขนาดเล็กมุ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดที่มีความเสียหาย มีความจำเป็นเร่งด่วน และป้องกันแก้ไขอันตรายในการเดินทางเป็นหลัก 3. จากกรณีกล่าวหาว่ามีการลักลอบขุดดินจากที่ สปก. มาก่อสร้างถนนสายท่าดอกแก้ว - ศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นั้น กรมทางหลวงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ขอเรียนให้ทราบว่า บ่อดินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างของ ทล. ต้องเป็นบ่อดินที่มีเอกสารสิทธิ์ มีคุณภาพ และต้องได้รับความเห็นชอบจาก ทล. ก่อนนำมาใช้ ซึ่งบ่อดินที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการสายท่าดอกแก้ว - ศรีสงคราม นั้น มีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน และผ่านการทดสอบได้คุณภาพตามข้อกำหนดมาตรฐาน ทล. การขุดดินจากที่ สปก. ดังกล่าว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างนี้แต่อย่างใด 4. สำหรับประเด็นสอบถามของนายกฤษฎา ตันเทิดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หนองคาย พรรคเพื่อไทย ว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด นั้น ขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาเพิ่มเติมในโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - สระบุรี -นครราชสีมา วงเงิน 4,970 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบวงเงินงานโยธาทั้งโครงการที่ ครม. อนุมัติไว้ในปี 2559 ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ ทล. เร่งรัดเดินหน้าก่อสร้างอย่างเต็มที่ โดยเน้นย้ำถึงคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน คาดว่าปลายปี 2566 จะสามารถเปิดทดลองวิ่งช่วงปากช่องถึงปลายทางที่ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ยาวต่อเนื่องเป็นระยะทางยาวประมาณ 80 กิโลเมตร รวมถึงการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เอกชนคู่สัญญาร่วมลงทุน (PPP) การดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อเร่งรัดงานติดตั้งระบบต่าง ๆ เช่น ระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง M-FLOW ระบบบริหารควบคุมการจราจร โดยจะเริ่มทดสอบระบบ พร้อมทยอยเปิดทดลองให้บริการได้ในปี 2567 และเปิดใช้งานมอเตอร์เวย์บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา อย่างเต็มรูปแบบในปี 2568 ต่อไป ทั้งนี้ ทล. ขอยืนยันว่า การดำเนินการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนน ทั้งโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และการซ่อมบำรุงรักษาทางหลวง ถูกต้องตามหลักทางวิศวกรรม เพื่อความสะดวก และความปลอดภัย มีความคุ้มค่ากับการใช้เงินงบประมาณ ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด เป็นไปตามระเบียบกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี โปร่งใส ตรวจสอบได้ รับฟังความคิดเห็นประชาชน โดยยึดหลักธรรมาภิบาล อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65047
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมจัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 รฟม. เตรียมจัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลองและส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมเตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานศึกษาทบทวนรายละเอียด ความเหมาะสม ปรับปรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลรายละเอียดโครงการฯ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า การจัดการประชุมกลุ่มย่อยฯ ในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอข้อมูลผลการศึกษารูปแบบทางเลือกในการพัฒนาโครงการฯ ในมิติต่าง ๆ อาทิ รูปแบบโครงสร้างของโครงการฯ ระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสม และการขยายแนวเส้นทางต่อไปยังท่าฉัตรไชย เพื่อให้พร้อมรองรับการเดินทางของผู้เข้าร่วมชมงาน Specialised Expo 2028 ซึ่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเสนอเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยการประชุมฯ ดังกล่าว เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และบริเวณใกล้เคียง เข้าร่วมรับฟัง พิจารณารูปแบบทางเลือก รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อโครงการฯ ทั้งนี้ ได้แบ่งการประชุมออกเป็น 3 เวที โดยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 จะจัดการประชุมฯ ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมระแงง เทศบาลตำบลวิชิต และระหว่างเวลา 14.00 - 17.00 น. ณ ห้องประชุมเทศบาลนครภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต สำหรับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 จะจัดการประชุมฯ ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ และสามารถเปิดรับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ ประเด็นปัญหาหรือข้อห่วงกังวลได้อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ รฟม. จะรับฟังความคิดเห็นต่อผลการศึกษาเปรียบเทียบระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าดังกล่าว พร้อมข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงผลการศึกษาให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ สอดคล้องตามระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อไป ก่อนเปิดเวทีการประชุมสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการฯ อีกครั้งภายหลังการประชุมกลุ่มย่อยฯ และจัดทำรายงานผลการศึกษาฯ เพื่อรายงานต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาในลำดับถัดไป สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย มีระยะทางรวมของโครงการประมาณ 58.5 กิโลเมตร จำนวนสถานีทั้งหมด 23 สถานี มีจุดเริ่มต้นโครงการระยะที่ 1ฯ บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ไปสิ้นสุดที่สถานีฉลอง ซึ่งอยู่ใกล้กับห้าแยกฉลอง โดยมีศูนย์ซ่อมบำรุงตั้งอยู่บริเวณสถานีถลาง และมีอาคารจอดแล้วจร จำนวน 2 แห่ง ที่บริเวณสถานีสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดภูเก็ต แห่งที่ 2 และสถานีฉลอง สำหรับเส้นทางของส่วนต่อขยายไปยังท่าฉัตรไชย จะมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณสถานีเมืองใหม่ ไปสิ้นสุดที่สถานีท่าฉัตรไชย ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน พร้อมรองรับการเดินทางและการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตในอนาคต ติดตามข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ที่น่าสนใจของโครงการฯ เพิ่มเติมผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1ฯ ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) เฟซบุ๊กแฟนเพจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่สงขลา ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการทำงานตามนโยบาย MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่สงขลา ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการทำงานตามนโยบาย MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ผู้ตรวจภาสกรฯ ลงพื้นที่สงขลา ตรวจราชการรอบ 1 เน้นย้ำการทำงานตามนโยบาย MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย "อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี" สู่ความสำเร็จ 4 มิติ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจติดตามงานเขตตรวจราชการที่ 5 ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จังหวัดสงขลา ได้ประชุมตรวจติดตามงานตามประเด็นการตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รอบที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ห้องประชุมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ โดยมีกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด,ผู้จัดการ SME D Bank เขต 27/สาขาหาดใหญ่/สาขาสงขลา, ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 1 ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคใต้ การนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ และเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัด ได้รับทราบผลการดำเนินงานปัญหาอุปสรรค พร้อมทั้งภาพรวมศักยภาพทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดฯ จากภาคเอกชน/ภาคประชาชน ซึ่งเป็นศูนย์กลางภาคอุตสาหกรรมภาคใต้ ในการนี้ได้ให้ข้อแนะนำในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม นำนโยบายท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม MIND ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ภายใต้หลักการ "อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี" สู่ความสำเร็จ 4 มิติ (ความสำเร็จทางธุรกิจ การประกอบกิจการไม่สร้างผลกระทบชุมชน การดูแลสิ่งแวดล้อมตอบโจทย์ประชาคมโลก และการกระจายรายได้สร้างอาชีพดีพร้อม) หลังจากนั้นได้ตรวจสอบบ้านพักฯ ซึ่งมีอายุมากกว่า 40 ปี มีความชำรุดเสียหายพอสมควร จึงได้มอบหมายอุตสาหกรรมจังหวัดจัดทำคำของบประมาณเพื่อเสนอซ่อม สร้างบ้านพักฯ ให้เรียบร้อยต่อไป ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา นางจันทร์จิรา บางแสน และคณะหน่วยงานร่วมภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ซึ่งจะได้รวบรวมข้อมูลรายงานท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อโปรดทราบและพิจารณาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65061
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดร้อยละ 0.52 ตั้งแต่ 17 ก.พ. 66 เป็นต้นไป
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ธ.ก.ส. ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดร้อยละ 0.52 ตั้งแต่ 17 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ธ.ก.ส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำสูงสุดร้อยละ 0.52 ต่อปี สอดรับกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสนับสนุนการออมให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป ธ.ก.ส. ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำสูงสุดร้อยละ 0.52 ต่อปี สอดรับกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสนับสนุนการออมให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ลดภาระจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปีในปัจจุบัน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการอุปโภค บริโภคและการท่องเที่ยว ซึ่ง ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทในการดูแลภาคการเกษตรและการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดร้อยละ 0.52 ต่อปี เพื่อสนับสนุนการออมและทำให้ผู้ฝากได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ใกล้บ้านท่านทุกสาขา หรือ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นราพัฒน์ฯ ผช.รมต.กษ. ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็นด้านการเกษตร
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 นราพัฒน์ฯ ผช.รมต.กษ. ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็นด้านการเกษตร นราพัฒน์ฯ ผช.รมต.กษ. ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็นด้านการเกษตร นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนจากกรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็นด้านการเกษตร ร่วมกับนายกสมาคมคนตาบอดไทย เพื่อให้คนพิการทางการเห็นมีส่วนร่วมดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการทำการเกษตรแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในการเลี้ยงสัตว์ เพาะปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์น้ำ 2) การส่งเสริมการรวมกลุ่มของคนพิการในรูปแบบสหกรณ์ และ 3) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรสำหรับคนพิการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การหารือในวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการให้ความช่วยเหลือในอาชีพเกษตรกรรมและพัฒนาชีวิตให้กับคนพิการด้านการมองเห็น โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ประสานงานกับทางสมาคมอย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเรื่องการจัดหาพันธุ์พืช สัตว์ และประมง สำหรับประเด็นเรื่องการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรสำหรับคนพิการ อาจขอให้ทางสมาคมพิจารณาดำเนินการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติมร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถบูรณาการความร่วมมือและต่อยอดศูนย์การเรียนรู้สำหรับคนพิการเพิ่มขึ้นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65044
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตเตือนภัย “มิจฉาชีพ” แอบอ้าง แนะประชาชนสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมสรรพสามิต 1713
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 สรรพสามิตเตือนภัย “มิจฉาชีพ” แอบอ้าง แนะประชาชนสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมสรรพสามิต 1713 กรมสรรพสามิตเตือนภัยผู้ประกอบการและประชาชนอย่าหลงเชื่อ “มิจฉาชีพ” แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกลวงหรือรีดไถเงิน แนะตรวจสอบข้อมูลก่อนทุกครั้ง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า “ขณะนี้ได้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี” หรือ “มิจฉาชีพ” หลอกหลวงประชาชนในหลากหลายรูปแบบเพิ่มเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี จึงได้มอบนโนบายให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ช่วยกันเฝ้าระวังและให้ข้อมูลกับพี่น้องประชาชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ หากผู้ประกอบการหรือประชาชนได้รับการแอบอ้างจากผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเข้าจับกุมตรวจค้นในการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงตัวโดยต้องแต่งเครื่องแบบกรมสรรพสามิต พร้อมแสดงบัตรข้าราชการในขณะปฏิบัติหน้าที่ และดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบการตรวจค้นทุกประการ และเมื่อจับกุมแล้วต้องทำบันทึกจับกุม สำหรับประเด็นการเปรียบเทียบปรับ ตามระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการเปรียบเทียบคดี พ.ศ. 2560 หมวด 2 ข้อ 8 วรรค 2 ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องเปรียบเทียบคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด สามารถไปดำเนินการเปรียบเทียบคดีนอกสถานที่ตั้งปกติของสำนักงานได้โดยใช้สถานที่ของหน่วยงานราชการอื่นแทน ในกรณีการหลอกลวงทางโทรศัพท์ ให้ Add line หรือผ่านทางช่องทางออนไลน์ใด ๆ ตามที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตนั้น ขอให้ผู้ประกอบการและประชาชนโปรดระมัดระวัง โดยสามารถตรวจสอบกลับมาที่สำนักงานสรรพสามิตภาค หรือพื้นที่ หรือกรมสรรพสามิต เพื่อความปลอดภัย สำหรับการชำระภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี และลดค่าใช้จ่ายด้านงานเอกสาร ผู้เสียภาษีสามารถเลือกชำระภาษีสรรพสามิตได้หลายรูปแบบ อาทิ การชำระเงินด้วยบัตรเดบิต เครดิต Bill Payment QR Code Internet Banking ชำระเงินผ่าน e-Money และ Smart phone กรมสรรพสามิตขอแนะนำว่าก่อนการโอนเงินหรือทำธุรกรรมการเงินทุกครั้ง ขอให้ทุกท่านตรวจสอบให้แน่ใจ เพื่อไม่ให้เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการรีดไถ รวมถึงการเก็บหลักฐานต่าง ๆ ไว้เผื่อกรณีที่อาจเกิดปัญหาตามมา กรมสรรพสามิตมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ จึงอยากให้ทำการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนชำระภาษีสรรพสามิตหรือเสียค่าปรับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีและมิจฉาชีพ โดยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมสรรพสามิต 1713 หรืออีเมล [emailprotected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่มุกดาหาร จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่มุกดาหาร จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่มุกดาหาร จับมือเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายบุญรวย เลิศวนิชย์ทิพย์ อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับ บริษัท นาคิเทค จำกัด ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชนโดยรอบโรงงาน (CSR) อุตสาหกรรมปันสุขสู่ชุมชน มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลหว้านใหญ่ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร เพื่อให้บุคคลากรทางการแพทย์ใช้ในการให้บริการประชาชน โดยมีนายวุฒินันท์ วรรณวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหว้านใหญ่ และข้าราชการเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหว้านใหญ่รับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ จากนั้น ผู้ตรวจทาวันฯ และคณะได้ตรวจเยี่ยม บริษัท นาคิเทค จำกัด (โรงงานผลิตยางแท่ง STR 20) โดยมีนายชัยพล เกิดวงศ์บัณฑิต กรรมการผู้จัดการ ให้การต้อนรับ ซึ่งโรงงานฯ สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนได้สำเร็จ (Success Case) พร้อมลงพื้นที่ได้ลงตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสตรีบ้านสามขา อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร โดยเป็นกลุ่มวิสาหกิจรอบบริเวณโรงงานของบริษัท นาคิเทค จำกัด ทางบริษัทฯ มีแผนการส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ กะติบข้าว เสื่อกก และตระกร้า พร้อมช่วยเหลือแผนการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่กลุ่ม ซึ่งเป็นการส่งเสริมอาชีพให้แก่ชุมชนโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการประกอบกิจการไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน และสามารถกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ชี้แจงกรณีพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 รฟท. ชี้แจงกรณีพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ อภิปรายพาดพิงการไม่บันทึกบัญชีที่ดินเขากระโดงในงบการเงินให้ครบถ้วน ​ตามที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติได้อภิปราย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 พาดพิงถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับที่ดินเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ วันที่ 30 กันยายน 2564 โดยสรุปว่า “ในเอกสารประกอบการพิจารณาที่ รฟท. จัดส่งให้แก่กรรมาธิการงบประมาณนั้น ระบุที่ดินนอกย่านของรฟท. ที่จังหวัดบุรีรัมย์ - โรงโม่ ทางเข้าเขากระโดง ว่ามีจำนวน 69.19 ไร่เท่านั้น ในขณะที่ศาลฎีกาได้เคยตัดสินว่า ที่ดินบริเวณดักงกล่าวเป็นที่ดินของรฟท. 5,000 กว่าไร่ จึงมีข้อสงสัยว่าที่ดินที่นอกเหนือจาก 69.19 ไร่ หายไปไหน” นั้น เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงในการบันทึกบัญชีที่ดิน และมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างครบถ้วน​ รฟท. จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ ​การกำหนดรายละเอียดในทะเบียนบัญชีสินทรัพย์กรณีที่จะต้องส่งให้กับคณะกรรมาธิการงบประมาณ เพื่อประกอบการพิจารณา ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สำหรับมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ​“ข้อ 7 กิจการต้องรับรู้ต้นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เป็นสินทรัพย์ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อ ต่อไปนี้ 7.1 มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากรายการนั้น และ 7.2 กิจการสามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ” ​ที่ดิน จำนวน 69.19 ไร่ ตามที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ได้กล่าวถึงนั้น เป็นเส้นทางเดินรถแยกจากสถานีรถไฟบุรีรัมย์เข้าไปยังที่ดินรฟท. บริเวณเขากระโดง ซึ่งไม่มีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ มีข้อมูลครบถ้วน ชัดเจน รฟท. จึงสามารถบันทึกรายการดังกล่าวลงในบัญชีสินทรัพย์ของรฟท. จำนวน 69.19 ไร่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 16 และ สตง. ไม่ได้ท้วงติงโต้แย้งในประเด็นนี้ ​สำหรับพื้นที่ที่เหลือในจำนวน 5,083 ไร่ ซึ่งพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ได้กล่าวว่า รฟท. ไม่ได้บันทึกทะเบียนสินทรัพย์ นั้น เป็นที่ดินที่ยังมีปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ และอยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิ จึงเป็นกรณีที่ยังไม่สามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการที่ดินนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้ไม่สามารถลงบันทึกในทะเบียนสินทรัพย์ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 ได้ ซึ่งรฟท. ได้ฟ้องเพื่อพิสูจน์สิทธิต่อศาลปกครองกลางไปแล้ว ​ทั้งนี้ การบันทึกบัญชีทรัพย์สินหรือหลักฐานอื่นใด จำนวน 5,083 ไร่ ดังกล่าว รฟท. ได้จัดเก็บหลักฐานในรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย • พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี พุทธศักราช 2462 ประกาศวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 โดยมี การจัดเก็บแผนที่อยู่ที่ กระทรวงเกษตราธิการ ที่ว่าการกรมรถไฟหลวง และศาลารัฐบาล มณฑลนครราชสีมา และมณฑลอุบลราชธานี • พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.2464 ประกาศ ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 • รวมถึงเอกสารการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อพิสูจน์สิทธิในที่ดินดังกล่าว ​เนื่องจากที่ดินดังกล่าว มีการออกเอกสารสิทธิทับซ้อน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ โดยรฟท. ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เมื่อกระบวนการพิสูจน์สิทธิเสร็จสิ้น หรือคดีถึงที่สุดแล้วรฟท. พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาและจะได้ดำเนินการตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 16 ต่อไป ​สำหรับที่ดินรถไฟเส้นทางพังงา - ท่านุ่น ที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ นำมากล่าวอ้างนั้น ข้อเท็จจริงปรากฎว่า บริเวณดังกล่าวมีพื้นที่รวมประมาณ 905 ไร่ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ประมาณ 251 ไร่ กรณีนี้จึงมีลักษณะเช่นเดียวกันกับพื้นที่เขากระโดงที่ได้มีการบันทึกรายการทะเบียนสินทรัพย์สำหรับที่ดินบางส่วนแล้ว ซึ่งยังคงมีที่ดินอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งยังต้องมีการพิสูจน์สิทธิในชั้นศาล เมื่อกระบวนการพิสูจน์สิทธิเสร็จสิ้น จึงจะนำมาบันทึกในรายการทรัพย์สิน ตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 16 ต่อไป ​ รฟท. ยืนยันว่าได้ดำเนินการทุกอย่างตามระเบียบ และขั้นตอนของกฎหมาย ด้วยความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล ดำเนินการอย่างอิสระตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ โดยเห็นแก่ประโยชน์ขององค์กร และประเทศชาติเป็นสำคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65029
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุดความร้อนวานนี้ไทยลดลง แต่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานโดยเฉพาะภาคเหนือ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จุดความร้อนวานนี้ไทยลดลง แต่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานโดยเฉพาะภาคเหนือ จุดความร้อนวานนี้ไทยลดลง แต่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานโดยเฉพาะภาคเหนือ GISTDA เผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ของระบบเวียร์ (VIIRS) ไทย พบจุดความร้อนวานนี้ (15 ก.พ. 2566) 1,005 จุด ในขณะที่จุดความร้อนของประเทศเพื่อน บ้านอย่างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ยังคงอันดับหนึ่งอยู่ที่ 3,168 จุด, สปป.ลาว 542 จุด, กัมพูชา 200 จุด, เวียดนาม 62 จุด และมาเลเซีย 8 จุด . สำหรับจุดความร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่สูงสุดยังคงพบในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 501 จุด ป่า สงวนแห่งชาติ 361 จุด พื้นที่เขต สปก. 55 จุด พื้นที่เกษตร 45 จุด ชุมชนและอื่นๆ 42 จุด และริมทางหลวง 1 จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุดคือเชียงใหม่ 205 จุด ตาก 156 จุด และแม่ฮ่องสอน 146 จุด ตามลำดับ จากภาพแสดงให้เห็นว่าภาคเหนือมีปริมาณจุดความร้อน มากกว่าภาคอื่นๆ คาดว่าน่าจะเกิดจากการเตรียมพื้นที่เพื่อการเกษตร หรือการเข้าไปหาของป่า เป็นต้น . สิ่งหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ คือค่าฝุ่น PM 2.5 ซึ่งจากการตรวจวัดด้วยแอปพลิ เคชัน “เช็คฝุ่น” ล่าสุดเช้าวันนี้ (16 ก.พ. 2566) เมื่อเวลา 11.00 น. พบว่าหลายจังหวัดทาง ภาคเหนือมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานกว่า 100 ไมครอน ซึ่งอยู่ในภาวะที่มีผลต่อสุขภาพ อาทิ #แม่ฮ่อนสอน #เชียงใหม่ #ตาก #เชียงราย #ลำพูน #น่าน #พะเยา #ลำปาง และ #แพร่ เป็นต้น รวมถึงอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง . ทั้งนี้ สถานการณ์การจุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านอาจส่งผลให้เกิด PM 2.5 ได้ในพื้นที่ บริเวณชายแดน เนื่องจากได้รับอิทธิพจากประแสลมที่จะพัดผ่านเข้ามา ปัญหาไฟป่าหมอกควัน ส่งผลกระทบให้กับระบบต่างๆ ของประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยกำลังจะได้ใช้ระบบ THEOS-2 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง 1 ในภารกิจสำคัญของระบบนี้ คือการสำรวจ วิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น หรือคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำ เพื่อการสนับสนุนข้อมูลสำคัญให้กับทุก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำข้อมูลไปใช้วางแผน ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด มากยิ่งขึ้น . อย่างไรก็ตาม รายละเอียดข้อมูลเฉพาะพื้นที่ท่านสามารถติดตามจากหน่วยงานหลักที่รับผิด ชอบโดยตรงได้ GISTDA ยังคงติดตามและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูล ให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้บริหารจัดการในพื้นที่ ท่านสามารถติดตามข้อมูลเพิ่ม เติมได้ที่ https://fire.gistda.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65046
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดกิจกรรมรู้เท่าทัน รับมือข่าวปลอม ในสถานศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส เปิดกิจกรรมรู้เท่าทัน รับมือข่าวปลอม ในสถานศึกษา ดีอีเอส เปิดกิจกรรมรู้เท่าทัน รับมือข่าวปลอม ในสถานศึกษา วันนี้ (16 ก.พ.66) นายทศพล เพ็งส้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ในสถานศึกษา ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Anti Fake News Center : AFNC) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนสามารถรับมือกับข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ โดยมี ดร.สุธีร์ คำแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีฯ ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะ ส.ส. เยอรมนี เข้าพบรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ มุ่งกระชับความสัมพันธ์ เพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 คณะ ส.ส. เยอรมนี เข้าพบรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ มุ่งกระชับความสัมพันธ์ เพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ คณะ ส.ส. เยอรมนี เข้าพบรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ มุ่งกระชับความสัมพันธ์ เพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 14.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเก-ออร์ค ชมิท ( H.E. Mr. Georg Schmidt) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย พร้อมคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พบหารือกับนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวต้อนรับคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สู่ทำเนียบรัฐบาลในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย พร้อมแสดงความยินดีที่ไทยและเยอรมนีมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน ทั้งนี้ ประเทศไทยชื่นชมเยอรมนีในฐานะประเทศที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า และการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอาชีวศึกษา หวังว่าไทยและเยอรมนีจะร่วมมือมากขึ้นในอนาคตในสาขาดังกล่าว ด้านนาง Gabriele Katzmarek หัวหน้าคณะ ส.ส. เยอรมนี รู้สึกยินดีที่ได้มาพบปะกันในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสในการหารือถึงความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พร้อมยินดีที่ทั้งสองฝ่ายครบรอบ 160 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี 2565 เยอรมนียินดีขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีในทุกมิติ ทั้งในระดับรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน โดยนาง Gabriele Katzmarek ได้หารือถึงกฎหมายการเลือกตั้ง ระบบการเลือกตั้งของไทย และการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเยอรมนีหวังว่าไทยจะสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปได้อย่างราบรื่น โปร่งใส และยุติธรรม โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ยังกล่าวยืนยันถึงความพร้อมของไทยฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป ซึ่งในการประชุม ASEAN - EU Commemorative Summit ณ กรุงบรัสเซลส์ ไทยและสหภาพยุโรปได้บรรลุการเจรจาความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement: PCA) ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญไปสู่การเปิดการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู รอบใหม่ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้างและสร้างสรรค์ในประเด็นต่าง ๆ ร่วมกัน ทั้งสถานการณ์การเมืองของไทย นโยบายของรัฐบาลไทยและเยอรมนี การมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทย สถานการณ์ในเมียนมา และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันคือต้องการเห็นความสงบสุข และประชาชนทุกคนอยู่ดีกินดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65053
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ร่วมกิจกรรมสภากาแฟอุตสาหกรรมชาวมุกดาหาร พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเครือข่ายในพื้นที่เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ผู้ตรวจทาวันฯ ร่วมกิจกรรมสภากาแฟอุตสาหกรรมชาวมุกดาหาร พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเครือข่ายในพื้นที่เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ผู้ตรวจทาวันฯ ร่วมกิจกรรมสภากาแฟอุตสาหกรรมชาวมุกดาหาร พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเครือข่ายในพื้นที่เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายบุญรวย เลิศวนิชย์ทิพย์ อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกิจกรรมสภากาแฟอุตสาหกรรมชาวมุกดาหาร โดยมีนายไกรฑูรย์ สุวรรณปัฏนะ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร นายศรายุทธ เขมะลักษณ์ ประธานหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร นายประมวล รัตนเลิศลบ ผู้อำนวยการอาวุโสภาค 3 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และนางสาวดรุณี บัตรภักดี ผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยสาขามุกดาหาร และเครือข่ายอุตสาหกรรมอื่นๆ เข้าร่วม โดยผู้ตรวจราชการได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ของ กระทรวงอุตสาหกรรม ใน 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับสิ่งแวดล้อม และขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนและหน่วยงานราชการร่วมบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลแก่ประชาชน ผู้ประกอบการ สิ่งแวดล้อมโดยรอบชุมชน ให้เกิดความสุขและความยั่งยืน ทั้งนี้ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ได้เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหารด้านสิทธิประโยชน์ เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนในพื้นที่และเสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรมอำนวยความสะดวกในการพิจารณาการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานขนาดใหญ่ ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในจังหวัดมุกดาหารเติบโตสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชนชาวมุกดาหารต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65055
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.สุชาติ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบเหตุเครื่องอัดกระดาษทำลูกจ้างเสียชีวิตที่ปราจีนบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​รมว.สุชาติ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบเหตุเครื่องอัดกระดาษทำลูกจ้างเสียชีวิตที่ปราจีนบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย เหตุลูกจ้างถูกเครื่องอัดกระดาษทำให้เสียชีวิตที่จังหวัดปราจีนบุรี สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เร่งตรวจสอบหาสาเหตุและข้อเท็จจริง โดยเชิญนายจ้างสอบ 20 กุมภาพันธ์นี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว ลูกจ้างถูกเครื่องอัดกระดาษอัดร่างทำให้เสียชีวิตที่จังหวัดปราจีนบุรี ว่า ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของลูกจ้างผู้เสียชีวิตมา ณ ที่นี้ และผมได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เร่งตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว เบื้องต้นได้รับรายงานจากพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 (ชลบุรี) ว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาประมาณ 15.48 น. สถานที่เกิดเหตุเป็นโรงงานรีไซเคิลกระดาษแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ลูกจ้างผู้เสียชีวิต ชื่อ นายพุทธิพงษ์ แย้มศรี มีหน้าที่อัดกระดาษประจำเครื่องอัดกระดาษ ขณะเกิดเหตุนายพุทธิพงษ์ฯ ได้นำกระดาษใส่จนเต็มหลุมแล้วเครื่องกำลังอัดกระดาษส่งเข้าไปเครื่องมัดลวด ซึ่งจะต้องนำฝาปิดใส่ลงในหลุมเพื่อส่งเข้าเครื่องปิดมัดกระดาษ แต่นายพุทธิพงษ์ฯ ได้ลงไปอยู่ในหลุมโดยไม่ปิดสวิตช์การทำงานของเครื่องอัด ทำให้เครื่องอัดเลื่อนมาอัดร่างของนายพุทธิพงษ์ฯ เพื่อนร่วมงานที่เห็นเหตุการณ์จึงปิดสวิตช์เครื่องและเข้าช่วยเหลือแต่ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ผมได้สั่งให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปราจีนร่วมกันดำเนินการให้ความช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ครอบครัว ญาติของลูกจ้างผู้เสียชีวิตพึงได้รับตามกฎหมายต่อไป ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 (ชลบุรี) ได้มีหนังสือเชิญนายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า นายจ้างมีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ.2564 หรือไม่ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำนายจ้าง/สถานประกอบกิจการขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546 ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เร่งติดตามปัญหาต่างชาติเลี่ยงทำธุรกิจในไทยโดยไม่ขออนุญาต กำชับทุกหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เร่งติดตามปัญหาต่างชาติเลี่ยงทำธุรกิจในไทยโดยไม่ขออนุญาต กำชับทุกหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ ใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามประเด็นการแก้ไขปัญหาชาวต่างชาติหลบเลี่ยงทำธุรกิจโดยไม่ขออนุญาต และใช้คนไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี) โดยกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการตรวจสอบการจดทะเบียนของแต่ละบริษัท ห้างร้าน อย่างเข้มงวด ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดช่องว่างจากธุรกิจสีเทาที่เข้ามาฉวยโอกาสทำธุรกิจของคนไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบในย่านเยาวราช สัมพันธวงศ์ รัชดา ห้วยขวาง จำนวนรวมประมาณ 200 บริษัท โดยตรวจสอบข้อมูลการขอจดทะเบียน รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมของผู้ยื่นจดทะเบียนด้วยว่ามีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับเงินทุนที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่หรือไม่ นอกจากนี้ยังเน้นย้ำการตรวจสอบในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ไม่จำกัดเฉพาะเพียงจังหวัดใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยวเท่านั้น และเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งภัตตาคาร ร้านอาหาร ที่พัก/โรงแรม รถเช่า ร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจนวด สปา เป็นต้น โดยขั้นตอนการตรวจสอบ จะดูลักษณะว่าประกอบธุรกิจอะไร ซึ่งหากเป็นธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่เป็นธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวอยู่แล้ว จะไม่สามารถทำธุรกิจได้ ซึ่งได้แก่ 1. กิจการหนังสือพิมพ์ กิจการสถานีวิทยุกระจ่ายเสียงหรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ 2. ทำนา ทำไร่ หรือทำสวน 3. เลี้ยงสัตว์ 4. ทำป่าไม้และแปรรูปไม้จากป่าธรรมชาติ 5. ทำการประมงเฉพาะการจับสัตว์น้ำ ในน่านน้ำไทย และเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย 6. การสกัดสมุนไพรไทย 7. การค้าและการขายทอดตลาดโบราณวัตถุของไทย หรือที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประเทศ 8. การทำหรือหล่อพระพุทธรูป และการทำบาตร และ 9. การค้าที่ดิน ส่วนบัญชีแนบท้ายอื่น ๆ ซึ่งเป็นบัญชีที่จะต้องขออนุญาตก่อน หากตรวจสอบพบว่าไม่มีการขออนุญาต จะถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงการดูสัดส่วนการถือหุ้น การมีอำนาจบริหารจัดการ งบการเงิน ทั้งนี้ ระหว่างการตรวจสอบ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะให้เวลาบริษัทต่าง ๆ ส่งข้อมูลมาให้ชี้แจงภายใน 15 วัน ซึ่งหากพบว่าเข้าข่ายนอมินี จะนำส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต่อไป “นายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเน้นการลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดช่องว่างให้ชาวต่างชาติเข้ามาฉวยโอกาสทำธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะช่วงของการเปิดประเทศ ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติเข้ามาในไทยจำนวนมาก จึงต้องคำนึงถึงการดูแลภาคธุรกิจในประเทศด้วย ควบคู่กับการให้ความรู้ทางกฎหมายเพื่อให้แต่ละธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65024
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงสภา กรณีคดีตู้ห่าวและธุรกิจจีนสีเทา สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ยืนยันรัฐบาลชุดนี้ไม่มีการขายบ้านแล้วแถมสัญชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 นายกฯ ชี้แจงสภา กรณีคดีตู้ห่าวและธุรกิจจีนสีเทา สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ยืนยันรัฐบาลชุดนี้ไม่มีการขายบ้านแล้วแถมสัญชาติ นายกฯ ชี้แจงสภา กรณีคดีตู้ห่าวและธุรกิจจีนสีเทา สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ยืนยันรัฐบาลชุดนี้ไม่มีการขายบ้านแล้วแถมสัญชาติ วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 12.10 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีคดีตู้ห่าวและธุรกิจจีนสีเทา ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีของคดีตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน สัญชาติไทย พฤติกรรมเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนปี 2557 โดยตู้ห่าวได้เข้ามาตั้งแต่ปี 2554 และมีการดำเนินเรื่องกระบวนการอนุมัติ อนุญาตเรื่องสัญชาติตั้งแต่ปี 2554 จนกระทั่งถึงรัฐบาลปัจจุบันเมื่อเสนอมาก็ดำเนินการตรวจสอบแล้วเมื่อถูกต้องก็เป็นการอนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมาย อย่างไรก็ตามเมื่อรับทราบถึงพฤติกรรมเหล่านี้จากข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงประชาชน ก็ให้สืบสวนสอบสวน เพราะถูกปล่อยปละมานานแล้ว โดยมีการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย และมีการสืบสวนสอบสวน รวมไปการเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งพบว่าได้ใช้ในกิจการซื้ออสังหาริมทรัพย์ยกหมู่บ้าน หลายหมู่บ้าน แต่ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่มีแน่นอนในการขายบ้านแล้วแถมสัญชาติ ทั้งนี้ หากไปตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงให้ดีจะพบว่าภรรยาตู้ห่าวก็มีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีพรรคใด นอกจากนี้ ได้มีการพบกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ซึ่งได้รับฟังมูลดังกล่าวและได้ส่งข้อมูลเหล่านั้นไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทันที โดยดำเนินการทุกอย่างภายใต้หลักของกฎหมายซึ่งหลักนิติธรรมก็ต้องมี การดำเนินการทุกอย่างทำถูกต้องแต่อาจไม่ถูกใจและไม่ทันใจทุกคน เพราะการดำเนินการบางอย่างอยู่ในขั้นตอน บางอย่างเปิดเผยได้ และบางครั้งก็เปิดเผยไม่ได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประเด็นที่ 1 กรณีการออกหมายเรียก ส.ว.อุปกิต ปาจรียางกูร ของพนักงานสอบสวน บช.ปส. นั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าเรื่องนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลและกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ได้มีการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันและสามารถขยายผลดำเนินคดีได้หลายราย บางรายก็หลบหนี ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้ออกหมายจับ และติดตามจับกุมมาได้ บางรายที่หลบหนีอยู่ก็ยังสืบสวนเพื่อจะต้องจับกุมให้ได้ ส่วนที่สมาชิกได้อภิปรายว่ามี ส.ว.เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งฝ่ายสืบสวนและสอบสวนได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา แล้ว ส่วนการเพิกถอนหมายจับก็เป็นดุลยพินิจของทางฝ่ายตุลาการ ซึ่งก็มีความเห็นให้พนักงานสอบสวนไปออกหมายเรียกก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ขอเข้าไปก้าวก่ายความเห็นนี้ เนื่องจากไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหาร แต่เรื่องนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ที่พนักงานสอบสวนต้องทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดมอบหมายตามกฎหมาย จึงต้องมีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมรอบคอบก่อน เมื่อพบว่าใครเกี่ยวข้องก็จะออกหมายเรียก ซึ่งจะเรียกตอนไหน อย่างไรก็เป็นดุลพินิจและการปฏิบัติของพนักงานสอบสวน ตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างการสอบสวนและยังอยู่ภายในอายุความ ถ้าออกหมายเรียกไปแล้วภายใน 15 วันไม่มาพบพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ก็มีเหตุออกหมายจับ เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปเอื้อประโยชน์หรือช่วยเหลืออย่างไร เพราะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ประเด็นที่ 2 กลุ่มธุรกิจจีนสีเทาผับจินหลิง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ตำรวจนครบาล ได้มีการสืบสวนตรวจค้น/จับกุมและขยายผล ได้ผู้ต้องหาหลายสิบราย บางรายหลบหนี ก็ออกหมายจับ และอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนที่มีการระบุว่า มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน ผู้บังคับบัญชาก็มีการตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวน มีคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อนไปแล้ว โดยรายใดเมื่อดูแล้วว่ามีความผิดอาญาด้วยก็ดำเนินคดีอาญาไปตามกฎหมาย ส่วนที่บอกว่าไปย้ายคนขยัน คนทำงานนั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่าเรื่องนี้เป็นการแต่งตั้ง โยกย้าย ภายในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ได้พิจารณาไปตามกฎเกณฑ์ หลักเกณฑ์ และระเบียบต่าง ๆ แล้ว ประเด็นที่ 3 กรณี นายหยู ชิน สี ตั้งสมาคมปลอม เพื่อช่วยทำวีซ่านำคนจีนสีเทาเข้าประเทศในห้วงปี 2563-2564 จำนวน 7,000 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ ตม. ช่วยเหลือ นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงว่า กรณีดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการชี้แจงข้อมูลความคืบหน้าให้ทางสื่อมวลชนทราบเป็นระยะ ซึ่งก็เห็นแล้วว่าตำรวจกำลังดำเนินการและทำอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ หากพบเจ้าหน้าที่ผู้ใดไปร่วมกระทำผิด ก็ต้องดำเนินการทั้งวินัยและอาญาไม่มีการยกเว้น รวมทั้งคนไทยหลายคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องและรับประโยชน์ด้วย โดยนายกรัฐมนตรียืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด พร้อมย้ำว่า ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สำหรับกรณีที่มีการพูดเรื่องคอรัปชันต่าง ๆ นั้น พบว่ามีอดีตรัฐมนตรีหลายคน ก็มีปัญหาเรื่องคอรัปชัน รวมถึงมีรัฐมนตรีติดคุกก็หลายคน บางคนไปต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลปี 2557 ยังไม่มีรัฐมนตรีคนใด ต้องติดคุกสักราย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรื่องการดำเนินงานของ กอ.รมน. ว่า กอ.รมน. เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นมาภายใต้กฎหมาย โดยมีนายกรัฐมนตรีทุกคนเป็น ผอ.รมน. โดยตำแหน่ง ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาของ กอ.รมน. ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดย กอ.รมน. เป็นกลไกและศูนย์ประสานงานในการต่อต้านภัยคุกคามทุกรูปแบบ โดยการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหาร อย่างใกล้ชิดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ ซึ่งหลายประเทศก็มีหน่วยงานลักษณะเช่นนี้เช่นกัน เช่น กรณีที่มีปัญหาภาคใต้ ก็จำเป็นต้องมีหน่วยงานเฉพาะกิจลงไปเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และเมื่อไม่มีปัญหาแล้วก็ไม่ต้องไปทำ สามารถพิจารณายกเลิกได้ในวันข้างหน้า ทั้งนี้ ยืนยันการดำเนินการไม่ได้เพื่อรักษาอำนาจแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่ากรณีสถานการณ์ภาคใต้ ขอให้ทุกคนต้องระมัดระวังในการพูดและการนำข้อมูลต่าง ๆ มาเผยแพร่ เพราะเกี่ยวพันกับหลายประเทศ รวมทั้งกลุ่มประเทศมุสลิม OIC ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในการแก้ไขปัญหาร่วมกับไทยในทุกมิติ ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องมีกลไกเพิ่มเติมเข้าไปแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อแก้ไขปัญหาได้และยุติปัญหาได้แล้ว ก็สามารถนำกำลังกลับมาได้ ทั้งนี้ ที่เจ้าหน้าที่ลงไป ไม่ได้ไปเพื่อคุมคนหรือไปกดคนแต่อย่างใด ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องมีการบังคับบัญชา การสั่งการ ควบคุมกำกับดูแล โดยขณะนี้การเดินหน้าแก้ไขปัญหาภาคใต้มีความก้าวหน้าโดยลำดับ และมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนในพื้นที่ด้วย สำหรับกรณีเรื่องนิรโทษกรรมนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้ก็มีในเรื่องของการอภัยโทษอยู่แล้ว และนิรโทษกรรมก็เป็นเรื่องของสภาฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี 2565 ไทยอันดับโดยรวมดีขึ้น 9 อันดับจากปีก่อนหน้า อยู่ในอันดับ 101
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี 2565 ไทยอันดับโดยรวมดีขึ้น 9 อันดับจากปีก่อนหน้า อยู่ในอันดับ 101 และอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาเซียน วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2565 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับ 101 ของโลกจาก 180 ประเทศทั่วโลก มีคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 36 คะแนน ดีขึ้นจากปี 2564 ที่อยู่อันดับ 110 ได้ 35 คะแนน ถือเป็นอันดับที่ 4 ของกลุ่มประเทศอาเซียน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปี 2565 ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตของไทยเป็นการประเมินจาก 9 แหล่งข้อมูล โดย ไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (พ.ศ. 2564) 2 แหล่ง คือ IMD World Competitiveness Yearbook (IMD) เพิ่มขึ้นจาก 39 เป็น 43 คะแนน และ World Economic Forum (WEF) เพิ่มขึ้นจาก 42 เป็น 45 คะแนน ในขณะที่แหล่งข้อมูลที่คะแนนคงที่มี 5 แหล่ง คือ 1) Varieties of Democracy Institute ที่ 26 คะแนน 2) Bertelsmann Foundation Transformation Index ที่ 37 คะแนน 3) Economist Intelligence Unit Country Risk Ratings ที่ 37 คะแนน 4) Global Insight Country Risk Ratings ที่ 35 คะแนน และ 5) PRS International Country Risk Guide ที่ 32 คะแนน ทั้งนี้ แหล่งข้อมูลที่ได้รับคะแนนลดลงจากปีก่อน 2 แหล่ง คือ The Political and Economic Risk Consultancy ลดลงจาก 36 เป็น 35 คะแนน และ World Justice Project Rule of Law Index ลดลงจาก 35 เป็น 34 คะแนน โฆษกรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า การรวบรวม CPI นั้นครอบคลุมการคอร์รัปชันของภาครัฐ อาทิ การติดสินบน การแปลงงบประมาณ (Diversion of public funds) เจ้าหน้าที่ใช้สำนักงานของรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ต้องเผชิญกับผลที่ตามมา ความสามารถของรัฐในการควบคุมการทุจริตในภาครัฐ กฎหมายที่รับรองว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับผู้ที่รายงานกรณีการติดสินบนและการทุจริต เป็นต้น “นายกฯ ให้ความสำคัญ และผลักดันการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ โดยได้บรรจุแนวทางการแก้ไขไว้ในทุกระดับ ทั้งระดับชาติ จนไปถึงแผนระดับรอง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสั่งการ และกำชับให้แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจังมาโดยตลอด รวมทั้งกำชับการทำงานของทุกหน่วยงาน ให้ทำงานด้วยความโปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน จากการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ สร้างความตื่นตัวให้ภาคประชาชนในการจับตามองการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65023
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank เปิดมิติใหม่ เพิ่มช่องทางให้บริการผ่านแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ดีเดย์เฟสแรก มี.ค.นี้ ตอบโจทย์เอสเอ็มอีเข้าถึงสะดวก รวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 SME D Bank เปิดมิติใหม่ เพิ่มช่องทางให้บริการผ่านแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ดีเดย์เฟสแรก มี.ค.นี้ ตอบโจทย์เอสเอ็มอีเข้าถึงสะดวก รวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา SME D Bank ขยายช่องทางให้บริการใหม่ผ่านแอปฯ เป๋าตัง นำร่องให้บริการเฟสแรก มี.ค.2566 นี้ ประเดิม 3 เมนูสำคัญ ได้แก่ 1. ดูรายการย้อนหลัง 2. ชำระค่างวดสินเชื่อ และ 3. Update ข้อมูลสินเชื่อคู่งานพัฒนา ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล SMEs เข้าถึงบริการง่าย รวดเร็ว SME D Bank ขยายช่องทางให้บริการใหม่ ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” นำร่องให้บริการเฟสแรกในเดือนมีนาคม 2566 นี้ ประเดิม 3 เมนูสำคัญ ได้แก่ 1. เรียกดูรายการย้อนหลัง 2. ชำระค่างวดสินเชื่อ และ 3. Update ข้อมูลสินเชื่อคู่งานพัฒนา ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงบริการได้ง่าย รวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย เดินหน้ายกระดับบริการผ่านระบบดิจิทัล สนับสนุนลูกค้าธนาคารและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ได้รับความสะดวกสบาย เข้าถึงบริการด้านเงินทุนและการพัฒนาของ SME D Bank ได้ง่าย รวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา และปลอดภัย โดยร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย เปิดให้บริการระบบของ SME D Bank ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่เป็นแพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน มากที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นบริการเพิ่มเติมควบคู่กับช่องทางประจำต่าง ๆ ที่ธนาคารมีอยู่แล้ว สำหรับบริการของ SME D Bank ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จะเริ่มเปิดให้บริการระยะแรก (เฟสที่ 1) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นไป เบื้องต้นมีเมนูสำคัญ ได้แก่ 1. บริการสามารถเรียกดูรายการชำระสินเชื่อย้อนหลัง (Loan Payment History) สูงสุด 6 เดือน สำหรับลูกค้า SME D Bank กลุ่มบุคคลธรรมดา 2.บริการชำระค่างวดสินเชื่อ (Loan Payment) ของลูกค้า SME D Bank กลุ่มบุคคลธรรมดา และ 3. บริการข้อมูลข่าวสารผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และงานพัฒนาจาก SME D Bank ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการ “ความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพธุรกิจเดินหน้าได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด นอกจากนั้น ในอนาคต SME D Bank จะขยายบริการใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น การแจ้งเตือนบริการ (Notification) ตรวจข้อมูลเครดิตบูโร (Check NCB) และสมัครขอสินเชื่อ เป็นต้น ทั้งนี้ SME D Bank เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกนอกเหนือจากธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงบริการด้านการเงินและการพัฒนาของ SME D Bank ได้ง่าย สะดวกสบาย รวดเร็ว สนับสนุนให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพ คว้าโอกาสเติบโตเต็มศักยภาพจากกำลังซื้อภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 นายกฯ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง นายกฯ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันรัฐบาลแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 12.20 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการแก้ไขปัญหายาเสพติด รัฐบาลได้เริ่มต้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย โดยได้มีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแต่ช้ำซ้อนกัน จาก 24 ฉบับให้เหลือเพียงฉบับเดียว ซึ่งจะทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2564 ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการมาตรการด้านการปราบปราม จับกุมและขยายผลไปสู่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ รวมทั้งสามารถยึด-อายัดทรัพย์สินได้มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสมาชิกจะต้องช่วยพูดทำความเข้าใจกับสังคม ให้เด็กนักเรียนอย่าไปลอง อย่าไปเสพ อย่าเอาแต่ตำหนิ ข้าราชการดี ๆ ก็มี ส่วนคนชั่วก็ต้องช่วยกันขจัดออกไป ต้องทำให้ได้ มิติการป้องกัน กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยความรู้และหลักคิดที่ถูกต้องให้กับเยาวชน สร้างกลไกเฝ้าระวังยาเสพติด เพื่อป้องกันสถานศึกษาให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยอยู่เสมอ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัว และสนับสนุนการบำบัดรักษาโดยชุมชน มิติการสกัดกั้น กองทัพได้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังมากขึ้น ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทุกหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบ พบการเปลี่ยนแปลงวิธีการเคลื่อนย้ายยาเสพติด ซึ่งต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ข้อสำคัญคือประชาชนต้องมีส่วนร่วมช่วยเฝ้าระวังด้วย นอกจากนี้ มีการตรวจสอบตามแนวชายแดน มีการปะทะ ขณะที่เรื่องสารตั้งต้นยาเสพติด ได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องระงับการนำเข้า ที่ผ่านมาบางครั้งมีการนำเข้าเกินความจำเป็น ซึ่งได้มีการแก้ไขตรวจสอบแล้ว มีการลดจำนวนลง ให้ใช้เฉพาะภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น และด้านต่างประเทศก็มีกลไกความร่วมมืออยู่แล้ว มิติการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเชิงรุก ในการปราบปราม-จับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และจัดส่งข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ส. ขยายผลไปสู่การทำลายเครือข่าย จับกุมนายทุน และผู้เกี่ยวข้อง มีการจับกุมและดำเนินคดีในปี 2565 และ 2566 มากกว่า 1,500 คดี กับผู้ต้องหามากกว่า 2,500 คน ได้ของกลางทั้งยาบ้ากว่า 800 ล้านเม็ด ยาไอซ์ เฮโรอีน คีตามีน กว่า 80 ล้านกรัม และยังมีที่จะต้องจับกุมดำเนินคดีอีกต่อไปเรื่อย ๆ ข้อสำคัญคือต้องเตือนลูกหลานว่าอย่าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด อย่าไปลอง มิติการยึดอายึดทรัพย์สิน สำนักงาน ป.ป.ส. บูรณาการอย่างใกล้ชิดกับสำนักงาน ปปง. และกรมสรรพากร ในการขยายผล ยึดทรัพย์สินผู้ค้ายาเสพติด ที่นำเงินจากยาเสพติดไปฟอกเงิน หน่วยงานศาลและอัยการ เร่งรัดกระบวนการทางคดียาเสพติดให้มีความรวดเร็วขึ้น มิติความร่วมมือระหว่างประเทศ ใช้กลไกการดำเนินงานตามโครงการสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยานสากล (AITF) และโครงการสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าเรือสากล (SIT F) ซึ่งต้องประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวสารกับประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างช่องทางสื่อสารเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพในทุกระดับ ซึ่งผลจากการสกัดกั้นทั้งสองทางนี้ ทำให้ในปี 2565 สามารถดำเนินคดียาเสพติดได้ถึง 144 คดี และปี 2566 ได้ 58 คดี โดยสองปีนี้มีการยึดของกลางยาไอซ์ เฮโรอีน คีตามีน ได้มากกว่า 1 ล้าน 9 แสนกรัม มิติการบำบัดรักษาฟื้นฟู ซึ่งเป็นมิติที่สำคัญที่สุดวันนี้ ผู้ติดยาเสพติดถือเป็นบุคคลอันตราย ได้ให้มีการลงไปตรวจสอบ สอดส่อง มีกลไกทั้งท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ไปสำรวจจำนวนผู้เสพยาเสพติดในแต่ละพื้นที่ ซึ่งวันนี้มีข้อมูลแล้วหลายจังหวัด ทางตำรวจกำลังสรุปข้อมูลอยู่ ซึ่งมีผู้เสพทั้งสีเขียว สีส้ม สีแดง จึงต้องหาทางนำมาเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลประจำตำบล (รพ.สต.) วัด ท้องถิ่น พร้อมกับเร่งรัดการจัดสร้างสถานบำบัดรักษา โดยมอบให้ กอ.รมน. ไปพิจารณาหาสถานที่ที่มีอยู่ของทางทหาร เพราะผู้เสพบางคนหากอยู่ข้างนอกจะเป็นอันตราย ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในเรื่องช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ขอให้แจ้งเข้ามา พร้อมที่จะเข้าดำเนินการ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างกันทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ทั้งนี้ ในมิติการบำบัดรักษาฟื้นฟู ยังได้เร่งรัดจัดทำกฎหมายลำดับรอง หรืออนุบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศต่าง ๆ สำหรับใช้ในการบำบัดรักษา คัดกรองผู้เสพ-ผู้ติดยาเสพติด แล้วนำเข้าสู่กระบวนการอย่างเหมาะสม โดยจัดตั้งสถานที่บำบัดรักษา ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และรพ.สต. ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีดำริว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะจัดตั้งสถานบำบัดรักษาภาคเอกชนแบบในต่างประเทศ เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองบางคนไม่อยากเปิดเผย อย่างไรก็ตาม วันนี้จะหาพื้นที่ที่ควบคุมให้ได้ แต่ไม่ได้เป็นการนำมาขัง เป็นการนำเข้ามาเพื่อแก้ไขการติดยา พร้อมทั้งฝึกอาชีพให้มีงานทำเมื่อออกมา รัฐบาลแก้ปัญหาทั้งระบบ โดยวันนี้ ให้ อสม. ทำหน้าที่เป็นคู่บัดดี้ ติดตามผู้ป่วยในชุมชนจนกว่าอาการจะหายขาด และสร้างระบบการบำบัดฟื้นฟูในรูปแบบชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment : CBTx) พร้อมทั้งให้กระทรวงแรงงาน ส่งเสริมให้ผู้ผ่านการบำบัดฟื้นฟูมีทักษะความรู้ในสาขาวิชาชีพ พร้อมจัดหาตำแหน่งงานให้มีงานทำ นอกจากนี้ ในระดับชุมชน ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศ กระทรวงมหาดไทยได้มีการสนับสนุนการปฏิบัติงานในทุกมิติ เช่น จัดตั้งชุดปฏิบัติการตำบล ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน จัดเจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้านชุมชน จัดให้มีการลงทะเบียนในระบบ พร้อมทั้งสอดส่องป้องกัน เฝ้าระวัง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในแหล่งมั่วสุม เปิดช่องทางสื่อสารเพิ่มเติมจากสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 สำหรับรับแจ้งเบาะแส ร้องเรียน ขอรับความช่วยเหลือ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมให้ครบทุกจังหวัด เพื่อสร้างกลไกต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดมีงานทำ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลจำเป็นต้องรับผิดชอบ นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบอยู่แล้ว ต้องดำเนินการให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เป็นการสร้างปัญหาใหม่ต่อไปในอนาคต ต้องใช้กฎหมายให้ถูกต้อง ใช้กระบวนการยุติธรรม เคารพในอำนาจต่าง ๆ ทางด้านกระบวนการยุติธรรม ประเทศใดที่ไร้ซึ่งกฎหมายคงไม่ใช่ประเทศ วันหน้าจะแตกไปหมด นายกฯ ขอขอบคุณทุกคนในการที่ทำให้บ้านเมืองมีความรัก ความสามัคคี ไม่แตกแยก เพราะเราคือประเทศไทย ถ้าแตกแยกแบ่งกันไปแบ่งกันมาวันหน้าเราจะไปไหนไม่ได้ รัฐบาลกำลังพยายามทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตให้ได้มากที่สุด ให้ดีที่สุด รัฐบาลได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมากพอสมควร ในการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ไม่มีใครสักคนที่รังเกียจนายกรัฐมนตรี ผู้นำทุกประเทศมาคุยด้วย การประชุมต่างประเทศก็เชิญนายกรัฐมนตรีไปร่วม รวมทั้งชื่นชมการแก้ไขปัญหาโควิด 19 ที่ทำให้ประชาชนอยู่ได้ โรงงานอุตสาหกรรมไม่ต้องปิดกิจการ แรงงานยังทำงานได้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า กฎหมายคือความเท่าเทียม ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันซึ่งเรียกว่าความเท่าเทียม การแยกคนเป็นกลุ่มเป็นฝ่ายไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง โดยประชาธิปไตยที่ถูกต้องคือประชาธิปไตยที่มีมีสิทธิเสรีภาพ มีหน้าที่ แต่ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องสอนเด็ก ๆ ไม่ให้ถูกบิดเบือน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท แจ้งปิดเบี่ยงช่องจราจรบนสะพานข้ามคลองพระอุดม ถนนชัยพฤกษ์ (ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าสะพานพระราม 4)
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท แจ้งปิดเบี่ยงช่องจราจรบนสะพานข้ามคลองพระอุดม ถนนชัยพฤกษ์ (ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าสะพานพระราม 4) และปิดทางกลับรถใต้สะพานข้ามคลองพระอุดม (ฝั่งซอยทางเข้าถนนหอการค้าไทย) ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม - 30 เมษายน 2566 ช่วงเวลา 10.00 น. - 14.00 น. กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างสะพาน จะทำการปิดเบี่ยง ช่องจราจรบนสะพานข้ามคลองพระอุดม ถนนชัยพฤกษ์ (ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าสะพานพระราม 4) จำนวน 1 ช่องทางซ้าย และปิดทางกลับรถใต้สะพานข้ามคลองพระอุดม (ฝั่งซอยทางเข้าถนนหอการค้าไทย) เพื่อดำเนินการติดตั้งคานคอนกรีตรูปกล่องหล่อสำเร็จ สะพานข้ามคลองพระอุดม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการขยายถนนชัยพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี ระยะทาง 6.892 กิโลเมตร ทั้งนี้ ทช. จะเริ่มดำเนินการปิดเบี่ยง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 30 เมษายน 2566 ช่วงเวลา 10.00 น. - 14.00 น. ประชาชนสามารถใช้ทางกลับรถบริเวณทางแยกต่างระดับถนนชัยพฤกษ์ตัดกับถนนราชพฤกษ์ทดแทนได้ รวมถึงประชาชนที่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวยังคงสามารถใช้ทางคู่ขนาน เข้า - ออก ได้ ทช. ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้เส้นทางโปรดสังเกตป้ายจราจร รวมถึงปฏิบัติตามป้ายเตือนป้ายแนะนำ อย่างเคร่งครัด เพื่อความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางและขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65031
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-depa THAI GAME INDUSTRY TO GLOBAL
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 depa THAI GAME INDUSTRY TO GLOBAL depa THAI GAME INDUSTRY TO GLOBAL วันนี้ (16 ก.พ. 66) - นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในงานแถลงข่าว และเปิดตัวโครงการ การส่งเสริมการพัฒนาทักษะกำลังคนรุ่นใหม่ต่อยอดการสร้างอาชีพในอนาคตและยกระดับอุตสาหกรรมเกมไทยสู่สากล หรือ depa THAI GAME INDUSTRY TO GLOBAL หวังมุ่งเน้นขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีพลวัต บนฐานของสังคมที่รู้คิด รู้ทัน และกำลังคนที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสจากเทคโนโลยี ภายใต้แนวคิด Digital Infinity: ดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุด โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ให้การต้อนรับ ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 กรุงเทพฯ _______________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจฯ วิษณุ นั่งหัวโต๊ะประชุมติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ สปอ. ปี 66
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 หัวหน้าผู้ตรวจฯ วิษณุ นั่งหัวโต๊ะประชุมติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ สปอ. ปี 66 หัวหน้าผู้ตรวจฯ วิษณุ นั่งหัวโต๊ะประชุมติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ สปอ. ปี 66 วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2566 ครั้งที่ 1/2566 โดยที่ประชุมได้รายงานการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. 2566 และรายงานการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ.2565 ทั้งนี้ ผลการเบิกจ่ายในภาพรวมของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 50.66 เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด โดยมี นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมการประชุมด้วย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65062
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัด มท. เปิดการแสดงโขนพระราชทาน จ.เชียงราย ประจำปี 2566 เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัด มท. เปิดการแสดงโขนพระราชทาน จ.เชียงราย ประจำปี 2566 เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัด มท. เปิดการแสดงโขนพระราชทานจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2566 เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด "หนุมานชาญกำแหง" สุดยอดนาฏกรรมอันวิจิตรตระการตา สืบสาน รักษา ต่อยอด เพื่อธำรงอัตลักษณ์วัฒนธรรมของชาติให้ยั่งยืน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 19.00 น. ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานและร่วมรับชมการแสดงโขนพระราชทานจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2566 เรื่องรามเกียรติ์ ชุด "หนุมานชาญกำแหง" โดยมี คุณหญิงจันทนี ธนรักษ์ ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ คุณนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง นายศิริชัย ทหรานนท์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ THEATRE และผู้ทรงคุณวุฒิโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ร่วมรับชมกว่า 3,000 คน โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำคณะ และนักแสดง ร่วมประกอบพิธีคำนับครูเพื่อความเป็นสิริมงคล และนำผู้ร่วมรับชมเปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างกึกก้อง ก่อนทำการแสดง โดยภายหลังจบการแสดง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบช่อดอกไม้ให้แก่ตัวแทนนักแสดง ตัวแทนนักดนตรี ผู้เขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการแสดง และรับมอบของที่ระลึกจากคุณหญิงจันทนี ธนรักษ์ ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาให้คณะนักแสดงโขนจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงมาทำการแสดงที่จังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ นับเป็นความโชคดีของชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ที่ได้รับโอกาสในการชมอย่างใกล้ชิดได้สัมผัสกลิ่นอายของนาฏยกรรมโบราณ และเป็นการร่วมสืบสานจารีตธำรงเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย "โขน" ถือเป็นสุดยอดศิลปะการแสดงชั้นสูงและได้รับการประกาศจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก ได้ประกาศให้ขึ้นบัญชีการแสดงโขนในประเทศไทย "Khon masked dance drama in Thailand" ในรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้กล่าวอีกว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ทรงมีพระอัจฉริยภาพทั้งทางด้านอักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ ด้วยพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงมีต่อแผ่นดินไทยนานับประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญาแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช" เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 เพื่อสนองพระเดชพระคุณ เฉลิมพระเกียรติยศให้ปรากฏแผ่ไพศาล ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานสืบสานพระราชกรณียกิจ ทำนุบำรุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งทรงพระราชทานให้คณะนักแสดงโขนจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงมาแสดงที่จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่ 4 หรือเป็นจังหวัดแรกหลังจากประเทศต้องประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิค-19) เป็นปฐมฤกษ์ของปี 2566 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของชาวเชียงราย "ขอขอบคุณหน่วยงานหลักที่ให้การสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลนิธิศาลาเฉลิมกรุง สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กระทรวงวัฒนธรรม และทุกหน่วยงาน ที่มีส่วนในการจัดการแสดงโขนพระราชทานในครั้งนี้" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย ด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชทรงสร้างเมืองเชียงรายครบรอบ 761 ปี และครบรอบ 50 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของจังหวัดเชียงรายได้ขอพระราชทานคณะโขนศาลาเฉลิมกรุง เพื่อสมโภชน์เมืองเชียงรายและเฉลิมฉลองในสองโอกาส ข้างต้น จังหวัดเชียงรายจึงขอพระราชทานพระมหากรุณาให้คณะโขนจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์โดดเด่น และเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงประจำชาติไทย มาจัดแสดง ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินตามรอยพระยุคลบาท ในการอนุรักษ์ทำนุบำรุงและสืบสานนาฏศิลป์ชั้นสูงของชาติ และร่วมสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้เด็กเยาวชนและประชาชนชาวไทยเกิดความรัก และความภาคภูมิใจในคุณค่าแห่งศิลปะการแสดงชั้นสูงประจำชาติไทย โดยราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระมหากรุณาให้คณะโขนศาลาเฉลิมกรุงมาจัดการแสดงโขนพระราชทาน เรื่อง รามเกียรติ์ ชุดหนุมานชาญกำแหง ในระหว่างวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแสดงโขนพระราชทานจังหวัดเชียงราย แสดงโดยคณะนักแสดงจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงในครั้งนี้ เป็นคณะโขนที่ได้คัดเลือกนักแสดงกว่า 100 คน ได้รับการฝึกฝนนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย จากหลากหลายสถาบัน อำนวยการแสดงโดย คุณนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ควบคุมการแสดงโดย รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) กำกับการแสดงโดยอาจารย์เฉลิมศักดิ์ ปัญญวัตวงศ์ บรรเลงดนตรีโดยวงโรหิตาจล ศิลปะการแสดงชั้นสูงการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ชุด "หนุมานชาญกำแหง" จับตอนตั้งแต่กำเนิดหนุมานจนได้เป็นข้าทหารของพระราม ช่วยพระรามรบกับทศกัณฐ์จนชนะ และได้รับประทานสมญาศักดิ์เป็นพระยาอนุชิตจักรกฤษณ์พิพรรธพงศา ครองเมืองนพบุรี ประกอบด้วยการแสดง 8 องก์ องก์ 1 กำเนิดหนุมานชาญกำแหง องก์ 2 วานรอ่อนแรงด้วยต้องสาป องก์ 3 ขุนทหารรับอาสาสืบหนทาง องก์ 4 ช่วยสีดา-ล้างสหัสกุมาร องก์ 5 คุมทหารถมศิลา จับมัจฉาอรทัย องก์ 6 ลวงเอาดวงใจทศกัณฐ์ องก์ 7 กุมภัณฑ์พ่ายแพ้หนุมาน และองก์ 8 ขุนทหารครองพารา ถ่ายทอดผ่านการแสดงอันวิจิตรงดงามตระการตา และถูกต้องตามขนบจารีตแบบแผนดำเนินเรื่องด้วยการพากย์และเพลงหน้าพาทย์แบบโบราณ เรื่องราวสั้นกระชับด้วยการพากย์เจรจาที่สนุกสนานตื่นเต้นไปกับลีลากระบวนท่าของลิงที่หาชมยากยิ่งในปัจจุบัน "ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงร่วมสวมใส่ชุดผ้าไทยและผ้าประจำถิ่น ร่วมรับชมการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ชุด "หนุมานชาญกำแหง" ในวันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 19.00 น. ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย" นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65035
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุนญี่ปุ่นศึกษาลู่ทางลงทุนอุตสาหกรรมสุขภาพในไทย
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ทุนญี่ปุ่นศึกษาลู่ทางลงทุนอุตสาหกรรมสุขภาพในไทย ทุนญี่ปุ่นศึกษาลู่ทางลงทุนอุตสาหกรรมสุขภาพในไทย ทุนญี่ปุ่นศึกษาลู่ทางลงทุนอุตสาหกรรมสุขภาพในไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายชนินทร์ ขาวจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 5 จากขวา) และนางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (ที่ 7 จากขวา)ให้การต้อนรับผู้บริหารและคณะจาก Kyushu Economy International เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ในโอกาสเดินทางเพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทยในอุตสาหกรรมสุขภาพโดยได้เข้าพบและหารือกับหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพของไทย เช่น โรงพยาบาล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. เสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในกิจกรรมงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2566 ต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อว. เสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในกิจกรรมงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2566 ต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี อว. เสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในกิจกรรมงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2566 ต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี วันที่ 31 มกราคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในกิจกรรมงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2566 ต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี นำโดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ได้กำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันนักประดิษฐ์" เพื่อน้อมรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ในการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" หรือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร "พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย" ซึ่งเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และเป็นครั้งแรกของโลก รวมทั้งทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักประดิษฐ์ไทยในการสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและสังคมส่วนรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน "วันนักประดิษฐ์" ประจำปี 2566 เพื่อนำเสนอสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพร้อมใช้ และความก้าวหน้าด้านการประดิษฐ์คิดค้นของประเทศ และผลักดันให้เกิดการขยายผลและนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ โดยสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) และเป้าหมายประเทศไทย 4.0 ในการนำการวิจัยและนวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมของประเทศ สำหรับผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในกิจกรรมงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2566 ที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้แก่ 1. ผลงาน นวัตปะการัง : ปะการังเทียมที่มีโครงสร้างเลียนแบบธรรมชาติด้วยกระบวนการออกแบบชีวจำลอง เป็นนวัตปะการังในรูปแบบ Modular Design ด้วยโปรแกรมการออกแบบสามมิติ บนพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีโครงสร้างที่เหมาะสมขึ้นรูปได้อย่างอิสระโดยใช้ 3D Cement Printing สามารถถอดประกอบ และปรับแต่งโครงสร้างได้ตามความต้องการ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานตามวัตถุประสงค์ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับภาคกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เศรษฐกิจและสังคม โดยการแก้ไขปัญหาด้านมลภาวะทางทัศนาการ ฟื้นฟูระบบนิเวศแนวปะการังทางทะเลในพื้นที่เสื่อมโทรมด้วยนวัตปะการัง ส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรของประเทศ สร้างองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ปะการัง ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนในอนาคต 2. ผลงาน เท้าเทียมไดนามิกส์สำหรับผู้พิการขาขาดที่แข็งแรง เท้าเทียมไดนามิกส์ sPace เป็นนวัตกรรมเท้าเทียมที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ทนทาน แข็งแรง มีน้ำหนักเบา เป็นเท้าที่มีความยืดหยุ่น เสมือนมีข้อเท้าที่สามารถงอขึ้นลง และบิดซ้าย-ขวาได้เหมือนเท้าคนปกติ มีความสามารถในการเก็บและปล่อยพลังงานคืนในจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งเหมาะสำหรับผู้พิการขาขาดที่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ และช่วยให้ผู้พิการสามารถทำกิจกรรม หรือออกไปทำงานนอกบ้านได้มากขึ้น เท้าเทียมไดนามิกส์ sPace ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อจัดทำโครงการกายอุปกรณ์สำหรับผู้พิการ ภายใต้โครงการเฉลิมพระเกียรติ "ก้าวใหม่ด้วยวิจัยและนวัตกรรม" เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งได้แจกจ่ายเท้าเทียมไดนามิกส์ sPace จำนวน 78 ขา ให้กับผู้พิการขาขาดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ และศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน รวมจำนวน 13 แห่ง 3. ผลงาน การผลิตกระจกเกรียบตามอย่างโบราณ เพื่อพัฒนาสู่การบูรณะและต่อยอดงานศิลปกรรมไทย "กระจกเกรียบ" เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากแนวคิด วัฒนธรรมนวัตกรรม โดยฟื้นฟูองค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมในอดีต มาผลิตเป็นนวัตกรรมสิ่งใหม่ การประดิษฐ์กระจกเกรียบตามอย่างโบราณนี้ เป็นการประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคมในวิถีชุมชนอย่างยั่งยืน 4. ผลงาน เส้นโปรตีนไข่ขาวพร้อมทาน ไร้แป้ง ไร้ไขมัน ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรีทอร์ท เส้นโปรตีนไข่ขาว 100% นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทยด้วยนวัตกรรม โดยเพิ่มมูลค่าจากไข่ขาวปกติได้สูงถึง 14 เท่า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์เส้นโปรตีนไข่ขาว ไร้แป้ง ที่บริษัท ทานดี อินโนฟูด จำกัด ได้นำเอานวัตกรรมนี้มาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ มากมาย เช่น ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง เวียดนาม สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น และมีบริษัทผู้ส่งออกสนใจในการนำนวัตกรรมนี้จำหน่ายในประเทศดังกล่าว โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ 100 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ภายหลังจากจำหน่าย เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม 5. ผลงาน เต่าบินโรโบติกบาริสต้า นวัตกรรมเต่าบินโรโบติกบาริสต้า เป็นเครื่องชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ โดยได้คิดค้นชุดอุปกรณ์ จับและหมุนแก้ว ซึ่งมีลักษณะการทำงานเลียนแบบการทำงานของมนุษย์ เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นและสร้างขึ้นโดยคนไทย เพื่อคนไทย มีเป้าหมายที่ต้องการพัฒนาต่อยอดการผลิตเครื่องดื่มแบบชงสด กระจายไปยังผู้บริโภคทั่วประเทศ สามารถคัดสรรวัตถุดิบและส่วนผสมชั้นดี ได้มีการนำวัตถุดิบโดยรวมจากในประเทศไทยเข้ามาใช้ เช่น เมล็ดกาแฟ เป็นการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรจากในประเทศ ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับประชาชนคนไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ก.เกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่าง ครั้งที่ 1/2566
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัด ก.เกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่าง ครั้งที่ 1/2566 รองปลัด ก.เกษตรฯ ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่าง ครั้งที่ 1/2566 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.30 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่าง ครั้งที่ 1/2566 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ณ ห้องประชุม 1403 ชั้น 4 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านระบบ Video Conference (Zoom Meeting) จากห้องประชุมฯ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง และความคืบหน้าในการปรับคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง จากการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 31 กันยายน 2565 และร่วมกันพิจารณาในประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน และแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคไวรัสไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ของสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย เพื่อนำเรื่องเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรเผยผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนมกราคม 2566
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 กรมศุลกากรเผยผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนมกราคม 2566 ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนมกราคม 2566 โดยในเดือนมกราคม 2566 มีจำนวน 2,513 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 556.99 ล้านบาท วันนี้ (วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร มีนโยบายในการเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อมจึงให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้า นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทหาร กอ.รมน. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) บช.ปส. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล (Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน โดยในเดือนมกราคม 2566 มีจำนวน 2,513 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 556.99 ล้านบาท มีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้ 1.ผลการจับกุมยาเสพติด ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร และการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาและออกนอกราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ รวมถึงการลักลอบนำยาเสพติดซุกซ่อนมากับสินค้าที่ส่งทางพัสดุไปรษณีย์ มีผลงานที่น่าสนใจ ได้แก่ -การลักลอบนำโคคาอีนเข้าประเทศ โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 กรมศุลกากรเจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปรามได้วิเคราะห์ข้อมูลจากสถิติการจับกุมยาเสพติดทางอากาศยานในช่วงที่ผ่านมา ตามโครงการสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task Force : AITF) หรือ หน่วยสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยานนานาชาติ ที่เป็นการผนึกกำลังของ กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ส. กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย จึงได้เฝ้าระวังผู้โดยสารที่มีสัญชาติเสี่ยงในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรและตรวจพบบัญชีรายชื่อผู้โดยสารสัญชาติแอฟริกาใต้ เป็นผู้โดยสารสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ เดินทางมาจากเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้และเปลี่ยนเครื่องที่เมืองโดฮา รัฐกาตาร์ ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เมื่อผู้โดยสารที่ต้องสงสัยเดินทางมาถึงประเทศไทย จึงทำการตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระด้วยเครื่องเอกซเรย์ พบว่ามีสิ่งผิดปกติบริเวณผนังของกระเป๋าสัมภาระ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้นโดยละเอียด ผลการตรวจค้น พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3,355 กรัม มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ซุกซ่อนอยู่ในผนังของกระเป๋าสัมภาระทั้ง 2 ด้าน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงทำบันทึกจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินคดีต่อไป ในกรณีนี้ เป็นความผิดฐานพยายามนำยาเสพติดประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 244 มาตรา 252 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 167 สำหรับสถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนมกราคม 2566 มีจำนวน 16 คดี มูลค่า 403.45 ล้านบาท 2 ผลการจับกุมบุหรี่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2566 เจ้าหน้าที่ศุลกากร โดยกองสืบสวนและปราบปราม ได้ทำการตรวจค้นร้านค้าแห่งหนึ่งบนถนนเพชรเกษม ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลังจากสืบทราบว่าร้านดังกล่าวมีการลักลอบนำบุหรี่ที่ไม่ผ่านพิธีการมาจำหน่าย ผลการตรวจสอบพบ บุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ไม่มีเอกสารผ่านพิธีการทางศุลกากรหลายยี่ห้อ จำนวน 639,760 มวน มูลค่า 2,878,920 บาท กรณีนี้เป็นการลักลอบหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 242, 243, 244, 245, 246 และ 247 ประกอบมาตรา 252,166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนมกราคม 2566 ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 183 คดี มูลค่า 7,778.806 บาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 45 คดี มูลค่า 4,147,624 บาท 3 ผลการจับกุมสินค้าเกษตร เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2566 เวลา 01.00 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากร โดยด่านศุลกากรอรัญประเทศได้รับแจ้งจากสายลับปกปิดนามว่าจะมีการลักลอบนำสินค้าประเภทกระเทียมสด ที่ยังไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร บรรทุกมากับรถยนต์กระบะ ออกจากตลาดบ้านเขาดินไปตลาดสี่มุมเมืองกรุงเทพ จึงได้นำกำลังไปทำการเฝ้ารออยู่บริเวณริมถนนหมายเลข 317 หลักกิโลเมตรที่ 122 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว จนกระทั่งเมื่อเวลา 05.20 น. ตรวจพบรถต้องสงสัย จึงขอเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบสินค้าประเภทกระเทียมสดแกะกลีบถิ่นกำเนิดต่างประเทศ บรรจุอยู่ในกระสอบ ไม่พบเอกสารผ่านพิธีการศุลกากร จำนวน 190 กระสอบ กระสอบละ 18 กิโลกรัม น้ำหนักรวม 3,420 กิโลกรัม มูลค่า 164,160 บาท กรณีนี้ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 242, 244, 246 และมาตรา 247 ประกอบมาตรา 166 และ 167 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สถิติการจับกุมสินค้าเกษตรในเดือนมกราคม 2566 จำนวน 57 คดี มูลค่า 4,162,820 บาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM to promote economic cooperation through existing international cooperation frameworks for benefit of both Thailand and region
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 PM to promote economic cooperation through existing international cooperation frameworks for benefit of both Thailand and region PM to promote economic cooperation through existing international cooperation frameworks for benefit of both Thailand and region February 19, 2023, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the outcome of ASEAN Senior Economic Officials Meeting (SEOM) held in Semarang, Republic of Indonesia, which focused on “ASEAN Matters: Epicentrum of Growth”. At the meeting, key economic issues were discussed, i.e., progress on FTA negotiation, ASEAN Trade in Goods Agreement (ATIGA) between ASEAN and Canada which should be concluded in 2024; ASEAN-China Trade in Goods Agreement and ASEAN-India Trade in Goods Agreement which are expected to be concluded in 2025; and ASEAN-Australia-New Zealand FTA Agreement (AANZFTA) on which a protocol for amendment will be signed this year. AANZFTA, in addition to ATIGA and RCEP, will also enable Thailand’s self-certification of the origin of exported goods. The meeting also deliberated establishment of the RCEP Support Unit in the ASEAN Secretariat in Jakarta, Indonesia; ASEAN Framework on Industrial Project- Based Initiatives; and full implementation of E-Form D through the ASEAN Single Window, as well as the issues of supply chain connectivity, MSMEs competitiveness enhancement, digital transition, SDGs, reduction of interregional tax barrier, and promotion of relations with other countries outside the region. According to the Government Spokesperson, the Prime Minister strives to use existing international cooperation frameworks to promote cooperation on the economic issues of mutual interest for economic recovery and the benefit of both Thailand and the region.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนโค้งรถไฟยมราช กทม. พร้อมดึงเครือข่ายช่วยกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสิทธิ - สวัสดิการของรัฐ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัด พม. เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนโค้งรถไฟยมราช กทม. พร้อมดึงเครือข่ายช่วยกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสิทธิ - สวัสดิการของรัฐ ปลัด พม. เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนโค้งรถไฟยมราช กทม. พร้อมดึงเครือข่ายช่วยกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสิทธิ - สวัสดิการของรัฐ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 66นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า วันนี้ ตน พร้อมด้วยนางสาวนภาพร เมฆาผ่องอำไพ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนโค้งรถไฟยมราช เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโครงการประชุมแลกเปลี่ยนการส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของกลุ่มคนปราะบางและประชาชนในชุมชน ซึ่งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ร่วมกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาส่งเสริมให้ชาวชุมชนได้รับความรู้เรื่องสิทธิและสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมถึงผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ข้อเสนอจากการประชุมครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนเปราะบางและประชาชนในชุมชน นอกจากนี้ ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนโค้งรถไฟยมราช เพื่อเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสวัสดิการสังคมและการแก้ปัญหาชุมชนในทุกมิติอย่างบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนและ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ด้วยบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service - OSS) นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า ชุมชนโค้งรถไฟยมราช เป็นหนึ่งใน 25 ชุมชนในพื้นที่เขตราชเทวี ซึ่งมีทุนทางสังคมทั้งในมิติของหน่วยงานองค์กรภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาชน รวมทั้งผู้นำชุมชน อพม. และภาคีเครือข่ายอื่นๆ ที่เข้มแข็ง โดยมี 250 ครัวเรือน มีทะเบียนบ้าน 71 ครัวเรือน และไม่มีทะเบียนบ้าน 179 ครัวเรือน มีประชากรรวม 289 คน (ประชากรแฝง 113 คน) สำหรับกลุ่มสมาชิกครอบครัววัยเด็ก อายุแรกเกิด - 18 ปี มี 79 คน ได้รับเงินอุดหนุนโครงการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 16 คน และเบี้ยความพิการ 3 คน กลุ่มสมาชิกครอบครัววัยแรงงาน อายุ 19 - 59 ปี มี 169 คน ประกอบอาชีพ 118 คน ได้รับเบี้ยความพิการ 3 คน และกลุ่มสมาชิกในครอบครัววัยสูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป มี 41 คน ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุทุกคน และเบี้ยความพิการ 5 คน นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสภาพปัญหาครอบครัวที่พบในชุมชนโค้งรถไฟยมราช ได้แก่ รายได้ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ 50 ครอบครัว หนี้สินครัวเรือน 47 ครอบครัว ที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงปลอดภัย 28 ครอบครัว มีภาระเลี้ยงดูผู้ประสบปัญหา 20 ครอบครัว (เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ติดเชื้อเอดส์ และผู้ติดยาเสพติด) ขาดโอกาสทางการศึกษา 11 ครอบครัว และพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว 6 ครอบครัว เป็นต้น อีกทั้งพบว่ามีความต้องการรายครัวเรือน ได้แก่ การประกอบอาชีพ ค่ารักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัย รวม 50 ครอบครัว การเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ 17 ครอบครัว ทุนการศึกษา 16 ครอบครัว การฝึกอาชีพ 13 ครอบครัว การจ้างงาน 10 ครอบครัว และการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ 5 ครอบครัว เป็นต้น #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 07.45 น. ณ ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อตรวจติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ เมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปการจัดทำโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ภายใต้แผนพัฒนาท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารสูงสุดในชั่วโมงเร่งด่วน จากเดิม 600 คนต่อชั่วโมง เป็น 1,600 คนต่อชั่วโมง มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้นรวม 30,600 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มพื้นที่รันเวย์ ลานจอดเครื่องบิน ลานจอดรถ และส่วนอื่น ๆ โดยความก้าวหน้าโครงการ ฯ ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 98.08 จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปยังอำเภอจุฬาภรณ์ ติดตามแนวทางการพัฒนาอำเภอจุฬาภรณ์ และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งอำเภอจุฬาภรณ์เป็นอำเภอที่ประสบปัญหาการบริหารจัดการน้ำ อุทกภัยในฤดูน้ำหลาก และการขาดแคลนพื้นที่กักเก็บน้ำ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรในฤดูแล้ง รวมทั้งขาดการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยอำเภอจุฬาภรณ์มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ในเส้นทางผ่านของถนนสายเอเชีย อาทิ ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 12 และอนุสรณ์สถานค่ายบางระจัน 2 ที่ชาวบ้านรวมตัวกันต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ เป็นต้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายเด็กนักเรียนและประชาชนที่มาให้การต้อนรับกว่า 4,000 คน โดยมีกลุ่มแม่บ้านอำเภอจุฬาภรณ์ฟ้อนต้อนรับ นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง พร้อมสอบถามปัญหาและความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยความห่วงใย ระหว่างการเดินทักทาย ประชาชน ๆ ต่างให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี บอกรัก บอกให้นายกฯ สู้ ๆ พร้อมขอเซลฟี่ถ่ายรูปคู่ท่ามกลางบรรยากาศที่มีแต่รอยยิ้มอย่างอบอุ่น นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนว่า วันนี้ดีใจที่ได้มาพบกันอีกครั้งจริง ๆ และเตรียมภาษาใต้มาหลายคำ แต่ลืมหมดแล้ว เพราะอยู่ท่ามกลางคนใต้ ก็เลยไม่ค่อยกล้าพูด ทำให้ลืมคำพูดที่เตรียมไว้หมดแล้ว แต่รู้ว่าคิดถึงจังฮู้ และมาก ๆ ด้วย วันนี้มาด้วยความยินดีอย่างยิ่งในฐานะนายกรัฐมนตรี มาตรวจราชการเหมือนที่เคยมา ครั้งนี้อาจจะพิเศษหน่อย ซึ่งให้ความสำคัญกับการมาเยี่ยมตามปกติ ต้องการมาดูความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ ทำไปถึงไหนอย่างไร งบประมาณที่ใช้ไปจำนวนมากพอสมควร เกิดผลงานปรากฏขึ้นมา แต่ก็ยังไม่พอ ต้องทำอีกใช่หรือไม่ และทำในสิ่งที่ยังทำไม่ครบยังไม่สมบูรณ์ ส่วนที่ทำไปแล้วก็คือทำไปแล้วและต้องทำต่อ และทำสิ่งใหม่ ๆ และจากการดูเมื่อสรุปรายงานก็เห็นหลายอย่างเกิดขึ้น จังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่เป็นเอกลักษณ์หลายอย่างทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนปัญหามีเรื่องของการคมนาคมบ้าง ความสะดวกรวดเร็ว ด้านอื่น ๆ และปัญหาสำคัญคือสินค้าราคาเกษตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องหาวิธีการที่ดีและถูกต้องให้เกิดผลประโยชน์กับประชาชน เพื่อที่จะเจริญเติบโตไปด้วยกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งส่งเสริมแนวทางในการนำจุดเด่นของจังหวัดที่มีอยู่มาใช้ในการต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าด้านการท่องเที่ยว โดยการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการให้มีคุณภาพ ให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนและกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งการต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมจากการทำสินค้าที่ระลึก รวมทั้งการพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยว ได้แก่ กลุ่มประเพณีศิลปวัฒนธรรม กลุ่มมรดกทางประวัติศาสตร์ กลุ่มท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชน โดยใช้โอกาสจากการบูรณาการการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัด หรือภายในจังหวัดนครศรีธรรมราชให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ เพื่อให้มีรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมผลักดันแนวทางการส่งเสริมเมืองรอง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจมาสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น สนับสนุนการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว โดยทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือในการให้บริการทางการท่องเที่ยวและร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพื่อให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนต่อไป นายกรัฐมนตรีฝากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ พัฒนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน ทั้งการบริหารจัดการน้ำ การท่องเที่ยว การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยยกระดับชุมชนให้มีความโดดเด่น แตกต่าง ด้วยการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมศักยภาพในท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พร้อมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชน สังคมของตนเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ปรุงคั่วกลิ้งเนื้อ ของดีอำเภอจุฬาภรณ์ ซึ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ใช้เตาไม้ฟืนประกอบอาหาร หลังจากปรุงเสร็จนายกรัฐมนตรีได้ชิมแล้วพูดว่า “หรอยจังฮู้-หรอยแรง” พร้อมชูนิ้วหัวแม่มือให้แม่ครัว และให้คำแนะนำเรื่องการทำบรรจุภัณฑ์ในการจำหน่าย ก่อนจะเดินทางไปตรวจติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่อาคารอำนวยการและผู้ป่วยนอก ชั้น G โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ตำบลในเมือง อำเภอนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน ร่วมกับ การบินไทย รับสมัครพนักงาน มากกว่า 500 อัตรา ผ่าน “ไทยมีงานทำ”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 กรมการจัดหางาน ร่วมกับ การบินไทย รับสมัครพนักงาน มากกว่า 500 อัตรา ผ่าน “ไทยมีงานทำ” กรมการจัดหางาน หารือร่วมกับ บ.วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด รับสมัครพนักงานบริการลูกค้า พนักงานบริการภาคพื้น พนักงานประจำครัวการบิน พนักงานประจำคลังสินค้า (Cargo) กว่า 500 อัตรา เพื่อทำงานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานรับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ต่อเนื่องเพื่อเตรียมตำแหน่งงานรองรับคนหางาน ผู้ว่างงาน และคนไทยทุกคนที่ต้องการมีงานทำ โดยล่าสุดรุกหารือร่วมกับบ.วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้แทนรับสมัครงานและบริษัทในเครือของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกำลังต้องการรับสมัครพนักงานหลายด้าน อาทิ งานบริการลูกค้า จำนวน 500 อัตรา งานคลังสินค้า (Cargo)จำนวน 50 อัตรา งานครัวการบิน งานสายช่าง งานบริการภาคพื้น และงานทั่วไป จำนวนมาก เพื่อปฏิบัติงาน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ โดยผู้ที่สนใจทำงานร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สามารถค้นหาและสมัครงานได้ที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ.doe.go.th” หรือแอปพลิเคชัน “ไทยมีงานทำ” ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นระบบการให้บริการจัดหางานภาครัฐ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่ เว็บไซต์ wingspantg.com หรือส่งใบสมัครด้วยตัวเองในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09:00 - 15:00 น. (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์และนักขัตฤกษ์) ณ บ.วิงสแปนฯ อาคาร 6 ชั้น 2 สำนักงานใหญ่ บ.การบินไทยฯ ถนนวิภาวดี-รังสิต “หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 คลี่คลาย เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการ ทำให้ธุรกิจสายการบินมีความต้องการจ้างงานเป็น จำนวนมาก และพร้อมให้ค่าตอบแทนสูง รัฐมนตรีสุชาติจึงสั่งการให้กรมการจัดหางาน ประสานงานกับภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน สนับสนุนให้ผู้ที่ต้องการหางาน และสถานประกอบการที่ต้องการรับสมัครคนทำงานมีโอกาสได้พบกันเพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงตำแหน่งงานและเกิดการจ้างงาน โดยทุกคนที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการจัดหางานได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือเลือกหางานผ่านระบบออนไลน์ บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ซึ่งให้บริการทั้ง Web Application ที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th และ Mobile Application หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65172