title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” ยันไม่เกี่ยวข้องอดีต อจ. มหา’ลัยเอกชนดังเอี่ยวปมซื้อขายผลงานวิจัย ย้ำชัดไม่เคยเป็นทีมงาน | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
“เอนก” ยันไม่เกี่ยวข้องอดีต อจ. มหา’ลัยเอกชนดังเอี่ยวปมซื้อขายผลงานวิจัย ย้ำชัดไม่เคยเป็นทีมงาน
“เอนก” ยันไม่เกี่ยวข้องอดีต อจ. มหา’ลัยเอกชนดังเอี่ยวปมซื้อขายผลงานวิจัย ย้ำชัดไม่เคยเป็นทีมงาน สั่งปลัดกระทรวง อว.เอาผิดพวกทุจริตทางวิชาการ
“เอนก” ยันไม่เกี่ยวข้องอดีต อจ. มหา’ลัยเอกชนดังเอี่ยวปมซื้อขายผลงานวิจัย ย้ำชัดไม่เคยเป็นทีมงาน สั่งปลัดกระทรวง อว.เอาผิดพวกทุจริตทางวิชาการ ขณะที่ กกอ. จี้ทุกมหา’ลัยเร่งตรวจสอบอาจารย์ในสังกัด ขีดเส้นรายงานผล 15 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่ามี “อดีตทีมงาน รมต.เอนก” เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายงานวิจัยและบทความวิชาการ ตนขอชี้แจงว่าบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างนั้นไม่เคยเป็นทีมงานของตนแต่อย่างใด เป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ในสมัยที่ตนเป็นอธิการบดีวิทยาลัยรัฐกิจ ซึ่งเวลานั้นตนและผู้บริหารก็สงสัยในพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวที่ส่อถึงความไม่ตรงไปตรงมาทางวิชาการ และได้เฝ้าระวังมาตลอด และ ม.รังสิต ขณะนั้นก็ได้ดำเนินการสอบสวนบุคคลดังกล่าวด้วย
“ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาตนให้ความสำคัญกับการจัดการการผิดจริยธรรมและเอาเรื่องพวกทุจริตทางวิชาการนี้มาตั้งแต่เป็นผู้บริหารที่ ม.รังสิต และเมื่อเป็น รมว.อว. ก็จัดการกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน ต่อเนื่อง และในครั้งนี้ก็เช่นกันที่ได้มอบหมายให้ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ดำเนินการจัดการตรวจสอบ ติดตามและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว รวมถึงหาแนวทางป้องกันในอนาคต” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 17 ม.ค. กกอ. ได้มีการจัดประชุมที่สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (สป.อว.) เพื่อพิจารณามาตรการต่างๆ ในประเด็นที่เป็นข่าวเรื่องซื้อผลงานวิจัย โดยหลังการประชุม ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. ในฐานะเลขานุการ กกอ. เปิดเผยว่า กกอ. มีมติสำคัญ 4 เรื่องด้วยกัน คือ 1. ให้ สปอว แจ้งให้ มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ทำการตรวจสอบบุคลากรในสังกัด หากพบว่ามีข้อสังเกตที่จะนำไปสู่ความผิดจริยธรรมดังกล่าว ให้ทำการตรวจสอบอย่างยุติธรรมและรวดเร็ว และขอให้รายงานการดำเนินการแก่ สป.อว. ในครั้งแรก ภายในวันที่ 15 ก.พ. นี้
2. หากเป็นที่แน่ชัดว่า บุคลากรในสังกัดทำผิดจริยธรรมดังกล่าว ให้ดำเนินการลงโทษตามระเบียบของมหาวิทยาลัยอย่างเข้มงวด และแจ้งให้ สป.อว. ทราบ เพื่อให้ สป.อว. ดำเนินการตามมาตรา 70 และ 77 แห่ง พ.ร.บ. อุดมศึกษา พ.ศ.2562 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใด จ้าง วาน ใช้ให้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเพื่อใช้ในการทำผลงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนหรือเงินอื่นในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้ผู้ใดรับจ้างหรือรับดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือโดยสุจริตตามสมควร โดยหากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รองปลัดกระทรวง อว.กล่าวและว่า
3. กกอ. ได้มอบหมายให้คณะอนุ กรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรม ที่มี ศ.วิชัย ริ้วตระกูล เป็นประธาน ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนการดำเนินการของมหาวิทยาลัย ในการสอบสวนผู้กระทำผิด รวมถึงหาแนวทางและวิธีป้องกันการกระทำผิดจริยธรรมดังกล่าว และ 4. ให้ สปอว.หารือกับองค์กร หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่ประชุมอธิการบดี (ทปอ.) ทุกแห่ง สภาคณบดีในสาขาวิชาต่างๆ เพื่อวางกลไกในการตรวจสอบการกระทำผิด การป้องปราม และการแจ้งเบาะแสที่อาจจะมีการกระทำผิดเพื่อให้มีการแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64692 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ เศรษฐกิจไทยปี 2566 อาจจะขยายตัวถึง 4% การส่งเสริมการลงทุนไทยปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ เศรษฐกิจไทยปี 2566 อาจจะขยายตัวถึง 4% การส่งเสริมการลงทุนไทยปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ เศรษฐกิจไทยปี 2566 อาจจะขยายตัวถึง 4% การส่งเสริมการลงทุนไทยปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท เชื่อมั่นระยะต่อไปมุ่งสู่ 1 ล้านล้านบาทต่อปี
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบแผนการ และการทำงานของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจตลอดมา และรู้สึกยินดีที่ มูลค่าทางเศรษฐกิจจีดีพี ในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตมากถึง 4 % รวมทั้ง ดัชนีตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมาก ซึ่งล้วนเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่ดูแล ให้ความช่วยเหลือ ลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชน ออกนโยบายให้ความช่วยเหลือทุกด้าน จนทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 อาจจะขยายตัวถึง 4% เป็นผลมาจากประเทศไทยสามารถรักษาวินัยการเงินการคลังได้เป็นอย่างดี อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยไม่ได้ลดลง ต่างประเทศและนักวิเคราะห์ต่างก็ประเมินว่าประเทศไทยจัดการกับสถานการณ์ที่วิกฤตได้ดี นอกจากนี้ รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในด้านต่าง ๆ และได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเปิดรับอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึง นโยบายฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 32 ปี ก็ถือเป็นผลงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งจะทำให้สามรถขยายเขตการค้า เข้าสู่ตะวันออกกลางและแอฟริกาได้ง่ายขึ้น
“นายกรัฐมนตรีรับทราบตัวเลขการประเมินดังกล่าว และขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแรงร่วมใจในการทำงานอย่างต่อเนื้อ เชื่อว่าส่งผลเป็นความสำเร็จร่วมกันในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ทำให้ไทยผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับในปีนี้ เศรษฐกิจประเทศไทยมีแนวโน้มจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว จากการประเมินทราบว่า การบริโภคภาคเอกชนจะมีมากขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้คาดว่าจะมีมากกว่า 20 ล้าน ส่วนการส่งเสริมการลงทุนในปี 2565 มีมูลค่ามากถึง 700,000 ล้านบาท และคาดว่ามูลค่าการส่งเสริมการลงทุนในอนาคต มีมากถึง 1 ล้านล้านบาท จึงอยากให้ประชาชนทุกคนเชื่อมั่น รัฐบาลพร้อมที่จะทำงานเพื่อให้ประชาชนทุกคนอยู่ดีกินดี” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64665 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติ ร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเด็กทุกคน | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติ ร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเด็กทุกคน
พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติ ร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเด็กทุกคน
เมื่อวันที่7 ก.พ. 66เวลา 10.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมระดับชาติ เรื่อง การร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเด็กทุกคน (A Shared Destination : A Caring Family for Every Child ) เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานด้านการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และสร้างการมีส่วนร่วมด้านการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็กในภารกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเสนอแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านการเลี้ยงดูทดแทนร่วมกันในอนาคต โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน คณะผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดและหัวหน้าหน่วยงานสังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศ และผู้แทนภาคีเครือข่าย เข้าร่วม ณ ห้องThe Siam Ballroom ชั้น 2 โรงแรมแลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานด้านการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก ได้ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบนโยบายทางสังคม พัฒนาและยกร่างยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570 โดยหนึ่งในประเด็นหลักของการยกร่างยุทธศาสตร์ คือ การนำแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก ระยะที่ 1 พ.ศ. 2565 - 2569 มากำหนดเป็นสาระสำคัญของยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานด้านการเลี้ยงดูทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการกำหนดแผนงานและแนวทางการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม โดยมุ่งเน้นการทำงานกับเด็ก ครอบครัว ชุมชน และภาคีเครือข่ายเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวในการเลี้ยงดูเด็ก การเสริมพลังให้ครอบครัวและเด็กมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับเด็ก การส่งเสริมบทบาทของชุมชนให้มีกลไกการทำงานร่วมกับครอบครัว การพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กเชิงรุกและเชิงป้องกัน การสนับสนุนงบประมาณและการส่งเสริมบริการการเลี้ยงดูทดแทนรูปแบบต่างๆ กรณีที่ครอบครัวไม่สามารถให้การเลี้ยงดูเด็กได้ และการเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ทั้งในด้านกฎหมาย โครงสร้างบริการ และการสื่อสาร และการมีระบบการติดตามประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมระดับชาติ เรื่อง การร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเด็กทุกคน (A Shared Destination : A Caring Family for Every Child ) เป็นความร่วมมือกันในการตั้งหมุดหมายสำคัญสำหรับการถ่ายทอดนโยบายและแผนปฏิบัติการระดับชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว (Family Strengthening) 2) การคัดกรองป้องกันการเลี้ยงดูทดแทนโดยไม่จาเป็น (Gatekeeping) 3) มาตรฐานการเลี้ยงดูทดแทน (Standard of Care) 4) การเลี้ยงดูทดแทนในรูปแบบครอบครัว (Family Based Care) และ 5) การลดการพึ่งพิงสถานรองรับ (Deinstitutionalization) ทั้งนี้ การวางแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการระดับชาติฯ ในระยะเวลาที่เหลืออีก 4 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2566 - 2569) จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการจัดบริการร่วมกัน โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวให้มีความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวได้ และกรณีที่เด็กมีความจำเป็นต้องได้รับการจัดบริการการเลี้ยงดูทดแทนก็จะเป็นบริการเพียงชั่วคราวและมีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนให้เด็กสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวโดยกำเนิด หรือได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวทดแทนถาวรได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยต่อไป
#ช่วย24ชั่วโมง
#พม24ชม
#ข่าวพม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64698 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 19 ล้านบาท 8 กุมภาพันธ์นี้ | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 19 ล้านบาท 8 กุมภาพันธ์นี้
ธ.ก.ส.โอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีกกว่า 19 ลบ. มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 3,742 ครัวเรือน วันที่ 8 ก.พ.นี้
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยโอนเงินให้เกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) โดยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงไปแล้วเป็นเงินกว่า 53,859.73 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4.62 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1 - 16 เป็นจำนวนเงินกว่า 7,845.40 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ไปแล้วจำนวน 2.59 ล้านครัวเรือน
และในวันนี้ ธ.ก.ส. ได้ทำการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 แก่เกษตรกรอีกกว่า 3,742 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 19.23 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ครั้งที่ 10 เป็นเงินกว่า 17.92 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 3,086 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 17 และงวดที่ 1 - 16 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 1.31 ล้านบาท และมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 656 ครัวเรือน
เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ลงนามเริ่มต้นเจรจาการเกษตรระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัดเกษตรฯ ลงนามเริ่มต้นเจรจาการเกษตรระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร
ปลัดเกษตรฯ ลงนามเริ่มต้นเจรจาการเกษตรระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการลงนามและหารือความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย กับผู้แทนกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบท แห่งสหราชอาณาจักร(Department for Environment, Food and Rural Affairs (DEFRA) of the United Kingdom)โดยมีนายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.พรเทพ ศรีธนาธร ผู้อำนวยการสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป และนางสาวรวินันท์ ฉ่ำเฉลิม ผู้อำนวยการกองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติเข้าร่วมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ณกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบทสหราชอาณาจักร
จากสถิติปี 2564 มูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร สูงถึง 32,543 ล้านบาท แบ่งเป็น ไทยส่งออกสินค้าไปสหราชอาณาจักร 27,173 ล้านบาทไทยนำเข้า 5,369 ล้านบาท สินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ 1. เนื้อไก่ปรุงแต่ง 2. อาหารสุนัขหรือแมว 3. ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอส 4. อาหารปรุงแต่ง และ 5. ข้าว ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยและสหราชอาณาจักรจะมีความสัมพันธ์ทางการทูตและเป็นคู่ค้าที่สำคัญกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันแต่ยังไม่เคยมีการกระชับความสัมพันธ์ด้านการเกษตรอย่างเป็นทางการ
ทั้งสองประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าภายหลังที่สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป โดยในปี2564 ที่ผ่านมามีการลงนามจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร (Joint Economic and Trade Committee: JETCO) โดยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่าย และเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านการเกษตร และในวันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบท แห่งสหราชอาณาจักร (Memorandum of Understanding on Agricultural Cooperation between the Ministry of Agriculture and Cooperatives of the Kingdom of Thailand and the Department for Environment, Food and Rural Affairs of the United Kingdom)
“บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ นับเป็นความสำเร็จร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการเกษตร ที่จะส่งเสริมการค้าของทั้งสองประเทศ โดยจะใช้กรอบความร่วมมือนี้ เป็นกลไกสำคัญในการอำนวยความสะดวกทางการค้าและพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรเพื่อให้การทำงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เราจึงขอเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมหารือด้านการเกษตร (Agricultural Dialogue) ครั้งที่ 1 ในปี 2566 นี้ เพื่อจัดตั้งคณะทำงานการเปิดตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร การหารือความร่วมมือในด้านการเกษตร พืชสวน ปศุสัตว์ การประมงการแปรรูปอาหาร นโยบายการเกษตร ตลอดจนด้านอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและภาคการเกษตร และรับทราบว่าDEFRA แต่งตั้งทูตเกษตรมาประจำการ ณ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย ซึ่งจะทำให้กระทรวงเกษตรฯ และ DEFRA ประสานงานด้านการเกษตรได้โดยตรง รวมทั้งจะมีการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมในโอกาสอันใกล้นี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หยิบบยกประเด็นความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและอื่นๆ ร่วมหารือเพื่อพลิกโฉมระบบเกษตรและอาหารสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สนใจร่วมกันด้วย” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64701 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ นายวิษณุฯ หารือเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ มุ่งการพัฒนารอบด้าน พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาค | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
รองนายกฯ นายวิษณุฯ หารือเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ มุ่งการพัฒนารอบด้าน พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาค
สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 11.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเปาโล ดีโอนีซี (H.E. Mr. Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยสรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ ในวันนี้ ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอิตาลีที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและความร่วมมือมาอย่างยาวนาน โดยปีนี้เป็นวาระครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 155 ปี ทั้งนี้ ทราบว่าการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ เป็นไปด้วยดี สะท้อนความสนใจของทั้งสองประเทศที่ตรงกันหลายด้าน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรียินดีที่จะประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น พร้อมเชื่อมั่นว่า ด้วยประสบการณ์ที่มีของเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เอกอัครราชทูตอิตาลีฯ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในไทย ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้อำนวยความสะดวกระหว่างการทำงานอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การเข้ารับตำแหน่ง โดยยืนยันที่จะเป็นตัวแทนสานต่อภารกิจต่าง ๆ และส่งเสริมความร่วมมือให้เพิ่มพูนมากขึ้น พร้อมเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพในอีกหลายด้านที่สามารถต่อยอดความร่วมมือไปยังมิติอื่น ๆ ได้อีกมาก ซึ่งภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายจะเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรปได้ โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนที่รัฐบาลอิตาลีให้ความสำคัญและสอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจของอิตาลีที่เน้นย้ำถึงความสำเร็จร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือ ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน เอกอัครราชทูตอิตาลีฯ กล่าวว่า ขณะนี้ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อจัดงาน Road Show ของภาคธุรกิจจากทวีปยุโรป ในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2566 นี้ ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนและจับคู่ทางธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะแผนการพัฒนาในพื้นที่ EEC ซี่งไทยมีศักยภาพและสามารถเป็นพื้นที่ขยายการลงทุนในด้านต่าง ๆ ร่วมกันได้ในอนาคต ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องและยินดีที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับอิตาลีในการจัดงาน High – Level Dialogue on ASEAN – Italy Economic Relations ครั้งที่ 7 ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ไทย เพื่อผลักดันการค้าการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น
ด้านการสมัครเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 – Phuket ของไทย รองนายกรัฐมนตรีขอรับการสนับสนุนจากอิตาลีต่อการสมัครเป็นเจ้าภาพของไทย ซึ่งทางเอกอัครราชทูตอิตาลีฯ ยินดีให้การสนับสนุน ซี่งได้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่นชมการเตรียมความพร้อมของและประทับใจในสิ่งแวดล้อม ผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์พื้นที่ในจังหวัด ทำให้เชื่อมั่นในเยาวชนไทยที่มีศักยภาพจะเป็นอนาคตของประเทศต่อไป
ด้านความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค โดยทั้งสองประเทศพร้อมที่จะสนับสนุนบทบาทร่วมกันในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตอิตาลีฯ ยังเห็นพ้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทยที่จะสามารถเป็นแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมอย่างยั่งยืน โดยทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการเป็นประตูเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64685 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กห. โดย สป. นำกำลังพลสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ” | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
กห. โดย สป. นำกำลังพลสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคล “เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ”
...
(5 ก.พ. 66 เวลา 18.00 น.) กระทรวงกลาโหม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ พระอุโบสถ วัดชินวรารามวรวิหาร จังหวัดปทุมธานี
โดยมี พลอากาศเอก ธนศักดิ์ เมตะนันท์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมในพิธี โดยได้นำกำลังพลและครอบครัว พร้อมพุทธศาสนิกชนน้อมใจกันสวดมนต์บูชาธรรม อธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคล
ทั้งนี้ พสกนิกรทั่วไทยต่างพร้อมร่วมใจถวายพระพรด้วยความจงรักภักดี ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64694 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติเรื่องเด็กในยุคดิจิทัล ครั้งที่ 1 “ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน” | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติเรื่องเด็กในยุคดิจิทัล ครั้งที่ 1 “ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน”
พม. ระดมเครือข่ายประชุมระดับชาติเรื่องเด็กในยุคดิจิทัล ครั้งที่ 1 “ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน”
วันนี้ (8 ก.พ. 66) เวลา 08.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมระดับชาติเรื่องเด็กในยุคดิจิทัล ครั้งที่ 1 “ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน" ซึ่งจัดโดยองค์การยูนิเซฟ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดส.) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และองค์การเอ็คแพท อินเตอร์เนชั่นแนล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือในการทำงานอย่างเป็นระบบร่วมกันระหว่างภาคีเครือข่าย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการกับการล่วงละเมิดทางเพศและภัยออนไลน์สำหรับเด็ก ทั้งนี้ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวง ดส. นางคยองซัน คิม (Ms. Kyungsun Kim) ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย นางสาวธันยพร(ธัญญา) กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และผู้แทนภาคีเครือข่าย เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์สาทร กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เทคโนโลยีสมัยใหม่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเด็กจะได้รับผลดีจากการเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เพิ่มมากขึ้น แต่จากผลการศึกษาโครงการ Disrupting Harm in Thailand ที่จัดทำขึ้นโดยองค์การเอ็คแพท องค์การตำรวจกลาง และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ในปี 2564 พบตัวเลขที่น่ากังวลว่า เด็กอายุ 12 – 17 ปี ในประเทศไทย ร้อยละ 9 หรือประมาณ 400,000 คน ตกเป็นเหยื่อการแสงหาประโยชน์ทางเพศ และล่วงละเมิดทางเพศออนไลน์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เด็กและเยาวชนกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้นิ่งเฉยต่อความเสี่ยงดังกล่าว โดยกระทรวง พม. ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดระบบการคุ้มครองเด็กที่ป้องกันการแสวงหาประโยชน์และล่วงละเมิดทำให้เกิดความปลอดภัยสำหรับเด็กบนโลกออนไลน์อย่างแท้จริง ด้วยการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560 – 2564 อีกทั้งการจัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (Child Online Protection Action Thailand - COPAT) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เพื่อการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กบนโลกออนไลน์ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน และการจัดตั้งเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัยประเทศไทย (Thailand Safe Internet Coalition) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กอย่างครอบคลุม รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชนอย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ภาคธุรกิจเอกชนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานเชิงป้องกันที่สามารถออกแบบมาตรการกลไก เพื่อลดโอกาสของการล่วงละเมิดและแสวงประโยชน์ทางเพศออนไลน์ต่อเด็กได้ และเป็นการส่งเสริมการดำเนินการตามหลัก Human Rights Business Principles
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ จึงมีการประชุมระดับชาติเรื่องเด็กในยุคดิจิทัล ครั้งที่ 1 “ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน" เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ทำงานทั้งด้านการคุ้มครองเด็ก สาธารณสุข การศึกษา กฎหมาย และเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ ได้แก่ สถานการณ์ความเสี่ยงด้านการคุ้มครองเด็กออนไลน์ในประเทศไทย การล่วงละเมิดทางเพศทางออนไลน์ การดำเนินการและความท้าทายในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก การปกป้องคุ้มครองเด็กออนไลน์: การแก้ไขช่องว่างในกฎหมายความผิดที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติและคดีนอกราชอาณาจักร การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กออนไลน์ในประเทศไทย และแนวปฏิบัติที่ดี – สภาพแวดล้อมทางกฎหมายและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ต้องขอขอบคุณองค์การยูนิเซฟ ที่เป็นผู้เบิกทางให้กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ที่ทำงานสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน ในเรื่องความปลอดภัยจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการศึกษางานจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเรามีความตั้งใจถอดบทเรียนจากความสำเร็จของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปัจจุบัน โลกออนไลน์มีความปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องปรับตัวตามให้ทัน ซึ่งขณะนี้ กำลังเป็นภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงการพนันออนไลน์ ยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากเด็กมากกว่าครึ่งใช้โทรศัพท์มือถือในการสื่อสาร ติดตามข้อมูลข่าวสาร ฉะนั้น ผู้ปกครองควรเอาใจใส่เด็กในการใช้อินเทอร์เน็ต ดังนั้น อยากจะบอกว่า เราต้องสอนเด็กให้สามารถแยกแยะให้ออกระหว่างโลกความเป็นจริง และโลกเสหมือน และอยากให้องค์การยูนิเซฟ เป็นผู้นำ ในการเรียกร้องให้เด็กปลอดภัยจากอินเทอร์เน็ต รวมทั้งทุกภาคส่วนต้องตั้งสติต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็ว ด้วยความรับผิดชอบ ถูกต้อง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และหวังว่าการประชุมระดับชาติวันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการทำให้เด็กปลอดภัยจากโลกออนไลน์ต่อไป
#ช่วย24ชั่วโมง
#พม24ชม
ข่าวพม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64708 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้มไทยชิงชัยรายการ 1st SEA Open Water Swimming Championships 2023 ณ กรุงปุตราจายา ได้ทั้งสิ้น 11 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้มไทยชิงชัยรายการ 1st SEA Open Water Swimming Championships 2023 ณ กรุงปุตราจายา ได้ทั้งสิ้น 11 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง
โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ปลื้มไทยชิงชัยรายการ 1st SEA Open Water Swimming Championships 2023 ณ กรุงปุตราจายา ได้ทั้งสิ้น 11 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง พร้อม 3 รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและขอบคุณทัพนักกีฬาว่ายน้ำไทยที่ได้รับทั้งสิ้น 11 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง พร้อม 3 รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า การแข่งขันว่ายน้ำมาราธอน รายการ 1st SEA Open Water Swimming Championships 2023 ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2566 ประเทศไทยส่งนักกีฬาว่ายน้ำชาย-หญิงเข้าร่วมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งผลปรากฎว่า ทำผลงานได้ 11 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง พร้อมคว้า 3 รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมมาครอง
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนไทย ซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องเตรียมความพร้อมทางร่างกายอย่างดีเยี่ยม มีวินัย ตั้งใจ และหมั่นฝึกซ้อม ความสำเร็จนี้จะเป็นผลตอบแทนความพยายามในช่วงเวลาที่ผ่านมา และขอเป็นกำลังใจให้นักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนทุกคนต่อไป ทั้งนี้ขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ร่วมกันนำชื่อเสียงมาให้ประเทศได้สำเร็จ” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64663 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี สนับสนุนแรงงานไทย ถือวีซ่า E-7 ทำงานอู่ต่อเรือเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย นับเป็นโอกาสที่ดีของแรงงานไทย | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี สนับสนุนแรงงานไทย ถือวีซ่า E-7 ทำงานอู่ต่อเรือเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย นับเป็นโอกาสที่ดีของแรงงานไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี สนับสนุนแรงงานไทย ถือวีซ่า E-7 ทำงานอู่ต่อเรือเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย นับเป็นโอกาสที่ดีของแรงงานไทย
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลการเจรจา จากกระทรวงแรงงานกับสมาคม KHOSHIPA สมาคมอู่ต่อเรือของสาธารณรัฐเกาหลี และบริษัท HNH Hyundai Heavy Industries เรื่องการส่งแรงงานไทยไปทำงานด้วยวีซ่า E-7 (วีซ่าทักษะฝีมือ) ตามนโยบายขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บริษัทจัดหางานยื่นขออนุญาตกับกรมการจัดหางานมาแล้ว 1,275 อัตรา แบ่งเป็น สาขาช่างเชื่อม 970 อัตรา ช่างสีพ่นทราย 205 อัตรา และช่างไฟฟ้า 100 อัตรา ซึ่งมีการจัดส่งแรงงานไปแล้ว 65 คน และวันที่ 19 มกราคม 2566 จัดส่งแรงงานสาขาช่างเชื่อมไป 49 คน รวมเป็น 114 คน โดยเป็นการจัดส่งในลักษณะบริษัทจัดหางาน ทั้งนี้ แรงงานไทยทั้ง 49 คน ที่จะเดินทางไปทำงานเป็นช่างเชื่อม ในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือที่เกาหลีใต้ ทั้งหมดได้ผ่านการอบรมคนหางาน ณ ศูนย์อบรมคนหางานก่อนไปทำงานต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้ ผู้รับการฝึกอบรม จะได้ทราบวิธีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลิกภาพในการทำงาน ข้อปฏิบัติขณะเดินทาง การอยู่ร่วมกับนายจ้างและเพื่อนร่วมงานในต่างประเทศ ความรู้เกี่ยวกับงาน สัญญาจ้างงาน สถาพการจ้างงาน การปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน การบริหารจัดการรายรับ รายจ่าย รวมไปถึงวัฒนธรรมประเพณี และกฎหมายของประเทศที่จะไปทำงาน ซึ่งการอบรมนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่แรงงานไทยทุกคนที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายต้องเข้าร่วม
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางไปทำงานที่เกาหลีใต้ในภาคอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ เป็นโอกาสที่ดีของแรงงานไทย เนื่องจากเกาหลีใต้กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นเหตุให้ขาดแคลนแรงงาน จึงจำเป็นต้องนำแรงงานต่างชาติที่มีทักษะฝีมือเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมากและพร้อมจ่ายค่าตอบแทนและค่าล่วงเวลาในอัตราสูง
“นายกรัฐมนตรียินดีสนับสนุนแรงงานไทยให้มีโอกาสไปทำงานหารายได้ที่ต่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานและครอบครัว พัฒนาทักษะ และประสบการณ์ ที่จะสามารถนำมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง และของประเทศไทย ตามนโยบายขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการมีงานทำ มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี โดยพร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ ดูแลความเป็นอยู่ของแรงงานด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64666 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กระชับความสัมพันธ์รอบด้าน พร้อมพัฒนาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กระชับความสัมพันธ์รอบด้าน พร้อมพัฒนาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กระชับความสัมพันธ์รอบด้าน พร้อมพัฒนาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายแพทริก เบิร์น (H.E. Mr. Patrick Bourne) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ และพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตฯ อย่างเต็มที่ ยินดีกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน พร้อมกล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์เยือนไทยในโอกาสที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมและยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และหวังว่าจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ไอร์แลนด์ ในอีก 2 ปีข้างหน้า โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ลีโอ วรัทการ์ เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสให้ไทยและไอร์แลนด์ร่วมกันผลักดันความร่วมมือทวิภาคีในสาขาต่าง ๆ ให้เกิดผล เป็นรูปธรรมต่อไป
เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ยินดีที่ได้มาดำรงตำแหน่งที่ประเทศไทย ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง และเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมปฏิบัติหน้าที่เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในทุกระดับ และทุกมิติ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและไอร์แลนด์ยังมีศักยภาพอีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถขยายความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น พร้อมได้กล่าวเชิญไอร์แลนด์เข้ามาลงทุนเพิ่มในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอุตสาหกรรม ที่ไอร์แลนด์มีความเชี่ยวชาญสูง และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์กล่าวว่า ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเดินหน้าไปอย่างดี โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนไอร์แลนด์เข้ามามีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น จึงหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์ในด้านนี้ระหว่างให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ไทยและไอร์แลนด์พร้อมที่จะกระชับความร่วมมือด้านการศึกษา และการอุดมศึกษาระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีหวังที่จะได้รับการสนับสนุนในการแลกเปลี่ยนนักศึกษา พร้อมขอบคุณไอร์แลนด์ที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือในด้านการอุดมศึกษากับไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายทุนการศึกษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2558 ที่มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin: UCD) จึงหวังว่าไอร์แลนด์พิจารณาให้ทุนการศึกษาแก่ไทยเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านนี้ ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์พร้อมที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านนี้กับไทยมากยิ่งขึ้น
ด้านความร่วมมือด้านวัฒนธรรม นวัตกรรม และความสัมพันธ์ระดับประชาชน ทั้งสองประเทศหวังที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทยในการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม ผ่านโครงการต่าง ๆ พร้อมยังได้เชิญชวนชาวไอร์แลนด์เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในระดับประชาชนระหว่างสองประเทศ โดยเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระดับประชาชน ถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญของทั้งสองฝ่าย และหวังที่จะให้ประชาชนของทั้งสองประเทศไปมาหาสู่กันเหมือนก่อนสถานการณ์โควิด-19
ความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป (อียู) ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความสำเร็จของการประชุมสุดยอดอาเซียน-อียู สมัยพิเศษ ที่กรุงบรัสเซลส์ และบรรลุการเจรจา PCA ซึ่งได้มีการลงนามโดยทั้งสองฝ่าย เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งไทยและไอร์แลนด์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ไทยและสหภาพยุโรปจะสามารถฟื้นการเจรจา FTA ระหว่างกันได้โดยเร็ว เพื่อเพิ่มพูนการค้าระหว่างกัน ซึ่งความร่วมมือด้านความยั่งยืนและการพัฒนาสีเขียวระหว่างกันเป็นส่วนสำคัญของความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ไทยขอขอบคุณที่อียูให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเรื่องดังกล่าว ซึ่งไทยได้มีโอกาสเสนอแนวคิด BCG และได้รับการตอบรับอย่างดีในเวทีระหว่างประเทศ จึงมุ่งหวังที่จะส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ซึ่งในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับประเด็นระหว่างประเทศที่เป็นที่สนใจอย่างเปิดกว้างและสร้างสรรค์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าการแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้จากการหารือกันอย่างสันติ เพื่อสันติภาพและความมั่นคงในโลก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64679 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" โชว์2 ตัวเลขความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ สะท้อนความสำเร็จการบริหาร “พล.อ.ประยุทธ์” สวนทางเสียงวิจารณ์ด้อยค่า ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. พุ่งต่อเนื่อง | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
"ทิพานัน" โชว์2 ตัวเลขความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ สะท้อนความสำเร็จการบริหาร “พล.อ.ประยุทธ์” สวนทางเสียงวิจารณ์ด้อยค่า ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. พุ่งต่อเนื่อง
"ทิพานัน" โชว์2 ตัวเลขความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ สะท้อนความสำเร็จการบริหาร “พล.อ.ประยุทธ์” สวนทางเสียงวิจารณ์ด้อยค่า ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. พุ่งต่อเนื่องทุกภาค ภาคใต้เพิ่ม 82.9 สูงสุดในรอบ 66 เดือน ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือนมกราคม 2566 ในภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นรายภาค ภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 83.1 ภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 80.5 ภาค ตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 74.3 ภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 71.9 ภาคกลางอยู่ที่ระดับ 72.4 กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ 59.6 ขณะที่ภาคใต้อยู่ ที่ระดับ 82.9 โดยเฉพาะภาคใต้อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 66 เดือน แสดงความเชื่อมั่นในอนาคตที่เพิ่มขึ้น
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ถือเป็นสัญญาณดีทางด้านเศรษฐกิจ ที่เมื่อไปดูข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนมกราคม 2566 ปรับเพิ่มขึ้นด้วย โดยมาอยู่ที่ระดับ 51.3 จากระดับ 50.4 ในเดือนก่อนหน้า อยู่ในช่วงความเชื่อมั่นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ระดับสูงสุดในรอบ 44 เดือน นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ในระดับที่มีความเชื่อมั่น คือ ยังสูงกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 อีกด้วย สะท้อนว่าประชาชนมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้มาจากปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่พล.อ.ประยุทธ์ กล้าตัดสินใจเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ ประกอบกับนโยบายเปิดประเทศของจีน ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ภาคการลงทุน ผู้ประกอบการมีแนวโน้มขยายธุรกิจมากขึ้น ที่สำคัญคือมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ
“จากนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์เร่งผลักดันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย กำลังโชว์ผลงานของพล.อ.ประยุทธ์ ด้านบริหารเศรษฐกิจได้อย่างยอดเยี่ยม ท่ามกลางอุปสรรคและวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้น สวนทางกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้อยค่า จากบางกลุ่มบางฝ่าย สะท้อนถึงผลสำเร็จที่ พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่น ที่จะแก้ไขปัญหาปากท้อง และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก รมว.อว. เป็นประธานมอบเกียรติบัตรโครงการ “การอนุรักษ์เชิงป้องกันผลงานศิลปกรรมในประเทศไทย” | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก รมว.อว. เป็นประธานมอบเกียรติบัตรโครงการ “การอนุรักษ์เชิงป้องกันผลงานศิลปกรรมในประเทศไทย”
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก รมว.อว. เป็นประธานมอบเกียรติบัตรโครงการ “การอนุรักษ์เชิงป้องกันผลงานศิลปกรรมในประเทศไทย”
วันที่ 22 มกราคม 2566 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานมอบเกียรติบัตรโครงการ “การอนุรักษ์เชิงป้องกันผลงานศิลปกรรมในประเทศไทย” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์โอชนา พูลทองดีวัฒนา หัวหน้าภาควิชาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายใต้แผนงานพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และวิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย (ธัชชา) ตามโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาบุคลากรการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อสำรวจสภาพปัญหาศิลปกรรม จากกลุ่มตัวอย่างเครือข่ายหอศิลป์ของภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย โดยวิเคราะห์ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น และเสนอแนะวิธีการในการแก้ไขปัญหาในการอนุรักษ์เชิงป้องกัน อย่างถูกต้องและเหมาะสม ณ ห้อง Friend of BACC หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรบมือรัวๆ!“จุรินทร์”เหินฟ้าสู่ดูไบ ถกรัฐ-เอกชน ดันตั้ง”สภาธุรกิจไทย-ยูเออี”สำเร็จ!หวังสร้างเงิน สร้างอนาคตการค้าไทยปี 66 เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
ปรบมือรัวๆ!“จุรินทร์”เหินฟ้าสู่ดูไบ ถกรัฐ-เอกชน ดันตั้ง”สภาธุรกิจไทย-ยูเออี”สำเร็จ!หวังสร้างเงิน สร้างอนาคตการค้าไทยปี 66 เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการนำคณะภาครัฐ-เอกชน
หารือกับ ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี (H.E. Dr. Thani Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจํากระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ (Minister of State for Foreign Trade) ที่ Sharjah Chamber of Commerce and Industry ว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตนมีโอกาสพบกับท่านรัฐมนตรีฯธานี เกิดกลไกสร้างความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ด้านเศรษฐกิจ 2 กลไก 1.ตนและท่านรัฐมนตรีฯธานี ตกลงนับหนึ่งจะทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement ) หรือ CEPA กับยูเออี ตั้งเป้าให้เสร็จภายใน 6 เดือน 2. วันนี้ได้มีการเซ็น MOU ระหว่างภาคธุรกิจของ 2 ประเทศจัดตั้งสภาธุรกิจไทยยูเออี รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายให้การรับรองธุรกิจ การค้า การลงทุนระหว่างกัน ตั้งเป้าภายในปีนี้ปีเดียวจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และตนได้ชวนนักลงทุนจากยูเออี
ไปลงทุนในประเทศไทย นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอของไทย 1)จะได้ประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมี 14 ฉบับกับ 18 ประเทศด้วย และเราเริ่มนับหนึ่ง FTA ไทยกับสหภาพยุโรป 27 ประเทศแล้วถ้าสำเร็จนักลงทุนจากยูเออีที่ไปลงทุนไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้วย 2) เชิญชวนให้มาร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่ไทยจัดขึ้น เช่น งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair งาน THAILOG ที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ งาน THAIFEX เกี่ยวกับอาหาร งาน STYLE Bangkok เกี่ยวกับสิ่งทอและงาน TAPA เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์
“และได้ขอความสนับสนุนให้ภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo ซึ่งยูเออีเป็นหนึ่งในสมาชิกที่สามารถลงคะแนนได้จาก 170 กว่าประเทศ ให้ช่วยโหวตจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทยให้ได้จัดงานด้วย ซึ่งจะมีการพิจารณาในช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้ม “ประธานวุฒิสภา” ยกให้กระทรวงยุติธรรม จากเกรดซี เป็นเกรดเอ หลังมีบทบาทช่วยประชาชน โดดเด่นในยุคนี้ ขอบคุณข้าราชการ ช่วยทำงานหนักตลอด 4 ปี | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้ม “ประธานวุฒิสภา” ยกให้กระทรวงยุติธรรม จากเกรดซี เป็นเกรดเอ หลังมีบทบาทช่วยประชาชน โดดเด่นในยุคนี้ ขอบคุณข้าราชการ ช่วยทำงานหนักตลอด 4 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้ม “ประธานวุฒิสภา” ยกให้กระทรวงยุติธรรม จากเกรดซี เป็นเกรดเอ หลังมีบทบาทช่วยประชาชน โดดเด่นในยุคนี้ ขอบคุณข้าราชการ ช่วยทำงานหนักตลอด 4 ปี จนสัมฤทธิ์ผล คนภายนอกมองเห็น ขอช่วยทำงานต่อเนื่องให้สมเป็นเกรดเอ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวง โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางอรัญญา ทองน้ำตะโก รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมต่างๆ และผู้บริหารกระทรวง เข้าร่วม ที่กระทรวงยุติธรรม
โดยที่ประชุมได้มีการเปิดวิดีโอ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา พูดถึงการทำงานของกระทรวงยุติธรรม ที่ได้ขับเคลื่อนกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ พร้อมชื่นชมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้ทำให้กระทรวงยุติธรรม จากเกรดซี มาเป็นเกรดเอในปัจจุบัน หลังได้ยกระดับกระบวนการยุติธรรม จนมีบทบาทและประชาชนให้ความสำคัญ
ขณะที่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การที่กระทรวงยุติธรรม ได้รับคำชื่นชมจากผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ยกให้เป็นกระทรวงเกรดเอ ก็ต้องนับว่า ที่เราได้ร่วมมือกันทำงานทั้งฝ่ายการเมือง และข้าราชการ อย่างหนักมาต่อเนื่องเกือบ 4 ปี ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว จนคนภายนอกมองมาเห็น ดังนั้น ตนต้องขอขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะข้าราชการ ที่ได้ขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้าราชการกระทรวงยุติธรรม จากที่ตนได้ร่วมทำงานมา ต้องยอมรับว่า เป็นบุคคลที่มีศักยภาพ แต่ที่ผ่านมา อาจจะไม่มีเวทีให้แสดงความสามารถ แต่ตนเป็นคนหนึ่ง ที่มักเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น และเปิดเวทีให้กับทุกคน จนมีผลงานเป็นที่ยอมรับของสังคม
“ผมอยากให้ทุกคน เก็บความรู้สึกที่ภาคภูมิใจนี้ไว้ ที่ถูกยกระดับให้เป็นกระทรวงเกรดเอ เพื่อที่ทุกคน จะได้มีแรงผลักดันและกำลังใจ ในการขับเคลื่อนงานช่วยเหลือประชาชนต่อไป ตามแนวนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ที่ต้องการทำให้เป็นกระทรวงที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ถึงแม้ผมจะหมดวาระ แต่ก็ขอให้ข้าราชการทุกคน ช่วยกันเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ให้สมกับที่เราถูกยกระดับเป็นกระทรวงเกรดเอ” รมว.ยุติธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64686 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืบหน้าท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ3 คาดเปิดใช้ท่าเรือก๊าซปี 70 | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
คืบหน้าท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ3 คาดเปิดใช้ท่าเรือก๊าซปี 70
คืบหน้าท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ3 คาดเปิดใช้ท่าเรือก๊าซปี 70
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการ 6.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชน 5.2 หมื่นล้านบาท และภาครัฐ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมีแนวทางการดำเนินการแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่1 เป็นการร่วมทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) กับเอกชนเพื่อขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นพื้นที่ถมทะเล 1,000 ไร่ (พื้นที่หลังท่าและหน้าท่าพร้อมใช้งาน 550 ไร่ และพื้นที่กักเก็บตะกอนดิน 450 ไร่) และช่วงที่2 เพื่อก่อสร้างท่าเรือสินค้าเหลว (แปลง A) และพื้นที่คลังสินค้าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (แปลงC)
โดยในช่วงที่1 ข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 66 ได้มีการดำเนินการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและงานออกแบบรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ส่วนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งเป็น การถมทะเลคืบหน้า ร้อยละ 35.88 เร็วกว่าแผน ร้อยละ 2.91 ขณะที่การดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกันทราย (Revetment) ก่อสร้างได้ระยะทาง 5,410 เมตร มีการใช้หินสะสม 1.17 ล้านลบ.ม. และได้เริ่มงานลงหิน Toe Rock & Rock Underlayer ก่อสร้างได้ระยะทาง 240/5,410 เมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดดำเนินการท่าเรือก๊าซได้ในปี 2570
สำหรับความคืบหน้าของช่วงที่2 อยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโดยกนอ. เพื่อก่อสร้างท่าเรือสินค้าเหลว (แปลง A) และพื้นที่คลังสินค้าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (แปลงC) เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ คลังเก็บสินค้า ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม หรือปิโตรเคมิคอล ธุรกิจคลังเก็บสารเคมีเหลว ธุรกิจโรงไฟฟ้า เป็นต้น
นางสาวรัชดา กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( Eastern Economic Corridor : EEC) มีเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน และนำความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินงาน ทั้งนี้ เมื่อโครงการฯแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติได้ 31 ล้านตันต่อปี และก่อให้เกิดการกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64664 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเล อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบท สร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเล อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร
กว่า 6.7 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2566
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย ถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.4002 (กม. ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 37% เร็วกว่าแผนที่กำหนด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนงานชั้นรองผิวทาง คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2566
โครงการมีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 19+891 อยู่บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 เชื่อมต่อกับ ทล.4002 กม. ที่ 13+100 ด้านขวาทางห่างจากปากน้ำหลังสวน 1.5 กิโลเมตร ติดอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร สิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 26+644 ห่างจากหาดละแม จังหวัดชุมพร 1.5 กิโลเมตร ผ่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร บริเวณหมู่ที่ 5 บ้านแหลมสันติ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร รวมระยะทาง 6.753 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต กว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้เส้นทาง ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง รวม 105.440 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวสู่ระดับสากลเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง ให้มีความต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก จับมือ แฟลช เอ็กซ์เพรส มุ่งเน้นสร้างวินัยและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่รถขนส่ง ร่วมจัดทำหลักสูตรอบรม e - Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางบก จับมือ แฟลช เอ็กซ์เพรส มุ่งเน้นสร้างวินัยและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่รถขนส่ง ร่วมจัดทำหลักสูตรอบรม e - Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง
...
กรมการขนส่งทางบก จับมือ แฟลช เอ็กซ์เพรส มุ่งเน้นสร้างวินัยและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่รถขนส่ง ร่วมจัดทำหลักสูตรอบรม e - Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง สำหรับพนักงานขับรถขนส่ง สามารถเข้ารับชมคลิป VDO ได้ผ่านเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
วันนี้ (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.30 - 15.00 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 1 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด แถลงข่าวความร่วมมือ จัดทำหลักสูตรอบรม e - Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง สำหรับพนักงานขับรถขนส่ง
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคมกล่าวว่า ณ ปัจจุบันธุรกิจการขนส่งพัสดุในประเทศไทย มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการให้บริการขนส่งด้วยรถกระบะ 4 ล้อ และรถจักรยานยนต์มากขึ้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าว ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม มีส่วนช่วยสร้างงานสร้างรายได้ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากเป็นผลดีต่อทั้งผู้ขับขี่เอง และเพื่อนร่วมทางรอบข้างกรมการขนส่งทางบกในฐานะหน่วยงานที่กำกับ ดูแลการขนส่งทางถนนให้มีคุณภาพและปลอดภัย จึงได้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ขับขี่และผู้ประกอบธุรกิจรับส่งพัสดุเพื่อให้มีมาตรฐานการให้บริการขนส่งอย่างปลอดภัย เช่น ผู้ขับขี่ขนส่งต้องมีใบอนุญาตขับรถที่ยังไม่หมดอายุ รถที่นำมาใช้ขนส่งต้องจดทะเบียนถูกต้อง รวมถึงการสนับสนุนเอกชนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน
กรมการขนส่งทางบก มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการร่วมมือกับ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด จัดทำหลักสูตรอบรม e - Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่ง สำหรับผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ขับขี่รถขนส่งทั่วประเทศ ผลิตคลิป VDO เพื่อเป็นสื่อให้แก่ผู้ประกอบการ ผู้ขับขี่รถขนส่ง ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ สามารถรับชมคลิป VDO ได้ผ่านเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนด้วยตนเอง โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการ ผู้ขับขี่รถขนส่ง หรือประชาชนที่สนใจ ที่ได้รับชมคลิปแล้วจะมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดจิตสำนึกและนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการขับขี่ได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งเพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน
นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า พันธกิจหลักของบริษัทฯ คือ การให้ความสำคัญด้านการอยู่ร่วมกันกับสังคมอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาบริษัทฯ ตระหนักถึงความปลอดภัยด้านจราจรของพนักงานขับรถขนส่งทุกคนมาโดยตลอด ด้วยการมุ่งสร้างจิตสำนึก และความรู้ในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งกวดขันให้พนักงานขับรถทุกคนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ แฟลช เอ็กซ์เพรส ร่วมมือกับ กรมการขนส่งทางบก สนับสนุนการจัดทำสื่อประกอบเนื้อหาหลักสูตรอบรม e - Learning ในหัวข้อเรื่อง “ความปลอดภัยในการขนส่งสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง” ในรูปแบบคลิป VDO ให้ความรู้หัวข้อต่าง ๆ ความยาว 7-10 นาที โดยเนื้อหาหลักสูตรอบรม e -Learning ด้านความปลอดภัยในการขนส่งประกอบไปด้วย 9 หัวข้อหลักที่สำคัญได้แก่ หัวข้อที่ 1. สถานการณ์อุบัติเหตุในประเทศไทย 2. การตรวจสภาพรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ 3. การขับรถปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ 4. การคาดการณ์อุบัติเหตุและรับรู้ความเสี่ยง 5. มารยาทในการขับรถบนท้องถนน 6 การประเมิน ควบคุม และแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน 7. อุปกรณ์ความปลอดภัย และข้อกำหนดความปลอดภัยในการบรรทุกสินค้า 8. ชั่วโมงการทำงาน และหัวข้อที่ 9. การบริหารจัดการความเหนื่อยล้า นอกจากนี้ แฟลช เอ็กซ์เพรส ยินดี และยังพร้อมให้การสนับสนุน และส่งเสริมกับหน่วยงานภาครัฐในอนาคตข้างหน้าหากมีโครงการ และกิจกรรมดี ๆ เพื่อตอบแทนสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64702 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางสร้างพื้นที่ปลอดพิษสุนัขบ้าและแผนกำจัด “มาลาเรีย” 6 จังหวัดชายแดนที่พบผู้ป่วยสูง | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางสร้างพื้นที่ปลอดพิษสุนัขบ้าและแผนกำจัด “มาลาเรีย” 6 จังหวัดชายแดนที่พบผู้ป่วยสูง
คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางสร้างพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ด้วยกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด พร้อมเห็นชอบแผนเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียใน 6 จังหวัดชายแดนไทย-เมียนมาที่พบผู้ป่วยสูง คิดเป็น 96% ของประเทศ ส่วน “โควิด” สถานการณ์ลดลง
คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางสร้างพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ด้วยกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด พร้อมเห็นชอบแผนเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียใน 6 จังหวัดชายแดนไทย-เมียนมาที่พบผู้ป่วยสูง คิดเป็น 96% ของประเทศ ส่วน “โควิด” สถานการณ์ลดลง ยังเฝ้าระวังต่อเนื่อง
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นพ.โอภาสกล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทย แม้ว่าแนวโน้มผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตจะลดลงต่อเนื่อง แต่ผู้เสียชีวิตยังคงเป็นกลุ่ม 608 และส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนเพียง 1 เข็ม สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พบติดเชื้อโควิด 19 ประปราย ซึ่งศักยภาพด้านการแพทย์ยังรองรับได้ โดยหลังมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด 19 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว มากกว่า 10 ล้านคน เฉพาะช่วงวันที่ 29 ม.ค. – 4 ก.พ. 2566 มีผู้เดินทางเข้าประเทศ 4 แสนกว่าคน เฉลี่ยวันละ 6 หมื่นคน พบผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพียง 1 รายที่รักษาในโรงพยาบาล
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางการเฝ้าระวังผู้เดินทาง ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศไว้แล้ว เช่น การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด 19 ตลอดช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และบวกเพิ่มอีก 7 วัน การเก็บตัวอย่างน้ำเสียบนเครื่องบิน เป็นต้น รวมถึงมีบริการให้วัคซีนโควิด 19สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ส่วนการเตรียมพร้อมรับผู้เดินทางจากต่างประเทศที่จะเพิ่มมากขึ้น เน้นการเฝ้าระวังในกลุ่มผู้ให้บริการท่องเที่ยว โดยตรวจคัดกรองด้วยATK เมื่อป่วย และแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่กรณีพบการระบาดในลักษณะcluster ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ได้แก่ 1.ฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็มรวมทั้งฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรรูป (LAAB) ในกลุ่มเสี่ยงที่ไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด 2.หากมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย ATK และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดผู้อื่น 3.ให้การรักษาที่รวดเร็ว ทันเวลา โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้น และ 4.สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ขนส่งสาธารณะ และสำหรับเด็กเล็ก แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการป่วยทางเดินหายใจ
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ที่ประชุมวันนี้ได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ1.แนวทางการผลักดันการสร้างพื้นที่ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยประเทศไทยมีเป้าหมายตามพันธสัญญานานาชาติในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า และนโยบายเร่งรัด 1 เขต 1 อำเภอ (ใหม่) ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” ตามพระปณิธานของ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี มีเป้าหมายให้ไม่มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ภายในปี 2568 ด้วยกลไกการขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร โดยความร่วมมือของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงาน ภาคส่วนอื่นๆ
2.แผนการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียในพื้นที่พบผู้ป่วยสูง 6 จังหวัด (ก.พ. – พ.ค. 2566) โดยในปี 2566 สถานการณ์การระบาดของโรคไข้มาลาเรียบริเวณชายแดนไทยเมียนมา 6 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี พบผู้ป่วยรวม 2,991 ราย คิดเป็นร้อยละ 96 ของผู้ป่วยทั้งประเทศ โดยให้คณะกรรมการโรคติดต่อทั้ง 6 จังหวัด แต่งตั้งคณะทำงานเร่งรัดกำจัดไข้มาลาเรีย รวมทั้งส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการสนับสนุนทรัพยากรในการดำเนินการตามแผนเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรีย เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย “ปลอดจากโรคไข้มาลาเรียภายในปี 2567”
******************************************** 8 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64704 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงในการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงในการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
...
กรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงในการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายเสกสม อัครพันธ์ุ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และผู้บริหารของกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วย พล.ต.อ. รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี พล.ต.ท. นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ได้ร่วมกันแถลงข่าวประชาสัมพันธ์การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก เพื่อลดการกระทำผิดกฎหมาย ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เวลา 10.30 น. ณ สารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่ ลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ร่วมกันดำเนินการกวดขันวินัยการขับขี่ บังคับใช้มาตรการตามที่กำหนดในกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งสองหน่วยงาน จึงได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่ 1) การตัดคะแนนความประพฤติ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 9 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้กระทำผิดกฎจราจรและถูกตัดคะแนนแล้ว จำนวน 15,456 ราย และ 2) มาตรการชะลอการออกเครื่องหมาย แสดงการเสียภาษี สำหรับรถที่มีใบสั่งค้างชำระ ตาม 141/1 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ข้อมูลใบอนุญาตขับขี่ ข้อมูลยานพาหนะ และข้อมูลใบสั่งค้างชำระ เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลได้แบบ Real Time ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้กำหนดให้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สตช. และ ขบ. เชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
สำหรับมาตรการชะลอเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีจะใช้กับรถยนต์ที่ที่มีใบสั่งจราจรที่ค้างชำระ ซึ่งเพิกเฉยไม่ชำระค่าปรับตามที่กำหนด โดย สตช. จะส่งข้อมูลโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังนายทะเบียน ขบ. เมื่อประชาชนไปต่อภาษีรถยนต์ประจำปี นายทะเบียนจะรับต่อภาษีประจำปีแต่ยังไม่ได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายภาษี) โดยจะได้หลักฐานชั่วคราวแทนป้ายภาษี ซึ่งมีอายุ 30 วัน เพื่อให้ผู้นั้นไปชำระค่าปรับที่ค้างชำระให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน แล้วจึงสามารถมารับป้ายภาษีได้ แต่หากประชาชนต้องการจะชำระค่าปรับในขณะต่อภาษี กฎหมายกำหนดให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้นายทะเบียนสามารถรับชำระค่าปรับตามใบสั่งพร้อมกับชำระภาษี และรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีได้ทันที ทั้งนี้ การขับรถโดยไม่มีป้ายภาษี จะมีโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ มาตรา 11 ซึ่งกำหนดว่ารถยนต์คันที่ต่อภาษีแล้วจะต้องแสดงเครื่องหมายตามที่ ขบ. กำหนด ให้ครบถ้วน มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลใบสั่งค้างชำระและคะแนนความประพฤติได้ที่เว็บไซต์ E-ticket PTM และแอปพลิเคชัน ขับดี
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายในการป้องกันและรณรงค์ให้เกิดความปลอดภัยในการ ใช้รถใช้ถนนและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน ขบ. ได้ดำเนินการตามนโยบายโดยร่วมจัดทำ “บันทึกข้อตกลง ความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลทางเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกระหว่าง สตช. กับ ขบ.” ซึ่งบันทึกข้อตกลงนี้มีที่มาจาก พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 141/1 ที่กำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมายจราจร และได้รับใบสั่งจากเจ้าพนักงานตำรวจ และไม่ชำระค่าปรับจราจรภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดย สตช. จะแจ้งข้อมูลผู้ค้างชำระค่าปรับจราจรให้ ขบ. เพื่อแจ้งให้เจ้าของรถหรือผู้มาติดต่อในขั้นตอนที่มาขอชำระภาษีประจำปีให้ชำระค่าปรับ โดยบันทึกข้อตกลงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของ สตช. และ ขบ. ในกรณีดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมในการควบคุมความประพฤติของผู้ขับรถเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน การจราจร และสวัสดิภาพของประชาชน
สำหรับความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลง สตช. จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์กับ ขบ. และส่งข้อมูลค่าปรับตามใบสั่งจราจรที่ค้างชำระตามมาตรา 141/1 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มายัง ขบ. เมื่อเจ้าของรถมาติดต่อชำระภาษีรถประจำปี ณ สำนักงานขนส่ง หากปรากฏว่ามีข้อมูลค่าปรับที่ค้างชำระ เจ้าของรถสามารถชำระค่าปรับที่ค้างชำระพร้อมกับชำระภาษีกับนายทะเบียนของ ขบ. และรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีฉบับจริงได้ทันที และกรณีเจ้าของรถประสงค์จะชำระภาษีรถประจำปี โดยไม่ชำระค่าปรับที่ค้างชำระ เจ้าของรถยังคงสามารถชำระภาษีรถประจำปีได้ตามปกติ โดยจะได้รับหลักฐานชั่วคราวแทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปี ซึ่งหลักฐานชั่วคราวดังกล่าวจะมีอายุ 30 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนออกให้ หากต่อมาเจ้าของรถได้ทำการชำระค่าปรับที่ค้างชำระภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนของ ขบ. เรียบร้อยแล้วสามารถนำหลักฐานแสดงการชำระค่าปรับมาแสดงต่อนายทะเบียนของ ขบ. เพื่อให้ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถประจำปีได้ และหากเจ้าของรถมีความประสงค์ตรวจสอบข้อมูลค่าปรับที่ค้างชำระหรือจะโต้แย้งข้อมูลค่าปรับที่ค้างชำระสามารถติดต่อ สตช. ผ่านช่องทางที่ สตช. กำหนด ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้ามาดำเนินการด้านทะเบียนและชำระภาษีรถประจำปี และส่งเสริมมาตรการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การเสริมสร้างวินัยจราจร จิตสำนึกด้านความปลอดภัย และช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ การเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งค้างชำระของทั้งสองหน่วยงานนั้น จะเริ่มใช้กับใบสั่งจราจรสำหรับการกระทำผิดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง สตช. และ ขบ. เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าว จะสามารถนำไปสู่การเสริมสร้างวินัยจราจร จิตสำนึกด้านความปลอดภัยซึ่งจะสามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64693 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดศรีสะเกษ น้อมนำแนวพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ขับเคลื่อนผ่านวาระ ผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” มุ่งพัฒนา "ผ้าทอเบญจศรี" เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
จังหวัดศรีสะเกษ น้อมนำแนวพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ขับเคลื่อนผ่านวาระ ผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” มุ่งพัฒนา "ผ้าทอเบญจศรี" เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก
จังหวัดศรีสะเกษ น้อมนำแนวพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ขับเคลื่อนผ่านวาระ ผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” มุ่งพัฒนา "ผ้าทอเบญจศรี" เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66 นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า จังหวัดศรีสะเกษได้มีการจัดประชุมขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ ในประเด็นวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมศรีพฤทเธศวร ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของคนเมืองศรี ภายใต้วาระการพัฒนาจังหวัด 1+10 Agenda Sisaket โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำภาคเอกชน ผู้แทนภาควิชาการ และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จังหวัดศรีสะเกษ มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ ประเด็นวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ให้สอดคล้องตามเป้าหมายวาระการพัฒนาจังหวัด 1+10 Agenda Sisaket เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืน รวมถึงเพื่อบรรลุตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย ส่งเสริมและกระตุ้นผ้าไทยให้ทันสมัยสู่สากล เป็นที่นิยมในทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกาส ซึ่งในการประชุมได้นำเสนอประเด็นวาระผ้าทอมือ จังหวัดศรีสะเกษใน 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ผลสรุปการขับเคลื่อนวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2) รายงานผลยอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย (ในห้วงเดือนตุลาคม 2565 – มกราคม 2566) 3) แผนการขับเคลื่อนวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 4) การนำเสนอแผน/ผลการขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ ประเด็นวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยส่วนราชการและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พาณิชย์จังหวัดศรีสะเกษ, วัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ, ท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ, ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ศรีสะเกษ, สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 38 ศรีสะเกษ, ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดศรีสะเกษ, ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ, ประธานเครือข่าย OTOP ศรีสะเกษ/ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้น 5) การเตรียมความพร้อมลงพื้นที่และติดตามการขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ ประเด็นวาระผ้าทอมือ“ธานีผ้าศรี…แส่ว” ครั้งที่ 1/2566 ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. ณ กลุ่มทอผ้าไหมบ้านนวลละออ อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ และ 6) ตัวชี้วัดและแนวทางการขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ ประเด็นวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนวาระผ้าทอมือ “ศรีสะเกษ ธานีผ้าศรี…แส่ว” มุ่งพัฒนาผ้าพื้นเมือง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ ครบวงจร เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง ชุมชนพึ่งตนเองได้ โดยได้น้อมนำแนวพระราชดำริ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” และพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ในด้านการสร้างความยั่งยืนด้วยการใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้า และการเสริมสร้างทักษะด้านแฟชั่นดีไซน์มาขับเคลื่อนผ้าอัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ จากเดิมมีการทอผ้าลายลูกแก้วย้อมจากผลมะเกลือได้ผ้าสีดำขลับ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการย้อมดั้งเดิมของชาวอีสานใต้ มีข้อจำกัด คือ ไม่หลากหลายในการใช้สวมใส่ เนื่องจากเป็นสีดำ และเป็นผ้าหน้าแคบ ไม่สะดวกต่อการแปรรูปเป็นเสื้อผ้า การแส่ว ด้ายที่ใช้แส่ว เป็นสีที่ฉูดฉาด ลายที่ใช้แส่วเป็นลายไม่หลากหลาย จึงได้ร่วมกันสร้างอัตลักษณ์ใหม่ จากเดิมมีผ้าสีเดี่ยวคือผ้าสีมะเกลือ เพิ่มเป็นผ้า จำนวน 5 ศรี ประกอบด้วย 1) ผ้าศรีลาวา 2) ผ้าศรีกุลา 3) ผ้าศรีมะดัน 4) ผ้าศรีลำดวน และ 5) ผ้าศรีมะเกลือ และสร้างแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “ผ้าทอเบญจศรี” ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษเป็นเจ้าภาพหลักและเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้กำหนดให้มีการขับเคลื่อน วาระผ้าทอมือ ศรีสะเกษ ธานีผ้าศรี…แส่ว โดยมีคณะทำงานฯ ร่วมบูรณาการ ส่งเสริมและพัฒนา ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายในจังหวัดศรีสะเกษ มีองค์ความรู้ มีมาตรฐานในการผลิต และเพิ่มมูลค่าของผ้าทอเบญจศรี รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ การพัฒนาผ้าทอเบญจศรี ของจังหวัดศรีสะเกษที่ได้มาตรฐาน ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นไป อันจะทำให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP สามารถจำหน่ายและมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
“ทั้งนี้ จังหวัดศรีสะเกษ ได้น้อมนำพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานและพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” สมเด็จย่าของพระองค์ ตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” คือความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปหัตถกรรมไทย เพื่อให้รายได้กลับสู่ชุมชน ส่งเสริมและกระตุ้นผ้าไทยให้ทันสมัยสู่สากล เป็นที่นิยมในทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกาส เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยที่เป็นมรดกของชาติ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ช่างทอผ้า และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ร่วมกันสร้างสรรค์ ผ้าผืนงามที่ สะท้อนวิถีชีวิตอันงดงามไปด้วยภูมิปัญญาที่ถูกฟื้นคืน ผ้าทุกผืนได้ถูกถักทอขึ้นจากเส้นใยและพืชพรรณภายในชุมชน โดยไม่ใช้สารเคมีซึ่งเป็นการร่วมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่คนในชุมชนเป็นการตอกย้ำการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้คนในชาติเกิดความรัก และภาคภูมิใจในงานหัตถศิลป์ของไทย เป็นการสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อลดรายจ่าย และมีเงินทุนหมุนเวียนในครัวเรือน สร้างความมีเกียรติและความภาคภูมิใจในตนเอง โดยเฉพาะการถักทอผืนผ้าด้วยมือนั้น ถือเป็นงานหัตถศิลป์ที่ได้รับการยกย่อง แสดงให้เห็นถึงความมีอารยะและภูมิปัญญาพื้นถิ่นในแต่ละภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” จึงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมอาชีพให้แก่ช่างทอผ้าและผู้ประกอบการกลุ่มผ้าไทยให้เป็นอาชีพที่มีความยั่งยืน ในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พัฒนาผ้าทอเบญจศรี สู่สากล" นายสำรวย เกษกุล กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับ คณะผู้แทน UNDP เตรียม 15 จังหวัดนำร่อง เพื่อเร่งนำโมเดลขยายผลทั่วประเทศต่อไป | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
มหาดไทย ร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับ คณะผู้แทน UNDP เตรียม 15 จังหวัดนำร่อง เพื่อเร่งนำโมเดลขยายผลทั่วประเทศต่อไป
มหาดไทย ร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับ คณะผู้แทน UNDP เตรียม 15 จังหวัดนำร่อง เพื่อเร่งนำโมเดลขยายผลทั่วประเทศต่อไป
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66 เวลา 15.30 น. ณ ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนในการต้อนรับและหารือแนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ร่วมกับ นายเรโน เมแย (Mr. Renaud Meyer) ผู้แทน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ประจำประเทศไทย พร้อมคณะฯ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายวิสุทธิ์ ตันตินันท์ ที่ปรึกษาด้านความร่วมมือ Ms. Reidun Gjerstad ที่ปรึกษาด้าน SDGs นายธนวัฒน์ วชิระทองคำ ผู้ช่วยด้านวิจัยและประสานงาน SDGs และนายวัชริศ เหมพัฒน์ ผู้ช่วยโครงการ SDGs Localization โดยมี ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ นางจริยา ชุมพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ นายสราวุธ สุขรื่น ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้การต้อนรับและร่วมหารือด้วย
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทุกมิติ ด้วยแนวคิด Change for Good โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ (Statement of Commitment to Sustainable Thailand) เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย มุ่งทำให้โลกใบเดียวของทุกคนมีอายุยืนยาว ด้วยแนวคิด “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา”” โดยมี คุณกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย คุณอาร์มิดา ซัลเซีย อาลีเชียบานา รองเลขาธิการองค์การสหประชาชาติและเลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ อย่างเป็นรูปธรรมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ การน้อมนำแนวพระราชดำริ ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามโครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” และโครงการ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” เพื่อส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนพึ่งพาตนเองและมีการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งตอบโจทย์ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน (No poverty) เป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) เป็นต้น โดยกระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อนโครงการนี้ ควบคู่กับหลาย ๆ โครงการที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ที่มีเป้าหมายให้ทุกครัวเรือนทั่วประเทศร่วมดำเนินการ ซึ่งล้วนแต่เป็นการช่วยรักษาโลกใบเดียวของเราให้มีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น
นายเรโน เมแย (Mr. Renaud Meyer) ผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากกระทรวงมหาดไทย และเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทาง UNDP มีเป้าหมายในการขับเคลื่อน SDGs ให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเช่นกัน โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะเริ่มต้น UNDP ได้หารือร่วมกับ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คัดเลือกจังหวัดนำร่อง จำนวน 15 จังหวัด ซึ่งคัดเลือกจากความหลากหลาย ทั้งความเป็นเมือง – ชนบท มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล – ภูเขา เป็นพื้นที่อุตสหกรรม – พื้นที่เกษตร เป็นต้น โดย UNDP ได้มีการเตรียมความพร้อมและมอบหมายผู้จัดการโครงการฯ พร้อมทีมงาน เข้าดำเนินการในพื้นที่แต่ละจังหวัดแล้ว สำหรับเป้าหมายในการหารือในวันนี้ มี 2 ประเด็น ประเด็นที่ 1 คือ ความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ โดยต้องการให้ทุกจังหวัดมอบหมายผู้ประสานงาน (Focal Point) ร่วมดำเนินงาน และอำนวยความสะดวกในการเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ร่วมวางแผน และติดตามความคืบหน้าในการขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจะใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการประเมินผล ผ่านคำถามสั้น ๆ 2 – 3 คำถาม ที่แสดงให้เห็นว่ามีการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม และในระยะต่อไป UNDP จะเป็นจุดเชื่อมโยงให้กับ Agency อื่น ๆ ภายใต้การบริหารของ UN ที่เกี่ยวข้องมาร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งในแต่ละเรื่องที่จังหวัดนำร่องทั้ง 15 จังหวัด ยังไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน เช่น มีระบบสาธารณสุขที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็จะประสานให้ WHO เข้ามาร่วมดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนั้น เป็นต้น ประเด็นที่ 2คือ ต้องการให้กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญร่วมขยายผลการขับเคลื่อนไปยังทุกจังหวัดแบบคู่ขนาน เนื่องจากแหล่งงบประมาณที่สนับสนุน UNDP ยังไม่เพียงพอต่อการดำเนินการทุกจังหวัด แต่ปัญหาดังกล่าวมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องขับเคลื่อนทันที
นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สำหรับ 15 จังหวัดนำร่องที่ UNDP กำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย 1) กรุงเทพมหานคร พื้นที่เป้าหมายความร่วมมือของ UN เรื่อง SDGs 2) จ.เชียงใหม่ พื้นที่เป้าหมายโครงการลดก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซต์ 3) จ.เชียงราย พื้นที่เป้าหมายโครงการลดมลพิษ PM 2.5 4) จ.แม่ฮ่องสอน พื้นที่เป้าหมายโครงการส่งเสริมพลังงานสะอาดระดับชุมชน 5) จ.ตาก พื้นที่เป้าหมายโครงการส่งเสริมพลังงานสะอาดระดับชุมชน 6) จ.สุราษฎร์ธานี พื้นที่เป้าหมายโครงการการจัดการขยะ 7) จ.เพชรบุรี พื้นที่เป้าหมายโครงการบริหารจัดการชายฝั่งระดับชุมชน 8) จ.ภูเก็ต พื้นที่เป้าหมายโครงการสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนด้าน SDGs 9) จ.นครราชสีมา พื้นที่เป้าหมายโครงการขนส่งสะอาด 10) จ.อุดรธานี พื้นที่เป้าหมายความร่วมมือของ UN เรื่อง SDGs 11) จ.อุบลราชธานี พื้นที่เป้าหมายโครงส่งเสริมการหารือระหว่างภาครัฐและประชาสังคม 12) จ.สงขลา พื้นที่เป้าหมายโครงการท้องถิ่นต้นแบบเรื่อง SDGs 13) จ.ปัตตานี พื้นที่เป้าหมายโครงการนวัตกรรมด้านอาหารที่ยั่งยืนระดับท้องถิ่น 14) จ.ยะลา พื้นที่เป้าหมายโครงการนวัตกรรมด้านอาหารที่ยั่งยืนระดับท้องถิ่น โครงการส่งเสริม และ 15) จ.นราธิวาส พื้นที่เป้าหมายโครงการนวัตกรรมด้านอาหารที่ยั่งยืนระดับท้องถิ่น
“ขณะนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน และโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ที่มีน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เป็นฐานคิดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ มาประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาคน ให้คนไปพัฒนาพื้นที่อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติอย่างยั่งยืน ประกอบกับกระทรวงมหาดไทยมีในฐานะข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความตั้งใจที่จะทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” จึงเป็นโอกาสดีที่ UNDP ได้มาร่วมหารือกัน โดยจะนำข้อมูลที่ได้รับวันนี้จัดทำเป็นร่างสรุปแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อกำหนดวางกรอบแนวทาง และแผนการดำเนินร่วมกันให้ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถร่วม kick-off โครงการสร้างความยั่งยืนไปด้วยกันกับองค์กรภาคีเครือข่ายในระดับนานาชาติต่อไป” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เปิด Skill Expo Thailand พัฒนาแรงงานสู่ทศวรรษที่ 21 | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
รมว.สุชาติ เปิด Skill Expo Thailand พัฒนาแรงงานสู่ทศวรรษที่ 21
ก.แรงงาน เดินหน้าจัด Skill Expo Thailand ครั้งที่ 4 จัดแสดงโลกเสมือนจริงผ่าน AR - VR โชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเปิดโลกทัศน์แรงงานยุคใหม่สู่ทศวรรษที่ 21
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ หารือ ออท. คิวบาฯ มุ่งกระชับความร่วมมือด้านการศึกษา สร้างโอกาสให้เยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ หารือ ออท. คิวบาฯ มุ่งกระชับความร่วมมือด้านการศึกษา สร้างโอกาสให้เยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ หารือ ออท. คิวบาฯ มุ่งกระชับความร่วมมือด้านการศึกษา สร้างโอกาสให้เยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 10.00 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายเอกตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา (H.E. Héctor Conde Almeida) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือในประเด็นความร่วมมือด้านการศึกษา สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้หารือกับเอกอัครราชทูตคิวบาฯ ในวันนี้ พร้อมชื่นชมเอกอัครราชทูตคิวบาฯ ทีมีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยและคิวบาให้แน่นแฟ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการศึกษาและวิชาการ และการให้ความสำคัญกับความร่วมมือในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย ผ่านความร่วมมือกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และสถาบันอิกร่า จังหวัดนราธิวาส ผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางด้านการศึกษาในสาขาแพทย์ระหว่างทั้งสองประเทศ ผ่านโครงการเจียระไนแพทย์เพื่อชุมชน โดยให้โอกาสเยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ทุนเข้าศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ในคิวบา เพื่อเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริการและสาธารณสุข
เอกอัครราชทูตคิวบาฯ กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับคิวบาเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งจะครบรอบ 65 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ และความร่วมมือด้านต่างๆ ยังมีความใกล้ชิด โดยเฉพาะทางด้านการศึกษา สาธารณสุข และด้านวิชาการ ซึ่งคิวบายินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรด้านการแพทย์ของไทยผ่านโครงการเจียระไนแพทย์เพื่อชุมชน ซึ่งมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย เสริมสร้างโอกาสให้เยาวชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้
รองนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตคิวบาฯ ต่างเชื่อมั่นว่าความร่วมมือทางด้านการศึกษา สาธารณสุข และด้านวิชาการ ผ่านโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับความร่วมมือด้านการศึกษาและวิชาการของทั้งสองประเทศ ซึ่งเอกอัครราชทูตคิวบาฯ กล่าวยืนยันว่านักเรียนและนักศึกษาจากไทยจะได้รับการดูแลเสมือนครอบครัว และจะได้รับการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพสูง และเน้นผลิตแพทย์ที่มีคุณธรรม จริยธรรม โดยจะได้เรียนทั้งวิชาการทางการแพทย์ ภาษาสเปน รวมถึงความรู้ที่นักเรียนประสงค์ศึกษาเพิ่มเติม ทำให้ได้บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณธรรม
รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวอวยพรให้เอกอัครราชทูตคิวบาฯ ซึ่งจะหมดวาระการปฏิบัติหน้าที่ในไทยปีนี้ ให้ประสบความสุขและความเจริญ พร้อมหวังว่า เอกอัครราชทูตคิวบาฯ คนใหม่จะสานต่อและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดและครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต ซึ่งรัฐบาลไทยยินดีที่จะประสานความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ คนใหม่เป็นอย่างดี
อนึ่ง โครงการเจียระไนแพทย์เพื่อชุมชนเป็นความริเริ่มของสถาบันอิกร่า จังหวัดนราธิวาส ในการคัดเลือกเด็กเรียนดีและเป็นคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อส่งไปเรียนแพทย์ในสาธารณรัฐคิวบา โดยรัฐบาลคิวบาจะได้พิจารณาจัดสรรทุนการศึกษาแก่นักเรียนในประเทศไทย นำร่องกับเด็กเรียนดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โรงพยาบาลชุมชนละ 2 คน เพื่อสร้างความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์รองรับภารกิจการถ่ายโอนโรงพยาบาลชุมชนไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย ต่อจากนี้ จะได้มีการหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยกับสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนในสาขาการแพทย์ ซึ่งทั้ง 2 ประเทศพร้อมที่จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ความร่วมมือที่ดีต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565
ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองมีการประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 แต่มูลค่ากลับลดลงร้อยละ -7.2 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มีการขยายตัวในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ลบ. โดยระดับราคาไม่เกิน 1.00 ลบ.
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้สำรวจและรวบรวมข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ จากการประกาศขายผ่านเว็บไซต์บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง (www.taladnudbaan.com) เพื่อให้ได้ข้อมูลอุปทานที่อยู่อาศัยมือสองที่ครอบคลุมในตลาดมากที่สุด
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยผลการสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองมีการประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 แต่มูลค่ากลับลดลงร้อยละ -7.2 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มีการขยายตัวในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 และราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ยกเว้นราคา 1.51 - 2.00 ล้านบาท มีปริมาณใกล้เคียงเดิมโดยลดลงเพียงร้อยละ -0.4 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยมือสองประเภทห้องชุดและทาวเฮ้าส์ ทั้งนี้ สอดคล้องกับข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในช่วง 11 เดือนของปี 2565 ที่มีอัตราขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเช่นกัน โดยระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.9 ราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.7 ราคา 1.51 – 2.0 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 19.4 และ ราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 36.2 ซึ่งการขยายตัวของที่อยู่อาศัยมือสองในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เกิดจากปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดเงื่อนไขให้กลับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่ได้รับสิทธิ์ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เหลือประเภทร้อยละ 0.01 ได้กระตุ้นให้เกิดอุปทานกลุ่มนี้เข้ามาสู่ตลาดที่มากขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดเงื่อนไขให้กลับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับสิทธิ์ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เหลือประเภทร้อยละ 0.01 นอกจากนี้ยังพบว่าส่วนใหญ่ผู้ประกาศขายบ้านและผู้ซื้อบ้านได้อยู่ในพื้นที่ 10 อันดับ คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต ปทุมธานี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมาและสุราษฎร์ธานี
อุปทานที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ
ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 พบว่า มีจำนวนหน่วยประกาศขาย 162,787 หน่วย และมีมูลค่า 860,415 ล้านบาท หากเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 162,923 หน่วย และมูลค่า 962,188 ล้านบาท พบว่ามีการปรับตัวลดลงร้อยละ -0.1 และ ร้อยละ -10.6 ตามลำดับ แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ของปีก่อนพบว่าการประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองมีจำนวนหน่วยที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.4 แต่มูลค่ากลับลดลงร้อยละ -4.7
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยต่อไตรมาสในปี 2565 ที่มีจำนวน 162,320 หน่วย และมูลค่า 961,757 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ปี 2564 ถึงร้อยละ 52.6 และ 31.7 ตามลำดับ
ประเภทที่อยู่อาศัยมือสอง
เมื่อพิจารณาถึงประเภทของที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 พบว่า ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดเกาะกลุ่มใน 3 ประเภทตามลำดับ คือ
(1) บ้านเดี่ยว จำนวน 67,907 หน่วย (สัดส่วน 41.7%) มูลค่า 461,011 ล้านบาท (สัดส่วน 53.6%)
(2) ทาวเฮ้าส์ จำนวน 44,722 หน่วย (สัดส่วน 27.5 %) มูลค่า 109,616 ล้านบาท (สัดส่วน 12.7%) และ
(3) ห้องชุด จำนวน 44,016 หน่วย (สัดส่วน 27.0%) มูลค่า 257,896 ล้านบาท (สัดส่วน 30.0%)
สำหรับ อาคารพาณิชย์ และบ้านแฝด เป็นประเภทที่มีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบไตรมาส 4 ปี 2565 กับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พบว่า ในทุกประเภทบ้านเดี่ยวมีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 และเป็นทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ทั้งนี้จำนวนหน่วยของห้องชุด ลดลงร้อยละ -9.7 อาคารพาณิชย์ ลดลงร้อยละ -8.6 และบ้านแฝด ลดลงร้อยละ -11.5
ในขณะที่ด้านมูลค่ามีการลดลงในเกือบทุกประเภท พบว่า บ้านเดี่ยวลดลงร้อยละ -1.7 ห้องชุดลดลงร้อยละ -26.8 ทาวน์เฮ้าส์ลดลงร้อยละ –1.9 และบ้านแฝดลดลงร้อยละ -15.9 แต่อาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ราคาขายที่อยู่อาศัยมือสอง
เมื่อพิจารณาถึงราคาประกาศขายของที่อยู่อาศัยมือสอง ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 พบว่า ระดับราคาของที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดเกาะกลุ่มใน 3 ระดับราคาตามลำดับ คือ
(1) อันดับแรก ราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท จำนวน 40,364 หน่วย (สัดส่วน 24.8%) แต่มูลค่าค่อนข้างน้อย 21,807 ล้านบาท (สัดส่วน 2.5%) ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเท่ากับ 0.5 ล้านบาท
(2) อันดับสองระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทจำนวน 25,417 หน่วย (สัดส่วน 15.6%) มูลค่า 63,941 ล้านบาท (สัดส่วน 7.4%) ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเท่ากับ 2.5 ล้านบาท และ
(3) อันดับสาม ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท 24,998 หน่วย (สัดส่วน 15.3%) มูลค่า 97,964 ล้านบาท (สัดส่วน 11.4 %)
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า แม้ว่าที่อยู่อาศัยมือสองในระดับ มากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีการประกาศขายเพียง 15,458 หน่วย (สัดส่วน 9.5%) แต่กลับมีมูลค่าสูงถึง 485,183 ล้านบาท (สัดส่วน 56.4%) ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเท่ากับ 31.4 ล้านบาท ส่วนระดับราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท จำนวน 12,906 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.7 และระดับราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท จำนวน 6,446 บาท ลดลงร้อยละ -14.6 ระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทจำนวน 15,458 หน่วย ลดลงร้อยละ -16.4
เมื่อพิจารณาจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในแต่ละระดับราคา พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 ที่อยู่อาศัยมือสองในหลายระดับราคามีจำนวนหน่วยลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยมือสองที่ราคามากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป โดยในระดับราคา 3.01 - 5.00 ลบ. ลดลงร้อยละ -1.6 ระดับราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -11.7 ระดับราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.6 ระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -16.4 เมื่อเทียบกับ
ทั้งนี้เป็นที่สังเกตว่า ที่อยู่อาศัยมือสองในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการขยายตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 และราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ราคา ยกเว้นราคา 1.51 - 2.00 ล้านบาท มีปริมาณใกล้เคียงเดิมโดยลดลงเพียงร้อยละ -0.4 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยมือสองประเภทห้องชุดและทาวเฮ้าส์
สภาวะของการประกาศขายในตลาดที่อยู่อาศัยมือสองเช่นนี้ ได้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองที่มีอยู่ในตลาดที่เพิ่มขึ้นมาก ดังจะเห็นได้จากภาวะการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในช่วง 11 เดือนของปี 2565 ที่มีอัตราขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเช่นกัน โดย ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.6 ราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.7 ราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 19.4 และ ราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 36.2 ซึ่งเกิดจากปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดเงื่อนไขให้กลับตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับสิทธิ์ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เหลือร้อยละ 0.01 ได้กระตุ้นให้เกิดอุปทานกลุ่มนี้เข้ามาสู่ตลาดที่มากขึ้น
ทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมือสอง
สำหรับจังหวัดที่มีอันดับมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายสูงที่สุด 10 จังหวัดแรก ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต ปทุมธานี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมาและสุราษฎร์ธานี ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองเช่นกัน
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร มีหน่วยประกาศขาย 55,852 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.3 และ มีมูลค่าสูงเป็นอันดับแรก มีมูลค่าถึง 518,480 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 60.3 เมื่อเทียบกับทั้งประเทศ ขณะที่จังหวัดอันดับที่ 2 – 10 มีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าของแต่ละจังหวัดอยู่ระหว่างร้อยละ 0.8 ถึงร้อยละ 6.8 ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับมูลค่าและจำนวนหน่วยทั่วประเทศ แต่ 10 จังหวัดนี้ แต่มีสัดส่วนจำนวนหน่วยเป็นร้อยละ 67.6 และสัดส่วนของมูลค่ารวมกันมากถึงร้อยละ 87.3 ส่วนจังหวัดที่เหลืออีก 67 จังหวัด มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 32.4 และมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันเพียงร้อยละ 12.7 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พบว่า จังหวัดมีมูลค่าสูงสุดใน 10 จังหวัด เกือบทั้งหมดมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง แต่จังหวัดที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น มีเพียงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เท่านั้นที่มีขยายตัวร้อยละ 3.8 และพบว่าในจังหวัดอื่น ๆ นอกเหนือจาก 10 จังหวัดข้างต้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เพิ่มขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยและอังกฤษจะร่วมกับผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอวกาศ | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
ประเทศไทยและอังกฤษจะร่วมกับผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอวกาศ
ประเทศไทยและอังกฤษจะร่วมกับผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอวกาศ
ศาสตราจารย์พิเศษเอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และศาสตราจารย์ นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไลปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วยนายธานี ทองภักดีเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ประชุมหารือกับ Mr. George Freeman MP, Minister for Science, Research and Innovation ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 ณ Department for Business, Energy and Industry Strategy กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมี ประเด็นสาคัญ ได้แก่ การกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรม การผลักดันให้ประเทศไทยเป็น focal point ความร่วมมือระหว่างประเทศอังกฤษกับอาเซียน เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ และประเทศคู่ความร่วมมืออื่นๆ ของประเทศไทย และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิง นโยบายที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และ Minister for Science, Research and Innovation เห็นชอบร่วมกันที่จะผลักดันความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอวกาศ โดยในสาขาเทคโนโลยีการเกษตรมีขอบเขต ครอบคลุมหัวข้อพันธุกรรม (genome) ความมั่นคงทางอาหาร (food security) และการพัฒนาผลผลิตทาง การเกษตร (agricultural productivity) ในด้านเทคโนโลยีอวกาศประกอบด้วยสาขาย่อย ได้แก่ พลังงาน อวกาศ การพัฒนาดาวเทียมและอวกาศยาน และเศรษฐกิจอวกาศ (space economy)
Minister for Science, Research and Innovation ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับ ประเทศไทยในลักษณะทวิภาคี และการให้ประเทศไทยเป็น focal point ความร่วมมือระหว่างประเทศอังกฤษ กับอาเซียน ผ่านช่องทาง ASEAN Committee on Science, Technology, and Innovation และความ ร่วมมือไตรภาคีระหว่างประเทศอังกฤษ ประเทศไทย และประเทศคู่ความร่วมมือของไทย เช่น ซาอุดิอาระเบีย ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงนโยบายระหว่างกันทั้งในประเด็น งบประมาณสนับสนุนการวิจัย แนวปฏิบัติในการดาเนินความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สาขาการวิจัยที่ทั้งสองประเทศให้ความสาคัญ และตัวอย่างความร่วมมือที่ประสบความสาเร็จ เช่น ความร่วมมือระหว่าง Oxford University และมหาวิทยาลัยมหิดลในด้านเวชศาสตร์เขตร้อน เป็นต้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มอบหมายให้สานักงานปลัดกระทรวง อว. เป็นหน่วยงาน หลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศอังกฤษ โดยจะดาเนินการร่วมกับ Department for Business, Energy and Industry Strategy และ United Kingdom Research and Innovation ของประเทศอังกฤษ ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 ปี 66-70 นายกฯ กำชับจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงาน ให้สอดคล้องสถานการณ์พัฒนาประเทศ | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
08/02/2566
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 ปี 66-70 นายกฯ กำชับจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงาน ให้สอดคล้องสถานการณ์พัฒนาประเทศ
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 ปี 66-70 นายกฯ กำชับจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงาน ให้สอดคล้องสถานการณ์พัฒนาประเทศแบบพุ่งเป้าได้อย่างแท้จริง
วันนี้ (8 ก.พ. 66) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 1/2566 ร่วมกับ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดำเนินงานยุทธศาสตร์ชาติ ขณะนี้ได้เดินหน้าเข้าสู่ระยะที่ 2 คือ ปี 2566-2570 โดยหลายเรื่องที่ดำเนินงานมา มีความก้าวหน้าสำเร็จส่วนหนึ่ง ขณะที่บางส่วนยังช้าอยู่ และบางส่วนยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งต้องมีการแก้ไขปรับปรุงในช่วงระยะที่ 2 ให้ดีมากยิ่งขึ้นเพื่อการสานต่องานให้ไปได้ด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการฯ ทุกคน เหล่าทัพ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อทำให้ประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมกับย้ำว่า ต้องมีบรรทัดฐานในการเดินหน้าทำงานเป็นหลัก เป็นการทำเพื่ออนาคต วางพื้นฐานในทุกมิติ เดินหน้าทำงานในเวลาที่มีอยู่จำกัด เพื่อเตรียมส่งต่องานให้กับรัฐบาลหน้าต่อไป
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ มีมติเห็นชอบ 2 เรื่อง และมีมติรับทราบ 3 เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 (ปี 2566-2570)
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เรื่อง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (Plan Do Check Act : PDCA) โดยมอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สำนักงานฯ) นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายหน่วยงานดำเนินการต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนของการวางแผน (Plan) หน่วยงานของรัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องต้องสร้างการตระหนักรู้ให้กับบุคลากรทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ภาคีการพัฒนาและประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรที่มีเนื้อหาเป็นปัจจุบันกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงบประมาณและหน่วยงานกำกับแผนงานบูรณาการหรืองานวิจัย ต้องจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์พัฒนาประเทศแบบพุ่งเป้า หน่วยงานเจ้าภาพแผนแม่บทฯ ประสานและบูรณาการและกำกับให้หน่วยงานดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนระดับที่ 2 การปฏิบัติ (Do) ในส่วนของแผนระดับที่ 3 ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาทบทวนกฎหมายที่มีการกำหนดให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อให้มีแผนเท่าที่จำเป็นต่อบริบทของการพัฒนาประเทศ สำนักงานฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันวิเคราะห์หาช่องว่างประเด็นการพัฒนาที่จำเป็นต้องมีแผน หน่วยงานเจ้าภาพทุกระดับและหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน ดำเนินการอย่างพุ่งเป้า ในส่วนของโครงการ หน่วยงานเจ้าภาพทุกระดับและหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน ดำเนินการอย่างพุ่งเป้า สำนักงบประมาณ พิจารณาการจัดสรรงบประมาณโดยพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายของแผนแม่บทย่อยที่มีสถานะการบรรลุเป้าหมายในระดับวิกฤต (สีแดง) และปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญประจำปีงบประมาณ การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Check) สำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประสานบูรณาการการดำเนินการให้กระทรวงกำกับผู้ตรวจราชการกระทรวง/กรม ปฏิบัติตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 อย่างเคร่งครัด ผู้ตรวจราชการกระทรวงต้องจัดทำแผนการตรวจราชการที่เป็นเจ้าภาพหลัก ตามภารกิจของหน่วยงาน คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ต้องเร่งกำหนดประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลประจำปี โดยต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่มีสถานการณ์การบรรลุเป้าหมายในระดับวิกฤติ (สีแดง) และ/หรือ มีระดับวิกฤติต่อเนื่อง และ/หรือ เป้าที่ได้รับการประเมินสถานการณ์การบรรลุเป้าหมายในระดับวิกฤติ และการปรับปรุงการทำงาน (Act) หน่วยงานของรัฐใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบการปรับปรุงการดำเนินงานในทุกขั้นตอนของ PDCA บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อให้เกิดการพุ่งเป้าไปสู่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องกระบวนการงบประมาณ ที่ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/การดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์พัฒนาประเทศแบบพุ่งเป้าได้อย่างแท้จริง
2. เห็นชอบการดำเนินการทบทวนพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 โดยให้สำนักงานฯ ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 โดยสำนักงานฯ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น ผ่านระบบกลาง (www.law.go.th.) และวิธีการอื่น ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาตามขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการมีมติรับทราบ 3 เรื่อง ดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 โดยรายงานประจำปี 2565 เป็นรายงานฉบับที่ 4 โดยภาพรวมของการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติในห้วง 5 ปีที่ผ่านมามีสถานการณ์พัฒนาปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงมีบางประเด็นที่ต้องเร่งพัฒนาต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่มีเป้าหมายการพัฒนาอยู่ในระดับวิกฤติ โดยการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ผ่านมามีประเด็นท้าทายที่สำคัญ อาทิ ความเข้าใจของหน่วยงานของรัฐในหลักการและวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 ทำให้ยังขาดความบูรณาการ ความเข้าใจของการดำเนินงานที่ควรต้องมุ่งเน้นการบรรลุผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ของ “เป้าหมาย” ส่งผลให้หลายหน่วยงานยังดำเนินงานเพื่อตอบ “ตัวชี้วัด” บางหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้นำเข้าแผนระดับที่ 3 โดยเฉพาะแผนปฏิบัติ และโครงการ/การดำเนินงานในระบบ eMENSCR รวมถึงข้อมูลสถิติ งานวิจัยต่าง ๆ ในระบบ OpenD ส่งผลให้กลไกติดตาม ตรวจสอบ และประเมินขาดข้อมูลประกอบการติดตามและตรวจสอบที่ครอบคลุม ทั้งนี้ สำนักงานฯ เผยแพร่รายงานฯ แล้วเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2566 ผ่านทางเว็บไซต์ http://nscr.nesdc.go.th/nscr_report/ สำหรับ (ร่าง) รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 นั้น สำนักงานฯ จะนำเสนอที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ตามขั้นตอนต่อไป เนื่องจากเป็นรายงานประจำปีฉบับสุดท้าย โดยคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ให้สำนักงานฯ จัดทำรายงานฯ หลังสิ้นสุดแผนการปฏิรูปประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานของรัฐทำความเข้าใจกับประเด็นท้าทายที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ และร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติตามหลัก PDCA อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกระบวนการจัดสรรงบประมาณที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์พัฒนาประเทศ รวมทั้งศึกษาและทำความเข้าใจกับ (ร่าง) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2566 - 2580 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) และเอกสารประกอบการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนแม่บทฯ ที่สำนักงานฯ ได้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ http://nscr.nesdc.go.th/ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการทำงานร่วมกัน ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายให้บรรลุในห้วง 5 ปีที่ 2 ตามที่กำหนดไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
2. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ที่คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) ในคราวการประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติเห็นชอบการดำเนินงานตาม 4 แนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) กลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน (คนที่ตกเกณฑ์ MPI) ทั้งที่เป็นคนที่มีบัตรสวัสดิการและไม่มีบัตรสวัสดิการ รวมจำนวน 655,365 คน (2) กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้ข้อมูลจากบูรณาการฐานข้อมูลที่หลากหลาย จำนวน11,023,225 ครัวเรือน 33,384,526 คน (3) กลุ่มคนที่ต้องสำรวจเพิ่มเติม จำนวน 13,220,965 คน และ (4) กลุ่มคนที่ตกหล่นจากระบบ TPMAP (Exclusion error) กลุ่มคนที่ไม่ได้มีข้อมูลจัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งของระบบ TPMAP ทั้งในฐานของการบูรณาการฐานข้อมูลหรือข้อมูลในระดับพื้นที่ รวมถึงกลุ่มบุคคลที่เป็นคนเร่ร่อน กลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มคนไทยที่ไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งต้องสืบค้นต่อไป โดย คจพ. ได้มอบหมายให้ ศจพ. ทุกระดับ และทีมปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ในพื้นที่ เร่งดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อแก้ปัญหากลุ่มเป้าหมายของ พ.ศ. 2566 อย่างบูรณาการ เพื่อให้การดำเนินการแบบพุ่งเป้า เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของการพัฒนาให้ “อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน” ต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเติมเต็มข้อมูลในระบบ TPMAP เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการแก้ไขปัญหาและพัฒนาได้อย่างเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
3. รับทราบแนวทางการเตรียมการทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 มีมติรับทราบมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2565 ในส่วนของแนวทางการดำเนินการภายหลังการสิ้นสุดของแผนปฏิรูปประเทศ โดยให้สำนักงานฯ และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกันพิจารณาทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ป.ย.ป. โดยมีแนวทางและขั้นตอนการดำเนินงานตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้สำนักงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ เตรียมการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอข้อมูลการเตรียมการทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาในคราวการประชุมครั้งที่ 2/2566 ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฮอตปรอทแตก!! “จุรินทร์”ลุยห้างไทยซุคในดูไบ เสียงเชียร์กระหึ่ม เจอคนไทยแทบทุกจังหวัดรุมขอถ่ายรูปแน่น | วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566
ฮอตปรอทแตก!! “จุรินทร์”ลุยห้างไทยซุคในดูไบ เสียงเชียร์กระหึ่ม เจอคนไทยแทบทุกจังหวัดรุมขอถ่ายรูปแน่น
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากเมืองดูไบว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 6 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ยกทัพคณะรัฐ-เอกชนไทยมาเยือนดูไบ
และช่วงค่ำนายจุรินทร์มาเป็นประธานเปิดโครงการ Thai Souq (ไทยซุค) ที่ Souk Al Marfa ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาแห่งใหม่ของรัฐบาลดูไบบนเกาะเดียร่า โครงการ Thai Souq เป็นแหล่งรวมและกระจายสินค้าและบริการของไทยในดูไบ มีเจ้าของเป็นคนไทย คือ นายอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด (VEGA Intertrade & Exhibitions LLC) มีร้านค้ามากกว่า 30 ร้าน เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม งานฝีมือ ของที่ระลึก แฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านนวดแผนไทย โดยทาง Thai Souq ยินดีที่จะให้ความร่วมมือและช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ที่จะส่งออกสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มาขาย และพร้อมที่จะช่วยให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และตะวันออกกลาง แต่ที่เป็นไฮไลต์คือ มีคนไทยจำนวนนับร้อยคนที่อาศัยและทำงานในดูไบ หลากหลายสาขาอาชีพมาให้กำลังใจนายจุรินทร์มอบดอกไม้ และรุมขอถ่ายรูปเซลฟี่กับนายจุรินทร์แน่น บรรยากาศสุดคึกคัก ดีใจที่ได้เจอ ซึ่งมีคนไทยที่มาจากแทบทุกจังหวัดของไทยมาทำงานและทำธุรกิจในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งนายจุรินทร์ได้เดินพูดคุยอย่างสนุกสนาม เป็นกันเอง กับร้านค้าของคนไทยที่มาขายสินค้าและบริการ กว่า 30 ร้าน ซึ่งมีทั้งอาหารไทย ร้านขายสินค้าไทย ร้านขายอัญมณีและร้านนวดไทยที่ได้รับความนิยมจากคนดูไบเป็นอย่างมาก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ออกข้อบังคับปรับเพิ่มค่าตอบแทน OT และเวรบ่ายดึกบุคลากร เจ้าหน้าที่มีผลบังคับใช้ทันที | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
สธ.ออกข้อบังคับปรับเพิ่มค่าตอบแทน OT และเวรบ่ายดึกบุคลากร เจ้าหน้าที่มีผลบังคับใช้ทันที
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามข้อบังคับและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเวลาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และค่าตอบแทนการปฏิบัติงานผลัดบ่าย/ดึกเพิ่ม ร้อยละ 50 แล้ว หลังกระทรวงการคลังเห็นชอบ มีผลบังคับใช้ทันที
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามข้อบังคับและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเวลาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และค่าตอบแทนการปฏิบัติงานผลัดบ่าย/ดึกเพิ่ม ร้อยละ 50 แล้ว หลังกระทรวงการคลังเห็นชอบ มีผลบังคับใช้ทันที
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากกระทรวงการคลังทำหนังสือตอบกลับมายังกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ฉบับที่ 5 โดยเพิ่มค่าตอบแทนทุกวิชาชีพในการปฏิบัติงานลักษณะเป็นเวรหรือเป็นผลัด (OT) ขึ้น ร้อยละ 8 และเพิ่มค่าตอบแทนผลัดบ่ายหรือผลัดดึก ที่เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการในเวลาราชการปกติขึ้น ร้อยละ 50 และปรับเพิ่มรายการตำแหน่ง, วิชาชีพและสายงาน ที่ให้ได้รับค่าตอบแทน รวมทั้งกระทรวงการคลังได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนฉบับที่ 2, 10, 11 และ 12 ในอัตราเดิม และขอให้กระทรวงสาธารณสุขออกข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินบำรุงในลักษณะค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนที่กระทรวงการคลังเห็นชอบต่อไป
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามออกข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินบำรุงในลักษณะค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว โดยค่าตอบแทนนอกเวลาที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และร้อยละ 50 ดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งดำเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป
************************ 3 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๓ กุมภาพันธ์ "วันทหารผ่านศึก" | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
๓ กุมภาพันธ์ "วันทหารผ่านศึก"
...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64496 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม โดย กองทัพบก ทำความสะอาด ฉีด ล้างถนน ลดฝุ่น PM 2.5 | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กระทรวงกลาโหม โดย กองทัพบก ทำความสะอาด ฉีด ล้างถนน ลดฝุ่น PM 2.5
...
กองทัพบกเพื่อประชาชน โดย ศบภ.ส.พัน.21 ทภ.1 จัดกำลังพลลงพื้นที่บริเวณถนนพหลโยธิน เขตบางเขน กทม. ตั้งแต่ซอยพหลโยธิน 46 จนถึง วงเวียนบางเขน โดยการทำความสะอาดฉีดน้ำล้างถนนลดฝุ่นละอองและล้างสิ่งปนเปื้อนบริเวณผิวจราจร ทางเท้า และพื้นผิวสาธารณะ เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจสอบเรือ WAN HAI 272 กรณีโดนกันบริเวณร่องน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ ก่อนทำการกู้เรือที่ติดตื้นให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจสอบเรือ WAN HAI 272 กรณีโดนกันบริเวณร่องน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ ก่อนทำการกู้เรือที่ติดตื้นให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน
...
กรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจสอบเรือ WAN HAI 272 กรณีโดนกันบริเวณร่องน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ ก่อนทำการกู้เรือที่ติดตื้นให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน
ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ควบคุม กำกับ และอำนวยความปลอดภัยทางน้ำทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ
จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา เรือ WAN HAI 272 ประเภทเรือบรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์สัญชาติสิงคโปร์ โดนกับเรือชื่อ SANTA LOUKIA ประเภทเรือบรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ สัญชาติ MALTA บริเวณระหว่างทุ่นหมายเลข 9 กับทุ่นหมายเลข 11 ร่องน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงกระแสน้ำขึ้นไหลเชี่ยว จึงทำให้เรือโดนกัน โดยเรือ WAN HAI 272 เดินทางมาจากท่าเทียบเรือของการท่าเรือเเห่งประเทศไทย เพื่อเดินทางไปยังท่าเทียบเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และเรือชื่อ SANTA LOUKIA เดินทางมาจากท่าเทียบเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อเดินทางไปยังท่าเทียบเรือของการท่าเรือเเห่งประเทศไทย จากเหตุการณ์โดนกันไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตและไม่พบคราบน้ำมัน ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้นั้น
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่า ในฐานะที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกำกับการขนส่งทางน้ำในราชอาณาจักรไทยเพื่อแก้ไขปัญหาเรือเกยตื้นภายใต้กฎหมายการเดินเรือในน่านน้ำไทย ผู้กำกับดูแลการนำร่องในน่านน้ำไทย และดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือขนส่งสินค้า ได้มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า(ด้านปลอดภัย) นายพิทักษ์ วัฒนพงษ์วิศาล ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ และ เรือเอกภัทรชัย ไทยสยาม ผู้อำนวยการสำนักนำร่อง พร้อมด้วยนายฉัตรชัย เวชสาร ผู้อำนวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ ผู้แทนเรือ WAN HAI 272 ผู้แทนประกันภัย P&I Club และบริษัท AZ จำกัด ลงพื้นที่ติดตาม ตรวจสอบแผนการกู้เรือ WAN HAI 272 ที่ติดตื้น โดยรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้สั่งการให้ ตั้งคณะทำงานกู้เรือในครั้งนี้โดยเร่งด่วน พร้อมให้บริษัทที่กู้เรือ รวมไปถึงเจ้าของเรือ รายงานการดำเนินการกู้เรือให้ทราบ จนกว่าการกู้เรือจะแล้วเสร็จ
สำหรับแผนการกู้เรือในครั้งนี้ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่าได้หารือร่วมกับนายเรือ ตัวแทนเจ้าของเรือ รับฟังสรุปสถานการณ์และสถานะของเรือปัจจุบัน จากนั้นได้แจ้งให้นายเรือและตัวแทนเจ้าของเรือ รับทราบวัตถุประสงค์ของการลงพื้นที่ในครั้งนี้ พร้อมชี้แจงขั้นตอนและแผนการปฏิบัติวิธีการในการเคลื่อนย้ายเรือให้ออกจากจุดที่เรือติดตื้นโดยเร็วและด้วยความปลอดภัย โดยกำหนดระยะเวลาเคลื่อนย้ายเรือให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ทั้งนี้ กรณีเรือ WAN HAI 272 เกยตื้นไม่กีดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือในบริเวณดังกล่าวและยังไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ โดยหากประชาชนท่านใดพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ และได้รับความเดือดร้อน โทร.สายด่วนอธิบดี กรมเจ้าท่า 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64504 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมลดโลกร้อน หนุนภาคอุตสาหกรรม ใช้ “ปูนไฮดรอลิก” แทนปูนปอร์ตแลนด์ในการทำคอนกรีต ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก | วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
02/02/2566
ก.อุตฯ ร่วมลดโลกร้อน หนุนภาคอุตสาหกรรม ใช้ “ปูนไฮดรอลิก” แทนปูนปอร์ตแลนด์ในการทำคอนกรีต ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กระทรวงอุตสาหกรรม หนุนภาคอุตสาหกรรมใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ชี้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า เร่ง สมอ. แก้ไขมาตรฐานคอนกรีตและปูนทั้ง 71 มาตรฐาน ให้สามารถใช้ปูนซีเมนต์ ไฮดรอลิกเป็นส่วนผสม เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อบรรเทาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดแก่ประชากรโลก กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม จึงได้กำหนดนโยบายเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งรัดดำเนินการกำหนดมาตรฐานเพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งผมได้รับรายงานว่า สมอ. ได้มีการกำหนดและแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคอนกรีตและปูนซีเมนต์ โดยให้สามารถใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นวัตถุดิบในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตต่างๆ แทนการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ซึ่งการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ โดยมีการคิดค้นพัฒนาการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ซึ่งมีส่วนประกอบของปูนเม็ดในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณทั้งหมด โดยใช้วัสดุอื่นมาผสมทดแทน เช่น หินปูน กากถลุง และปอซโซลาน เป็นต้น จากองค์ประกอบที่มีอัตราส่วนของปูนเม็ดน้อยลง จึงทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตน้อยลงตามไปด้วย โดยปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกนั้นมีคุณสมบัติและประสิทธิภาพในการนำไปใช้งานที่ดีเทียบเท่ากับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ หากประมาณการเบื้องต้นในเชิงของการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 1 ตัน จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน (CO2) เมื่อเทียบกับการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ในปริมาณที่เท่ากัน ดังนั้น การนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้งานทดแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้
ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม สมอ. ได้กำหนดและแก้ไขมาตรฐานให้สามารถใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตต่าง ๆ แล้วจำนวน 71 มาตรฐาน ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อน ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ จึงขอเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน นำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้งานทดแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน
ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ได้ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก มอก. 2594-2556 โดยระบุเกณฑ์กำหนดคุณลักษณะด้านต่าง ๆ และมีการแบ่งชนิดครอบคลุมการใช้งานที่แตกต่างกัน ทั้งการใช้งานทั่วไป งานที่ต้องการแรงอัดต้นสูง งานที่ทนต่อการกัดกร่อนของซัลเฟต (เหมาะสำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเล หรือพื้นที่น้ำกร่อย) รวมทั้งงานโครงสร้างขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกที่ได้รับอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. แล้ว รวมทั้งสิ้น 11 ราย
หลังจากที่ สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกแล้ว ยังได้ระบุเพิ่มในเนื้อหาของมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับคอนกรีตและปูนซีเมนต์ที่มีการกำหนดใหม่หรือมีการปรับปรุงแก้ไข โดยระบุให้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” เป็นวัสดุที่ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตและปูนซีเมนต์แล้ว จำนวน 38 มาตรฐาน เช่น คอนกรีตทนไฟ กระเบื้องซีเมนต์เส้นใยแผ่นลอน ท่อคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จรูป คอนกรีตบล็อกกลวงรับน้ำหนัก และคอนกรีตผสมเสร็จ เป็นต้น สามารถดูรายชื่อ ทั้ง 38 มาตรฐาน ได้ที่ https://drive.google.com/file/d/1AX5U7kSThvF5LF_3MQdWbR6UNjyfGV4H/viewโดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้มีการนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานในกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีตและปูนซีเมนต์อีกจำนวน 33 มาตรฐาน ที่ยังไม่ได้มีการระบุปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกให้เป็นวัสดุที่ใช้ในการทำในเนื้อหาของมาตรฐาน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานที่มีการประกาศใช้มาก่อนมาตรฐานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ดังนั้น สมอ. จึงได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 1 ฉบับ เมื่อเดือนธันวาคม 2565 กำหนดให้เพิ่มปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นวัสดุในการทำกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีต และปูนซีเมนต์ จำนวน 33 มาตรฐาน เช่น กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น กระเบื้องหินขัดชนิดสองชั้น เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสําเร็จ คอนกรีตบล็อกกลวงสําหรับพื้นคอนกรีตสําเร็จรูป กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น และคอนกรีตบล็อกประสานปูพื้น เป็นต้น สามารถดูรายชื่อทั้ง 33 มาตรฐานได้ที่ https://drive.google.com/file/d/1bUND8kMmxNrFhb9gQpPNa_M7RI4dG2cj/viewเพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวสามารถใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นวัตถุดิบในการผลิต และสามารถยื่นขอรับใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. กับผลิตภัณฑ์นั้นได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-license ของ สมอ. ที่ www.tisi.go.thได้ตลอด 24 ชั่วโมง เลขาธิการ สมอ. กล่าว
2 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64494 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. แถลงข่าวการแสดงโขนพระราชทาน เชียงราย ตอน "หนุมานชาญกำแหง" เชิญชวนชาวเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือ ร่วมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันหาชมยาก 14-15 ก.พ.นี้ 19.00 น. ฟรี ณ ศาลากลางจังหวัด | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
ปมท. แถลงข่าวการแสดงโขนพระราชทาน เชียงราย ตอน "หนุมานชาญกำแหง" เชิญชวนชาวเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือ ร่วมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันหาชมยาก 14-15 ก.พ.นี้ 19.00 น. ฟรี ณ ศาลากลางจังหวัด
ปลัด มท. แถลงข่าวการแสดงโขน พระราชทาน เชียงราย ตอน "หนุมานชาญกำแหง" เชิญชวนประชาชนชาวเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือ ร่วมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอันหาชมยาก 14-15 กุมภาพันธ์ 66 เวลา 1 ทุ่มตรง ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ไม่มีค่าใช้จ่าย
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 66 เวลา 17.00 น. ที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ตำบลเวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวการจัดการแสดงโขนพระราชทาน จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2566 ตอน "หนุมานชาญกำแหง" แสดงโดยคณะนักแสดงจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง โดยมี นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผศ.ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายวันชัย จงสุทธนามนี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนและสื่อมวลชน ร่วมในงาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีหลวง ที่จะช่วยทำให้ประเทศชาติของเรามีความมั่นคง ทำให้ประชาชนมีความสุข ดังปรากฏในพระบรมราชโองการในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
"ศิลปวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมการแสดงโขน ซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูงของไทยที่มีความโดดเด่นในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติ มีอัตลักษณ์ที่มีความเฉพาะตัว มีวัฒนธรรมทางภาษา มีเนื้อหาการขับร้องและเครื่องดนตรีชั้นสูง และที่งดงามยิ่ง คือ การแต่งกาย เครื่องพัสตราภรณ์ และการร่ายรำที่มีความอ่อนช้อยสวยงาม และการแสดงโขน จะนำเสนอวรรกรรม เรื่อง รามเกียรติ์ ที่มีคติสอนใจ เพราะ ผลลัพธ์ของรามเกียรติ์ทุกตอน จะสื่อให้เห็นว่า "ฝ่ายธรรมะย่อมชนะอธรรม" อยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะส่งผลไปถึงการทำให้ประเทศชาติมั่นคงประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืนได้" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า การจะทำให้โขนมีพื้นที่การแสดงก็จะส่งผลดีทั้งต่อครูนาฏศิลป์ ทั้งผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบทเขียนกลอน ตลอดจนถึงการสืบสานภูมิปัญญาผ้าไทย และช่างเครื่องประดับอัญมณีต่าง ๆ จะได้มีส่วนมีพื้นที่ที่จะช่วยรักษาสิ่งที่บรรพบุรุษของเราส่งผ่านมาถึงพวกเราซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์โดยตรงต่อครอบครัว ในการช่วยกันรักษาภูมิปัญญาผ้าไทย ตามที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงรื้อฟื้นชุบชีวิตผ้าไทยมาให้พวกเรา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงช่วยสนองงาน ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด ทำให้ชุมชนมีรายได้ มีความเข้มแข็ง ส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ การแสดงโขนพระราชทานฯ ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่มพูน ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีโอกาสดีเพิ่มขึ้น คือ นอกจากจะช่วยทำให้ลูกหลานคนจังหวัดเชียงรายได้มีโอกาสสัมผัสการแสดงที่มีความวิจิตรงดงามจนเกินคำบรรยายก่อนคนจังหวัดอื่น ๆ แล้ว ด้วยชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ จะทำให้จังหวัดเชียง มีบทบาทที่จะช่วยส่งเสริมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เปิดพื้นที่ในการจัดแสดงโขนพระราชทานฯ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อคนไทยตลอดมา
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ในการสืบสานไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศ โดยการพระราชทานพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการอนุรักษ์โขน ซึ่งพระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยได้เกิดการรวบรวมองค์ความรู้ และร่วมกันในการนำเสนอการแสดงโขนต่อองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO ให้ประกาศรับรองโขนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List Of The Intangible Heritage of Humanity) ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นมา
นายพุฒพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ในนามของชาวจังหวัดเชียงรายรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานโอกาสในการรับชมศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้กับประชาชนชาวเชียงราย และชาวจังหวัดภาคเหนือ โดยมีท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และท่านกรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ให้เกียรติเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 761 ปีของจังหวัดเชียงรายที่พญามังรายทรงสถาปนาเมืองเชียงราย และบูรณาการในวาระครบรอบ 50 ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของจังหวัดเชียงราย โดยได้เตรียมความพร้อมหอประชุมตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2566 พร้อมตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ครอบคลุมในทุกด้าน ซึ่งจะมีการซ้อมเสมือนจริงในวันที่ 10-13 กุมภาพันธ์ 2566 และมีการแสดงในวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 19.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
ผศ.ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดแสดงโขนพระราชทานในครั้งนี้ อันเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพราะโขนไม่มีโอกาสได้ออกมาแสดงในต่างจังหวัดเนื่องจากเป็นศิลปะชั้นสูง ซึ่งการครบรอบ 50 ปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นการบ่งบอกถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องดูแลประชาชนและพื้นที่โดยเฉพาะเรื่องศิลปวัฒนธรรมที่เราต้องผลักดันให้เกิดเพื่อให้เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ทราบ ได้เห็นถึงความงดงามและนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของชาติไทยและความเป็นไทยซึ่งไม่มีที่ใดในโลกเหมือนกับประเทศไทย
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะทำงานที่เกี่ยวข้องที่ให้โอกาสองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้มีส่วนร่วมในการผลักดันและทำให้เกิดการฟื้นฟู การอนุรักษ์ การจัดงานโขนพระราชทาน ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่แต่เดิมนั้นเราเรียนแต่ในหนังสือและดูผ่านจอทีวีและยังไม่เคยได้เห็นโขนพระราชทานที่สวยสดงดงาม ซึ่งการแต่งกาย ท่วงท่านาฏลีลา งดงาม จึงถือเป็นความโชคดี เป็นบุญ และเป็นโอกาสของคนเชียงรายที่จะได้มีโอกาสได้ชมโขนพระราชทานฯ โดย อบจ.เชียงราย ได้มีโอกาสสนับสนุนในด้านสถานที่การจัดการแถลงข่าว และในด้านการจัดทำเวทีและแสง เสียง ตลอดการจัดงานเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ในการสืบสานอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้ยาวนานต่อไป
นายวันชัย จงสุทธนามนี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พวกเราอาจจะเคยได้ยินคำว่า "โขน" มาตั้งแต่อดีต ซึ่งเป็นวัฒนธรรมประเพณีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมาทางเทศบาลนครเชียงรายได้มีการส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีด้านโขนมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้นำการแสดงโขนมาแสดงในโรงเรียนของเทศบาลนครเชียงราย ให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้รับชมกัน ซึ่งเรามุ่งมั่นจะทำให้เป็นแบบอย่าง เพื่อส่งเสริมในการท่องเที่ยว ส่งเสริมเรื่องการแต่งกาย เสื้อผ้าต่าง ๆ และยินดีที่ได้โอกาสและให้ความร่วมมืออย่างในการจัดการแสดงโขนครั้งนี้
นางนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง กล่าวว่า การแสดงโขนพระราชทาน จังหวัดเชียงราย เรื่องรามเกียรติ์ ชุดหนุมานชาญกำแหง แสดงโดยคณะนักแสดงจากโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง อำนวยการแสดงโดย นฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการโรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ควบคุมการแสดงโดย รศ.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) กำกับการแสดงอาจารย์เฉลิมศักด์ ปัญญวัตวงศ์ บรรเลงดนตรีไทยโดยวงโรหิตาจล จับตอนตั้งแต่กำเนิดหนุมาน จนได้เป็นข้าทหารของพระราม ช่วยพระรามรบกับทศกัณฐ์จนชนะ และได้รับประทานสมญาศักดิ์เป็นพระยาอนุชิตจักรกฤษณ์พิพรรธพงศาครองเมืองนพบุรี ซึ่งโขนศาลาเฉลิมกรุง เป็นคณะโขนที่ได้คัดเลือกนักแสดงกว่า 100 คน ที่ได้รับการฝึกฝนนาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย จากหลากหลายสถาบันเข้าร่วมแสดง โดยรักษาอัตลักษณ์แห่งโขนไว้อย่างครบถ้วน ทั้งด้านขนบจารีตในการแสดงและพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่อง (Authenticity) คุณค่าแห่งศิลปะชั้นสูงอันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกไทย (Thai Heritage) และความเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิง (Entertainment) ธำรงไว้ซึ่งความงดงามตามจารีตดั้งเดิม ทั้งลีลาและท่วงท่าการแสดงล้วนเน้นความประณีตอ่อนช้อย การแสดงมีกระบวนท่าที่สวยงาม รวดเร็ว กระชับ ดนตรีไทยบรรเลงสด ถ่ายทอดผ่านการแสดงอันวิจิตรงดงาม ดำเนินเรื่องด้วยการพากย์และเพลงหน้าพาทย์แบบโบราณ เรื่องราวสั้นกระชับด้วยการพากย์เจรจา ชมท่วงท่าความสง่างามของกระบวนทัพของพระรามและทศกัณฐ์ และสนุกสนานตื่นเต้นไปกับลีลากระบวนท่าของลิง ที่หาชมยากยิ่งในปัจจุบัน นอกจากผู้ชมจะได้รับชมวิจิตรงดงามของกระบวนทัพพระรามกับทศกัณธ์แล้ว ยังจะได้รับความสนุกสนานตื่นเต้นไปกับลีลากระบวนท่าของลิงที่หาชมยากยิ่ง นอกจากนี้ยังแฝงข้อคิดมากมายผ่านตัวละครหนุมาน ที่เปรียบเสมือนเป็นผู้แทนของข้าราชบริพารที่มีความจงรักภักดีต่อพระราชา มีความกตัญญู ซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่ต้องพึงปฏิบัติ โดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
"ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายและชาวจังหวัดภาคเหนือ ร่วมแต่งกายด้วยชุดย้อนยุค หรือผ้าไทย ชมการแสดงโขน พระราชทาน เชียงราย ตอน "หนุมานชาญกำแหง" 14-15 กุมภาพันธ์ 66 เวลา 19.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ไม่มีค่าใช้จ่าย" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64523 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตรเป็นสักขีพยานความร่วมมือการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน ระหว่างบริษัท ควีนโฟรเซ่นฟรุตจำ กัดกับ Tsinghua Uniresource Company เพื่อเพิ่มช่องทางการส่งออกผลไม้ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
รมช.ประภัตรเป็นสักขีพยานความร่วมมือการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน ระหว่างบริษัท ควีนโฟรเซ่นฟรุตจำ กัดกับ Tsinghua Uniresource Company เพื่อเพิ่มช่องทางการส่งออกผลไม้
รมช.ประภัตรเป็นสักขีพยานความร่วมมือการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน ระหว่างบริษัท ควีนโฟรเซ่นฟรุตจำ กัดกับ Tsinghua Uniresource Company เพื่อเพิ่มช่องทางการส่งออกผลไม้ให้แก่พี่น้องเกษตรกร
รมช.ประภัตรเป็นสักขีพยานความร่วมมือการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนระหว่างบริษัท ควีนโฟรเซ่นฟรุตจำ กัดกับ Tsinghua Uniresource Company เพื่อเพิ่มช่องทางการส่งออกผลไม้ให้แก่พี่น้องเกษตรกร
นายประภัตร โพธสุธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือในการส่งออกผลไม้ ระหว่าง บริษัท ควีนโฟรเซ่นฟรุต จำกัด กับ Tsinghua Uniresource Company ณ ห้องรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังประเทศจีนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
“ตลอดมาผลไม้ของประเทศไทยพอถึงฤดูกาลอาจจะทำให้ราคาตกต่ำลงและสร้างความเดือดร้อนกังวลใจให้แก่พี่น้องเกษตรกรวันนี้มีความยินดีและขอบคุณจากใจที่จะทำให้เกษตรกรได้เกิดความมั่นใจว่าจะมีตลาดในการส่งออกผลไม้เพราะจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัลโควิด 19 ทำให้เกิดวิกฤตและมีความยากลำบากในการส่งออกสินค้าทางการเกษตรซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ช่วยเหลือสร้างความมั่นใจให้ทั้งทางพี่น้องเกษตรกรและประเทศจีนอย่างเต็มที่ว่าสามารถส่งได้ในทันที และจะให้ราคาที่ดีเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้มากที่สุดอนาคตหวังว่าจะสามารถส่งผลไม้หรือสินค้าประเภทอื่นๆไม่ว่าจะเป็นหมากชมพู่มะพร้าวน้ำหอมและอาหารทะเลไปยังประเทศจีนอีกด้วยโดยในปี 2566 ทางประเทศจีนจะรับซื้อทุเรียนประมาณ 2,000 - 3,000 ตู้คอนเทนเนอร์ (1 ตู้คอนเทนเนอร์เฉลี่ยประมาณ 18 ตัน) และต้องขอบคุณ บริษัท ไทย อะกรีคัลเจอร์ จำกัด ที่ทำให้เกิดสัญญาซื้อขายนี้เกิดขึ้นด้วย ” รมช.ประภัตรกล่าว
นอกจากนี้อยากจะขอความร่วมมือเกษตรกรอย่าตัดทุเรียนอ่อนออกจำหน่ายทั้งที่ยังไม่ครบอายุการเก็บเกี่ยวเพราะจะผลต่อคุณภาพและความน่าเชื่อถือต่อทุเรียนไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ จับมือกระทรวงการต่างประเทศ-ไจก้า เดินหน้าพัฒนาหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนภูมิภาคอาเซียน-เอเชียใต้ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
บีโอไอ จับมือกระทรวงการต่างประเทศ-ไจก้า เดินหน้าพัฒนาหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนภูมิภาคอาเซียน-เอเชียใต้
บีโอไอร่วมกับ กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) กระทรวงการต่างประเทศ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) เดินหน้าพัฒนาศักยภาพหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้
บีโอไอ จับมือกระทรวงการต่างประเทศ-ไจก้า
เดินหน้าพัฒนาหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนภูมิภาคอาเซียน-เอเชียใต้
บีโอไอร่วมกับ กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) กระทรวงการต่างประเทศ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) เดินหน้าพัฒนาศักยภาพหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้ โดยเปิดอบรมหลักสูตร “Workshop on Investment Promotion and Enhancing Industrial Competitiveness for Mekong and South Asian Countries”ระหว่างวันที่ 6 – 17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (OSOS) อาคารจามจุรีสแควร์
นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่าปัจจุบันบริบทในด้านต่าง ๆ ของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สังคม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวให้ทันต่อแนวโน้มดังกล่าวสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในฐานะหนึ่งในหน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจจึงให้ความสำคัญ
อย่างมากกับการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐให้สามารถปรับตัวให้ทันกับกระแสโลก ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในกิจการเป้าหมายที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวหลังผลกระทบจากวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในการสนับสนุนนั้นคือการยกระดับความสามารถของหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียใต้
ทั้งนี้ กองพัฒนาผู้ประกอบการไทยจึงได้ร่วมกับกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) กระทรวงการต่างประเทศ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) จัดการอบรมหลักสูตร “Workshop on Investment Promotion and Enhancing Industrial Competitiveness for Mekong and South Asian Countries” ให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ของหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา บังคลาเทศ เนปาล และศรีลังกา ระหว่างวันที่ 6 – 17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (OSOS) ชั้น 18 อาคารจามจุรีสแควร์ ซึ่งการอบรมลักษณะนี้ บีโอไอให้การสนับสนุนต่อเนื่องมาหลายปี ยิ่งเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์กับหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของแต่ละประเทศในการทำงานร่วมกันด้วย
“ที่ผ่านมาบีโอไอให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน และมีการปรับตัวทางด้านนโยบายและการบริการอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ โดยล่าสุดได้ประกาศใช้ยุทธศาสตร์และมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 – 2570) ภายใต้แนวคิดส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ พร้อมทั้งพัฒนาและปรับประสิทธิภาพการให้บริการเพื่อยกระดับการให้บริการแก่นักลงทุนและลดภาระของผู้รับบริการ ครอบคลุมกระบวนงานหลักของสำนักงานตั้งแต่การให้บริการข้อมูล การให้คำปรึกษาด้านการลงทุนผ่านระบบนัดหมายและประชุมออนไลน์ การขอรับส่งเสริมการลงทุน ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ หรือแม้กระทั่งการเชื่อมโยงการซื้อขายชิ้นส่วน โดยการจับคู่ธุรกิจออนไลน์และในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและธนาคารแห่งประเทศไทย จัดตั้งบริการช่องทางอำนวยความสะดวกออนไลน์ สำหรับกิจการสำนักงานภูมิภาคครบวงจร หรือ HQ Biz Portal ซึ่งการเชื่อมโยงการทำงานนี้จะเป็นตัวอย่างการปรับปรุงการบริการ เพื่อตอบโจทย์การเคลื่อนย้ายการลงทุน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของโลกในปัจจุบัน” นางสาวซ่อนกลิ่นกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมคณะนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมคณะนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมคณะนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์) เข้าร่วมคณะนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี,พล.ต.อภิรักษ์ พรมมาฤทธิ์ ผู้บัญชาการทณฑลทหารบกที่16, นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง และคณะเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการฯ
การลงพื้นที่ตรวจราชการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย โครงการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อสมุทรสงคราม โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักและระบบป้องกันน้ำท่วม และการตรวจเยี่ยมวิถีเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ร่วมพบปะพี่น้องประชาชนเพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ของประชาชนชาวสมุทรสงครามให้มีความเป็
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64533 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บทวิเคราะห์เรื่อง “ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q4/2565 หดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี คาดส่งออกในปี 2566 ยังคงขยายตัวได้ แต่เผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว” | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
บทวิเคราะห์เรื่อง “ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q4/2565 หดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี คาดส่งออกในปี 2566 ยังคงขยายตัวได้ แต่เผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว”
Krungthai COMPASS นำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง “ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q4/2565 หดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี คาดส่งออกในปี 2566 ยังคงขยายตัวได้ แต่เผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว”
Key Highlights
มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 4 อยู่ที่ 10,934 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 402,788ล้านบาท) ซึ่งหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ 5.7%YoY โดยสินค้าส่งออกที่หดตัวแรง ได้แก่ ยางพารา ส่วนสินค้าที่ยังขยายตัวได้ ได้แก่ มันสำปะหลัง ไก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง
การส่งออกได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 4 หดตัว
Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยจะยังสามารถขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ต้นทุนดอกเบี้ยและต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีความท้าทายด้านมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้า ที่จะกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 4 ปี 2565 หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 4 ปี 2565 หดตัวที่ 5.7%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.1%YoY การส่งออกหดตัวในทุกตลาดสำคัญ โดยตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดคิดเป็น 29% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดหดตัว 5.7%YoY เนื่องจากมาตรการ Zero-COVID ของจีนที่เข้มงวด ส่งผลให้กำลังซื้อและการบริโภคในจีนชะลอตัวลง เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 11% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดหดตัวถึง 19.3%YoY เนื่องจากความกังวลในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะชะลอลง
โดยหมวดสินค้าเกษตรหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (ไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2565) โดยไตรมาสที่ 4 หดตัว 7.0%YoY ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัวแรง ได้แก่ ยางพารา หดตัวถึง 36.9%YoY ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวได้ ได้แก่ มันสำปะหลัง ไก่ และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง
ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรมีการหดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2564 อยู่ที่ 4.0%YoY ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย สิ่งปรุงรสอาหาร อาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวได้ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป แต่ก็เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ
การส่งออกข้าวไตรมาส 4 พลิกกลับมาหดตัวเล็กน้อย
มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 4 ปี 2565 หดตัวที่ 2.2%YoY โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่มีมูลค่าการส่งออกหดตัว 13.8%YoY จากปริมาณการส่งออกที่หดตัวถึง 24.5%YoY เนื่องจากคู่ค้ามีการเร่งนำเข้าไปตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565จากความกังวลในสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน แต่โดยรวมทั้งปีมูลค่าและปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิยังขยายตัว 7.8%YoY และ 8.7%YoY ตามลำดับ ส่วนมูลค่าการส่งออกข้าวขาวในไตรมาส 4 ยังคงขยายตัว 6.2%YoY จากปัจจัยด้านปริมาณที่ขยายตัว 6.3%YoY เนื่องจากราคาส่งออกข้าวขาวที่ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียได้มากขึ้น อีกทั้งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและจีน จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร หลังจากในช่วงที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นในหลายประเทศและส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ทำให้ไทยสามารถขยายตลาดสู่ตลาดตะวันออกกลางได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดอิรัก
มูลค่าส่งออกยางพาราไตรมาส 4 หดตัวแรง
มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 4 ปี 2565 หดตัว 35.2%YoY ซึ่งเป็นผลจากราคาส่งออกที่ลดลง 14.2%YoY ตามทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก จากความกังวลในเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว รวมทั้งปริมาณส่งออกที่ลดลง 24.4% เพราะปริมาณส่งออกไปตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักคิดเป็น 26.6% ของการส่งออกยางแผ่นยางแท่งทั้งหมดของไทย ลดลงถึง 44.6%YoY เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ในจีน ส่วนมูลค่าส่งออกน้ำยางข้นหดตัว 39.3%YoY จากราคาส่งออกที่ลดลง 16.1% ตามราคาน้ำมันตลาดโลก ส่วนปริมาณส่งออกหดตัว 27.6%YoY เนื่องจากตลาดมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 1 และเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางรายใหญ่ของโลกมีปริมาณส่งออกลดลง 40.9%YoY จากความต้องการใช้น้ำยางข้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออกที่ลดลง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศคลี่คลาย
มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 4 พลิกกลับมาขยายตัวได้
มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 อยู่ที่ 997 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 1.4%YoY จากที่หดตัว 4.7%YoY ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ด อยู่ที่ 294 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 10,691 ล้านบาท) หดตัว 2.2%YoY ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 678 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 25,019 ล้านบาท) ขยายตัว 1.5%YoY แต่เมื่อพิจารณาในแง่ปริมาณส่งออกทั้งมันเส้นและมันอัดเม็ด รวมทั้งแป้งมันสำปะหลังหดตัว 5.7%YoY และ 2.4%YoY ตามลำดับ เป็นผลจากฐานที่สูงในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน อีกทั้งจีนเร่งนำเข้าตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ภาพรวมมูลค่าส่งออกในปี 2565 ทั้งมันเส้นและมันอัดเม็ด รวมทั้งแป้งมันสำปะหลังยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2564 โดยมันเส้นและมันอัดเม็ดขยายตัว 14.7%YoY ส่วนแป้งมันสำปะหลังขยายตัว 9.4%
คาดว่าในปี 2566-2567 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดของไทยจะยังขยายตัวได้ เนื่องจากสต็อกข้าวโพดของจีน ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถใช้ทดแทนมันเส้นและมันอัดเม็ดในการผลิตอาหารสัตว์และแอลกอฮอล์ยังมีทิศทางลดลง โดยคาดว่าในปี 2566-2567 สต็อกข้าวโพดจีนจะอยู่ที่ 206 ล้านตัน และ 201 ล้านตัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงค่าเฉลี่ยสต็อกข้าวโพดจีน 7 ปีย้อนหลังซึ่งอยู่ที่ 207 ล้านตัน ทำให้ในปี 2566-2567 ค่าเฉลี่ยส่วนต่างราคาข้าวโพดในจีนเทียบกับราคาส่งออกมันเส้นจะยังอยู่ในระดับสูงที่ 140-200 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ปริมาณส่งออกอยู่ในระดับที่ดี
การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งในไตรมาส 4 พลิกกลับมาขยายตัว หลังการยกเลิกมาตรการ Zero-COVID
มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งในไตรมาส 4 ของปี 2565 พลิกกลับมาขยายตัวที่ 3.1%YoY จากที่หดตัวถึง 40.1%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า นำโดยการส่งออกไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลักที่ขยายตัว 10.2%YoY [1]จากความต้องการนำเข้าผลไม้ในจีนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ภายหลังทางการจีนยกเลิกมาตรการตรวจสอบสินค้าและป้องกันเชื้อ COVID-19 ตามด่านนำเข้าสินค้าต่างๆ ทำให้ระยะเวลาในการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งของไทยไปจีนยังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลังทางการจีนยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ซึ่งอาจส่งผลให้การระบาดของ COVID-19 ในจีนรุนแรงมากขึ้นจนนำไปสู่การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าและจำกัดจำนวนรถขนส่งนำเข้าอีกครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด
การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 4 ขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการในตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในไตรมาส 4 ของปี 2565 ขยายตัว 18.7%YoY โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 13.0%YoY[2] จากตลาดส่งออกหลักอย่างญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้น 2.0%YoY และ 38.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศ ประกอบกับได้อานิสงส์จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกไก่จากยูเครนเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่มีทิศทางฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัว 33.0%YoY จากตลาดส่งออกไปจีนที่โต 27.4%YoY โดยได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น ประกอบกับความต้องการนำเข้าไก่ของจีนจะค่อยๆ ฟื้นตัว จากการผ่อนคลายความเข้มงวดของมาตรการ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารกลับมาเปิดได้ตามปกติ
ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2566-2567
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2566-2567 ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรจะยังขยายตัวได้ในอัตราที่ชะลอลง โดยปัจจัยท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และต้นทุนดำเนินงานที่ยังอยู่ในระดับสูง
Implication:
Krungthai COMPASS มองว่า แม้ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2566 จะขยายตัวได้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปี 2565 อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการสินค้าเกษตรในการขยายตลาดรองที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ยังมีกำลังซื้อจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง อาทิ การส่งออกข้าวไปยังตลาดอิรัก การส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารสัตว์ไปยังตลาดซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวอย่างจำกัด อาจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่นัก กระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก เช่น มันสำปะหลัง และยางพารา นอกจากนี้ แม้ว่าล่าสุดจะมีการยกเลิกนโยบายมาตรการ Zero-COVID แต่ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยยังคงต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่คู่ค้ากำหนด ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนดอกเบี้ยและต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะรายกลางและรายย่อย ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนต่ำกว่ารายใหญ่ และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากอยู่แล้ว
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ที่มีการแข่งขันด้านราคารุนแรงอยู่แล้ว
มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้า เช่น มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่จะประกาศใช้ในเดือนตุลาคมปี 2566 ซึ่งแม้ในระยะแรกจะมีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม แต่ในอนาคตก็อาจขยายมาตรการให้ครอบคลุมสินค้าในกลุ่มเกษตรและอาหารได้ นอกจากนี้ สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งรวมถึงปาล์มน้ำมัน โคกระบือ ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ไม้ซุง และยางพารา และจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการประมาณเดือนมิถุนายน 2566 ทำให้ภาคเกษตรที่ถือเป็นภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงรองจากภาคพลังงานต้องเผชิญความท้าทายจากประเทศคู่ค้าอย่าง EU และสหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ด้าน Sustainability
[1] สัดส่วนมูลค่าส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งของไทยเฉลี่ย 3 ปี (2562-2564) : จีน 70.6% ของมูลค่าส่งออกรวมทั้งหมด
[2] สัดส่วนมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูป เฉลี่ย 3 ปี (2562-2564) มีสัดส่วน 26.3% และ 73.7% ของมูลค่าส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย ตามลำดับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64506 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ตอบกระทู้ถาม “การจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ย้ำ เจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมกับทุกคน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
มท.1 ตอบกระทู้ถาม “การจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ย้ำ เจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมกับทุกคน
มท.1 ตอบกระทู้ถาม “การจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ย้ำ เจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมกับทุกคน
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 66 เวลา 09.30 น. ที่อาคารรัฐสภา ถ.สามเสน กรุงเทพฯ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถามของ นางบุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์ สมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง การจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 โดยกล่าวว่า การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมกับทุกคน มิใช่จัดเก็บเฉพาะผู้มีรายได้น้อย กรณีประชาชนเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมจะได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับการจัดเก็บภาษีในปี 2566 จะใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์รอบบัญชี ปี 2566-2569 ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากผู้ถือครองที่ดินจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้สูงเพิ่มมากขึ้น และราคาประเมินใหม่นี้ก็เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนผู้ที่ถือครองที่ดินจำนวนน้อย เพราะเมื่อราคาประเมินสูงขึ้นก็สามารถใช้เป็นต้นทุนในการลงทุนพัฒนาทำธุรกิจได้ต่อไป
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการบังคับใช้กฎหมายที่ทำให้ประชาชนผู้ไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย ได้มีที่ดินทำกิน ได้ทำการเกษตร โดยมีการออกเอกสารพื้นที่ป่าซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อให้ราษฎรได้มีที่ทำมาหากิน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อยและไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองสามารถประกอบอาชีพและทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ดังนั้น เจตนารมณ์หลักของพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ฉบับนี้ คือ การให้ประชาชนผู้มีรายได้สูงเสียภาษีมากขึ้นและต้องทำประโยชน์ในพื้นที่โดยไม่ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า
“การลดภาระของประชาชนในภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจ คือการลดอัตราการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินรายได้จัดเก็บเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องใช้งบกลางเข้าไปชดเชย แต่เนื่องจากงบกลางก็ถูกใช้จ่ายไปถึง 6,200 กว่าล้านบาทในการบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดจากน้ำท่วมเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเกี่ยวกับการช่วยเหลือด้านงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ขาดรายได้ ซึ่งจะได้ติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64522 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “SAR Services and National SAR Plan รุ่นที่ 1” | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
สถาบันการบินพลเรือน จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “SAR Services and National SAR Plan รุ่นที่ 1”
...
สถาบันการบินพลเรือน จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “SAR Services and National SAR Plan รุ่นที่ 1”
นายพันศักดิ์ เนินทราย ผู้อำนวยการกองวิชาบริการการจราจรทางอากาศ รักษาการในตำแหน่งรองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ สถาบันการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้เข้าฝึกอบรม พร้อมด้วยผู้บริหารและคณาจารย์กองวิชาบริหารการบิน ร่วมเป็นเกียรติในพิธี เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ณ สบพ. กรุงเทพฯ
สำหรับหลักสูตรดังกล่าว ดำเนินการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 23 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้งหมด 15 คน ประกอบด้วย 1) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จำนวน 5 คน 2) กองทัพอากาศ จำนวน 3 คน 3) สถานีวิทยุชายฝั่งกรุงเทพ (Bangkok Rdio) จำนวน 1 คน 4) หน่วยงานทางด้านการแพทย์ จำนวน 5 คน และ 5) สถาบันการบินพลเรือน จำนวน 1 คน
โดยมีวัตถุประสงค์การฝึกอบรม คือ
1) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมหน่วยงานในระบบการค้นหาและช่วยเหลือากาศยานและเรือที่ประสบภัยมีความรู้เกี่ยวกับการบริการการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ตามมาตรฐานสากล
2) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถวิเคราะห์ช่องว่างมาตรฐานการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยระหว่างมาตรฐานตามที่สำนักงานการบินพลเรือนไทยกำหนดและแผนการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64518 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดำทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางบก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดำทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566
...
กรมการขนส่งทางบก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดำทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่และส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากควันดำของท่อไอเสียรถยนต์ การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ กรองอากาศอุดตัน ทำให้อากาศเข้าไม่เพียงพอ ปรับแต่งปั๊มหัวฉีด ไม่เหมาะสม หัวฉีดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นฝอยละเอียด การออกแบบห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้รถยนต์แต่ละคันอาจมีควันดำออกมามาก ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียของรถบรรทุกและรถโดยสาร ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงการตรวจวัดควันดำบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ
ขบ. ดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดำจากท่อไอเสียของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดำและวิธีการตรวจวัดที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด โดยการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดำมีสาระสำคัญดังนี้ กรณีการตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิมร้อยละ 45 และหากตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องวัดควันดำระบบกระดาษกรองขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิมร้อยละ 50 ซึ่งเกณฑ์การตรวจควันดำใหม่มีผลบังคับใช้กับการตรวจวัดควันดำรถที่มาดำเนินการตรวจสภาพรถก่อนจดทะเบียน หรือตรวจสภาพรถก่อนชำระภาษีประจำปีที่สำนักงานขนส่งและสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทุกแห่งแล้ว ขบ. ติดตามการปฏิบัติหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมายของผู้ตรวจการในการออกตรวจวัดควันดำอย่างต่อเนื่อง พร้อมเก็บผลการตรวจสอบวัดควันดำ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 กองตรวจการขนส่งทางบกได้ตรวจรถบรรทุกและรถโดยสารทั้งหมด จำนวน 40,861 คัน ทั้งนี้ มีรถบรรทุกและรถโดยสารที่มีค่าควันดำที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จำนวน 171 คัน โดยผลการตรวจสอบวัดควันดำทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 สำนักงานขนส่งแต่ละจังหวัดได้จัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสาร จำนวน 84,076 คัน ซึ่งมีรถบรรทุกและรถโดยสารที่มีค่าควันดำที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จำนวน 611 คัน
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบ. แนะให้เจ้าของรถตรวจเช็กและซ่อมเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ โดยวิธีแก้ไขรถที่ปล่อยควันดำเบื้องต้น ดังนี้ 1) ให้ทำความสะอาด หรือเปลี่ยนกรองอากาศใหม่ 2) เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามระยะเวลา 3) เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา 4) ปรับตั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงให้ถูกต้อง และ 5) ตรวจเช็กและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละออง และมีแรงดัน เป็นต้น จึงขอเตือนหากตรวจวัดควันดำด้วยระบบวัดความทึบแสงแล้วมีค่าควันดำเกินร้อยละ 30 หรือตรวจวัดควันดำด้วยระบบกระดาษกรองแล้วมีค่าควันดำเกินร้อยละ 40 จะถูกเปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จนกว่าเจ้าของรถจะนำรถไปแก้ไขสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดำเกินกำหนด และนำมาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนำไปใช้งานได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64517 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวนลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ 8 ปี หักค่าน้ำ/ไฟ 2 เท่า ปลอดภาษีนำเข้าเครื่องจักร/วัตถุดิบ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
รัฐบาลชวนลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ 8 ปี หักค่าน้ำ/ไฟ 2 เท่า ปลอดภาษีนำเข้าเครื่องจักร/วัตถุดิบ
รัฐบาลชวนลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ 8 ปี หักค่าน้ำ/ไฟ 2 เท่า ปลอดภาษีนำเข้าเครื่องจักร/วัตถุดิบ
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง คือ ตาก เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร สระแก้ว ตราด สงขลา นราธิวาส และกาญจนบุรี ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายละเอียดมาตรการ เงื่อนไข และประเภทกิจการเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน (2566-3570) โดยมีผลตั้งแต่ 3 ม.ค. 66 ครอบคลุม 13 กลุ่มกิจการ ดังนี้
1)อุตสาหกรรมการเกษตร ประมง และกิจการที่เกี่ยวข้อง
2)การผลิตผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์
3)การผลิตยานยนต์ เครื่องจักร และชิ้นส่วน
4)การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
5)การผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ โลหะ และวัสดุ
6)การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกและเยื่อกระดาษ
7)กิจการสาธารณูปโภค
8)นิคมหรือเขตอุตสาหกรรม
9)การผลิตสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องหนัง
10)การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ
11)การผลิตเครื่องเรือน
12)กิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
13)กิจการบริการ
ส่วนรายละเอียดสิทธิประโยชน์ กรณีเป็นประเภทกิจการเป้าหมาย (89 กิจการ) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ ดังนี้
1)ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร
2)ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน
3)ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
4)ได้รับอนุญาตหักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปา 2 เท่าของค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ
5)ได้รับอนุญาตให้หักเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกร้อยละ 25 ของเงินลงทุน นอกเหนือไปจากการหักค่าเสื่อมราคาตามปกติ
6)ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสาหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นสำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา 5 ปี
7)ได้รับสิทธิและประโยชน์ที่มิใช่ภาษีอากร
กรณีเป็นประเภทกิจการทั่วไป จะได้รับสิทธิและประโยชน์ อาทิ
1)ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสาหรับเครื่องจักร
2)ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 3 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 8 ปี
3)ได้รับอนุญาตหักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปา ๒ เท่าของค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็น ระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ
4)ได้รับอนุญาตให้หักเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ร้อยละ 25 ของเงินลงทุน นอกเหนือไปจากการหักค่าเสื่อมราคาตามปกติ
หากเป็นการลงทุนในจังหวัดนราธิวาส จะได้รับสิทธิและประโยชน์มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบจังหวัดชายแดนภาคใต้
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ในภาพรวมการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน นับตั้งแต่ปี 2558 อยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท และคู่ขนานการส่งเสริมการลงทุนผ่านมาตรการภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี รัฐบาลยังได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงกับจังหวัดต่างๆ รวมถึงจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงานในทุกจังหวัดชายแดน เพื่อสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ยินดีโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์ เปิดใช้งาน สนับสนุนโรงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ยินดีโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์ เปิดใช้งาน สนับสนุนโรงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ยินดีโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์ เปิดใช้งาน สนับสนุนโรงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ควบคู่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแนวทางในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญ ซึ่งการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนถือเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนพื้นฐานการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยล่าสุด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เปิดโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งนับเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนแห่งที่ 10 ของประเทศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อน เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ กฟผ. และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 3 ระยะ โดยเป็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ณ บริเวณท้ายเขื่อนของกรมชลประทานที่มีอยู่แล้ว และใช้การระบายน้ำเพื่อสร้างพลังน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้า ก่อนระบายลงสู่ท้ายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์หมุนเวียนต่อไป จึงไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก เป็นระยะที่ 3 ของโครงการฯ และถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนแห่งที่ 10 ของประเทศ มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 14 เมกะวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง (เครื่องละ 7 เมกะวัตต์) เดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 91.26 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 45,000 ตัน/ปี เป็นการสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าทั้งในเขตอำเภอและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยังคงได้รับน้ำเพื่อการชลประทานในปริมาณเท่าเดิมและยังสามารถหมุนเวียนใช้ในภาคการเกษตรได้อีกด้วย
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด เป็นแนวทางสำคัญตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนสะท้อนผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม และเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยจะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่พื้นที่ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยังสามารถเป็นต้นแบบโรงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำต่อยอดไปยังโครงการอื่น ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64499 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานการบินพลเรือน อนุญาตให้ใช้ผู้โดยสารเครื่องบินใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เเสดงตัวตน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศได้ โดยแสดงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกโดยหน่วยงานรัฐเท่านั้น | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
สำนักงานการบินพลเรือน อนุญาตให้ใช้ผู้โดยสารเครื่องบินใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เเสดงตัวตน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศได้ โดยแสดงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกโดยหน่วยงานรัฐเท่านั้น
สำนักงานการบินพลเรือน อนุญาตให้ใช้ผู้โดยสารเครื่องบินใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เเสดงตัวตน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศได้ โดยแสดงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกโดยหน่วยงานรัฐเท่านั้น ไม่สามารถใช้ภาพถ่าย หรือ การ Capture
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กรมการปกครองได้เปิดให้ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน D.DOPA อย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและเลือกลงทะเบียนได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ ณ ที่ว่าการอำเภอหรือเขตนั้น ขณะนี้หลายหน่วยงานได้อนุญาติให้สามารถใช้บัตรประชาชนดิจิทัลเพื่อติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ ได้ เช่นกรมสรรพกรที่ได้มีการเชื่อมโยงแอปพลิเคชัน D.DOPA กับเว็บไซต์กรมสรรพากร เพื่อเป็นช่องทางยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90/91/94 ได้
ทางด้านการคมนาคมขนส่งปัจจุบัน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้มีการอนุญาตให้ประชาชนที่โดยสารเครื่องบิน สามารถแสดงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงบัตรประชาชนดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน D.DOPA เพื่อยืนยันผ่านจุดตรวจค้น และเป็นเอกสารประกอบกับบัตรผ่านขึ้นเครื่อง(Boarding Pass) ก่อนขึ้นเครื่องได้ด้วย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เกณฑ์ของ กพท. ปัจจุบันกำหนดว่า ในการตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคลที่จะเข้าเขตหวงห้ามพื้นที่ควบคุม หรือ เขตการบินของสนามบิน ผู้โดยสารขาออกเที่ยวบินภายในประเทศสามารถแสดงเอกสารเพื่อแสดงตนก่อนผ่านจุดตรวจค้นได้ 2 รูปแบบ คือ 1. เอกสารระบุตัวตนฉบับจริงที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเเสดงรูปของผู้ถือบัตรเเละเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือ 2. เอกสารระบุตัวตนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเเสดงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ เช่น D.DOPA ซึ่งออกโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ DLT QR Licence ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันแสดงใบขับขี่ดิจิทัล ออกโดยกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม
ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถใช้เอกสารระบุตัวตนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเเสดงผ่านแอปพลิเคชันที่ออกโดย หน่วยงานของรัฐดังกล่าว เป็นเอกสารยืนยันตัวตนพร้อม Boarding pass เพื่อขึ้นอากาศยานได้
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าเขตหวงห้าม พื้นที่ควบคุม หรือเขตการบิน กพท. ไม่อนุญาตให้ใช้ภาพถ่าย หรือ การ Capture ภาพของเอกสารระบุตัวตนตัวจริงหรือภาพถ่ายไฟล์ PDF ในการเเสดงตนได้ เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลได้ ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ อีกทั้งยังง่ายต่อการปลอมแปลง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64500 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรยึดโคคาอีนซุกในกระเป๋าสัมภาระเข้าไทย น้ำหนัก 2,200 กรัม มูลค่า 6.6 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
กรมศุลกากรยึดโคคาอีนซุกในกระเป๋าสัมภาระเข้าไทย น้ำหนัก 2,200 กรัม มูลค่า 6.6 ล้านบาท
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566 ) กรมศุลกากรจับกุมชายชาวเอธิโอเปีย ซุกโคคาอีนในกระเป๋าสัมภาระ น้ำหนัก 2,200 กรัม มูลค่า 6.6 ล้านบาท ณ สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา และบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่านและการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาและออกนอกราชอาณาจักรทุกเส้นทาง ซึ่งกรมศุลกากรขานรับนโยบายดังกล่าว และเพิ่มความเข้มงวดในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ศุลกากร สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปรามได้วิเคราะห์ข้อมูลจากสถิติการจับกุมยาเสพติดทางอากาศยานในช่วงที่ผ่านมา ตามโครงการสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task Force : AITF) หรือ หน่วยสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยานนานาชาติ ที่เป็นการผนึกกำลังของ กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ส. กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย จึงได้เฝ้าระวังผู้โดยสารที่มีสัญชาติเสี่ยงในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรและตรวจพบบัญชีรายชื่อผู้โดยสารสัญชาติเอธิโอเปีย ด้วยสายการบิน ETHIOPIAN AIRLINES ซึ่งเดินทางมาจากกรุงแอดดิสอาบาบา สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เมื่อผู้โดยสารที่ต้องสงสัยเดินทางมาถึงประเทศไทย จึงทำการตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระด้วยเครื่องเอกซเรย์ พบว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ภายในกระเป๋าเดินทางทรงแข็ง มีล้อลาก สีดำ ขนาดประมาณ 36 x 52 เซนติเมตร จำนวน 1 ใบ ที่จัดทำช่องใส่ของบริเวณพื้นกระเป๋าขึ้นมาเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้นโดยละเอียด โดยใช้ไขควงเปิดช่องลับที่บริเวณพื้นกระเป๋าเดินทาง พบถุงพลาสติกใสพันทับด้วยกระดาษกาวสีดำ จำนวน 1 ห่อ เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้มีดคัตเตอร์กรีดถุงพลาสติกใสพันทับด้วยกระดาษกาวสีดำดังกล่าว พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะเป็นผงสีขาว จึงได้ทดสอบผงสีขาวดังกล่าวด้วยน้ำยาทดสอบเบื้องต้นของยาเสพติดชนิดโคคาอีน (น้ำยาทดสอบ 052 Cobalt Thiocyanate Reagent) ผลการทดสอบจากสารสีใสได้กลายเป็นสารสีฟ้า เชื่อได้ว่าวัตถุต้องสงสัยเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 2,200 กรัม มูลค่า 6.6 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงทำบันทึกจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินคดีต่อไป
ในกรณีนี้ เป็นความผิดในการนำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตและมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ และความผิดตามกฎหมายศุลกากร มาตรา 242 มาตรา 166 มาตรา 167 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64515 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล ลงพื้นที่ จ. นครสวรรค์ เร่งเดินหน้านโยบาย MIND เน้นย้ำ สอจ. ดูแลชุมชนรอบโรงงาน บูรณาการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ | วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
02/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล ลงพื้นที่ จ. นครสวรรค์ เร่งเดินหน้านโยบาย MIND เน้นย้ำ สอจ. ดูแลชุมชนรอบโรงงาน บูรณาการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์
ปลัดฯ ณัฐพล ลงพื้นที่ จ. นครสวรรค์ เร่งเดินหน้านโยบาย MIND เน้นย้ำ สอจ. ดูแลชุมชนรอบโรงงาน บูรณาการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ตอบรับแนวนโยบายของรัฐที่ส่งเสริม Bioeconomy
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ (สอจ.นครสวรรค์) โดยมีนายชัชพล อินทโฉม อุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ นายสิทธิรงณ์ เร่งเงียบ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ
อุตสาหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ได้รายงานผลการดำเนินงานของ สอจ.นครสวรรค์ ประกอบด้วย โครงสร้างบุคลากร การเบิกจ่ายงบประมาณ โครงการแผนปฏิบัติราชการประจำปี 2566 และคำของบประมาณ 2567 นอกจากนี้ทาง สอจ. ยังได้รายงานถึงการพัฒนาศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวภาพในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้แนวคิด BCG Model เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ มุ่งสู่การพัฒนาและปรับเปลี่ยนการประกอบการอุตสาหกรรมสู่วิถีใหม่ 4 มิติ ได้แก่ ความสำเร็จทางธุรกิจ ชุมชน/สังคม สิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้ อันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตรและชุมชน และเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ผ่านกิจกรรมการดำเนินงาน ดังนี้ 1) การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพจังหวัดนครสวรรค์ โดยพัฒนาระบบการผลิตทางการเกษตร เพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อย มุ่งสู่เป้าหมาย 10 ล้านตัน/ปี ภายในปี 2570 2) ส่งเสริมการนำเศษวัสดุหรือกากอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วมาเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและหัตถกรรมสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น 3) พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ตามเกณฑ์และตัวชี้วัดการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ผ่านเกณฑ์การประเมินฯ ระดับที่ 4 ภายในปี 2570 และ 4) การสร้างและพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม รณรงค์และส่งเสริมการใช้ระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ ตามหลักธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายให้ สอจ.นครสวรรค์ เน้นการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “MIND ปรับอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่” โดยให้ความสำคัญในการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วย “หัว” และ “ใจ” ของคนกระทรวงอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และคุณค่าใหม่ของอุตสาหกรรม ด้วยหลักการ “อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี” ตามแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ พร้อมทั้งการให้รางวัลกับคนทำดี ได้แก่ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก มิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมเน้นย้ำให้ สอจ.นครสวรรค์ ช่วยเหลือประชาชนที่อยู่โดยรอบโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการเหมืองแร่ และผู้ที่เข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพดีพร้อมในจังหวัดนครสวรรค์ที่ผ่านมา กว่า 40,000 คน โดยต่อยอดและผลักดันให้สามารถเป็นผู้ประกอบการ มีอาชีพ และสร้างรายได้ที่ยั่งยืน รวมทั้งให้เชื่อมโยงการทำงานกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เพื่อให้บริการด้านการเงินสำหรับนำไปพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป
หลังจากนั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อรับฟังการดำเนินงานและให้กำลังใจบุคลากรทุกระดับ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. สั่งการให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนจากผลกระทบฝุ่น PM 2.5 หลังสถานการณ์ค่าฝุ่นแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งสื่อสารประชาชนดูแลและป้องกันสุขภาพตนเอง | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
สธ. สั่งการให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนจากผลกระทบฝุ่น PM 2.5 หลังสถานการณ์ค่าฝุ่นแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งสื่อสารประชาชนดูแลและป้องกันสุขภาพตนเอง
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมเฝ้าระวังดูแลสุขภาพผลกระทบปริมาณค่าฝุ่นละออง PM 2.5 หลังสถานการณ์ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมเฝ้าระวังดูแลสุขภาพผลกระทบปริมาณค่าฝุ่นละออง PM 2.5 หลังสถานการณ์ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งสื่อสารประชาชนปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เจ็บป่วย
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก และให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุม เพื่อชี้แจงสถานการณ์และแนวโน้มค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในปี 2566 ซึ่งสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ขณะนี้ของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยตั้งแต่ 1 พ.ย. 2565 – 3 ก.พ. 2566 พบว่ามีหลายจังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานหลายวัน เช่น กทม. พบถึง 35 วัน เชียงใหม่ 20 วัน สมุทรสงคราม 17 วัน นครพนม 16 วัน และราชบุรี 14 วัน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มอบข้อสั่งการ 7 ข้อ ให้กับพื้นที่ได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ดังนี้ 1. เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ รวมถึงสื่อสารข้อมูลผลกระทบ การปฏิบัติตนการดูแลสุขภาพในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ เพื่อยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ พร้อมทั้งเร่งสื่อสารเชิงรุก สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ทั้งการดูแลและป้องกันสุขภาพ ผ่านทุกช่องทาง ทั้งสื่อบุคคลเสียงตามสาย ช่องทางออนไลน์โซเชียลมีเดีย และช่องทางต่าง ๆ โดยให้ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกองสาธารณสุขฉุกเฉิน เป็นหน่วยงานหลักร่วมบูรณาการจัดทำชุดข้อมูลความรู้สำหรับประชาชน
2. เตรียมความพร้อมในการดูแลและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ สำรวจและจัดทำทะเบียนกลุ่มเสี่ยง ติดตาม ดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยทีมหมอ 3 หมอ และลงพื้นที่ให้ความรู้คำแนะนำในการป้องกันตัว และดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะ 4 กลุ่มเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยติดเตียง พร้อมเปิดคลินิกมลพิษที่สถานพยาบาล คลินิกมลพิษออนไลน์และคลินิกมลพิษเคลื่อนที่ สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่นในสถานบริการสาธารณสุข โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ สำรวจกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหืดและโรคหัวใจขาดเลือด และให้การดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ
3. เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง และระบบตา และรายงานผู้ป่วยที่มารับการรักษาในสถานพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกำหนด 4. เตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในทุกระดับ ทั้งจังหวัด เขตสุขภาพ กรม และกระทรวง เพื่อติดตามสถานการณ์และยกระดับการปฏิบัติการ หากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น 5.กรณีสถานการณ์วิกฤต (สีแดง) ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 51ขึ้นไป มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน ให้รายงานสถานการณ์ทุกสัปดาห์ ตลอดช่วงเวลาเฝ้าระวัง 6. จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นในสำนักงานและสถานบริการในสังกัด เพื่อเป็นต้นแบบองค์กรลดฝุ่นละออง และ7. สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการใช้ พรบ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเครื่องมือสนับสนุนการลดฝุ่นละอองขนาดเล็กจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ และการจัดการเหตุรำคาญจากฝุ่นละออง
“ขอให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ และเร่งสื่อสารประชาชนในพื้นที่ในการปฏิบัติตน มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน อาทิ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน เลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อลดปัจจัยเลี่ยงที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ได้ พร้อมให้คำแนะนำการลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ เช่น การจุดธูป การเผาขยะ รวมถึงหมั่นดูแลทำความสะอาดบ้านให้ปลอดฝุ่นอยู่เสมอ โดยประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 แนวทางปฏิบัติตน ค้นหาห้องปลอดฝุ่นและคลินิกมลพิษ รวมทั้งปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ได้ผ่านทาง Line Official 4Health หรือเว็ปไซต์ กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ กรมอนามัย https://4health.anamai.moph.go.th/ หรือ เว็บไซต์คลินิกมลพิษออนไลน์ https://www.pollutionclinic.com/home/front/” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
*********************************** 3 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64534 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการประเมินสถานการณ์รับมือฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) วางแผน แก้ไขปัญหาในทุกมิติ ทั้งระยะสั้นระยะยาว | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการประเมินสถานการณ์รับมือฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) วางแผน แก้ไขปัญหาในทุกมิติ ทั้งระยะสั้นระยะยาว
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการประเมินสถานการณ์รับมือฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) วางแผน แก้ไขปัญหาในทุกมิติ ทั้งระยะสั้นระยะยาว
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับ และสั่งการให้เดินหน้าแผน “3 พื้นที่ 7 มาตรการ” รับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ทั้งในระยะยาวสั้น และระยะยาว รวมทั้ง สั่งการให้ประชาสัมพันธ์สื่อสารให้ความรู้ ความเข้าใจ แก่ประชาชนในการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 พร้อมแจ้งเตือนถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางสุขภาพ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ที่มีความรุนแรงเกิดจาก ภาพรวมของพื้นที่ ทั้งพื้นที่เมือง พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของฝุ่นละออง และเป็นช่วงรอยต่อฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน สภาวะอากาศนิ่ง ลมสงบ ส่งผลต่อการสะสมของฝุ่นละอองในบรรยากาศ ทำให้ระดับฝุ่นละอองมีค่าสูงขึ้น อีกทั้งอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ปีนี้มีความแห้งแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงเป็นปัจจัยเสริมทำให้ PM2.5 อาจมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้ง ติดตามสอบถามการแก้ไขปัญหา การทำงานของทุกหน่วยเป็นระยะ เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด
กระทรวงสาธารณสุข กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากจังหวัดใดที่มีค่าฝุ่นเกิน 51 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกันเกิน 3 วัน ให้พิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center : PHEOC) เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์อย่างเป็นระบบ ส่วนจังหวัดที่มีค่า PM 2.5 ระหว่าง 37.6-50 มคก./ลบ.ม. ให้เปิดศูนย์บัญชาการสถานการณ์ (OC) ระดับจังหวัดรองรับ รวมถึงให้เร่งรัดสื่อสารความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM2.5 แจ้งเตือนถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางสุขภาพ
กระทรวงคมนาคม ยกระดับการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การออกตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียของรถบรรทุกและรถโดยสารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การตรวจสภาพรถบรรทุกและรถโดยสาร การตรวจสอบการดำเนินการของสถานตรวจสภาพรถ การตรวจสอบยานพาหนะของหน่วยงานราชการ และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งรัดการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วันทุกพื้นที่ ยกระดับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร (ชิงเก็บ ลดเผา และ Burn Check) ลดจุดความร้อน ป้องกันและควบคุมการเกิดไฟในทุกพื้นที่ และพัฒนาระบบพยากรณ์ ความรุนแรงและอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System : FDRS) เป็นต้น รวมทั้งขอความร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรเพื่อลดปริมาณการเผาในพื้นที่ ทั้งการเคาะประตูบ้านแจ้งข่าวทำ ความเข้าใจ ตลอดจนกำชับให้มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่แบบครบวงจร ทั้งการชิงเก็บ ลดเผา และการใช้แอปพลิเคชัน Burn Check เพื่อลงทะเบียนและจองเวลา ในการเผาล่วงหน้า เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองในแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ ในส่วนของการแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่านการประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และได้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ให้ความเห็นชอบและออกเป็นประกาศ ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศให้เข้มงวดขึ้น โดยกรมควบคุมมลพิษจะมีการประกาศใช้ กำหนดมาตรฐานฝุ่นละออง PM 2.5 ใหม่ จากเดิมประเทศไทยจะใช้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง กำหนดค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นการดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เป็น ให้ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. และกำหนดมาตรฐานค่าเฉลี่ยในเวลา 1 ปี จะต้องไม่เกิน 15 มคก./ลบ.ม. โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2566 โดยจะส่งผลให้มาตรการการควบคุมการปล่อยมลพิษโรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่งรถยนต์ จะมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการปล่อยมลภาวะออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการการควบคุมและลดปริมาณการเผาอ้อยหรือการเผาป่า
“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ กำหนดแนวทาง และมาตรการรับมือสถานการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในทุกมิติ พร้อมกับได้เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก แจ้งเตือน รวมทั้งยกระดับมาตรการการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี ขอความร่วมมือประชาชนให้หันมาใช้รถสาธารณะให้มากขึ้น หมั่นตรวจบำรุงรักษารถ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้สวมใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อป้องกันตนเองจากฝุ่น” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64498 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า รับฟังความคิดเห็นร่างระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมง นอกน่านน้ำไทย | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า รับฟังความคิดเห็นร่างระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมง นอกน่านน้ำไทย
...
กรมเจ้าท่า รับฟังความคิดเห็นร่างระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมง นอกน่านน้ำไทย
จากนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ได้ออกประกาศกระทรวง เรื่องการงดจดทะเบียนเรือประมงเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 5) ให้นายทะเบียนเรืองดจดทะเบียนเรือประมงเป็นระยะเวลาหนึ่งปี เว้นแต่เป็นการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมงนอกน่านน้ำไทย นั้น
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย เป็นประธานฯในการประชุมรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อพิจารณาร่างระเบียบกรมเจ้าท่า ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมงนอกน่านน้ำ พ.ศ. ... อันจะส่งเสริมการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ โดยมี นายนรินทร์ศักย์ สัทธาประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสาครวิสัย ชั้น 4 อาคาร 162 ปี กรมเจ้าท่า และผ่านระบบ Video Conference (Zoom) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
การรับฟังความคิดเห็นฯ ดังกล่าวจัดขึ้น โดยกลุ่มทะเบียนเรือและนิติกรรม สำนักมาตรฐานทะเบียนเรือ เพื่อให้ระเบียบกรมเจ้าท่า ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์ เพื่อทำการประมง นอกน่านน้ำ พ.ศ. ... เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่ง "เรือประมงพาณิชย์ เพื่อทำการประมงนอกน่านน้ำไทย" หมายถึง เรือกลประมงทะเลลึก ที่มีขนาดตั้งแต่หกสิบตันกรอสขึ้นไป ที่ใช้หรือเจตนาจะใช้หรือมีหรือติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ทำการประมง เพื่อแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำในทางการค้าในพื้นที่ทะเลหลวงที่อยู่พ้นจากทะเลนอกชายฝั่ง และหมายความรวมถึงทะเลที่อยู่ในเขตของรัฐชายฝั่งอื่นอีกด้วย และการจดทะเบียนเรือประมงพาณิชย์เพื่อทำการประมงนอกน่านน้ำไทยจะต้องได้รับหนังสือรับรองจากกรมประมงด้วย ทั้งนี้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันพิจารณาผลดี ผลเสีย รวมไปถึงให้ข้อคิดเห็นต่างๆ ก่อนกรมเจ้าท่าดำเนินการให้ระเบียบฯ ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64508 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระธีรญาณมุนี และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประธานฝ่ายสงฆ์ ปลัด มท. และนายกสมาคม มมท. เป็นประธานฝ่ายฆารวาส ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
สมเด็จพระธีรญาณมุนี และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประธานฝ่ายสงฆ์ ปลัด มท. และนายกสมาคม มมท. เป็นประธานฝ่ายฆารวาส ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง)
สมเด็จพระธีรญาณมุนี และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆารวาส ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. ที่วัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม หมู่ 4 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระธีรญาณมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม โดยมี พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง พระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า พร้อมพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ร่วมประกอบพิธี และมีนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายอำเภอเมืองปทุมธานี นายอำเภอลำลูกกา นายอำเภอคลองหลวง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ร่วมพิธี
โอกาสนี้ พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า ได้จุดธูปเทียนบูชาฤกษ์ที่โต๊ะเครื่องบรวงสรวง โดยมีพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์ จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ประธานฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และถวายสักการะสมเด็จพระธีรญาณมุนี และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประธานฝ่ายสงฆ์ เสร็จแล้วสมเด็จพระธีรญาณมุนี พร้อมด้วยสมเด็จพระมหวีรวงศ์ นำนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และคณะร่วมโปรยทรายเสก ใบเงิน ใบทอง ใบนาก เหรียญเงิน ทอง ลงก้นหลุมของแท่นวางแผ่นศิลาฤกษ์ พร้อมปิดทองและเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ ไม้เข็มมงคล แผ่นอิฐทอง-นาก-เงิน และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ลั่นฆ้องชัย ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ผู้ร่วมพิธีถวายสังฆทาน กรวดน้ำรับพร และกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ในวันนี้ถือเป็นมงคลฤกษ์ที่งดงามที่ได้มาร่วมประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) สาขาวัดระฆังโฆสิตาราม พร้อมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน โดยพิธีในวันนี้ถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญ เป็นการต่อยอด ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงาม มั่นคง และยั่งยืนสืบไป ซึ่งการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันนี้ ผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่านที่ได้มารวมตัวกันในวันนี้ ก็ด้วยเห็นถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนา หลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีนัยสำคัญและมีความหมายอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของพวกเราทุกคนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดี ด้วยการพร้อมใจที่จะทำนุบำรุง รักษา และสืบสานความงดงามของพระพุทธศาสนาให้คงไว้แก่ลูกหลานของเราต่อไป
พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหลวงหัวป่า กล่าวว่า วัดบางหลวงหัวป่า (ร้าง) แห่งนี้เป็นวัดร้างตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ปัจจุบันไม่มีเสนาสนะอะไร อาตมภาพจึงได้ร่วมกับ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นผู้ขอบูรณปฏิสังขรณ์และขอยกวัดร้างแห่งนี้ให้เป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษาต่อไป เป็นวัดสาขาของวัดระฆังโฆสิตาราม โดยในช่วงที่ผ่านมา วัดได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ ประกอบด้วย ต้นไม้ประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ตามความตั้งใจของท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย และท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ที่ประสงค์จะให้สถานที่แห่งนี้ เป็นรมณียสถาน สถานที่แห่งความร่มเย็น และเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเป็นสถานที่แห่งการร่วมทำในสิ่งที่คนในโลกใบนี้ต้องช่วยกัน นั่นคือ การลดภาวะโลกร้อนตามแนวทางความยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเมื่อวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จนเสร็จสมบูรณ์ ยังเป็นพุทธสถานสาธารณสงเคราะห์นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ป่วยยากไร้ และชาวบ้านในพื้นที่ ให้ได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายด้านการสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมอีกด้วย
พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต กล่าวต่ออีกว่า ภายหลังจากพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถในวันนี้ ได้มีพุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลายท่าน ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ หลายรายการ ทั้งงานอาคารและงานภูมิทัศน์ ที่อยู่ภายใต้ โครงการกอ่สร้างอนุสรณ์สถาน 150 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในพื้นที่ทั้งหมด 23 ไร่ 64 วา นี้ เช่น อนุสรณ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) องค์ใหญ่ ขนาดหน้าตัก 17 เมตร และสูง 22 เมตร อุโบสถ อาคารกุฏิเจ้าอาวาส อาคาร 72 ปี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อาคารที่พักสงฆ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี หากพุทธศาสนิกชนท่านใดประสงค์จะร่วมบริจาคเพื่อการสร้างวัด ก็ยังสามารถร่วมถวายปัจจัยบริจาคในรายการก่อสร้างกำแพงแก้วรอบวัด จำนวน 258 ช่องได้เช่นกัน ทั้งนี้ สามารถติดต่อเป็นเจ้าภาพได้ที่ พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต หมายเลขโทรศัพท์ 095-990-9910
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล วางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ รองรับวัตถุดิบการเกษตร สร้างเม็ดเงินกระจายสู่ภาคกลางตอนบน | วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
02/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล วางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ รองรับวัตถุดิบการเกษตร สร้างเม็ดเงินกระจายสู่ภาคกลางตอนบน
ปลัดฯ ณัฐพล วางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ รองรับวัตถุดิบการเกษตร สร้างเม็ดเงินกระจายสู่ภาคกลางตอนบน
จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ บริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ณ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีนายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GC Ms.Colleen May, President Cargill Bioindustry Mr. Richard Altice President and CEO Nartureworks และนายปรีชา อรรถวิภัชน์ ประธานกรรมการ KTIS ร่วมเปิดงาน
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวแสดงความยินดีกับทางบริษัท Natureworks สำหรับการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพโพลิแลกติกแอซิด (Polylactic Acid หรือ PLA) แห่งที่ 2 ในพื้นที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ซึ่งก่อให้เกิดการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล นับว่าเป็นการจ้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค สอดรับกับการขยายตัวของตลาดพลาสติกชีวภาพที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ที่หันมาใช้พลาสติกย่อยสลายได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ Bioeconomy และ BCG model ของประเทศ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จได้ตามแผนที่ได้วางไว้ ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตพลาสติกชีวภาพสามารถส่งออกไปต่างประเทศ สร้างเม็ดเงินกลับมายังประเทศได้ในอนาคต”
โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ คือ โครงการระยะที่ 1 มูลค่าการลงทุน 7,500 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงหีบอ้อย กำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน โรงงานเอทานอล กำลังการผลิต 600,000 ลิตรต่อวัน (หรือประมาณ 186 ล้านลิตรต่อปี) และโรงงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลและไอน้ำความดันสูง กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองการเดินเครื่องจักร และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2566
สำหรับโครงการระยะที่ 2 มูลค่าการลงทุน 21,430 ล้านบาท โดยร่วมทุนกับบริษัท Natureworks LLC เพื่อผลิต Lactic Acid ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA ที่กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี และเพื่อพัฒนาระบบผลิตไอน้ำ ผลิตน้ำอุตสาหกรรม และระบบบำบัดน้ำเสียให้กับโครงการของบริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2567
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64493 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - ญี่ปุ่น เฮ! ครบรอบ 40 ปี “โครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทย” พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือภาคการเกษตร | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
ไทย - ญี่ปุ่น เฮ! ครบรอบ 40 ปี “โครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทย” พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือภาคการเกษตร
ไทย - ญี่ปุ่น เฮ! ครบรอบ 40 ปี “โครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทย” พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือภาคการเกษตร
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสภาแลกเปลี่ยนการเกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยโครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทยในญี่ปุ่น โดยมีนายเรียวจิ ซากาโมโตะ (Mr. RYOJI SAKAMOTO, Executive Director of JAEC) ผู้แทนสภาแลกเปลี่ยนการเกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น ร่วมลงนาม พร้อมด้วยนายเรียวซุเกะ โอกาวะ (Mr. RYOSUKE OGAWA, Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries หรือ MAFF) ปลัดกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาววนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพฯ ว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน โดยในปีนี้ครบรอบ 136 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูต รวมถึงความร่วมมือด้านการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2526 จึงถือว่าเป็นความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น อย่างยาวนานกว่า 40 ปี และมีผู้ผ่านการฝึกงานมาแล้วกว่า 662 คน
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินโครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทยในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนเกษตรของไทยได้ไปเรียนรู้ในลักษณะการฝึกงานในฟาร์ม (On the Job Training) กับครอบครัวเกษตรกรญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 11 เดือน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ด้านการทำการเกษตรในมิติต่าง ๆ อาทิ การจัดการฟาร์ม การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี การทำการตลาด และการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรอย่างเหมาะสม ตลอดจนการส่งเสริมความเข้าใจอันดี และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเกษตรกรญี่ปุ่นกับเยาวชนเกษตรไทย เพื่อนำมาประยุกต์และพัฒนาการดำเนินอาชีพเกษตรกรของตนในอนาคต รวมทั้งการเป็น Young Smart Farmer ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และแนวทางการปฏิบัติใหม่ ๆ ที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรรายอื่น ๆ อย่างกว้างขวางในลักษณะภาคีเครือข่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทยโดยรวม
“ขอขอบคุณ ทาง JAEC ครอบครัวเกษตรกรชาวญี่ปุ่น และ MAFF เป็นอย่างสูงที่มอบโอกาสและสนับสนุนผู้นำเยาวชนเกษตรไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย สำหรับการหารือในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างทั้งสองฝ่าย ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป” ปลัดเกษตรฯ กล่าว
ในโอกาสนี้ ปลัดเกษตรฯ ได้เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การติดตามและประเมินผลความสำเร็จของโครงการฝึกงานผู้นำเยาวชนเกษตรไทยในประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2566 และการกระจายสินค้าและโลจิสติกส์สินค้าผัก” โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่น รวมกว่า 50 คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64509 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ห่วงใยประชาชน กำชับ ขสมก. คุมเข้มตรวจวัดควันดำก่อนให้บริการ | วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ห่วงใยประชาชน กำชับ ขสมก. คุมเข้มตรวจวัดควันดำก่อนให้บริการ
ลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากเพดานอากาศต่ำ ทำให้เกิดสภาวะอากาศปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ปฏิบัติตามมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างเคร่งครัด
นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขสมก. ได้ปฏิบัติตามมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เพื่อลดปริมาณการปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กสู่ชั้นบรรยากาศ ช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน ดังนี้
1. กำชับเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตรวจวัดค่าไอเสียรถโดยสารเครื่องยนต์ดีเซลทุกคัน ให้มีค่าไอเสีย อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน กรณีตรวจพบรถโดยสารมีค่าไอเสียเกินเกณฑ์มาตรฐาน จะงดให้บริการรถโดยสารคันดังกล่าว โดยนำส่งบริษัทเหมาซ่อมดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทันที และดำเนินการตรวจสอบ ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน
2. จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ (สตพ.) กำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารในเส้นทาง และสังเกตรถโดยสารที่มีปัญหาควันดำ กรณีตรวจพบรถที่มีปัญหาควันดำในเส้นทาง เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามขั้นตอน การนำรถเข้าซ่อมบำรุงทันที
3. ขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นรถโดยสารของ ขสมก. มีควันดำผิดปกติ สามารถถ่ายภาพรถที่มีปัญหา ส่งมาได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก ขสมก. พร้อมบวก เพื่อร่วมแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ไปด้วยกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64491 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบกิจกรรมทางศาสนาและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบกิจกรรมทางศาสนาและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
พสกนิกรทั่วไทย ร่วมประกอบกิจกรรมทางศาสนาและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ หลายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ชลบุรี ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ สมุทรสาคร และจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดพิธีรับมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่จังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงวันที่ 1 - 2 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. กรุงเทพมหานคร ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร พระมหาคณิศร (อภิญญา อภิญฺโญ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประธานฝ่ายสงฆ์ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากอาการประชวรและทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียง
2. จังหวัดตราด ที่วัดโยธานิมิต พระอารามหลวง ต.วังกระแจะ อ.เมืองตราด พระมหามงคล ยติโก รองเจ้าคณะจังหวัดตราด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจังหวดตราด ร่วมพิธี
3. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ศาลาการเปรียญ วัดคลองโพธิ์ พระอารามหลวง อ.เมืองอุตรดิตถ์ พระศรีปริยัติวิมล รองเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดคลองโพธิ์ พระอารามหลวง เป็นประธานสงฆ์ นายสมหวัง พ่วงบางโพ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางวันทนา พ่วงบางโพ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
4. จังหวัดสกลนคร ที่วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร นายชยุต วงศ์วณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาและทำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ให้กลับมามีสุขภาพพลานามัย แข็งแรงสมบูรณ์ โดยได้รับเมตตาจาก พระครูกิตติธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอโพนนาแก้ว ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร เป็นประธานสงฆ์ พร้อมนำพระสงฆ์ ออกรับบิณฑบาตจากประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดสกลนคร ร่วมพิธี
5. จังหวัดศรีสะเกษ ที่ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และนางมัลลิกา เกษกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานมอบผ้าห่มกันหนาวให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 400 ผืน หมวกไหมพรม จำนวน 400 ใบ ให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เพื่อให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรและทรงมีพลามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
6. จังหวัดยโสธร ที่ถนนคนเดินยโสธร เมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า อ.เมืองยโสธร นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัดยโสธร หัวหน้าส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชน ร่วมทำบุญตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย ถนนคนเดินยโสธร และร่วมบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
7. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่วัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด พระพรหมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๐ (ธ) เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง ประธานฝ่ายสงฆ์ นายชูศักดิ์ ราชบุรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมพิธี
8. จังหวัดนครนายก ที่วัดฝั่งคลอง ต.เกาะหวาย อ.ปากพลี พระราชพรหมคุณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก ประธานฝ่ายสงฆ์ นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจังหวัดนครนายก เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียง
9. จังหวัดปราจีนบุรี ที่อำเภอศรีมหาโพธิ นายรณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดปราจีนบุรี ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดปราจีนบุรี ให้กำลังใจผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา จำนวน 5 ราย โดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เหล่ากาชาดจังหวัดปราจีนบุรี ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจทั้งผู้ที่ดูแลและผู้ป่วย พร้อมให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น โดยได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภค ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น และสาธารณสุขอำเภอศรีมหาโพธิ นำ อสม.ในพื้นที่ ดูแล ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมทั้งการเดินทางของผู้ป่วยเพื่อไปพบแพทย์ตามที่นัดหมายอีกด้วย
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน!! กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนไทย(เพศชาย) ไปทำงานเกาหลี โครงการ EPS ผ่านระบบออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
ด่วน!! กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนไทย(เพศชาย) ไปทำงานเกาหลี โครงการ EPS ผ่านระบบออนไลน์
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 12 เพื่อไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ประเภทกิจการอุตสาหกรรมการผลิต โควตา 2,285 คน รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2566
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงแรงงาน และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงานและการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment
Permit System for Foreign Workers: EPS) ซึ่งกำหนดให้กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานผู้ทำหน้าที่รับสมัคร และทักษะการทำงาน ตามที่สำนักบริการพัฒนาบุคลากรแห่งเกาหลี (Human Resources Development Service of Korea: HRD Korea) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจัดสอบกำหนด โดยครั้งนี้ได้ประกาศรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 12 ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทย ไปต่างประเทศ (e-Service) และชำระเงินค่าสมัครสอบแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เพื่อสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ประเภทกิจการอุตสาหกรรมการผลิต (เพศชาย) โดยให้โควตาผู้สอบผ่าน 2,285 คน กำหนดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2566
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด เพราะนอกจากแรงงานไทยสามารถมีรายได้ดูแลครอบครัว ยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองได้แล้ว รายได้และประสบการณ์ที่นำกลับมายังมีส่วนในการพัฒนาประเทศด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ผู้ที่ประสงค์จะสมัครไปทำงานสาธารณ รัฐเกาหลี สามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน โดยสามารถศึกษาวิธีการลงทะเบียน คุณสมบัติผู้สมัครและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ที่เมนูข่าวประกาศรับสมัคร หัวข้อ ประกาศรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 12 ประเภทกิจการอุตสาหกรรมการผลิต โดยสมัครสอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งผู้ที่สนใจสมัครทดสอบภาษาเกาหลีฯ ต้องยื่นคำขอการสมัคร โดยคนหางานกรอกข้อมูลการสมัครและแนบ
เอกสารผ่านระบบออนไลน์ เลือกศูนย์สอบ ซึ่งมีสถานที่สอบให้เลือก 2 ศูนย์ คือ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร และศูนย์สอบอุดรธานี ทำการตรวจสอบผลการอนุมัติ โดยตรวจสอบผลการพิจารณา และพิมพ์ใบแจ้งชำระเงินค่าสมัคร เพื่อชำระเงินค่าสมัครสอบ จำนวน 840 บาท ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถเลือกชำระเงินค่าสมัครสอบได้ 4 ช่องทาง ได้แก่ 1.เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 2.ATM / ADM ธนาคารกรุงไทย 3.Internet Banking ธนาคารกรุงไทย และ4.ต่างธนาคาร Cross Bank Bill Payment
“คุณสมบัติผู้สมัครมีดังนี้ อายุระหว่าง 18 – 39 ปี ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สายตาไม่บอดสี ร่างกายสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง และไม่เป็นโรคที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานหรือเป็นโรคติดต่อตามที่ทางการเกาหลีกำหนด เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ซิฟิลิส และวัณโรค มีความประพฤติดี ไม่มีประวัติกระทำผิดทางอาญาหรือเป็นภัยต่อสังคม และความมั่นคง เป็นบุคคลซึ่งไม่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ไม่มีประวัติการถูกเนรเทศหรือเคยถูกปฏิเสธการเข้าสาธารณรัฐเกาหลี หรือเคยกระทำผิดกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี เป็นบุคคลซึ่งไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด ไม่เคยพำนักอาศัยในสาธารณรัฐเกาหลีด้วยวีซ่า E-9 หรือ E-10 หรือ วีซ่าE-9 และ E-10 รวมกัน 5 ปี หรือมากกว่า 5 ปีขึ้นไป โดยจะประกาศรายชื่อและหมายเลขผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบภาษาเกาหลี วัน เวลาและสถานที่ทดสอบ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ทางเว็บไซต์ hrdkoreathailand.com, doe.go.th/overseas , lib.doe.go.th” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64512 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ พบปะแรงงานภาคอิสระ พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคม เข้าสู่ระบบความคุ้มครอง | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ พบปะแรงงานภาคอิสระ พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคม เข้าสู่ระบบความคุ้มครอง
รมว.สุชาติ ส่ง ‘ที่ปรึกษา’ พบปะแรงงานภาคอิสระ พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคม เข้าสู่ระบบความคุ้มครอง
วันที3กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคมโดยมีหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรีและแกนนำเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ร่วมต้อนรับณห้องนพรัตน์ชั้น2โรงแรมรอยัลไดมอนตำบลไร่ส้มอำเภอเมืองจังหวัดเพชรบุรี
นางธิวัลรัตน์กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญกับการสร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับแรงงานทุกช่วงวัยทุกเพศรวมถึงแรงงานภาคอิสระให้มีหลักประกันความคุ้มครองทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรกลุ่มด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบางทางสังคมจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในการนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”จึงเป็นภารกิจของกระทรวงแรงงานที่ต้องส่งเสริมและผลักดันให้กลุ่มแรงงานนอกระบบเข้าถึงหลักประกันความมั่นคงในชีวิตเช่นเดียวกับแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่าการสร้างแกนนำเครือข่ายและพัฒนาแกนนำเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพถือว่าเป็นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้แรงงานภาคอิสระที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคมได้เข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคมเพิ่มมากขึ้นรวมทั้งยังเป็นการบูรณาการให้หน่วยงานภาคส่วนต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวการจัดอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายประกันสังคมในครั้งนี้ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีจึงเป็นโอกาสดีที่ทุกท่านได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดจนมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
3กุมภาพันธ์2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทซ่อมฟื้นฟูถนนสาย กพ.4034 จังหวัดกำแพงเพชร เนื่องมาจากเหตุภัยพิบัติ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบทซ่อมฟื้นฟูถนนสาย กพ.4034 จังหวัดกำแพงเพชร เนื่องมาจากเหตุภัยพิบัติ
ให้ประชาชนเดินทางสัญจรได้อย่างสะดวกปลอดภัย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 8 (นครสวรรค์) ดำเนินโครงการซ่อมแซมถนนทางหลวงชนบทสาย กพ.4034 แยก ทล.1072 - บ้านแปลงสี่ อำเภอปางศิลาทองและคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาถนนเกิดการกัดเซาะของคันทางจากเหตุภัยพิบัติ ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการเดินทางสัญจร ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูถนนทางหลวงชนบทและอำนวยความสะดวกปลอดภัยในการใช้เส้นทางให้กับประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตลอดจนป้องกันการเกิดเหตุซ้ำซ้อนในระยะยาว ทช. ได้ดำเนินการก่อสร้างผิวทางคอนกรีตเสริมเหล็ก หนา 0.20 เมตร ผิวทางกว้าง 6 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1.5 เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องหมายจราจรและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย รวมถึงระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง โดยดำเนินการ 2 ช่วง แบ่งเป็น ช่วงที่ 1 กม. ที่ 0+000 - 0+400 และช่วงที่ 2 กม. ที่ 4+400 - 5+490 รวมระยะทาง 1.490 กิโลเมตร ปัจจุบันได้เปิดการจราจรให้กับประชาชนใช้สัญจรไป - มา เรียบร้อยแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64513 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก เนื่องในวันทหารผ่านศึก วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก เนื่องในวันทหารผ่านศึก วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก เนื่องในวันทหารผ่านศึก วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
พี่น้องทหารผ่านศึก และครอบครัวทหารผ่านศึก ที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสที่วันทหารผ่านศึก ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ศกนี้ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ รวมทั้งผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงของชาติในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
พี่น้องทหารผ่านศึกที่รักทุกท่าน ในอดีตที่ผ่านมา ท่านทั้งหลายได้ร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ จนทำให้ประเทศไทยของเราคงความเป็นไท มาได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สมควรได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ได้มีการปรับเพิ่มวงเงินสงเคราะห์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบงานสงเคราะห์ในหลายด้าน โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการ เพื่อเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของทหารผ่านศึกและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถดำรงชีพอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
ขอให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจอันเข้มแข็งในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี มีความขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ มีความสมัครสมานสามัคคี และยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติของเราตลอดไป
ในโอกาสวันทหารผ่านศึก ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก พลานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ ตลอดจนผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศอยู่ในขณะนี้ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นกำลังที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ให้มั่นคงถาวรสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64529 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดรถ Mobile Stroke Unit ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง จ.ระนอง เข้าถึงการรักษาใน 4 ชั่วโมงครึ่งลดอัตราตายและลดความพิการ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
สธ.จัดรถ Mobile Stroke Unit ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง จ.ระนอง เข้าถึงการรักษาใน 4 ชั่วโมงครึ่งลดอัตราตายและลดความพิการ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการพัฒนาต้นแบบการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเชิงรุก จ.ระนอง นำรถ Mobile Stroke Unit จากสถาบันประสาทวิทยามาประจำ รพ.ระนอง สามารถฉีดสีทำ CT Scan และให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ทันทีบนรถ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการพัฒนาต้นแบบการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเชิงรุก จ.ระนอง นำรถ Mobile Stroke Unit จากสถาบันประสาทวิทยามาประจำ รพ.ระนอง สามารถฉีดสีทำ CT Scan และให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ทันทีบนรถ ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามมาตรฐานภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง ลดอัตราตายและลดความพิการ
วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงพยาบาลระนอง จ.ระนอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ภายใต้โครงการพัฒนาต้นแบบการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเชิงรุก พร้อมเปิดหน่วยรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ รถ Mobile Stroke Unit จากสถาบันประสาทวิทยา เปิดคลินิกผู้สูงอายุ และเปิดศูนย์ Telemedicine โรงพยาบาลระนอง โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ และผู้บริหารเข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 60,000 คน การพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ และพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งการร่วมมือกันพัฒนาบริการโรคหลอดเลือดสมองครั้งนี้ จะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ขณะที่ศูนย์การแพทย์ทางไกลหรือโทรเวชกรรม (telemedicine center) ที่จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาของประชาชนที่อยู่ห่างไกล ทำให้เข้าถึงบริการด้านการแพทย์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดความแออัด และลดการรอคอย ที่สำคัญจะเป็นต้นแบบในการขยายผลการจัดระบบบริการโรคหลอดเลือดสมองให้กับพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างดี
นพ.โอภาสกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้มีระบบทางด่วนโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Fast Track) โดยตามมาตรฐานการรักษา ผู้ป่วยต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือดภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง และได้รับการรักษาโดยใช้สายสวนลากลิ่มเลือดภายใน 6-24 ชั่วโมง ซึ่งจะสามารถลดอัตราตายและลดความพิการลงได้ แต่จากข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จ.ระนอง ในปี 2564 มีจำนวน 441 ราย สามารถเข้าระบบ Fast Track ได้เพียง 149 ราย คิดเป็น 33.8% จึงกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินโครงการพัฒนาต้นแบบการเข้าถึงการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเชิงรุก โดยมีการนำรถ Mobile Stroke Unit ของสถาบันประสาทวิทยามาประจำการในพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ เป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานเครือข่ายได้พัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งการส่งต่อที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลให้มีความพร้อม
นพ.ธงชัย กล่าวว่า นวัตกรรมรถ Mobile Stroke Unit เป็นหน่วยรักษาผู้ป่วยอัมพาตเคลื่อนที่ ช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง สามารถฉีดสีทำ CT Scan และให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ทันทีบนรถ โดยการสื่อสารผ่านระบบโทรเวชกรรมกับแพทย์ในโรงพยาบาล ทำให้ดูแลผู้ป่วยได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งรถ Mobile Stroke Unit ในพื้นที่ จ.ระนอง ตัวรถจะประจำอยู่ที่ รพ.ระนอง แบ่งการดูแลออกเป็น 4 เส้นทาง และแต่ละเส้นทางจะอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการดูแลรักษา คือ 4 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการพัฒนาระบบ Digital Transformation หรือ DMS Telemedicineเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์และระบบสารสนเทศที่ทันสมัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยในการใช้บริการนัดหมายเพื่อปรึกษาการแพทย์ทางไกล
************************************************ 3 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64528 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเตือนภัยระวังมิจฉาชีพแอบอ้างการรับสิทธิโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
คลังเตือนภัยระวังมิจฉาชีพแอบอ้างการรับสิทธิโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ
ปัจจุบันมีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นผู้ได้รับสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 และให้ทำธุรกรรมในลักษณะต่าง ๆ ตามคำแนะนำของมิจฉาชีพ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นผู้ได้รับสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 และให้ทำธุรกรรมในลักษณะต่าง ๆ ตามคำแนะนำของมิจฉาชีพ
กระทรวงการคลัง ขอย้ำว่า ขณะนี้โครงการฯ ปี 2565 ยังไม่ได้มีการประกาศรายชื่อประชาชนผู้ได้รับสิทธิ เนื่องจากข้อมูลตามโครงการมีจำนวนมากต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยตรวจสอบสิทธิหลายหน่วยงานเพื่อให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็วต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปแจ้งผลการตรวจสอบสิทธิให้แก่ประชาชนรับทราบ และ/หรือแนะนำให้มีการดำเนินธุรกรรมใด ๆ จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและดำเนินการธุรกรรมใด ๆ ตามคำหลอกลวงของมิจฉาชีพ
อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สามารถร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ของท่าน หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ในช่องทางต่าง ๆ ของกระทรวงการคลัง ได้ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 02 109 2345 เวลา 08.30 – 17.30 น. เว้นวันหยุดราชการ
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 094 858 9794 (เวลา 08.30 – 16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ)
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3502 3503 3506 3536 3542 3518 หรือ
โทร. 08 5842 7102 , 08 5842 7103, 08 5842 7104 ,08 5842 7105, 08 5842 7106, 08 5842 7107 (เวลา 08.30 – 16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ)
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 02 109 2345 (เวลา 08.30 – 17.30 น. เว้นวันหยุดราชการ)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64511 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดและรับฟังปาฐกถาพิเศษ โครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Developm | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดและรับฟังปาฐกถาพิเศษ โครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Developm
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดและรับฟังปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในโครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Development Forum
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดและรับฟังปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในโครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Development Forum
เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดและรับฟังปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในโครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Development Forum โดยมี ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่สนใจเข้าร่วม ณ สำนักบริการคอมพิวเตอร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64510 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำเตือน แรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ให้รีบรายงานตัวกลับไทยถึง 28 ก.พ.นี้ หากไม่ไปรายงานตัว เจอค่าปรับ 30 ล้านวอน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
รัฐบาลย้ำเตือน แรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ให้รีบรายงานตัวกลับไทยถึง 28 ก.พ.นี้ หากไม่ไปรายงานตัว เจอค่าปรับ 30 ล้านวอน
รัฐบาลย้ำเตือน แรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ให้รีบรายงานตัวกลับไทยถึง 28 ก.พ.นี้ หากไม่ไปรายงานตัว เจอค่าปรับ 30 ล้านวอน
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีใต้ พบว่าปัจจุบันแรงงานไทยที่ลักลอบทำงานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายมีจำนวนกว่าแสนคน ย้ำเตือนคนไทยที่ต้องการไปทำงานในเกาหลีใต้ขอให้เดินทางไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายผ่านกรมการจัดหางาน อย่าหลงเชื่อคำชักชวนเข้าไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย เพราะจะทำให้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการทำได้ยาก ไม่มีประกันสุขภาพ ถูกเอาเปรียบในเรื่องของค่าจ้างและต้องอยู่อย่างหลบซ่อน
นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาล โดยกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งเตือนคนไทยในเกาหลีใต้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ให้ไปรายงานตัวกลับไทยโดยสมัครใจถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ หลังทางการเกาหลีใต้เปิดให้รายงานตัวมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นมาโดยสามารถรายงานตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือผ่านออนไลน์ที่ www.hikorea.go.kr พร้อมกับเอกสารประกอบ คือ พาสปอร์ต ใบแจ้งการเดินทาง และบัตรโดยสารเครื่องบิน สำหรับผู้ที่ไปรายงานตัวภายในระยะเวลาที่กำหนด จะได้รับการยกเว้นค่าปรับจำนวน 30 ล้านวอน หรือประมาณ 800,000 บาท และอาจเดินทางกลับเข้าเกาหลีใต้ได้อีก หากไม่ไปรายงานตัวภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องชำระค่าปรับและจะถูกเพิ่มความเข้มงวดในการเดินทางกลับเข้าเกาหลีใต้
ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Immigration Contact Center โทร.1345 (มีล่ามภาษาไทยบริการ) หรือติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล โทร. +82 10 6747 0095/ +82 10 3099 2955 หรือ Facebook: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล/ Royal Thai Embassy, Seoul หรือ E-mail : [emailprotected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64502 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” พัฒนาภาคอีสาน ไม่เกินมี.ค.66 โครงการพัฒนาสนามบินขอนแก่นแล้วเสร็จ ขยายการขนส่ง เชื่อมโยงระหว่างประเทศ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” พัฒนาภาคอีสาน ไม่เกินมี.ค.66 โครงการพัฒนาสนามบินขอนแก่นแล้วเสร็จ ขยายการขนส่ง เชื่อมโยงระหว่างประเทศ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
"ทิพานัน" โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” พัฒนาภาคอีสาน ไม่เกินมี.ค.66 โครงการพัฒนาสนามบินขอนแก่นแล้วเสร็จ ขยายการขนส่ง เชื่อมโยงระหว่างประเทศ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเดินทางและขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น สามารถรองรับการเดินทางเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการบินแห่งการท่องเที่ยวและการขนส่งลำดับต้น ๆ ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ได้มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารท่าอากาศยานขอนแก่น มูลค่าโครงการก่อสร้าง 2,004,900,000 บาท
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารท่าอากาศยานขอนแก่น เป็นเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยในระยะ 8 ปี ซึ่งประกอบด้วย งานก่อสร้างอาคารจอดรถยนต์หลังใหม่ และปรับปรุงอาคารจอดรถยนต์หลังเดิม งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสารหลังเดิม จากเดิมมีเนื้อที่ขนาด 16,500 ตารางเมตร เป็น 44,500 ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้ 1,000 คน ต่อชั่วโมง เป็น 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี อาคารจอดรถยนต์เดิม 5 ชั้น ปรับปรุงเป็น 7 ชั้น เดิมรองรับการจอดรถยนต์ได้ 450 คัน เป็น 1,160 คัน ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 88% แล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการและเชื่อมต่อทั้ง 2 อาคารภายในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งการพัฒนานี้ก็เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง และเชื่อมโยงโครงข่ายกับประเทศเพื่อนบ้าน
“พล.อ.ประยุทธ์ได้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และเน้นย้ำให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนงาน และมาตรการสนับสนุนต่างๆเพื่อให้มีความพร้อมในระดับมาตรฐานเมื่อเปิดให้บริการ ที่สำคัฐคือความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เมื่อโครงการแล้วเสร็จ นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค”น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ลดปัญหามลภาวะทางอากาศ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบท ป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ลดปัญหามลภาวะทางอากาศ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน
คุมเข้มการตรวจวัดค่าไอเสียจากเครื่องจักรและยานพาหนะของหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักเครื่องกลและสื่อสาร ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดมลพิษในอากาศจากควันไอเสีย เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่อาจจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน โดย ทช. ได้เข้าร่วมโครงการตรวจสอบมลพิษทางอากาศและเสียงรถราชการของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ซึ่ง ขบ. ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดควันไอเสีย ตรวจวัดเครื่องความดังของเสียงเครื่องจักรกลและยานพาหนะของ ทช. ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง สำหรับในพื้นที่ส่วนภูมิภาคประกอบด้วยสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 1 - 18 และแขวงทางหลวงชนบทในสังกัด ทั่วประเทศ ได้ดำเนินการประสานสำนักงานขนส่งจังหวัดให้เข้าร่วมตรวจสอบควันไอเสียเครื่องจักรและยานพาหนะในสังกัดทั้งหมด เพื่อตรวจหาค่าไอเสีย ฝุ่น PM 2.5 ที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนด เพื่อให้เครื่องจักรอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน โดยให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด เลือกใช้เกรดน้ำมันให้เหมาะสมตามมาตรฐาน เพื่อบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64519 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมหารือ หัวหิน สมาร์ทซิตี้ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอส ร่วมหารือ หัวหิน สมาร์ทซิตี้
ดีอีเอส ร่วมหารือ หัวหิน สมาร์ทซิตี้
3 ก.พ. 2566 - นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ศ.พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ดร. เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ประชุมหารือร่วมกับ นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเทศบาลหัวหิน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมการพัฒนาหัวหินสู่เมืองอัจฉริยะ Smart City Hua Hin ในความรับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) หวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง เท่าเทียม พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์ CCTV และห้องควบคุม เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ ตรวจสอบเมืองให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัย ไร้อาชญากรรม ณ เทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64532 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กห.พร้อมสนับสนุน การดำเนินการของภาครัฐเรื่องการป้องกันฝุ่น pm 2.5 และหมอกควัน" | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
"กห.พร้อมสนับสนุน การดำเนินการของภาครัฐเรื่องการป้องกันฝุ่น pm 2.5 และหมอกควัน"
...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64525 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ตรวจเข้ม เรือโดยสารท่องเที่ยวในแม่น้ำเจ้าพระยา | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า ตรวจเข้ม เรือโดยสารท่องเที่ยวในแม่น้ำเจ้าพระยา
...
กรมเจ้าท่า ตรวจเข้ม เรือโดยสารท่องเที่ยวในแม่น้ำเจ้าพระยา
ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ควบคุม กำกับ ดูแลความปลอดภัยทางน้ำทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบเรือทัวร์นำเที่ยวที่จอดบริเวณหน้าวัดระฆังโฆสิตาราม และโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ที่ส่งผลกระทบทางเสียงต่อทางวัด ชุมชน และโรงเรียนสตรีวัดระฆัง จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเป็นกลุ่มเรือทัวร์นำเที่ยวในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองต่างๆ โดยมาจอดรอรับนักท่องเที่ยวที่บริเวณท่าช้าง ตำแหน่งจอดเรือหน้าวัดระฆังโฆสิตารามและหน้าโรงเรียนฯ มีการปักเสาด้านละ 2 ชุด แบ่งเป็นด้านหน้าโรงเรียนชุดละ 1 ต้น ด้านวัดชุดละ 2 ต้น โดยไม่ปรากฏเจ้าของหรือผู้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า จึงได้สั่งการให้หัวหน้ากลุ่มตรวจการเดินเรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ รวมถึงการรื้อถอนเสาออกจากบริเวณดังกล่าว เพื่อไม่ให้กีดขวางลำน้ำ พร้อมควบคุมกำกับการเดินเรือมิให้เรือมาจอดและสร้างผลกระทบทางเสียงต่อทางวัด โรงเรียน และชุมชนใกล้เคียง
ทั้งนี้ กลุ่มตรวจการเดินเรือได้ตรวจสอบกลุ่มเรือที่เข้ามาจอดบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ทราบจากนายท้ายว่าเสาเหล็กผูกจอดเรือบริเวณหน้าโรงเรียน และหน้าวัด มีมานานหลายปีชาวเรือใช้เป็นจุดจอดพักชั่วคราวรอรับผู้โดยสาร/นักท่องเที่ยวที่ท่าช้าง โดย กรมเจ้าท่า ได้ขอความร่วมมือไม่ให้มาจอดบริเวณดังกล่าว และให้นำเรือไปจอดตามท่าเทียบเรือที่ปลอดภัย พร้อมกำชับเรื่องการใช้เสียงรบกวน
พร้อมกันนี้ กลุ่มตรวจการเดินเรือ ได้ดำเนินการปิดหมายทั้ง 2 จุด ให้ทำการรื้อถอนตามกฎหมายภายใน 30 วัน หากเลยระยะเวลา และยังไม่ปรากฏเจ้าของหรือผู้ครอบครอง จะทำการการรื้อถอนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป พร้อมออกตรวจตราบริเวณพื้นที่หน้าวัด และชุมชนโดยรอบตามข้อสั่งการของรักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่าต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64505 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เดินหน้าขยายผล "อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.)" ที่มีกว่า 7.3 ล้านคนทั่วประเทศ เสริมพลังดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนในชุมชน อย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คน สร้างชุมชนจิตอาสา | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
มท. เดินหน้าขยายผล "อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.)" ที่มีกว่า 7.3 ล้านคนทั่วประเทศ เสริมพลังดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนในชุมชน อย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คน สร้างชุมชนจิตอาสา
มหาดไทยเดินหน้าขยายผล "อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.)" ที่มีจำนวนกว่า 7.3 ล้านคนทั่วประเทศ เสริมพลังดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในครัวเรือน ในชุมชน อย่างน้อยครัวเรือนละ 1 คน สร้างชุมชนจิตอาสาเพื่อโลกใบเดียวนี้อย่างยั่งยืน
วันนี้ (3 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการบริหารจัดการขยะในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ด้วยกลไกการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้แผนปฏิบัติการจังหวัดสะอาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรณรงค์เสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักการ 3ช หรือ 3Rs คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ในทุกครัวเรือน ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน สถานศึกษา หน่วยงาน ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ คือ ภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ในทุกหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังว่าพลังของพี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนและภาคีเครือข่ายจะเป็นกำลังสำคัญในการทำให้เกิดการจัดการขยะอย่างถูกวิธี อันจะส่งผลทำให้บ้านเรือนที่อยู่อาศัย โรงเรียน สำนักงาน และชุมชน ได้มีการจัดการขยะที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอนามัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดเก็บและกำจัดขยะได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมทั้งร่วมกันดูแลรักษาสภาวะอากาศ และสิ่งแวดล้อมโดยรวม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก พ.ศ. 2561 โดยได้กำหนดแนวทางการรวมกลุ่มของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก หรือ "อถล." ซึ่งเป็นผู้ที่มีจิตอาสาในการช่วยเหลืองานเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย การปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประชาสัมพันธ์ โครงการอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ และรับสมัครบุคคลที่มีความสนใจและสมัครใจทำงานด้านการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย การปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกระทรวงมหาดไทยด้วยการสมัครเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก พร้อมทั้งแจ้งให้ทุก อปท. พิจารณาดำเนินการตามแนวทางการจัดกิจกรรมสำหรับอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกซึ่งกำหนดเป็นรายไตรมาส เพื่อให้มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกแล้วจำนวน 7.3 ล้านคน
"อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก เป็นกลไกสำคัญในการทำงานเพื่อปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นทุกด้าน ทั้งอากาศ น้ำ ดิน ป่าไม้ การจัดการมลพิษและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ก่อให้เกิดการทำงานบนหลักการจิตอาสา เสริมสร้างจิตสำนึก ความสามัคคีและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเอง กระทรวงมหาดไทยจึงได้กำหนดแนวทางในการส่งเสริมให้การขับเคลื่อนกิจกรรมของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ขยายผลเป็นวงกว้าง และเกิดพลังการมีส่วนร่วมที่เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง โดยให้จังหวัด อำเภอ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมและสนับสนุนในการจัดกิจกรรมสำหรับอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย การปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เช่น การรักษาความสะอาด การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การกำจัดผักตบชวา การปลูกต้นไม้ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช การปลูกผักสวนครัว เป็นต้น พร้อมทั้งให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกพร้อมอธิบายความหมาย บทบาทของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกให้เป็นที่รับรู้กับสังคมในชุมชน/หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดในวงกว้าง และประสานให้เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และเมืองพัทยา รับสมัครอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก พ.ศ. 2563 อย่างน้อยครัวเรือนละ 1 อถล." นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ ให้จังหวัด อำเภอได้เชิญชวนข้าราชการ ลูกจ้าง บุคลากรของหน่วยงานรัฐ และผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ร่วมสมัครเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก ณ ภูมิลำเนาของตนเอง โดยประสานให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจารณาส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครห้องถิ่นรักษ์โลก ในภาพรวมของจังหวัด ตามระเบียบฯ เช่น การสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกของจังหวัด เป็นต้น และให้จังหวัด อำเภอ ดำเนินการและประสาน อปท. ดำเนินการด้านเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผลงาน การดำเนินกิจกรรมของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก ความก้าวหน้า และการสร้างการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น หน้าเว็บไซต์ เสียงตามสายหมู่บ้าน วิทยุชุมชน รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกให้ได้ประสานการทำงานในพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายอื่น ๆ อาทิ ภาคเอกชน ภาคสื่อสารมวลชน ภาคประชาสังคม โดยในปีนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมการคัดเลือกอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกดีเด่น ประเภทอายุ 7 - 15 ปี และประเภทบุคคลทั่วไป โดยให้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกดีเด่น ระดับประเทศ อีกด้วย
"ขอเชิญชวนน้อง ๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป รวมทั้งสมาชิกในครอบครัว ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ลุง ป้า น้า อา และพี่น้องประชาชนทุกคน ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการได้ชื่อว่า เป็นอาสาสมัครดูแลรักษาและฟื้นฟูโลกใบเดียวนี้ของพวกเราทุกคน ด้วยการสมัครเป็น "อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก หรือ อถล." ได้ ณ ที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ทุกบ้านมี อถล. ช่วยดูแล ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกตำบล ทุกอำเภอ และทุกจังหวัด มี "อถล." ผู้มีใจรุกรบ ผู้มี passion ในการทำให้บ้านเมืองได้มีความสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยมือของพวกเราทุกคน ทำอย่างต่อเนื่องกลายเป็นนิสัย เป็นวิถีชีวิต อย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64526 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดอีวี เคาะแพคเกจส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่อีวี อัดวงเงิน 24,000 ล้านบาท รองรับการเป็นฐานการผลิตแบตฯ เทคโนโลยีระดับเซลล์ (Cell) | วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566
02/02/2566
บอร์ดอีวี เคาะแพคเกจส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่อีวี อัดวงเงิน 24,000 ล้านบาท รองรับการเป็นฐานการผลิตแบตฯ เทคโนโลยีระดับเซลล์ (Cell)
บอร์ดอีวี เคาะแพคเกจส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่อีวี อัดวงเงิน 24,000 ล้านบาท รองรับการเป็นฐานการผลิตแบตฯ เทคโนโลยีระดับเซลล์ (Cell)
วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ครั้งที่ 1/2566 พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ เป็นการพิจารณามาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่เพื่อส่งเสริมให้เกิดฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจรในประเทศไทย
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ ประเทศไทยได้รับความสนใจจากผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกในการมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่อีวีในประเทศ เพราะปัจจัยบวกหลายประการ เช่น 1) ภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย [emailprotected] หรือ การผลิตร้อยละ 30 ในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ที่ชัดเจนและออกมาตรการส่งเสริมในด้าน Demand-Supply อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจมากขึ้น
2) ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากมาตรการให้เงินสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งบอร์ดอีวีได้อนุมัติไปเมื่อปีที่แล้ว และ 3) การที่ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายจีน และค่ายยุโรป ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของผู้ผลิตแบตเตอรี่ได้มีการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแล้ว
โดยการประชุมบอร์ดอีวีนัดนี้ ได้เห็นชอบในหลักการของมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 ลดเหลือร้อยละ 1 รวมทั้ง มาตรการที่สำคัญคือ การให้เงินสนับสนุนวงเงิน 24,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตแตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเงินสนับสนุนจะขึ้นกับขนาดของโรงงานผลิตแบตเตอรี่และความจุพลังงานจำเพาะของแบตเตอรี่ สำหรับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดต่ำกว่า 8 GWh จะได้รับเงินสนับสนุนระหว่าง 400-600 บาท/kWh หากเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดสูงกว่า 8 GWh จะได้รับเงินสนับสนุนระหว่าง 600-800 บาท/kWh โดยเนื่องจาก วงเงินงบประมาณมีจำนวนจำกัด การให้เงินสนับสนุนจะอยู่บนหลักการ “ลงทุนผลิตก่อน ได้รับเงินสนับสนุนก่อน” โดยเงินสนับสนุนที่ภาครัฐให้กับผู้ผลิตแบตเตอรี่จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าขายในตลาดมีราคาถูกลงด้วย
นอกจากนี้ บอร์ดอีวีได้มีการพิจารณาประเด็นสำคัญ เช่น มาตรการขับเคลื่อนการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นรถยนต์กลุ่มใหญ่ของประเทศ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ การจัดตั้งคณะอนุกรรมการที่ดูแลเรื่องการดัดแปลงรถยนต์ใช้แล้วเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Conversion) รวมทั้ง รับทราบความคืบหน้าของการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ซึ่งในขณะนี้ ระเบียบสามารถเปิดให้หน่วยงานราชการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในหน่วยงานได้แล้ว ซึ่งมาตรการส่งเสริมในด้าน Demand-Supply เหล่านี้ ประกอบกับมาตรการสนับสนุนการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station)
จะเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกได้
---------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64495 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล จ.สมุทรสงคราม ติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ณ สถานีรถไฟแม่กลอง | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
นายกฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล จ.สมุทรสงคราม ติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ณ สถานีรถไฟแม่กลอง
นายกฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล จ.สมุทรสงคราม ติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ณ สถานีรถไฟแม่กลอง
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (3 ก.พ. 66) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามผลการปฏิบัติราชการ และรับฟังความคืบหน้าโครงการสำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม ตามนโยบายรัฐบาล โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการขนส่งทางราง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย ซึ่งจังหวัดสมุทรสงครามเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนาหลายด้าน ทั้งการทำเกษตรและประมงที่โดดเด่นทุกฤดูกาล โดยสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ มะพร้าว ส้มโอ และลิ้นจี่ โดยเฉพาะส้มโอขาวใหญ่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อมหรือหอมลำเจียก ทุเรียนสามน้ำ เกลือทะเล และพริกมันบางช้าง ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) การมีห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและผลผลิตทางการเกษตรและประมงที่ค่อนข้างครบถ้วน ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ตลอดจนมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติทางน้ำ อาหาร และศิลปะต่าง ๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้หน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ รับฟังนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนในพื้นที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ออกเดินทางจากป้ายหยุดรถลาดใหญ่ ไปยังสถานีรถไฟแม่กลอง โดยขบวนรถดีเซลรางที่ 4383 (ป้ายหยุดรถลาดใหญ่ - สถานีรถไฟแม่กลอง) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เพื่อตรวจติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ณ สถานีรถไฟแม่กลอง ต.แม่กลอง อ.เมืองสมุทรสงคราม โดยระหว่างเดินทางโดยรถไฟ นายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศที่โดยสารมากับรถไฟขบวนดังกล่าวด้วย โดยบรรยากาศบนขบวนรถไฟเป็นไปอย่างคึกคักท่ามกลางนักท่องที่ยวชาวต่างประเทศจำนวนมาก ที่เดินทางเพื่อมาท่องเที่ยวและเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลกของจังหวัดสมุทรสงครามคือ “ตลาดร่มหุบ”
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ตรวจเยี่ยมวิถีเศรษฐกิจชุมชนสถานีรถไฟแม่กลอง โดยเดินทักทายพูดคุยกับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณโดยรอบสถานีรถไฟแม่กลองและตลาดร่มหุบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกดีใจและมีความสุขที่ได้มาพบกับประชาชน พร้อมสอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และการค้าขายของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งประชาชนต่างมาให้กำลังใจในการทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ พร้อมกล่าวว่า “รักลุงตู่” ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นและคึกคัก
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงสถานีรถไฟแม่กลองได้รับฟังบรรยายสรุปใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1) แนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟสายแม่กลอง (วงเวียนใหญ่ – มหาชัย – บ้านแหลม – แม่กลอง) ระยะทางรวม 66.9 กิโลเมตร เป็นเส้นทางรถไฟที่ไม่เชื่อมต่อกันตลอดสาย โดยเฉพาะระหว่างสถานีมหาชัย และสถานีบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสาคร ที่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวจำเป็นต้องลงจากขบวนรถและต่อเรือข้ามแม่น้ำท่าจีนไปต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่งโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้จัดทำแผนงานโครงการรถไฟสายสีแดง เหนือ-ใต้ ช่วงหัวลำโพง – วงเวียนใหญ่ – มหาชัย โดยมีการออกแบบรายละเอียดโครงการเรียบร้อยแล้ว และมีแผนการขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อทบทวนแบบในปีงบประมาณ 2567 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2570 นอกจากนี้ บริเวณเส้นทางเดินรถไฟ ช่วงสถานีรถไฟลาดใหญ่ – สถานีรถไฟแม่กลอง เมื่อเข้าใกล้สถานีรถไฟแม่กลอง เป็นเส้นทางผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ “ตลาดร่มหุบ” ที่มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพะชาวต่างประเทศเดินทางมาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมาก
2) โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักและระบบป้องกันน้ำท่วม ชุมชนเมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมืองสมุทรสงคราม (ระยะที่ 1) ซึ่งจังหวัดสมุทรสงคราม ได้ประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบระบายน้ำหลัก และระบบป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ซึ่งการศึกษาดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อกลางปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชนตลาดริมแม่น้ำ สถานีรถไฟแม่กลองและตลาดร่มหุบ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งโบราณสถาน โดยเฉพาะบริเวณชุมชนตลาดริมน้ำวัดเพชรสมุทรวรวิหาร และตลาดร่มหุบที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้บรรจุแผนงานดังกล่าวไว้ในแผนงานงบประมาณ 2567 เรียบร้อยแล้ว
จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปยังวัดเพชรสมุทรวรวิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อบ้านแหลม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อความเป็นสิริมงคล และนมัสการพระสมุทรวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม และเจ้าอาวาสวัดเพชรสมุทรวรวิหาร ณ พระอุโบสถวัดเพชรสมุทรวรวิหารด้วย โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมการมีส่วนร่วมของวัดในการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน และขอให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อขับเคลื่อนเศรฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้ในพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป ก่อนเดินทางต่อไปยังวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม ในช่วงบ่าย เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ของประชาชนชาวสมุทรสงครามต่อไป
สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวในพื้นที่ตลาดร่มหุบและสถานีรถไฟแม่กลอง เจ้าหน้าที่ที่ดูแลบริเวณสถานีรถไฟแม่กลองระบุว่าก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวแต่ละวันจำนวนมากประมาณ 5,000 ถึง 10,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป เช่น อิตาลี ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและญี่ปุ่นด้วย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สถานการณ์โควิด-19 นักท่องเที่ยวเดินทางน้อยลง อย่างไรก็ตามภายหลังสถานการณ์โควิดฯ ในประเทศคลี่คลายลง และรัฐบาลเปิดประเทศ สถานการณ์นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้น ปัจจุบันมีประมาณ 500 ถึง 2,000 คนต่อวัน ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่เริ่มดีขึ้นโดยลำดับ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจวิถีชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64516 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยาย 4 ช่องจราจร ทล.3222 ตำบลชำผักแพว - ตำบลชะอม จังหวัดสระบุรี แล้วเสร็จ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงขยาย 4 ช่องจราจร ทล.3222 ตำบลชำผักแพว - ตำบลชะอม จังหวัดสระบุรี แล้วเสร็จ
.....
กรมทางหลวง (ทล.) กะรทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3222 สาย อำเภอแก่งคอย - อำเภอบ้านนา ตอน ตำบลชำผักแพ้ว - ตำบลชะอม แล้วเสร็จ ในพื้นที่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้เป็น 4 ช่องจราจรตลอดทั้งสายทาง ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางและสนับสนุนการคมนาคมขนส่งให้สมบูรณ์สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตลอดจนพัฒนาทางหลวงให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับปริมาณจราจรที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ตลอดจนสนับสนุนด้านการขนส่งของอุตสาหกรรมซีเมนต์ และลดระยะเวลาในการเดินทางระหว่าง จังหวัดสระบุรี และ จังหวัดนครนายก ทั้งนี้ ทล. จึงได้ดำเนินการขยายทางหลวงหมายเลข 3222 สาย อำเภอแก่งคอย - อำเภอบ้านนา ตอน ตำบลชำผักแพว - ตำบลชะอม จากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร ให้เป็นขนาด 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) ระหว่าง กม. ที่ 12+890 - 24+500 ระยะทางประมาณ 11.61 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 573.474 ล้านบาท ตามมาตรฐานชั้นทางพิเศษ มีผิวทางเป็นแอสฟัลต์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร เกาะกลางเป็นแบบยกดินถมและแบบคอนกรีตแบริเออร์ พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ซึ่งจะทำให้สายทางนี้มีขนาด 4 ช่องจราจรต่อเนื่องตลอดสายทางอย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายทางหลวงในการเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกให้มีความคล่องตัวและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางปฏิบัติตาม “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ”ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการเดินทางได้ที่ สายด่วน ทล. โทร 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64507 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2566 ยกย่องเชิดชูเกียรติ วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของทหารผ่านศึก ที่ร่วมแรงร่วมใจปกป้องเอกราช-อธิปไตยของชาติ | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2566 ยกย่องเชิดชูเกียรติ วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของทหารผ่านศึก ที่ร่วมแรงร่วมใจปกป้องเอกราช-อธิปไตยของชาติ
นายกฯ กล่าวปราศรัยเนื่องในวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2566 ยกย่องเชิดชูเกียรติ วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของทหารผ่านศึก ที่ร่วมแรงร่วมใจปกป้องเอกราช-อธิปไตยของชาติ ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก กล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันทหารผ่านศึก วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ดังนี้
พี่น้องทหารผ่านศึก และครอบครัวทหารผ่านศึก ที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสที่วันทหารผ่านศึก ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/นายกสภาทหารผ่านศึก ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ รวมทั้งผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงของชาติในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
พี่น้องทหารผ่านศึกที่รักทุกท่าน ในอดีตที่ผ่านมา ท่านทั้งหลายได้ร่วมแรงร่วมใจกันปกป้อง เอกราชและอธิปไตยของชาติ ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ จนทำให้ประเทศไทยของเราคงความเป็นไทมาได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สมควรได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ได้มีการปรับเพิ่มวงเงินสงเคราะห์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบงานสงเคราะห์ในหลายด้าน โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการ เพื่อเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของทหารผ่านศึกและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถดำรงชีพอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
ขอให้ท่านทั้งหลายมีกำลังใจอันเข้มแข็งในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี มีความขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ มีความสมัครสมานสามัคคี และยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติของเราตลอดไป
ในโอกาสวันทหารผ่านศึก ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก พลานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ ตลอดจนผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศอยู่ในขณะนี้ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นกำลังที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ให้มั่นคงถาวรสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64530 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบปะชาวสมุทรสงคราม หารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ประชาชนในพื้นที่-รับฟังข้อเสนอผู้แทนประชาชน ย้ำเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหา | วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566
03/02/2566
นายกฯ พบปะชาวสมุทรสงคราม หารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ประชาชนในพื้นที่-รับฟังข้อเสนอผู้แทนประชาชน ย้ำเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหา
นายกฯ พบปะชาวสมุทรสงคราม หารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ประชาชนในพื้นที่-รับฟังข้อเสนอผู้แทนประชาชน ย้ำเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหา ยืนยันการทำงานของนายกฯ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.15 น. ณ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางมาพบปะประชาชนเพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ของประชาชนชาวสมุทรสงคราม พร้อมรับฟังข้อเสนอจากผู้แทนประชาชน 4 กลุ่ม และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดสมุทรสงคราม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอจากผู้แทนเครือข่ายประชาชน 4 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย 1. กลุ่มเครือข่ายสภาเกษตรกรปรับปรุงคุณภาพไม้ผล จังหวัดสมุทรสงคราม ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานเทศกาลผลไม้และของดี เพื่อกระตุ้นตลาดสินค้าเกษตร การดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัด 2. สมาพันธ์ชาวนาเกลือทะเลไทย ขอความอนุเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาราคาเกลือทะเลตกต่ำ นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ส่งผลให้เกษตรกรประสบปัญหาขาดทุนสะสม เกิดปัญหาหนี้สิน และทำให้การทำนาเกลือลดลง 3. สมาคมประมงสมุทรสงคราม ขอความอนุเคราะห์แก้ไขความเดือดร้อนของชาวประมง จังหวัดสมุทรสงคราม กรณีการแก้ไขปัญหา IUU ตั้งแต่ปี 2558 ที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมง ตลาดปลา อุตสาหกรรมต่อเนื่อง 4. สมาพันธ์ชาวสวนมะพร้าวจังหวัดสมุทรสงคราม ขอความอนุเคราะห์แก้ไขปัญหาราคามะพร้าวตกต่ำ การแก้ไขปัญหาราคามะพร้าวผล และมะพร้าวอ่อนอย่างยั่งยืน
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ได้รวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงเรื่องความเดือดร้อนของชาวประมง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว โดยกรมการจัดหางาน ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยกำหนดให้นายจ้างภาคประมงที่มีลูกจ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มี CI หรือพาสปอร์ต สามารถนำลูกจ้างแรงงานต่างด้าวมาต่อใบอนุญาตทำงานผ่านระบบออนไลน์ https://alien13febrenewal.doe.go.th ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 และนำเอกสาร CI หรือพาสปอร์ต มายื่นภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ซึ่งทางสมาคมประมงสมุทรสงครามและชาวประมง ได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพเกิดผลจริง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเยี่ยมเยียนชาวจังหวัดสมุทรสงครามอีกครั้ง ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น การเป็นเวนิสตะวันออกของไทย รวมถึงสินค้าเกษตรที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) นาเกลือ ดอนหอยหลอด ตลาดน้ำอัมพวา และตลาดร่มหุบ เป็นต้น สำหรับปัญหาต่าง ๆ ตามที่ประชาชนได้เสนอมานั้น นายกรัฐมนตรีจะเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป และจะกำกับติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว โดยขอให้เจ้าหน้าที่และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องทำงานสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ภายใต้การดำเนินการที่ถูกต้องตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่ของแต่ละหน่วยงาน พร้อมยืนยันการทำงานทุกอย่างของนายกรัฐมนตรีคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ โดยการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ตราบใดที่มีหน้าที่ในการดูแลประชาชนก็จะทำหน้าที่ตนเองอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มมีความสุขตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยพิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วน สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ทั้งแนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟสายแม่กลอง (วงเวียนใหญ่ – มหาชัย – บ้านแหลม – แม่กลอง) และโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักและระบบป้องกันน้ำท่วม ชุมชนเมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมืองสมุทรสงคราม (ระยะที่ 1) รวมไปถึงรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและสถานการณ์โลก โดยเฉพาะการศึกษาเล่าเรียนต้องตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อจบออกมาจะได้มีงานทำ มีอาชีพและรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กำหนด
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการเพาะปลูกพืชทางการเกษตรต้องปลูกในพื้นที่ถูกต้องและถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศ เพราะจะสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงผลผลิตต่าง ๆ ได้ ดังนั้นต้องเร่งขับเคลื่อนเกษตร GI และเกษตรปลอดภัย ตามแนวทางขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาคามยากจนของประชาชนทุกกลุ่มในการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการขึ้นรถไฟที่ออกเดินทางจากป้ายหยุดรถลาดใหญ่ ไปยังสถานีรถไฟแม่กลอง โดยขบวนรถดีเซลรางที่ 4383 (ป้ายหยุดรถลาดใหญ่ - สถานีรถไฟแม่กลอง) เพื่อตรวจติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ณ สถานีรถไฟแม่กลอง ต.แม่กลอง อ.เมืองสมุทรสงคราม โดยระหว่างเดินทางโดยรถไฟนายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศที่โดยสารมากับรถไฟขบวนดังกล่าว ต่างชื่นชมการดำเนินการด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชนท้องถิ่นของไทย รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกของจังหวัดสมุทรสงคราม คือ “ตลาดร่มหุบ” ด้วย ซึ่งได้เห็นบรรยากาศการค้าขายของตลาดร่มหุบ ได้เห็นรอยยิ้มของนักท่องเที่ยว รอยยิ้มของประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าก็รู้สึกอิ่มเอมใจ จังหวัดสมุทรสงครามจึงเป็นจังหวัดที่น่าไปเยี่ยมเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอยากไปสัมผัส ดังนั้น การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรสงครามไปสู่ความยั่งยืนต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งมีของดีขึ้นชื่อจังหวัดสมทุรสงคราม เช่น ผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูป จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านสบายใจ ผลิตภัณฑ์มะพร้าวแปรรูป จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านตันหยง ขนมวงโบราณ จากกลุ่มตลาดน้ำ 3 อำเภอ (อำเภอบางคนที อัมพวา วัดเพลง) และผลิตภัณฑ์แป้งร่ำเกลือจืด จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลบางนางลี่ โดยนายกรัฐมนตรีแนะนำให้เกษตรกรพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า และประยุกต์ให้เข้ากับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางนโยบายที่รัฐบาลวางไว้ ให้สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับจังหวัดและประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64531 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยกระดับบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Krungthai Business” ตอกย้ำให้บริการจัดการทางการเงินสำหรับธุรกิจ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ติดปีกให้ธุรกิจไม่สะดุด ง่าย จบ ครบกว่าเดิมในแอปเดียว | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
กรุงไทยยกระดับบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Krungthai Business” ตอกย้ำให้บริการจัดการทางการเงินสำหรับธุรกิจ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ติดปีกให้ธุรกิจไม่สะดุด ง่าย จบ ครบกว่าเดิมในแอปเดียว
ธ.กรุงไทยเดินหน้ายกระดับบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Krungthai Business” ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจครบวงจรให้บริหารจัดการทางการเงินครบทุกฟังก์ชันในที่เดียว
ธนาคารกรุงไทยเดินหน้ายกระดับบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Krungthai Business” ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจครบวงจรให้บริหารจัดการทางการเงินครบทุกฟังก์ชันในที่เดียว ทั้ง โอน รับ จ่าย พร้อมบริการด้านสินเชื่อ บริการหนังสือค้ำประกัน และบริการธุรกรรมการค้าต่างประเทศ ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ง่าย จบ ครบกว่าเดิมในแอปเดียว
นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าจากการเปิดตัวบริการ “Krungthai Business” ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการบริหารจัดการด้านการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจ ที่ตอบโจทย์ทุกธุรกิจแบบครบวงจร ทำธุรกรรมได้หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกธุรกรรมการเงิน ช่วยให้การบริหารธุรกิจและการจัดการเงินเป็นเรื่องง่าย สะดวก มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การทำรายการโอนเงินหลายรายการพร้อมกันในครั้งเดียว พร้อมระบบตัวช่วยแนะนำบริการโอนเงินที่เหมาะสมกับวงเงินและความคุ้มค่าของต้นทุนธุรกิจให้อัตโนมัติ การจ่ายเงินเดือนพนักงานบัญชีกรุงไทยพร้อมความคุ้มครองประกันอุบัติเหตุกลุ่ม อีกทั้งสามารถสร้าง QR บัญชีนิติบุคคล ได้ผ่านบริการ My QR เพื่อรับหรือจ่ายเงินผ่านบัญชีธุรกิจ การสั่งซื้อสมุดเช็ค และการจัดการเช็ค รวมถึงทำรายการโอนเงินไปต่างประเทศครอบคลุม 16 สกุลเงินสำคัญทั่วโลก สร้างและอนุมัติรายการได้รวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ พร้อมฟังก์ชัน Self Admin บริหารจัดการข้อมูลผู้ใช้งานผ่านระบบด้วยตนเอง มั่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากล ผ่านฟังก์ชันการยืนยันการทำธุรกรรมการเงินแบบ Two-Factor Authentication (2FA) หรือการยืนยันการทำธุรกรรมแบบ 2 ชั้น โดยใช้รหัส OTP, PIN หรืออุปกรณ์ Token รองรับการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าหรือลายนิ้วมือในการเข้าระบบ นอกจากนี้ยังเพิ่มความคล่องตัวให้ธุรกิจ ด้วยบริการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ e-Withholding Tax Plus
ล่าสุดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ธนาคารได้ยกระดับบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม “Krungthai Business ให้ง่าย จบ ครบกว่าเดิมในแอปเดียว ติดปีกให้ธุรกิจทะยานไกลไม่สะดุด เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ดูแลธุรกิจ ครบทุกฟังก์ชัน อาทิ บริการด้านสินเชื่อ บริการหนังสือค้ำประกัน และบริการธุรกรรมการค้าต่างประเทศ รวมไว้ในที่เดียว ให้ดำเนินธุรกิจสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยบริการใหม่ ดังนี้
เช็ควงเงินและจัดการสินเชื่อง่าย แค่ปลายนิ้ว
• บริหารสินเชื่อได้คล่องตัว เรียกดูวงเงินสินเชื่อระยะยาวได้ทุกรายการ
• ชำระบัญชีสินเชื่อได้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบปกติ แบบมียอดคงค้าง หรือชำระเพื่อปิดบัญชี
• ดาวน์โหลดใบเสร็จได้ทันที
ขอออกหนังสือค้ำประกันสะดวก ง่าย ประหยัดเวลา
• ขอออกหนังสือค้ำประกันได้ด้วยตัวเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหนังสือค้ำประกันแบบกระดาษ (LG) และหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (e-LG)
• เลือกใช้แบบฟอร์ม LG มาตรฐานของธนาคาร หรือ Upload แบบฟอร์มที่ลูกค้าต้องการได้เอง
• หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ (e-LG) รับได้ภายใน 4 ชั่วโมง หนังสือค้ำประกัน (LG) รับได้ที่สาขาภายในได้ใน 1 วัน
• ตรวจสอบข้อมูลวงเงินค้ำประกัน และติดตามสถานะรายการออกหนังสือค้ำประกันได้ครบจบในที่เดียว
ได้เปรียบทุกธุรกรรมการค้าต่างประเทศ
• บริการธุรกรรมการค้าต่างประเทศ ส่งคำสั่งได้ 24 ชั่วโมง ครอบคลุมทุกธุรกรรมหลัก ไม่ต้องส่งเอกสารตัวจริง
• แสดงรายงานธุรกรรมการค้าต่างประเทศจากทุกช่องทาง ทันทุกความเคลื่อนไหว
• เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ในการโอนเงินต่างประเทศสำหรับลูกค้าธุรกิจผ่านเครือข่ายพันธมิตรของธนาคาร ให้ถึงปลายทางอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบอัจฉริยะแนะนำแพลตฟอร์มการโอนเงินระหว่างประเทศที่เหมาะสมกับรายการของลูกค้า และระบบตรวจสอบเลขที่บัญชีผู้รับเงินปลายทาง
Krungthai Business ใช้งานง่ายได้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงข้อมูลแบบ Real-Time อยู่ที่ไหนก็ทำรายการได้ผ่านมือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบไร้รอยต่อ พิเศษ สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการ Krungthai Business ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2566 ธนาคารจัดโปรโมชั่นให้โอน รับ และจ่ายบิลต่างๆ ด้วยค่าธรรมเนียมเหมาจ่ายเพียงหลักร้อย มีให้เลือก 2 แพ็คเกจ คือ แพ็คเกจ SME Smart Lite โอนรับจ่าย ฟรี ไม่อั้น เหมาจ่ายเพียง 111 บาทต่อปี และแพ็คเกจ SME Smart Solution ราคาเหมาจ่ายเพียง 555 บาทต่อปี กับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียม โอนเงินบัญชีกรุงไทย โอนเงินต่างธนาคารแบบทันที โอนเงินต่างธนาคารแบบวันถัดไป โอนเงินพร้อมเพย์ ชำระบิล ที่มาพร้อมกับPayroll Solution การจ่ายเงินเดือนพนักงานบัญชีกรุงไทย ฟรีความคุ้มครองประกันอุบัติเหตุกลุ่มแบบหายห่วง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับบริษัท อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความอุ่นใจให้กับพนักงานที่ใช้บัญชีเงินเดือนกรุงไทย และสิทธิประโยชน์พิเศษอื่นๆ เช่น ฟรี เปิดบัญชีพนักงาน ไม่มีขั้นต่ำ ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ปีแรก สำหรับบัตรเดบิตเงินเดือนพนักงาน และบัตร Travel Card สำหรับผู้บริหาร โอนเงินต่างประเทศด้วยค่าธรรมเนียมอัตราพิเศษ และสิทธิพิเศษอีกมากมาย
สำหรับ ลูกค้าผู้ประกอบการ SME และลูกค้าธุรกิจที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา สำนักงานธุรกิจทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนขอใช้บริการได้ที่ https://krungthai.com/link/krungthai-business-pr สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Krungthai Corporate Contact Center 02-111-9999
#กรุงไทยติดปีกให้ธุรกิจคุณ #KrungthaiBusiness #ง่ายจบครบกว่าเดิมในแอปเดียว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65304 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ประชาสัมพันธ์ผู้สนใจทำใบขับขี่สากลสามารถนำหลักฐานเข้ารับบริการได้ โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางบก ประชาสัมพันธ์ผู้สนใจทำใบขับขี่สากลสามารถนำหลักฐานเข้ารับบริการได้ โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า
...
กรมการขนส่งทางบก ประชาสัมพันธ์ผู้สนใจทำใบขับขี่สากลสามารถนำหลักฐานเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในปี 2566 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้คลี่คลายลง การดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมกลับสู่สภาวะปกติ หลาย ๆ ประเทศได้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมถึงมีประชาชนเดินทางไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเพื่อเรียนหรือทำงาน ทำให้ประชาชนสนใจทำใบขับขี่สากลเพื่อการเช่ารถยนต์เดินทางท่องเที่ยวหรือขับรถยนต์ในต่างประเทศ ทั้งนี้ ใบขับขี่สากลที่ประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามอนุสัญญา 2 ฉบับ คือ “อนุสัญญาเจนีวา 1949” และ “อนุสัญญาเวียนนา 1968” โดยรายละเอียดของอนุสัญญา มีดังนี้
- อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 หรือ อนุสัญญาเจนีวา 1949 มีอายุ 1 ปี นำไปใช้ได้ใน 102 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น
- อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ กรุงเวียนนา ค.ศ. 1968 หรือ อนุสัญญาเวียนนา 1968 มีอายุ 3 ปี นับแต่วันออกใบขับขี่สากล หรือเท่ากับอายุของใบขับขี่ภายในประเทศที่ผู้ถือมีอยู่ นำไปใช้ได้ 86 ประเทศ เช่น บาห์เรน บราซิล เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น สำหรับประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ทั้งสองฉบับ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศไทยสามารถใช้ใบขับขี่สากลที่ออกตามอนุสัญญาเวียนนา 1968 เพียงฉบับเดียวได้
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ใบขับขี่ตามอนุสัญญาดังกล่าว มีส่วนสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยทางถนนและมาตรฐานใบขับขี่รถของประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ทั้งยังเพิ่มโอกาสที่ใบขับขี่ระหว่างประเทศของไทยจะได้รับการยอมรับให้สามารถนำไปใช้ในต่างประเทศ และประเทศไทยสามารถยอมรับใบขับขี่ระหว่างประเทศที่ออกโดยประเทศที่เป็นภาคีตามอนุสัญญา รวมถึงส่งเสริมท่องเที่ยว และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่สากลสามารถเข้ารับบริการ ณ สำนักงานขนส่ง ได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า (Walk in) หรือจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue และแจ้งรายชื่อประเทศที่ต้องการนำใบขับขี่สากลไปใช้ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบความเกี่ยวข้องในการร่วมเป็นภาคีตามอนุสัญญา หรือสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองที่ https://apps.dlt.go.th/ltpcenter/
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอรับใบขับขี่สากลกรณีคนไทย มีดังนี้
1. หนังสือเดินทางฉบับจริง ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
2. บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
3. ใบขับขี่ไทย (5 ปี ตลอดชีพ ขนส่ง) ฉบับจริง ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ไม่เคลือบมัน ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอรับใบขับขี่สากลกรณีคนต่างชาติ มีดังนี้
1. หนังสือเดินทางและวีซ่าต้องไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว เล่นกีฬา หรือเดินทางผ่านเมือง ฉบับจริงพร้อมสำเนา
2. ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฉบับจริง หรือใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) หรือใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Work Permit) ที่แสดงรายละเอียด ที่อยู่และยังไม่สิ้นอายุ หรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการตรวจลงตราพิเศษ (Smart Visa) ที่รับรองโดยสถานทูต หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรระหว่างประเทศออกให้ ฉบับจริงพร้อมสำเนา
3. ใบขับขี่ไทย (5ปี หรือ ตลอดชีพ) ฉบับจริงพร้อมสำเนา ซึ่งยังไม่สิ้นอายุ
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ไม่เคลือบมัน รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
การทำใบขับขี่สากลสามารถมอบอำนาจได้ โดยเตรียมหลักฐานเพิ่มเติม ได้แก่ 1) ใบมอบอำนาจ 2) บัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ ฉบับจริงพร้อมสำเนา และ 3) หลักฐานของผู้มอบอำนาจที่จะใช้ในการขอรับใบขับขี่สากล สำเนาพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง สำหรับใบขับขี่สากลตามอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีค่าธรรมเนียมพร้อมค่าคำขอรวม 505 บาทเท่ากัน โดยสามารถยื่นขอทำใบขับขี่สากลได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่ง ทั้งนี้ การนำไปใช้ในต่างประเทศ กรมการขนส่งทางบกแนะนำว่าให้นำใบขับขี่ของประเทศไทยแสดงควบคู่กับใบขับขี่สากลด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการกงสุลเพิ่มประสิทธิภาพบริการงานสัญชาติและนิติกรณ์เอกสาร เปิดบริการสำนักงาน ณ ศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
กรมการกงสุลเพิ่มประสิทธิภาพบริการงานสัญชาติและนิติกรณ์เอกสาร เปิดบริการสำนักงาน ณ ศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป
กรมการกงสุลเพิ่มประสิทธิภาพบริการงานสัญชาติและนิติกรณ์เอกสาร เปิดบริการสำนักงาน ณ ศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป และปิดบริการที่สถานีใต้ดิน MRT คลองเตย 25 ก.พ. นี้
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์เพื่อรองรับความต้องการประชาชนในการรับรองเอกสารที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศมากขึ้น โดยได้เปิดสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ ปทุมวัน อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 66 เป็นต้นไป โดยตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานหนังสือเดินทาง ปทุมวัน ณ บริเวณชั้น 5 ศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์
ทั้งนี้ สำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ ปทุมวัน จะรองรับการให้บริการของทั้งชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ด้วยพื้นที่บริการที่กว้างขวางและการเดินทางที่สะดวกด้วยระบบขนส่งทั้งรถไฟฟ้า รถประจำทาง และรถยนต์ส่วนตัว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า จากการเปิดบริการที่ปทุมวันเต็มรูปแบบแล้ว กรมการกงสุล จะปิดบริการสำนักงานสัญชาติฯ ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คลองเตย ตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ซึ่งก่อนปิดจะรับการยื่นนิติกรณ์เอกสาร ในวันที่ 22 ก.พ. 66 เป็นวันสุดท้าย และจ่ายเอกสารคืนในวันที่ 24 ก.พ. 66 เป็นวันสุดท้าย หากพ้นเวลาดังกล่าวประชาชนที่ยื่นนิติกรณ์เอกสารไว้ สามารถรับเอกสารคืนได้ที่สำนักงานสัญชาติฯ ปทุมวัน
ทั้งนี้ สำนักงานสัญชาติฯ ปทุมวัน จะตั้งอยู่ ณ ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ชั้น 5 โซน A (เลขที่ 5A-12 และ 5A-13) ให้บริการ ระหว่างเวลา 10.00 - 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการสำนักงานสัญชาติฯ แห่งใหม่ได้ที่ 08 3530 9126
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65287 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ สมพล ลงพื้นที่ตรวจราชการ จันทบุรี | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
ผู้ตรวจฯ สมพล ลงพื้นที่ตรวจราชการ จันทบุรี
นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการ จันทบุรี
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น. ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสมพล โนดไธสง) ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี (สอจ.จันทบุรี) มีอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี (นางสาวกาญจนา ทัพป้อม) หัวหน้ากลุ่มต่างๆ และเจ้าหน้าที่ สอจ.จันทบุรี เข้าร่วมรับการตรวจราชการในครั้งนี้ ทั้งนี้ ผู้ตรวจฯ นายสมพล ได้เน้นย้ำให้ทุกคน ดำเนินการตาม MIND ใช้หัวและใจ ขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้
พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องร้องเรียน ซึ่งเมื่อได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบการกระทำผิดโดยได้สั่งการตามมาตรา 37 ตาม พ.ร.บ. โรงงาน แล้ว จะต้องลงพื้นที่ติดตามผลการสั่งการตามระยะเวลาที่กำหนด และรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแจ้งผู้ร้องทราบ รวมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี หอการค้าจังหวัดจันทบุรี
ทั้งนี้ ผตร.อก. (นายสมพล โนดไธสง) ได้มอบป้ายแก่สถานประกอบการที่ได้รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมเอส (มอก.เอส) จำนวน 2 ราย ให้แก่ 1. บริษัท เอสโฟร์ ซีเคียวริตี้ ซาวด์ซิสเต็มเซอร์วิส จำกัด ประกอบกิจการ ติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบเสียงห้องประชุม 2. วิสาหกิจชุมชนเกษตรเพื่อสุขภาพบ้านปัทวี ประกอบกิจการ ผลิตน้ำมังคุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65302 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายบัญญัติ คันธา รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดให้มีบุคคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (Transport Safety Manager : TSM) | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
นายบัญญัติ คันธา รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดให้มีบุคคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (Transport Safety Manager : TSM)
...
นายบัญญัติ คันธา รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดให้มีบุคคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (Transport Safety Manager :TSM) ซึ่งมีคณะผู้เชี่ยวชาญประเทศญี่ปุ่น (JICA Expert Team) ผู้แทนจาก JICA ประเทศไทย คณะผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยคมนาคมสำนักงานนโยบายและแผนการจราจร คณะผู้บริหารและบุคลากรของกรมการขนส่งทางบก เข้าร่วมประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยของรถในเชิงพาณิชย์ รวมถึงรับทราบแนวทางในการจัดให้มีบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่งตามแนวทางของประเทศไทยและญี่ปุ่น และเพื่อให้บุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง หรือ TSM นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาการดำเนินการด้านความปลอดภัยในการขนส่งทางถนนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65309 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เดินหน้าปลูกฝัง “ต้านทุจริต” ให้เครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ ร่วมสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
วธ. เดินหน้าปลูกฝัง “ต้านทุจริต” ให้เครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ ร่วมสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
วธ. เดินหน้าปลูกฝัง “ต้านทุจริต” ให้เครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ ร่วมสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อกระทรวงวัฒนธรรมต่อไป
วธ. เดินหน้าปลูกฝัง “ต้านทุจริต” ให้เครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศ ร่วมสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อกระทรวงวัฒนธรรมต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริต กระทรวงวัฒนธรรม โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการเเละเจ้าหน้าที่เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ (ผ่านระบบ Zoom Meeting)
นางยุพา กล่าวว่า การอบรมฯ ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายสมพงษ์ ตะโกพ่วง และนายภูมิภากร ภูมิวัฒน์ จาก สำนักงาน ป.ป.ช. วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ มาถ่ายทอดความรู้ และเสริมสร้างประสบการณ์แก่ผู้เข้ารับการอบรม 318 คน ประกอบด้วย ข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.วธ.) ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สำนักงานรัฐมนตรี รวมถึงเครือข่ายของ วธ. ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Zoom Meeting ซึ่งการอบรมดังกล่าว เป็นการนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti - Corruption Education) มาปรับใช้ในการอบรมของหน่วยงาน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ สามารถคิดแยกแยะประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม มีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต ควบคู่กับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบให้กับเครือข่ายของวธ. สร้างเสริมให้เครือข่ายฯ เกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อการป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐ รวมถึงให้ความร่วมมือในการสร้างสังคม สร้างวัฒนธรรม และพฤติกรรมที่ซื่อสัตย์สุจริต
ปลัด วธ. กล่าวอีกว่า วธ. ให้ความสำคัญและดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐทุกระดับ โดยที่ผ่านมาวธ. ได้มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างจิตสำนึกการเป็นพลเมืองที่ดี มีวัฒนธรรมสุจริต ไม่เพิกเฉยต่อการทุจริต มีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ จัดอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและป้องกันการทุจริตทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดกิจกรรมโครงการต่างๆ ด้านการต่อต้านทุจริต อาทิ การประกวด ‘ต่อต้านการทุจริตผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้านไทยประยุกต์’ ประจำปี 2565 ตลอดจนส่งเสริม สนับสนุนให้เครือข่ายของวธ. สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อกระทรวงวัฒนธรรมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65306 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2565 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
กรมสรรพากรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2565
ครม. มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565 เพื่อทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565 เพื่อทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ”
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริม และสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชน และระบบเศรษฐกิจ จึงได้ออกร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 1 ฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าว จึงได้กำหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ที่ได้ได้รับเป็นเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐ ดังต่อไปนี้เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1. เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม และค่าซื้อสินค้า หรือบริการที่ได้ใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ ตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5
2. เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ค่าสปาหรือนวดเพื่อสุขภาพ ค่ารถเช่าหรือเรือเช่าเพื่อการท่องเที่ยวหรือ ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
3. ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าเดินทาง และค่าซื้อแพ็กเกจทัวร์จากผู้ประกอบการนำเที่ยว ตามโครงการทัวร์เที่ยวไทย
4. ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและ ค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5
5. ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3
6. ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับตามโครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ
7. ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง
8. ค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ และบุคคลภายนอก ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง
9. ค่าตอบแทนในการให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกสถานพยาบาลตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ได้รับเงินจากการสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2565 จากภาครัฐตาม 9 ข้อดังกล่าว ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปีภาษี 2565 แต่อย่างใด”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับ เงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565 จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งยังช่วยบุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับการบรรเทาภาระภาษี และมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานต่อผู้ประกอบอาชีพอีกด้วย”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65300 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. จัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
รฟม. จัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1
ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมร่วมกับกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา FSPKT2 จัดการประชุมกลุ่มย่อย (การประชุมเพื่อพิจารณารูปแบบโครงการ) งานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง และส่วนต่อขยายไปท่าฉัตรไชย ระหว่างวันที่ 20 - 21 กุมภาพันธ์ 2566 ณ จังหวัดภูเก็ต
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ตามกลุ่มของผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง อาทิ แนวเส้นทาง รูปแบบโครงสร้าง ทางเลือกระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้า การดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และแผนการดำเนินงานในขั้นต่อไป เป็นต้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อโครงการฯ เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นดังกล่าวนำไปพิจารณาปรับปรุงผลการศึกษา ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ สอดคล้องตามระบบเทคโนโลยีรถไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65310 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมกลุ่มย่อย คณะกรรมการร่วมการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1403 โดยที่ประชุมได้หารือ ร่าง โครงการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนจากพืชพลังงาน เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรด้วยการผลิตพืชพลังงานตามแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือ เกิดธุรกิจต่อเนื่องของเกษตรกรในชุมชน เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น ภาครัฐสามารถลดค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกร ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้จากการปลูกพืชพลังงานเพื่อรองรับความต้องการสำหรับผลิตเป็นไฟฟ้าและพลังงานความร้อนตามหลักตลาดนำการผลิต เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65308 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ทาวัน ขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ลงพื้นที่บริษัท แวกซ์ กาเบ็จฯ และตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตโอ่งมังกรราชบุรี | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
ผู้ตรวจฯ ทาวัน ขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ลงพื้นที่บริษัท แวกซ์ กาเบ็จฯ และตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตโอ่งมังกรราชบุรี
นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่บริษัท แวกซ์ กาเบ็จฯ และตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตโอ่งมังกรราชบุรี
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 17.30 น. นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและนายอานันท์ ฟักสังข์ อุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้คำแนะนำบริษัท กรไทย จำกัด เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ครีมเทียม กะทิผง ขิงผง เป็นต้น บริษัทได้ดำเนินกิจการมากว่า 35 ปี โดยมุ่งเน้นใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรภายในประเทศ (Local Supply Chain) เพื่อลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยผู้ตรวจราชการ ได้เน้นย้ำให้โรงงานฯ มีการจัดการกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาทิ กากขิง กากมะพร้าว ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยนำหลักการของ BCG มาประยุกต์ใช้ ซึ่งโรงงานฯ สามารถนำกากของเสียดังกล่าว มาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเชื้อเพาะเห็ดให้แก่เกษตรกรในชุมนุมรอบโรงงานฯ ซึ่งจะเป็นการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรหรือชุมชนรอบโรงงานต่อไป อีกทั้ง ยังแนะนำให้ใช้พลังงานสะอาด เช่น การติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคา (solar roof)
21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.30 น. นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายอานันท์ ฟักสังข์ อุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี (สอจ.ราชบุรี) ลงพื้นที่ตรวจติดตามผลการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จากการประกอบกิจการของ บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่ง สอจ.ราชบุรี ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าประเมินกากอุตสาหกรรมและของเสียวัตถุอันตรายที่ตกค้างในพื้นที่ของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการประเมินราคากลาง และการจัดทำร่างขอบเขตการจ้าง (TOR) หากได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ ทั้งนี้ ได้สั่งการ สอจ.ราชบุรี เร่งรัดจัดการกากอุตสาหกรรมที่ตกค้าง ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
ต่อมาเวลา 13.30 น. คณะผู้ตรวจฯ ทาวัน ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม โรงโอ่งรัตนโกสินทร์ 1 ประกอบกิจการผลิตเครื่องปั้นดินเผา โดยมีผู้แทนสมาคมเครื่องเคลือบจังหวัดราชบุรี ให้การต้อนรับ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และมีการใช้แรงงานจากชุมชนในพื้นที่ สร้างงานและรายได้ ที่ผ่านมาได้รับคำแนะนำจากกระทรวงอุตสาหกรรม ในการปรับปรุงเตาเผาโอ่ง (เตามังกร) เพื่อลดปัญหาการเกิดควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีความประสงค์พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการสินค้ามีความสวยงาม โดดเด่น สามารถเป็นของฝากของที่ระลึก ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดราชบุรี และช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยได้มอบหมาย สอจ.ราชบุรีประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมผู้ประกอบการรายดังกล่าวอย่างต่อเนื่องให้มีความยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65301 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves delay on imposing Euro 5 emission standard on new vehicles | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
Cabinet approves delay on imposing Euro 5 emission standard on new vehicles
Cabinet approves delay on imposing Euro 5 emission standard on new vehicles
February 21, 2023, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that the cabinet approved the delay in imposing Euro 5 emission standard on newly manufactured vehicles, to be adopted as part of the Government’s action plan to drive the national agenda “solving the problem of particulate pollution”. The delay is made from the year 2021 to January 1, 2024 due to the spread of COVID-19 pandemic which has hindered private sector’s manufacturing plan and their compliance with the enforcement of Euro 5 emission standard in 2021. The cabinet also assigned Ministry of Industry to finalize the plan to impose Euro 6 emission standard on newly manufactured vehicles so that vehicle manufacturers will have time to prepare for the enforcement without impacting their operation plan.
Enforcement postponement of Euro 5 emission standard will practically allow the private sector to be ready for full compliance. Some of them have already manufactured new cars in accordance with the Euro 5 emission standard, while others are in the middle of revamping their manufacturing process. As for the incentives, Ministry of Finance has announced excise tax cut for passenger pickup vehicles that emit less than 0.0005 g./km of particulate matters (PM). Additionally, Ministry of Energy also made an announcement on gasoline quality equivalent to the Euro 5 standard.
According to the Deputy Government Spokesperson, Euro emission standard is the vehicle emission standard for pollution from the use of new vehicles in the European Union. Euro 1 emission standard came into force in 1992 in Europe. Thailand adopted Euro 1 emission standard in 1998, and continues to elevate the standard over the years to the currently-imposed Euro 4 in 2012. Euro 5 and 6 will further limit nitrogen oxide (NOx) and hydrocarbon (HC) emission, and put in place a particulate number standard (PN).
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65293 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Department of Consular Affairs to open new Legalization Office at MBK Center on March 1 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
Department of Consular Affairs to open new Legalization Office at MBK Center on March 1
Department of Consular Affairs to open new Legalization Office at MBK Center on March 1
February 22, 2023, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the Department of Consular Affairs, Ministry of Foreign Affairs is set to open a new Office of Legalization, which will be located next to its Pathum Wan Passport Office at 5th floor, MBK Center, Bangkok, from March 1, 2023 onward. The newly launched office will provide full legalization services to both Thais and foreigners in the inner Bangkok area.
With the opening of the new office in MBK Center, Legalization Office at MRT Khlong Toei will be permanently closed from February 25, 2023 onward. The last day of service provision and return of legalized documents at MRT Khlong Toei will be February 22 and 24 respectively. After February 24, the documents can be picked up at the new office in MBK.
Pathum Wan Legalization Office will be situated at the MBK Center Bangkok, 5th Floor, Zone A (No. 5A-12 and 5A-13). Services will be provided Monday - Friday (except public holidays), from 10.00 a.m. - 16.30 p.m. For further detail, please call: 08 3530 9126.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65298 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมออกสลากสัญจร งวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ ที่จังหวัดชุมพร | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมออกสลากสัญจร งวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ ที่จังหวัดชุมพร
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกรางวัลงวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรม ลอฟท์ มาเนีย บูติค โฮเทล อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร
พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่าในการออกรางวัลงวดวันที่ 1 มีนาคม 2566 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะเดินทางไปออกรางวัลสลากสัญจร ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรม ลอฟท์ มาเนีย บูติค โฮเทล อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้เห็นขั้นตอนและวิธีการตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้ในการออกรางวัลด้วยตนเอง จะได้ไม่หลงเชื่อข่าวลือเรื่องเลขเด็ดจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำการหลอกลวงต้มตุ๋น ผ่านทางสังคมออนไลน์และการส่งจดหมายแอบอ้างว่าสามารถให้ตัวเลขที่จะออกรางวัลได้ สำหรับการออกรางวัลครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติเป็นประธานกรรมการออกรางวัล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ผู้นำชุมชนและผู้แทนสื่อมวลชนในพื้นที่ร่วมเป็นคณะกรรมการออกรางวัล โดยจะเชิญข้าราชการหรือบุคลากรของจังหวัดร่วมทำหน้าที่หมุนวงล้อสลับกับพนักงานหมุนวงล้อของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย โดยการออกรางวัลเป็นไปตามมาตรฐานสากล โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้ การออกรางวัลได้ดำเนินการตามมาตรการในการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาล อย่างเคร่งครัด ด้วยการทำความสะอาดสถานที่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์ มีการตรวจวัดอุณหภูมิคณะกรรมการออกรางวัล บุคลากร สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล รวมทั้งให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่ สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมการออกรางวัลได้ด้วยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนแสดงในวันดังกล่าวด้วย และขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
- สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่เวลา 13.50 น. เป็นต้นไป
- สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป
- LINE TODAY ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
- เว็บไซต์สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
- รับฟังการถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป
ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเดินทางมาออกรางวัลสลากสัญจรแล้ว สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้จัดกิจกรรมการช่วยเหลือสังคม (CSR) ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยจัดกิจกรรมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่โรงเรียนชุมพรปัญญานุกูล อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร อีกด้วย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงขอเชิญประชาชนชาวจังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมชมการออกรางวัลสลากสัญจรครั้งนี้ได้ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวและภารกิจที่น่าสนใจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ที่ www.glo.or.th
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับ 3,000 บาท! เมื่อแจ้งเบาะแสเด็กแว้นแข่งรถจนจับกุมได้ ถ่ายภาพ-คลิปเป็นหลักฐาน แจ้ง 191, 1599, หรือเฟสบุ๊คศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร. | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
รับ 3,000 บาท! เมื่อแจ้งเบาะแสเด็กแว้นแข่งรถจนจับกุมได้ ถ่ายภาพ-คลิปเป็นหลักฐาน แจ้ง 191, 1599, หรือเฟสบุ๊คศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.
รับ 3,000 บาท! เมื่อแจ้งเบาะแสเด็กแว้นแข่งรถจนจับกุมได้ ถ่ายภาพ-คลิปเป็นหลักฐาน แจ้ง 191, 1599, หรือเฟสบุ๊คศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตของเด็กและเยาวชน อันเป็นปัญหาที่สร้างอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชนในชุมชนและสังคม มุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นางสาวรัชดา กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสการแข่งรถในทาง เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ เช่น การแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น หรือรู้ตัวผู้จัด ผู้สนับสนุนหรือส่งเสริมให้มีการแข่งรถ ให้ประชาชนบันทึกภาพและคลิปด้วยตนเองพร้อมข้อมูลรายละเอียดแล้วแจ้งผ่าน 3 ช่องทาง คือ ศูนย์ 191 สายด่วน 1599 หรือเพจเฟซบุ๊คศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร. (ส่งข้อมูล inbox )
"สำหรับข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากประชาชนสามารถนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดการแข่งรถในทางได้ ผู้แจ้งจะได้รับค่าตอบแทน รายละ 3,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีผู้แจ้ง ทั้งนี้ ปัจจุบันมีประชาชนที่ให้ข้อมูลหรือเบาะแสได้รับค่าตอบแทนแล้ว จำนวน 23 ราย เป็นเงิน 69,000 บาท" นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน บูรณาการความร่วมมือแข็งขัน เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไป UAE สำเร็จ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน บูรณาการความร่วมมือแข็งขัน เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไป UAE สำเร็จ
เชื่อเพิ่มมูลค่าส่งออกไทย ปี 2566 กว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมขยาย FTA ตลาดใหม่
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อกรณีความสำเร็จของรัฐบาลซึ่งสามารถจับคู่ทางธุรกิจสร้างมูลค่ากว่า 1,330 ล้านบาท และจัดตั้งสภาธุรกิจไทยกับ UAE เพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ประเทศในปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 ล้านบาท
จากนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการเพิ่มตลาดระหว่างประเทศสร้างโอกาสให้เศรษฐกิจไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน บูรณาการความร่วมมือเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้หารือเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยกับภาครัฐและภาคเอกชนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รับทราบผลการดำเนินงานดังกล่าว พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ UAE จนประสบความสำเร็จ เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ขยายตลาดส่งออกสินค้าไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศจำนวนมหาศาล และเป็นโอกาสขยายความร่วมมือไปยังกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐประเทศอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) อื่น ๆ ต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเดินหน้าขยายความร่วมมือดังกล่าว ภาคเอกชนไทยกับ UAE สามารถลงนามสัญญาซื้อขายจริงรวมมูลค่ากว่า 1,330 ล้านบาท โดยเป็นการจับคู่เซ็นสัญญา 5 คู่ ในกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร สุขภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเมลามีน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามเพื่อจัดตั้งสภาธุรกิจไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับ UAE ในอนาคต สร้างเม็ดเงินให้ประเทศ เพิ่มขึ้นประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับปี 2566 และเป็นโอกาสขยายตลาดส่งออกไทยไปยังประเทศในตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับมากขึ้น ผ่านความร่วมมือกับ UAE ในการเป็นประตูเชื่อมโยงการค้าการลงทุนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการขยายตลาดส่งออกไทยอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ พร้อมสั่งการเดินหน้าหาตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดส่งออกผ่านความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศมหาศาล โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปผลการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ และเปิดการเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนายกระดับสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องตามกระแสโลกด้วย ซึ่งจะช่วยเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าไทย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจโลก” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจฯ ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตยางแท่งเมืองยโสธร | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
หัวหน้าผู้ตรวจฯ ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตยางแท่งเมืองยโสธร
หัวหน้าผู้ตรวจฯ เข้าเยี่ยมชม บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) โรงงานผลิตยางแท่ง สาขายโสธร
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 17.30 น. นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะนำโดย นายชาติศักดิ์ จันทร์สุคนธ์ อุตสาหกรรมจังหวัดยโสธร หัวหน้ากลุ่มและเจ้าหน้าที่ฯ เข้าเยี่ยมชม บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) สาขายโสธร ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยางแท่ง STR 20 ใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของยางรถยนต์ พื้นรองเท้า ยางวัสดุกันกระแทก ฯลฯ
บริษัทดังกล่าวมีการจ้างงานแรงงานประมาณ 200 คน เน้นการจ้างงานจากแรงงานในพื้นที่บริเวณโดยรอบ และได้ตรวจเยี่ยมระบบบำบัดอากาศ และระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงานฯ ที่ตั้งอยู่ใน ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65299 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เร่งรัดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 408 (สะพานการะเกด) ตอน เฉลิมพระเกียรติ - ปากระวะ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น 4 ช่องจราจรให้แล้วเสร็จ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวง เร่งรัดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 408 (สะพานการะเกด) ตอน เฉลิมพระเกียรติ - ปากระวะ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น 4 ช่องจราจรให้แล้วเสร็จ
เพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมระหว่างจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ให้สมบูรณ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเดือนพฤศจิกายน 2566
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางถนนในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งรัดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 408 (สะพานการะเกด) ตอน เฉลิมพระเกียรติ - ปากระวะ ช่วงบ้านหัวสะพานการะเกด ระหว่าง กม. ที่ 37+250 - 38+610 พื้นที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว และตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จ โดยที่ผ่านมากรมทางหลวง (ทล.) ได้ก่อสร้างสะพานและขยายเส้นทางดังกล่าวเป็นขนาด 4 ช่องจราจร เหลือเพียงช่วงบริเวณคอสะพานการะเกดที่ยังไม่สามารถเข้าใช้พื้นที่เพื่อก่อสร้างถนนทั้งสองฝั่งได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินตั้งแต่ปี 2553 สำนักงานทางหลวงที่ 16 (นครศรีธรรมราช) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณคอสะพานจึงทำให้การสัญจรมีลักษณะเป็นคอขวด ประกอบกับสภาพทางเดิมชำรุดและต้องรองรับการจราจรที่มีปริมาณสูงขึ้น ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงผลักดันให้เร่งดำเนินโครงการขยายเส้นทางดังกล่าวในส่วนที่เหลืออีก 1.360 กิโลเมตร เป็นขนาด 4 ช่องจราจรให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง เป็นการยกระดับความปลอดภัยด้านการคมนาคมขนส่ง รองรับปริมาณจราจรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค เสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงพื้นที่ภาคใต้ระหว่างจังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลาให้สมบูรณ์
ทล. โดยสำนักงานทางหลวงที่ 16 (นครศรีธรรมราช) จึงได้เร่งดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจนสำเร็จเรียบร้อย และได้ส่งมอบพื้นที่ให้ศูนย์สร้างทางสงขลาเพื่อดำเนินการออกแบบและก่อสร้างต่อไป โดยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายไพจิตร แสงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงที่ 16 (นครศรีธรรมราช) นายปรัชญา นารถน้ำพอง ผู้อำนวยการศูนย์สร้างทางสงขลา และนายอมรเทพ ภักสุธีโกศล ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงนครศรีธรรมราชที่ 1 ได้ร่วมลงพื้นที่เพื่อตรวจความพร้อมก่อนดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวโดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ กม. 37+250 พื้นที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว และสิ้นสุดที่ กม. 38+610 พื้นที่ตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช รูปแบบการก่อสร้างขยายจาก 2 ช่องจราจรเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไปกลับข้างละ 2 ช่องจราจร) ผิวทางเป็นแอสฟัลท์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางชนิดเดียวกับผิวทางกว้าง 2.50 เมตร และทำการบูรณะช่วงผิวทางที่ชำรุด พร้อมทั้งก่อสร้างจุดกลับรถบริเวณใต้สะพานทั้งสองด้าน ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยตามมาตรฐาน ทล. งบประมาณโครงการ 67.5 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างในปีนี้ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 9 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนใช้บริการในการเดินทางได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566
ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งของทางหลวงหมายเลข 408 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณการจราจร ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ได้รับ ความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยในการเดินทาง รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคและระหว่างจังหวัด สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตอนบนซึ่งเป็นเมืองเป้าหมายด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จับมือ สช. ร่วมหารือขับเคลื่อนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ด้านปลัด มท. เน้นย้ำทำงานแบบ Partnership เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน | วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566
21/02/2566
มหาดไทย จับมือ สช. ร่วมหารือขับเคลื่อนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ด้านปลัด มท. เน้นย้ำทำงานแบบ Partnership เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
มหาดไทย จับมือ สช. ร่วมหารือขับเคลื่อนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ด้านปลัด มท. เน้นย้ำทำงานแบบ Partnership เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (21 ก.พ. 66) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมดำรงธรรม ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อการขับเคลื่อนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในด้านการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศ ไปใช้ขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมี นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล ผศ.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดีกรมการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการขับเคลื่อนช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนในด้านการสร้างเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงการป้องกันที่กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินภารกิจตามอำนาจหน้าที่อยู่แล้ว ทั้งด้านการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จากกระทรวงสาธารณสุขมาอยู่ในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกำกับของกระทรวงมหาดไทย โดยปัจจุบันมี รพ.สต. ได้รับการถ่ายโอนมาแล้วกว่า 4,000 แห่ง จาก 9,000 แห่ง และจะมีการถ่ายโอนเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมามีตัวอย่างความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการขับเคลื่อนของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ เมื่อ รพ.สต. ได้รับการถ่ายโอนมาอยู่กับ อบจ. แล้ว ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดก็มีความเอาใจใส่และมีความทุ่มเทอย่างมาก เช่นที่ จังหวัดเชียงใหม่ อบจ.เชียงใหม่ ได้ดำเนินการวางระบบ Telemedicine หรือการให้บริการด้านสาธารณสุขกับประชาชน โดยบุคลากรทางการแพทย์ผ่านทางเทคโนโลยีและการสื่อสารแบบ Video conference ซึ่งก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก นอกจากนี้ก็มีการสนับสนุนระบบบริการงานให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งการสนับสนุนงบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
“ภารกิจที่สำคัญของกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหรือองค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชนในองค์รวม เราทำงานในทุกด้านทุกมิติเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดยในเรื่องการส่งเสริมเรื่องสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชน โดยกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการเสริมสร้างความเข้าใจในการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ และการวางแผนของครอบครัว ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคนในอนาคต โดยได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการอำนวยการโครงการเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารกเพื่อครอบครัวไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และคณาจารย์ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในการร่วมเป็นผู้นำการขับเคลื่อน “โครงการสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก เพื่อลดภาวะคลอดก่อนกำหนด” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และการรับรู้ให้กับประชาชน เริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ จนถึงเมื่อเกิดมาเป็นทารก จะได้มีน้ำหนักถึงตามเกณฑ์ โดยขณะนี้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว ซึ่งมีความคืบหน้าหลายประการ เช่น การจัดทำคู่มือให้กับคุณแม่มือใหม่เพื่อมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ กลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อมวลชน จะเป็นกำลังหลักในการดูแลสุขภาพแม่และเด็กร่วมกับคณาจารย์ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อันสะท้อนให้เห็นว่า ภาระหน้าที่ของพวกเราชาวมหาดไทยครอบคลุมในทุกด้าน ทุกกระทรวง ทุกมิติ ที่เป็นการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น การขับเคลื่อนงานร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ในคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้มีการบูรณาการความร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ โดยกระทรวงมหาดไทย มีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมการพัฒนาชุมชน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนภารกิจที่สอดคล้องตามจุดมุ่งหมายของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติอยู่แล้ว ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพอนามัย และการพัฒนาคุณภาพชีวิต” ปลัด มท. กล่าวในช่วงต้น
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานพระอนุญาตให้น้อมนำแนวพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” มาขับเคลื่อน เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา วันที่ 8 มกราคม 2566 ซึ่งหมู่บ้านจะยั่งยืนนั้น องค์ประกอบที่สำคัญ คือ คนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีครบทุกด้าน ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มุ่งส่งเสริมบทบาทของผู้นำในพื้นที่ คือ "ท่านนายอำเภอ" โดยการให้ท่านนายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ สร้างทีมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ที่เป็นการรวมพลังจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ มาช่วยในการขับเคลื่อนงานที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เป็นเหมือนเวทีประชาชน ที่มีแนวปฏิบัติด้วยการลงพื้นที่ไปพบปะ ไปพูดคุย ติดตามถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ท้ายสุดพี่น้องประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของการขับเคลื่อนงานอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข คือ เรื่องการส่งเสริมสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก และการดูแลเด็กเล็กให้เติบโตตามเกณฑ์ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจัดตั้งกองสาธารณสุขท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการดูแลภาพรวมของสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันจะทำให้เรามีกรอบการทำงานตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น นอกจากนี้ ในด้านการทำให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพที่ดี กระทรวงมหาดไทยโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดได้มีการลงนาม MOU ร่วมกับ UN ประจำประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายอย่างยั่งยืน (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ด้วยทีมกลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับพื้นที่ ทั้งทีมอำเภอ แบ่งเป็น ทีมที่เป็นทางการ คือ ปลัดอำเภอเป็นหัวหน้าทีมข้าราชการประจำตำบล ทีมคณะกรรมการหมู่บ้าน และทีมจิตอาสาจาก 7 ภาคีเครือข่าย โดยมี “นายอำเภอทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของอำเภอ” รวมทั้งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำหน้าที่ในการประสานการพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ การส่งเสริมการคัดแยกขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยให้กับประชาชนแล้ว ขณะนี้ถังขยะเปียกลดโลกร้อนได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชน และมี “กรมการพัฒนาชุมชน” ทำหน้าที่เข้าไปส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนด้วยการทำงานเชิงรุกที่สำคัญ คือ การน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคีของสมาชิกในครอบครัว ของคนในชุมชน และเป็นการสร้างสุขภาพจากการได้บริโภคผักที่ปลอดสารพิษ สารเคมี รวมถึงการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อเป็นกองทุนในการป้องกันดูแลสมาชิกในชุมชนให้ห่างไกลจากยาเสพติด และการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติมาร่วมหารือและเป็นภาคีเครือข่ายกับกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ จะทำให้เราทั้งสองหน่วยงานได้บูรณาการความร่วมมือกันในการทำงานอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ทำให้เรามีเพื่อน หรือ Partnership ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 17 ที่จะช่วยในการออกแรงคิด ออกแรงทำ จึงขอให้ทุกภาคส่วนได้พยายามทำให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลเป็นรูปธรรม อย่าให้เป็นเพียงเรื่องทางธุรการหรือเอกสาร ด้วยการมีสิ่งที่สำคัญคือแรงปรารถนา หรือ Passion เพื่อให้สิ่งที่เราคิดจะทำ สามารถ active ตลอดเวลา เพื่อผลประโยชน์สูงสุดโดยตรงต่อพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจ “ทำให้สำเร็จ” ไม่ใช่เพียงแค่เสร็จ หรือแค่สุขเอาเผากิน ร่วมกันทำทุกวิถีทางให้ “ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ” ฉบับนี้ เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติ เป็น Action Plan ในการ Change for Good ทำให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน
ด้าน นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ เป็นเครื่องมือที่สำคัญภายใต้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 46-48 ที่กำหนดให้ใช้เป็นกรอบและแนวทางในการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศ (National Guideline for Equitable Health System) และกำหนดให้มีการทบทวนอย่างน้อยทุกห้าปี เพื่อให้มีความสอดคล้องเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และในส่วนของธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเสนอเรื่องเพื่อนำไปประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในการใช้ธรรมนูญฯ นี้ เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการป้องกันโควิด-19 ในท้องถิ่น ทั้งนี้ หาก สช. ได้ใช้ธรรมนูญ ฉบับที่ 3 มาขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จะทำให้ สช. สามารถขับเคลื่อนงานด้านการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนได้เป็นรูปธรรม เกิด Wealth Being เฉกเช่นผลสำเร็จที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำสำเร็จแล้ว โดยความร่วมมือในการครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยถือเป็นภาคีเครือข่ายแกนหลักที่สำคัญของ สช. ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานทั้งในระดับท้องที่ และท้องถิ่น เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65281 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ผลักดันพืชยางพาราเป็นเป้าหมายคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนฯ EEC พร้อมชูให้ยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติของไทย | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
นายกฯ เปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ผลักดันพืชยางพาราเป็นเป้าหมายคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนฯ EEC พร้อมชูให้ยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติของไทย
นายกฯ เปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ผลักดันพืชยางพาราเป็นเป้าหมายคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนฯ EEC พร้อมชูให้ยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติของไทย ก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางยางพาราในเวทีการค้าโลก
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 ก.พ.66) เวลา 15.30 น. ณ สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดระยอง ต.ชุมแสง อ.วังจันทร์ จ.ระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ซึ่งสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการยางและถุงมือยาง และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พร้อมเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชนร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 26 ก.พ. 2566 เพื่อผลักดันพืชยางพาราให้เป็นเป้าหมายคลัสเตอร์ที่ 6 ตามแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พ.ศ. 2566 – 2570 ปี พ.ศ. 2566 รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องมีความกระตือรือร้น ด้านการสร้างความร่วมมือของประเทศผู้ผลิตยางพารา ทั้งเกษตรกรสวนยางพารา อุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ โดยเน้นความต้องการของผู้บริโภค การประยุกต์ และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดสินค้าเกษตร ให้เกิดการกระจายรายได้สู่เกษตรกร ภายใต้การขับเคลื่อน “โครงการเกษตรปลอดภัยครัวไทยสู่ครัวโลก” และ “ระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อม” เพื่อแก้ปัญหาภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยให้ยั่งยืน
โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายอำนวย ปะติเส นายกสมาคมนักวิชาการยางและถุงมือยาง นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานรับมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี ให้ลูกหลานชาวสวนยางจังหวัดระยอง จำนวน 7 ทุน จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนดรุณารู้เจ่อ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวรู้สึกยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ได้ร่วมกับส่วนราชการและภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการต่าง ๆ จัดขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับยางพาราและภาคเกษตรของไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นเท่าเทียมกับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ในการดูแลพืชเกษตรสำคัญของประเทศ 6 ชนิด ผ่านการประกันราคาพืชเกษตรดังกล่าว รวมถึงการดูแลพืชยางพาราและราคายางพาราในประเทศให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตยางพาราและส่งออกเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่กำหนดราคาในตลาดโลกไม่ได้ ดังนั้นต้องหาแนวทางในการที่ต้องมีการรวมกลุ่มประเทศผู้ผลิตยาง เพื่อให้ได้ราคายางในราคาที่เป็นธรรมกับการประกอบการของเกษตรกร ขณะเดียวกันก็หาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต มีการพัฒนาแปรรูปยางพาราที่สอดคล้องกับความต้องการ ตลาดและผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพื่อให้ขายได้ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้ทุกคนทำเกษตรที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดนลดใช้สารเคมีหันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพแทน รวมถึงต้องปลูกพืชในพื้นที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการกีดกันทางการค้ากับต่างประเทศ เพราะจะมีการตรวจสอบย้อนกลับทุกสิ่งที่มาของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ รวมทั้งปรับตัวและพัฒนายางให้มีคุณภาพทันกับการเปลี่ยนแปลง รับความต้องการของโลก โดยเฉพาะการผลิตแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ต้องพัฒนาให้มีคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐานระดับสากล สามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้โดยไม่ถูกกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพาราด้านสุขภาพ ต้องทำให้มีความปลอดภัยและมีคุณภาพ
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเร่งขับเคลื่อนให้ GDP ของประเทศเติบโตขึ้น โดยเร่งพัฒนาประเทศ เพิ่มผลผลิตและรายได้ของประชาชน ควบคู่กับหารายได้จากต่างประเทศเข้าประเทศด้วยวิธีการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่ม GDP อีกทางหนึ่ง รวมถึงการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ EEC ซึ่งขณะนี้ก็มีความก้าวหน้าโดยลำดับ และเศรษฐกิจ BCG รวมถึงการเจรจาความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น FTA รวมทั้งประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น จึงขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กำหนด
นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือร่วมใจในการผนึกกำลังของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และขอบคุณชาว EEC ทุกคน ข้าราชการ ผู้ประกอบการและนักลงทุนภาคเอกชน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น พร้อมอวยพรให้งานนี้ประสบความสำเร็จตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรยุคใหม่ของไทยให้เจริญก้าวหน้า สร้างรายได้ สร้างอาชีพ และความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ทุกคนสืบไป
ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง ได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 รวมทั้งเห็นความสำคัญพืชเศรษฐกิจยางพาราของประเทศไทยและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราอย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การรวบรวม ไปจนถึงการขายที่ใช้การตลาดนำการผลิต รวมถึงการขับเคลื่อนโครงการเกษตรปลอดภัยครัวไทยสู่ครัวโลก” และ “ระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อม” นอกจากนี้ ยังได้มีการเชื่อมโยงการนำนวัตกรรมการตรวจวัดคาร์บอนเครดิตในสวนยาง กับ บ.วารุณา ในเครือ ปตท. และบ. SCGC ในเครือปูนซีเมนต์ไทย พื้นที่สวนยาง จ.ระยอง ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางด้วย พร้อมทั้ง ผลักดันให้ “ยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติ ก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางยางพารา (Hub) ของโลก เกิดความมั่นคงด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมทั้ง การผลักดันระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เป็นวาระประเทศไทย โดยมีเป้าหมาย (Goal) สร้างความมั่นคงทางอาหาร ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้ตัวชี้วัด (Target) อันจะส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนายางพาราและพืชเศรษฐกิจภาคตะวันออกในองค์รวม เกิดความยั่งยืนต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ Business Matching พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ EEC ต้นแบบพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์อย่างบูรณาการ นิทรรศการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางใหม่และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางไทยเพื่อการใช้งานในประเทศ การพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านอุตสาหกรรมยาง พร้อมชมการเติมทุนพัฒนาเพิ่มศักยภาพ SME ไทย การใช้จุลินทรีย์นาโนเทคโนโลยีจบปัญหาเรื่องดินเค็ม ดินเสื่อม ดินเปรี้ยว ดินน้ำท่วมขัง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ทดลองสวมถุงมือผ้าเคลือบยางฟองน้ำ ย้ำให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องและขยายองค์ความรู้ต่อให้เกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตและให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง รวมทั้งการทำให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมรับรองด้วย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกรีดยางหน้าสูงแนวใหม่โดยใช้เครื่องกรีด ชมองค์ความรู้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อพัฒนาวิชาชีพเกษตรกร พร้อมให้กำลังใจสภาเกษตรกร และชมระบบลำเลียงน้ำยางเพื่อวัลคาไนซ์อย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องเร่งอนุภาค ให้คำแนะนำ การใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์เพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ นำทางการปลูกกล้าไม้เศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมคาร์บอนเครดิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ลดการใช้ปุ๋ยเคมีตามนโยบาย BCG ของรัฐบาล
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร นายกรัฐมนตรีได้ทักทายประชาชนผู้มาร่วมงานพร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยประชาชนกล่าวให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65322 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - กานา ขยายความร่วมมือด้านการเกษตร ชื่นชมแนวทางศาสตร์พระราชา โครงการพระราชดำริฯ ยกเป็นต้นแบบพัฒนาอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ไทย - กานา ขยายความร่วมมือด้านการเกษตร ชื่นชมแนวทางศาสตร์พระราชา โครงการพระราชดำริฯ ยกเป็นต้นแบบพัฒนาอย่างยั่งยืน
‘อลงกรณ์’ เผย กระทรวงเกษตรฯ พร้อมหนุนเทคโนโลยี องค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ให้คำแนะนำ ผลักดันความร่วมมือสู่ความสำเร็จระหว่างประเทศ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ ดร.สิชา สิงห์สมบุญ กงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐกานาประจำประเทศไทย และคณะ โดยมี นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจิตติศักดิ์ ศรีปัญญา ผู้อำนวยการกองนโยบายเทคโนโลยีและเกษตรกรรมยั่งยืน สำนักการเกษตรต่างประเทศ ผู้แทนกรมการข้าว กรมชลประทาน กรมประมง สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (112) สำหรับการประชุมหารือกันในวันนี้มีประเด็นหารือที่สำคัญ อาทิ เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการข้าวรักษ์โลก BCG Model ที่เป็นแนวทางการการปฏิวัติการทำนาสู่ความยั่งยืน การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพ รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่น ๆ
จากการหารือร่วมกันในวันนี้ ทราบว่าประเทศกานามีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวและเพิ่มผลผลิตภายในประเทศมากขึ้น และมีความสนใจในแนวทางพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการทำการเกษตรแบบ BCG Model โดยเฉพาะข้าวรักษ์โลกที่ช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมี และยังเป็นแนวทางใหม่ของการทำการเกษตรโลก เนื่องจากกานามีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการเกษตร และแรงงานไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านเกษตร เกษตรกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบดั้งเดิม ยังไม่ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากนัก ไม่นิยมใช้ปุ๋ยทำการเกษตรเพาะปลูก ทำให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตต่ำ
นอกจากนี้ ไทยยังพร้อมให้ความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี สนับสนุนองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และสนับสนุนด้านต่าง ๆ ในเรื่องของการผลิตข้าว โดยเฉพาะ “การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพ” ซึ่งเป็นประเด็นที่กานาสนใจ โดยกรมการข้าวและประเทศกานาได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าวกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล สนับสนุนด้านวิชาการ เครื่องมือเครื่องจักร และเทคโนโลยีต่อไป เป็นไปตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญในการสนับสนุนและขยายความร่วมมือด้านการเกษตรกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
ทั้งนี้ กานายังได้ชื่นชมแนวทางศาสตร์พระราชา ตลอดจนโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ซึ่งได้นำไปประยุกต์ใช้พัฒนาในด้านการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุน ผ่านโครงการที่ได้ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โคกหนองนาโมเดล เป็นต้น โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการข้าว กรมชลประทาน กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมพัฒนาที่ดิน และกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อหารือร่วมกับกานา เพื่อศึกษาดูความเป็นไปได้ในความร่วมมือพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ต่อไป
สำหรับความสำเร็จของโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาเป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำสำหรับทำการเกษตร และเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บรรเทาปัญหาการว่างงาน ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคการเกษตรกรรมไปสู่ภาคอื่น ๆ และเพื่อให้มีความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ ปัจจุบันโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการผ่านกรมส่งเสริมการเกษตร และ ศพก. ด้านเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมา (ตั้งแต่ ก.ค. 63 ถึง ธ.ค. 64) มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 27,117 ราย มีการจ้างงานเกษตรกรและบุตรหลานเกษตรกร 13,529 ราย เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ในพื้นที่ มีพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มขึ้น 96,215 ไร่ พื้นที่กักเก็บน้ำ เพิ่มขึ้น 68 ล้านลูกบาศก์เมตร มีการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกิดความหลากหลายของชนิดพืช และมีการเกื้อกูลของกิจกรรมด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกร เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้น 2,300 บาทต่อครัวเรือน เกษตรกรอยู่ดี กินดี พึ่งพาตนเอง ดังนี้ 1) ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จากการบริโภคอาหารที่ผลิตได้ 1,456 บาท/ครัวเรือน/ปี และจากการเก็บพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ไว้ทำพันธุ์ 1,854 บาท/ครัวเรือน/ปี 2) ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต 1,584 บาท/ครัวเรือน/ ปี 3) ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 7,332 บาท/ครัวเรือน/ปี และสุดท้าย 4) เกิดความยั่งยืน โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ มีการทำเกษตรทฤษฎีใหม่อย่างต่อเนื่อง และขยายผลองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรรายอื่น ซึ่งฝ่ายกานาที่เป็นประเทศที่ประสบปัญหาความมั่นคงทางอาหารสามารถนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ไปปรับใช้เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับพื้นที่ได้
กานามีการเติบโตของสังคมเมืองมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยแล้วเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก จึงส่งผลให้กานายังต้องการนำเข้าข้าวและสินค้าแปรรูปเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยเล็งเห็นในศักยภาพของกาน่าเนื่องจากเป็น Hub ในกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของไทยในการขยายตลาด ทั้งนี้ ภาพรวมการค้าสินค้าเกษตร กานาเป็นประเทศคู่ค้าสินค้าเกษตรอันดับที่ 74 ของไทย ในระหว่างปี2563 - 2565 มีสัดส่วนการค้าสินค้าเกษตรร้อยละ 0.11 ของมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับโลก โดยในปี 2563 มีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตร 2,183 ล้านบาท และในปี 2564 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,590 ล้านบาท แต่ในปี 2565 มีมูลค่าลดลงเหลือ 1,729 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรเฉลี่ยปีละ 2,167 ล้านบาท ทั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ากับกานามาโดยตลอด สำหรับสินค้าส่งออกเกษตรของไทยไปกานามีสัดส่วนการส่งออกรวมกันถึงร้อยละ 98.37 โดยมีสินค้าเกษตรที่สำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว เครื่องดื่ม เช่น นมยูเอชที นมถั่วเหลือง น้ำมะพร้าว เป็นต้น ปลายข้าว ปลาทูนา ปลาสคิปแจ็ค และปลาโบนิโต (ชนิดซาร์ดา) บรรจุกระป๋อง เต้าหู้ แวฟเฟิลและเวเฟอร์ ขนมที่ทำจากน้ำตาลที่ไม่มีโกโก้ผสม เช่น ลูกกวาด ช็อกโกแลตขาว น้ำมันดิบ สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง และขนมปังกรอบ ส่วนสินค้านำเข้า 10 อันดับแรก มีสัดส่วนการนำเข้ารวมกันถึงร้อยละ 99.88 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรจากกานา ได้แก่ โกโก้เพสต์ไม่เอาไขมันออก ปลาทูนาครีบเหลืองแช่แข็ง ปลาสคิปแจ็ค (ปลาโอท้องแถบ) แช่แข็ง ร็อกลอบสเตอร์และกุ้งหัวโขนอื่น ๆ (ชนิดพาลินูรัส ชนิดพานูลิรัส ชนิดจาซัส) แช่แข็ง ปลาบิกอายทูนา (ทูนนัสโอเบซัส) แช่แข็ง น้ำมันมะพร้าวอื่น ๆ เช่น แฟรกชันของน้ำมันมะพร้าวที่ไม่ทำให้บริสุทธิ์ แพะ ปลามีชีวิตอื่น ๆ เช่น ลูกปลา น้ำมันอิลลิพีนัต และสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังนอกจากสัตว์น้ำจำพวกครัสตาเซียและโมลลุสก์อื่น ๆ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยเองรับเรื่องชาวอุบล ร้องถูก ผญบ. โกงที่ดินแอบเอาโฉนดไปจำนองแล้วเบี้ยวหนี้จนถูกตามยึด สั่ง ดีเอสไอ-สยจ. ลงพื้นที่ช่วยด่วน | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยเองรับเรื่องชาวอุบล ร้องถูก ผญบ. โกงที่ดินแอบเอาโฉนดไปจำนองแล้วเบี้ยวหนี้จนถูกตามยึด สั่ง ดีเอสไอ-สยจ. ลงพื้นที่ช่วยด่วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลุยเองรับเรื่องชาวอุบล ร้องถูก ผญบ. โกงที่ดินแอบเอาโฉนดไปจำนองแล้วเบี้ยวหนี้จนถูกตามยึด สั่ง ดีเอสไอ-สยจ. ลงพื้นที่ช่วยด่วน ประสานบังคับคดีชะลอยึดที่ดิน พร้อมให้กองทุนยุติธรรมจัดหาทนายสู้คดี
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนและพูดคุยกับตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี ที่เดือดร้อนจากปัญหาถูกฉ้อโกงที่ดิน โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน และ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง
นายอมร ศรีตะคุ ตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า ที่ดินผืนนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่รวมกันกว่า 30 ราย โดยอยู่กันมานานประมาณ 50 ปีแล้ว โดยซื้อที่ดินจากผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ปี 2514 แต่ไม่มีสัญญาซื้อขาย เพราะเป็นที่ดินไม่มีโฉนด ต่อมาผู้ใหญ่บ้านกลับนำที่ดินนี้ไปออกโฉนดเป็นชื่อตัวเอง และนำไปจำนองกับนายทุนหลายราย แต่ไม่ชำระหนี้ ทำให้ที่ดินบางส่วนถูกยึดไปแล้ว และบางส่วนกำลังจะถูกยึด และมีการฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านบางรายก็ขอเช่าซื้อจากนายทุน แต่ก็มีราคามาก โดยวันนี้ทุกคนเดือดร้อน กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะกลัวจะถูกไล่ที่ จนไม่มีที่อยู่
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนจะให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับสำนักงานยุติธรรมจังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อตรวจสอบในเรื่องนี้ ว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ อย่างไร และให้กองทุนยุติธรรม จัดหาทนายความเพื่อช่วยชาวบ้านในการสู้คดี ส่วนที่มีการฟ้องร้องยึดที่ดินกัน ก็ให้ประสานไปยังกรมบังคับคดีเพื่อชะลอเอาไว้ก่อน เรื่องนี้เป็นความทุกข์ของชาวบ้าน หากเรื่องไหนทำได้ก็ให้ทำเลย หากเรื่องไหนทำไม่ได้ก็ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งช่วยเหลือและหาทางออกอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้หลังที่นายสมศักดิ์ ได้ให้หน่วยงานต่างๆ เข้าช่วยเหลือ ชาวบ้านต่างดีใจที่มีความหวังในการที่จะได้ที่ดินของตัวเองกลับคืนมา และได้ขอถ่ายรูปคู่กับนายสมศักดิ์และคณะอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65313 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝ่ายปกครองเมืองคอนศรีฯ ขยายผลจับกุมพ่อค้ายาเสพติด พร้อมของกลางกว่า 3,000 เม็ด ด้านพ่อเมืองเน้นย้ำ เดินทางกวาดล้างยาเสพติดให้สิ้นซาก สร้างพลังภาคีเครือข่ายร่วมแจ้งเบาะแสยาเสพติด | วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566
21/02/2566
ฝ่ายปกครองเมืองคอนศรีฯ ขยายผลจับกุมพ่อค้ายาเสพติด พร้อมของกลางกว่า 3,000 เม็ด ด้านพ่อเมืองเน้นย้ำ เดินทางกวาดล้างยาเสพติดให้สิ้นซาก สร้างพลังภาคีเครือข่ายร่วมแจ้งเบาะแสยาเสพติด
ฝ่ายปกครองเมืองคอนศรีฯ ขยายผลจับกุมพ่อค้ายาเสพติด พร้อมของกลางกว่า 3,000 เม็ด ด้านพ่อเมืองเน้นย้ำ เดินทางกวาดล้างยาเสพติดให้สิ้นซาก สร้างพลังภาคีเครือข่ายร่วมแจ้งเบาะแสยาเสพติดผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (21 ก.พ. 66) นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้น โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการทั้งด้านการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม ซึ่งพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดมุ่งดำเนินการตามนโยบายด้านยาเสพติดที่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมอบหมายให้ทุกจังหวัดและทุกอำเภอทั่วประเทศ ประกาศสงครามกับยาเสพติด เพื่อทำให้สังคมไทยเกิดความผาสุก ประชาชนสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ด้วยการ Scan ค้นหา Re X-Ray ข้อมูล ผู้ค้า/ผู้เสพ ยาเสพติด แล้วดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดยาเสพติดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับผู้เสพให้สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา ด้วยการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย เพื่อให้งานสามารถบรรลุผลอย่างเต็มศักยภาพ เกิดสวัสดิภาพและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราช มุ่งมั่นในการนำนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย มาขับเคลื่อน ด้วยการกำชับให้ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบ Partnership สร้างภาคีเครือข่ายลงถึงระดับหมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ ความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเดินหน้ากวาดล้างยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากนครศรีธรรมราชและประเทศไทย
“ทั้งนี้ ฝ่ายปกครองนำโดยชุดปฏิบัติการพิเศษจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี นายหมวดโท ณัฐวัฒน์ พรหมนวล หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษจังหวัดนครศรีธรรมราช นำกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) เข้าทำการขยายผลจับกุม นายประสิทธิ์ ภูมิลำเนา ตำบลทุ่งปรัง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และนายไชยยา ภูมิลำเนา ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 3,038 เม็ด ยาไอซ์ น้ำหนักรวมถุง 1 กรัม พร้อมเงินสด 3,770 บาท และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ VIVO และซิมการ์ด รวม 1 เครื่อง ซึ่งสามารถทำการจับกุมได้ที่ ริมถนนดำ ร.พ.ช. สายทุ่งปรัง เขาเหล็ก หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งปรัง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์และยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์และยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต” ผวจ.นครศรีธรรมราช กล่าว
นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังคงเดินหน้าขจัดยาเสพติดให้หมดไปจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ยาเสพติดมีที่ยืนในสังคม พร้อมทั้งสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ความรู้ กับกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และพี่น้องประชาชนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อเป็นเครือข่ายของภาครัฐในการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและความผิดทุกประเภทที่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแสยาเสพติด สามารถแจ้งผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65284 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล ต้อนรับผู้ตรวจการแผ่นดิน ในโอกาสศึกษาดูงานกระทรวงอุตสาหกรรม | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล ต้อนรับผู้ตรวจการแผ่นดิน ในโอกาสศึกษาดูงานกระทรวงอุตสาหกรรม
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ต้อนรับ รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ เนื่องในโอกาสศึกษาดูงานกระทรวงอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ต้อนรับ รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ เนื่องในโอกาสศึกษาดูงานกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้นำเสนอการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงตามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทั้ง 13 ด้าน บนพื้นฐานของนโยบาย "MIND" ใช้ "หัว" และ "ใจ" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน เช่น การบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลโรงงานเหมืองแร่ กลไกในการบริหารจัดการงบประมาณ เชื่อมโยงความร่วมมือ “อาชีพดีพร้อม” กับกระทรวงต่าง ๆ นโยบายช่วยโควิด-19 : 90 วันทำทันที การสนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ การดูแลผู้บริโภคผ่านสินค้าของผู้ประกอบการที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. QR Code และ Eco Sticker รวมถึงระบบต่าง ๆ ได้แก่ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ (I-DEE)และ ระบบทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรม เชื่อมโยงทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมi-Industry เป็นต้น บนพื้นฐานของความสำเร็จ 4 มิติ ได้แก่ 1. ด้านธุรกิจ 2. ด้านชุมชนและสังคม 3. ด้านสิ่งแวดล้อม และ 4. ด้านการกระจายรายได้
นอกจากนี้ ผู้บริหารกระทรวง ยังได้ตอบข้อซักถามต่าง ๆ ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะสอบถาม ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะได้ชื่นชมการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ทั้งตามหน้าที่พื้นฐานของรัฐ และหน้าที่ของรัฐในการกำกับให้สิทธิของประชาชน เป็นสิ่ง “ฉันต้องได้” รวม 13 ด้านอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “คุณธรรม ในสังคมไร้พรมแดน” | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ปลัดดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “คุณธรรม ในสังคมไร้พรมแดน”
ปลัดดีอีเอส บรรยายพิเศษเรื่อง “คุณธรรม ในสังคมไร้พรมแดน”
วันนี้ (22 ก.พ 66) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นวิทยากรพิเศษเรื่อง “คุณธรรม ในสังคมไร้พรมแดน” ในโครงการพัฒนาหลักสูตร Moral Community Towards Sustainable Development Forum จัดโดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับ คณะสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65318 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอสร่วมประชุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ภายใต้การประชุม TELWG ครั้งที่ 66 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอสร่วมประชุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ภายใต้การประชุม TELWG ครั้งที่ 66
ดีอีเอสร่วมประชุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ภายใต้การประชุม TELWG ครั้งที่ 66
วันที่ 20 ก.พ. 66 - นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มกำกับด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Security and Trust Steering Group - STSG) ภายใต้การประชุมคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ 66 (APEC TELWG 66) โดยที่ประชุมกลุ่มกำกับ STG ได้มีการพิจารณารายละเอียดกิจกรรมและผลลัพธ์ที่คาดหวังของโครงการ ซึ่งข้อเสนอโครงการดังกล่าวของไทย ได้รับการตอบรับและสนับสนุนจากที่ประชุมกลุ่มกำกับ STG เป็นอย่างดี โดยได้มีการนำเสนอร่างข้อเสนอโครงการดังกล่าวต่อที่ประชุม APEC TELWG ครั้งที่ 66 เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 2566) และที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบและรับรองข้อเสนอโครงการ APEC Online Scams Exchange Forum ของไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม การประชุมกลุ่มกำกับ STSG เป็นการประชุมที่มุ่งเน้นด้านการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก โดยรองปลัดกระทรวงฯ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย TELWG ได้นำเสนอร่างข้อเสนอโครงการ APEC Online Scams Exchange Forum ซึ่งโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ด้านนโยบายและกฎระเบียบข้อบังคับ เกี่ยวกับการป้องกันและการรับมือกับปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ณ เมืองปาล์มสปริงส์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
____________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65307 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ถกร่วม JETRO Bangkok ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลไทย – ญี่ปุ่น | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอส ถกร่วม JETRO Bangkok ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลไทย – ญี่ปุ่น
ดีอีเอส ถกร่วม JETRO Bangkok ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลไทย – ญี่ปุ่น
วันนี้(22ก.พ66)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ให้การต้อนรับMr. Kuroda Junประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น(Japan External Trade Organization: JETRO Bangkok)และหอการค้าญี่ปุ่น–กรุงเทพมหานคร(Japanese Chamber of Commerce, Bangkok: JCCB)เพื่อหารือและรายงานผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยประจำครึ่งปีหลังพ.ศ. 2565
ในโอกาสนี้Mr. KURODA Junได้รายงานว่าในช่วงที่ผ่านมาไทยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารดีขึ้นและได้ขอรับการสนับสนุนจากดีอีเอสในเรื่องรัฐบาลดิจิทัลโดยเฉพาะการให้บริการของหน่วยงานรัฐผ่านระบบออนไลน์การลดการใช้กระดาษการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์สอดรับนโยบายของรัฐบาลไทยในปัจจุบันที่มุ่งส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และDigital IDเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยณห้องประชุมMDES 1ชั้น9สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65320 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2565 แล้ว 553,795 ครัวเรือน เป็นเงิน 3,503 ล้านบาท โดยมติครม. ให้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผยรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2565 แล้ว 553,795 ครัวเรือน เป็นเงิน 3,503 ล้านบาท โดยมติครม. ให้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
โฆษกรัฐบาลเผยรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2565 แล้ว 553,795 ครัวเรือน เป็นเงิน 3,503 ล้านบาท โดยมติครม. ให้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณท์ ครอบคลุม โปร่งใส และเป็นธรรมกับประชาชนผู้ประสบภัย
วันนี้ (22 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยความคืบหน้าในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) เห็นชอบอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 66 จังหวัด โดยให้ความช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ (20 มีนาคม 2566) เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือที่กำหนดไว้ ให้ถูกต้อง ชัดเจนครอบคลุม โปร่งใส และเป็นธรรมกับประชาชนที่ประสบภัย
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย รายงานผลการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 (ข้อมูล ณ 17 กุมภาพันธ์ 2566) คงเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มีผู้ยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 56 จังหวัด รวมจำนวน 594,477 ครัวเรือน จากข้อมูลผู้ประสบอุทกภัยเบื้องต้น จำนวน 1,046,460 ครัวเรือน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งบัญชีรายชื่อครัวเรือนที่ขอรับความช่วยเหลือให้ธนาคารออมสิน และได้โอนจ่ายเงินให้แก่ผู้แก่ผู้ประสบภัย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 55 จังหวัด รวมจำนวน 553,795 ครัวเรือน เป็นเงิน 3,503,555,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ประสบอุทกภัยอยู่ในกระบวนการจ่ายเงินช่วยเหลืออีก 25,947 ครัวเรือน และคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือประมาณ 147,789,000 บาท ยังคงเหลือวงเงินที่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่าย งบกลาง จากสำนักงบประมาณราว 2,607,196,000 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65297 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.