title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ณัฏฐิญาฯ เป็นประธานการจัดทำรายงานประจำปี สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
รองปลัดฯ ณัฏฐิญาฯ เป็นประธานการจัดทำรายงานประจำปี สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี 2565
การประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดทำแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (2566- 2570) แผนปฏิบัติราชการรายปี และการจัดทำรายงานประจำปี สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (สปอ.) ครั้งที่ 1/2566
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดทำแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (2566- 2570) แผนปฏิบัติราชการรายปี และการจัดทำรายงานประจำปี สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (สปอ.) ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นางสาวณริดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคาร สปอ. และผ่านระบบ Zoom Meeting
โดย รสอ.รก.รปอ. ได้แนะนำให้การจัดทำรายงานประจำปีในปีนี้ มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการกำหนด Theme ของหนังสือ การร้อยเรียง การจัดหมวดหมู่ และลำดับความสำคัญของเนื้อหา การออกแบบให้สวยงามและทันสมัย โดยขอให้นำเสนอรูปแบบออกนอกกรอบจากแนวความคิดเดิม ๆ เพื่อให้หนังสือมีความโดดเด่น น่าอ่าน และการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ ได้ฝากให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนำเสนอผลการดำเนินงานจากพื้นที่ที่สะท้อนผลผลิต และผลลัพธ์ของการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นถึงความสำเร็จของโครงการที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการในปี 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ในด้านการประชาสัมพันธ์ควรมีการเผยแพร่รายงานประจำปีไปยังช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบภารกิจ และสร้างภาพลักษณ์ให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65292 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาความช่วยเหลือชาวสวนยาง มอบ กยท.ทำรายละเอียดโครงการประกันรายได้ สินเชื่อหมุนเวียนผู้ประกอบการไม้ยางเสนอเข้า ครม. | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาความช่วยเหลือชาวสวนยาง มอบ กยท.ทำรายละเอียดโครงการประกันรายได้ สินเชื่อหมุนเวียนผู้ประกอบการไม้ยางเสนอเข้า ครม.
รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาความช่วยเหลือชาวสวนยาง มอบ กยท.ทำรายละเอียดโครงการประกันรายได้ สินเชื่อหมุนเวียนผู้ประกอบการไม้ยางเสนอเข้า ครม.
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมและรัฐบาลให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรและมีมาตรการหรือแนวทางช่วยเหลือ ให้เกษตรมีระดับรายได้ที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ พร้อมกับมีมาตรการคู่ขนานเพื่อให้เกิดการดูแลสินค้าเกษตรแต่ละชนิดอย่างรอบด้าน
ล่าสุดรัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวลดลง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้ระบุในรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส4/65 ถึงราคายางพาราที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 13.7 โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 66 ได้รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) จัดทำรายละเอียดเสนอให้ ครม. พิจารณาอนุมัติเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การดำเนินการตามมติ กนย. ประกอบด้วย โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 4 โดยเป็นการประกันรายได้ให้ชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่กับ กยท. ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2565 จำนวน 1,604,379 ราย แบ่งเป็น เจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทำ 1,372,865 ราย และคนกรีดยาง 231,514 ราย โดยเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว พื้นที่รวม 18.18 ล้านไร่ ระยะเวลาประกันรายได้ 2 เดือน (ต.ค. – พ.ย.2565) ภายใต้กรอบงบประมาณรวม 7,643 ล้านบาท
พร้อมกันนี้มีโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ ระยะที่ 2วงเงิน 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการของโครงการ 2 ปี โดยโครงการนี้รัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการโดยการชดเชยดอกเบี้ย ตามโครงการฯ 1 ปี โดยชดเชยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม.ยังได้รับทราบถึงกรณีที่รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ ได้มีการบังคับใช้กฎหมายห้ามใช้ถุงมือยางลาเท็กซ์ในกลุ่มธุรกิจบริการอาหาร และกลุ่มการให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้ กนย.ได้มอบหมายกระทรวงเกษตรฯ โดย กยท. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ โดยเร่งด่วน
รวมถึงรับทราบความคืบหน้าของแผนปฏิบัติการด้านยางพารา พ.ศ. 2566-80 (ระยะ 15 ปี) ซึ่งจะเป็นแผนที่เป็นกรอบการพัฒนายางพาราอย่างรอบด้าน โดย กยท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนละจะเริ่มนำแผนไปสู่การปฏิบัติตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65286 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ลุย อีสาน นายกฯ มอบขับเคลื่อนขอนแก่น Smart City ผลักดันภาคอุตสาหกรรมรถไฟฟ้ารางเบา ร่วมกิจกรรม สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน เน้นย้ำรัฐบาลมุ่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
“ธนกร” ลุย อีสาน นายกฯ มอบขับเคลื่อนขอนแก่น Smart City ผลักดันภาคอุตสาหกรรมรถไฟฟ้ารางเบา ร่วมกิจกรรม สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน เน้นย้ำรัฐบาลมุ่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
“ธนกร” ลุย อีสาน นายกฯ มอบขับเคลื่อนขอนแก่น Smart City ผลักดันภาคอุตสาหกรรมรถไฟฟ้ารางเบา ร่วมกิจกรรม สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน เน้นย้ำรัฐบาลมุ่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดขอนแก่น ในวันพรุ่งนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2566) โดยมีกำหนดการ ในช่วงเช้าจะตรวจติดตามความสำเร็จบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของเทศบาลนครขอนแก่น ณ โรงเรียนอนุบาลสาธิตเทศบาลนครขอนแก่น ต่อจากนั้นจะเดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการระบบรถไฟรางเบา “แทรมน้อย” ซึ่งเป็นรถไฟฟ้ารางเบาต้นแบบขบวนแรกที่เป็นฝีมือการศึกษาวิจัยออกแบบโดยคนไทย
ส่วนในช่วงบ่ายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยัง ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เพื่อร่วมกิจกรรม สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน ในตอน “มองอีสาน ผ่าน NBT” ซึ่งจะเป็นการเปิดพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้านที่สะท้อนมาสู่ภาครัฐ เพื่อให้ได้รับการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
“จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เป็นจุดศูนย์กลางหรือจุดภูมิศาสตร์สำคัญ ซึ่งท่านนายกฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อน ให้เป็นเมืองหลักของภูมิภาค ซึ่งขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อาทิ Smart City และ Mice Smart City โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในหลาย ๆ มิติ เพื่อรองรับการเติบโตทั้งด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ระบบราง อากาศยานและโครงข่ายถนน ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต กระจายความเจริญสู่พื้นที่ และลดความเหลื่อมล้ำ” นายธนกร กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65289 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดระยอง | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดระยอง
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65290 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)
.....
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) นายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคมพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ลงพื้นที่ติดตามงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) หรือ สายสีม่วงใต้ เพื่อติดตามความก้าวหน้างานก่อสร้าง การบริหารจัดการจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง มาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมาตรการป้องกันอุบัติเหตุจากการก่อสร้างการลงพื้นที่ครั้งนี้ ขร. ได้รับฟังการบรรยายสรุปการดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยรถไฟฟ้าสายม่วงใต้นี้ มีระยะทาง 23.63 กิโลเมตร จำนวน 17 สถานี แบ่งเป็น
1. โครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน ระยะทาง 14.29 กิโลเมตร สถานีใต้ดิน 10 สถานี ได้แก่ สถานีรัฐสภา สถานีศรีย่าน สถานีวชิรพยาบาล สถานีหอสมุดแห่งชาติ สถานีบางขุนพรหม สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานีสามยอด สถานีสะพานพุทธ สถานีวงเวียนใหญ่ สถานีสำเหร่
2. โครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ระยะทาง 9.34 กิโลเมตร สถานียกระดับ 7 สถานี ได้แก่ สถานีดาวคะนอง สถานีบางปะแก้ว สถานีบางปะกอก สถานีประชาอุทิศ สถานีราษฎร์บูรณะ สถานีพระประแดง และ สถานีครุใน
อีกทั้ง สามารถเชื่อมต่อการเดินไปยังรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ประกอบด้วย
1.สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เชื่อมต่อสถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - บางขุนนนท์)
2. สถานีสามยอด เชื่อมต่อสถานีสามยอดของสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค (หลักสอง)
3.สถานีวงเวียนใหญ่ เชื่อมกับสถานีวงเวียนใหญ่ของสายสีเขียว (ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ - บางหว้า) และสถานีวงเวียนใหญ่ของรถไฟทางไกลสายแม่กลอง รวมทั้งมีอาคารจอดแล้วจร (Park & Ride) 2 แห่ง ที่สถานีบางปะกอกและสถานีราษฎร์บูรณะ สามารถรองรับได้ประมาณ 1,700 คัน โดยสัญญางานโยธา แบ่งออกเป็น 6 สัญญา ได้แก่
สัญญาที่ 1 ช่วงเตาปูน - หอสมุดแห่งชาติ
สัญญาที่ 2 ช่วงหอสมุดแห่งชาติ - ผ่านฟ้า
สัญญาที่ 3 ผ่านฟ้า - สะพานพุทธ
สัญญาที่ 4 สะพานพุทธ - ดาวคะนอง
สัญญาที่ 5 ดาวคะนอง - ครุใน
สัญญาที่ 6 งานระบบราง ปัจจุบัน
ปัจจุบันมีความคืบหน้างานโยธาในภาพรวม ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 คิดเป็นร้อยละ 6.50
นอกจากการบรรยายสรุปแล้ว คณะ ขร. ยังได้ลงสำรวจความคืบหน้าสถานีใต้ดิน ได้แก่ สถานีรัฐสภา สถานีวชิรพยาบาล สถานีหอสมุดแห่งชาติ สถานีสะพานพุทธ สถานีวงเวียนใหญ่ และสถานียกระดับที่สถานีครุใน จากการสำรวจในครั้งนี้ พบปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการบริหารจัดการจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ประสานกับกรุงเทพมหานครและกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรผ่านพื้นที่ก่อสร้าง รวมทั้งกำชับให้ผู้รับสัมปทานปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการก่อสร้าง และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้สัญจรบนท้องถนน โดยโครงการรถไฟสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปี พ.ศ. 2570
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65317 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.คว้ารางวัลในงาน Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 จากผลงาน “หมอพร้อม” แบรนด์ที่มียอดชมสูงสุดบน LINE VOOM | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
สธ.คว้ารางวัลในงาน Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 จากผลงาน “หมอพร้อม” แบรนด์ที่มียอดชมสูงสุดบน LINE VOOM
กระทรวงสาธารณสุข ได้รับรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE BY LINE ในงาน Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 จากผลงาน “หมอพร้อม” แบรนด์โซเชียลมีเดียที่มียอดการเข้าชมสูงที่สุดบน LINE VOOM หลังพัฒนาจากการเป็นเครื่องมือประเมินอาการเมื่อรับวัคซีนโควิด
กระทรวงสาธารณสุข ได้รับรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE BY LINE ในงาน Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 จากผลงาน “หมอพร้อม” แบรนด์โซเชียลมีเดียที่มียอดการเข้าชมสูงที่สุดบน LINE VOOM หลังพัฒนาจากการเป็นเครื่องมือประเมินอาการเมื่อรับวัคซีนโควิด มาสู่การทำคอนเทนต์ให้ความรู้ บริการสุขภาพต่างๆ และเป็นแพลตฟอร์มสุขภาพของประเทศ
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นผู้แทนของกระทรวงสาธารณสุขเข้ารับรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE BY LINE สาขา HIGHESTY VIEW ON LINE VOOM หรือ แบรนด์ที่มียอดการเข้าชมสูงที่สุดบน LINE VOOM จากผลงาน “หมอพร้อม” ในงาน THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 11 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม ซึ่งจัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลมีเดียที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย ส่งเสริมให้มีการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และยกระดับวงการโซเชียล ผ่านการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูแบรนด์และผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในสาขาต่างๆ โดยมีการวัดผลจาก 3 เกณฑ์ คือ 1.Brand Metric วัดประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ 2.Content Metric วัดประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของเนื้อหารายการ และ 3.Creator Metric วัดประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของบุคคลที่มีผลงานหรือมีชื่อเสียง
นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่าย พัฒนาระบบ “หมอพร้อม” เป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ในรูปของแอปพลิเคชัน และ Line Official Account (Line OA) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประเมินอาการภายหลังการรับวัคซีน และมีการพัฒนาต่อยอดเรื่อยมาจนปัจจุบันเป็น Digital Health Platform ระดับประเทศ ให้บริการด้านสุขภาพ อาทิ การขอใบรับรองการฉีดวัคซีน ใบรับรองสุขภาพดิจิทัล การนัดรับบริการด้านสุขภาพต่างๆ รวมถึงการเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการจัดระบบบริการสุขภาพและสาธารณสุข เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนไทย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนา “หมอพร้อม” จนมีส่วนสำคัญที่ทำให้การรับมือสถานการณ์โควิด 19 ประสบความสำเร็จ และยังมีส่วนสำคัญที่จะร่วมดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชนในอนาคตต่อไป
*************************************** 22 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี ยืนยันประโยชน์ของประชาชนสำคัญที่สุด พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี มีที่อาศัย-ที่ทำกิน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
นายกฯ รับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี ยืนยันประโยชน์ของประชาชนสำคัญที่สุด พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี มีที่อาศัย-ที่ทำกิน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
นายกฯ รับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี ยืนยันประโยชน์ของประชาชนสำคัญที่สุด พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี มีที่อาศัย-ที่ทำกิน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 12.55 น. ณ วัดโค้งสนามเป้า ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ พบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขตอำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึง ได้เข้ากราบสักการะพระประธานในพระอุโบสถ และนมัสการพระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี พร้อมถวายผ้าไตรและถวายเครื่องไทยธรรม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานสรุปความเป็นมาของปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขตอำเภอเมืองจันทบุรี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินราชพัสดุแปลงสนามยิงปืนทุ่งฟ้าผ่า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่าช้างและตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองจันทบุรี มีปัญหาประชาชนบุกรุกถือครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 1,027 แปลง เนื้อที่ 3,187 – 1 – 14 ไร่ หรือร้อยละ 73.82 ของพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากประชาชนได้อาศัยทำกินมาเป็นระยะเวลานาน และกรมธนารักษ์ได้ให้การรับรองสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแก่ประชาชนที่ประสบปัญหา ด้วยวิธีจัดให้เช่าตามกฎหมายและผ่อนปรนค่าเช่าในอัตราพิเศษให้แก่ประชาชนที่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการเช่าที่ราชพัสดุ มีราษฎรเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว จำนวน 488 ราย และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการผ่อนปรนแล้วปรากฏว่ามีผู้แจ้งความประสงค์ขอเช่าที่ราชพัสดุ เพียง 87 ราย จาก 3,000 กว่าราย โดยส่วนที่เหลือต้องการให้ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้ จึงยังไม่ยินยอมเข้าสู่ระบบการแก้ไขปัญหาของทางราชการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารู้สึกยินดีและอบอุ่นในการต้อนรับของชาวจันทบุรี ซึ่งรัฐบาลพร้อมรับฟังและติดตามการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้วยความเข้าใจและไม่นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในทุกพื้นที่ รัฐบาลเห็นใจและเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น จะพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องพิสูจน์หลักฐานและดำเนินการอย่างจริงจังให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีเจตนาทำร้ายประชาชน และจะบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า พื้นที่ต่าง ๆ นั้น ทหารเป็นผู้ดูแลไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ ที่ดินทั้งหมดเป็นที่ราชพัสดุรัฐบาลจะพิจารณาดำเนินการหาทางออก โดยจะดำเนินการอย่างเต็มที่ และยืนยันความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งในสิ่งที่ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม การพัฒนาด้านดิจิทัล เศรษฐกิจ และสินค้า GI เป็นต้น ส่วนสิ่งที่กำลังเดินเนินการหรือกำลังทำอยู่ และยังไม่แล้วเสร็จจะทำต่อให้เสร็จ และทำเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงด้วยโอกาสที่เท่าเทียมกัน ร่วมสร้างโอกาสให้กับประชาชนทุกคน ขอให้คนทุกคนรักกัน ยืนยันว่ารัฐบาลเห็นประโยชน์ของประชาชนสำคัญที่สุด และมาเป็นอันดับแรกเสมอ พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกคนได้อยู่ดีกินดี มีที่อาศัย มีที่ทำกิน เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65311 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลังร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ พร้อมพัฒนาการป้องกันและควบคุมบริการธุรกรรมออนไลน์ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลังร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ พร้อมพัฒนาการป้องกันและควบคุมบริการธุรกรรมออนไลน์
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลังร่างกฎหมาย พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. ... ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญ พร้อมพัฒนาการป้องกันและควบคุมบริการธุรกรรมออนไลน์
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ของไทยที่สร้างความเสียหายให้ประชาชนคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี เชื่อมั่นว่าเมื่อร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยธนาคารสามารถระงับธุรกรรมที่ผิดปกติ หรือต้องสงสัยได้ทันที
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 – 6 กุมภาพันธ์ 2566 มีการแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี เท่ากับมีสถิติคดีแจ้งความประมาณ 1,000 รายต่อวัน มูลค่าความเสียหาย 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอาญัติบัญชี 65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท มีผู้เสียหายสูงสุดมูลค่าถึง 100 ล้านบาท จึงเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤต ส่วนรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) การหลอกลวงซื้อสินค้า 2) การโอนเงินหารายได้พิเศษ 3) การหลอกให้กู้เงิน 4) คอลเซ็นเตอร์ และ 5) การหลอกให้ลงทุน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้พิจารณาแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไข ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงดีอีเอส เสนอออกพระราชกำหนดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่มอำนาจในการสืบสวนสอบสวนให้มีประสิทธิภาพพร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน ซึ่งการร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership PPP) เป็นการบูรณาการความร่วมมือเพื่อเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ ล่าสุดได้ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และ NT ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย ได้ร่วมกันดำเนินการ ดังนี้ ตรวจสอบปิดไลน์ปลอมของธนาคาร ควบคุมและจัดการ ชื่อผู้ส่ง SMS (SMS Sender) ปลอม ปิดกั้น URL ที่เป็นอันตราย พร้อมทั้งหารือแนวทางกับธนาคารสมาชิก พัฒนาระบบความปลอดภัยแชร์เทคนิคและแนวทางการป้องกันภัย เช่น พัฒนาการป้องกันและควบคุมบริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของสถาบันการเงิน (Mobile Banking Application) กรณีมือถือมีการเปิดใช้งาน Accessibility Service เพิ่มระบบการพิสูจน์ตัวตน (Authentication) ด้วย Biometrics Comparison เช่น ลายนิ้วมือ รูม่านตา และโครงสร้างใบหน้า เป็นต้น
“นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องใกล้ตัว และเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน จึงได้สั่งการกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินงานปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ตกเป็นเหยื่อการฉ้อโกงและหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ในทุกรูปแบบ โดยร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนี้ จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันความเสียหายแก่ประชาชนนี้” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65288 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า เร่งผลิตบุคลากรคุณภาพ รองรับตลาดแรงงานโลจิสติกส์ เพื่อแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า เร่งผลิตบุคลากรคุณภาพ รองรับตลาดแรงงานโลจิสติกส์ เพื่อแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน
...
ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า เร่งผลิตบุคลากรคุณภาพ รองรับตลาดแรงงานโลจิสติกส์ เพื่อแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน
ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้กรมเจ้าท่าเตรียมความพร้อมที่จะผลิตบุคลากร ด้านพาณิชยนาวีที่มีคุณภาพในด้านโลจิสติกส์เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างยั่งยืน
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า เปิดรับสมัครผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) สายวิทย์ - คณิต ปริญญาตรี อายุไม่เกิน 21 ปี (นับจากปี พ.ศ.เกิด) เข้าเป็นนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ ในรอบปกติ ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 9 เมษายน 2566 จำนวน 2 สาขา ได้แก่ 1) วิทยาการเดินเรือ และ 2) วิศวกรรมเครื่องกลเรือ
ซึ่งการคัดเลือกของคณะกรรมการจะพิจารณา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต
- กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 22 หน่วยกิต
- กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 9 หน่วยกิต
สำหรับผู้สนใจทั่วไป สามารถติดตามข่าวสารได้ทาง Facebook Thaimmtc https://www.facebook.com/ThaiMMTC สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @mmtc Tel : 02 756 4971- 80 ต่อ 0,107 หรือ 08 0107 2495 (วัน - เวลาราชการ)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65316 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้านโยบายและแผนระดับชาติป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ.2566 – 2570 เฝ้าระวังยาเสพติดออนไลน์ จัดตั้งศูนย์คัดกรองทุกพื้นที่ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
รัฐบาลเดินหน้านโยบายและแผนระดับชาติป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ.2566 – 2570 เฝ้าระวังยาเสพติดออนไลน์ จัดตั้งศูนย์คัดกรองทุกพื้นที่
รัฐบาลเดินหน้านโยบายและแผนระดับชาติป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ.2566 – 2570 เฝ้าระวังยาเสพติดออนไลน์ จัดตั้งศูนย์คัดกรองทุกพื้นที่
วันนี้ (22 ก.พ. 66) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.เห็นชอบร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (พ.ศ.2566 - 2570) ร่างนโยบายและแผนฉบับนี้ ได้มีการเพิ่มเติมแนวทางใหม่จากแผนฉบับเดิมที่สิ้นสุดลงแล้ว อาทิ (1)การป้องกันการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่สังคมออนไลน์ โดยพัฒนาระบบเฝ้าระวังในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อปิดกั้นการเข้าถึงการค้ายาเสพติด (2)แนวทางการคัดกรองผู้เสพยาเสพติด โดยจัดตั้งศูนย์คัดกรองให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้เสพยาเสพติดอย่างบูรณาการ (3)นโยบายและแผนด้านการยึดทรัพย์สินคดี ยาเสพติด เป็นต้น สำหรับสาระสำคัญของร่างนโยบายและแผน มีดังนี้
ร่างนโยบายและแผนจะขับเคลื่อนภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด ด้วยมาตรการทางเลือกใหม่ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เป็นยุทธศาสตร์ในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบ และลดระดับความรุนแรงของปัญหายาเสพติดจนไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย 2)เป็นการบูรณาการนโยบายและแผนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มุ่งไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน และ 3)เป็นกรอบในการบริหารจัดการประสานการปฏิบัติ จัดสรรทรัพยากร งบประมาณในการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบ กำกับติดตามและประเมินผลทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการนานโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และมีตัวชี้วัด คือ 1)สัดส่วนของผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อประชากรลดลง 2)ร้อยละของคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดลดลง และ 3)ร้อยละความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการดำเนินงาน ป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด สำหรับแนวทางการดำเนินงานตามร่างนโยบายและแผน ประกอบด้วย 6 ด้าน ดังนี้
1.ด้านการป้องกันยาเสพติด มีเป้าหมาย คือ ประชากรทุกกลุ่มรู้เท่าทันยาเสพติดและมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด แนวทางการดำเนินการ อาทิ 1)เสริมสร้างความรู้เท่าทันและป้องกันยาเสพติดในเด็กและเยาวชน และสร้างความตระหนักและจิตสำนึกร่วมในการป้องกันปัญหายาเสพติด 2)พัฒนาระบบเฝ้าระวังและควบคุมปัญหายาเสพติดในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์
2. ด้านการปราบปรามยาเสพติด มีเป้าหมาย คือ ปรามปรามทาลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด แนวทางการดำเนินการ อาทิ 1)สกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เข้าสู่ประเทศและถูกใช้เป็นเส้นทางนำผ่านไปยังประเทศที่สาม 2)ปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด 3)ดำเนินการทางวินัยและบังคับใช้กฎหมายลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
3.ด้านการยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด มีเป้าหมาย คือ ทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดด้วยมาตรการทางทรัพย์สิน แนวทางการดำเนินการ อาทิ พัฒนารูปแบบการยึดหรืออายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด
4.ด้านการบำบัดรักษายาเสพติด มีเป้าหมาย คือ การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคมของผู้เสพยาเสพติดและผู้เสพยาเสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แนวทางการดำเนินการ อาทิ 1)การนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาด้วยความสมัครใจ 2)เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลผู้เสพยาเสพติด
5. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ มีเป้าหมาย คือ ไทยมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรด้านยาเสพติดระหว่างประเทศ แนวทางการดำเนินการ อาทิ 1)เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนและนอกภูมิภาคร่วมปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติด 2)พัฒนาบทบาทของไทย เพื่อให้ไทยเป็นแกนกลางในการประสานงานภายในภูมิภาคอาเซียน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดระหว่างประเทศ
6.ด้านการบริหารจัดการ มีเป้าหมาย อาทิ 1)การแก้ไขปัญหายาเสพติดมีความประสานสอดคล้องในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการในทุกระดับ 2) บุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมีทักษะและสมรรถนะสูงพร้อมรับมือกับภัยคุกคามของปัญหายาเสพติดในยุคดิจิทัล แนวทางการดำเนินการ อาทิ 1)พัฒนากลไกอำนวยการ ระเบียบ กฎหมาย 2)เสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด และ 3)การควบคุมและใช้ประโยชน์จากพืชเสพติด และพืชในการกำกับควบคุมดูแลพิเศษของรัฐ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65291 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566
21/02/2566
ทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ห้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
ทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
วันนี้ (21 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2566 ทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนารวมทั้งกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. จังหวัดสมุทรสงคราม ที่วัดศรีศรัทธาธรรม ตำบลคลองเขิน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม พระครูปลัดกฤตพรต กิตฺติปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดศรีศรัทธาธรรม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมกิจกรรมหิ้วปิ่นโตเข้าวัดตามโครงการ “ชูธรรมนำชีวิต จังหวัดสมุทรสงคราม” ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์เจริญ และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
2. จังหวัดอุดรธานี ที่วัดมัชฌิมาวาส พระอารามหลวง ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี พระครูธรรมสโมทาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเจริญพระพุทธมนต์เจริญ จิตตภาวนาถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมพิธี
3. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ศาลาสมเด็จพระเจ้าศรีศรัทธาราชจุฬามุนีฯ วัดมหาธาตุ ตำบลในเมือง พระศรีพัชโรดม เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ พระอารามหลวง ประธานฝ่ายสงฆ์ นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมพิธี
4. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ห้องประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำตรัง เทศบาลเมืองทุ่งสง อำเภอทุ่งสง นายถิรนาท เอสะนาชาตัง นายอำเภอทุ่งสง เป็นประธานในพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน โดยมี นายทรงชัย วงษ์วัชรดำรง นายกเทศมนตรีเมืองทุ่งสง และคณะผู้บริหารข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองทุ่งสง และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมพิธี
5. จังหวัดอุบลราชธานี ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเหล่าเสือโก้ก เหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี และกิ่งกาชาดอำเภอเหล่าเสือโก้ก ร่วมกับโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีผู้บริจาคโลหิตจำนวน 144 ราย ผู้บริจาคอวัยวะ จำนวน 3 ราย และผู้บริจาคดวงตา จำนวน 3 ราย
6. จังหวัดสกลนคร ที่ตำบลเจริญศิลป์และตำบลโคกศิลา อำเภอเจริญศิลป์ นายวัชรา ยวดทอง นายอำเภอเจริญศิลป์ พร้อมด้วย สมาชิกแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสกลนคร ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอเจริญศิลป์ เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลโคกศิลา ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ และมอบสิ่งของพร้อมเงินช่วยเหลือราษฎร ในเขตพื้นที่ จำนวน 28 ราย เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์เบื้องต้น และถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
7. จังหวัดอ่างทอง ที่องค์การบริหารส่วนตำบลอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง นาวาเอกหญิง อินทิรา ตันเจริญ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วย นายกนกศักดิ์ สุนทรนันท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลอินทประมูล คณะผู้บริหาร คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดอ่างทอง สมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยอ่างทอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจำตำบล ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้สูงอายุ พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนตำบลอินทประมูล เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
8. กรุงเทพมหานคร ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เขตหลักสี่ พลโท สุรสีห์ ดรุณสาสน์ เจ้ากรมกำลังพลทหาร พร้อมด้วย คณะผู้บังคับบัญชา และข้าราชการของ กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65283 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ย้ำรัฐบาลมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
นายกฯ รับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ย้ำรัฐบาลมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่
นายกฯ รับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ย้ำรัฐบาลมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 ก.พ. 66) เวลา 10.30 น. ณ วัดเขาตาหน่วย ตำบลเกาะเปริด อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอำเภอแหลมสิงห์ และตรวจพื้นที่บริเวณบ้านประชาชน ที่ได้รับผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พร้อมรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ภายใต้การบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจพื้นที่บริเวณบ้านประชาชนที่ได้รับผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ซึ่งประชาชนขอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการกัดเซาะชายฝั่งทะเลดังกล่าวรวมถึงการสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วยความห่วงใย พร้อมมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมโยธิการและผังเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และในจุดวิกฤตให้เร่งหาแนวทางแก้ปัญหาก่อนภายใน 3 เดือน โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้นำเสนอโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล ด้วยการก่อสร้างแบบผสมผสานโดยใช้ทั้งหินและไม้ไผ่ พิจารณาตามสภาพปัญหาบริเวณที่ถูกกัดเซาะ ซึ่งหากบริเวณใดที่ถูกกัดเซาะมากก็จะก่อสร้างด้วยหิน ขณะที่บริเวณใดที่มีสภาพถูกกัดเซาะไม่มากจะเป็นการดำเนินการด้วยไม้ไผ่ ใช้งบประมาณดำเนินการประมาณไม่เกิน 100 ล้านบาท พร้อมกันนี้จะมีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานสภาพปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอําเภอแหลมสิงห์และปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในฤดูแล้งของพื้นที่อําเภอแหลมสิงห์จากผู้แทนประชาชน โดยขอให้ทางภาครัฐเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา และสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอําเภอแหลมสิงห์โดยเร็วด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล พร้อมขอให้รัฐบาลดำเนินการปรับปรุงขยายเขตประปาให้มีน้ำเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคตลอดฤดูแล้ง โดยผู้แทนการประปาส่วนภูมิภาคได้รายงานถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับฟังรายงานแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลฯ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยมีระดับความรุนแรงและสาเหตุที่แตกต่างกันไป ทั้งจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสภาวะคลื่นลมที่รุนแรงผิดปกติ ฯลฯ และที่มีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การก่อสร้างโครงสร้างชายฝั่งรุกล้ำลงในทะเล และการใช้ประโยชน์ที่ดินริมชายฝั่งที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินการในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามการร้องขอของประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัย ทำให้พื้นที่ดำเนินงานเป็นไปในลักษณะอยู่ตามพื้นที่ที่มีความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งต่อมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เสนอแนวคิดในการแบ่งพื้นที่ชายฝั่งเป็นระบบกลุ่มหาด เพื่อการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ในการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยนำแนวคิด “ระบบกลุ่มหาด” มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ในการจัดการชายฝั่งโดยใช้ระบบกลุ่มหาด พร้อมทั้งจัดทำแผนหลักแนวทางและมาตรการการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ ให้กับชายฝั่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะอย่างบูรณาการและเกิดผลสัมฤทธิ์
สำหรับเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด ความยาวโครงการประมาณ 1,800 เมตร โดยได้มีการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และออกแบบรายละเอียดโครงสร้างป้องกันชายฝั่งแล้วเสร็จแล้ว และจะนำโครงการดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในเรื่องของงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมาจังหวัดจันทบุรีว่า เพื่อมาพบปะเยี่ยมเยียนชาวจันทบุรีอีกครั้ง ซึ่งหลายครั้งก่อนหน้านั้นก็ได้มาขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สำหรับการเดินทางมาจังหวัดจันทบุรีครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการติดตามการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอำเภอแหลมสิงห์อย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง โดยรับทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น และเข้าใจถึงความเดือดร้อนของปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างยิ่ง ทั้งความเสียหายต่อบ้านเรือน ที่พักอาศัย พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงาน และดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมรับเรื่องที่ประชาชนร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือ ทั้งเรื่องของปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอําเภอแหลมสิงห์และปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในฤดูแล้ง ของพื้นที่อําเภอแหลมสิงห์จากผู้แทนประชาชน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการโดยเร็วเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ขณะนี้ต้องเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งขึ้น โดยต้องมีการทำอาชีพอื่นควบคู่การทำการเกษตรด้วยเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่การปลูกพืชและผลไม้ต้องผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจังหวัดจันทบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในทุกด้าน ทั้งในด้านการเกษตร อาหาร การท่องเที่ยว รวมถึงแหล่งผลิตอัญมณีที่สำคัญ ซึ่งต้องมีการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น อีกทั้งจังหวัดจันทบุรียังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ มีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเป็นประตูเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้ เพื่อต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้แก่พื้นที่ได้อย่างยั่งยืน เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจริงจังที่มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชนเสมอมา รวมทั้งผลักดันการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งการสร้างโครงพื้นฐานและโครงข่ายคมนาคมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อกระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงเมืองรองต่าง ๆ สร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชนมีคุณพภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ที่ได้ตั้งใจทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชนให้อยู่ดีกินดี มีที่อาศัย มีความสุขอย่างยั่งยืน และร่วมกันทำให้ประชาชนปลอดภัย ทั้งนี้ แม้โลกยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงและเจริญไปมากแต่สิ่งสำคัญคือประเทศไทยต้องมีความรักสามัคคีกันบนพื้นฐานของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ปลอดภัยและมีความสุข
ทั้งนี้ ในช่วงเช้า ก่อนเดินทางมาพบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอําเภอแหลมสิงห์ นายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าสักการะศาลหลักเมืองจังหวัดจันทบุรี โดยนายกรัฐมนตรีได้เติมน้ำมันตะเกียง จุดธูปเทียน ถวายพวงมาลัย ปิดทอง ผูกผ้ามงคล พร้อมสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อความเป็นสิริมงคล และโอกาสเดียวกันที่วัดเขาตาหน่วย นายกรัฐมนตรียังได้สักการะพระประธานในพระอุโบสถ และนมัสการเจ้าอาวาสวัดเขาตาหน่วย ก่อนเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลพระปกเกล้า ตำบลวัดใหม่ อำเมืองจันทบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระปกเกล้าต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65303 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. อัพเดทความก้าวหน้า โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
รฟท. อัพเดทความก้าวหน้า โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมาว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้รฟท. โดยนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งรัดติดตามการก่อสร้าง รวมถึงแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานที่วางไว้ภายในปี 2570
ล่าสุด โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึงสถานีปลายทางนครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในส่วนแผนก่อสร้างงานโยธา 14 สัญญา ซึ่งเริ่มก่อสร้างไปตั้งแต่เมื่อปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 1 สัญญา อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10 สัญญา และยังไม่ลงนาม 3 สัญญา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• ก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 สัญญา คือ ช่วงกลางดง - ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม.
• อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10 สัญญา ได้แก่ 1. ช่วงสีคิ้ว - กุดจิก ระยะทาง 11 กม. ผลงาน 97.88 % 2. งานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กม. ผลงาน 11.42 % 3. ช่วงบันไดม้า - ลำตะคอง ระยะทาง 26.10 กม.ผลงาน 18.63 % 4. ช่วงลำตะคอง -สีคิ้ว และช่วงกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กม.ผลงาน 47.54 % 5. ช่วงโคกกรวด - นครราชสีมา ระยะทาง 12.38 กม. ผลงาน 3.40 % 6. ช่วงดอนเมือง - นวนคร ระยะทาง 21.80 กม.ผลงาน 0.13 % 7. ช่วงนวนคร-บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. ผลงาน 6.40 % 8. ศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ผลงาน 0.04 % 9. ช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. ผลงาน 0.20 % และ 10.ช่วงสระบุรี - แก่งคอย ระยะทาง 12.99 กม. ผลงาน 34.04 %
• ส่วนที่ยังไม่ลงนาม 3 สัญญา ได้แก่ 1. ช่วงแก่งคอย - กลางดง และปางอโศก - บันไดม้า ระยะทาง 30.21 กม. 2. ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กม. และ 3. ช่วงบ้านโพ - พระแก้ว ระยะทาง 13.30 กม.
นอกจากความก้าวหน้างานด้านโยธาแล้ว ปัจจุบันรฟท. ยังได้เร่งรัดการดำเนินงานด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้โครงการสามารถเสร็จสิ้นได้ตามแผน โดยมีการดำเนินงานต่างๆ ดังนี้
• งานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสัญญาที่ได้รับผลกระทบจำนวน 11 สัญญา จากทั้งหมด 14 สัญญา ล่าสุดราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป มีกำหนดระยะเวลา 4 ปี โดยขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนให้รฟท. และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การขอพื้นที่จากส่วนราชการ เช่นกรมป่าไม้ กรมชลประทาน และกรมธนารักษ์สถานะปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรฟท. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการขอใช้พื้นที่ โดยมีสัญญาที่ได้รับผลกระทบรวม จำนวน 7 สัญญา
สถานีอยุธยา ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ให้พิจารณาย้ายสถานีสถานะปัจจุบัน รฟท. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษาผลกระทบต่อมรดกโลกทางวัฒนธรรม หรือ HIA แล้ว โดยเริ่มงานเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายในวันที่ 24 เมษายน 2566
โครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินขณะนี้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงสร้างร่วมในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ - นครราชสีมานั้น อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียด ขณะเดียวกัน รฟท. และเอกชนคู่สัญญา อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขสัญญาในส่วนของการก่อสร้างโครงสร้างร่วมควบคู่กันไป โดยคาดว่าจะออกแบบแล้วเสร็จและเริ่มก่อสร้างได้ภายในต้นปี 2566
ด้านสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟ รวมถึงจัดฝึกอบรมบุคลากร ได้ลงนามสัญญาไป เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 แต่ที่ผ่านมาต้องหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ขณะนี้ได้กลับมาอยู่ระหว่างดำเนินงานตามสัญญาแล้ว โดยมีเนื้องานประกอบ ดังนี้
• งานออกแบบระบบทั้งหมด และขบวนรถไฟ งานก่อสร้างและติดตั้ง ซึ่งจะเริ่มหลังจากงานออกแบบแล้วเสร็จและงานโยธามีความคืบหน้าสามารถส่งมอบพื้นที่ให้เข้าวางราง และติดตั้งระบบไฟฟ้า, อาณัติสัญญาณ, ระบบสื่อสารรวมถึงการผลิตขบวนรถไฟ
• งานฝึกอบรมบุคลากรและงานถ่ายทอดเทคโนโลยี ล่าสุด ทางสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ส่งแบบ และเอกสารต่างๆ มาให้ รฟท. พิจารณา โดยรฟท. และคู่สัญญาอยู่ระหว่างตรวจสอบและแก้ไขในรายละเอียดต่างๆ คาดว่าจะเดินหน้างานระบบได้ภายในต้นปี 2566
นายเอกรัช กล่าวว่า รฟท. มีความมุ่งมั่นดำเนินงาน และเร่งพัฒนาโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการทันตามกำหนดปี 2570 เพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชน ซึ่งหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทางจากสถานีต้นทาง สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึงสถานีปลายทาง นครราชสีมา เพียง 90 นาที ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และยังช่วยกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปยังภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศ ให้ไทยเติบโตเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65315 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ขอบคุณที่ดูแลประชาชนด้วยความเสียสละ เต็มกำลังความสามารถ | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566
22/02/2566
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ขอบคุณที่ดูแลประชาชนด้วยความเสียสละ เต็มกำลังความสามารถ
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ขอบคุณที่ดูแลประชาชนด้วยความเสียสละ เต็มกำลังความสามารถ เน้นย้ำรัฐบาลมุ่งมั่น ทำแล้ว-ทำอีก-ทำต่อ-เพื่อประชาชนและทุกพื้นที่
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 12.20 น. ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระปกเกล้า โดยมีคณะผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รอต้อนรับ
นายอนุชากล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณและได้ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ขอบคุณการทำหน้าที่ของทุกคนด้วยความรับผิดชอบ และร่วมมือแรงร่วมใจกันด้วยหัวใจ ด้วยความเสียสละและเต็มกำลังความสามารถ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เพื่อการให้บริการประชาชน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม และประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งการพิจารณางบประมาณต่าง ๆ รัฐบาลดำเนินการด้วยความเหมาะสมและมีความตั้งใจดำเนินการสืบสาน รักษา ต่อยอด สิ่งที่ทำแล้ว จะทำอีก และยังคงทำต่อเนื่องตามความต้องการของประชาชนและพื้นที่ พร้อมยึดมั่นในแกนหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนทุกคน
นายกรัฐมนตรียังได้สอบถามถึงการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยขอให้ดำเนินการจัดหาให้เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณางบประมาณให้การสนับสนุนในโอกาสต่อไป เพราะเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การดูแลรักษาโรคนับเป็นสิ่งสำคัญ แต่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคสำคัญกว่า เพื่อลดภาระของหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรักการออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่จึงเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมและให้คำปรึกษาโดยแพทย์พยาบาลอย่างเหมาะสม
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการดูแลสุขภาพจิต สังคมไทยพบปัญหาโรคซึมเศร้า ปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวม ฝากทีมแพทย์พยาบาลให้คำปรึกษาร่วมดูแลประชาชน ในส่วนของรัฐบาลยืนยันว่าจะดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้ดีที่สุด รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทุกกลุ่มทุกคนทุกโรงพยาบาล เพราะทุกคนเหนื่อยแต่ขอให้ภูมิใจในวิชาชีพ เป็นวิชาชีพที่ทำกุศลทำบุญทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมพลังให้ทุกคนต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งทุกคนเป็นพลังสำคัญขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้คนมาเที่ยวเมืองจันทบุรี และขอให้ทุกคนภาคภูมิใจในความเป็นเมืองจันทบุรี เมืองแห่งความสุขตามคำกล่าว “สุขทุกวันที่จันทบุรี”
นอกจากนี้ ในระหว่างการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลฯ นายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายกับประชาชนที่มารับบริการ สอบถามพูดคุยด้วยความห่วงใยและเป็นกันเอง จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังวัดโค้งสนามเป้า ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี เพื่อรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขตอำเภอเมืองจันทบุรี ต่อไป
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระปกเกล้าเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 755 เตียง รองรับผู้ป่วยจากจังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี และระยอง รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการจัดการเรียนการสอนควบคู่การบริการรักษาพยาบาลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ปัจจุบันมีผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 3,440 คนต่อวัน และผู้ป่วยในเฉลี่ย 790 คนต่อวัน มีพื้นที่จอดรถประมาณ 250 คัน โรงพยาบาลจึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่จอดรถ 10 ชั้น ซึ่งจะสามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ 529 คัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการผู้ป่วยและผู้รับบริการได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายและได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน ขณะนี้อยู่ในระหว่างเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแบบของกองแบบแผน กระทรวงสาธารณสุข กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ซึ่งการดำเนินงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาลเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) คือ 1) ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) 2) ศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) 3) ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) และ 4) ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65305 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ชื่นชมการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) | วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566
21/02/2566
ปลัด มท. หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ชื่นชมการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)
ปลัด มท. หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ชื่นชมการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมหารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าหารือการดำเนินงานผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ที่พำนักในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาในประเทศไทย พร้อมชื่นชมการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) พร้อมเสนอแนะพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้แก่ ผภร. เพื่อสามารถใช้ในการดำรงชีวิตหากสมัครใจเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สาม หรือเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ
วันนี้ (21 ก.พ. 66) เวลา 14.30 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ นายเดวิด เดลี (H.E. Mr. David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าหารือการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ที่พำนักในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาในประเทศไทย โดยมี ร้อยตรี สรมงคล มงคละสิริ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ นางมณฑ์หทัย รัตนนุพงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง ในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ
นายเดวิด เดลี (H.E. Mr. David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป (EU) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้อำนวยความสะดวกในการเข้าพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ในประเทศไทยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการลงพื้นที่ได้พบกับท่านนายอำเภอและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ติดตามถามไถ่เจ้าหน้าที่ และ ผภร. ทำให้ได้ทราบว่า ประเทศไทยมีการดำเนินงานด้านผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม และทาง EU มีความประสงค์จะขอรับการพิจารณาอนุญาตในการลงพื้นที่บริเวณพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป นอกจากนี้ สหภาพยุโรป มีกำหนดจะเปิดตัวโครงการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ที่ครอบคลุมด้านการศึกษา การสาธารณสุข การสุขาภิบาลน้ำ ทักษะอาชีพ และการให้ความคุ้มครองผู้ทุพลภาพ ตามหลักมนุษยธรรม ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 นี้
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพกระทรวงมหาดไทย มีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนท่านเอกอัครราชทูตและคณะในการลงพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการดำเนินงานด้านผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งในปัจจุบันมีพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ในพื้นที่ 4 จังหวัด รวม 9 แห่ง ได้แก่ 1) จ.แม่ฮ่องสอน บ้านใหม่ในสอย อ.เมืองแม่ฮ่องสอน บ้านแม่สุริน อ.ขุนยวม บ้านแม่ละอูน อ.สบเมย บ้านแม่ลามาหลวง อ.สบเมย 2) จ.ตาก บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง บ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ บ้านนุโพ อ.อุ้มผาง 3) จ.กาญจนบุรี บ้านต้นยาง อ.สังขละบุรี และ 4) จ.ราชบุรี บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง โดยมีผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ประมาณ 77,000 คน
“ขอชื่นชมสหภาพยุโรปที่ได้มีแนวคิดในการริเริ่มดำเนินโครงการด้านการสนับสนุนการฝึกทักษะวิชาชีพ และการเสริมทักษะที่จำเป็นอื่น ๆ ให้แก่ ผภร. ก่อนการเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ และก่อนการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สาม นอกจากนี้ ทาง EU ควรส่งเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับ ผภร. เพื่อสามารถใช้ในการดำรงชีวิตหากสมัครใจเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สาม หรือเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ” ปลัด มท. กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการบริหารจัดการดูแลพื้นที่และให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ทั้ง 9 แห่ง ให้ ผภร. ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามหลักมนุษยธรรม และขอขอบคุณสหภาพยุโรปที่ได้ให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ได้รับโอกาสด้านการพัฒนาทั้งด้านการศึกษา ภาษา และทักษะชีวิต เพื่อเติบโตเป็นพลเมืองของโลกต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65282 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลโชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ยืนหนึ่งเรื่องจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ กว่า 7.6 หมื่นราย 9.4หมื่นแปลงได้ใช้ประโยชน์แล้ว | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
รองโฆษกรัฐบาลโชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ยืนหนึ่งเรื่องจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ กว่า 7.6 หมื่นราย 9.4หมื่นแปลงได้ใช้ประโยชน์แล้ว
รองโฆษกรัฐบาลโชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ยืนหนึ่งเรื่องจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ กว่า 7.6 หมื่นราย 9.4หมื่นแปลงได้ใช้ประโยชน์แล้ว ควบคู่ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ4.9 หมื่นราย เดินหน้าจัดที่ดินอีก 1.1 หมื่นแปลงในปีนี้
วันนี้(11ก.พ.66)น.ส.ทิพานันศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าตามที่พล.อ.ประยุทธ์จันทรโอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.)มีนโยบายในการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรและผู้ที่ยากจนโดยการจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำกินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ขาดไม่ให้นำไปขายต่อ โดยได้เร่งขับเคลื่อนในรูปแบบคณะกรรมการการผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในฐานะส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีการดำเนินการมีความก้าวหน้าใกล้เป้าหมายที่กำหนดไว้เกือบ100 %ตามที่ได้ตั้งไว้
น.ส.ทิพานันกล่าวว่าทั้งนี้เป้าหมายทั้งหมดตั้งแต่ปี2557ได้กำหนดพื้นที่ไว้1,491พื้นที่ใน70จังหวัดเนื้อที่ประมาณ5,792,145ไร่ให้ประชาชนได้ที่ดินทำกินอย่างถูกกฎหมายและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน78,109รายในจำนวนที่ดิน96,536แปลงในขณะที่การดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ2558ถึงปีงบประมาณ2565สามารถจัดที่ดินให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว76,453ราย94,555แปลงใน338พื้นที่67จังหวัดทั่วประเทศควบคู่ไปกับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับประชาชนแล้ว49,062รายใน271พื้นที่จาก65จังหวัดซึ่งต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่บูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกันจนเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับเป้าหมายในปีงบประมาณ2566ได้กำหนดไว้ว่าจะจัดสรรที่ดินจำนวน11,000แปลงให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพร้อมทั้งปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน1: 4000 (One Map)กลุ่มที่3จำนวน11จังหวัดให้แล้วเสร็จและแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องแนวเขตที่ดินให้ประชาชน
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าโดยได้มีแนวทางในการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน3แนวทางได้แก่
1.การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ
2.การกำหนดแนวทางการประเมินมูลค่าที่ดินและทรัพย์สินที่รัฐจัดให้กับประชาชน
3.การจัดให้มีระบบหรือสถาบันที่ให้สินเชื่อระยะกลางและระยะยาวให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินของรัฐและจัดให้มีระบบประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ
อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์ได้เน้นย้ำให้แก้ปัญหา“แบบวิน-วิน” สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนไม่ใช่แก้ปัญหาหนึ่งแล้วสร้างอีกปัญหาตามมาเรียกว่าพิจารณาอย่างรอบคอบครอบคลุมทุกมิติเพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินอย่างถูกกฎหมายในขณะเดียวกันก็แก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐหรือที่ป่าและยังมีการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดินป้องกันและแก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติใน663พื้นที่,ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้1พื้นที่,ป่าไม้ถาวร2พื้นที่และป่าชายเลน577พื้นที่
“พล.อ.ประยุทธ์มีความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีที่ดินทำกิน ติดตามอย่างจริงจังจัดการที่ดินให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดสมดุลเป็นธรรมและยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อมประเทศความมั่นคงประชาชนอยู่กินยั่งยืนยืนหนึ่งในการดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มผ่านมาตรการและโครงการต่างๆของรัฐบาลโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเช่นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการอื่นๆรวมทั้งให้ความสำคัญในการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงทียกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
—————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขร. เผยยอดผู้โดยสารรถไฟ - รถไฟฟ้า นิวไฮทะลุ 1.577 ล้านคน | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
ขร. เผยยอดผู้โดยสารรถไฟ - รถไฟฟ้า นิวไฮทะลุ 1.577 ล้านคน
.....
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงยอดผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบขนส่งทางราง เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา พบว่าสูงถึง 1.577 ล้านคน ถือเป็นนิวไฮ (New High) ของการใช้บริการระบบขนส่งทางรางที่มากที่สุด นับตั้งแต่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ผลจากงานเกษตรแฟร์ ส่งผลภาพรวมสูงสุด 1,577,330 คน/เที่ยว โดยจำนวนประชาชนที่มาใช้บริการระบบขนส่งทางรางทุกระบบ แบ่งออกเป็น
1. รถไฟ จำนวน 73,659 คน (เชิงพาณิชย์ 24,171 คน/เที่ยว เชิงสังคม 49,488 คน/เที่ยว)
2. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จำนวน 72,737 คน
3. รถไฟชานเมืองสายสีแดง (รถไฟฟ้าสายสีแดง) จำนวน 29,129 คน
4. รถไฟฟ้า MRT สายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) และสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) รวมจำนวน 479,056 คน/เที่ยว (สายสีน้ำเงิน 429,825 คน/เที่ยว และสายสีม่วง 49,231 คน/เที่ยว)
5. รถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียว และสีทอง) รวมจำนวน 922,749 คน (สายสีเขียว 916,390 คน/เที่ยว และสายสีทอง 6,359 คน/เที่ยว)
จากสถิติของการใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สายสุขุมวิท) โดยเฉพาะสถานี ม.เกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 - 10 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันที่มีการจัดงานเกษตรแฟร์ จะเห็นว่าจำนวนประชาชนที่มาใช้บริการรถไฟฟ้า ณ สถานีนี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยยอดรวมผู้ใช้บริการที่ สถานี ม.เกษตรศาสตร์ รวม 676,571 คน และสายสีแดงที่สถานีบางเขน ระหว่างวันที่ 3 - 10 กุมภาพันธ์ 2566 รวม 19,957 คน/เที่ยว ซึ่งแสดงให้เห็น มีผู้ใช้บริการว่าการเดินทางด้วยระบบขนส่งทางรางถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเดินทางที่รวดเร็ว และสะดวก ลดการจราจรติดขัดในการเดินทางมาร่วมงานเกษตรแฟร์ สำหรับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานเกษตรแฟร์ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ได้ประสานผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้าเตรียมความพร้อมรองรับการบริหารจัดการผู้โดยสารที่สถานีกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น เช่น สถานี ม.เกษตรศาสตร์ สถานีบางเขน สถานีห้าแยกลาดพร้าว เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมเพิ่มความถี่ขบวนรถในชั่วโมงที่มีผู้โดยสารหนาแน่น
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันภายหลังผ่อนคลายมาตรการ เพื่อรองรับการเปิดประเทศ ในปี 2566 (1 มกราคม 2566 ถึงปัจจุบัน) กับช่วงก่อนมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในปี 2562 (1 มกราคม - 31 มีนาคม 2562) พบว่า ภาพรวมปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันของปี 2566 สูงกว่าปี 2562 ประมาณ 3%
จากยอดผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางที่ทะลุนิวไฮในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ถือเป็นการบันทึกสถิติใหม่ของการให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และรถไฟฟ้าสายสีแดง นับตั้งแต่เปิดให้บริการมา ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอส เคยมีผู้โดยสารสูงสุด 1.13 ล้านคน/เที่ยว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 คาดว่าอาจจะมาจากการที่รัฐบาลคลายล็อกมาตรการการเดินทางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ส่งผลให้ประชาชนเดินทางออกจากบ้านกันมากขึ้น และการที่ประชาชนเลือกใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน และเล็งเห็นว่าระบบขนส่งทางรางสะดวก รวดเร็ว และเดินทางได้ถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย จึงหันมาใช้บริการกันจำนวนมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของ ขร. ได้กำชับผู้ให้บริการขนส่งทางรางทุกระบบ เตรียมความพร้อมในการให้บริการอยู่เสมอ โดยเฉพาะการปรับเพิ่มความถี่ การบริหารจัดการความหนาแน่นภายในขบวนรถไม่ให้เกินมาตรฐานที่เหมาะสม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร และลดความแออัด ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการในระบบขนส่งทางรางที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ต้อนรับคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หารือการเตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ | วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
กรมเจ้าท่า ต้อนรับคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หารือการเตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ
...
กรมเจ้าท่า ต้อนรับคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หารือการเตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme, IMSAS)
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม มอบหมาย นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย พร้อมด้วย ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา นำโดยพลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ พร้อมคณะ ในการเข้าร่วมหารือด้านการเตรียมพร้อมรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization, IMO) ณ ห้องประชุมวิสูตรสาครดิษฐ์ อาคาร 162 ชั้น 4 กรมเจ้าท่า
ประเทศไทยในฐานะสมาชิกมีพันธกรณีรับการตรวจประเมินจาก IMO ( IMO Member State Audit Scheme, IMSAS) ในอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี ซึ่งมีกำหนดรับการตรวจประเมินระหว่างวันที่ 20 - 27 กุมภาพันธ์ 2566 โดยคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา ร่วมหารือกับผู้บริหารของกรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบถึงการเตรียมความพร้อมรับการตรวจ IMSAS โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ของสำนักงานสืบสวนอุบัติเหตุทางน้ำ กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลและสืบสวนอุบัติเหตุทางน้ำในฐานะรัฐเจ้าของธง ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนเดินทางจากกรมเจ้าท่า ไปยังบริเวณท่าเรืออาคารรัฐสภาต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนชาวไทยร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
ประชาชนชาวไทยร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
ประชาชนชาวไทยร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
ประชาชนชาวไทยร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
เมื่่อวันที่ 10 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 9 – 10 กุมภาพันธ์ 2566 ประชาชนชาวไทยได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. กรุงเทพมหานคร ที่อาคารนริศรานุวัดติวงศ์ กรมโยธาธิการและผังเมือง นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมด้วย นางบงกช สุวรรณเดช รองประธานชมรมแม่บ้านกรมโยธาธิการและผังเมือง คณะกรรมการชมรม จิตอาสาพระราชทาน และบุคลากรจิตอาสา ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ออกหน่วยบริการรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 78 คน ได้รับปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 35,100 ซีซี
2. จังหวัดอุดรธานี ที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 88 พรรษา วัดโพธิสมภรณ์ (พระอารามหลวง) ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานี ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
3. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดเกาะ ต.วังหว้า อ.ศรีประจันต์ พระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารท้องถิ่น และประชาชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
4. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดเจ้าเจ็ดใน ต.เจ้าเจ็ด อ.เสนา นายประทีป การมิตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
5. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่บริเวณริมเขื่อนแม่น้ำตาปี อ.เมืองสุราษฎร์ธานี นางอุรสา จินโต นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี มอบหมายให้ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับธนาคารเลือดโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ ในงาน “ของดีเมืองสุราษฎร์ กาชาดประจำปี 2566” เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน และเป็นการจัดหาโลหิตสำหรับใช้ในโรงพยาบาลของจังหวัดสุราษฎร์ธานีทั้ง 19 อำเภอ โดยมี นักเรียนนักศึกษา และประชาชนชาวสุราษฎร์ธานี ร่วมบริจาคโลหิต 78 ราย ได้รับปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 19,950 ซีซี นอกจากนี้มีผู้บริจาคดวงตา 25 ราย มีผู้บริจาคอวัยวะ 23 ราย
6. จังหวัดลพบุรี ที่วัดเขาจรเข้ ต.วังเพลิง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี นายณรงค์ ชัยจำรัส นายอำเภอโคกสำโรงเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลวังเพลิง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียนนักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โพชฌังคปริตรและเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
7. จังหวัดนครราชสีมา วัดโนนหมันเฉลิมพระเกียรติ ต.หนองงูเหลือม อ.เฉลิมพระเกียรติ พระครูโกวิทกิตติสาร เจ้าคณะอำเภอ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายไพรัตน์ อินทร์ปัญญา นายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมพิธี
8. จังหวัดสุรินทร์ ที่วัดสุวรรณราษฎร์ศรัทธารมย์ ต.หนองเมธี อ.ท่าตูม นายรณภพ บุตรสยาตรัส ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ บุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองเมธี กำนัน คณะครูและนักเรียน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64827 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ประธานในพิธีมอบรางวัลพระราชทาน | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ประธานในพิธีมอบรางวัลพระราชทาน
ปลัดมหาดไทย ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ประธานในพิธีมอบรางวัลพระราชทานในการประกวดผลงานจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคเหนือ ปี 2566
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ประธานในพิธีมอบรางวัลพระราชทานในการประกวดผลงานจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคเหนือ ประจำปี 2566
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 17.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ประธานในพิธีมอบรางวัลพระราชทานในการประกวดผลงานจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคเหนือ ประจำปี 2566 ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หม่อมหลวงยุพดี ศิริวรรณ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิ TO BE NUMBER ONE นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ผู้บริหารกรมสุขภาพจิต นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการ และผู้เข้าประกวดผลงาน TO BE NUMBER ON ร่วมในพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับพระราชทานมอบหมายจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE ให้เป็นผู้แทนทำหน้าที่ในพิธีประกาศผลและมอบรางวัลพระราชทานในการประกวดผลงานจังหวัด อำเภอและชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคเหนือ ประจำปี 2566 และขอถือโอกาสนี้เชิญชวนทุกท่านได้น้อมระลึกถึงพระกรุณาธิคุณขององค์ประธานโครงการ ที่ทรงห่วงใยและทรงทุ่มเททรงงานTO BE NUMBER ONE เพื่อเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยพระเมตตา พระอัจฉริยภาพ และพระวิริยะ อุตสาหะ จึงทรงเป็นศูนย์รวมใจของเหล่าพสกนิกรในการร่วมกันดำเนินกิจกรรมเพื่อการป้องกันปัญหายาเสพติด ทำให้โครงการ TO BE NUMBER ONE มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศ ประสบความสำเร็จสามารถวัดผลได้ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ เกิดประโยชน์ทั้งต่อองค์กร ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
"ในฐานะหน่วยงานหลักของโครงการ TO BE NUMBER ONE กระทรวงมหาดไทย น้อมนำแนวทางโครงการไปขยายผลให้ร่วมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกจังหวัด อำเภอและชมรม TO BE NUMBER ONE ในระดับภูมิภาค เพื่อให้บรรลุตามพระดำริขององค์ประธาน โดยเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการ TO BE NUMBER ONE ของจังหวัดและอำเภอ กำชับและขอความร่วมมือให้ทุกจังหวัดและอำเภอพิจารณาส่งชมรมเข้าร่วมประกวดทุกประเภท พร้อมให้ความสำคัญสนับสนุนการดำเนินโครงการ TO BE NUMBER ONE เป็นลำดับแรก โดยน้อมนำแนวทางการดำเนินโครงการไปเป็นหลักในการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของจังหวัด โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุนการจัดตั้ง และขยายเครือข่ายชมรมทั้งในระดับชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการ สถานพินิจ เรือนจำ และสำนักงานคุมประพฤติ เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานในภาพรวมของจังหวัด อำเภอ ให้เข้มแข็งขึ้น โดยสนับสนุนการเข้าร่วมประกวดของจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ประเภทต่าง ๆ สนองแนวทางพระราชทานขององค์ประธานโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอแสดงความยินดีกับจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ที่ได้รับรางวัลพระราชทาน และขอแสดงความชื่นชมกับทุกทีมที่เข้าร่วมการประกวด แม้จะไม่ได้รางวัล หรือยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ แต่สิ่งที่ได้เหมือนกันในวันนี้ คือ พวกเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และร่วมแรงร่วมใจ ทำงานโครงการ TO BE NUMBER ONE สนองพระปณิธานขององค์ประธานโครงการ ในการสร้างคนรุ่นใหม่ของชาติ ให้เป็นคนเก่งและดีอย่างยั่งยืน
สำหรับโครงการ TO BE NUMBER ONE ได้จัดการประกวดและติดตามประเมินผลการดำเนินงานจังหวัด TO BE NUMBER ONE อำเภอ TO BE NUMBER ONE เขต TO BE NUMBER ONE และชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคเหนือ ประจำปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการดำเนินงานของจังหวัด อำเภอ และชมรม TO BE NUMBER ONE ให้เกิดความเข้มแข็งและต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินงานด้านการป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มสมาชิกและเครือข่าย รวมถึงการช่วยสร้างขวัญและกำลังใจแก่สมาชิกและเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันปัญหายาเสพติด 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดพะเยา จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดน่าน จังหวัดพิจิตร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดเชียงราย จังหวัดแพร่ จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดตาก และจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีชมรมเข้าร่วมการประกวดผลงาน จำนวน 9 ประเภท ได้แก่ ประเภทจังหวัด จำนวน 17 ชมรม ประเภทอำเภอ จำนวน 51 ชมรม ประเภทชุมชน (ภูมิภาค) จำนวน 47 ชมรม ประเภทสถานศึกษา (อาชีวศึกษา-อุดมศึกษา) จำนวน 30 ชมรม ประเภทสถานศึกษา จำนวน 62 ชมรม ประเภทสถานประกอบการ จำนวน 27 ชมรม ประเภทสถานพินิจ จำนวน 11 ชมรม ประเภทเรือนจำ จำนวน 23 ชมรม และประเภทคุมประพฤติ จำนวน 18 ชมรม รวมทั้งสิ้นจำนวน 286 ชมรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64828 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลังที่พักหลายแห่งของไทยได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2023 | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลังที่พักหลายแห่งของไทยได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2023
จากการจัดอับดับของเว็บไซต์ Booking.com
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและแสดงความยินดีกับที่พักหลายแห่งในประเทศไทย ที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2023 ซึ่งเป็นการจัดอับดับจากรีวิวนักท่องเที่ยวของ Booking.com เป็นรางวัลยกย่องผู้ให้บริการด้านการเดินทางในจุดหมายปลายทางทั่วโลกที่ให้การต้อนรับผู้เดินทางอย่างโดดเด่น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดอับดับนี้คัดเลือกมาจากรีวิวที่พักหรือบริการด้านการเดินทาง ได้แก่ พนักงานที่ให้บริการ ตำแหน่งที่ตั้ง และความสะอาดของที่พัก โดยประเทศไทยมีคะแนนรีวิวที่พักเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 คะแนน โดยประเภทของที่พัก ที่ได้รางวัลนี้แบ่งเป็นโรงแรม จำนวน 3,559 แห่ง รีสอร์ท จำนวน 2,192 แห่ง และที่พักอื่น ๆ เช่น อพาร์ตเมนต์ จำนวน 1,614 แห่ง และบ้านพัก จำนวน 1,264 แห่ง ซึ่งสำหรับประเทศไทย จังหวัดที่มีสัดส่วนที่พักที่ได้รางวัล มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ พังงา กระบี่ ตราด เชียงราย และ เชียงใหม่ ตามลำดับ
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ประกอบการด้านที่พักในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2023 สะท้อนมาตรฐานของที่พักและการบริการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ยังคงโดดเด่น เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณไปยังผู้ประกอบการที่พัก ที่สามารถรักษามาตรฐานการบริการไว้ได้อย่างดี และขอให้พัฒนามาตรฐานการจัดการ มาตรฐานสถานที่ และมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างดีเสมอมา” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64824 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดสัปดาห์นี้รัฐบาลชวนเที่ยว 2 วันสุดท้ายงาน Bangkok Design Week 2023 ใน 9 ย่านเศรษฐกิจทั่วกรุงเทพฯ สร้างสรรค์กว่า 400 โปรแกรม | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
สุดสัปดาห์นี้รัฐบาลชวนเที่ยว 2 วันสุดท้ายงาน Bangkok Design Week 2023 ใน 9 ย่านเศรษฐกิจทั่วกรุงเทพฯ สร้างสรรค์กว่า 400 โปรแกรม
สุดสัปดาห์นี้รัฐบาลชวนเที่ยว 2 วันสุดท้ายงาน Bangkok Design Week 2023 ใน 9 ย่านเศรษฐกิจทั่วกรุงเทพฯ สร้างสรรค์กว่า 400 โปรแกรม ผลงานออกแบบ ดนตรี เวิร์คชอป ตลาดนัดให้เลือกเข้าร่วมตามความสนใจ
วันนี้(11ก.พ.66)น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์การมหาชน) (สศส.)หน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับหน่วยงานรัฐเอกชนสถาบันการศึกษาและองค์กรระหว่างประเทศรวมกว่า60หน่วยงานตลอดจนนักออกแบบและธุรกิจสร้างสรรค์กว่า2,000รายจัดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ2566หรือBangkok Design Week 2023ในพื้นที่9ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วกรุงเทพฯซึ่งปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่4-12ก.พ. 66โดยกิจกรรมใน7วันที่ผ่านไปมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละย่านทั้งส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ
สำหรับสุดสัปดาห์นี้วันที่11-12ก.พ. 66จะเป็น2วันสุดท้ายของเทศกาลรัฐบาลจึงขอเชิญประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเพื่อเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนได้รับความบันเทิงไปพร้อมกับศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันโดยทั้ง9ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้รวบรวมกิจกรรมไว้กว่า400โปรแกรมให้เลือกเข้าร่วมตามความสนใจอาทิการจัดแสดงผลงานและนิทรรศการจากนักสร้างสรรค์หลากหลายวงการการแสดงดนตรีและศิลปะร่วมสมัยเวิร์คชอปเสวนาเพื่อการเติมเต็มความรู้และแนวคิดใหม่จากนักสร้างสรรค์และผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและต่างประเทศตลอดจนการออกร้านตลาดนัดสร้างสรรค์โดยผู้สนใจสามารถค้นหาพื้นที่และกิจกรรมของเทศกาลBangkok Design Week 2023ได้ที่เว็บไซต์https://www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2023
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสำหรับ9ย่านซึ่งเป็นสถานที่จัดเทศกาลประกอบด้วย1)เจริญกรุง-ตลาดน้อย2)เยาวราช3)สามย่าน-สยาม4)อารีย์-ประดิพัทธ์5)พระนคร/ปากคลองตลาด/นางเลิ้ง6)วงเวียนใหญ่-ตลาดพลู/คลองสาน7)บางโพ8)พร้อมพงษ์9)เกษตรฯและพื้นที่อื่นๆ โดยทุกย่านดำเนินกิจกรรมภายใต้ธีมurban‘NICE’zationเมือง–มิตร–ดีเพื่อนำเสนอแนวคิดให้งานออกแบบทำให้เมืองดีขึ้นกระตุ้นให้ทุกคนร่วมกันพัฒนากรุงเทพฯให้ดีขึ้น
สำหรับBangkok Design Weekซึ่งปีนี้ดำเนินมาเป็นปีที่6ถือเป็นงานเทศกาลงานออกแบบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นเวทีแสดงผลงานของนักออกแบบและธุรกิจทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งร่วมผลักดันกรุงเทพมฯให้เติบโตและโดดเด่นในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก(UNESCO Creative City Network)ในสาขาด้านการออกแบบ(Bangkok City of Design)และระหว่างการจัดงานยังส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจแวดล้อมอื่นๆไปพร้อมกัน เช่นร้านอาหารร้านกาแฟธุรกิจของฝาก-ของที่ระลึกโลจิสติกส์การท่องเที่ยวที่พักโรงแรมบริการขนส่งมวลชน
————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64820 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชี้รัฐบาลเล็งแก้ข้อร้องเรียนเงินเดือน ไม่ขึ้นมา10 ปี จากสมาคม อบต. ตั้งแต่ปี 62 หลังปรับขึ้นเงินเดือนกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปก่อนแล้ว | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
"ทิพานัน" ชี้รัฐบาลเล็งแก้ข้อร้องเรียนเงินเดือน ไม่ขึ้นมา10 ปี จากสมาคม อบต. ตั้งแต่ปี 62 หลังปรับขึ้นเงินเดือนกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปก่อนแล้ว
"ทิพานัน" ชี้รัฐบาลเล็งแก้ข้อร้องเรียนเงินเดือน ไม่ขึ้นมา10 ปี จากสมาคม อบต. ตั้งแต่ปี 62 หลังปรับขึ้นเงินเดือนกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปก่อนแล้ว ย้ำปี66 โควิดคลี่คลายจึงอนุมัติขึ้นเงินเดือน หวังบุคคลากร-ท้องถิ่นพัฒนาขึ้น ไม่เกี่ยวหาเสียงการเมือง
วันนี้(11ก.พ.66)น.ส.ทิพานันศิริชนะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกรณีขึ้นเงินเดือนให้กับผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ว่าเป็นเรื่องที่มีการดำเนินการตามกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอนโดยสมาคมอบต.แห่งประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยมาตั้งแต่ปี2562เนื่องจากไม่ได้มีการปรับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมานานกว่า10ปีและได้มีการติดตามความคืบหน้ามาเป็นลำดับ
"ในข้อเรียกร้องสมาคมอบต.แห่งประเทศไทยเมื่อปี2562นั้นพล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วยในหลักการทั้งบรรเทาความเดือดร้อนและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและก่อนหน้านี้ได้มีการปรับขึ้นเงินเดือนของกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปแล้วก่อนปี2562ดังนั้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและหลักธรรมาภิบาลจึงเห็นควรปรับขึ้นเงินเดือนให้ เพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้รวดเร็วที่สุดแต่ขณะนั้นมีสถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19จึงต้องชะลอไปก่อน"น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานันกล่าวว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายทางสมาคมอบต.แห่งประเทศไทยจึงได้มีการติดตามเรื่องดังกล่าวมายังพล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งเมื่อวันที่24พฤศจิกายน2565 ในงาน"การพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นสู่ความเป็นเมืองตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไทย" จ.เชียงใหม่อีกครั้งโดยมีผู้บริหารอบต. 5,300แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมการสัมมนา ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ ได้มอบให้ผู้บริหารท้องถิ่นทำหนังสือราชการ พร้อมร่างหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าตอบแทนต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและข้อกฎหมายต่างๆ ในทันทีและเร่งติดตามเสมอมาเพราะพล.อ.อนุพงษ์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นมาโดยตลอด
และเมื่อวันที่7กุมภาพันธ์2566ทางสมาคมอบต.แห่งประเทศไทยได้เข้าหารือกับนายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาคเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เพื่อให้ข้อมูลถึงหลักเกณฑ์และความจำเป็นของอบต. ซึ่งนายพีระพันธุ์ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ จึงได้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายกระทรวงมหาดไทยผ่านความเห็นชอบในวันที่8กุมภาพันธ์2566ตามลำดับ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับเรื่องตั้งแต่ปี62และได้พยายามดำเนินการทันทีแต่ติดปัญหาวิกฤตโควิด เมื่อสถาการณ์คลี่คลายก็เดินหน้าแก้ไขปรับปรุง ส่วนที่นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาคนำเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาก็เป็นไปตามขั้นตอนการแก้ไขปกติ ไม่ได้มีนัยยะทางการเมืองใดๆ หรือเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งที่จะหยิบยกมาโจมตีกัน
"ในส่วนการบริหารของ"พล.อ.ประยุทธ์"สะท้อนให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นทุกหน่วยงานยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ซึ่งการปรับขึ้นเงินเดือนจะเป็นขวัญและกำลังใจของคนทำงานและลดความเหลื่อมล้ำได้ส่วนหนึ่งด้วย'น.ส.ทิพานันกล่าว
————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64819 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงานเกษตรอีสานใต้ ประจำปี 2566 | วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงานเกษตรอีสานใต้ ประจำปี 2566
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดงานเกษตรอีสานใต้ ประจำปี 2566 พร้อมผลักดันเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง เชื่อมั่นสามารถเป็นมหาอำนาจทางด้านอาหารได้
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานเปิดงานเกษตรอีสานใต้ ประจำปี 2566 ซึ่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันการศึกษา กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “โคก หนอง นา : ศาสตร์พระราชาเพื่อพัฒนาเกษตรที่ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 10 - 19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ลานกิจกรรมคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
สำหรับการจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงความรู้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นวัตกรรมด้านการเกษตร การแปรรูปสร้างมูลค่า และการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีด้วยสินค้าเกษตรปลอดภัย อีกทั้งเป็นการสร้างอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ start up ให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งภายในงานกำหนดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเกษตร การผลิตพืชและสัตว์เศรษฐกิจจากภาครัฐและเอกชน เครื่องจักรกลการเกษตร การให้ความรู้ด้านพืชเศรษฐกิจและพืชพลังงาน ให้แก่เกษตรกร การประกวดพืช สัตว์ การแปรรูปอาหาร การเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์ และสุขภาวะที่ดี อันมีรากฐานจากภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับจากกลุ่มเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ จำนวนมากที่มาร่วมออกร้านครั้งนี้
นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการ “สุดยอด นิทรรศการเกษตรมีชีวิต” ที่ใหญ่ที่สุดในอีสานใต้ โคก หนอง นา สัตว์เศรษฐกิจ สัตว์เลี้ยงสวยงาม ทุ่งทานตะวัน สวนดอกไม้หลากสี อุโมงค์พืชผัก ระบบเพาะปลูกพืชไฮโดรโปนิค การผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน นวัตกรรม ผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ ผลผลิตจากการเรียนการสอน การให้คำปรึกษาจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การแสดงสินค้าและการออกร้านจำหน่ายสินค้าของเกษตรกร บริษัทเอกชน เครื่องจักรกล อุปกรณ์ต่อพ่วง และเทคโนโลยีทางการเกษตร พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์เลี้ยง สินค้ากลุ่มชุมชนและเกษตรกร การเสวนาวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การประกวดผลผลิตทางการเกษตร การอบรมเชิงปฏิบัติการ การแสดงศิลปวัฒนธรรมนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และศิลปินมากมาย ตลอดจนการประกวดร้องเพลง การประกวดวงดนตรี และการประกวดธิดาสวนยาง เป็นต้น
"การจัดงานวันเกษตรอีสานใต้ในครั้งนี้มีความสำคัญกับภาคเกษตรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการบูรณาการร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ประชาชน และเกษตรกร ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าของพี่น้องเกษตรกรแล้ว ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำไปพัฒนาในเรื่องการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และรักษาคุณภาพสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาคการเกษตรจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องใช้คนรุ่นใหม่ โดยกระทรวงเกษตรฯ มี Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนวิถีการทำการเกษตรของประเทศ โดยการใช้เทคโนโลยี การทำการตลาดด้วยตัวเอง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่จะเป็นการยกระดับ พัฒนาคุณภาพชีวิต และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร มั่นใจว่าถ้าเราช่วยกันสนับสนุนและผลักดันให้พี่น้องเกษตรกรมีความเข้มแข็ง ประเทศก็จะเข้มแข็ง และสามารถเป็นมหาอำนาจทางด้านอาหารได้" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64817 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการให้ความช่วยเหลือตุรกีอย่างเต็มที่ รวมทั้งสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนไทยในพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือในส่วนของการจัดการร่างผู้เสียชีวิตหญิงชาว | วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
10/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการให้ความช่วยเหลือตุรกีอย่างเต็มที่ รวมทั้งสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนไทยในพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือในส่วนของการจัดการร่างผู้เสียชีวิตหญิงชาว
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการให้ความช่วยเหลือตุรกีอย่างเต็มที่ รวมทั้งสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนไทยในพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือในส่วนของการจัดการร่างผู้เสียชีวิตหญิงชาวไทย ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางตรุกีจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบความคืบหน้าทีม USAR Thailand พร้อมด้วยสุนัขกู้ภัย เดินทางถึงสนามบินอิสตันบูลแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานให้ความช่วยเหลือตามความต้องการแก่ตุรกีอย่างเต็มที่
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่สาธารณรัฐตุรกี ภายใต้ปฏิบัติการ “Thailand for Turkiye” โดยส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue) หรือทีม USAR Thailand จำนวน 42 คน และสุนัขกู้ภัย 2 ตัว พร้อมอุปกรณ์ค้นหาและกู้ภัย ครุภัณฑ์และเวชภัณฑ์ 215 รายการ ตามความต้องการของสถานเอกอัครราชทูตุรกี เพื่อเข้าร่วมสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นการประกอบกำลังของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัยจาก Thailand rescue Dog (THAI RDA) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอน เมนทอล เซอร์วิส จำกัด โรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลราชวิถี
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ตรุกี ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ตรุกีได้รับความเสียหายอย่างมาก และต้องใช้เวลาเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูที่สมบูรณ์ รัฐบาลไทยได้ให้ความช่วยเหลือทางตุรกี โดยเบื้องต้นได้ให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในหลายๆ รูปแบบ โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ตามความต้องการของทางตุรกี
“นายกรัฐมนตรีตระหนักดีว่าตุรกีเป็นหนึ่งในมิตรประเทศที่สำคัญของไทย และเชื่อมั่นถึงความช่วยเหลือระหว่างกันในช่วงเวลาแห่งความท้าทาย โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้หารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นเร่งด่วนและช่องทางการจัดส่งความช่วยเหลือในเบื้องต้น ซึ่งมีการดำเนินการแล้วในเบื้องต้น ตลอดจน นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ประเมินการช่วยเหลือหากทางตุรกีร้องขอ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางตรุกีจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว” นายอนุชาฯ กล่าว
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่าสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดต่อญาติผู้เสียชีวิตหญิงชาวไทย เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการร่างของผู้เสียชีวิต และได้สั่งการให้ดูแลและติดต่อ ประชาสัมพันธ์ความช่วยเหลือชาวไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน!! กรมการจัดหางาน สำรวจความต้องการไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ (วีซ่า E- 8) ผ่านเว็บไซต์ doe.go.th/overseas ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 ก.พ. 66 | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
ด่วน!! กรมการจัดหางาน สำรวจความต้องการไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลเกาหลีใต้ (วีซ่า E- 8) ผ่านเว็บไซต์ doe.go.th/overseas ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 ก.พ. 66
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเจรจาเรื่องโควตางานเกษตรตามฤดูกาลกับเมืองต่าง ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2565
ทางการไทยโดยกระทรวงแรงงาน และกระทรวงยุติธรรม ของสาธารณรัฐเกาหลี ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือร่วมกันเพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคในการจัดส่งแรงงานตามฤดูกาล (วีซ่า E- 8) ไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีมาโดยตลอด ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 แผนกวีซ่าและการควบคุมพำนักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกระทรวงยุติธรรม สาธารณรัฐเกาหลี ได้แจ้งมาตรการที่ได้รับการปรับปรุงและแจ้งเวียนให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทราบ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขสำคัญที่จำเป็นต้องระบุใน MOU คือต้องมีการระบุจังหวัดที่จะดำเนินการคัดเลือกและจัดส่งแรงงาน กรมการจัดหางาน จึงเปิดแบบสำรวจให้แรงงานไทยที่ต้องการไปทำงานเกษตรตามฤดูกาล ณ สาธารณรัฐเกาหลี แจ้งความต้องการผ่านเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 ก.พ. 66 เพื่อสำรวจจำนวนความต้องการไปทำงาน ความถนัดด้านงานเกษตร และภูมิลำเนา โดยคุณสมบัติเบื้องต้น ต้องมีสัญชาติไทย อายุระหว่าง 25 - 50 ปี และมีการขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรหรือมีประสบการณ์งานเกษตร 1 ปีขึ้นไป
ด้านนายโอวาท ทองบ่อมะกรูด ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางานกล่าวว่า ทางการไทยได้ร่วมกับทางการเกาหลีใต้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 2 แห่ง ประกอบด้วย อำเภอจินชอน และอำเภอจินอัน เป็นอำเภอนำร่องที่จะลงนามในบันทึกข้อตกลงจัดส่งแรงงานภาคเกษตรตามฤดูกาล (วีซ่า E-8) ซึ่งทางการเกาหลีใต้ระบุอย่างชัดเจนให้กรมการจัดหางาน เป็นหน่วยงานจัดส่งแรงงาน ทำหน้าที่รับสมัคร คัดเลือก และจัดส่งแรงงานตามฤดูกาล โดยห้ามบริษัทจัดหางานเข้าแทรกแซงและทำสัญญาซ้อนกับแรงงาน และด้วยข้อตกลงนี้เป็นในลักษณะจัดส่งคนไทยไปทำงานต่างประเทศโดยรัฐ กรมการจัดหางานจะไม่คิดค่าบริการใด ๆ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายจัดส่งแรงงานขั้นพื้นฐาน
ทั้งนี้ กรมการจัดหางานขอย้ำว่าการแจ้งความต้องการครั้งนี้ เป็นเพียงการสำรวจความต้องการเท่านั้น โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อช่วยให้ท่านได้รับการคัดเลือก เพราะอาจถูกหลอกลวงให้เสียทรัพย์ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากกรมการจัดหางานได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64830 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ธนกร” เผย “บิ๊กตู่” มอบหมายลงพื้นที่นครศรีธรรมราชรับฟังปัญหาจากคนพื้นที่โดยตรง เพื่อวางแนวทางแก้ไขให้ตอบโจทย์และตรงจุด ตามนโยบายของนายกฯ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
“ธนกร” เผย “บิ๊กตู่” มอบหมายลงพื้นที่นครศรีธรรมราชรับฟังปัญหาจากคนพื้นที่โดยตรง เพื่อวางแนวทางแก้ไขให้ตอบโจทย์และตรงจุด ตามนโยบายของนายกฯ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“ธนกร” เผย “บิ๊กตู่” มอบหมายลงพื้นที่นครศรีธรรมราชรับฟังปัญหาจากคนพื้นที่โดยตรง เพื่อวางแนวทางแก้ไขให้ตอบโจทย์และตรงจุด ตามนโยบายของนายกฯ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันนี้(11ก.พ.66)นายธนกร วังบุญคงชนะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจราชการจ.นครศรีธรรมราชในวันพรุ่งนี้(12กุมภาพันธ์2566)เพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการของรัฐพร้อมทั้งพบปะผู้นำส่วนราชการและภาคประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่อ.จุฬาภรณ์และอ.ชะอวดเพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งเข้าไปดำเนินการแก้ปัญหาให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดทั้งนี้เป็นวัตถุประสงค์ของท่านนายกฯที่ต้องการให้รัฐบาลลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้เข้าไปแก้ปัญหาได้ถูกจุดและตรงกับที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลืออย่างแท้จริง
“ท่านนายกฯรับทราบถึงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมักจะประสบปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติรวมถึงปัญหาด้านการเกษตรมาโดยตลอดท่านนายกฯจึงมอบหมายให้ผมลงพื้นที่จ.นครศรีธรรมราชในครั้งนี้เพื่อเข้าไปรับทราบปัญหาแบบลงลึกถึงประชาชนจะได้หาแนวทางในการช่วยเหลืออย่างถูกต้องต่อไป อย่างไรก็ตามผมในฐานะลูกหลานชาวนครศรีธรรมราชพร้อมที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชอย่างเต็มที่โดยแนวทางที่ผมวางไว้เบื้องต้นนั้นการเข้าไปแก้ปัญหาของรัฐบาลจะต้องตอบโจทย์และตรงจุดให้มากที่สุดตามที่ท่านนายกฯได้ให้แนวทางไว้ว่าจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”นายธนกรกล่าว
———————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64825 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพอใจเงินเฟ้อเริ่มชะลอ ม.ค.66 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ชี้แนวโน้มดีตามทิศทางราคาพลังงานโลกคลี่คลาย | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
นายกรัฐมนตรีพอใจเงินเฟ้อเริ่มชะลอ ม.ค.66 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ชี้แนวโน้มดีตามทิศทางราคาพลังงานโลกคลี่คลาย
นายกรัฐมนตรีพอใจเงินเฟ้อเริ่มชะลอ ม.ค.66 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ชี้แนวโน้มดีตามทิศทางราคาพลังงานโลกคลี่คลาย พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานออกมาตรการดูแลประชาชนช่วงเผชิญค่าครองชีพสูง ผู้ประกอบการช่วยตรึงราคาสินค้า
วันนี้(11ก.พ.66)น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมพอใจกับสถานการณ์เงินเฟ้อตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานล่าสุดว่าในเดือนม.ค. 66เงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ5.02ชะลอลงจากร้อยละ5.89ในเดือนก่อนหน้าและเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ9เดือนและระยะต่อไปมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องตามสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่คลายคลี่คลายเมื่อเทียบกับปี2565โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่าปีนี้เงินเฟ้อจะปรับลดลงมาเหลือร้อยละ2-3เมื่อเทียบกับร้อยละ6.08ในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลงได้ชี้ถึงแนวโน้มภาระด้านราคาหรือค่าครองชีพของประชาชนจะชะลอลงด้วยซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายทางนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับและมีข้อสั่งการหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในการออกมาตรการต่างๆเพื่อช่วยเหลือลดภาระที่ประชาชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในช่วงมีวิกฤตราคาพลังงานโลกตลอดปี2565ที่ผ่านมา
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งหน่วยหลักที่ดูแลโครงการหรือมาตรการช่วยเหลือดูแลค่าครองชีพประชาชนและหน่วยงานสนับสนุนตลอดจนผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการตรึงราคาสินค้าโดยเฉพาะราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันซึ่งการที่ประชาชนยังมีกำลังซื้อที่ดีเห็นได้จากการบริโภคที่ยังขยายตัวเป็นผลสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งรัฐผู้ประกอบการเอกชนที่มีเป้าหมายเดียวกันคือการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปด้วยกัน
“ปี2565ไทยต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานเช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลกโดยเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยร้อยละ6.08เป็นระดับสูงที่สุดในรอบ24ปีซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำกับทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่องในการช่วยกันดูแลประชาชนทั้งเรื่องการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพการแก้ไขปัญหาหนี้สินการปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลวินัยการคลังของประเทศซึ่งในภาพรวมทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลได้เป็นอย่างดีจนถึงขณะนี้ที่สถานการณ์ทั้งเศรษฐกิจภาพรวมและเงินเฟ้อเริ่มดีขึ้น”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
—————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64821 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง มอบอำนาจผู้ตรวจฯ แต่งตั้งโยกย้าย ผอ.รพ.ชุมชน มาตั้งแต่ปี 2558 | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
สธ.แจง มอบอำนาจผู้ตรวจฯ แต่งตั้งโยกย้าย ผอ.รพ.ชุมชน มาตั้งแต่ปี 2558
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงการออกคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการฯ ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงการออกคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการฯ ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ครอบคลุมเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับเชี่ยวชาญและชำนาญการพิเศษ ทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน นายแพทย์เชี่ยวชาญใน สสจ. จนถึงหัวหน้าพยาบาลในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป รวมถึงให้ย้ายหรือปฏิบัติราชการทั้งในจังหวัดหรือข้ามจังหวัดในเขตพื้นที่ ไม่ได้เพิ่งมีการมอบอำนาจเมื่อปี 2565 อย่างที่เข้าใจ
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ด้านบริหาร) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติราชการในพื้นที่แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่า เรื่องนี้มีการดำเนินการมานานตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับการบริหารจัดการใหม่ในรูปแบบเขตสุขภาพ จึงมีการออกคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 1422/2558 มอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข เช่น การสั่งอนุญาต อนุมัติการปฏิบัติราชการ, การตรวจราชการและติตตามประเมินผลในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ, การอนุมัติสั่งซื้อสั่งจ้างกรณีเกินกว่า50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท, การบริหารพัสดุและครุภัณฑ์โดยการให้ยืมภายในเขตพื้นที่ รวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรในเขตพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ประกอบด้วย 1.ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนระดับชำนาญการพิเศษหรือระดับเชี่ยวชาญ 2.นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด3.นายแพทย์เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป4.นักวิชาการสาธารณสุขระดับเชี่ยวชาญ (ด้านส่งเสริมพัฒนาหรือด้านบริหารทางวิชาการ) ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 5.รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และ 6.หัวหน้าพยาบาล ระดับชำนาญการพิเศษในโรงพยาบาลทั่วไป หรือระดับเชี่ยวชาญในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ต่อมาในปี 2564 ได้มีการออกคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 753/2564 เรื่อง มอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 เขตสุขภาพที่ 4 เขตสุขภาพที่ 9 และเขตสุขภาพที่ 12 ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุขในเขตสุขภาพ เนื่องจากมีการปฏิรูปการบริหารราชการในเขตสุขภาพ เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข อันจะก่อให้เกิดความคล่องตัวและตอบสนองการให้บริการด้านสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงในเขตสุขภาพ โดยการมอบอำนาจที่มีการแก้ไข เช่น การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปครั้งหนึ่งเกิน 300 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท การสั่งซื้อสั่งจ้างโดยวิธีการคัดเลือก หรือวิธีเฉพาะเจาะจง ครั้งหนึ่งเกิน 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท
ส่วนการบริหารงานบุคคลมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น คือ เพิ่มอำนาจการบริหารกรอบอัตรากำลัง การคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ดังนี้ 1.ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (นายแพทย์) ระดับเชี่ยวชาญในโรงพยาบาลชุมชน 2.นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด3.นักวิชาการสาธารณสุขระดับเชี่ยวชาญ (ด้านส่งเสริมพัฒนา และด้านบริการทางวิชาการ) ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด4.รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และ 5.หัวหน้าพยาบาล (พยาบาลวิชาชีพ) / พยาบาลวิชาชีพ (ด้านการพยาบาลผู้ป่วยหนัก ด้านการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด ด้านการพยาบาลอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ด้านการพยาบาลผู้คลอด และด้านการพยาบาลวิสัญญี) ระดับเชี่ยวชาญ ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป
“จากคำสั่งต่างๆ ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2558 จะเห็นว่ามีการมอบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการฯ ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุขมานานแล้ว ทั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน และตำแหน่งทางวิชาการในระดับเชี่ยวชาญ และชำนาญการพิเศษ ไม่ได้เพิ่งมีการมอบอำนาจการการแต่งตั้งโยกย้ายผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนในปี 2566 กันอย่างที่เข้าใจ โดยในปีงบประมาณ 2564 - 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายโดยผู้ตรวจราชการฯ รวม 21 ราย”นพ.ทวีศิลป์กล่าว
***************************************** 11 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือน คนร้ายอ้างเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลอกให้อัปเดตข้อมูล | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอส เตือน คนร้ายอ้างเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลอกให้อัปเดตข้อมูล
ดีอีเอส เตือน คนร้ายอ้างเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลอกให้อัปเดตข้อมูล
นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะโฆษกกระทรวงเผยว่าได้พบการหลอกลวงของคนร้ายอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแจ้งประชาชนผ่านการโทรไลน์และlinkขอให้เข้าอัปเดทข้อมูลเพื่อให้เงินช่วยเหลือ
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ว่ามีเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าติดต่อประชาชนผ่านการโทรศัพท์และให้กรอกข้อมูลผ่านช่องทางไลน์เพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลนิติบุคคลนำไปอัปเดท(Update)ฐานข้อมูลหรือให้เงินช่วยเหลือทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้าไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาประชาชนหรือส่งลิงก์ให้กรอกข้อมูลผ่านไลน์รวมทั้งขอข้อมูลส่วนบุคคลและให้อัปเดตข้อมูลนิติบุคคลในการเสนอเงินช่วยเหลือธุรกิจแต่อย่างใด
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์https://www.dbd.go.th/หรือโทร1570ซึ่งการกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา14(2),(5)มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับหรือกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งผ่าน4ช่องทางได้แก่เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER,ทวิตเตอร์@AFNCThailand,ไลน์@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง
_______________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64826 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การอนามัยโลก ยกย่องบุคลากรสาธารณสุขไทย รับรางวัล “Sasakawa Health Prize” ประจำปี 2566 | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
องค์การอนามัยโลก ยกย่องบุคลากรสาธารณสุขไทย รับรางวัล “Sasakawa Health Prize” ประจำปี 2566
องค์การอนามัยโลก ยกย่องบุคลากรสาธารณสุขไทย มอบรางวัล “Sasakawa Health Prize” ประจำปี 2566 ให้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก ผู้มีบทบาทในการป้องกันและควบคุมโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทย
องค์การอนามัยโลก ยกย่องบุคลากรสาธารณสุขไทย มอบรางวัล “Sasakawa Health Prize” ประจำปี 2566ให้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก ผู้มีบทบาทในการป้องกันและควบคุมโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทย สื่อสารให้ประชาชนปรับปรุงพฤติกรรมป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล และผลักดันหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล แก่ อสม.
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การอนามัยโลกสมัยที่ 152 ได้ประกาศรับรองให้บุคลากรสาธารณสุขไทย ได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์วิชัย เทียนถาวรอธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก ได้รับรางวัลSasakawa Health Prize ประจำปี 2566 โดยจะมีพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณในระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 76 ในเดือนพฤษภาคม 2566
นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกองการต่างประเทศ ร่วมกับสถาบันพระบรมราชชนกได้เสนอชื่อ ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก เพื่อเข้ารับรางวัลSasakawa Health Prize จากบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการป้องกันและควบคุมโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทยเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอนามัย โดยริเริ่มการรณรงค์ “เลือกคู่ เลือกครรภ์ เลือกคลอด ปลอดธาลัสซีเมีย”เพื่อลดความชุกของโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงในประเทศไทย รวมถึงเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งคณบดีและผู้ก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้ริเริ่มโครงการ “ปิงปองจราจรชีวิต 7 สี” ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่ช่วยให้ประชาชนปรับปรุงพฤติกรรมเพื่อป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงเป็นการคัดกรองโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงขั้นพื้นฐานที่สามารถลดอัตราการรับประทานยา ประหยัดค่าเดินทางและค่ารักษาพยาบาลของประชาชน และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังได้ผลักดันให้สถาบันพระบรมราชชนก รับสมัครนักเรียนมัธยมปลายที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนและพื้นที่ห่างไกลจากการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เข้ารับการศึกษาและฝึกอบรมในหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เมื่อสำเร็จการศึกษาสามารถกลับไปดูแลประชาชนในภูมิลำเนา และยังสนับสนุนให้มีการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลแก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการให้การดูแลประชาชนในชุมชน
สำหรับรางวัล “Sasakawa Health Prize” ก่อตั้งขึ้นในปี 2527 ตามความคิดริเริ่มและด้วยทุนสนับสนุนจากมูลนิธิอุตสาหกรรมการต่อเรือแห่งประเทศญี่ปุ่น และมูลนิธิSasakawa Memorial Health Foundation เพื่อมอบให้กับบุคคล สถาบัน องค์กรพัฒนาเอกชน หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำงานด้านนวัตกรรมที่โดดเด่นในการพัฒนาบริการปฐมภูมิ ซึ่งที่ผ่านมา มีบุคลากรสาธารณสุขของไทยได้รับรางวัลSasakawa Health Prize จำนวน 2 ท่านได้แก่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อมร นนทสุต ในปี 2529 และนายแพทย์ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข ในปี 2565
***************************************** 11 กุมภาพันธ์ 2566
*************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64834 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” นำทีมเกษตรลุยอีสานผนึกเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัด | วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
“อลงกรณ์” นำทีมเกษตรลุยอีสานผนึกเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัด
“อลงกรณ์” นำทีมเกษตรลุยอีสานผนึกเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัด แก้ปัญหาผลกระทบภาคเกษตรและประมงจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ครั้งที่ 1/2566 (เฉพาะกิจ) และติดตามผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาด้านการเกษตรและด้านประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ.2566 – 2570 โดยมี นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ โรงแรมบลู โฮเทล นครพนม จ.นครพนม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ทั้งในด้านแหล่งที่อยู่อาศัย การวางไข่ และเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์น้ำ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566 – 2570 ประกอบด้วย 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง และแนวทางที่ 2 การบริหารจัดการด้านการประมงและทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืนและคงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (AIC) ประจำจังหวัด ภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำโขง ในการพัฒนาทรัพยากรประมงควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เกิดความยั่งยืนและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สำหรับการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งนี้นับเป็นการประชุมเฉพาะกิจนอกพื้นที่ครั้งแรกร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ/กิจกรรม ด้านการประมงและด้านการเกษตร แบ่งเป็น ด้านการประมง รวมจำนวน 31 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 13,012,140 บาท พื้นที่ดำเนินการ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี อาทิ โครงการการจัดการระบบนิเวศปลาหน้าวัด, โครงการธนาคารผลผลิตเกษตรด้านการประมงสนับสนุนธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม, กิจกรรมส่งเสริมเยาวชนนักเพาะเลี้ยง, โครงการเพาะพันธุ์ปลายี่สกไทย (ปลาเอิน) ในแม่น้ำโขง เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา, โครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงปลาตะเพียนขาวในบ่อดิน เป็นต้น สำหรับด้านการเกษตร สำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สป.กษ.) ได้สรุปแผนงาน/โครงการภายใต้แผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนระดับจังหวัด ปี 2566 – 2570 (ฉบับทบทวน) รวมจำนวน 794 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 7,770,595,287 บาท แบ่งเป็น งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด 304 โครงการ งบประมาณ 1,124,048,495 บาท งบปกติ 375 โครงการ งบประมาณ 6,600,923,240 บาท และงบอื่น ๆ 70 โครงการ งบประมาณ 45,623,552 บาท โดยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการไว้ในคำของบประมาณประจำปีของหน่วยงานต่อไป
ที่ประชุมยังได้หารือและรับทราบในเรื่องอื่น ๆ ได้แก่
1. แนวทางการดำเนินการรักษาพันธุ์ปลาบึกในแม่น้ำโขง โดยกรมประมง ซึ่งมี 2 แนวทาง ดังนี้ 1.1) การอนุรักษ์นอกถิ่นแม่น้ำโขง โดยการปล่อยลงในแหล่งน้ำภายในประเทศ ซึ่งกรมประมงจะใช้แม่พันธุ์ปลาบึกรุ่น F1 เพื่อผลิตปลาบึกรุ่น F2 ที่ยังคงความหลากหลายทางพันธุกรรมและยังคงสามารถรักษาไว้ได้จากเดิมให้มากที่สุด โดยปลาบึกรุ่นลูก F2 นี้ สามารถนำไปเลี้ยงไว้ในอ่างเก็บน้ำเพื่อเป็นการนกษาพันธุ์ปลาลึกไว้นอกแหล่งที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์เพื่อการเพาะเลี้ยงต่อไปได้ในอนาคต และ 1.2) สนับสนุนการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ให้แก่เกตรกร เนื่องจากปลาบึกมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
2. ความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนทบทวนแผนพัฒนาการเกษตร ในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดย สำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สป.กษ. ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 8 จังหวัด รับทราบและดำเนินการตามแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ.2566 – 2570 และแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566 – 2570 แล้ว
3. ความก้าวหน้าการศึกษาพลับพลึงแม่น้ำโขงและแผนการนำพลับพลึงแม่น้ำโขงกลับไปปลูกคืนถิ่นเดิม โอกาสนี้ นายอลงกรณ์ ได้มอบต้นพันธุ์พลับพลึงแม่น้ำโขง (Crinum viviparum) (ที่เพาะพันธุ์จากเมล็ด) ซึ่งถือเป็นพืชเฉพาะถิ่นหายาก และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จำนวน 30 ต้น ให้แก่ นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ผู้แทนสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน เพื่อนำไปจัดกิจกรรมให้ชุมชนในการปลูกในพื้นที่อาศัยเดิม ตำบลหาดคัมภีร์ อำเภอปากชม จังหวัดเลย ตามแผนการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุ์พลับพลึงแม่น้ำโขงของกรมประมงที่ทำการเก็บรวบรวมตัวอย่างต้นพันธุ์จากธรรมชาติ ตั้งแต่ปี 2564 และนำไปศึกษาเพาะเลี้ยงในระบบโรงเรือน และห้องปฏิบัติการจนได้ต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ในปัจจุบัน
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะผลักดันและสนับสนุนการพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติสร้างความมั่นคงด้านอาชีพ พัฒนาขีดความสามารถในทุกด้าน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนและเกษตรกร และคงความหลากหลายของทรัพยากรประมงในแม่น้ำโขงได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว
ในการลงพื้นที่จังหวัดนครพนมในครั้งนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้ร่วมกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลายี่สกไทยและพันธุ์ปลาหายากใกล้สูญพันธุ์ลงสู่แม่น้ำโขง จำนวน 60,000 ตัว ภายใต้แผนการดำเนินโครงการเพาะพันธุ์ปลายี่สกไทย (ปลาเอิน) ในแม่น้ำโขง เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา และในปี 2566 กรมประมงได้ตั้งเป้าการผลิตลูกพันธุ์ปลายี่สกไทยให้ได้จำนวน 2 แสนตัว เพื่อปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จากนั้น พบปะกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ปลานิลแม่น้ำโขงอำเภอท่าอุเทน ณ โรงแรมชีวาโขง อ.เมือง ก่อนเดินทางตรวจเยี่ยมกลุ่มแปลงใหญ่ปลาสวายโมงในกระชังในแม่น้ำโขง ชุมชนบ้านอาจสามารถ อ.เมือง ตลอดจนเยี่ยมชมการสาธิตการเก็บน้ำเชื้อปลายี่สกไทย เพื่อเป็นแนวทางในการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำหายากใกล้สูญพันธุ์ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม
นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ในการเตรียมน้ำเชื้อปลาเพศผู้และเก็บรักษาน้ำเชื้อด้วยวิธีการแช่แข็ง โดยเจ้าหน้าที่จากกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรมประมงในพื้นที่สามารถสร้างแหล่งธนาคารน้ำเชื้อ ในการเก็บรวบรวม และนำน้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์ปลาที่สมบูรณ์เพศไปใช้ในการผสมเทียมเพื่อขยายพันธุ์ในอนาคต ซึ่งในปลาบางชนิดโอกาสที่จะพบพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์เพศพร้อมกันเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปลายี่สกไทย และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่พบได้ยาก มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พร้อมกันนี้ได้มีการจัดสัมมนาสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการชุมชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่แม่น้ำโขง ให้แก่ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานกรมประมง และคณะอนุกรรมการฯ ระดับจังหวัด ในระหว่างวันที่ 8 – 10 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถนำแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรประมงไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุมชนของตนได้อย่างเหมาะสม พร้อมนี้ได้นำคณะฯ ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ โครงการธนาคารสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมแหล่งน้ำหนองพัง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2565 สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเลื่องลือขยายผล ระดับดีเด่น และโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ลูกอ๊อดบ้านหนองแต้ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2563 สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทสัมฤทธิ์ผลประชาชนมีส่วนร่วม ระดับดีอีกด้วย.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64816 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโชว์ผลงานด้านน้ำ 2 พื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 4 ปีขับเคลื่อนเกือบ 3,000 โครงการ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
รัฐบาลโชว์ผลงานด้านน้ำ 2 พื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 4 ปีขับเคลื่อนเกือบ 3,000 โครงการ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลโชว์ผลงานด้านน้ำ 2 พื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 4 ปีขับเคลื่อนเกือบ 3,000 โครงการ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ
วันนี้(11ก.พ.66)นายอนุชาบูรพชัยศรีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่ารัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศต่อเนื่องให้ความสำคัญกับบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบให้มีน้ำเพียงพอสำหรับประชาชนในทุกมิติทั้งด้านการเกษตรอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวด้านอุตสาหกรรมการรักษาระบบนิเวศรวมทั้งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอย่างยั่งยืนล่าสุดกับผลความก้าวหน้าการพัฒนาทรัพยากรน้ำในพื้นที่2จังหวัดภาคเหนือตอนล่างซึ่งรัฐบาลได้มีการเร่งรัดผลักดันการขับเคลื่อนโครงการด้านน้ำตลอด4ปีที่ผ่านมา(ปี2561-2565)รวมเกือบ3,000โครงการแบ่งเป็นจังหวัดพิษณุโลก1,881โครงการและจังหวัดนครสวรรค์1,087โครงการเช่นประตูระบายน้ำท่านางงามพร้อมอาคารประกอบโครงการก่อสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมน้ำเสียเทศบาลนครพิษณุโลกแก้มลิงคลองละหานพร้อมอาคารประกอบแก้มลิงบึงบอระเพ็ดจังหวัดนครสวรรค์ ระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนวัดไทรย์อำเภอเมืองนครสวรรค์ เป็นต้น
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนการพัฒนาโครงการต่างๆภายใต้แผนแม่บทน้ำ20ปีเพื่อให้ทรัพยากรน้ำของประเทศเกิดความมั่นคงส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศพร้อมทั้งให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนต่อเนื่องให้เห็นถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการต่างๆของรัฐบาลเพื่อให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่ายในการร่วมกันขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายและให้มีน้ำเพียงพอสำหรับประชาชนทุกกลุ่มและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมที่รัฐบาลได้เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากให้เกิดความยั่งยืนซึ่งประตูระบายน้ำท่านางงามอำเภอบางระกำจังหวัดพิษณุโลกเป็น1ใน4โครงการที่จะบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนล่างโดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จคาดจะทำให้สามารถเก็บกักน้ำในแม่น้ำยมได้เพิ่มขึ้น และมีปริมาณน้ำเพียงพอจัดสรรให้กับภาคการเกษตรรวมถึงช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดินของพื้นที่ข้างเคียงด้วย
รวมทั้งการเร่งดำเนินการโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่านต.พลายชุมพลอ.เมืองจ.พิษณุโลกให้เป็นไปตามแผนงานและป้องกันไม่ให้ถูกกัดเซาะเพิ่มเติมโดยเร่งดำเนินการแก้ไขให้ครอบคลุมทั้ง2ฝั่งแม่น้ำรวมถึงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่บึงบอระเพ็ดจ.นครสวรรค์ให้บูรณาการการดำเนินงานกับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องเช่นการทำประมงการเกษตรกรรมการท่องเที่ยวการอนุรักษ์เพื่อให้บึงบอระเพ็ดกลับมาเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนและระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมโดยรอบดีขึ้นตามไปด้วย”นายอนุชาฯกล่าว
——————
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64822 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หารือเพื่อกระชับ ตอกย้ำมิตรภาพระหว่างกันที่แนบแน่น โดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประโยชน์ร่วมกันด้านเศ | วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
10/02/2566
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หารือเพื่อกระชับ ตอกย้ำมิตรภาพระหว่างกันที่แนบแน่น โดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประโยชน์ร่วมกันด้านเศ
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายอนุชา ฯ พบหารือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หารือเพื่อกระชับ ตอกย้ำมิตรภาพระหว่างกันที่แนบแน่น โดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประโยชน์ร่วมกันด้านเศรษฐกิจ และการศึกษา
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 16.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (H.E. Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเข้าพบหารือกับ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในประเด็นที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนี้
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่ไทย-สหรัฐฯ ครบรอบ 190 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งทางสหรัฐฯ จะนำนักธุรกิจคณะใหญ่ที่สุดที่เรียกว่า “เทรดวินด์” (Trade Winds) มาเยือนประเทศสมาชิกอาเซียนในช่วงเดือนมีนาคม 2566 โดยจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สหรัฐฯ ประกาศกับไทยว่าจะจัดขึ้นตั้งแต่การเยือนสหรัฐฯ ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 (ASEAN - U.S. Special Summit) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าในกิจกรรมนี้ จะมีการพบปะหารือกันระหว่างนักธุรกิจหลายร้อยราย ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึง SMEs ซึ่ง ทั้งสองฝ่ายได้ใช้โอกาสนี้ หารือกันเพื่อสร้างโอกาส และประโยชน์สูงสุดเพื่อกลุ่มธุรกิจของทั้งสองประเทศ โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ ต้องการยืนยันว่านักธุรกิจสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับไทย และภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ยินดีที่จะหารือเรื่องการจัดกิจกรรมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กิจกรรมนี้เกิดประโยชน์สูงสุดกับระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มศักยภาพความร่วมมือระหว่างกัน โดยจะได้หารือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพิ่มโอกาส ทุนการศึกษาให้กับนักเรียนไทย ตลอดจนอาจมีโปรแกรมการศึกษาที่สามารถแลกเปลี่ยนความร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ในโอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะมีความร่วมมือด้านการศึกษากับสหรัฐฯ โดยที่นโยบายด้านการศึกษาเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาโดยตลอด นายกรัฐมนตรีต้องการเปลี่ยนมุมมองของการศึกษาให้ความสำคัญกับการเรียนแบบ Active Learning และให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน ได้เรียนรู้ทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์จากการเรียนการสอน มากกว่าการท่องจำ ทั้งนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบาย English for all ของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการสอนภาษาอังกฤษจากครูผู้สอนที่เป็นครูเจ้าของภาษา (native speaker) ให้กับนักเรียนตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ผลดี เห็นความสำเร็จมาก จึงขอความสนับสนุนสหรัฐฯ เพื่อหารือในการส่งครูผู้สอนภาษาอังกฤษมาสอนที่ไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกและจะได้หารือกันในรายละเอียดต่อไป
ในโอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ได้หยิบยกถึงข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับประเด็นถุงมือยางของประเทศไทย ซึ่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ได้ยืนยันว่า ถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดี รวมทั้งขณะนี้ประเทศไทยสามารถผลิตถุงมือยางชนิดที่โปรตีนต่ำ ถุงมือยางชนิดที่ใส่แล้วไม่เกิดอาการแพ้เข้าสู่กระบวนการด้านอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประเด็นเหล่านี้ และทำเอกสารหรือชี้แจงแก่ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ถุงมือยางลาเท็กซ์สามารถส่งออกได้ต่อไป โดยเอกอัครราชทูตฯ รับที่จะพิจารณาประเด็นนี้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64814 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่มีอิทธิพลในเอเชีย (The Asia Power Index 2023) | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
11/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่มีอิทธิพลในเอเชีย (The Asia Power Index 2023)
สะท้อนความเชื่อมั่นในเวทีนานาชาติ ย้ำศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
วันนี้ (11 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดประเทศที่มีอิทธิพลในเอเชีย (The Asia Power Index 2023) จาก Lowy Institute สถาบันค้นคว้าวิจัยด้านนโยบายระหว่างประเทศของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในเอเชีย ด้วยคะแนนรวม 18.7 คะแนน จากทั้งหมด 26 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ (https://power.lowyinstitute.org/) โดยอันดับที่ 1 – 9 คือ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าว พิจารณาจากการคำนวนคะแนนจากตัวชี้วัด 8 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ความสามารถทางเศรษฐกิจ (Economic capability) 2. ความสามารถทางการทหาร (Military Capability) 3. ความยืดหยุ่น (Resilience) 4. แหล่งทรัพยากรในอนาคต (Future resources) 5. ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ (Economic relationships) 6. เครือข่ายด้านความมั่นคง (Defence networks) 7. อิทธิพลทางการทูต (Diplomatic influence) และ 8. อิทธิพลทางวัฒนธรรม (Cultural influence)
นอกจากนี้ รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีความเข้มแข็งที่สุดในตัวชี้วัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และมีการปรับปรุงมากที่สุดในด้านแหล่งทรัพยากรในอนาคตและการมีมาตรการต่าง ๆ ผ่านอิทธิพลทางการทูต แม้บางด้านจะมีอันดับที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 แต่ในภาพรวมถือได้ว่า ไทยมีอิทธิพลในภูมิภาคมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีทรัพยากรที่เพียงพอ สอดคล้องกับดัชนีด้านพลังงาน (Power gap) ซึ่งไทยมีพัฒนาการต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565 (https://power.lowyinstitute.org/power-gap/)
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการจัดอันดับดังกล่าว สะท้อนความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ นับเป็นผลสำเร็จจากการขับเคลื่อนนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งต้องขอบคุณการบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของประเทศไทยที่มีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งทรัพยากร และการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เน้นแนวทางการเดินหน้าแบบสมดุล ใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ตลอดจนรัฐบาลได้วางแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า ซึ่งรวมไปถึงการรองรับการค้าการลงทุน ไทยจะเป็นประเทศที่โดดเด่นมีความสำคัญทุกด้านในภูมิภาคโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64823 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมใจชาวจังหวัดลพบุรีแต่งไทยทั้งเมือง เปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี 2566 ยิ่งใหญ่ 10 - 19 ก.พ. นี้ ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
วธ.รวมใจชาวจังหวัดลพบุรีแต่งไทยทั้งเมือง เปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี 2566 ยิ่งใหญ่ 10 - 19 ก.พ. นี้ ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์
วธ.รวมใจชาวจังหวัดลพบุรีแต่งไทยทั้งเมือง เปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี 2566 ยิ่งใหญ่ 10 - 19 ก.พ. นี้ ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์
วธ.รวมใจชาวจังหวัดลพบุรีแต่งไทยทั้งเมือง เปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี 2566 ยิ่งใหญ่ 10 - 19 ก.พ. นี้ ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ลานวัฒนธรรม (ตลาดชาววัง) รำบวงสรวงฯ 5 พันคน เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ส่งเสริมท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน กระจายรายได้แก่ประชาชนลพบุรี
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประจำปี 2566 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสุวจี ศิริปัญโญ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดลพบุรี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการจัดงานฯ และนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงาน ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมการแสดงและเดินชมบรรยากาศภายในงาน
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเทิดทูนสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สืบสาน รักษา ต่อยอดงานศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรม ท่องเที่ยววิถีไทย สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นำรายได้สู่ท้องถิ่น จึงได้ร่วมกับจังหวัดลพบุรี ภาครัฐ ภาคเอกชน ทุกภาคส่วน จัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประจำปี 2566 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 10 - 19 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อนุรักษ์ ฟื้นฟู และสืบสานศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวลพบุรี
“ลพบุรี เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางทางด้านการเมือง การปกครอง วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการต่างประเทศ ดังนั้น การจัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงมีต่อจังหวัดลพบุรี และประเทศไทย ขอชื่นชมชาวลพบุรีทุกคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมกันสืบสานงานประเพณีที่สำคัญนี้มาจนถึงปัจจุบัน การพร้อมใจแต่งชุดไทยทั้งเมืองของชาวลพบุรี แสดงถึงความร่วมมือ ร่วมใจ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในจังหวัดลพบุรี” นายอิทธิพล กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการจัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นการจำลองบรรยากาศ ย้อนกลับไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชผ่านกิจกรรมและการแสดงมหรสพที่สำคัญ เช่น พิธีทำบุญตักบาตรและบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขบวนแห่ประวัติศาสตร์ การแสดงประวัติศาสตร์จินตนาการ ลานวัฒนธรรมพื้นบ้าน ตลาดย้อนยุค ลานวัฒนธรรม (ตลาดชาววัง) ละครลิง การประดับตกแต่งสวนไม้ดอกไม้ประดับ การประดับตกแต่งโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ บ้านหลวงรับราชทูต วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดบันไดหิน เทวสถานปรางค์แขก สวนราชานุสรณ์ วัดปืน วัดเชิงท่า วัดเสาธงทอง วัดกวิศรารามราชวรวิหาร และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จะมีการรำบวงสรวงถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งจะมีผู้ร่วมรำบวงสรวงฯ ประมาณ 5 พันคน ที่สำคัญชาวลพบุรีพร้อมใจแต่งไทยทั้งเมือง ระหว่างวันที่ 19 มกราคม ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 นับเป็นกิจกรรมสร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดลพบุรี สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเที่ยวชมงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64829 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Skill Expo Thailand 2022 สุดปัง ! พัฒนาแรงงานสู่ทศวรรษที่ 21 เยาวชนตอบรับเกินคาด | วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566
Skill Expo Thailand 2022 สุดปัง ! พัฒนาแรงงานสู่ทศวรรษที่ 21 เยาวชนตอบรับเกินคาด
Skill Expo Thailand 2022 สุดปัง ! ผลตอบรับดีเยี่ยม เยาวชนสนใจเปิดโลกทัศน์แรงงานยุคใหม่สู่ทศวรรษที่ 21
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64831 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ออมสิน ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย
ธนาคารออมสินปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารออมสินจึงได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.30% ต่อปี เพื่อมุ่งส่งเสริมการออมให้ประชาชนผู้ฝากเงินได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และช่วยเพิ่มกำลังซื้อในช่วงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป และได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทในอัตรา 0.25% ต่อปี ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยของตลาด ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งแรกของธนาคารในรอบกว่า 2 ปี หรือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา ตามนโยบายของกระทรวงการคลังในการช่วยดูแลลูกค้าและประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ค่าครองชีพยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr7-66/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64444 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เผยภาพรวมดัชนี MPI ปี 65 ขยายตัวร้อยละ 0.62 รับเศรษฐกิจ – การท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดจีนเปิดประเทศดันจีดีพีอุตฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30 | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ก.อุตฯ เผยภาพรวมดัชนี MPI ปี 65 ขยายตัวร้อยละ 0.62 รับเศรษฐกิจ – การท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดจีนเปิดประเทศดันจีดีพีอุตฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 0.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบรับการบริโภคในประเทศฟื้นตัว
หลังเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัว สะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาในประเทศ ด้านภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.95 พร้อมคาดการณ์แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมหลังนโยบายจีนเปิดประเทศเพิ่มรายได้แก่ประเทศไทย 200,000 – 300,000 ล้านบาท หนุนจีดีพีภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 98.32 ขยายตัวร้อยละ 0.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสะสมทั้งปี เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.61 เป็นผลจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.95 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าสินค้าทุนปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 6.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 93.89 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัวในเดือนธันวาคม 2565 ได้แก่ น้ำมันปาล์ม จากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าปีก่อน ยานยนต์ จากรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ตลาดส่งออกขยายตัว และน้ำมันปิโตรเลียมที่กลับมาผลิตได้อีกครั้ง ทั้งนี้ คาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2566 มีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังได้รับแรงส่งของภาคการท่องเที่ยวจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช้อปดีมีคืน หนุนการบริโภคในประเทศจากความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังและติดตาม ได้แก่ ราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง อุปสงค์สินค้าในตลาดโลกจากการที่ตลาดส่งออกสำคัญและคู่ค้าหลักมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลต่อการส่งออกไทย
ขณะเดียวกัน สศอ. ได้คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมในปี 2566 ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามกระแสโลกและ ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวกับสุขภาพ เครื่องปรับอากาศเทคโนโลยีสูง เม็ดพลาสติกชีวภาพ เภสัชภัณฑ์ สิ่งทอเทคนิค และยางล้อรถประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ สศอ. ได้ประเมินว่าจากนโยบายจีนเปิดประเทศจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 – 300,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศที่แท้จริงภาคอุตสาหกรรม (Real GDP of Manufacturing) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนธันวาคม 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.44 จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จากในปีนี้ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมาก
ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.06 จากรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถยนต์นั่งขนาดเล็ก จากการส่งออกที่ขยายตัว
น้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.06 จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันเบนซิน 95 เพื่อใช้ในการเดินทางและท่องเที่ยวหลังมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ประกอบกับโรงกลั่นกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ หลังหยุดซ่อมบำรุง
เบียร์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.94 จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ รวมถึงปีนี้มีเทศกาลฟุตบอลโลกเป็นปัจจัยหนุนให้มีการบริโภคมากกว่าปีก่อน
น้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.67 จากปีนี้เปิดหีบเร็วกว่าปีก่อน 1 สัปดาห์ ส่งผลให้มีอ้อยเข้าหีบปีนี้มากกว่าปีก่อน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM pleased with industrial cooperation between Thai Ministry of Industry and Japanese prefectural governments | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
PM pleased with industrial cooperation between Thai Ministry of Industry and Japanese prefectural governments
PM pleased with industrial cooperation between Thai Ministry of Industry and Japanese prefectural governments
February 1, 2023, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was pleased with the signing of MOUs between Ministry of Industry and several Japanese prefectural governments to promote industrial and technology cooperation. The Ministry’s 23rd and latest collaboration is with Ishikawa prefecture, which is renowned for its machinery industry, fabric and textile industry, food production, and agro industry.
Department of Industrial Promotion (DIPROM) is Thailand’s focal point to promote area-based cooperation in line with the needs of both sides. The Department also acts as a liaison for cluster industry cooperation under the concept of “OTAGAI” which means “helping each other”. The 22nd OTAGAI Forum, a meeting of industrial development cooperation networks, will take place in Ishikawa’s Nanao city this month to promote cooperation in carbon-fiber-reinforced polymers from hemp fiber modification, BCG industry, and food processing industry. At the event, Ministry of Industry also plans to attract Japanese businessmen to consider investment in other areas. According to the Government Spokesperson, over 6,000 Japanese businesses currently operate in the country.
The Prime Minister has always emphasized the importance to integrate operation of all concerned sectors to promote cooperation and networking in diversified industries and businesses, especially at the local level. Such industrial cooperation would enable cooperation expansion in other dimensions, and contribute to the growth of Thailand’s industrial estates.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64445 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ มะเร็งไทรอยด์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ มะเร็งไทรอยด์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
กรมบัญชีกลางดำเนินงานภายใต้คณะทำงานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางดำเนินงานภายใต้คณะทำงานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามความเหมาะสม จำเป็น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเพื่อให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นไปอย่างสมเหตุผล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ปรับปรุงรายการยาและเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายารักษาโรคมะเร็งในระบบ OCPA ดังนี้
(1) ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายา Sorafenib ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับชนิด hepatocellular carcinoma (HCC) และโรคมะเร็งไทรอยด์ระยะแพร่กระจาย
(2) เพิ่มรายการยา Lenvatinib ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับ ชนิด hepatocellular carcinoma และโรคมะเร็งไทรอยด์ระยะแพร่กระจาย พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายค่ายาดังกล่าว
สถานพยาบาลจะต้องดำเนินการลงทะเบียนแพทย์ผู้ทำการรักษา และผู้ป่วย และส่งข้อมูลตามโปรโตคอลที่กำหนดในระบบ OCPA เพื่อขออนุมัติเบิกค่ายา หรือขอต่ออายุการเบิกค่ายา หรือขอหยุดการใช้ยา ตามแนวทางที่หน่วยงานซึ่งได้รับมอบหมายจากกรมบัญชีกลางกำหนด และให้เบิกจ่ายค่ายาในระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น รวมทั้งการใช้ยาดังกล่าวต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อบ่งชี้ที่กำหนด จึงจะสามารถเบิกจ่ายจากทางราชการได้
2. กำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายา Lenvatinib และ Sorafenib สำหรับการรักษาทุกข้อบ่งชี้ โดยให้เบิกจ่ายค่ายาได้ไม่เกินอัตราที่กำหนด ดังนี้
* Lenvatinib ขนาด 4 มิลลิกรัม และ 10 มิลลิกรัม อัตรา 835 บาทต่อแคปซูล และ 1,552 บาทต่อแคปซูล ตามลำดับ โดยในกรณีที่ใช้ยา 20 มิลลิกรัมต่อวัน ให้เบิกได้เฉพาะความแรง 10 มิลลิกรัมเท่านั้น ทั้งนี้ หลังจากผู้ป่วยใช้ยาครบ 120 วัน และยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อ บริษัทผู้จำหน่ายยาจะสนับสนุนยาให้ผู้ป่วยรายนั้นจนกว่าแพทย์จะพิจารณาให้หยุดยาหรือผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา
* Sorafenib ขนาด 200 มิลลิกรัม อัตรา 319 บาทต่อเม็ด ทั้งนี้ กรณีผู้ป่วยรายเดิมที่ลงทะเบียนขออนุมัติการเบิกจ่ายค่ายาดังกล่าวในระบบ OCPA ก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทผู้จำหน่ายยาจะยังคงสนับสนุนยาหลังจากผู้ป่วยใช้ยาครบ 4 เดือน และยังตอบสนองต่อการรักษาดี
“โดยหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02 127 7000 ต่อ 6850 หรือ 6851 ในวัน เวลาราชการ” หรือสืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th หัวข้อ รักษาพยาบาล/ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล/รายการยาที่กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ยินดี "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รับรางวัล รมว.คลังแห่งปี 2566 ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ยกย่องบริหารเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพในวิกฤติซ้อนวิกฤติ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รมว.พม. ยินดี "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รับรางวัล รมว.คลังแห่งปี 2566 ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ยกย่องบริหารเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพในวิกฤติซ้อนวิกฤติ
รมว.พม. ยินดี "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รับรางวัล รมว.คลังแห่งปี 2566 ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ยกย่องบริหารเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพในวิกฤติซ้อนวิกฤติ
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)แสดงความยินดีกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 (Finance Minister of the Year 2023) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ในเครือ Financial Times สื่อสิ่งพิมพ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินชั้นนำที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล
นายจุติ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทยได้รับรางวัลดังกล่าว เพราะความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเงินกู้อยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือ ไม่ผันผวน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับปานกลาง และหนี้สาธารณะอยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้งมีการจัดสรรงบประมาณที่ตอบโจทย์ประเทศ รักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เป็นอย่างดี
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทำให้การขาดดุลงบประมาณลดลง และเพิ่มพื้นที่งบประมาณในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีเสถียรภาพ (ไม่เกินกำลังความสามารถในการหารายได้จากการจัดเก็บ) ซึ่งทั้งหมดเป็นการบริหารงานภายใต้ข้อจำกัดที่เหมือนกันทั่วทั้งโลก คือ เศรษฐกิจที่ผันผวนสูง ตัวแปรกระทบมากมาย วิกฤติซ้อนวิกฤติ และโรคระบาดรุนแรงที่สุดในรอบ 120 ปี
#ช่วย24ชั่วโมง
#พม24ชม
#ข่าวพม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64437 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ย้ำใช้ MIND สร้างความเชื่อมั่นโรงงาน สังคม และชุมชน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ย้ำใช้ MIND สร้างความเชื่อมั่นโรงงาน สังคม และชุมชน
ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ย้ำใช้ MIND สร้างความเชื่อมั่นโรงงาน สังคม และชุมชน
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยม กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ กรอ. ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 509 ชั้น 5 อาคาร กรอ.
กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ กรอ. มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรม โดยการส่งเสริม สนับสนุน กำกับดูแลการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันให้ธุรกิจอุตสาหกรรมมีศักยภาพในการแข่งขัน พัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นที่ยอมรับของสากล ซึ่งปัจจุบัน กรอ. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการภาครัฐดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายการออกใบอนุญาตออนไลน์ภายในปี 2568 รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและระบบการกำกับโรงงาน กากของเสียอุตสาหกรรม รวมถึงสารเคมีและวัตถุอันตราย ที่เป็นมาตรฐานควบคู่ไปกับเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างโปร่งใส พร้อมผลักดันกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ สร้างความเชื่อมั่นของชุมชนต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม และวัดมูลค่าทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green) สู่เกณฑ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดย ปกอ. กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนมีความรู้สึกว่าโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งสร้างผลกระทบเชิงลบโดยรอบโรงงาน รวมทั้งสร้างความเดือดร้อนและไม่เป็นมิตรต่อสังคมรอบข้าง ดังนั้น กรอ. จึงควรมีการปรับเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมวิถีใหม่ มุ่งความสำเร็จ 4 มิติ ประกอบด้วย ความสำเร็จทางธุรกิจ ชุมชนและสังคม สิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้ โดยเน้นย้ำให้ใช้ MIND เป็นแนวทางในการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ สังคม และชุมชน ให้อยู่ร่วมกันด้วยความรับผิดชอบ รวมทั้งการผลักดันมาตรการให้โรงงานดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของประชาคมโลกในด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างค่านิยมให้ กรอ. เป็นหน่วยงานที่ให้บริการด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส่ มีความเป็นกลาง และใส่ใจภาคประชาชน พร้อมทั้งกำชับให้โรงงานอุตสาหกรรม กรอกข้อมูลใน i-Single Form เพื่อสร้างฐานข้อมูลในการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ต่อไป
ขณะที่ รสอ.รก.รปอ. ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า กรอ. คือหน่วยงานแรกเริ่มให้เกิดการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม นำไปสู่การกระจายรายได้ อย่างไรก็ตามจะต้องคำนึกถึงสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้ง การสนับสนุนให้โรงงานเป็น Hero เพื่อช่วยเหลือและกระจายรายได้สู่ชุมชน นอกจากนี้ ควรมีการบูรณาการความร่วมมือกับ สอจ. เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ อย่างไรก็ดี ควรมีการหารือและสร้างความเข้าใจให้ตรงกันมากขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ
ด้าน ลอน.รก.รปอ. เน้นย้ำว่า กรอ. ต้องกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดและจริงจัง พร้อมศึกษาความต้องการของประชาชนโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อการแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด ซึ่งจะทำให้สังคมโดยรอบโรงงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ทั้งนี้ หน.ผตร. และ ผตร. ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติม เช่น หน่วยงานส่วนกลางควรลงไปช่วย สอจ. ในเชิงลึก และควรมีการศึกษากฎหมายใหม่ ๆ อยู่เสมอ ส่วนในด้านการกำกับติดตามโรงงานในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ยังทำได้ไม่ทั่วถึง ควรหากลไกหรือเครื่องมือเข้ามาช่วยตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ มีผลงานแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านน้ำต่อเนื่อง | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ มีผลงานแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านน้ำต่อเนื่อง
โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ มีผลงานแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านน้ำต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิต-ทรัพย์สิน พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชน
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้งมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริการจัดการน้ำร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ มากกว่า 48 ส่วนราชการ มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ และมุ่งเน้นขับเคลื่อนแผนงานโครงการขนาดใหญ่ ที่สามารถแก้ไขปัญหาในวงกว้างได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันได้มีการขับเคลื่อนโครงการไปแล้ว จำนวน 44 โครงการ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักรวม 1,414 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีพื้นที่รับประโยชน์ 1.48 ล้านไร่ ครัวเรือนรับประโยชน์ 319,765 ครัวเรือน ทั้งนี้ เป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณในการดำเนินการแล้ว จำนวน 24 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ตัวอย่างเช่น โครงการบรรเทาอุทกภัยนครศรีธรรมราช โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร โดยกรมชลประทาน ช่วยป้องกันพื้นที่น้ำท่วมได้ 61,000 ไร่ แม้ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่สามารถช่วยป้องกันบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพรได้บางส่วนแล้ว
นอกจากนั้น การดำเนินงานโครงการด้านทรัพยากรน้ำที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติโครงการสำคัญที่ได้รับการขับเคลื่อนแล้ว ในช่วงปี 2559-2565 จำนวน 241 โครงการ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มน้ำต้นทุนได้ 1,371 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์กว่า 1,400,000 ไร่ พื้นที่ป้องกันน้ำท่วม 1,250,541 ไร่ ครัวเรือนรับประโยชน์ 505,828 ครัวเรือน ตัวอย่างเช่น ประตูระบายน้ำ ศรีสองรัก จ.เลย (62) อ่างเก็บน้ำลำสะพุง (พรด.) จ.ชัยภูมิ (62) ประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ จ.สกลนคร (62) ปรับปรุง คลองยม-น่าน จ.สุโขทัย (64) คลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา (62) ฟื้นฟูพัฒนา คลองเปรมประชากร (คลองผดุง-คลองรังสิต) (63) อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองเปรมประชากร จ.กรุงเทพมหานคร (63) บรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพาน (พรด.) จ.ประจวบคีรีขันธ์ (64) เป็นต้น
ทั้งนี้ การดำเนินการของรัฐบาลได้เน้นการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤต (Area-Base) ทั่วทั้งประเทศ โดยพิจารณาในทุกมิติ เช่น ด้านศักยภาพการแก้ไขปัญหาเป็นหลัก โดยมีผลการศึกษารองรับ ไม่มีปัญหาทางสังคมรุนแรง รวมถึงพิจารณาด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการในการรับมือก่อนภัยจะเกิดขึ้นตามฤดูกาล โดยการบูรณาการส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการเตรียมความพร้อมและกำหนดกรอบแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะน้ำท่วมและภาวะน้ำแล้งตลอดมา เช่น การกำหนดมาตรการประจำปีสำหรับรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง อาทิ จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ การวางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง การสร้างการรับรู้สถานการณ์และแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัด เป็นต้น ส่วนมาตรการสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือในฤดูฝน อาทิ ซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ สถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน ปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ การขุดลอกคูคลอง และการกำจัดผักตบชวา เป็นต้น ทั้งนี้ นอกจากการดำเนินการในภาวะปกติของหน่วยงาน ยังได้มีการจัดตั้งกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เพื่อแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันสถานการณ์ สามารถช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนได้อย่างตรงจุด สามารถคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว
“รัฐบาลเตรียมแผนรับมือสถานการณ์อุทกภัย โดยจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นองค์รวมทั้งระบบ และสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาส่งผลให้พื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งลดอย่างต่อเนื่อง โดยจากปี 2561 มีปัญหาภัยแล้ง 12,826 หมู่บ้าน 1,199 ตำบล 178 อำเภอ 26 จังหวัด ในขณะที่ปี 2563/64 มีปัญหาภัยแล้งลดลงเป็น 296 หมู่บ้าน 45 ตำบล 10 อำเภอ 5 จังหวัด เช่นเดียวกับความเสียหายจากอุทกภัยที่มีจำนวนลดลง โดยจากปี 2561 มีประชาชนได้รับผลกระทบ 418,338 ครัวเรือน ในขณะที่ปี 2564 ได้รับผลกระทบลดลงเป็น 239,776 ครัวเรือน โดยรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนต่อไป” นายอนุชา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร
รองปลัดดีอีเอส เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร
วันนี้ (1 ก.พ. 66) ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ณ ห้องประชุม N406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ในเรื่องแนวทางการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหากรณีประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจ ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ดร.เวทางค์ฯ ได้รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดย ดศ. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ปปง. กสทช. ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น
- ดศ. ได้เสนอ (ร่าง) พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการกฤษฎีกา
- ดศ. ร่วมกับ ธ.กรุงไทย ได้แจ้งเตือนข้อมูลการฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
- ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์จัดทำระบบป้องกันการใช้ Remote Control ควบคุมการทำ Mobile Banking แล้ว เป็นต้น
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ครั้งที่ 1/2566 | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ครั้งที่ 1/2566
รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ครั้งที่ 1/2566
นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ครั้งที่ 1/2566 โดยมีนางสาวนฤมล สงวนวงศ์ นายธิติ โลหะปิยะพรรณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้อำนวยการสำนัก/กอง ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับการประชุมดังกล่าว ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการรายบุคคล ในระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลระดับกรม (DPIS6) ร่างประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ ในสำนักงานรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2566 กรอบระยะเวลาการดำเนินงานการประเมินผลการปฏิบัติราชการระดับบุคคลประจำปี พ.ศ. 2566 แนวทางการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายการประเมินผลการปฏิบัติราชการรายบุคคล สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการ (ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) หัวหน้าหน่วยงาน (ฝ่ายเกษตร) ที่ปฏิบัติงานประจำประเทศต่างๆ และหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี และแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายการประเมินผลการปฏิบัติราชการรายบุคคล สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร (รองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ช่วยปลัดกระทรวง)
ทั้งนี้ รองปลัดฯ ได้เน้นย้ำให้ ผอ.สำนัก/กอง ทุกท่าน ให้ความสำคัญในการดำเนินการในระบบ DPIS6 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น ตรงตามวัตถุประสงค์ ทั้งการลา การประเมิน การทำแบบมอบหมายการปฏิบัติงาน และให้ความสำคัญกับการประกาศรายชื่อผู้มีผลการปฏิบัติราชการอยู่ในระดับสูงกว่าระดับดีขึ้นไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64435 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้า ใช้ “หัว” และ “ใจ” ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ให้สมดุลและยั่งยืน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้า ใช้ “หัว” และ “ใจ” ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ให้สมดุลและยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้า ใช้ “หัว” และ “ใจ” ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ให้สมดุลและยั่งยืน
กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย เดินหน้าทำงานภายใต้แนวคิด “MIND: ปรับอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ ให้ความสำคัญในการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วย “หัว” และ “ใจ” ของคนกระทรวงอุตสาหกรรม
สร้างภาพลักษณ์และคุณค่าใหม่ของ อุตสาหกรรม ในหลักการของ “อุตสาหกรรมดี ชุมชนดี หน่วยงานดี” ตามแนวอุตสาหกรรมวิถีใหม่ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติและให้รางวัลกับคนทำดี ได้แก่
มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ
มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม
มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก
มิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การทำงานดีด้วย 'หัว' และ 'ใจ' ของคนกระทรวงอุตสาหกรรม จะผลักดันนโยบายและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านและบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อน กำกับดูแล และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป
#กระทรวงอุตสาหกรรม
#MIND
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64423 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เชิดชูเกียรติทหารกล้า ๓ กุมภาพันธ์ วันทหารผ่านศึก” | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
“เชิดชูเกียรติทหารกล้า ๓ กุมภาพันธ์ วันทหารผ่านศึก”
...
ทหารผ่านศึก เป็นผู้ที่ได้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงของชาติบ้านเมือง มีผลงานแห่งความองอาจกล้าหาญที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามในสมรภูมิใด เหล่าทหารผ่านศึกทุกท่านไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยหวั่นเกรงต่ออริราชศัตรู ประเทศของเราจึงมีวีรบุรุษ
จากศึกสงครามเกิดขึ้นมากมาย วีรบุรุษเหล่านี้คือตัวแทนแห่งความกล้าหาญและเสียสละอย่างแท้จริง เพราะทุกท่านต้องเอาชีวิตเข้าแลก และรู้ตัวเองดีว่าเมื่อออกสู่สนามรบแล้ว อาจจะได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือพิการทุพพลภาพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเหล่านั้นเกิดความหวั่นเกรงแต่อย่างใด เกียรติประวัติแห่งความกล้าหาญ ซึ่งวีรบุรุษทหารผ่านศึกรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้กระทำเพื่อชาติบ้านเมือง มิเพียงได้รับการจารึกอยู่ตามอนุสาวรีย์นักรบต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังจารึกอยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทยไปตราบนานเท่านาน
เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของทหารผ่านศึก รัฐบาลจึงได้จัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้การสงเคราะห์แก่ทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการ รวมทั้งผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา องค์การฯ ได้พัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานด้านการสงเคราะห์มาโดยตลอด ซึ่งการสงเคราะห์มีอยู่ ๖ ประเภท ได้แก่ การสงเคราะห์ด้านสวัสดิการและการศึกษา การสงเคราะห์ด้านอาชีพ การสงเคราะห์ด้านการเกษตร การสงเคราะห์ด้านการให้สินเชื่อ การสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาล และการสงเคราะห์ด้านการส่งเสริมสิทธิและเกียรติ ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ทหารผ่านศึกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เชิดชูเกียรติแก่ทหารผ่านศึก โดยเฉพาะในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นวันทหารผ่านศึก เป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่ประชาชนชาวไทย จะได้ร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีและความเสียสละของทหารผ่านศึก ผู้ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเป็นชาติพลี รวมทั้งให้การยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ทหารผ่านศึกทั้งหลาย ในฐานะที่เป็น
ผู้ปกป้องประเทศชาติให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64439 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทหารผ่านศึก คือ อะไร ?? | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
ทหารผ่านศึก คือ อะไร ??
...
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64440 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สวีเดน/ไทย | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สวีเดน/ไทย
รมช.กห. ให้การต้อนรับ ออท.สวีเดน/ไทย
พันเอก จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Jon Astrom Grondahl (ยอน ออสเตริม เภรินดาห์ล) ออท.สวีเดน/ไทย และ นาย Micael Johansson (มิกาเอล โยฮันสัน) ประธาน และประธานกรรมการบริหาร บริษัท Saab AB พร้อมคณะ เมื่อ วันที่ 1 ก.พ.66 เพื่อหารือในประเด็นด้านการป้องกันประเทศ ณ ห้องรับรอง รมว.กห. ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม
การเข้าพบหารือ ระหว่าง ไทย-สวีเดน ในครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและเป็นมิตรที่มีมากว่า 155 ปี
ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือร่วมกันหลายด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและเทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงานและสิ่งแวดล้อม การบำบัดน้ำเสีย เทคโนโลยีอวกาศ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและการป้องกันประเทศ
สำหรับความสัมพันธ์อันดีทางทหารได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ อาทิ การฝึกร่วม/ผสม Cobra Gold การแลกเปลี่ยนการเยือน การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งบำรุง นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาประสิทธิภาพกำลังพลและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ
รมช.กห. ได้กล่าวขอบคุณสวีเดนและบริษัท Saab AB ที่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์มาเข้าร่วมจัดงาน Defense & Security 2022 ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก และ ขอเชิญร่วมจัดงานในปลายปีนี้ อีกเช่นเคย
การหารือกันในวันนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการสนับสนุน และส่งเสริมความสัมพันธ์ร่วมกันในทุกด้าน อันจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ
ออท.สวีเดน และ ปธ.Saab AB ต่างขอบคุณการต้อนรับที่อบอุ่น และพร้อมสนับสนุน ประเทศไทยใน ด้าน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้านเทคโนโลยี ฯลฯ และขอขอบคุณเรื่องการเชิญร่วมการฝึก Cobra Gold และการจัดงานDefense &Security 2023
ที่เป็นการ แสดงถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน และความสัมพันธ์ที่ แน่นแฟ้น ตลอดไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64414 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ติดตามโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ
.....
เมื่อวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ ที่สถานีลพบุรี สถานีลพบุรี 2 สถานีหนองทรายขาว สถานีบ้านหมี่ สถานีบ้านตาคลี สถานีนครสวรรค์ สถานีปากน้ำโพ และศูนย์ควบคุมการเดินรถนครสวรรค์ โดยมี ดร.อรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรอํานวยการศูนย์โครงการพิเศษและก่อสร้าง นายไชยา วงศ์สิทธิพรรุ่ง วิศวกรโครงการฯ และนายวัชรเกียรติ สุทธิวรรณา ผู้ช่วยวิศวกรโครงการฯ ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยบริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานและบริษัทผู้รับจ้างก่อสร้างให้การต้อนรับ
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ แบ่งเป็น 3 สัญญา ได้แก่
สัญญา 1 ช่วงบ้านกลับ - โคกกระเทียม 29 กิโลเมตร (ทางรถไฟยกระดับ 19 กม. และระดับพื้น 10 กม.) มีการก่อสร้างสถานีใหม่ 1 แห่ง คือ สถานีลพบุรี 2 บนทางหลวงหมายเลข 366 มีความก้าวหน้า ร้อยละ 81.72
สัญญา 2 ช่วงท่าแค - ปากน้ำโพ ระยะทาง 116 กม. เป็นโครงสร้างระดับพื้นทั้งหมด โดยก่อสร้างสถานีใหม่ 6 สถานี และก่อสร้างทดแทนสถานีเดิม 11 สถานี มีความก้าวหน้าร้อยละ 75.72 และอาคารควบคุมการเดินรถ (CTC) ที่สถานีนครสวรรค์ 1 แห่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้
สัญญา 3 งานระบบอาณัติสัญญาณฯ มีความคืบหน้าร้อยละ 26.33โดยสถานีลพบุรี 2 เป็นสถานียกระดับรองรับรถไฟทางไกลและรถสินค้า ที่ไม่ได้มีปลายทางที่จังหวัดลพบุรี ส่วนสถานีลพบุรีแห่งเดิมยังคงเปิดให้บริการสำหรับขบวนรถไฟชานเมือง เส้นทางกรุงเทพฯ - ลพบุรี ขบวนรถไฟท้องถิ่นทุกขบวน ที่ชาวลพบุรีใช้เดินทางในชีวิตประจำวัน รวมทั้งขบวนรถไฟท่องเที่ยว (KIHA 183) จะยังคงให้บริการเช่นเดิม ที่สถานีเดิม ไม่มีแผนที่จะยกเลิกการใช้งานหรือการย้ายสถานีแต่อย่างใด โดยจะประสานขนส่งจังหวัดลพบุรีจัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อระหว่างสถานีลพบุรีเดิมและสถานีลพบุรี 2 เพื่ออำนวยความสะดวกและลดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟ สำหรับสถานีนครวรรค์ เป็นสถานีสร้างใหม่ขนาดใหญ่ โดยตัวอาคารของสถานีเดิมจะปรับปรุงให้สำหรับเจ้าหน้าที่เพื่อใช้ปฏิบัติการเดินรถและระบบอาณัติสัญญาณ ในส่วนสถานีปากน้ำโพ เป็นสถานีอนุรักษ์ (Renovate Station) ซึ่งมีความก้าวหน้าประมาณ ร้อยละ 16
โดย ขร. และ รฟท. จะได้ร่วมประสานเร่งรัดการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves “natural sands of all kinds” as export prohibited goods | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
Cabinet approves “natural sands of all kinds” as export prohibited goods
Cabinet approves “natural sands of all kinds” as export prohibited goods
January 31, 2023, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that the cabinet has made approval to the Announcement of Ministry of Commerce on prescription of sand as export prohibited goods, B.E. …, as proposed by Ministry of Commerce, to reserve sand, which is an important natural resource, for domestic use in industrial sector.
The draft Ministerial Announcement prescribes revision of measures to ban sand export and revocation of export control for mineral sands. Detail is as follows:
1) Prescribing natural sands of all kinds, whether or not colored, other than metal-bearing sands, as export prohibited goods. They are: 1.1. silica sand (mostly found at beaches and seaside, and used in glass and ceramic industries), and quartz sands (high-quality silica sand with great heat resistance, which is normally used in heat-resistant industry, water filter production, reinforced concrete and materials); and 1.2. other kinds of sand.
2) Exception is made in the case of: 2.1. export as sample products or for research purposes, or for personal use (not over 2 kg.); or 2.2. sand being delivered in a vehicle for use in that particular vehicle (quantity of sand to be in accordance with related international obligations), i.e., for making a ship balanced and stable, and for preventing and extinguishing fire on board a ship under the Safety Of Life At Sea (SOLAS) Convention, 1974.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ติดตามความคืบหน้าเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชน ผลักดันสื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
นายกฯ มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ติดตามความคืบหน้าเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชน ผลักดันสื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน
นายกฯ มอบ “ธนกร” ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ติดตามความคืบหน้าเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชน ผลักดันสื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน
วันนี้ (1 ก.พ. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ตน ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ในวันพรุ่งนี้ (2 ก.พ. 66) โดยมีแผนจะไปติดตามความคืบหน้าการพัฒนา เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ตลอดจนการขับเคลื่อนโมเดล BCG ณ บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะไปร่วมกิจกรรม “สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน” ซึ่งเป็นกิจกรรมรับฟังเสียงสะท้อนความคิดเห็นจากประชาชนสู่รัฐบาล ณ ศูนย์วัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์เชียงรายอีกด้วย
นายธนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกฯ มอบหมายตนลงพื้นที่ จ.เชียงราย ในครั้งนี้ เป็นการติดตามความคืบหน้าการผลักดันนโยบายรัฐ นอกจากนี้ ก็ต้องการให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวชุมชนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทั้งนี้ จ.เชียงราย ถือว่าเป็นพื้นที่ที่ต้องได้รับการส่งเสริม ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะนำเอาอัตลักษณ์ วัฒนธรรมชุมชน มาต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้เชียงรายก็ยังเป็นประตูสู่ประเทศจีน เมียนมา และลาว ซึ่งจะต้องเร่งเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว การค้าขายและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ความคืบหน้าการประกาศผลการพิจารณาคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565
เนื่องจากข้อมูลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ต้องมีการตรวจสอบจากหน่วยตรวจสอบสิทธิหลายหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบมีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ดังนั้น การประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการฯ ปี 2565 จะเลื่อนออกไปก่อน
กระทรวงการคลัง ขอเรียนว่า เนื่องจากข้อมูลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 ต้องมีการตรวจสอบจากหน่วยตรวจสอบสิทธิหลายหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบมีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ดังนั้น การประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการฯ ปี 2565 จะเลื่อนออกไปก่อน ทั้งนี้ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดโครงการฯ ได้ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 094-858-9794 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.)
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3502 3503 3506 3536 3542 3518 หรือ
โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105, 08-5842-7106, 08-5842-7107 (เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.)
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 02-109-2345 (เวลาทำการ 08.30 – 17.30 น.)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร | วันอังคารที่ 31 มกราคม 2566
31/01/2566
ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรง
วันนี้ (31 ม.ค. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ซึ่งในวันนี้ จังหวัดตราด นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดเป็นประธานพิธีมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 200 เล่ม เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่จังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 30-31 มกราคม 2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ
1. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงานในสังกัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
2. จังหวัดอุดรธานี ที่วัดมัชฌิมาวาส ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนชาวอุดรธานี ร่วมพิธี
3. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดศรีประชา ต.ชะแมบ อ.วังน้อย นายดำรงค์ มีพจนา รองนายกเทศมนตรีเมืองลำตาเสา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารฯ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองลำตาเสา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
4. จังหวัดเลย ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเลย อ.เมืองเลย นางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเลย พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดเลย ชมรมแม่บ้านตำรวจจังหวัดเลย และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเลย ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมบริจาคฯ ซึ่งผลการรับบริจาคโลหิต มีผู้ร่วมบริจาคโลหิตทั้งหมด 59 ราย รวมปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 22,000 ซีซี
5. จังหวัดลำปาง ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง นางวรรณวิไล กันเพ็ชร์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และโรงพยาบาลลำปาง ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ซึ่งผลการรับบริจาคโลหิต มีผู้ร่วมบริจาคโลหิตทั้งหมด 33 ราย รวมปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 13,200 ซีซี มีผู้แจ้งความจำนงบริจาคดวงตา 16 ราย และบริจาคอวัยวะ 16 ราย
6. จังหวัดลำพูน ที่บริษัท ฮานาไมโครอิเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) อ.เมืองลำพูน นางศรีเนตร สมเปาจี รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดลำพูน ร่วมกับโรงพยาบาลลำพูน ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ซึ่งผลการรับบริจาคโลหิต มีผู้ร่วมบริจาคโลหิตทั้งหมด 72 ราย รวมปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 26,400 ซีซี มีผู้แจ้งความจำนงบริจาคดวงตา 5 ราย และบริจาคอวัยวะ 5 ราย
7. จังหวัดสระบุรี ณ หอประชุมอำเภอวิหารแดง อ.วิหารแดง เหล่ากาชาดจังหวัดสระบุรี ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ซึ่งผลการรับบริจาคโลหิต มีผู้ร่วมบริจาคโลหิตทั้งหมด 42 ราย รวมปริมาณโลหิตทั้งสิ้น 16,800 ซีซี และมีผู้แจ้งความจำนงบริจาคดวงตา 1 ราย
8. จังหวัดขอนแก่น อ.กระนวน นายสายทอง บุดดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านฝาง พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านฝาง ร่วมกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64404 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ขอศาลปิดชั่วคราวกองสลากพลัส หลังนอทเลื่อนให้การเรื่อยๆ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
ดีอีเอส ขอศาลปิดชั่วคราวกองสลากพลัส หลังนอทเลื่อนให้การเรื่อยๆ
ดีอีเอส ขอศาลปิดชั่วคราวกองสลากพลัส หลังนอทเลื่อนให้การเรื่อยๆ
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังรายงานเกี่ยวกับบอลลูนณศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคหนือพร้อมตรวจเยี่ยมการดําเนินการให้บริการทางด้านอุตุนิยมวิทยาการบินและความพร้อมของเครื่องอํานวยความสะดวกในการเดินอากาศชนิดระบบตรวจอากาศอัตโนมัติ(AWOS)และชนิดตรวจวัดวินด์เชียร์(LLWAS)รองรับปริมาณเที่ยวบินเต็มรูปแบบณท่าอากาศยานเขียงใหม่
โดยนายชัยวุฒิกล่าวถึงการปิดแพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์ว่าถ้าจะปิดเว็บให้เร็วโดยปกติก็คือกองสลากพลัสก็ต้องมาไต่สวนที่ศาลแล้วให้ข้อมูลเพื่อให้ศาลได้มีข้อมูลที่ชัดเจนและได้ตัดสินใจว่าจะปิดหรือไม่ปิดแต่ขณะนี้ นอทพันธ์ธวัชนาควิสุทธิ์ซีอีโอกองสลากพลัสใช้วิธีเลื่อนไม่มาไต่สวนที่ศาล คดีนี้ก็เลยเลื่อนยังไม่ได้ตัดสินซึ่งเราก็พยายามแก้ปัญหาโดยการยื่นเรื่องไปที่ศาลเพื่อขอปิดชั่วคราวจะได้ไม่ต้องรอคุณน็อตมาให้การ “เนื่องทางกองสลากพลัสได้คัดค้าน ถึงศาลจะปิดเว็บก็ต้องมีคนมาคัดค้านตัวแทนก็ต้องมาให้ข้อมูลมาให้ความเห็นว่าทําไมไม่ปิดแต่ว่าถ้ากองฉลากพลัสคัดค้าน ไม่มาให้ข้อมูลก็เลื่อนการไต่สวนไปเรื่อยๆทําให้วันนี้ศาลก็ยังไม่กล้าตัดสินใจเพราะผู้เสียหายหรือผู้คัดค้านยังไม่มาให้ข้อมูล
ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงได้ยื่นปิดเว็ปดังกล่าวไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นยื่นไป15เว็บทางศาลก็มีคําสั่งปิดเป็น12เว็บหรืออีก3เว็บก็มีการคัดค้านแล้วก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลที่จะปิดเว็บแล้วแต่กองสลากพลัสก็มีปัญหาเพราะว่าเขาขอคัดค้านไม่ให้ปิดเว็บแล้วก็ไม่มาให้ข้อมูลไม่มาไต่สวนก็ขอเลื่อนไปเรื่อยๆ”ล่าสุดทราบว่าจะมาให้คําให้การเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคมซึ่งช่วงต้นเดือนมีนาคมที่เขามาให้การจริงไม่ขอเลื่อนอีกจะได้มีคําสั่งปิดเว็บแต่ก็ดีเพื่อแก้ปัญหานี้ทางกระทรวงดีอีเอสยื่นเรื่องไปขอคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลขอให้ปิดเว็บเป็นการชั่วคราวก่อนเพราะว่าเรื่องนี้มันก็ยืดเยื้อมานานแล้วก็มีความเสียหายต่อภาพรวมของประเทศด้วยในเรื่องของการฟอกเงินที่ดีเอสไอก็ส่งเรื่องเข้าไปอีกเราก็จะดําเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64446 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบรถขนร่างอาจารย์ใหญ่จาก"ชูวิทย์" ส่งต่อนิติวิทย์ใช้งาน ชมช่วยปลุกกระแสปราบยาเสพติด หลังแจ้งเบาะแสยึดทรัพย์กว่า 8,000 ล้าน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบรถขนร่างอาจารย์ใหญ่จาก"ชูวิทย์" ส่งต่อนิติวิทย์ใช้งาน ชมช่วยปลุกกระแสปราบยาเสพติด หลังแจ้งเบาะแสยึดทรัพย์กว่า 8,000 ล้าน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับมอบรถขนร่างอาจารย์ใหญ่จาก"ชูวิทย์" ส่งต่อนิติวิทย์ใช้งาน ชมช่วยปลุกกระแสปราบยาเสพติด หลังแจ้งเบาะแสยึดทรัพย์กว่า 8,000 ล้านบาท ชี้การเอื้อเฟื้อกันในสังคมทำให้เกิดความสุข
วันที่ 1 ก.พ.66 เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรมว.ยุติธรรม และนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติราชการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รับมอบ หลอดไฟ 1,600 หลอดจาก นายนรินทร์ ศิลปรักษ์ ประธานกรรมการบริหาร ทีทีซี แอลอีดี เทคโนโลยี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆนำไปใช้ประโยชน์ จากนั้น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เข้ามอบ รถยนต์บรรทุกร่างอาจารย์ใหญ่ ให้กับสถาบันนิติวิทยาศาตร์
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนชื่นชมการทำงานของ นายสมศักดิ์ มานาน ซึ่งไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ติดตามและเห็นผลงานหลายอย่างที่น่าชื่นชม วันนี้ตนอยู่ในช่วงปลายอายุไข จึงอยากทำกุศล ช่วยสังคมและราชการ เพราะทราบว่ารัฐบาลมีงบประมาณจำกัด และเห็นว่างานของนิติวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะต้องใช้รถ ตนจึงอยากมาบริจาคช่วย โดยก่อนหน้านี้ตนตั้งเป้าว่าจะบริจาคช่วยโรงพยาบาลทั้งหมด 10 คัน ได้บริจาคไปแล้ว 3 คือ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลตำรวจ สำหรับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นคันที่ 4
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายชูวิทย์ ได้แจ้งเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับขบวนการค้ายาเสพติด ถือเป็นคนแรกที่มีความกล้าหาญ ทำให้เราสามารถยึดทรัพย์ได้เป็นจำนวนมากกว่า 8,000 ล้านบาท และยังเหลืออีกเยอะมากที่เรากำลังสืบ ซึ่งเราสามารถยึดย้อนหลังได้ 10 ปี ถือเป็นการนำร่องที่สวยงาม ในอดีตคนไม่รู้เลยว่าคนค้ายามีเงินมากมายมหาศาล โดยข้อมูลจาก UNODC เปิดเผยมูลค่าตลาดยาเสพติดว่ามีมากถึง 1 ล้านล้านบาท โดยในช่วงวาระท้ายๆของรัฐบาล เราอาจจะกังวลว่าที่เราทำมาตลอด 3 ปีเศษจะเป็นหมัน แต่นายชูวิทย์เข้ามาปลุกกระแส ทำให้คนตื่นตัวและเข้าใจปัญหายาเสพติดมากขึ้น ซึ่งจะมีคนอื่นที่นำแบบอย่างจากนายชูวิทย์ไปทำตาม
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า วันนี้นายชูวิทย์ นำรถมามอบให้ จริงๆนายชูวิทย์ต้องได้รางวัลแจ้งเบาะแส 400 ล้านบาท แต่ก็ไม่เอาเป็นของตัวเอง กลับนึกถึงคนอื่น นำรถบริจาคให้กับโรงพยาบาลและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์อีก ตนต้องขอชื่นชม การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อกันในสังคมนั้น ประเทศชาติของเราจะสะอาด เป็นยุคที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่เท่านั้นแต่คนที่อายุมากก็เปลี่ยนได้ หากเรานึกถึงส่วนรวม โดยใช้ศาสตร์พระราชาที่ชี้นำชีวิต คือการ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา จะทำให้เรามีความสุข
จากนั้นนายสมศักดิ์ และนายชูวิทย์ ได้เดินดูรถ และได้เข้าไปนั่งโดยนายชูวิทย์นั่งฝั่งคนขับและนายสมศักดิ์นั่งฝั่งผู้โดยสาร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ประชุมขับเคลื่อนงาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ในระดับพื้นที่ เน้นย้ำ ต้องส่งเสริมบทบาทนายอำเภอ และ “ทีมอำเภอ” ขับเคลื่อนงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พัฒนาทุกพื้นที่ | วันอังคารที่ 31 มกราคม 2566
31/01/2566
ปลัด มท. ประชุมขับเคลื่อนงาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ในระดับพื้นที่ เน้นย้ำ ต้องส่งเสริมบทบาทนายอำเภอ และ “ทีมอำเภอ” ขับเคลื่อนงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พัฒนาทุกพื้นที่
ปลัด มท. ประชุมขับเคลื่อนงาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ในระดับพื้นที่ เน้นย้ำ ต้องส่งเสริมบทบาทนายอำเภอ และ “ทีมอำเภอ” ขับเคลื่อนงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พัฒนาทุกพื้นที่เป็น “หมู่บ้านยั่งยืน” เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน
วันนี้ (31 ม.ค. 66) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยได้รับเมตตาจากพระพิพัฒน์วชิโรภาส พระปัญญาวชิรโมลี ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยมี คณะที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายสมคิด จันทมฤก นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายปรีชา เดชพันธุ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยส่วนภูมิภาค ส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค ผู้อำนวยการกลุ่มงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล
โดยในช่วงก่อนการประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง พร้อมทั้งเป็นกำลังใจในการมุ่งมั่นขับเคลื่อนการบริหารราชการจังหวัดในฐานะขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณ เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดพัทลุงได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ดังปณิธานมหาดไทยที่ได้ปฏิบัติกันสืบต่อมาว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”
จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบแนวทางในการขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1) การเตรียมการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอ โดยเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องประชุมซักซ้อมพร้อมกำชับ ข้าราชการทุกคนต้องการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น สามารถร่วมสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ในช่วงนอกเวลาราชการ และต้องไม่ใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปใช้ในการสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ 2) การขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนผ่านการดำเนินโครงการหมู่บ้านยั่งยืน ด้วยการเอาใจใส่ในการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการพึ่งพาตนเอง ลดรายจ่าย และเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร รวมถึงด้านความสะอาด เพื่อประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพ ได้ปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหารตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสำคัญ และจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน รวมทั้งกิจกรรมเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคี ความรัก ความอบอุ่น ของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเมื่อทุกครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่น ก็จะส่งผลให้หมู่บ้านมีความรัก ความสามัคคี และส่งผลให้ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ และทั้งจังหวัด เป็นพื้นที่ที่มีแต่คนรักกัน คนเคารพนบนอบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้รักสามัคคี เอื้ออาทรกัน เฉกเช่นที่จังหวัดสกลนคร ณ บ้านดอนกอย ต.สว่าง อ.พรรณานิคม ที่ได้รับการสนับสนุนการดูแลจากผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานช่วยทำให้หมู่บ้านมีความสะอาด สวยงาม เป็นครัวเรือนที่พัฒนาแล้วอย่างเป็นรูปธรรม โดยการใช้สอยพื้นที่รอบบ้านปลูกพืชผักสวนครัวกันอย่างเต็มที่ทุกหลังคาเรือน และมีการบริหารจัดการขยะ ด้วยการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนทุกครัวเรือน อันเป็นการขยายผลส่งเสริมการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจังที่ทำอย่างต่อเนื่อง และประการสำคัญ คือ การถ่ายทอดไปยังลูกหลานเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
“จุดมุ่งหมายสำคัญของการขับเคลื่อนอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างยั่งยืน คือ การบูรณาการงานทุกอย่างในพื้นที่ภายใต้การบริหารงานของ “นายอำเภอ” ด้วยการมุ่งขับเคลื่อนการสร้าง “ทีมจิตอาสา” จาก 7 ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาคผู้นำวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน ค้นหาผู้นำ 7 ภาคีให้ได้ เพื่อให้เกิด “ทีมอำเภอ” ที่มีความเข้มแข็ง และแม้ว่านายอำเภอจะย้ายไปรับราชการที่ใด หรือเกษียณอายุราชการ ทีมเหล่านี้จะยังคงมุ่งมั่นทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับอำเภอของพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่มีจิตอาสาในพื้นที่ นอกจากนี้ นายอำเภอต้องพัฒนา “ทีมตามกฎหมาย” เช่น ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบประจำตำบล พัฒนากร เกษตรตำบล สาธารณสุข และส่วนราชการอื่น ๆ ในพื้นที่ ให้มีความเข้มแข็ง รู้จักหน้าที่และทุ่มเทปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่อย่างแข็งขัน รวมทั้งกระตุ้นปลุกเร้า “ทีมคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.)” อันประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ให้มีความเข้มแข็งและเป็นผู้นำในการระดมสรรพกำลังไปทำให้เกิดหมู่บ้านยั่งยืน ตามเป้าหมายที่ชาวมหาดไทยทุกคนได้กำหนดร่วมกันที่จะเลือกหมู่บ้านที่ได้รับการพัฒนาน้อยที่สุด ตำบลละ 1 หมู่บ้าน รวม 7,255 หมู่บ้าน ให้เป็น “หมู่บ้านยั่งยืน” และสำหรับหมู่บ้านอื่น ๆ ในพื้นที่ตำบล ก็ต้องส่งเสริมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วยกัน เพราะนายอำเภอต้องดูแลประชาชนทุกตำบล และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องดูแลประชาชนทุกอำเภอ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ปลัด มท. กล่าวเน้นย้ำ
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนงานของชาวมหาดไทย คือ “การทำงานเชิงระบบ” ซึ่งพวกเราทุกคนในฐานะ “ราชสีห์ผู้มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน” และผู้ที่มีความตั้งอกตั้งใจที่จะทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืน ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้นำของจังหวัดต้องให้ความสำคัญ และเอาใจใส่ในการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ด้วยการผลักดันให้ท่านนายอำเภอเป็น “ผู้นำทัพ” ในสนามรบของพื้นที่อำเภอ นั่นคือ “ต้องทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ทำให้ทุกอำเภอเป็น “อำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” ที่แท้จริง ที่ประชาชนทุกครอบครัวอยู่ด้วยความรัก ความสามัคคี ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองในเรื่องปัจจัย 4 ซึ่ง “ถ้าทุกบ้านดี หมู่บ้านนั้นก็ดี ถ้าทุกหมู่บ้านดี ตำบลนั้นก็ดี ถ้าทุกตำบลดีอำเภอก็จะดี” ดังบันทึกข้อตกลง (MOU) ที่กระทรวงมหาดไทยได้ลงนามร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อาทิ “MOU บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน” ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม “MOU การดำเนินโครงการ “วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ร่วมกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม และ “การประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย”
จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ได้ร่วมกันนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานในระดับพื้นที่ เช่น การบริหารงบประมาณตามแนวทางการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงบประมาณ การเตรียมความพร้อมบริหารจัดการภัยแล้ง การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัย การขับเคลื่อนสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก เพื่อลดภาวะคลอดก่อนกำหนด การเตรียมการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตลาดกลาง Green Market เพื่อชุมชน เป็นต้น
“ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเอาใจใส่ช่วยเหลือและเอาจริงเอาจังในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน ด้วยการวาง timeline ในการสนับสนุนบทบาทของท่านนายอำเภอ เพื่อต่อยอดและขับเคลื่อนต่อเนื่องจากการที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดฝึกอบรมโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในที่ประชุมกรมการจังหวัดและการนำเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีผู้นำ คือ “นายอำเภอ” สามารถขับเคลื่อนเป็นไปอย่างประสบความสำเร็จและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานและภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่” ปลัด มท. กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เดินหน้าปรับเพิ่มค่าตอบแทน OT และเวรบ่ายดึกบุคลากร หลังกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
สธ. เดินหน้าปรับเพิ่มค่าตอบแทน OT และเวรบ่ายดึกบุคลากร หลังกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย กระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลา ร้อยละ 8 ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานผลัดบ่าย/ดึกเพิ่ม ร้อยละ 50 และปรับเพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่-วิชาชีพ-สายงานที่กำหนดในหลักเกณฑ์วิธีการจ่ายค่าตอบแทน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย กระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลา ร้อยละ 8 ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานผลัดบ่าย/ดึกเพิ่ม ร้อยละ 50 และปรับเพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่-วิชาชีพ-สายงานที่กำหนดในหลักเกณฑ์วิธีการจ่ายค่าตอบแทน เนื่องจากสอดคล้องกับภาระงาน/ภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบฉบับที่ 2, 10, 11 และ 12 ตามเดิม เตรียมออกข้อบังคับโดยเร็วต่อไป
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ได้เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ฉบับที่ 5 โดยเพิ่มค่าตอบแทนทุกวิชาชีพในการปฏิบัติงานลักษณะเป็นเวรหรือเป็นผลัด (OT) ขึ้น ร้อยละ 8 และเพิ่มค่าตอบแทนผลัดบ่ายหรือผลัดดึก ที่เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการในเวลาราชการปกติขึ้น ร้อยละ 50 เนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2552 ไม่สอดคล้องกับภาระงานและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขบางส่วนย้ายไปปฏิบัติงานนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เกิดความขาดแคลนบุคลากรซึ่งจะกระทบต่อการให้บริการ โดยได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเพื่อขอความเห็นชอบในการปรับอัตราค่าตอบแทน ฉบับที่ 5 และปรับเพิ่มรายการตำแหน่ง, วิชาชีพและสายงาน ที่ให้ได้รับค่าตอบแทน รวมทั้งขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนฉบับที่ 2, 10, 11 และ 12 ในอัตราเดิม
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ล่าสุด กระทรวงการคลังได้มีหนังสือตอบกลับเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา แจ้งเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอทั้ง 2 เรื่อง เนื่องจากเห็นว่าอัตราค่าตอบแทนที่กระทรวงสาธารณสุขขอปรับเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อให้มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และขอให้กระทรวงสาธารณสุขออกข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินบำรุงในลักษณะค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนที่กระทรวงการคลังเห็นชอบต่อไป
“เรื่องการออกข้อบังคับฯ การจ่ายเงินบำรุง เป็นอำนาจของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ซึ่งจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้บุคลากรได้รับค่าตอบแทนอัตราใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป” นพ.โอภาสกล่าว
************************************************ 1 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64443 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สป.จัดกิจกรรม “โครงการให้ความรู้ด้านการเงินและการแก้ไขหนี้สินของกำลังพล สป.” นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
สป.จัดกิจกรรม “โครงการให้ความรู้ด้านการเงินและการแก้ไขหนี้สินของกำลังพล สป.” นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
(1 ก.พ. 66) พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการจัดกิจกรรมโครงการให้ความรู้ด้านการเงินและการแก้ไขหนี้สินของกำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม
เพื่อให้ความรู้ในด้านการบริหารจัดการทางการเงินในเรื่องการวางแผนทางการเงินและการแก้ไขปัญหาหนี้สินอันจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง และใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับกำลังพลได้อย่างยั่งยืน
การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) มีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายรวม 200 นาย สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับกำลังพลของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในมิติด้านเศรษฐกิจโดยการผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกำลังพลให้สามารถลดความเครียดจากปัญหาหนี้สิน และมีกำลังใจที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64441 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM follows up on implementation of TPMAP in Nakhon Sawan province | วันอังคารที่ 31 มกราคม 2566
PM follows up on implementation of TPMAP in Nakhon Sawan province
PM follows up on implementation of TPMAP in Nakhon Sawan province
Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that on January 30, 2023, at 11.50 hrs, at Wat Dong Mae Si Muang Temple, Banpot Pisai district, Nakhon Sawan province, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha and the delegation followed up on the implementation of “Thai People Map and Analytics Platform (TPMAP)”, a data analytics tool aiming at precision poverty alleviation and improving quality of life for Thai citizens. In the fiscal year 2022, Nakhon Sawan managed to address poverty problem of over 16,987 households, with the cooperation of local development partners, i.e., educational institutions, religious institutions, local communities and private sector who provided technical data, in-depth information of respective locality, information on local operation and social activities.
The Prime Minister, then, paid respect to the temple’s Buddha image and the abbot, and listened to the briefing on Banpot Pisai district’s water management for agricultural purpose, before meeting with over 4,000 local residents. He committed to eradicate poverty in a systematic manner through empowerment of the grassroots people for them to have better quality of life, and to be self-sustained.
The Prime Minister also commended Nakhon Sawan provincial administration for an effort to tackle poverty in accordance with the Government’s policy and the Prime Minister’s order, and emphasized that problem solving could only be undertaken on the basis of love and cooperation of all sectors, not lacking nor conflict. The Government strives to move forward the country and would do its best under a tight budget. Meanwhile, the Thai people are encouraged to coexist peacefully, respect legal norms, be considerate, and have full of smiles.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64405 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายนาเคศ สิงห์ (Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รวมทั้งหารือความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-อินเดีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอินเดีย ที่จะครบรอบ 76 ปีในปีนี้ โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายจักรพันธ์ เด่นดวงบริพันธ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสาวปรารถนา บุญฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศไทยและอินเดีย มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในหลายมิติ อาทิ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยในการหารือทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าไทยและอินเดียยังมีโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมร่วมกันอีกมาก เนื่องจากมีนโยบายการพัฒนาประเทศที่สอดรับและมีอุตสาหกรรมศักยภาพที่เกื้อหนุนกัน จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะร่วมมือสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ด้วยอินเดียมีประชากรเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งสินค้าไปขายได้ โอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ สุริยะ ได้กล่าวขอบคุณสำหรับการร่วมหารือในครั้งนี้ และกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีให้ความร่วมมือกับอินเดียในการพัฒนาอุตสาหกรรมร่วมกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม ชูต้นแบบทำความดีทั้งคนไทยและต่างชาติ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รมว.พม. มอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม ชูต้นแบบทำความดีทั้งคนไทยและต่างชาติ
รมว.พม. มอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม ชูต้นแบบทำความดีทั้งคนไทยและต่างชาติ
วันนี้ (31 ม.ค. 66) เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคม ด้านผู้สูงอายุ จำนวน 11 รางวัล ให้กับบุคคลและภาคีเครือข่ายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีความเสียสละทำความดีเพื่อสังคมโดยไม่หวังผลประโยชน์ รวมทั้งเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและเสริมพลังภาคีเครือข่ายที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนและสังคมที่มีส่วนร่วมในการทำความดี โดยมีนางสาว ชวนชม จันทะวงษ์ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) มีภารกิจส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการจัดสวัสดิการ และการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งนี้ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและเสริมพลังภาคีเครือข่ายที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนและสังคม สำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำความดี ด้วยการช่วยเหลือ สนับสนุน และสร้างกำลังใจให้กับกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 วันนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดพิธีมอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคมด้านผู้สูงอายุ ให้กับภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. ที่เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม จำนวน 11 รางวัล
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า การมอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคมครั้งนี้ เห็นได้ว่ามีผู้รับรางวัลที่เกิดในต่างประเทศ เป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ประเทศไทย และบางคนได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทย ซึ่งทุกคนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของความเป็นไทย สิ่งที่ตนอยากจะบอกคือความเป็นไทยไม่มีวันตาย ความดีไม่มีชนชั้นวรรณะและพรมแดน คนที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นผู้ให้ สังคมไทยจะอยู่ได้เพราะความรัก การเป็นผู้ให้ การรับความแตกต่าง และเป็นผู้ที่หวังดีซึ่งกันและกัน ดังนั้น วันนี้ เห็นได้ว่าผู้รับรางวัลมีความตั้งใจ ไม่ได้ทำเพื่อรับรางวัล แต่ทำเพื่อให้สังคมนั้นดีขึ้น และตนเชื่อว่า สังคมดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ เราต้องช่วยกันสร้าง อีกทั้ง รางวัลนี้ กระทรวง พม. ได้มอบให้กับคนที่ทำดีอย่างต่อเนื่อง เป็นคนที่รักในสิ่งที่ทำ มีความสุขในสิ่งที่ทำ และเชื่อในสิ่งที่ทำ โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้สังคมมีค่าและคนที่ทำความดีทุกคนมีคุณค่าเพราะเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ กระทรวง พม. ได้มอบรางวัลผู้เสียสละเพื่อสังคมด้านผู้สูงอายุ ให้กับภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. ที่เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม จำนวน 11 รางวัล ประกอบด้วย 1) ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.ประพันธ์ นันทะยา เบื้องหลังทีมทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนสู่ประเทศไทย 2) นางปนัดดา เจณณวาสิน ประธานที่ปรึกษา บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้บริหารหญิงไทยคนแรก ที่สร้างผลงานให้ต่างชาติยอมรับว่า “ เพศ ” ไม่ใช่บรรทัดฐานในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง 3) นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) องค์กรผู้สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง 4) นางวัลภา แซ่โล่ ผู้รับเด็กกำพร้า 11 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิที่จังหวัดภูเก็ตมาเลี้ยงดูที่บ้านตนเองเพียงลำพังจนเรียนจบ 5) นายชัชชัย ชเว (เช ย็อง-ช็อก) สัญชาติไทย หรือ โค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ผู้ทำให้ทีมประเทศไทยก้าวสู่อันดัย Top10 ของโลก และเป็นผู้สร้างแชมป์โลกเทควันโดให้คนไทย 6) นายสกล สัจเดว (อินเดีย-ไทย) นักประดิษฐ์ไม้เท้าอัจฉริยะเพื่อผู้สูงอายุ เป็นผู้มีความรักในแผ่นดินเกิด
7) ครู โทโมโกะ กาตาโอกะ หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสอนหนังสือให้กับเด็กไร้สัญชาติที่ศูนย์การเรียนรู้บ้านสายรุ้ง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความฝันว่า "อยากจะช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า 8) มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ยูทูบเบอร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่ตกหลุมรักประเทศไทย เจ้าของวลี ไม่เผ็ด ไม่กิน 9) นายเสกสรร มากศรทรง หรือเบิร์ดปากแดง หนุ่มพรหมพิรามใจบุญ ขี่รถพ่วงข้างเก็บขยะมากว่า 20 ปี เพื่อหารายได้ซ่อมจักรยานมือสองให้กับเด็กที่ยากจนและขาดแคลน 10) นางสาวเนตรนภา มุสิกพงศ์ หรือน้องมุก ผู้ป่วย Stroke จากหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทำขนมขายเพื่อนำรายได้ไปช่วยผู้ป่วยยากไร้ และ 11) นายอนุวัตร ตรรกชนชูชัย เด็กชาติพันธุ์ เผ่าม้ง จากครอบครัวฐานะยากจน แต่มีความตั้งใจมุ่งมั่นจนเรียนจบมาเป็นครูวิชาภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านห้วยกุ๊ก จังหวัดเชียงราย เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กลุ่มเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายขอบ
#ช่วย24ชั่วโมง
#พม24ชม
#ข่าวพม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย หนุนลูกค้าธุรกิจ ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียม e-Withholding Tax Plus ถึงสิ้นปี 68 | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
กรุงไทย หนุนลูกค้าธุรกิจ ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียม e-Withholding Tax Plus ถึงสิ้นปี 68
ธนาคารกรุงไทยขยายระยะเวลาฟรีค่าธรรมเนียมบริการจัดการข้อมูลและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย อิเล็กทรอนิกส์ (Krungthai e-Withholding Tax Plus) จนถึง 31 ธันวาคม 2568 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ของกรมสรรพากร
ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ เดินหน้าสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการทุกกลุ่มธุรกิจ ขยายระยะเวลาฟรีค่าธรรมเนียมบริการจัดการข้อมูลและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย อิเล็กทรอนิกส์ (Krungthai e-Withholding Tax Plus) จนถึง 31 ธันวาคม 2568 สอดรับมาตรการขยายเวลาลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เดิมมีอัตรา 5% 3% และ 2% เหลือเพียง 1% สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ของกรมสรรพากร
บริการ Krungthai e-Withholding Tax Plus พร้อมติดปีกให้ธุรกิจคุณคล่องตัวมากกว่าเดิมด้วยบริการจัดการด้านภาษี โดยธนาคารเป็นตัวแทนในการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งข้อมูลการหักภาษี ณ ที่จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์แทนผู้ประกอบการไปยังกรมสรรพากร โดยผู้ประกอบการสามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีปลายทาง ผ่านบริการ Krungthai Business หรือ Krungthai Corporate Online ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการ
• ลด ขั้นตอนและความยุ่งยากในการเตรียมเอกสาร ทั้งการทำแบบรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้กรมสรรพากร และหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ไปยังคู่ค้า
• ลด ความผิดพลาดในการนำส่งข้อมูล
• ลด ต้นทุนการจัดเก็บและส่งหนังสือหัก ณ ที่จ่ายในรูปแบบกระดาษ
• เพิ่มความมั่นใจ ด้วยข้อความแจ้งเตือนเพื่อยืนยันการหักเงินและการนำส่งข้อมูลให้คู่ค้า ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย รับทราบ
• เพิ่มความสะดวก โดยสามารถเรียกดูรายงานการนำส่งข้อมูล หรือดาวน์โหลดเอกสารหลักฐานการนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทาง Krungthai Business และ Krungthai Corporate online
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการ Krungthai e-Withholding Tax Plus ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง วันที่ 30 ธันวาคม 2568 และรับสิทธิฟรีค่าธรรมเนียมการทำรายการตั้งแต่วันที่สมัคร จนถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ Krungthai Corporate Contact Center เบอร์โทร 02-111-9999 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://krungthai.com/link/e-withholding-tax-plus-pr-news
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองบัญชาการกองทัพไทย จับมือ “กรุงไทย” พัฒนาบริการและบริหารจัดการทางการเงินแบบครบวงจร | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
กองบัญชาการกองทัพไทย จับมือ “กรุงไทย” พัฒนาบริการและบริหารจัดการทางการเงินแบบครบวงจร
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงการให้บริการระบบบริการจัดการทางการเงินและการบริการด้านสิทธิกำลังพล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงินของกองบัญชาการกองทัพไทย
พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงการให้บริการระบบบริการจัดการทางการเงินและการบริการด้านสิทธิกำลังพล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงินของกองบัญชาการกองทัพไทย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ National e-Payment ของภาครัฐ ในการพัฒนาระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล ต้นทุนต่ำ รองรับธุรกรรมการชำระเงินของประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนาบริการด้านสิทธิกำลังพลเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตกำลังพลในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย
พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า กองบัญชาการกองทัพไทยตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของกำลังพลและครอบครัว ภายใต้ระบบที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ จึงร่วมกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่มีศักยภาพในการให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐ พัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาด้านสิทธิประโยชน์ และการให้บริการสินเชื่อสวัสดิการแก่ข้าราชการและกำลังพลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเชื่อว่าจะส่งผลให้กำลังพลปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ รวมทั้งช่วยให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในทุกมิติและทุกช่องทางของธนาคาร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
ธนาคารกรุงไทย มีความพร้อมในการให้บริการระบบบริหารจัดการทางการเงินแบบครบวงจรให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย ครอบคลุมบริการรับชำระเงิน-โอน-จ่ายเงิน และการนำส่งเงินของหน่วยงานในระบบเดียวกัน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Krungthai Corporate Online) ที่จะช่วยให้กองบัญชาการกองทัพไทยสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวกคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงบริการด้านธุรกรรมต่างประเทศของหน่วยงาน บริการด้านการศึกษา Smart Academy สำหรับสถานศึกษาในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นสถานศึกษาต้นแบบ ตลอดจนเรื่องการให้บริการสินเชื่อสวัสดิการแก่ข้าราชการและกำลังพลทุกระดับของกองบัญชาการกองทัพไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเจรจาหวังเปิดตลาดส่งออกช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงไปฮ่องกง | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเจรจาหวังเปิดตลาดส่งออกช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงไปฮ่องกง
รมว.เฮ้ง ส่ง ปลัดฯ นำทีมเจรจาหวังเปิดตลาดส่งออกช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงไปฮ่องกง
วันที่1กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)นางสาวบุปผาเรืองสุดรองปลัดกระทรวงแรงงานรักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานประชุมหารือความต้องการแรงงานร่วมกับสถานประกอบการAH NGAU Engineering LTD.เพื่อขยายฐานการส่งออกแรงงานไทยสาขาช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงไปทำงานในสถานประกอบการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงพร้อมเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าBlack Point Station Hong Kongณเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
นายบุญชอบกล่าวว่าในวันนี้ท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้ผมนำทีมผู้บริหารของกระทรวงแรงงานเข้าพบผู้บริหารของสถานประกอบการAH NGAU Engineering LTD.เพื่อหารือเกี่ยวกับความต้องการแรงงานด้านช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดส่งแรงงานไทยเข้าสู่ตลาดแรงงานของฮ่องกงเพิ่มเติมซึ่งจากการหารือในครั้งนี้พบว่าAH NGAU Engineeringเป็นสถานประกอบการที่จ้างแรงงานวิศวรซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่เป็นฐานการผลิตสำคัญของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงซึ่งมีความต้องการแรงงานช่างเชื่อมแรงดันสูงปัจจุบันมีแรงงานไทยที่เป็นช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้าBlack Point Station Hong Kongจำนวน25คนโดยบริษัทจัดหางานVince Placement Company Limitedที่เป็นตัวแทนของAH NGAU Engineering LTD.ในการขออนุญาตจัดส่งแรงงานช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงมาทำงานที่ฮ่องกงเป็นแรงงานที่ได้รับการจ้างงานภายใต้โครงการนำเข้าแรงงานเสริม(Supplementary Labour Scheme: SLS)ระยะเวลาตามสัญญาจ้าง15เดือนอัตราค่าจ้างเดือนละ54,600 HKDหรือประมาณ230,000บาทโดยประมาณซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงนอกจากนี้นายจ้างได้จัดอาหารกลางวันที่ทำงานให้1มื้อสำหรับที่พักนายจ้างได้เช่าบ้านเป็นหลังให้แรงงานได้พักระหว่างทำงานพร้อมกับอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น
สำหรับผลจากการเจรจากับสถานประกอบการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะเปิดตลาดส่งออกแรงงานสาขาช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงต่อไปและโอกาสเดียวกันนี้ปลัดกระทรวงแรงงานและคณะยังได้เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าและพบปะพูดคุยให้กำลังใจแรงงานไทยที่เป็นช่างเชื่อมท่อแรงดันสูงทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้าBlack Point Station Hong Kongอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
1 กุมภาพันธ์2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64448 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังเลื่อนการประกาศผลการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการให้ครบถ้วน ผู้ถือบัตรรายเดิม 13.2 ล้านคน | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
กระทรวงการคลังเลื่อนการประกาศผลการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการให้ครบถ้วน ผู้ถือบัตรรายเดิม 13.2 ล้านคน
กระทรวงการคลังเลื่อนการประกาศผลการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการเพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการให้ครบถ้วน ผู้ถือบัตรรายเดิม 13.2 ล้านคนยังคงรับสวัสดิการผ่านบัตรจนกว่าจะเริ่มโครงการใหม่ งวดเดือน ก.พ.กรมบัญชีกลางโอนเงินเข้าปกติ
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้แจ้งการเลื่อนประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 จากกรอบเวลาเดิมที่จะต้องมีการประกาศผลและยืนยันตัวตนผู้ผ่านคุณสมบัติภายในเดือน ม.ค. 66 ทั้งนี้เนื่องจากลงทะเบียนรอบนี้ได้มีการปรับเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการทั้งเกณฑ์บุคคลและเกณฑ์ครอบครัวจึงต้องมีการตรวจสอบสิทธิโดยหลายหน่วยงาน เพื่อให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ และจะประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็ว ซึ่งผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและข้อมูลต่างๆของโครงการ ได้ผ่านเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th หรือจากข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงการคลัง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังจะยังคงดำเนินการโอนเงินสวัสดิการให้ผู้ถือบัตรรายเดิมจำนวน 13.2 ล้านคนตามปกติ โดยในรอบเดือน ก.พ. 66 การโอนเงินยังเป็นไปตามตารางคือ วันที่1 ก.พ. โอนเงินซื้อสินค้า, ค่าก๊าซหุงต้ม, ค่ารถโดยสาร วันที่ 18 ก.พ. เงินคืนค่าไฟฟ้า เงินคืนค่าน้ำประปา และวันที่ 22 ก.พ. เงินเพิ่มเบี้ยคนพิการ สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ถือมีบัตรประจำตัวคนพิการ
“กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 ให้แล้วเสร็จและประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็ว ส่วนผู้ที่มีบัตรรายเดิมยังคงสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้จนถึงวันสุดท้ายของเดือนก่อนเริ่มโครงการใหม่ ที่เมื่อกระทรวงการคลังประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติแล้ว การใช้สิทธิต่างๆ จะต้องใช้ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนอเนกประสงค์ หรือแบบสมาร์ทการ์ดเท่านั้น ส่วนบัตรสวัสดิการเดิมจะถูกยกเลิกไป”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อกระทรวงการคลังประกาศผลโครงการลงทะเบียนปี 2565 แล้ว ผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้สามารถตรวจสอบว่าตนเองผ่านคุณสมบัติใน 3 ช่อทาง ได้แก่ 1. เว็บไซต์ทางการ ที่https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th 2.ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) สำนักงานคลังจังหวัด ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร และศาลาว่าการเมืองพัทยา และ 3.โทรศัพท์สอบถาม สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ Call Center โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หลังจากการวันประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64409 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-DGA เปิดงาน ‘Connect to be Better’ ทรานฟอร์มคน DGA เป็น ‘Smart Connector’ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
DGA เปิดงาน ‘Connect to be Better’ ทรานฟอร์มคน DGA เป็น ‘Smart Connector’
DGA เปิดงาน ‘Connect to be Better’ ทรานฟอร์มคน DGA เป็น ‘Smart Connector’
วันนี้ (01 กุมภาพันธ์ 66) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วมงาน “Connect to be Better” ซึ่งจัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) โดยมี ดร. สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เป็นประธานแถลงข่าว เพื่อเดินหน้าทรานส์ฟอร์มรัฐบาลสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่เป็นจริง ชูกลยุทธ์ปรับภาพลักษณ์ DGA ให้เป็นองค์กรทันสมัย เข้าถึงง่ายมี DNA ของการเป็น “Smart Connector” หรือผู้ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์ ทำงานเชื่อมต่อภาครัฐกับประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทยที่ดียิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของไทย E-Government Development Index (EGDI) Ranking ขึ้นอันดับ 40 ของโลก ภายในปี 2570 สอดคล้องกับ Brand Value ขององค์กร Smart Nation Smart Life ประเทศทันสมัย ชีวิตคนไทยก็ง่ายขึ้น ณ C-ASEAN อาคาร CW Tower ชั้น 10 ถนนรัชดาภิเษก
__________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64430 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 24 ล้านบาท 1 กุมภาพันธ์นี้ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ธ.ก.ส. โอนเงินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 65/66 เพิ่มอีกกว่า 24 ล้านบาท 1 กุมภาพันธ์นี้
ธ.ก.ส.โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับปีการผลิต 2565/66 อีกกว่า 24 ลบ. มีผู้ได้รับประโยชน์ 4,958 ครัวเรือน ในวันที่ 1 ก.พ.นี้
นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยโอนเงินให้เกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ประกอบไปด้วย โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) เป็นเงินกว่า 53,837.76 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ไปแล้วจำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 1-15 เป็นจำนวนกว่า 7,844.16 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์ไปแล้วจำนวน 2.59 ล้านครัวเรือน
และในวันนี้ ธ.ก.ส. ได้ทำการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผ่านมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 แก่เกษตรกรเพิ่มเติมอีกกว่า 4,958 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 24.45 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 (โครงการไร่ละพัน) ครั้งที่ 9 เป็นเงินกว่า 23.05 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 4,258 ครัวเรือน และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 งวดที่ 16 และงวดที่ 1-15 (เพิ่มเติม) เป็นเงินกว่า 1.40 ล้านบาท และมีผู้ได้รับประโยชน์จำนวน 700 ครัวเรือน
เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ตลอด 24 ชั่วโมงและจะมีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect รวมถึงสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของดีชุมชนรอเลย พาณิชย์จัดโครงการLocal+ ดันเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาสินค้า สร้างเรื่องราว ขยายตลาดสร้างมูลค่าเพิ่ม | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ของดีชุมชนรอเลย พาณิชย์จัดโครงการLocal+ ดันเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาสินค้า สร้างเรื่องราว ขยายตลาดสร้างมูลค่าเพิ่ม
ของดีชุมชนรอเลย พาณิชย์จัดโครงการLocal+ ดันเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาสินค้า สร้างเรื่องราว ขยายตลาดสร้างมูลค่าเพิ่ม
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวขยายผลอย่างตรงเป้าได้มากขึ้น และสอดรับกับกระแสการบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการปกป้องสิ่งแวดล้อม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้กำหนดเป้าหมายผลักดันสินค้าท้องถิ่น ภายใต้แนวทาง Local + (โลคัล พลัส) จำนวน 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ 1.กลุ่ม BCG ที่มุ่งเน้นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ สินค้าออร์แกนิก 2.กลุ่มสินค้าอัตลักษณ์ ที่ต้องการรักษาภูมิปัญญา ความเฉพาะถิ่น คุณค่าทางวัฒนธรรม และ 3.กลุ่มสินค้านวัตกรรม ที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าชุมชน โดยจะเข้าไปช่วยเหลือในการให้ความรู้ด้านการผลิต การพัฒนาสินค้า และผลักดันออกสู่ตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้า และสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยมี กลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาสินค้า Local+ ได้แก่1.การสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการตลาดให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้บริโภค ให้มีความรู้ความเข้าใจถึงคุณประโยชน์ของ Local+2.การพัฒนาฐานข้อมูลที่ทันสมัย เพื่อใช้ในการวางแผนการตลาดเชิงรุกให้กับสินค้า Local+ ในรูปแบบ 2 ภาษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพส่งออก3.การขยายตลาดสินค้า Local+ ทั้งในและต่างประเทศ โดยกำหนดจัดงานแสดงสินค้าในระดับภูมิภาคทั้ง 4 ภาค ช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.2566 และจัดงานแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และสัมมนาวิชาการ Thailand International Local Plus Expo 2023 (TILP Expo 2023) ช่วงเดือนมิ.ย.2566 เพื่อช่วยให้ความรู้ด้านการตลาด มาตรการ มาตรฐาน ขยายโอกาสของสินค้าเข้าสู่ตลาดเป้าหมายแก่ผู้ประกอบการ และจัดเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ (OBM)4.การสร้างความหลากหลายของสินค้า Local+ ให้ตรงตามความต้องการของตลาด โดยจะช่วยพัฒนาสินค้าตัวใหม่ๆ ตามความต้องการของตลาด5.การสนับสนุนเชิงนโยบาย โดยหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกันพิจารณามาตรการสนับสนุน Local+ ในระดับนโยบาย เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการช่วยเหลือ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ“รองนายกฯจุรินทร์ เน้นย้ำว่าพาณิชย์จังหวัดซึ่งเสมือนกับเซลล์แมนจังหวัด ที่ประจำอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ จะต้องลงพื้นที่เพื่อคัดสินค้าที่มีศักยภาพ ทั้งกลุ่ม BCG กลุ่มสินค้าอัตลักษณ์ และกลุ่มที่มีนวัตกรรม แล้วรวบรวมทำเป็นฐานข้อมูลสินค้า Local+ เพื่อทางกระทรวงพาณิชย์จะได้เข้าไปช่วยส่งเสริม ทั้งด้านการผลิต การพัฒนาสินค้า การออกแบบ การสร้างเรื่องราว ซึ่งจะทำให้สินค้านั้นๆมีคุณลักษณะพิเศษ มีคุณค่าต่อจิตใจ โดยอาจเป็นจุดขายเรื่องการรักสิ่งแวดล้อม การสืบทอดวัฒนธรรม อันจะนำไปสู่การขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้มากยิ่งขึ้น” นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64408 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ สั่งกรมการจัดหางานรุกตรวจสอบเยาวราช จับต่างชาติแย่งงานคนไทย | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
รมว.สุชาติ สั่งกรมการจัดหางานรุกตรวจสอบเยาวราช จับต่างชาติแย่งงานคนไทย
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ถนนเยาวราช ตรวจสอบใบอนุญาตทำงานคนต่างชาติ แจงไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือสิทธิ มีโทษทั้งนายจ้าง – ลูกจ้าง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่มีผู้ประกอบการชาวไทยร้องเรียนให้ตรวจสอบคนต่างชาติที่สงสัยว่าเข้ามาประกอบธุรกิจแบบไม่ถูกกฎหมาย ใช้นอมินีคนไทยจดทะเบียนตั้งบริษัทแย่งอาชีพคนไทย และจ้างลูกจ้างชาวต่างชาติเป็นพนักงาน ย่านเยาวราช และห้วยขวาง นั้น ตนได้สั่งการกรมการจัดหางาน โดยเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี คนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายฯ ลงพื้นที่เยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 8 และชุดอำนวยการฯ เพื่อตรวจสอบแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ที่นายจ้างนำมาทำงานในสถานประกอบการ โดยจะตรวจบังคับใช้กฎหมายกับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน ทำงานนอกเหนือสิทธิ ให้แรงงานต่างชาติอยู่ในกรอบกฎหมายอย่างจริงจัง และจะดำเนินคดีทั้งกับนายจ้าง และลูกจ้างที่มีความผิด
“กระทรวงแรงงานขอเตือนให้ทราบว่าตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คนต่างชาติที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างชาติทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ ซึ่งมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างชาติที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างชาติที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างชาติทำงานเป็นเวลา 3 ปี” รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากการตรวจสอบสถานประกอบการ จำนวน 6 แห่ง/ราย พบมีการจ้างแรงงานคนไทย จำนวน 19 คน และต่างชาติ จำนวน 10 คน ในจำนวนนี้มีเอกสารการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและเอกสารการอนุญาตทำงานถูกต้อง จำนวน 7 คน และพบคนต่างชาติกระทำความผิด จำนวน 3 คน แบ่งเป็น ชายสัญชาติ กัมพูชา 2 ราย และชายสัญชาติ ลาว 1 ราย จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 2 ดำเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน พร้อมทั้งร้องทุกข์กล่าวโทษ นายจ้าง จำนวน 1 ราย ในข้อหารับคนต่างชาติเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ในส่วนร้านค้า 2 ร้าน ที่มีการเสนอข่าวว่ามีคนจีนมาเปิดร้านไปก่อนหน้า ขณะนี้พบว่าบริเวณหน้าร้านติดป้ายปิดปรับปรุง และปิดทำการไว้ นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ในร้านที่เข้าตรวจสอบ มีคนไทยเป็นแคชเชียร์ แต่คิวอาร์โค้ดรับเงิน มีชื่อบัญชี คล้ายชื่อคนจีน ซึ่งพนักงานไม่สามารถให้ข้อมูลของร้านได้ชัดเจน
ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างชาติทำงานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องทุกข์ได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงานชั้น 4 โทร. 02 354 1729 หรือ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64427 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-NT เปิดให้บริการระบบ NSW พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ ตอบโจทย์ผู้ประกอบการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
NT เปิดให้บริการระบบ NSW พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ ตอบโจทย์ผู้ประกอบการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์
NT ประกาศเปิดให้บริการระบบ National Single Window รองรับการเชื่อมโยงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ด้านการนำเข้า ส่งออกครบวงจร มั่นใจช่วยลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT พร้อมด้วยนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดี กรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ร่วมแถลงข่าวการเปิดให้บริการระบบ National Single Window (NSW) ณ ห้อง Auditorium NT สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ
ระบบ National Single Window (NSW) หรือระบบกลางการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว เกิดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2548 ที่ให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดตั้งระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของประเทศ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจด้านการนำเข้า ส่งออก นำผ่าน และโลจิสติกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันและกับหน่วยงานภาครัฐได้สะดวก ปลอดภัย และเกิดการใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ก่อนจะควบรวมกับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เป็นองค์กรผู้ให้บริการระบบ NSW หรือ NSW Operator ของประเทศ
NT ได้ต่อยอดการพัฒนาระบบ NSW ให้เชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นและเพิ่มประเภทข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่แลกเปลี่ยนกันผ่านระบบ โดยปัจจุบันระบบ NSW ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งแบบ G2G, B2G และ B2B มากกว่า 10 ล้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่อเดือน จำนวนผู้ประกอบการกว่า 15,000 ราย หน่วยงานภาครัฐ 34 หน่วยงาน และหน่วยงานต่างประเทศผ่านการเชื่อมต่อกับ ASEAN Single Window หรือ ASW
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT เปิดเผยว่าหลังจาก NT ได้ร่วมกับกรมศุลกากร และหน่วยงานต่างๆ พัฒนาระบบ NSW ใหม่ต่อยอดจากระบบเดิมที่พัฒนาโดยกรมศุลกากร และได้ทดลองให้บริการมากว่า 1 ปี ปัจจุบัน NT มีความพร้อมในการเปิดให้บริการ NSW เต็มรูปแบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ลดการใช้กระดาษ และลดขั้นตอนการติดต่อระหว่างหน่วยงาน หรือการขออนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ โดยระบบ NSW ใหม่มีประสิทธิภาพสูง และรองรับรูปแบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น คำขอใบอนุญาตยางพารา เอกสารใบรับรองสุขอนามัยพืชหรือ e-Phyto Certificate ใบขนสินค้าอาเซียน ACDD (ASEAN Customs Declaration Document) และหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ e-Form หรือ ATIGA (ASEAN Trade In Goods Agreement) เป็นต้น โดย NT มีแผนที่จะขยายการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถรองรับรูปแบบธุรกรรมได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับความง่ายในการประกอบธุรกิจ และสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี เปิดเผยว่า กรมศุลกากร ไว้วางใจให้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามาพัฒนาระบบ National Single Window หรือ NSW ร่วมกับกรมศุลกากร ในฐานะ NSW Operator เนื่องจากเล็งเห็นในศักยภาพที่เพียบพร้อมของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ที่จะสามารถพัฒนาระบบ NSW จากเดิมที่กรมศุลกากรได้ออกแบบมาแล้วให้ดียิ่งขึ้น และตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่มีการทดลองใช้บริการระบบ NSW เต็มรูปแบบ พบว่าระบบดังกล่าวมีศักยภาพที่ดีเยี่ยม สามารถเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้สามารถบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการนำเข้า ส่งออก นำผ่านจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้อย่างราบรื่นและขยายฐานข้อมูลเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก
ซึ่งกรมศุลกากร หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพัฒนาและการให้บริการระบบ NSW โดยมี NT เป็น NSW Operator ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศุลกากร จะสามารถขยายขอบเขตการให้บริการให้รองรับทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ รวมไปถึงขยายการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลไปยังนอกภูมิภาคอาเซียน สอดคล้องตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์สามารถสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทที่เกี่ยวข้องต่อไป
“NT มีความตั้งใจที่จะให้บริการและพัฒนาบริการ NSW อย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีช่องทางแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ปลอดภัย เกิดการบูรณาการการใช้ข้อมูล เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศและขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุค 4.0” พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64426 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล ตรวจเยี่ยมดีพร้อม มุ่งปฏิรูปหน่วยงาน MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชนผ่านการดำเนินงาน 4 มิติ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
ปลัดฯ ณัฐพล ตรวจเยี่ยมดีพร้อม มุ่งปฏิรูปหน่วยงาน MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชนผ่านการดำเนินงาน 4 มิติ
ปลัดฯ ณัฐพล ตรวจเยี่ยมดีพร้อม มุ่งปฏิรูปหน่วยงาน MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชนผ่านการดำเนินงาน 4 มิติ
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ กสอ. ให้การต้อนรับพร้อมนำเรียนการดำเนินงานของดีพร้อม ณ ห้องประชุมแพรวา ชั้น 7 อาคาร กช.กสอ. (พระราม 4)
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) มีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชน ให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล โดยมีแนวทางการปฏิรูปหน่วยงานในอนาคต แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น 1 ปี ให้อุตสาหกรรมและวิสาหกิจไทย สามารถปรับตัวและอยู่รอด มีภูมิคุ้มกันในการประกอบการและมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ระยะกลาง 3 ปี ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและวิสาหกิจไทยให้เติบโตด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี ดิจิทัล นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และระยะยาว 5 ปี ให้อุตสาหกรรมและวิสาหกิจไทยสามารถเติบโตและมีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก มีศักยภาพสูงในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain) ได้อย่างมั่นคงในยุคเศรษฐกิจอนาคต นอกจากนี้ ดีพร้อมยังเดินหน้าปั้นผู้ประกอบการ “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ” สู่ความสำเร็จ 4 มิติ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมฐานรากให้มีศักยภาพและเติบโตในอนาคต ได้แก่ เกษตรอุตสาหกรรม อาหารแห่งอนาคต และ Soft Power พร้อมชูนโยบาย “ดีพร้อมโต” การนำโมเดลชุมชนดีพร้อม นำอุตสาหกรรมคู่ชุมชนเพื่อสร้างอุตสาหกรรมให้อยู่คู่กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน และการปฏิรูปพร้อมต่อยอด DIPROM Center ให้เป็นศูนย์กลางการบริการ SMEs แบบครบวงจร รวมถึงการพัฒนาชุมชนดีพร้อม หรือโครงการพัฒนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม หรืออาชีพดีพร้อม เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและความยั่งยืนทางธุรกิจ ช่วยยกระดับชุมชนให้มีรายได้เพิ่มและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
โดย ปกอ. ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “ดีพร้อมมีแนวทางการดำเนินงานครอบคลุมทั้ง 4 มิติ คือ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ มิติที่ 2 การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์การดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมยุคใหม่ MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน คือให้ผู้ประกอบการหรือโรงงานคำนึงถึงผู้คนและชุมชนรอบโรงงาน โดยใช้รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยมและรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นเป็นกลไกสำหรับการประเมินและพัฒนาศักยภาพของสถานประกอบการ รวมถึงการกำหนด THEME รางวัลในแต่ละปี เพื่อให้รางวัลมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการพัฒนา DIPROM Center ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพ และสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำแนวทางความรู้และการดำเนินงานต่าง ๆ กับทางอุตสาหกรรมจังหวัดได้”
ขณะที่ รสอ.รก.รปอ. ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ควรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างดีพร้อม โดยเฉพาะหน่วยงานศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค กับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด เนื่องจากดีพร้อมมีโครงการที่สอดคล้องกับนโยบาย 4 มิติ สามารถขยายผลไปสู่จังหวัดในวงกว้าง เช่น โครงการ DIPROM HERO หรือ SP (Service Provider) รวมถึงการประชาสัมพันธ์การรับสมัครรางวัลอุตสาหกรรม ให้กับ สอจ. ทุกแห่งได้ทราบรายละเอียดประเภท หลักเกณฑ์ และการสมัครต่าง ๆ เพื่อให้สถานประกอบการเข้ามาสมัครคัดเลือกรางวัลเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการส่งต่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหากผู้ประกอบการที่ต้องการรับความช่วยเหลือในเชิงลึกก็สามารถส่งต่อให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค ดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงฯ ได้นำคณะผู้บริหารเยี่ยมชมการดำเนินงานของดีพร้อม ภายในบริเวณกล้วยน้ำไท เช่น กิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนักส่งเสริมอาชีพดีพร้อม ห้องจัดแสดงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ และนิทรรศการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชุมชน เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำเร็จ! รมว.สุชาติ ส่ง อธิบดีนิยม กาวใจ ข้อพิพาทระหว่างบริษัท ไทยคิคูวาฯ กับสหภาพแรงงาน ชลบุรี ยุติ | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
สำเร็จ! รมว.สุชาติ ส่ง อธิบดีนิยม กาวใจ ข้อพิพาทระหว่างบริษัท ไทยคิคูวาฯ กับสหภาพแรงงาน ชลบุรี ยุติ
สำเร็จ! รมว.สุชาติ ส่ง อธิบดีนิยม กาวใจ ข้อพิพาทระหว่างบริษัท ไทยคิคูวาฯ กับสหภาพแรงงาน ชลบุรี ยุติ
รมว. สุชาติ มอบหมายให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นำทีมลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานระหว่างผู้แทนบริษัท ไทยคิคูวา อินดัสทรีส์ จำกัด กับผู้แทนลูกจ้าง ผู้แทนสหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ภายใต้หลัก “แรงงานสัมพันธ์ที่ดี” ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องยุติข้อพิพาทและทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน พร้อมเดินหน้าจับมือทำงานร่วมกันต่อไป
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีข้อพิพาทแรงงาน ระหว่างบริษัท ไทยคิคูวา อินดัสทรีส์ จำกัด กับสหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ชลบุรี ว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ผมได้มอบหมายให้ นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นำทีมงาน ลงพื้นที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานระหว่างบริษัท ไทยคิคูวา อินดัสทรีส์ จำกัด กับสหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย โดยได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 จนมาถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างนายจ้างที่มีอำนาจตัดสินใจกับลูกจ้างภายใต้หลัก “แรงงานสัมพันธ์ที่ดี” กระทั่งสามารถหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันจนเป็นที่ยุติของทั้งสองฝ่าย สามารถทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างร่วมกัน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์บนพื้นฐานของ “แรงงานสัมพันธ์ในมิติของภาคี” โดยมีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นกาวใจให้ทั้งสองฝ่ายผสานใจด้วยความเข้าอกเข้าใจ เพื่อจับมือเดินหน้าก้าวต่อไปอย่างราบรื่นและสัมฤทธิ์ผล
ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า ผมได้ลงพื้นที่ร่วมกับผู้ตรวจราชการกรม สค.ชลบุรี พนักงานประนอมฯ สรส. สสค.ชลบุรี ให้เป็นผู้แทนกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานระหว่างบริษัทกับสหภาพแรงงาน ซึ่งผลสรุปที่ได้คือทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจะยุติข้อพิพาทและทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน มีสาระสำคัญ ได้แก่ บริษัทฯ ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2565 - 2567,ปรับค่าจ้างประจำปี 2566 – 2568, ปรับเพิ่มค่าครองชีพ และปรับปรุงระเบียบว่าด้วยเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) โดยมีผลบังคับ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2568 และตามเงื่อนไขความตกลงของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ผมขอเน้นย้ำให้นายจ้าง ลูกจ้างใช้การเจรจาร่วมกันด้วยเหตุผล โดยนายจ้างควรชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อทำความเข้าใจกับลูกจ้างอย่างตรงไปตรงมา โดยยึดหลักสุจริตใจ และขอให้ทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงสิทธิ หน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมายและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64447 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เร่งหารือผู้บริหาร พศ. ทั่วประเทศ หลังกระแสข่าวแวดวงสงฆ์สะพัด กำชับทำงานเชิงรุก ภายใน 1 เดือนต้องเห็นผล | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
รมต.อนุชา เร่งหารือผู้บริหาร พศ. ทั่วประเทศ หลังกระแสข่าวแวดวงสงฆ์สะพัด กำชับทำงานเชิงรุก ภายใน 1 เดือนต้องเห็นผล
รมต.อนุชา เร่งหารือผู้บริหาร พศ. ทั่วประเทศ หลังกระแสข่าวแวดวงสงฆ์สะพัด กำชับทำงานเชิงรุก ภายใน 1 เดือนต้องเห็นผล
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 108 สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อติดตามการขับเคลื่อนภารกิจของสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมี นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คณะผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุมผ่านการประชุมออนไลน์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยจากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวพระพุทธศาสนาเชิงลบผ่านสื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้ บางกรณีก็มีความผิดด้านพระธรรมวินัยที่ร้ายแรง หรือบางกรณีอาจจะผิดวินัยสงฆ์เพียงเล็กน้อย แต่สังคมโดยรวมไม่สามารถยอมรับได้ แม้ที่ผ่านมา มหาเถรสมาคมได้มีการควบคุมและป้องปรามพระภิกษุสามเณรเหล่านี้ให้ประพฤติตนอยู่ในหลักคําสอนของพระธรรมวินัย รวมถึงสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ประสานงานกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบ และถวายคําแนะนําพระภิกษุสามเณร ให้เป็นไปตามข้อบังคับ ระเบียบ คําสั่ง ประกาศ และมติมหาเถรสมาคม แต่ก็ยังปรากฏการกระทําที่ละเมิดต่อพระธรรมวินัยอย่างต่อเนื่อง
“ตนในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้กำชับให้คณะผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่มีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศทำงานเชิงรุก โดยเร่งติดตาม สอดส่องกรณีที่มีเหตุการณ์สร้างความเสื่อมเสียในทางพระพุทธศาสนา และให้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ที่มีความใกล้ชิดชุมชน อาทิ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเร่งแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยเร็ว ตั้งเป้าภายใน 1 เดือน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะสามารถสร้างพลังศรัทธาของชาวพุทธกลับมา และช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักของชาติให้คงอยู่สืบไป” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM affirms intent to continue working throughout remaining of his term | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
PM affirms intent to continue working throughout remaining of his term
PM affirms intent to continue working throughout remaining of his term
January 31, 2023, at 1330hrs, at the Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha responded to the Government House press corps on an incident involving a Taiwanese tourist being extorted that concerned authorities have already been instructed to conduct thorough investigation on the case. If accused officers are found guilty, legal action will definitely be taken against them. It is important to get rid of bad seeds in an organization and penalize the culprits.
The Prime Minister also affirmed his intent to continue working throughout the remaining of his term. He committed that the Government would also continue to work to the best of its ability in pushing ahead key policies and projects, and utilize budget in a transparent, cost-effective, and accountable manner.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64406 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ผลักดันความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น ต่อยอดการค้าการลงทุนทั้งในระดับท้องถิ่นถึงนิคมอุตสาหกรรม | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ผลักดันความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น ต่อยอดการค้าการลงทุนทั้งในระดับท้องถิ่นถึงนิคมอุตสาหกรรม
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ผลักดันความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น ต่อยอดการค้าการลงทุนทั้งในระดับท้องถิ่นถึงนิคมอุตสาหกรรม
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ภายหลังกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น โดยเน้นย้ำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนบูรณาการการทำงานร่วมกัน ผลักดันความร่วมมือด้วยการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับท้องถิ่นไปจนถึงนิคมอุตสาหกรรมเพื่อต่อยอดการค้าการลงทุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในอนาคต
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่น จังหวัดอิชิกาวะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมเส้นใยและสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร และอุตสาหกรรมเกษตร และถือเป็นรัฐบาลท้องถิ่นแห่งที่ 23 ที่ได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม จะเป็นตัวแทนหลักในการประสานความร่วมมือในลักษณะพื้นที่ต่อพื้นที่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของคู่ค้า รวมทั้งเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรม (Cluster) ภายใต้แนวคิด OTAGAI หรือ โอ-ทา-ไก ที่แปลว่า “การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม (OTAGAI Forum) ครั้งที่ 22 ที่เมืองนานาโอะในจังหวัดอิชิกาวะ ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้ เพื่อผลักดันความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรม Carbon-fiber-reinforced polymers จากการประยุกต์ใช้เส้นใยกัญชง เป็นความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรม BCG และความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ตลอดจนกระทรวงอุตสาหกรรมได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่นในไทยจำนวนกว่า 6,000 กิจการ
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยการส่งเสริมความร่วมมือ และสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับความต้องการเริ่มตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเป็นส่วนสนับสนุนให้มีความหลากหลายในทุกประเภทธุรกิจอุตสาหกรรม ตลอดจนสามารถขยายความร่วมมือไปยังมิติอื่น ๆ ทำให้สินค้ามีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือจะเป็นโอกาสสนับสนุนนิคมอุตสาหกรรมของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64407 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แจกถุงยางอนามัยฟรี แก่ผู้มีสิทธิบัตรทอง | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐบาลส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แจกถุงยางอนามัยฟรี แก่ผู้มีสิทธิบัตรทอง
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
รัฐบาลส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แจกถุงยางอนามัยฟรี แก่ผู้มีสิทธิบัตรทอง
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า
รัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมการป้องกันโรคและดูแลสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนในระบบหลักประกั
นสุขภาพแห่งชาติ ป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โดยประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถรับถุงยางอนามัยได้ฟรี ครั้งละ 10 ชิ้น/คน/สัปดาห์ คนละไม่เกิน 52
ครั้ง/ปี ที่หน่วยบริการประจำ หน่วยบริการปฐมภูมิ หน่วยบริการที่รับส่งต่อเฉพาะด้านเวชกรรม
ด้านการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ด้านบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ร้านขายยา
และคลินิกชุมชนอบอุ่น ด้วยการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
สำหรับผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน
สามารถนำบัตรประชาชนไปลงทะเบียนรับบริการได้ที่หน่วยบริการโดยตรง ตั้งแต่บัดนี้ (1ก.พ.66) เป็นต้นไป
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64431 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมมือเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมท้องถิ่น ดันศิลปินพื้นบ้านไทย มีเวทีเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
วธ.ร่วมมือเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมท้องถิ่น ดันศิลปินพื้นบ้านไทย มีเวทีเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย
วธ.ร่วมมือเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมท้องถิ่น ดันศิลปินพื้นบ้านไทย มีเวทีเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย พร้อมทำงานเชิงรุก ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เกิดการจ้างงาน รายได้เพิ่มขึ้น อาชีพมั่นคง
วธ.ร่วมมือเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมท้องถิ่น ดันศิลปินพื้นบ้านไทย มีเวทีเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย พร้อมทำงานเชิงรุก ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เกิดการจ้างงาน รายได้เพิ่มขึ้น อาชีพมั่นคง
เมื่อเร็วๆนี้ นายกสมาคมศิลปินพื้นบ้านแห่งประเทศไทยและเครือข่าย เข้าพบนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อหารือการขับเคลื่อนงานด้านศิลปะและวัฒนธรรมพื้นบ้าน พร้อมรับฟังนโยบายการดำเนินงานขับเคลื่อนงานศิลปะและวัฒนธรรมพื้นบ้านของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธนวัฒน์ ราชวัง นายกสมาคมกลองและศิลปะการแสดงล้านนา และคณะผู้แทนสมาคมพื้นบ้าน เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
ปลัด วธ. กล่าวว่า ขอขอบคุณเครือข่ายสมาคมศิลปินพื้นบ้าน 9 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมลิเกประเทศไทย สมาคมเพลงพื้นบ้านภาคกลางประเทศไทย สมาคมอุปรากรจีน สมาคมศิลปินขับซอล้านนา สมาคมกลองและศิลปะการแสดงล้านนา สมาคมศิลปินพื้นบ้านอีสานใต้ สมาคมหมอลำอีสาน สมาคมหนังตะลุงปักษ์ใต้ และสหพันธ์สมาคมโนราแห่งประเทศไทย ที่ได้ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานศิลปวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางเครือข่ายศิลปินฯได้แสดงความขอบคุณในการสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านให้มีเวทีแสดงถึงศักยภาพในหลากหลายพื้นที่ โดยการมาพบในครั้งนี้ทางเครือข่ายศิลปินฯได้ร่วมหารือพร้อมรับฟังนโยบายของวธ. แนวทางการขับเคลื่อนงานด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยในอนาคต มุ่งการทำงานในเชิงรุก และให้มีการเก็บข้อมูลตัวเลขเมื่อลงพื้นที่จัดการแสดงในพื้นที่นั้นๆ อาทิ ยอดผู้เข้าร่วมชม ตลอดจนรายได้จากการจัดงาน เพื่อให้ทางวธ.นำมาแผนและขับเคลื่อนกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ส่งเสริมศิลปินพื้นบ้านให้ก้าวหน้ามากขึ้น ให้มีการผนึกกำลังที่เข้มแข็งระหว่างศิลปินและชุมชน
นางยุพา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาวธ. ได้มีโครงการเยียวยาศิลปินที่มีอายุเกิน 65 ปี ช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนแก่กลุ่มศิลปินและกลุ่มเครือข่ายอุตสาหกรรมบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมถึงการดำเนินงานขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรมในระดับพื้นบ้าน ชุมชน จังหวัด จนถึงระดับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศิลปินพื้นบ้านได้เป็นที่รู้จัก มีการบอกต่อ และเกิดการจ้างงาน มีรายได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนมีการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งนี้วธ.พร้อมจะสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินงานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ให้มีเวทีเผยแพร่ความสามารถและศักยภาพของศิลปินพื้นบ้านไทย เกิดการจ้างงาน รายได้ และมีความมั่นคงต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิดชูเกียรติทหารกล้า “วันทหารผ่านศึก” เทศกาลดอกป๊อปปี้บาน 3 ก.พ. 2566 | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
เชิดชูเกียรติทหารกล้า “วันทหารผ่านศึก” เทศกาลดอกป๊อปปี้บาน 3 ก.พ. 2566
พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นำคณะกรรมการสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ออกจำหน่ายดอกป๊อปปี้จากมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกในศาลาว่าการกลาโหม ในราคาดอกละ 20 บาท
ทั้งนี้ พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมอุดหนุนซื้อดอกป๊อปปี้ของสมาคมฯ เพื่อนำรายได้ช่วยเหลือครอบครัวทหารผ่านศึกด้วย
สำหรับดอกป๊อปปี้ดอกไม้ประจำวันทหารผ่านศึกนั้น ในทางสากลถือว่าเป็นดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงทหารผ่านศึกผู้พลีเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องมาตุภูมิอันเป็นที่รัก ซึ่งมีประวัติเกี่ยวโยงถึงสมรภูมิฟลานเดอร์ส สมรภูมิเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ระหว่างสัมพันธมิตรและเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสงครามในครั้งนั้น ทหารพันธมิตรได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากสมรภูมินี้มากที่สุด จอมพลเอิร์ล ออฟ เฮก ผู้บัญชาการรบที่นั่นได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้น ณ สมรภูมิดังกล่าวในบริเวณหลุมฝังศพทหาร โดยมีดอกป๊อปปี้ป่าขึ้นอยู่เดียรดาษทั่วไปทำให้เกิดเป็นลานสีแดงฉานสวยงาม ตั้งแต่นั้นมาดอกป๊อปปี้จึงกลายเป็นดอกไม้อนุสรณ์แห่งวีรกรรมของทหารผ่านศึกและเตือนใจให้ระลึกถึงเลือดสีแดงของทหารที่ได้เสียสละเพื่อประเทศชาติ
เพื่อเป็นการระลึกถึงเกียรติภูมิของนักรบกล้าหาญจึงได้กำหนดให้ดอกป๊อปปี้เป็นดอกไม้ที่ระลึกสำหรับทหารผ่านศึกไทยเช่นเดียวกับในต่างประเทศ และในโอกาสวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ได้ครบรอบอีกวาระหนึ่ง องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย ร่วมรำลึกถึงวีรกรรม ความกล้าหาญและความเสียสละของทหารผ่านศึก ซึ่งที่ผ่านมาได้เคยประกอบคุณงามความดีเพื่อชาติบ้านเมืองทำให้พวกเราได้อยู่อย่างสงบสุขมาจนถึงปัจจุบัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64442 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เดินเครื่องเต็มพิกัด 2566 เพิ่มแรงหนุน Digital Technology เติมทุน SMEs ตั้งเป้าค้ำประกัน 120,000 ล้านบาท รับกลุ่มท่องเที่ยว เกษตร Supply Chain ฟื้นตัว | วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
01/02/2566
บสย. เดินเครื่องเต็มพิกัด 2566 เพิ่มแรงหนุน Digital Technology เติมทุน SMEs ตั้งเป้าค้ำประกัน 120,000 ล้านบาท รับกลุ่มท่องเที่ยว เกษตร Supply Chain ฟื้นตัว
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ชูยุทธศาสตร์และทิศทางการดำเนินงานปี 2566 วาง 5 กลยุทธ์หลัก พุ่งเป้ายกระดับการเข้าถึงผู้ประกอบการ SMEs ด้วย Digital Technology เข้าถึงง่ายผ่าน LINE @tcgfirst พร้อมขยายเครือข่ายพันธมิตรบูรณาการความร่วมมือ
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา บสย. มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 ทุกมิติ ทั้งด้านการสนับสนุนแหล่งทุน ด้านการแก้วิกฤตหนี้ และการให้ความรู้ทางการเงิน รวมถึงมาตรการสนับสนุนต่างๆ ของ บสย. ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ ดังนี้
ด้านการค้ำประกันสินเชื่อ
1. อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 143,998 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ รวม 82,747 ราย สร้างสินเชื่อในระบบ 157,919 ล้านบาท รักษาการจ้างงานรวม 1,042,787 ตำแหน่ง สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 594,712 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ ดังนี้
1.1 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ (PGS9) วงเงิน 68,274 ล้านบาท จำนวน 16,464 ราย (20%) อนุมัติต่อรายเฉลี่ย 3.77 ล้านบาท
1.2 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 1 และ 2 ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย วงเงิน 56,254 ล้านบาท จำนวน 15,222 ราย (18%) อนุมัติต่อรายเฉลี่ย 3.55 ล้านบาท
1.3 โครงการ Soft Loan Extra,โครงการขยายเวลา และ Commercial วงเงิน 14,997 ล้านบาท จำนวน 6,259 ราย (7%) อนุมัติต่อรายเฉลี่ย 2.28 ล้านบาท
1.4 โครงการ บสย. Micro ต้องชนะ (Micro4) วงเงิน 4,473 ล้านบาท จำนวน 46,986 ราย อนุมัติต่อรายเฉลี่ย 95,000 บาท ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อสูงสุด สัดส่วน 55%
2. กลุ่มธุรกิจ 10 ลำดับค้ำประกันสูงสุด ได้แก่ 1. ภาคบริการ 27% 2. ภาคเกษตรกรรม 11% 3. การผลิตสินค้าและการค้า 11% 4. อาหารและเครื่องดื่ม 9% 5. เหล็ก โลหะ และเครื่องจักร 7 % 6. สินค้าอุปโภค-บริโภค 6% 7. ยานยนต์ 6% 8. เคมีและเวชภัณฑ์ 5% 9. ปิโตรเคมีและพลังงาน 3% 10. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 2%
3. ด้านการให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ SMEs ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F. A. Center ซึ่งเป็นบริการให้คำปรึกษาฟรี มีผู้ลงทะเบียนใช้บริการรับคำปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่ปี 2563 - 2565 มียอดรวมทั้งสิ้น 11,213 ราย โดย 64% มีความต้องการปรึกษาขอสินเชื่อ คิดเป็นวงเงินความต้องการสินเชื่อ จำนวน 12,827 ล้านบาท ขณะที่โครงการ “หมอหนี้เพื่อประชาชน” โดย บสย. และ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีผู้ลงทะเบียนรับคำปรึกษา จำนวน 5,999 ราย โดย 80% มีความต้องการขอปรับโครงสร้างหนี้
4. ด้านมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ภายใต้มาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ในปี 2565 มีลูกหนี้ลงทะเบียนจำนวน 13,693 ราย มี SMEs ร่วมโครงการ 6,929 ราย โดยมี SMEs ได้รับการประนอมหนี้แล้วจำนวน 6,884 ราย ขณะที่ โครงการ “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ จากการจัดงานรวม 5 ครั้ง มีผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้ บสย. ร่วมกิจกรรม รวม 1,893 ราย ได้ช่วยลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ คิดเป็นภาระหนี้ 1,456 ล้านบาท
“เราเน้นบทบาทการช่วยแก้หนี้ เพื่อให้ลูกหนี้อยู่รอด อยู่ได้ อย่างยั่งยืน และกลับเป็นลูกหนี้ปกติ โดยยังได้ร่วมหารือแนวทางการช่วย SMEs ร่วมกับธนาคาร เพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ ในกลุ่มลูกหนี้ บสย. ที่เข้าร่วมโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการ 3 สี บรรเทาหนี้ ผ่อนน้อย เบาแรง เปิดโอกาสให้ SMEs กลับมาตั้งตัวใหม่ และมีโอกาสกลับมาลูกค้าของธนาคาร และ บสย.”
สำหรับทิศทางการดำเนินงานและยุทธศาสตร์ ปี 2566 บสย. พร้อมเดินเครื่องเต็มพิกัด ชูบทบาทการทำงานแบบบูรณาการทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง กองหน้า กองกลาง และ กองหลัง ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก คือ
1. กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงินระยะที่ 7 หรือ BI 7 ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 2% ต่อปี บสย. ค้ำสูงสุด 10 ปี 2. ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ RBP ค่าธรรมเนียมตามระดับความเสี่ยง Risk – Base-Pricing ช่วยลูกค้ารับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันลดลงตามระดับความเสี่ยง 3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 2 ปีแรก 3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่เกิน 5% ต่อปี ค้ำประกันสูงสุด 10 ปี
2. กลยุทธ์การเพิ่มเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ โครงการ “The S1 Project” ร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โครงการร้านโดนใจ พัฒนาโชห่วย ร่วมกับพันธมิตร บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารพันธมิตร โครงการ CARE ความร่วมมือยกระดับ Supply Chain ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง โครงการความร่วมมือกับเซ็นทรัลแล็บไทย และ ซินโครตรอน โครงการความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SMEs ปี 2566 โครงการความร่วมมือร่วมกับ บริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด
3. กลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าผ่าน Digital Platform
4. กลยุทธ์การบริหารจัดการหนี้ (Debt Management) การบริหารจัดการลูกหนี้เดิมและลูกหนี้ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการช่วยลูกหนี้โดยเฉพาะกลุ่ม Micro การกระตุ้นให้ลูกหนี้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ประนอมหนี้ ผ่านช่องทาง LINE @tcgfirst ซึ่งในปีนี้จะเพิ่มบริการใหม่ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า บสย. สามารถเช็คยอดภาระค้ำประกัน และ ชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และสามารถเข้าถึงสินเชื่อ กับธนาคารพันธมิตรที่ บสย. เข้าร่วมโครงการ
5. กลยุทธ์การสร้างความยั่งยืน Sustainable Organization มุ่งสู่การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศและเศรษฐกิจ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อให้การสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ BCG Model (Bio Economy, Circular Economy และ Green Economy)
ทั้งนี้ บสย. ตั้งเป้ายอดค้ำประกันสินเชื่อ 120,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ภายใต้การดำเนินการของ บสย. วงเงิน 70,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงิน BI7 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ RBP หรือ Risk Based Pricing คิดค่าธรรมเนียมตามความเสี่ยงของลูกค้า 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ วงเงิน 50,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64419 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ชื่นชมเด็กไทยเก่ง! คว้ารางวัลชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์ ผงกำจัดพยาธิในอาหารจากใบข่าอ่อน ตอบโจทย์ปัญหาคนชอบบริโภคอาหารดิบ | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
นรม.ชื่นชมเด็กไทยเก่ง! คว้ารางวัลชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์ ผงกำจัดพยาธิในอาหารจากใบข่าอ่อน ตอบโจทย์ปัญหาคนชอบบริโภคอาหารดิบ
นรม.ชื่นชมเด็กไทยเก่ง! คว้ารางวัลชนะเลิศสิ่งประดิษฐ์ ผงกำจัดพยาธิในอาหารจากใบข่าอ่อน ตอบโจทย์ปัญหาคนชอบบริโภคอาหารดิบ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมเด็กนักเรียนเก่งจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจังหวัดยะลา ที่ได้รับรางวัลรางวัลชนะเลิศด้านอาหาร ระดับมัธยมศึกษา จากเวทีประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับเยาวชน Thailand New Gen Inventors Award : I-New Gen Award 2023 กับผลงาน “ผลิตภัณฑ์ผงกำจัดพยาธิในอาหารจากใบข่าอ่อนธรรมชาติ (Boega)” ในวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ของคนที่ชอบอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ ที่อาจพบพยาธิซึ่งเป็นสาเหตุของหลายๆ โรค ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ผลงานนี้จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันสุขภาพของประชาชน ลดอาการเจ็บป่วย รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคด้วย
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ใบข่าอ่อนธรรมชาติ มีสรรพคุณในการกำจัดพยาธิ ทางทีมนักประดิษฐ์จึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ Boega ขึ้น จากการทดสอบผงใบข่า 5 กรัมต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร พบว่าสามารถกำจัดพยาธิได้ดีที่สุดภายในเวลาเฉลี่ย 5.94 นาทีเท่านั้น วิธีการใช้มีขั้นตอนง่ายๆ คือ นำผง Boega ใส่น้ำในภาชนะที่เตรียมไว้ จากนั้นนำอาหารสดมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ ก็สามารถนำวัตถุดิบไปประกอบอาหารได้ตามปกติ ปราศจากพยาธิและสารตกค้าง ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นผลงานจากโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิยะลา โดยมีทีมนักประดิษฐ์ ประกอบด้วย 1)นางสาวตัสนีม จะปะกิยา 2)นางสาวสูเฟียนี บาโงปะแต 3)นางสาวนุรฟาซีฬา ดือราแม และ 4)นางสาวมีรซา อาแด นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 และคณะครูที่ปรึกษา ประกอบด้วย นางสาวสุไวบะ บือราเฮง นางสาวนุรมา สะบือลา นางฮาร์ตีนี มะเซ็ง นางกูยาวาเฮร์ แซแร และนางสาวซูไมยะห์ สมูซอ
"นายกรัฐมนตรี ชื่นชมความสำเร็จของนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เพราะเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อตอบโจทย์แก้ปัญหาทางสุขภาพซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่หน้าชื่นชมอย่างมากและควรได้รับการผลักดันให้เกิดการนำสิ่งประดิษฐ์นี้ไปใช้อย่างกว้างขวางด้วย ทั้งนี้ การส่งเสริมเด็กไทยให้มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลเพื่อให้เยาวชนเติบโตเป็นทุนมนุษย์นำพาประเทศก้าวข้าวกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน" นางสาวรัชดา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64900 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง รับข้อสั่งการ “นายก” กวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
รมว.เฮ้ง รับข้อสั่งการ “นายก” กวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย
กระทรวงแรงงาน รับข้อสั่งการ “นายกรัฐมนตรี” กวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ย้ำตรวจเจอ จับดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงคนไทยถูกแรงงานต่างชาติแย่งงาน แย่งอาชีพ จึงสั่งการให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการแรงงานต่างชาติในประเทศไทยอย่างรอบคอบ เป็นระบบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้กำชับให้กรมการจัดหางานติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมายหรือแย่งอาชีพคนไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 13 กุมภาพันธ์ 2566 มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 14,104 แห่ง ดำเนินคดี 500 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 196,402 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 145,764 คน กัมพูชา 32,916 คน ลาว 10,181 คน เวียดนาม 103 คน และสัญชาติอื่น ๆ 7,438 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,143 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 629 คน กัมพูชา 175 คน ลาว 187 คน เวียดนาม 49 คน และสัญชาติอื่น ๆ 103 คน ซึ่งพบเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 600 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 264 คน กัมพูชา 121 คน ลาว 97 คน เวียดนาม 39 คน อินเดีย 51 คน และสัญชาติอื่น ๆ 28 คน โดยอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ
“พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระบุว่า คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งกระทรวงแรงงานจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้น” รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีทั้งสิ้น 40 งาน เป็นงานห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด 27 งาน ตามบัญชีที่ 1 ได้แก่ 1.งานแกะสลักไม้ 2.งานขับขี่ยานยนต์ ยกเว้นงานขับรถยก (Forklift) 3.งานขายทอดตลาด 4.งานเจียระไนเพชร/พลอย 5.งานตัดผม/เสริมสวย 6.งานทอผ้าด้วยมือ 7.งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ฟาง ไม้ไผ่ ขนไก่ เส้นใย ฯลฯ 8.งานทำกระดาษสาด้วยมือ 9.งานทำเครื่องเขิน 10.งานทำเครื่องดนตรีไทย 11.งานทำ
เครื่องถม 12.งานทำเครื่องทอง/เงิน/นาก 13.งานทำเครื่องลงหิน 14.งานทำตุ๊กตาไทย 15.งานทำบาตร 16.งานทำผ้าไหมด้วยมือ 17.งานทำพระพุทธรูป 18.ทำร่มกระดาษ/ผ้า 19.งานนายหน้า/ตัวแทน 20.งานนวดไทย 21.งานมวนบุหรี่ 22.งานมัคคุเทศก์ 23.งานเร่ขายสินค้า 24.งานเรียงอักษร 25.งานสาวบิดเกลียวไหม 26.งานเลขานุการ และ27.งานบริการทางกฎหมาย และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้โดยมีเงื่อนไข 13 งาน ตามบัญชีที่ 2 ได้แก่ วิชาชีพบัญชี วิชาชีพวิศวกรรม วิชาชีพสถาปัตยกรรม โดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งต้องเป็นคนต่างด้าวของประเทศที่มีข้อตกลงกับประเทศไทยเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้ ตามบัญชี 3 ได้แก่ 1.งานกสิกรรม 2.งานช่างก่ออิฐ/ช่างไม้/ช่างก่อสร้างอาคาร 3.งานทำที่นอน 4.งานทำมีด 5.งานทำรองเท้า 6.งานทำหมวก 7.งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย 8.งานปั้นเครื่องดินเผาโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานฝีมือหรือกึ่งฝีมือนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้าง และตามบัญชีที่ 4 ได้แก่ งานกรรมกร และงานขายของหน้าร้าน โดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้างและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU)
“ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างชาติทำงานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องทุกข์ได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงานชั้น 4 โทร. 023541729 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64901 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมท.ตรวจเยี่ยมโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืนเฉลิมพระเกียรติ"เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" | วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566
13/02/2566
ปลัดมท.ตรวจเยี่ยมโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืนเฉลิมพระเกียรติ"เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ"
ปลัดมท.ตรวจเยี่ยมโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืนเฉลิมพระเกียรติ"เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ"
ปลัดมหาดไทยตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืนเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ย้ำผู้นำท้องถิ่นต้องใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตคนในชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. ที่หมู่ที่ 3 ต.สันทรายหลวง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และร่วมเสวนาการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ร่วมกับผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายศักดิ์ชัย คุณานุวัฒน์ชัยเดช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายอาทร พิมชะนก ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นายประยุกต์ สุดธัญญรัตน์ พัฒนาการจังหวัดเชียงใหม่ นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ นายอำเภอสันกำแพง นางสาวญาดาภา หอมหวล เลขานุการกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมลงพื้นที่ และร่วมสนทนาเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือตามหลัก บวร บ้าน วัด ราชการ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงมุ่งมั่นดำรงพระองค์ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ประชาชนคนไทยทุกคน ด้วยเพราะทรงห่วงใย ห่วงหาอาทรพสกนิกรของพระองค์ และทรงมุ่งหวังให้พวกเราทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ มีเงินทองเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัว จุนเจือลูกหลาน โดยได้พระราชทานหนังสือ Sustainable City ให้แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และคณะ ซึ่งพวกเราทุกคนได้น้อมนำและขอรับพระราชทานพระอนุญาตขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ด้วยความจงรักภักดีของชาวราชสีห์ทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา ด้วยการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดจากฐานข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน (จปฐ. และ กชช.2ค.) ตำบลละ 1 หมู่บ้าน รวม 7,255 หมู่บ้าน และดำเนินการพัฒนา
ทั้งนี้ เริ่มจากการพัฒนาคน โดยมี “นายอำเภอ” เป็นผู้นำการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ร่วมกับ “ทีมอำเภอ” ทั้งทีมที่เป็นทางการ หรือทีมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เช่น ปลัดอำเภอประจำตำบล พัฒนากรประจำตำบล เกษตรประจำตำบล รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เป็นต้น และทีมจิตอาสาในพื้นที่ที่ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน สร้างให้เกิดคำว่า “ทีม (TEAMWORK)” และเสริมสร้างความเข้มแข็งของทีมงาน เพื่อให้เป็นทีมที่ลงไปช่วยเหลือการบูรณาการขับเคลื่อนงานเพื่อแก้ไขปัญหา ขจัดความทุกข์ยาก และทำให้เกิดการเพิ่มพูนความสุขให้กับคนในหมู่บ้านที่ต้องได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้านที่ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีอยู่แล้ว ให้มีความสุขอย่างต่อเนื่อง โดยมี “ผู้นำ” ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ ปลัดอำเภอ หมั่นลงพื้นที่ไปติดตาม ไปดูว่าพี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หรือต้องได้รับการช่วยเหลือการพัฒนาในด้านใดเพิ่มเติมบ้าง
นายสุุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในวันนี้ เป็นการมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจท่านนายอำเภอสันทราย ท่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง และพี่น้องประชาชนทุกท่าน และมาร่วมทำบุญกับทุกท่านด้วย ซึ่งต้องขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทุกท่านที่พื้นที่เทศบาลตำบลสันทรายหลวง นอกจากมีท่านนายอำเภอเป็นผู้นำการขับเคลื่อนบูรณาการพัฒนาในภาพรวมอำเภอแล้ว ยังมีท่านนายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง คือ ท่านนายกนที ดำรงค์ เป็นผู้นำคนสำคัญที่มีจิตใจที่รุกรบ มีความปรารถนา มี Passion ในการทำให้สันทรายหลวงเป็นชุมชนแห่งความสุขด้วยพลังการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สะท้อนผ่านสภาพบ้านเมืองที่มีถนนหนทางสะอาด มีลำน้ำโจ้ที่มีน้ำใสสะอาด ได้รับการบำบัดคุณภาพให้สะอาดอย่างต่อเนื่อง บ้านเรือนของพี่น้องประชาชนมีการทำระบบบำบัดน้ำเสีย ปรับเปลี่ยนหลังบ้านเป็นหน้าบ้านน่ามอง ผู้คนต่างอิ่มเอิบไปด้วยสีหน้าแห่งความสุขเพราะได้ทำบุญ มีจิตใจที่เมตตา ใจบุญสุนทานรักใคร่ในหมู่เพื่อนพ้องญาติมิตร ดังพุทธวจนะที่ว่า “วิสฺสาสปรมา ญาติ” อันหมายถึง ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง ซึ่งนับว่าท่านนายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง เป็นหนึ่งในราชสีห์กระทรวงมหาดไทยผู้มีใจเสียสละ และมุมานะที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ด้วยความเสียสละ ความมุ่งมั่นทุ่มเทของชาวมหาดไทยทุกคน จึงทำให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย กำหนดสีประจำกระทรวงมหาดไทย คือ “สีดำ” เปรียบประดุจดั่งสีพระศอของพระศิวะที่กลืนน้ำอมฤตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติจนกลายเป็นปานสีดำ ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ชาวมหาดไทยทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. ทุกคน มีความตั้งใจในการทำหน้าที่เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน เสริมสร้างพลังบวกแห่งการรู้รักสามัคคี การมีส่วนร่วม อาทิ ในด้านการส่งเสริมคุณภาพของสิ่งแวดล้อมในชุมชน ได้มีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก พ.ศ. 2561 โดยได้กำหนดแนวทางการรวมกลุ่มของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก หรือ "อถล." ซึ่งเป็นผู้ที่มีจิตอาสาในการช่วยเหลืองานเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย การปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกระทรวงมหาดไทยด้วยการสมัครเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก นอกจากนี้ ในด้านการดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ก็ได้มีการกำหนดกลไกการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในระดับพื้นที่ที่สำคัญ โดยระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 ได้กำหนดให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 7,849 แห่ง จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนครัวเรือนเป้าหมายในท้องถิ่น ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการสร้างความเข้มแข็งของสังคมโดยรวมในชุมชน เพื่อทำให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืนฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ทุกคนได้ตั้งใจไว้
“สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนหมู่บ้านยั่งยืน คือ “ผู้นำ” ที่จะต้องมี “ใจ” ในการมุ่งมั่น ทุ่มเท ซึ่งผู้นำมิได้หมายความเพียงแต่ท่านนายอำเภอ หรือท่านนายกเทศมนตรี แต่หมายความรวมถึงทุกคนที่นั่งชุมนุมเสวนากันอยู่ที่นี่ ทั้งท่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล ชรบ. อส. และทุกคน เป็น “ผู้นำ” แทบทั้งสิ้น เพื่อที่จะทำให้หมู่บ้านของพวกเราทุกคน เป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนมีความรักใคร่ ความเอ็นดู ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยกันสร้างสิ่งที่ดี ทั้งการน้อมนำพระราชดำริ “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการปลูกผักสวนครัว การเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงกบ เลี้ยงปลา เพื่อสามารถ “พึ่งพาตนเอง” และเมื่อมีเพียงพอก็สามารถแจกจ่ายแบ่งปันให้กับเพื่อนสมาชิกในชุมชนอีกด้วย จึงขอให้ทุกท่านได้ปลุกพลังแห่งการเป็น “ผู้นำ” มาร่วมกันดูแลรักษาชุมชนหมู่บ้านของพวกเรา ช่วยกัน “สร้างระบบ” ในการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนให้ดี มีพืชผักสมุนไพรกิน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รักษาความสะอาด ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยกันในการทำให้มีหลุมขนมครก มีฝายชะลอน้ำ ฝายแม้ว มีแนวกันไฟ ช่วยกันปลูกไม้ยืนต้น ปลูกพืชคลุมดิน ไม่จุดไฟเผาป่า เพื่อป้องกันไฟป่า ทำให้พื้นที่สันทรายหลวง และพื้นที่อำเภอสันทราย เป็นพื้นที่แห่งความสุข พื้นที่แห่งความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อันจะทำให้เกิดสังคมที่ผู้คนมีแต่ความรักใคร่ และเป็นสังคมที่พัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบการเป็น “หมู่บ้านยั่งยืนเฉลิมพระเกียรติฯ”” นายสุทธิพงษ์กล่าวในช่วงท้าย
จากนั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครัวเรือนตกเกณฑ์ จปฐ. ปี 2565 ข้อ 22 รายได้เฉลี่ยของคนในครัวเรือนต่อปี ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ 1) ครัวเรือนนางบุญปั๋น สุนันต๊ะพันธ์ ซึ่งมีสมาชิก 2 คน ตนเองอายุ 82 ปี ไม่มีอาชีพ มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ และอีกคนหนึ่ง อายุ 17 ปี กำลังศึกษาวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ 2) ครัวเรือนนางสาวศรีเพ็ญ ใหม่ตาคำ อายุ 79 ปี อยู่ตามลำพัง ไม่มีอาชีพ เป็นผู้ป่วยติดเตียง มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ และมีปัญหาด้านสุขภาพ3) ครัวเรือน นายสว่าง ศรีคงยศ อายุ 87 ปี ไม่มีอาชีพ เป็นผู้ป่วยติดเตียง มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ และสมาชิกอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 86 ปี ไม่มีอาชีพเป็นผู้สูงอายุเป็นโรคอัลไซเมอร์ มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ และอีกคนหนึ่ง อายุ 56 ปี ไม่มีอาชีพ เป็นผู้พิการทางสมอง มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ และ 4) ครัวเรือน นางเครือวัลย์ แขกอ้อย อายุ 72 ปี ไม่มีอาชีพ มีรายได้จากเงินสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้มอบทุนสนับสนุนในเบื้องต้น พร้อมทั้งกำชับนายอำเภอ และเน้นย้ำนายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง ได้หมั่นลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของครัวเรือนดังกล่าว รวมทั้งส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นด้านอาหาร การเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เพื่อมีอาหารไว้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่าย และประสานให้ รพ.สต. และ อสม. ลงพื้นที่ติดตามการรักษา และดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64894 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.สุชาติ” สั่ง กสร. และ สปส. ลงพื้นที่เหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องบิน จังหวัดชลบุรี | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
“รมว.สุชาติ” สั่ง กสร. และ สปส. ลงพื้นที่เหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องบิน จังหวัดชลบุรี
รมว.แรงงาน ห่วงลูกจ้างเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องบิน จ.ชลบุรี ได้รับบาดเจ็บ สั่งการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ตรวจสอบสาเหตุ และให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บทันที โดยเรียกนายจ้างสอบสาเหตุ 24 กุมภาพันธ์นี้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง เหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องบิน จังหวัดชลบุรี ทำลูกจ้างได้รับบาดเจ็บ ว่า ตนมีความห่วงใยลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกจ้างทันที ในเบื้องต้นได้รับรายงานจากพนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี (สสค.ชลบุรี) และศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 2 (ศปข.2) ว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.40 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์การบินและกังหัน มีลูกจ้างทั้งหมด 286 คน ขณะเกิดเหตุ นายธนพัฒน์ จิตรักษ์ ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายผลิต เตรียมเข้างานกะกลางคืน พบเห็นเปลวไฟลุกบนฝ้าภายในห้องกัดผิวชิ้นงาน จึงวิ่งไปหยิบถังดับเพลิงมาฉีดแต่ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว นายธนพัฒน์ฯ ได้วิ่งออกมาภายนอกตัวอาคาร และได้รับบาดเจ็บโดยถูกสะเก็ดพลาสติกร้อนหยดมาใส่แขนทั้ง 2 ข้าง ทำให้มีอาการบวมแดงไหม้เล็กน้อย และไม่มีลูกจ้างรายอื่นได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากในเวลาเกิดเหตุยังไม่เป็นเวลาเริ่มงาน ส่วนนายธนพัฒน์ฯ ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลพญาไทศรีราชา แพทย์ได้ทำการรักษาและให้กลับบ้านได้ ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สปส.ชลบุรีได้เดินทางไปเยี่ยมลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บและดำเนินการให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายต่อไป สำหรับสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้พนักงานตรวจความปลอดภัย สสค.ชลบุรี จะได้ดำเนินการตรวจสอบสาเหตุข้อเท็จจริงต่อไป
ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เบื้องต้นพนักงานตรวจความปลอดภัย สสค.ชลบุรี ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ได้มีการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยฯ เช่น มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ การอบรมดับเพลิงขั้นต้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พนักงานตรวจความปลอดภัยจะเรียกนายจ้างมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้
ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ส่งผลให้อาคารที่ใช้ปฏิบัติงานได้รับความเสียหายไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกตินายจ้างจะใช้มาตรการหยุดกิจการชั่วคราว โดยจ่ายเงินให้ลูกจ้างร้อยละ 75 ตลอดระยะเวลาที่หยุด ทั้งนี้พนักงานตรวจแรงงานจะติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด
ทางด้าน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวเพิ่มว่า ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ลูกจ้างผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย ชื่อ นายธนพัฒน์ จิตรักษ์ อายุ 31 ปี ได้รับบาดเจ็บไฟไหม้ที่แขนทั้งสองข้าง จะได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง จนสิ้นสุดการรักษาพยาบาล กรณีลูกจ้างหยุดพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์จะได้รับค่าทดแทน 70% ของค่าจ้าง ตั้งแต่วันแรกที่หยุดงานแต่ไม่เกิน 1 ปี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64902 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย แจ้งความ เอาผิด "มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป" เข้าข่ายผิด 3 ข้อหา พร้อมประสานกระทรวง DEs ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกำชับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ตรวจสอบการดำเนินงานมูลนิธิ | วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566
13/02/2566
มหาดไทย แจ้งความ เอาผิด "มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป" เข้าข่ายผิด 3 ข้อหา พร้อมประสานกระทรวง DEs ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกำชับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ตรวจสอบการดำเนินงานมูลนิธิ
มหาดไทย แจ้งความ เอาผิด "มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป" เข้าข่ายผิด 3 ข้อหา พร้อมประสานกระทรวง DEs ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกำชับผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ตรวจสอบการดำเนินงานมูลนิธิทุกแห่ง หากพบการกระทำผิดกฎหมายต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด
วันนี้ (13 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมการปกครองดำเนินการตรวจสอบกรณีมีการใช้ชื่อระบุว่า "มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป" ซึ่งพบว่าไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยในวันนี้ ได้มอบหมายให้ พนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับจดทะเบียนมูลนิธิ ไปแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของมูลนิธิเป็นต่อ หลังพบว่า ไม่ได้มีการจดแจ้งขออนุญาตก่อตั้งมูลนิธิ ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณชนในชื่อของมูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ใน 3 ความผิดฐาน คือ 1) ผิด พระราชบัญญัติกำหนด ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ที่ได้ใช้คำว่า “มูลนิธิ” ประกอบกับชื่อในดวงตราและเอกสารอื่นเกี่ยวกับธุรกิจ โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ 2) ผิดพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 มาตร 8 ประกอบมาตรา 17 และ 3) ผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 นำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ได้กำชับให้กรมการปกครองได้บูรณาการประสานงานการทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามอย่างใกล้ชิด เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ตนได้ลงนามหนังสือถึงปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEs) ภายหลังกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ https:/www.pentorfoundation.com ซึ่งการกระทำของบุคคลที่แอบอ้างใช้คำว่า "มูลนิธิ" ผ่านเว็บไชต์ดังกล่าวข้างต้น อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายและเป็นการกระทำที่อาจทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ากิจการนั้นเป็นมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อาจเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 เพื่อกระทรวง DEs พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
“กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิจังหวัดกำชับนายอำเภอทุกอำเภอตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิต่าง ๆ ที่อาจเกี่ยวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายว่ามีการขออนุญาตก่อตั้งมูลนิธิ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินกิจการของมูลนิธิที่ได้มีการก่อตั้งแล้ว หากพบความผิดปกติทางการเงิน หรือไม่ได้มีกิจกรรม หรือมีการดำเนินการที่เข้าข่ายความผิด ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด” ปลัด มท. กล่าวในช่วงท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ร่วมกับ สทร. และ สวทช. ผนึกกำลังขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรม ด้านมาตรฐานและการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
กรมการขนส่งทางราง ร่วมกับ สทร. และ สวทช. ผนึกกำลังขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรม ด้านมาตรฐานและการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง
เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม ด้านมาตรฐานและการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย โดยมี ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือผลักดันพัฒนาส่งเสริมมาตรฐานและการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางราง รวมทั้ง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ และเตรียมพร้อมสู่การขยายโครงข่ายระบบขนส่งทางรางในอนาคต รวมถึงเพื่อเป็นการการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งทางราง ของหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนให้เป็นไปตามกฎและระเบียบที่กฎหมายกำหนด ให้กับภาคการผลิตให้มีมาตรฐานการทดสอบเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถลดต้นทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบรางให้มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย มั่นคงให้บริการกับประชาชน ซึ่งในส่วนของขอบเขตบันทึกข้อตกลงนี้ประกอบไปด้วย
1. การร่วมกันขับเคลื่อนด้านมาตรฐานและการทดสอบ รับรองสำหรับผลิตภัณฑ์ระบบราง เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
2. ร่วมกันวิจัยและพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งระบบรางของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางของไทยให้ได้มาตรฐานการทดสอบในระดับสากล และสามารถรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง
3.ส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบในประเทศ เพื่อให้บริการทดสอบ การตรวจสอบรับรองผลิตภัณฑ์ในระบบราง ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระบบรางของไทย และพัฒนาสถานะประเทศไทยจากประเทศผู้ซื้อ มาเป็นประเทศผู้ผลิตเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ตลอดจนช่วยขยายขีดความสามารถของไทยให้กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์รถไฟได้ในอนาคต โดยการพัฒนาด้านการทดสอบ รับรอง มาตรฐาน ระบบขนส่งทางราง เพื่อลดภาระการนำเข้าสินค้า และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เพื่อสู่การขยายโครงข่ายระบบขนส่งทางรางในอนาคต
4. ร่วมกันพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยี การวิจัย และการพัฒนาด้านมาตรฐาน การบริการทดสอบ การตรวจสอบและการรับรองผลิตภัณฑ์ด้านระบบราง เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการพัฒนาวงการทางการวิจัยและทดสอบผลิตภัณฑ์ด้านระบบราง
การลงนามบันทึกข้อตกลงนี้ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขนส่งทางรางให้มีความปลอดภัย ลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด รวมถึงลดปัญหามลภาวะทางเสียงและอากาศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งนอกจากโครงสร้างพื้นฐานแล้ว หากชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ระบบราง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านระบบตัวรถขนส่งทางราง ด้านระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมได้มีการศึกษาวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรม จนผลิตขึ้นได้โดยคนไทย ใช้วัสดุภายในประเทศ ผ่านการทดสอบให้ได้ตามค่ามาตรฐานสากลที่กำหนด ก็จะช่วยส่งเสริมให้เกิด อุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ นอกจากการลงนามบันทึกความร่วมแล้ว ยังได้มีการเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทดสอบ EMC และระบบอาณัติสัญญาณ ณ อาคารแชมเบอร์ 10 เมตร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งห้องดังกล่าวเป็นห้องที่ใช้วิจัยและทดสอบระบบรางโดยใช้ไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้า (electrical train) ก่อนจะดำเนินการติดตั้งระบบต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ การติดตั้งระบบสื่อสาร การซ่อมแซมความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของหน่วยงานรับรองระบบ (Certification Body: CB) สากลด้วย โดยหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องทำการทดสอบประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ของรถไฟฟ้าทั้งก่อนดำเนินการ ระหว่างการดำเนินการ และภายหลังการปรับปรุงระบบ เพื่อความปลอดภัยในการนำระบบต่าง ๆ มาใช้งานต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64920 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พี่น้องประชาชนทั่วประเทศประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ | วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566
13/02/2566
พี่น้องประชาชนทั่วประเทศประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
พี่น้องประชาชนทั่วประเทศประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
พี่น้องประชาชนทั่วประเทศประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน
วันนี้ (13 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ
1. จังหวัดตาก ต.น้ำรึม อ.เมืองตาก นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก พร้อมด้วย นางวรรณฤดี กิจเจริญรุ่งโรจน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดตาก รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดตาก และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมเด็กนักเรียนยากจน ในพื้นที่อำเภอเมืองตาก ซึ่งเป็นครัวเรือน TPMAP พร้อมมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของที่จำเป็น ให้แก่ผู้เปราะบางฯ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
2. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่วัดอรัญศิริ ต.ดินดำ อ.จังหาร นายทินกร ขันแก้ว นายอำเภอจังหาร เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตร ตามโครงการ "เข้าวัดทำบุญวันพระ" เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพุทธสาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมพิธี
3. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อ.ปราณบุรี นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี ร่วมกับ เหล่ากาชาดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิ่งกาชาดอำเภอปราณบุรี กองกำลังจิตอาสาศูนย์การกำลังสำรอง โรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ และโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ จัดกิจกรรมการรับบริจาคโลหิต ห้วงที่ 1 ประจำปี 2566 เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีผู้บริจาคโลหิต จำนวน 31 ราย ได้รับปริมาณโลหิตจำนวนทั้งสิ้น 13,950 ซีซี
4. จังหวัดปทุมธานี ที่พระอุโบสถ วัดชินวราราม วรวิหาร ่ต.บางขะแยง อำเภอเมืองปทุมธานี พลเรือเอก ธีรกุล กาญจนะ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
5. จังหวัดนครปฐม ที่ศาลากองอำนวยการ องค์พระปฐมเจดีย์ อ.เมืองจังหวัดนครปฐม นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม มอบหมายให้ คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตาและอวัยวะ ร่วมกับภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 4 ราชบุรี เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววันและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยมีผู้ร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 24 ราย และมีผู้บริจาคดวงตา จำนวน 3 ราย และผู้บริจาคอวัยวะ จำนวน 3 ราย
6. กรุงเทพมหานคร ที่ศาลาการเปรียญ วัดสามัคคีสุทธาวาส เขตบางพลัด พระครูสุนทรภัทรโกศล เจ้าอาวาสวัดสามัคคีสุทธาวาส เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางสาวสุกัลยา อินทรภักดี พนักงานเทศกิจอาวุโส และนางเรืองลอง จิรชีวีวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสามัคคีสุทธาวาส เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย ข้าราชการ บุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตบางพลัด คณะครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
7. จังหวัดระยอง ที่ ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง นางวราลี กุมภะ รองนายกเทศมนตรีตำบลทุ่งควายกิน พร้อมด้วย ผู้บริหารและบุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งควายกิน และสมาชิกกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาตำบลทุ่งควายกิน ร่วมบริจาคสิ่งของในพื้นที่ตำบลทุ่งควายกิน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
8. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่วัดไทรห้อง ต.ควนกรด อ.ทุ่งสง คณะครูโรงเรียนชุมชนบ้านไทรห้อง พร้อมด้วย นักเรียนในที่ปรึกษาและผู้ปกครอง ร่วมทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64899 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมอาสาสมัครผู้สูงอายุ ศธ. สร้างคุณค่าพัฒนากลุ่มผู้สูงวัยรอบด้าน ตั้งเป้าสร้างแกนนำกว่า 30,000 คนทั่วประเทศ ชื่นชมอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยจิตกุศล | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
นายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมอาสาสมัครผู้สูงอายุ ศธ. สร้างคุณค่าพัฒนากลุ่มผู้สูงวัยรอบด้าน ตั้งเป้าสร้างแกนนำกว่า 30,000 คนทั่วประเทศ ชื่นชมอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยจิตกุศล
นายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมอส.ศธ. สร้างคุณค่าพัฒนากลุ่มผู้สูงวัยรอบด้าน ตั้งเป้าสร้างแกนนำกว่า 30,000 คนทั่วประเทศ ชื่นชมอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยจิตกุศล เป็นกำลังสำคัญช่วยเพิ่มศักยภาพผู้สูงวัย ร่วมพาประเทศก้าวผ่านสถานการณ์สังคมผู้สูงวัยไปได้ด้วยดี
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 08.45 น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหาร เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมอาสาสมัครผู้สูงอายุกระทรวงศึกษาธิการ (อส.ศธ.) โดยมีนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และตัวแทนชมรมผู้สูงอายุ เข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมภารกิจโครงการและแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรมระยะต่าง ๆ รวมทั้งการสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงทะเบียนอาสาสมัครผู้สูงอายุพร้อมรับบัตรประจำตัวด้วย
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเตรียมและพัฒนาคนในทุกช่วงวัย ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความเข้าใจในการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ อส.ศธ. ยังเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเพิ่มศักยภาพผู้สูงวัยและยังเป็นการเตรียมพัฒนากำลังคนอย่างเต็มกำลังเพื่อร่วมพาประเทศก้าวผ่านสถานการณ์สังคมผู้สูงวัยไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ นายกฯ ขอให้มีการประสานงานและบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสนับสนุนและขับเคลื่อนกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมายลงสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแสดงความชื่นชมอาสาสมัครที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยจิตกุศล” นายอนุชาฯ กล่าว
สำหรับกิจกรรม อส.ศธ. ตั้งเป้ารับมือกับภาวะสังคมผู้สูงวัยที่กำลังมีแนวโน้มสูงขึ้น ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณค่า” เพื่อสร้างความสุขให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ คือ ครูเกษียณอายุราชการ กลุ่มแรงงานไม่มีสวัสดิการ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพ กลุ่มที่ต้องการอาชีพเสริม และกลุ่ม NEED โดยการขับเคลื่อนระยะสั้นจะเปิดรับสมัคร อส.ศธ. ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งเป้าหมายมากกว่า 30,000 คน ซึ่งจะเป็นบุคลากรสำคัญเพื่อดำเนินการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยกันพัฒนากำลังคนทุกกลุ่มวัยในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ โดยผู้สูงอายุที่สนใจสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและสมัครได้ที่เว็บไซต์ volunteers.moe.go.th หรือ www.moe.go.th หัวข้อ “ข่าวประชาสัมพันธ์” และสามารถขอรับใบสมัครได้ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด ในเวลาราชการ ตั้งแต่บัดนี้ - 26 กุมภาพันธ์ 2566
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64911 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติร่างเอ็มโอยู EECกับกวางตุ้ง ขยายระยะเวลาร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การลงทุนอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่–อุตสาหกรรมการแพทย์ เชื่อมโยง EEC-กวางตุ้ง-ฮ่องกง–มาเก๊า | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
ครม.อนุมัติร่างเอ็มโอยู EECกับกวางตุ้ง ขยายระยะเวลาร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การลงทุนอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่–อุตสาหกรรมการแพทย์ เชื่อมโยง EEC-กวางตุ้ง-ฮ่องกง–มาเก๊า
ครม.อนุมัติร่างเอ็มโอยู EECกับกวางตุ้ง ขยายระยะเวลาร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การลงทุน อุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่–อุตสาหกรรมการแพทย์ เชื่อมโยง EEC-กวางตุ้ง-ฮ่องกง–มาเก๊า
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบและอนุมัติร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง เพื่อขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง ที่มีระยะเวลาบังคับใช้ 3 ปี คือระหว่างวันที่ 22 ต.ค. 62 – 21 ต.ค. 65 ออกไปจนกว่าจะมีการประชุมระดับสูงไทย - มณฑลกวางตุ้งครั้งที่ 2 ในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือน ส.ค. เพื่อให้สามารถดำเนินการสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดพิธีลงนามผ่านระบบออนไลน์ภายหลังจากที่ ครม. ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ในการประชุมระดับสูงไทย - มณฑลกวางตุ้ง ครั้งที่ 2 ทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาร่วมกันจัดทำและรับรองบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจฯ ฉบับใหม่ ในช่วงการประชุมดังกล่าวด้วย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ที่ผ่านมา สกพอ. และรัฐบาลมณฑลกวางตุ้งได้ดำเนินการตามกรอบบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) อาทิเช่น
1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยร่วมผลักดันให้บริษัท BYD Auto นำเข้ายานยนต์ไฟฟ้ามายังไทย และลงทุนโครงการจัดตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบยานยนต์แบตเตอรี่ (Electronic Vehicles: EV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (Plug - In Hybrid Electric Vehicle : PHEV) ในพื้นที่ EEC ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้า 150,000 คันต่อปี เพื่อส่งออกไปยังอาเซียนและยุโรป
2. อุตสาหกรรมการแพทย์ มีบริษัทชั้นนำด้านจีโนมิกส์ของมณฑลกวางตุ้งและเขตอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า ได้แก่ บริษัท BGI Genomics เข้าร่วมลงทุนและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการแพทย์จีโนมิกส์กับหน่วยงานของรัฐและสถาบันการศึกษา ภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องในการรองรับบริการการแพทย์จีโนมิกส์ของไทย
“ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่าง สกพอ. กับมณฑลกวางตุ้ง เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับมณฑลกวางตุ้งและเขตอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Guangdong - Hong Kong - Macao Greater Bay Area : GBA) ความร่วมมือในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ด้านการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม รวมทั้งด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และในอนาคตจะเพิ่มเติมการให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Transportation) อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งส่งเสริมผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในไทยให้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาสัดส่วนวัสดุอุปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศ (Local Content) ให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนร่วมวิจัยพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกัน” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ยกระดับสร้างความปลอดภัย จัดอบรมหลักสูตร "ความปลอดภัยในงานก่อสร้าง โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน” ให้แก่ พนักงาน รฟม. ที่ปรึกษาและผู้รับจ้าง | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
รฟม. ยกระดับสร้างความปลอดภัย จัดอบรมหลักสูตร "ความปลอดภัยในงานก่อสร้าง โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน” ให้แก่ พนักงาน รฟม. ที่ปรึกษาและผู้รับจ้าง
.....
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรววงคมนาคมร่วมกับศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 12 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมหลักสูตร “ความปลอดภัยในงานก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน” ให้แก่พนักงาน รฟม. ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานภาคสนามเกี่ยวกับงานก่อสร้าง กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาผู้รับจ้าง/ผู้รับสัมปทาน โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ตลอดจนประชาชนผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรม โดยมีวิทยากรรับเชิญจากศูนย์ความปลอดภัยในการทํางานเขต 12 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และ บริษัท เพอร์เฟคเซฟตี้ เทรนนิ่ง แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ร่วมให้ความรู้และถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นเกี่ยวกับความปลอดภัยในงานก่อสร้างตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรของ รฟม. ที่ปรึกษา ผู้รับจ้าง/ผู้รับสัมปทาน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำงานก่อสร้าง มีความรู้ความเข้าใจและสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนเพื่อให้เกิดความตระหนักด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในงานก่อสร้าง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการบริหารจัดการความปลอดภัยในงานก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยให้แก่ รฟม.
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร.0 2716 4044
“รฟม. ร่วมยกระดับเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและนวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64910 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi
Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi
Deputy Government Spokesperson Tipanan Sirichana disclosed that the cabinet, in its meeting on February 14, 2023, has made approval for the Swiss Confederation to open its honorary consulate in Chonburi province, and to appoint honorary consul for the Swiss Confederation consulate in Chonburi. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. The reason behind this approval is to facilitate Swiss citizens and families who reside in Chonburi and nearby provinces on consular services, and to promote people-to-people relations and Thailand- Swiss Confederation cooperation at the local level. Switzerland has expertise in economic development and innovation which may be able to contribute to the capacity building of local administrative offices.
The cabinet’s approval is also made based on the reciprocity principle, as Thailand has also established a royal embassy in Bern, and 3 other consulates in Basel, Zurich, and Geneva. The Swiss Confederation consulate in Chonburi will make the country’s 3rd consulate in Thailand after the ones in Chiang Mai, and Phuket.
The Swiss Confederation consulate is located at 489/9 Moo 12, Had Jomtien Soi 5, Nong Prue sub-district, Bang Lamung district, Chonburi, with the consular district covering 4 provinces, namely, Chonburi, Rayong, Chanthaburi, and Trat. Mrs. Esther Kaufmann has been appointed as Honorary Consul of the consulate of Swiss Confederation in Chonburi.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64956 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ชี้แจง “วงเวียนปี่พระอภัยมณี” | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
กรมทางหลวงชนบท ชี้แจง “วงเวียนปี่พระอภัยมณี”
เป็นการดำเนินงานภายในพื้นที่ โดยใช้งบประมาณของจังหวัดระยอง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบท สาย รย.5037 แยกทางหลวงชนบท รย.4006 - บ้านเชิงเนิน อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และงานก่อสร้างวงเวียนปี่พระอภัยมณี บริเวณแยกหน้าโรงเรียนกวงฮั้ว ตำบลท่าประดู่ เป็นงานก่อสร้างของแขวงทางหลวงชนบทระยอง โดยใช้งบประมาณของจังหวัดระยอง ไม่ได้ใช้งบประมาณของกรมทางหลวงชนบทในการดำเนินงาน
นายอติราช วราวิกสิต ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทระยอง เปิดเผยถึงการก่อสร้าง “วงเวียนปี่พระอภัยมณี” โครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการก่อสร้างของแขวงทางหลวงชนบทระยอง โดยใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติราชการจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2565 ของจังหวัดระยอง ไม่ได้ใช้งบประมาณของ ทช. และที่มาของงานประติมากรรมปี่พระอภัยมณีบริเวณทางแยกโรงเรียนกวงฮั้ว กม. ที่ 3+170 เกิดจากความต้องการของผู้ใช้รถใช้ถนนที่ให้ยกเลิกการเปิดใช้สัญญาณไฟจราจร เนื่องจากทางแยกอยู่ใกล้บริเวณโรงเรียน ในช่วงเช้า - เย็นมีปริมาณการจราจรจำนวนมาก และมีการจอดรถรับส่งนักเรียนบนผิวถนน ทำให้เหลือช่องจราจรเพียงช่องเดียว ดังนั้น การเปิดใช้สัญญาณไฟจราจรจะทำให้เกิดปัญหารถติดมากยิ่งขึ้น แขวงทางหลวงชนบทระยองจึงได้ให้บริษัทที่ปรึกษาศึกษารูปแบบการแก้ไขปัญหาจราจร พร้อมออกแบบบริเวณทางแยก ทั้งนี้ ผู้ออกแบบต้องการสอดแทรกสาระความเป็นมาของวรรณคดีในจังหวัดระยองเพื่อให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนได้รับรู้และรับทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาของวรรณคดีพระอภัยมณีและเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในจังหวัด รวมถึงต้องการเชิดชูเกียรติพระสุนทรโวหาร (ภู่) ประกอบกับคณะทำงานในขณะนั้นต้องการออกแบบประติมากรรมบริเวณวงเวียนในรูปแบบปี่พระอภัยมณีให้มีความโดดเด่น ส่วนบริเวณลิ้นของปี่ต้องการให้เป็นพระอภัยมณีเป่าปี่ ความสูง 2 เมตร นั่งอยู่บนปี่ตามภาพที่ปรากฏในข่าวและสื่อโซเชียลมีเดีย
สำหรับโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย รย.5037 แยกทางหลวงชนบท รย.4006 - บ้านเชิงเนิน อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ระยะทาง 5.775 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 39,989,000 บาท แบ่งออกเป็นงาน ปรับปรุงเสริมผิวลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ระยะทาง 4.639 กิโลเมตร งานขยายถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ระยะทาง 0.813 กิโลเมตร และงานก่อสร้างวงเวียนปี่พระอภัยมณี จำนวน 1 แห่ง เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2566 อย่างไรก็ตาม แขวงทางหลวงชนบทระยองได้รับทราบความคิดเห็นของประชาชน และขอขอบคุณทุกความคิดเห็นที่มีความห่วงใยต่อรูปแบบประติมากรรม “ปี่พระอภัยมณี” โดยในเบื้องต้นแขวงทางหลวงชนบทระยองจะเร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบวงเวียนให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งจะนำ QR Code ไปติดตั้งในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อรวบรวมความคิดเห็นประชาชนและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64926 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ฉบับ รองรับธุรกรรมในตลาดทุนที่ใช้เทคโนโลยี กำกับดูแลชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ฉบับ รองรับธุรกรรมในตลาดทุนที่ใช้เทคโนโลยี กำกับดูแลชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ฉบับ รองรับธุรกรรมในตลาดทุนที่ใช้เทคโนโลยี กำกับดูแลชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติหลักการ 1.ร่าง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉ. ..) พ.ศ. .... 2.ร่าง พ.ร.บ. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉ. ..) พ.ศ. .... 3.ร่าง พ.ร.บ. ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉ. ..) พ.ศ. .... และ 4.ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. ... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่าง พ.ร.บ. 4 ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ ในตลาดทุน สร้างความชัดเจนในการกำกับดูแล และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นตาม ม.77 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มและในรูปแบบของการเสวนา และผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตรากฎหมายดังกล่าวไปเปิดเผยต่อประชาชนด้วยแล้ว ซึ่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายนี้มี 6 ข้อ คือ
1. ส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัล โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน การออกและส่งมอบหลักทรัพย์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และการออกเสนอขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยทำให้การดำเนินการในภาคตลาดทุนสามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ครบถ้วน ทั้งระบบ และมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยยังคงมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ เช่น การปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่และการเปิดเผยงบการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การกำกับดูแลบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนในตลาดทุนได้รับบริการที่มีคุณภาพ และได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) จะสามารถกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ก่อให้เกิดต้นทุนหรือภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจจนเกินควร
3. ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลตลาดรองและองค์กรที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้การจัดตั้ง ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ทำได้ง่ายขึ้น รองรับการซื้อขายหลักทรัพย์รวมถึงโทเคนดิจิทัลที่มีลักษณะคล้ายกับหลักทรัพย์ รวมถึงเพิ่มการคุ้มครองทรัพย์สินของผู้ฝากหลักทรัพย์ที่ฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ และเพิ่มความยืดหยุ่น ในการกำกับดูแลสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์
4. เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลการระดมทุน สำนักงานสอบบัญชี และผู้ประกอบวิชาชีพ ที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน เช่น เพิ่มและปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม หุ้นกู้ การเข้าถือหลักทรัพย์ เพื่อครอบงำกิจการ การกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีกับผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน การให้อำนาจสำนักงาน ก.ล.ต. ในการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการจดข้อจำกัดการโอนและกำหนดแนวทางการรายงานผลการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น เพื่อลดข้อจำกัดในการระดมทุนในทางปฏิบัติ และให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีเครื่องมือการกำกับดูแล ผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน
5. เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและการกำหนดมาตรการลงโทษ โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิด บางประเภท การกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน และเพิ่มบทบัญญัติ ในเรื่องโทษปรับเป็นพินัยเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 เพื่อให้บุคคลที่จะให้ข้อมูลเบาะแสต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดบางประเภท ได้รับความคุ้มครองในแนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นการสนับสนุนกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานของสำนักงาน ก.ล.ต. ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6. ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกัน โดยเพิ่มและปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบ คุณสมบัติ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุนให้สอดคล้องกัน รวมทั้งเพิ่มบทบัญญัติเพื่อความชัดเจนให้พนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ว่าด้วยประกันสังคม
“การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย 4 ฉบับดังกล่าวในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. เพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุนและยังคงมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม 2. เพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ โดยแก้ไขเพิ่มเติมการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้มีความสอดคล้องกันและเป็นไปตามมาตรฐานสากล 3. เพิ่มค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการ การประกอบวิชาชีพ หรือการให้บริการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 4. เพิ่มบทบัญญัติโทษปรับเป็นพินัยสำหรับความผิดทางพินัย ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 5. เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 6. เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท” น.ส.ทิพานัน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023
...
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 ซึ่งเป็นงานประชุมเจรจาธุรกิจด้านการบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมี พลอากาศเอก ภานุพงศ์ เสยยงคะ กรรมการ AOT เป็นประธานในพิธีเปิดงานฯ พร้อมด้วยนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT รวมถึงผู้บริหาร AOT ผู้แทนจากหน่วยงานภายใต้พันธมิตรเครือข่ายทางการบินและการท่องเที่ยวจากทั่วโลกร่วมงานประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2554 (ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่) จังหวัดเชียงใหม่
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้จํานวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ลดลงจาก 142 ล้านคนในปี 2561 เหลือเพียง 72 ล้านคนในปี 2562 ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วระหว่างปี 2563 - 2565 ปริมาณผู้โดยสารลดลงในอัตราร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้โดยสารรวมในปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 การเดินทางของผู้โดยสารมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากการที่หลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยมีนโยบายเปิดประเทศ
รับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ รวมถึงปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดจนสายการบินกลับมาทำการบินในเส้นทางบินเดิม และเพิ่มเส้นทางบินใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการบินและธุรกิจท่องเที่ยวให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินกิจการได้ดีขึ้น ดังนั้น การจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 ซึ่งเป็นงานประชุมเจรจาธุรกิจด้านการบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
จะเป็นเวทีเจรจาธุรกิจระหว่างท่าอากาศยาน สายการบิน หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวในธุรกิจการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำนวนกว่า 800 ราย ได้มีโอกาสพบปะ เจรจา แลกเปลี่ยนมุมมอง และแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practice) อันจะนำไปสู่การปรับปรุงเครือข่ายทางการบินและการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดการพัฒนาการบริการในอนาคตที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ งานประชุมฯ ยังเป็นการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายทางการบิน (Route Networks) และการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งจะส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น การจ้างงาน การแสดงความเชื่อมโยงของระบบขนส่ง การแสดงความพร้อมในการรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นประตูสู่ประเทศไทย มีความยินดีที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเจรจาธุรกิจ The Route Development Forum for Asia 2023 ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำเสนอศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่และประเทศไทยสู่ระดับสากลให้แก่นานาประเทศ โดยมุ่งหวังสร้างเครือข่ายทางการบิน และ
การท่องเที่ยว ตลอดจนการทำการตลาดเชิงรุกด้วยการเจรจาธุรกิจให้สายการบินสนใจเปิดเส้นทางการบินใหม่ หรือเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางที่ทำการบินอยู่เดิม ณ สนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT รวมทั้งเจรจาธุรกิจร่วมกับสนามบินเป้าหมาย (City Pair) โดยมุ่งเน้นสนามบินที่มีศักยภาพในการรองรับสายการบินใหม่ และเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน เพื่อส่งเสริมตลาดด้านการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งสร้างและกระตุ้นรายได้ให้ AOT ภายหลังจาก
สถานการณ์โควิด-19 สำหรับงานประชุม The Route Development Forum for Asia 2023 จะมีการอภิปรายระหว่างผู้แทนจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Pacific Asia Travel Association: PATA) สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (Airport Council International: ACI) สมาคมสายการบินภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (Association of Asia Pacific Airlines: AAPA) สายการบิน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ผู้บริหารสนามบิน รวมไปถึงผู้ผลิตอากาศยาน ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายหลังโรคโควิด-19 การผ่อนคลายมาตรการเดินทางของประเทศต่างๆ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องมีการปรับตัว ทั้งในด้านมาตรการการเดินทาง การเพิ่มเส้นทางบินใหม่ แผนการจัดฝูงบิน การวางกลยุทธ์ใหม่ด้วยการพัฒนาศักยภาพให้รอบด้านรวมถึงการทำให้ธุรกิจการบินสามารถฟื้นตัวจนกลับสู่สภาวะปกติ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายนิตินัย กล่าวในตอนท้ายว่า AOT หวังว่างานประชุมฯ จะเป็นเวทีสำคัญของประเทศไทยในการแสดงศักยภาพความพร้อมรองรับการให้บริการผู้โดยสารและสายการบินจากทั่วโลก ทั้งยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศในภาคเหนือตอนบน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ทำให้เกิดการขับเคลื่อนในภาคเศรษฐกิจการสร้างงาน สร้างรายได้ รวมทั้งการเชื่อมโยงของระบบคมนาคมขนส่ง ตามยุทธศาสตร์ชาติที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอาเซียนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64951 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำเร่งนำผู้สูงอายุมารับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ตามคำแนะนำ สธ. สามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ชัดเจน | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำเร่งนำผู้สูงอายุมารับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ตามคำแนะนำ สธ. สามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ชัดเจน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำเร่งนำผู้สูงอายุมารับวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ตามคำแนะนำ สธ. สามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ชัดเจน
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไทย ตามข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่เผยว่า การใช้วัคซีนโควิด 19 ของไทย ตั้งแต่การฉีดเข็มแรก เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 จนถึงขณะนี้ (ณ 10 ก.พ. 66) ไทยฉีดวัคซีนในภาพรวมแล้ว 146,590,102 โดส โดยการรณรงค์ฉีดวัคซีนเข็มแรกจนถึง 100 ล้านโดส ใช้เวลา 10 เดือน ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก และมีข้อมูลวิจัยยืนยันว่า การฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสดังกล่าว สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 5 แสนคน ทั้งนี้ การดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ จากนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้สั่งการผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ศบค.) มาโดยตลอด
นายอนุชากล่าวต่อไปว่า สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในปี 2566 สัปดาห์ที่ 6 (ณ 11 ก.พ. 66) นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า มีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 392 คน เฉลี่ยรายวัน จำนวน 56 ราย/วัน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 98 คน ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 66 คน และผู้เสียชีวิต 12 คน เฉลี่ยรายวัน จำนวน 1 ราย/วัน ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล สะสม 3,709 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) ผู้เสียชีวิต สะสม 225 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) โดยผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุทั้งผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย ได้รับตั้งแต่ 1-3 เข็ม และได้รับเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) เกิน 3 เดือน ดังนั้น การฉีดเข็มกระตุ้นสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะค้นหาผู้สูงอายุให้มารับเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ ซึ่งทุกกลุ่มอายุออกมาใช้ชีวิตปกติ และใกล้ถึงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการไปหาผู้สูงอายุ จึงควรที่จะเร่งนำผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนเลยมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เพราะผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่เมื่อติดเชื้อแล้วอาการจะรุนแรงและเป็นกลุ่มอายุที่เสี่ยงมากขึ้นในตอนนี้ และในปี 2566 ยังเป็นการให้วัคซีนเข็มกระตุ้น ป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตในประชากรทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง และขณะนี้อยู่ระหว่างที่กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการปรับให้เป็นการฉีดวัคซีนประจำปี เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะเน้นการฉีดกลุ่มเสี่ยงเช่นเดิม
“นายกรัฐมนตรีย้ำขอให้ประชาชนทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนอย่างน้อย 4 เข็ม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 และผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ลดการนอนโรงพยาบาล ลดอาการป่วยรุนแรง และลดอัตราการเสียชีวิตหากติดเชื้อ แม้ขณะนี้สถานการณ์โควิด -19 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน มาจากประสิทธิผลของวัคซีนที่ได้รับ ประชาชนจึงยังควรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือน นอกจากนี้ ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก คือวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นจะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน” นายอนุชา กล่าว
สำหรับความครอบคลุมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ณ วันที่ 10 ก.พ. 66 มีการฉีดสะสมกว่า 146.5 ล้านโดส เป็นเข็มที่ 1 ครอบคลุม 82.8% เข็มที่ 2 ครอบคลุม 77.8% เข็มที่ 3 ครอบคลุม 39.2% เข็มที่ 4 ครอบคลุม 9.44% เข็มที่ 5 ครอบคลุม 1.5% และเข็มที่ 6 ครอบคลุม 0.1%
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64909 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เยี่ยมชมระบบ e-Document กระทรวงดีอีเอส | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เยี่ยมชมระบบ e-Document กระทรวงดีอีเอส
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เยี่ยมชมระบบ e-Document กระทรวงดีอีเอส
14 ก.พ 66 ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ต้อนรับ ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และคณะผู้บริหาร เข้าดูงานระบบ e-Document ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
___________________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64921 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหลือร้อยละ 0.125 ต่อไปอีก 1 ปี เพื่อสนับสนุนแบงก์รัฐช่วยเหลือลูกหนี้จากผลกระทบโควิด19 | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
ครม.เห็นชอบการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหลือร้อยละ 0.125 ต่อไปอีก 1 ปี เพื่อสนับสนุนแบงก์รัฐช่วยเหลือลูกหนี้จากผลกระทบโควิด19
ครม.เห็นชอบการขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหลือร้อยละ 0.125 ต่อไปอีก 1 ปี เพื่อสนับสนุนแบงก์รัฐช่วยเหลือลูกหนี้จากผลกระทบโควิด19 ที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.) โดยปรับลดเงินนำส่งเหลือร้อยละ 0.125 ต่อปีของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนโดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -31 ธ.ค. 66 และให้กลับไปใช้อัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี สำหรับการนำส่งตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่าเนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโควิด19 ได้ส่งผลต่อลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มฐานราก ทำให้ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ประกอบกับขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพของประชาชน สถาบันการเงินเฉพาะกิจยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้
ดังนั้น เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนได้ต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาสถาบันการเงินของธนาคารเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่งออกไปอีก 1 ปี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กองทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจนี้ เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ.2558 มีวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้มั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมาตรา 15 ได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของ ครม. แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ซึ่ง ครม. ได้เห็นชอบกำหนดอัตราที่ร้อยละ 0.25ต่อปี โดยบังคับมาตั้งแต่ปี 60
อย่างไรก็ตาม ครม. ได้เห็นชอบให้มีการปรับลดอัตราเงินนำส่งเหลือกึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 0.125 ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด19 ระหว่างปี 63-65 เพื่อลดภาระสถาบันการเงินเฉพาะกิจและให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องสำหรับดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64940 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi
Cabinet approves establishment of Swiss Honorary Consulate in Chonburi
Deputy Government Spokesperson Tipanan Sirichana disclosed that the cabinet, in its meeting on February 14, 2023, has made approval for the Swiss Confederation to open its honorary consulate in Chonburi province, and to appoint honorary consul for the Swiss Confederation consulate in Chonburi. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. The reason behind this approval is to facilitate Swiss citizens and families who reside in Chonburi and nearby provinces on consular services, and to promote people-to-people relations and Thailand- Swiss Confederation cooperation at the local level. Switzerland has expertise in economic development and innovation which may be able to contribute to the capacity building of local administrative offices.
The cabinet’s approval is also made based on the reciprocity principle, as Thailand has also established a royal embassy in Bern, and 3 other consulates in Basel, Zurich, and Geneva. The Swiss Confederation consulate in Chonburi will make the country’s 3rd consulate in Thailand after the ones in Chiang Mai, and Phuket.
The Swiss Confederation consulate is located at 489/9 Moo 12, Had Jomtien Soi 5, Nong Prue sub-district, Bang Lamung district, Chonburi, with the consular district covering 4 provinces, namely, Chonburi, Rayong, Chanthaburi, and Trat. Mrs. Esther Kaufmann has been appointed as Honorary Consul of the consulate of Swiss Confederation in Chonburi.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64958 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. | วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
14/02/2566
ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ครม.มีมติเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2566 เห็นชอบในหลักการของร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. …. โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว มีวัตถุประสงค์และสาระสำคัญ ดังนี้
1. ส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัล โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน การออกและส่งมอบหลักทรัพย์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และการออกเสนอขายหลักทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งจะช่วยทำให้การดำเนินการในภาคตลาดทุนสามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ครบถ้วนทั้งระบบ และมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยยังคงมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ เช่น การปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลผู้ถือหุ้นรายใหญ่และการเปิดเผยงบการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การกำกับดูแลบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนในตลาดทุนได้รับบริการที่มีคุณภาพ และได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) จะสามารถกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ก่อให้เกิดต้นทุนหรือภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจจนเกินควร
3. ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับดูแลตลาดรองและองค์กรที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้การจัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ทำได้ง่ายขึ้น รองรับการซื้อขายหลักทรัพย์รวมถึงโทเคนดิจิทัลที่มีลักษณะคล้ายกับหลักทรัพย์ รวมถึงเพิ่มการคุ้มครองทรัพย์สินของผู้ฝากหลักทรัพย์ที่ฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการกำกับดูแลสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์
4. เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลการระดมทุน สำนักงานสอบบัญชี และผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน เช่น เพิ่มและปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม หุ้นกู้ การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ การกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชีกับผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน การให้อำนาจสำนักงาน ก.ล.ต. ในการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการจดข้อจำกัดการโอนและกำหนดแนวทางการรายงานผลการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น เพื่อลดข้อจำกัดในการระดมทุนในทางปฏิบัติ และให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีเครื่องมือการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน
5. เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและการกำหนดมาตรการลงโทษ โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดบางประเภท การกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน และเพิ่มบทบัญญัติในเรื่องโทษปรับเป็นพินัยเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 เพื่อให้บุคคลที่จะให้ข้อมูลเบาะแสต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดบางประเภทได้รับความคุ้มครองในแนวทางเดียวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นการสนับสนุนกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานของสำนักงาน ก.ล.ต. ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6. ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกัน โดยเพิ่มและปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบ คุณสมบัติ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุนให้สอดคล้องกัน รวมทั้งเพิ่มบทบัญญัติเพื่อความชัดเจนให้พนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม
โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ จะช่วยส่งเสริมการมุ่งสู่ตลาดทุนดิจิทัลในการดำเนินการของภาคตลาดทุนโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถดำเนินการได้ครบถ้วนทั้งระบบ ทำให้ผู้ลงทุนและกิจการเข้าถึงตลาดทุนได้สะดวก มีทางเลือกในการใช้บริการที่หลากหลายเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ ตลาดรอง และองค์กรที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ช่วยลดข้อจำกัดในการระดมทุนในทางปฏิบัติ และทำให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีเครื่องมือในการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ลงทุนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้รับความคุ้มครองในมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและการกำหนดมาตรการลงโทษ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตลาดทุนโดยรวม ส่งผลให้ภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทยอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
กองนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3646
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64925 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.