title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังเสียงสะท้อนอาสาสมัครคุมประพฤติลำพูน หลังเป็นที่แรกเฝ้าระวังผู้พ้นโทษติดกำไล EM จากกม. JSOC
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังเสียงสะท้อนอาสาสมัครคุมประพฤติลำพูน หลังเป็นที่แรกเฝ้าระวังผู้พ้นโทษติดกำไล EM จากกม. JSOC รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังเสียงสะท้อนอาสาสมัครคุมประพฤติลำพูน หลังเป็นที่แรกเฝ้าระวังผู้พ้นโทษติดกำไล EM จากกม. JSOC เล็งหาคนรุ่นใหม่ช่วยทำงานให้เข้าถึงทุกกลุ่ม หวังสังคมปลอดภัยมากขึ้น พร้อมช่วยประชาสัมพันธ์งานด้านต่างๆของกระทรวง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้มีโอกาสไปพบปะพูดคุยกับอาสาสมัครคุมประพฤติ จ.ลำพูน 50 คน เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเวทีแรกที่ตนมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับอาสาสมัครฯอย่างเป็นทางการ โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นและรับปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานซึ่งตนก็จะนำไปปรับใช้ เพราะผู้รู้จริงคือ ผู้ที่ปฏิบัติงาน โดยหลังจากที่ พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง หรือ JSOC มีผลบังคับใช้ไป เมื่อวันที่ 23 ม.ค. จ.ลำพูน เป็นจังหวัดแรกที่มีผู้พ้นโทษในกลุ่มเฝ้าระวังที่ศาลได้สั่งให้ติดกำไล EM เพื่อติดตามเฝ้าระวัง ทำให้อาสาสมัครฯ ของจ.ลำพูน เป็นรุ่นแรกที่ได้ทำงานภายใต้กฎหมายนี้ เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรม สร้างความปลอดภัยให้สังคม โดยเฉพาะเด็กและสตรี และยังเพื่อแก้ปัญหาลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำอีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทางตัวแทนอาสาสมัครฯ ได้เสนอแนะและสะท้อนปัญหาในการทำงาน เช่น อาสาสมัครฯส่วนใหญ่มีอายุเยอะ อาจจะขาดความคล่องตัวในบางครั้ง จึงอยากให้กรมคุมประพฤติและกระทรวงยุติธรรม ช่วยหาวิธีโน้มน้าวใจให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในจุดนี้บ้าง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว มีการทำงานที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงทุกกลุ่ม ซึ่งตนก็ได้สั่งการให้กรมคุมประพฤติไปหาวิธีดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะนอกจากต้องทำงานเกี่ยวกับ พ.ร.บ. JSOC ตนก็อยากให้อาสาสมัครฯเป็นตัวแทนในการให้ความรู้เกี่ยวกับงานด้านต่างๆของกระทรวงด้วย อาทิ การป้องกันยาเสพติดในชุมชน การแนะนำสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น กองทุนยุติธรรม พ.ร.บ.เยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาญา และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงสิทธิต่างๆที่ควรจะได้รับ "หากเรารู้ว่ามีคนร้ายอยู่ในสังคม ก็จะไม่มีคนตาย เพราะเรามีมาตรการเฝ้าระวัง มีเครื่องมือในการควบคุม และทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาช่วยกันสอดส่อง นอกจากนี้เรายังมีการช่วยเหลือเยียวยาสำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหายอีกด้วย ที่กระทรวงยุติธรรมเร่งทำกฎหมายนี้จนสำเร็จ เพื่อช่วยสร้างความปลอดภัยให้สังคมโดยเฉพาะเด็กและสตรี ลดการก่ออาชญากรรม การกลับมาทำผิดซ้ำ ซึ่งอาสาสมัครคุมประพฤติ จะเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวง ที่ช่วยประชาสัมพันธ์สิทธิต่างๆให้ประชาชนรับรู้ และสามารถเข้าถึงให้มากที่สุด ตามนโยบาย ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ชู “ประยุทธ์” นายกฯ ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ชี้ผลงานชิ้นโบว์แดง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชาวบ้านปลื้มจนเรียกติดปาก “บัตรลุงตู่” ย้ำประเทศไทยจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 “ธนกร” ชู “ประยุทธ์” นายกฯ ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ชี้ผลงานชิ้นโบว์แดง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชาวบ้านปลื้มจนเรียกติดปาก “บัตรลุงตู่” ย้ำประเทศไทยจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง “ธนกร” ชู “ประยุทธ์” นายกฯ ที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ชี้ผลงานชิ้นโบว์แดง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชาวบ้านปลื้มจนเรียกติดปาก “บัตรลุงตู่” ย้ำประเทศไทยจำเป็นต้องมีความต่อเนื่องเชิงนโยบาย แจง “บิ๊กตู่” เป็นคนดี มีวิสัยทัศน์ ซื่อสัตย์ และตัดสินใจเด็ดขาด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินนโยบายบนผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ทุกมาตรการเพื่อยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากแล้วว่า “บัตรลุงตู่” ที่มุ่งช่วยผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศแบบพุ่งเป้า ซึ่งโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ปี 2565 มียอดสถานะการลงทะเบียนสมบูรณ์ทั้งสิ้น 19.64 ล้านรายซึ่งรอตรวจสอบสิทธ์ ส่วนโครงการคนละครึ่งเฟส 1-5 โดยรัฐช่วยจ่ายให้ครึ่งหนึ่งนั้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่มีกำลังซื้อ ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ เพิ่มสภาพคล่องให้กับร้านค้ารายย่อย ครอบคลุมประชาชนผู้ใช้สิทธิกว่า 26.38 ล้านคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจรวม 424,879.5 ล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยคนละครึ่งเฟส 5 ช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ร้อยละ 0.1 ขณะที่คนละครึ่งเฟส 4 เพิ่ม GDP ร้อยละ 0.17 นายธนกร กล่าวอีกว่า โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 เน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยต่อเนื่อง วงเงินรวม 2,016 ล้านบาท เริ่มใช้สิทธิ์ ก.พ.-ก.ย. 66 คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 12,539 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ปี 66 เป็นปีทองของการฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยตลอดทั้งปีนี้เป็น 27.5 ล้านคน คาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนเข้าประเทศทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยกว่า 2.38 ล้านล้านบาท สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นการสนับสนุนการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ผลักดันการลงทุนนวัตกรรมใหม่ สร้างรายได้ที่ยั่งยืน ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยปี 2565 ได้ออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อEEC มูลค่า 262,982 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่กลับเข้าสู่ระดับเทียบเท่าก่อนจะเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2561 - 2565 มีการอนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท และเป้าหมายในช่วง 5 ปีต่อไป (2566-70) ตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้ที่ 2.2 ล้านล้านบาท โดยจะมีเงินลงทุนในพื้นที่ EEC ขยายตัวได้ร้อยละ 7-9 ต่อปี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งกายภาพและดิจิทัล ได้แก่ ทางราง มีแผนสร้างเพิ่มรวมเป็นระยะทาง 8,900 กิโลเมตร ครอบคลุม 62 จังหวัด เป็นทางคู่-ทางสาม ความยาว 5,640 กิโลเมตร มีสถานีกลางบางซื่อเป็นชุมทางรถไฟขนาดใหญ่ ทันสมัยที่สุดในอาเซียน มีรถไฟฟ้า (กทม.และปริมณฑล) สร้างเพิ่ม 10 สาย ระยะทางรวม 204.9 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 2 สาย นอกจากนี้ ยังมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนทางถนน ในปี 2564 มีระยะทางรวม 11,583 กิโลเมตร และได้สร้างมอเตอร์เวย์เพิ่ม 3 เส้นทางสำคัญ (บางปะอิน-โคราช / บางใหญ่-กาญจนบุรี / และพัทยา-มาบตาพุด) สำหรับทางน้ำ พัฒนาท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง ขณะที่ ทางอากาศ ปรับปรุงสนามบินทั่วประเทศ เพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสาร ด้าน “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม “พร้อมเพย์” (Prompt pay) และ QR Payment การใช้ G-Wallet ถุงเงิน application แอป “เป๋าตัง” เป็นต้น นายธนกร กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มความมั่นคงในอาชีพสำหรับเกษตรกรให้มีรายได้ที่เหมาะสม คุ้มต้นทุนนั้น ผ่านโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยปี 2565/66 มีเป้าหมายเกษตรกร 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงิน รวม 18,700.13 ล้านบาท โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปีการผลิต 2564/65 วงเงิน 7,660 ล้านบาท โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปีการผลิต 2564/65 วงเงิน 6,811.28 ล้านบาท รวมทั้งโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางทั้ง 3 ระยะ รวมวงเงิน 46,789 ล้านบาท และยังมีโครงการคู่ขนานช่วยเหลือเกษตรกรอีกด้วย เพื่อส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพในการผลิต ควบคู่กับการพัฒนาการผลิตและพันธุ์พืช “ในปี 63-64 ที่ทั่วโลกประสบวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ท่านนายกฯ สามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤติไปได้ จนไทยได้รับการจัดอยู่ในอันดับ 1 ของโลกจาก 184 ประเทศทั่วโลก ที่ฟื้นตัวและรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ได้ดีที่สุด จากการจัดอันดับดัชนี Global COVID-19 Index (GCI) ด้วยการแก้ปัญหาได้ยอดเยี่ยม รวดเร็ว และเด็ดขาด ทั้งนี้ ผลการทำงานอย่างหนักของรัฐบาลที่มีท่านนายกฯ เป็นเรือธง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเป็นขาขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2566 และคาดว่าจะเป็นปีแรกที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยสามารถกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ เศรษฐกิจโลกยังผันผวน และการเมืองระหว่างประเทศยังตึงเครียด รวมถึงความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งปัจจัยสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบระหว่างประเทศใหม่ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีความต่อเนื่องเชิงนโยบาย มีผู้บริหารที่เก่ง เป็นคนดี มีวิสัยทัศน์ และซื่อสัตย์ เพื่อนำรัฐนาวาไทยฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจโลกไปให้ได้ เหมือนที่ท่านนายกฯ ได้คิดและทำมาแล้ว โดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ รับทราบผลการจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888”
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ รับทราบผลการจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” กำชับทุกหน่วยงานขยายผลต่อเนื่องตามหลักกฎหมายอย่างจริงจัง รอบคอบ และโปร่งใส วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีการเข้าจับกุมแก๊งพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลต่อเนื่อง ตามข้อร้องเรียนและเบาะแสต่าง ๆ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโด ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้น 8 จุดทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพบสถานที่แห่งหนึ่งจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เว็บพนันออนไลน์ใช้รวบรวมโพยพนันบอล หวย รวมถึงข้อมูลของลูกค้า และเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน ในความผิดฐาน "ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศการโฆษณาหรือชักชวนโดยตรง หรือทางอ้อมให้ผู้อื่น เข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ร่วมกันฟอกเงิน" และออกหมายจับแล้ว 13 หมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเน้นย้ำว่า มีหลักฐานเพียงพอที่สามารถจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง โดยหลังจากนี้จะได้เข้าทำการตรวจค้นสถานที่อื่น ๆ ที่คาดว่าจะเป็นสถานที่ฟอกเงิน และจะทำการตรวจยึดทรัพย์สินตามแนวทางปฏิบัติต่อไป “นายกรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินงานดังกล่าว และได้สั่งการให้เข้มงวดกับการดำเนินการ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการขยายผลต่อเนื่องในทุกประเด็นที่เป็นข้อร้องเรียนและเบาะแสต่าง ๆ ที่ได้รับจากประชาชน ให้ยึดหลักตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างจริงจัง รอบคอบ และโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย Economist Intelligence Unit (EIU) ระบุ ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุดใน “ดัชนีประชาธิปไตย” ปี 2022 ขยับขึ้นมา 17 อันดับ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย Economist Intelligence Unit (EIU) ระบุ ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุดใน “ดัชนีประชาธิปไตย” ปี 2022 ขยับขึ้นมา 17 อันดับ สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาล นายกฯ วางรากฐานการพัฒนาสู่วันข้างหน้าเพื่อเยาวชนของชาติ วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รายงานการจัดอันดับ “ดัชนีประชาธิปไตย” (Democracy Index) ปี 2022 ของ Economist Intelligence Unit (EIU) ระบุว่า ประเทศไทย มีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2022 ที่ 6.67 จาก 6.04 ในปี 2021 (เพิ่มขึ้น 0.62) และขยับจากอันดับที่ 72 ในปี 2021 เป็นอันดับที่ 55 ในปี 2022 จากทั้งหมด 167 ประเทศ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดอันดับจากดัชนีอันดับดังกล่าวเริ่มจัดทำขึ้นเมื่อปี 2006 โดยใช้ตัวชี้วัดทั้งสิ้น 5 มิติ ได้แก่ (1) กระบวนการเลือกตั้งและพหุนิยม (electoral process and pluralism) (2) การทำงานของรัฐบาล (the functioning of government) (3) การมีส่วนร่วมทางการเมือง (political participation) (4) วัฒนธรรมทางการเมือง (political culture) และ (5) เสรีภาพพลเมือง (civil liberties) ซึ่งประเทศไทยได้ 7.42 6.07 8.33 5.63 และ 5.88 คะแนน ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ต่อจากประเทศมาเลเซียอันดับที่ 40 ฟิลิปปินส์อันดับที่ 52 อินโดนีเซีย อันดับที่ 54 และไทยอันดับที่ 55 โฆษกรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในรายงานยังระบุว่า ประเทศไทยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้น 0.62 ถือเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในดัชนีนี้ การพัฒนาดังกล่าวเกิดจากการเพิ่มพื้นที่ทางการเมืองสำหรับพรรคฝ่ายค้านของประเทศ การมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น และภัยคุกคามจากความไม่สงบต่อประเทศลดลง จึงส่งผลให้ประเทศไทยเลื่อนอันดับโลกขึ้นมา 17 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 55 “ตัวเลขดัชนีประชาธิปไตยนี้เป็นอีกหนึ่งรูปธรรม ที่สะท้อนความจริงใจของรัฐบาลในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ รัฐบาลเคารพทุกเสียง ยอมรับความคิดเห็น ที่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าทุกคนมีจิตใจที่ตั้งมั่นในการพัฒนาชาติ ทั้งนี้ นอกจากการพัฒนาประชาธิปไตยแล้ว เรายังมีปัญหาในชาติที่ยังรอการแก้ไข รัฐบาลพร้อมเดินหน้าทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ำเสมอว่า รัฐบาลจะไม่หยุดหน้าที่เพียงการแก้ไขปัญหา แต่รัฐบาลตั้งมั่นที่จะวางรากฐานความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า อย่างยั่งยืนไปสู่วันข้างหน้า เพื่อประชาชนในรุ่นต่อ ๆ ไป” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 03/02/2566 ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน ประชาชนชาวไทย ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (3 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ มีหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดหนองบัวลำภู นครนายก และพิจิตร จัดพิธีรับมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่จังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงวันที่ 2 - 3 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดระยอง ที่พระอุโบสถวัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง พระเทพสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายอนันต์ นาคนิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคเอกชน จิตอาสา และประชาชนชาวระยอง ร่วมพิธี 2. จังหวัดอุดรธานี ที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 88 พรรษา วัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี พระราชสารโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี(ธ) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ พระอารามหลวง เป็นประธานสงฆ์ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางนงรัตน์ คงเกษม ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุดรธานี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี คณะแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ประชาชนและพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดอุดรธานี ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดกำแพงเพชร ที่พระอุโบสถวัดคูยาง (พระอารามหลวง) อ.เมืองกำแพงเพชร นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ว โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 4. จังหวัดหนองคาย ที่พระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง อ.เมืองหนองคาย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สวดสาธยายถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ว โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย และประชาชนชาวหนองคาย ร่วมพิธี 5. จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ศาลาการเปรียญวัดอุสภาราม (วัดบางวัว) นางสาวกมลชญา ประเสริฐสิน นายอำเภอบางปะกง พร้อมด้วย คณะกิ่งกาชาดอำเภอบางปะกง บุคลากรสังกัดโรงบาลส่งเสริมตำบลบางวัว ผู้บริหารท้องถิ่นท้องที่ และข้าราชการ ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ และมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ ยากจน ในพื้นที่ ตำบลบางวัว และร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 6. จังหวัดสมุทรปราการ ที่วัดสุคันธาวาส ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ นายเฉลิมเดช นาคมอญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางบ่อ พร้อมด้วย ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางบ่อ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดนครปฐม ที่มหาวชิราลงกรณ์บาลีเถรวาทราชวิทยาลัย อ.กำแพงแสน นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม ร่วมถวายภัตตาหารเพลพระราชทานแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดลพบุรี ณ วัดดำรงบุล อ.ช่องสาริกา นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอพัฒนานิคม พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการอำเภอพัฒนานิคม ข้าราชการ พนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลช่องสาริกา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 9. กรุงเทพมหานคร ที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในพระราชูปถัมภ์ ฯ เขตพระนคร นายสัมฤทธิ์ สุมาลี ผู้อำนวยการเขตพระนคร พร้อมด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา คณะครู ผู้ปกครองและนักเรียน ร่วมกิจกรรมทำบุญตักบาตร สวดมนต์อธิษฐานจิต ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน ให้การดูแลทั้งประชาชนในพื้นที่และจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมจัดโครงการรองรับการเป็นสังคมสูงอายุ ดูแลเชิงรุกกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน ให้การดูแลทั้งประชาชนในพื้นที่และจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมจัดโครงการรองรับการเป็นสังคมสูงอายุ ดูแลเชิงรุกกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2566) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 1 คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว จังหวัดน่าน พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 1 กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราโชบายให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเป็นฐานที่แข็งแรงในการขยายงานด้านสุขภาพสู่ชมชน ซึ่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัวเป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย รับ-ส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลชุมชนทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน 5 อำเภอ ได้แก่ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลทุ่งช้าง โรงพยาบาลเชียงกลาง โรงพยาบาลบ่อเกลือ และโรงพยาบาลท่าวังผา และยังให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่มีอาณาเขตติดต่อกัน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ลดระยะเวลาในการเดินทาง ขณะเดียวกันต้องคงประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย โดยได้พัฒนางานสำคัญในหลายด้าน อาทิ การผ่าตัดด้านศัลยกรรมทั่วไป ด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ด้านสูตินรีเวชกรรม การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารลำไส้เล็กส่วนต้น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ตรวจวินิจฉัยรักษาโรคด้วยเครื่องมือพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ใช้เทคนิคปลอดเชื้อและเทคนิคเฉพาะของห้องผ่าตัด โดยเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง นายแพทย์ทศเทพ กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว มีการจัดบริการเชิงรุกโดยมีทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวลงพื้นที่ดูแลครอบคลุมทุกตำบลในอำเภอปัว ออกให้บริการตรวจรักษาและให้คำปรึกษาแก่เครือข่ายสาธารณสุข 12 รพ.สต. และ 2 สสช. ร่วมเป็นทีมในการขับเคลื่อนเพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีประมาณ 20 % ของประชากร ได้มีโครงการต่างๆ รองรับการเป็นสังคมผู้สูงอายุ เช่น โครงการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในผู้สูงอายุ โครงการคัดกรองความเสี่ยงการพลัดตกหกล้มและภาวะกระดูกพรุน และมีการติดตามเยี่ยมบ้านกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ โดยบูรณาการการดูแลกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังมีโครงการเสริมศักยภาพให้ยุวชนน้อยสามารถดูแลตัวเองและสร้างเสริมสุขภาพแก่ครอบครัวและชุมชนหลังจากจบการศึกษา โดยปฏิบัติผ่านเครือข่ายจิตอาสา สืบทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพสู่ชุมชนตามบริบทพื้นที่ของตัวเอง เป็นการสร้างเสริมสุขภาพพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่านักสืบสุขภาพ ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว ได้มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาลโดยบูรณาการมิติจิตวิญญาณในการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ได้รับรางวัล Spiritual Healthcare Appreciation Award ปี 2562 และเป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งแรกในประเทศไทย ที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SHA Certification (การรับรองระบบการทำงานในสถานพยาบาลด้วยจิตวิญญาณ) *********************** 4 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี การจัดการแข่งขันกีฬาสูงอายุนานาชาติ ครั้งที่ 3
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี การจัดการแข่งขันกีฬาสูงอายุนานาชาติ ครั้งที่ 3 “3rd THAILAND OPEN MASTERS GAMES” จังหวัดชลบุรี มีนักกีฬาเข้าร่วมถึง 3,237 คน จาก 30 ประเทศ วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและขอบคุณการเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาสูงอายุนานาชาติ ครั้งที่ 3 “3rd THAILAND OPEN MASTERS GAMES” ระหว่างวันที่ 4 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดชลบุรี ของสมาคมกีฬาผู้สูงอายุไทย และภาคีสมาคม 17 ชนิดกีฬา ด้วยความสนับสนุนจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จังหวัดชลบุรี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มหกรรมกีฬาการแข่งขันกีฬาสูงอายุนานาชาติ ครั้งที่ 3 “3rd THAILAND OPEN MASTERS GAMES” นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานเจตนารมณ์โครงการการแข่งขันกีฬาสูงอายุระดับประเทศ และวิวัฒนาการของกีฬาผู้สูงอายุในระดับสากล และเพื่อพัฒนามาตรฐาน ศักยภาพของนักกีฬาสูงอายุไทย พร้อมทั้ง ส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬาเพื่อเพิ่มคุณค่าทางสังคมและมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยทำการแข่งขันด้วยมาตรฐานสากล เวลา 9 วัน โดยการแข่งขันจะมีทั้งสิ้น 15 ชนิดกีฬา กับอีก 2 กีฬาสาธิต ทั้งหมด 1,734 เหรียญทอง ซึ่งได้รับการรับรองการแข่งขันจากสมาคมสหพันธ์กีฬาแห่งภาคพื้นเอเซียแปซิฟิค (GAAPSF) นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดการแข่งขันในครั้งนี้รณรงค์ให้จัดในรูปแบบ “มาตรฐานการบริหารการจัดงานอย่างยั่งยืน” (Thailand Sustainable Event Management Standard: TSEMS) เพื่อเป็นการยกระดับการจัดการแข่งขันกีฬาในประเทศไทยให้มีความยั่งยืนตามนโยบาย BCG และเป็นโอกาสนำกีฬามาเสริมสร้างมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งนี้ สำหรับการแข่งขัน 15 ชนิดกีฬา และ 2 กีฬาสาธิต ใช้สนามแข่งขันที่จังหวัดชลบุรี อำเภอศรีราชา พัทยา และจังหวัดจันทบุรี 15 ชนิดกีฬาที่แข่งขัน ได้แก่ กรีฑา แบดมินตัน บาสเกตบอล เพาะกาย ลีลาศ ฟุตบอล เกทบอล เปตอง เซปักตะกร้อ ว่ายน้ำ เทเบิลเทนนิส เทนนิส วู้ดบอล และ กระดานยืนพาย และ 2 กีฬาสาธิต ได้แก่ บริดจ์ (เกมไพ่) และคาราเต้ มีนักกีฬาเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 3,237 คน จาก 30 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า ลาว มาเลเซีย สิงค์โปร์ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินเดีย เนปาล อินโดนีเซีย ศรีลังกา ปากีสถาน อิหร่าน ตุรกี อังกฤษ รัสเซีย บูรไน สาธารณรัฐเช็ก แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา สวีเดน ออสเตรเลีย และ ไอร์แลนด์ “นายกรัฐมนตรียินดีและขอบคุณการจัดการแข่งขันกีฬาสูงอายุครั้งนี้เป็นระดับนานาชาติเต็มรูปแบบ ซึ่งมีนักกีฬาเข้าร่วมถึง 30 ประเทศ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้เห็นถึงศักยภาพของไทยแล้ว ยังเชื่อมั่นว่ากีฬาผู้สูงอายุจะต่อยอดไปยังการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ เป็นโอกาสในการพัฒนาประชากรของไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ พร้อมทั้งกำชับหน่วยงาน ดูแลในเรื่องมาตรฐานการจัดการ สถานที่พัก การรักษาความปลอดภัยของนักกีฬาและทีมงานคนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเรื่องระบบสาธารณสุขให้เคร่งครัดเหมาะสม”นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับมอบอาคารศูนย์ทันตกรรม รพ.บ้านด่านลานหอย พร้อมรถจักรยานยนต์ให้บริการเชิงรุกในชุมชนและเงินบริจาคสร้างอาคารด้านสุขภาพ รพ.กงไกรลาศ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 “อนุทิน” รับมอบอาคารศูนย์ทันตกรรม รพ.บ้านด่านลานหอย พร้อมรถจักรยานยนต์ให้บริการเชิงรุกในชุมชนและเงินบริจาคสร้างอาคารด้านสุขภาพ รพ.กงไกรลาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ จ.สุโขทัย รับมอบอาคารศูนย์ทันตกรรมและงานบริหาร (อาคารจิตเมตตา ชูชาติ ดาวนภา) รพ.บ้านด่านลานหอย มูลค่า 30 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนจัดสร้างให้ พร้อมรถจักรยานยนต์พ่วงข้างให้บริการเชิงรุกในชุมชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ จ.สุโขทัย รับมอบอาคารศูนย์ทันตกรรมและงานบริหาร (อาคารจิตเมตตา ชูชาติ ดาวนภา) รพ.บ้านด่านลานหอย มูลค่า 30 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนจัดสร้างให้พร้อมรถจักรยานยนต์พ่วงข้างให้บริการเชิงรุกในชุมชน มูลค่า 2.5 ล้านบาท และเงินบริจาคอีก 50 ล้านบาทสำหรับสร้างอาคารให้บริการด้านสุขภาพของ รพ.กงไกรลาศ และวางศิลาฤกษ์ อาคารผู้ป่วยนอก 6 ชั้น รพ.สวรรคโลกเพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดรอคอย วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ รพ.บ้านด่านลานหอย อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานรับมอบอาคารจิตเมตตา ชูชาติ ดาวนภา มูลค่า 30 ล้านบาท จากบริษัทเมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริจาคงบประมาณในการก่อสร้างเพื่อใช้เป็นอาคารศูนย์ทันตกรรมและงานบริหารของโรงพยาบาล พร้อมรถจักรยานยนต์พ่วงข้างในการให้บริการเชิงรุกดูแลสุขภาพผู้ป่วยในชุมชน จำนวน 20 คัน มูลค่า 2.5 ล้านบาท และเงินบริจาคอีก 50 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารให้บริการด้านสุขภาพของ รพ.กงไกรลาศ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ดร.นพ.ปองพล วรปาณิ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย นพ.พงษ์ศักดิ์ ราชสมณะ ผอ.รพ.บ้านด่านลานหอย คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และ อสม. ร่วมเป็นสักขีพยาน นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนาโรงพยาบาลทุกแห่งให้เป็น “โรงพยาบาลของประชาชน” ที่สวยงาม สะอาด ทันสมัย ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก เข้าถึงง่าย ลดขั้นตอน ลดความแออัด ลดความเหลื่อมล้ำ ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม บริการมีคุณภาพ ใส่ใจดุจญาติมิตร ดูแลแบบองค์รวมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ชุมชน และท้องถิ่น ได้มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างสุขภาพคนไทย ซึ่งต้องขอขอบคุณ คุณชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทเมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ได้บริจาคอาคารด้านสุขภาพให้กับโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใน จ.สุโขทัย เป็นแห่งที่ 3 โดยครั้งแรก เป็นการบริจาคให้กับโรงพยาบาลสุโขทัย เมื่อปี 2556 และ ครั้งที่ 2 บริจาคให้กับโรงพยาบาลคีรีมาศ ปี 2563 นับเป็นโอกาสดีของประชาชนจังหวัดสุโขทัย ที่มีภาคเอกชนให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ ทำให้มีอาคารบริการสุขภาพที่ทันสมัย ให้บริการด้วยระบบดิจิทัล รองรับการจัดบริการสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะการจัดบริการสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนในอำเภอบ้านด่านลานหอย และอำเภอใกล้เคียงได้อย่างทั่วถึง เช่น มีระบบนัดผู้ป่วยผ่านLine Application/ Facebook ตลอดจนการ X-Ray ช่องปากและกะโหลกศีรษะด้วยระบบดิจิทัล เป็นต้น สำหรับ อาคารจิตเมตตา ชูชาติ ดาวนภา เป็นอาคารสูง 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง โดย คุณปริทัศน์ เพ็ชรอำไพ บุตรชายคุณชูชาติ เพ็ชรอำไพ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 ชั้นที่ 1 ให้บริการคลินิกงานจิตเวชและยาเสพติด กระตุ้นพัฒนาการ และคลินิกยาต้านไวรัสเอดส์ ตลอดจนมีแผนใช้เป็นคลินิกโรคไม่ติดต่อ ความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน และชั้นที่ 2 ให้บริการด้านทันตกรรม รองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น จากเดิมมี 3 ยูนิต ให้บริการในเวลาราชการเฉลี่ย 538 ราย/เดือน นอกเวลาราชการ 51 ราย/เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 6 ยูนิต สามารถให้บริการในเวลาราชการได้เฉลี่ย 50 ราย/วัน และนอกเวลาราชการ 5 รายต่อเวร รวมทั้งให้บริการผู้ป่วยนอกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดปี 2565 ให้บริการ 33,875 คน 138,617 ครั้ง และให้บริการผู้ป่วยใน 2,466 คนเป็นการเพิ่มพื้นที่การจัดบริการ ลดความแออัด และลดระยะเวลารอคอย ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้นเพื่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น หลังจากนั้น นายอนุทิน ได้นำคณะผู้บริหาร สธ. ร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยนอก 6 ชั้น โรงพยาบาลสวรรคโลก วงเงินงบประมาณ 86,381,400 บาท มีพื้นที่ใช้สอย 2,085 ตารางเมตร ประกอบด้วย ชั้นที่ 1 แผนกอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน ชั้นที่ 2 และ 3 แผนกOPD ชั้นที่ 4 แผนกทันตกรรม ชั้นที่ 5 สำนักงานแพทย์ และชั้นที่ 6 สำนักงานอำนวยการ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมให้บริการในปี 2568 ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน อำเภอสวรรคโลก และอำเภอใกล้เคียงในการใช้บริการที่โรงพยาบาลสวรรคโลก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 120 เตียง รับผิดชอบประชาชน 82,000 คน มีแพทย์เฉพาะทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยสาขาหลักอายุรกรรม กุมารเวชกรรม ศัลยกรรม สูติกรรม ศัลยกรรมกระดูกและข้อ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน รวม 20 คน ให้บริการผู้ป่วยนอก เฉลี่ย 600 คน/วัน ********************************************* 4 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ใช้รถหลังข้อมูลเดือน ม.ค. ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังเพิ่มขึ้น กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้มาตรการตามกฎหมายเข้มงวด ขณะหน่วยงานดูแลการก่อสร้างทางถนน
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ใช้รถหลังข้อมูลเดือน ม.ค. ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังเพิ่มขึ้น กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้มาตรการตามกฎหมายเข้มงวด ขณะหน่วยงานดูแลการก่อสร้างทางถนน นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ใช้รถหลังข้อมูลเดือน ม.ค. ยอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนยังเพิ่มขึ้น กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้มาตรการตามกฎหมายเข้มงวด ขณะหน่วยงานดูแลการก่อสร้างทางถนนตรวจสอบให้ผู้รับเหมาจัดมาตรการป้องกันให้รัดกุม วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกได้เริ่มใช้ระบบตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้ความสนใจติดตามข้อมูลเกี่ยวกับดำเนินการตามมาตรการและผลต่อสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในเดือน ม.ค. 66 ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้นายกรัฐมนตรีห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขัน บังคับใช้มาตรการทั้งส่วนของการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างวินัยจราจรให้เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังห่วงใยกรณีของอุบัติเหตุที่เกิดจากงานก่อสร้างบนท้องถนน จึงขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการก่อสร้างทั้งส่วนของกรมทางหลวง ทางหลวงชนบท หรือหน่วยงานท้องถิ่นที่ควบคุมการก่อสร้างในสายทางย่อย ให้กำกับติดตามการทำงานของผู้รับเหมาให้มีการจัดสัญญาณแจ้งเตือนประชาชน หรือมีมาตรการป้องกันอุบัติเหตุให้รัดกุมด้วย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค. 66 ได้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งสิ้น 1,408 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,302 ราย ในช่วงเดียวกันของปี 65 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.14 ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 70,044 คน ลดลงจาก 80,178 คน ในปี 65 หรือลดลงร้อยละ 12.63 ซึ่งจากผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดนี้เป็นผู้ประสบภัยจากจักรยานยนต์ถึงร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มาจากรถยนต์ ทางด้านกรมการขนส่งทางบก รายงานข้อมูลการดำเนินการตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.เป็นต้นมา พบว่าจนถึงวันที่ 30 ม.ค. 66 มีผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรและถูกตัดแต้มสะสม 11,531 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ถูกตัด 1 คะแนน ซึ่งเป็นกลุ่มความผิด เช่น ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็วเกินกำหนด ขับรถบนทางเท้า ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ไม่หลบรถฉุกเฉิน เป็นต้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า จากผู้ถูกตัดแต้มใบอนุญาตขับขี่ทั้งหมดข้างต้นเป็นผู้มีคะแนนคงเหลือจากคะแนนเต็ม 12 คะแนน สรุปได้ดังนี้ เหลือ 11 คะแนน จำนวน 9,717 คน เหลือ 10 คะแนน 1,718 คน เหลือ 9 คะแนน 71 คน เหลือ 8 คะแนน 14 คน เหลือ 7,6,5 และ 2 คะแนน อย่างละ 1 คน และเหลือ 1 คะแนน 7 คน ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้เตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่กระทำผิดแล้วโดนตัดแต้มใบขับขี่ให้สามารถเข้าอบรบเพื่อขอคืนแต้ม ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างพฤติกรรมการขับรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย ลดพฤติกรรมเสี่ยงสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและการสูญเสียในภาพรวมลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.บ้านตาขุน สุราษฎร์ธานี เพิ่มบริการลดและหยุดยาในผู้ป่วยเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง (Remission service) เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 รพ.บ้านตาขุน สุราษฎร์ธานี เพิ่มบริการลดและหยุดยาในผู้ป่วยเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง (Remission service) เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พัฒนาระบบงานผู้ป่วยนอก โปรแกรมการรักษาทางเลือกแก่ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ด้วยแนวคิด Smart NCD ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทีมสหวิชาชีพวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและวางแผนการรักษา โรงพยาบาลบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พัฒนาระบบงานผู้ป่วยนอก โปรแกรมการรักษาทางเลือกแก่ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ด้วยแนวคิด Smart NCD ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทีมสหวิชาชีพวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและวางแผนการรักษา เปลี่ยนแนวความคิดว่าโรคเบาหวานความดันโลหิตสูงสามารถเข้าสู่ระยะสงบได้ (Remission) นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยให้ผู้ป่วยลดการใช้ยาจนถึงสามารถหยุดยาได้ นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 11 เปิดเผยว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตของคนไทย ข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ปี 2564 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน 16,008 ราย และจากโรคความดันโลหิตสูง 9,444 ราย ซึ่งกลุ่มโรคนี้ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต โรงพยาบาลบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงมีการพัฒนาโปรแกรมการรักษาทางเลือกแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงด้วยแนวคิด Smart NCD ซึ่งเน้นปรับวิธีการทำงานและนำเทคโนโลยีอย่างง่ายเข้ามาช่วยแพทย์ทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ Smart Watch ติดตามกิจกรรมทางกาย ร่วมกับอุปกรณ์เจาะหาน้ำตาลในเลือดที่บ้าน หรือเครื่องวัดความดัน และเชื่อมโยงข้อมูลเข้าระบบ Cloud สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สะดวก จะใช้การจดข้อมูลในกระดาษแล้วผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสุขภาพให้แพทย์วิเคราะห์และวางแผนการปรับพฤติกรรมเป็นรายบุคคล โดยมีทีมสหวิชาชีพคอยให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว เช่น การออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ให้กำลังใจผู้ป่วย ทำให้สามารถปรับลดยาเดิม และบางรายหายป่วย สามารถหยุดยาได้ ซึ่งเป็นผลดีกับตัวผู้ป่วยเอง รวมถึงช่วยลดความแออัดให้กับโรงพยาบาล เนื่องจากมีการติดตามอาการผ่านเทคโนโลยี และผู้ป่วยบางส่วนสามารถหยุดยาได้ ด้าน นายแพทย์เอกพล พิศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาขุน กล่าวว่า ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่เข้ารับบริการใน Smart NCD Clinic ต้องผ่านการประเมินของแพทย์ก่อนว่าจะเป้าหมายในการรักษาจะสามารถไปได้แค่ไหน เช่น หยุดยาได้หรือไม่ หลังจากนั้นก็จะมีการทำแผนการรักษาร่วมกับการตัดสินใจของผู้ป่วย ปัจจุบันมีเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้าสู่ระยะสงบแล้ว 27 ราย (โรงพยาบาล 22 ราย,รพ.สต. 5 ราย) จากผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารักษาที่โรงพยาบาล 695 ราย ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสามารถหยุดยาได้แล้ว 177 ราย (โรงพยาบาล 161 รายรพ.สต. 16 ราย) จากผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล 1,592 ราย โดยระยะแรกแพทย์จะทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ทั้งพยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด อย่างใกล้ชิด มีการนัดหมายทุก 1-2 สัปดาห์ ร่วมกับกระบวนการที่สำคัญคือ การปรับกรอบความคิดว่าโรคนี้สามารถดีขึ้นได้ด้วยการปรับพฤติกรรม ไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิต ขณะที่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ต้องเปิดใจรับฟังผู้ป่วยแบบเพื่อน ติดตามอาการ ให้ความรู้ด้านโภชนาการและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานในปี 2565 ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานที่ดูแลในโรงพยาบาลสามารถควบคุมอาการได้ดีถึงร้อยละ 59.4 และ Remission ร้อยละ 4.7 ส่วนผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมอาการได้ดี ร้อยละ 68.2 และ Remission ร้อยละ 10.4 ที่สำคัญยังเกิดกระบวนการส่งต่อความรู้ ส่งผลให้จำนวนการเกิดผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงรายใหม่มีจำนวนลดลง และจำนวนผู้ป่วยที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคดังกล่าวลดลง อย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ลดลง จากปี 2560 มีจำนวน 12 ราย ในปี 2565 ลดลงเป็น 4 ราย *********************** 4 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร นำทีมลงพื้นที่ จ. อุบลราชธานี ชี้แจงโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 รมช.ประภัตร นำทีมลงพื้นที่ จ. อุบลราชธานี ชี้แจงโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ รมช.ประภัตร นำทีมลงพื้นที่ จ. อุบลราชธานี ชี้แจงโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ เพื่อช่วยให้เกษตรกร สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ชี้แจงโครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร พร้อมเยี่ยมชมแปลงปลูกฟักทองของเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ ณ บ้านค้อ ม.1 ต.เมืองศรีไค อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ว่า โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร หรือบุคคลทั่วไป รวมถึงกลุ่มแรงงานในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้มีเงินทุนในการสร้างงานสร้างอาชีพ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือการประกอบอาชีพนอก ภาคการเกษตร ที่มีลักษณะเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ หรืออาชีพที่มีลักษณะเป็นการลงทุนค้าขาย เพื่อเลี้ยงชีพในครัวเรือน ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนัก สร้างธุรกิจใหม่ และต้องไม่เป็นการประกอบอาชีพในลักษณะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือผิดกฎหมาย รมช.ประภัตร กล่าวว่า โครงการสานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร เป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส. ) ได้ทำร่วมกัน เพราะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นและกำชับมายังกระทรวงเกษตรฯ ให้เร่งแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ผ่านโครงการดังกล่าวฯ โดยจะสนับสนุนเงินกู้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับเกษตรกร เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านการเกษตรให้กับเกษตรกร หรือประชาชนที่มีความสนใจประกอบอาชีพ เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับ มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต ให้สามารถสร้างรายได้ในระยะสั้น 4 - 6 เดือนซึ่งจะมีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อการดำรงชีพ และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้รับการอนุมัติวงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ปล่อยกู้เป็นรายบุคคล หนี้เสียสามารถกู้ได้ สามารถใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ โดยจะปล่อยกู้สูงสุดรายละ 100,000 บาท/1-3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 และปีที่ 4 - 5 ดอกเบี้ยตามปกติของธนาคาร นอกจากนั้น ยังได้ชมแปลงปลูกฟักทองของเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ แปลงฟักทองนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร ในโครงการสานฝันฯ ซึ่งเป็นการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ลงทุนไม่มาก ได้ผลตอบแทนที่ดี และมีตลาดรองรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ มอบเงินเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติด้านเกษตร วงเงิน 86 ล้านบาท บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกร
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ‘รมช.มนัญญา’ มอบเงินเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติด้านเกษตร วงเงิน 86 ล้านบาท บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกร ‘รมช.มนัญญา’ มอบเงินเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติด้านเกษตร วงเงิน 86 ล้านบาท บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกร นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีมอบเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรจังหวัดอุทัยธานี โดยมี นายอลงกต วรกี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายธนะสิทธิ์ ธนากีรตินันท์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกรจำนวน 240 คน เข้าร่วม ณ หอประชุมอาคารภักดี เทศบาลตําบลสว่างอารมณ์ อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีภารกิจหลักในการช่วยเหลือเยียวยาให้กับเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ตลอดจนส่ง เสริมสนับสนุน ปัจจัยพื้นฐานทางการเกษตร โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา จังหวัดอุทัยธานีมีเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยพิบัติด้านการเกษตร ส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งด้านพืช ด้านประมง และด้านปศุสัตว์ ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ วงเงินขอความช่วยเหลือ จำนวน 187,019,539.50 บาท ซึ่งจังหวัดอุทัยธานีได้รับการอนุมัติโอนเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 86,221,714.50 บาท ได้แก่ 1. ด้านพืช เกษตรกรได้รับเงินรวม 3,173 ราย วงเงิน 85,719,118 บาท 2. ด้านประมง เกษตรกรได้รับเงินรวม 19 ราย วงเงิน 108,856.50 บาท และ 3. ด้านปศุสัตว์ เกษตรกรได้รับเงินรวม 22 ราย วงเงิน 393,740 บาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างขออนุมัติขยายวงเงินจากกรมบัญชีกลาง เพื่ออนุมัติโอนเงินให้แก่เกษตรกรต่อไป สำหรับข้อมูลความเสียหายภัยพิบัติด้านการเกษตรในปี 2565 เกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี รายงาน ดังนี้ 1) เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านพืช 9,391 ราย พื้นที่เสียหายรวม 96,294.38 ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว 16,901 ไร่ พืชไร่/พืชผัก 78,057.75 ไร่ ไม้ผลไม้ยืนต้น และอื่น ๆ 1,335.63 ไร่ วงเงินขอความช่วยเหลือรวม 182,608,295 บาท 2) เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านประมง 395 รายพื้นที่เสียหาย แบ่งเป็น พื้นที่ที่เลี้ยงในบ่อดิน นาข้าว หรือร่องสวน 385.25 ไร่ และพื้นที่ที่เลี้ยง ในกระชัง บ่อซีเมนต์ 1,825.50 ตารางเมตร วงเงินขอความช่วยเหลือรวม 2,475,524.50 บาท และ 3) เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านปศุสัตว์ 198 ราย สัตว์เลี้ยงตาย/สูญหาย 10,565 ตัว แบ่งเป็น สุกร 9 ตัว แพะ 38 ตัว แกะ 95 ตัว ไก่พื้นเมือง 8,105 ตัว ไก่ไข่ 693 ตัว เป็ดไข่ 1,545 ตัว เป็ดเนื้อ/เป็ดเทศ 75 ตัว ห่าน 5 ตัว และแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์เสียหาย 354 ไร่ วงเงินขอความช่วยเหลือรวม 1,935,720 บาท นอกจากนี้ ยังได้มอบหนังสืออนุญาตการเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับเอกสารสิทธิจาก ส.ป.ก.4-01 จำนวน 10 ราย และการออกร้านจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พร้อมทั้งการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเบื้องต้นให้แก่เกษตรกรอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คุมเข้มโฆษณาไม่ตรงปก ดูเลยคำไหนห้ามใช้ ฝ่าฝืนมีโทษปรับ-จำคุก
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 คุมเข้มโฆษณาไม่ตรงปก ดูเลยคำไหนห้ามใช้ ฝ่าฝืนมีโทษปรับ-จำคุก คุมเข้มโฆษณาไม่ตรงปก ดูเลยคำไหนห้ามใช้ ฝ่าฝืนมีโทษปรับ-จำคุก วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อให้การโฆษณาสินค้าเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ไม่ใช้คำอวดอ้างสรรพคุณที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ รวมถึงสาระกฎหมายมีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์สื่อที่มีหลายช่องทาง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จึงได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา เรื่อง แนวทางการใช้ข้อความโฆษณาที่มีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอันยากแก่การพิสูจน์ และแนวทางการพิสูจน์เพื่อแสดงความจริงเกี่ยวกับข้อความโฆษณา พ.ศ.2565 มีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 13 ม.ค. 66 ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ การใช้ข้อความโฆษณาไม่ว่าจะกระทำทางสื่อโฆษณาใดก็ตาม จะต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็น ฟัง หรืออ่านได้ชัดเจนตามประเภทของสื่อโฆษณา ไม่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ถ้าข้อความโฆษณาทำเป็นภาษาต่างประเทศ ต้องมีคำแปลภาษาไทยกำกับข้อความที่เป็นสาระสำคัญด้วยทุกครั้ง มากไปกว่านั้น ในประกาศ ยังห้ามไม่ให้มีข้อความปัดความรับผิดชอบหรือสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ อาทิ (1)สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่องของราคาและตัวสินค้า ตัวอย่างข้อความที่อาจจะเข้าข่าย เช่น บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาและเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า, ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า, ภาพสินค้าเป็นเพียงตัวอย่างอาจไม่ตรงกับรุ่นที่จัดโปรโมชั่นหรือข้อความอย่างอื่นที่มีลักษณะในทำนองเดียวกัน (2)ข้อความเสริมบารมี เพิ่มยอดขาย เพิ่มเสน่ห์ เรียกคนรัก แก้เคราะห์ แก้กรรม (3)ข้อความที่เน้นเจาะเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล หรือเจาะกลุ่มคนที่กำลังมีปัญหาและความทุกข์ ต้องการที่พึ่งทางใจ เรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง อาจจะหลงเชื่อได้ง่าย ตัวอย่างข้อความที่อาจจะเข้าข่าย เช่น เมื่อใช้แล้วจะเห็นผลทันที เห็นผลภายใน 7 วัน รับทำพิธีเรียกคนรักกลับคืนมา รับแก้เคราะห์ แก้กรรม เสริมบารมี เพิ่มยอดขาย เพิ่มเสน่ห์ ใครเห็นใครรัก (4)หากใช้ข้อความที่มีการเปรียบเทียบกับคู่แข่งหรืออ้างอิงผลวิจัย สถิติ ต่างๆ ต้องมีข้อมูลยืนยันชัดเจน และเมื่อถูกเรียกตรวจสอบในการพิสูจน์ข้อความโฆษณาต้องรวบรวมหลักฐานดำเนินการภายใน 15 วัน นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า หากคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าข้อความใดที่ใช้ในการโฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริงดังกล่าว คณะกรรมการฯ อาจออกคำสั่งให้นำข้อมูลมาพิสูจน์เพื่อแสดงความจริงได้ และในกรณีเร่งด่วน คณะกรรมการฯจะออกคำสั่งระงับการโฆษณาดังกล่าวเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะทราบผลการพิสูจน์ได้ ทั้งนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่ สายด่วน สคบ. 1166 ซึ่งในปี 65 เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณา มีจำนวน 2,764 เรื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 พสกนิกรทั่วประเทศ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทั่วประเทศ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พสกนิกรทั่วประเทศ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (4 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เชิญไปถวายวัดแต่ละจังหวัด เพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดระยอง ที่ศาลาการเปรียญพระเทพคุณาธาร วัดป่าประดู่ ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง พระครูโสภิตปัญญากร เจ้าอาวาสวัดป่าประดู่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายกำธร เวหน ปลัดจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา และพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 2. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ศาลาการเปรียญวัดสัปรสเทศ ต.วังยาง อ.ศรีประจันต์ พระศรีประจันตคณาภิบาล เจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายปริญ นิทัศน์เอก นายอำเภอศรีประจันต์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 3. จังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดป่าสุรีย์พรวนาราม อ.สันทราย นายโสภณ โกชุม นายกเทศมนตรีตำบลสันนาเม็ง พร้อมด้วย บุคลากรและเจ้าหน้าที่ในสังกัดเทศบาลตำบลสันนาเม็ง และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสามเณร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 4. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่วัดสามร้อยยอด ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด นายกำพล เต็งประเสริฐ นายกเทศมนตรีตำบลไร่เก่า เป็นประธานกิจกรรมงานปฏิบัติธรรม เนกขัมมบารมี บวชชีพราหมณ์ ประจำปี 2566 เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล พนักงานเทศบาล คณะครูจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลไร่เก่า และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรม 5. จังหวัดตราด ที่ศาลาประชาคมจังหวัดตราด นางชุลีพร เตรัตน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตราด พร้อมด้วย คณะเหล่ากาชาดจังหวัดตราด ร่วมกับโรงพยาบาลตราด ออกหน่วยจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตของเหล่ากาชาดจังหวัดตราด ประจำปี 2566 เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน นักเรียนนักศึกษา และประชาชนชาวตราด ร่วมกิจกรรม 6. จังหวัดอุบลราชธานี ณ วัดป่านาเยีย นางพัทธานันท์ ยังตรง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี มอบหมายให้ กิ่งกาชาดอำเภอเดชอุดม ร่วมกับโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. กรุงเทพมหานคร ที่บริเวณด้านหน้าอาคารมหินทรเดชานุวัตน์ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย อิหม่าม คณะกรรมการ ชาวสัปปุรุษประจำมัสยิดดารุ้ลอะมาล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ และประชาชน ร่วมประกอบพิธีขอพร (ดุอาอ์) จากอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า และร่วมพิธีลงนามถวายพระพร เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่พระวิหารหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.พระนครศรีอยุธยา พระธรรมรัตนมงคล เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร พร้อมด้วย คณะสงฆ์วัดพนัญเชิงวรวิหาร และพุทธศาสนิกชนชาวพระนครศรีอยุธยา ร่วมประกอบพิธีสวดมาติกาและเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 9. จังหวัดนครราชสีมา ณ พระอุโบสถวัดสุทธจินดาวรวิหาร ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา พระอุดมธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาวรวิหาร พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดสุทธจินดาวรวิหาร และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานประชุมมอบนโยบายผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เน้นย้ำ ต้องทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” “ทีมหมู่บ้าน” ดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานประชุมมอบนโยบายผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เน้นย้ำ ต้องทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” “ทีมหมู่บ้าน” ดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานประชุมมอบนโยบายผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เน้นย้ำ ต้องทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” “ทีมหมู่บ้าน” ดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน วันนี้ (4 ก.พ. 66) เวลา 08.30 น. ที่ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัย อาคารบริหารและสำนักงานกลาง มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายอำเภอ ผู้อำนวยการกลุ่มงาน ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า วันนี้เป็นโอกาสดีของพี่น้องประชาชนในจังหวัดพัทลุง และ 14 จังหวัดภาคใต้ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทรงเปิดป้ายสนามกีฬาสิริวัณณวรี ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการเสริมสร้างสุขภาพให้พี่น้องประชาชนได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีพื้นที่นันทนาการ อันจะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และเสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวทางการส่งเสริมผ้าไทยตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาทักษะให้กับช่างทอผ้าและผู้ประกอบการผ้าไทยทุกกลุ่ม ทุกเทคนิคในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ อันทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีความมั่นคงและยั่งยืน จึงทำให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ทุกท่านได้มาร่วมกันในการรับเสด็จและน้อมนำแนวพระดำริไปขับเคลื่อนขยายผลทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้รับการพัฒนาชีวิตด้วยปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยได้มุ่งมั่นน้อมนำมาขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง คือ การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันเป็นที่มาของการกำหนดหมุดหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (Statement of Commitment to Sustainable Thailand) ด้วยแนวคิด Change for Good ดังเจตจำนงและความประสงค์ของพวกเราทุกคน “1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน เพื่อคนไทย ร่วมกับสหประชาชาติ “โลกนี้เพื่อเรา”” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงสนพระทัยและทรงให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยพระราชทานหนังสือ Sustainable City ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับพระราชทานแนวพระดำริดังกล่าวมาขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ซึ่งทั้งนี้ ตลอดการทรงงานในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงงานด้วยความมุ่งมั่นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในงานภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถศิลป์ หัตถกรรม ด้วยเพราะพระประสงค์ที่อยากให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกเรื่อง จึงพระราชทานแนวทางส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเลิกใช้สีเคมี เช่น ผ้าบาติก ที่ทุกวันนี้ หลายกลุ่มได้หันมาใช้สีธรรมชาติ ตลอดทั้งกระบวนการผลิต ด้วยการปลูก ค้นคว้า ทดลอง นำพืชในท้องถิ่นมาทำ รวมทั้งในเรื่องของเส้นด้ายก็ทรงยุยงส่งเสริมให้ปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และสำหรับพื้นที่ที่ภูมิประเทศ ภูมิอากาศไม่เหมาะจะปลูก กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชนและผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้ร่วมกันในการ Matching จับคู่เกษตรกรในภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อให้แลกเปลี่ยนวัสดุกัน เช่น ตลาดผ้าไหมปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในวันนี้หลายกลุ่มที่ได้รับพระกรุณาธิคุณในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตนเองก็เริ่มมีการจับคู่และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนแล้ว “ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมุ่งมั่นในการน้อมนำพระดำริของพระองค์ท่าน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ด้วยการขับเคลื่อนแนวทางตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ 17 ซึ่งมีเป้าหมายการทำงานแบบ Partnership มุ่งยกระดับหุ้นส่วนความร่วมมือ โดยเฉพาะความร่วมมือหลายภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งจะทำให้ SDGs อีก 16 ข้อ บรรลุเป้าหมายได้ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องขับเคลื่อนทำให้นายอำเภอทุกอำเภอได้รื้อฟื้นระบบ Partnership ของอำเภอให้กลับมา ด้วยกลไก “กรมการอำเภอ” ในอดีต ทำให้ “ทีมอำเภอ” ทั้งทีมที่เป็นทางการ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำการปกครองท้องที่ และข้าราชการผู้รับผิดชอบประจำตำบล ให้มีความเข้มแข็งในการทำงาน รวมทั้งการสร้างทีมภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และทำให้มีระบบ “หย่อมบ้าน” หรือ “คุ้ม” ให้เกิดขึ้นในทุกหมู่บ้าน โดยกำหนดโจทย์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของชาวมหาดไทยและข้าราชการทุกคน ทั้งเรื่องยาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพอนามัย ความสะอาดของบ้านเมือง สาธารณสุขพื้นฐาน สุขภาพอนามัยแม่และเด็ก รวมทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ทีมมีความเข้มแข็ง ด้วยการหมั่นลงพื้นที่ไปให้กำลังใจทีม ถ้าผู้ใหญ่บ้านเข้มแข็ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเข้มแข็ง คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายต่าง ๆ ของอำเภอเข้มแข็ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้มแข็ง ประชาชนก็จะมีความสุข จึงเป็นที่มาของอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีก 16 ข้อก็จะตามมา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญกับทุกภารกิจของทุกส่วนราชการในระดับพื้นที่ เพราะ “ภารกิจของทุกกระทรวง คือ ภารกิจของคนมหาดไทย ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอทุกอำเภอ” ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน “ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของจังหวัด นายอำเภอเป็นนายกรัฐมนตรีของอำเภอ” ต้องผลักดันให้ผู้รับผิดชอบงานของทุกกระทรวง ทุกกรม ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีปลัดอำเภอเป็นรองนายกรัฐมนตรีของอำเภอและเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีในตำบลและในหมู่บ้าน ช่วยประคับประคองดูแลพี่น้องประชาชนให้มีความสุข บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ อันประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง ซึ่งประเทศชาติจะมั่นคง ประชาชนจะมีความสุข เราต้องน้อมนำพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ทำทุกนาทีที่มีค่าให้เกิดประโยชน์กับประชาชน และเป็นแบบอย่างให้กับข้าราชการรุ่นน้อง เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลักดูแลพสกนิกรของพระองค์ท่าน ทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อประชาชนตลอดไป “ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญในการส่งเสริมบทบาท “นายอำเภอ” และ “ทีมอำเภอ” สามารถขับเคลื่อนงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนผ่านโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” ทำให้ท่านนายอำเภอและทีมอำเภอ เป็นผู้นำต้องทำก่อน ต้องหมั่นลงพื้นที่ไปพบปะ ไปเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน ศึกษาประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ลงไปคลุกคลี มีความเคารพนบนอบพี่น้องประชาชนเหมือนญาติมิตรของเราสอดคล้องกับสิ่งที่องค์ปฐมเสนาบดีทรงสอนสั่งว่า ให้ออกไปเยี่ยมเยียน ไปทำงานในพื้นที่ “ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” รวมทั้งขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้วยการเอาใจใส่ในการขับเคลื่อนภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพ ได้ปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหารตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสำคัญ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน อีกทั้งกิจกรรมเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคี ความรัก ความอบอุ่น ของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเมื่อทุกครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่น ก็จะส่งผลให้หมู่บ้านมีความรัก ความสามัคคี และส่งผลให้ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ และทั้งจังหวัด เป็นพื้นที่ที่มีแต่คนรักกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้รักสามัคคี เอื้ออาทรกัน อันจะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย UN SDGs ทั้ง 17 ข้อ อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งขอให้ UN Resident Coordinator in Thailand สนับสนุนให้จังหวัดภูเก็ตได้เป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand ในปี พ.ศ. 2571 เพื่อเป็นโอกาสในการทำให้ประเทศไทยได้แสดงศักยภาพให้ทั่วโลกได้เห็นถึงผลลัพธ์แห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนของทุกภาคส่วนของไทย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ขอบคุณปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand ในปี พ.ศ. 2571 ของจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่เริ่มต้นการเสนอตัว โดยจังหวัดภูเก็ตได้เสนอตัวภายใต้ธีมงาน Future of Life : Living in Harmony, Sharing Prosperity ชีวิตแห่งอนาคต-แบ่งปันความรุ่งเรือง ด้าน Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand กล่าวว่า ตนขอชื่นชมบทบาทท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บริหารจังหวัดที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนหลอมรวมนำสังคมและชุมชนเดินหน้าพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ซึ่งการขับเคลื่อน SDGs ทั้ง 17 ข้อ ทาง UN ได้ทำงานสอดประสานและทำงานแนวทางเดียวกันกับทุกจังหวัด ทำทุกองคาพยพ ทั่วทั้งสังคม ด้วยการนำประชาชนและผู้คนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวัน โดยทีมงานสหประชาชาติทั้ง 21 หน่วยในประเทศไทย ทั้งนี้ การลงนาม Statement of Commitment to Sustainable Thailand เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ถือเป็นช่องทางในการทำงานสอดประสานใกล้ชิดขึ้นของจังหวัดและ UN ในระดับท้องถิ่น ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีช่องทางการพัฒนาการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น และประการสำคัญ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการเข้าถึงดิจิทัลต่าง ๆ โดย “เยาวชน” จะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่เราสามารถเข้าไปทำงานพัฒนาส่งเสริมได้ เพราะทั้ง ICT และอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ การคิด การเขียน จะเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชนในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พัฒนาการรักษาขั้นสูง ผ่าตัดมะเร็งได้ทุกระบบให้เคมีบำบัดได้ทุกโรค
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พัฒนาการรักษาขั้นสูง ผ่าตัดมะเร็งได้ทุกระบบให้เคมีบำบัดได้ทุกโรค โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบครบวงจร ผ่าตัดมะเร็งได้ทุกระบบ รักษาด้วยเคมีบำบัดได้ทุกโรค และพัฒนาการให้ยาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี พัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบครบวงจร ผ่าตัดมะเร็งได้ทุกระบบ รักษาด้วยเคมีบำบัดได้ทุกโรค และพัฒนาการให้ยาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดารเข้าถึงบริการได้สะดวกและทันเวลา ส่งผลให้ได้รับรางวัลศรีสวางควัฒน ประจำปี 2565 ประเภทหน่วยงานสาธารณสุขดีเด่น ระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป นายแพทย์มนต์ชัย วัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากพระปณิธานใน ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในการช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย จึงก่อกำเนิด “รางวัลศรีสวางควัฒน” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โดยสรรหาองค์กรสาธารณสุขดีเด่น ที่อุทิศตนในการปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อุตสาหะและทุ่มเท สมควรได้รับการยกย่องเชิดชู โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีวิทยาการความรู้ด้านการรักษาโรคมะเร็ง หรือด้านอื่นๆ ที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต่อเนื่อง ยั่งยืน เป็นต้นแบบจนส่งผลดีต่อประเทศชาติและสังคม โดยโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับรางวัลศรีสวางควัฒน ประจำปี 2565 ประเภทหน่วยงานสาธารณสุขดีเด่น ระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา นายแพทย์มนต์ชัย กล่าวต่อว่า ผลงานเด่นทางด้านมะเร็งของโรงพยาบาลฯ ได้ดำเนินการภายใต้นโยบายมะเร็งรักษาได้ทุกที่ (Cancer Anywhere) ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการให้ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาในหน่วยบริการใกล้บ้าน มีเป้าหมายในการพัฒนาการดูแลผู้ป่วย โดยเน้นการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่ได้มาตรฐานด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยที่เน้นการบริการดูแลรักษาแบบครบวงจร โดยมีการพัฒนาการให้ยาเคมีบำบัดได้ทุกโรค ร่วมกับขยายเครือข่ายการให้ยาเคมีบำบัดไปสู่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ด้านการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในผู้ใหญ่ สามารถลดอัตราการตายจากภาวะไข้จากเม็ดเลือดขาวต่ำ (Febrile neutropenia) ภายหลังรับเคมีบำบัดได้ไม่เกินร้อยละ 5 พัฒนาศักยภาพการปลูกถ่ายไขกระดูกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Hematopoietic stem cell transplantation) โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของตนเอง ปัจจุบันให้บริการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้วจำนวน 46 ราย นอกจากนี้ ยังพัฒนาการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในโรคโลหิตจางธัลลัสซีเมียได้ ส่วนด้านการผ่าตัดมะเร็งท่อน้ำดี ระหว่างปี พ.ศ. 2556 - 2561 ให้การผ่าตัดผู้ป่วยจำนวน 736 ราย มีผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ไม่พบเซลล์มะเร็งหลงเหลือ (RO Resection) ถึง 311 ราย ทำให้มีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น นอกจากด้านการรักษาโรคมะเร็ง โรงพยาบาลฯ ยังได้พัฒนาการรักษาด้านโรคหัวใจอย่างต่อเนื่อง ให้การวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Stenosis) และประสานความร่วมมือระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ส่งผู้ป่วยไปทำหัตถการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกเทียมผ่านทางสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด (TAVI) จำนวน 31 ราย ทำให้ผู้ป่วยในส่วนภูมิภาคมีโอภาสเข้าถึงการรักษาขั้นสูงได้อย่างเท่าเทียม ******************************************** 5 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองนายกฯ อนุทิน กำชับหน่วยงานสาธารณสุข คมนาคม ท่องเที่ยว พร้อมรับทัวร์จีนเริ่มพรุ่งนี้(6 ก.พ.) ด้านรัฐมนตรีคมนาคมติดตามการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานใกล้ชิด
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 ​รองนายกฯ อนุทิน กำชับหน่วยงานสาธารณสุข คมนาคม ท่องเที่ยว พร้อมรับทัวร์จีนเริ่มพรุ่งนี้(6 ก.พ.) ด้านรัฐมนตรีคมนาคมติดตามการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานใกล้ชิด ​รองนายกฯ อนุทิน กำชับหน่วยงานสาธารณสุข คมนาคม ท่องเที่ยว พร้อมรับทัวร์จีนเริ่มพรุ่งนี้(6 ก.พ.) ด้านรัฐมนตรีคมนาคมติดตามการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานใกล้ชิด วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 .ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้(6 ก.พ.) จะเป็นวันแรกที่ทางการจีนจะเริ่มอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ได้ใน 20 ประเทศซึ่งรวมถึงประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้กำชับหน่วยงานในกำกับ ได้แก่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ตรวจความพร้อมในด้านต่างๆ สำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานการควบคุมโรค ทั้งนี้ หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนประเมินสอดคล้องกันว่านักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะแม้จะมีการอนุญาตให้เดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์ไปต่างประเทศ แต่บริษัทท่องเที่ยวที่หยุดดำเนินการมานานเกือบ 3 ปี จะต้องใช้เวลาในการปรับตัว โดยบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย (บวท.) ประเมินว่าปริมาณเที่ยวบินจากจีนมายังประเทศไทยตลอดปี 66 จะอยู่ที่ 36,896 เที่ยวบิน เพิ่มจากปี 65 ร้อยละ 227.6% หรือ 2 เท่า โดยเที่ยวบินจะเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าจะกลับมาเท่ากับปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดของโคววิด19 ได้ในปี 67 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับความพร้อมด้านคมนาคมนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้มีการติดตามการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด โดยในวันที่ 9 ก.พ.นี้ มีกำหนดการตรวจเยี่ยมและติดตามข้อสั่งการต่างๆ ที่ท่าอากาศสุวรรณภูมิ ซึ่งนอกจากการลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของจุดบริการต่างๆ ในท่าอากาศยาน จะมีการประชุมผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) (ทอท.) ซึ่งเป็นท่าอากาศยานระหว่างประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์ของแต่ละท่าอากาศยานภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ รวมถึงติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระในท่าอากาศยานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร ร่วมสืบสานประเพณีพี่น้องเกษตรกรชาวอีสาน งานบุญลอมข้าวใหญ่ พร้อมทั้งมอบโคให้แก่เกษตรกร จ.ขอนแก่น
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 รมช.ประภัตร ร่วมสืบสานประเพณีพี่น้องเกษตรกรชาวอีสาน งานบุญลอมข้าวใหญ่ พร้อมทั้งมอบโคให้แก่เกษตรกร จ.ขอนแก่น รมช.ประภัตร ร่วมสืบสานประเพณีพี่น้องเกษตรกรชาวอีสาน งานบุญลอมข้าวใหญ่ พร้อมทั้งมอบโคให้แก่เกษตรกร จ.ขอนแก่น นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานบุญลอมข้าวใหญ่พร้อมทั้งมอบโคในโครงการธนาคารโค–กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริณวัดมธุวัณโณวาสต.หนองกุดใหญ่อ.กระนวนจ.ขอนแก่นว่าประเพณีบุญลอมข้าวใหญ่หรือบุญคุณลานนั้นเป็นประเพณีของชาวอีสานที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของชุมชนที่ดำรงอยู่ด้วยวิถีเกษตรกรรมมาช้านานด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินชาวนาจึงได้สำนึกในบุญคุณของข้าวที่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยทุกคนนอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงพลังความสามัคคีความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชุมชนเพื่อสืบทอดจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งของชาวนา นายประภัตรกล่าวว่าบุญลอมข้าวใหญ่เป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านที่ห่างหายไปเพราะปัจจุบันเกษตรกรมีวิถีชีวิตใหม่โดยการใช้รถเก็บเกี่ยวและอุปกรณ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นแทนการเก็บเกี่ยวโดยธรรมชาติและแรงงานคนตามวิถีของชาวบ้านทำให้การลอมข้าวหลังเก็บเกี่ยวและการปลงข้าวหรือการนำเครื่องบูชาพระแม่โพสพเสียบไว้ที่ลอมข้าวที่เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงการเห็นคุณค่าของข้าวและน้ำสูญหายไปและเพื่อเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีในวิถีทำนาแบบธรรมชาติกระทรวงเกษตรฯจึงได้ส่งมอบโคโครงการธนาคารโค–กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริซึ่งเกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นจำนวน27ตัวเพื่อให้ได้ใช้โค-กระบือเป็นแรงงานในการทำนาปลูกข้าวเป็นลักษณะของการอยู่ร่วมกันพึ่งพากันตามธรรมชาติอีกทั้งยังได้มูลโคนำมาเป็นปุ๋ยคอกเป็นการลดรายจ่ายและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นช่วยเหลือให้เกษตรกรมีปัจจัยการผลิตเป็นของตนเอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักรายใหม่ลงทะเบียนร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส5 ตั้งแต่ 8-15 ก.พ. รับอานิสงส์มาตรการรัฐช่วยฟื้นฟูภาคธุรกิจสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 ​รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักรายใหม่ลงทะเบียนร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส5 ตั้งแต่ 8-15 ก.พ. รับอานิสงส์มาตรการรัฐช่วยฟื้นฟูภาคธุรกิจสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ ​รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักรายใหม่ลงทะเบียนร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส5 ตั้งแต่ 8-15 ก.พ. รับอานิสงส์มาตรการรัฐช่วยฟื้นฟูภาคธุรกิจสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ 12,539 ล้านบาท วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 และมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการนั้น ล่าสุด ททท. ได้กำหนดรายละเอียดและช่วงเวลาดำเนินโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกิจกรรมแรกที่จะเริ่มในเดือนก.พ. คือเปิดให้ ผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักรายใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการฯในเฟสก่อนหน้านี้ ลงทะเบียนสมัครร่วมโครงการ ทางเว็บไซต์ ww.เราเที่ยวด้วยกัน.com ระหว่างวันที่ 8-15 ก.พ. 66 รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรม/ที่พักรายใหม่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ เพื่อรับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนฟื้นฟูการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลคาดว่าภายใต้งบประมาณดำเนินโครงการ 2,016 ล้านบาท จะกระตุ้นให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 12,539 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกำหนดเวลาใช้สิทธิร่วมโครงการของประชาชนทั่วไปนั้น ททท. จะเปิดระบบให้เริ่มจองโรงแรม/ที่พัก ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.-27 เม.ย. 66 เริ่มเข้าพักได้ในวันที่ 11 มี.ค.- 30 เม.ย. 66 ทั้งนี้ โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 มีจำนวนสิทธิทั้งสิ้น 560,000 สิทธิ รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรม/ที่พักร้อยละ40 สูงสุด 3,000 บาทต่อห้อง สามารถรับสิทธิ์สูงสุด 5 สิทธิต่อคน โดยไม่นับรวมสิทธิที่ใช้ในเฟสก่อนหน้า โดยผู้ใช้สิทธิจะต้องติดต่อจองที่พักกับผู้ประกอบการโดยตรง อย่างน้อย 3 วันล่วงหน้าก่อนวันเข้าพัก พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังสนับสนุน E-Voucher 600 บาทต่อวัน แต่ไม่มีการสนับสนุนค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน และในการดำเนินโครงการในเฟส5 มีการดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตที่เข้มงวด หากพบการกระทำผิด ททท. จะเป็นผู้แทนรัฐบาลในการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีที่ภาคท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัว หลัง Grab รายงานตัวเลขการใช้บริการของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 45 และ สายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ส เตรียมเพิ่มเที่ยวบินตรงสู่ไทยในเดือน ก.พ. นี้
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีที่ภาคท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัว หลัง Grab รายงานตัวเลขการใช้บริการของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 45 และ สายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ส เตรียมเพิ่มเที่ยวบินตรงสู่ไทยในเดือน ก.พ. นี้ โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ ยินดีที่ภาคท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัว หลัง Grab รายงานตัวเลขการใช้บริการของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 45 และ สายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ส เตรียมเพิ่มเที่ยวบินตรงสู่ไทยในเดือน ก.พ. นี้ (วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566)นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่แนวโน้มภาคท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากภาคเอกชนในกลุ่มธุรกิจให้บริการคมนาคมขนส่ง Grab รายงานตัวเลขการใช้บริการของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึง สายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ส เตรียมพร้อมการเพิ่มเที่ยวบินตรงสู่ไทย กรุงโดฮา – ภูเก็ต ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตัวเลขจากปัจจัยตลาดท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจากตัวเลขของกลุ่มธุรกิจให้บริการคมนาคมขนส่ง บริษัท Grab ประเทศไทย ได้รายงานตัวเลขผู้ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันของ Grab ในกลุ่มชาวต่างชาติช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 45 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และยังเผยผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องจุดหมายปลายทางยอดนิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยเป็นที่นิยมในอันดับ 1 ใน 3 ประเทศที่นักท่องเที่ยวอยากไปมากที่สุด ซึ่งอีก 2 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น อีกตัวชี้วัดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้แก่ สายการบินระดับโลก กาตาร์ แอร์เวย์ส เตรียมเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกรุงโดฮา-ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 อีก 3 เที่ยวบินต่อวัน รวมกับของเดิมระหว่างกรุงโดฮา-กรุงเทพฯ อีก 4 เที่ยวบินต่อวัน จึงทำให้มีเที่ยวบินสู่ประเทศไทยรวม 7 เที่ยวบินต่อวัน สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมจากทั่วโลก “นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นเดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการผ่านทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในไทย ส่งเสริมความปลอดภัย ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน พัฒนาการเดินทางท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ปลอดภัย และมีมาตรฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชวนให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย 20 หน่วยงาน เดินหน้ารณรงค์ “วันมะเร็งโลก” ภายใต้แนวคิด
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 สธ. ชวนให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย 20 หน่วยงาน เดินหน้ารณรงค์ “วันมะเร็งโลก” ภายใต้แนวคิด กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย 20 หน่วยงาน เดินหน้ารณรงค์ “วันมะเร็งโลก” ภายใต้แนวคิดปี 2566 “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” ร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งและให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ จ.ปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” โดยมีนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คณะผู้บริหาร ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน บุคลากรสาธารณสุข อสม. และ ประชาชน เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลกประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 80,000 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาโรคมะเร็งมาโดยตลอด โดยได้ผลักดันการดูแลรักษาโรคมะเร็งเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนำสู่การปฏิบัติ เพิ่มขึ้นหลายประการ ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจอุจจาระ หากพบความผิดปกติก็สามารถตรวจคัดกรองต่อด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจหายีนผิดปกติ ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และ การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก นอกจากนี้ยังสนับสนุนสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากวิธี PAP smear เป็นการคัดกรองด้วยวิธีการตรวจ HPV test ทำให้ความไวและความแม่นยำในการคัดกรองโรคสูงขึ้น และเมื่อคัดกรองพบว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ก็สามารถเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็ว สามารถลัดขั้นตอนการส่งต่อในระบบปกติโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ตามนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” (Cancer Anywhere) ซึ่งการวินิจฉัยเร็วและรักษาเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยใช้สิทธิ์มะเร็งรักษาได้ทุกที่แล้วกว่า 325,000 คน หรือ กว่า 2,900,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การตรวจวินิจฉัยด้วย PET scan ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ สารสกัดกัญชาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษา และการสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพง เช่น เครื่องฉายแสงให้กับโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยรอคอยการรักษาจำนวนมาก ทั่วประเทศ ทั้งนี้สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (UICC) ได้กำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันมะเร็งโลก” โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Uniting our voices and taking action ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว “นอกจากการดำเนินงานของภาครัฐแล้ว สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการรับผิดชอบต่อสังคม ไม่สร้างมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ คือการหยุดแชร์ข่าวปลอมข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง และตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนแชร์ทุกครั้ง” นายอนุทิน กล่าว นายแพทย์ธงชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นสนับสนุนทั้งองค์ความรู้ ข้อเท็จจริง พร้อมไปกับการพัฒนาระบบบริการด้านโรคมะเร็ง เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง และผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน อย่างเสมอภาค ซึ่งการที่ประชาชนใช้โซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ทำให้พบว่า มีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็งจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่หลงเชื่อข้อมูลเท็จดังกล่าวเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด และอาจซ้ำเติมให้โรคมะเร็งที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น ที่ผ่านมา แม้จะมีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เพื่อตรวจสอบและให้ข้อมูลข้อเท็จจริง แต่การแชร์ข้อมูลเท็จด้านนี้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคมและประชาชนในการสร้างความตระหนักและหยุดยั้งการแชร์ข้อมูลเท็จต่างๆ ด้านนายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรม “วันมะเร็งโลก” ครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จำนวน 20 แห่ง อาทิ กรมการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค, มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ, สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, โรงพยาบาลในเขต จ.ปทุมธานี และภาคเอกชน อาทิ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์, บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งภาคประชาสังคม คือ มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง จัดกิจกรรม 2 ส่วน ประกอบด้วย การให้บริการประชาชน ได้แก่ ชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง (HPV Self Sampling) และส่วนนิทรรศการความรู้ อาทิ นิทรรศการ “ANTI FAKE CANCER NEWS : หยุดแชร์ข่าวปลอม = ลงมือทำ, สาธิตการตรวจเต้านมด้วยตนเอง, การเย็บหมวกและเต้านมเทียมเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง, ให้คำปรึกษาการตรวจสุขภาพ, HPV Vaccine, นิทรรศการสาธิตเมนูอาหาร และนิทรรศการ Thai Cancer Society เป็นต้น ****************************************** 5 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City อย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้า ปี 2566 เพิ่มอีก 15 แห่ง
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City อย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้า ปี 2566 เพิ่มอีก 15 แห่ง โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City อย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้า ปี 2566 เพิ่มอีก 15 แห่ง วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2564-2565) มีเมืองที่ผ่านการรับรองตราสัญลักษณ์เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) กว่า 30 แห่ง ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงานช่วยพัฒนาเมือง การรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะเท่ากับการยกระดับเมืองให้พัฒนา โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะถือเป็นหมุดหมายสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง สามารถลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากร เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยประจำปี 2565 แก่ผู้พัฒนาเมืองที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) จำนวน 15 เมือง ซึ่งได้รับการประเมินว่าจะช่วยให้เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะน่าอยู่จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2566 รัฐบาล และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า (depa) ตั้งเป้าเพิ่มเมืองอัจฉริยะอีก 15 แห่ง เช่น ในพื้นที่บ้านฉาง จ.ชลบุรี และ พื้นที่เทศบาลในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ รวมถึงบางพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะทำให้มีเมืองอัจฉริยะเพิ่มขึ้นเป็น 45 แห่ง โฆษกรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า การพิจารณาเมืองอัจฉริยะมีหลายลักษณะ ได้แก่ 1.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 2. การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 3. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) 4. พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) 5.พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 6. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) และ 7. การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) โดยเมืองอัจฉริยะยังได้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาทั้งพื้นที่ ระบบ และนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเมืองอัจฉริยะอีกด้วย “นายกรัฐมนตรี รับทราบและยินดีกับความคืบหน้าของโครงการ Smart City ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแผนการดำเนินงานเมืองอัจฉริยะที่ว่านี้ จะช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาของเศรษฐกิจ และการจัดการด้านต่าง ๆ ภายในเมืองที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณไปยังทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการร่วมพัฒนาแผนงานนี้ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ที่ร่วมกันพัฒนา ตามแนวทางนโยบายของรัฐบาลอย่างดีเสมอมา” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา PM 2.5 ทั้งพื้นที่เมือง-เกษตร-ป่า กำชับตรวจจับรถควันดำทุกชนิด-งดเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูก/หาของป่า
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 05/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา PM 2.5 ทั้งพื้นที่เมือง-เกษตร-ป่า กำชับตรวจจับรถควันดำทุกชนิด-งดเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูก/หาของป่า ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา PM 2.5 ทั้งพื้นที่เมือง-เกษตร-ป่า กำชับตรวจจับรถควันดำทุกชนิด-งดเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูก/หาของป่า ย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการเผาวัชพืชเพื่อเตรียมเพาะปลูกฤดูกาลใหม่ การก่อสร้าง การขนส่งคมนาคมและการจราจร และปัญหา PM 2.5 มักจะเกิดในช่วงที่อากาศปิด โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน บูรณาการเร่งแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างเร่งด่วน พร้อมขอความร่วมมือมายังประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพราะฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นมีผลต่อสุขภาพของคนทั้งประเทศ นายอนุชาฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำหลักการในการป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ใน 3 พื้นที่คือ 1. พื้นที่เมือง ที่มีแหล่งกำเนิดมาจากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงขอความร่วมมือให้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดตรวจวัดควันดำ และขยายพื้นที่ตรวจวัดควันดำเพื่อควบคุมตั้งแต่ต้นทาง ตรวจกำกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มในการปล่อยมลพิษสูง ทั้งโรงงานที่ใช้หม้อน้ำ โรงงานที่ใช้ถ่านหิน โรงงานหลอมเหล็ก ฯลฯ ควบคุมสถานประกอบการ เช่น กิจการผสมซีเมนต์ กิจการหลอมโลหะ อู่พ่นสีรถยนต์ กิจกรรมผลิตธูป ฯลฯ 2. พื้นที่เกษตร ที่มีแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองมาจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร ดังนั้น จึงขอให้เกษตรกรหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร 3. พื้นที่ป่า แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญมาจากไฟป่า ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่า รณรงค์ป้องกันไฟป่า และบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเก็บลดเผา “นายกรัฐมนตรีย้ำขอความร่วมมือประชาชนได้ลดพฤติกรรมตนเองที่จะเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ให้งดการเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูก หรือเผาป่าเพื่อการเข้าไปหาอาหาร ขอให้หยุดโดยเด็ดขาด รวมทั้งขอความร่วมมือให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยใช้รถขนส่งมวลชนสาธารณะให้มากขึ้น พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตรวจจับรถควันดำทุกชนิดอย่างเข้มงวด ไม่ต่อใบอนุญาตรถที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยขอให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานดำเนินการตามกฎหมาย เพราะฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นมีผลต่อสุขภาพของคนทั้งประเทศ ทั้งนี้ นายกฯ จะกำกับติดตามผลการดำเนินการ และให้มีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองลพบุรีเผย สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ พร้อมเร่งขยายผล วอนพี่น้องประชาชนพบเห็นเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ให้รีบเเจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 พ่อเมืองลพบุรีเผย สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ พร้อมเร่งขยายผล วอนพี่น้องประชาชนพบเห็นเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ให้รีบเเจ้งเจ้าหน้าที่ทันที พ่อเมืองลพบุรีเผย สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ พร้อมเร่งขยายผล วอนพี่น้องประชาชนพบเห็นเบาะเเสอย่านิ่งเฉย ให้รีบเเจ้งเจ้าหน้าที่ทันที วันนี้ (4 ก.พ. 66) นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เปิดเผยถึง ปฏิบัติการป้องกันเเละปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และสมาชิกกองอาสารักษาดินเเดน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ค้ารายใหญ่ในพื้นที่ พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 5,909 เม็ด นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 66 ตนได้รับรายงานจาก ว่าที่ร้อยตรี ทรงพล แป้นแก้ว ปลัดจังหวัดลพบุรี โดยจากการกำกับ ติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ 11 อำเภอ พบว่า ได้รับรายงานผลการสืบสวนหาข่าวจากฝ่ายปกครองตำบลหนองรี อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี ว่ามีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด และนำยาเสพติดมาพักไว้จำนวนมาก ในเขตหมู่ที่ 6 ตำบลหนองรี โดยการนำของ นายประสานมิตร อมะรักษ์ นายอำเภอลำสนธิ ฝ่ายความมั่นคงอำเภอลำสนธิ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลำสนธิ ลงพื้นที่สืบสวนติดตามผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในพื้นที่ตำบลหนองรี ตามข่าวสารที่ได้รับรายงาน นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวได้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 116 หมู่ที่ 6 ตำบลหนองรี ของนายชำนิ หรือ นิ (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ผลการตรวจค้นพบของกลาง 3 รายการ คือ ยาบ้า จำนวน 5,909 เม็ด เงิน จำนวน 5,800 บาท มีธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท 4 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท 2 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท 8 ฉบับ และโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่อง จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การสารภาพว่า ตนเป็นผู้นำไปจำหน่ายแพร่กระจายให้กับคนในพื้นที่ จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต และนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ลำสนธิ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป "กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการทำสงครามกับยาเสพติดในทุกพื้นที่โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ยาเสพติดต้องไม่มีที่ยืนในสังคมไทย และในขณะเดียวกันทุกชุมชนหมู่บ้านจะต้องมีภูมิคุ้มกัน ในการป้องกันภัยจากยาเสพติด รวมถึงมีกลไกที่คอยเฝ้าระวัง เเละเเจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง รับรู้รับทราบ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี ซึ่งช่องทางในการเเจ้งเบาะเเสนอกจากสายด่วน 191 เเล้วพี่น้องประชาชนสามารถเเจ้งเบาะเเสได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมทุกแห่งที่สายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะมีกระบวนการเก็บข้อมูลของผู้เเจ้งเบาะเเสเป็นอย่างดี เเละเป็นความลับ เพื่อป้องกันไม่ให้แหล่งข่าวได้รับความเสียหายจึงขอความอนุเคราะห์จากพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำความผิดขอให้รีบเเจ้งมายังเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้เร่งรัดดำเนินการต่อไป" ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีกล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” เดินหน้า เสริมศักยภาพ อสม. และภาคีเครือข่าย จ.ระยอง เพิ่มพูนทักษะ และความรอบรู้ด้านสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 “สาธิต” เดินหน้า เสริมศักยภาพ อสม. และภาคีเครือข่าย จ.ระยอง เพิ่มพูนทักษะ และความรอบรู้ด้านสุขภาพ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมพัฒนาศักยภาพ อสม. และภาคีเครือข่าย อำเภอบ้านฉางและนิคมพัฒนา จ.ระยอง เพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านสุขภาพ พร้อมเป็นต้นแบบการมีสุขภาพดี ใช้เทคโนโลยีดิจัลคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน ด้วยแอปพลิเคชัน “SMART อสม.” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมพัฒนาศักยภาพ อสม. และภาคีเครือข่าย อำเภอบ้านฉางและนิคมพัฒนา จ.ระยอง เพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านสุขภาพ พร้อมเป็นต้นแบบการมีสุขภาพดี ใช้เทคโนโลยีดิจัลคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน ด้วยแอปพลิเคชัน “SMART อสม.” พร้อมเชิญชวนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมพัฒนาศักยภาพ อสม. และภาคีเครือข่าย อำเภอบ้านฉางและอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง โดยมีนายสมศักดิ์ พะเนียงทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุนทร เหรียญภูมิการกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยอง คณะผู้บริหาร และหน่วยงานในพื้นที่ เข้าร่วมงาน ดร.สาธิต กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มพูนทักษะในการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ อสม.สามารถจัดการปัญหาสุขภาพของคนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คนที่ยังไม่เจ็บป่วยมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) และผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เข้ารับบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความเหลื่อมล้ำและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงทำหน้าที่เป็นแกนนำสุขภาพและต้นแบบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ประกอบอาหารด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน มีการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อการมีสุขภาพที่ดี พร้อมประสานภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 โรคไข้เลือดออก โรคและภัยสุขภาพอื่นๆ ร่วมคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุตามนโยบาย ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย ผ่านแอปพลิเคชัน “SMART อสม.” ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า สถานการณ์ต่างๆ ด้านสุขภาพที่เกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุขได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. จังหวัดระยอง ถือว่าเป็นตัวแทนประชาชน ผู้มีจิตอาสา เสียสละ ช่วยดูแลสุขภาพคนในชุมชน นำนโยบายต่างๆไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เป็นเครือข่ายระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ขอให้ทำสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง สื่อสารทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง ช่วยกันสอดส่องดูแลลูกหลาน เฝ้าระวังยาเสพติดทุกชนิด และเชิญชวนคนในชุมชน เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนและมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ อสม. ควรได้รับ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการเสียสละทุ่มเทปฏิบัติงานช่วยเหลือระบบสาธารณสุข ทั้งค่าตอบแทน ค่าเสี่ยงภัย การให้อสม.และคู่สมรสสามารถสมัครฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวหากมีการเสียชีวิต ********************************************* 5 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช.” ผนึก “กรุงไทย” เพิ่มช่องทางรับชำระเงินผ่าน “เป๋าตัง” ส่งเสริมการออมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 “กอช.” ผนึก “กรุงไทย” เพิ่มช่องทางรับชำระเงินผ่าน “เป๋าตัง” ส่งเสริมการออมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ “กอช.” จับมือ “ธนาคารกรุงไทย” เปิดรับชำระเงินของสมาชิก กอช. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการจ่ายเงินสะสม ส่งเสริมการออมสร้างความมั่นคงทางการเงิน และคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ให้ความสำคัญของการออมกับ กอช. และให้การสนับสนุนประชาชนคนไทย ที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงการออมกับ กอช. ที่ง่ายขึ้น สะดวกสบาย รวดเร็วด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มาประยุกต์ใช้ในการออมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเวลาในการเดินทาง โดยออมเงินผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งสามารถออมต่อเนื่องได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐในเดือนถัดไป ตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี และเงินออมของสมาชิกสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินบุคคลธรรมดาประจำปี ทั้งนี้ สมาชิก กอช. ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ออมต่อเนื่องกับ กอช. ได้ผ่านเป๋าตังด้วยเช่นเดียวกันเพียงกรอกข้อมูลเพิ่มเติมในรหัสโครงการว่า “กยศ.” โดยการออม 1 ครั้ง จะเป็นการสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะได้ 1 ชั่วโมงต่อเดือน ทั้งนี้ การออมกับ กอช. เมื่อคุณออม รัฐจะเพิ่มเงินสมทบให้ และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์คุณจะได้รับเงินบำนาญรายเดือนจาก กอช. ดั่งสโลแกนที่ว่า “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ” นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ตระหนักถึงความสำคัญของวางแผนการทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะการออมเพื่อการเกษียณ จึงมุ่งมั่นส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับคนไทยทุกกลุ่ม สนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินในทุกรูปแบบอย่างทั่วถึง สะดวก ลดความเหลื่อมล้ำ ที่ผ่านมา ธนาคารได้ร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้บริการนำส่งเงินสะสมงวดถัดไปของสมาชิกกอช. ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เครื่อง ATM และ สาขาทั่วประเทศ ล่าสุดได้ต่อยอดความร่วมมือ ด้วยการพัฒนาระบบเพื่อยกระดับการให้บริการ โดยเพิ่มช่องทางการรับชำระเงินนำส่ง กอช.ผ่าน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคยและเข้าถึงได้สะดวก “ความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ X2G2X ของธนาคาร ที่มุ่งยกระดับบริการภาครัฐ เชื่อมต่อกับภาคประชาชนและภาคธุรกิจอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงสนับสนุนตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของ กอช. ในการเพิ่มสมาชิกรายใหม่ จากฐานผู้ใช้งานแอปฯ “เป๋าตัง” ที่มีจำนวนกว่า 40 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ให้ได้รับความสะดวกในการสะสมเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณ รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีในการออมให้กับสมาชิกกอช. ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านกลุ่มสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนในการเข้าถึงหน่วยงานของรัฐได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการลดความเหลื่อมล้ำและเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” https://www.youtube.com/@user-kq8qv5ew1p/playlists
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ ลงพื้นที่ตรวจการขับเคลื่อน MIND ในเมืองสองแคว ที่โรงงานวงษ์พาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และหมู่บ้านวังส้มซ่า ที่ได้รับการพัฒนาหลายโครงการจาก กระทรวงอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ ลงพื้นที่ตรวจการขับเคลื่อน MIND ในเมืองสองแคว ที่โรงงานวงษ์พาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และหมู่บ้านวังส้มซ่า ที่ได้รับการพัฒนาหลายโครงการจาก กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ ลงพื้นที่ตรวจการขับเคลื่อน MIND ในเมืองสองแคว ที่โรงงานวงษ์พาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และหมู่บ้านวังส้มซ่า ที่ได้รับการพัฒนาหลายโครงการจาก กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ บริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบกิจการ คัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว บดย่อยพลาสติกเก่า อัดกระดาษเป็นก้อน และตัดเศษโลหะ ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่าทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นับเป็นโรงงานวงษ์พาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นต้นแบบให้กับโรงงานคัดแยกขยะทั่วประเทศ อีกทั้งมีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1) ความสำเร็จทางธุรกิจ 2) การดูแลสังคมโดยรอบ โดยเฉพาะการสร้างงานสร้างอาชีพ ลดขยะและของเสียในพื้นที่ 3) การดูแลสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ประชาคมโลก ด้านการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และ 4)การช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน จากการรับซื้อวัสดุรีไซเคิล ในเวลา 13.00 น. คณะผู้ตรวจราชการฯ (นายวีระกิตติ์) ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ วิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน (หมู่บ้านวังส้มซ่า) ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งกลุ่มดังกล่าวได้พัฒนาตนเองให้เป็นแหล่งศึกษาดูงานของจังหวัด และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านในชุมชนนำสินค้ามาวางจำหน่ายได้ ทั้งประเภทของใช้และอาหาร ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าไปส่งเสริมผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น 1) โครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ได้รับการรับรอง มผช. ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (มผช.551/2553) สบู่ก้อนกลีเซอรีน (มผช.665/3553) และ ผลิตภัณฑ์ขัดผิว (มผช.1350/2560) 2) โครงการมาตรฐานอุตสาหกรรมเอส ผ่านการรับรอง มอก.เอส ประเภทบริการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว (มอก.เอส 199-2565) และ 3) โครงการค่าใช้จ่ายแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม 1 จังหวัด 1 ชุมชน (OPOAI-C) ซึ่งได้รับการออกแบบบรรจุภัณฑ์และโลโก้สินค้าให้กับวิสาหกิจดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64862
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แนะยุวทูตคุณธรรม ถอดบทเรียนสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเป็นผู้นําพลเมืองจิตอาสา สร้างสังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.พม. แนะยุวทูตคุณธรรม ถอดบทเรียนสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเป็นผู้นําพลเมืองจิตอาสา สร้างสังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น รมว.พม. แนะยุวทูตคุณธรรม ถอดบทเรียนสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเป็นผู้นําพลเมืองจิตอาสา สร้างสังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น วันนี้ (12 ก.พ. 66) เวลา 09.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแกนนำเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อ "ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองประเทศไทย" และมอบเกียรติบัตรแก่แกนนำเด็กและเยาวชนจากสภาเด็กและเยาวชน ชมรมเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และเครือข่ายเด็กพิการ รวมทั้งผู้นำเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยนางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจะสอนอะไรเราบางอย่าง และสิ่งที่ประวัติศาสตร์ให้กับคนรุ่นหลังคือการถอดบทเรียนจากวิกฤติและสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ วันนี้ ต้องบอกว่า ปัจจัยสี่ของประเทศ ประกอบด้วย ระบอบประชาธิปไตย ความมั่นคงด้านอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน และเทคโนโลยีการสื่อสาร อีกทั้งปัจจุบัน คนไทยมีทั้งคิดบวกและคิดลบ มีการแบ่งฝ่าย ฉะนั้น วิธีแก้ปัญหาคือ การที่เราต้องไปถอดบทเรียนจากประเทศที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กในการสร้างความเข้มแข็ง มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องสร้างสังคมไทยในมุมมองของคุณเอง ไม่ใช่มุมมองของผม และไม่อยากให้เป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา ศาสนา เชื้อชาติ แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นายจุติ กล่าวต่อไปว่า การเป็นยุวทูตคุณธรรมควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงองค์ประกอบของสังคมให้มาก ซึ่งวันนี้ เราสามารถทำให้ทุกท่านที่เข้ามาอบรมในหลักสูตร ได้มีความตระหนัก มีความคิดลึกซึ้ง วิเคราะห์แยกแยะถูกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในสังคม และสิ่งที่อยากแนะนำต่อไปคือ การประกอบอาชีพใหม่ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี แต่อย่าตกเป็นทาสของเทคโนโลยี โดยให้ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน พร้อมทั้งรักษาความสุจริต ความเที่ยงธรรม วันนี้คุณเป็นยุวทูตคุณธรรมแล้ว วันหน้าคุณจะเป็นทูตที่ยิ่งใหญ่ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะขับเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีการอบรมหลักสูตรสำหรับสภาเด็กและเยาวชน โดยอยากปลูกฝังเรื่อง 7Q (7 Quotient) เป็นความฉลาด 7 ด้านของมนุษย์ในโลกสมัยใหม่ และเมื่อท่านจะต้องไปจัดการกับคนทั้งโลก จำเป็นต้องมี 11Q (7 Quotient) เป็นความฉลาด 11 ด้านของเด็กยุคใหม่ ซึ่งท่านต้องสร้างและรักษาไว้ให้ได้ ดังนั้น หัวใจของยุวทูตคุณธรรม รวมถึงหัวใจของคน พม. คือการเรียนรู้ที่จะรู้จักมอบความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เพื่อให้สังคมมีความน่าอยู่มากขึ้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรปลูกฝังและปลุกกระแสจิตอาสาให้กับเด็กและเยาวชน เป็นการสร้างพลังเด็กและเยาวชนสู่การเป็นผู้นําพลเมืองจิตอาสา ด้วยการมีมุมมองของสังคมในมุมกว้าง รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง รวมถึงการเข้าใจและเคารพกฎกติกาในสังคมร่วมกัน #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย คาดหวังความรักแบบอบอุ่น ทำอาหาร รับประทานอาหาร ไหว้พระทำบุญ/สวดมนต์/ปฏิบัติธรรม ร่วมกัน พร้อมแนะ วธ. จัดกิจกรรมรณรงค์ ปรับเปลี่ยนทัศนคติวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรักของครอบครัว ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจการสำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน (โพล) ที่มีต่อ “วันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) ปี 2566” จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จากผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 6,207 คน จำแนกเป็นเพศหญิง 3,424 คน และเพศชาย 2,783 คน จากการสำรวจข้อมูลครอบคลุมทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพและทุกภูมิภาค สรุปพอสังเขปได้ ดังนี้ 1. เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.72 ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันแห่งความรัก (14 กุมภา วันวาเลนไทน์) ในปีนี้ 2. บุคคลที่คิดว่าจะมอบความรักหรือส่งความรู้สึกที่ดีให้ในวันวันแห่งความรัก อันดับแรก ร้อยละ 74.27 พ่อแม่/ผู้ปกครอง รองลงมา ร้อยละ 43.21 คนรัก/แฟน ร้อยละ 40.13 เพื่อน ร้อยละ 29.24 ครูอาจารย์/ผู้มีพระคุณ นอกจากนี้ ร้อยละ 7.52 เป็น ศิลปินดารา นักแสดง คนดัง บุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT และร้อยละ 3.46 อื่น ๆ อาทิ ตัวเอง ผู้ที่ด้อยโอกาส คนพิการ ตามลำดับ รมว.วธ. กล่าวอีกว่า 3. ต้องการความรักจากใครมากที่สุด ในวันแห่งความรักปีนี้ พบว่าอันดับ 1 ร้อยละ 46.88 พ่อแม่ อันดับ 2 ร้อยละ 20.35 คนรัก อันดับ 3 ร้อยละ 8.78 บุตรหลาน 4. “จะมอบสิ่งใดให้กับคนที่ท่านรักในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 64.35 บอกรักด้วยคำพูด อันดับ 2 ร้อยละ 31.03 กอด หอมแก้ม อันดับ 3 ร้อยละ 28.53 บอกรักผ่าน Social อันดับ 4 ร้อยละ 27.39 มอบดอกไม้ อันดับ 5 ร้อยละ 15.61 มอบช็อกโกแลต 5. ต้องการให้คนรักมอบสิ่งใดในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 66.14 บอกรักด้วยคำพูด อันดับ 2 ร้อยละ 32.14 กอด หอมแก้ม อันดับ 3 ร้อยละ 27.66 มอบดอกไม้ อันดับ 4 ร้อยละ 26.23 บอกรักผ่าน Social อันดับ 5 ร้อยละ 16.90 มอบช็อกโกแลต 6. ท่านคิดว่าจะบอกรักผ่านช่องทางใดบ้าง อันดับ 1 ร้อยละ 76.19 บอกรักด้วยตนเอง อันดับ 2 ร้อยละ 46.75 ไลน์ (Line) อันดับ 3 ร้อยละ 34.28 ช่องทาง Chat ของเฟซบุ๊ก (Facebook) 7. ใฝ่ฝันว่าจะมีความรักในรูปแบบใด พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 68.05 ความรักแบบอบอุ่น อันดับ 2 ร้อยละ 57.74 ความรักที่ดูแลใส่ใจซึ่งกันและกัน อันดับ 3 ร้อยละ 52.92 ความรักที่แสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย 8. กิจกรรมที่ส่งเสริมความรักความผูกพันในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 55.87 ทำอาหาร/รับประทานอาหาร อันดับ 2 ร้อยละ 47.33 ไปพักผ่อนท่องเที่ยว ทะเล ภูเขา อันดับ 3 ร้อยละ 38.20 ดูซีรีย์ ฟังเพลงที่บ้าน อันดับ 4 ร้อยละ 27.08 ดูหนังที่โรงภาพยนตร์ อันดับ 5 ร้อยละ 26.57 ไหว้พระทำบุญ/สวดมนต์/ปฏิบัติธรรม 9. คู่รักตัวอย่างในมุมมองของท่าน พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 73.70 บิดา - มารดา อันดับ 2 ร้อยละ 11.17 คู่รัก ศิลปิน-ดารา อาทิ ชมพู่- น็อต /ณเดชน์-ญาญ่า / เคน -หน่อย ฯลฯ อันดับ 3 ร้อยละ 7.96 ตา – ยาย 10. ท่านคิดว่าประโยคหรือคำพูดใดที่ทำให้ท่านประทับใจมากที่สุดในวันแห่งความรัก อันดับ 1 ร้อยละ 88.68 รัก/รักนะ อันดับ 2 ร้อยละ 7.22 อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ อันดับ 3 ร้อยละ 4.31 I LOVE YOU/ฉันรักคุณ อันดับ 4 ร้อยละ 2.48 คิดถึงนะ อันดับ 5 ร้อยละ 2.31 ขอบคุณที่รักกัน นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีข้อเสนอแนะให้ วธ. จัดกิจกรรมประเพณี วัฒนธรรมการแต่งงานของไทย กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ อาทิ ปลูกป่า การบริจาคสิ่งของ การบริจาคโลหิต ฯลฯ กิจกรรมรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กิจกรรมการรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน ปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่าวันวาเลนไทน์ควรเป็นวันแห่งความรักของครอบครัว กิจกรรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-GISTDA นำร่องทดสอบใช้งานแอปพลิเคชัน “เช็คแล้ง” กับเกษตรกรและหน่วยงานในพื้นที่ เริ่มวานรนิวาส จ.สกลนคร เป็นที่แรก
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 GISTDA นำร่องทดสอบใช้งานแอปพลิเคชัน “เช็คแล้ง” กับเกษตรกรและหน่วยงานในพื้นที่ เริ่มวานรนิวาส จ.สกลนคร เป็นที่แรก 9-10 กุมภาพันธ์ 2566 นางกานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ GISTDA นำทีมลงพื้นที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ซึ่งเป็น 1 ในพื้นที่นำร่องการอบรมการใช้งานแอปพลิเคชัน “เช็คแล้ง” การลงพื้นที่ครั้งนี้ “เช็คแล้ง” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกรในพื้นที่ โดยร่วมท แอปพลิเคชัน “เช็คแล้ง” เป็นแอปที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยทีม GISTDA ร่วมกับสำนักปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน และกรมอุตุนิยมวิทยา ภายใต้ทุนอุดหนุนวิจัยและนวัตกรรม เพื่อใช้ในการติดตามความเสี่ยงและความเสียหายของแปลงเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ซึ่งเป็นการนำข้อมูลจากดาวเทียม ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และข้อมูลจากสถานีตรวจวัดที่เกี่ยวข้องกับภัยแล้ง มาวิเคราะห์และแสดงผล เพื่อให้เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานได้ด้วยตัวเอง โดยการระบุพิกัดพร้อมขอบเขตแปลงเกษตรของตนเอง ตัวระบบของแอปจะช่วยวิเคราะห์ว่าในพื้นที่แปลงเกษตรของตนเองนั้นมีความเสี่ยงมากหรือน้อยขนาดไหนกับภัยแล้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แอปพลิเคชัน “เช็คแล้ง” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจให้กับเกษตรกรสำหรับการวางแผนการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นการช่วยลดผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยแล้งได้ . หมายเหตุ: พื้นนำร่องการอบรมใช้งาน “เช็คแล้ง” จำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร ร้อยเอ็ด สุรินทร์ นครราชสีมา อุทัยธานี และกำแพงเพชร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้ขับรถแท็กซี่นำมิเตอร์มาปรับจูน ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2566
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้ขับรถแท็กซี่นำมิเตอร์มาปรับจูน ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2566 ... กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้ขับรถแท็กซี่นำมิเตอร์มาปรับจูน ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2566 นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมได้มีประกาศปรับอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับรถแท็กซี่นำมิเตอร์ไปปรับจูนกับบริษัทผู้จำหน่ายมิเตอร์ และนำมิเตอร์ที่ปรับจูนแล้วมารับรองความถูกต้องที่ ขบ. โดยร่วมมือกับ 4 บริษัทเอกชน ได้แก่ บริษัท เพาเวอร์เมติค จำกัด (ยี่ห้อ Printax, ROYAL) บริษัท ซันไทมิเตอร์ จำกัด (ยี่ห้อมิเตอร์ 3TM) บริษัท จีพีเอสไทยสตาร์ จำกัด (ยี่ห้อ G-TAX) และบริษัท ทีเอชที โปรเกรส จำกัด (ยี่ห้อ PROFITTO) ในการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ขับรถแท็กซี่ในการปรับจูนมิเตอร์ตามอัตราค่าโดยสารใหม่ ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) สำหรับภาพรวมในการนำมิเตอร์มาปรับจูนตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 34,812 คัน ทั้งนี้ ขบ. ขอเชิญชวนให้ผู้ขับรถแท็กซี่ที่ใช้มิเตอร์ของ 4 บริษัทดังกล่าว นำมิเตอร์มาปรับจูนได้ตั้งแต่วันนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2566 ในวันจันทร์ - วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับขั้นตอนสำหรับผู้สนใจนำมิเตอร์มาปรับจูน ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ให้ผู้ขับรถแท็กซี่นำมิเตอร์พร้อมสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถ หลังจากนั้นให้มารับบัตรคิวตรงบริเวณประตูทางเข้าหมายเลข 2 และเมื่อปรับจูนมิเตอร์แล้ว จะมีอัตราค่าปรับจูนมิเตอร์จากบริษัทมิเตอร์ประมาณ 300 - 350 บาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ ขบ. จะตรวจสอบมิเตอร์ หากการปรับจูนมิเตอร์ถูกต้องตามประกาศของกระทรวงคมนาคม จะซีลตะกั่วที่ตัวมิเตอร์เพื่อรับรองความถูกต้อง ส่วนผู้ขับรถแท็กซี่ที่ใช้มิเตอร์จากบริษัทอื่น ๆ นอกเหนือจาก 4 บริษัทดังกล่าว หรือกรณีแท็กซี่ของสหกรณ์หรือกลุ่มนิติบุคคลที่มีจำนวนมากสามารถรวมกลุ่มกันไปดำเนินการกับบริษัทที่ปรับจูนมิเตอร์ที่มีให้บริการกว่า 10 บริษัท และนำมิเตอร์ที่ปรับจูนแล้วมารับรองความถูกต้องที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ส่วนตรวจสภาพรถ งานตรวจสภาพรถรับจ้างและรถอื่น อาคาร 4 ขบ. อย่างไรก็ตาม ขบ. ได้กำชับกับผู้ขับรถแท็กซี่หลังจากนำมิเตอร์มาปรับจูนตามอัตราค่าโดยสารใหม่แล้ว ต้องพัฒนาคุณภาพในการให้บริการประชาชน ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร เมื่อรับผู้โดยสารแล้วต้องกดมิเตอร์ทุกครั้ง และไม่เรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด รวมถึงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาผู้สูญหาย และให้ความช่วยเหลือดูแลชาวไทยในพื้นที่อย่างเต็มที่
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาผู้สูญหาย และให้ความช่วยเหลือดูแลชาวไทยในพื้นที่อย่างเต็มที่ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาผู้สูญหาย และให้ความช่วยเหลือดูแลชาวไทยในพื้นที่อย่างเต็มที่ วันนี้ (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือคนไทยในตุรกี จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทางตอนใต้และทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 กระทรวงการต่างประเทศ ได้สรุปรายงานจำนวนคนไทยในพื้นที่ประสบภัยดังกล่าว โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา สามารถติดต่อและยืนยันสถานภาพคนไทย ในพื้นที่ได้แล้วจำนวน 48 คน ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน สูญหาย 1 คน และแสดงความประสงค์จะเดินทางกลับไทย 20 คน ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว ติดตาม และสั่งการการทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยความห่วงใยพี่น้องชาวไทยในพื้นที่ โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานค้นหาผู้สูญหาย และให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกแก่คนไทยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างดีที่สุด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เร่งประสานงานและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำสิ่งของยังชีพแจกจ่ายให้แก่คนไทยในพื้นที่ประสบภัย และเร่งอพยพคนไทยที่ประสงค์ออกจากพื้นที่ประสบภัยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งประสานเรื่องการเดินทางกลับไทยสำหรับคนไทยที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงเร่งติดตามหญิงไทยที่ยังสูญหายอีก 1 คน ซึ่งหากมีความคืบหน้า ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ คนไทยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่ Hotline +90-533-641-5698 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทาง เพจ Facebook: Royal Thai Embassy, Ankara นอกจากนี้ ทีมกู้ภัยจากประเทศไทย ทีม Urban Search and Rescue Team (USAR Thailand) ภายใต้ปฏิบัติการ “Thailand for Turkiye” ได้ตั้งฐานปฏิบัติการชั่วคราวตั้งแต่คืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 และลงพื้นที่ไปปฏิบัติการกู้ภัยแล้วที่เมืองฮาไต (Hatay) ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเมืองหนึ่งจากเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว “นายกรัฐมนตรีห่วงใย และติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวในตุรกีอย่างใกล้ชิด โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ส่งกำลังใจถึงผู้ประสบภัยทั้งพี่น้องชาวไทย เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงตามเป้าหมาย โดยเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววัน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่ EEC ตรวจเยี่ยมศูนย์ ATTRIC เร่ง สมอ. เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย MIND ในทุกมิติ คาดทำรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 1 พันล้านบาท
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดกระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่ EEC ตรวจเยี่ยมศูนย์ ATTRIC เร่ง สมอ. เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย MIND ในทุกมิติ คาดทำรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 1 พันล้านบาท ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และ ยางล้อแห่งชาติ หรือ ATTRIC เร่ง สมอ. เดินหน้าขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND ในทุกมิติ คาดสร้างเสร็จปี 2569 มีรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 1 พันล้านบาท ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center – ATTRIC) จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม และยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทย ไปสู่การเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายในเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน มีบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถในด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ สามารถทดสอบและรับรองได้เองในประเทศ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในประเทศที่ไม่ต้องส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบที่ต่างประเทศ รวมทั้งยังสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เศรษฐกิจเกิดการพัฒนาและเจริญเติบโตยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ สร้างโอกาสในการพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยในอนาคตด้วย รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ภายในกรอบวงเงิน 3,705.7 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ส่วนระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 55 % โดยใช้เงินงบประมาณไปแล้ว 2,038 ล้านบาท คงเหลือการดำเนินงานอีก 45 % ในวงเงินงบประมาณ 1,667.69 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 ทั้งนี้ เมื่อแล้วเสร็จครบทุกระยะ คาดว่าศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติจะมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 968 ล้านบาท ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่าย และลดระยะเวลาในการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบที่ต่างประเทศ ประมาณ 30% - 50% และสร้างเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 148 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยใช้ “MIND” มุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ ได้แก่ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นและยกระดับความสามารถให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ และยานยนต์สมัยใหม่ให้เป็นที่ยอมรับ และแข่งขันได้ในระดับสากล มิติที่ 2 การดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบ สร้างงานให้กับคนในพื้นที่ เช่น ช่างเทคนิค เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน แม่บ้าน คนสวน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ฯลฯ ไม่น้อยกว่า 200 อัตรา มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ประชาคมโลก รองรับการทดสอบยานยนต์สมัยใหม่ และมิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ทั้งรายได้ทางตรงจากการเปิดให้บริการของศูนย์ฯ ที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และรายได้ทางอ้อมจากการใช้จ่ายในกิจกรรมที่สืบเนื่องจากศูนย์ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจที่พัก โรงแรม เป็นต้น ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ สมอ. ได้เปิดให้บริการทดสอบตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2562 เป็นต้นมา มีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการสนามทดสอบยางล้อแล้วจำนวน 136 ราย และได้รับใบอนุญาตมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์และยางล้อไปแล้วรวมทั้งสิ้น 985 ฉบับ และในเดือนเมษายน 2566 นี้ กำลังจะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 2 สนาม ได้แก่ สนามทดสอบระบบเบรก และสนามทดสอบระบบเบรกมือ ส่วนสนามทดสอบพลวัต (Dynamic Platform Track) และสนามทดสอบการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง (Skid Pad Track) พร้อมเปิดให้บริการทดสอบได้ในกลางปี 2567 สำหรับงบประมาณที่ได้รับอนุมัติมาในปี 2566 อีก 1,667.69 ล้านบาทนั้น จะใช้สำหรับการก่อสร้างสนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ สถานีสำหรับเตรียมสภาพรถ ทางวิ่ง LAB ทดสอบการชน รวมทั้งจัดซื้อชุดเครื่องมือทดสอบการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง ชุดเครื่องมือทดสอบอุปกรณ์เลี้ยวสำหรับยานยนต์ และชุดเครื่องมือทดสอบการป้องกันผู้โดยสารเมื่อเกิดการชนด้านหน้าและด้านข้าง โดยคาดว่าศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติจะเปิดให้บริการทดสอบเต็มรูปแบบได้ภายในปี 2569 เลขาธิการ สมอ. กล่าว 10 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงเยาวชนติดโรคทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ชูแคมเปญ "รักปลอดภัยอยู่รอบตัว" ใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องปกติ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.ห่วงเยาวชนติดโรคทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ชูแคมเปญ "รักปลอดภัยอยู่รอบตัว" ใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องปกติ กระทรวงสาธารณสุข ห่วงวัยรุ่นและเยาวชนติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และหนองในเพิ่มขึ้น อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำ แนะเข้ารับการตรวจคัดกรอง จัดบริการตรวจฟรีที่ศูนย์การแพทย์บางรัก ตลอดเดิอน ก.พ.นี้ พร้อมชูแคมเปญ “Love is All Around กระทรวงสาธารณสุข ห่วงวัยรุ่นและเยาวชนติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และหนองในเพิ่มขึ้น อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำ แนะเข้ารับการตรวจคัดกรอง จัดบริการตรวจฟรีที่ศูนย์การแพทย์บางรัก ตลอดเดิอน ก.พ.นี้ พร้อมชูแคมเปญ “Love is All Around ให้รักที่ปลอดภัยอยู่รอบตัวเรา” รณรงค์วันวาเลนไทน์ “รัก” ให้พกและใช้ถุงยางอนามัย เป็นเรื่องปกติ ใช้กับทุกคน ทุกช่องทาง วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก เป็นเทศกาลที่คนแสดงความรักต่อกัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนจะให้ความสำคัญกับความรักในช่วงวันวาเลนไทน์นี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมองว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก ถือเป็นการแสดงความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันได้ กรมควบคุมโรค โดยกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงชูแคมเปญ “Love is All Around ให้รักที่ปลอดภัยอยู่รอบตัวเรา” โดยเน้นย้ำให้มี "รัก" ที่ปลอดภัย ดังนี้ "ให้พกและใช้ถุงยางอนามัย ให้เป็นเรื่องปกติ" โดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ กับทุกคน ทุกช่องทาง เลือกให้ถูกไซส์ ใช้ให้ถูกขั้นตอน (Step) เก็บและทิ้งให้ถูกวิธี ป้องกันได้ทั้งการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ "ให้สื่อสารเพื่อป้องกัน ให้เป็นเรื่องปกติ" เพื่อให้เราและคู่กล้าพูดและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยโดยไม่เขินอาย กล้าที่จะสื่อสารเจรจาต่อรองให้มีรักที่ปลอดภัย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ที่มีแนวโน้มการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลปี 2564 พบวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-24 ปี กว่า 8,000 คน ติดเชื้อโรคซิฟิลิสและหนองใน และยังพบสัดส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ส่วนในปี 2565 พบวัยรุ่นและเยาวชนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี ถึงร้อยละ 22.2 จากผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมด เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2551 ที่พบร้อยละ 9.5สอดคล้องกับข้อมูลอัตราการใช้ถุงยางอนามัยที่ยังคงต่ำ จากข้อมูลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีในปี 2562 กลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยครั้งล่าสุดที่มีเพศสัมพันธ์ เพียงร้อยละ 80.3 และการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอทุกครั้ง ยังมีอัตราที่ต่ำมาก โดยเฉพาะการใช้ถุงยางอนามัยกับแฟนและคนรัก มีอัตราไม่ถึงร้อยละ 40 ดังนั้น จึงต้องย้ำให้มีการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ กับทุกคน ทุกช่องทาง เพื่อให้มีรักที่ปลอดภัย นพ.ธเรศ กล่าวต่อว่า สนับสนุนให้วัยรุ่นและเยาวชน เข้ารับการตรวจคัดกรองเอชไอวีและซิฟิลิสแบบสมัครใจ โดยข้อมูลผู้รับบริการทั้งหมดจะถูกเก็บเป็นความลับ เจ้าหน้าที่จะให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพ ประเมินความเสี่ยง และตรวจคัดกรองหาเชื้อ โดยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็รู้ผล หากผลตรวจยืนยันเป็นบวกหรือติดเชื้อ จะได้รับการส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษาทันที หากผลเป็นลบหรือไม่พบการติดเชื้อ จะได้รับบริการส่งเสริมการป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดและประเมินความเสี่ยงได้ที่ Line Official Account “Buddy Square” ID Line : @549vhjttนอกจากนี้ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้จัดบริการตรวจคัดกรองโรคหนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส และเอชไอวี ฟรีตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ศูนย์การแพทย์บางรัก กรมควบคุมโรค ชั้น 9 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2590 3291 และ 0 2286 2465 ****************************** 13 กุมภาพันธ์ 2566 ข้อมูลจาก : กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย คาดหวังความรักแบบอบอุ่น ทำอาหาร รับประทานอาหาร ไหว้พระทำบุญ/สวดมนต์/ปฏิบัติธรรม ร่วมกัน “รักนะ” ติดโพลคำพูดประทับใจในวันแห่งความรักปีนี้อันดับ 1 วธ.เผย ร้อยละ 74.27 คนไทยส่วนใหญ่จะส่งมอบความรักให้ พ่อ-แม่ มากสุด ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT ติดโผด้วย คาดหวังความรักแบบอบอุ่น ทำอาหาร รับประทานอาหาร ไหว้พระทำบุญ/สวดมนต์/ปฏิบัติธรรม ร่วมกัน พร้อมแนะ วธ. จัดกิจกรรมรณรงค์ ปรับเปลี่ยนทัศนคติวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรักของครอบครัว ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจการสำรวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน (โพล) ที่มีต่อ “วันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) ปี 2566” จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จากผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 6,207 คน จำแนกเป็นเพศหญิง 3,424 คน และเพศชาย 2,783 คน จากการสำรวจข้อมูลครอบคลุมทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพและทุกภูมิภาค สรุปพอสังเขปได้ ดังนี้ 1. เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.72 ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันแห่งความรัก (14 กุมภา วันวาเลนไทน์) ในปีนี้ 2. บุคคลที่คิดว่าจะมอบความรักหรือส่งความรู้สึกที่ดีให้ในวันวันแห่งความรัก อันดับแรก ร้อยละ 74.27 พ่อแม่/ผู้ปกครอง รองลงมา ร้อยละ 43.21 คนรัก/แฟน ร้อยละ 40.13 เพื่อน ร้อยละ 29.24 ครูอาจารย์/ผู้มีพระคุณ นอกจากนี้ ร้อยละ 7.52 เป็น ศิลปินดารา นักแสดง คนดัง บุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ ลิซ่า วง Blackpink BTS NCT และร้อยละ 3.46 อื่น ๆ อาทิ ตัวเอง ผู้ที่ด้อยโอกาส คนพิการ ตามลำดับ รมว.วธ. กล่าวอีกว่า 3. ต้องการความรักจากใครมากที่สุด ในวันแห่งความรักปีนี้ พบว่าอันดับ 1 ร้อยละ 46.88 พ่อแม่ อันดับ 2 ร้อยละ 20.35 คนรัก อันดับ 3 ร้อยละ 8.78 บุตรหลาน 4. “จะมอบสิ่งใดให้กับคนที่ท่านรักในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 64.35 บอกรักด้วยคำพูด อันดับ 2 ร้อยละ 31.03 กอด หอมแก้ม อันดับ 3 ร้อยละ 28.53 บอกรักผ่าน Social อันดับ 4 ร้อยละ 27.39 มอบดอกไม้ อันดับ 5 ร้อยละ 15.61 มอบช็อกโกแลต 5. ต้องการให้คนรักมอบสิ่งใดในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 66.14 บอกรักด้วยคำพูด อันดับ 2 ร้อยละ 32.14 กอด หอมแก้ม อันดับ 3 ร้อยละ 27.66 มอบดอกไม้ อันดับ 4 ร้อยละ 26.23 บอกรักผ่าน Social อันดับ 5 ร้อยละ 16.90 มอบช็อกโกแลต 6. ท่านคิดว่าจะบอกรักผ่านช่องทางใดบ้าง อันดับ 1 ร้อยละ 76.19 บอกรักด้วยตนเอง อันดับ 2 ร้อยละ 46.75 ไลน์ (Line) อันดับ 3 ร้อยละ 34.28 ช่องทาง Chat ของเฟซบุ๊ก (Facebook) 7. ใฝ่ฝันว่าจะมีความรักในรูปแบบใด พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 68.05 ความรักแบบอบอุ่น อันดับ 2 ร้อยละ 57.74 ความรักที่ดูแลใส่ใจซึ่งกันและกัน อันดับ 3 ร้อยละ 52.92 ความรักที่แสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย 8. กิจกรรมที่ส่งเสริมความรักความผูกพันในวันแห่งความรัก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 55.87 ทำอาหาร/รับประทานอาหาร อันดับ 2 ร้อยละ 47.33 ไปพักผ่อนท่องเที่ยว ทะเล ภูเขา อันดับ 3 ร้อยละ 38.20 ดูซีรีย์ ฟังเพลงที่บ้าน อันดับ 4 ร้อยละ 27.08 ดูหนังที่โรงภาพยนตร์ อันดับ 5 ร้อยละ 26.57 ไหว้พระทำบุญ/สวดมนต์/ปฏิบัติธรรม 9. คู่รักตัวอย่างในมุมมองของท่าน พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 73.70 บิดา - มารดา อันดับ 2 ร้อยละ 11.17 คู่รัก ศิลปิน-ดารา อาทิ ชมพู่- น็อต /ณเดชน์-ญาญ่า / เคน -หน่อย ฯลฯ อันดับ 3 ร้อยละ 7.96 ตา – ยาย 10. ท่านคิดว่าประโยคหรือคำพูดใดที่ทำให้ท่านประทับใจมากที่สุดในวันแห่งความรัก อันดับ 1 ร้อยละ 88.68 รัก/รักนะ อันดับ 2 ร้อยละ 7.22 อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ อันดับ 3 ร้อยละ 4.31 I LOVE YOU/ฉันรักคุณ อันดับ 4 ร้อยละ 2.48 คิดถึงนะ อันดับ 5 ร้อยละ 2.31 ขอบคุณที่รักกัน นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีข้อเสนอแนะให้ วธ. จัดกิจกรรมประเพณี วัฒนธรรมการแต่งงานของไทย กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ อาทิ ปลูกป่า การบริจาคสิ่งของ การบริจาคโลหิต ฯลฯ กิจกรรมรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กิจกรรมการรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน ปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่าวันวาเลนไทน์ควรเป็นวันแห่งความรักของครอบครัว กิจกรรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. จัดกิจกรรม MRTA Love Station ชวนประชาชน ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เติมความหวาน พร้อมลุ้นรับบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT Plus มูลค่าเดินทาง 200 บาท ฟรี
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 รฟม. จัดกิจกรรม MRTA Love Station ชวนประชาชน ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เติมความหวาน พร้อมลุ้นรับบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT Plus มูลค่าเดินทาง 200 บาท ฟรี ..... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) จัดกิจกรรมต้อนรับวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2566 “MRTA Love Station เทศกาลวันแห่งความรัก” โดยสร้างบรรยากาศให้สถานีรถไฟฟ้า MRT เตาปูน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรักสุดแสนโรแมนติกในธีม “Secret Garden” พร้อมบูธถ่ายภาพเติมความหวาน ที่มีให้เลือกทั้งบูธถ่ายภาพแบบมุมกล้อง 360 องศา (ภาพเคลื่อนไหว) และบูธถ่ายภาพนิ่ง ซึ่งรับรูปถ่ายได้ทันที รวมถึงยังมีซุ้มถ่ายรูปเพื่อให้ประชาชนและผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ได้ถ่ายรูปแชร์ภาพโมเมนต์แห่งความสุข นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมยังจะได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT PLUS มูลค่าเดินทาง 200 บาท ฟรี (จำนวนจำกัด) ในโอกาสนี้ รฟม. จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ร่วมสนุกในกิจกรรม “MRTA Love Station” ในวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ณ สถานีรถไฟฟ้า MRT เตาปูน บริเวณโถงหน้าลิฟต์ ทางเข้า - ออกที่ 3 ตั้งแต่เวลา 13.00 - 21.00 น. ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว รฟม. ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อมอบความสุข ตอบแทนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT และประชาชน รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง รฟม. และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ซึ่งเป็นการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 “รฟม. ร่วมยกระดับเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและนวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 10 สถาบันเครือข่าย ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเน้นย้ำบูรณาการร่วมกันเพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 10 สถาบันเครือข่าย ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเน้นย้ำบูรณาการร่วมกันเพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 10 สถาบันเครือข่าย ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเน้นย้ำบูรณาการร่วมกันเพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสงค์ นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 10 สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สถาบันเครือข่ายให้การต้อนรับ ณ ชั้น 12 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ อาคารยาคูลท์ กรุงเทพฯ ปลัดกระทรวงฯ ได้ให้นโยบายการดำเนินงานของสถาบันต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ สถาบันอาหาร สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันยานยนต์ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย สถาบันพลาสติก สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ โดยให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน พร้อมเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้รับบริการผ่าน i-Single Form เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ฐานลูกค้า ดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรม ด้านการเงิน และต่อยอดการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการให้บริการงานของกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยงานกลาง Center of Intelligent เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายของสถาบันเครือข่ายทั้ง 10 สถาบัน เพื่อสร้างภาพลักษณ์การเป็นหนึ่งเดียวในด้านการบริการอุตสาหกรรมสาขาต่าง ๆ ทำให้ผู้รับบริการสามารถสร้างการรับรู้ และเกิดการจดจำต่อองค์กรมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ขอให้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 10 สถาบันเครือข่ายมีการวางแผนการดำเนินงาน ตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยใช้ “MIND” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ของหน่วยงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ ได้แก่ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ มิติที่ 2 การดูแลสังคม โดยส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน สังคม และสถานประกอบการ เพื่อให้โรงงานในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างรับผิดชอบและเป็นมิตร มิติที่ 3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยกลไกการกำกับดูแลที่ทรงประสิทธิภาพ และการส่งเสริมยกระดับสถานประกอบการหรือโรงงานด้วยแนวคิด BCG และมิติที่ 4 การกระจายรายได้ให้กับประชาชนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มุ่งเน้นการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมชมการแสดงดนตรีร่วมสมัย “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนในไทยผ่านบทเพลง A Musical Journey Through A Century of Yaowarat”
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมชมการแสดงดนตรีร่วมสมัย “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนในไทยผ่านบทเพลง A Musical Journey Through A Century of Yaowarat” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมชมการแสดงดนตรีร่วมสมัย “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนในไทยผ่านบทเพลง A Musical Journey Through A Century of Yaowarat” และมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่คณะนักดนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมชมการแสดงดนตรีร่วมสมัย “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนในไทยผ่านบทเพลง A Musical Journey Through A Century of Yaowarat” และมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่คณะนักดนตรี ในพิธีปิดงาน "เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2566" (Bangkok Design Week 2023) วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมชมการแสดงดนตรีร่วมสมัย “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนในไทยผ่านบทเพลง A Musical Journey Through A Century of Yaowarat” และมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่คณะนักดนตรี ในพิธีปิดงาน "เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2566" (Bangkok Design Week 2023) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นายชาคริต พิชญางกูร ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผศ.ดร.ธนพล เศตะพราหมณ์ และ ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ ศิลปินศิลปาธร สาขา ดนตรี ปี 2550 และคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะนักดนตรี นักศึกษา และประชาชนเข้าร่วม ณ บริเวณหน้าประตูตลาดเก่าเยาวราช ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวฯ เป็นส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Design Week 2023 ภายใต้แนวคิด urban‘NICE’zation เมือง-มิตร-ดี โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ กทม. CEA SATARANA และ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอบทเพลงที่เป็นตัวแทนของช่วงสมัยต่างๆ ของเยาวราชในช่วงประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา โดยคัดเลือกบทเพลงที่สะท้อนอิทธิพลและบทสนทนาระหว่างสังคมจีน – ไทย อาทิ เพลงป๊อปที่โด่งดังในสมัยนั้น เพลงไทยเดิมที่มีรากเติบโตมาจากสังคมจีน เพลงละครเวที เพลงละครโทรทัศน์ รวมถึงเพลงดังในอดีตโดยมีศิลปินรับเชิญ แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์ นักร้องรางวัลแผ่นเสียงทองคำ เจ้าของบทเพลงเทพธิดาดอย ร่วมโชว์ผลงานเพลงในอดีตให้รับฟังด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on February 7, 2023
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 The cabinet met on February 7, 2023 The cabinet met on February 7, 2023. Some of the resolutions are as follows: Title: Draft Royal Decree on revocation of second ordinary session of the National Assembly, B.E. … The Cabinet approved in principle the Draft Royal Decree on revocation of the second legislative ordinary session of the National Assembly, B.E. …, as proposed by the Cabinet Secretariat. According to Section 121 of the Constitution of the Kingdom of Thailand, each year there shall be two ordinary sessions of the National Assembly, each of which shall last 120 days. The day on which the first sitting is held shall be considered the commencement date of the first annual ordinary session, and the commencement date of the second annual ordinary session shall be fixed by the House of Representatives. In light of the above, the convocation and prorogation dates of the National Assembly are set as follows: Year First annual ordinary session (B.E.) Second annual ordinary session (B.E.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพขณะเดินทางทางน้ำเพื่อความปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพขณะเดินทางทางน้ำเพื่อความปลอดภัย ... กรมเจ้าท่า กำชับนักท่องเที่ยวต้องสวมเสื้อชูชีพขณะเดินทางทางน้ำเพื่อความปลอดภัย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกรมเจ้าท่า (จท.) ทั้งส่วนกลางและสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 – 7 ควบคุม กำกับ และดูแลความปลอดภัยทางน้ำ พร้อมทั้งตรวจสอบความพร้อมการให้บริการเรือโดยสาร เน้นย้ำให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเรือให้เพียงพอกับจำนวนผู้โดยสารทั้งเสื้อชูชีพ บอร์ดชูชีพ ขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพตลอดการเดินทาง เพื่อความปลอดภัย คนประจำเรือและผู้ควบคุมเรือต้องมีมาตรฐานเดินเรือที่ปลอดภัย ไม่ประมาท เพื่อลดอุบัติเหตุทางน้ำ พร้อมทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัย และประกาศแจ้งเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือและใช้เรืออย่างเคร่งครัด ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาตราดสรุปสถิติจำนวนผู้โดยสาร (วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566) มีเที่ยวเรือ 109 เที่ยว ผู้โดยสาร 7,705 คน แบ่งเป็น ท่าเทียบเรือกรมหลวงชุมพรฯ 12 เที่ยว ผู้โดยสาร 285 คน ท่าเทียบเรือเฟอร์รี่ บริษัท เกาะช้างอินเตอร์เนชั่นแนล 54 เที่ยว ผู้โดยสาร 5,731 คน ท่าเทียบเรือแหลมศอก 13 เที่ยว ผู้โดยสาร 985 คน และท่าเทียบเรือบางเบ้า 30 เที่ยว ผู้โดยสาร 704 คน หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน จท. โทร. 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM pleased with ranking of Bangkok on Tripadvisor’s 2023 World’s Best Food Destination
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 ​PM pleased with ranking of Bangkok on Tripadvisor’s 2023 World’s Best Food Destination ​PM pleased with ranking of Bangkok on Tripadvisor’s 2023 World’s Best Food Destination February 12, 2023, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan—cha was pleased to learn that Bangkok is ranked 13th as world’s top food destination under the Best Food Destinations in the World - Tripadvisor Travelers’ Choice Awards (https://www.tripadvisor.com/TravelersChoice-Destinations-cFood-g1). The ranking is made based on the quantity and quality of traveler reviews submitted to Tripadvisor, the digital travel platform, throughout last year. Bangkok also ranks 2nd among ASEAN cities in this Tripadvisor’s compilation. Here’s Bangkok according to Tripadvisor: “Golden palaces, floating markets, majestic porcelain-laid spires…you've never seen a capital city quite like Bangkok. Visit Pratunam or Siam Square for premium shopping, then unwind in the European-style gardens of Dusit. Thon Buri is home to the awesome Wat Arun temple, and over in Phra Nakhon, you’ll find the Wat Pho temple of the Reclining Buddha. Savor mango sticky rice at a food stall before taking in the gilded splendor of the Grand Palace.” The Prime Minister was pleased with the ranking, and thanked travelers around the world for their fond memory of Bangkok. The Government strives to enhance value of Thailand’s existing charm and cultural diversity, which include sports, art, and local food, in a bid to promote the country’s soft power.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ขุดลอกพัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปาง หนองคาย และอุดรธานี บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า ขุดลอกพัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปาง หนองคาย และอุดรธานี บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ... กรมเจ้าท่าขุดลอกพัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปาง หนองคาย และอุดรธานี บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง จากนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า (จท.) ดำเนินการขุดลอก พัฒนา และบำรุงรักษาร่องน้ำทางเรือเดิน เพื่อความสะดวก ปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินเรือ การระบายน้ำ การอุปโภคบริโภค และเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อใช้ในภาคการเกษตร นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ได้มอบหมายให้นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ ควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินงานของสำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เนื่องจากลำน้ำในพื้นที่มีความตื้นเขินจากการสะสมของตะกอนดิน สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 ได้ขุดลอกลำน้ำในพื้นที่ความรับผิดชอบ โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกแม่น้ำวัง ตำบลวังใต้ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง โดยใช้รถขุด ชม.11 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน ความกว้างก้นร่องน้ำ 20 -40 เมตร ระยะทาง 2,750 เมตร ระดับขุดลอกก้นร่องเท่ากับ 400.15 -401.15 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 43,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของร่องน้ำ เพิ่มพื้นที่การกักเก็บน้ำ สำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก ลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร และแก้ไขปัญหาการกัดเซาะตลิ่ง โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดลอกประมาณ 950 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตรประมาณ 2,650 ไร่ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกลำน้ำสวย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โดยใช้รถขุดตักดิน ขก.1 เป็นเครื่องจักรปฏิบัติงาน พร้อมด้วยรถขุดตักดินเช่า เพื่อสนับสนุนการขุดลอก ทำการขุดลอกตั้งแต่ กม.160+500 -กม.162+650 ระยะทาง 2,150 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 55,114.50 ลูกบาศก์เมตร ความกว้างของร่องน้ำตามแผนการขุดลอก 6 -27 เมตร ระดับก้นร่องลึกประมาณ 156 เมตร (จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เนื่องจากลำน้ำตื้นเขินจากการสะสมตะกอนดิน ส่งผลให้เกิดปัญหาการกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และการอุปโภคบริโภคในฤดูแล้งไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรในช่วงฤดูน้ำหลากเป็นประจำทุกปี พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ผลการดำเนินงาน สามารถขุดลอกได้ระยะทาง 1,250 เมตร ปริมาณวัสดุขุดลอกประมาณ 33,060 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 59.98% ทั้งนี้ จท. ได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำสวยครอบคลุมพื้นที่บ้านวังยางเหนือ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย และบ้านข่าทุ่งม่วงโนนศรีสมบูรณ์ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยมีประชาชนประมาณ 1,514 คน พื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 2,478 ไร่ ได้รับประโยชน์จากการขุดลอกดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64880
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กห. โดย สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กห. โดย สป. รวมใจสวดมนต์ถวายพระพรเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ... (12 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 18.00 น.) พลเรือเอก ธีรกุล กาญจนะ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ พระอุโบสถ วัดชินวราราม วรวิหาร จังหวัดปทุมธานี โดยได้นำกำลังพลและครอบครัว พร้อมพุทธศาสนิกชนน้อมใจกันสวดมนต์บูชาธรรม อธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดีขอให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยเร็วและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยตลอดกาลนิรันดร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ปรับการปฏิบัติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ปรับการปฏิบัติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ปรับการปฏิบัติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยล่าสุด ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน โดย (1) ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 3.5 ล้านคน จากประมาณการ ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 มาอยู่ที่ 25.5 และ 34 ล้านคน ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ และ (2) การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการจ้างงานและการกระจายรายได้ของลูกจ้างในภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีจำนวนมาก (ประมาณ 18.4 ล้านคน หรือร้อยละ 67 ของแรงงานนอกภาคเกษตรทั้งหมดในปี 2565) ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวในปี 2566 แต่จะฟื้นตัวในปี 2567 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ สอดคล้องกับข้อมูลจริงในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ที่ต่ำกว่าคาดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในหมวด hard disk drive ที่ลดลงต่อเนื่อง ตามการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีไปสู่ solid state drive อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในปีหน้าตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านต่ำลดลงจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะหากการระบาดของ COVID-19 ในจีนและข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศคลี่คลายได้เร็ว สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยนั้น มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานทยอยคลี่คลายตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับลดลง สะท้อนจากสัดส่วนสินค้าที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้ลดลงตลอดช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่งก่อนจะทยอยปรับลดลง โดยการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อพื้นฐานไม่ได้กระจายตัวหรือเร่งขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด จาก (1) การส่งผ่านต้นทุนอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเผชิญภาวะต้นทุนสูงต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงที่ต้นทุนอาจปรับสูงขึ้นในระยะข้างหน้าจากการปรับราคาพลังงานในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน อีกทั้งราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกอาจปรับสูงขึ้นในกรณีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็ว และ (2) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอาจส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวรวมถึงราคาในหมวดอาหารปรับเพิ่มขึ้นได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้น “อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันมีทิศทางแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนได้รับผลดีต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าติดตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและโลกในทุกมิติอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด รวมทั้งบริบทอื่น ๆ ที่สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศ และปรับนโยบายและการปฏิบัติให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันให้มีการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานในภาคบริการเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการของไทย รวมไปถึงการติดตามการฟื้นตัวของรายได้และฐานะการเงินของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อย ซึ่งพบว่ายังมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง และต้องเผชิญต้นทุนและค่าครองชีพสูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งรายได้ของแรงงานบางกลุ่ม เช่น แรงงานภาคการผลิตที่เกี่ยวกับการส่งออก จะถูกกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าในปีนี้ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแต่ละกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อบรรเทาภาระหนี้อย่างตรงจุด” นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64852
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม สมอ. ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม สมอ. ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม สมอ. ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยมีนายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สมอ. ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. มีพันธกิจในการส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐานของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล การกำหนดมาตรฐานที่ตรงความต้องการและสอดคล้องกับแนวทางสากล และการสร้างความเชื่อมั่นในการตรวจสอบรับรอง และกำกับดูแลผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่งการกำหนดมาตรฐานของ สมอ. มีตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับสากล ทั้งนี้ สมอ. ได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้ - การควบคุมให้มี QR Code ที่แสดงรายละเอียดสินค้า ข้อมูลผู้ได้รับใบอนุญาต และสามารถเป็นช่องทางการร้องเรียนของผู้บริโภคได้ - ระบบ E-Market Surveillance /E-Scope ระบบตรวจติดตามร้านจำหน่ายและระบบพิจารณาขอบข่ายผลิตภัณฑ์ - ตลาดสดน่าซื้อ โดยให้ความร่วมมือกับเจ้าของตลาดให้ความรู้ร้านค้ารายย่อยให้ขายสินค้าได้มาตรฐาน - นักรบไซเบอร์ คือผู้เฝ้าระวังติดตามการจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อไม่ให้มีการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ยื่นขอ มอก.เอส - การจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ให้แล้วเสร็จและเปิดบริการได้อย่างเต็มรูปแบบ - NSW หรือระบบ National Single Window คือระบบป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ล้วนเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ผู้บริโภค รวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการสร้างมาตรฐานของประเทศด้วย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า สมอ. ควรให้บริการรับรองมาตรฐานอย่างรวดเร็ว มีการกลั่นกรองและตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ มีการนำกฎหมายใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมถึงการจัดทำ Eco -Sticker ให้กับผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้เปรียบเทียบสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่ดีที่สุด เช่น การทดสอบยางรถยนต์ การทดสอบการชนที่ได้มาตรฐานสากล การทดสอบอัตราการประหยัดพลังงานในรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าในระดับความเร็วที่แตกต่างกันเพื่อให้ผู้บริโภคทราบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ATTRIC ให้มากขึ้น โดยยก Model จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีสนามแข่งรถ มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เชื่อมโยงการท่องเที่ยว จนทำให้ธุรกิจของจังหวัดเติบโต ขณะเดียวกันก็ควรมีการนำข้อมูล มอก. เผยแพร่ในแพลทฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee Lazada เพื่อให้ลูกค้าได้มีข้อมูลในการตัดสินใจ ส่วนในด้านนโยบาย 4 มิติ ควรมีการขยายผลไปสู่ผู้ประกอบการให้มากขึ้น เพื่อสร้างเกาะป้องกันจากกลไกของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทำให้การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงขึ้น ตลอดจนการกำหนดบทลงโทษกับผู้ที่กระทำความผิดซ้ำซาก ด้าน รปอ.สุรพล ขอให้ สมอ. มีการประชาสัมพันธ์องค์กรให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะตรา มอก. ซึ่งมีความสำคัญกับผู้บริโภค และการกำหนดมาตรฐานในสินค้าบางประเภทที่อยู่ในตลาดสดให้มีความชัดเจน ส่วน รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิยา ขอให้เชื่อมโยงการทำงานในมิติทั้ง 4 ด้าน โดยการพัฒนาผู้ประกอบการให้ผลิตสินค้าที่ได้มาตฐาน มีการสร้างการรับรู้ NTB (Non-Tariff Barriers) คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเป็นอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ กำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดอุปสรรคในการนำเข้าจากประเทศคู่ค้าอย่างไม่เป็นธรรม มีการส่งเสริมให้สังคมโดยรอบโรงงานอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อมอาจมีการระบุในสลากว่าน้ำตาลทรายผลิตโดยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ผลิตมาจากอ้อยเผาไฟที่ส่งผลให้เกิดมลภาวะฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานในระดับชุมชนเพื่อการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน นอกจากนี้ ควรมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกันใน i-Single Form เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ทางด้าน หน.ผตร.วิษณุ รสอ.รก.ผตร.ภาสกร และ ผช.ปกอ.ณิรดา ได้เสนอแนะให้ สมอ. มีการสุ่มตรวจสินค้าอุตสาหกรรมให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด มีการกำหนดมาตรฐานในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้ทันกับบริบทโลก และควรจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อเท็จจริง ตลอดจนการใช้ประโยชน์จาก i-Single Form เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ รับทราบและยินดีที่ ประเทศไทย เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างประเทศ มุ่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เสริมภาพลักษณ์ตามนโยบาย Soft Power
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ รับทราบและยินดีที่ ประเทศไทย เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างประเทศ มุ่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เสริมภาพลักษณ์ตามนโยบาย Soft Power โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ รับทราบและยินดีที่ ประเทศไทย เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างประเทศ มุ่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เสริมภาพลักษณ์ประเทศตามนโยบาย Soft Power (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีที่ ประเทศไทยเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ต่างประเทศมักเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ทำให้สถานที่สวยงามของไทยเป็นที่รู้จัก เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ รวมทั้งยังมีส่วนในการกระจายรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไปในโอกาสเดียวกันด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากรายงานของกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ในปี 2565 มีการถ่ายทำภาพยนต์ต่างประเทศในประเทศไทยถึง 348 เรื่อง โดยเดือนกันยายน และพฤศจิกายน 2565 มีการถ่ายทำสูงสุดที่ 42 เรื่อง ในขณะที่ล่าสุด เดือนมกราคม 2566 มีการถ่ายทำไปแล้วถึง 34 เรื่อง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 298.11 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2566) นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ภาครัฐยังได้ให้การสนับสนุนเป็นสิทธิประโยชน์ในรูปแบบการคืนเงิน (Cash Rebate) ตามมติ ครม. (7 ก.พ. 2566) ร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี สิทธิประโยชน์หลักอยู่ที่ร้อยละ 20 เมื่อมีการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่วนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมรวมแล้วไม่เกินร้อยละ 10 นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่มการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาท/เรื่อง เป็น 150 ล้านบาท/เรื่อง จะทำให้เพดานเงินลงทุนสร้างภาพยนต์ต่อเรื่องเพิ่มเป็น 750 ล้านบาท จากเดิม 375 ล้านบาท เพื่อเป็นการรับกับแนวโน้มที่คณะถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาในไทยเป็นผู้สร้างรายใหญ่ เงินทุนสูง โดยเฉพาะภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ ทั้งนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา จังหวัดสถานที่ถ่ายทำยอดฮิตของกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต สมุทรปราการ เชียงใหม่ และพังงา โดยรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย รวมถึงในการจ่ายเงินคืนให้ผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างชาติ โดยในช่วง 7 ปี (พ.ศ. 2560-2566) มีภาพยนตร์จำนวนกว่า 45 เรื่องที่เข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย นำรายได้เข้าประเทศเกือบ 9 พันล้านบาท หมุนเวียนเศรษฐกิจในอัตราทวีคูณถึงกว่า 17,000 ล้านบาท “นายกรัฐมนตรีเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนมาจากความเชื่อมั่นในอดีตที่ผ่านมา ไทยมีศักยภาพของสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีความหลากหลาย ความสามารถของบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เสริมภาพลักษณ์ประเทศตามนโยบาย Soft Power ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อมั่นว่า มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยจะเป็นอีกหนึ่งในมาตรการที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศและคุ้มค่า เพราะรายได้ที่ได้รับจะส่งถึงประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำทั่วประเทศ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยสท. เร่งปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ห่วงรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล พร้อมเดินหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ยสท. เร่งปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ห่วงรัฐสูญเสียรายได้มหาศาล พร้อมเดินหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมาย บุหรี่หนีภาษี บุหรี่ปลอม การแข่งขันทางการค้าในอุตสาหกรรมบุหรี่ต่างชาติ และจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่น้อยลงตามนโยบายรัฐและกระแสโลก ทำให้ ยสท. ได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายที่ลดลง นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กล่าวว่า ภายหลังการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2564 ส่งผลให้บุหรี่ในประเทศราคาปรับสูงขึ้นจากเดิมมาก โดยบุหรี่ตราที่ขายในราคา 51 บาท ปรับขึ้นเป็น 60 บาท และ 66 บาท ด้วยปัจจัยด้านราคาที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีการลักลอบนำบุหรี่ผิดกฎหมาย ทั้งบุหรี่ปลอมเครื่องหมายการค้าของ ยสท. และบุหรี่หนีภาษี ซึ่งมีราคาถูกกว่าบุหรี่ในประเทศหลายเท่าตัวเข้ามาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก สวนทางกับนโยบายปรับเพิ่มภาษียาสูบเพื่อลดการบริโภคยาสูบในประเทศ ยสท. ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาตราเครื่องหมายการค้า ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน มีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ปลอมเครื่องหมายการค้าของ ยสท. จากประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศไทย ซึ่งร้านค้าปลีกลักลอบนำไปจำหน่ายปะปนกับบุหรี่จริง และขายในราคาเท่ากับบุหรี่จริง แม้ว่า ยสท. ได้ทำจุดตรวจสอบที่ซองบุหรี่เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ในการตรวจสอบ แต่ไม่สามารถสื่อสารโดยตรงไปยังผู้บริโภคได้ ด้วยข้อจำกัดตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ทราบข้อมูลและตกเป็นเหยื่อในการบริโภคบุหรี่ปลอม สำหรับบุหรี่หนีภาษีราคาถูก ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งการค้าบุหรี่หนีภาษีทำเป็นขบวนการใหญ่ เปิดร้านจำหน่ายอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและจริงจัง จะทำให้ธุรกิจการค้าบุหรี่หนีภาษีเติบโตขยายตลาดการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และรัฐจะสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล ส่วนผู้ค้ายาสูบถูกกฎหมายทั้งระบบก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง ยสท. มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย คือ สำนักป้องกันบุหรี่ผิดกฎหมาย มีคณะอนุกรรมการกำกับดูแลบริหารการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ซึ่งแต่งตั้งจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ทหาร ตำรวจ ปปง. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อกำกับควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่ง ยสท. ตระหนักถึงปัญหาและพิษภัยของบุหรี่ปลอม และพยายามแก้ไขมาโดยตลอด แต่ปัญหายังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ค้าสามารถเข้าถึงและซื้อบุหรี่ปลอมมาจำหน่ายได้หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์และการส่งสินค้าผ่านระบบโลจิสติกส์ ซึ่งผู้บริโภคและร้านค้าสามารถเข้าถึงบุหรี่ผิดกฎหมายได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทำให้ตกเป็นเหยื่อในการบริโภคบุหรี่ปลอมที่เจือปนสารนอกเหนือการควบคุมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่บุหรี่เครื่องหมายการค้าของ ยสท. นั้น มีฝ่ายวิจัยและพัฒนา ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์สารประกอบต่างๆ เป็นประจำทุกเดือน เพื่อตรวจสอบสารที่ต้องห้าม ผู้ว่าการ ยสท. กล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมาย บุหรี่หนีภาษี บุหรี่ปลอม การแข่งขันทางการค้าในอุตสาหกรรมบุหรี่ต่างชาติ และจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่น้อยลงตามนโยบายรัฐและกระแสโลก ทำให้ ยสท. ได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายที่ลดลง ยสท. จึงได้มีการนำทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์มาจัดหาประโยชน์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบัน ยสท. มีแปลงที่ดินจำนวน 150 แปลงที่เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ในเขตพื้นที่ 15 จังหวัด รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 6,003 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ มหาสารคาม เพชรบูรณ์ สุโขทัย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด หนองคาย นครพนม และบึงกาฬ ซึ่งคณะกรรมการ ยสท. (บอร์ด) มีมติให้นำอสังหาริมทรัพย์ที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ตามภารกิจหลักและมีศักยภาพนำมาจัดหาประโยชน์สร้างรายได้ โดยนำมาให้เช่า จำนวนกว่า 2,000 ไร่ จากทั้งหมด 6,003 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ของ ยสท. ที่มีปัจจัยทั้งภายใน ภายนอก โอกาส และอุปสรรค โดยจะต้องประสานองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย สอดคล้องทั้งสภาพแวดล้อม บริบทของเมือง และความต้องการในเชิงธุรกิจ ก่อนนำมาจัดประโยชน์ต่อไป นอกจากนี้ ยสท. กำลังพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการแสดงผลข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ด้วยโปรแกรมภูมิสารสนเทศ (Supermap) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ของ ยสท. โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดระเบียบฐานข้อมูลด้านภาษี ประกันภัย ข้อมูลแปลงที่ดิน ข้อมูลทรัพย์สิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนผังระบบและจัดการข้อมูลแยกส่วน แยกประเภทตามผู้ใช้งาน คาดว่าจะสามารถใช้งานระบบได้เต็มรูปแบบภายในเดือนเมษายน 2566 นี้ พร้อมทั้งได้จัดทำหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของ ยสท. โดยผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร แสดงความประสงค์ หรือสอบถามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์การยาสูบแห่งประเทศไทย www.thaitobacco.or.th ผู้ว่าการ ยสท. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” หรือโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในด้านสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง BCG ประกอบด้วย B (Bio Economy) คือ เศรษฐกิจชีวภาพ โดย ยสท. จึงได้นำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอดในด้านทรัพยากรชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตร เช่น พัฒนาพื้นที่เพาะปลูกยาสูบให้ได้ผลผลิตมากขึ้น และใช้นวัตกรรมทางการเกษตรมาช่วยเหลือเกษตรกร ส่วน C (Circular Economy) คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน โดย ยสท. มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การสร้างมูลค่าจากฝุ่นผงใบยาในอุตสาหกรรมการผลิตยาสูบ ลดปริมาณขยะในภาคการผลิต และ G (Green Economy) คือ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่ง ยสท. ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้สารชีวภาพแทนสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยสท. ยังมีโครงการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่กํากับดูแลของสํานักงานยาสูบส่วนภูมิภาค (พื้นที่สํารองไว้ใช้ประโยชน์อื่น) จํานวน 27 แปลง ประมาณ 500 ไร่ โดยการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Green Area) เพิ่มพูนการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก (CO2 ) และคืนออกซิเจน (O2 ) ให้กับพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับ ยสท. อีกทางหนึ่งด้วย และในปี 2566 ยสท. จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนสำนักงานโครงการย้ายโรงงานผลิตยาสูบสวนอุตสาหกรรมโรจนะ มาเป็นสำนักการพัฒนายั่งยืนเนื่องจากเสร็จสิ้นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและย้ายโรงงานผลิตยาสูบแล้ว โดยสำนักการพัฒนายั่งยืนจะเป็นหน่วยงานของ ยสท. ที่ดูแลและดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับ BCG Model โดยตรง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64860
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ เตือนผู้ค้าหลีกเลี่ยงซื้อสลากไปขายต่อ ห่วงถูกหลอก พร้อมย้ำ สลากกินแบ่งมีมาตรฐาน ปลอมแปลงไม่ได้แน่นอน เผยวิธีตรวจสอบ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 สำนักงานสลากฯ เตือนผู้ค้าหลีกเลี่ยงซื้อสลากไปขายต่อ ห่วงถูกหลอก พร้อมย้ำ สลากกินแบ่งมีมาตรฐาน ปลอมแปลงไม่ได้แน่นอน เผยวิธีตรวจสอบ กรณีแม่ค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปซื้อสลากงวดวันที่ 16 ก.พ.2566 จำนวน 4 เล่ม รวม 400 ใบ ราคาใบละ 90 บาท จากตลาดที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อนำไปจำหน่าย ต่อมาพบว่าเนื้อกระดาษไม่เหมือนกับสลากที่จำหน่ายอยู่ พบว่าเป็นสลากปลอมทั้งหมด สืบเนื่องจากข่าวที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน กรณีแม่ค้าขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปซื้อสลากงวดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 4 เล่ม รวม 400 ใบ ราคาใบละ 90 บาท จากตลาดที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อนำไปจำหน่าย ต่อมาพบว่าเนื้อกระดาษไม่เหมือนกับสลากที่จำหน่ายอยู่ จึงนำมาตรวจสอบที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และพบว่าเป็นสลากปลอมทั้งหมดนั้น พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินการตรวจสอบสลากทั้ง 400 ใบที่ผู้เสียหายนำมาและพบว่าเป็นสลากปลอม จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่พาผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ดังนั้น จึงขอเตือนตัวแทนจำหน่ายสลาก และผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ ให้ใช้ความระมัดระวังในการไปซื้อสลากจากบุคคลอื่นเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ ทั้งนี้ หากได้รับการจัดสรรสลากแล้ว หรือเป็นผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ ที่ทำรายการได้แล้ว ควรจำหน่ายเฉพาะสลากที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงานสลากฯ เท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กล่าวถึง วิธีสังเกตเพื่อตรวจสอบสลากในมือว่าเป็นของจริง หรือของปลอมว่า ตรวจดูคุณลักษณะทั่วไปของสลาก คือความหนาบางของกระดาษ รูปภาพสลาก ขนาดของตัวเลข และขนาดของตัวอักษร และตรวจสอบคุณลักษณะพิเศษของสลาก โดยให้สังเกตว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์สลากจะมีลายน้ำในเนื้อกระดาษเมื่อส่องกับแสงไฟสีขาว หรือแสงสว่างจะมองเห็นลายน้ำรูปนกวายุภักษ์ในเนื้อกระดาษ และเมื่อส่องกับแสงไฟสีม่วง (แสงยูวี) จะมองเห็นเส้นไหม และเส้นที่พาดผ่านตัวเลข ขณะเดียวกัน สำหรับประชาชนผู้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ขอให้มั่นใจว่า สลากทุกใบของสำนักงานพิมพ์ด้วยระบบที่ผ่านการรับรองคุณภาพตามหลักมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อสลากดิจิทัล ผ่านแอพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 17 ล้านใบ เป็นสลากของแท้จากสำนักงานสลากฯ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนอีกด้วย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่รับซื้อรางวัล ก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง ในการตรวจสอบสลากที่มีผู้มาขึ้นเงินรางวัล โดยในเบื้องต้นให้ใช้วิธีการเปรียบเทียบกับสลากของจริงของสำนักงานสลากฯ ในงวดนั้นๆ เพื่อหาความแตกต่างกับสลากที่ต้องการตรวจพิสูจน์ เช่น มีลักษณะเรืองแสง หรืออาจใช้น้ำสะอาดมาถูบนสลาก ซึ่งหมึกที่ใช้พิมพ์ตัวเลขสลากของจริงเมื่อถูกน้ำจะไม่ละลาย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วิธีตรวจหาร่องรอยการแก้ไขหรือการตัดแปะตัวเลขบนสลากได้โดยใช้กล้องหรือแว่นขยายส่องบริเวณจุดที่สงสัยว่าจะมีการแก้ไข เช่น บริเวณหมายเลขสลาก หรืองวดวันที่ โดยนำตัวเลขจากฉบับอื่นมาปะทับบนตัวเลขที่ไม่ต้องการ หรือตัวเลขที่ไม่ถูกรางวัลเพื่อให้ได้หมายเลขตรงกับสลากที่ถูกรางวัล รวมทั้งการแก้ไขด้วยวิธีขูด ลบ ลอก ตัวเลขเดิมที่ไม่ต้องการออก แล้วนำตัวเลขจากสลากฉบับอื่นมาปะแทนเพื่อให้ได้หมายเลขตรงกับสลากที่ถูกรางวัล เป็นต้น ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเตือนมิจฉาชีพที่ทำสลากปลอมการกระทำดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายอาญา ตามมาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท ทั้งนี้สำนักงานสลากฯ มีเจ้าหน้าที่ในส่วนงานที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์สลากโดยเฉพาะเพื่อให้บริการประชาชน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามมาที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โทร. 0-2528-9999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ขายพันธบัตร 3 พันล้าน อายุ 3 ปี ก.คลัง ค้ำต้นและดอก เปิดประมูล 20 ก.พ.นี้ ระดมทุนปล่อยสินเชื่อหนุนเอสเอ็มอีไทย
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 SME D Bank ขายพันธบัตร 3 พันล้าน อายุ 3 ปี ก.คลัง ค้ำต้นและดอก เปิดประมูล 20 ก.พ.นี้ ระดมทุนปล่อยสินเชื่อหนุนเอสเอ็มอีไทย SME D Bank เตรียมขายพันธบัตรวงเงิน 3 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ก.คลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยผ่านวิธีประมูลแก่ผู้ลงทุน เพื่อระดมทุนไปปล่อยสินเชื่อแก่ SMEs ไทย กำหนดประมูล 20 ก.พ.นี้ มั่นใจได้รับความสนใจอย่างสูง จากความแข็งแกร่งขององค์กรระดับ AAA นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เผยว่า ธนาคารเตรียมออกจำหน่ายพันธบัตร วงเงิน 3,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อระดมทุนนำไปใช้ปล่อยสินเชื่อต่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กำหนดประมูลในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้จัดจำหน่ายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อ ด้วยวิธีการ ดังนี้ (1) จำหน่ายพันธบัตรโดยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทนให้แก่ผู้ใช้บริการ e-Bidding ตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้บริการธุรกรรมประมูลตราสารหนี้ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) พ.ศ. 2546 (2) จำหน่ายพันธบัตรโดยวิธีการเสนอซื้อให้แก่ มูลนิธิ สหกรณ์ นิติบุคคลเพื่อการสาธารณกุศล การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา สาธารณประโยชน์อื่นๆ โดยมิได้มุ่งหวัง ประโยชน์มาแบ่งปันกัน และกองทุนที่เป็นนิติบุคคลที่ใช้ผลประโยชน์จากต้นเงิน สำหรับการจำหน่ายพันธบัตรครั้งนี้ ทำให้ธนาคารมีเงินทุนนำไปสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถเดินหน้าธุรกิจได้เต็มศักยภาพ เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนไทยฟื้นตัวโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ช่วยให้ธนาคารมีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมในระยะยาว เชื่อว่า พันธบัตรดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุน เนื่องจากธนาคารมีสถานะความแข็งแกร่ง เพราะมีกระทรวงการคลังถือหุ้นกว่า 99% และได้การจัดอันดับเครดิตองค์กร โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง จำกัด ให้อยู่ในระดับ AAA ถือเป็นระดับสูงสุดสำหรับเครดิตภายในประเทศ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารเงิน โทร.02-265-4465, 02-265-4506 หรือ Call CENTER 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด กพช. เห็นชอบ แนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤตพลังงาน ม.ค.-เม.ย. 66 วงเงินช่วยเหลือ 4,300 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 บอร์ด กพช. เห็นชอบ แนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤตพลังงาน ม.ค.-เม.ย. 66 วงเงินช่วยเหลือ 4,300 ล้านบาท บอร์ด กพช. เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤตพลังงาน ม.ค.-เม.ย. 66 วงเงินช่วยเหลือ 4,300 ล้านบาท นายกฯ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมประหยัดพลังงานต่อเนื่อง ควบคู่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น วันนี้ (13 ก.พ.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2566 ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมร่วมกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำการทำงานของทุกหน่วยงานต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการด้านพลังงานต่าง ๆ ทั้งเรื่องก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่ต้องสร้างการรับรู้ต่อเนื่อง ให้สังคมเกิดความเข้าใจและเกิดความเชื่อมั่นต่อการทำงานและการดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการด้านพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน และขอให้มีการประสานงานระหว่างกันอย่างต่อเนื่องใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ตามเป้าหมาย รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานดังกล่าวให้สังคมและประชาชนได้รับทราบอย่างกว้างขวาง และขอให้รณรงค์ส่งเสริมประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันให้เร่งส่งเสริมสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดในประเทศให้มากขึ้น สอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้กรอบนโยบายพลังงานที่สนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ตามที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ต่อประชาคมโลก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ให้เป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามแนวทางของอุตสาหกรรม New S Curve ของประเทศไทย โดยเน้นย้ำต้องทำให้ครบวงจรทั้งระบบ และมีการบริหารจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุหลังการใช้งานแล้วให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาและสร้างการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยขอให้ทุกคนร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้ ที่ประชุม กพช. ได้มีการพิจารณาการทบทวนแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 ที่ กพช. ได้เคยมีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 เนื่องจากสถานการณ์ราคาพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคา LNG ในตลาดโลกมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงาน (พน.) ได้มีการดำเนินการโดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้รับใบอนุญาต Shipper (LNG Shipper) ทั้ง 8 ราย มาหารือถึงปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินการตามแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ซึ่งได้ประเด็นปัญหาที่สำคัญ คือ ผลกระทบจากสถานการณ์ราคา LNG ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ Shipper รายใหม่ ไม่สามารถแข่งขันกับ Shipper รายเดิมในกลุ่ม Regulated Market ได้ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้พลังงาน ที่ประชุม กพช. จึงได้มีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอการทบทวนแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 โดยมีโครงสร้างกิจการ ดังนี้ 1. ธุรกิจต้นน้ำ ให้ PTT Shipper บริหารจัดการ Old Supply และ Shipper ที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ สามารถจัดหาและนำเข้า LNG ได้ โดยมอบหมายให้ กกพ. กำกับดูแล และกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีการจัดหา LNG ตามปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาระ Take or Pay 2. ธุรกิจกลางน้ำ ให้ Shipper ทุกราย ในกลุ่ม Regulated Market ขายก๊าซธรรมชาติ หรือ LNG ที่จัดหาได้ให้กับ Pool Manager เพื่อนำไปรวมเป็น Pool Gas ของประเทศ และซื้อก๊าซธรรมชาติออกจาก Pool Gas ตามปริมาณที่จัดหาและนำเข้า Pool Gas โดยมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้บริหารจัดการ Pool Gas ของประเทศ (Pool Manager) และให้ กกพ. กำกับดูแลการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซระหว่าง Shipper กับ Pool Manager รวมทั้ง ให้ดำเนินการจัดตั้ง Transmission System Operator (TSO) เป็นนิติบุคคลใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 3. ธุรกิจปลายน้ำ ให้ Shipper ในกลุ่ม Regulated Market ซื้อก๊าซธรรมชาติจาก Pool Manager ในราคา Pool Gas ตามปริมาณก๊าซธรรมชาติ หรือ LNG ที่ Shipper นั้นๆ จัดหาและนำเข้า เพื่อนำไปจำหน่ายให้กับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ และ Shipper ในกลุ่ม Partially Regulated Market ให้ขาย LNG ให้กับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติได้โดยตรง ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้ สนพ. และ กกพ. ร่วมกันพิจารณาเพิ่มเติมแนวทางบริหารและกำกับดูแลโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติที่มีการทบทวนครั้งนี้ ให้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องทำให้เกิดการแข่งขันจากผู้ประกอบการหลายราย และทำให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติทุกกลุ่มได้ประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขันดังกล่าว รวมทั้งที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบให้ปรับวงเงินลงทุนโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ของ ปตท. ที่ กพช. ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 จากเดิมวงเงินลงทุน 11,000 ล้านบาท เป็น 13,590 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในส่วนของพื้นที่และวิธีการวางท่อก๊าซธรรมชาติซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนในการดำเนินโครงการปรับเพิ่มสูงขึ้น และ มอบหมายให้ กกพ. พิจารณาการส่งผ่านภาระการลงทุนโครงการที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราค่าบริการไฟฟ้าและค่าบริการก๊าซธรรมชาติในอนาคต ไปยังผู้ใช้พลังงานได้เท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเหตุผลของการปรับเพิ่มวงเงินลงทุน พร้อมทั้งที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤตพลังงาน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการให้ความร่วมมือของ ปตท. ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนในช่วงเดือน มกราคม - เมษายน 2566 วงเงินช่วยเหลือจะอยู่ที่ประมาณ 4,300 ล้านบาท และให้ กฟผ. สามารถนำต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงดังกล่าว ไปใช้ในการลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มเปราะบางข้างต้น โดยมอบหมายให้ กกพ. กำกับดูแลการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุม กพช. ได้มีการพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินการตามข้อแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีมติเห็นชอบแนวนโยบายในการกำกับดูแลการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ตามแนวทางการดำเนินการตามข้อแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ใช้ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation: LOLE) เป็นเกณฑ์วัดความมั่นคงของระบบไฟฟ้า แทนการใช้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) นอกจากนี้ที่ประชุม กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2575 ที่มีเป้าหมายพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ให้เป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามแนวทางของอุตสาหกรรม New S Curve ของประเทศไทย โดยมีแนวทางการส่งเสริมให้แบตเตอรี่เป็นอุตสาหกรรม New S Curve จะครอบคลุม 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ (1) การใช้ระบบกักเก็บพลังงาน มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการใช้แบตเตอรี่ในประเทศ (2) การผลิตระบบกักเก็บพลังงาน เป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการแข่งขันการผลิตของประเทศในห่วงโซ่มูลค่า และการผลิตแบตเตอรี่เพื่อความยั่งยืนในประเทศ (3) กฎหมาย และมาตรฐาน มุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการทางกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ และมาตรฐานของประเทศให้สามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ (4) การวิจัยและพัฒนาและสร้างบุคลากรรองรับ เป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และเป็นการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรภายในประเทศ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ คณะกรรมการส่งเสริมเทคโนโลยีระบบการกักเก็บพลังงาน กำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2575 และรายงานต่อ กพช. ทราบต่อไป ----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64887
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบประกาศนียบัตรที่ปรึกษาพิเศษด้านการลงทุน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 มอบประกาศนียบัตรที่ปรึกษาพิเศษด้านการลงทุน มอบประกาศนียบัตรที่ปรึกษาพิเศษด้านการลงทุน มอบประกาศนียบัตรที่ปรึกษาพิเศษด้านการลงทุน หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย (ที่ 3 จากซ้าย) และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (ที่ 2 จากซ้าย) ได้มอบประกาศนียบัตรที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (Honorary Investment Advisor) ให้แก่ นายเดวิด เกอเคเลอร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Western Digital (ที่ 4 จากซ้าย) ในฐานะผู้ผลิต Hard Disk Drive รายใหญ่ของโลกในไทยมายาวนานกว่า 15 ปี ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมโรดโชว์ ณ นครซีแอตเติล และนครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเร็ว ๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กพร. ย้ำให้ผู้ประกอบการใช้แนวทาง 4 มิติ รับกระแสสังคมโลก
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กพร. ย้ำให้ผู้ประกอบการใช้แนวทาง 4 มิติ รับกระแสสังคมโลก ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม กพร. ย้ำให้ผู้ประกอบการใช้แนวทาง 4 มิติ รับกระแสสังคมโลก เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยมกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) โดยมีนายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ กพร. ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จังหวัดสมุทรปราการ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) มีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาการประกอบการ และการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ให้มีศักยภาพตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพระบบการอนุญาตและกำกับดูแลการประกอบการอุตสาหกรรมแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน ให้มีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย มีมาตรฐานด้วยกระบวนการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โปร่งใส รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีทรัพยากรแร่กว่า 40 ชนิด ในพื้นที่ 60 ล้านไร่ โดยแร่ที่ผลิตเองในไทยถูกใช้ในประเทศแล้วกว่า 90% ซึ่ง กพร. ได้ดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด MIND ใช้หัวและใจในการทำงาน และมีแผนดำเนินการที่ตอบโจทย์ตามนโยบาย 4 มิติ ได้แก่ มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจ : มีการวางแนวทางการปฏิรูปการจัดทำเหมืองแร่เพื่อให้อุตสาหกรรมมีความมั่นคงเรื่องวัตถุดิบ มิติที่ 2 การดูสังคม :มีการปรับปรุงระบบการเชื่อมโยงข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ มิติที่ 3 การดูแลสิ่งแวดล้อม : มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ใช้การตรวจกำกับเหมืองแร่ด้วยเทคโนโลยี การเพิ่มคุณค่าทรัพยากรที่มาจากแร่ ดำเนินการด้วยการปฏิบัติตามหลัก Circular Economy มิติที่ 4 การกระจายรายได้ : โดยคำนึงถึงชุมชนรอบเหมืองเป็นที่ตั้ง ผ่านโครงการเหมืองแร่ปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่เติบโตอย่างยั่งยืน ด้านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้นโยบายกับทาง กพร. ว่า ในการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ อยากให้ใช้ทั้ง 4 มิติควบคู่กันไป เพื่อการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการยึดหลัง 4 มิติในการประกอบธุรกิจ ส่วนในเรื่องของการกำกับดูแลเหมืองแร่นั้น ขอให้ทุกขั้นตอนมีแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจน เช่น ในแต่ระยะมีแผนการปรับปรุงและพัฒนาอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยแผนการดำเนินงานควรมีการเสนอให้ครอบคลุม 4 มิติ ก่อนการเปิดดำเนินการเหมืองแต่ละแห่ง และขอชื่นชมการจัดการให้มีกองทุนในเหมืองสำหรับดูแลความเป็นอยู่ชุมชนโดยรอบ ซึ่งควรมีการทำเป็นโมเดลตัวอย่างเรื่องการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างมีความสุข เพื่อการขยายผลในวงกว้างต่อไป ด้าน ลอน.รก.รปอ.เอกภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความพึงพอใจให้ประชาชน ซึ่งในทุก ๆ ปี กพร. จะมีการจัดโครงการเหมืองแร่ปลอดภัย โดยเป็นการตรวจสุขภาพให้กับผู้คนในชุมชนโดยรอบเหมืองแร่ ซึ่งช่วงเวลาเหมาะสมที่ทาง กพร. จะเข้าไปสอบถามพูดคุยเรื่องที่ประชาชนต้องการและรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชน รสอ.รก.รปอ.ณัฏฐิญา กล่าวว่า ขอให้ทาง กพร. มีการประสานงานกับทาง กรอ. เรื่องการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลร่วมกันผ่าน I-Single Form เพื่อเป็นการแบ่งปันข้อมูลเรื่องการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือมีการประสานงานหน่วยงานอื่น ๆ ในกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาใช้ประโยชน์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-16 ก.พ.นี้ จองตั๋วรถไฟออนไลน์ D-Ticket ต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิต-เดบิตเท่านั้น! แก้ปัญหาจองตั๋วแล้วไม่นำรหัสไปจ่ายเงิน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตั๋ว
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 16 ก.พ.นี้ จองตั๋วรถไฟออนไลน์ D-Ticket ต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิต-เดบิตเท่านั้น! แก้ปัญหาจองตั๋วแล้วไม่นำรหัสไปจ่ายเงิน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตั๋ว 16 ก.พ.นี้ จองตั๋วรถไฟออนไลน์ D-Ticket ต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิต-เดบิตเท่านั้น! แก้ปัญหาจองตั๋วแล้วไม่นำรหัสไปจ่ายเงิน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตั๋ว วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐนำระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่มาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน นั้น ที่ผ่านมาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จำหน่ายตั๋วและสำรองที่นั่งผ่านช่องทางออนไลน์แก่ผู้โดยสาร ทั้งเว็บไซต์ D-Ticket และแอปพลิเคชั่น D-Ticket (ระบบ Android และ IOS) ซึ่งสามารถจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าได้สูงสุด 30 วัน เพิ่มเติมจากการซื้อตั๋วโดยสารปกติ พบปัญหาการจองตั๋วออนไลน์แล้วไม่นำรหัสจองตั๋วมาจ่ายเงินภายในเวลาที่กำหนด ทำให้เสียโอกาสในการเดินทางของผู้ที่ต้องการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าว นางสาวรัขดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการกระจายโอกาสในการซื้อตั๋วรถไฟแก่ทุกคนอย่างทั่วถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับวิธีการชำระเงิน สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วผ่านเว็บไซต์ D-Ticket (https://dticket.railway.co.th) และแอปพลิเคชัน D-Ticket ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป ผู้ที่จองตั๋วผ่านช่องทางดังกล่าว จะต้องชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิตเท่านั้น "ส่วนผู้โดยสารที่ไม่ใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต สามารถเลือกซื้อตั๋วโดยสารได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่ง หรือผ่านสายด่วน โทร.1690 โดยเลือกชำระเงินได้ทั้งรูปแบบเงินสด หรือระบบทรูมันนี่ รวมถึงบัตรเครดิต/เดบิต ได้อีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ www.railway.co.th" นางสาว รัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64863
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งความห่วงใย วาเลนไทน์นี้มีความรักที่ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ คู่รักใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 รัฐบาลส่งความห่วงใย วาเลนไทน์นี้มีความรักที่ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ คู่รักใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รัฐบาลส่งความห่วงใย วาเลนไทน์นี้มีความรักที่ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ คู่รักใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วันที่ 13 ก.พ. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 14 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก เป็นวาระสำคัญที่ประชาชนทุกกลุ่มทุกวัยจะส่งมอบความรักและความปรารถดีแก่กัน แต่เนื่องจากปัจจุบันได้มีภัยในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะมิจฉาชีพที่แอบแฝงในโลกออนไลน์ซึ่งจำนวนมากใช้ความรักหรือความอ่อนไหวของเป้าหมายหลอกลวงทั้งประสงค์ต่อทรัพย์และอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย รัฐบาลจึงขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังภัยต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันแห่งความรักนี้ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถิติอาชญากรรมออนไลน์ประจำเดือน ม.ค. 66 จากศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีเกี่ยวกับการหลอกให้รักยังสูงถึง 403 คดี โดยแบ่งเป็นคดีประเภทหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน จำนวน 168 เรื่อง และคดีหลอกลวงให้รักแล้วลงทุน จำนวน 235 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 190 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภัยออนไลน์เกี่ยวกับความรักหรือ Romance Scams จะเป็นการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาพัฒนาความสัมพันธ์กับเป้าหมายสร้างความเชื่อใจระหว่างบุคคล แล้วทำการหลอกลวงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน หลอกให้รักแล้วกดลิงก์/ดาวน์โหลดแอปรีโมท ควบคุมสมาร์ทโฟนและทำการดูดเงินในบัญชี หรือหลอกให้รักแล้วแบล็คเมล์ ด้วยการชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ แล้วนำภาพหรือวิดีโอมาขู่เรียกค่าไถ่ หรือบีบบังคับให้กระทำการอื่นๆ ทั้งนี้ หากประชาชนมีความสงสัยหรือกำลังเกรงว่าตนเองอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 หากเป็นผู้เสียหายประสงค์จะแจ้งความ สามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com และสามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงต่างๆที่ pctpr.police.go.th น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในเทศกาลวันแห่งความรักยังเป็นโอกาสที่คู่รักใช้เป็นช่วงเวลาในการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ ในส่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้มีข้อแนะนำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเอชไอวี หรือโรคอื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน โรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง และโรคเริม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โรคต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีข้อแนะนำว่าถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งรายการละเอียดในการผลิตหรือนำเข้า ดังนั้น ขณะเลือกซื้อประชาชนควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์หรือใบรับแจ้งรายการละเอียด ซึ่งรับรองจาก อย. สังเกตดูวันที่ผลิต วันหมดอายุก่อนซื้อ และมีการใช้ตามคู่มือแนะนำของผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและให้ถุงยางอนามัยคงประสิทธิภาพสูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลจากเรือ MSC ALXEA ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลจากเรือ MSC ALXEA ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ... สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลจากเรือ MSC ALXEA ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ พร้อมย้ำ ! ต้องไม่เกิดเหตุซ้ำอีก ากกรณีสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี และสำนักงานควบคุมการจราจรและความปลอดภัยทางทะเล ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 พบคราบน้ำมันรั่วไหลบริเวณข้างเรือ MSC ALXEA สัญชาติ PANAMA IMO. Number 9129873 ขนาด 42,307 ตันกรอส กัปตันเรือ ชื่อ Vujosevic Sveyozar ขณะจอดเทียบท่า C2 ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งกัปตันเรือได้ให้การเบื้องต้นว่า สาเหตุเกิดจากการปั๊มน้ำอับเฉาเรือออกนอกตัวเรือ จึงทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วไหวออกมาด้วยประมาณ 2,000 ลิตร นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และห้ามปล่อยเรือออกจากท่าเด็ดขาด เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในการนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาชลบุรี ได้ประสานงานให้บริษัทรับขจัดคราบน้ำมันเข้าพื้นที่เพื่อขจัดคราบน้ำมัน และใช้บูมล้อมบริเวณท้ายเรือเพื่อป้องกันการกระจายพื้นที่ของน้ำมัน โดย จท. ได้รวบรวมเอกสารเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าของเรือและผู้ควบคุมเรือกับสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในข้อหาการกระทำความผิดตามมาตรา 119 ทวิ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พร้อมทั้งแจ้งให้ตัวแทนเจ้าของเรือทราบว่า เจ้าของเรือต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการขจัดคราบน้ำมัน ซึ่งผู้แทนเจ้าของเรือรับทราบและประสานบริษัทประกันภัยให้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น และให้เจ้าหน้าที่ จท. เข้มงวดกวดขันให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างมีระบบแบบแผนและเป็นไปตามข้อกฎหมายอย่างชัดเจน เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสักการะพระบรมธาตุไชยาเพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 นายกรัฐมนตรีสักการะพระบรมธาตุไชยาเพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีสักการะพระบรมธาตุไชยาเพื่อความเป็นสิริมงคล ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สุราษฎร์ธานี นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 15.30 น. ณ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ได้สักการะพระบรมธาตุไชยาเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งมีประชาชนมาให้กำลังใจพร้อมมอบดอกกุหลาบสีแดงให้นายกรัฐมนตรีแทนความรักที่มีให้เนื่องในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก พร้อมบอกให้นายกรัฐมนตรีสู้ ๆ อยู่บริหารประเทศต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้อุ้มทารกชื่อ ด.ช.การิน ทองลิ้ม อายุ 18 วัน ด้วยความรักและความเอ็นดู โดยผู้ปกครองพามาต้อนรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง โตขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติ พร้อมฝากผู้ปกครองเลี้ยงดูน้องให้ดี สำหรับวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนรักษ์นรกิจ หมู่ 3 ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบนมัสการพระครูพิทักษ์เจติยานุกูล เจ้าคณะอำเภอไชยา รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร พร้อมกล่าวขอให้พระครูฯ มีสุขภาพแข็งแรง และกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ ทั้งนี้ พระครูฯ ได้ให้พรแก่นายกรัฐมนตรี ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีพละกำลังในการทำงานในการทำงานเพื่อประเทศชาติ ขอให้มีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา และสานต่อสิ่งดี ๆ ที่ทำไว้ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ให้ประสบความสำเร็จนำพาประเทศชาติเจริญก้าวหน้าต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ทิพานัน" ชู'พล.อ.ประยุทธ์'กล้าตัดสินใจ มีวิสัยทัศน์พาการบินไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดออกจากแผนฟื้นฟูก่อนกำหนดปลายปี67คืน ความภาคภูมิใจสายการบินแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 "ทิพานัน" ชู'พล.อ.ประยุทธ์'กล้าตัดสินใจ มีวิสัยทัศน์พาการบินไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดออกจากแผนฟื้นฟูก่อนกำหนดปลายปี67คืน ความภาคภูมิใจสายการบินแห่งชาติ "ทิพานัน" ชู'พล.อ.ประยุทธ์'กล้าตัดสินใจ มีวิสัยทัศน์พาการบินไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดออกจากแผนฟื้นฟูก่อนกำหนดปลายปี67คืน ความภาคภูมิใจสายการบินแห่งชาติ วันที่ 13 ก.พ. 66 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยินดีความก้าวหน้าแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ล่าสุด ดำเนินงานตามแผนไปแล้วประมาณ 70% ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการปี 2565 ประมาณการรายได้อยู่ที่ราว 90,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 ตั้งเป้ารายได้โต40% น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ประกอบกับแนวโน้มการฟื้นตัวของดีมานด์ที่มีอยู่ ทำให้มีการบินไทยคาดการณ์ว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการก่อนกำหนดในปลายปี 2567 และกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2568 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และไม่เพียงมุ่งฟื้นฟูกิจการ แต่การกลับมาเติบโตของสายการบินแห่งชาติ ยังคงเดินตามแนวทางสอดคล้องนโยบายของรัฐบาล ในการรักษาสิ่งแวดล้อม มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย “การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของสายการบินแห่งชาติ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และภาวะผู้นำของพล.อ.ประยุทธ์ ที่กล้าตัดสินใจ ในช่วงภาวะวิกฤต เพื่อให้การบินไทยกลับมาเป็นความภูมิใจของคนไทยและความรุ่งเรืองของประเทศ ให้พนักงานมีงานทำต่อไป และเห็นผลในเชิงประจักษ์ มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินของประเทศ” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 พิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 11 ของสำนักงาน คปภ. ยิ่งใหญ่ ระดมผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐ เอกชน ธุรกิจประกันภัย ให้ฟีดแบ็คเพื่อชูบทบาทธุรกิจประกันภัยให้มั่นคงและยั่งยืน ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ได้รับเกียรติจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566 ณ ห้อง เลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล รัชดา กรุงเทพมหานคร โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจประกันภัย ให้มีองค์ความรู้ด้านการประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยในด้านต่าง ๆ และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อคิดเห็น ตลอดจนการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม และการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยสอดคล้องกับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโลก เพื่อจะได้ระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่หลากหลาย ช่วยให้ข้อเสนอแนะและพัฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถทำหน้าที่เป็น Insurance Ambassador โดยเป็นผู้สื่อสารความรู้ความเข้าใจ และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องของการประกันภัยให้สังคมและสาธารณชนได้ ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศกับบทบาทของการประกันภัยภายใต้ New Challenges” โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศนับจากนี้ไปต้องมุ่งเน้นที่ 5 ประเด็นหลัก คือ ประเด็นแรก การปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digitalization for digital economy) ประเด็นที่ 2 ข้อตกลงแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change commitment) ประเด็นที่ 3 การเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงาน (Energy Transition) ประเด็นที่ 4 ประชากรผู้สูงอายุ (Aging population) และประเด็นที่ 5 ความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal sustainability) ในขณะเดียวกันบทบาทของการประกันภัยภายใต้ New Challenges ที่ภาคธุรกิจประกันภัยจะเข้าไปเกี่ยวข้องต่อสภาพความเป็นอยู่ของสังคม ประกอบด้วย ความเสี่ยงจากโรคอุบัติใหม่ ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์ ความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศภัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม PM2.5 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจถดถอยกระทบต่อความสามารถในการออมและรายได้ รวมถึงสภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งภาคการเงินยังมีความไม่แน่นอนจากผลกระทบของการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ คือ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์และมีผู้สูงอายุหรือคนวัยหลังเกษียณเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่ลดลง อาจนำไปสู่วิกฤติการคลังจากการที่รัฐบาลมีภาระต้องช่วยเหลือด้านสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ดังนั้น ระบบประกันภัยจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งระดมเงินออมระยะยาวที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุน รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ช่วยสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกระดับและมีส่วนแบ่งเบาภาระของรัฐด้านสวัสดิการและสงเคราะห์ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะการประกันภัยสุขภาพของภาคเอกชนที่เข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างการบริหารจัดการด้านสุขภาพ ความคุ้มครองและเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับจากการประกันภัยสุขภาพของภาครัฐ ซึ่งการประกันภัยมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนสังคม และประชาชนให้ได้รับโอกาสและคุณภาพที่ดีขึ้น ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจประกันภัย และหน่วยงานกำกับดูแล จะต้องร่วมมือกันผลักดันให้ระบบประกันภัยมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน โดยธุรกิจประกันภัยจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านกลไกที่มีความหลากหลายและครอบคลุมความเสี่ยงในทุกประเภท ภายใต้การมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืน เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่าการคัดเลือกผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง วปส. รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566 คณะกรรมการสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ได้มีกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนได้ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจประกันภัย เข้าร่วมรับการอบรมจำนวนทั้งสิ้น 90 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ จำนวน 5 คน ภาคการเงิน จำนวน 8 คน ภาคธุรกิจประกันภัย จำนวน 14 คน และภาคเอกชนอื่น ๆ จำนวน 63 คน โดยเริ่มเปิดการศึกษาอบรมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม 2566 โดยมีกิจกรรมหลัก ๆ ดังนี้ การบรรยาย สัมมนาและอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเน้นการเรียนรู้แบบกรณีศึกษาและการมีส่วนร่วม การจัดทำและนำเสนอรายงานการศึกษากลุ่ม การศึกษาดูงาน และกิจกรรมเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม สำหรับกิจกรรมการศึกษาอบรมในหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 11 แบ่งออกเป็น 8 หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ 1 ประกันภัยกับการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงรุกในระดับประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ หมวดที่ 2 บทบาทธุรกิจประกันวินาศภัยไทยในยุค Next Normal หมวดที่ 3 การขับเคลื่อนเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech) หมวดที่ 4 บทบาทของธุรกิจประกันชีวิตกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก เศรษฐกิจ และสังคมไทย หมวดที่ 5 ปรัชญาในการบริหารสำหรับผู้นำในยุคดิจิทัล หมวดที่ 6 การสร้างบรรษัทภิบาลกับการดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายแห่งความยั่งยืน หมวดที่ 7 ประเด็นร่วมสมัย และหมวดที่ 8 กิจกรรมพิเศษ โดยแต่ละหมวดหัวข้อที่กล่าวมาข้างต้นได้มีการปรับปรุงให้มีความเข้มข้น ทันสมัย และสอดรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่มีผลต่ออุตสาหกรรมประกันภัย ตั้งแต่ด้านการบริหารความเสี่ยง การประกันภัยกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การประกันวินาศภัย การประกันชีวิต เทคโนโลยีประกันภัยในด้านต่าง ๆ บรรษัทภิบาลในการดำเนินธุรกิจ จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ โดยเป็นหลักสูตรเดียวที่มีการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์แบบเจาะลึกด้านประกันภัยในทุกมิติ “เรื่องที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวปาฐกถาพิเศษฯ นับว่าน่าคิดและมีประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งนี้สำนักงาน คปภ. จะได้นำนโยบายของท่านรัฐมนตรีฯ ตลอดจนประเด็นร่วมสมัยต่าง ๆ มาเพิ่มเติมเนื้อหาของหลักสูตรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งจะจัดให้มีการถกแถลงและระดมความคิดเห็นจากนักศึกษา วปส. รุ่นที่ 11 เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการกำกับดูแลระบบประกันภัยของไทย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าคุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่าคุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ ... กรมเจ้าท่าคุมเข้มความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ จากนโยบายของรัฐบาลโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้กรมเจ้าท่า (จท.) ดูแลด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทางทางน้ำทั่วประเทศ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ได้มอบให้ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ จท. ดูแล ตรวจตราความปลอดภัยทางน้ำ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยสรุปรายงานสถานการณ์การเดินทางทางน้ำ (วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566) ดังนี้ 1. ส่วนกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา เรือด่วนเจ้าพระยาให้บริการ 118 เที่ยว ผู้โดยสาร 16,339 คน เรือไฟฟ้าเจ้าพระยาให้บริการ 44 เที่ยว ผู้โดยสาร 2,025 คน เรือโดยสารข้ามฟากให้บริการ 884 เที่ยว ผู้โดยสาร 20,612 คน เรือภัตตาคารให้บริการ 26 เที่ยว ผู้โดยสาร 4,669 คน และเรือโดยสารคลองแสนแสบให้บริการ 167 เที่ยว ผู้โดยสาร 27,591 คน ซึ่ง จท. ได้ดำเนินการตามมาตรการด้านความปลอดภัยทางน้ำด้วยการจัดเรือตรวจการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราความปลอดภัย พบว่า มีผู้ใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา เรือไฟฟ้า MINE Smart Ferry เรือโดยสารข้ามฟากปริมาณเบาบาง เรือโดยสารให้บริการตามรอบการเดินเรือสามารถระบายผู้โดยสารได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดเรือตรวจการณ์และเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนบริเวณท่าเรือต่าง ๆ และตรวจสอบความพร้อมของเรือโดยสาร ท่าเรือโดยสาร คนประจำเรือ และอุปกรณ์ช่วยชีวิตก่อนออกเดินเรือ ตามมาตรการความปลอดภัยที่ จท. กำหนด 2. ส่วนภูมิภาค เรือโดยสารให้บริการ 3,003 เที่ยว ผู้โดยสาร 144,763 คน ซึ่ง จท. ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก พร้อมเจ้าหน้าที่ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการท่าเรือต่าง ๆ รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมของเรือโดยสาร ท่าเรือโดยสาร คนประจำเรือ อุปกรณ์ช่วยชีวิต ก่อนออกเดินเรือตามมาตรการความปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ควบคุมเรือติดตามรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ำ หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน จท. โทร. 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม SME D Bank ย้ำให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ พร้อมเชื่อมโยงนโยบาย 4 มิติ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม SME D Bank ย้ำให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ พร้อมเชื่อมโยงนโยบาย 4 มิติ ปลัดฯ ณัฐพล นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยม SME D Bank ย้ำให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ พร้อมเชื่อมโยงนโยบาย 4 มิติ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยมีนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ธพว. ให้การต้อนรับ ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคาร ธพว. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เป็นสถาบันทางการเงินของรัฐที่ให้บริการทางการเงินครบวงจร โดยใช้ 6 แนวทางในการขับเคลื่อนองค์กร คือ 1.Financial & Development Support การตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มด้วยผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงิน และการพัฒนาผู้ประกอบการ 2. Synergy การบูรณาการร่วมกับพันธมิตรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการ 3.Infrastructure การวางรูปแบบองค์กร เพื่อการบริการให้มีความยืดหยุ่น ปรับตัวอย่างรวดเร็ว และเป็นมาตรฐานสากล 4.Debt Restructuring ช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน 5.Data Analytic การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยข้อมูล และ 6.Human Resource พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงด้วยแนวคิด หัวคิด ทันสมัย หัวใจ บริการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้เข้าถึง "ความรู้คู่เงินทุน" เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตและยั่งยืน เพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน ปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่า ธพว. นับเป็นหน่วยงานที่สำคัญในการพัฒนาและสนับสนุนให้ SME มีสภาพคล่องทางการเงินจนทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ควรนำนโยบาย 4 มิติ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญมาเชื่อมโยงการพิจารณาให้บริการสินเชื่อกับผู้ประกอบการ เนื่องจากปัจจุบันกลไกจากผู้นำโลกมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ทำให้เกิดต้นทุน มาตรฐาน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น SME จึงต้องปรับตัวไปตามกลไกดังกล่าว รวมทั้งการสนับสนุนให้ธุรกิจดูแลชุมชนและสังคมที่เกี่ยวข้อง ดังเช่น โรงแรมที่ภาคใต้มีการเชื่อมโยงทางธุรกิจกับชุมชนด้านอาหารและของที่ระลึก ทำให้เกิดการกระจายรายได้และเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนมากขึ้น ขณะที่ รสอ.รก.รปอ. ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่าธพว. ควรมีการบูรณาการกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อการแบ่งปันข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อาทิ การมอบรางวัลอุตสาหกรรม โดยผู้ได้รับรางวัลอาจได้รับสิทธิประโยชน์จากบริการของ ธพว. รวมถึงการเชื่อมโยงฐานข้อมูลใน i-Single Form เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์กลุ่มลูกค้าให้เกิดประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ หน.ผตร. และ รสอ.รก.ผตร. ได้ให้ความเห็นว่า การพิจารณาหลักเกณฑ์ขอสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เบื้องต้นคณะกรรมการฯ ในระดับจังหวัดจะให้ผ่านเกณฑ์การพิจารณา แต่ ธพว. จะพิจารณาด้านการเงินเป็นสำคัญ ทำให้ SME ไม่ผ่านการประเมินจำนวนมาก จึงเสนอให้มีการปรับปรุงแบบฟอร์มเพื่อให้การคัดกรองในระดับแรกมีประสิทธิภาพมากขึ้น และขอให้ ธพว. ดูแล SME กลุ่มเปาะบางที่มีศักยภาพแต่ยังขาดความสามารถในการชำระหนี้ โดยการออกแบบสินเชื่อที่เหมาะสม เพื่อให้โอกาสกลุ่มนี้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64857
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา ติดตามงาน พศจ. ทั่วประเทศ หลังกำชับทำงานเชิงรุก เชื่อมั่น 1-3 เดือนเห็นผลชัดเจน ย้ำเร่งสร้างเครือข่าย สอดส่อง ดูแล ลบล้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 รมต.อนุชา ติดตามงาน พศจ. ทั่วประเทศ หลังกำชับทำงานเชิงรุก เชื่อมั่น 1-3 เดือนเห็นผลชัดเจน ย้ำเร่งสร้างเครือข่าย สอดส่อง ดูแล ลบล้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา รมต.อนุชา ติดตามงาน พศจ. ทั่วประเทศ หลังกำชับทำงานเชิงรุก เชื่อมั่น 1-3 เดือนเห็นผลชัดเจน ย้ำเร่งสร้างเครือข่าย สอดส่อง ดูแล ลบล้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อติดตามการดำเนินงานภายหลังจากที่มอบนโยบายให้สำนักงานเร่งดำเนินงานเชิงรุก จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวพระพุทธศาสนาเชิงลบผ่านสื่อช่องทางต่างๆ โดยมี นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายสิปป์บวร แก้วงาม ที่ปรึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วม ภายหลังการประชุมฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันนี้มีการเผยแพร่ข่าวสร้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางโซเชียลมีเดียมีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางเรื่องไม่เป็นความจริง และบางเรื่องยังไม่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความศรัทธาของชาวพุทธถดถอย และไม่เป็นที่ยอมรับดังอดีต โดยได้เน้นย้ำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศเร่งติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีข่าวฉาวสร้างความเสื่อมเสีย โดยให้มีการประสานเครือข่ายที่มีความใกล้ชิดชุมชน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เพราะคนกลุ่มนี้มีความใกล้ชิดประชาชนและมีข้อมูลจริงของพื้นที่ พร้อมกับให้ตั้งวอร์รูม ในสำนักพระพุทธฯ และให้ พศจ. รายงานผลทุกวัน ในส่วนจังหวัดให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง และให้รายงานผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้าน นานอินทพรฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้นำประเด็นนี้ถวายรายงานที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยที่ประชุมได้รับทราบและจะติดตามดูแลพฤติกรรมของคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด ด้านการประสานงานเครือข่าย ได้หารือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อบูรณาการการดำเนินงานและติดตามตรวจสอบกรณีที่สร้างความเสื่อมเสียในทางพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังได้เตรียมตั้งคณะกรรมการและจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามและสอดส่องกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับกรณีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ไม่สำรวม หากเกิดในพื้นที่ใดทาง พศจ. จะเร่งนำเรื่องนี้หารือเจ้าคณะปกครองพื้นที่ตามลำดับชั้น และจะสนับสนุนการดำเนินงานเจ้าคณะผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด "สำนักพุทธฯ จะต้องปรับรูปแบบการทำงานให้เป็นองค์กรที่ตอบสนองต่อการปกป้องและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ดีงาม เพื่อดึงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและประชาชนชาวไทยกลับมาเชื่อมั่นในความดีงามของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของชาติ เราทุกคนต้องปกป้องมิให้สิ่งใดมาสร้างความเสื่อมเสียและทำร้าย ในส่วนที่ไม่ดี ต้องมีการตรวจสอบและลบล้างออกไป เช่น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ขอให้ พศจ. เร่งประสานพืันที่และรายงานมายังส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ดีต้องทำนุบำรุงไว้เพื่อให้รุ่นลูกหลานได้สืบทอดความดีงามนี้ไว้ต่อไป หากปฏิบัติต่อเนื่องเช่นนี้ คาดว่าภายใน 1-3 เดือนนี้ การดำเนินงานเชิงรุกของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงเหตุอาคารทรุด ย่านพระราม 9 ทำลูกจ้างบาดเจ็บ สั่ง กสร. กับ สปส. หาสาเหตุและเร่งช่วยเหลือตามสิทธิ
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 13/02/2566 รมว.เฮ้ง ห่วงเหตุอาคารทรุด ย่านพระราม 9 ทำลูกจ้างบาดเจ็บ สั่ง กสร. กับ สปส. หาสาเหตุและเร่งช่วยเหลือตามสิทธิ รมว.เฮ้ง ห่วงเหตุอาคารทรุด ย่านพระราม 9 ทำลูกจ้างบาดเจ็บ สั่ง กสร. กับ สปส. หาสาเหตุและเร่งช่วยเหลือตามสิทธิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงเหตุอาคารก่อสร้างทรุดตัวย่านพระราม 9 ทำให้มีลูกจ้างบาดเจ็บ 5 ราย สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม หาสาเหตุและเร่งช่วยเหลือตามสิทธิ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว เกิดเหตุอาคารก่อสร้างที่พักอาศัยถล่มทับลูกจ้างบาดเจ็บ 5 ราย เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 16.00 น. ในเบื้องต้น ผมได้รับรายงานจากพนักงานตรวจความปลอดภัย สนง.สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เหตุเกิดในพื้นที่ใกล้เคียงกับอาคารโชว์ดีซี ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร โดยเป็นพื้นที่โครงการก่อสร้างบ้านพักอาศัย ขณะเกิดเหตุมีลูกจ้างทำงานอยู่ภายในอาคารประมาณ 130 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 ราย สัญชาติกัมพูชา นำส่งโรงพยาบาลเพชรเวชแล้ว จำนวน 3 ราย และไม่ประสงค์ให้นำส่งโรงพยาบาลจำนวน 2 ราย ผมจึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่หาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ พร้อมจะเดินทางไปเยี่ยมลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลเพชรเวช และจะเร่งดำเนินการให้ได้ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายต่อไป ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า พนักงานตรวจความปลอดภัย สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 (สรพ.5) จะเชิญนายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อตรวจสอบว่านายจ้างได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชันจากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และพังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ.2564 กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยฯ เกี่ยวกับนั่งร้านและค้ำยัน พ.ศ.2564 และกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือไม่ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือนายจ้าง และลูกจ้างปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว พบว่า ลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 ราย สัญชาติกัมพูชา เป็นผู้ประกันตน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพชรเวช จำนวน 3 ราย เพศหญิง 2 ราย ชื่อ Miss NE EHEA และ Miss THAI EHUM เพศชาย 1 ราย ชื่อ MR. CHHIN CHHOEUN ทั้ง 3 รายบาดเจ็บเล็กน้อย อีก 2 รายไม่ประสงค์จะไปโรงพยาบาล โดยลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องการรักษาพยาบาล สิทธิการได้รับเงินทดแทนจากสำนักงานประกันสังคม อาทิ ค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท กรณีต้องหยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับค่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีรักษาสิ้นสุดแล้วแต่สภาพอวัยวะต่าง ๆ มีการสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานจะมีค่าทดแทนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-GISTDA เปิดภาพ “พื้นที่ป่ารูปหัวใจ” หวานรับวาเลนไทน์
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 GISTDA เปิดภาพ “พื้นที่ป่ารูปหัวใจ” หวานรับวาเลนไทน์ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดภาพถ่ายจากดาวเทียม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดภาพถ่ายจากดาวเทียม spot-6 โชว์พื้นที่รูปหัวใจสุดโรแมนติก ซึ่งภาพที่ปรากฏเป็นพื้นที่ป่าเต็งรัง บริเวณตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย เมื่อมองจากมุมมองอวกาศจะเห็นพื้นที่ดังกล่าวเป็นรูปหัวใจ ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดดอยม่อนป่ายาง (วัดสันติธรรม) และสำนักสงฆ์สันติธรรม เป็นเสมือนหนึ่งหัวใจที่อยู่ใกล้ธรรมะ และธรรมชาติ ดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์ โฆษก GISTDA และผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า ภาพที่เห็นเป็นพื้นที่ป่าในบริเวณพื้นที่ของหมู่บ้านสันติธรรม เป็นหัวใจสีเขียวเปรียบ เสมือนหัวใจของชุมชนที่ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางหมู่บ้าน สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งฟอกอากาศชั้นดี พื้นที่รอบๆรายล้อมไปด้วยพื้นที่นาและพื้นที่เกษตรประเภทอื่นๆ เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และลำไย เป็นต้น ทั้งนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่ของอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากทำให้มีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ ประมาณ 25.4 องศาเซลเซียส ลักษณะของภูมิอากาศจึงเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละฤดูกาลอย่างชัดเจน ทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดในอันดับต้นๆของประเทศที่หลายคนนึกถึงและอยากไป สัมผัสอากาศดีๆช่วงหน้าหนาวกับคนที่คุณรัก รวมถึงวันวาเลนไทน์วันแห่งความรักเช่นกัน ที่ใครหลายๆคนอยากจะหาสถานที่สุดโรแมนติกในการแสดงออกถึงความรักกัน มุมมองจากอวกาศรูป หัวใจในครั้งรับรองว่าไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน โฆษก GISTDA กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64865
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมหารือการเพิ่มขีดความสามารถให้บริการข้อมูลอุตุนิยมวิทยาการบิน
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส ประชุมหารือการเพิ่มขีดความสามารถให้บริการข้อมูลอุตุนิยมวิทยาการบิน ดีอีเอส ประชุมหารือการเพิ่มขีดความสามารถให้บริการข้อมูลอุตุนิยมวิทยาการบิน วันนี้ (13 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถให้บริการข้อมูลอุตุนิยมวิทยาการบิน เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ (MET/ATM) ตามแผนแม่บทห้วงอากาศและการจัดการจราจรอากาศแห่งชาติ พ.ศ.2560 โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดร.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และนายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม __________________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช รับฟังปัญหาจากคนพื้นที่ หวังแก้ปัญหาให้ตรงจุด เตรียมประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา ประชาชนฝากขอบคุณ”บิ๊กตู่”ดูแลชาวบ้านทั่วถึง
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 “ธนกร” ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช รับฟังปัญหาจากคนพื้นที่ หวังแก้ปัญหาให้ตรงจุด เตรียมประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา ประชาชนฝากขอบคุณ”บิ๊กตู่”ดูแลชาวบ้านทั่วถึง “ธนกร”ลงพื้นที่นครศรีธรรมราชรับฟังปัญหาจากคนพื้นที่หวังแก้ปัญหาให้ตรงจุด เตรียมประสานหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งแก้น้ำท่วมน้ำแล้ง-สร้างเตาเผาแก้ปัญหาขยะล้นเมือง-สถานศึกษาสร้างอาชีพ-ราคาพืชผลการผลิตที่ไม่แน่นอน ประชาชนฝากขอบคุณ”บิ๊กตู่” ดูแลชาวบ้านทั่วถึง นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภอจุฬาภรณ์ และอำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ พร้อมพบปะพี่น้องประชาชนและส่วนราชการ เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้รัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชน อย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด และตรงกับความต้องการของประชาชน นายธนกร กล่าวว่า ได้เข้ากราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดวังฆ้อง ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ ก่อนพบปะกับพี่น้องประชาชนและส่วนราชการที่มารอรับจำนวนมาก บริเวณลานเอนกประสงค์วัดวังฆ้อง เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนายประสงค์ จันหยู นายอำเภอจุฬาภรณ์ ได้รายงานถึงปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ในเรื่องของปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี จึงมีความจำเป็นต้องสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อเป็นแก้มลิงเก็บน้ำในช่วงหน้าฝน และกักน้ำไว้เพื่ออุปโภคบริโภค และทำการเกษตรในช่วงหน้าแล้ง รวมถึงปัญหาด้านการศึกษา เนื่องจากไม่มีสถานศึกษาด้านอาชีพเพื่อส่งเสริมการศึกษาและการสร้างอาชีพในพื้นที่ ปัจจุบันการเรียนส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปศึกษาในตัวเมืองและจังหวัดพัทลุง และปัญหาด้านราคาพืชผลการผลิตที่ไม่แน่นอน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า จะรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเพื่อประสานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบนำไปศึกษาข้อมูลและแก้ไขปัญหาต่อไป ยืนยันว่า ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ให้ความสำคัญในการดูแลพี่น้องประชาชนทั่วทุกภาคเท่าเทียมกัน โดยอนุมัติงบประมาณผ่านโครงการต่างๆ ที่เริ่มเห็นผลชัดเจน อาทิ การก่อสร้างรถไฟฟ้า 12 สาย การก่อสร้างถนนเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งและเศรษฐกิจ การพัฒนาสนามบิน รวมถึง โครงการเพิ่มสวัสดิการให้แก่ อสม. โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนแล้วกว่า 20 ล้านคน และการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อย่างไรก็ตามประขาชนฝากขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ที่ดูแลประชาชนอย่างเท่าเทียมทั่วถึง นายธนกร กล่าวอีกว่า ตนยังได้เดินทางไปยัง เทศบาลตำบลชะอวด อำเภอชะอวด เพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการของรัฐ และพบปะผู้นำส่วนราชการรวมถึงพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาโครงการบ่อทิ้งขยะ ของ เทศบาลตำบลชะอวด ที่จะแก้ไขปัญหาขยะล้นเมืองโดยการสร้างเตาเผาขยะ เพื่อรองรับจาก 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วันละ 20 ตัน และกำจัดขยะสะสมที่มีอยู่ กว่า 200,000 ตันด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64850
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี Tripadvisor จัดอันดับให้กรุงเทพฯ อันดับที่ 13 ของโลกในประเภท ที่สุดของจุดมุ่งหมายปลายทางด้านอาหาร (Best Food Destination) ประจำปี 2566
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี Tripadvisor จัดอันดับให้กรุงเทพฯ อันดับที่ 13 ของโลกในประเภท ที่สุดของจุดมุ่งหมายปลายทางด้านอาหาร (Best Food Destination) ประจำปี 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี Tripadvisor จัดอันดับให้กรุงเทพฯ อันดับที่ 13 ของโลกในประเภท ที่สุดของจุดมุ่งหมายปลายทางด้านอาหาร (Best Food Destination) ประจำปี 2566 วันนี้ (วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566)นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบว่า เว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ทริปแอดไวเซอร์ (TripAdvisor) ได้จัดอันดับ “จุดมุ่งหมายปลายทางอาหาร” หรือ “เบสต์ ฟู้ด เดสติเนชั่น”(Best Food Destination) ของโลก ประจำปี 2023 (Best Food Destinations in the World - Tripadvisor Travelers’ Choice Awards) (https://www.tripadvisor.com/TravelersChoice-Destinations-cFood-g1) ซึ่งผลปรากฎว่า กรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการจัดอันดับในครั้งนี้ เป็นการจัดอับดับโดยดูจาก คุณภาพ และ ปริมาณการรีวิว ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว และนักชิมจากทั่วโลก ที่เข้ามาเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์ในเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ในรอบ 12 เดือน รวมถึงความนิยมของโพสต์ที่รีวิว ซึ่งจากการที่ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับในประเภท Best Food Destination ในอันดับที่ 13 ของโลก และถือเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน โดย Tripadvisor ระบุว่า พระราชวังสีทอง ตลาดน้ำ ประติมากรรมจากเครื่องเคลือบดินเผาที่งดงาม ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจ ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวก็สามารถเยี่ยมชมย่านการค้า ได้แก่ ประตูน้ำ สยามแสควร์ เพื่อเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียม รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวฝั่งพระนคร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยมอย่าง วัดอรุณราชวราราม วัดโพธิ์ และ ฝั่งธนบุรี นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลองทานข้าวเหนียวมะม่วงของหวานที่มีชื่อเสียงระหว่างทางก่อนเข้าชมความวิจิตรงดงามของพระบรมมหาราชวังอีกด้วย “นายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้ทราบถึงผลการจัดอันดับ Best Food Destination 2023 ของ Tripadvisor ขอบคุณนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มีความทรงจำที่ดีในกรุงเทพฯ เป็นอันดับ 13 ของโลก และได้เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เชื่อมั่นในเสน่ห์ และความหลากหลายในประเทศไทย มีสถานที่ที่สวยงาม มรดกวัฒนธรรมอันดีงาม รวมถึงงานกีฬา งานศิลปะ อาหารที่มีรสชาติถูกปาก และได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทั้งนี้ รัฐบาลดำเนินนโยบายพยายามพัฒนาเพิ่มคุณค่าสิ่งที่มีอยู่ มิใช่เพียงเพื่อแค่กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่ต้องการต่อยอดผลักดัน ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จัก” นายอนุชาฯกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64844
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นายกแม่บ้าน มท. และผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ประชุมร่วมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ชูเป้าหมาย SDGs ข้อ 17 ทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ”
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 11/02/2566 ปลัด มท. นายกแม่บ้าน มท. และผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ประชุมร่วมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ชูเป้าหมาย SDGs ข้อ 17 ทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” ปลัด มท. นายกแม่บ้าน มท. และผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ประชุมร่วมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ชูเป้าหมาย SDGs ข้อ 17 ทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” เน้นย้ำ “ผู้ว่าฯ นายอำเภอ” ต้องเป็นผู้นำบูรณาการทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ปลัด มท. นายกแม่บ้าน มท. และผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ประชุมร่วมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ชูเป้าหมาย SDGs ข้อ 17 ทำงานแบบ Partnership ส่งเสริมบทบาทของ “ทีมอำเภอ” เน้นย้ำ “ผู้ว่าฯ นายอำเภอ” ต้องเป็นผู้นำบูรณาการทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน วันนี้ (11 ก.พ. 66) เวลา 08.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยมี ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้อำนวยการกลุ่มงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เปิดเผยว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระเมตตาผลักดันขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนในทุกภูมิภาค ด้วยการเสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนและทรงงานในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยทรงนำในเรื่องของ “ผ้าไทย” เป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืนในชีวิตของประชาชนในถิ่นชนบท ซึ่งในวันนี้เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ จึงเป็นโอกาสดีของพี่น้องประชาชนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดภาคเหนือ หลังจากเสด็จทรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรกของปีที่จังหวัดสกลนคร ภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุง ทั้งนี้ ด้วยเพราะพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหน้าที่ให้เกิดการยอมรับนับถือจากพี่น้องประชาชนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มุ่งมั่นสร้างความผาสุกให้กับสังคม สร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ดังพระปฐมบรมราชโองการที่พระราชทานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” ให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการประชุมร่วมกันของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงท่านนายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในวันนี้ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมุ่งมั่น ทุ่มเท สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยการทรงงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาช่างทอผ้าและผู้ประกอบการผ้าไทย ให้ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งทรงเชื้อเชิญให้ดีไซเนอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านผ้า ด้านสีธรรมชาติ และด้านที่เกี่ยวข้องระดับแนวหน้าของประเทศ การพระราชทานพระดำริปรับปรุงรูปแบบผ้า และทรงมุ่งเน้นให้คนทำผ้าได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องการ “พึ่งพาตนเอง” ทั้งเรื่องวัตถุดิบ ที่ไม่พึ่งพิง ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่มาจากโรงงาน ด้วยการหาซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรในประเทศเราเอง โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้น้อมนำมาดำเนินการนำร่องที่ตลาดเส้นไหม เส้นฝ้าย ในอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เพราะเรื่องใหญ่ที่พระองค์ทรงมุ่งเน้นและทรงทำให้พวกเราได้ประจักษ์ คือเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสิ่งแวดล้อมของโลกใบเดียวนี้ของพวกเรา” อันเป็นพระวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ทั่วโลกกำลังมุ่งมั่นขับเคลื่อนไปพร้อมกัน นั่นคือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) โดยพระราชทานหนังสือ Sustainable City ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ขอรับพระราชทานพระอนุญาตเชิญมาประยุกต์ขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา 8 มกราคม 2566 โดยคัดเลือกหมู่บ้านที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดจากฐานข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน (จปฐ. และ กชช.2ค.) ตำบลละ 1 หมู่บ้าน รวม 7,255 หมู่บ้าน และมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งด้านน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่มาใช้ในชีวิตประจำวัน การสร้างความมั่นคงด้านอาหารด้วยการปลูกผักสวนครัว การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การดูแลสุขภาพอนามัยของเด็กเล็กให้เติบโตอย่างถูกสุขลักษณะ การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ความรู้รักสามัคคี การรักษาขนบ ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ของคนในชุมชน โดยย้ำ “Sustainable Village ไม่ได้มีตัวชี้วัดว่า มีอาคารบ้านเรือนใหญ่โตหรือการมีรถยนต์หรู ๆ ขับ แต่เราวัดกันที่ “หมู่บ้านที่ผู้คนมีความสุข มีความพอใจ และมีโอกาสที่ดีในชีวิต หรือ Gross Village Happiness (GVS) : ความสุขมวลรวมของคนในหมู่บ้าน” ซึ่ง GVS จะเกิดได้ต้องมีพื้นฐานเหมือนกันที่สะท้อนมาจากการบูรณาการ โดย “ผู้ว่าราชการจังหวัด” และ “นายอำเภอ” ต้องเป็น “ผู้นำ” บูรณาการ “คน” และ “งาน” ของทุกกระทรวง “เพราะงานของทุกกระทรวงในระดับพื้นที่คืองานของชาวมหาดไทย” เพื่อทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนพื้นฐานของความสุข นำข้อมูลที่สำคัญที่ได้ช่วยกันสำรวจ คือ “ThaiQM” มาใช้ในการวางแผนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน โดยมี “ทีมอำเภอ” ได้แก่ 1) ทีมที่เป็นการทางการ จัดตั้งตามกฎหมาย คือ ปลัดอำเภอประจำตำบล ข้าราชการประจำตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กม. อปท. และ 2) ทีมจิตอาสา อันประกอบด้วย ท่านนายอำเภอ และภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ขยายผลสร้าง “ทีมตำบล” “ทีมหมู่บ้าน” และทำให้มีระบบ “คุ้ม” หรือ “หย่อม” ให้เกิดขึ้นในทุกหมู่บ้าน ทั้งนี้ มท. ได้ดำเนินการฝึกอบรมพัฒนา “ทีมอำเภอ” ภายใต้ชื่อ “โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” เกินกว่าร้อยละ 50 แล้ว จึงขอให้ผู้ว่าฯ หมั่นลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียน ไปให้กำลังใจทีมเหล่านี้ และจัดเวทีให้ท่านนายอำเภอได้อรรถาธิบาย นำเสนอแนวคิดในการประชุมกรมการจังหวัด เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชมรมธนาคาร ฯลฯ ได้รับรู้รับทราบและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการพัฒนา อันสอดคล้องกับ SDGs ข้อ 17 ทำงานแบบ Partnership ทำให้ “ทีมเข้มแข็ง” เพื่อประชาชนมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” ทั้งนี้ “ความสำเร็จอยู่ที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องทุ่มเททำให้เกิดระบบ เกิดทีม เพื่อให้ทีมหรือระบบนั้น ได้ส่งต่อ Change for Good ไปสู่พี่น้องประชาชนให้เกิดความสุขได้อย่างทันท่วงทีและยั่งยืน ดังที่พวกเราทุกคนได้ยึดมั่นรักษาคำมั่นสัญญา” “1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน เพื่อคนไทย ร่วมกับสหประชาชาติ “โลกนี้เพื่อเรา”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านมหาดไทยมุ่งมั่นสนับสนุนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยในทุกเรื่องเคียงข้างท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่เกิดเป็นรูปธรรม คือ การสร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยการถวายงานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระผู้ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง คือ “ผ้าไทย” ในทุกมิติ เช่น ที่จังหวัดสกลนคร “ดอนกอยโมเดล” เป็นพื้นที่ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานพระดำริพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบ ทั้งการย้อมสีธรรมชาติ การใช้คราม การพัฒนาโทนสี และที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวไทยทั้งประเทศ คือ พระองค์ได้พระราชทานลายผ้า คือ ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ลายขิดนารีรัตนราชกัญญา และลายต่าง ๆ ทำให้ เช่น บ้านดอนกอย จากเดิมชาวบ้านมีรายได้ 700 บาท/คน/เดือน เป็น 10,000-15,000 บาท เพราะ “เราไม่ได้ไปให้ปลา แต่เราไปสอนวิธีการตกปลา ซึ่งในวันนี้เราเห็นความยั่งยืนที่ชัดเจนมาก เขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ นอกจากนี้ พระองค์ท่านได้พระราชทานผ้าลายล่าสุด “ลายดอกรักราชกัญญา” ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพี่น้องประชาชนพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ “ผ้าบาติก” ที่จากเมตรละ 200-300 บาท ตอนนี้เมตรละ 2,000 - 3,000 บาท และยอดสั่งซื้อสั่งจองก็ทำแทบไม่ทัน รวมไปถึงการขับเคลื่อนน้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” ครบ 100% ทุกจังหวัด และจะขยายผลสู่ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” และเรื่องถังขยะเปียกลดโลกร้อน ที่ตอนนี้เรามีความก้าวหน้า โดย 4 จังหวัดนำร่อง คือ ลำพูน เลย อำนาจเจริญ สมุทรสงคราม ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ว่าช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ทำให้เกิดคาร์บอนเครดิต และสิ่งที่หมักสามารถเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดีให้กับผักที่ปลูก โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้ก็สามารถนำไปขายได้เงินกลับคืนสู่ชุมชน และในวันที่ 20 ก.พ. นี้ จะมีการลงนาม MOU ระหว่าง พช. กับ TGO ในการน้อมนำแนวพระดำริ “ย้อมสีธรรมชาติในผ้า” ทดแทนการใช้สีเคมีที่จะส่งผลให้เกิดการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสารพิษลงดิน ลงน้ำ โดยจะประเมินว่าการย้อมสีธรรมชาติในผ้า จะลดก๊าซเสียได้เท่าไหร่ และจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (CFP) ในการย้อมสีธรรมชาติด้วย ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทยจะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนทุกเรื่องที่กล่าวมานี้ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนไปด้วยกัน ด้าน Mrs. Gita Sabharwal ได้กล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนหลอมรวมนำสังคมและชุมชนเดินหน้าพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันกับ UN ด้วยการยึดมั่นหลักการ Change for Good ขับเคลื่อน SDGs ทั้ง 17 ข้อ ทำให้ทุกส่วนได้มีส่วนร่วมพัฒนาด้านต่าง ๆ สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวัน โดยทีม UN ทั้ง 21 หน่วยในประเทศไทย ได้ร่วมกันขับเคลื่อน 3 วาระสำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว การพัฒนา Digital เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (No One Behind) ซึ่งผลงานที่สำคัญของ มท. ในเรื่องการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนมีส่วนสำคัญในการลดคาร์บอนที่สอดคล้องกรอบอนุสัญญา UN ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารระดับสูงของ UN ได้ให้ความสนใจ และจะได้หาโอกาสร่วมพูดคุยปรึกษาหารือเรื่องประเด็นการลดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยร่วมกับ มท. พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมการดำเนินงานตาม Statement of Commitment to Sustainable Thailand ที่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศได้ลงนาม เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ UN ได้ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น และจะทำให้ประเด็น SDGs ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน โอกาสนี้ นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ นายอำเภอเชียงของ ได้นำเสนอแนวทางการขับเคลื่อน “โครงการยกระดับเกษตรกรอำเภอเชียงของด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่” โดยยกระดับ “ต้นน้ำ” ด้วยการ upskill และ reskill การใช้เกษตรอินทรีย์ ทั้งการเติมเรื่องการแปรรูป การใช้นวัตกรรม โดย ม.แม่ฟ้าหลวง พระ และเครือข่ายตลาดล้านเมือง สนับสนุน “กลางน้ำ” เกิดการรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ทั้งชมรมโรงแรม ชมรมร้านอาหาร โรงพยาบาล และ “ปลายน้ำ” เรื่องการตลาด อบรมทำแพลตฟอร์ม ขายออนไลน์ และทำเกษตรท่องเที่ยว ใน 2 ตำบล คือ ต.สถาน และ ต.ริมโขง ต่อเนื่องจาก 3 ตำบล (ครึ่ง บุญเรือง ศรีดอนไชย) ที่ได้ดำเนินการตั้งแต่เป็นอำเภอนำร่อง ผลความเปลี่ยนแปลง คือ ทุกส่วนราชการและทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่มีความตื่นตัว และระดมลงขันเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรในทุกด้านเพื่อทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เอาจริง กำชับผู้บริหารกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการฯ โดยเคร่งครัด ย้ำดำเนินการตามกฎหมาย
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เอาจริง กำชับผู้บริหารกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการฯ โดยเคร่งครัด ย้ำดำเนินการตามกฎหมาย ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เอาจริง กำชับผู้บริหารกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยเคร่งครัด ย้ำหากพบกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ให้ดำเนินการตามกฎหมาย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า สืบเนื่องจากข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยและจริยธรรมของข้าราชการ หากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ให้ใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง พร้อมกำชับสร้างความเป็นธรรมในการสอบสวนและให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดนั้น ล่าสุด เลขาธิการ ก.พ. ได้ลงนามหนังสือเวียนที่ นร 1011/ ว 4 เรื่อง การกำชับแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการ ที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ถึงกระทรวง กรม จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งแนบแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงระบุ 3 แนวทางดำเนินการ ให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย และให้ผู้บังคับบัญชานำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นายอนุชากล่าวว่า สาระสำคัญของหนังสือเวียนฯ ระบุว่า ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว 2169 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 แจ้งเวียนให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ที่ได้เห็นชอบตามมติ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ที่เห็นว่า กรณีที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของข้าราชการในเรื่องชู้สาว การล่วงละเมิดทางเพศ หรือการคุกคามทางเพศ รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำดังกล่าว ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยและจริยธรรมอย่างร้ายแรง ถือเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยเร็วด้วยการนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการโดยกำชับให้ผู้บังคับบัญชาเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาละเลยไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย บัดนี้ได้ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนหลายกรณีว่ามีข้าราชการที่มีพฤติการณ์ในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น การเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง การอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนเรียกรับผลประโยชน์ที่มิควรได้ ดังนั้น เพื่อให้ธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ ตลอดจนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการดำเนินการของส่วนราชการ จึงเห็นควรกำชับให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากปรากฏว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายบ้านเมืองด้วย ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินคดีทางอาญาโดยเร็วต่อไป นายอนุชากล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 4 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 มีสาระสำคัญกำชับให้ผู้บังคับบัญชากำกับดูแลให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของคุณธรรม จริยธรรม และวินัย และให้ผู้บังคับบัญชานำมาตรการทางการบริหารมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น การเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง การอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนเรียกรับผลประโยชน์ที่มิควรได้ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของทางสาธารณชน หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทางราชการ ทั้งนี้ สามารถใช้มาตรการทางการบริหารมาดำเนินการแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังต่อไปนี้ 1. กรณีที่ข้าราชการผู้นั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลทุโทษ ให้รีบดำเนินการ ดังนี้ (1) กรณีมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดตามข้อ 78 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาสั่งให้ผู้นั้นพักราชการโดยเร็ว (2) กรณีที่มีเหตุที่อาจถูกสั่งพักราชการตาม (1) และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาเห็นว่าการสอบสวนหรือพิจารณา หรือการดำเนินคดีนั้น จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้พิจารณาสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนตามข้อ 83 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 โดยเร็ว 2. กรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นตามข้อ 2 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2554 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 พิจารณาสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นประจำกระทรวง ประจำกรม หรือประจำจังหวัด แล้วแต่กรณีเป็นการชั่วคราว โดยให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เดิมโดยเร็ว 3. กรณีที่ไม่มีเหตุที่จะสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 หรือสั่งให้ประจำส่วนราชการตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจำส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. 2554 ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินโดยเร็ว เช่น การสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน การย้ายไปปฏิบัติหน้าที่อื่น “นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยและจริยธรรมของข้าราชการ กำชับให้ใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดหากพบข้าราชการกระทำผิดวินัยและจริยธรรมร้ายแรง ตลอดจนเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการดำเนินการของส่วนราชการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำให้ผู้บริหารทุกกระทรวง กรม และจังหวัดทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามแนวทางการใช้มาตรการทางการบริหารแก่ข้าราชการที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยเคร่งครัด เพื่อให้ธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ” นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64841
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. รับมอบอาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จ.ขอนแก่น ดูแลภิกษุสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยพิเศษ
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัด สธ. รับมอบอาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จ.ขอนแก่น ดูแลภิกษุสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยพิเศษ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบ “อาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” โรงพยาบาลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้เป็นอาคารดูแลภิกษุสงฆ์อาพาธ ให้มีห้องพักเป็นสัดส่วน สามารถทำวัตรสวดมนต์ได้ ประชาชนทั่วไปได้รับความสะดวกระหว่างการรักษา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบ“อาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” โรงพยาบาลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้เป็นอาคารดูแลภิกษุสงฆ์อาพาธ ให้มีห้องพักเป็นสัดส่วน สามารถทำวัตรสวดมนต์ได้ ประชาชนทั่วไปได้รับความสะดวกระหว่างการรักษา และแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ดูแลผู้ป่วยได้สะดวกรวดเร็ว คล่องตัว วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงพยาบาลบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีรับมอบอาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน โรงพยาบาลบ้านไผ่โดยมี พระราชวชิรธรรมาจารย์ (หลวงปู่สุธรรม สุธัมโม) เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ภก.กาญจนา ลิ้มถาวรกิจ ประธานมูลนิธิดวงแก้ว ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นายชาญชัย ศรศรีวิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นพร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงาน เข้าร่วมพิธี นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขในสถานพยาบาลทุกระดับ เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยทุกกลุ่ม ทุกวัย ได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง ประชาชนได้รับการรักษาที่สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเดินทางไกล ซึ่งต้องขอแสดงความชื่นชมและขอขอบคุณมูลนิธิดวงแก้ว ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่เล็งเห็นความสำคัญในการดูแลภิกษุสงฆ์อาพาธ รวมถึงสนับสนุนการดูแลรักษาประชาชนทั่วไปให้มีที่พักและได้รับความสะดวกสบายในระหว่างที่รับการรักษา โดยนอกจากตัวอาคารจะมีความสวยงามแล้ว ยังออกแบบให้เอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างสะดวก รวดเร็วและคล่องตัว มีการแบ่งห้องพักที่เป็นสัดส่วนสำหรับภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ สามารถทำวัตรสวดมนต์ได้ และมีช่องทางอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย โดยใช้ชื่อ“อาคาร 108 ปี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” เพื่อบูชาพระคุณของหลวงตาพระมหาบัว ในวาระ 108 ปี ชาตกาล สำหรับโรงพยาบาลบ้านไผ่ ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 90 เตียง ให้บริการจริง 121 เตียง เนื่องจากพื้นที่เดิมคับแคบไม่สามารถขยายได้ จึงมีการสร้างโรงพยาบาลบ้านไผ่แห่งใหม่ ในปี 2557 และสร้างอาคารผู้ป่วยใน 114 เตียง แล้วเสร็จให้บริการในปี 2562 ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ได้ปรับชั้น 2 อาคารผู้ป่วยในเป็นห้องความดันลบทั้งหมดเพื่อควบคุมการติดเชื้อ ทำให้ไม่มีอาคารเพียงพอรองรับผู้ป่วยทั่วไป จึงมีโครงการก่อสร้างอาคารที่ได้รับมอบในวันนี้ โดยเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นพื้นที่รวม 1,200 ตารางเมตร งบประมาณเบื้องต้น 15 ล้านบาท ประกอบด้วย ห้องพิเศษ 4 ห้อง, ห้องพิเศษรวม 6 เตียง 2 ห้อง, ห้องพิเศษรวม 10 เตียง 1 ห้อง และห้องสำหรับภิกษุสงฆ์ 2 ห้อง ***************************************** 12 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64847
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือน! ข่าวปลอมอ้างชื่อสถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ หลอกลงทุนอาละวาดหนัก เตือนอย่าหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส เตือน! ข่าวปลอมอ้างชื่อสถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ หลอกลงทุนอาละวาดหนัก เตือนอย่าหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ดีอีเอส เตือน! ข่าวปลอมอ้างชื่อสถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ หลอกลงทุนอาละวาดหนัก เตือนอย่าหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมสัปดาห์ล่าสุด พบข่าวปลอมนโยบายรัฐบาลยังครองแชมป์ด้านข่าวปลอมที่ประชาชนสนใจส่วนใหญ่อ้างสถาบันการเงินหลอกกู้เงินออนไลน์ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวถึงการสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำวันที่3 - 9กุมภาพันธ์2566พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด3,202,535ข้อความโดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ(Verify) ทั้งสิ้น256ข้อความแบ่งเป็นข้อความที่มาจากSocial listeningจำนวน225ข้อความและข้อความที่มาจากLine Officialจำนวน31ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ117เรื่อง ทั้งนี้ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น4กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มที่1ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาลข่าวสารทางราชการความสงบเรียบร้อยของสังคมขัดศีลธรรมอันดีและ ความมั่นคงภายในประเทศจำนวน71เรื่อง กลุ่มที่2ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพวัตถุอันตรายเครื่องสำอางรวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน30เรื่อง กลุ่มที่3ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติจำนวน7เรื่อง กลุ่มที่4ข่าวปลอมเศรษฐกิจจำนวน9เรื่อง สำหรับข่าวปลอมทั้ง4กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิค-19จำนวน3เรื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อดูข้อมูลเชิงลึก(Insight)ยังพบข้อน่าเป็นห่วงเพราะยังมีการกระจายข่าวปลอมเกี่ยวกับการเงินเป็นส่วนใหญ่ทั้งเรื่องการปล่อยสินเชื่อการให้เงินกู้หรือชักชวนลงทุนโดยอ้างชื่อสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือทำให้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคข่าวสารออนไลน์อย่างมาก โดยพบว่าข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีดังนี้ อันดับที่1เรื่องออมสินปล่อยสินเชื่ออาชีพอิสระสำหรับผู้ทำธุรกิจส่วนตัวผ่านเพจLlewellyn Rogahn อันดับที่2เรื่องออมสินให้กู้20ล้านบาทผ่านเพจDillon Simon อันดับที่3เรื่องSMSของธนาคารกรุงไทยขอสินเชื่อผ่านลิงก์ อันดับที่4เรื่องออมสินปล่อยสินเชื่อธุรกิจสำหรับบุคคลธรรมดาผ่านเพจGSBสินเชื่อ อันดับที่5เรื่องวิธีตรวจระดับความเสื่อมของสมอง อันดับที่6เรื่องเพจFacebookและบัญชีLineชวนลงทุนด้วยงบ1,000บาทกำไร500 - 1,000บาท ใช้โลโก้ก.ล.ต.และมีเอกสารรับรองจากก.ล.ต. อันดับที่7เรื่องกระทรวงสาธารณสุขรับสมัครคุณแม่ทำงานอยู่บ้านรายได้2,000 - 4,500บาท/วัน อันดับที่8เรื่องเพจFacebookและบัญชีLineชวนลงทุนหุ้นอุตสาหกรรมด้วยงบขั้นต่ำ1,000บาทใช้โลโก้ก.ล.ต.และมีเอกสารรับรองจากก.ล.ต. อันดับที่9เรื่องเรื่องเวลาอาบน้ำอุ่นให้ราดจากเท้าก่อนเพื่อให้ร่างกายปรับตัวป้องกันเส้นเลือดในสมองแตกฉับพลัน อันดับที่10เรื่องกรมสรรพากรกระทรวงการคลังเปิดเว็บไซต์ใหม่ พร้อมกันนี้นางสาวนพวรรณยังขอความร่วมมือประชาชนตรวจสอบให้รอบด้านอย่าหลงเชื่อในข้อความเชิญชวนต่างๆโดยเฉพาะเรื่องการหลอกลวงให้กู้เงินหลอกลงทุนให้สินเชื่อต่างๆของมิจฉาชีพที่ปลอมเป็นธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินเลือกแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และถูกต้องทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ขอให้ประชาชนต้องมีสติก่อนโอนเงินหรือไม่กดลิงค์เว็บไซต์ใดๆโปรดสังเกตและอย่าหลงเชื่อกลโกงของ โจรเหล่านี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการเหล่านั้นได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องและสามารถติดตามหรือแจ้งเบาะแสข่าวปลอมผ่านช่องทางของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenterเว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ตลอด24ชั่วโมง _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64848
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลคุมเข้ม เน้นผู้ใช้รถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หวังลดอุบัติเหตุ ไม่จ่ายค่าปรับ-ใบสั่ง ไม่ได้ป้ายภาษี เริ่ม 1 เม.ย.66 นี้
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 ​รัฐบาลคุมเข้ม เน้นผู้ใช้รถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หวังลดอุบัติเหตุ ไม่จ่ายค่าปรับ-ใบสั่ง ไม่ได้ป้ายภาษี เริ่ม 1 เม.ย.66 นี้ ​รัฐบาลคุมเข้ม เน้นผู้ใช้รถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หวังลดอุบัติเหตุ ไม่จ่ายค่าปรับ-ใบสั่ง ไม่ได้ป้ายภาษี เริ่ม 1 เม.ย.66 นี้ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลคุมเข้ม ให้ผู้ใช้รถมีจิตสำนึก ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อการลดอุบัติเหตุ ป้องกันความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ออกมาตรการเข้มเพื่อเสริมสร้างวินัยจราจรและลดอุบัติเหตุ กรณีผู้ขับขี่ที่มีใบสั่งจราจรค้างจ่าย ที่กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป ( ไม่มีผลย้อนหลัง) เมื่อไปต่อภาษีรถยนต์ประจำปี ทางกรมการขนส่งทางบก นายทะเบียนรถยนต์จะไม่ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีหรือป้ายภาษีตัวจริงให้ จะได้เพียงหลักฐานชั่วคราวใช้แทนได้ 30 วันเท่านั้น ยกเว้น จะจ่ายค่าปรับตามใบสั่งจราจรที่ค้างอยู่ทั้งหมดกับนายทะเบียนจึงจะได้รับป้ายภาษีตัวจริง ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ที่ไม่มีป้ายภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และถูกตัดคะแนนความประพฤติในการขับรถ 1 คะแนน สำหรับช่องทางตรวจสอบใบสั่งจราจรค้างจ่าย ประชาชนสามารถตรวจสอบใบสั่งค้างจ่าย และชำระผ่านออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่เว็บ https://ptm.police.go.th/eTicket โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ลงทะเบียนใช้งาน โดยใช้หมายเลขบัตรประชาชน / หมายเลขใบขับขี่หรือหมายเลขทะเบียนรถและกำหนดรหัสผ่าน 2.เข้าสู่ระบบหลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว 3. ค้นหาใบสั่งโดยระบุวันที่กระทำผิด 4.ระบบจะแสดงใบสั่งที่เคยได้รับ สามารถคลิกดูรายละเอียดของแต่ละใบได้ หากมีรถหลายคัน ระบบจะแสดงใบสั่งตามชื่อผู้ครอบครองรถคนเดียวกัน 4.สามารถชำระค่าปรับออนไลน์ได้เลย โดยจ่ายแอป Krungthai NEXT หรือสถานีตำรวจ ธนาคารกรุงไทย ไปรษณีย์ไทย ตู้ ATM กรุงไทยหรือตู้บุญเติม “สามารถตรวจสอบใบสั่งจราจรค้างจ่ายและชำระใบสั่งผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ พร้อมติดตามสถานะการชำระใบสั่งได้ด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลที่ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร โทร.1197”นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมภาคเหนือ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 11/02/2566 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมภาคเหนือ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าและงานหัตถกรรมภาคเหนือ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.50 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปยังหอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยเมื่อเสด็จถึง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พลตำรวจตรี ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดเชียงราย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ เฝ้ารับเสด็จ โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทอดพระเนตรการแสดง “ยินดีเจ้า” ซึ่งเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมของทางภาคเหนือ โดยนักแสดงในพื้นที่ และต่อมา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ ตามโครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และกลุ่มสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ประเภทผ้าและหัตถกรรม ในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 35 กลุ่ม เข้าร่วมจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ จากนั้น พระราชทานพระวโรกาสให้ กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและหัตถกรรม ถวายรายงานส่งการบ้านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาตามพระวินิจฉัย จำนวน 15 กลุ่ม พร้อมกันนี้ โปรดให้คณะผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย และดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย นายศิริชัย ทหรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย เจ้าของแบรนด์ THEATRE คุณจิรัฏฐ์ ทรัพย์พิศาลกุล สไตล์ไดเร็กเตอร์นิตยสาร VOGUE คุณวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ผู้ก่อตั้งแบรนด์ WISHARAWISH ดร.กรกลด คำสุข รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมทางปัญญาและวิจัย วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกะปาน ประธานหลักสูตรแฟชั่น สิ่งทอ และเครื่องตกแต่ง วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมให้คำแนะนำแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และกลุ่มสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ประเภทผ้าและหัตถกรรม ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสมัยนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภคต่อไป และก่อนเสด็จกลับ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทอดพระเนตรนิทรรศการการสาธิตและการแสดงกระบวนการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น นิทรรศการผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 4 ภาค และการแสดง “ฟ้อนเจียงฮายเมืองงาม” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอันหาที่สุดไม่ได้ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานความห่วงใยให้กับพสกนิกรของพระองค์ ด้วยทรงมุ่งมั่น แน่วแน่ ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการส่งเสริมผ้าไทย ทั้งในการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ ช่างทอผ้า และการส่งเสริมด้านการตลาด โดยพระราชทานโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อทำให้เกิดกระแสนิยมในการหันมาสวมใส่ผ้าไทยของคนไทย อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดความต้องการ (Demand Side) ของการเลือกซื้อเลือกหาผ้าไทย เพื่อสวมใส่ในทุกโอกาส ที่ส่งผลให้ภาคการผลิต (Supply Side) มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค พร้อมทั้งพระราชทานลายผ้าพระราชทาน อาทิ ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ลายขิดนารีรัตนราชกัญญา และล่าสุด ลายดอกรักราชกัญญา นำมาซึ่งการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เกิดความอยู่ดีกินดีและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของประชาชน “โครงการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของจังหวัดในพื้นที่ 4 ภูมิภาค เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ผลงานอัตลักษณ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของกลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ในพื้นที่ 4 ภูมิภาค เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการจำหน่ายผ้าไทย ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน โดยผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP มีผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทย จะได้รับความรู้การยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทรนด์สีสัน และเทรนด์แฟชั่นผ้าไทย การออกแบบคอลเลกชั่นผ้าไทย การเลือกใช้เส้นใยที่มีคุณภาพ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับผ้าไทย และการสร้างแบรนด์ จากผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย มีผลงานผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทย และสามารถนำไปออกแบบและตัดเย็บเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความทันสมัย สวมใส่ในชีวิตประจำวันเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ทั้งนี้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวฯ ทำให้เกิดแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้แก่ ผู้ที่สนใจสามารถนำไปประกอบอาชีพได้และเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน และยังเป็นแบบอย่างในเรื่องการพัฒนาชุมชนโดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตามหลัก Bio-Circular-Green Economy: BCG สร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนทอผ้า คนย้อมผ้า และอาจส่งผลไปถึงผู้สวมใส่หากใช้สารเคมี ในการย้อมผ้า อีกทั้งยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และมีการส่งเสริมให้คนในชุมชนพึ่งตนเองได้ด้วย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ กลุ่มสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และช่างทอผ้าในพื้นที่ภาคเหนือ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงนำประสบการณ์ส่วนพระองค์ทั้งจากการทรงงาน ทรงศึกษาผ้าทอพื้นเมือง และพระปรีชาสามารถด้านการออกแบบที่นำสมัย ถ่ายทอดสู่สมาชิกกลุ่มทอผ้าและช่างทอผ้าที่เฝ้ารับเสด็จฯ และถวายรายงานส่งการบ้านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาตามพระวินิจฉัย ทำให้สามารถนำไปออกแบบเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ของตนเองให้มีความร่วมสมัย และนำไปประยุกต์ปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัยได้อย่างสวยงาม นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับช่างทอผ้าทุกท้องถิ่น ท้องที่ และเป็นต้นแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างยั่งยืน ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของพวกเราที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยทรงต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาลวดลายผ้าให้แก่สมาชิกกลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ ซึ่งนับได้ว่าทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าไทยให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส อันเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก โดยสมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด ทำให้ผ้าไทยมีลวดลายที่หลากหลาย เกิดการผสมผสานวัฒนธรรม มีความร่วมสมัยและเป็นสากล และขอเชิญชวนพวกเราคนไทยทุกคน ได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วยการสวมใส่ผ้าไทยในทุกวัน ทุกโอกาส เพื่อทำให้ผ้าไทยได้มีชีวิตที่ยืนยาว คนทอผ้าได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้จุนเจือสมาชิกในครอบครัว อันทำให้คนไทยอีกหลายล้านคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน ได้รับมอบหมายจากกระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ในการดำเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในชุมชนอื่น ๆ ในทั่วพื้นที่ ทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในวันนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ กลุ่มสมาชิกโครงการศิลปาชีพ ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และช่างทอผ้า ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการฯ เพื่อให้นำองค์ความรู้ที่ได้รับ ไปต่อยอดให้เกิดความแพร่หลาย เป็นการฟื้นฟูภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการสร้างสรรค์ผืนผ้าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เข้าร่วมกว่า 50 กลุ่ม และได้มีการคัดเลือกผืนผ้าที่มีความโดดเด่น นำไปออกแบบเสื้อผ้า โดยได้รับพระวินิจฉัยจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงนำประสบการณ์ส่วนพระองค์ ทั้งจากการทรงงานและทรงศึกษาผ้าทอพื้นเมือง พระปรีชาสามารถด้านการออกแบบที่นำสมัย ถ่ายทอดสู่สมาชิกกลุ่มทอผ้าและช่างทอผ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นต้นแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย มีความมุ่งมั่นในการสนองพระปณิธานเพื่อทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ด้าน นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่เป็นผู้นำการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการส่งเสริมผ้าไทยควบคู่กับการพัฒนาหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ซึ่งนับว่าเป็นพระปรีชาชาญของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้วยการพระราชทานแนวทางในการสร้างความยั่งยืนของผ้าไทย โดยให้ผู้ประกอบการทอผ้าได้ปลูกพืชให้สี และใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้า รวมทั้งแนวพระดำริในการส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การปลูกพืชผักสวนครัวไว้บริโภคในครัวเรือนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สะท้อนให้เห็นได้จากการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนที่หมู่บ้านดอนกอย ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ที่ทรงให้ความเป็นกันเอง และตรวจดูบ้านของประชาชน ทั้งแปลงผักสวนครัว และถังขยะเปียกลดโลกร้อน ที่ทำให้เกิดการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และยังเป็นการรักษาสภาพและเพิ่มคุณภาพให้กับดิน ซึ่งนับได้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้มีพลัง และทรงเป็นต้นแบบแห่งแรงบันดาลใจ ในการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน อย่างได้ผลดียิ่ง ทำให้เกิดการ Change for Good ทั้งนี้ ในฐานะผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย มีความตื่นเต้นยินดี และขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนองพระปณิธาน ด้วยการสวมใส่ผ้าไทยที่ทอจากผ้าสีธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และร่วม สนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับชาวไทย ประเทศไทยและโลกใบเดียวนี้ตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64838
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​"ทิพานัน" ปลื้มผลโพลชาวจ.นครศรีธรรมราช ชู “พล.อ.ประยุทธ์”เป็นนายกฯ ย้ำผลงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองคอนดันเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 ​"ทิพานัน" ปลื้มผลโพลชาวจ.นครศรีธรรมราช ชู “พล.อ.ประยุทธ์”เป็นนายกฯ ย้ำผลงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองคอนดันเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ​"ทิพานัน" ปลื้มผลโพลชาวจ.นครศรีธรรมราช ชู “พล.อ.ประยุทธ์”เป็นนายกฯ ย้ำผลงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองคอนดันเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ยัน'พล.อ.ประยุทธ์'มุ่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคครอบคลุมทั่วประเทศ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ให้การสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลสำรวจของ“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง “คนนครศรีธรรมราชเลือกพรรคไหน”โดยให้เหตุผลว่า เพราะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตตรงไปตรงมา ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สะท้อนถึงคะแนนนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ประชาชนไว้วางใจในการบริหารประเทศ เป็นภาพจำและเป็นจุดแข็งที่โดดเด่น โดยที่ผ่านมา ชาวจ.นครศรีธรรมราชได้รับการส่งเสริมให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ที่ผลักดันให้จ.นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และวัฒนธรรมของภาคใต้ มีการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการแข่งขัน การลงทุน และการท่องเที่ยวพัฒนาถนนสายหลักและสายรอง พัฒนาท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ก่อสร้างสะพานข้ามคลองบางกระบือ (สะพานตาราช) อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่แล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว เพื่อยกระดับการคมนาคม ขนส่งสินค้าและบริการต่างๆ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดการลงพื้นที่ไปตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยพื้นที่อำเภอไชยา และปัญหาที่ดินทำกิน รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ด้วย ซึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้นมีโครงการของรัฐที่เข้าไปพัฒนา เช่นโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมพร -สุราษฎร์ธานี โครงการทางแยกต่างระดับแยกสนามบินจ.สุราษฎร์ธานี “พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นพัฒนาประเทศกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ไม่มีแบ่งแยกและเลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมของประเทศไทยให้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64846
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน! นายจ้าง 13 ก.พ.นี้ วันสุดท้าย ยื่นต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือสำนักงานจัดหางาน เพื่อรับเอกสารแทนใบอนุญาตทำงานจริงเป็นการชั่วคราว
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 เตือน! นายจ้าง 13 ก.พ.นี้ วันสุดท้าย ยื่นต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือสำนักงานจัดหางาน เพื่อรับเอกสารแทนใบอนุญาตทำงานจริงเป็นการชั่วคราว เตือน! นายจ้าง 13 ก.พ.นี้ วันสุดท้าย ยื่นต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือสำนักงานจัดหางาน เพื่อรับเอกสารแทนใบอนุญาตทำงานจริงเป็นการชั่วคราว วันที่ 12 ก.พ.66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ขอให้นายจ้าง สถานประกอบการ ที่มีแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 ก.พ.2566 หากประสงค์จะทำงานต่อไป ให้รีบยื่นคำขอต่อใบอนุญาตทำงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์กรมการจัดหางาน หรือสำนักงานจัดหางานทั่วประเทศ โดยดำเนินการยื่นต่ออายุใบอนุญาตทำงานและชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน ภายในวันที่ 13 ก.พ.66 เพื่อที่จะสามารถอยู่และทำงานเป็นการชั่วคราวได้ถึงวันที่ 13 ก.พ. 2567 หรือ 13 ก.พ. 2568 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้ขยายระยะเวลาให้คนต่างด้าว 4 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 ก.พ. 66 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานถึงวันที่ 15 พ.ค. 66 เพื่อจัดเตรียมเอกสารการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน โดยภายหลังยื่นต่ออายุใบอนุญาตทำงานและชำระเงินค่าธรรมเนียมฯ ภายในวันที่ 13 ก.พ.66 แล้ว ยังได้ขยายระยะเวลาการยื่นเอกสารรับรองบุคคล (CI) ของชาวเมียนมาในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ระนอง และชลบุรี จนถึงวันที่ 13 พ.ค.2566 เพื่อแก้ปัญหาแรงงานหลุดออกจากระบบ น.ส.ไตรศุลี กล่าว่า ภายหลังยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน ภายในวันที่ 13 ก.พ.66 แล้ว ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตทำงาน กรมการจัดหางาน จะออกเอกสารซึ่งแสดงว่าคนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร โดยเป็นเอกสารหลักฐานแทนใบอนุญาตทำงานจริง เพื่อใช้แสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายแล้ว หากยื่นต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวไม่ทันตามเวลาที่ราชการกำหนด จะถือว่าเป็นการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย โดยแรงงานต่างด้าวดังกล่าวจะไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร แรงงานผิดกฎหมาย มีโทษปรับ 5,000-50,000 บาท ไม่สามารถกลับมาทำงานภายในราชอาณาจักรในระยะเวลา 2 ปี ส่วนการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาท หากกระทำความผิดซ้ำ จะไม่สามารถจ้างแรงงานต่างด้าวได้เป็นระยะเวลา 3 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64842
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ดีใจ ประชาชนตอบรับท่องเที่ยวชายแดนใต้เป็นอย่างดี มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจแน่
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 ​นายกฯ ดีใจ ประชาชนตอบรับท่องเที่ยวชายแดนใต้เป็นอย่างดี มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจแน่ ​นายกฯ ดีใจ ประชาชนตอบรับท่องเที่ยวชายแดนใต้เป็นอย่างดี มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจแน่ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานงานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน ระหว่างวันที่ 2 - 8 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสำคัญของท้องถิ่น ส่งเสริมความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โดยประกอบด้วย งานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี อ.เมือง และ งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง อ.สายบุรี ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ในงานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวปัตตานี ยังประกอบด้วยกิจกรรม อาทิ งานถนนคนเดินอาหาร 3 วัฒนธรรม การจัดกิจกรรม “สักวา อา-รมย์-ดีฟ” การจัดแสดงรถคลาสสิคและรถโบราณ “Pattani Classic and Garage” พิธีอัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ประทับเกี้ยวใหญ่มหามงคล หามรอบเมืองปัตตานี พิธีเปิดงานมหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว กิจกรรมวิ่งมินิมาราธอน “Pattani Charity Night Run” ณ บริเวณหน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี การจัดการประกวดเชิดสิงโตบนเสาดอกเหมยชิงแชมป์เอเชีย เป็นต้น ขณะที่ งานสมโภชเจ้าพ่อเล่าเอี๊ยะกง อ.สายบุรี มีกิจกรรมแห่เกี้ยวปักดิน คือ การหามเกี้ยวพระออกจากศาลเจ้า ไปเยี่ยมเยือนลูกหลานเมื่อท่านมีความพึ่งพอใจ เกี้ยวจะโยกและปักลงดิน ซึ่งมีหนึ่งเดียวในประเทศไทย เป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ ความสำเร็จของการจัดงานมหกรรมท่องเที่ยวปัตตานีอาเซียน ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณการณ์ว่า มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 95% และชาวต่างชาติ 5% เดินทางเข้าพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 32,000 คน สร้างรายได้หมุนเวียน 33.5 ล้านบาท โดยจังหวัดปัตตานีมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกินกว่าร้อยละ 90 ซึ่งผู้เยี่ยมเยือนส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมไปถึงจากต่างพื้นที่ คือ จังหวัดสงขลา พัทลุง สตูลและนครศรีธรรมราช นางสาวรัชดา ได้กล่าวต่อว่า รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนใต้ ผ่านกิจกรรมการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ. ณ อ.เบตง จ.ยะลา และโครงการ Amazing Betong Festival 2023 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 9-19 ก.พ. ขณะนี้มีผู้สมัครร่วมเข้าแข่งขัน เกือบ 2,000 คน แบ่งสัดส่วนเป็นคนไทย 60% และต่างชาติ 40% จาก 30 ประเทศ โดยมีชาติที่ให้ความสนใจ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ซึ่งนักท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจะได้วิ่ง เที่ยว ดื่ม กิน เช็กอิน @เบตง ในงาน Amazing Betong Festival ทั้งนี้ สนามวิ่งเทรล อำเภอเบตง ถือเป็น "หนึ่งในศูนย์กลางกีฬาวิ่งเทรลของโลก" มีสนามที่เป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย-แปซิฟิก คาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างรายได้แก่พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้หลายร้อยล้านบาทให้ “นายกรัฐมนตรีมีความยินดีต่อความสำเร็จในการจัดงานดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทุกกลุ่มวัฒนธรรม ในการสืบสานมรดกอันทรงคุณค่าของชาวปัตตานี อีกทั้งในงานยังมีผู้ร่วมงานจำนวนมาก แสดงถึงความมั่นใจในสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงโอกาสในการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่าจะสามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างแน่นอน ผ่านการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมภาคการเกษตรและการท่องเที่ยว และโครงการเมืองต้นแบบบนพื้นฐานศักยภาพและการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง สั่งเข้ม กรมการจัดหางาน ติดตามคดี 100 คนไทย ถูกนายหน้าตุ๋นทำงานต่างประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 รมว.เฮ้ง สั่งเข้ม กรมการจัดหางาน ติดตามคดี 100 คนไทย ถูกนายหน้าตุ๋นทำงานต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน เตือน คนไทย สังเกตพฤติการณ์สาย-นายหน้า หากแนะนำให้ทำผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงด่านตรวจคนหางาน ชวนลักลอบเข้าประเทศ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวทำงาน ให้สันนิษฐานว่ากำลังถูกหลอกลวง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากกรณีกลุ่มสายไหมต้องรอด นำโดยนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ นำตัวแทนเหยื่อนายหน้าเถื่อนหลอกลวงเพื่อไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ซึ่งมีผู้เสียมากกว่าร้อยคน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคม. เพื่อให้เร่งรัดความคืบหน้าของคดี ซึ่งผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้ ที่ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ สภ.เมือง จ.นครราชสีมา และ สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี นั้น ตนทราบเรื่องแล้วไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการอธิบดีกรมการจัดหางาน เร่งติดตาม ช่วยเหลือ และร่วมฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนความคืบหน้าล่าสุดกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) แจ้งว่าจะประสานข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของคดี ให้ทราบเพิ่มเติมโดยเร็ว ซึ่งได้กำชับไปยังสำนักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานจัดหางานจังหวัดชลบุรี เพื่อประสานสถานีตำรวจภูธรในแต่ละท้องที่ ในการติดตามการดำเนินคดีดังกล่าวแล้ว “ผมขอฝากถึงพี่น้องคนไทยที่กำลังหางานในต่างประเทศไม่ว่าประเทศใดหากสาย-นายหน้ามีพฤติการณ์แนะนำให้ทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นชักชวนทำงานผิดกฎหมาย การลักลอบเข้าประเทศ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวไปทำงาน หรือไปทำงานต่างประเทศโดยไม่แจ้งการทำงาน ให้สันนิษฐานเป็นลำดับแรกว่าท่านกำลังถูกหลอกลวง และโปรดอย่าหลงเชื่อ”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการกรมการจัดหางาน ตรวจสอบ เฝ้าระวัง และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลวงคนหางานในทุกช่องทาง ซึ่งขณะนี้กรมฯ ทำงานเชิงรุก มีการจับตาสื่อสังคมออนไลน์ และตอบโต้ไปยังโพสต์ต่าง ๆ ที่มีการเชิญชวนคนไทยไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน หรือชวนไปทำงานในลักษณะผิดกฎหมาย รวมทั้งกลุ่มที่อ้างชื่อกรมการจัดหางาน สร้างความน่าเชื่อถือว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ พร้อมประชาสัมพันธ์วิธีการไปทำงานต่างประเทศถูกกฎหมาย 5 วิธี และการสังเกตผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันมิจฉาชีพ “กรมการจัดหางานมีการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างเข้มงวด โดยปีงบประมาณ 2566 มีการดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อนแล้ว 46 ราย พบการหลอกลวงคนหางานทั้งสิ้น 112 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 10,618,435 บาท กรมการจัดหางานขอย้ำว่าผู้ที่จัดหางานให้คนไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากกรมการจัดหางาน หรือหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงิน หรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 บาท - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงผ่านระบบ e – Service กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือที่ Facebook : ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร สั่งลงพื้นที่ตรวจสอบ “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป” ชี้หากพบเข้าข่ายการกระทำผิด ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมเปิดสายด่วน 1567
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 11/02/2566 ปลัดมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร สั่งลงพื้นที่ตรวจสอบ “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป” ชี้หากพบเข้าข่ายการกระทำผิด ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมเปิดสายด่วน 1567 ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร สั่งลงพื้นที่ตรวจสอบ “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป” ชี้หากพบเข้าข่ายการกระทำผิด ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมเปิดสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 รับแจ้งเบาะแสมูลนิธิ สมาคม ที่อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยถึงกรณีปรากฏข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ โดยมีการกล่าวถึง “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป จำกัด” ซึ่งอยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนในขณะนี้นั้น ขอเรียนว่า ตนในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิในเขตกรุงเทพมหานครตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการให้กรมการปกครอง ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับจดทะเบียนมูลนิธิได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวทันที “ขณะนี้ได้รับรายงานจากนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง ว่า กรมการปกครอง โดยสำนักการสอบสวนและนิติการ ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในข่าวสาร เนื่องจากพบว่า เว็บพนันดังกล่าวอาจมีการแอบอ้างใช้ชื่อและจัดตั้งมูลนิธิชื่อ “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป จำกัด” ซึ่งในเบื้องต้นตรวจสอบในฐานข้อมูลแล้วพบว่า “ไม่ปรากฏการจดทะเบียนมูลนิธิในชื่อดังกล่าว” ทำให้การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณชนของมูลนิธินี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อสืบค้นข้อมูลและแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน ณ บ้านเลขที่ 9 อาคารเป็นต่อกรุ๊ป ซอยรามอินทรา 5 แยก 15 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของมูลนิธิเป็นต่อ กรุ๊ป จำกัด โดยจากการตรวจสอบพบว่า ไม่ปรากฏป้ายชื่อมูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป จำกัด ติดตั้งไว้ที่ด้านหน้ารั้วหรือจุดใด ๆ ของสถานที่นั้น พร้อมกันนี้ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติม ได้พบว่าปรากฏป้ายชื่อบริษัทหลายบริษัทติดตั้งไว้ที่รั้ว/ประตูทางเข้าด้านหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่จึงสอบถามพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งที่ปรากฏป้ายชื่อที่อาคารดังกล่าว จึงได้ทราบข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยพบว่ามีผู้บริหารที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลนิธิเป็นต่อ กรุ๊ป เจ้าหน้าที่จึงได้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าตัว ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ให้ข้อมูลโดยยอมรับว่า มูลนิธิ เป็นต่อ กรุ๊ป ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิแต่อย่างใด เป็นเพียงการรวมกลุ่มกันของผู้บริหารที่รู้จักสนิทสนมกันในหลายบริษัท เพื่อทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้มีชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากการลงพื้นที่ดังกล่าว โดยในขั้นตอนต่อไป กรมการปกครองจะได้ประสานไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEs) เพื่อขอความอนุเคราะห์ตรวจสอบเว็บไซต์ของมูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป จำกัด รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์กับบุคคลที่จดทะเบียนเว็บไซต์ว่าเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 หรือไม่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้ครบถ้วน รัดกุม หากพบว่าการดำเนินการของมูลนิธิเป็นต่อ กรุ๊ป จำกัด เข้าข่ายความผิดตามมาตราดังกล่าวจริง จะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ต่อไป “กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญในการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนของมูลนิธิ สมาคม ตามอำนาจหน้าที่อย่างต่อเนื่อง โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีกรมการปกครอง โดยสำนักการสอบสวนและนิติการ เป็นหน่วยงานดำเนินการ และในพื้นที่ 76 จังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียนตามกฎหมาย มีที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นหน่วยงานดำเนินการ ซึ่งได้เน้นย้ำและกำชับให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินงานของมูลนิธิ สมาคม ทุกแห่ง ให้เป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับของแต่ละแห่ง หากพบการกระทำความผิด ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแสการกระทำความผิด หรือหากสงสัยว่ามูลนิธิ สมาคมใด อาจเข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะต่าง ๆ ที่สร้างความเดือดร้อน หรือแอบอ้าง หรือทำให้สังคมเชื่อได้ว่าอาจนำไปสู่ความไม่เป็นปกติสุขของสังคม สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 หรือแจ้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ณ ศาลากลางจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ ทั้ง 878 แห่งทั่วประเทศ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64837
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 11/02/2566 พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (11 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในห้วงวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่พระอุโบสถวัดหมอนไม้ อ.เมืองอุตรดิตถ์ พระศรีปริญิติวิมล รองเจ้าคณะจังหวัด อุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดคลองโพธิ์ พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 2. จังหวัดกำแพงเพชร ที่วัดนาควัชรโสภณ พระอารามหลวง อ.เมืองกำแพงเพชร พระครูศรีมหาเจติยาภิมณฑ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางสาวสุพัตรา คล้ายทิม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย หัวหน้าสาวนราชการ และพุทธศาสนิกชนจังหวัดกำแพงเพชร ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดระยอง ที่พระอุโบสถวัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง พระเทพสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายกำธร เวหน ปลัดจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนชาวระยอง ร่วมพิธี 4. จังหวัดเลย ที่วัดวิเวกทีปาราม ต.นาดอกคำ อ.นาด้วง นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วยนางวราภรณ์ เสริมภักดีกุล ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเลย เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเลย และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเลย ร่วมมอบโฉนดที่ดินให้กับวัดวิเวกทีปาราม หมู่ที่ 5 ตำบลนาดอกคำ อำเภอนาด้วง จังหวัดเลย ตามโครงการมอบโฉนดที่ดินให้วัดของสำนักงานที่ดิน จังหวัดเลยและสาขา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 5. จังหวัดศรีสะเกษ ที่หอประชุม วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษ นางมัลลิกา เกษกุล ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย สมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่ ออกรับบริจาคโลหิตร่วมกับ โรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 6. จังหวัดชลบุรี ที่ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนชุมชนบ้านแหลมฉบัง อ.ศรีราชา นายวรจักร สถาพรภิญโญ นายอำเภอศรีราชา เป็นประธานกิจกรรมปลูกป่า ปลูกชีวิต แสดงความจงรักภักดี และถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี สมาคมประมงพื้นบ้านจังหวัดชลบุรี ประมงอำเภอศรีราชา สมาคมประมงจังหวัดชลบุรี กรมเจ้าท่า ท่าเรือแหลมฉบัง ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรม 7. จังหวัดอ่างทอง ที่ศาลาการเปรียญวัดสามโก้ อ.สามโก้ นายอานนท์ บูรณะภักดี นายอำเภอสามโก้ เป็นประธานพร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. จังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดป่าบงหลวง อ.สารภี พระครูวิจิตรธรรมานุศาสตร์ เจ้าคณะตำบลป่าหุ่ง เขต ๑ เจ้าอาวาสวัดห้วยประสิทธิ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายอมรศักดิ์ เพ็ชรเนียม ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64839
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย โคราช ยกระดับศักยภาพสินค้าเศรษฐกิจ GI “เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน” สู่สินค้าระดับโลก
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 12/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย โคราช ยกระดับศักยภาพสินค้าเศรษฐกิจ GI “เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน” สู่สินค้าระดับโลก โฆษกรัฐบาลเผย โคราช ยกระดับศักยภาพสินค้าเศรษฐกิจ GI “เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน” สู่สินค้าระดับโลก วันนี้ (วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566)นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงกิจกรรมลงนามบันทึกความร่วมมือภาคีเครือข่าย (MOU) ในการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์และ ซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI “เครื่องปั้นดินเผา” ที่ผ่านมาและชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยส่งเสริมสินค้าชุมชนให้เกิดอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เชื่อมั่นจะยกระดับเศรษฐกิจชุมชนได้ โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือภาคีเครือข่าย (MOU) ในการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์และ ซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI “เครื่องปั้นดินเผา” ที่สำเร็จแล้วนั้น จะส่งเสริมการพัฒนาชุมชน พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ ซึ่งจะรวมไปถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค และวิถีชุมชน ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านโลจิสติกส์การท่องเที่ยว พัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมทั้งจะสนับสนุนภาคการผลิต และการจัดจำหน่ายสินค้าชุมชนสู่ระดับภูมิภาค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายประโยชน์จะเกิดที่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย และสร้างรายได้มวลรวมที่เพิ่มมากขึ้นให้กับจังหวัดนครราชสีมา “นายกรัฐมนตรีชื่นชม และขอบคุณการทำงานของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชน การสร้างรายได้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ สิ่งเหล่านี้จะต่อยอดไปที่การพัฒนาชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ เป็นไปตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ในทุกพื้นที่จะสามารถต่อยอดเศรษฐกิจจากของดีในชุมชนได้ ขอให้กำลังใจทุกชุมชน ซึ่งสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของชุมชนที่ประสบความสำเร็จแล้วได้” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64845
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยปลื้ม คว้ารางวัล “องค์กรนวัตกรรมแห่งปี” ตอกย้ำความสำเร็จพัฒนาเทคโนโลยียกระดับชีวิตคนไทย
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 กรุงไทยปลื้ม คว้ารางวัล “องค์กรนวัตกรรมแห่งปี” ตอกย้ำความสำเร็จพัฒนาเทคโนโลยียกระดับชีวิตคนไทย ธ.กรุงไทยรับรางวัล “องค์กรนวัตกรรมแห่งปี” หรือ “Digital Organization of The Year” จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ตอบโจทย์คนไทยทุกกลุ่มทุกมิติ ครอบคลุม 5 Ecosystems สำคัญในชีวิตประจำวัน พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล Prime Minister’s Digital Award 2022 ภายใต้โครงการ DIGITAL INFINITY จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เพื่อมอบให้กับหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย รับรางวัล “องค์กรนวัตกรรมแห่งปี” หรือ “Digital Organization of The Year” จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ตอบโจทย์คนไทยทุกกลุ่มทุกมิติ ครอบคลุม 5 Ecosystems สำคัญในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านการชำระเงิน ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล ทั้ง แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงิน ด้านบริการภาครัฐ นำเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพบริการภาครัฐ อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและภาคประชาชน ให้เข้าถึงบริการภาครัฐได้สะดวก ทั่วถึง เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ด้านสุขภาพ พัฒนา Health Wallet ในแอปฯเป๋าตัง ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ ทั้งการตรวจคัดกรองโรค และการฉีดวัคซีน ด้านการขนส่งมวลชน ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาช่องทางการชำระเงินที่มีความทันสมัย เชื่อมต่อทุกการเดินทางอย่างสะดวก และด้านการศึกษา นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมยกระดับสถาบันการศึกษาสู่ Smart University ตอบโจทย์การศึกษายุคใหม่ ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน สอดคล้องวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกกจ. เตือน ระวังผู้แอบอ้างใช้ LOGO กรมการจัดหางาน รับสมัครงานผ่านสื่อโซเชียล
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 อธิบดีกกจ. เตือน ระวังผู้แอบอ้างใช้ LOGO กรมการจัดหางาน รับสมัครงานผ่านสื่อโซเชียล กรมการจัดหางาน พบการแอบอ้างนำตราสัญลักษณ์หน่วยงานไปใช้หาประโยชน์ หลังตรวจสอบพบไม่มีการขออนุญาต เตือนคนหางาน อย่าหลงเชื่อ เสี่ยงโดนรีดข้อมูลส่วนบุคคล และเสียทรัพย์ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้นำตราสัญลักษณ์หรือโลโก้ กรมการจัดหางาน ไปใช้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ โดยใช้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง เพื่อประกาศรับสมัครงาน เช่น รับสมัครงานพนักงานเสริมแพ็คสินค้า รับสมัครคุณแม่ทำงาน WFH รับสมัครทำงานอิสระระยะยาว เป็นต้น ซึ่งหากพบเห็นการชักชวนให้สมัครงานในตำแหน่งต่าง ๆ ทางสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก, ไลน์, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์, ยูทูป เป็นต้น) ในลักษณะดังกล่าว โปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะอาจถูกหลอกให้เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครงานแต่ไม่มีงานรองรับ หรือหลอกลวงขอข้อมูลส่วนบุคคลและนำไปสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งนำไปหลอกลวงผู้อื่นต่อ “กรมการจัดหางานจะแจ้งความร้องทุกข์และดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมายให้ถึงที่สุด โดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พ.ศ. 2482 ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดใช้เครื่องหมายราชการ เว้นแต่หน่วยราชการที่กำหนดเครื่องหมายนั้นจะอนุญาต และ ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมหรือเลียนเครื่องหมายราชการ ไม่ว่าจะเป็นสีใด หรือทำด้วยวิธีใด ๆ หรือทำให้ปรากฏที่วัตถุหรือสินค้าใดๆ ก็ตาม หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 2,000 บาท”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการผ่านเว็บไชต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือทาง Mobile Application "ไทยมีงานทำ" หรือติดตามข่าวสารของกรมการจัดหางานได้ที่เว็บไซต์กรมการจัด doe.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน พสกนิกรทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัดเพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้จังหวัดพิษณุโลก และสมุทรสงคราม ได้จัดพิธีรับมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่แต่ละจังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2566 พสกนิกรทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ 1. จังหวัดกาญจนบุรี ที่อำเภอทองผาภูมิ ตำบลปิล๊อก รศ.ดร.พญ.เรวิกา ไชยโกมินทร์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยคณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ยากไร้ในเขตพื้นที่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีนายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ หน่วยงานในท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอทองผาภูมิ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในแต่ละพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด้วย 2. จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่วัดเกตุสามัคคีธรรม บ้านโนนตูม ตำบลวังโป่ง อำเภอวังโป่ง พระครูกิตติพัชโรภาส เจ้าอาวาสวัดเกตุสามัคคีธรรม ประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุเทพ เบียร์ดี นายอำเภอวังโป่ง ประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 3. จังหวัดหนองคาย ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย อำเภอเมืองหนองคาย นางทัศนาวัลย์ วิริยานภาภรณ์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดหนองคาย พร้อมด้วยคณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดหนองคาย ร่วมกับโรงพยาบาลหนองคายออกรับบริจาคโลหิต เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้หายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีผู้บริจาคโลหิตทั้งหมด 104 ราย ได้รับบริจาคโลหิตทั้งหมด 40,400 ซีซี 4. จังหวัดสมุทรปราการ ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานส่วนตำบล ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้าง สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ใน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 5. จังหวัดเลย ที่หอประชุมอำเภอท่าลี่ อำเภอท่าลี่ เหล่ากาชาดจังหวัดเลย ร่วมกับนายอภิชาติ สะบู่แก้ว ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย โรงพยาบาลเลย สาธารณสุขอำเภอท่าลี่ ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ โดยมีข้าราชการ ประชาชน ร่วมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีนายพศิน นาชัยโชติ นายอำเภอท่าลี่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และจิตอาสาในพื้นที่อำเภอท่าลี่ ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกตลอดกิจกรรม โดยมีผู้บริจาคโลหิตผ่านเกณฑ์ จำนวน 207 ราย ได้ปริมาณโลหิต จำนวน 93,150 ซีซี 6. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ตำบลดอนปรู อำเภอศรีประจันต์ นางจิตรลดา นวมทอง รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ยากไร้ ผู้ป่วย ผู้พิการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 7. จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสอง นางสุชาฎา บุญทิพย์ นายกกิ่งกาชาดอำเภอสอง พร้อมด้วยคณะกรรมการกิ่งกาชาดอำเภอสอง ออกเยี่ยมผู้ป่วยด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้ป่วยติดเตียง ในพื้นที่อำเภอสอง เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 8. กรุงเทพมหานคร ที่วัดอุดมรังสี แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม นางสาวฉันทนา งามถิ่น หัวหน้าฝ่ายปกครอง สำนักงานเขตหนองแขม นำข้าราชการและบุคลากรเขตหนองแขม ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Budget approved for repair/renovation of flood-damaged irrigation structures across nation
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ​Budget approved for repair/renovation of flood-damaged irrigation structures across nation ​Budget approved for repair/renovation of flood-damaged irrigation structures across nation Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that the cabinet, in its meeting on February 7, 2023, approved the budget under Government’s contingency fund for emergency (FY2023) for the total amount of 3,092.72 million Baht to be allocated to the Royal Irrigation Department, Ministry of Agriculture and Cooperatives for repair/renovation of 1,167 irrigation structures in 48 provinces in the North, Northeast, Central, and the East, that have been damaged by flood disaster in 2022. The aim is to restore those structures back to their former or even improved condition. Repair/renovation of irrigation structures in the 4 regions has been planned as follows: 1) renovation of irrigational work- 11 projects with the budget of 191.76 million Baht; 2) reservoir repair- 39 projects with the budget of 152.98 million Baht; 3) repair of weirs/regulators- 31 projects with the budget of 64.21 million Baht; 4) canal/distribution system repair- 523 projects with the budget of 1,079.34 million Baht; and 5) repair of drainage system- 563 projects with the budget of 1,604.43 million Baht. According to the Government Spokesperson, the Prime Minister emphasized that implementation plan be transparent, accountable, cost-effective, and relevant with the situation.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม.แต่งตั้ง “เพชรรัตน์ สายทอง” นั่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ​ครม.แต่งตั้ง “เพชรรัตน์ สายทอง” นั่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ​ครม.แต่งตั้ง “เพชรรัตน์ สายทอง” นั่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ครม.แต่งตั้ง “เพชรรัตน์ สายทอง” นั่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอแต่งตั้งนางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ขับเคลื่อนงานด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตรวจ ติดตาม กำกับ ดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการในสังกัดวธ.เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายรัฐบาล นโยบายวธ. และแผนปฏิบัติการวธ. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ธนกร” เผย นายกฯ มอบหมายลงพื้นที่ชลบุรี ติดตามความคืบหน้า EEC หวังเร่งพัฒนาคน – ระบบการขนส่ง เพื่อเสริมแกร่งอุตสาหกรรมไทย แจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอย่างคุ้มค่า
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 ​“ธนกร” เผย นายกฯ มอบหมายลงพื้นที่ชลบุรี ติดตามความคืบหน้า EEC หวังเร่งพัฒนาคน – ระบบการขนส่ง เพื่อเสริมแกร่งอุตสาหกรรมไทย แจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอย่างคุ้มค่า ​“ธนกร” เผย นายกฯ มอบหมายลงพื้นที่ชลบุรี ติดตามความคืบหน้า EEC หวังเร่งพัฒนาคน – ระบบการขนส่ง เพื่อเสริมแกร่งอุตสาหกรรมไทย แจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจนนาทีสุดท้าย “ธนกร” เผย นายกฯ มอบหมายลงพื้นที่ชลบุรี ติดตามความคืบหน้า EEC หวังเร่งพัฒนาคน – ระบบการขนส่ง เพื่อเสริมแกร่งอุตสาหกรรมไทย แจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจนนาทีสุดท้าย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดชลบุรี ในวันพรุ่งนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) เพื่อติดตามความคืบหน้าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor : EEC ในหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา อาทิ การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม บุคลากร การศึกษา การวิจัย ธุรกิจ การเงิน เทคโนโลยี ตลอดจน การสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และผลักดันการลงทุนนวัตกรรมใหม่ นายธนกร กล่าวต่อว่า ตนจะไปเยี่ยมชมการดำเนินงานชุมชนเข้มแข็งและยั่งยืน ของชุมชนเก่าชายทะเลบางเสร่ อ.สัตหีบ จ. ชลบุรี ซึ่งจะเป็นการเข้าไปหารือและรับฟังความเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งยังคงอัตลักษณ์วิถีชาวประมงแบบดั้งเดิมเอาไว้ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้กับพื้นที่และชุมชนโดยรอบ จากนั้นจะไปเยี่ยมชมและติดตามโครงการสัตหีบโมเดล ซึ่งเป็นการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสู่ตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จ. ชลบุรี ก่อนที่จะไปร่วมกิจกรรมสื่อสร้างสรรค์ รัฐ – ประชาชน ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่พูดคุยรับฟังความคิดเห็นในหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจังหวัดชลบุรี และ EEC อาทิ ประเด็นความพร้อมด้านการส่งเสริมการศึกษาเพื่อรองรับการขยายตัวของ EEC การส่งเสริมการลงทุนและประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานหลักใน EEC อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า จังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงทั้งในแง่การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในที่ตั้งของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกฯ มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศไปสู่อนาคต ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน การพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำประเทศไทยให้พัฒนาเจริญก้าวหน้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลผลักดันและเร่งรัดการลงทุน เกิดการอนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.92 ล้านล้านบาท เกินเป้าหมาย 1.7 ล้านล้านบาท “พื้นที่ EEC ถูกผลักดันให้เป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า EV แห่งภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว BCG model ซึ่งคาดว่าจะเกิดการจ้างงานถึง 470,000 อัตราภายในปี 2566 ถือเป็นความมุ่งหมายของรัฐบาลในการบูรณาการกับทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มองว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อหาเสียง แต่เป็นการใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจนนาทีสุดท้าย เพื่อพัฒนาประเทศแบบลงลึกถึงประชาชน โดยเฉพาะชุมชนคนพื้นที่” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64683
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่ายสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้เด็ก เยาวชน จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 พม. จับมือเครือข่ายสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้เด็ก เยาวชน จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ พม. จับมือเครือข่ายสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้เด็ก เยาวชน จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานเรื่องกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) และการจัดตั้งเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัยประเทศไทย (Thailand Safe Internet Coalition) โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงาน นอกจากนี้ นายสุรเชษฐ์ โพธิ์แสง รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย นำเสนอเรื่องข้อมูลการเฝ้าระวังเว็บไซต์พนันออนไลน์ ปี 2565 ซึ่งปัจจุบัน มีเว็บไซต์ฯ ที่ยังคงให้บริการอยู่ 595 เว็บไซต์ และนายธีรภัทร มอญดะ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินโยบายเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในโลกอินเตอร์เน็ต โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนภาคีเครือข่าย เข้าร่วม ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ส่งเว็บไซต์พนันออนไลน์ทั้งหมดมาให้ ขณะนี้ ได้สั่งการให้ไปดำเนินการแล้ว แต่มีปัญหาในบางข้อกฎหมาย ซึ่งต้องออกเป็นพระราชกำหนด เพราะกฎหมายตอนนี้ไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ อีกทั้งการปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ต้องข้อคำสั่งศาล เพราะไม่สามารถปิดได้ทันที ซึ่งเรายังไม่มีกฎหมายตรงนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายความมั่นคงปลอดภัยโลกไซเบอร์ นับเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการด้วยตนเอง โดยขอความร่วมมือให้ทุกคนช่วยกันสานต่อ และต้องขอบคุณ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กระทรวง พม. และทุกคน ที่ช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องนี้ ดังนั้น เราต้องเตรียมความพร้อมให้คนของเรา ไม่ให้หลงเชื่อ ไม่ให้ถูกหลอก โดยขอให้ทุกคนต้องคำนึงถึงธรรมะ คือ อย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ (7 ก.พ. 66) ตรงกับวันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยสากล (Safer Internet Day) ซึ่งกระทรวง พม. ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ (Thailand Safer Internet Day) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองร่วมกับอีก 200 ประเทศทั่วโลก ในการให้ความรู้ สร้างความตระหนักถึงความสำคัญทางด้านความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีในชุมชนออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัยประเทศไทย (Thailand Safe Internet Coalition) ประกอบด้วยภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน และสังคมไทย #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64689
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศแต่งตั้ง “ฉัตรชัย” ดำรงตำแหน่ง “ผู้จัดการ ธ.ก.ส.” คนใหม่ มีผลวันที่ 26 มี.ค. 66
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 ประกาศแต่งตั้ง “ฉัตรชัย” ดำรงตำแหน่ง “ผู้จัดการ ธ.ก.ส.” คนใหม่ มีผลวันที่ 26 มี.ค. 66 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. มีคำสั่งแต่งตั้ง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. มีคำสั่งแต่งตั้ง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังผ่านกระบวนการสรรหาผู้จัดการ ธ.ก.ส. คนใหม่ แทนนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. คนปัจจุบัน ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งนายฉัตรชัยจะเป็นผู้จัดการ ธ.ก.ส. คนที่ 14 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป นายฉัตรชัย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2514 จบการศึกษา ปริญญาตรี (สถิติศาสตรบัณฑิต) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท (Master of Computer Science) จาก Syracuse University, New York, USA (นักเรียนทุนธนาคารอาคารสงเคราะห์ รุ่นที่ 1) เริ่มดำรงตำแหน่งผู้บริหาร ธอส. ตั้งแต่ปี 2551 - 2555 ในตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ปี 2555 - 2559 ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสินเชื่อ ธอส. และขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในปี 2559 - ปัจจุบัน ซึ่งผลงานที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ด้าน IT โดยผลักดันโครงการพัฒนาระบบงานหลัก GHB System ขึ้นใช้งานทดแทน Core Banking ระบบเดิมที่ใช้งานมานานกว่า 10 ปี ได้สำเร็จตามกำหนด และสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการปรับเปลี่ยนองค์กร บริหารจัดการ พัฒนาทรัพยากรบุคคล จนทำให้ ธอส. มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ และได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจ ยอดเยี่ยม รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) และรางวัลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสใน การดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) คะแนนประเมินสูงสุดอันดับ 1 ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจต่อเนื่อง 6 ปี ซ้อน (พ.ศ. 2560 - 2565)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมหารือร่วมกับ แกร็บ
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส ประชุมหารือร่วมกับ แกร็บ ดีอีเอส ประชุมหารือร่วมกับ แกร็บ วันนี้(7ก.พ. 66)ดร.เวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับบริษัทแกร็บประเทศไทยจำกัดณห้องประชุม801ชั้น8สป.ดศ. __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดเสวนาวิชาการธัชชาซีรีย์กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “Disruptive Time สมัยพระจอมเกล้าฯ”
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 อว. จัดเสวนาวิชาการธัชชาซีรีย์กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “Disruptive Time สมัยพระจอมเกล้าฯ” อว. จัดเสวนาวิชาการธัชชาซีรีย์กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “Disruptive Time สมัยพระจอมเกล้าฯ” วันที่ 23 มกราคม 2566 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว./ “ธัชชา” วิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาวิชาการธัชชาซีรีย์กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “Disruptive Time สมัยพระจอมเกล้าฯ” โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน นอกจากนั้นยังมีการอภิปรายจากผู้ทรงคุณวุฒิในหัวข้อ “สังคมเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน สมัยรัชกาลที่ 4” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวข้อ “งานวิทยาศาสตร์พัฒนาประเทศไทย” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำหรับเวทีเสวนาในแต่ละครั้ง ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างผู้ที่สนใจ กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มาร่วมอภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งตรงกับเป้าหมายสำคัญของกระทรวง อว. ในฐานะที่เป็นกระทรวงแห่งความรู้ ศิลปะวิทยาการ ผสมผสานทั้งสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ ตลอดจนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย ชู 'ศูนย์ข้าวชุมชน' เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญและใกล้ตัวเกษตรกร
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.เฉลิมชัย ชู 'ศูนย์ข้าวชุมชน' เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญและใกล้ตัวเกษตรกร รมว.เฉลิมชัย ชู 'ศูนย์ข้าวชุมชน' เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญและใกล้ตัวเกษตรกร ที่จะช่วยเติมเต็มปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ เพื่อกระจายสู่ชุมชน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานรณรงค์การถ่ายทอดเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ปฏิบัติได้จริง ภายใต้โครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ณ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งการจัดงานดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าวจัดขึ้นเพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศและประชาชนทั่วไปที่สนใจการพัฒนาการผลิตข้าว มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพผลผลิตข้าว และแก้ไขปัญหาในการผลิตข้าวที่ปรับตัวและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการแสดง/สาธิต เทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิตข้าวที่เหมาะสม เป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลตอบแทนในการผลิตข้าวคุณภาพดีต่อไป สำหรับกิจกรรมภายในงาน มีการจัดแสดงนิทรรศการและสาธิตการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การยกระดับคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว การผลิตข้าวคุณภาพดีเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมทั้งนิทรรศการทางการเกษตรอื่น ๆ จากหน่วยงานราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรปลอดภัย จากกลุ่มเกษตรกรและชุมชนเกษตรต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและสังคมไทยอย่างยิ่ง จากข้อมูลการปลูกข้าว ปี 2563/64 ทั้งประเทศ มีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 70 ล้านไร่ มีผลผลิตข้าวประมาณ 31 ล้านตันข้าวเปลือก สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดของประเทศอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านไร่ มีผลผลิตข้าวประมาณ 14 ล้านตันข้าวเปลือก โดยพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกคือ ขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจึงจำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจในการนำเทคโนโลยีทางเกษตรสมัยใหม่ และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมาช่วยลดต้นทุนการผลิตและยกระดับมาตรฐานการผลิตข้าว เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งให้ความสำคัญกับการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลักดันการแปรรูป เกษตรมูลค่าสูง และใช้การตลาดสมัยใหม่ ทั้งด้านการผลิตและจำหน่ายด้วย ทั้งนี้ ข้าวคุณภาพดีส่วนหนึ่งจะต้องมาจากเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีมาตรฐาน ในขณะที่เราต้องการผลิตข้าวคุณภาพดีให้ได้ปริมาณมากเพียงพอต่อการบริโภคทั้งภายในประเทศและการส่งออกเพื่อนำรายได้เข้าประเทศแล้ว เราจึงก็ต้องการปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้มาตรฐานด้วย ซึ่งในปีการผลิต 2565/66 ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้ประมาณ 95,000 ตัน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวของทั้งประเทศ ที่อยู่ประมาณ 1.33 ล้านตัน โดยนอกเหนือจากสหกรณ์การเกษตรและภาคเอกชนที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบางส่วนแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังสนับสนุนศูนย์ข้าวชุมชนให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญและใกล้ตัวเกษตรกรที่สุดที่จะมาเติมเต็มปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีที่ยังขาดแคลน ตามหลักการของศูนย์ข้าวชุมชนที่ “ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเองโดยชุมชน แล้วกระจายไปสู่ชุมชนของตนเองและชุมชนข้างเคียงอย่างมีคุณภาพ” "การจัดงานครั้งนี้ หวังว่าจะมีส่วนกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมงาน ให้รับรู้และเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวที่เหมาะสม และการยกระดับมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมไปถึงการสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และเพิ่มมูลค่าทางการค้าจากการผลิตข้าวคุณภาพดี โดยเน้นการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดตามนโยบายการตลาดนำการผลิต นำไปสู่การจัดการสินค้าเกษตรสู่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไม่ทอดทิ้งเกษตรรายย่อยด้วย พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยจะดูแลพี่น้องเกษตรกรให้เหมือนเป็นคนในครอบครัว และต้องเอาพี่น้องเกษตรกรเข้ามาเป็นครอบครัวด้วยเช่นกัน เพราะปัญหาจะสามารถพูดคุยและแก้ไขได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง หากเกษตรกรมั่นคงและมั่งคั่ง จะทำให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน และทำให้ประเทศชาติมั่นคงตามไปด้วย" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ​กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย ​กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย ครั้งที่ 1/2566 โดยมีนายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ในฐานะรองประธานกรรมการ ณ ห้องประชุมพะยูน ชั้น 7 อาคารจุฬาภรณ์ กรมประมง และผ่านการประชุมทางไกลออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมีหัวข้อสำคัญในที่ประชุม คือ 1) แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน 2) ความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้คำสั่งคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย 2.1) คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพื้นบ้าน 2.2) คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพาณิชย์ และการประมงนอกน่านน้ำไทย 2.3) คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 2.4) คณะอนุกรรมการพัฒนาผลิตผลผลิตภัณฑ์ประมงและการพาณิชย์ 2.5) คณะทำงานโครงการ Fisherman’s Village Resort 2.6) คณะทำงานส่งเสริมและพัฒนาการกระจายสินค้าประมงจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค 3) ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ระยะที่ 2 4) ความก้าวหน้าการดำเนินงานคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติสภาการประมง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนการประมง พ.ศ. .... 5) โครงการน้ำมันเพื่อการประมง 6) เรือประมงเพื่อการท่องเที่ยว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. ชี้แจงข้อวิจารณ์กระบวนการจัดจ้างในศูนย์ราชการฯ ไม่โปร่งใส
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 ธพส. ชี้แจงข้อวิจารณ์กระบวนการจัดจ้างในศูนย์ราชการฯ ไม่โปร่งใส บริษัท ธนารักษ์ฯ ยืนยันไม่มีการจัดจ้างล็อคสเปก ดำเนินโครงการฯ ตามระเบียบ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ว่าด้วยการพัสดุฯ จากกรณี voicetv , เว็บไซต์ผู้จัดการฯ , เว็บไซต์คมชัดลึก เผยแพร่ข่าวกรณีแหล่งข่าวจากศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดเผยว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการภายในศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บางหน่วยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการจัดจ้างส่อล็อคสเปก ปัญหาดังกล่าวมีหน่วยงานบริหารพื้นที่ โดยบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) สาเหตุของข้อวิจารณ์ คือ ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องมักเลือกใช้วิธีเชิญชวน แม้จะดำเนินการภายใต้ “ระเบียบบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์จำกัดว่าด้วยการพัสดุเพื่อการบริหารโครงการ พ.ศ. 2561” แต่เมื่อดำเนินการไปแล้ว ปรากฏว่า บางงานไม่เคยมีการประกาศผลผู้ชนะการประกวดราคาให้สาธารณชนรับทราบ แต่มีบริษัทเข้ามาทำงานในภารกิจนั้น ๆ ตามที่มีการเชิญชวน จึงมีข้อสังเกตจากพฤติการณ์ว่า มีบริษัทที่ต้องการไว้อยู่แล้วนั้น วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นายธีธัช สุขสะอาด รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ชี้แจง ดังนี้ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ในฐานะผู้บริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ขอชี้แจงว่า โครงการจัดจ้างควบคุมแลและบำรุงรักษาระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร เพื่อดำเนินงานซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปี 2566 เป็นไปตามระเบียบ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ว่าด้วยการพัสดุเพื่อการบริหารโครงการ พ.ศ. 2561 ด้วยวิธีการคัดเลือก ตามข้อ 20 (2) เชิญผู้มีอาชีพจำหน่ายหรือรับจ้างในงานนั้นโดยตรงไม่น้อยกว่า 3 ราย และเป็นผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ โดย ธพส. ได้ทำหนังสือเชิญชวนยื่นข้อเสนอเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1. บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด 2. บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด 3. บริษัท พร้อม เทคโน เซอร์วิส จำกัด 4. บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และ 5. บริษัท มาร์จินอล จำกัด และมีกำหนดยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 27 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีผู้ยื่นข้อเสนอ จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1. บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด 2. บริษัท พร้อม เทคโน เซอร์วิส จำกัด และ 3. บริษัท มาร์จินอล จำกัด จากนั้น ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2566 คณะกรรมการจัดจ้างได้ดำเนินการพิจารณาผลเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ทั้ง 3 ราย ปัจจุบันอยู่ในระหว่างกระบวนการนำเสนอผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการจัดจ้างในงานดังกล่าว จากนั้นจึงจะดำเนินการประกาศผล ผ่านเว็บไซต์ของ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มจำนวนนิสิตทุนโครงการเพชรในตม ผลิตครูคุณภาพแก่ รร.ทั่วประเทศ
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มจำนวนนิสิตทุนโครงการเพชรในตม ผลิตครูคุณภาพแก่ รร.ทั่วประเทศ วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยอนุมัติเพิ่มจำนวนการรับนิสิตโครงการเพชรในตมจากเดิม 45 คน เป็น 161 คน เพิ่มขึ้น 116 คน ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป แบ่งเป็นกลุ่มที่ 1 จาก 73 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 2 คน ยกเว้นผู้มีภูมิลำเนาใน กทม. และจังหวัดชายแดนใต้ และกลุ่มที่ 2 นิสิตจากจังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 15 คน พร้อมทั้งเห็นชอบให้บรรจุบัณฑิตจำนวน 161 คนจากโครงการนี้ เป็นข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในโรงเรียนพื้นที่ภูมิลำเนาเดิมของนิสิต หรือหมู่บ้านใกล้เคียงโดยไม่ต้องสอบแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเพิ่มจำนวนครูที่มีคุณภาพแก่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร และแนวชายแดน เป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. ขับขานบทเพลง “อมตะสยาม” ผ่านวงซิมโฟนีออร์เคสตรา กระหึ่ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 อว. ขับขานบทเพลง “อมตะสยาม” ผ่านวงซิมโฟนีออร์เคสตรา กระหึ่ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย อว. ขับขานบทเพลง “อมตะสยาม” ผ่านวงซิมโฟนีออร์เคสตรา กระหึ่ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 มกราคม 2566 ที่ผ่านมาศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงบทเพลง อมตะสยาม ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนเทียมร่วมมิตร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร โดยมีดร.วิภารัตน์ ดีอ่องผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมคณะผู้บริหาร อว. และประชาชนร่วมงาน ซึ่งเป็นการแสดงศิลปะดนตรีจากโครงการขยายผลต่อยอดนวัตกรรมเพลงพื้นบ้านเพื่อเผยแพร่ให้เป็นมรดกชาติ ดำเนินการโดย มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นปีที่ 3 โดยนำเพลงพื้นบ้าน เพลงโบราณของภูมิภาคต่างๆ มาแสดงออกในรูปแบบของวงซิมโฟนี ออร์เคสตรา เพื่อเป็นการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการเสริมสร้างสิ่งใหม่บนรากฐานสิ่งเก่า รักษาเสถียรภาพและอัตลักษณ์ของสังคมไทยให้สืบทอดและคงอยู่ต่อไป ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันจะเห็นว่าศิลปวัฒนธรรม นับวันจะมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น มีช่วงหนึ่งที่ศิลปวัฒนธรรมไทยหาย แต่เวลานี้ก็มีความโดดเด่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย อาหารไทย นวดแผนไทย เสื้อผ้าไทย รวมถึงดนตรีไทย ซึ่ง อว. ทำเรื่องนี้ไม่ใช่ทำให้เก็บเป็นของเก่า แต่เป็นเพราะว่าเก็บของเก่ามาใส่เสน่ห์สมัยใหม่ ความทันสมัยของสมัยใหม่ และก็รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบ ศิลปะสุนทรียภาพ ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี ที่ศิลปะ สุนทรียะ และอารยธรรม หลายร้อยปี บรรดาคนที่ทำให้ศิลปิน ศิลปะ ดนตรีไทยมีลมหายใจ คือ อาจารย์สุกรี เจริญสุข อาจารย์ได้มาขอทุน จาก กระทรวง อว. ไปทำวิจัย ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ฟังได้ วิจัยที่ชมได้ วิจัยไม่ได้มีแค่กระดาษและหนังสือ หรือแค่เป็นการตีพิมพ์เท่านั้น แต่วิจัยบางอย่างของ อว. ก็กินได้ การวิจัยอาหาร ส่วนวิจัยที่จะได้รับชมรับฟังในวันนี้ เป็นวิจัยที่ฟังไพเราะเสนาะหู ทำให้คิดถึงความหลัง ทำให้คิดถึงปัจจุบัน ทำให้คิดถึงอนาคต เป็นกระแสเดียวกันได้ ขอแสดงความชื่นชม อาจารย์สุกรี เจริญสุข และคณะนักดนตรี เป็นอย่างมากที่ช่วยรังสรรค์ศิลปะวัฒนธรรมเพลงไทยให้คงอยู่ต่อไป การแสดงดนตรี “อมตะสยาม” เป็นการบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ สังคม วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ผ่านการนำกลับมาเรียบเรียงเสียงประสานขึ้นใหม่ เพื่อทำการบันทึกเสียงเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการรักษาสืบทอดบทเพลงที่สำคัญของชาติไว้ รวมถึงเพื่อใช้ในการศึกษา การค้นคว้า อ้างอิง โดยบรรเลงบทเพลงผ่านวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่งเพลงชุดอมตะสยามได้เรียบเรียงบทเพลงโดย พันเอก ดร.ประทีป สุพรรณโรจน์ ดร.ธีรนัย จิระสิริกุล ดร.ปิยะวัฒน์ หลุยลาภประเสริฐ การแสดงดนตรี “อมตะสยาม” ในครั้งนี้ ประกอบด้วยเพลง สรรเสริญถวายไชยมงคล รัชกาลที่ 5 เพลงวอลซ์ปลื้มจิตร เพลงเขมรไทรโยค เพลงสายสมร เพลงสุดใจ เพลงคลื่นกระทบฝั่ง เพลงเชิดจีน และเพลงลาวแพนออกซุ้ม ซึ่งระหว่างการบรรเลงเพลง ดร.สุชาติ วงษ์ทอง ได้สร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมประกอบบทเพลง การแสดงดนตรี ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแล้ว งานถนนสายวิทย์ฯ รับวันเด็กแห่งชาติ 2566 ภายใต้แนวคิด "KIDS SCIENCE คิดส์สร้างโลก อย่างสร้างสรรค์"
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เปิดแล้ว งานถนนสายวิทย์ฯ รับวันเด็กแห่งชาติ 2566 ภายใต้แนวคิด "KIDS SCIENCE คิดส์สร้างโลก อย่างสร้างสรรค์" เปิดแล้ว งานถนนสายวิทย์ฯ รับวันเด็กแห่งชาติ 2566 ภายใต้แนวคิด "KIDS SCIENCE คิดส์สร้างโลก อย่างสร้างสรรค์" กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ เปิดงาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566" ภายใต้แนวคิด "KIDS SCIENCE คิดส์สร้างโลก อย่างสร้างสรรค์" ดังคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบไว้ว่า "รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี" ที่จะชวนเด็กๆ สนุกไปกับสถานีแห่งการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ และความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์ผ่านนิทรรศการและกิจกรรมที่หลากหลาย ในรูปแบบ Onsite On Hands และ Online โดยมี ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงานฯ พร้อมด้วย ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และนายพงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ร่วมเปิดงานฯ ดังกล่าว ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ณ เดอะ สตรีท รัชดา กรุงเทพฯ ดร. ดนฺช ตันเทอดทิตย์ กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า "กระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ยาวชนและคนไทยมีโอกาสเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้อย่างมีสาระและสนุกสนาน งาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ" ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่มุ่งเน้นการสร้างศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม หรือ วทน. ตั้งแต่ในวัยเยาว์ ผ่านการฝึกฝนวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมแห่งความรู้ และสังคมที่มีเหตุมีผลพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการใฝ่เรียน ใฝ่รู้ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อชีวิตประจำวัน และสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปบูรณาการกับศาสตร์อื่น ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ และในปีนี้งาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566" กลับมาจัดอย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้แนวคิด "KIDS SCIENCE คิดส์สร้างโลก อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการกลับมาจัดกิจกรรมในครั้งนี้คาดว่าจะมีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 30,000 คน ทั้งนี้ กระทรวง อว. ยังกระจายความสนุกไปสู่เยาวชนในโรงเรียนอีกกว่า 100 แห่ง ที่จะได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่เราส่งตรงไปถึงเยาวชนตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศพร้อมกันอีกด้วย" ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการ อพวช. กล่าวว่า "งาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566" จัดกิจกรรมในสถานีแห่ง การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 20 สถานี กว่า 50 กิจกรรม ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ณ เดอะ สตรีท รัชดา กรุงเทพฯ โดยมีไฮไลท์กิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ กิจกรรมตะลุยโลกดาราศาสตร์ ตื่นตาตื่นใจไปกับ ท้องฟ้าจำลองขนาด 4 เมตร และสนุกกับเกมดาราศาสตร์ หลากหลายรูปแบบ และกิจกรรมวิศวกรดาวเทียมน้อย ชวนสร้างสรรค์จินตนาการไปกับการออกแบบและประกอบดาวเทียมด้วยตนเอง กิจกรรม Glow in the Dark ห้องทดลองเรื่องแสง ผสาน Art and Science ที่พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและตื่นตาตื่นใจไปกับวิทยาศาสตร์ และที่ อพวช. คลองห้า ปทุมธานี มีสถานีความสนุกกว่า 40 กิจกรรม ซึ่งมีไฮไลท์กิจกรรม ที่น่าสนใจ อาทิ กิจกรรมผจญภัยในตึกเต๋ากับพี่มาร์ตี้ ด้วย Application NSM:AR พร้อมพบนักเตะจาก สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เพื่อสานฝันสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ นอกจากนี้ อพวช. ร่วมจัดกิจกรรมให้น้อง ๆ เยาวชน และผู้ปกครองสามารถเข้าร่วมกันอีก 2 แห่ง ได้แก่ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. เชียงใหม่ ในวันที่ 14 มกราคม 2566 และจัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. โคราช ในวันที่ 14-15 มกราคม 2566 และสำหรับใครสะดวกทำกิจกรรมแบบ Online เราเตรียมกิจกรรมให้น้อง ๆ ร่วมสนุกผ่านทาง Facebook : ถนนสายวิทยาศาสตร์ ScienceAvenue" ด้าน นายพงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกูล กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา กล่าวว่า "ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ฐานะเจ้าของพื้นที่ในการสนับสนุนการจัดงานฯ ครั้งนี้ ซึ่งเราพร้อมอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และน้อง ๆ ที่มาร่วมงานอย่างเต็มที่ และรู้สึกดีใจแทนน้อง 1 เยาวชน จะได้สนุกสนานไปกับกิจกรรมวันเด็กในปีนี้อย่างสร้างสรรค์ ที่จะช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก 1 และถือเป็นการสร้างสีสันในเทศกาลวันเด็กให้กับคนเมือง รวมถึงผู้มาใช้บริการที่ศูนย์การค้าฯ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ซึ่ง ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ถือเป็นพื้นที่แห่งความสุขและสนุก ให้สำหรับทุกคนในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน" ติดตามรายละเอียดความสนุกของงานฯ ได้ที่ Facebook : ถนนสายวิทยาศาสตร์ ScienceAvenue โทรศัพท์ 02577 9960
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64690
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองลำปาง ปลุกพลังความคิด สร้างขวัญกำลังใจ “ผู้นำนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง” รุ่นที่ 4 ย้ำ การเรียนรู้และมิตรภาพ สร้างพลังแห่งความสามัคคี นำไปต่อยอดแก้ไขปัญหา “สร้
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 พ่อเมืองลำปาง ปลุกพลังความคิด สร้างขวัญกำลังใจ “ผู้นำนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง” รุ่นที่ 4 ย้ำ การเรียนรู้และมิตรภาพ สร้างพลังแห่งความสามัคคี นำไปต่อยอดแก้ไขปัญหา “สร้ พ่อเมืองลำปาง ปลุกพลังความคิด สร้างขวัญกำลังใจ “ผู้นำนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง” รุ่นที่ 4 ย้ำ การเรียนรู้และมิตรภาพ สร้างพลังแห่งความสามัคคี นำไปต่อยอดแก้ไขปัญหา “สร้างความสุขที่ยั่งยืน” ให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้ (8 ก.พ. 66) เวลา 08.00 น. ที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลำปาง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ตรวจเยี่ยมและพบปะสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร “ผู้นำนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง” ภายใต้โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 4 โดยมี นายอำเภอและภาคีเครือข่าย ได้แก่ ผู้นำภาครัฐ ผู้นำภาควิชาการ ผู้นำภาคศาสนา ผู้นำภาคประชาชน ผู้นำภาคเอกชน ผู้นำภาคประชาสังคม และผู้นำภาคสื่อสารมวลชน จากจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และจังหวัดลำพูน รวมจำนวน 130 คน ร่วมรับฟัง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้ดำเนินโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งเสริมสร้างพลังแห่งความร่วมไม้ร่วมมือของชาวมหาดไทยและภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ โดยมี “นายอำเภอ” เป็นแม่ทัพคนสำคัญในระดับพื้นที่ ในการนำทีมงานของอำเภอริเริ่ม สร้างสรรค์ พัฒนาพื้นที่อำเภอ ให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน อันเป็นความปรารถนา ความตั้งใจของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และท่านแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งห้วงเวลาของการอบรม “ผู้นำนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง” รุ่นที่ 4 นี้ มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 6 - 10 กุมภาพันธ์ 2566 รวม 5 วัน 4 คืน ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น ได้เป็นภาคีเครือข่าย เป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง เพื่อร่วมกันมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดี สร้างสรรค์พลังบวกให้กับพื้นที่ของพวกเราทุกคน เพราะตลอดระยะเวลาที่ฝึกอบรมจะมีกิจกรรมที่ทำให้ทุกคนได้ร่วมแรงแข็งขันทำด้วยกัน เช่น กิจกรรมเชิงปฏิบัติ (WORK SHOP) ระดมความคิดเห็น การพูดคุยปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน อันจะทำให้ท่านนายอำเภอ ปลัดอำเภอ และทีมผู้นำของอำเภอ มีความสนิทชิดเชื้อคุ้นเคยกันมากกว่าการที่นายอำเภอและทีมงานจะนั่งทำงานอยู่ที่อำเภออย่างแน่นอน โดยหลังจากการฝึกอบรมในครั้งนี้ ท่านนายอำเภอจะต้องนำทีมผู้นำของอำเภอทุกท่านที่ได้ฝึกอบรมด้วยกันนี้ ลงพื้นที่ไปพบปะ เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน ศึกษาประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ลงไปคลุกคลีตีโมง เคารพนบนอบพี่น้องประชาชนดั่งญาติมิตร ตามแนวทางการทำงานของชาวมหาดไทยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีได้ประทานไว้ว่า “ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ด้วยการหมั่นลงพื้นที่เข้าไปหาพี่น้องประชาชน “ข้อคิดที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ นายอำเภอต้องนำทีมภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย มาพบปะกันให้บ่อย ให้ถี่ มาร่วมระดมความคิด หารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ในลักษณะไม่เป็นทางการ เพื่อให้เกิดการสะท้อนความต้องการหรือข้อเสนอแนะ ทำให้เกิดการพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ อาทิ การน้อมนำโครงการพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” ทำให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งหากทุกคนได้ร่วมกันทำให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นมรรคผล ด้วยการเริ่มที่ตัวเรา เป็น “ผู้นำต้องทำก่อน” ก็จะสามารถเป็นแบบอย่างให้กับพี่น้องประชาชน ทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็น ทำให้เด็ก เยาวชนได้เห็น และทำตามเป็นแบบอย่าง” นายชัชวาลย์ฯ กล่าว นายชัชวาลย์ฯ เน้นย้ำตอนท้ายว่า โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน จะทำให้เกิดการสร้างกลไกการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนงานให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทำให้เกิดการ Change for Good เสริมสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน ดังนั้น ผู้เข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โครงการนี้ ล้วนเป็นบุคลากรและภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยที่มีความเสียสละ มีจิตอาสา และได้รับการคัดเลือกในเบื้องต้นแล้วจากท่านนายอำเภอ จึงขอให้ทุกคนได้มุ่งมั่นตั้งใจสั่งสมประสบการณ์ เพิ่มพูนความรู้และใช้ชีวิตร่วมกับท่านนายอำเภอ เพื่อเป็น Change Agent นำความรู้ไปพัฒนาพื้นที่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน/ชุมชนให้มีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64699
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The 1st National Conference on Children in the Digital Age: Together for Safer Internet for Children
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 The 1st National Conference on Children in the Digital Age: Together for Safer Internet for Children The 1st National Conference on Children in the Digital Age: Together for Safer Internet for Children 8 ก.พ. 2566 - ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกล่าวเปิดงานการประชุมนานาชาติเรื่องเด็กยุคดิจิทัลครั้งที่ 1 : ร่วมกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตสำหรับเด็กในประเทศไทย โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน มี UNICEF ITU และ ECPAT ร่วมจัดงาน ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ __________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ไทยเตรียมประกาศ “ปลอดกาฬโรคแอฟริกาม้า” รอประเมินจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก คาด! รู้ผลปีนี้
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 08/02/2566 ไทยเตรียมประกาศ “ปลอดกาฬโรคแอฟริกาม้า” รอประเมินจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก คาด! รู้ผลปีนี้ ไทยเตรียมประกาศ “ปลอดกาฬโรคแอฟริกาม้า” รอประเมินจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก คาด! รู้ผลปีนี้ วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์การเกิดกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness) ในปี 2563 และประเทศไทยพบการระบาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ในพื้นที่ 17 จังหวัด มีสัตว์ป่วย 610 ตัว และตาย 568 ตัวนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาล โดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายดำเนินการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ นางสาวรัชดา กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตร รายงานความคืบหน้าการขอคืนสถานภาพปลอดโรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (African Horse Sickness : AHS) ในไทย หลังจากที่ไม่มีรายงานพบกาฬโรคแอฟริกาในม้าในประเทศไทยมากว่า 2 ปีแล้ว ว่าขณะนี้ กรมปศุสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำข้อมูลเพื่อขอรับรองการปลอดโรคจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) เรียบร้อยแล้ว โดยยื่นเรื่องขอคืนสถานภาพปลอดโรค AHS เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งต้องรอให้คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ทางด้านโรคสัตว์ (Scientific committee) ของ WOAH ดำเนินการตรวจสอบเอกสาร หากผ่านการพิจารณาประเทศไทยจะได้รับสถานะลอดกาฬโรคแอฟริกาในม้าอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2566 นี้ “เมื่อไทยปลอดโรค AHS แล้ว จะส่งผลให้ไทยสามารถจัดการแข่งขันกีฬาขี่ม้าระดับนานาชาติรายการต่างๆ ได้ รวมทั้งกิจการการนำเข้า ส่งออกสัตว์กลุ่ม Equids จะสามารถดำเนินการได้ตามปกติภายใต้ข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์ รวมถึงจะทำให้สามารถเคลื่อนย้ายม้าระหว่างประเทศได้ตามปกติ อันจะส่งผลต่อการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับบุคลากรทุกภาคส่วน” นางสาวรัชดา ย้ำ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 องคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มีความก้าวหน้าในการพัฒนาโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการส่องกล้องและผ่าตัดด้วยกล้องวิดีทัศน์ของภาคอีสานตอนบน และยังเปิดศูนย์บริการการแพทย์ทางไกล องคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มีความก้าวหน้าในการพัฒนาโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการส่องกล้องและผ่าตัดด้วยกล้องวิดีทัศน์ของภาคอีสานตอนบน และยังเปิดศูนย์บริการการแพทย์ทางไกล ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติศูนย์แพทย์ชุมชนท่าบ่อ ริมโขง ให้บริการแก่ผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกล ช่วยเข้าถึงบริการที่สะดวก ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2566) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 15 ราย มอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน โดยมี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมคณะตรวจเยี่ยม นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อได้น้อมนำพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นปณิธานในการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพระบบงาน เพิ่มศักยภาพการให้บริการเพื่อการรักษาพยาบาลที่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยโรงพยาบาลมีการพัฒนาบริการรักษาพยาบาลตามService Plan ทุกสาขา โดยเฉพาะด้านศัลยกรรมทางเดินอาหารและทางเดินน้ำดี สามารถทำการผ่าตัดโรคที่ซับซ้อนยุ่งยากได้เกือบเทียบเท่าโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย และมีการนำอุปกรณ์พิเศษมาช่วยในการผ่าตัด เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า การผ่าตัดผ่านกล้องด้านทางเดินน้ำดี, ออร์โธปิดิกส์, นรีเวช เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผ่าตัด ผู้ป่วยมีความปลอดภัย แผลขนาดเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการส่องกล้องและผ่าตัดด้วยกล้องวีดีทัศน์ ของภาคอีสานตอนบนมีผู้ป่วยจากทั่วประเทศรวมทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านมารับบริการผ่าตัดด้วยกล้องเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2563 มีผู้เข้ารับบริการจำนวน 2,394 ราย ปี 2564 จำนวน 2,255 ราย และปี 2565 จำนวน 2,712 ราย ส่วนService Plan สาขาอื่นๆ ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้ อาทิ การรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน, จัดบริการคลินิกบริบาลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยระยะกลาง (IMC OPD) คู่ขนานกับแพทย์แผนจีน ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกึ่งเฉียบพลัน, คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย, ออกคัดกรองเชิงรุกและค้นหาผู้ที่เริ่มป่วยทุกกลุ่มวัย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง พัฒนาการเด็กปฐมวัย สุขภาพฟัน สุขภาพจิต มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรักษาที่รวดเร็ว ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ได้เปิดศูนย์บริการการแพทย์ทางไกล ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์แพทย์ชุมชนท่าบ่อ ริมโขง เป็น 1 ใน 5 โรงพยาบาลต้นแบบ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการ “ศูนย์บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)” โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพัฒนาการให้บริการผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกล หรือไม่สะดวกในการเข้ามารับบริการที่โรงพยาบาล ช่วยลดความแออัดและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ป่วยและญาติ ********************************************* 8 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64707
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทนการค้าไทย ผนึกกำลังบีโอไอ ดึงยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ชูจุดเด่น พลังงานหมุนเวียน – EV – ดิจิทัล - อิเล็กทรอนิกส์
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้แทนการค้าไทย ผนึกกำลังบีโอไอ ดึงยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ชูจุดเด่น พลังงานหมุนเวียน – EV – ดิจิทัล - อิเล็กทรอนิกส์ บีโอไอเผยความสำเร็จโรดโชว์ใหญ่ครั้งแรกของปี 2566 ระหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2566 โดยผนึกกำลังผู้แทนการค้าไทย - ผู้แทนหน่วยงานไทย บุกดึงการลงทุนบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ผู้แทนการค้าไทย ผนึกกำลังบีโอไอ ดึงยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ชูจุดเด่น พลังงานหมุนเวียน – EV – ดิจิทัล - อิเล็กทรอนิกส์ บีโอไอเผยความสำเร็จโรดโชว์ใหญ่ครั้งแรกของปี 2566 ระหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2566 โดยผนึกกำลังผู้แทนการค้าไทย - ผู้แทนหน่วยงานไทย บุกดึงการลงทุนบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา สร้างความเชื่อมั่นและตอกย้ำมาตรการสนับสนุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์ ตามยุทธศาสตร์ใหม่ที่ได้ประกาศไป โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดี บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ ลั่นพร้อมเดินหน้าลงทุนในประเทศไทย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยภายหลังการเดินสายโรดโชว์ครั้งแรกของปี 2566 ณ นครซีแอตเติล และนครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2566 นำโดย หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ซึ่งคณะประกอบด้วย เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ผู้แทนจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยได้เข้าพบหารือกับผู้บริหารของบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริษัท Amazon Web Services (AWS) ที่ได้ประกาศลงทุนในประเทศไทยด้วยเงินลงทุนกว่า 1.9 แสนล้านบาท บริษัท Googleที่ประกาศจัดตั้ง Google Cloud Region ในประเทศไทย บริษัท Microsoft ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลกที่ทำธุรกิจในไทยมายาวนาน บริษัท Western Digital ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอยู่ในประเทศไทย และบริษัท Analog Devices ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และ IC อันดับต้นของโลก ซึ่งได้ลงทุนและขยายฐานการประกอบและทดสอบเซมิคอนดัคเตอร์ในไทยอย่างต่อเนื่อง ในการหารือกับสหรัฐฯ ผู้แทนการค้าไทยได้นำเสนอทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 50การกำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติในการลดการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งการส่งเสริมเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) อีกทั้งยังได้ชูนโยบายมุ่งเป้าใน 3 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่ออกมาตรการสนับสนุนแบบครบวงจร โดยเฉพาะการให้เงินอุดหนุนการซื้อรถยนต์ EV เพื่อสร้างตลาดในประเทศ และจะก่อให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องตามมา โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ สำหรับ EV 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ เช่น การผลิตเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ การวิจัยและพัฒนา นอกเหนือจากการประกอบและทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยมีบริษัทรายใหญ่ตั้งฐานการผลิตอยู่แล้ว 3. อุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ บริการคลาวด์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ คณะผู้แทนประเทศไทยยังได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกผ่าน Long Term Resident (LTR) Visa อีกทั้งบริษัทได้สอบถามและหารือในประเด็นอื่น ๆ เช่น กลไกการจัดหาพลังงานหมุนเวียนสำหรับภาคอุตสาหกรรม แนวทางการลดผลกระทบจากข้อกำหนด Global Minimum Tax การพัฒนาบุคลากรและระบบนิเวศเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีกับประเทศต่าง ๆ “จากการที่บีโอไอได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ โดยมุ่งเน้นการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ BCG ยานยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โรดโชว์ครั้งแรกของปีนี้ จึงได้เจาะไปที่สหรัฐอเมริกาเนื่องจากเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ โดยทีมประเทศไทยได้ชูจุดเด่นทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ซัพพลายเชนครบวงจร รวมทั้งความสามารถในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทชั้นนำ นอกจากนี้ บีโอไอยังมีมาตรการใหม่ ๆ หลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนสหรัฐฯ เช่น มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร มาตรการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร และมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งได้ยืนยันขยายฐานธุรกิจในไทยระยะยาว” นายนฤตม์ กล่าว ทั้งนี้ ในปี 2565 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 33 โครงการ เงินลงทุนรวม 50,296 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64687