title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมเตรียมการท่าทีฝ่ายไทยเพื่อใช้สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมเตรียมการท่าทีฝ่ายไทยเพื่อใช้สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมเตรียมการท่าทีฝ่ายไทยเพื่อใช้สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด## วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมเตรียมการท่าทีฝ่ายไทยเพื่อใช้สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (Updates on the Expert Group Workshop on Drafting Strategic Programme of the International Tripatite Rubber Council (ITRC) / the International Rubber Consortium (IRCo)) โดยมี นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย, นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง, นางสาวนภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมยาง การยางแห่งประเทศไทย, นายพิษณุ หริกจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย และคณะผู้แทนการยางแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องยางทอง 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การประชุมดังกล่าว สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบกำหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (Updates on the Expert Group Workshop on Drafting Strategic Programme of the International Tripatite Rubber Council (ITRC) / the International Rubber Consortium (IRCo)) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรม Impiana Hotel KLCC ประเทศมาเลเซีย 2. ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดทำข้อมูลท่าทีฝ่ายไทยโดยเห็นควรให้ IRCo นำเสนอข้อมูลวัตถุประสงค์และผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัท IRCo เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประกอบการจัดทำร่างโครงการเชิงกลยุทธ์ของ IRCo ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ท่าเรือแหลมฉบังระยะ3 คาดเปิดบริการปี68 พร้อมเป็นศูนย์กลางระดับเอเซีย รองรับเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 ​ท่าเรือแหลมฉบังระยะ3 คาดเปิดบริการปี68 พร้อมเป็นศูนย์กลางระดับเอเซีย รองรับเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ​ท่าเรือแหลมฉบังระยะ3 คาดเปิดบริการปี68 พร้อมเป็นศูนย์กลางระดับเอเซีย รองรับเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเต็มรูปแบบ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่3 ท่าเทียบเรือ F ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญตามแผนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ดำเนินการโดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบัง รองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถขยายความจุท่าเรือตู้สินค้าจาก 11 ล้านตู้ต่อปี เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี (ทั้งระยะที่ 3) โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ 3,600 ไร่ มีมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการ 1.09 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชน 6.08 หมื่นล้านบาทและภาครัฐ 4.3 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยสองท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือ F1 และ F2 สำหรับท่าเรือ F1 ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างทางทะเลแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างงานสาธารณูปโภคและถ้าเทียบเรือ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 ขณะที่ท่าเรือ F2 จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือภายในปี 2570 ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐานในท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 นี้ ได้เพิ่มขนาดและความลึกของแอ่งจอดเรือ มีความยาวหน้าท่า 2 กิโลเมตร ความลึก 18.5 เมตร ซึ่งจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้ารุ่นใหม่ๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงมีระยะกินน้ำลึกเพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม นางสาวรัชดา กล่าวถึงการวางระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายการขนส่งสินค้าภายในประเทศ ด้วยว่า จะมีการสร้างรางรถไฟเข้าไปถึงหลังท่าเทียบเรือ ซึ่งจะทำให้การขนส่งตู้สินค้าทางรางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง จะมีการใช้เทคโนโลยีท่าเรือสมัยใหม่จำนวนมาก อาทิ ระบบยกและขนถ่ายตู้สินค้าอัตโนมัติในลานกองตู้สินค้า ยานพาหนะแบบไร้คนขับ (Automated Guided Vehicle: AGV) ระบบ OCR เพื่อสแกนข้อมูลบนตู้สินค้าโดยอัตโนมัติ ลดความผิดพลาดในการนำส่งข้อมูล “โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F จะเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ มีศักยภาพเป็นศูนย์กลางอีกแห่งของภูมิภาคเอเชีย สามารถรองรับเรือขนาดบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เรียกว่าเรือแม่ได้ และจะมีการบริหารจัดการสินค้าด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ใช้แคร่และหุ่นยนต์ดำเนินงาน ปัจจุบันมีประมาณ 20 ท่าเรือทั่วโลก ที่ใช้ระบบนี้” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการ ๓๒ หน่วยงาน จัดใหญ่งานประเพณีสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” เน้นเผยแพร่คุณค่าอัตลักษณ์สงกรานต์ไทย สู่มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 วธ.บูรณาการ ๓๒ หน่วยงาน จัดใหญ่งานประเพณีสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” เน้นเผยแพร่คุณค่าอัตลักษณ์สงกรานต์ไทย สู่มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ วธ.บูรณาการ ๓๒ หน่วยงาน จัดใหญ่งานประเพณีสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” เน้นเผยแพร่คุณค่าอัตลักษณ์สงกรานต์ไทย สู่มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ วธ.บูรณาการ ๓๒ หน่วยงาน จัดใหญ่งานประเพณีสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” เน้นเผยแพร่คุณค่าอัตลักษณ์สงกรานต์ไทย สู่มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๖ ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบูรณาการเพื่อกำหนดแนวทางการจัดงานสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ว่า เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักในคุณค่า สาระ ความสำคัญของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกันอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ตามแบบแผนอันดีงามของไทย ที่แสดงออกถึงความกตัญญู ความรัก ความสามัคคี มุ่งหมายให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์ การเสนอประเพณี “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง เน้นประเพณีอันงดงาม ที่มีการปฏิบัติกันทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังเป็นการต่อยอดสร้างสรรค์ทุนทางวัฒนธรรม Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศ ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมรองรับการเปิดประเทศในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ให้จัดกิจกรรมสงกรานต์ได้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความสุข สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รมว.วธ. เปิดเผยต่อว่า เพื่อให้กิจกรรมประเพณีสงกรานต์ในภาพรวมของประเทศเป็นไปด้วยความดีงาม และเหมาะสม รวมถึงป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาล วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้การประชุมคณะกรรมการบูรณาการเพื่อกำหนดแนวทางการจัดงานสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓๒ หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการตำรวจจราจร กรมการ ขนส่งทางบก กรมการท่องเที่ยว กรมทรัพยากรน้ำ กรมประชาสัมพันธ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริม การปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมสารนิเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ การประปานครหลวง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปทุมธานี สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเมาไม่ขับ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปแนวทางในการจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” ครอบคลุมคุณค่าสาระของวัฒนธรรม ประเพณี เผยแพร่อัตลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นการท่องเที่ยว รักษาสุขอนามัย ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย ๙ แนวทางสำคัญ ดังนี้ ๑. ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ มุ่งเน้นสืบสานคุณค่าสาระของประเพณีอันดีงาม พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่การรับรู้ของชาวต่างชาติ ๒. ส่งเสริมให้จังหวัดต่าง ๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในเทศกาลสงกรานต์ ร่วมกันสืบสานประเพณีที่ดีงาม เหมาะสม ๓. รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณีสงกรานต์ เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน วัด ศาสนสถานที่นับถือ สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระพุทธรูป ขอพรผู้สูงอายุ ๔. รณรงค์ให้แต่งกายที่สร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทย เช่น ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ชุดไทยย้อนยุค หรือชุดสุภาพ เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยต่อชาวต่างชาติ ๕. การขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนศิลปินพื้นบ้านในการจัดกิจกรรม การละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ตามแนวทางมาตรการเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๖ เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และให้เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันสืบสานประเพณี โดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม และร่วมกันเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ๖. หน่วยงานด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และด้านบริการประชาชน ให้รักษามาตรการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่สร้างความสุข ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน ๗. ขอความร่วมมือประชาชนที่ใช้ยานพาหนะและใช้ถนนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงช่วยสอดส่อง หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ในกรณีพบเห็นผู้ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ๘. การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ๖๐๘ (กลุ่มเสี่ยง) ให้รักษามาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 และโรคทางเดินหายใจ ควรมีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้เข้าร่วมงาน ๙. ส่งเสริมภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีสงกรานต์ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และนานาชาติ ในโอกาสที่สงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมฯ ที่เข้าสู่การพิจารณาของยูเนสโก ในส่วนการเสนอ"สงกรานต์ในประเทศไทย”เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า องค์การยูเนสโก ได้รับรายการสงกรานต์ของประเทศไทยเข้าสู่วาระการพิจารณาขึ้นทะเบียนในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๖ นี้แล้ว เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์วาระดังกล่าวให้สาธารณะได้รับรู้และมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จึงเตรียมจัดประชุมเสวนาเพื่อจัดทำองค์ความรู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๖ นี้ เป็นกรณีศึกษา ใน ๕ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น สมุทรปราการ และนครศรีธรรมราช เป็นการรองรับการเสนอสงกรานต์ในประเทศไทย ในโอกาสดังกล่าวด้วย อธิบดีสวธ.ยังเปิดเผยอีกว่า ในส่วนกิจกรรมสงกรานต์ ที่จะจัดในปีนี้ ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้เตรียมจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่คุณค่าสาระ ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมสืบสานความงดงามของประเพณีสงกรานต์ อาทิ งานรดน้ำขอพรศิลปินแห่งชาติ ในวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ ในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร กิจกรรมประกอบด้วย การสรงน้ำขอพรพระพุทธรูปสำคัญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด สรงน้ำพระสงฆ์ รดน้ำขอพรผู้อาวุโส ทำบุญทำทานเสริมสิริมงคลให้ชีวิตรับปีใหม่ไทย ในส่วนของต่างจังหวัด เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จัดงานแบบย้อนยุคสงกรานต์วิถีล้านนา “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่” ๑๒-๑๖ เม.ย. ๖๖ จังหวัดชลบุรี จัดงานวันไหลบางแสน๑๖-๒๑ เม.ย. ๖๖ จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดงานเทศกาลมหาสงกรานต์ แห่นางดาน เมืองนคร (วิถีพุทธ-พราหมณ์) ๑๓-๑๕ เม.ย. ๖๖ และ จังหวัดสมุทรปราการ จัดประเพณีสงกรานต์พระประแดง ระหว่าง ๒๑-๒๓ เม.ย. ๖๖ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64804
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” หนุนวิสาหกิจชุมชน ยกระดับการปลูกและผลิตกัญชาสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพโลก
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 “อนุทิน” หนุนวิสาหกิจชุมชน ยกระดับการปลูกและผลิตกัญชาสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพโลก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดสัมมนาวิชาการ ยกระดับการเพาะปลูกกัญชาในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดกาญจนบุรี มู่งสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมทางการแพทย์ระดับโลก สนับสนุนสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดสัมมนาวิชาการ ยกระดับการเพาะปลูกกัญชาในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดกาญจนบุรี มู่งสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมทางการแพทย์ระดับโลก สนับสนุนสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกร ตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว รวมถึงเกณฑ์ประเมินและมาตรฐานการส่งออก เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ นำไปผลิตยาได้มาตรฐานและปลอดภัย สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ คาดปี 2566 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยจะสามารถสร้างมูลค่าได้ไม่น้อยกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ วิสาหกิจชุมชนนิคมสมุนไพรสัมพันธ์ตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการ ยกระดับการเพาะปลูกกัญชาทางการแพทย์สู่มาตรฐานสากล และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายกัญชาทางการแพทย์สู่เศรษฐกิจสุขภาพ” พร้อมเปิดป้ายวิสาหกิจชุมชนนิคมสมุนไพรสัมพันธ์ตะวันตก และศูนย์นวัตกรรมกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งประเทศไทย โดยมี ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้กัญชาทางการแพทย์ทั่วโลกเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และมีความต้องการอย่างกว้างขวาง ทำให้ตลาดกัญชาที่ถูกกฎหมายมีขนาดใหญ่ถึง 17.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 5 แสนล้านบาทและยังคงครองอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 17 โดยกัญชาในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพมีสัดส่วนรายได้สูงถึงร้อยละ 70 ของมูลค่าทั้งหมด รัฐบาลได้มีนโยบายให้มีการนำพืชกัญชา กัญชง มาใช้ประโยชน์ในการรักษาและสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ทั้งระดับครัวเรือน ชุมชน และประเทศ เกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดำเนินการ นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระบวนการเพาะปลูกถือเป็นต้นน้ำที่สำคัญ ต้องดำเนินการให้ได้มาตรฐานตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าด้วยการปฏิบัติทางการเกษตรและการเก็บรวบรวมที่ดีสำหรับพืชสมุนไพร “WHO guidelines on good agricultural and collection practices : GACP” เพื่อให้ได้วัตถุดิบกัญชาทางการแพทย์สำหรับผลิตยาที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพประชาชน กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชน และองค์กรภาคีเครือข่าย จัดงานสัมมาวิชาการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเกษตรกร ตั้งแต่การปลูกการเก็บเกี่ยว เกณฑ์ประเมินและมาตรฐานการส่งออก เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและพัฒนากัญชาทางการแพทย์สู่มาตรฐานสากล สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าในปี 2566 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจะสามารถสร้างมูลค่าได้ไม่น้อยกว่า 48,298 ล้านบาท “ประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่หลากหลายและมีคุณภาพดี ขอให้นำประโยชน์จากสมุนไพรไทยมาใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพประชาชน และสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ตามนโยบายHealth for Wealth สำหรับพืชกัญชายังถือเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ควรรักษาไว้ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอกัญชาไทยขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย และจะมีการเสนอต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายในปีนี้” นายอนุทินกล่าว ******************************************* 10 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ สั่งการกรมโรงงานฯ เฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 จากโรงงานพบเกินค่า สั่งหยุดและดำเนินคดีทันที
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 สุริยะ สั่งการกรมโรงงานฯ เฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 จากโรงงานพบเกินค่า สั่งหยุดและดำเนินคดีทันที นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดในปริมณฑล 5 จังหวัด เร่งดำเนินการมาตรการป้องกันและกำกับการตรวจฝุ่น PM2.5 จากการประกอบกิจการอย่างต่อเนื่อง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และอุตสาหกรรมจังหวัดในปริมณฑล 5 จังหวัด เร่งดำเนินการมาตรการป้องกันและกำกับการตรวจฝุ่น PM2.5 จากการประกอบกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ 3 มาตรการ คือ 1. มาตรการเร่งด่วน เข้มงวด กรณีตรวจพบโรงงานปล่อยเกินมาตรฐาน ให้ออกคำสั่งหยุดปรับปรุงแก้ไข และส่งดำเนินคดีทันที 2. มาตรการระยะกลาง พัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษทางอากาศระยะไกล (Pollution Online Monitoring System: POMS) และ 3. มาตรการระยะยาว ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล หลังดำเนินการตรวจเชิงรุกด้านฝุ่นละอองโรงงานที่มีกระบวนการเผาไหม้ โรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โรงงานที่มีการใช้หม้อน้ำ โรงงานหลอมเหล็กหรือโลหะ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ และโรงงานผลิตแอสฟัลติก ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 896 โรงงาน ผลจากการตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบพื้นที่เขตประกอบการ และชุมชนอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565 พบว่าค่า PM2.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คือ ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในปีนี้โรงงานมีความตื่นตัวเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำกับการประกอบกิจการของตนเองให้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบัน กรอ. มีมาตรการในการควบคุมฝุ่นละอองที่ระบายจากการประกอบกิจการโรงงาน โดยออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดให้โรงงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ โรงงานที่มีกระบวนการที่มีการเผาไหม้ เช่น เตาเผา หม้อน้ำ เตาอบ และเตาหลอม เป็นต้น ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) ซึ่งข้อมูลจากการตรวจวัดนี้จะถูกส่งมาแสดงผลผ่านระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษระยะไกล (Pollution Online Monitoring System: POMS) บนเว็บไซต์ของ กรอ. และบนมือถือ ผ่าน Application POMS เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามผลการควบคุมการระบายมลพิษอากาศของโรงงานได้ตลอดเวลา อีกทั้งได้นำรถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ตรวจเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในบรรยากาศ โดยการเลือกจุดที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่น เช่น นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม เขตประกอบการ เป็นต้น และขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงงาน ให้ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักร ตรวจสอบระบบบำบัดมลพิษอากาศให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี วางแผนกำลังการผลิต และควบคุมการระบายมลพิษอากาศจากการประกอบกิจการอย่างเข้มงวดเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 – กุมภาพันธ์ 2566 เพราะเป็นช่วงที่อากาศอาจไม่ไหลเวียนตามปกติ ทำให้ค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง นอกจากนี้ กรอ. ยังได้จัดทำสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแนะนำการปรับแต่งการเผาไหม้ของหม้อน้ำ รวมถึงข้อแนะนำในการลดฝุ่นละอองจากการใช้หม้อน้ำ เพื่อผู้ประกอบการสามารถดูแลเครื่องจักรได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น “กรอ. ได้ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษอากาศของโรงไฟฟ้าให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับการกำกับดูแลการปล่อยฝุ่นละอองให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี สภาพสังคม และมาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไปที่มีการปรับปรุงใหม่ ที่กำหนดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่สำคัญที่สุด เพื่อเป็นการคุ้มครองคุณภาพชีวิตของประชาชน” นายจุลพงษ์ กล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ตรวจเยี่ยมสวนสาธารณะเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ชื่นชมเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะและการบริหารจัดการน้ำเสีย
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 ปลัดมหาดไทย ตรวจเยี่ยมสวนสาธารณะเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ชื่นชมเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะและการบริหารจัดการน้ำเสีย ปลัดกระทรวงมหาดไทยตรวจเยี่ยมสวนสาธารณะเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ชื่นชมเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะและการบริหารจัดการน้ำเสียให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน วันที่ (10 ก.พ. 66) เวลา 15.30 น. ที่สวนสาธารณะเทศบาลตำบลสันทรายหลวง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมการพัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะและลำคลองสาธารณะให้มีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจวัตรประจำวันของประชาชน พร้อมด้วย นายอาทร พิมชะนก ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน โดยมี นายศิวะ ธมิกานนท์ นายอำเภอสันทราย นายนที ดำรงค์ นายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง คณะผู้บริหาร พนักงานเทศบาล และเจ้าหน้าที่ เทศบาลตำบลสันทรายหลวง ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมชมการประดับดอกไม้และตกแต่งสถานที่สวนสาธารณะเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ภายใต้แนวคิด "ดอกไม้งามบันไดสวรรค์@สันทราย" โดยเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้เดินเยี่ยมชมสภาพแวดล้อมภายในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งลำน้ำโจ้ที่ไหลผ่านบริเวณสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นลำน้ำที่เกิดจากความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ในการบำบัดน้ำเสีย ทำให้มีคุณภาพน้ำที่ดี และส่งผลให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เทศบาลตำบลสันทรายหลวง เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบการบริหารจัดการบริการสาธารณะในด้านพัฒนาและปรับปรุงทางกายภาพของพื้นที่ ทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริหารจัดการน้ำ ทั้ง 3 ด้าน คือ 1) การระบายน้ำในสถานการณ์อุทกภัย 2) การกักเก็บน้ำในยามหน้าแล้ง และ 3) การบำบัดน้ำเสียไม่ให้ไหลลงสู่ลำน้ำสาธารณะโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทางจากครัวเรือน ยังประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนมีพื้นที่สาธารณะที่มีสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ และมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ เทศบาลตำบลสันทรายหลวง สามารถบูรณาการร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และทุกภาคส่วน ในการพัฒนาลำน้ำสาธารณะ "ทำหลังบ้านเป็นหน้าบ้าน" ได้อย่างสะอาด สวยงาม เป็นแบบอย่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน กระทั่งได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่น และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลงานดีเด่นด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2564 นายนที ดำรงค์ นายกเทศมนตรีตำบลสันทรายหลวง กล่าวว่าเทศบาลตำบลสันทรายหลวง ได้ดำเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ ได้ดำเนินการขอคืนพื้นที่ริมลำเหมืองโจ้ และดำเนินการขอคืนพื้นที่ตามหลักการ หลวงไม่รุกที่ราษฎร์ ราษฎร์ไม่รุกที่หลวง ตลอดลำน้ำ และพัฒนาลำน้ำ โดยการสร้างพนังกันดินและปกป้องแนวเขต พร้อมเร่งพัฒนา ปรับปรุงภูมิทัศน์ ลำน้ำโจ้ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม เพิ่มพื้นที่สีเขียวตามวิสัยทัศน์ "สันทรายสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี ประชาชนมีส่วนร่วม" โดยได้เปิดสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ในการออกกำลังกาย การแข่งขันกีฬาสากลและกีฬาพื้นบ้าน ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนันทนาการสำหรับให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้พักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมร่วมกัน ประกอบด้วย ลานสำหรับเดินหรือวิ่ง สวนสุขภาพพร้อมเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง ลานกิจกรรมอเนกประสงค์ ทางเดิน ลานพักผ่อน ศาลาพักผ่อน สระน้ำพร้อมสวนหย่อม สำหรับให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้พักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนสามารถใช้ในการจัดกิจกรรมสาธารณะต่างๆ เสริมสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนและนักท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มทางเลือกในการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยว พัฒนาและยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวของอำเภอสันทราย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเพราะมีต้นไม้จำนวนมากเปรียบเสมือนปอดและเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ให้กับคนในชุมชนเป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64812
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์จัดประกวดออกแบบโลโก้ พร้อมสโลแกน ฉลองครบรอบ 20 ปี ชิงเงินรางวัลรวม 50,000 บาท
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 ไอแบงก์จัดประกวดออกแบบโลโก้ พร้อมสโลแกน ฉลองครบรอบ 20 ปี ชิงเงินรางวัลรวม 50,000 บาท ไอแบงก์เชิญชวนนักออกแบบร่วมประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์และคำขวัญ (Slogan) ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ชิงเงินรางวัลรวม 50,000 บาท สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เชิญชวนนักออกแบบร่วมประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์และคำขวัญ (Slogan) ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ชิงเงินรางวัลรวม 50,000 บาท สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 การประกวดครั้งนี้เปิดโอกาสให้กับประชาชนทั่วไป ไม่จำกัดอายุและสาขาอาชีพ เป็นการเปิดกว้างให้กับผู้ที่สนใจและรักในการออกแบบได้มีส่วนร่วมในการร่วมกันสร้างสรรค์ โดยมีเงินรางวัลในการประกวดรวมทั้งสิ้น 50,000 บาท ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ 25,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 15,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 10,000 บาท โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมประกวดมีดังนี้ ผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวด สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ 1 คน สูงสุด 3 ผลงาน ผลงานที่ส่งเข้าประกวดจะมีเพียง 1 ผลงานเท่านั้น ที่ได้รับรางวัลในการประกวดครั้งนี้ 2. ผลงานการออกแบบตราสัญลักษณ์และคำขวัญ (Slogan) ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย สะท้อนถึงการเป็นธนาคารอิสลาม ที่เติบโตเคียงข้างประชาชนคนไทยมา 20 ปี และพร้อมก้าวสู่การพัฒนาทางเทคโนโลยี เป็นธนาคารที่มีคุณธรรม สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย สนองตอบตรงทุกความต้องการของลูกค้าทุกศาสนาและทุกช่วงวัย โดยการออกแบบต้องสื่อถึงความหมายที่ชัดเจน แสดงถึงอัตลักษณ์ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี เป็นสื่อกลางที่ทันสมัยมีความน่าเชื่อถือ สร้างการเข้าถึงและจดจำง่าย โดยการออกแบบตราสัญลักษณ์ไม่จำกัดรูปแบบ ตัวอักษร ใช้ตัวเลขอาบิก 20 และใช้โทนสีของธนาคารประกอบการออกแบบ สร้างสรรค์ด้วยโปรแกรมกราฟฟิกจากคอมพิวเตอร์ 3. ต้องเป็นผลงานที่ผู้ส่งเข้าประกวดออกแบบขึ้นมาใหม่ มิได้ทำซ้ำ คัดลอก เลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดในแบบตราสัญลักษณ์ ของผู้อื่นมานำเสนอเป็นผลงานของตน อันเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ตลอดจนต้องเป็นผลงานที่ไม่เคยส่งเข้าประกวด หรือได้รับรางวัลจากหน่วยงานใดมาก่อน และฟอนต์ที่ใช้จะต้องถูกลิขสิทธิ์ 4. ผู้ส่งผลงานจะต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือการที่เนื้อหาข้อเท็จจริงในผลงานที่ส่งเข้าประกวด มีลักษณะละเมิดกฎหมาย หากมีข้อพิพาททางกฎหมาย ไม่ว่าในกรณีใด ถือเป็นการรับผิดชอบของผู้ส่งผลงาน 5. ผลงานที่ได้รับรางวัล ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยธนาคารสามารถนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในทุกสื่อของธนาคาร และสามารถปรับปรุงผลงานต่อเพื่อประโยชน์ในการใช้งานจริงได้ 6. คณะกรรมการตัดสินผลงานการประกวด ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกธนาคาร โดยผลการตัดสินของคณะกรรมการฯ ถือเป็นที่สิ้นสุด จะอุทธรณ์มิได้ และหากพบหลักฐานในภายหลังว่า ผลงานที่ได้รับรางวัลขาดคุณสมบัติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คณะกรรมการฯ จะพิจารณาเพิกถอนผลการตัดสินและเรียกคืนรางวัลที่รับไปแล้วทั้งหมด 7. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 8. เงื่อนไขอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อกำหนดข้างต้นให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ การส่งผลงาน 1. ดาวน์โหลดใบสมัครผ่านทาง www.ibank.co.th พร้อมนำเสนอแนวคิดของผลงานที่ส่งเข้าประกวด โดยกรอกรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน 2. ส่งผลงานภาพสีและขาว-ดำ เป็นไฟล์ดิจิทัล ต้นฉบับของโปรแกรมในรูปแบบนามสกุล .AI หรือในรูปแบบนามสกุลอื่นๆ และไฟล์ภาพในรูปแบบนามสกุล .JPG ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 DPI พร้อมระบุ code สี โหมด CMYK (ไฟล์ที่ส่งมาต้องสามารถแก้ไขได้) ขนาด 1 หน้า กระดาษ A4 3. ส่งใบสมัครพร้อมผลงานเข้าประกวดได้ทางEmail: [emailprotected] ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ผู้ที่สนใจสามารถสามารถติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call Center 1302 หรือ แชททาง Messenger : Islamic Bank of Thailan
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิด “รพ.สต.บ้านตลาดเขตแห่งใหม่” อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 “อนุทิน” เปิด “รพ.สต.บ้านตลาดเขตแห่งใหม่” อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลาดเขต อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี สร้างขึ้นใหม่จากความร่วมมือของคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านตลาดเขตกับภาคประชาชน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลาดเขต อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี สร้างขึ้นใหม่จากความร่วมมือของคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านตลาดเขตกับภาคประชาชน โดยบริจาคที่ดิน ทุนทรัพย์ และจัดหาครุภัณฑ์สํานักงาน ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมกว่า 15 ล้านบาท ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้าน ที่มีคุณภาพและสะดวก รวดเร็ว วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลาดเขต อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลาดเขต พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้บริจาค 12 ราย โดยมีนายศักรินทร์ ทุมเสน รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาล อสม.จังหวัดกาญจนบุรี ร่วมงานกว่า 1,500 คน นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านตลาดเขต ได้ให้บริการประชาชนมากกว่า 4,000 คน ทำให้มีปัญหาเรื่องพื้นที่คับแคบ ผู้รับบริการเกิดความแออัด รวมถึงในช่วงฤดูฝนยังมีปัญหาน้ำท่วมขังทุกปี คณะกรรมการพัฒนา รพ.สต.บ้านตลาดเขต จึงเห็นควรจัดสร้างอาคารแห่งใหม่ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดิน และคณะกรรมการร่วมกันจัดหางบประมาณในการก่อสร้าง ครุภัณฑ์สำนักงานและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการให้บริการประชาชน เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 15,802,932 บาท “ขอชื่นชมผู้บริหารและบุคลากรของรพ.สต.บ้านตลาดเขต ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการสุขภาพให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะคณะกรรมการพัฒนา รพ.สต.บ้านตลาดเขต และประชาชนอําเภอพนมทวน ที่รวมใจบริจาคที่ดินและทุนทรัพย์ในการก่อสร้างอาคารจนแล้วเสร็จ รวมทั้งยังจัดหาครุภัณฑ์สํานักงาน และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย มาใช้ในการให้บริการ ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” นายอนุทินกล่าว สำหรับรพ.สต.บ้านตลาดเขต แห่งใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ 54 ตารางวา เป็นอาคาร 1 ชั้น ประกอบด้วย ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน (ER) ห้องเวชระเบียน ห้องจ่ายยา คลังยา ห้องตรวจพัฒนาการเด็ก ห้องนวดแผนไทย และห้องตรวจโรคทั่วไป 2 ห้อง มีโรงพยาบาลพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจมาก จากการได้รับบริการที่มีคุณภาพ และสะดวก รวดเร็ว ********************************************* 10 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เร่งขับเคลื่อนโครงการเพื่อเพิ่มสัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง พร้อมรองรับความต้องการของภาคเอกชน
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 กรมการขนส่งทางราง เร่งขับเคลื่อนโครงการเพื่อเพิ่มสัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง พร้อมรองรับความต้องการของภาคเอกชน ..... วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าทางราง ครั้งที่ 1/2566 พร้อมด้วยนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีฯ และผู้บริหารจากกรมการขนส่งทางราง ร่วมด้วยผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วม การประชุมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องประชุมมนังคศิลา กรมการขนส่งทางราง และผ่านช่องทางออนไลน์ นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์กล่าวในที่ประชุมว่า กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเป้าหมายการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้น ได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าทางรางขึ้น เพื่อร่วมกันจัดทำแผนและขับเคลื่อนแผนไปสู่ทางปฏิบัติ ในการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยที่ประชุมได้เสนอ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าทางราง ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) โดยมีกรอบการจัดทำแผนทั้งหมด 4 พันธกิจ ประกอบด้วย พันธกิจที่ 1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development) พันธกิจที่ 2 การบริหารจัดการ (Management) พันธกิจที่ 3 การบริหารจัดการความต้องการ (Demand Management) พันธกิจที่ 4 การสนับสนุนกฎข้อบังคับ (Supportive Regulations) รวม 96 โครงการ/กิจกรรม วงเงินรวม 506,459.20 ล้านบาท โดยภาคเอกชนเสนอว่าในภาคกลางบริเวณแม่น้ำป่าสัก อำเภอนครหลวง จังหวัดอยุธยา มีการขนส่งสินค้าเกษตรมาจากภาคอีสานและภาคเหนือเป็นจำนวนมาก แต่เส้นทางรถไฟมาถึงแค่สถานีบ้านภาชี ทำให้เป็น Missing Link ประมาณ 17 กิโลเมตร ที่ควรต่อขยายเส้นทางรถไฟมาให้ถึงบริเวณนี้เพื่อให้สามารถขนสินค้า จากภาคเหนือและอีสานทางรางให้มาเชื่อมต่อกับทางลำน้ำป่าสัก - เจ้าพระยา และออกสู่ทะเล รวมทั้งในทางกลับกันด้วย และให้ภาครัฐเร่งจัดหาหัวรถจักร ให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคเอกชนที่มีความต้องการขนส่งสินค้าทางรางจำนวนมาก โดยประธานการประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานกลับไปพิจารณาและเสนอความเห็นกลับมายัง ขร. ภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อจัดทำแผนให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒน์ ลุยปั้นแรงงานนวด-สปา ป้อนผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการอันดามัน
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 กรมพัฒน์ ลุยปั้นแรงงานนวด-สปา ป้อนผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการอันดามัน กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งฝึกอบรมพัฒนาทักษะพนักงานนวด-สปา ป้อนธุรกิจโรงแรมที่พัก จัดโต๊ะถกผู้ประกอบการ-สมาคมในเครือฝั่งอันดามัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64790
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ชวนคนไปทำงานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน Smart TOEA
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 รมว.เฮ้ง ชวนคนไปทำงานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน Smart TOEA กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน แนะนำคนไปทำงานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุน ฯ ก่อนเดินทาง หากประสบเหตุไม่คาดคิดระหว่างอยู่ในต่างประเทศ มีกองทุนช่วยดูแล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานอยากให้คนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศเห็นถึงความสำคัญของกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เพราะหากเป็นสมาชิกกองทุนฯ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ จะได้รับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนด อาทิ กรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด กรณีประสบอันตรายก่อนไปทำงานหรือขณะทำงานในต่างประเทศ กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย กรณีประสบอันตรายจนพิการ กรณีถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม และกรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ โดยผู้มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้แก่ คนหางานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง คนหางานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง และคนหางานที่แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง “ผมรู้สึกห่วงใยทุกครั้งที่ทราบว่าคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ ประสบอันตราย หากประเทศนั้นมีทูตแรงงานประจำอยู่ ผมจะกำชับเสมอให้ดูแลช่วยเหลือคนไทยอย่างสุดความสามารถ ในส่วนกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ อยากให้คนไทยให้ความสำคัญและสมัครเป็นสมาชิก เพราะมีค่าสมัครเพียง 300, 400 และ 500 บาท ตามแต่ประเทศที่เดินทางไปทำงาน กรณีประเทศตุรกี ถือเป็นการประสบภัยธรรมชาติ และเสียชีวิตในต่างประเทศ หากเป็นสมาชิกกองทุน จะได้รับการสงเคราะห์ 40,000 บาท” รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศและประสงค์สมัครสมาชิกกองทุนฯสามารถสมัครผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (Overseas Employment E-Service) ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ชำระเงินผ่าน Mobile Banking หรือผ่านเคาน์เตอร์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบใบเสร็จรับเงิน และตรวจสอบบัตรสมาชิกกองทุนฯ ผ่านเว็บไซต์ หรือ Application "Smart TOEA " ทางโทรศัพท์มือถือของสมาชิกกองทุนฯ หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กลุ่มงานกองทุนและงานสนับสนุนการจัดส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคม เขตพื้นที่ 3 กระทรวงแรงงาน หรือที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำหรับสิทธิประโยชน์ 9 กรณี ที่ได้รับจากกองทุนฯ มีดังนี้ 1.กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ สงเคราะห์เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็นให้สมาชิกได้เดินทางกลับประเทศไทยตามที่จ่ายจริง ได้แก่ ค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นโดยให้จ่ายตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 30,000 บาท 2.กรณีประสบอันตรายก่อนไปทำงานหรือขณะทำงานในต่างประเทศ สงเคราะห์เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 30,000 บาท 3.กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย สงเคราะห์คนละ 15,000 บาท 4.กรณีประสบอันตรายจนพิการสงเคราะห์คนละ 15,000 บาท ทุพพลภาพ สงเคราะห์คนละ 30,000 บาท 5.ประสบปัญหาในต่างประเทศ สงเคราะห์เป็นค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น ตามที่จ่ายจริงไม่เกินคนละ 30,000 บาท 6.ถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม กรณีทำงานไม่ถึงหกเดือน สงเคราะห์คนละ 25,000 บาท ทำงานมากกว่าหกเดือน สงเคราะห์ 15,000 บาท 7.กรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด สงเคราะห์คนละ 15,000 บาท 8.กรณีเสียชีวิตก่อนเดินทางหรือขณะกลับมาพักที่ประเทศไทย สงเคราะห์จำนวน 30,000 บาท กรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ สงเคราะห์จำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท 9.สมาชิกกองทุนถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดซึ่งมิใช่เกิดจากการกระทำโดยเจตนาในต่างประเทศ หรือเนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำงาน ให้จ่ายเป็นค่าทนายเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศและต้องการสมัครสมาชิกกองทุน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 02 245 6710 -11
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เร่งสำรวจพื้นที่-สร้างการรับรู้การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ณ จังหวัดเชียงราย
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 วธ.เร่งสำรวจพื้นที่-สร้างการรับรู้การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ณ จังหวัดเชียงราย วธ.เร่งสำรวจพื้นที่-สร้างการรับรู้การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ณ จังหวัดเชียงราย เผยมีนักวิชาการ ศิลปิน ประชาชนสนใจฟังเสวนาทางวิชาการเพื่อสร้างการรับรู้และกระบวนการมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก วธ.เร่งสำรวจพื้นที่-สร้างการรับรู้การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ณ จังหวัดเชียงราย เผยมีนักวิชาการ ศิลปิน ประชาชนสนใจฟังเสวนาทางวิชาการเพื่อสร้างการรับรู้และกระบวนการมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก คาดจะเริ่มได้ชมงานศิลปะจากศิลปินนานาชาติปลายปี 66 นี้ เมื่อเร็วๆ นี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 1/2566 เพื่อติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณ และการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยที่ประชุม ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ปี 2565 อาทิ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จัดเตรียมข้อมูลและเอกสารการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย เสนอเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ UNESCO , สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) ติดตามและรายงานผลการเตรียมจัดงานแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ณ จังหวัดเชียงราย เป็นระยะๆ และกรมศิลปากร (ศก.) ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการบูรณะศาสนสถานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นำร่อง 10 แห่ง ทั้งนี้ รมว.วธ. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจที่ยังดำเนินการต่อเนื่อง ให้ดำเนินการแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุม ได้รับทราบถึงการเตรียมพร้อมการจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ที่จังหวัดเชียงราย (Thailand Biennale Chiangrai 2023) อย่างต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรมเตรียมพร้อมทั้งในด้านผู้จัดงาน ประชาชนในพื้นที่ และศิลปินผู้เข้าร่วมสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นประจักษ์ ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจพื้นที่และการจัดเสวนาทางวิชาการ โดยคณะผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ภัณฑารักษ์ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการเพื่อสร้างการรับรู้และกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งได้รับความสนใจจากนักวิชาการ ศิลปิน ประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก และล่าสุด สศร. อยู่ระหว่างการเชิญศิลปินกลุ่มแรกจำนวน 26 คน มาเข้าร่วมโครงการและสำรวจพื้นที่ ร่วมกันจัดทำแบบร่างสร้างสรรค์ผลงานต่อไป โดยกำหนดจัดกิจกรรมสำรวจพื้นที่ 3 ครั้ง ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2566 อีกทั้งได้สั่งการให้บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในสังกัดวธ. สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ (Thailand Biennale,Chiang Rai 2023) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ (Thailand Biennale,Chiang Rai 2023) จะจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2566 และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ณ จังหวัดเชียงราย และสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ค Thailand Biennale
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษให้แก่เยาวชน เชื่อมั่นในพลังของคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษให้แก่เยาวชน เชื่อมั่นในพลังของคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษให้แก่เยาวชน เชื่อมั่นในพลังของคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก วันนี้ (10 ก.พ. 2566) เวลา 09.50 น. ณ ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การเป็นยุวทูตคุณธรรมขับเคลื่อนกิจกรรมในการพัฒนาสังคมไทยและสังคมโลก” โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อนำไปดำเนินนโยบายบริหารประเทศเพื่อประชาชนชาวไทย ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายและมาตรการเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศในทุกระดับ รวมถึงมุ่งหวังที่จะลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย นอกจากนี้ ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลได้ส่งเสริมให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความยั่งยืน ใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี หวังว่าเยาวชนจะเตรียมความพร้อม และเชื่อมโยงการเรียนรู้เข้ากับชีวิตประจำวัน รวมถึงเยาวชนและผู้ใหญ่ต้องเข้าใจและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พร้อมร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาในสังคมร่วมกัน ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไว้เป็นกรอบสำหรับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลประชาชนในประเทศไทย ดำเนินนโยบายเชื่อมโยงกับมิตรประเทศและนานาชาติ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มาพบปะกับเยาวชนจากสภาเด็กและเยาวชนทุกคนที่ถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เชื่อมั่นว่าในพลังของคนไทยรุ่นใหม่ จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมทั้ง ขณะนี้ รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม โดยส่งเสริมโมเดลธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นสร้างผลผลิต กำไร มูลค่าเพิ่มและมีความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนานาชาติในการประชุมเอเปคฯ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ จึงมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ มีวินัย มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความสามารถโดยเฉพาะทักษะด้านการคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา มีทักษะทางสังคมและมีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งมีจิตสาธารณะ ค่านิยมที่ดี ทัศนคติเชิงบวก มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการสร้างผลิตภาพใหม่ ตลอดจนมีทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศ เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายระหว่างประเทศ เพื่อให้ก้าวทันสถานการณ์โลก รวมทั้ง เน้นย้ำให้เด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสถานการณ์ท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคในปัจจุบันรวมทั้งประเด็นท้าทายต่าง ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ เช่น ปัญหายาเสพติด การทุจริต เป็นต้น และที่สำคัญต้องมีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย และประเพณีวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอวยพรให้การดำเนินการจัดประชุมฯ บรรลุตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ พร้อมอวยพรให้เด็กและเยาวชนผู้เข้าร่วมประชุมฯ ประสบความสำเร็จ ในช่วงท้าย ตัวแทนเด็กและเยาวชนได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสำหรับการกล่าวปาฐกถาพิเศษในวันนี้ โดยเด็กและเยาวชนได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมายในปัจจุบัน การได้มารับฟังนายกรัฐมนตรีในวันนี้ช่วยให้เข้าใจการพัฒนาประเทศของรัฐบาล มีความรู้ ความเข้าใจ เท่าทันสถานการณ์โลก และสามารถไปปรับใช้กับตนเองและชุมชนของตน อนึ่ง การกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การเป็นยุวทูตคุณธรรมขับเคลื่อนกิจกรรมในการพัฒนาสังคมไทยและสังคมโลก” ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแกนนําเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงการต่างประเทศได้จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้กับแกนนำเด็กและเยาวชน เครือข่ายเด็กและเยาวชนในการทำความดี เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายระหว่างประเทศ สถานการณ์โลก และเพื่อสร้างแกนนำเด็กและเยาวชนเป็นยุวทูตคุณธรรมขับเคลื่อนกิจกรรมในการพัฒนาสังคมไทยและสังคมโลก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้า ผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้า ผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานโครงการสำคัญของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โดยมี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ ร่วมประชุม เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ณ แขวงทางหลวงนครปฐม จังหวัดนครปฐม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งสินค้า สามารถเข้าถึงการให้บริการได้อย่างเท่าเทียม สนับสนุนการค้า การท่องเที่ยวสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่และเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบาย โดยมอบให้หน่วยงานในสังกัดเร่งรัดขับเคลื่อนพัฒนาและเปิดให้บริการโครงข่ายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้ทาง เพิ่มศักยภาพให้กับภาคเกษตรกรในการขนส่งสินค้าเกษตร สนับสนุนการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญครอบคลุมทั้งมิติทางถนน ทางราง และทางน้ำ ประกอบด้วย โครงการสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการคมนาคมในจังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย การพัฒนาทางถนน ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท การศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค MR-MAP การเชื่อมโยงระบบการขนส่งสาธารณะ และโครงการรถไฟทางคู่ และทางสายใหม่ รายละเอียด ดังนี้ แผนงานพัฒนาโครงข่ายจังหวัดนครปฐม การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 3 โครงการ ระยะทางรวม 28.83 กิโลเมตร ประกอบด้วย ทล.3233 นครชัยศรี - บรรจบทางหลวงหมายเลข 3036 (วัดสามง่าม), ทล. 3233 อ.นครชัยศรี – ดอนตูม และ ทล.375 ต.ลำลูกบัว - บรรจบทางหลวงหมายเลข 346 โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3233 สาย อำเภอนครชัยศรี - ตำบลดอนตูม ระยะทางรวม 21.575 กิโลเมตร เป็นการก่อสร้างจากถนนเดิม 2 ช่องจราจรไป - กลับ ขยายเป็น 4 ช่องจราจรไป - กลับ เพื่อให้เป็นเส้นทางขนส่งและสัญจรระหว่าง อำเภอนครชัยศรี - ตำบลดอนตูม จังหวัดนครปฐม รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 375 สาย ตำบลลำลูกบัว - บรรจบทางหลวงหมายเลข 346 เป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และเส้นทางอุตสาหกรรมที่สำคัญ และเป็นเส้นทางสายหลักตัดกับทางหลวงหมายเลข 346 จำนวนช่องจราจร 2 ช่องจราจร ขยายเป็น 4 ช่องจราจร เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้เส้นทาง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งพร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง และไฟกระพริบบนทางหลวงตลอดทั้งสาย แผนแม่บทพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคต จำนวน 5 โครงการ ระยะทางรวม 49,844 กิโลเมตร ประกอบด้วย ทล.4 นครปฐม - ราชบุรี (สระกะเทียม - บ.หนองโพ), ทล. 3296 ดอนตูม - บางเลน, ทล.4 นครปฐม - ราชบุรี (บ.สนามจันทร์ - บ.สระกระเทียม), ทล. 3040 กำแพงแสน - พระแท่นดงรัง (กำแพงแสน - บ.หนองกร่าง) และ ทล. 3232 หนองพงนก - ไผ่เจดีย์ การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท โครงการระหว่างดำเนินการในปี 2566 มีจำนวน 30 โครงการ ประกอบด้วย งานก่อสร้างทางและสะพาน 5 โครงการ งานบำรุงรักษาทาง 14 โครงการ และงานอำนวยความปลอดภัย 11 โครงการ และเตรียมขอรับสนับสนุนงบประมาณปี 67 รวม 40 โครงการ ประกอบด้วย งานก่อสร้างทางและสะพาน 6 โครงการ งานบำรุงรักษาทาง 18 โครงการ วงเงิน 336.070 ล้านบาท และงานอำนวยความปลอดภัย 16 โครงการ พร้อมด้วยโครงการถนนสาย ข7 ผังเมืองรวมราชบุรี ซึ่งจะเป็นแผนงานในอนาคตที่จะเร่งดำเนินการในระยะต่อไป ประกอบด้วย 1. โครงการสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี (บริเวณวัดกกตาล) อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ความยาวสะพาน 400.00 เมตร เชื่อมโยงชุมชน 2 ฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี เป็นทางลัดทางเลี่ยง โดยไม่ต้องผ่านตัวอำเภอนครชัยศรี เพื่ออำนวยความสะดวกในการคมนาคม และขนส่งลดระยะเวลาการเดินทางของประชาชน และเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น 2. โครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.3097 - ศูนย์ราชการจังหวัดนครปฐม รวมระยะทาง 3.217 กิโลเมตร เป็นทางลัดทางเลี่ยงเพื่อเข้าสู่ศูนย์ราชการจังหวัดนครปฐม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและแก้ไขปัญหาในชั่วโมงเร่งด่วน เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น 3. โครงการจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสมถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์ ช่วงศาลายา - นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่โครงการ เสริมสร้างโครงข่ายถนนให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมสนับสนุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเหมาะสม แผนงานการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบทในอนาคต จำนวน 1 โครงการ โครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์ - ศาลายา จังหวัดนนทบุรี - นครปฐม ระยะทาง 12 กิโลเมตร แก้ไขปัญหาจราจรในเขตปริมณฑล เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดบนถนนกาญจนภิเษกและถนนบรมราชชนนี รวมทั้งรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดนครปฐม แผนงานพัฒนาโครงข่ายจังหวัดราชบุรี การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง มีโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 5 โครงการ ได้แก่ 1) การก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข 4 กับทางหลวงหมายเลข 3087 (แยกเขางู) กม.100+594 ความคืบหน้า 90.28% 2) การก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดรถไฟ ทางหลวงหมายเลข 3090 ตอน บ้านเลือก - หนองตากยา (ทางเลี่ยงเมืองโพธาราม) ที่ กม.5+600 ความคืบหน้า 35.26% 3) การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3291 ตอน บ.เจดีย์หัก – บ.หนองหอย (กม.0+000-9+242) เป็น 4 ช่องจราจร ระยะทาง 8.95 กิโลเมตร ความคืบหน้า 96.08% 4) การก่อสร้างทางขยายช่องจราจรหลวงหมายเลข 4 ตอนสระกระเทียม - คลองอีจาง ระหว่าง กม.76+000 - กม.79+000 จากเดิม 4 ช่องจราจรเป็น 6 ช่องจราจร ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ความคืบหน้า 53.23% และ 5) การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3291 ตอนเตาปูน - เบิกไพร เป็น 4 ช่องจราจร ระยะทางประมาณ 3.68 กิโลเมตร ความคืบหน้า 3.47% โครงการที่ระหว่างดำเนินการ ในปี 2566 ได้แก่ การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3208 ตอน เขาวัง - เหมืองผาปกค้างคาว ระยะทาง 30 กิโลเมตร เป็น 4 ช่องจราจร อยู่ระหว่างรอเสนอราคา การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3087 ตอนราชบุรี- แก้มอ้น เป็น 4 ช่องจราจร และเพิ่มมาตรฐานทางชั้น 1 ระยะทาง 27.675 กม. อยู่ระหว่างคำนวณราคากลาง และยังมีโครงการสำคัญที่เตรียมจะขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2567 และปีต่อไป เช่น การก่อสร้างทางแยกต่างระดับห้วยชินสีห์ การก่อสร้างทางแยกต่างระดับเจ็ดเสมียน การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟห้วยชินสีห์ - พญาไม้ การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง (สะพานธนะรัชต์) การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง (สะพานสิริลักขณ์) การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 4 ตอนหนองโพ - วังเย็น (กม.75+000-กม.81+000) เป็น 6 - 10 ช่องจราจร การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายลข 4 ตอนหลุมดิน - ห้วยชินสีห์ (กม.102+200-กม.108+000) เป็น 6 - 10 ช่องจราจร การก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3273 ตอนโคกสูง - หนองเป็ด (กม. 0+000-กม. 16+457) เป็น 4 ช่องจราจร แผนงานพัฒนาโครงข่ายทางหลวงจังหวัดกาญจนบุรี การพัฒนาโครงข่ายทางหลวง ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 323 สายท่าเรือ - กาญจนบุรี (แยกพระแท่นดงรัง - ต่อทางเทศบาลเมืองกาญจนบุรี) ค่าก่อสร้าง 329.000 ล้านบาท และเปิดให้บริการในปี 2565 โครงการทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงบริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข 323 กับทางหลวงหมายเลข 367 (แยกท่าล้อ) จำนวน 1 แห่ง คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2567 การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงชนบท จังหวัดกาญจนบุรี (แผนปี 2566) ประกอบด้วย งานก่อสร้างทางและสะพาน 6 โครงการ งานบำรุงรักษาทางและสะพาน 11 โครงการ งานอำนวยความปลอดภัย 11 โครงการ วงเงิน 237.276 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย ตำบลท่าเสา วังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 325 เมตร งานบำรุงถนนสาย กจ.4088 แยก ทล.3272 - บ.อีตอง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โครงการสะพานข้ามแม่นํ้าแควน้อย ตำบลท่าเสา วังกระแจะ อำเภอไทรโยค ความยาว 2,575 เมตร เพื่อเชื่อมโยงชุมชนหมู่ที่ 1 ตำบลท่าเสา กับหมู่ที่ 1 ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค อำนวยความสะดวกในการคมนาคมและขนส่งผลผลิตทางการเกษตร ลดระยะเวลาการเดินทางของประชาชน 2 ฝั่งของลำน้ำ โครงการบำรุงถนนสาย กจ.4088 แยก ทล.3272 - บ.อีตอง อำเภอทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร เพื่อซ่อมฟื้นฟูทางหลวงชนบท บรรเทาความเดือดร้อน และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง เป็นการก่อสร้างกำแพงป้องกันดินสไลด์และปรับปรุงผิวทางที่ได้รับความเสียหายจากเหตุภัยพิบัติ การศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค MR-MAP เพื่อบูรณาการใช้เขตทางร่วมกัน (มอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง) พัฒนาแนวเส้นทางเลี่ยงเมือง เพื่อเลี่ยงชุมชน หลีกเลี่ยงการวางแนวเส้นทางผ่านชุมชน เปิดพื้นที่ใหม่ที่ชุมชนไม่หนาแน่น และใช้รูปแบบทางยกระดับ แยกการจราจร หากจะต้องผ่านพื้นที่ชุมชน โดยแนวเส้นทางที่ผ่านจังหวัดนครปฐม ได้แก่ MR1 : เชียงราย - นราธิวาส จุดเริ่มต้น : ด่านเชียงของ/ด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย จุดสิ้นสุดจังหวัดนราธิวาส เชื่อมโยงแนวเส้นทาง : เมียนมา - สปป.ลาว - ภาคเหนือ - ภาคกลาง - ภาคใต้ - มาเลเซีย ระยะทาง รวมประมาณ 2,125 กิโลเมตร แนวเส้นทาง MR6: กาญจนบุรี (ด่านพุน้ำร้อน) - สระแก้ว (ด่านอรัญประเทศ) จุดเริ่มต้นด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี จุดสิ้นสุดด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เชื่อมโยงเส้นทางเมียนมา - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - สปป.ลาว แนวเส้นทาง MR แบ่งเป็น 2 ส่วน ระยะทางรวมประมาณ 390 กิโลเมตร ประกอบด้วย เส้นทางที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ระยะทางรวม 96 กิโลเมตร และเส้นทางตามแผนในอนาคต ระยะทางรวม 294 กิโลเมตร และ MR10 วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ รอบที่ 3 และเส้นทางเชื่อมต่อ ส่วนที่ 1 วงแหวนรอบที่ 2 (ถนนกาญจนาภิเษก) ระยะทางทั้งหมด 193 กิโลเมตร เปิดให้บริการแล้ว และเส้นทางบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว ระยะทาง 25 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนที่ 2 วงแหวนรอบที่ 3 เส้นทางในอนาคต ระยะทาง 346 กิโลเมตร ผ่านจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี กรุงเทพฯ สมุทรปรากร และสมุทรสาคร และส่วนที่ 3 เส้นทางเชื่อมต่อวงแหวนรอบที่ 2 และ 3 ได้แก่ เส้นทางบ้านแพ้ว - ปากท่อ ระยะทาง 54 กิโลเมตร และเส้นทางบางปะอิน - สุพรรณบุรี ระยะทาง 55 กิโลเมตร การเชื่อมโยงระบบการขนส่งสาธารณะ การเชื่อมโยงระบบการขนส่งสาธารณะจังหวัดนครปฐม เป็นจังหวัดเขตปริมณฑลที่มีเส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดนครปฐม โดยมีเส้นทางหลัก จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ ทล.4 (ถนนเพชรเกษม) และ ทล.338 (ถนนบรมราชชนนี) มีรถโดยสารสาธารณะให้บริการจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดนครปฐม และให้บริการระหว่างอำเภอไปจังหวัดใกล้เคียงทำให้ประชาชนในจังหวัดนครปฐมได้รับความสะดวกในการเดินทาง เป็นการเชื่อมโยงอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ การให้บริการระบบขนส่งสาธารณะของจังหวัดนครปฐมได้ดำเนินการตามที่กระทรวงคมนาคมมีนโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 รวมทั้ง โครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสำคัญ กำกับดูแลการเดินรถโดยสารสาธารณะให้มีความพร้อมทั้งสภาพรถ และผู้ขับรถในการอำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ การเชื่อมโยงระบบการขนส่งสาธารณะจังหวัดราชบุรี ระบบการขนส่งสาธารณะจังหวัดราชบุรี ได้ดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในเขตจังหวัดราชบุรี ตามกระทรวงคมนาคมมีนโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในเขตกรุงเทพฯ และปรมิณฑล โดยกําหนดมาตรการให้สํานักงานขนส่งจังหวัดราชบุรี ตั้งจุดตรวจวัดควันดําบนถนนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ณ บริเวณถนนสาย หลัก สายรอง โครงการตรวจสอบมลพิษทางอากาศและเสียง รถราชการ และการกํากับดูแลโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส้งทางบก การเชื่อมโยงระบบการขนส่งสาธารณะจังหวัดกาญจนบุรี ระบบการขนส่งสาธารณะจังหวัดกาญจนบุรีโครงการ/แผนงานที่สําคัญในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีที่อยู่ระหว่างดําเนินการ จํานวน 8 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 2. โครงการนักเรียนรุ่นใหม่มีใบขับขี่ 3. โครงการตรวจจับความเร็วรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกด้วยกล้องเลเซอร์ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 4. ศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS 5. ศูนย์ควบคุมสถานตรวจสภาพรถเอกชน (VICC) 6. โครงการตรวจการขนส่ง และตรวจวัดควันดำ 7. โครงการตรวจและทดสอบสารอันเกิดจากการเสพยาเสพติดให้โทษของผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ และ 8. เทคโนโลยีในการให้บริการประชาชน มีจำนวน 4 ระบบ ได้แก่ DLT Smart Queue ระบบจองคิวล่วงหน้า DLT Vehicle Tax ระบบชำระภาษีรถประจำปี DLT GPS ตรวจสอบรถสาธารณะด้วยระบบ GPS และ DLT QR LICENCE ระบบใบอนุญาตขับรถเสมือนจริง การพัฒนาทางราง โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - หัวหิน มีพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด 10 อำเภอ 21 ตำบล คือ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ แนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นที่สถานีรถไฟนครปฐม จุดสิ้นสุดอยู่ที่สถานีรถไฟหนองแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2566 การแก้ปัญหาจุดตัด โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - หัวหิน โครงการเป็นทางรถไฟระดับดินตั้งแต่สถานีนครปฐมไปจนถึงสถานีหัวหิน โดยจะไม่ให้มีจุดตัดทางรถไฟกับถนนเสมอระดับ พร้อมกับสร้างรั้วกั้นสองข้างทางตลอดแนวเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและลดอุบัติเหตุ สะพานรถไฟคานขึง (Extradosed Bridge ) แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จังหวัดราชบุรี เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ตั้งอยู่บริเวณ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี คู่ขนานกับสะพานจุฬาลงกรณ์ เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้ มีความยาวรวม 340 เมตร (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองยาว 160 เมตร) กว้าง 7.64 เมตร ขณะนี้เร่งวางรางบนสะพาน ซึ่งเป็นทางเดี่ยว รวมถึงติดตั้งทางเดิน (Steel Walkway) และติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดสะพาน คาดว่าสะพานจะแล้วเสร็จสมบูรณ์กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2566 การพัฒนาทางน้ำ การพัฒนาทางน้ำในพื้นที่จังหวัดนครปฐม โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำ จังหวัดนครปฐม ที่ได้รับงบประมาณในปี 2566 ประกอบด้วย - โครงการขุดลอกแม่น้ำท่าจีน กม.132 ตำบลไทรงาม อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม งบประมาณ 1.1120 ล้านบาท (ดำเนินการแล้วเสร็จ) - โครงการขุดลอกแม่น้ำท่าจีน กม.143 ตำบลบางตาเถร อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม งบประมาณ 1.1120ล้านบาท โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำ สามารถบรรเทาปัญหาการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ มีพื้นที่กักเก็บน้ำในฤดูแล้งเพิ่มมากขึ้น ลำน้ำกลับคืนสภาพตามธรรมชาติ สัตว์น้ำมีจำนวนมากขึ้น การกัดเซาะของตลิ่งและการบุกรุกลำน้ำลดลง ลำน้ำมีสภาพที่สวยงาม ประชาชนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์และหวงแหนลำน้ำ ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ ประชาชนมีรายได้จากการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จับสัตว์น้ำ และพื้นที่ทางการเกษตรได้รับประโยชน์จากร่องน้ำที่ขุดลอก การพัฒนาทางน้ำในพื้นที่จังหวัดราชบุรี โดยพัฒนาเรือพลังงานไฟฟ้าต้นแบบ สำหรับเรือเพลาใบจักรยาว เส้นทางคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ตามการขับเคลื่อนนโยบายต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2566 การลดค่าธรรมเนียมการตรวจเรือ โดยปรับปรุงข้อบังคับกรมเจ้าท่า ในการตรวจเรือไฟฟ้า (อยู่ระหว่างพิจารณาข้อหารือกับ สมอ.) ปัจจุบันมีเรือไฟฟ้า 12 ลำ และคาดว่าในปี 2566 จะแล้วเสร็จอีก 5 ลำ การพัฒนาทางน้ำในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย - โครงการ แผนงาน/โครงการสำคัญ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำ 2. โครงการจัดระเบียบแพ (ย้าย) แพ 50 หลัง เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ และ 3. โครงการระบบการจัดการและบำบัดสิ่งปฏิกูล ของเสีย และขยะมูลฝอยจากแพ - โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำ ที่ได้รับงบประมาณในปี 2566 อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการขุดลอกแม่น้ำแควน้อย ต.จระเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี งบประมาณ 1.4760 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 - โครงการจัดระเบียบแพ (ย้าย) แพ 50 หลัง เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ (จากจุดจอดแพเดิม หน้าเขื่อนขุนแผน ไปจุดจอดใหม่ (คลองบ้านยางและบึงบัว ต.ท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี) โดยสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากาญจนบุรีร่วมมือกับจังหวัดกาญจนบุรีในการจัดระเบียบแพ จำนวน 50 หลัง ในแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณท่าน้ำหน้าเมืองเขื่อนขุนแผน ให้แพพัก เคลื่อนย้ายไปจอดไว้บริเวณข้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลท่ามะขาม ต.ท่ามะขาม อ.เมือง ส่วนแพลาก และแพร้านอาหาร เคลื่อนย้ายไปจอดไว้บริเวณจุดจอดแพ บ้านลิ้นช้า - กรมเจ้าท่ากำหนดแผนงานที่จะปรับปรุงระบบการจัดการและบำบัดสิ่งปฏิกูล ของเสีย รวมถึงขยะมูลฝอยจากแพ โดยการประสานความร่วมมือจากสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดกาญจนบุรี และองค์กรบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันกำหนดมาตราการและแนวทางในการปรับปรุงการจัดเก็บของเสียบนแพพร้อมทั้งกระบวนการของเสียขึ้นมาบำบัดให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป โดยมีแพประจำที่ จำนวน 1,250 ลำ ดำเนินการให้มีระบบบำบัดน้ำเสียให้เป็นไปตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว แพลาก จำนวน 324 ลำ ดำเนินการออกใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว 34 ลำ และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ำให้การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของกระทรวงคมนาคม ต้องสะดวก รวดเร็ว ประหยัด ราคาสมเป็นธรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมีข้อสั่งการ ให้กรมทางหลวง พิจารณาการใช้แบริเออร์ในการกั้นแบ่งทิศทางการจราจร เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน รวมทั้ง การศึกษาโครงการต่าง ๆ ให้ดูความพร้อม ความต้องการของประชาชน และสภาพพื้นที่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และควรผนวกอัตลักษณ์ของความเป็นไทยผสมลงไปในการออกแบบโครงการ และยังคงผสมผสานกับความร่วมสมัยประกอบด้วย รวมถึงให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมต้องมีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยต้องจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแปลงโยบายไปสู่การปฏิบัติ พร้อมกับการประชาสัมพันธ์การดำเนินการของกระทรวงคมนาคตมต้องมีมิติหลากหลาย มีการนำ social media มาใช้ มี influencer ต้องตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม และมีความถี่ในการประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ การดำเนินงานต่าง ๆ ให้ยึดกฎ ระเบียบ ข้อกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เยี่ยมโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ชูสถานประกอบการจ้างแรงงานถูกกฎหมาย ดูแลสิทธิ- สวัสดิการเท่าเทียม
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 รมว.สุชาติ เยี่ยมโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ชูสถานประกอบการจ้างแรงงานถูกกฎหมาย ดูแลสิทธิ- สวัสดิการเท่าเทียม รมว.สุชาติ เยี่ยมโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ชูสถานประกอบการจ้างแรงงานถูกกฎหมาย ดูแลสิทธิ- สวัสดิการเท่าเทียม วันที่10กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวในจังหวัดชลบุรี เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบการมีการจ้างแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายโดยมีนายเจษฎาศิริมงคลเกษมประธานบริษัทจีเอฟพีทีนิชิเร(ประเทศไทย)จำกัดนายธวัชชัยศรีทองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดชลบุรีร่วมให้การต้อนรับณบริษัทจีเอฟพีทีนิชิเร(ประเทศไทย)จำกัดอำเภอหนองใหญ่จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการประเภทแปรรูปเนื้อไก่และเนื้อสัตว์ที่ปรุงเสร็จแช่เย็นหรือแช่แข็งปัจจุบันมีลูกจ้าง5,004คนเป็นคนไทย1,444คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจำนวน3,560คนลูกจ้างพิการจำนวน32คน นายสุชาติกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาได้ให้ความสำคัญกับแรงงานทุกคนทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยหรือแรงงานต่างด้าวเพราะแรงงานทุกคนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้าการลงพื้นที่มายังบริษัทจีเอฟพีทีนิชิเร(ประเทศไทย)จำกัดในวันนี้ได้พบปะกับผู้บริหารและเยี่ยมชมสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวแห่งนี้ต้องขอบคุณผู้บริหารของบริษัทที่ได้จัดสวัสดิการทั้งที่พักอาศัยอาหารรวมทั้งสวัสดิการอื่นๆดูแลแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวเป็นอย่างดีซึ่งกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญในการบูรณาการกับสถานประกอบการเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทยทั้งในเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำการรักษาพยาบาลการได้รับสวัสดิการจากสถานประกอบการอย่างเป็นธรรมเพื่อเป็นการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดลำดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดิม “การใช้แรงงานที่ถูกกฎหมายจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งจะเกิดความมั่นคงด้านแรงงานเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่สำคัญจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการดูแลสิทธิให้ความคุ้มครองแก่แรงงานทุกคนทุกกลุ่มตลอดจนจะช่วยต่อต้านการบังคับใช้แรงงานในรูปแบบต่างๆรวมถึงป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอีกด้วย”นายสุชาติกล่าวท้ายสุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 10กุมภาพันธ์2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64813
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. หนุนธุรกิจชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้ภาคชนบท พร้อมอัดฉีดสินเชื่อดอกเบี้ยล้านละร้อย ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 ธ.ก.ส. หนุนธุรกิจชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้ภาคชนบท พร้อมอัดฉีดสินเชื่อดอกเบี้ยล้านละร้อย ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 ตามนโยบายรัฐบาล หนุนผู้ประกอบการเป็นหัวขบวนขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน และสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน สู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 ตามนโยบายรัฐบาล หนุนผู้ประกอบการเป็นหัวขบวนขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน และสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน สู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน อัดฉีดวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีใน 3 ปีแรก โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี สามารถติดต่อขอรับสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 2 เพื่อสนับสนุนหัวขบวนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนธุรกิจชุมชนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจตามโมเดล BCG ภายใต้หลัก SDGs และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเชื่อมโยงธุรกิจตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อันนำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับเกษตรกรในชุมชน การสนับสนุนการแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิต การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเกษตรมาปรับใช้และพัฒนากระบวนการผลิต รวมถึงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท สำหรับเงื่อนไขผู้ขอใช้สินเชื่อ ต้องเป็นเกษตรกร บุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร และเกษตรกรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) ที่เป็นหัวขบวนธุรกิจชุมชน ที่มีความพร้อมดำเนินธุรกิจในลักษณะตลาดนำการผลิต มีการจัดทำแผนธุรกิจชุมชน มีการจัดสรรประโยชน์ให้แก่สมาชิกและชุมชน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิตให้แก่เกษตรกรในชุมชน เช่น การรวบรวมหรือรับซื้อผลผลิตที่ให้ราคาสูงกว่าตลาด การจัดหาปัจจัยการผลิตมาจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในชุมชน และการสนับสนุนสินเชื่อตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model ในกรณีขอสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน ต้องเข้าร่วมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนเพื่อให้มีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในกิจกรรมการผลิตภาคการเกษตร และมีการจัดทำประกันภัยหรือผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันความเสี่ยงในการผลิต วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 100 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท โดยเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.01 ต่อปี และรัฐบาลจ่ายชดเชยดอกเบี้ยแทนร้อยละ 3.50 ต่อปี ในช่วง 3 ปีแรกนับแต่วันกู้ และปีต่อไปคิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทลูกค้า ได้แก่ MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.625) หรือ MLR (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.125) โดยกำหนดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ตามที่มาแห่งรายได้ สูงสุดไม่เกิน 15 ปี พิเศษ ไม่เกิน 20 ปี ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ได้สนับสนุนชุมชนในการขับเคลื่อนธุรกิจไปแล้วจำนวน 6,294 ราย วงเงินสินเชื่อ 27,670.69 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย ทีมค้นหากู้ภัยแผ่นดินไหวถึง "ตุรกี" แล้ว เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยและประเมินสถานการณ์ ก่อนส่งชุดต่อไปเข้าสมทบ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.เผย ทีมค้นหากู้ภัยแผ่นดินไหวถึง "ตุรกี" แล้ว เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยและประเมินสถานการณ์ ก่อนส่งชุดต่อไปเข้าสมทบ กระทรวงสาธารณสุข เผย ทีมค้นหากู้ภัยแผ่นดินไหวเดินทางถึง “ตุรกี” แล้ว เป็นทีมแรกของประเทศไทยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย และประเมินสถานการณ์ ขนาดภัยพิบัติ ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานและระบบทางการแพทย์ ก่อนส่งข้อมูลกลับมายังวอร์รูม กระทรวงสาธารณสุข เผย ทีมค้นหากู้ภัยแผ่นดินไหวเดินทางถึง “ตุรกี” แล้ว เป็นทีมแรกของประเทศไทยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย และประเมินสถานการณ์ ขนาดภัยพิบัติ ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานและระบบทางการแพทย์ ก่อนส่งข้อมูลกลับมายังวอร์รูม เพื่อประเมินการจัดทีมและความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดส่งทีมแพทย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวประเทศตุรกี โดยมีรายงานความก้าวหน้า คือ เมื่อคืนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการจัดส่งทีมค้นหากู้ภัยหรือทีม Urban Search and Rescue (USAR) นำโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ไปแล้ว จำนวน 42 คน โดยมีแพทย์ พยาบาลกู้ชีพ และเวชกิจฉุกเฉิน จำนวน 3 คน จากกรมการแพทย์ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งระหว่างเดินทาง พนักงานสายการบินได้ประกาศให้ผู้โดยสารทราบถึงการไปปฏิบัติภารกิจของทีมประเทศไทย และได้รับการปรบมือให้เกียรติ ซึ่งได้รับรายงานว่าเดินทางถึงอิสตันบูลแล้ว โดยจะเข้าพื้นที่ไปช่วยค้นหากู้ภัยผู้ประสบภัย ประเมินสถานการณ์ ขนาดของภัยพิบัติ ความเสียหายของระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบทางการแพทย์ และส่งข้อมูลเหล่านี้กลับมายังศูนย์ปฏิบัติการหรือวอร์รูม กรณีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวประเทศตุรกี ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งขึ้น เพื่อนำมาประมวลและจัดการสนับสนุนความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป นพ.ณรงค์กล่าวอีกว่า สำหรับการสนับสนุนด้านเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ตุรกีขอรับความช่วยเหลือ มีการประเมินและกำหนดเวชภัณฑ์ที่เหมาะสมและจำเป็นแล้วประมาณ 20 กว่ารายการ วงเงินเกือบ 3 ล้านบาท โดยจะประสานผ่านกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ ในการของบกลางเพื่อจัดซื้อจัดจ้างโดยเร็วที่สุดและเร่งส่งไปสนับสนุน ส่วนการสนับสนุนทีมแพทย์นั้น ทราบเบื้องต้นว่า กระทรวงกลาโหมดำเนินการเตรียมทีมMERT ซึ่งประกอบด้วยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทหาร จำนวน 20 กว่านาย คาดว่าจะพร้อมเดินทางในช่วงวันที่ 11 หรือ 12 กุมภาพันธ์นี้ สำหรับทีม Thailand EMT (Emergency Medical Team) อยู่ระหว่างเตรียมบุคลากรและตรวจสอบอุปกรณ์ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นทีม Level 1 โดยจะออกแบบทีมช่วยเหลือให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ เช่น การเข้าไปช่วยดูแลผู้ป่วยลักษณะแบบโมบายหรือเคลื่อนที่เข้าไปตามชุมชน การจัดระบบการส่งต่อ เพื่อให้ผู้ป่วยต่างๆ เข้าถึงการดูแล ซึ่งเรามีประสบการณ์ในการจัดระบบเมื่อครั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เนปาล โดยจะมีการสื่อสารติดตามข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับทีมแพทย์ที่ส่งไปจะคำนึงถึงความเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหว ช่วงแรกจะเป็นเรื่องของการกู้ชีพ บาดแผล กระดูกหัก จะเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ออร์โธปิดิกส์ ศัลยกรรม อายุรแพทย์ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ทีมที่ส่งไปมีความปลอดภัยในการทำงานมากที่สุด เนื่องจากต้องเผชิญกับอุณหภูมิติดลบ มีความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ จากการติดตามสถานการณ์โดยทีมSAT พบว่ามีรายงานโรคอหิวาต์ในบางจุดด้วย ส่วนประเทศซีเรียเนื่องจากไม่มีสถานทูตและการร้องขอที่ชัดเจน อาจจะต้องประสานผ่านสถานทูตในประเทศใกล้เคียงถึงความต้องการความช่วยเหลือต่อไป ******************************10 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งทีมปฏิบัติการ ‘Thailand for Turkey’ รวม 42 คน สุนัขกู้ภัย 2 ตัว ช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี บินคืนนี้ 9 ก.พ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 รัฐบาลส่งทีมปฏิบัติการ ‘Thailand for Turkey’ รวม 42 คน สุนัขกู้ภัย 2 ตัว ช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี บินคืนนี้ 9 ก.พ รัฐบาลส่งทีมปฏิบัติการ ‘Thailand for Turkey’ รวม 42 คน สุนัขกู้ภัย 2 ตัว ช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวตุรกี บินคืนนี้ 9 ก.พ วันที่ 9 ก.พ. 66 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุแผ่นดินไหว ‘ตุรกี-ซีเรีย’ จากรายงานล่าสุดพบผู้เสียชีวิตเหตุแผ่นไหว ‘ตุรกี-ซีเรีย’ จำนวน 1 7,176 ราย โดยอยู่ในตุรกี 14,014 ราย และซีเรีย 3,162 นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากการมอบความช่วยเหลือเบื้องต้นของรัฐบาล เป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาทแก่รัฐบาลตุรกี รัฐบาลไทยได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่สาธารณรัฐตุรกี ภายใต้ปฏิบัติการ “Thailand for Turkiye” โดยส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue) หรือทีม USAR Thailand จำนวน 42 คน และสุนัขกู้ภัย 2 ตัว พร้อมอุปกรณ์ค้นหาและกู้ภัย เพื่อเข้าร่วมสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นการประกอบกำลังของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัยจาก Thailand rescue Dog (THAI RDA) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอน เมนทอล เซอร์วิส จำกัด โรงพยาบาลเลิศสิน และโรงพยาบาลราชวิถี โดยเป็นทีมที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง ซึ่งได้มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีขีดความสามารถในการรองรับสาธารณภัยขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดย นายนริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานส่งทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkey (ไทยแลนด์ฟอร์ ตุรกี) ทั้งนี้ เวลา 21.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะเดินทางไปส่งทีมปฏิบัติการ Thailand for Turkiye ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งทีมปฎิบัติการฯ มี กำหนดออกเดินทางจากประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยเที่ยวบิน Turkish airlines ในเวลา 23.30 น. ของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่าย ปั้นแกนนำเด็กและเยาวชนเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 พม. จับมือเครือข่าย ปั้นแกนนำเด็กและเยาวชนเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 พม. จับมือเครือข่าย ปั้นแกนนำเด็กและเยาวชนเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 วันนี้ (10 ก.พ. 66) เวลา 09.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และภาคีเครือข่าย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแกนนำเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การเป็นยุวทูตคุณธรรมขับเคลื่อนกิจกรรมในการพัฒนาสังคมไทยและสังคมโลก” ให้กับสภาเด็กและเยาวชน ชมรมเด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ เครือข่ายเด็กพิการ และผู้นำเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศ ทั้งนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดี ดย. และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และผู้แทนภาคีเครือข่าย เข้าร่วม ณ ห้องประชุมวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการยกระดับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กและเยาวชนให้มีความพร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 อาทิ มีความคิดสร้างสรรค์ ใส่ใจเทคโนโลยี นวัตกรรม มีวิจารณญาณ สื่อสารต่อบุคคลและสาธารณชน มีจิตอาสา อัพเดตข้อมูลข่าวสาร และรู้เท่าทันสื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย ดย. ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแกนนำเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นยุวทูตคุณธรรมในศตวรรษที่ 21 ระหว่างวันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 ณ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวง พม. เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้กับแกนนำเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศ ในการเป็นจิตอาสาทำความดีและเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการสร้างแกนนำเด็กและเยาวชนให้เป็นยุวทูตคุณธรรมในการขับเคลื่อนกิจกรรมการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในสังคมไทยทั้งระดับประเทศและสังคมโลกอย่างเข้มแข็งต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่แกนนำเด็กและเยาวชนจะได้รับฟังการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ ได้แก่ "การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจในการสนับสนุนส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo - economics)" โดย นายปรเมธี วิมลศิริ อดีตปลัดกระทรวง พม. "นโยบายระหว่างประเทศในสถานการณ์การเมืองโลก (Geopolitics) (แกะในฝูงหมาป่า) โดย นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และ "ความมั่นคงทางพลังงานกับภูมิรัฐศาสตร์ (Energy security and geopolitics) โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ CEO บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นต้น #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย ประธานองคมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสำคัญของโรงพยาบาล วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2566) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย มอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง ได้รับการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพให้มีคุณภาพ เป็นที่พึ่งของประชาชนในท้องถิ่น และเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายให้กับโรงพยาบาลใกล้เคียง ได้แก่ โรงพยาบาลภูเรือ โรงพยาบาลนาแห้ว จังหวัดเลย โดยนอกจากดูแลประชาชนในเขตอำเภอด่านซ้าย ยังมีประชาชนจากเมืองบ่อแตน แขวงไซยะบุลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มารับบริการด้วย ซึ่งจากการทำงานร่วมกับผู้สูงอายุทำให้ได้รับรู้ถึงความทุกข์ด้านการมองเห็น จึงได้หาเครือข่ายที่มีศักยภาพผู้เชี่ยวชาญมาทำการผ่าตัดโรคต้อกระจกที่โรงพยาบาล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538-2558 รวมกว่า 1,600 ดวงตา และจากปี พ.ศ.2559 จนถึงปัจจุบัน มูลนิธิ พอ.สว. ได้มาออกหน่วยผ่าตัดต้อกระจกที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีแพทย์ หู คอ จมูก จิตอาสา มาออกหน่วยบริการที่โรงพยาบาล ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการได้ยิน ซึ่งจากการออกหน่วยทั้งหมด 5 ครั้ง สามารถทำการผ่าตัดรักษาได้กว่า 300 ราย ก่อนที่จะยุติการออกหน่วยไปเมื่อโรงพยาบาลเลยมีความพร้อมในการรักษาโรคหูมากขึ้น นอกจากนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ยังส่งเสริมให้บุคลากรทำงานจิตอาสาพัฒนาชุมชนในหลายมิติ อาทิ จัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจผลิตสมุนไพรชุมชนคนพิการตำบลนาดี ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพเมืองด่านซ้าย จัดกิจกรรมวันเด็ก เพื่อให้เด็กในโรงเรียนขนาดเล็กได้เข้าร่วมกิจกรรม ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยความร่วมมือระหว่างชาวบ้าน ชุมชน และโรงพยาบาล เพื่อให้ทำงานเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ******************************************* 10 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64802
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยส่งทีมกู้ภัย USAR Thailand 42 นาย บินไปช่วยแผ่นดินไหวตุรกี
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 ประเทศไทยส่งทีมกู้ภัย USAR Thailand 42 นาย บินไปช่วยแผ่นดินไหวตุรกี ประเทศไทยส่งทีมกู้ภัย USAR Thailand 42 นาย บินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกี วันนี้ (9 ก.พ. 66 ) เวลา 21:00 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) พร้อมด้วยนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิชย์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และคณะ ร่วมส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search and Rescue) หรือทีม USAR Thailand สนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐตุรกี ภายใต้ชื่อภารกิจ “Thailand for Turkiye” ซึ่งทีม USAR Thailand มีกำหนดออกเดินทางไปยังสาธารณรัฐตุรกี โดยสายการบิน Turkish Airline เที่ยวบิน TK69 เวลา 23:30 น. ทั้งนี้ ทีม USAR Thailand เป็นการประกอบกำลังของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัยจาก Thailand rescue Dog (THAI RDA) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอน เมนทอล เซอร์วิส จำกัด กรมการแพทย์ โรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลราชวิถี โดยเป็นทีมที่มีศักยภาพในการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมืองที่มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีขีดความสามารถในการรองรับสาธารณภัยขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64768
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ย้ำนายจ้างสนับสนุนลูกจ้างต่างด้าวมีส่วนร่วมดูแล สิทธิ สวัสดิการ ตามกลไกระบบทวิภาคี
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 รมว.แรงงาน ย้ำนายจ้างสนับสนุนลูกจ้างต่างด้าวมีส่วนร่วมดูแล สิทธิ สวัสดิการ ตามกลไกระบบทวิภาคี รมว.แรงงาน ขอนายจ้างสนับสนุนให้ลูกจ้างต่างด้าวมีส่วนร่วมในคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการตามกลไกระบบทวิภาคี เพื่อเป็นตัวแทนหารือนายจ้างจัดสวัสดิการที่เหมาะสมตรงกับความต้องการตามสัญชาติและได้รับการคุ้มครอง ดูแลสิทธิประโยชน์ตามหลักสิทธิมนุษยชน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในกิจการที่แรงงานขาดแคลนรวมถึงกิจการที่คนไทยไม่นิยมทำ รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความมุ่งมั่นพัฒนากลไกการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครอง ดูแลสิทธิของแรงงานต่างด้าวให้มีความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติสอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยสนับสนุนให้เข้าไปมีบทบาทในการแสดงความคิดเห็น ร่วมปรึกษาหารือกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการภายในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างตามสัญชาติได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเภทกิจการ ตรงตามความต้องการของลูกจ้างเอง มิใช่นายจ้างจัดการเพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ด้วยระบบทวิภาคี เพื่อยุติปัญหาข้อเรียกร้อง ข้อพิพาทแรงงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ได้มอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งเข้าไปดำเนินการส่งเสริมสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่างด้าวทำงาน สนับสนุนให้มีตัวแทนของลูกจ้างต่างด้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ เพื่อดูแลสิทธิประโยชน์อันพึงได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวจะได้มีตัวแทนประสานงานช่วยเหลือนายจ้างในการดูแลลูกจ้างต่างด้าวด้วยกันเองได้ จึงขอฝากถึงนายจ้างได้สนับสนุนให้ลูกจ้างต่างด้าวมีส่วนร่วมตามกลไกระบบทวิภาคีนี้ด้วย นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 96 ได้กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้างฝ่ายเดียวที่มาจากการเลือกตั้งอย่างน้อย 5 คน หากสถานประกอบกิจการที่มีคณะกรรมการลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์แล้ว ให้คณะกรรมการลูกจ้างนั้นทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการได้ซึ่งกรมได้เน้นย้ำไปยังหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศให้เข้าไปส่งเสริมสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่างด้าว ได้สนับสนุนให้มีตัวแทนลูกจ้างต่างด้าวเป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการด้วย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ สภาพการจ้าง การทำงานที่เหมาะสมครอบคลุมลูกจ้างทุกประเภทอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกจ้างในสถานประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถานประกอบกิจการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง มีผลผลิตที่มีคุณภาพ ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64798
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Joint Press Statement on the Official Visit to the Kingdom of Thailand by His Excellency Dato' Seri Anwar bin Ibrahim, Prime Minister of Malaysia 9 February 2023
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 Joint Press Statement on the Official Visit to the Kingdom of Thailand by His Excellency Dato' Seri Anwar bin Ibrahim, Prime Minister of Malaysia 9 February 2023 Joint Press Statement on the Official Visit to the Kingdom of Thailand by His Excellency Dato' Seri Anwar bin Ibrahim, Prime Minister of Malaysia 9 February 2023
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คิกออฟ ทดลองระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติด แบบไม่เปิดเผยตัวตน รับรางวัลนำจับเป็นสกุลเงินดิจิทัล “วิชัย” ชี้ ระบบมีชั้นความลับสูง
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คิกออฟ ทดลองระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติด แบบไม่เปิดเผยตัวตน รับรางวัลนำจับเป็นสกุลเงินดิจิทัล “วิชัย” ชี้ ระบบมีชั้นความลับสูง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คิกออฟ ทดลองระบบบล็อคเชน แจ้งเบาะแสยาเสพติด แบบไม่เปิดเผยตัวตน รับรางวัลนำจับเป็นสกุลเงินดิจิทัล “วิชัย” ชี้ ระบบมีชั้นความลับสูง เปิดดูได้คนเดียว ปิดช่องผู้ค้ารู้ตัวคนแจ้ง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อเวลา 14.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้บริหาร ป.ป.ส. แถลงข่าวการทดสอบระบบแจ้งเบาะแสยาเสพติด ผ่านระบบ Blockchain ที่สำนักงาน ป.ป.ส. นายวิชัย กล่าวรายงานว่า ระบบแจ้งเบาะแสยาเสพติด แบบไม่เปิดเผยตัวตน หรือ ระบบบล็อคเชน ได้ถูกพัฒนามาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการแจ้งเบาะแสยาเสพติด แต่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน เนื่องจากกังวลในเรื่องความปลอดภัย ก็สามารถมาใช้ระบบใหม่นี้ได้ ซึ่งจะมีชั้นความลับที่สูงมาก โดยระบบบล็อคเชน ประชาชนสามารถเข้าไปแจ้งเบาะแสได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ป.ส. รวมถึงคิวอาร์โค้ด ซึ่งใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ โดยในระบบนี้ จะให้ประชาชนแจ้งรายละเอียดข้อมูลของผู้ค้ายาเสพติด ทั้งสถานที่กระทำผิด ข้อมูลบุคคล ประเภททรัพย์สิน รูปถ่าย และวอลเล็ทแอดเดรสของผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งจะไม่สามารถยืนยันตัวตนคนแจ้งเบาะแสได้ และเมื่อข้อมูลแจ้งเบาะแส สามารถนำไปสู่การยึดทรัพย์เข้ากองทุนยาเสพติดได้ ผู้แจ้งจะได้รางวัลนำจับ 5% ผ่านวอลเล็ทแอดเดรส ที่แจ้งไว้ โดยสามารถนำสกุลเงินดิจิทัล ไปซื้อขายในตลาดได้ทันที โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเริ่มต้น ระบบให้ความปลอดภัยกับผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด เพราะที่ผ่านมา มีคนแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1386 น้อยมาก ซึ่งประเทศไทย มีกว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน แต่มีคนแจ้งมาเพียง 16,000 ครั้งเท่านั้น โดยไม่สอดคล้องกับที่ในสภาฯอภิปรายบ่อยครั้งว่า มียาเสพติดทุกหย่อมหญ้า แต่ทำไมมีคนแจ้งมาน้อยมาก ซึ่งตนก็มาคิดทบทวนว่า อาจจะมีปัจจัยอื่นด้วย อย่างการกลัวความไม่ปลอดภัย เพราะจากการลงพื้นที่ต่างๆ ตนมักจะได้รับเสียงสะท้อนว่า ที่ไม่กล้าแจ้งเบาะแส เพราะกลัวผู้ค้ายารู้ตัว และกลับมาทำร้าย นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อรู้ปัญหา จึงศึกษาเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้แจ้งเบาะแส มีความปลอดภัย ไม่มีใครรู้ตัวตน ซึ่งระบบนี้ จะมีเพียงเลขาธิการ ป.ป.ส.เท่านั้น ที่สามารถเปิดดูข้อมูลได้ โดยการศึกษาระบบบล็อคเชน ก็มาจากการเอาหนามยองเอาหนามบ่ง เพราะผู้ค้ายาเสพติด ได้ใช้ระบบบล็อคเชน ในการจ่ายเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบได้ เราจึงมีการใช้ระบบแบบเดียวกัน ให้ผู้แจ้งเบาะแสยาเสพติด เข้ามาชี้เบาะแสและรับรางวัลนำจับเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหมือนกัน “เราใช้เวลากว่า 7 สัปดาห์ ในการศึกษาร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งใช้งบไปเพียง 9 แสนบาท ก็สามารถพัฒนาระบบจนสามารถเริ่มใช้ได้แล้ว โดยผมเชื่อว่า ถ้าแจ้งแล้วเป็นความลับแบบนี้ จะมีคนแจ้งมาขึ้น เพราะไม่มีความอันตรายแล้ว ซึ่งจะทำให้เราสามารถเข้าถึงทรัพย์สินของผู้ค้ายาได้มากขึ้น ดังนั้น นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมปราบปรามยาเสพติด ผมมั่นใจว่า กระแสตอบรับจะดีมาก เพราะช่วยแก้ปัญหาข้อมูลผู้แจ้งหลุดไปถึงผู้ค้ายาได้อย่างสิ้นเชิง และเมื่อใช้ไปสักระยะ ก็จะต้องมีการปรับเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมยังมีเวลาอีกเดือนกว่า ก็อยากจะทำเรื่องนี้ให้สมบูรณ์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดแบบเชิงรุก” รมว.ยุติธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64806
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางและการขนส่งในพื้นที่จังหวัดราชบุรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และพบปะประชาชน เพื่อรับฟังความคิดเห็นและความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่ง พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ร่วมลงพื้นที่ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 ณ สำนักงานเทศบาลตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่และเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยการลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีครั้งนี้กระทรวงคมนาคม ได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการสำคัญต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัด และตรวจพื้นที่โครงการขอรับจัดสรรงบประมาณการก่อสร้าง ประจำปี 2566 ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง พร้อมทั้งเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มเติมในปี 2567 ในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงหมายเลข 3087 สายราชบุรี - แก้มอ้น กม.15+525 ถึง กม. 22+500, กม. 31+500 ถึง กม. 44+500, กม. 47+240 ถึง กม. 54+940 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เชื่อมต่อระหว่างอำเภอจอมบึง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งก่อสร้างจุดรอพักขึ้นรถโดยสาร ปรับปรุงระบบระบายน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่างและติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้ทาง ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะทำให้เส้นทางดังกล่าวมีความสะดวก คล่องตัว เพิ่มศักยภาพให้กับภาคเกษตรกรในการขนส่งสินค้าผลผลิต สนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64805
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข” ราชสีห์ผู้ภักดี ผู้น้อมนำแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ฯ “หมู่บ้านยั่งยืน” ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 “ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข” ราชสีห์ผู้ภักดี ผู้น้อมนำแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ฯ “หมู่บ้านยั่งยืน” ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีอย่างยั่งยืน “ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข” ราชสีห์ผู้ภักดี ผู้น้อมนำแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “หมู่บ้านยั่งยืน” ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีอย่างยั่งยืน “จากพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร ที่แวดล้อมไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรม ทำนา ทำสวน มองไปทางไหนก็เป็นดินลูกรัง ถนนปกคลุมไปด้วยฝุ่น ที่หากจะกล่าวว่าสักวันหนึ่งจะมีถนนหนทางที่สะดวก มีผู้คนมาท่องเที่ยว มาเยือน มายล มาจับจ่ายเลือกซื้อสิ่งของนั้น อาจเป็นได้เพียงความฝัน และยิ่งเมื่อต้องมาประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เฉกเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน และพลเมืองทั่วโลกแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นถึงหนทางแห่งการทำมาหากิน หรือเส้นทางที่จะทำให้ยังมีชีวิตอยู่ได้ หรือหากยังมีลมหายใจ คงเป็นเพียงลมหายใจอันน้อยนิด ที่รอวันจะต้องหมดลมลาหายตายจากโลกนี้ไป” ผู้ใหญ่บ้านโนนกอก สะท้อนด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ถึงความสิ้นหวังในช่วงเวลาหนึ่งของเหตุการณ์ในชีวิต นายอภิชาติ พลบัวไข หรือ “ผู้ใหญ่ต้น” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 18 บ้านโนนกอก ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ปราชญ์ชาวบ้านผู้มีใจที่มุ่งมั่น ผู้มี Passion แห่งการเป็นผู้นำ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” บอกเล่าย้อนความหลังเมื่อครั้งได้มาเป็นผู้ใหญ่บ้านครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 ว่า “บ้านโนนกอก มีพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เป็นเกษตรกร ในยามว่าง จึงได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็น “กลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก” เป็นกลุ่มทอผ้ากลุ่มเล็ก ๆ ที่มุ่งอนุรักษ์การทอผ้าขิด ผ้าไหม ผ้าฝ้าย นำภูมิปัญญาการทอผ้าแบบดั้งเดิมของคนในตำบลหนองนาคำ มาสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ซึ่งภูมิปัญญาการทอผ้าแบบดั้งเดิม คือ ยังใช้กี่ทอผ้า หรือ “หูก” ในการทอผ้า ด้วยเพราะ “ผู้ใหญ่ต้น” และชาวบ้านโนนกอกทุกคน ต่างมีแรงบันดาลใจจากงานศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในด้านผ้าไทยอย่างอเนกอนันต์นานัปการเคียงข้างหลักการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทำให้ชาวบ้าน รวมถึงคนไทยทุกคน สามารถพึ่งพาตนเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาอันน่าพิศวงหลงใหลที่เมื่อใครได้น้อมนำมาเป็นแนวทางการดำรงชีวิตต่างต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “ความยั่งยืน” เฉกเช่นเดียวกับที่บ้านโนนกอก ที่ชาวบ้านนำต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่อย่าง “ดอกบัวแดง” มาเป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ย้อมสีผ้า เมื่อผสมผสานกับวิถีชีวิต ภูมิปัญญาที่ได้รับมาแต่ครั้งบรรพบุรุษในด้านหัตถศิลป์หัตถกรรมการทอผ้า ทำให้ชาวบ้านโนนกอกมีฝีมือการทอผ้าที่หาที่ใดจะทำอาชีพเหล่านี้สืบต่อมาได้หลายชั่วอายุคน และมีลวดลายที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งลายขิดอีสาน ขิดลายนาค ลายกนกประตูโบสถ์วัดบ้านหนองนาคำ ลายขอเล็บแมว และลายขอขิดเกียง และสำหรับดอกบัวแดงที่นำมาย้อมนั้น ก็เป็นพืชพรรณที่อยู่ในลำห้วยเชียงรวงที่ไหลผ่านในหมู่บ้านโนนกอกเอง...แต่ถึงกระนั้น ชาวบ้านโนนกอกก็ไม่ต่างกับคนทั่วประเทศไทยและคนในทั่วทุกมุมโลก ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าในยุคที่โลกพัฒนาก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งจะยังเกิดเหตุการณ์นี้ได้ นั่นคือ “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” ส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน ต่อช่างทอผ้าทุกคน เพราะยอดจำหน่ายมีน้อยมาก น้อยจนหลายคนแทบจะเลิกการประกอบอาชีพนี้ไปแล้ว ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข ได้กล่าวต่ออีกว่า....แต่ทว่า ในความทุกข์ยากความลำบากของชาวบ้านโนนกอกในยุคโควิด-19 นั้น กลับมีแสงสว่างที่ส่องมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ บ้านโนนกอกแห่งนี้ ที่นับเป็นบุญอย่างใหญ่หลวงของพวกเราทุกคน คือ พระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่พระราชทานลายผ้า “ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” และ “ลายขิดนารีรัตนราชกัญญา” รวมถึงลวดลายอื่น ๆ ที่ทำให้พี่น้องช่างทอผ้าบ้านโนนกอกสามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนผ่านพ้นวิกฤต พลิกวิกฤตกลายเป็นโอกาส ด้วยยอดสั่งและซื้อผ้าหลายสิบล้านบาท เมื่อเฉลี่ยเป็นรายบุคคล จากเดิมชาวบ้านมีรายได้เพียงเดือนละ 3,000 บาท กลายเป็นเดือนละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท และยิ่งผืนผ้าของบ้านโนนกอกได้รับพระราชทานเหรียญรางวัล ซึ่งเป็นผืนผ้าทอจากสีธรรมชาติและได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นและผลิตโดยคนในชุมชน คือ สีดำที่ย้อมจากดอกบัวแดงตากแห้งหมักดินโคลน ถักทอลวดลายพระราชทาน เพียงแค่ “ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ทุกวันนี้ชาวบ้านในชุมชนยังผลิตแทบไม่ทัน และหากจะกล่าวถึงการส่งผลงานเข้าประกวดลายขิดนารีรัตนราชกัญญา ยิ่งไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะยอดสั่งจองลวดลายพระราชทานลายแรกนั้นทำแทบไม่ทันจริง ๆ นอกจากนี้ พระดำริในการส่งเสริมผ้าไทย ยังทำให้เกิดประโยชน์อันมหาศาลครบทุกกระบวนงานการผลิตการทอผ้า นั่นคือ ทั้งคนปลูกดอกบัวแดง คนเก็บดอกบัว คนนำมาตากแห้ง คนย้อมไหม คนทอผ้า คนซัก คนขาย ทุกคนต่างมีอาชีพ มีรายได้ จากการนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาส่งเสริมเป็นอาชีพและต่อยอด ทำให้ชีวิตดีขึ้น ครอบครัวดีขึ้น และชุมชนดีขึ้น “นอกจากนี้ บ้านโนนกอกในวันนี้ ได้สร้างสรรค์ประโยชน์อย่างมากมายให้กับคนในชุมชน จากหมู่บ้านที่ไม่มีอะไร จนกลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม มาจับจ่ายใช้สอย มาซื้อ มาเลือกหาของ ทำให้ทั้งแม่ค้าในตลาดชุมชน เกษตรกรคนปลูกผัก หรือแม้แต่ชาวบ้านที่พักอาศัยในบ้านเรือน ก็มีรายได้จากนักท่องเที่ยว ด้วยเพราะ “พื้นฐานการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย” ตามหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทำให้เกิดคำว่า “พึ่งตนเอง” ทั้งการน้อมนำศาสตร์พระราชาและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา มาทำในแปลงรวมของชุมชนบริเวณศูนย์เรียนรู้กลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก การปลูกผักสวนครัวในทุกครัวเรือนตามพระราชดำริ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” รวมไปถึงการแยกขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนครบ 100% ในทุกครัวเรือน ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า ขยะเปียก เกิดประโยชน์ทั้งเป็นอาหารสัตว์ และเป็นอาหารบำรุงดิน บำรุงพืช ซึ่งสามารถมองเห็นแปลงผักทุกครัวเรือน มีตัวอย่างเช่น กะหล่ำ ผักกาดดอก ผักชีไทย ผักชีลาว หอมพื้นบ้าน กระเทียม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กวางตุ้ง เขียวปลี ตั้งโอ๋ เป็นต้น” ผู้ใหญ่อภิชาติฯ กล่าว ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า วิถีชีวิตของชาวบ้านโนนกอกมีประเพณีวัฒนธรรมเช่นเดียวกับคนอีสานที่เกิดจากพลังศรัทธา จากการประชาคมหมู่บ้าน นั่นคือ ฮีต 12 คอง 14 ซึ่งเป็นประเพณีที่พันผูกกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องบอกว่า หากย้อนไปหลายปีก่อน ความเจริญทางวัตถุได้แผ่ขยายเข้ามาจนทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านห่างไกลจากคำว่า “สวดมนต์ไหว้พระ” ด้วยเหตุผลนานาประการ และวัดในชุมชนเองก็ไม่มีการทำวัตรสวดมนต์ จึงเกิดการประชาคมร่วมกันของคนในหมู่บ้าน และก่อร่างสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ คือ การสร้างวัดใหม่ชัยมงคลบ้านโนนกอก บนพื้นที่ 6 ไร่ จากราคา 3 ล้านบาท ชาวบ้านได้ร่วมกันทำบุญ ทอดกฐิน ผ้าป่า จนปัจจุบันนี้คงเหลือค่าที่ดินที่ชาวบ้านยังคงร่วมกันทำบุญอย่างต่อเนื่องอีกเพียงประมาณ 8 แสนบาท แต่ทั้งนี้ ประการสำคัญ คือ บ้านโนนกอกมีภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนาที่เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใส คือ “หลวงพ่อบุญเที่ยง” ทำให้ชาวบ้านโนนกอกมีศูนย์รวมจิตใจ มีสถานที่พึ่งพิงทางใจ และเป็นพื้นที่ชุมชนแห่งความรัก ความสามัคคี ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ที่หากใครอยากสัมผัสก็สามารถแวะเวียนมาท่องเที่ยวทั้งไป-กลับ และท่องเที่ยวลักษณะโฮมสเตย์แบบวิถีชีวิตชาวโนนกอก ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า ชาวโนนกอกไม่เคยลืมโอกาสที่พวกเราได้รับจากท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และท่านวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานชมรมแม่บ้านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ได้มาเยี่ยมเยือนขณะที่พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นลูกรัง โดยทั้งสองท่านเป็น “ผู้นำ” คนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและให้โอกาสกลุ่มทอผ้าได้ทำงาน ได้เปิดโอกาสตัวเองได้นำเสนอภาพที่เป็นอัตลักษณ์ของบ้านโนนกอก อัตลักษณ์ของจังหวัดอุดรธานี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทอผ้าบ้านโนนกอกได้เข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP และทำให้ดินแดนที่ไม่มีแม้แต่ภูเขาหรือแม่น้ำ ได้รับการพัฒนาต่อยอดกลายเป็นชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ซึ่งเป็นการจุดประกายของการทำผ้า ทำให้ชาวบ้านในชุมชนจากที่ไม่มีอาชีพที่ชัดเจน กลายเป็นทุกวันนี้ ทุกคนประกอบอาชีพ “ช่างทอผ้า” และกล้าที่จะบอกกับทุกคนว่า “ฉันเป็นช่างทอผ้า” ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของศูนย์เรียนรู้กลุ่มทอผ้าโบราณบ้านโนนกอก คือ “การเป็นผู้นำต้องทำก่อน” ของท่านผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข ที่เป็นผู้นำของชุมชน เป็นราชสีห์ผู้มี “ใจรุกรบ” มุ่งมั่น “พัฒนาคน” ให้ “คนพัฒนาพื้นที่” ด้วยการริเริ่มรณรงค์ส่งเสริมพาสมาชิกในชุมชนที่แต่เดิมนั้นไม่มีอาชีพที่ชัดเจน จนทำให้ทุกวันนี้ได้ประกอบอาชีพเป็นช่างทอผ้า มีรายได้ที่ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคง และประการสำคัญที่สุด คือ “หัวใจแห่งความจงรักภักดี” ที่น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี รวมถึงพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทุกพระราชกรณียกิจของทุกพระองค์ ได้รับการส่งต่อในการสืบทอดพระราชปณิธานด้วยพระปรีชาชาญและพระอัจฉริยภาพอันเปี่ยมล้นด้วยพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐที่ทรงชุบชีวิตผ้าไทยให้มีลมหายใจ ผ่านพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ปลุกชีวิตกี่ทอผ้าให้มีเสียงกระทบดังอย่างต่อเนื่อง และพระราชทานแนวพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” มาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยที่ “ผู้ใหญ่อภิชาติ พลบัวไข” ได้น้อมนำมาใส่เกล้าใส่กระหม่อม มุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนพัฒนาพื้นที่หมู่บ้านโนนกอก จนกลายเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน” จึงทำให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และผู้ใหญ่อภิชาติ บัวไข ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านดีเด่น ประจำปี 2565 ของจังหวัดอุดรธานี และเป็นผู้ใหญ่บ้านแหนบทองคำ ที่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้า สร้างสรรค์บ้านเมืองของหมู่บ้านโนนกอก ให้เป็นบ้านโนนกอกของชาวโนนกอกอย่างแท้จริง ด้วยหัวใจแห่งการเป็นราชสีห์ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่เคยลืมที่จะสำนึกว่า บ้านโนนกอก สามารถลืมตาอ้าปากและมีชีวิตได้ยั่งยืนได้เพราะใคร “เพราะพระบารมี” นั่นเอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมงานสัมมนา “สานพลังยกระดับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดิน”
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมงานสัมมนา “สานพลังยกระดับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดิน” รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมงานสัมมนา “สานพลังยกระดับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดิน” วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมงานสัมมนา “สานพลังยกระดับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดิน” ณ ห้องประชุมแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาฯ และกล่าวปาฐกถา “นโยบายรัฐบาลในการบริหารจัดการ ที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไทยในอนาคต” การสัมมนาดังกล่าว เพื่อร่วมรับฟังการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และร่วมรับฟังการเสวนา หัวข้อ การปรับปรุงแผนที่ “One map” เทคโนโลยี “ศูนย์ข้อมูลด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไทย” และการบริหารจัดการที่ดิน “แนวทางการสร้างมูลค่าที่ดิน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย-ธปท.-ภาคเอกชน ร่วมมือภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสนับสนุน “มาตรการสินเชื่อ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย-ธปท.-ภาคเอกชน ร่วมมือภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสนับสนุน “มาตรการสินเชื่อ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย-ธปท.-ภาคเอกชน ร่วมมือภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสนับสนุน “มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว” ขยายวงเงินกู้สูงสุด 150 ล้านบาท เสริมศักยภาพ SMEs รับธุรกิจโลกยุ วันที่ 10 ก.พ. 66 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณในความร่วมมือของสมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคเอกชน ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาคมธนาคารไทยได้ร่วมมือกับ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการในระยะสั้น โดยสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้ถึง 7.7 หมื่นราย วงเงินรวม 1.4 แสนล้านบาท มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ให้ความช่วยเหลือ 5.9 หมื่นราย คิดเป็นยอดอนุมัติสินเชื่อกว่า 2.1 แสนล้านบาท มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ให้ความช่วยเหลือ 413 ราย คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอนราว 5.8 หมื่นล้านบาท รวมถึงมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ที่ช่วยเหลือลูกค้าแก้ไขปัญหาหนี้ได้ตรงจุด ทันการณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ผ่านวิกฤต มีความพร้อมกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน นายอนุชาฯ กล่าวว่า ล่าสุดประธานสมาคมธนาคารไทยระบุ แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยาวนาน เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดบริบทโลกใหม่ (New Normal) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ เพื่อรับกับทิศทางธุรกิจในอนาคต จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนออกมาตรการ “สินเชื่อเพื่อการปรับตัว” ต่อยอดจากสินเชื่อฟื้นฟู ภายใต้ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ สำหรับการลงทุนปรับปรุง พัฒนาและเสริมศักยภาพธุรกิจให้สอดรับกับ New Normal ใน 3 รูปแบบ คือ 1. กระแสเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital) 2. การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) 3. นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต (Innovation) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ธุรกิจของโลก ทั้งนี้ มาตรการ “สินเชื่อเพื่อการปรับตัว” เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการลงทุนสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ในช่วงที่เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวและทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดย ธปท. ได้ปรับหลักเกณฑ์ขยายวงเงินกู้สูงสุด 150 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก ไม่เกิน 2% ต่อปี และเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกิน 5% ต่อปี ขณะที่เงื่อนไขการค้ำประกันยืดหยุ่นขึ้น เพื่อเอื้อต่อการเข้าถึงสินเชื่อและส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย สำหรับ SMEs ที่ไม่มีความประสงค์ในการกู้เพื่อลงทุนใหม่ สามารถขอสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อหมุนเวียนทั่วไป ผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่ยังดำเนินการควบคู่กันได้ ปัจจุบันมีสถาบันการเงินที่ได้จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อการปรับตัวแล้วจำนวน 16 แห่ง โดยผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์ขอสินเชื่อเพื่อการปรับตัว สามารถติดต่อสถาบันการเงินได้โดยตรง ดูรายชื่อสถาบันการเงินและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. ได้ที่ มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว ภายใต้ พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ (bot.or.th) “นายกรัฐมนตรียินดีที่สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนมาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว อย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า SMEs หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำงานเรื่อง SMEs จะต้องทำให้ SMEs เดินหน้าต่อไปให้ได้ โดยรัฐบาลจะสนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงการดูแลช่วยเหลือต่าง ๆ จากภาครัฐให้ได้มากที่สุด” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองกาฬสินธุ์ เปิดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว ประจำปี 2566 สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและขับเคลื่อนการท่องเที่ยววิถีไทย เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 พ่อเมืองกาฬสินธุ์ เปิดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว ประจำปี 2566 สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและขับเคลื่อนการท่องเที่ยววิถีไทย เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน พ่อเมืองกาฬสินธุ์ เปิดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว ประจำปี 2566 สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและขับเคลื่อนการท่องเที่ยววิถีไทย เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน วันนี้ (9 ก.พ. 66) นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ได้จัดพิธีเปิดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว ประจำปี 2566 ณ วัดเศวตวันวนาราม บ้านโนนสำราย หมู่ที่ 1 ตำบลเหนือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมี นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวกาฬสินธุ์ ร่วมในงานจำนวนมาก นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า งานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว ปราสาทรวงข้าว ของจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 - 12 เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสาน ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น และเป็นการสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนจังหวัดกาฬสินธุ์เห็นถึงความสำคัญของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทยในพื้นที่ ซึ่งงานปราสาทรวงข้าวได้ถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของปราสาทรวงข้าวมากมาย ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวตำบลเหนือ และพี่น้องประชาชนจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง “การจัดงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ต้องขอขอบคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านทุกคนทุกหมู่บ้าน ที่พร้อมใจช่วยกันจัดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าวในปีนี้ ด้วยการนำรวงข้าวของแต่ละบ้านมาประดับตกแต่งก่อสร้างเป็นปราสาทรวงข้าวด้วยศิลปะอีสานแขนงต่างๆ จนกลายเป็นปราสาทรวงข้าวที่วิจิตรสวยงาม โดยใช้สถานที่วัดเศวตวันวนาราม ซึ่งวัดเปรียบเสมือนเป็นจุดศูนย์กลางของการยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย ซึ่งในการประดับตกแต่งนั้นใช้ระยะเวลาการประกอบสร้าง มากกว่า 3 เดือน เป็นการสืบสานประเพณีตามฮีตสิบสอง คองสิบสี่ แสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคีของพี่น้องประชาชนชาวกาฬสินธุ์ เป็นประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริมให้อยู่คู่กับคนไทยและจังหวัดกาฬสินธุ์ต่อไป” นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าว นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานสืบสานประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญข้าว นอกจากจะเป็นส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์และประเทศไทยแล้ว ประชาชนที่มาร่วมงานต่างพร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทย ชุดตามอัตลักษณ์ของพื้นถิ่นของจังหวัดกาฬสินธุ์ อันเป็นการน้อมนำพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยที่เป็นมรดกของชาติ เพื่อส่งเสริมให้คนในชาติ ในท้องถิ่น ได้เกิดความรักและภาคภูมิใจในงานหัตถศิลป์ของไทย ชุมชนพึ่งตนเองได้ เป็นการสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Joint Press Statement on official visit to Thailand by Prime Minister of Malaysia
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 Joint Press Statement on official visit to Thailand by Prime Minister of Malaysia Joint Press Statement on official visit to Thailand by Prime Minister of Malaysia February 9, 2023, at 1820 hrs, at the Inner Santi Maitri Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha delivered a Joint Press Statement together with Dato’ Seri Anwar Ibrahim, Prime Minister of Malaysia, on occasion of the latter’s official visit to Thailand as guest of the Thai Government. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the Joint Press Statement as follows: The Prime Minister welcomed Malaysian Prime Minister on his introductory visit to Thailand upon assumption of duty in November 2022. As a friend of Thailand, the Malaysian Prime Minister has contributed to the deepening of relations and cooperation between the two countries. Amidst various challenges the region is facing, Thailand and Malaysia need to work closely together for the best interest of the people of both countries. Both leaders also had the opportunity to exchange views on the current international and regional challenges and expressed satisfaction with the longstanding cordial relations between Thailand and Malaysia. They reaffirmed their commitment to further deepen the bilateral cooperation and collaboration at all levels, and to seek new cooperation for Thailand-Malaysia border area to become peaceful and prosperous “Golden Land”. Connectivity: The two leaders underscored the importance of seamless and comprehensive connectivity on cross-border socio-economic activities between Thailand and Malaysia. They also expressed willingness to accelerate the progress of pending border connectivity projects, especially the construction of the Road Alignment Linking CIQ Sadao - ICQS Bukit Kayu Hitam and the new bridges across Golok River. Both Thailand and Malaysia reaffirmed commitment to enhance cooperation in IMT-GT. Economic cooperation: The two leaders agreed to continue working closely in promoting an increase in trade and investment. This is to achieve the bilateral trade target of USD 30 billion by 2025. Border area development: The two leaders exchanged views to intensify efforts in establishing linkages between the Special Economic Zones (SEZs) in the Southern Border Provinces of Thailand and the northern states of Malaysia to further promote long-term investment, economic and social development for the people in the border areas, so as to uplift their livelihoods and well-being. They underlined the importance of strengthening supply chains to further promote the rubber industry, SMEs and industrial development, as well as human capacity building, in the border areas of the two countries. People-to-people relations: especially social and cultural cooperation and also in the fields of education, science, technology and innovation. The Thai Prime Minister also expressed his appreciation that visitors from Malaysia formed the largest number of international tourists arriving in Thailand in 2022. Regional and international cooperation: With regards to regional and international cooperation for peace, security, stability, and regional prosperity, the two leaders exchanged view on regional and global development, and affirmed commitment to promote ASEAN's centrality and solidarity in overcoming global challenges of geo-political, and socio-economic changes. The Prime Minister reaffirmed Thailand’s intent to work closely together with Malaysian Prime Minister and Government at all levels in advancing cooperation toward tangible results without leaving anyone behind, which is in line with “Malaysia Madani”, the concept initiated by the Malaysian Prime Minister to drive and restore Malaysia’s dignity and glory in the global arena without leaving anyone behind. The Prime Minister also encouraged private sectors to interact more, and expressed hope that the Malaysian Government would take good care of the Thai private sector in Malaysia. Afterwards, the Prime Minister led Malaysian Prime Minister to the handicraft exhibition at the Central Hall, Santi Maitri Building, before hosting dinner in honor of the Malaysian Prime Minister and spouse. Both leaders also welcomed the exchange of (1) Memorandum of Understanding between Electricity Generating Authority of Thailand (EGAT) and Tenaga Nasional Berhad (TNB) in relation to the setting up of a Joint Working Committee for feasibility studies on proposed enhancement of the interconnection capacity between Peninsular Malaysia and Thailand; (2) Memorandum of Understanding between TNB Renewables Sdn. Bhd. ("TRe") and Planet Utility Co., Ltd ("Planet Utility") in relation to the proposed collaboration to explore potential renewable energy and power generation technologies opportunities in Thailand; (3) Memorandum of Understanding between TNB Power Generation Sdn. Bhd.("GenCo") and B.Grimm Power Public Co., Ltd ("B.Grimm") in relation to the proposed exploration of any opportunities for collaboration, participation and development of renewable power projects in South East Asia Region; and (4) Memorandum of Understanding between Malaysia Digital Economy Corporation SDN. BHD (MDEC) of Malaysia and Digital Economy Promotion Agency (depa) of Thailand.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด พร้อมขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 นายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ย้ำความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด พร้อมขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ โดยเฉพาะการค้า และการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 16.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (The Honourable Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย โดยผู้นำไทยและมาเลเซียได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จากนั้น นายกรัฐมนตรีเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปยังห้องสีงาช้างด้านนอก เพื่อลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ ในเวลา 17.20 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยฝ่ายไทยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม ดังนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และคณะผู้แทน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนภาคพื้นทวีป สะท้อนความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์โดยธรรมชาติ (Natural Strategic Partners) และการเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดในครอบครัวอาเซียน โดยการเยือนในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้หารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน และผลักดันโครงการที่คั่งค้างให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมวิสัยทัศน์ “มาเลเซีย มาดานี” (Malaysia Madani) ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความก้าวหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของรัฐบาลไทย และเป็นพื้นฐานที่สำคัญในความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีมาเลเซียขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น ยินดีที่ไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์และความร่วมมือที่แน่นแฟ้นในทุกมิติ โดยไทยถือเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียชื่นชมความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีในการส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้มีก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมาเลเซียพร้อมให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างเต็มที่เช่นกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียชื่นชมศักยภาพของไทยในด้านความมั่นคงทางด้านอาหาร และการแสวงหาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนจากนานาประเทศ โดยมาเลเซียพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีจากไทย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้หารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้ การส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่โอกาสทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องวางรากฐานพื้นที่บริเวณชายแดนให้เป็น “เสาหลักแห่งความมั่งคั่งร่วมกัน” (pillar of prosperity) พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และ 4 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย ให้มีความสงบสุข มั่งคั่ง มีความเจริญ เป็น “แผ่นดินทอง” (golden land) ที่แท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเร่งรัดโครงการพัฒนาพื้นที่ชายแดนที่สำคัญให้มีความคืบหน้า ได้แก่ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนไทยและมาเลเซีย โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่ของไทยกับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย และการก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลก – รันเตาปันยัง แห่งที่ 2 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและการค้าข้ามแดน กระตุ้นเศรษฐกิจไทยและมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด โดยมาเลเซียจะเร่งดำเนินการลดอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้โครงการเหล่านี้มีความคืบหน้าและประชาชนของทั้งสองประเทศจะได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้และความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ โดยเน้นการสร้างความมั่นคงควบคู่กับการพัฒนาอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของการเคารพความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ตามหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และพยายามดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงสนับสนุนกิจกรรมแลกเปลี่ยนระดับเยาวชนระหว่างทั้งสองประเทศ 2) ความมั่นคง โดยมีเป้ามายหลักในการยุติความรุนแรงในพื้นที่ และ 3) การพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ ทางด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมมีความร่วมมือกับฝ่ายไทย ซึ่งรวมถึงความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลและบูรณาการด้านข่าวกรองระหว่างกัน ตลอดจนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับประสิทธิภาพความมั่นคงชายแดน ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน อันเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับการขจัดหรือลดอุปสรรคทางการค้าการลงทุนทั้งระบบ พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะด้านความมั่นคงพลังงาน และการซื้อขายพลังงาน รวมถึงความร่วมมือในสาขาใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมขยายความร่วมมือกับฝ่ายไทยมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือในการส่งออกน้ำมันปาล์ม สำหรับประเด็นการสมัครเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket ของไทย นายกรัฐมนตรีขอให้มาเลเซียสนับสนุนไทยในการสมัครเป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวด้วย ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งยังไม่เคยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงานในระดับ Expo ตลอดจนเป็นพื้นที่ให้ทุกประเทศได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม นำเสนอจุดแข็งของตัวเอง ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคตและคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียพร้อมให้การสนับสนุนไทยอย่างเต็มที่ โดยเห็นว่าจังหวัดภูเก็ตของไทยมีความพร้อมในทุกด้าน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวหลายครั้ง เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาอย่างเปิดกว้างและสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องกันในการกระชับความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับผลกระทบจากความท้าทายในสถานการณ์โลก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64757
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญ ตลาดแรงงานไทยขยายตัวขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ เชื่อมั่นการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลจะส่งเสริมความมั่นคงทางการงานให้ประชาชนไทยได้อีกทางหนึ่ง
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 10/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญ ตลาดแรงงานไทยขยายตัวขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ เชื่อมั่นการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลจะส่งเสริมความมั่นคงทางการงานให้ประชาชนไทยได้อีกทางหนึ่ง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญ ตลาดแรงงานไทยขยายตัวขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ เชื่อมั่นการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลจะส่งเสริมความมั่นคงทางการงานให้ประชาชนไทยได้อีกทางหนึ่ง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการยกระดับ พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพเยาวชน และแรงงานไทย ที่ถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของประเทศ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ผลักดันพัฒนาแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” เพื่อเตรียมความพร้อม และส่งเสริมการเข้าสู่ตลาดแรงงานของนักเรียน นักศึกษา เพื่อ สร้างความมั่นคงด้านอาชีพ รายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล กระทรวงแรงงาน ได้จัดทำฐานข้อมูล (Big data) ในการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถใช้บริการเพื่อค้นหาตำแหน่งงาน ทั้งจากภาครัฐ งานทั่วไป และจากบริษัทจัดหางาน ที่ตรงกับความต้องการ ความรู้ ความสามารถ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้จัดการอบรมการใช้งานแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ ให้สถานศึกษาภาครัฐ และเอกชนในสังกัดกว่า 900 แห่ง เพื่อให้ทราบช่องทางการใช้บริการจัดหางาน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตำแหน่งงาน ซึ่งในแพลตฟอร์ม ‘ไทยมีงานทำ’ ได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งตำแหน่งงาน รวมไปถึงข้อมูลของตำแหน่งงาน ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าจ้าง สถานที่ทำงาน คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เพื่อประกอบการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังสามารถใช้แพลตฟอร์มเพื่อค้นหาหลักสูตรการฝึกอบรม ในการเพิ่มพูนทักษะการประกอบอาชีพได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย "นายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงความสำคัญของตลาดแรงงานไทยที่ขยายตัวขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ การพัฒนาแพลตฟอร์มนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งผู้จ้างงาน และผู้ที่ต้องการหางาน ส่งเสริมความมั่นคงทางการงานให้กับคนไทย รวมทั้งยังจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษา เข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยที่มีงานรองรับ พัฒนาศักยภาพ ให้มีความรู้ ความสามารถ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดแรงงาน ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต และการพัฒนาประเทศ " นายอนุชาฯกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้ที่ https://smartjob.doe.go.th/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า บูรณาการเตรียมพร้อมจัดมหกรรม PATTAYA MUSIC FESTIVAL 2023
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า บูรณาการเตรียมพร้อมจัดมหกรรม PATTAYA MUSIC FESTIVAL 2023 ... กรมเจ้าท่า บูรณาการเตรียมพร้อมจัดมหกรรม PATTAYA MUSIC FESTIVAL 2023 ย้ำทางน้ำต้องปลอดภัย ไม่ทำลายพื้นที่ชายหาด ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า กำกับ ดูแล และอำนวยความสะดวกความปลอดภัยทางน้ำ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา เข้าร่วมประชุม Pattaya music festival 2023 โดยนายเอกราช คันธโร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา มอบหมายให้ งานตรวจการขนส่งทางน้ำ โดยนายมนัส คชรัตน์ เจ้าพนักงานขนส่งปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดงานตรวจการ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมทัพพระยา ศาลาว่าการเมืองพัทยา ในการเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรม (Pattaya music festival 2023) โดยมีประเด็นและเนื้อหาการประชุมการจัดงานแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ ดังนี้ 1.สัปดาห์ที่ 1 วันที่ 3 - 5 มีนาคม 2566 จำนวน 3 เวที ณ ชายหาดพัทยาเหนือ 2.สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 10 -11 มีนาคม 2566 จำนวน 1 เวที ณ ชายหาดจอมเทียน (ตรงข้าม รร.เดอะนาว) 3.สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 17-18 มีนาคม 2566 ณ ชายหาดพัทยาเหนือ และวันที่ 18 มีนาคม 2566 จำนวน 1 เวที ณ หาดแสม พื้นที่เกาะล้าน 4.สัปดาห์ที่ 4 วันที่ 25-26 มีนาคม 2566 จำนวน 1 เวที ณ ชายหาดพัทยาเหนือ ทั้งนี้ ในส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องของกรมเจ้าท่า ได้มีการเน้นย้ำในที่ประชุมฯ ให้มีความพร้อมด้านการจัดการความปลอดภัยทางน้ำและการกวดขันบริเวณพื้นที่เสี่ยงให้มีความปลอดภัย ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางน้ำ รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาดชายหาดในพื้นที่ ต้องทำให้ชายหาดกลับคืนสู่สภาพเป็นปกติ เนื่องจากเป็นพื้นที่สาธารณะประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหนุนนักลงทุนไทยบุกตลาดต่างประเทศ เปิดหลักสูตรอบรม TOISC รุ่นที่ 21 สร้างเครือข่าย
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 บีโอไอหนุนนักลงทุนไทยบุกตลาดต่างประเทศ เปิดหลักสูตรอบรม TOISC รุ่นที่ 21 สร้างเครือข่าย บีโอไอสนับสนุนผู้ประกอบการไทยหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ เปิดหลักสูตร“สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” TOISC รุ่นที่ 21 เพื่อมุ่งยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเชิญวิทยากร-นักธุรกิจชั้นนำมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การลงทุนในต่างประเท บีโอไอหนุนนักลงทุนไทยบุกตลาดต่างประเทศ เปิดหลักสูตรอบรม TOISC รุ่นที่ 21 สร้างเครือข่าย บีโอไอสนับสนุนผู้ประกอบการไทยหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ เปิดหลักสูตร“สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” TOISC รุ่นที่ 21 เพื่อมุ่งยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเชิญวิทยากร-นักธุรกิจชั้นนำมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างความพร้อมการขยายธุรกิจและสร้างเครือข่ายในตลาดโลก นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าบีโอไอเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยสู่การทำธุรกิจในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทของบีโอไอที่ต้องดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการไทยในประเทศให้สามารถเติบโตไปสู่ตลาดต่างประเทศ จึงได้เปิดหลักสูตรอบรม "สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” หรือ TOISC รุ่นที่ 21เพื่อยกระดับการลงทุน และการบริหารการจัดการธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้แก่เจ้าของธุรกิจ ทายาทธุรกิจและระดับผู้บริหารให้สามารถวางกฎระเบียบวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่สำคัญและแสวงหาโอกาสสำหรับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ หลักสูตรดังกล่าวนี้ จะเจาะลึกทุกเรื่องที่จำเป็นในการลงทุน โดยถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ทั้งเรื่องเทคนิคการสร้างความสัมพันธ์ การเจรจาเชิงธุรกิจ การพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อเชื่อมสัมพันธ์การลงทุน การออกแบบธุรกิจเพื่อการลงทุนในต่างประเทศให้เหมาะสมกับตลาดนั้น ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางตลาดโลกและแนวโน้มของตลาดใหม่ ความรู้เรื่องกฎหมาย ภาษี พิธีการทางศุลกากรในต่างประเทศ ข้อควรระวังเรื่องการจัดทำเอกสารความตกลงต่าง ๆ การหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ต่างประเทศให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับของธุรกิจไทยที่เติบโตในต่างแดน มีกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อการลงทุน รวมทั้งมีกิจกรรมศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย สำหรับปี 2566 จะเน้นเส้นทางการลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งผู้ประกอบการจะได้เข้าพบหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสมาคมต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่อรับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ เยี่ยมชมสถานที่ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สำรวจย่านเศรษฐกิจการค้า และตลาดท้องถิ่น พร้อมเส้นทางโลจิสติกส์ และกิจกรรม TOISC Networking Day เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก TOISC ทุกรุ่นที่มาร่วมงานผ่านกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ "ปัจจุบันนักลงทุนไทยให้ความสำคัญและมีความสนใจกับการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในภาคการผลิต เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงภาคบริการของไทยเช่น พลังงานทดแทน การบริหารจัดการคลังสินค้าหรือโลจิสติกส์ และธุรกิจซอฟต์แวร์ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเป็นหลัก เช่น สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย แต่ในระยะหลังได้มีการขยายการลงทุนไปยังกลุ่มตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเช่น แถบเอเชียใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศซาอุดิอาระเบียมีผู้ประกอบการสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งหลักสูตรในปีนี้บีโอไอได้ออกแบบการฝึกอบรมให้ตรงกับบริบทในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการต้องการ ใช้เวลาในการอบรมระยะสั้นเพียง 45 ชั่วโมง และมีกิจกรรมศึกษาลู่ทางการค้าและการลงทุนเพื่อเชื่อมโยงการลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเดินทางไปประเทศเวียดนามระหว่างวันที่ 27 - 31 มีนาคม 2566ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้สัมผัสประสบการณ์ลงทุนจริงผ่านการเดินทางไปพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐ” นางสาวซ่อนกลิ่นกล่าว ทั้งนี้ บีโอไอ โดยกองพัฒนาผู้ประกอบการไทยได้ดำเนินการสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดสัมมมนา การนำนักลงทุนไปสำรวจลู่ทางการลงทุนในประเทศเป้าหมาย รวมถึงการดำเนินโครงการศูนย์พัฒนาการลงทุนไทยในต่างประเทศ หรือ Thai Overseas Investment Support Center: TOISC ผ่านหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ซึ่งดำเนินการอบรมมาแล้วจำนวน 20 รุ่น สำหรับหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” TOISC รุ่นที่ 21 เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่ วันนี้ - 17 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งจะคัดเลือกโดยการสัมภาษณ์วันที่ 27 – 28 กุมภาพันธ์ และ 1 มีนาคม 2566 โดยเริ่มอบรมระหว่างมีนาคม – มิถุนายน 2566 (เฉพาะวันศุกร์และเสาร์) ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่https://shorturl.asia/HZEK1 หรือสอบถามรายละเอียด โทร 089 455 8805, 089 536 8022อีเมล [emailprotected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองร้อยเอ็ด ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา ตามโครงการ "โคก หนองนา แห่งน้ำใจ และความหวัง กรมราชทัณฑ์" เผยวิถีแห่งความพอเพียง คือ หนทางที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 พ่อเมืองร้อยเอ็ด ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา ตามโครงการ "โคก หนองนา แห่งน้ำใจ และความหวัง กรมราชทัณฑ์" เผยวิถีแห่งความพอเพียง คือ หนทางที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต พ่อเมืองร้อยเอ็ด นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา ตามโครงการ "โคก หนองนา แห่งน้ำใจ และความหวัง กรมราชทัณฑ์" เผยวิถีแห่งความพอเพียง คือ หนทางที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยถึงการเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน พร้อมถ่ายทำวีดิทัศน์ โคก หนอง นา ตามโครงการ "โคกหนองนาแห่งน้ำใจ และความหวัง กรมราชทัณฑ์" พัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ แปลงของ นายก่อเกียรติ แก้วนาคูณ ณ หมู่ที่ 5 ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ และเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ โคก หนอง นา ต้นแบบแปลงของนางศิรินทิพย์ คูเปอร์ หมู่ที่ 6 ตำบลบ่อพันขัน อำเภอสุวรรณภูมิ โดยมี นายพิศ นันทพูนพิพัฒน์ พัฒนาการจังหวัดร้อยเอ็ด นายไพสันต์ ขุ่ยรานหญ้า ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดร้อยเอ็ด นางสาววิภาดา รัตนโรจนา ประชาสัมพันธ์จังหวัดร้อยเอ็ด และคณะร่วมตรวจเยี่ยม นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ โคก หนอง นา มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2564-2566 รวมทั้งสิ้น 2,607 แปลง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์สู่การปฏิบัติ ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในส่วนของผลการดำเนินงานนั้น จังหวัดร้อยเอ็ดมีแปลงโคก หนอง นา ต้นแบบที่เป็นแหล่งเรียนรู้และสามารถขยายผลได้ทุกอำเภอครบทั้ง 20 อำเภอ อีกทั้งยังมีการบูรณาการจัดกิจกรรมที่ดำเนินการ ยกตัวอย่างเช่น การเอามื้อสามัคคี การพัฒนาผลผลิต การแปรรูป การส่งเสริมช่องทางการตลาด และการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น สำหรับโครงการ "โคกหนอง นา แห่งน้ำใจ และความหวัง กรมราชทัณฑ์" จังหวัดร้อยเอ็ดมีผู้ผ่านโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 4 ราย และมีแปลงโคกหนองนาที่ประสบความสำเร็จสามารถสร้างรายได้มากกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน รวมถึงสามารถสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน และนอกชุมชนด้วย นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวเพิ่มเติมว่า จากพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด นั่นก็คือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ ซึ่งพระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว และทรงแน่วแน่ในการน้อมนำเอาแนวคิด หลักคิด วิธีการ มาเผยแพร่เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ท่านมีความสุขอย่างยั่งยืนโดยแท้ ผ่านการพระราชทานภาพฝีพระหัตถ์เกี่ยวกับโคก หนอง นา ในหลายภาพ และพระราชทานข้อความที่เกี่ยวข้องผ่านข้อความสั้น ๆ ชัดเจน เช่น “โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง” นอกจากนี้พระองค์ท่านได้ทรงประยุกต์แนวทางดังกล่าวไปสู่หลักสูตรฝึกอบรมจิตอาสาพระราชทาน และพระราชทานให้ข้าราชบริพารได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติการทำโคก หนอง นา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเป็นต้นแบบ ทรงเป็นผู้นำ ในการลงมือปฏิบัติ ร่วมกับข้าราชบริพารของพระองค์ ดังปรากฏในภาพข่าวที่เผยแพร่ผ่านสื่อสารมวลชน อันเป็นภาพที่คอยย้ำเตือนพวกเราคนไทยทุกคนให้ร่วมกันสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังที่พระองค์ท่านทรงน้อมนำมาขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการโคก หนอง นา ทั้ง 2 แปลงตัวอย่างในวันนี้ พบว่า ครัวเรือนต้นแบบได้มีการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเลี้ยงปลา ปลูกต้นไม้ ปลูกไม้ยืนต้น ปลูกไม้ผล และพืชผักสวนครัว อันส่งผลให้สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือน และเพิ่มรายได้จากการนำผลผลิตภายในแปลงออกจำหน่ายสู่ตลาด อีกทั้งยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถใช้เป็นต้นแบบในการทำการเกษตร โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง พร้อมทั้งเชิญชวนผู้ที่สนใจให้มาเรียนรู้ ศึกษาดูงาน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันและกัน ด้วยวิถีพอเพียงได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีฉลองตราตั้ง พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีฉลองตราตั้ง พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีฉลองตราตั้ง พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เวลา 16.00 น. ที่พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ พระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร เป็นประธานสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีฉลองตราตั้ง พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร โดยมี พระพิมลภาวนาพิธาน วิ. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร พระเถรานุเถระ นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี โอกาสนี้ พระราชวชิรโมลี จุดธูปเทียนบูชาพระประธานยิ้มรับฟ้า พระพุทธปฏิมาประธานในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร แล้วถวายสักการะ พระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร และขึ้นนั่งบนอาสนะ จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเข้าถวายสักการะพระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ประธานสงฆ์ และอ่านตราตั้ง พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร และพระฐานานุกรม จำนวน 4 รูป แล้วเข้าถวายสักการะพระราชวชิรโมลี พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้ว ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน ถวายเครื่องไทยธรรม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรวดน้ำรับพร กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อ่านสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ ให้ พระบวรรังษี วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร พระอารามหลวง เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชวชิรโมลี ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร พระอารามหลวง มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 4 รูป คือพระครูปลัด 1 พระครูสังฆรักษ์ 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1 ขอพระคุณจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในพระอารามโดยสมควร จงเจริญสุขสวัสดิ์ในพระพุทธศาสนาเทอญ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2565 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อ่านตราตั้งฐานานุกรมในพระราชวชิรโมลี ประกอบด้วย 1) พระครูปลัดไพโรจน์ ภทฺทิโย เจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว ตำบลบ้านกลึง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) พระครูสังฆรักษ์ณัฐชนน กิตฺติภทฺโท วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 3) พระครูสมุห์พงษ์วัฒน์ ธีรวฑฺฒโน วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และ 4) พระครูใบฎีกาสมยศ อภิปาโล วัดศรีสำราญราษฎร์บำรุง ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2566 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ) รองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร สถานะเดิม ชื่อ สมชาย นามสกุล ทรงอารมย์ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2502 ที่บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ 6 ตำบลรางจระเข้ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายชิต – นางจำรัส ทรงอารมย์ อุปสมบท เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2525 ที่วัดกระโดงทอง ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี พระครูวิบูลธรรมศาสน์ วัดกระโดงทอง ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดวงษ์ สุธมฺโม วัดกระโดงทอง ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสังฆวิจารณ์ (อนันต์) วัดกระโดงทอง ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ วิทยฐานะ ชั้นประถมปีที่ 7 จากโรงเรียนวัดกระโดงทอง (พิบูลประสิทธิ์) ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปรียญธรรม 7 ประโยค สำนักเรียนวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยปทุมธานี พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้านงานปกครอง พ.ศ. 2537 เป็นกรรมการคัดเลือกพระภิกษุสามเณรเพื่อเข้าอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. 2543 เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พ.ศ. 2546 เป็นกรรมการมูลนิธิอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. 2547 เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดระฆังโฆสิตาราม พ.ศ. 2553 เป็นเลขานุการเจ้าคณะภาค 11 พ.ศ. 2560 เป็นเจ้าคณะแขวงศิริราช พ.ศ. 2561 เป็นพระอุปัชฌาย์ ด้านงานการศึกษา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นครูสอนปริยัติธรรม แผนกธรรม-แผนกบาลี จนถึงปัจจุบัน และเป็นพระอนุจรนำข้อสอบบาลีสนามหลวงไปเปิดสอบ ณ สำนักเรียนต่าง ๆ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ฝ่ายวิชาการสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง เป็นคณะอนุกรรมการพิจารณา และคณะทำงานยกร่างข้อสอบธรรมศึกษา เป็นคณะอนุจรแม่กองธรรมสนามหลวง และเป็นผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวง นำข้อสอบไปเปิดที่ต่างประเทศ ด้านสมณศักดิ์ พ.ศ. 2549 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ในราชทินนามที่ พระบวรรังษี และ พ.ศ. 2565 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชวชิรโมลี ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะภาค 14 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม รักษาการผู้ช่วยแม่กองธรรมสนามหลวง ประจำหนตะวันออก รักษาการผู้อำนวยการกองเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายธุรการ สำนักเรียนวัดระฆังโฆสิตาราม และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและบาลี สำนักเรียนวัดระฆังโฆสิตาราม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แถลงร่วม นายกฯ มาเลเซีย มุ่งพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม เป็นเสาหลักแห่งความมั่งคั่ง และ “แผ่นดินทอง” ร่วมกัน สร้างความสุขสงบและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชาชนทั้งสองประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 09/02/2566 นายกฯ แถลงร่วม นายกฯ มาเลเซีย มุ่งพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม เป็นเสาหลักแห่งความมั่งคั่ง และ “แผ่นดินทอง” ร่วมกัน สร้างความสุขสงบและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชาชนทั้งสองประเทศ นายกฯ แถลงร่วม นายกฯ มาเลเซีย มุ่งพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม เป็นเสาหลักแห่งความมั่งคั่ง และ “แผ่นดินทอง” ร่วมกัน สร้างความสุขสงบและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชาชนทั้งสองประเทศ วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 18.20 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการแถลงข่าวร่วมกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียถือเป็นมิตรที่เข้าใจไทย มีส่วนสำคัญในการสานสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียให้แนบแน่น ในระหว่างการหารือ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและมุมมองครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อความมั่นคงและก้าวหน้าให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน เห็นพ้องถึงการผสานความร่วมมือ ผลักดันความเชื่อมโยงทุกมิติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนไทยและมาเลเซีย ให้เป็นเสาหลักแห่งความมั่งคั่ง เพื่อให้พื้นที่ชายแดนร่วมเป็น “แผ่นดินทอง” ที่มีความสุขสงบ ซึ่งมีผลลัพธ์สำคัญ ดังนี้ ด้านการส่งเสริมการเชื่อมโยงกันในทุกมิติ ทั้งสองฝ่ายมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสนับสนุนการไปมาหาสู่และการค้าขายระหว่างไทยและมาเลเซีย โดยเฉพาะการสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ของไทยกับด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย ตลอดจนการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งใหม่ รวมถึงการเชื่อมโยงที่ครอบคลุม ทั้งในกรอบทวิภาคีและไตรภาคีอย่าง IMT-GT ที่ช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน และสามารถยังประโยชน์ถึงประชาชนได้ทุกระดับถึงรากหญ้า ด้านการยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับมาเลเซียยังมีศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาได้อีกมาก จึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเพิ่มมูลค่าและพลวัตของการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้า คือ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 ด้านการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงแนวทางการเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และรัฐชายแดนภาคเหนือของมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนระยะยาว และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมยางพารา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับประชาชน โดยเฉพาะด้านสังคมและวัฒนธรรม ผ่านความร่วมมือ ด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งชาวมาเลเซีย ถือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มาท่องเที่ยวไทยในปี 2565 และคนไทยจำนวนไม่น้อยต่างชื่นชอบที่จะไปท่องเที่ยวที่มาเลเซีย ด้านการร่วมมือกันในระดับภูมิภาคและในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองของการพัฒนาในภูมิภาคและในระดับโลก พร้อมย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนและการมีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของโลก ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซียอย่างเต็มที่ในทุกระดับ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในสาขาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ มาเลเซียมาดานี (Malaysia Mandani) ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ความก้าวหน้าอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเช่นกัน รวมทั้งได้สนับสนุนให้เอกชนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ช่วยดูแลนักลงทุนไทยในมาเลเซียเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างกัน ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวร่วม นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เยี่ยมชมนิทรรศการศิลปหัตถกรรม ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี และนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและภริยา ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก อนึ่ง นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง 4 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ Tenaga Nasional Berhad (TNB) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของข้อเสนอในการเสริมสร้างศักยภาพการเชื่อมต่อโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าระหว่างคาบสมุทรมาเลเซียและไทย 2. บันทึกความเข้าใจระหว่าง TNB Renewable Sdn. Bhd. (“TRe”) และ Planet Utility Co., Ltd. (“Planet Utility”) เกี่ยวกับข้อเสนอในการร่วมมือสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและการผลิตพลังงานในประเทศไทย 3. บันทึกความตกลงระหว่าง TNB Power Generation Sdn. Bhd. (“GenCo”) และ B Grimm Power Public Co. Ltd. (“B Grimm”) ซึ่งเกี่ยวกับข้อเสนอในการแสวงหาโอกาสในการทำงานร่วมกัน การมีส่วนร่วม และการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4. บันทึกความเข้าใจระหว่าง Malaysia Digital Economy Corporation SDN. BHD. (MDEC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลคนไทยกลับจากเหตุแผ่นดินไหว “ตุรกี” 36 ราย เผยสุขภาพยังแข็งแรงดี ประสานส่งกลับภูมิลำเนา
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.ดูแลคนไทยกลับจากเหตุแผ่นดินไหว “ตุรกี” 36 ราย เผยสุขภาพยังแข็งแรงดี ประสานส่งกลับภูมิลำเนา กระทรวงสาธารณสุข ดูแลคนไทยกลับจากเหตุการณ์แผนดินไหวใน “ตุรกี” จำนวน 36 คน นำส่ง รพ.ภูมิพล 1 คน ที่เหลือจัดเข้าพักชั่วคราวใน Quarantine Center สถาบันบำราศนราดูร ระหว่างรอกลับภูมิลำเนา เผยผลตรวจสุขภาพยังแข็งแรงดี มีอาการตกใจเล็กน้อย กระทรวงสาธารณสุข ดูแลคนไทยกลับจากเหตุการณ์แผนดินไหวใน “ตุรกี” จำนวน36 คน นำส่ง รพ.ภูมิพล1 คน ที่เหลือจัดเข้าพักชั่วคราวใน Quarantine Center สถาบันบำราศนราดูร ระหว่างรอกลับภูมิลำเนา เผยผลตรวจสุขภาพยังแข็งแรงดี มีอาการตกใจเล็กน้อย ประสานคมนาคมจัดรถรับส่ง ส่วนภารกิจทีม USAR เสร็จสิ้นแล้ว ยินดีสนับสนุนยา เวชภัณฑ์และทีมแพทย์ วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) ที่อาคาร Quarantine Center สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้การต้อนรับและมอบถุงยาสามัญจำเป็นแก่คนไทยที่ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวประเทศตุรกี ซึ่งเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยด้วยเครื่องบินของกองทัพ เมื่อคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยได้รับการตรวจสุขภาพและเข้าพักค้างคืนที่อาคาร Quarantine Center เป็นการชั่วคราว นพ.โอภาสกล่าวว่า รัฐบาลและนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ติดตามตรวจสอบเหตุการณ์เพื่อให้การช่วยเหลือ พบว่ามีผู้เสียชีวิต1 ราย ได้ประสานนำร่างกลับ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมีจำนวนเล็กน้อย ได้ดำเนินการ 3 ส่วน คือ การจัดส่งทีมค้นหากู้ภัย (USAR) ซึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์ 3 คนจากกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วม ขณะนี้ภารกิจกู้ภัยน่าจะเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุน เนื่องจากเหตุภัยพิบัติขนาดใหญ่จะมีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ประกอบกับอากาศหนาวเย็น จึงมีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย ทั้งโรคติดต่อทางเดินหายใจ โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ รวมถึงมีการเตรียมทีมแพทย์ไปดูแลผู้ป่วยหากได้รับการประสานร้องขอจากตุรกี และการนำคนไทยที่ประสบภัยกลับประเทศ ซึ่งทันทีที่เดินทางมาถึง กระทรวงสาธารณสุขได้นำมาเข้าพักยังอาคาร Quarantine Center พร้อมตรวจสุขภาพร่างกายและดูแลด้านจิตใจ “วันนี้ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ให้มาดูแลต้อนรับคนไทยที่กลับจากตุรกี เบื้องต้นเดินทางกลับมาจำนวน36 ราย มีอาการปวดหลัง 1 ราย นำส่งรักษาที่ รพ.ภูมิพลแล้ว ส่วนที่เหลือได้ตรวจร่างกายและตรวจสุขภาพ รวมถึงโรคโควิด 19 เบื้องต้นพบว่าทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อาจจะมีตกใจอยู่บ้าง แต่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้” นพ.โอภาสกล่าว ด้าน นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมอาคารQuarantine Center สถาบันบำราศนราดูร ไว้ดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากตุรกี เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างรอเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยจัดไว้จำนวน 60 ห้อง และประสานการสนับสนุนอาหารจากครัวการบินไทยที่ได้รับรองฮาลาล พร้อมให้กำลังใจ ดูแลตรวจสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต ซึ่งวันนี้ทุกคนพร้อมเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยมีญาติทยอยเดินทางมารับ และบางส่วนขึ้นรถที่กระทรวงคมนาคมจัดไว้ไปส่งตามจุดต่างๆ เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา ทั้งชุมทางบางซื่อ นครชัยแอร์ และสถานีขนส่งหมอชิต โดยเหลือเพียง 1 คนที่ยังอยู่ระหว่างติดต่อญาติมารับกลับ ************************************** 17 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชน
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอกเพื่อดูแลประชาชน ... กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอก เพื่อดูแลประชาชนตามนโยบายคมนาคม ตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ดำเนินการขุดลอก พัฒนาและบำรุงรักษาร่องน้ำทางเรือเดิน เพื่อความสะดวกและปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินเรือ ส่งเสริมอาชีพประมงและการท่องเที่ยว นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปฏิบัติการ) ควบคุม กำกับ สำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ ให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงาน เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมีความคืบหน้าผลการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 3 และสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 ดังนี้ สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 3 ได้เปิดหน่วยปฏิบัติงานขุดลอกร่องน้ำคลองย่านซื่อ ต.ขอนคลาน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล โดยใช้เรือเจ้าท่า ข.5 และเรือเจ้าท่า 25 เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้ร่องน้ำทางเรือเดินเนื่องจากไม่สามารถนำเรือเข้า - ออกร่องน้ำได้ตลอดเวลา ขุดลอกจาก กม.-0+650 ถึง กม. -2+150 รวมระยะทาง 1,500 เมตร ความกว้างก้นร่อง 40 เมตร ความลึก 1.90 เมตร (จากระดับน้ำลงต่ำสุด) ปริมาณวัสดุขุดลอก 150,838 ลบ.ม.ขณะนี้ดำเนินการได้ปริมาณขุดลอก 1,300 ลูกบาศก์เมตร รวมปริมาณสะสม 76,310 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 52 ผลที่ได้จากการขุดลอกเรือสามารถเข้า - ออกร่องน้ำได้ตลอดเวลา เรือสามารถหลบคลื่นลมมรสุม ส่งเสริมอาชีพประมงและการท่องเที่ยวในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง - บำรุงรักษาร่องน้ำลดสิ่งกีดขวางเพิ่มพื้นที่ระบายน้ำ แก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ตำบลขอนคลาน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการขุดลอกประมาณ 150 ครัวเรือน เรือขนาด 10 ตันกรอส เป็นเรือประมงพื้นบ้านแบบเพลาใบจักรยาว ประมาณ 120 ลำ สามารถเข้าออกร่องน้ำได้สะดวกและปลอดภัยช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว สำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 กรมเจ้าท่า จัดประชาสัมพันธ์ “รับฟังความคิดเห็นโครงการขุดลอก” บริเวณร่องน้ำคลองควายกลางและคลองควายใหญ่ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โดยมี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลทะเลน้อย ผู้แทนเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าร่วมรับฟังการประชาสัมพันธ์ และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้สอบถามหรือข้อเสนอแนะต่างๆ พร้อมได้ชี้แจงอธิบาย ตอบข้อซักถามต่างๆ โดยประชาชนได้ร่วมตอบแบบสอบถาม และ พึงพอใจต่อโครงการ ร้อยละ 100 และได้ร่วมรณรงค์การ ลด ละ เลิก การใช้พลาสติก และรณรงค์ ไม่ทิ้งขยะลงใน แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ และ ในที่สาธารณะต่างๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการขุดลอกประมาณ 2,037 ครัวเรือน เรือขนาด 10 ตันกรอส ประมาณ 150 ลำ สามารถเข้าออกร่องน้ำได้สะดวกและปลอดภัยช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65077
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม แพตตี้ นักกีฬาขี่ม้าหญิงไทยได้แชมป์รายการระดับนานาชาติ ที่การแข่งขัน Adequan Global Dressage Festival ประเทศสหรัฐฯ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม แพตตี้ นักกีฬาขี่ม้าหญิงไทยได้แชมป์รายการระดับนานาชาติ ที่การแข่งขัน Adequan Global Dressage Festival ประเทศสหรัฐฯ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม แพตตี้ นักกีฬาขี่ม้าหญิงไทยได้แชมป์รายการระดับนานาชาติ ที่การแข่งขัน Adequan Global Dressage Festival ประเทศสหรัฐฯ วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชื่นชมความสำเร็จ “แพตตี้” สุภจิต วรรธนะดิษฐ์ นักขี่ม้าหญิงไทย แข่งรายการ Adequan Global Dressage Festival ได้อันดับ 1 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในการแข่งรายการ Adequan Global Dressage Festival ที่เมือง Wellongton Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 นักขี่ม้าดาวรุ่งหญิงไทย “แพตตี้” สุภจิต วรรธนะดิษฐ์ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย หลังขี่ม้าชื่อ Wall Street JV ในการแข่งขันประเภทศิลปการบังคับม้า ในคลาส อินเตอร์มีเดียทวันฟรีสไตส์มิวสิค CDI 1* ทำคะแนนได้ 70.79 % เปอร์เซ็นต์ ได้อันดับ 1 ทั้งนี้ถือเป็นชัยชนะที่สร้างเกียรติประวัติให้แก่ประเทศชาติ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ไทยได้แชมป์ในรายการนี้ และเป็นนักกีฬาจากเอเชียคนเดียวที่ได้เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ ทั้งนี้ แพตตี้ อยู่ระหว่างการเก็บคะแนนสะสมจากการลงแข่งทัวร์นาเมนท์ระดับนานาชาติ เพื่อเข้าแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2023 ที่ประเทศจีน ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา แพตตี้ ได้รับอันดับ 3 จากการแข่งขันศิลปการบังคับม้า รุ่นพรีเซนต์จอร์จ และ อินเตอร์วัน ที่ประเทศเยอรมนี และอันดับ 3 จากคลาสอินเตอร์วัน ฟรีสไตส์มิวสิค ที่ประเทศโปแลนด์ “นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของแพตตี้ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าแพตตี้จะเป็นนักกีฬาคนสำคัญอีกคนของทีมกีฬาไทย ขอบคุณที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย และขอให้ตั้งใจฝึกซ้อมเพื่ออนาคตในการแข่งขัน เพื่อกีฬาขี่ม้าไทย และสร้างชื่อเสียงประเทศไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65074
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนกร” ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชูท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก ตามแนวคิด นายกฯ ผลักดันให้เป็นเมืองเกษตรสีเขียว
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 “ธนกร” ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชูท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก ตามแนวคิด นายกฯ ผลักดันให้เป็นเมืองเกษตรสีเขียว “ธนกร” ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชูท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แก้ปัญหาสถานการณ์น้ำ บูรณาการหน่วยงานเชิงรุก ตามแนวคิด นายกฯ ผลักดันให้เป็นเมืองเกษตรสีเขียว เศรษฐกิจเข้มแข็ง สังคมคุณภาพ วันนี้ (17 ก.พ. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เพื่อตรวจราชการตามที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการนี้ นายมานิต นพอมรบดี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย โดยช่วงเช้า เดินทางไปยังศาลากลาง จ.ราชบุรี เพื่อรับฟังรายงานสรุปจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวต้อนรับ โยธาธิการและผังเมืองราชบุรี รายงานสรุปโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและโครงการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติชุมชนอย่างยั่งยืน “อุทยานหินเขางู” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังปัญหาและแนวทางการบูรณาการร่วมกันจากทุกหน่วยงาน พร้อมมอบนโยบายการดำเนินการ พร้อมกล่าวว่า ทั้งสองโครงการจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือและการบูรณาการจากหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ และพร้อมที่จะเชื่อมประสานหน่วยงานเพื่อทำให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณที่บรรจุอยู่ในโครงการแล้ว หากมีความจำเป็นจะต้องใช้งบกลางในการดำเนินงาน จะเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณพัฒนาจังหวัดราชบุรีอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่าในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจังหวัดราชบุรีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา และการมาตรวจติดตามในครั้งนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาที่ก้าวหน้าและน่าจะเป็นต้นแบบแก่จังหวัดอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ขอชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีและทุกภาคส่วนที่ช่วยกันพัฒนาจังหวัดอย่างเข้มแข็ง จากนั้นได้เดินทางไปยังวัดช่องลม อ.เมือง จ.ราชบุรี เข้าสักการะหลวงพ่อแก่นจันทร์ และนมัสการเจ้าอาวาสวัดช่องลม ตรวจราชการโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ณ บริเวณริมเขื่อนวัดช่องลม ก่อนเดินทางไปยังเขื่อนรัฐประชาพัฒนา อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ช่วงบ่าย รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรีเดินทางไปยังอุทยานหินเขางู เทศบาลตำบลเขางู อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อตรวจราชการและติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติชุมชนอย่างยั่งยืน “อุทยานหินเขางู” พร้อมทั้งพบปะผู้นำส่วนราชการ และในตอนท้ายได้ร่วมสรุปผลการตรวจราชการร่วมกัน ณ ห้องประชุม ชั้น 3 เทศบาลตำลลเขางู “จากปี 2562 ที่ท่านนายกฯ ได้มาประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.ราชบุรี หลาย ๆ โครงการมีความคืบหน้าไปอย่างมาก อาทิ โครงสร้างก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน สะพาน ระบบราง โครงการก่อสร้างระบบไฟฟ้าเคเบิลใต้ดิน โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เสียงตอบรับของคนในพื้นที่ขานรับ และรัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุนเพื่อให้จังหวัดราชบุรีมีการพัฒนาเพื่อให้เสริมศักยภาพยิ่งขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการเชิงรุกทั้งภาคการเมือง ประชาชน และราชการ” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65103
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ่อเมืองแม่ฮ่องสอน นำนักท่องเที่ยวต่างชาติสัมผัสวิถีชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียง” ร่วมเอามื้อสามัคคีดำนาปลูกข้าว แปลงโคก หนอง นา วิถีแห่งความยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 พ่อเมืองแม่ฮ่องสอน นำนักท่องเที่ยวต่างชาติสัมผัสวิถีชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียง” ร่วมเอามื้อสามัคคีดำนาปลูกข้าว แปลงโคก หนอง นา วิถีแห่งความยั่งยืน พ่อเมืองแม่ฮ่องสอน นำนักท่องเที่ยวต่างชาติสัมผัสวิถีชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียง” ร่วมเอามื้อสามัคคีดำนาปลูกข้าว แปลงโคก หนอง นา วิถีแห่งความยั่งยืน วันนี้ (17 ก.พ. 2566) นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ร่วมทำกิจกรรมสาธิตการปลูกข้าวในนาปรัง พร้อมนำนักท่องเที่ยวชาวยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส สวีเดน สหราชอาณาจักร เยอรมัน กว่า 30 คน ร่วมเอามื้อสามัคคีดำนา สัมผัสชีวิตวิถีไทยในการปลูกข้าวแบบขั้นบันได ที่แปลงครัวเรือนต้นแบบ โคก หนอง นา เฟิร์นริมธารรีสอร์ท ของนายธวัชชัย น้าทิพากร บ้านหัวน้ำแม่สะกึด อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นและสนุกสนาน ในพื้นที่แปลงต้นแบบตามโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา และโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “กิจกรรมลงแขกดำนาเอามื้อสามัคคี ในพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบ โคก หนอง นา เฟิร์นริมธารรีสอร์ท ในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มุ่งส่งเสริมให้เกิดการน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งมั่น แน่วแน่ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่มากกว่า 40 ทฤษฎี นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบเมล็ดพันธุ์ผักชนิดต่าง ๆ ให้แก่ครัวเรือนต้นแบบ เพื่อนำไปขยายผลการน้อมนำแนวทางพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง ทุกครัวเรือน และกิจกรรมสาธิตการทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน กิจกรรมห่มดิน เลี้ยงดิน เพื่อให้ดินเลี้ยงพืช กิจกรรมปล่อยปลา กิจกรรมหาอยู่หากินบน โคก หนอง นา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้หลักการพึ่งพาตนเองและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนเป็นวิถีชีวิต อันเป็นการฟื้นฟูและสืบสานธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืน” ผวจ.แม่ฮ่องสอน กล่าว นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย อันประกอบด้วย ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ด้วยจุดแข็ง คือ การเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายของมิติการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน จึงทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและชาวไทย จึงเป็นโอกาสที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้นำเสนอ “ความเป็น Original” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทย กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ดังวิสัยทัศน์ของจังหวัดที่ว่า “แม่ฮ่องสอนเมืองแห่งความสุข ยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์” นายธวัชชัย น้าทิพากร เจ้าของแปลงครัวเรือนต้นแบบ โคก หนอง นา เฟิร์นริมธารรีสอร์ท กล่าวว่า เฟิร์นริมธาร รีสอร์ท แม่ฮ่องสอน (Fern Resort Mae Hong Son) ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา” กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2563 ซึ่งแต่เดิมนั้น เฟิร์นริมธาร รีสอร์ท ประกอบธุรกิจด้านการให้บริการที่พักแก่นักท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิดเรื่องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-tourism) มาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี โดยเน้นการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้ชาวบ้านในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเเละชาวต่างชาติ ให้ได้สัมผัสธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และเรียนรู้เเนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังได้มีโอกาสเรียนรู้เเละเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทเพราะเจ้าหน้าที่ทุกคน คือ คนในท้องถิ่นทั้งคนกะเหรี่ยง คนไทยใหญ่ และปกาเกอะญอ ซึ่งทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่รีสอร์ทแห่งนี้ให้เต็มไปด้วยความรัก ความสุข และความอบอุ่น รวมถึงช่วยรักษาธรรมชาติที่มีอยู่ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น "ต่อมาทางรีสอร์ทได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับการทำแปลงโคก หนอง นา ประกอบไปด้วย พื้นที่นา ซึ่งใช้ปลูกข้าวในฤดูฝน และในฤดูเเล้งจะนำพืชผักสวนครัวตามฤดูกาลมาปลูก เช่น มัน มะเขือ พริก ผักสวนครัวอื่น ๆ มี การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง มีการเลี้ยงปลาในบ่อที่ขุดไว้ มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการปลูกผัก ดำนา เกี่ยวข้าว และเก็บผลผลิตจากทางการเกษตรจาก เเปลงโคก หนอง นา ทั้งนี้ เฟิร์นริมธาร รีสอร์ท มีความมุ่งหวังที่จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่ ในพื้นที่แปลงต้นแบบนี้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนาตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์ สู่ โคก หนอง นา สอดคล้องตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพีอง บนหลักการ "พึ่งพาตนเอง" และ UN SDGs ซึ่งเมื่อมีการทำอย่างครบถ้วนแล้วก็จะเป็นการเสริมสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์สร้างอัตลักษณ์แห่งใหม่ภายในรีสอร์ทได้อีกด้วย" นายธวัชชัย กล่าว นายธวัชชัย น้าทิพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า เฟิร์นริมธาร รีสอร์ท มีแนวคิดการทำเกษตรอินทรีย์ อยู่ 3 แนวคิด คือ 1) นักท่องเที่ยวที่มาพักที่รีสอร์ทแห่งนี้ จะต้องได้รับความสุขจากทัศนียภาพทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ 2) จะต้องได้เห็นวิถีความพอเพียงเเละวัฒนธรรมประเพณีจากคนท้องถิ่นที่งดงาม 3) ต้องได้กินอาหารที่สะอาด อร่อย และปลอดภัย ปลอดจากสารเคมี 100% ดังนั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยมเยียนที่รีสอร์ททุกคน จะได้เรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยความประทับใจ เเละทุกคนต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติเเละการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้หลักคิดที่สำคัญ คือ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งในระยะต่อไป จะดำเนินการร่วมกันกับประชาชนชุมขนในพื้นที่ เปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้วิถีความพอเพียง หลักการทำเกษตรอินทรีย์จากพื้นที่ต้นเเบบโคก หนอง นา กับทางรีสอร์ท พร้อมส่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้นำเเนวคิดไปขยายผลสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ครัวเรือนของตนเอง ให้มีผัก อาหารปลอดภัยไว้บริโภคในครัวเรือนได้โดยไม่ต้องไปเสียเงินหาซื้อมา รวมทั้งวิถีเเห่งความพอเพียง เพื่อทำให้เป็นหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ตามพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ยกระดับสู่การพัฒนาเครือข่ายชุมชนให้สามารถ ผลิต ผัก อาหาร ผลไม้ที่มีความปลอดภัยให้กับรีสอร์ท และตลาดในระดับต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อเป็นรายได้เสริม และสร้างความยั่งยืนในด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65109
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Deputy Govt. Spokesperson affirms PM’s denunciation over nepotism claim
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 Deputy Govt. Spokesperson affirms PM’s denunciation over nepotism claim Deputy Govt. Spokesperson affirms PM’s denunciation over nepotism claim February 17, 2023, Deputy Government Spokesperson Tipanan Sirichana thanked the public for their interest in the 2-day Parliament’s general debate with no voting, according to Section 152 of the Constitution. Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, together with members of the cabinet, took this opportunity to make clarification to wide-ranging issues raised at the session. The most important thing is that the Prime Minister firmly denied the act of nepotism, and emphasized that “Bad people must be legally punished”. There is no exception as everyone is under the same law. The Deputy Government Spokesperson believes that the people who closely followed the general debate would recognize the Prime Minister’s leadership and earnest spirit. He also affirmed his commitment to continue advancing national reform in various areas. Five new bills related to the promotion of social justice have been published in the Royal Gazette, that is, 1) Recidivism in Sexual and Violent Offence Prevention Act, B.E. 2565; 2) Judicial Process Timeframe Act, B.E. 2565; 3) Regulatory Offences Act, B.E. 2565, which prescribes offences that could be settled if the wrongdoer agrees to pay a fine in the amount determined by the competent officials, but not exceeding the maximum criminal fines prescribed for such offenses; 4) Prevention and Suppression of Torture and Enforced Disappearance Act, B.E. 2565, to prevent human rights violation; and 5) Money Laundering Prevention and Suppression Act (No. 6), B.E. 2565 to include provision on protection of the victim's right to the predicate offence. The Government, under the Prime Minister’s leadership, boasts various tangible accomplishments in national reform, which have been undertaken in parallel with economic development under Thailand 4.0 policy, to promote environmental responsibility in business operations.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ฉลองครบรอบ 29 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 30 เปิดตัวโครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก”
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 EXIM BANK ฉลองครบรอบ 29 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 30 เปิดตัวโครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” EXIM BANK ฉลองครบรอบ 29 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 30 เปิดตัวโครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก”ตอกย้ำบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศไทย” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เร่งสร้าง SMEs ให้แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 29 ปี ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 30 ของการเปิดดำเนินงาน EXIM BANK ได้เปิดโครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเหลือและเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจระหว่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชน หรือผู้ประกอบการ SMEs ที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงกับ Supply Chain การส่งออก โดย SMEs ถือเป็นรากแก้วของประเทศไทยที่มีจำนวนมากถึง 99.6% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด สร้างการจ้างงานได้มากถึง 12.6 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 72% ของทั้งระบบ และมีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 35% ของ GDP ดังนั้น EXIM BANK จึงให้ความสำคัญในการดูแลให้รากแก้วของประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยใช้เครื่องมือ “3 เติม” ได้แก่ “เติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงิน” และชูบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดูแลให้คำปรึกษา บ่มเพาะ สร้างโอกาส และเติมเงินทุนอย่างใกล้ชิดและครบวงจร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า EXIM BANK เริ่มต้นจากการให้คำปรึกษาแนะนำ ทั้งทางออนไลน์และการสัญจรลงพื้นที่ แก้ไขปัญหาให้ธุรกิจระดับครัวเรือนและชุมชน หมายรวมถึงการแก้ปัญหาหนี้ภาคธุรกิจ ซึ่งข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่า หนี้ภาคธุรกิจอยู่ในระดับกว่า 13.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ 11.4 ล้านล้านบาท โดยวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ซ้ำเติมภาคธุรกิจยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ NPLs ของ SMEs ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 อยู่ในระดับสูงถึง 6.8% สวนทางกับ NPLs ของธุรกิจขนาดใหญ่ที่เริ่มลดลงมาอยู่ที่ 1.9% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก SMEs ไทยขายแต่ในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีขนาดเล็ก โตเฉลี่ย 10 ปีเพียง 2.3% หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ระดับสูงถึง 88.2% ต่อ GDP ยิ่งบั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศขึ้นไปอีก นอกจากนี้ EXIM BANK มีโครงการอบรมบ่มเพาะความรู้และทักษะของผู้ประกอบการ ประกอบกับการพัฒนาช่องทางใหม่ ๆ อาทิ แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเป็นช่องทางลัดให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสามารถเข้าสู่การค้าไร้พรมแดนได้โดยเร็ว ตลอดจนเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายและครบวงจร ทั้งสินเชื่อและบริการประกันการส่งออก เพื่อเสริมสภาพคล่องและคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศให้ธุรกิจ SMEs ไทยเดินต่อไปได้อย่างไม่สะดุด เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยท้าทายทั้งทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ ดร.รักษ์ กล่าวว่า ภายใต้โครงการ EXIM เพื่อคนตัวเล็ก EXIM BANK จะเร่งเดินหน้าปั้นคนตัวเล็กเป็นผู้ส่งออก อาทิ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ซึ่งผลิตและจำหน่ายสินค้าในประเทศหรือจำหน่ายให้แก่ผู้ส่งออกอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยเริ่มต้นส่งออกเอง และกลุ่มผู้ส่งออกทางอ้อม (Indirect Exporters) อาทิ พ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากจะสร้างรายได้จากการขายแล้ว ยังเป็นการสร้างพลัง Soft Power ให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและนิยมในตลาดโลกมากขึ้นด้วย โดยรูปแบบของการให้คำปรึกษาจะมีทั้งทางออนไลน์และลงพื้นที่ในตลาดหรือชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้นำร่องจัด “คลินิก EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” ไปแล้ว เพื่อต่อยอดจากมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ที่กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินของรัฐ 9 แห่งเพิ่งจัดเสร็จไปทั้งสิ้น 5 ครั้งในช่วงปลายปี 2565-2566 โดยมีเป้าหมายเพื่อตรวจสุขภาพทางการเงินและให้คำปรึกษาด้านการปรับแผนธุรกิจ การบริหารจัดการทางการเงิน การปรับโครงสร้างหนี้และแก้ไขหนี้เสีย และการเติมเงินทุน ในระยะข้างหน้า EXIM BANK มีโครงการจะพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น รวมทั้งเร่งใช้โมเดล “พี่จูงน้อง” เชื่อมโยง Supply Chain การค้าระหว่างประเทศ “จากจุดยืนใหม่สู่บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง EXIM BANK วันนี้จึง Go the Extra Mile จัดทำโครงการที่ก้าวข้ามข้อจำกัด นอกเหนือจากภารกิจหน้าที่โดยตรง เป็นมากกว่าธนาคาร (Beyond Banking) รับฟังและแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แก่ประชาชาชน กระตุ้นให้เกิดธุรกิจที่แข็งแรงพอจะเข้าร่วม Supply Chain การส่งออกได้ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานรากให้แข็งแกร่ง สร้างมูลค่าและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมีคนตัวเล็กร่วมขับเคลื่อน” ดร.รักษ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจ ได้ช้อป กับบัตรเดบิต ธ.ก.ส.
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจ ได้ช้อป กับบัตรเดบิต ธ.ก.ส. ธ.ก.ส. จัดแคมเปญอุ่นใจได้ช้อป สำหรับลูกค้าที่สมัครหรือเปลี่ยนบัตรทดแทนทุกประเภท เป็นบัตรเดบิต A-Green หรือ A-Smart แล้วแสกน QR Code ลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญ ณ ธ.ก.ส. สาขาที่ทำธุรกรรม รับเลย ! บัตรของขวัญ Lotus’s มูลค่า 100 บาท จำนวน 1,700 รางวัล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดแคมเปญอุ่นใจได้ช้อป สำหรับลูกค้าที่สมัครหรือเปลี่ยนบัตรทดแทนทุกประเภท เป็นบัตรเดบิต A-Green หรือ A-Smart แล้วแสกน QR Code ลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญ ณ ธ.ก.ส. สาขาที่ทำธุรกรรม รับเลย ! บัตรของขวัญ Lotus’s มูลค่า 100 บาท จำนวน 1,700 รางวัล มูลค่ารวม 170,000 บาท (จำกัดสิทธิ์ 1 ท่านต่อ 1 รางวัล สำหรับ 1,700 ท่านแรก) โดย ธ.ก.ส. จะทำการตรวจสอบสิทธิ์และประกาศผลรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลผ่านทาง www.baac.or.th หรือ Facebook page: ธกส บริการด้วยใจ และจัดส่งของรางวัลภายใน 30 วันหลังสิ้นสุดแคมเปญ ลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ประชุมการจัดทำแผนแม่บทขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรไปสู่ผู้ประกอบการ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ก.เกษตรฯ ประชุมการจัดทำแผนแม่บทขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรไปสู่ผู้ประกอบการ ก.เกษตรฯ ประชุมการจัดทำแผนแม่บทขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรไปสู่ผู้ประกอบการ นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดทำแผนแม่บทขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรไปสู่ผู้ประกอบการ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม 134-135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุม การประชุมฯ ครั้งนี้ เป็นการรับทราบนโยบายการพัฒนาเกษตรกรสู่ประกอบการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผลการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2565 และร่วมกันพิจารณาในประเด็น 1) แนวทางการพัฒนาเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ 2) การจัดทำแผนแม่บทขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรของผู้ประกอบการ และ 3) แผนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65097
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง สั่งรุกต่อเนื่องจับต่างชาติแย่งงานคนไทยพื้นที่ห้วยขวาง
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 รมว.เฮ้ง สั่งรุกต่อเนื่องจับต่างชาติแย่งงานคนไทยพื้นที่ห้วยขวาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่ห้วยขวาง ตรวจสอบใบอนุญาตทำงานคนต่างชาติ เตือนไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือสิทธิ มีโทษทั้งนายจ้าง – ลูกจ้าง วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสั่งการกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่ห้วยขวาง เพื่อตรวจสอบ ปราบปรามคนต่างชาติที่ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายและคนต่างชาติที่ไม่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ที่นายจ้างนำมาทำงานในสถานประกอบการ โดยมีนายสันติ นันตสุวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน นำชุดอำนวยการฯ และเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 10 ลงพื้นที่ตรวจสอบ นายสันติ นันตสุวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้มอบหมายตนลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติ ณ พื้นที่ห้วยขวาง เพื่อตรวจบังคับใช้กฎหมายกับคนต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน ทำงานนอกเหนือสิทธิ โดยเรื่องนี้สืบเนื่องจากที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานกวาดล้างแรงงานต่างชาติแย่งงานคนไทยอย่างเข้มงวด เพื่อมิให้กระทบต่อโอกาสการมีงานทำของคนไทย และส่งผลต่อความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจากการตรวจสอบสถานประกอบการ จำนวน 5 แห่ง/ราย พบสถานประกอบการกระทำความผิด 2 แห่ง คนต่างชาติกระทำความผิด รวมทั้งสิ้น 9 คน ประกอบด้วย กัมพูชา 3 คน เมียนมา 4 คน และบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน 2 คน จึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน. ห้วยขวาง ดำเนินคดีข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีนายจ้างจำนวน 2 แห่ง ข้อหารับคนต่างด้าวทำงาน โดยที่คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน ซึ่งตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี “ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างชาติทำงานโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องทุกข์ได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงานชั้น 4 โทร. 023541729 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วน 1694 กรมการจัดหางาน”รองอธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยร่วมหารือสยามคูโบต้า มุ่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนด้วยมิติด้านการเกษตรควบคู่การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 มหาดไทยร่วมหารือสยามคูโบต้า มุ่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนด้วยมิติด้านการเกษตรควบคู่การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน มหาดไทยร่วมหารือสยามคูโบต้า มุ่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนด้วยมิติด้านการเกษตรควบคู่การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมดำรงธรรม ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และคณะ ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและผู้แทนบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด นำโดยคุณวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส คุณพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ คุณรัชกฤต สงวนชีวิน Business Value Creation Division Manager และคณะ เพื่อหารือแนวทางการร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยและบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการพัฒนาชุมชนด้วยการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่ความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรประชาชนคนไทยอย่างยั่งยืน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้กระทรวงมหาดไทยมีความยินดีที่ได้ร่วมหารือและได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร และผู้แทนจากบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งถือเป็นภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงมหาดไทย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมเกษตรกรไทย ส่งเสริมชุมชนและสังคมไทยสู่ความยั่งยืนด้วยมิติด้านการเกษตรที่เป็นรากฐานการพัฒนาที่สำคัญ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้มีการดำเนินโครงการและกิจกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พัฒนาหมู่บ้านและชุมชนไปสู่ความยั่งยืนโดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา อันเป็นพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ประการขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) ผนวกเข้ากับกลไก 3 5 7 อันประกอบด้วย 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชุมชน/หมู่บ้าน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ 5 กลไก ได้แก่ การประสานงานภาคีเครือข่าย การบูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ การติดตามหนุนเสริมและประเมินผล การจัดการความรู้ และการสื่อสารสังคม 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน อย่างประสิทธิภาพ ดังนั้น การหารือกันในวันนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะเป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทยในฐานะภาครัฐ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน คุณวราภรณ์ โอสถาพันธ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บจก.สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ขอขอบคุณปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ให้เกียรติและให้โอกาสกับทาง บจก.สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น ในวันนี้ ซึ่งจะได้หารือและแลกเปลี่ยนผลสำเร็จของการขับเคลื่อนโครงการด้านการพัฒนาชุมชนและสังคมของบริษัทฯ จำนวน 3 โครงการที่เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อเกษตรกร ได้แก่ 1) โครงการชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า โดยสยามคูโบต้าได้ทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ส่งเสริมกิจกรรมด้านการเกษตรผ่านกระบวนการเรียนรู้และโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เกษตรกรในชุมชนมีความอยู่ดีกินดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ ท้ายที่สุดสามารถพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบและขยายผลสู่ชุมชนอื่นต่อไป 2) โครงการคูโบต้าร่วมมือเกษตรร่วมใจ เพื่อส่งเสริมเครื่องจักรกลการเกษตรให้เข้าถึงชุมชน ยกระดับรายได้ของเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และ 3) โครงการชุมชนเพาะสุขสยามคูโบต้า ที่ได้มีการดำเนินการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และมีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ สามารถช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขอรับทราบข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่จะเป็นประโยชน์ในการร่วมกันดำเนินงานในอนาคตต่อไป คุณพิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ กล่าวว่า ในส่วนของโครงการชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้านั้น เป็นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มุ่งสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งหมดจำนวน 1,405 คน จากวิสาหกิจชุมชนจำนวน 7 กลุ่ม ใน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยนาท จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดศรีสะเกษ และโครงการคูโบต้าร่วมมือเกษตรร่วมใจ เป็นโครงการพัฒนาต้นแบบการบริหารจัดการเครื่องจักรแบบรวมกลุ่ม โดยจะส่งมอบเครื่องจักรให้วิสาหกิจชุมชนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ลงทุนแต่บุคลากรมีศักยภาพ นอกจากนี้จะมีการเสริมความรู้การใช้งานการดูแลรักษาการบริหารจัดการเครื่องจักรและการสร้างแบรนด์ ซึ่งโครงการนี้ ได้ช่วยเพิ่มรายได้หรือลดต้นทุนเฉลี่ย 10% ต่อปีให้แก่เกษตรกร ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเกษตรกรในโครงการจำนวน 13,244 คน จากวิสาหกิจชุมชนจำนวน 168 กลุ่ม ใน 59 จังหวัด ด้านคุณรัชกฤต สงวนชีวิน Business Value Creation Division Manager กล่าวเสริมว่า สำหรับโครงการชุมชนเพาะสุขสยามคูโบต้า เป็นโครงการเพื่อการพัฒนาชุมชนนำไปสู่ความอยู่ดีกินดี ที่มีปัจจัยสำคัญสำหรับการดำเนินการ 3ประการ ได้แก่ การต่อยอด การถ่ายทอด และสร้างความยั่งยืน โดยจะเลือกองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับแต่ละชุมชนมาพัฒนาชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านรูปแบบการรวมกลุ่มทำการเกษตรและแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน การพัฒนาบุคลากรและชุมชนผ่านองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ และการสร้างเครือข่ายขายต่อยอดความยั่งยืนผ่านสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง ที่พร้อมประยุกต์เอาแนวทางด้านการเกษตรต่าง ๆ มาเป็นส่วนผสมด้วย เช่น โคก หนอง นา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น และจะเน้นให้มีปัจจัยเสริมด้านอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เช่น การสร้างการท่องเที่ยวเชิงชุมชน หัตถกรรมพื้นบ้าน ปศุสัตว์ ปัจจุบันมีการดำเนินโครงการใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดน่าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ได้มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและสังคมไทย ที่เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งในส่วนของการต่อยอดขยายผลการดำเนินโครงการของบริษัทฯ หรือความร่วมมือระหว่างกันในการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไป กระทรวงมหาดไทยในฐานะส่วนราชการที่มีองคาพยพและภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมร่วมสนับสนุนตามอำนาจหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนโครงการที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ และพร้อมสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อนำมาร่วมกันวิเคราะห์ วางแผน ที่จะเป็นการสนับสนุนการทำงานระหว่างกัน โดยมีกรมการพัฒนาชุมชนและกรมการปกครอง เป็นกลไกหลักในระดับพื้นที่ ทั้งมิติที่เป็นอุปสรรคและโอกาสสำหรับการพัฒนาตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน หมู่บ้าน และตำบล ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการร่วมกันดำเนินงานในระยะต่อไป นอกจากนี้ การส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาให้ความสำคัญกับการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ถือเป็นประเด็นท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะการลดการเผาไร่นา สวนอ้อยหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ การส่งเสริมไถกลบตอซังข้าวและการอัดฟางก้อน ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นการดำเนินกิจกรรมที่สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการลดการเผาได้ในหลายพื้นที่ แต่ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีเกษตรกรที่ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการมุ่งเน้นมิติของการทำเกษตรที่ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยและโลกใบเดียวนี้ นายสุทธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65104
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เปิดงานวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี พร้อมชื่นชมและภาคภูมิใจชาวดิน เน้นย้ำ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 มท.1 เปิดงานวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี พร้อมชื่นชมและภาคภูมิใจชาวดิน เน้นย้ำ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ มท.1 เปิดงานวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี พร้อมชื่นชมและภาคภูมิใจชาวดิน เน้นย้ำ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 ก.พ. 66) เวลา 10.00 น. ที่อาคารเกวลินสฤษดิ์ สถาบันพัฒนาข้าราชการกรมที่ดิน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เป็นประธานในพิธีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี พร้อมทั้ง มอบเกียรติบัตรให้แก่ข้าราชการที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นข้าราชการกรมที่ดิน ผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และ มอบโล่ ป้ายรางวัลตามโครงการต่าง ๆ ของสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ โดยมี นายนริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3) นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายชูชีพ พงษ์ไชย รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายศรุติพงศ์ จิราดิษพงศ์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายวีระ ยี่แพร รองเลขาธิการ กกต. ผู้แทนกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และข้าราชการบำนาญ ร่วมพิธี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี ทั้งนี้ จากผลการปฏิบัติงานของกรมที่ดินกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้มองเห็นภาพที่ชัดเจนว่า กรมที่ดินเป็นหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ มีการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี สามารถขับเคลื่อนงานเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยอย่างเป็นรูปธรรม มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ การบริการต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน รองรับกับความเจริญของประเทศ สามารถคุ้มครองสิทธิด้านที่ดินให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งจากผลงานดังกล่าวจะเห็นว่ากรมที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้แก่พี่น้องประชาชน มาเป็นเวลายาวนานถึง 122 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานด้านการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินเพื่อคุ้มครองสิทธิด้านที่ดินให้แก่ประชาชนและบริหารจัดการที่ดินของรัฐให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน “ผมมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า บุคลากรกรมที่ดิน ทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ อดทน เสียสละ ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก นำความรู้ทางวิชาการ ความรู้ด้านกฎหมายและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของกรมที่ดินและทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปี ขอเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทุกท่านในการตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานของกรมที่ดิน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอแสดงความชื่นชมยินดีกับสำนักงานที่ดินที่ได้รับรางวัลตามโครงการผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นข้าราชการกรมที่ดินผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมดีเด่น และช่างรังวัดผู้มีสมรรถนะและปฏิบัติงานได้ผลสัมฤทธิ์ดีเลิศ และผู้ที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ทุกท่าน อันเป็นเครื่องยืนยันว่า ทุกท่านทำงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความรอบคอบ เพราะงานของที่ดินเป็นงานที่มีมูลค่า เป็นเรื่องสำคัญต่อพี่น้องประชาชน และท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงานในหน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อสนองความต้องการของประชาชนตลอดไป นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมที่ดิน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2444 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวม 122 ปี กรมที่ดินได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบการให้บริการ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคล และจัดการที่ดินของรัฐให้มีประสิทธิภาพ ประชาชนผู้รับบริการได้รับความสะดวกรวดเร็วมาอย่างต่อเนื่อง มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บริหารจัดการพัฒนาระบบงานสำนักงานและงานบริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการให้บริการประชาชน ลดระยะเวลาขั้นตอนการให้บริการในทุกด้าน รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการจดทะเบียนที่ดินออนไลน์ โดยได้รับการสนับสนุนจากพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการไทยไปสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ได้มีการเสริมสร้างความรู้ในการปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาบุคลากร รวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการกรมที่ดินทุกระดับ เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อประชาชนด้วยความโปร่งใส ตามหลักบริหารราชการแผ่นดินที่ดีมีธรมาภิบาล ในการดำเนินการเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในด้านการบริหารจัดการสำนักงาน ในภาพรวมทุกด้าน ทั้งเรื่องงานพัฒนาบุคลากร และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ประชาชน รวมทั้งการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม กรมที่ดินจึงได้จัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อยกย่อง เชิดชู และสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสำนักงานและบุคลากร ดังนี้ โครงการสำนักงานที่ดินบริหารจัดการดีเด่น โครงการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมที่ดิน โครงการประกวดห้องน้ำสะอาดแห่งปีของสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ โครงการคัดเลือกข้าราชการกรมที่ดิน ผู้มีคุณธรมและจริยธรรมดีเด่น และโครงการคัดเลือกช่างรังวัดผู้มีสมรรถนะ และปฏิบัติงานได้ผลสัมฤทธิ์ดีเลิศในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน ครบ 122 ปีนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เร่งยกระดับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ หลังพบแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์ราชการกว่า 30 ล้าน URL
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 “ดีอีเอส” เร่งยกระดับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ หลังพบแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์ราชการกว่า 30 ล้าน URL “ดีอีเอส” เร่งยกระดับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ หลังพบแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์ราชการกว่า 30 ล้าน URL นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการไซเบอร์ซีคิวริตี้พบในช่วงปีที่ผ่านมามีปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์เกิดขึ้นกับหน่วยงานในประเทศไทยกว่า500รายการส่วนใหญ่เป็นการโจมตีในรูปแบบการแฮกเว็บไซต์ประมาณ2ใน3ของการโจมตีทั้งหมดซึ่งในจำนวนนี้พบว่าหน่วยงานการศึกษาตกเป็นเป้าหมายการโจมตีมากที่สุดรองลงมาหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามลำดับรวมทั้งยังพบหน่วยงานราชการทั้ง20กระทรวงโดนการแฮกเว็บไซต์และถูกโจมตีข้อมูลด้วยการฝังสคริปต์โฆษณาเว็บไซต์ การพนันออนไลน์มากถึง30ล้านURLเพื่อหวังผลการค้นหาผ่านGOOGLEด้วยKEYWORDที่เกี่ยวกับการพนันออนไลน์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการต่างๆ ทั้งนี้ทางสกมช.ได้นำเสนอมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อคณะรัฐมนตรีในการเข้าไปแก้ปัญหาตรงจุดนี้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นรวมทั้งติดตามและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของกระทรวงต่างๆเพื่อทำให้สถิติการถูกโจมตีลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งจากการตรวจสอบในขณะนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกโจมตีระบบไซเบอร์ นายชัยวุฒิยังกล่าวทิ้งท้ายและฝากเตือนประชาชนว่าขณะนี้มีกลุ่มอาชญากรรมทางไซเบอร์ทำการล่อลวงประชาชนด้วยกลวิธีต่างๆทั้งการสร้างเว็บไซต์ปลอม การเผยแพร่มัลแวร์แอปดูดเงินการส่งอีเมลด้วยการปลอมโดเมนผู้ส่งการส่งSMSปลอมแปลงผู้ส่งและใช้ไลน์Accountปลอมเป็นหน่วยงานรัฐหรือบริษัทเอกชนต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ประชาชนเกิดความเสียหายจำนวนมากทางดีอีเอสโดยสกมช.ได้ทำการตรวจสอบการกระทำผิดและรวบรวมหลักฐานส่งให้ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติการให้บริการโดเมนปิดให้บริการเว็บไซต์(take down) และปิดaccountไลน์ที่พบการกระทำทุจริตต่างๆได้ทั้งหมดตามที่ได้ตรวจพบหรือได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับประชาชนพบเห็นการหลอกลวงทั้งSMSหลอกลวงเว็บไซต์ปลอมหรือผู้ที่มีข้อมูลเว็บพนันออนไลน์สามารถแจ้งกับกระทรวงดิจิทัลฯได้ที่1212หรือhttps://facebook.com/DESMonitorเพจอาสาจับตาออนไลน์หรือแจ้งได้ที่[emailprotected]เพื่อปฏิบัติการสกัดกั้นอาชญากรทางไซเบอร์ต่อไป ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเปิดงาน Seminar Project on ASEAN Green Cultural Entrepreneur เชิญผู้ประกอบการ 8 ประเทศอาเซียนร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ไทยเปิดงาน Seminar Project on ASEAN Green Cultural Entrepreneur เชิญผู้ประกอบการ 8 ประเทศอาเซียนร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยเปิดงาน Seminar Project on ASEAN Green Cultural Entrepreneur เชิญผู้ประกอบการ 8 ประเทศอาเซียนร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ ขับเคลื่อนโมเดล BCG สร้างความร่วมมืออย่างยั่งยืนในอาเซียน ไทยเปิดงาน Seminar Project on ASEAN Green Cultural Entrepreneur เชิญผู้ประกอบการ 8 ประเทศอาเซียนร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ ขับเคลื่อนโมเดล BCG สร้างความร่วมมืออย่างยั่งยืนในอาเซียน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เปิดโครงการ Seminar Project on ASEAN Green Cultural Entrepreneur ณ กรุงเทพมหานคร จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน ผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน 8 ประเทศนำโดยไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปินส์ เวียดนาม ผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมการออกแบบ และผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ ครั้งที่ ๕๗ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ได้เห็นชอบงบประมาณกองทุนวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Fund) ในการสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกว่าเพื่อขับเคลื่อนโมเดล BCG ตามนโยบายรัฐบาลและดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ ( Sustainable Development Goals : SDGs) ในภูมิภาคอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า งานดังกล่าว วธ.ได้เชิญผู้ประกอบการอาวุโสและผู้ประกอบการหน้าใหม่ด้านผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมสีเขียว รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และร่วมกันสร้างแนวทางการพัฒนาธุรกิจสีเขียวที่กำลังเป็นกระแสโลกและขยายตัวอย่างมากในปัจจุบัน มุ่งเน้นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นได้รับการจับตามอง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าและบริการของชุมชนประเภทงานฝีมือ สิ่งทอ และจักสาน โดยกิจกรรมประกอบด้วย การบรรยายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดนิทรรศการ เยี่ยมชมกิจการของผู้ประกอบการไทย ณ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการนำเสนอผลงานและประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และการจัดกิจกรรมไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนให้เข้าถึงอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการจาก 8 ประเทศที่เข้าร่วม มีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ 1.ไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ eco-printing ลีลาฝ้าย ชุมชนคุณธรรมฯวัดพลา จ.ระยอง และแบรนด์ Tembine เสื้อผ้ากระเป๋า up-cycling ชุมชนเครือข่ายวัฒนธรรมบางแค 2.กัมพูชา ได้แก่ มัดหมี่ KM Textile และมัดหมี่ Kie Khmer 3.อินโดนีเซีย ได้แก่ Handep ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มชาติพันธุ์และผลิตภัณฑ์ upcycling Setali Indonesia 4.ลาว ได้แก่ สิ่งทอ Tai Baan Crafts และสิ่งทอ Her Works 5. มาเลเซีย ได้แก่ ผ้าบาติก Ruzzgahara และเซรามิก Bangkita ceramic studio 6.เมียนมา ได้แก่ ผ้าใยบัว Hnin Witthmone และผ้าใยกล้วย Galon Minn Nyi Naung 7. ฟิลิปินส์ ได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ECHOstore และแบรนด์เสื้อผ้า RIOtaso 8. เวียดนาม ได้แก่ แบรนด์เสื้อผ้า Kilomet และ ผู้ประกอบการด้านการจัดงานเทศกาล An Bang
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. พร้อมช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน จัดทำมาตรการแก้หนี้ ดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ธอส. พร้อมช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน จัดทำมาตรการแก้หนี้ ดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน ในงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ธอส. ร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ที่จัดขึ้นโดย ก.ศึกษาธิการ ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกภูมิภาคทั่วประเทศให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างครบวงจร นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงสานต่อความช่วยเหลือดังกล่าว ไปยังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญในการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ทั้งที่อยู่ระหว่างการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และการปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการนำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกภูมิภาคทั่วประเทศให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างครบวงจร โดยการจัดงานครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงเรียนกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดย ธอส. นำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร มาตรการ 22 [M22] สำหรับลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL หรือ ลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2 ปี เดือนที่ 1-10 ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) เดือนที่ 11-18 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 1,800 บาท) เดือนที่ 19-21 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 3,500 บาท) เดือนที่ 22-24 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี หรือเท่ากับ 4.40% ต่อปี (กรณีเงินต้นคงเหลือ 1 ล้านบาท เงินงวดในการผ่อนชำระ 3,900 บาท) (อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.40% ต่อปี) บ้านมือสอง ธอส. จากทั่วประเทศมากกว่า 1,700 รายการ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสุด 50% จากราคาประเมิน พร้อมสิทธิ์ผ่อนดาวน์ 0% นานสูงสุด 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ โดยสามารถจองซื้อทรัพย์ออนไลน์และวางเงินประกัน 5,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณสำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. สามารถจองสิทธิ์ซื้อและเลือกดูทรัพย์ได้ที่ Application : GHB ALL HOME สำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาตรการความช่วยเหลือฯ จะต้องเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร และสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน โดยจะต้องแสดงหลักฐาน เอกสาร บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด พร้อมทั้งแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพหรือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เช่น หลักฐานรายได้ หรือ หนังสือรับรองจากหน่วยงานจากต้นสังกัด ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค จะจัดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : วันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงเรียนกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคามและ ร้อยเอ็ด, ครั้งที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : วันที่ 4-5 มีนาคม 2566 ณ จ.อุดรธานี ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.อุดรธานี บึงกาฬ เลย หนองคาย และ หนองบัวลำภู, ครั้งที่ 3 ภาคตะวันออก : วันที่ 11-12 มีนาคม 2566 ณ จ.สระแก้ว ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.สระแก้ว ปราจีนบุรี และนครนายก, ครั้งที่ 4 ภาคเหนือ : วันที่ 18-19 มีนาคม 2566 ณ จ.พิษณุโลกครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.พิษณุโลก ตาก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และอุตรดิตถ์ และ ครั้งที่ 5 ภาคใต้ : วันที่ 25-26 มีนาคม 2566 จัดที่ จ.สุราษฏร์ธานี ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือข้าราชการครูใน จ.สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร กระบี่ พังงา ระนอง และ พัทลุง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ร่วมงานสถาปนา 'กอ.รมน.' ครบรอบ 15 ปี
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.ดีอีเอส ร่วมงานสถาปนา 'กอ.รมน.' ครบรอบ 15 ปี รมว.ดีอีเอส ร่วมงานสถาปนา 'กอ.รมน.' ครบรอบ 15 ปี วันนี้(17ก.พ.66) นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ร่วมงานวันสถาปนากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)ครบรอบ15ปีโดยมีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผอ.รมน.)เป็นประธานในพิธีณห้องอเนกประสงค์ชั้น1กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)สวนรื่นฤดีถนนนครราชสีมาเขตดุสิตกรุงเทพฯ ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส เปิดงาน Thailand National Cyber Week 2023 ครั้งแรกในไทย
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.ดีอีเอส เปิดงาน Thailand National Cyber Week 2023 ครั้งแรกในไทย รมว.ดีอีเอส เปิดงาน Thailand National Cyber Week 2023 ครั้งแรกในไทย วันนี้(17ก.พ.66) นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานเปิดงาน“นิทรรศการสัปดาห์วิชาการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์2566” (Thailand National Cyber Week 2023)เพื่อขับเคลื่อนและสร้างความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีพลอากาศตรีอมรชมเชยเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(สกมช.)และพลตรีธีรวุฒิวิทยากรณ์รองเลขาธิการสกมช.ร่วมให้การต้อนรับกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่17-18กุมภาพันธ์2566 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(สกมช.)ณสามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ชั้น5สามย่านมิตรทาวน์กรุงเทพฯ ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน กำชับ อสม. เป็นกำลังเสริมบุคลากรสาธารณสุขช่วยดูแลผู้สูงอายุรับปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อนุทิน กำชับ อสม. เป็นกำลังเสริมบุคลากรสาธารณสุขช่วยดูแลผู้สูงอายุรับปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับ อสม. อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา สนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ช่วยสื่อสารข้อมูลสุขภาพ ติดตามเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับ อสม. อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา สนับสนุนบุคลากรสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ช่วยสื่อสารข้อมูลสุขภาพ ติดตามเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย พร้อมกันนี้ได้มอบแว่นสายตาและผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้กับตัวแทนผู้สูงอายุในพื้นที่ วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ โรงพยาบาลโชคชัยแห่งใหม่ จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับ อสม.อำเภอโชคชัย ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง โดยมี นายแพทย์ภูวเดช สุระโครต รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมคณะ นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายให้ปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง อสม.ถือเป็นบุคลากรสาธารณสุขที่มีความสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้เป็นกำลังสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุข ช่วยสื่อสารข้อมูลสุขภาพเพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพพื้นฐานที่ดี เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดี มีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน รวมถึงการร่วมทีมติดตามเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุในชุมชนทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ แว่นสายตา ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ฟันเทียมและรากฟันเทียม รวมถึงจัดระบบบริการไว้รองรับ โดยจัดให้มีคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพในโรงพยาบาล มีการคัดกรองความเสื่อม 9 ด้านของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและชะลอความเสื่อม ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา มีประชากรทั้งสิ้น 2,174,870 คน เป็นผู้สูงอายุ 447,549 คน หรือคิดเป็น 20.57% ถือว่าเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับอำเภอโชคชัย มีประชากรสูงอายุ 15,023 คน ได้ทำการคัดกรองสุขภาพ 9 ด้านแล้ว 10,729 คน ส่วนใหญ่พบความผิดปกติด้านการได้ยิน 28.55% ด้านสุขภาพช่องปาก 26.63% ด้านการเคลื่อนไหว 18% เสี่ยงสมองเสื่อม 12.22% ด้านการมองเห็น 11.07% ซึมเศร้า 10.98% ขาดสารอาหาร 8.30% กลั้นปัสสาวะไม่ได้ 5.66% โดยในวันนี้ ได้มอบแว่นตาแก่ตัวแทนผู้สูงอายุ จำนวน 50 ชิ้น และผ้าอ้อมผู้ใหญ่แก่ญาติและตัวแทนผู้ป่วย จำนวน 50 คน และจะเร่งรัดดำเนินการคัดกรองให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่อไป *****************************************17 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล เป็นประธานในงานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award (TQA) ครั้งที่ 21 ประจำปี 2565
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล เป็นประธานในงานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award (TQA) ครั้งที่ 21 ประจำปี 2565 รางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award (TQA) ครั้งที่ 21 ประจำปี 2565 ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไทย ส่งมอบคุณค่าคืนกลับมาสู่สังคมและประเทศชาติ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award (TQA) ครั้งที่ 21 ประจำปี 2565 จัดโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา รองประธานกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ เป็นผู้ประกาศรายชื่อองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2565 และมีนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ให้การต้อนรับ ณ ห้องมณียา แกรนด์บอลรูม บี โรงแรมเรเนซองส์ ราชประสงค์ “กระทรวงอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนให้องค์กรไทยนำเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติไปประยุกต์ใช้ และมีการมอบรางวัลอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพของเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ในด้านการตอบสนองต่อทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การขับเคลื่อนผลิตภาพ และยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไทย ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคการศึกษา โดยมุ่งส่งเสริมให้มีการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมไปใช้เพื่อพัฒนาองค์กร และส่งมอบคุณค่าคืนกลับมาสู่สังคมและประเทศชาติ และให้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติมีกลไกที่เป็นรูปธรรมต่อการสนับสนุนสังคม ชุมชน และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐบาลให้ความสำคัญ” ดร.ณัฐพล กล่าว โดยในปี 2565 มีผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น จำนวน 12 องค์กร โดยแบ่งเป็นรางวัล ดังนี้ - รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award: TQA) จำนวน 1 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) - รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านลูกค้า (Thailand Quality Class Plus: Customer) จำนวน 1 องค์กร ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย - รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านบุคลากร (Thailand Quality Class Plus: People) จำนวน 2 องค์กร ได้แก่ 1. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 2. มหาวิทยาลัยมหิดล - รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่น ด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus: Operation) จำนวน 2 องค์กร ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ฟีนอล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด - รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class) จำนวน 6 องค์กร ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 2. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 4. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 5. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 6. หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำหรับในปี 2566 จะมีการเพิ่ม 2 รางวัล ได้แก่ 1) รางวัล TQA: Global Excellence ซึ่งเป็นรางวัลที่จะมอบแก่องค์กรที่มีความเป็นเลิศในระดับที่เป็น Benchmark Leader ไปจนถึงระดับ World Leader และ 2) รางวัล TQC Plus: Societal Contribution เป็นรางวัลที่มอบแก่องค์กรที่มีความโดดเด่นด้านการสร้างความผาสุกของสังคม และการสนับสนุนชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดรับกับนโยบาย MIND : ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน บนพื้นฐานความสำเร็จ 4 มิติ ของกระทรวงอุตสาหกรรม (MIND) อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ อ.เมืองอุบลราชธานี
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ปลัด มท. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ อ.เมืองอุบลราชธานี ปลัด มท. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ อ.เมืองอุบลราชธานี เน้นย้ำ ต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทย ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปลัด มท. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ อ.เมืองอุบลราชธานี เน้นย้ำ ต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทย ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่ายที่ยั่งยืน วันนี้ (17 ก.พ. 66) เวลา 13.00 น. ที่วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และคณะผู้บริหารกรมโยธาธิการและผังเมือง ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายอนุ จึ่งสกุล โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุบลราชธานี นายนคร ศิริปริญญานันท์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี นายสุริยา บุตรจินดา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี นายสำเนียง สิมมาวัน ท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี นายพิสดาร ประดา พัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี นายอภิชัย จำปานิล หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุบลราชธานี นางสาวพิศทยา ไชยสงคราม นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและนำตรวจเยี่ยม โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำคณะ เข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณพระวิบูลธรรมาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม วรวิหารที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเขื่องใน (ธ) ท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์วชิโรภาส เจ้าอาวาสวัดวังอ้อ เจ้าคณะตำบลหัวดอน ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย และท่านเจ้าคุณพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย และนำคณะ ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาเก็บขยะภายในบริเวณวัดสุปัฏนาราม วรวิหาร แวะเยี่ยมชมบริเวณเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และเขื่อนตามโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจากการรับฟังบรรยายสรุปและลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนาราม วรวิหาร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และโครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะนุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ผลงานเรียบร้อยสมบูรณ์และสำเร็จตามงวดงานตามสัญญาจ้างที่กำหนด จึงแสดงให้เห็นว่ากรมโยธาธิการและผังเมืองโดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุบลราชธานี บริษัทคู่สัญญา ผู้ควบคุมงาน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ช่วยกันรับผิดชอบจนทำให้งานสำเร็จลุล่วง มีสถานที่ที่สวยงาม เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน "ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีและท่านนายอำเภอเมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกับนายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งมีต้นทุนเดิม คือ "ถนนคนเดิน" ซึ่งดีอยู่แล้ว ด้วยการ 1) น้อมนำแนวพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มารณรงค์ส่งเสริมเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้สวมใส่ผ้าไทยผ้าอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาเดินเล่น เดินเที่ยว และมีการประกวดประขัน อาทิ รางวัลครอบครัวผ้าไทยใส่ให้สนุก รางวัลผ้าไทยกิ๊บเก๋ โดยผู้นำชุมชน และสมาชิกในชุมชนร่วมกันเป็นกรรมการ เป็นแมวมองตัดสิน ซึ่งอุบลราชธานีมีจุดแข็งด้านผ้าไทย เพราะมีศิลปินแห่งชาติด้านผ้าไทยถึง 2 ท่าน คือ นางคำปุน ศรีใส ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ทอผ้า) พุทธศักราช 2561 และนายมีชัย แต้สุจริยาศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ทอผ้า) พุทธศักราช 2564 และศิลปินช่างทอผ้าผู้ทรงคุณวุฒิอีกมากมาย 2) น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา หรือที่เรียกว่า "อารยเกษตร" ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการร่วมกับศูนย์ศึกษาพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี เชื้อเชิญเจ้าของแปลงโคก หนอง นา หมุนเวียนมาออกร้าน จัดนิทรรศการ และจัดจำหน่ายผลผลิตจากแปลงโคก หนอง นา ในบริเวณถนนคนเดิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนผู้สนใจได้เข้ามาซื้อหาผลิตภัณฑ์ เลือกซื้อพืช ผัก ผลผลิต รวมทั้งศึกษาแลกเปลี่ยนขอคำแนะนำ และส่งเสริมให้ประชาชนปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหารตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน และยกระดับถนนคนเดินให้เป็นถนนสายวัฒนธรรม เป็นถนนเด็กเดินที่เปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้ใช้แสดงความสามารถได้อีกด้วย" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ขอให้ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้ทำกิจกรรมเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และประเพณีอันดีงามในบริเวณพื้นที่ที่ได้ปรับปรุงอย่างสวยงาม เช่น กิจกรรมสวมผ้าไทยมาใส่บาตร เพราะพื้นที่นี้มีจุดแข็งคือมีวัดสุปัฏนาราม วรวิหาร และอยู่บริเวณริมแม่น้ำมูลที่มีทางขึ้น-ลงสะดวก หรือกิจกรรมการปล่อยพันธุ์ปลา เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญตามคติความเชื่อ และเป็นการแพร่พันธุ์ปลาน้ำจืดให้เพิ่มขึ้นในแหล่งน้ำธรรมชาติ ยังผลให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีไทย วิถีธรรม ที่เป็นการกระตุ้นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ "ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด และท่านนายอำเภอเมืองอุบลราชธานี ได้เป็นแม่งานปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณวัดสุปัฏนาราม วรวิหาร ให้มีสวนหย่อมสมุนไพรและมีแปลงผักสวนครัว เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นรมณียสถาน เป็นแหล่งอาหาร รวมทั้งประยุกต์นำหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดทำกำแพงต้นไม้ เพราะการพัฒนาจะหยุดแค่โครงสร้างพื้นฐานไม่ได้ ต้องร่วมมือกับท่านผู้นำท้องถิ่นพัฒนา เพิ่มสีสันให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่ทำดีอยู่แล้ว รวมทั้งส่งเสริมให้มีกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา เพื่อทำให้พื้นที่ภายในบริเวณวัดสุปัฏนาราม วรวิหารแห่งนี้ ได้เป็นสถานที่แห่งการหลอมรวมการทำความดีให้กับสังคมด้วยพลังของจิตอาสา" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย นายอนุ จึ่งสกุล โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินโครงการพัฒนาในพื้นที่ 2 โครงการ คือ 1) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำมูล วัดสุปัฏนารามวรวิหาร (ต่อเนื่องเขื่อนเดิม) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มีความยาว 299 เมตร ประกอบด้วย งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งรูปแบบเสาเข็มโต๊ะ ยึดรั้งด้วยคานรัดหัวเสาเข็ม พร้อมพื้นทางเท้า ค.ส.ล. ผิวขัดเรียบ งานก่อสร้างบันได ค.ส.ล. ขึ้น-ลง หน้าเขื่อน จำนวน 1 แห่ง และถนน คสล. หลังเขื่อน กว้าง 14 เมตร หน้าเขื่อนทำการถมทราย ปูแผ่นใยสังเคราะห์ เรียงหินใหญ่ปิดทับ และส่วนล่างก่อสร้างโดยการทิ้งหินใหญ่ งบประมาณปี 2563 - 2565 วงเงินค่าก่อสร้างรวม 77.45 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 700 วัน ก่อสร้างแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2565 ตามสัญญาจ้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและเป็นถนนคนเดิน และ 2) โครงการพัฒนาพื้นที่เฉพาะบุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี งบประมาณ 145 ล้านบาท ความยาวเขื่อนป้องกันตลิ่ง 1,740.00 เมตร สืบเนื่องจากพื้นที่บริเวณนุ่งกาแซว-ท่ากกแห่ ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มีแนวถนนโครงข่ายผังเมืองเพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อถนนสายหลักระหว่างเขตเทศบาลไปถนนเลี่ยงเมือง ทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและการลงทุนพัฒนาพื้นที่ ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจในเทศบาลเมืองแจระแม และชุมชนใกล้เคียง โดยมีองค์ประกอบ ก่อสร้างถนนตามโครงข่ายผังเมือง ระบบสาธารณูปโภค - สาธารณูปการประกอบงานถนน ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ระยะเวลา 750 วัน ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ตามสัญญาจ้าง โดยประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ คือ การคมนาคมในชุมชนมีความสะดวกสบายมากขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณูปโภค - สาธารณูปการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการครอบครองอาวุธปืนและยาเสพติด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นายกฯ กำชับทุกฝ่ายเดินหน้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงจัง
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการครอบครองอาวุธปืนและยาเสพติด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นายกฯ กำชับทุกฝ่ายเดินหน้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงจัง ​รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการครอบครองอาวุธปืนและยาเสพติด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นายกฯ กำชับทุกฝ่ายเดินหน้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงจัง วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการหาแนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธปืนและยาเสพติด ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนการป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นั้น ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขปัญหาอาวุธปืน โดยมีมาตรการเกี่ยวกับอาวุธปืน ดังนี้ 1. การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (1) เพิ่มเติมเอกสารใบรับรองแพทย์ ปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทย อยู่ระหว่างการหารือกับกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลสมเด็จพระยาในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติดของผู้ยื่นคำขอใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน รวมทั้งศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 เนื่องจากพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ไม่ได้ให้อำนาจนายทะเบียนท้องที่ออกคำสั่งให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตรวจสุขภาพจิตและหาสารเสพติด (2) ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดหรือนายจ้าง โดยกำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบประวัติอาชญากรและการรับรองความประพฤติของผู้ยื่นคำขออนุญาตทุกราย ทั้งนี้ การขออนุญาตให้ซื้ออาวุธหรือเครื่องกระสุนส่วนบุคคลให้มีอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนสำหรับการค้าให้มีอาวุธปืน (แบบ ป.3) และการขอใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ให้มีอาวุธปืนไว้เพื่อเก็บ ให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนชั่วคราว (แบบ ป.4) โดยในกรณีที่เป็นข้าราชการจะต้องผ่านการรับรองจากผู้บังคับบัญชา หรือหากเป็นบุคคลทั่วไปจะต้องได้รับการรับรองจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งการออกใบรับรองให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งหากปรากฏภายหลังพบว่ามีพฤติกรรมชวนสงสัยหรือถูกดำเนินคดีอาญา ต้องแจ้งให้ มท. ทราบเพื่อดำเนินการแจ้งนายทะเบียนท้องที่ดำเนินการตามอำนาจต่อไป ปัจจุบัน มท. อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ในประเด็นการกำหนดอายุใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (3) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออนุญาต กำชับนายทะเบียนท้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นคำขออนุญาต ทั้งก่อนและหลังการออกใบอนุญาตและซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้ผู้ที่จะยื่นคำขอต่อนายทะเบียน ตามแบบ ป.3 หากเป็นการซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนในราชอาณาจักรให้ขออนุมัติผ่อนผันและรายงานให้ มท. ทราบทุกครั้ง ทั้งนี้ กรณีสนามยิงปืนจะอนุญาตให้ซื้อกระสุนปืนได้เฉพาะสนามยิงปืนที่จัดตั้งเป็นสมาคมกีฬาโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 และต้องแก้ไขชนิดและขนาดปืนที่ได้รับอนุญาตตามแบบ ป.4 เท่านั้น กรณีมีผู้ยื่นคำขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนชนิดหรือขนาดเดียวกันจำนวนมากผิดปกติ ให้เรียกอาวุธปืนและใบอนุญาตมาตรวจสอบเป็นราย ๆ ไป หากพบว่ามีการแสดงข้อมูลเป็นเท็จโดยใช้ชื่อตนเองเพื่อซื้ออาวุธปืนให้บุคคลอื่นให้เพิกถอนใบอนุญาตทันที (4) เพิกถอนใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว มีการกำชับแนวทางการอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวภายในเขตจังหวัด และแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิกถอนใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (แบบ ป.12) ได้ทันที หากพบว่าเป็นผู้ที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ หรือถูกเพิกถอนแบบ ป.4 และ (5) เชื่อมโยงฐานข้อมูล มท. ได้อนุมัติสิทธิให้ ตช. (ส่วนกลาง) สามารถเข้าระบบเพื่อตรวจดูข้อมูลทะเบียนอาวุธปืนได้ และอยู่ระหว่างการหารือด้านเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 2. การจัดการอาวุธปืนที่ได้ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่มีกฎหมายห้ามออกใบอนุญาต กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ปัจจุบันอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นในระบบกฎหมายกลาง โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ (1) หากบุคคลที่มีการครอบครองอาวุธปืนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายและอยู่ในความควบคุมของรัฐโดยได้รับการยกเว้นโทษ (2) กรณีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ให้ผู้ครอบครองส่งมอบให้อยู่ในการควบคุมของรัฐโดยได้รับการยกเว้นโทษ และ (3) กำหนดให้มีการจัดเก็บอัตลักษณ์หัวกระสุนและปลอกกระสุนของอาวุธปืนทุกกระบอกโดยให้มีกำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืนไว้ด้วย ทั้งนี้ อัตราการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (แบบ ป.3) ระหว่างเดือนกรกฎาคม-15 ธันวาคม 2565 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง 3. การป้องกันและปราบปรามในเชิงรุก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการ ดังนี้ 1) การป้องกัน ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ (1) วัยรุ่น กลุ่มเสี่ยง นักเลง อันธพาล (2) บุคคลที่มีคดีความ ผู้มีอิทธิพล ผู้กว้างขวาง (3) บุคคลผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนแต่มีความประพฤติไม่เรียบร้อย (4) กลุ่มบุคคลที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบ (5) บุคคลพ้นโทษ (6) กลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมลักลอบผลิตจำหน่ายอาวุธปืนทางออนไลน์ และ (7) กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2) การปราบปราม ได้ดำเนินการ ดังนี้ (1) สืบสวน ปราบปราม ตรวจค้นแหล่งค้า/ผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย (2) กำหนดจุดตรวจ จุดสกัด (3) สกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธปืนทั้งทางบกและทางน้ำ (4) ตรวจสอบการขนส่งทางไปรษณีย์ (5) ปราบปรามการค้าอาวุธปืนข้ามชาติ และ (6) ติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดทางสื่อออนไลน์ ทั้งนี้ ผลการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2565 สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด รวม 29,464 คดี ผู้ต้องหา 27,637 ราย โดยข้อหาที่คนร้ายใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ จำแนกตามฐานความผิด ได้ดังนี้ (1) ฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ รวม 46 กระบอก (2) ฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ รวม 7 กระบอก (3) ฐานความผิดพิเศษ รวม 10 กระบอก และ (4) คดีความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย รวม 5,246 กระบอก 4. มาตรการทางดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการที่สำคัญ คือ การป้องกันการค้าอาวุธปืนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไม่เหมาะสม ในการปิดกั้นแพลตฟอร์ม หากมีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอันเกี่ยวกับอาวุธปืนและยาเสพติด และได้ตรวจสอบแล้วเป็นความผิดตามกฎหมายนั้น ๆ สามารถประสานไปยัง ดศ. เพื่อดำเนินการพิจารณาตามกฎหมาย หากศาลมีคำสั่งให้ระงับการเผยแพร่ก็จะดำเนินส่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อดำเนินการระงับการทำให้แพร่หลายต่อไป “นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้ยาเสพติดกับการใช้อาวุธที่จะดำเนินการในหลายมิติ โดยเฉพาะมาตรการเรื่องการป้องกันป้องปรามในสถานที่ต่าง ๆ การปราบปรามโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย กวาดล้างทั้งยาเสพติดและการใช้อาวุธต่าง ๆ ความเข้มข้นในการตรวจสอบการใช้อาวุธ การพกพาอาวุธ ขณะที่ยาเสพติด นอกจากการป้องกันและปราบปรามแล้ว รัฐบาลและนายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับมิติของการนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ทั้งสถานที่บำบัดรักษาของรัฐ และศูนย์บำบัดรักษาต่าง ๆ ของส่วนท้องถิ่นให้มีเพียงพอ ได้คุณภาพมาตรฐาน รวมทั้งการค้นหาคนที่ติดยาเสพติดเพื่อนำมาสู่การบำบัดรักษาภายใต้มาตรการที่เหมาะสมในการดำเนินการอย่างเข้มงวด เร่งด่วน และมีประสิทธิภาพ” นายอนุชา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน​ เชิญปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าหารือข้อราชการร่วมกัน
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน​ เชิญปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าหารือข้อราชการร่วมกัน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน​ เชิญปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าหารือข้อราชการร่วมกัน ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๓๐ น. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน​ นำโดย​ นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ​ เชิญ​ นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะ เข้าหารือข้อราชการร่วมกันในประเด็นการประสานความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เรื่องเชิงระบบเกี่ยวกับการยกระดับการบริหารจัดการงานราชทัณฑ์ ณ ห้องปฏิบัติการ ชั้น ๕ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ ... ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม แถลงข่าวความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศ นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการ ทสภ. พร้อมด้วย นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) ทอท. แถลงข่าวความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ทสภ. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร กล่าวว่า สถิติเที่ยวบินและผู้โดยสารในภาพรวมของ ทสภ. นับตั้งแต่ประเทศไทยเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 15 กุมภาพันธ์ 2566 มีจำนวนเที่ยวบิน รวม 107,304 เที่ยวบิน และมีจำนวนผู้โดยสาร รวม 17,350,179 คน ซึ่งภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 คลี่คลายลง และประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่ทำการบิน ณ ทสภ. ในภาพรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะภายหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 รวมทั้งอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์นำนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศเพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ส่งผลให้ ทสภ. มีจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 8 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2566 เที่ยวบินที่ทำการบินเข้ามาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน ฮ่องกง มาเก๊า) มีจำนวน 751 เที่ยวบิน เฉลี่ยวันละ 20 เที่ยวบิน และผู้โดยสารขาเข้าจากจีนมีจำนวน 161,502 คน เฉลี่ยวันละ 4,142 คน ทั้งนี้ ทสภ. คาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินขาเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเกือบ 500,000 คน ภายในประมาณวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 และ 1,000,000 คน ภายในประมาณวันที่ 20 สิงหาคม 2566 ด้านความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เกิดความแออัดคับคั่งของผู้โดยสารโดยเฉพาะในช่วงเวลาชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour) นั้น ทสภ. มีความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ กรณีการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว สถิติเที่ยวบินที่กระเป๋าล่าช้ามากกว่า 30 นาที จากเดิมเมื่อเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนประมาณ 50 เที่ยวบินต่อวัน เดือนมกราคม 2566 ประมาณ 30 เที่ยวบินต่อวัน ปัจจุบันเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ลดลงเหลือประมาณ 15 - 20 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของเที่ยวบินทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะกลาง บริษัทผู้ให้บริการภาคพื้น ณ ทสภ. ทั้ง 2 ราย (บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด) ได้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดประเทศ สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาวอยู่ระหว่างกระบวนการสรรหาผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 ซึ่ง ทอท. ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการรองรับปริมาณเที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยให้กับ ทสภ. ต่อไป ทสภ. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหารถแท็กซี่สาธารณะขาดแคลน ให้เป็นไปด้วยความคล่องตัวเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและใช้เวลาการรอคิวน้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรถแท็กซี่เพิ่มขึ้นจากเดิม เป็น 3,909 คัน ทสภ. คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่เพื่อรองรับการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นได้ถึงจำนวน 4,500 คัน ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT เพื่อดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ทสภ. และจองการใช้บริการรถ TAXI เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการรถแท็กซี่ นอกจากนี้ ทอท.อยู่ระหว่างเตรียมการแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่งบริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ. โดยมีแผนการเพิ่มขีดความสามารถของจุดตรวจหนังสือเดินทาง ณ ทสภ. แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ติดตั้งเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Auto channel เพื่อรองรับผู้โดยสารขาออกได้ทุกประเทศที่มีการใช้งาน E - Passport ทำให้ผู้โดยสารสามารถใช้บริการผ่าน Auto channel ได้ สะดวก รวดเร็ว ในขณะที่ผู้โดยสารขาเข้านอกจากผู้โดยสารคนไทย ประเทศไทยมีบันทึกข้อตกลงในการผ่านเข้าประเทศ สามารถใช้บริการ Auto channel ได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ และคาดว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการจัดหาพัสดุประมาณเดือนมิถุนายน 2566 และเริ่มทยอยทำการติดตั้งเครื่อง Auto channel ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 จนครบภายในเดือนสิงหาคม 2567 ทำให้มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารขาออก จาก 6,200 คน/ชั่วโมง เป็น 8,800 คน/ชั่วโมง และสามารถรองรับผู้โดยสารขาเข้า จาก 11,000 คน/ชั่วโมง เป็น 13,300 คน/ชั่วโมง ระยะที่ 2 ก่อสร้างพื้นที่เพิ่มเติมบริเวณพื้นที่ว่างระหว่างอาคารผู้โดยสารกับอาคาร Concourse D เพื่อเป็นโถงรองรับผู้โดยสารขาเข้าและผู้โดยสาร Visa on Arrival (VOA) ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ และจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (TOR) โดยจะสามารถเริ่มงานประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566 และจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยเมื่อการดำเนินงานแล้วเสร็จ จะเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารขาเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 คน/ชั่วโมง และการรองรับผู้โดสาร Visa on Arrival (VOA) เพิ่มขึ้นประมาณ 400 คน/ชั่วโมง ทั้งนี้ ทอท. ได้ติดตามและเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด พร้อมรองรับสถานการณ์การเพิ่มจำนวนของผู้โดยสารที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริการและการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ยืนยันผู้ได้รับสิทธิ์โครงการบ้านมั่นคงเป็นไปตามระเบียบ ย้ำช่วยผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยถูกกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.พม. ยืนยันผู้ได้รับสิทธิ์โครงการบ้านมั่นคงเป็นไปตามระเบียบ ย้ำช่วยผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยถูกกฎหมาย รมว.พม. ยืนยันผู้ได้รับสิทธิ์โครงการบ้านมั่นคงเป็นไปตามระเบียบ ย้ำช่วยผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยถูกกฎหมาย วันนี้ (16 ก.พ. 66) เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภานายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า ประเด็นที่มีข้อสงสัยว่ามีผู้ได้รับสิทธิ์โครงการบ้านมั่นคงริมคลองเปรมประชากร เป็นนามสกุลเดียวกันกับตน ตามที่นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย ได้อภิปรายในการประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ (15 ก.พ. 66) ทั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า นามสกุลของผู้ได้รับสิทธิ์ดังกล่าวเป็นนามสกุลเดียวกันกับตนจริง ซึ่งได้สิทธิ์ตามสิทธิ์ของผู้มีรายได้น้อย สำหรับโครงการบ้านมั่นคงฯ ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. นั้น เป็นความต้องการของประชาชนจากล่างสู่บน ไม่ใช่บนสู่ล่าง คือประชาชนต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ที่ใช้นามสกุลเดียวกันกับตน เป็นผู้มีรายได้น้อยนั้น สามีเสียชีวิต 10 กว่าปี มีลูก 4 คน และได้ทำการลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2562 ก่อนที่ตนจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. และตนมาดำรงตำแหน่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2562 ทั้งนี้ ขอเรียนให้ทราบว่าทุกอย่างเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้ใครได้สิทธิ์และเสียสิทธิ์ และขอยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรอบระเบียบ ไม่ผิดกฎหมายแน่นอน นายกฤษดาสมประสงค์ ผู้อำนวยการ พอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นโครงการบ้านมั่นคงริมคลองเปรมประชากร ซ.งามวงศ์วาน ซอย 59 (ชุมชนสามัคคีเวทสุนทร) เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผิดกฎหมายนั้น ขอชี้แจงว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการดังกล่าวเป็นกระบวนการของรัฐบาลที่ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีโอกาสพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้มีโอกาสพัฒนาที่อยู่อาศัย นั่นคือ ให้ประชาชนที่รุกล้ำลำคลองได้ขึ้นมาอยู่ข้างบนอย่างถูกกฎหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดความมั่นคงในชีวิต และมีการพูดถึงประเด็นว่าไม่มีการสำรวจความคิดเห็นของชุมชนในการทำโครงการบ้านมั่นคงนั้นกระบวนการดำเนินโครงการฯ มี หลายขั้นตอน ตั้งแต่การสำรวจข้อมูล โดยขั้นตอนสำคัญ คือ การประชุมกับพี่น้องประชาชนในการทำความเข้าใจร่วมกันในการกำหนดออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกัน เพื่อเป็นกระบวนการให้ชาวชุมชนได้ร่วมพูดคุยกัน และเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกัน สำหรับประเด็นที่โครงการบ้านมั่นคงทำให้ทัศนียภาพคลองหายไปนั้น แต่เดิม คลองเปรมประชากรมีการรุกล้ำด้วยการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้าง เป็นความกว้างเฉลี่ย 18-20 เมตร หลังจากที่ดำเนินโครงการไปแล้ว ทำให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 25 เมตร และเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งผลให้ทัศนียภาพของคลองดีขึ้น อีกทั้งน้ำในคลองไหลสะดวกมากขึ้น ส่วนประเด็นการตรวจสอบสิทธิ์ในการสร้างบ้านเกินจำนวนที่เป็นจริง จาก 42 ครัวเรือน เป็น 101 ครัวเรือน ข้อเท็จจริงคือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มีทั้งหมด 88 ครัวเรือน ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยในที่ดินเดิม จำนวน 97 ครัวเรือน และอีก 9 ครัวเรือน มาจากริมคลองใกล้เคียง เนื่องจากเดิมที่อยู่กันแบบแออัด จึงให้สิทธิ์เป็นครอบครัวขยาย ส่วนการหาประโยชน์ในที่ดินที่บอกว่าเป็นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ขอชี้แจงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของกรมธนารักษ์ ซึ่งได้ให้พี่น้องประชาชนได้เช่าอยู่อาศัยในราคาถูก ตารางวาละ 6 บาทต่อปี ทำให้ประชาชนได้ลดรายจ่าย มีรายได้ในการดูแลตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ ประเด็นที่กล่าวหาว่าการสร้างโครงการบ้านมั่นคงทำให้น้ำท่วมนั้น ขอชี้แจงว่าโครงการฯ บริเวณวัดรังสิตนั้น เป็นพื้นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ซึ่งหลังจากดำเนินโครงการแล้ว ได้มีการขยายความกว้างของคลองเป็น 25 เมตร ส่งผลให้น้ำไหลได้สะดวกมากขึ้น #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM denounces Government’s failure in national administration
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 PM denounces Government’s failure in national administration PM denounces Government’s failure in national administration February 15, 2023, at 1845hrs, at the Parliament House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha denounced allegations related to the Government’s failure in the 8 years of its national administration. Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist as follows: According to the Prime Minister, prior to the year 2014, political conflicts impaired and disrupted the country’s several development plans and policies. Foreign investors lost their confidence over Thailand’s stability. Infrastructure development projects and related budget allocation, in particular, were implemented in a disintegrative and decentralized manner. The country’s rail transport system during the past 100 years remains almost unchanged with mostly being single track railways. During 2015-2019, investment in mega-infrastructure development projects were finally undertaken, with an average growth rate of public investment of 7.9% per year. This includes 3 motorway construction projects, routes: Bang Pa-in – Korat, Bang Yai – Kanchanaburi, and Pattaya – Map Ta Phut. In 2014, total distance of the country’s railroad was recorded at 4,073km, covering 47 provinces, and most of them are single track railways, while double/triple-track railways have only the distance of 357km. Under this Government, however, a 20-year master plan for rail development has been implemented. Railway stretches over 8,900km in distance, covering 62 provinces, and most of which are double/triple-track railways (5,640km). Projects under the master plan include, among others, 4 high-speed rail routes, that is, (1) Northeast Line: Thai-Chinese high-speed railway, route Bangkok - Nong Khai, stretching over 500 kilometers; (2) East Line: High-Speed Rail Linking Three Airports (Don Mueang–Suvarnabhumi–U-Tapao) Project; (3) North Line: high-speed railway, route Bangkok – Phitsanulok; and (4) South Line: high-speed railway, route Bangkok – Padang Besar. In the past 5 years, the distance of constructed double/triple railways is greater than the total distance of railways constructed during the past 50 years. Within the next 2 years (2024), the number of rail routes that are ready for service will quadruple the routes available 50 years ago. On the metropolitan rapid transit (MRT) system in Bangkok and vicinity, prior to 2014, there were 7 MRT routes, with a total distance of 147.8 km. Since then, additional lines have been constructed, and 11 routes have now been in service with a total distance of 212 km. Additional 2 lines, namely, the Pink and Yellow monorail lines, will be up for service this year. In all, 10 MRT lines, stretching over 200 km., have been constructed during the 8-year term of this Government. In terms of the Government’s credibility among the global community, Thailand ranks 8th as country with best public health system. The country is also recognized in many other areas, such as, in ease of doing business, adventure tourism, soft power, health security, fastest fixed broadband, and one of world’s best countries for workation, investment, and comfortable retirement, among others. In addition, Minister of Finance Arkhom Termpittayapaisith has been named top finance minister in Asia-Pacific by The Banker, a subsidiary of Financial Times, which reflects international recognition on Thailand’s economic stability and controlled inflation, while public debt remains low. Inward foreign investment has also increased from 97,582 million Baht in 2015 to 433,971 million Baht, an increase of 31% per year.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมกับ กฟผ. เปิดให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT ณ อาคารจอดแล้วจร สถานีแยกนนทบุรี 1 เชื่อมต่อการเดินทางสู่รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 รฟม. ร่วมกับ กฟผ. เปิดให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT ณ อาคารจอดแล้วจร สถานีแยกนนทบุรี 1 เชื่อมต่อการเดินทางสู่รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ..... นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมและ นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ ในฐานะ Project Management Office การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT แห่งแรกที่ให้บริการชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ณ อาคารจอดแล้วจร สถานีแยกนนทบุรี 1 ของรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) นอกจากนี้ ยังมีแผนเตรียมจะเปิดให้บริการสถานีชาร์จแห่งที่ 2 ณ ลานจอดแล้วจร สถานีสามย่าน ของรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ภายในเดือนมีนาคม 2566 โดยในโอกาสพิเศษนี้ กฟผ. พร้อมมอบโปรโมชันให้แก่ลูกค้าที่นำรถ EV เข้ารับบริการที่สถานีชาร์จ EleX by EGAT ในระหว่างวันที่ 1 - 31 มีนาคม 2566 รับทันที! 200 EleXA Point เพื่อสะสมและแลกรับสิทธิพิเศษผ่านทางแอปพลิเคชัน EleXA พร้อมกันนี้ ยังสามารถรับถุงผ้าพับได้สมนาคุณจาก MRT เมื่อชำระค่าจอดรถและแสดงหลักฐานการชาร์จไฟจากแอปพลิเคชัน EleXA ต่อพนักงานเก็บเงินที่ตู้ขาออก (จำนวนจำกัด 50 ชุด) การเปิดให้บริการสถานีชาร์จดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่าง รฟม. และ กฟผ. ในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางสู่ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ โดยต่อจากนี้ รฟม. และ กฟผ. จะร่วมมือกันในการติดตั้งสถานีชาร์จเพื่อให้บริการผู้ใช้รถยนต์ EV ในอาคารและลานจอดแล้วจรของรถไฟฟ้า MRT ณ สถานีอื่น ๆ ต่อไป สำหรับจุดให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT ณ อาคารจอดแล้วจร สถานีแยกนนทบุรี 1 ของรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สามารถรองรับรถยนต์ EV ได้จำนวน 5 ช่องจอด แบ่งเป็นหัวชาร์จด้วยความเร็วปกติ (AC Normal Charge) ขนาด 7.4 kW จำนวน 3 หัวชาร์จ ที่บริเวณภายในอาคารจอดรถ และขนาด 22 kW จำนวน 2 หัวชาร์จ ที่บริเวณภายนอกอาคารจอดรถ ส่วนจุดให้บริการสถานีชาร์จ ณ ลานจอดแล้วจร สถานีสามย่าน ของรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สามารถรองรับรถ EV ได้จำนวน 2 ช่องจอด โดยเป็นหัวชาร์จแบบ AC Normal Charge ขนาด 22 kW จำนวน 2 หัวชาร์จ กรณีต้องการสอบถามข้อมูลหรือแจ้งปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการสถานีชาร์จได้ที่ เว็บไซต์ www.elexaev.com เฟซบุ๊กแฟนเพจ EleXA EV Society หรือ Line OA: @EleXAEV และ Call Center EleXA โทร. 0 2114 3350 ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th เฟซบุ๊ก แฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 “รฟม. ร่วมยกระดับเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและนวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดสระบุรี
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ..... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาด้านคมนาคมในพื้นที่จังหวัดสระบุรี พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายพลวรรธน์ เทียนชัยมงคล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ และประชาชน ให้การต้อนรับ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ พื้นที่ก่อสร้างอุโมงค์ 1 โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งในทุกมิติให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ และสามารถเชื่อมโยงการเดินทางได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ กระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดผลักดันการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ประชาชน ลดมลพิษและแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในพื้นที่เขตเมือง สำหรับโครงการสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านคมนาคมในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ครอบคลุมทุกมิติทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ มีดังนี้ มิติการพัฒนาทางถนน 1. การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงจังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย 1.1 โครงการทางหลวงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ 1) สะพานกลับรถ หนองแค - สระบุรี (ขาออก) เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 2) สะพานกลับรถบน ทล.1 กม. ที่ 90+000และ 104+200 (ขาเข้า) เปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน 2564 3) ทล.33 สาย อ.บางปะหัน - อ.นครหลวง - อ.ภาชี - หินกอง (329 เดิม) ตอน บ.ภาชี - บ.หินกอง ตอน 2 เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 4) สะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ ทล.3188 ทางเข้าเมืองแก่งคอย เปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน 2563 และ 5) ทล.3222 สาย อ.แก่งคอย - อ.บ้านนา ตอน ต.ชาผักแพว - ต.ชะอม เปิดให้บริการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 1.2 โครงการทางหลวงที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ระยะทางรวม 196 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้าง 79,271.31 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการสะพานข้ามทางแยกจุดตัด ทล.362 กับ ทล.3041 ถนนวงแหวนรอบ เมืองสระบุรีด้านตะวันตก (แยกเลี่ยงเมืองเสาไห้) มีความก้าวหน้า 74.70% คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2566 2) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ ทล.3188 สาย ขอนหอม - บ้านเหนือ (ทางเข้าเมืองแก่งคอย) มีความก้าวหน้า 50.26% คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 3) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ ทล.3224 สาย บ้านป่า - ท่าคร้อ มีความก้าวหน้า 40.12% คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 และ 4) โครงการมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา มีความก้าวหน้า 88.00% คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 สำหรับโครงข่ายทางหลวงที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับงบประมาณปี 2566 ระยะทางรวม 3.133 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้าง 141.29 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการก่อสร้างทางหลวงผ่านย่านชุมชน ทล.3188 ตอน ท่าเยี่ยม - ขอนหอม ช่วง กม. ที่ 2+135 - 2+735 มีความก้าวหน้า 3.009% 2) โครงการพัฒนาสะพานและระบบระบายน้ำบน ทล.2 ตอน สระบุรี - ตาลเดี่ยว ช่วง กม. ที่ 5+957 - 7+415 มีความก้าวหน้า 8.895% 3) โครงการก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพ ทล.2 ตอน ตาลเดี่ยว - ซับบอน ช่วง กม. ที่ 9+560 - 10+125 มีความก้าวหน้า 5.398% และ 4) โครงการก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพ ทล.3520 ตอน ไผ่ต่ำ - หนองแค ช่วง กม. ที่ 2+055 - 2+565 มีความก้าวหน้า 6.707% นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมมีแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคตในพื้นที่จังหวัดสระบุรีจำนวน 5 โครงการ ระยะทางรวม 4.700 กิโลเมตร งบประมาณก่อสร้าง 1,890 ล้านบาท 2. การพัฒนาทางหลวงชนบทจังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย 2.1 โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการและได้รับงบประมาณปี 2566 จำนวน 31 โครงการ งบประมาณก่อสร้าง 449.9266 ล้านบาท แบ่งเป็น งานก่อสร้างทางและสะพาน จำนวน 9 โครงการ งานบำรุงรักษาทางและสะพาน จำนวน 11 โครงการ และงานอำนวยความปลอดภัย จำนวน 11 โครงการ อาทิ โครงการบำรุงถนนสาย สบ.4005 แยก ทล. 2247 - บ้านวังม่วง อ.มวกเหล็ก และวังม่วง จ.สระบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างลงนามในสัญญา 2.2 โครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมของบประมาณปี 2567 จำนวน 67 โครงการ วงเงินทั้งสิ้น 818.8330 ล้านบาท แบ่งเป็น งานก่อสร้างทางและสะพาน จำนวน 11 โครงการ งานบำรุงรักษาทางและสะพาน จำนวน 29 โครงการ และงานอำนวยความปลอดภัย จำนวน 27 โครงการ อาทิ โครงการจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสม ถนนสาย ข2 และ ง3 ผังเมืองรวมเมืองสระบุรี อ.เมือง จ.สระบุรี 3. แผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง MR-MAP ในปี 2564 แผนแม่บทโครงข่าย MR-MAP ได้ศึกษาแล้วเสร็จ และคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้เห็นชอบแล้วในปี 2565 หน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่ กรมทางหลวง และการรถไฟแห่งประเทศไทย จะได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบในรายโครงการต่อไป ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบเส้นทางเบื้องต้น ได้แก่ MR2 (ช่วงชลบุรี - นครราชสีมา) MR5 (ช่วงนครราชสีมา - อุบลราชธานี) และ MR8 (ช่วงชุมพร - ระนอง) โดยจะเริ่มก่อสร้างเส้นแรกได้ในช่วงปี 2566 และเปิดให้บริการได้ในปี 2568 โดยมีเส้นทางที่ผ่านพื้นที่ จ.สระบุรี MR2 : กรุงเทพฯ/ชลบุรี (แหลมฉบัง) - หนองคาย (ด่านหนองคาย) 4. การเชื่อมโยงการขนส่งสาธารณะในจังหวัดสระบุรี สามารถเดินทางจากสถานีขนส่งผู้โดยสารไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยรถหมวด 1 จำนวน 8 เส้นทาง มีการเดินรถจริง 2 เส้นทาง และรถหมวด 4 จำนวน 35 เส้นทาง มีการเดินรถจริง 18 เส้นทาง นอกจากนี้ มีโครงการและแผนงานที่สำคัญ ได้แก่ การรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ การตรวจวัดควันดำเพื่อลดมลพิษ PM 2.5 กิจกรรมตรวจและทดสอบสารอันเกิดจากการเสพยาเสพติดให้โทษของพนักงานขับรถ การพัฒนาระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารประจำทางจังหวัดสระบุรี เพื่อรองรับการขนส่งทางราง มิติการพัฒนาทางราง 1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร 19 สถานี วงเงินลงทุน 27,453.80 ล้านบาท โดยก่อสร้างทางรถไฟใหม่ 1 ทาง ขนานกับทางรถไฟเดิม มีย่านกองเก็บสินค้า (CY) จำนวน 1 แห่ง ที่สถานีกุดจิก ศูนย์ควบคุมการเดินรถ จำนวน 1 แห่ง ที่สถานีนครราชสีมา และการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟ 3 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะก่อสร้างสัญญาที่ 1 และ 3 แล้วเสร็จ ในปี 2566 และสัญญาที่ 2 อยู่ระหว่างเปรียบเทียบแนวเส้นทางของโครงการรถไฟทางคู่กับแนวเส้นทาง MR-MAP ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม 2. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร 35 สถานี วงเงินลงทุน 36,683 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีภายในปี 2566 3. โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และสิ้นสุดที่นครราชสีมา วงเงินลงทุน 179,413 ล้านบาท ศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) 1 แห่ง (เชียงรากน้อย) หน่วยซ่อมบำรุงทาง 2 แห่ง (สระบุรี และโคกสะอาด) รวมถึงการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟ 1 แห่ง ระยะทาง 12.23 กิโลเมตร (เฉพาะอุโมงค์ความยาว 8 กิโลเมตร) ตั้งอยู่ระหว่างสถานีอยุธยา และปากช่อง วงเงินลงทุน 4,279.33 ล้านบาท ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีกำหนดเปิดให้บริการปี 2570 มิติการพัฒนาทางน้ำ 1. โครงการขุดลอกแม่น้ำป่าสัก ต.นาโฉง อ.เมือง จ.สระบุรี อยู่ระหว่างดำเนินงานปีงบประมาณ 2566 2. การติดตามเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ โดยออกสำรวจบริเวณตลิ่งริมแม่น้ำป่าสักที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม การระบายน้ำทำให้ดินสไลด์ และทรุดตัว พร้อมทั้งรายงานพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการพิจารณาสร้างเขื่อนป้องกันน้ำเซาะ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอุโมงค์ 1 โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมชนถนนจิระ ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศ มีลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ - ทางเดี่ยว ความยาว 5.42 กิโลเมตร กว้าง 7.5 เมตร สูง 7 เมตร พร้อมสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการทำงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมและการขนส่งสินค้าในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ เข้าร่วมงาน Networking Luncheon จัดโดยสำนักข่าว JIJI PRESS สำนักข่าวชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 บีโอไอ เข้าร่วมงาน Networking Luncheon จัดโดยสำนักข่าว JIJI PRESS สำนักข่าวชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งบรรยายในหัวข้อ “New Investment Promotion Strategy for New Economy and New Opportunities” บีโอไอ เข้าร่วมงาน Networking Luncheon จัดโดยสำนักข่าว JIJI PRESS สำนักข่าวชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ได้เข้าร่วมงาน Networking Luncheon จัดขึ้นโดยสำนักข่าว JIJI PRESS ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักข่าวชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งได้บรรยายในหัวข้อ “New Investment Promotion Strategy for New Economy and New Opportunities” ให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 30 บริษัท ณ โรงแรมอนันตรา สยาม ทั้งนี้ เลขาธิการบีโอไอ ได้บรรยายเกี่ยวกับบทบาทและสถานการณ์ปัจจุบันของการลงทุนจากญี่ปุ่นในประเทศไทย ยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของประเทศไทยสู่การสร้าง “เศรษฐกิจใหม่” ที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้ ยังได้อธิบายถึงมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยโดยอาศัยจุดแข็งของประเทศไทยในการดึงกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต ภายใต้แผนการดึงดูดการย้ายฐานการวิจัยพัฒนาและกิจการสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) และการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้มาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยผ่านมาตรการ Long-term Resident (LTR) Visa อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65075
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิต ครบรอบ 91 ปี ขับเคลื่อนสู่องค์กร ESG ผ่านกลยุทธ์ ‘EASE Excise’ พร้อมเปิดอาคารอเนกประสงค์ อนุรักษ์พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 สรรพสามิต ครบรอบ 91 ปี ขับเคลื่อนสู่องค์กร ESG ผ่านกลยุทธ์ ‘EASE Excise’ พร้อมเปิดอาคารอเนกประสงค์ อนุรักษ์พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สรรพสามิต ครบรอบ 91 ปีแห่งการสถาปนา เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากลเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ชูกลยุทธ์ ‘EASE Excise’ พร้อมต่อยอดสู่ 16 โครงการเรือธง (Flagship Project) สรรพสามิต ครบรอบ 91 ปีแห่งการสถาปนา เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากลเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ชูกลยุทธ์ ‘EASE Excise’ พร้อมต่อยอดสู่ 16 โครงการเรือธง (Flagship Project) และเปิดอาคารอเนกประสงค์ กรมสรรพสามิต ภายใต้แนวคิดที่สอดคล้องกัน ในการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงมอบทุนการศึกษาให้ “โรงเรียนเทศบาลสรรพสามิตบำรุง”ต่อยอด ESG ลงลึกสู่ระดับการศึกษาภาคปฏิบัติของนักเรียน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยในโอกาสครบรอบ 91 ปี วันคล้ายวันสถาปนา ว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจอย่างรอบด้าน ทั้งการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการบางประเภทที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ มีลักษณะเป็นของฟุ่มเฟือย ได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ หรือก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งภารกิจของกรมสรรพสามิตไม่ได้มุ่งเน้นแค่การจัดเก็บภาษีเข้ารัฐเท่านั้น แต่กรมสรรพสามิตยังให้ความสำคัญในเรื่องของการดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและสังคม โดยได้มีการดำเนินการทั้งในส่วนของการส่งเสริม สนับสนุน การทำธุรกิจที่ช่วยให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์ทั้งในเรื่อง สุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการควบคุมธุรกิจใดๆ ก็ตามที่จะส่งผลเสียต่อพี่น้องประชาชน หรือประเทศโดยภาพรวม โดยกรมสรรพสามิตให้ความสำคัญและจะเดินหน้ายุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ ‘EASE Excise’ พร้อมต่อยอด 16 โครงการเรือธง (Flagship Project) อาทิ โครงการขับเคลื่อนกรมสรรพสามิตสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation Culture) โครงการยกระดับการให้บริการของกรมสรรพสามิตด้วย UX & Service Journey Design โครงการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอน โครงการศึกษาและวางแผน ESG ของกรมสรรพสามิต เป็นต้น ซึ่งยุทธศาสตร์ที่วางไว้นั้น จะเป็นการยกระดับทั้งในด้านของการดำเนินงาน การให้การบริการแก่ผู้ประกอบการและพี่น้องประชาชน การบรรลุเป้าหมายในการจัดเก็บรายได้และภารกิจที่ได้วางไว้ สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยเดินหน้าสู่ความยั่งยืน “จากความท้าทายต่าง ๆ กรมสรรพสามิตไม่ได้มีหน้าที่เพียงการจัดเก็บรายได้อย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย จึงได้ประกาศตัวเป็นกรม ESG สู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (Digital Transformation) นำประสบการณ์ของผู้เสียภาษีมาสร้างมาตรฐานการให้บริการที่ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และพันธสัญญาที่ประเทศไทยสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ carbon neutrality ภายในปี 2050 และไปสู่ Net Zero ในปี 2065 ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งกรมสรรพสามิตจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยทำตามพันธสัญญาเรื่องนี้ได้” ดร.เอกนิติกล่าว โดยการดำเนินงานในปีนี้และปีถัดไป กรมจะเน้นขับเคลื่อนในทุกมิติ โดยเน้นไปที่แผนการจัดเก็บภาษีเพื่อความยั่งยืนแห่งอนาคต ประกอบด้วย มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์และส่งเสริมไทยเป็นฮับอีวีในภูมิภาค การกำหนดอัตราภาษี น้ำมันเชื้อเพลิงไอพ่นในอัตราที่เหมาะสม หลังจากที่มีการลดอัตราภาษีให้ในช่วงโควิด แต่จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบิน กรมสรรพสามิตจึงจำเป็นต้องพิจารณากำหนดอัตราภาษีน้ำมันเครื่องบินไอพ่น ที่เหมาะสม เนื่องจากการบริโภคน้ำมันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับการจัดเก็บภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งอื่น ๆ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง เพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค สร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนากระบวนการผลิตแบตเตอรี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น การส่งเสริมอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) โดยการนำเอทานอล บริสุทธิ์มาใช้ในการผลิต นอกจากนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการศึกษาการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีตามหลักสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องเป้าหมายรัฐบาลในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีคาร์บอนเพื่อรองรับมาตรการ CBAM จากสหภาพยุโรปที่จะบังคับใช้กับประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบภายใน 3 ปีข้างหน้า กรมสรรพสามิตยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญ ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ ซึ่งการจัดเก็บภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลในสินค้าเครื่องดื่มนั้น ได้คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนตามแนวทางป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์การอนามัยโลก (WHO) และยังเป็นกลไกสำคัญในการวางรากฐานสังคม ให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ กรมฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อพิจารณากำหนดพิกัดอัตราภาษีใหม่ ๆ สำหรับสินค้าสุราและเครื่องดื่มที่มีอัตลักษณ์หรือเครื่องดื่มนวัตกรรมในรูปแบบใหม่ๆ เช่น เครื่องดื่มที่มีลักษณะเทียมสุรา โดยยังคงมีหลักการจัดเก็บภาษีที่สะท้อนทั้งด้านสุขภาพและด้านความฟุ่มเฟือย ในด้านบทบาทของการปราบปราม กรมฯ ได้มีการเปิดศูนย์ปราบปรามออนไลน์ และยกระดับการดำเนินการด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน เชื่อมต่อข้อมูลกับองค์กรภายนอก เพื่อยกระดับการปราบปรามสินค้าออนไลน์ทุกชนิด ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจจ่ายภาษีสุจริตให้ได้รับความเป็นธรรม พร้อมดูแลผู้บริโภคให้ได้สินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ยกกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนชาวไทยให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อสร้างความมั่นคง สร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างธรรมาภิบาล อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว พร้อมกันนี้ ในโอกาสครบรอบการสถาปนาในครั้งนี้ ได้จัดให้มีพิธีเปิดอาคารอเนกประสงค์ กรมสรรพสามิต โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคมวัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร ทำการเจิมป้ายและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งอาคารอเนกประสงค์ แห่งนี้ มาจากแนวคิดที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้ใช้งานอาคาร ได้นำเกณฑ์การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability; TREES) จากสถาบันอาคารเขียวไทย (Thai Green Building Institute; TGBI) มาใช้ในการออกแบบและก่อสร้างโครงการ เพื่อให้เป็นอาคารสำนักงานอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 1. ลดการใช้พลังงาน 28% โดยใช้ระบบปรับอากาศแบบ VRF 2. ประหยัดพลังงาน 54% โดยใช้หลอดประหยัดไฟแบบ LED 3. ลดการใช้น้ำ 45% ด้วยการเลือกใช้สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำที่ประหยัดน้ำ 4. ใช้วัสดุจากการรีไซเคิล 30% รวมไปถึงเลือกใช้วัสดุที่มีสารพิษต่ำ 5. ใช้วัสดุผลิตในประเทศไทย 30% ลดการใช้น้ำมันในการขนส่ง และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ รวมไปถึงกรมสรรพสามิตได้มอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนเทศบาลสรรพสามิตบำรุง ระดับชั้นอนุบาล ปีที่ 1–3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1–3 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างบนพื้นที่โรงงานสุราเดิม ซึ่งนำพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้แล้ว มาใช้เป็นพื้นที่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ และทางกรมสรรพสามิตได้ให้การสนับสนุนด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ทางโรงเรียนได้มีการดำเนินการปลูกฝังให้ความรู้เด็กนักเรียนในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยกิจกรรมการ คัดแยกขยะ เพื่อจำหน่าย และนำเงินไปต่อยอดสู่โครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็ก รวมถึงการนำไปซื้อเมล็ดพันธุ์ผัก เพื่อปลูกประกอบอาหารกลางวัน และจำหน่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ชุมชน รวมถึงการจัดทำโรงเรือนปลูก ซึ่งจะทำให้เกิดการปลูกฝังเรื่อง ESG ได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมสรรพสามิตในการมุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65100
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ทิพานัน” ขอบคุณประชาชนร่วมฟังอภิปราย เชื่อปชช.เห็น นายกฯมีสปิริต สุจริต เคารพกระบวนการยุติธรรม ใครทำผิดไม่มีละเว้น ยันปฏิรูปประเทศเป็นรูปธรรม
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​“ทิพานัน” ขอบคุณประชาชนร่วมฟังอภิปราย เชื่อปชช.เห็น นายกฯมีสปิริต สุจริต เคารพกระบวนการยุติธรรม ใครทำผิดไม่มีละเว้น ยันปฏิรูปประเทศเป็นรูปธรรม ​“ทิพานัน” ขอบคุณประชาชนร่วมฟังอภิปราย เชื่อปชช.เห็น นายกฯมีสปิริต สุจริต เคารพกระบวนการยุติธรรม ใครทำผิดไม่มีละเว้น ยันปฏิรูปประเทศเป็นรูปธรรม ผ่านความสำเร็จผลักดันกฎหมาย 5 ฉบับสร้างความเป็นธรรมในสังคม วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณประชาชนที่ร่วมฟังการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เตรียมข้อมูลมาชี้แจงผู้อภิปรายได้อย่างชัดเจน ในประเด็นที่ฝ่ายค้านอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้อย่างครบถ้วน ที่สำคัญคือท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันชัดเจนในการทำหน้าที่ ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใด และพล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำในที่ประชุมสภาฯว่า “คนไม่ดีต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย” ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน หากมีการกระทำความผิดไม่มีการละเว้น เราต้องทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ซึ่งตรงนี้เชื่อว่า ประชาชนที่ติดตามการอภิปรายจะเห็นถึงสปิริตของผู้นำและสุจริตใจ ในการบริหารประเทศแน่นอน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ยังพร้อมเดินหน้าปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ โดยได้ผลักดันกฎหมายที่สร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม 5 ฉบับ พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 พระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กำหนดให้ผู้ที่ผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ชำระค่าปรับตามที่กำหนด โดยไม่เป็นโทษอาญา ไม่มีการจำคุกหรือกักขังแทนค่าปรับ ไม่มีการลงบันทึกประวัติอาชญากรรม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แก้ปัญการกระทำทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2565 เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน “จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์มีผลงานในการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ตามนโยบายThailand 4.0 ที่มุ่งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม หลังจากนี้จะเดินหน้าพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ”น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65073
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รุดช่วยคนไทยประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี หลังเดินทางกลับถึงไทย
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 พม. รุดช่วยคนไทยประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี หลังเดินทางกลับถึงไทย พม. รุดช่วยคนไทยประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรกี หลังเดินทางกลับถึงไทย วันนี้ (17 ก.พ. 66) นางอภิญญา ชมภูมาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า วานนี้ (16 ก.พ. 66) เวลา 21.00 น. ตนพร้อมด้วยนายกิตติ อินทรกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นำทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ให้ความช่วยเหลือเยียวยาทันทีแก่คนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวในตุรกีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นางอภิญญา กล่าวว่า นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มีความห่วงใยพี่น้องคนไทยทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวในตุรกี โดยได้มอบหมายให้ตน นำทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือเยียวยาคนไทยกลุ่มดังกล่าวทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) และ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่เข้าพูดคุยสอบถามปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วน เบื้องต้น ได้รับรายงานสถานการณ์ปัจจุบันจากกระทรวงการต่างประเทศว่า ยืนยันจำนวนคนไทยที่สามารถติดต่อได้ รวมทั้งสิ้น 48 คน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 ราย และสูญหายอีก 1 ราย ทั้งนี้ มีคนไทยที่แสดงความประสงค์กลับประเทศไทย จำนวน 36 ราย ซึ่งกองทัพอากาศได้จัดเที่ยวบินพิเศษเพื่ออพยพคนไทยและร่างผู้เสียชีวิตกลับประเทศ โดยเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 66) เวลา 21.00 น. นางอภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาคนไทยที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ รัฐบาลได้บูรณาการจากหลายภาคส่วนด้วยกัน โดยกระทรวง พม. ส่งทีมนักสังคมสงเคราะห์ให้คำปรึกษา พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน ในขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกดูแลและประสานงานเรื่องการรับตัวคนไทยกลับประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งจุดคัดกรองโรคติดต่อที่เป็นอันตรายและตรวจรักษาเบื้องต้น กระทรวงคมนาคม จัดยานพาหนะสำหรับขนส่งผู้ประสบภัย กระทรวงแรงงาน ให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกองทุนสำหรับคนไทยที่เดินทางไปทำงานถูกกฎหมาย และกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และ สภากาชาดไทย ช่วยเหลือในการนำร่างผู้เสียชีวิตกลับภูมิลำเนา (จังหวัดชัยภูมิ) #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.สาธิต” หนุนเมืองสมุนไพรจันทบุรีเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร ของยูเนสโก
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 “ดร.สาธิต” หนุนเมืองสมุนไพรจันทบุรีเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร ของยูเนสโก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพรจันทบุรีเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร ของยูเนสโก กระตุ้นเกษตรกรเพาะปลูกตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จับคู่ธุรกิจเพิ่มช่องทางและมูลค่าทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสมุนไพรและผลไม้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพรจันทบุรีเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร ของยูเนสโก กระตุ้นเกษตรกรเพาะปลูกตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จับคู่ธุรกิจเพิ่มช่องทางและมูลค่าทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสมุนไพรและผลไม้โดยเน้นความเป็น Super Food, Super Fruits ซึ่งผลวิจัยพบหลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และพัฒนาศูนย์แปรรูปสมุนไพร และเปิดงาน “Good Health Good [emailprotected] Chanthaburi” สร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้คนเมืองจันท์ วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ห้องประชุมพลอยจันท์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการเมืองสมุนไพรจังหวัดจันทบุรี และโครงการอาหารเป็นยาวิถีคนจันท์ และกล่าวว่า โครงการเมืองสมุนไพรเป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจังหวัดจันทบุรีเป็น 1 ใน 14 จังหวัดเมืองสมุนไพรของประเทศ และเป็นจังหวัดนำร่องโครงการอาหารเป็นยา “วิถีคนจันท์” นำสมุนไพรมาประกอบเป็นอาหารสร้างเสริมสุขภาพ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชน และสร้างชื่อเสียงให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งล่าสุดมีสถานประกอบการของจังหวัดจันทบุรีได้รับป้ายมาตรฐานอาหารเป็นยาแล้ว 26 แห่งโดยผ่านเกณฑ์มาตรฐาน Clean Food Good Taste และ Food for Health มีเมนูชูสุขภาพ ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า จังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดที่ร่ำรวยด้วยภาคเกษตรกรรม มีพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร กว่า 4,600 ไร่ พื้นที่เกษตรอินทรีย์รวม 1,850 ไร่ สมุนไพรสำคัญ 3 อันดับแรก คือ พริกไทย กระวาน และขมิ้นชัน และมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งทุเรียน มังคุด ลำไย อีกทั้งมีความพร้อมในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสปา จึงมีแผนกระตุ้นเกษตรกรให้มีการปลูกสมุนไพรเพื่อการแปรรูปภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จัดทำ Business Matching ให้เกษตรกรเห็นช่องทางและมูลค่าทางการตลาดเพื่อเป็นแรงจูงใจในการประกอบอาชีพ “อย่างสมดุล” กระตุ้นผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้ประกอบการแปรรูปให้นำสมุนไพรและผลไม้มาเพิ่มมูลค่า โดยเน้นความเป็น Super Food, Super Fruits ทำการวิจัยหาสารสำคัญ ซึ่งผลการศึกษาปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระรวมในสมุนไพรนำร่องจังหวัดจันทบุรี 11 ชนิด (กระวาน ชะมวง พริกไทย ทุเรียน มะปี๊ด เร่วหอม สำรอง ระกำ มังคุด ลำไย กัญชา) โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี พบชะมวง มีค่าสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด จัด Roadshow และพัฒนาศูนย์แปรรูปสมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนเมืองจันท์สู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก ต่อไป จากนั้น ดร.สาธิต เป็นประธานเปิดงานส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพและสุขภาวะของประชาชน จังหวัดจันทบุรี “Good Health Good life @ Chanthaburi” และมอบนโยบายการขับเคลื่อนสุขภาพ ประจำปี 2566 ณ อาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลพลับพลานารายณ์ โดยมุ่งเน้น “ก้าวต่อไป คนไทยแข็งแรง” ยกระดับการส่งเสริมและดูแลประชาชนให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มตั้งแต่มารดาและทารก ส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน ด้วยหลัก3 อ. สนับสนุนการบริโภคอาหารเป็นยา พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขแนวใหม่ ใช้ทรัพยากรสาธารณสุข เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดระยะเวลารอคอย โดยมี ผู้นำ ทีมงาน และ อสม.เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อน พร้อมทั้งมอบเกียรติบัตรให้กับ สสอ./คปสอ.ที่มีผลงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 เข็ม 3 ให้แก่ อสม.มากกว่า 90% และ รพ.สต.ที่มีผลงานฉีดวัคซีนฯ ให้แก่ อสม.ครบ 100% รวมทั้งแสดงความยินดีกับ อสม.จังหวัดจันทบุรี ที่ได้รับคัดเลือกเป็น อสม.ดีเด่นระดับเขต ประจำปี 2566 สาขาการบริการในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (คสมช.) และการสร้างหลักประกันสุขภาพ และ อสม.ดีเด่นระดับภาค ประจำปี 2566 สาขาการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ โดยภายในงานมีกิจกรรม เช่น การให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 การตรวจคัดกรองสุขภาพกายและสุขภาพจิต การลงทะเบียนหมอพร้อม/ระบบยืนยันตัวตน (DID) การทดสอบสมรรถภาพทางกาย บูธแสดงผลงาน Health For Wealth เมืองสมุนไพรมิติอาหารเป็นยา สู่ Gastronomy tourism และ Creative City Gastronomy กิจกรรม สานพลัง... คนสร้างสุขภาพ เป็นต้น ***************************************** 17 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65102
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยเปิดถนนตามผังเมือง สาย ข7 เมืองพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ตามโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ชื่นชม เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ในลักษณะ "ราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา"
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ปลัดมหาดไทยเปิดถนนตามผังเมือง สาย ข7 เมืองพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ตามโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ชื่นชม เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ในลักษณะ "ราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา" ปลัดมหาดไทยเปิดถนนตามผังเมือง สาย ข7 เมืองพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ตามโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ชื่นชม เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ในลักษณะ "ราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา" เพื่อ Change for Good สร้างความยั่งยืนทุกมิติ วันนี้ (17 ก.พ. 66) เวลา 09.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดถนนโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนตามผังเมือง สาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ว่าที่ ร.อ.ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสฤษดิ์วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี คนที่ 60 ผู้บริหารกรมโยธาธิการและผังเมือง โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายนคร ศิริปริญญานันท์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี นายสุริยา บุตรจินดา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี นายสมมาฏฐ์ โพธิ นายอำเภอพิบูลมังสาหาร ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร นายมนตรี ศรีคำภา นายกเทศมนตรีตำบลกุดชมภู และประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการการจัดรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนตามผังเมืองสาย ข 7 กว่า 500 คน ร่วมในงาน โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมรับชมการแสดงรำวงมหาดไทย โดยกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสตรี และกลุ่มเด็ก เยาวชน ในพื้นที่เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร และการแสดงรำออนซอนดอกสำราญ โดยกลุ่มสตรีเทศบาลตำบลกุดชมภูและมอบเกียรติบัตรเพื่อเป็นการขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนตามผังเมือง สาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 13 ครอบครัวเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นผู้เสียสละพื้นที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยกัน Change for Good ให้เกิดขึ้น ทั้งกับครอบครัว และต่อส่วนรวม เพราะถนนสาย ข7 เป็นถนนที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับคนไทยทั้งประเทศ ทั้งการติดต่อค้าขายและการท่องเที่ยว ด้วยความสะดวกสบายและปลอดภัย มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้า ประปา และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ "โครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณถนนตามผังเมือง สาย ข7 อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานีแห่งนี้ จะเป็นตัวอย่างให้กับชาวอุบลราชธานีและคนไทยอีก 75 จังหวัดทั่วประเทศ ได้เห็นเป็นต้นแบบว่า ถ้าพวกเราหันหน้าเข้าพูดคุยหารือกันและยอมสละประโยชน์บางส่วน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการจัดรูปที่ดิน ก็จะก่อให้เกิดผลดี ดังที่ทุกท่านได้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ราคาประเมินที่ดินเพิ่มขึ้นมา 2 เท่าจาก 8,000 บาทเป็น 16,000 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันหมายความว่า "ชีวิตที่ดีกว่า" ดังเป้าหมายที่พวกเรามีร่วมกันว่า "ราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา" สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นเฉกเช่นที่นี่ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนชาวพิบูลมังสาหารมีความสุขเพิ่มมากขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างพี่น้องประชาชน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและทางราชการ ภายใต้การขับเคลื่อนของกรมโยธาธิการและผังเมือง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมดี ๆ เช่นนี้จะเกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ พื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า หากพี่น้องประชาชนมีญาติมิตรหรือผู้นำในพื้นที่ ขอให้ได้ช่วยกันสร้างความรับรู้เข้าใจ ส่งข่าวสารบอกต่อกันให้ครบทุกอำเภอว่า "ถ้ามีที่ดินลักษณะเป็นที่ตาบอดที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านอาชีพ ไม่สามารถพัฒนาได้ และมีเจ้าของที่หลาย ๆ ราย ซึ่งมีข้อตกลงเจตจำนงที่จะทำให้เกิดผลดีด้านเศรษฐกิจต่อครอบครัว และส่วนรวม เพื่อให้เกิดการพัฒนาเมืองในอนาคต สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านท่านนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ หรือโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด หรือโทร. 1567 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด" เพื่อจังหวัดจะได้ประสานกรมโยธาธิการและผังเมืองมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกับพี่น้องประชาชนในการสำรวจพื้นที่ และพูดคุยหาแนวทาง เพื่อจะทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ในทุกพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ท่านนายอำเภอพิบูลมังสาหาร ท่านนายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร และนายกเทศมนตรีตำบลกุดชมภู ได้ร่วมกับพี่น้องประชาชน ทำให้ถนนผังเมืองสาย ข7 สายนี้ มีความสวยงาม เป็นประโยชน์เพิ่มพูนขึ้น ด้วยการพัฒนาสองฝั่งถนน ให้เป็นพื้นที่แห่งความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของพี่น้องประชาชน และเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน ลูกหลานในพื้นที่ ด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คือ "ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน" และ "การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)" รวมทั้งแนวพระดำริด้านการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาทำให้ถนนที่เป็นถนนแห่งความรัก ความสามัคคี มีความสมบูรณ์แบบเพิ่มมากขึ้น อาทิ การปลูกต้นไม้ให้สีที่ใช้สำหรับให้ลูกหลานได้เรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์ในการย้อมสีผ้า อันเป็นการต่อยอดสร้างความยั่งยืนให้กับการย้อมผ้า ทอผ้า ของพิบูลมังสาหาร ที่เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีชื่อเสียงลำดับต้น ๆ ของประเทศ รวมทั้งการทำศูนย์เรียนรู้เรื่องธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด การบริหารจัดการขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เพื่อต่อยอดสร้างคุณประโยชน์ที่เพิ่มพูนมากขึ้น อันจะนำไปสู่ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจของพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างยั่งยืน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 เป็นเครื่องมือในการพัฒนาพื้นที่เมือง/ชุมชน ด้วยการจัดรูปที่ดินฯ โดยนำแปลงที่ดินหลายแปลงมารวมกันแล้วจัดรูปแปลงที่ดินใหม่ให้เป็นระเบียบ สวยงาม พร้อมพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ได้มาตรฐาน ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง มีนโยบายให้ทุกจังหวัดดำเนินโครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวม ด้วยวิธีการจัดรูปที่ดินฯ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 โครงการฯ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ กล่าวต่ออีกว่า สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับ เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร และเทศบาลตำบลกุดชมภู ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ตามนโยบายการจัดรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาพื้นที่เมือง/ชุมชน และก่อสร้างถนนตามที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวม ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการผังเมือง โดยโครงการจัดรูปที่ดินฯ ถนนสาย ข7 เป็นโครงการนำร่องของจังหวัดอุบลราชธานี อยู่ในเขตผังเมืองรวมเมืองพิบูลมังสาหาร มีพื้นที่โครงการ 96 ไร่ 2 งาน 87.90 ตารางวา แปลงที่ดิน 16 แปลง เจ้าของที่ดิน 13 ราย กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้จัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2564 จำนวน 24,742,000 บาท เพื่อก่อสร้างถนน คสล. สายหลัก ขนาดเขตทาง 15 เมตร ระยะทาง 670 เมตร พร้อมระบบระบายน้ำ ขยายเขตไฟฟ้า ประปา ก่อสร้างสะพานข้ามลำห้วยซัน 1 แห่ง ก่อสร้างถนนลูกรัง สายรอง เขตทาง 6 เมตร ระยะทาง 315 เมตร การก่อสร้างผิวจราจร คสล.ถนนสายรอง และระบบระบายน้ำ มีเงินที่ได้จากการจำหน่ายที่ดินจัดหาประโยชน์ จำนวน 1,672,746 บาท เมื่อโครงการแล้วเสร็จ มีพื้นที่ถนนสาธารณะเพิ่มขึ้น 5 ไร่ 3 งาน 86.26 ตารางวา ช่วยให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลกุดชมกูและตำบลพิบูลมังสาหารเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวกรวดเร็วและปลอดภัย "การดำเนินโครงการฯ แล้วเสร็จ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับความร่วมมือร่วมใจ จากทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน เจ้าของที่ดิน และพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งโครงการจัดรูปที่ดินฯ ถนนสาย ข7 ได้ดำเนินการครบถ้วนทุกขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด และได้ประกาศสิ้นสุดโครงการในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 กรมโยธาธิการและผังเมือง และจังหวัดอุบลราชธานี จึงได้จัดพิธีเปิดถนนโครงการจัดรูปที่ดินฯ ถนนสาย ข7 ในวันนี้ เพื่อเปิดการใช้ถนนอย่างเป็นทางการ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์วิธีการพัฒนาเมือง โดยการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายต่อไป" นายพงศ์รัตน์ฯ กล่าวเพิ่มเติม นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเมืองหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การท่องเที่ยว และการคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 2 และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มศักยภาพ และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานระหว่างพื้นที่เศรษฐกิจหลักและพื้นที่โดยรอบ ให้มีการส่งเสริมเกื้อกูลกันอย่างสมดุล จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จังหวัดอุบลราชธานี เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป "โครงการจัดรูปที่ดินฯ ถนนสาย ข7 เป็นโครงการนำร่องของจังหวัดอุบลราชธานีอยู่ในพื้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีบทบาทเป็นศูนย์กลางการค้า การบริการ การลงทุน การท่องเที่ยว มีความพร้อมในการรองรับการขยายตัวจากจังหวัดอุบลราชธานี และเชื่อมโยงไปยังศูนย์กลางความเจริญด้านตะวันออกของจังหวัด เป็นเส้นทางผ่านไปยังแหล่งท่องเที่ยว หลายแห่ง เช่น ด่านชายแดนช่องเม็ก เขื่อนสิรินธร วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว แก่งตะนะ แม่น้ำสองสี ผาแต้ม ผาชะนะได สามพันโบก วัดปากแซง และถนนคนเดินเขมราฐ เป็นต้น สำหรับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ที่สำคัญ ได้แก่ แก่งสะพือ วัดปากโดม วัดภูเขาแก้ว วัดดอนธาตุ การก่อสร้างถนนสาย ข7 จะช่วยส่งเสริมให้มีการพัฒนาที่ดิน และการใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวม รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต สร้างเมืองที่น่าอยู่ ปลอดภัย ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี รัฐประหยัดงบประมาณในการเวนคืนที่ดิน เพื่อการก่อสร้างถนน และระบบสาธารณูปโภค เป็นการพัฒนาบ้านเมืองที่เกิดจากความร่วมมือของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการ ตามหลักการ "ราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา"" นายสมเพชรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ เมืองกรุงเก่า น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดโครงการพื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ผู้ว่าฯ เมืองกรุงเก่า น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดโครงการพื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม ผู้ว่าฯ เมืองกรุงเก่า น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดโครงการพื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ณ อำเภอภาชี ร่วมกับภาคีผู้นำศาสนา ผู้ว่าฯ เมืองกรุงเก่า น้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดโครงการพื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ณ อำเภอภาชี ร่วมกับภาคีผู้นำศาสนา ภายใต้แนวคิด “จะพัฒนาใครเขา ต้องพัฒนาเราก่อน” วันนี้ (17 ก.พ. 2566) นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมทั้งบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนช่วยเหลือประชาชนในระยะยาวอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นให้พี่น้องประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและชุมชนในพื้นที่ “เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ดำเนินโครงการฟื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ณ ศูนย์เรียนรู้ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ระดับครัวเรือนต้นแบบ (HLM) ของนายยงยุทธ นิลรัตน์ หมู่ที่ 10 ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยได้รับเมตตาจากพระครูสังฆรักษ์กิตติศักดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งชาน ร่วมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย นางวัชราภรณ์ รุ่งสาคร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายทินกร บุญเงิน พัฒนาการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางสาวอภิสรา เกษอินทร์ นายอำเภอภาชี หัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายในอำเภอภาชี ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ฯ และร่วมทำกิจกรรมเอามื้อสามัคคี เช่น ทำดินพร้อมปลูก เสวียนลดขยะอินทรีย์ เอาใบไม้ไปทำปุ๋ย ปลูกผักสวนครัว และทำน้ำมันงาและน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เป็นต้น จากนั้นได้เยี่ยมชมการทอผ้าบ้านหนองเครือบุญ กลุ่มเห็ดบ้านหนองเครือบุญ ณ ที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าบ้านหนองเครือบุญ และแปลงผักของหมู่บ้านและศูนย์ฝึกมีชีวิต ณ ศูนย์ฝึกมีชีวิต ตำบลหนองน้ำใส” ผวจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวในช่วงต้น นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล็งเห็นความสำคัญของการฟื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยพื้นที่อำเภอภาชี เป็นพื้นที่ที่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการดูแลคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคีเครือข่ายผู้นำศาสนา มีพระครูปลัดสุวัฒนเถรคุณ (ธรรมทส ขนฺติพโล ป.ธ.4) หรือ “พระอาจารย์แก้ว” รองเจ้าคณะอำเภอภาชี เจ้าอาวาสวัดตะโก เป็นผู้นำในการบูรณาการ และอุปถัมภ์ศิษยานุศิษย์ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอย่างต่อเนื่อง โดยได้เริ่มดำเนินโครงการฟื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนหลังประสบภัยน้ำท่วม ด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ตามแนวทางปลูกผักสวนครัวรอบ 2 อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่ปฏิบัติการปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และขยายผล “สร้างวัฒนธรรมปลูกพืชผักประจำครัวเรือน” เป็นการลดรายจ่าย สร้างรายได้ระยะสั้น ทั้งในระดับครัวเรือน และระดับกลุ่ม เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองในการสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้พลังชุมชนในการพัฒนาชุมชน พร้อมรณรงค์ส่งเสริมให้ทุกครัวเรือน ทุกหมู่บ้าน ได้ปลูกผักสวนครัว ไม่น้อยกว่า 10 ชนิด และจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในครัวเรือน เป็นต้นแบบในการนำไปปรับใช้ในการพัฒนาชุมชนและหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด “จะพัฒนาใครเขา ต้องพัฒนาเราก่อน” ด้าน นางสาวอภิสรา เกษอินทร์ นายอำเภอภาชี กล่าวว่า อำเภอภาชี มีความโชคดีที่ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์แก้ว และพี่น้องภาคีเครือข่ายในพื้นที่ทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย ในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้ารับการฝึกอบรมโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ร่วมกับภาคีเครือข่าย ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ทำให้เกิดการเสริมสร้างพลังแห่งความรัก ความสามัคคี ของ “ชาวภาชี” ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และความปรารถนาที่อยากสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อทำให้ชาวภาชีมีแต่ความสุข และแม้ยามทุกข์ยาก ทุกคนก็จะมาช่วยกันทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้พบแต่ความสุขที่ยั่งยืน โดยมีผู้นำศาสนา เป็นศูนย์รวมใจ ศูนย์ร่วมความรู้รักสามัคคี นำพาอำเภอภาชี ให้เป็นอำเภอแห่งความสุขที่ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทหารใช้เวทีสภาสันติสุข สยบข่าวบิดเบือน กล่าวหารัฐแทรกแซงโรงเรียนตาดีกา นราธิวาส ยืนยันเคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​ทหารใช้เวทีสภาสันติสุข สยบข่าวบิดเบือน กล่าวหารัฐแทรกแซงโรงเรียนตาดีกา นราธิวาส ยืนยันเคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา ​ทหารใช้เวทีสภาสันติสุข สยบข่าวบิดเบือน กล่าวหารัฐแทรกแซงโรงเรียนตาดีกา นราธิวาส ยืนยันเคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 เวลา 14.00 น. ณ อบต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ประธานสภาสันติสุขตำบลบาเจาะ เปิดเวทีสภาสันติสุข เพื่อติดตามการทำงานขับเคลื่อนสภาสันติสุขตำบลและพูดคุยประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยมีหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ชุดสันติสุขที่ 405 ชุดทักษิณสัมพันธ์ที่ 401 ทพ.นย.15 นายมูฮัมมัดซูลฮัน ลามะมา อิหม่ามประจำมัสยิด(ตาดีกา) ฟัรฎูอินบูงอบังซอ บ้านดูกู ผู้นำศาสนาในพื้นที่ ผู้นำสภาเยาวชนบ้านดูกู และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในประชาชนบางกลุ่มที่คิดว่าเจ้าหน้าที่ หน่วยเฉพาะกิจสันติสุข เข้าไปแทรกแซงกิจการในโรงเรียนตาดีกา ฟัรฎูอินบูงอบังซอ บ้านกูดู อ.บาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเรื่องนี้หัวหน้าชุดหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ชุดสันติสุขที่ 405 ได้ชี้แจงในสภาสันติสุขเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วว่า การทำงานของฝ่ายความมั่นคงนั้นให้ความสำคัญกับการดูแลทุกข์สุขของประชาชน และเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนจะเข้าไปดูแลทันที ซึ่งกรณีโรงเรียนตาดีกานี้ ทางหน่วยฯได้รับทราบมาว่า เสาธง ของโรงเรียนชำรุด จึงได้ประสานผ่านทางเจ๊ะครู เพื่อเข้าไปซ่อมแซมจนสำเร็จ อีกทั้งได้ให้ความรู้แก่เด็กๆในความหมายของธงชาติไทย รวมถึงแจกหนังสือคัดลายมืออาหรับ ให้กับเยาวชน เพื่อพัฒนาทักษะทางการเขียนที่ถูกต้อง โดยไม่ได้มีการแทรกแซงกิจการของโรงเรียนแต่อย่างใด ส่วนการแจกโรตีของพระสมุห์จิรพนธ์ ธมมจาโร เจ้าอาวาสวัดอุไรรัตนาราม ซึ่งท่านเป็นพระเจ้าอาวาสประจำอำเภอ ที่มีความใกล้ชิดกับชุมชนมุสลิมมาเป็นเวลานาน และที่ผ่านมาก็ได้แจกขนมให้แก่เด็กๆในหลายโรงเรียนในพื้นที่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อีกทั้งได้ให้ความรู้แก่เด็กๆในความหมายของธงชาติไทย รวมถึงแจกหนังสือคัดลายมืออาหรับ ให้กับเยาวชน เพื่อพัฒนาทักษะทางการเขียนที่ถูกต้อง โดยท่านไม่ได้เข้าไปสอนศาสนาอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด “สำหรับข้อเสนอแนะจากสภาเยาวชนบ้านดูกูนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมรับฟัง เพราะรัฐบาลยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้นการรับฟังเสียงประชาชนจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาด้านต่างๆสอดรับกับบริบทของพื้นที่ และต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาของคนทุกกลุ่ม” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65067
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด.กษ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2566
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัด.กษ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2566 รองปลัด.กษ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2566 วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ห้อง 1403) และผ่านระบบทางไกลออนไลน์ Zoom Meeting โดยมีหัวข้อสำคัญในที่ประชุมดังนี้ 1) การแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 2) ร่างแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง แบ่งเป็น 2 แนวทางคือ 2.1) การขับเคลื่อนของภาคเกษตรกรและภาครัฐ ดำเนินการวิจัยและผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่เหมาะสมสำหรับใช้กับพืชในแต่ละพื้นที่ โดยใช้ส่วนผสมจากวัตถุดิบที่มีในพื้นที่ พร้อมทั้งนำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ผลิตไปใช้ในแปลงปลูกพืช และส่งเสริมการผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงในพื้นที่ 76 จังหวัด 2.2) การขับเคลื่อนร่วมกับภาคเอกชน ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับสมาคมธรกิจปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพไทย ผู้ประกอบการปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองคุณภาพและมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร และมีความประสงค์เข้าร่วมนำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงมาใช้ในพื้นที่เป้าหมาย โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 แบบแปลงคือ แปลงสาธิตการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และแปลงขยายผลการใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง (เกษตรกรซื้อใช้เอง) เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กฎหมายเปิดทางบุคคล 2 คนจดทะเบียนตั้งบริษัทจำกัดมีผลบังคับแล้ว เอื้อเปิดกิจการขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพง่ายขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​กฎหมายเปิดทางบุคคล 2 คนจดทะเบียนตั้งบริษัทจำกัดมีผลบังคับแล้ว เอื้อเปิดกิจการขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพง่ายขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว ​กฎหมายเปิดทางบุคคล 2 คนจดทะเบียนตั้งบริษัทจำกัดมีผลบังคับแล้ว เอื้อเปิดกิจการขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพง่ายขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว วันที่ 17 กุมถาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดขั้นตอน อุปสรรคเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและทยอยมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่23) พ.ศ. 2565 ซึ่งมีสาระสำคัญในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทได้เริ่มมีผลบังคับ โดยผลของกฎหมายจะเอื้อให้เกิดการก่อตั้งธุรกิจง่ายขึ้น มีความคล่องตัว ลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการดำเนินงาน สนับสนุนให้ภาคธุรกิจเป็นกลไกสำคัญสนับสนุนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว สำหรับ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23)ฯ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 8 พ.ย. 65 กำหนดให้มีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 66 เป็นต้นมา ได้มีการปรับปรุงแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ การลดจำนวนขั้นต่ำของผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเป็น 2 คน จากเดิมที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 3 คน ซึ่งเกณฑ์ในเรื่องนี้จะทำให้มีการจัดตั้งธุรกิจได้ง่ายเอื้อต่อการเกิดธุรกิจขนาดเล็กหรือวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) มากขึ้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กฎหมายยังมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยกำหนดวิธีประชุมกรรมการให้สามารถดำเนินการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย ส่วนการส่งคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้นได้กำหนดวิธีบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เป็น 2 กรณี ตามชนิดใบหุ้น โดยกรณีผู้ถือหุ้นชนิดระบุชื่อมีการลดขั้นตอนการพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ส่วนกรณีหุ้นชนิดผู้ถือ ได้กำหนดให้มีการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่หรือโฆษณาในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติที่เอื้อต่อความคล่องตัวอื่นๆ เช่น การกำหนดให้หนังสือบริคณห์สนธิสิ้นสุดลงในกรณีที่ไม่ดำเนินการจดทะเบียนตั้งบริษัทภายใน 3 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ต้องการใช้ชื่อบริษัทชื่อเดียวกับบริษัทที่ได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธินั้น รวมถึงการกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบรวมบริษัทที่ให้สามารถรวมกันได้ใน 2 ลักษณะ คือ การควบบริษัท(รวมกันแล้วเกิดเป็นนิติบุคคลใหม่) กับ การผนวกบริษัท (บริษัทหนึ่งยังคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล ส่วนบริษัทอื่นสิ้นสภาพนิติบุคคลไป) จากเดิมที่มีเฉพาะลักษณะการควบบริษัทเท่านั้น ซึ่งบทบัญญัติเรื่องนี้จะช่วยลดภาระให้ไม่ต้องมีการจดทะเบียนหรือดำเนินการส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับนิติบุคคลใหม่เมื่อต้องมีการควบรวมกิจการ พร้อมกันนี้ ได้มีบัญญัติเพื่อคุ้มครองผู้ถือหุ้นโดยการกำหนดระยะเวลาในการจ่ายปันผลให้ต้องแล้วเสร็จภายใน 1 เดือนนับแต่วันประชุมใหญ่หรือกรรมการลงมติจากเดิมที่ไม่ได้มีการกำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ถือหุ้นรายย่อยให้ได้รับเงินปันผลมากขึ้น สำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายสามารถคลิ๊กที่ลิงค์ดังนี้ เพื่อศึกษาในรายละเอียดต่อไป https://bit.ly/3kaj69E
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65072
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรง ทั่วประเทศประกอบพิธีถวายภัตตาหารผู้สอบบาลีสนามหลวง พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา พิธีทางศาสนา และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ถวายภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง และกรรมการกำกับห้องสอบในการสอบบาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ระหว่างวันที่ 15 - 17 กุมภาพันธ์ 2566 ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 83 สนามสอบ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โดยในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เป็นประธานในพิธี อาทิ จังหวัดอุบลราชธานี ณ วัดมณีวนาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารเพลพระราชทานถวายแด่พระสงฆ์ สามเณร ในการสอบบาลีสนามหลวง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธี เช่นเดียวกับจังหวัดสุโขทัย ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุราชวรวิหาร ตำบลศรีสัชนาลัย อำภอศรีสัชนาลัย นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารเพลพระราชทานถวายแด่พระสงฆ์ สามเณร ในการสอบบาลีสนามหลวง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธี ที่จังหวัดสงขลา ณ วัดโคกสมานคุณ พระอารามหลวง อำเภอหาดใหญ่ นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธีถวายภัตตาหารพระราชทานแด่พระภิกษุ สามเณร ในการสอบบาลีสนามหลวง โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชน และประชาชนจังหวัดสงขลา เข้าร่วมพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยในห้วงวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2566 ประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งพิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลฯ ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ อาทิ 1. กรุงเทพมหานคร ที่พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง มอบหมายให้ นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ ผู้ตรวจราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง และนายสักรินทร์ อินทรสถิตย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนและพัฒนาตามผังเมือง พร้อมด้วยข้าราชการและพนักงานราชการ สำนักสนับสนุนและพัฒนาตามผังเมือง กองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานเลขานุการกรม ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บำเพ็ญกุศลถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 2. จังหวัดสกลนคร ที่วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร พระครูกิตติธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอโพนนาแก้ว เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางจุรีรัตน์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 3. จังหวัดระยอง ที่ ต.ทางเกวียน อ.แกลง นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธีมอบบ้าน “โครงการเหล่ากาชาดจังหวัดระยองสร้างบ้านและซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ ประจำปี 2565” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 4. จังหวัดยโสธร ที่ถนนคนเดินยโสธร เมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า อ.เมืองยโสธร นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย นางชลาทิพย์ วิชัยบุญ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดยโสธร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 5. จังหวัดลำปาง ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเสริมงาม นางวรรณวิไล กันเพ็ชร์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง คณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นายเชาว์ทวีพัฒน์ ดนัยนันท์ นายอำเภอเสริมงาม คณะกรรมการและสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอเสริมงาม ร่วมกับที่ว่าการอำเภอเสริมงาม และโรงพยาบาลลำปาง ออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมีประชาชนร่วมบริจาคโลหิตจำนวน 75 ราย ได้รับปริมาณโลหิต จำนวน 30,000 ซีซี และมีผู้บริจาคดวงตา จำนวน 5 ราย และผู้บริจาคอวัยวะ จำนวน 7 ราย 6. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดทุ่งตลิ่งชัน ต.หนองโอ่ง อ.อู่ทอง นายโกวิทย์ อุบลรัตน์ นายอำเภออู่ทอง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 7. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่วัดสว่างอัมพวัน (วัดบ้านสะอาดนาดี) ต.พรสวรรค์ อ.เสลภูมิ นายขวัญราม สุขสาม ปลัดอำเภออำเภอเสลภูมิ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาล ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านสะอาดนาดี โรงเรียนบ้านนาแพง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลบ้านสะอาดนาดี และประชาชนในพื้นที่ตำบลพรสวรรค์ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาและทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ชี้แจงการปฏิรูปกองทัพและตำรวจ ยืนยันความจำเป็นในการเตรียมพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ย้ำการปฏิรูปตำรวจต้องทำทันที ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​นายกฯ ชี้แจงการปฏิรูปกองทัพและตำรวจ ยืนยันความจำเป็นในการเตรียมพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ย้ำการปฏิรูปตำรวจต้องทำทันที ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ​นายกฯ ชี้แจงการปฏิรูปกองทัพและตำรวจ ยืนยันความจำเป็นในการเตรียมพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ย้ำการปฏิรูปตำรวจต้องทำทันที ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 19.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรประเด็นการปฏิรูปกองทัพและตำรวจ ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปฏิรูปกองทัพ ภาพรวมการพัฒนากองทัพ และผลการปฏิบัติงานของกองทัพในด้านโครงสร้างการจัดหน่วยและด้านกำลังพล ว่า กระทรวงกลาโหมก็ได้ดำเนินการปรับลดอัตรากำลังลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กองทัพมีขนาดที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้น จากเดิมยอดกำลังพลที่มีอยู่ ได้กำหนดเป้าหมายปรับลดลงให้ได้ร้อยละ 5 ภายในเดือนกันยายน 2570 จะส่งผลให้สามารถลดกำลังพลได้ประมาณ 12,000 นาย นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบข้าราชการพลเรือนกลาโหมมาใช้เพื่อลดจำนวนอัตราข้าราชการทหาร และแก้ปัญหาความคับคั่งในแต่ละชั้นยศ โดยเฉพาะชั้นยศระดับสูงในอนาคต โดยจะเป็นการบรรจุข้าราชการพลเรือนกลาโหมในตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทางในกลุ่มลักษณะงานต่าง ๆ ซึ่งหลายประเทศก็ทำเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงการตรวจเลือกทหารกองประจำการว่า ในปัจจุบันระบบการตรวจเลือกบุคคลเข้าประจำการเป็นทหารกองประจำการ ได้ใช้การผสมผสานระหว่างระบบการตรวจเลือก หรือเรียกว่าการเกณฑ์ และระบบสมัครใจ ผ่านออนไลน์และสมัครใจที่หน้าหน่วยตรวจเลือก โดยกระทรวงกลาโหมมีแนวคิดในการพัฒนาระบบการเข้าประจำการของทหารกองประจำการ ไปสู่เป้าหมายที่จะให้มีผู้สมัครใจเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการได้อย่างสมบูรณ์ในระยะยาว ซึ่งวันนี้มีคนสมัครมากขึ้น และมีผู้สมัครที่ได้มีความก้าวหน้าเป็นนายสิบ นายร้อย ต่อไป อย่างไรก็ตาม จำนวนการเกณฑ์นี้ก็ไม่ถึง 50% ที่จะต้องเกณฑ์ ถือว่าเป็นการเกณฑ์ในระดับที่ต่ำสุดอยู่แล้ว คนที่จับได้ใบดำก็ไม่ต้องเป็นทหาร บางคนก็เรียนนักศึกษาวิชาทหาร ก็ไม่ถูกเกณฑ์ บางพื้นที่ก็ไม่ถูกเกณฑ์มากเพราะคนในพื้นที่สมัครใจ ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปได้ด้วยดี หลายท่านบอกว่าไม่ต้องมีหรอกทหาร ถ้ามีเรื่องมาก็ขอให้ท่านไปเป็นแล้วกันถ้ามีเรื่องมา ไปอยู่ชายแดนให้ด้วย หรือมีเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ก็ขอให้ไปช่วยแก้ปัญหาด้วย อย่าพูดปากเปล่าเฉย ๆ วันนี้ท่านก็รู้ว่าโลกมีปัญหาอะไรอยู่ ความขัดแย้งพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสวัสดิการกองทัพ กระทรวงกลาโหมได้เน้นการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกำลังพล รวมถึงครอบครัวด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจสิทธิกำลังพล สถานที่ปฏิบัติงาน บ้านพักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นและสิทธิอื่น ๆ ที่พึงได้รับอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำลังพลชั้นผู้น้อย การจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ ได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนดูแลกำลังพลชั้นผู้น้อยมาโดยต่อเนื่อง โดยเรื่องการจัดสวัสดิการเป็นเรื่องสำคัญ ได้แบ่งการดำเนินงานตามประเภทการจัดสวัสดิการภายใน และสวัสดิการเชิงธุรกิจ ให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับระเบียบ ประกาศ และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของการจัดสวัสดิการเชิงธรุกิจ ก็ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหารงาน ซึ่งอยู่ในกติกา กฎหมาย ระเบียบกระทรวงการคลังอยู่แล้ว สำหรับในส่วนของการเตรียมความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ ยืนยันว่าจำเป็นต้องมีความพร้อม ถ้าบอกว่าไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าซื้อแล้วจะทุจริตจะโกง นั้น คิดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าโกงก็ต้องสอบสวน ลงโทษ ติดคุก ถ้าพูดแบบนี้แล้วกลายเป็นว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ขอเชิญท่านที่พูดไปขึ้นเครื่องบิน C130 จะกล้าขึ้นหรือไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำมีอายุ 40 ปีแล้ว นักบินทหารก็มีความเสี่ยง รถถัง เรือและอากาศยานที่ประจำการอยู่ มีอายุการใช้งานมากกว่า 40 ปีแล้ว กระทรวงกลาโหมมีแนวความคิดในการจัดหายุทโธปกรณ์ โดยคำนึงถึงภัยคุกคามใน 5-10 ปีข้างหน้า ในการรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนเพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย มุ่งเน้นการซ่อมปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิม สำหรับการจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่นั้น จะดำเนินการเฉพาะเท่าที่มีความจำเป็นเพื่อทดแทนยุทโธปกรณ์สำคัญที่เก่าล้าสมัย หมดอายุการใช้งาน และขาดแคลนชิ้นส่วนซ่อม รวมทั้งให้ความสำคัญในนโยบายพึ่งพาตนเอง เพื่อลดการจัดหาจากต่างประเทศ “ไม่มีอะไรที่สำคัญหรือไม่สำคัญ ต้องมองในภาพรวม การเป็นรัฐบาลไม่ใช่จะหาเสียง ให้ ๆ แจก ๆ ต้องดูทุกคนทุกส่วนให้ได้ความยุติธรรม ให้เขามีความเจริญเติบโตก้าวหน้า ให้แข็งแรง เข้มแข็ง นี่คือศักยภาพของประเทศไทย อำนาจกำลังรบไม่มีตัวตนคือความรักความสามัคคีของคนไทย ความกล้าหาญ ยืนยันว่าจะดำเนินการในส่วนข้อมูลที่เป็นประโยชน์” นายกรัฐมนตรีกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีเรือหลวงสุโขทัย กองทัพเรือได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้ตั้งคณะทำงาน จำนวน 2 คณะ ได้แก่ 1) คณะทำงานตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้เรือหลวงสุโขทัยอับปาง และ 2) คณะทำงานตรวจสอบขั้นตอนของการสละเรือใหญ่ การค้นหา และช่วยเหลือกำลังพลภายหลังประสบเหตุ ซึ่งในขณะนี้ คณะกรรมการทั้งสองคณะได้เร่งดำเนินการสอบผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว รวมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบควบคู่ไปกับคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยในส่วนของการช่วยเหลือกำลังพลที่ประสบภัยและสูญเสียชีวิตนั้น กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพเรือได้ช่วยเหลือกำลังพลและครอบครัว รวมถึงทายาท ตามสิทธิที่พึงได้รับในขั้นต้น พระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การเสนอเลื่อนชั้นเงินเดือน การเสนอขอพระราชทานยศ การเลื่อนยศสูงขึ้น การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ บำเหน็จตกทอด บำนาญพิเศษ และการบรรจุทายาททดแทน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปฏิรูปตำรวจ เป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำทันที ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และไม่ไปสร้างปัญหาใหม่ องค์กรตำรวจ เป็นองค์การขนาดใหญ่ มีหน่วยงานหลายร้อย หลายพันทั่วประเทศ เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่นับแสน รัฐบาลได้ผลักดัน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ถือเป็นกฎหมายปฏิรูปตำรวจครั้งสำคัญของประเทศ ที่สังคมรอคอย โดยขจัดข้อบกพร่องเดิม ปิดจุดอ่อนจากกฎหมายเดิม จัดระบบการทำงานและแนวทางรับราชการ แบ่งเป็น 5 สายงาน ที่ชัดเจน การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ การโยกย้ายยึดหลักอาวุโส และประสิทธิภาพในการทำงาน มีคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม รับเรื่องร้องเรียน ถ้าใครคิดว่าเสียเงินแต่งตั้งตำรวจให้มาหานายกรัฐมนตรี เพราะนายกฯ ไม่เคยมีนโยบายให้ใครไปเรียกรับผลประโยชน์ ถ้าใครปล่อยปละละเลย มีหลักฐาน จะให้สอบสวนดำเนินการ โดยสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการแก้แก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนแล้ว สิ่งสำคัญคือถ้าใครเรียกเงิน อย่าไปให้เขา ถ้าเขาเรียก ให้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในการอภิปรายของสมาชิก พร้อมยืนยันในหลักการว่านายกรัฐมนตรีทำอย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย วางแผนขยายการลงทุนต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย วางแผนขยายการลงทุนต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี ภาคเอกชนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย วางแผนขยายการลงทุนต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งปีหลัง พ.ศ. 2565 ซึ่งจัดทำโดยหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese chamber of commerce, Bangkok: JCCB) พร้อมทั้งยินดีที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งมีแผนที่จะขยายการลงทุนมากขึ้น โดยคาดการณ์ GDP ปี 2566 จะเติบโตมากขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการสำรวจฯ คาดการณ์ว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (Diffusion Index: DI) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะอยู่ที่ 28 สูงขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 21 โดยผู้ประกอบการญี่ปุ่นคาดว่า การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวขาเข้าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วนจะได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ ผู้ประกอบการญี่ปุ่นร้อยละ 33 มีแนวโน้มจะขยายกิจการ และอาจย้ายฐานจากประเทศอื่นมายังประเทศไทย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการญี่ปุ่นยังคงมองว่า ปัญหาราคาพลังงานสูง เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ สำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ทำการสำรวจบริษัทสมาชิก ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 23 ธันวาคม 2565 โดยรายงานการสำรวจนี้ ถือเป็นการสำรวจเดียวที่สะท้อนสภาพธุรกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยได้อย่างครอบคลุม และเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยในการปรับปรุงและแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยเป็นลำดับต้น ๆ “นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ขานรับแนวนโยบายของรัฐบาลบูรณาการการทำงานส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อม ศักยภาพที่เอื้อต่อการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล โดยในปี 2565 มีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ สูงถึง 433,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากปี 2564 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาและลดอุปสรรคต่อการลงทุน พร้อมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน สนับสนุนการแข่งขันของประเทศในภูมิภาค” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เปิดตัวยิ่งใหญ่ 16 เทศกาลประเพณีไทย โชว์สุดยอดอัตลักษณ์ความเป็นไทยทั่วประเทศ ชวนเที่ยว ชิม ช้อป แชร์ ตลอดปี พร้อมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพประทับใจเทศกาลประเพณีทั่วไทย
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 วธ. เปิดตัวยิ่งใหญ่ 16 เทศกาลประเพณีไทย โชว์สุดยอดอัตลักษณ์ความเป็นไทยทั่วประเทศ ชวนเที่ยว ชิม ช้อป แชร์ ตลอดปี พร้อมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพประทับใจเทศกาลประเพณีทั่วไทย วธ. เปิดตัวยิ่งใหญ่ 16 เทศกาลประเพณีไทย โชว์สุดยอดอัตลักษณ์ความเป็นไทยทั่วประเทศ ชวนเที่ยว ชิม ช้อป แชร์ ตลอดปี พร้อมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพประทับใจเทศกาลประเพณีทั่วไทย ยกระดับสู่ระดับชาติและนานาชาติ วธ. เปิดตัวยิ่งใหญ่ 16 เทศกาลประเพณีไทย โชว์สุดยอดอัตลักษณ์ความเป็นไทยทั่วประเทศ ชวนเที่ยว ชิม ช้อป แชร์ ตลอดปี พร้อมลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพประทับใจเทศกาลประเพณีทั่วไทย ยกระดับสู่ระดับชาติและนานาชาติ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีแถลงข่าวโครงการยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายวัฒนธรรม ภูมิปัญญาชาวบ้าน และผู้แทนจังหวัดต่างๆ เข้าร่วม ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม โดยภายในงาน มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ชุด “อัตลักษณ์ถิ่น เอกลักษณ์ไทย ก้าวไกลสู่สากล” การจัดแสดงลานสาธิตเทศกาลประเพณีนำเสนออัตลักษณ์อันโดดเด่น พร้อมผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย อาทิ สาธิตเครื่องสักการบูชาพระธาตุ จัดทำโคมกระต่าย จากจังหวัดน่าน , สาธิตอัตลักษณ์และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ชนชาติพันธุ์ไทยลื้อ จังหวัดพะเยา , สาธิตการทำโคมบูชา ผลงานประติมากรรมโคม จากจังหวัดลำพูน , สาธิตการแสดงกิ่งกะหร่า เชื่อมสัมพันธ์ไทย-เมียนมาร์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน , ผ้าย้อมคราม จังหวัดสกลนคร , อาหารอร่อยเมืองภูเก็ต , สาธิตทำมาลัยข้าวตอก เครื่องสักการบูชา จังหวัดยโสธร , สาธิตทำเครื่องจักสาน จังหวัดชลบุรี และสกุลช่างเมืองเพชร ขนมไทย จังหวัดเพชรบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า วธ. ปรับบทบาทจากกระทรวงสังคม สู่กระทรวงสังคม กึ่งเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจด้วยวัฒนธรรม ผลักดัน “Soft Power” ความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5F งานเทศกาลประเพณี (Festival) โดยขับเคลื่อนงานเทศกาลประเพณีสู่ระดับโลก วธ. จึงบูรณาการกับทุกภาคส่วน ทั้งจังหวัด ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันยกระดับเทศกาลประเพณี เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ การจัดนิทรรศการ การแสดงและการสาธิตทางศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ตลอดจนส่งเสริมด้านการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดช่องทาง การรับรู้ให้มากขึ้น รมว.วธ. กล่าวอีกว่า 16 เทศกาลประเพณีได้ที่รับเลือกยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติ ประกอบด้วย 1. ประเพณีกตัญญูคู่ฟ้า มหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว วันที่ 2 - 8 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี 2. เทศกาลมรดกโลกบ้านเชียง วันที่ 10 – 12 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ชุมชนคุณธรรมบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี 3. ประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 6 มีนาคม 2566 ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน 4. ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก “มาฆบูชาอารยธรรมอีสาน” วันที่ 1 – 5 มีนาคม 2566 ณ ลานหน้าที่ว่าการอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร 5. ประเพณีแห่ผ้าพระบฏพระราชทานถวายพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช วันที่ 1 – 6 มีนาคม 2566 ณ วัดพระมหาธาตุฯ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช 6. เทศกาลโคราชเมืองศิลปะ KORAT Street Art วันที่ 10 – 12 มีนาคม 2566 ณ ถนนจอมพล และบริเวณใกล้เคียง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 7. เทศกาลตามรอยอารยธรรมขอมโบราณปราสาทศิลา “สด๊กก๊อกธม” วันที่ 18 – 19 มีนาคม และ 22 มีนาคม 2566 ณ อุทยานประวัติศาสตร์ สด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว 8. เทศกาลเมืองคราม สกลนคร (KRAM & CRAFT SAKON FESTIVAL) นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ วันที่ 24 - 26 มีนาคม 2566 ณ สระพังทอง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร 9. เทศกาลอาหารอร่อยเมืองภูเก็ต เมืองสร้างสรรค์แห่งวิทยาการอาหาร วันที่ 19 – 27 พฤษภาคม 2566 ณ พื้นที่เขตเทศบาลนครภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต 10. ประเพณีบุญกลางบ้าน สืบสานตำนานเมืองพนัส วันที่ 5 – 7 พฤษภาคม 2566 ณ สวนสาธารณะ เทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี 11. เทศกาล “นาฏยแห่งศรัทธา กิ่งกะหร่า น้อมบูชา วิสาขปุรณมี” วันที่ 2 – 4 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์ไทใหญ่ศึกษา อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12. ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดคนเมืองไทนคร วันที่ 7 – 13 กรกฎาคม 2566 ณ ลานพญาศรีสัตตนาคราชริมฝั่งแม่น้ำโขง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 13. เทศกาลไทลื้อ “โฮ่มฮีต โตยฮอย ร้อยใจไทลื้อ” วันที่ 15 – 16 กรกฎาคม 2566 ณ วัดพระธาตุสบแวน ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 14. ประเพณี ตักบาตรดอกไม้เข้าพรรษา วันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2566 ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 15. เทศกาลอาหารผสานศิลป์ เมืองเพชร เมืองสร้างสรรค์ วันที่ 4 – 6 สิงหาคม 2566 ณ วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร และอุทยานฯ รัชกาลที่ 4 พระนครคีรี อำเภอเมืองเพชรบุรี และ16. เทศกาลโคมแสนดวง ที่เมืองลำพูน วันที่ 25 กันยายน ถึง 8 พฤศจิกายน 2566 ณ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน นอกจากนี้ วธ. โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยังได้จัดโครงการ “ประกวดภาพถ่ายประเพณีทั่วไทย” โดยร่วมกับสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินโครงการฯ ในเดือนเมษายน - กันยายน 2566 อาทิ การประกวดภาพถ่ายประเพณีสงกรานต์ ปอยส่างลอง ประเพณีกองข้าวศรีราชา ประเพณีแห่นางดาน ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เทศกาลอาหารอร่อยเมืองภูเก็ต จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ บุญบั้งไฟ บุญกลางบ้าน ผีตาโขน สรงน้ำพระธาตุยาคู วิวาห์บาบ๋า ประเพณีลงเล ประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางบก-ทางน้ำ เวียนเทียนกลางน้ำ-กว๊านพะเยา ประเพณีสลากย้อมเมืองลำพูน ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65119
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ พบผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ขอบคุณหอการค้าฯ เป็นภาคีสำคัญร่วมสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐทุกมิติ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​นายกฯ พบผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ขอบคุณหอการค้าฯ เป็นภาคีสำคัญร่วมสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐทุกมิติ นายกฯ พบผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ขอบคุณหอการค้าฯ เป็นภาคีสำคัญร่วมสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐทุกมิติ ย้ำรัฐบาลมุ่งส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ชูผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เป็นพลังสำคัญพัฒนาท้องถิ่นและจังหวัด วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำคณะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce) หอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 77 คน จาก 77 จังหวัด เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีกรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับฟังผู้แทนหอการค้าไทยและ YEC รายงานผลการดำเนินงานและแผนการดำเนินงานของ YEC รวมทั้งบทบาทการมีส่วนร่วมของ YEC ในงาน APEC CEO SUMMIT 2022 โดยนายกฤษณะ วจีไกรลาศ กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต่อจากนั้น ผู้แทน YEC นำเสนอความคืบหน้าโครงการแผนงานนำร่อง จำนวน 2 โครงการ ที่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในพื้นที่ ซึ่งมาจากการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล ได้แก่ 1) โครงการ Young Public and Private Collaboration (YPC) จ.ระยอง เป็นโครงการอบรมผู้นำรุ่นใหม่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อร่วมกันพัฒนาจังหวัดได้อย่างไร้รอยต่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Connect the dots ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดอบรม ใน 8 จังหวัดภาคตะวันออก ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 2) โครงการ Lampang Smart Public Transportation (Moove Lampang) จ.ลำปาง เป็นโครงส่งเสริมการเดินทางให้นักท่องเที่ยวได้รับการบริการด้านยานพาหนะในการเดินทางได้อย่างสะดวก มีราคาที่เหมาะสม และได้มีการเปิดตัวโครงการ Smart Public Transportation เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา และนำเสนอ 3 โครงการ ที่กำลังขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงในจังหวัด ประกอบด้วย 1) โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหาร จ.ชลบุรี ที่ได้มีการขับเคลื่อนโครงการโดยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC หอการค้าไทย มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ YEC Business Network ขึ้น ในกลุ่ม YEC ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารทั้ง Value Chain จากทั่วประเทศ โดยมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ ศึกษาดูงานกับสมาชิก ซึ่งได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งให้ความรู้ด้านธุรกิจอาหารกับสมาชิกและผู้ประกอบการทั่วไป 2) โครงการศูนย์คัดแยกขยะเพื่อความยั่งยืน จ.ตรัง โดยศูนย์รักษ์ตรัง เป็นศูนย์รวมในการคัดแยกขยะของจังหวัดตรังส่งต่อเข้าสู่วงจร Circular Economy ที่เป็นศูนย์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพื่อผลักดันจังหวัดเข้าสู่ BCG Economy เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเป็นธนาคารขยะสร้างรายได้ให้ชุมชน และ 3) โครงการ Bangkok The legend กรุงเทพฯ นำเสนออัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ผ่านอาหาร ด้วยการสแกน QR Code ซึ่งสามารถต่อยอดการท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจ และยังทำให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ยกระดับ Street Food Thai Organic ที่ปลอดภัย ปัจจุบันได้ดำเนินการร่วมกับกรุงเทพมหานคร พร้อมทำ Application เพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยว โดยโครงการที่นำเสนอมีเป้าหมายสำคัญ 4 ด้าน คือ 1) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือภาครัฐและเอกชนรุ่นใหม่ 2) ด้านการค้า การลงทุน ค้าชายแดน 3) ด้านเกษตรและอาหาร และ 4) ด้านท่องเที่ยวและบริการ จากนั้น ผู้แทนอาสาสมัคร YEC งาน APEC CEO SUMMIT 2022 กล่าวถึงความประทับใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทำให้ได้เรียนรู้เข้าใจระเบียบปฏิบัติการวางแผนการทำงาน รวมทั้งการใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมแสดงความขอบคุณและขอภาครัฐให้ความสำคัญกับ YEC ได้มีโอการเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป ต่อจากนั้น ประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาฯ YEC หอการค้าไทยกล่าวขอบคุณภาครัฐเอกชน ที่ให้โอกาส YEC จากทุกจังหวัดได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยในอนาคตมีโครงการเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม young ในต่างประเทศเพื่อเป็นแรงผลักดันและสร้างแรงจูงใจให้คนไทยรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ภายหลังรับฟังรายงานผลการดำเนินงาน นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมในการดำเนินการของ YEC นับเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสาน รักษา ต่อยอด ตามดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งขอบคุณสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าทั่วประเทศ ที่เป็นภาคีสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐในทุกมิติ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จด้วยดีเสมอมา โดยเฉพาะการดำเนินงานในระดับพื้นที่และท้องถิ่นที่ต้องบูรณาการความร่วมมือกันหลายฝ่ายและทุกระดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้ความสำคัญและมุ่งเน้นมาโดยตลอด และได้ติดตามการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ นับตั้งแต่สภาหอการค้าฯ นำคณะ YEC เข้าพบ พร้อมนำเสนอแผนงานโครงการและมุมมองของคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาจังหวัดในปีที่ผ่านมา รู้สึกยินดีที่มีการนำโครงการต่าง ๆ มาขับเคลื่อนสานต่อให้เป็นรูปธรรม อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศและภาคเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังรายงาน และข้อเสนอแนะการทำงานให้ทราบอยู่เสมอในช่วงการตรวจราชการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณทีม YEC ที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือการประชุมเอเปค (APEC 2022) ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำเสนอแนวคิดการพัฒนาเชิงนโยบายและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับผู้แทนประเทศต่าง ๆ นับเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสำเร็จร่วมกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาของประเทศในทุกมิติ แม้หลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์โลก แต่รัฐบาลมีความตั้งใจในการทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิมและทำให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น แสวงหารายได้เข้าประเทศมากขึ้นพร้อมดูแลสวัสดิการของประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ระดับแนวหน้าของอาเซียน ซึ่งในขณะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาต่าง ๆ นั้นย่อมมีโอกาส การร่วมมือกันเพื่อการพัฒนาประเทศให้เดินหน้าไปด้วยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประเทศดีขึ้น ประชาชนมีความสุข ยืนยันว่าประเทศไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเผชิญกับปัญหาโรคอุบัติใหม่โควิด-19 รวมทั้งสถานการณ์สงครามการค้า ความขัดแย้ง สถานการณ์สงคราม ส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลง แต่ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้มาได้ด้วยความร่วมมือของทุกคน สถานการณ์การเงินการคลังมีความแข็งแกร่งขึ้น รัฐบาลดูแลผู้มีรายได้น้อย ดูแลคนทุกกลุ่มทุกวัยโดยคำนึงถึงความเท่าเทียมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาส รวมทั้งความเท่าเทียมทางกฎหมายโดยไม่ถูกลิดรอนและคำนึงถึงความเป็นธรรม โดยการทำให้ประชาชนมีความสุข ผู้มีรายได้น้อยได้รับการช่วยเหลือดูแลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นแผ่นดินทองที่แม้จะเผชิญปัญหา แต่ยืนยันว่ารัฐบาลยังคงมีความมุ่งมั่นเพื่อทำให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้คนรุ่นใหม่ร่วมช่วยกันเพื่อนาคตของประเทศไทย โดยการแก้ปัญหาในอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น โดยไม่ทิ้งความเป็นไทย พร้อมเน้นย้ำการดำเนินโครงการของ YEC ขอให้มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่ามีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ YEC เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน และเป็นผู้เชื่อมต่อช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อประเทศ ร่วมขับเคลื่อนประเทศเดินหน้าไปด้วยกัน สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักคุณค่าของประวัติศาตร์ชาติไทย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงภาคการท่องเที่ยวและการบริการที่เป็นจุดแข็ง ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งรัฐบาลมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมาย ด้วยการสนับสนุนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวโดยใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) มวยไทย (Fighting) และเทศกาลประเพณี (Festival) พร้อมกับการนำแนวคิด BCG Model มาส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ควบคู่กับการเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างคุณค่าและความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน พร้อมเน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการรุ่นใหม่นับเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างเข้มแข็งตลอดมา พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าความตั้งใจของคนรุ่นใหม่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นและจังหวัดของตนเองอย่างสร้างสรรค์ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่คนไทยทุกคนได้อย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงสภา รัฐบาลปฏิรูปกฎหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้ประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ยืนยันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 นายกฯ ชี้แจงสภา รัฐบาลปฏิรูปกฎหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้ประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ยืนยันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นายกฯ ชี้แจงสภา รัฐบาลปฏิรูปกฎหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้ประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ยืนยันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 19.19 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประเด็นการปฏิรูประบบราชการ และกฎหมาย ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสำหรับข้อมูลต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ หลายอย่างเป็นข้อมูลที่ดีเพื่อปรับปรุงการทำงานต่อไป ทุกคนต้องเข้าใจว่ารัฐบาลต้องดูแลคนทั้งประเทศ ซึ่งมีทั้งคนดี คนไม่ดี คงไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกันดูแลให้สังคมปลอดภัย คนไม่ดีต้องถูกลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง นายกฯ และรัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เป็นสังคมที่มีคุณธรรม ไม่ขัดแย้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ด้วยการยุแยง หรืออยู่เบื้องหลังให้ทุกคนออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศไทย นายกฯ ขอยืนยันในความสุจริต และขอยืนยันว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน หากมีการกระทำความผิด ก็จะไม่มีการยกเว้น เราต้องทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ นายกฯ ก็ถูกตรวจสอบมาตลอด เมื่อมีคดีฟ้องร้องมาก็ได้ชี้แจง จัดผู้แทนไปชี้แจงคดีต่าง ๆ 300 – 400 คดี รวมทั้งได้แจ้งทรัพย์สินกับ ป.ป.ช. ไปแล้ว กฎหมายบอกว่าไม่ต้องแจ้ง แต่ก็ได้แจ้งไป ส่วนที่ ป.ป.ช. ไม่เปิดเผยก็เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีกล่าวขอให้ประชาชนเข้าใจว่าทุกการปฏิรูป ต้องอาศัยเวลา และความร่วมมือ ความรักความสามัคคี จึงจะไปได้ ความเห็นที่ดีก็ได้รับมาพิจารณา สิ่งใดทำได้ก็ทำให้ แต่ถ้ามีผลกระทบกับผู้อื่นก็จำเป็นต้องหารือให้ได้ข้อสรุป ทั้งนี้ การปฏิรูปเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหาทับซ้อนมาเป็นเวลายาวนาน มีอุปสรรค ต้องมีแผนการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นแผนระยะสั้น ระยะปานกลาง ระยะยาว บางอย่างเห็นผลแล้ว และอีกหลายอย่างจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อถึงเวลาของมัน สิ่งสำคัญคือต้องอดทน ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ซึ่งรัฐบาลนี้ได้เริ่มให้มีการปฏิรูปแล้วหลายเรื่อง โดยมีการปฏิรูปกฎหมาย 6 กฎหมายที่ถือว่าเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมให้กับประเทศชาติ และประชาชนโดยรวม ได้แก่ 1. พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ เปิดเผยขั้นตอน และ ระยะเวลาในการทำงานทุกกระบวนงานของหน่วยงานของรัฐชัดเจน ลดภาระประชาชน สะดวกขึ้น ประหยัดเงิน ลดขั้นตอน สกัดทุจริตในระบบราชการ เอาของที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาบนโต๊ะ ลดทุจริตคอรัปชัน เพื่อความโปร่งใส เป็นกฎหมายเพื่อทุกคน 2. พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ อัพเกรดระบบทำงานทันโลกยุคใหม่ ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอน ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ รองรับการ work from home รักษาความลับทางราชการไม่ให้รั่วไหล 3. พ.ร.บ.ว่าด้วยการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เดิมเวลาติดต่อราชการ เจ้าตัวต้องไปปรากฏตัวพร้อมบัตรประชาชน แต่เวลานี้การติดต่อราชการทุกแห่ง สามารถทำได้ด้วยออนไลน์ เจ้าตัวไม่ต้องไปปรากฏตัวก็ได้ ยกเว้น จดทะเบียนสมรส หย่า แจ้งรับบุตรบุญธรรม การทำบัตรประชาชน และทำพาสปอร์ต ที่ยังคงต้องไปปรากฏตัว 4. พรก. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ แก้ไขดอกเบี้ยผิดนัดมหาโหด และวิธีคิดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม ถือเป็นการปฏิวัติดอกเบี้ยที่ใช้มานานเกือบ 100 ปีแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การคิดดอกเบี้ยในประเทศไทย เป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ให้กับประชาชนและผู้ประกอบการทั่วประเทศได้อย่างยั่งยืน โดย (1) ให้ชำระดอกเบี้ยลดลง จากเดิมร้อยละ 7.5 เหลือร้อยละ 3 ต่อปี (2) กรณีผิดนัดชำระหนี้ ให้ชำระหนี้ร้อยละ 5 ต่อปี ลดจากเดิมร้อยละ 7.5 ต่อปี และที่สำคัญ คือ (3) การคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ต้องคิดจากเงินต้นที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น ไม่ใช่คิดจากเงินต้นทั้งหมด ที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ จึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้ที่ถูกบิดเบือนมานับศตวรรษ โดยหลักการนี้ถูกขยายผลอย่างกว้างขวาง ผลักดันให้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยใหม่ ในการเช่าซื้อยานพาหนะต่าง ๆ ให้เป็นธรรมกว่าเดิม (1) รถยนต์ใหม่ ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี (2) รถยนต์ใช้แล้ว ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี (3) รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 23 ต่อปี ถ้าใครบริหารหนี้ได้ดี สามารถปิดบัญชีได้ก่อนกำหนด ผู้ขายต้องให้ส่วนลดกับผู้เช่าซื้อด้วย กล่าวคือ การคิดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี หรือ Effective Interest Rate แบบลดต้นลดดอก โดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ (Flat rate) แบบเดิม จึงถือว่าเป็นกฎหมายเพื่อคนจนอย่างแท้จริง 5. พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย คุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน แต่คุกมีไว้ขังคนกระทำความผิด กำหนดให้ใช้โทษอาญาเพียงเท่าที่จำเป็น โทษปรับอาญา สำหรับความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ร้ายแรง จะถูกแปลงเป็นโทษปรับเป็นพินัยแทน เช่น อาจทำงานให้สังคม แทนการรับโทษทางอาญา และจะไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรม 6. พรบ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อช่วยเด็กไทยยากไร้กว่า 6 ล้านคน ให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ปรับลดเพดานทั้งอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้ยาวขึ้นจาก 15 ปี เป็น 30 ปี ยกเลิกให้ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน และผู้กู้สามารถกู้ยืมไป Reskill หรือ Upskill เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา และความต้องการแรงงานยุคใหม่ได้ด้วย ทั้งนี้ ก็ขอให้สมาชิกที่กู้เงิน กยศ. นานแล้วหลายสิบปีมาแล้ว ชำระเงินคืนด้วย หลายคนที่เรียนจบมาแล้วยังไม่ได้คืน นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า กฎหมายเป็นทั้งเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศ และอุปสรรคขวางการพัฒนาถ้ากฎหมายล้าสมัย ซ้ำซ้อน หรือขัดแย้งกันเอง ประเทศไทยมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ (พรบ.) ราว 1,400 ฉบับ และกฎหมายรองอีกกว่า 100,000 ฉบับ รัฐบาลนี้พยายามปลดล็อกพันธนาการจากกฎหมายที่ล้าสมัย และเร่งขับเคลื่อนประเทศจึงได้กิโยตินกฎหมายที่ไม่จำเป็น และทวบทวน แก้ไข ปลดล็อก 1,094 กระบวนงานของภาครัฐ นำมาสู่การลดขั้นตอน ลดภาระประชาชน และผู้ประกอบการ ลดค่าใช้จ่าย และต้นทุนให้ภาคการผลิตได้ถึง 133,816 ล้านบาทต่อปี หรือ 0.8% ของ GDP โดยนายกรัฐมนตรีย้ำในตอนท้ายว่า หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ ในการแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65064
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี สนับสนุนกีฬามวยไทย สู่การแข่งขันโอลิมปิค เล็งสร้างภาพยนต์และเกมส์ เสริม Soft power จุดกระแสโลก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี สนับสนุนกีฬามวยไทย สู่การแข่งขันโอลิมปิค เล็งสร้างภาพยนต์และเกมส์ เสริม Soft power จุดกระแสโลก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ พลเอก ประวิตร ฯ รองนายกรัฐมนตรี สนับสนุนกีฬามวยไทย สู่การแข่งขันโอลิมปิค เล็งสร้างภาพยนต์และเกมส์ เสริม Soft power จุดกระแสโลก สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.30 น. โฆษกคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการบริหารคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ครั้งที่ 1/66 ณ ห้องประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ร่วมพิจารณาเรื่องสำคัญๆ ประกอบด้วย 1. การเห็นชอบ ผลักดันและอำนวยความสะดวกให้สหพันธ์กีฬาหรือองค์กรกีฬาระหว่างประเทศ ย้ายสำนักงานมาตั้งสาขาในประเทศไทย เพื่อพัฒนาและยกระดับการกีฬาไทยสู่สากล 2. เห็นชอบ ผลประเมินและประกาศความพร้อมของ กลุ่ม จว.กรุงเทพฯ ชลบุรี และสงขลา เป็นกลุ่ม จว.เจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ และ จว.นครราชสีมา เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนพาราเกมส์ เพราะมีความพร้อมในทุกด้านสำหรับนักกีฬาคนพิการ 3. เห็นชอบการมอบสิทธิ์การถ่ายทอดสด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ณ กัมพูชาให้กับ บริษัท ทรู คอปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งรับทราบการจัดกิจกรรม เดิน - วิ่ง Olympic Day 2023 โดยมีกำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้ 25 กุมภาพันธ์ 2566 ณ จว.น่าน 24 มิถุนายน 2566 ณ จว.มุกดาหาร 4 พฤศจิกายน 2566 ณ จว.เชียงใหม่ และ 16 ธันวาคม 2566 ณ จว.กาญจนบุรี โดยมุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมโอลิมปิค ปลูกฝังการออกกำลังการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับทราบ การสนับสนุนสร้างเครือข่ายที่จะช่วยกันขับเคลื่อนงานสตรีกับกีฬาอย่างกว้างขวาง และความเสมอภาคระหว่างเพศด้านกีฬา ต่อจากนั้น พลเอก ประวิตร ฯ กำชับให้เดินหน้าผลักดันยกระดับกีฬามวยไทย เข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิค หลังจากมวยไทย ได้รับการรับรองแล้วจากทั้ง คณะกรรมการโอลิมปิค และคณะกรรมการพาราลิมปิค แห่งสหรัฐอเมริกา ( USOPC ) รวมทั้ง คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งทวีปยุโรป ( EOC ) โดยเสนอให้มีการสนับสนุนสร้างภาพยนต์ศิลปะมวยไทย เป็นซอฟพาวเวอร์ เพื่อจุดกระแสความนิยมมวยไทยอย่างกว้างขวางสู่เวทีโลก โดยย้ำว่า “ศิลปะมวยไทย” ถือเป็นซอฟพาวเวอร์ของชาติที่สำคัญ ที่ต้องเร่งผลักดันยกระดับสู่สากลร่วมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิคนานาประเทศ ถือเป็นใบเบิกทางที่สำคัญ สู่การวางแผนผลักดันกีฬามวยไทยเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคต่อไป พร้อมๆไปกับการสร้างภาพยนต์หรือเกมส์ เพื่อจุดและสร้างกระแสมวยไทยสู่กระแสโลก ร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้านกีฬาและวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็งของไทยต่อไป และในตอนท้าย พลเอก ประวิตร ฯ ได้ขอบคุณคณะกรรมการโอลิมปิคฯและสมาคมกีฬาทุกประเภท ที่ร่วมผลักดันส่งเสริมและยกระดับกีฬาของประเทศไทย สู่สากล พร้อมกำชับทุกสมาคมกีฬา มุ่งเน้นส่งเสริมใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างมีพัฒนาการให้มากขึ้น รวมทั้งต้องป้องกันและไม่ส่งเสริมการใช้สารต้องห้ามอย่างเด็ดขาดและจริงจัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. หนุนภาคธุรกิจเอกชน "สร้างสุขวัยเก๋า" พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกมิติ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 พม. หนุนภาคธุรกิจเอกชน "สร้างสุขวัยเก๋า" พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกมิติ พม. หนุนภาคธุรกิจเอกชน "สร้างสุขวัยเก๋า" พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกมิติ วันนี้ (17 ก.พ. 66) เวลา 10.30 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุ “สร้างสุขวัยเก๋า” เพื่อสนับสนุนให้สังคมและครอบครัวร่วมส่งต่อความรักแก่ผู้สูงอายุ และสร้างความผูกพันของคนทุกวัยภายในครอบครัวให้เห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ อีกทั้งส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับความรู้ในการดูแลตนเองครอบครัวและสังคม โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้มีนายธนเดช ตระกูลยิ่งยง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการบรรษัท-รัฐสัมพันธ์ โลตัส (บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด) กล่าวรายงาน และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์อาหารชั้น 2 โลตัสพระราม 1 ถนนบรรทัดทอง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดว่าประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ (Aging Society) และจะเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ เมื่อประชากรดังกล่าวเพิ่มเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ โดยประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยปี 2565 พบว่าผู้สูงอายุไทยมีจำนวน 12.519 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19.03 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ นับได้ว่าใกล้เคียงกับการเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ รัฐบาลได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชน และภาคีเครือข่าย มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในทุกมิติ อาทิ การจ้างงาน การสร้างหลักประกันทางการเงิน การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง การพัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการการดูแลสุขภาพ รวมทั้งการสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมต่างๆ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต และหนึ่งในตัวอย่างของภาคธุรกิจเอกชน คือ บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่นซิสเทม จำกัด เป็นบริษัทเอกชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพทางกายและจิตใจที่ดีให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้สูงอายุ และเปิดโอกาสในการจ้างงาน สร้างอาชีพ รวมทั้งส่งเสริมให้พนักงานบริษัทมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรม “สร้างสุขวัยเก๋า” ในวันนี้ มีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) การเสวนา เรื่อง สะสมสุขภาพดีเป็นบำนาญชีวิต เปิดโอกาสในการสร้างรายได้และใส่ใจผู้สูงวัย ใส่ใจผู้ดูแล โดยไอดอลด้านการดูแลสุขภาพ นายแพทย์สมชัย คุณณัฐรดา สุขสุธรรมวงศ์ และผู้แทนผู้สูงอายุที่ทำงานภายใต้ บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่นซิสเทม จำกัด 2) การเสวนาเรื่องการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น ความรู้ทั่วไป สิทธิและสวัสดิการทักษะพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุ โดย นางสาวกอบกุล กวั่งซ้วน ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ ด้านอาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ โดย นายสุพจน์ รื่นเริงกลิ่น นักโภชนาการชำนาญการพิเศษ กรมอนามัย เรื่องโรคและกลุ่มอาการผู้สูงอายุและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดย นางทิวาพร วิถี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ศูนย์บริการสาธารณสุข 5 จุฬาลงกรณ์ 3) บูธจำหน่ายสินค้าจากเครือข่ายผู้สูงอายุ และ 4) บูธตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมความยุติธรรมทางอาญาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The Criminal Justice Forum for Asia and the Pacific: Crim-AP)
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 การประชุมความยุติธรรมทางอาญาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The Criminal Justice Forum for Asia and the Pacific: Crim-AP) การประชุมความยุติธรรมทางอาญาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The Criminal Justice Forum for Asia and the Pacific: Crim-AP) พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมความยุติธรรมทางอาญาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Justice Forum for Asia and the Pacific: Crim-AP) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ผู้แทนกรมราชทัณฑ์ ผู้แทนกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ โรงแรม Westin Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น การประชุมฯ ครั้งนี้ มีกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบการประชุม ณ สถานที่จริง (in-person) และการประชุมแบบออนไลน์ โดยมี นายไซโตะ เคน (Mr. SAITO Ken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นกล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “การดำเนินการตามปฏิญญาเกียวโต: การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านอาชญากรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Implementing the Kyoto Declaration : Strengthening International Cooperation against Crime in the Asia-Pacific) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศใน ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา และ (๒) ความร่วมมือด้านการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด และการฟื้นฟูผู้กระทำผิด โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำนวน ๑๘ ประเทศ ทั้งนี้ การประชุม Crim-AP ครั้งที่ ๒ ประกอบด้วย การประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (Working Group on Mutual Legal Assistance : WG-MLA) ภายใต้หัวข้อ รูปแบบเฉพาะของคำร้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา - การขอพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ และคำให้การของพยาน ซึ่งมี นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ WG-MLA และผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดเข้าร่วม และการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดและการฟื้นฟูผู้กระทำผิด (Working Group on Offender Treatment and Rehabilitation : WG-OTR) ซึ่งมี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ เป็นหัวหน้าคณะ WG-OTR และผู้แทนจากกรมคุมประพฤติและกรมราชทัณฑ์ เข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช 20 ก.พ.นี้ ตรวจติดตามแนวทางการพัฒนา อ.จุฬาภรณ์ พร้อมตรวจติดตามวาระเมืองสิชลยุติภัยพิบัติซ้ำซาก เพิ่มพูนศักยภาพการจัดการน้ำ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช 20 ก.พ.นี้ ตรวจติดตามแนวทางการพัฒนา อ.จุฬาภรณ์ พร้อมตรวจติดตามวาระเมืองสิชลยุติภัยพิบัติซ้ำซาก เพิ่มพูนศักยภาพการจัดการน้ำ ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช 20 ก.พ.นี้ ตรวจติดตามแนวทางการพัฒนา อ.จุฬาภรณ์ พร้อมตรวจติดตามวาระเมืองสิชลยุติภัยพิบัติซ้ำซาก เพิ่มพูนศักยภาพการจัดการน้ำ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อตรวจติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ประเด็นการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากและการบริหารจัดการในน้ำในพื้นที่ โดยมีกำหนดการ ดังนี้ ช่วงเช้า เวลาประมาณ 07.30 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ไปยัง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อตรวจติดตามแนวทางการพัฒนา อ.จุฬาภรณ์ และพบปะประชาชนในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์และพื้นที่ใกล้เคียง ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอจุฬาภรณ์ ศูนย์ราชการอำเภอจุฬาภรณ์ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ณ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช อ.เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับงบประมาณในการดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพการบริหารทางการแพทย์สู่ความเป็นเลิศในภาคใต้ตอนบน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างครบวงจร ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีสักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และนมัสการพระครูวินัยธร ณัฏฐาสันต์ สิทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดยางใหญ่ ณ วิหารหลวงพ่อวัดยางใหญ่ อ.ท่าศาลา และไหว้บูชาตาพรานบุญ ณ วิหารปฐมบรมครูตาพรานบุญ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปวัดเจดีย์ อ.สิชล กราบสักการะพระประธาน และนมัสการพระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ รวมทั้งไหว้บูชาตาไข่ เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้น นายกรัฐมนตรีตรวจติดตาม “วาระเมืองสิชลยุติภัยพิบัติซ้ำซาก เพิ่มพูนศักยภาพการจัดการน้ำ” และทักทายประชาชน ณ วัดเจดีย์ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีไปจุดพื้นที่คลองเปลี่ยน ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากบริเวณคลองเปลี่ยนพื้นที่รอยต่อ ต.เปลี่ยน และ ต.เทพราช อ.สิชล โดย อ.สิชลและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาในด้านการบริหารจัดการน้ำ ในฤดูฝนและฤดูน้ำหลาก มักเกิดภาวะน้ำท่วมขังและอุทกภัยซ้ำซาก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินประชาชนเป็นวงกว้าง รวมทั้งพบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง มีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นจากการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าต้นน้ำ การใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดวามเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดแนวทางในการลดความรุนแรงและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งการแก้ไขปัญหาพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนด้านงบประมาณ พร้อมความต้องการขอรับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยในเบื้องต้นองค์การบริหารส่วนตำบลเปลี่ยน อ.สิชล ได้เสนอโครงการก่อสร้างทางน้ำล้นสายเขาทราย-อ่าววาโย หมู่ที่ 7 ต.เปลี่ยน เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่อุทกภัยซ้ำซาก บริเวณคลองเปลี่ยน พื้นที่รอยต่อ ต.เปลี่ยน และ ต.เทพราช โดยได้เสนอผ่านกรมทรัพยากรน้ำ จังหวัดนครศรีธรรมราช และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 18.15 น. โดยกำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ชี้แจงรัฐบาลขับเคลื่อน One Map แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย พร้อมดำเนินแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 16/02/2566 ​นายกฯ ชี้แจงรัฐบาลขับเคลื่อน One Map แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย พร้อมดำเนินแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ​นายกฯ ชี้แจงรัฐบาลขับเคลื่อน One Map แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย พร้อมดำเนินแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน จากการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินฯ One Map วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 19.10 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาที่ดินว่ารัฐบาลพยายามทำอย่างยิ่งยวด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ไม่ต้องการที่จะรังแกใครทั้งสิ้น โดยจะเห็นได้ว่าหลังจากนโยบายแรกที่ออกมา เรื่องของการดูแลผืนป่าของประเทศ จากนั้นก็มีการปรับเป็นคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งจะให้ทุกอย่างเป็นโฉนดทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก แต่ตรงนี้ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง ให้ทุกคนสามารถมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ทำกิน และสามารถให้กับทายาทได้แต่ ถ้าเป็นโฉนดก็จะหมดไปเรื่อย ๆ ก็จะไม่มีที่ดินที่เพียงพอให้กับใครต่อไป จึงขอชี้แจงให้ทราบในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในอดีตนั้นก็พยายามจะเร่งในการให้เกิดการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจส่งผลทำให้มีการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ เกิดความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน การกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน การไร้ที่ดินทำกิน การบุกรุกที่ดินของรัฐ การใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามศักยภาพของที่ดิน ตลอดจนการทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีนโยบายในการบริหารจัดการที่ดินอย่างบูรณาการ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเรื่องของแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ พ.ศ. 2566 ถึง 2580 ก็เพื่อจะจัดทำแนวเขตที่ดินของรัฐให้มีความชัดเจน เพิ่มการรักษาพื้นที่ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ เพื่อใช้ประโยชน์ให้มีสัดส่วนร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ รวมทั้งนำที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระจายการถือครองที่ดินของประเทศให้มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยเป้าหมายระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) คือ การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) แล้วเสร็จ เป้าหมายระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2571-2575) คือ การแก้ไขความขัดแย้ง/ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน และเป้าหมายระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2576-2580) คือการเพิ่มพื้นที่ป่ามีสัดส่วนร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565 นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินฯ One Map เป็นปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินเพื่อให้มีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย อยู่บนมาตรฐานแผนที่มาตราส่วน 1 : 4000 เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนกันของที่ดินของรัฐโดยมีเป้าหมายการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 11 จังหวัด ดังนี้ กลุ่มที่ 1 นนทบุรี นครปฐม อ่างทอง สิงห์บุรี สมุทรสงคราม กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร สุพรรณบุรี กลุ่มที่ 2 จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด นครนายก นครสวรรค์ ระยอง ลพบุรี ศรีสะเกษ และสระบุรี ยกเว้นกรณี พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด กลุ่มที่ 3 นครราชสีมา บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ และเลย (ยกเว้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในพื้นที่นครราชสีมาและปราจีนบุรี) กลุ่มที่ 4 กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุดรธานี (อยู่ระหว่างดำเนินการ) กลุ่มที่ 5 สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส (อยู่ระหว่างดำเนินการ) กลุ่มที่ 6 เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา (อยู่ระหว่างดำเนินการ) กลุ่มที่ 7 เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และอุทัยธานี (อยู่ระหว่างดำเนินการ) นอกจากนี้ ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 65 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนจากการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินฯ One Map โดยมีแนวทางสรุปได้ว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการยกเลิกเพิกถอนเอกสารสิทธิ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินของประชาชนแต่อย่างใด โดยหากประชาชนได้รับกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว หน่วยงานที่มีที่ดินของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริง การเปิดให้ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินที่มีข้อโต้แย้ง สามารถพิจารณาดำเนินพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2565 นั้น ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 58 อนุมัติหลักการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมโดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย 1,491 พื้นที่ 70 จังหวัด เนื้อที่ประมาณ 5,792,145-1-71.75 ไร่ ขณะนี้ออกหนังสืออนุญาตแล้ว 1.3 ล้านไร่ คนใช้ประโยชน์แล้ว 78,109 ราย โดยพื้นที่เป้าหมายที่ดำเนินการมีทั้งป่าสงวนแห่งชาติ ป่าตาม พ.ร.บป่าไม้ 2484 ป่าไม้ถาวร ป่าชายเลน ที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินราชพัสดุ นิคมสหกรณ์ ที่ดินสงวนเพื่อกิจการ ในนิคมสร้างตนเอง เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมดนี้ได้มีการดำเนินการมาอย่างเป็นระยะต่อเนื่อง ตามขั้นตอนและเห็นชอบขอบเขตแล้ว พื้นที่เป้าหมายหลังจากเห็นชอบขอบเขตแล้ว ออกหนังสืออนุญาต และมีการจัดคนเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินแล้ว นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่สมาชิกฯ ระบุว่าไม่เคารพพระว่า การที่นายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีดูแลด้วย อย่างไรก็ตามจะตัดสินหรือสั่งการทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะต้องปรึกษาอยู่ในการอนุมัติอนุญาต และเห็นชอบของกรรมการเถรสมาคม และในส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ก็เป็นเลขาฯ ของกรรมการเถรสมาคมด้วย ทั้งนี้ การที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีไปโอบคอพระนั้น ความจริงแล้วเป็นการเดินไปด้วยกัน และท่านก็มาแตะหลังนายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนั้นก็กลัวท่านล้ม นายกรัฐมนตรีจึงประคองท่าน แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่เคารพพระตรงไหน นอกจากนี้ เวลาเดินผ่านพระ นายกรัฐมนตรีก็ได้มีการพนมมือไหว้พระทุกครั้งด้วยความเคารพ จึงขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย เพราะตนเองก็เป็นคนไทยพุทธ แต่ก็ดูแลทุกศาสนา ให้มีความสุขอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะ เข้าศึกษาดูงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่น ณ กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่น
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะ เข้าศึกษาดูงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่น ณ กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่น รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะ เข้าศึกษาดูงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่น ณ กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ในห้วงการประชุมเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียน - ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (Preparatory Meeting for the ASEAN-Japan Special Meeting of Justice Ministers) พันตํารวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่กองการต่างประเทศ ได้เดินทางเยือนกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น เยี่ยมชมร้านค้าผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขัง (Capic shop) รวมทั้งศึกษาดูงานประวัติความเป็นมา พัฒนาการ และเอกสารทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้สอนกฎหมายจากฝรั่งเศส ภายในพิพิธภัณฑ์กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นอาคารที่ก่อสร้างตั้งแต่ยุคเมจิ ตลอดจนการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ระบบยุติธรรมแบบใหม่และระบบการพิจารณาคดีของประเทศต่าง ๆ ให้ประชาชนได้ศึกษาผ่านพิพิธภัณฑ์กระทรวงยุติธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สกมช. และ JICA
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สกมช. และ JICA ดีอีเอส ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สกมช. และ JICA นางสาวกัลยาชินาธิวรรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านต่างประเทศเป็นตัวแทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกการสนทนาสำหรับโครงการอาเซียน-ญี่ปุ่นเพื่อยกระดับการเสริมสร้างศักยภาพการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และบริการดิจิทัลที่เชื่อถือได้ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(สกมช.)และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(JICA)ณสามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ชั้น5สามย่านมิตรทาวน์กทม. _________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.เฉลิมชัย มอบ ส.ป.ก. 4-01 และหนังสือสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถาบันเกษตรกร
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ​รมว.เฉลิมชัย มอบ ส.ป.ก. 4-01 และหนังสือสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถาบันเกษตรกร ​รมว.เฉลิมชัย มอบ ส.ป.ก. 4-01 และหนังสือสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถาบันเกษตรกร เพื่อรับรองสิทธิ์การเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ลดความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับที่ดินทำกินแก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดชุมพร ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสกรณ์ลงพื้นที่ตรวจราชการและพบปะเกษตรกรในพื้นที่โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดชุมพร และเป็นประธานในพิธีมอบปัจจัยการผลิตต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) และหนังสือสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถาบันเกษตรกร เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่พี่น้องเกษตรกรของจังหวัดชุมพร โดยมี นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ แปลงหมายเลข 83 ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้การขับเคลื่อนงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าถึงระดับรากหญ้า เปรียบเสมือนเป็นสมาชิกครอบครัวของเกษตรกร ทั้งนี้ จังหวัดชุมพรมีพื้นที่ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมครอบคลุมทั้ง 8 อำเภอ พื้นที่ดำเนินการทั้งสิ้น 570,620 ไร่ จัดที่ดินให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว จำนวน 33,583 ราย เนื้อที่ประมาณ 502,064 ไร่ ในการดำเนินงานตามโครงการจัดที่ดินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในเขตปฏิรูปที่ดินของจังหวัดชุมพรรวมจำนวน 2 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 7,235 ไร่ แบ่งเป็น 1) แปลงหมายเลข No.83 เนื้อที่ประมาณ 6,281 ไร่โดยเกษตรกรได้จัดตั้งสถาบันเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์ ชื่อสหกรณ์การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินหงษ์เจริญ จำกัด ได้ขอใช้ประโยชน์ที่ดินจาก ส.ป.ก.ชุมพรแล้ว เนื้อที่ประมาณ 2,197 ไร่ เกษตรกรได้รับการจัดที่ดินแล้วจำนวน 420 ราย พื้นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอีกประมาณ 1,595 ไร่ สามารถรองรับเกษตรกรได้อีก 234 ราย ซึ่งจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นี้ และ 2) แปลงเนื้อที่ประมาณ 954 ไร่ อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำบัญชีคัดเลือกเกษตรกรเพื่อรองรับให้สถาบันเกษตรกรเข้ามาขอใช้ประโยชน์ต่อไป โดยคาดว่าสามารถรองรับเกษตรกรได้ จำนวน 97 ราย สำหรับการพัฒนาพื้นที่ในโครงการฯ ได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกระทรวงเกษตรฯ ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และหน่วยงานในระดับท้องที่ ท้องถิ่น โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแกนหลักในการพัฒนา “นับเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จังหวัดชุมพรและสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาผู้ไร้ที่ดินทำกิน โดยมีการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นำมาจัดสรรให้เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาลภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งจะจัดสรรในรูปแบบสหกรณ์การเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และพัฒนาศักยภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเทศ มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ำ สาธารณูปโภค ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมสวัสดิการสังคม เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ศาสตร์พระราชาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายตลาดนำการผลิตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแก่เกษตรกร และมอบสัญญาเช่าที่ดิน ให้แก่สหกรณ์การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินหงษ์เจริญ จำกัด ในวันนี้ จะเป็นการรับรองสิทธิ์การเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ที่แสดงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับที่ดินทำกิน อันจะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่ง ส.ป.ก. จะเร่งดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้เรียบร้อยอย่างเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกร โดยมีการสนับสนุนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ปุ๋ย รวมถึงส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต อีกทั้งยังสนับสนุนพืชเศรษฐกิจอย่างทุเรียน โดยขอความร่วมมือในการรักษาคุณภาพ ลดการใช้สารเคมีและสารปนเปื้อน และการตัดทุเรียนอ่อน ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถส่งออกทุเรียนที่มีคุณภาพได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังตั้งใจมารับทราบปัญหาจากเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ โดยนำผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มารับฟังปัญหาของพี่น้องชาวชุมพรโดยตรง หากสามารถดำเนินการได้จะดำเนินการทันที เพื่อลดความเดือดของพี่น้องเกษตรกรให้เร็งที่สุด” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมนักเรียน รร.ทศพรวิทยา จ.บุรีรัมย์ รับรางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก นำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ ย้ำเด็กเยาวชนพัฒนาศักยภาพตนเองต่อเนื่อง ศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 นายกฯ ชื่นชมนักเรียน รร.ทศพรวิทยา จ.บุรีรัมย์ รับรางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก นำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ ย้ำเด็กเยาวชนพัฒนาศักยภาพตนเองต่อเนื่อง ศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต นายกฯ ชื่นชมนักเรียน รร.ทศพรวิทยา จ.บุรีรัมย์ รับรางวัลระดับประเทศ-ระดับโลก นำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ ย้ำเด็กเยาวชนพัฒนาศักยภาพตนเองต่อเนื่อง ศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องการพัฒนาประเทศ ทันต่อสถานการณ์โลก นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (17 ก.พ.66) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะนักเรียน พร้อมผู้บริหารและครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งได้รับรางวัลจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่นักเรียนที่ได้รับรางวัล ตลอดจนคณะผู้บริหาร ครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา รวมทั้งเพื่อเป็นแบบอย่าง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนอื่น ๆ ในการพัฒนาศักยภาพอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ในการที่จะนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศในอนาคตต่อไปด้วย โดยมีนายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายพีรศักดิ์ รัตนะ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นายสงกรานต์ พันธุ์พินิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนทศพรวิทยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชมการแสดงโชว์ของทีม Awesome Juniors เต้น Hip Hop Dance จำนวน 9 คน พร้อมกล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับนักเรียน ผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นซึ่งมาจากความเพียรพยายามของทุกคน ในการร่วมกันดำเนินการอย่างมุ่งมั่นเข้มแข็ง จนเกิดเป็นผลสำเร็จนำความภาคภูมิใจและชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งความสามารถและการแสดงดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศอีกทางหนึ่ง โดยขอเป็นกำลังใจในการดำเนินกิจกรรมที่สร้างสรรคทั้งในระยะที่ผ่านมาและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงการฝึกซ้อมและการออกแบบท่าเต้นต่าง ๆ ด้วยความสนใจ โดยแนะให้นำท่าเต้นต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกันคิดและสร้างสรรค์ออกมานี้ ไปปรับใช้สำหรับเป็นท่าเต้นในการออกกำลังกายได้ด้วย รวมทั้งนายกฯ ได้สอบถามถึงการศึกษาเล่าเรียนของเด็กนักเรียน โรงเรียนทศพรวิทยา โดยย้ำว่านอกจากการฝึกซ้อมและพัฒนาในกิจกรรมที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวแล้ว ต้องมีการศึกษาเล่าเรียนที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงให้เรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาศักยภาพตนเองในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องให้ทันต่อสถานการณ์โลก เพื่อเติบโตไปจะได้มีอาชีพและอนาคตที่มั่นคง มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว พ่อแม่ ตลอดจนเพื่อเป็นกำลังที่สำคัญในการร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามรัฐบาลขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ความสำคัญในการร่วมกันพัฒนามาตรฐานด้านต่าง ๆ ของการศึกษาของโรงเรียนเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทำกิจกรรมที่เป็นการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และดีงาม ในการสร้างกิจกรรมการเต้นต่าง ๆ ดังกล่าวขึ้นมา และเข้าร่วมการแข่งขันสำคัญจนได้รับรางวัลนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยเป็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยนายกรัฐมนตรีจะติดตามและเป็นกำลังใจให้ทุกคนอย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบพระหลวงปู่ทวดให้กับคณะนักเรียน คณะผู้บริหาร และครูฝึก โรงเรียนทศพรวิทยา เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมอวยพรให้ทุกคนเดินทางปลอดภัยและประสบความสำเร็จทุกประการ สำหรับรางวัลของนักเรียนโรงเรียนทศพรวิทยาที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดับประเทศและระดับโลก มีดังนี้ 1. เหรียญรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน World Hip Hop Dance Championship 2018 2019 และ 2022 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (3 ปีช้อน) 2. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ (แชมป์โลก) การแข่งขัน All Generation Championship WORLD FINAL in SEOUL SUPERKIDZ 2018 2021 - 2022 KOREA AEROBIC (3 ปีช้อน) 3. รับรางวัลพระราชทานจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถ้วยรางวัลชนะเลิศ การแข่งขัน TO BE NUMBER ONE TEEN DANCERAISE THAILAND CHAMPIONSHIP 2019 - 2022 รุ่น Pre Teenage (อายุ 10-14 ปี) ทีม Thossaporn Thunder (4 ปีซ้อน) 4. ถ้วยรางวัลชนะเลิศ รายการ Doraemon Singing & Dancing Contest 2018 ได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ประธานองคมนตรี นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสำคัญ โดยมีการพัฒนาตามมาตรฐาน HA ประธานองคมนตรี นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสำคัญ โดยมีการพัฒนาตามมาตรฐาน HA จัดทีมสหสาขาวิชาชีพดูแลกลุ่มเปราะบางในชุมชน ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและกลุ่มเสี่ยง จัดระบบบริการเฉพาะทางพร้อมเครื่องมือแพทย์ทันสมัย ลดการส่งต่อและลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว พลเอก สุรยุทธ์จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มนู ศุกลสกุล สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 6 คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว มอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว เป็นโรงพยาบาลทั่วไปประจำจังหวัด ขนาด 400 เตียง ที่ได้รับการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) มีการบูรณาการการทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ให้การดูแลสุขภาพถึงบ้านและชุมชนในกลุ่มเปราะบางทั้งผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กลุ่มโรคเรื้อรังต่างๆ และจัดให้มีหมอ 3 คนประจำครอบครัวทำให้ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตได้ดีขึ้น กลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและมีความเสี่ยงลดลง ส่วนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีอาการดีขึ้นหลังได้รับการดูแล ในปี 2565 ได้เปิดบริการศัลยกรรมยูโรวิทยา มีแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาและรักษาเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง และโรงพยาบาลยังมีความพร้อมด้านเครื่องมือวินิจฉัยสมรรถนะสูง เช่น เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย โดยใช้เครื่องสนามแม่เหล็ก และคลื่นความถี่วิทยุสร้างภาพที่มีความละเอียดสูง (MRI) ทำให้ประชาชนจังหวัดสระแก้วและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับบริการที่มีมาตรฐาน เทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไม่ต้องเดินทางไกล ลดการส่งต่อและลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังร่วมพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน อาทิ โครงการตลาดสีเขียว โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนสระแก้ว มูลนิธิ MOA ไทย และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสาขาสระแก้ว สนับสนุนพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ และนโยบาย Green ส่งเสริมการทำเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี พร้อมทั้งขยายต้นแบบไปสู่โรงเรียนที่มีแนวคิดเดียวกัน ที่โรงเรียนเทศบาล 1 หนองกะพ้ออนุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ในโครงการกล้วยรักษ์โลก นำวัสดุที่เหลือใช้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น เชือกกล้วยหูหิ้วถ้วยกาแฟ ถาดใส่อาหารทำจากใบตอง เป็นต้น ***************************************** 17 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65113
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-คค. บันทึกข้อตกลงส่งมอบที่ดินนอกเขตทางกรมทางหลวง กว่า 105 ไร่ ให้ รพ.มหาราชนครราชสีมา ขยายพื้นที่รองรับบริการ
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.-คค. บันทึกข้อตกลงส่งมอบที่ดินนอกเขตทางกรมทางหลวง กว่า 105 ไร่ ให้ รพ.มหาราชนครราชสีมา ขยายพื้นที่รองรับบริการ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงคมนาคม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือส่งมอบที่ดินสงวนนอกเขตทางของกรมทางหลวงนครราชสีมา ที่ 3 ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เนื้อที่ 105 ไร่ 2 งาน 30.5 ตารางวา เพื่อพัฒนาและขยายพื้นที่บริการ ช่วยลดความแออัด อำนวยความสะดวกประชาชน กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงคมนาคม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือส่งมอบที่ดินสงวนนอกเขตทางของกรมทางหลวงนครราชสีมา ที่ 3 ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เนื้อที่ 105 ไร่ 2 งาน 30.5 ตารางวา เพื่อพัฒนาและขยายพื้นที่บริการ ช่วยลดความแออัด อำนวยความสะดวกประชาชนให้เข้าถึงบริการสุขภาพได้รวดเร็ว วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ส่งมอบที่ดินสงวนนอกเขตทางของกรมทางหลวง ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามเป็นพยาน พร้อมด้วย นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงคมนาคม ร่วมงาน นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาระบบบริการให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องเดินทางไกล ไม่มีความแออัด ซึ่งบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม ในการส่งมอบที่ดินสงวนนอกเขตทางของกรมทางหลวง ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาครั้งนี้ จะเป็นการนำพื้นที่ในส่วนดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนารองรับการขยายการให้บริการของโรงพยาบาลในอนาคต ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียง ในการเข้าถึงบริการได้มากขึ้น “ในนามของกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณกระทรวงคมนาคมที่ให้ใช้สิทธิ์ที่ดินสงวน นอกเขตทางของกรมทางหลวง ตามโครงการของจังหวัดนครราชสีมา รวมถึงทุกภาคส่วนที่ช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือประชาชนผู้เข้ารับบริการ” นายอนุทินกล่าว นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ที่ดินผืนดังกล่าวเป็นที่ดินสงวนนอกเขตทางของกรมทางหลวง ในพื้นที่แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 3 สำนักงานทางหลวงที่ 10 (นครราชสีมา) ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 2310 ตอนสวนสัตว์นครราชสีมา – ท่าอ่าง ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่จำนวน 105 ไร่ 2 งาน 30.5 ตารางวา เดิมกรมการขนส่งทางบก โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา ได้ขอใช้ประโยชน์ในที่ดิน แต่ปัจจุบันยังไม่มีการใช้ประโยชน์ใดๆ จังหวัดนครราชสีมาจึงขอให้คืนสิทธิ์การใช้ที่ดินแก่กรมทางหลวงเพื่อพิจารณานำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา รองรับการขยายขอบเขตการให้บริการของโรงพยาบาลฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป ด้านนายแพทย์โอภาส กล่าวว่า โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ ให้การดูแลสุขภาพประชาชนระดับตติยภูมิในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ มีเตียงให้บริการผู้ป่วยกว่า 1,600 เตียง ให้บริการผู้ป่วยในมากกว่า 110,000 รายต่อปี และผู้ป่วยนอกกว่า 1,200,000 รายต่อปี โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจึงขอใช้ประโยชน์ในที่ดินสงวนนอกเขตทาง ของกรมทางหลวง ซึ่งอยู่ห่างจากที่ดินผืนเดิมประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อนำมาพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในพื้นที่เดิม เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนได้เข้าถึงการบริการสุขภาพที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ***************************************** 17 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65099
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กอ.รมน. ประจำปี 2566
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กอ.รมน. ประจำปี 2566 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กอ.รมน. ประจำปี 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 08.15 น. ณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สวนรื่นฤดี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ประจำปี 2566 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ คณะกรรมการ กอ.รมน. ข้าราชการทหารชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ซึ่งพลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และพลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ให้การต้อนรับ เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึง กอ.รมน. นายกรัฐมนตรีไปยังพระตำหนักเพชรัตน์ ถวายพวงมาลัยกราบพระรัตนตรัย จากนั้น ถวายพวงมาลัยกราบสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถวายพวงมาลัยกราบสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ถวายพวงมาลัยกราบสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 และถวายพวงมาลัยกราบสักการะพระบรมรูปสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ แล้ว นายกรัฐมนตรีขึ้นไปยังชั้น 3 อาคารรื่นฤดี ถวายพวงมาลัยสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 จากนั้น ที่ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคารรื่นฤดี นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและจุดเครื่องทองน้อยหน้าโต๊ะตั้งโกศรายนามผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล จบแล้ว นายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตรจำนวน 10 ไตร แล้วนายกรัฐมนตรีกรวดน้ำ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ กอ.รมน. ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์สวดอนุโมทนา นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำ ประธานสงฆ์ปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ เสร็จพิธี นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ สำหรับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พุทธศักราช 2551 มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นองค์กรหลักในการบูรณาการ อำนวยการ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ พร้อมทั้งดำเนินการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่จะเทิดทูน พิทักษ์และรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยการน้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”เป็นหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นผลให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นส่วนราชการที่มีรูปแบบเฉพาะขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใต้การบังคับบัญชาโดยขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคงเป็นคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และเพื่อรองรับตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 โดยในปี พ.ศ. 2558 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นวันสถาปนากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญและเกิดความภาคภูมิใจในเกียรติประวัติความเป็นมา ตลอดจนผลการปฏิบัติภารกิจด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเทและเสียสละในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อเป็นการรวมจิตใจของข้าราชการภายในหน่วยงานให้มีความรักความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการปฏิบัติงานและให้วันที่ 19 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65079
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 17/02/2566 เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี เพื่อเป็น Landmark ธรรมะและธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี เพื่อเป็น Landmark ธรรมะและธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบพื้นที่การพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 66 เวลา 14.00 น. เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นำนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขรรค์ชัย บุญปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาสถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ณ คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยได้รับเมตตาจาก พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง พระราชสารเวที เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม พระอารามหลวง และพระเถรานุเถระ ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายอดิเทพ กมลเวชช์ นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายคมสัน ญาณวัฒนา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดปทุมธานี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน ปลัดจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศิษยานุศิษย์ กว่า 200 คน ร่วมลงพื้นที่ โอกาสนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ร่วมเอามื้อสามัคคี ขุดหลุม ปลูกต้นจามจุรี (ต้นก้ามปู) และต้นมะฮอกกานี ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่และเติบโตเร็ว อันเป็นการน้อมนำหลักการตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เป็นต้นแบบการพึ่งพาตนเอง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเดินเยี่ยมชมบริเวณพื้นที่ก่อสร้างพระวิหาร กุฏิ อาคารเสนาสนะ แปลงโคก หนอง นา และพื้นที่โดยรอบบริเวณ พร้อมทั้งร่วมรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วย 1) เรื่องการดูแลรักษาต้นไม้ในพื้นที่ โคก หนอง นา สัปปายะและรมณียสถาน 2) การสำรวจ ออกแบบและประมาณการราคาค่าก่อสร้างถนนและท่อระบายน้ำ 3) การหารือการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 4) การดำเนินงานติดตั้งระบบไฟฟ้า 5) การยื่นขอรังวัดที่ดิน เพื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดินสำหรับการย้ายเสาไฟฟ้า 6) เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนาสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นโครงการที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงประทานที่ดิน จำนวน 127 ไร่แห่งนี้ให้ก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ขนาดพื้นที่ 60 ไร่ เป็นสถานปฏิบัติธรรม ดำเนินการโดย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนที่ 2 ขนาดพื้นที่ 27 ไร่ เป็นแปลงเกษตรสาธิต ดำเนินการโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่วนที่ 3 ขนาดพื้นที่ 40 ไร่ ดำเนินการพัฒนาเป็นแปลงโคก หนอง นา เพื่อเป็นสัปปายะและรมณียสถานศูนย์ปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) โดยจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาและขยายผลให้เป็นแหล่งเรียนรู้พัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ลงนามร่วมกันเพื่อให้เกิดการบูรณาการภาคีเครือข่ายการพัฒนาทุกมิติ ส่งเสริมสัมมาชีพ สัมมาปฏิบัติ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ สร้างความสุขสังคมไทยขยายผล ช่วยสังคมโลกให้มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยใช้หลักธรรมนำทางโลก เพื่อให้เกิดสุขภาวะ 4 มิติ คือ กาย จิต สังคมและปัญญา “ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยร่วมกับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภาครัฐ ภาคเอกชน จิตอาสา และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ดำเนินการบ่มเพาะฝึกอบรมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ในรูปแบบวิถีชาวบ้าน ด้วยการปั้นโคก ขุดหนอง และทำนา โดยมีข้าราชการ ประชาชน และจิตอาสา ได้นำไปดำเนินการจนสามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น ในพื้นที่อำเภอลำลูกกา เป็นต้น ซึ่งได้ดำเนินการผ่านการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพและการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติควบคู่กับการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้มีความสมบูรณ์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2565 โดยได้มีการนัดหมายกันมาร่วมเอามื้อสามัคคี สัปดาห์ละ 1 ครั้งในทุกวันอาทิตย์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งทำให้ท่านนายอำเภอทุกอำเภอ ได้เป็น “ผู้นำ” ของ “ทีมอำเภอ” ที่เกิดจากพลังจิตอาสาทุกภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในพื้นที่ อันได้แก่ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อมวลชน มาร่วมกันบูรณาการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา เป็น “Landmark ธรรมะและธรรมชาติของจังหวัดปทุมธานี” เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี รวมถึงประชาชนผู้สนใจ ได้มาศึกษาแล้วนำไปพัฒนาและต่อยอดในพื้นที่ของตนเอง อันจะทำให้ชาวปทุมธานีสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับตนเอง และชุมชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดความสุขแบบชาวบ้าน ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”เชื่อมั่นแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 4 ชูเศรษฐกิจดิจิทัล พาเศรษฐกิจไทยโต ยั่งยืน
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”เชื่อมั่นแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 4 ชูเศรษฐกิจดิจิทัล พาเศรษฐกิจไทยโต ยั่งยืน รองโฆษกรัฐบาลเผย “พล.อ.ประยุทธ์”เชื่อมั่นแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 4 ชูเศรษฐกิจดิจิทัล พาเศรษฐกิจไทยโต ยั่งยืน วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลสำเร็จของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ในการเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย และพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเป็นจุดเชื่อมโยงของภูมิภาค เป็นต้น ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ได้รับทราบแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2570) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแรง ให้ตลาดทุนไทยเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืน สนับสนุนทุกภาคส่วนให้ปรับสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุขทางการเงินของประชาชน น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 ที่สานต่อจากแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 3 ได้คำนึงถึงปัจจัยความท้าทาย และทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโลก (Mega Trends) ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในหลายด้านที่สำคัญ อาทิ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย ภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ เป็นต้น รวมทั้งมุ่งเน้นการสร้างภูมิทัศน์ของภาคตลาดทุนไทยในอนาคต ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 29 แผนงาน ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ตลาดทุนเพื่อการแข่งขันได้ (Competitiveness) เป็นการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของทุกภาคส่วนในตลาดทุนไทยและระบบเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 11 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เป็นต้น ยุทธศาสตร์ที่ 2 ตลาดทุนที่เข้าถึงได้ (Accessibility) เป็นตลาดทุนที่เอื้อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ประกอบด้วย 8 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต (New Economy) กลุ่มธุรกิจที่เน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อให้เติบโตต่อไปได้ในอนาคต (New S-curve) และกลุ่มธุรกิจด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) การระดมทุนผ่าน LiVE Exchange ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startup เป็นต้น ยุทธศาสตร์ที่ 3 ตลาดทุนดิจิทัล (Digitalization) เป็นการส่งเสริม ประยุกต์ และใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลในตลาดทุน ประกอบด้วย 6 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น โครงการ Digital Infrastructure (DIF) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางในตลาดทุน เป็นต้น ยุทธศาสตร์ที่ 4 ตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) เป็นการมุ่งเน้นส่งเสริมความยั่งยืนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทยและระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบด้วย 1 แผนงาน ได้แก่ มาตรการส่งเสริมและพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) ยุทธศาสตร์ที่ 5 ตลาดทุนเพื่อความอยู่ดีมีสุขทางการเงิน (Financial well-being) เป็นการมุ่งเน้นสร้างผลลัพธ์ทางการเงินที่ดี รวมถึงการสร้างโอกาสในการลงทุน โดยมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ประกอบด้วย 3 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย (Financial Literacy) ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 การปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 เป็นต้น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชื่อมั่นว่าเมื่อแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 ได้รับการผลักดันยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติจริง จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนแล้ว จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่เป็นกลไกพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน มีความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงและภัยคุกคาม”น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Digital infinity ดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุด
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 Digital infinity ดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุด Digital infinity ดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุด ​ 4ก.พ. 2566 -นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เป็นประธานเปิดโครงการDigital infinityดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์พร้อมด้วยนายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)นางปิยนุชวุฒิสอนผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติและนางสาวชมภารีชมภูรัตน์อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาโดยภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดประกอบด้วยบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด,บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัด(มหาชน) ,สำนักงานสถิติแห่งชาติ,กรมอุตุนิยมวิทยาและสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลณโรงเรียนเทศบาลวัดธรรมิการามอ.เมืองจ.ประจวบคีรีขันธ์ _____________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. เฮ้ง เตือน “ผีน้อย” เกาหลีกำหนดเส้นตาย 28 ก.พ. 66 เจอจับปรับ 30 ล้านวอน
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 รมว. เฮ้ง เตือน “ผีน้อย” เกาหลีกำหนดเส้นตาย 28 ก.พ. 66 เจอจับปรับ 30 ล้านวอน กระทรวงแรงงาน ชวนผีน้อยรายงานตัวกลับไทย ภายในวันที่ 28 ก.พ. 66 ย้ำไม่มีค่าปรับ ไม่ถูกดำเนินคดี มีโอกาสกลับไปทำงานเกาหลีถูกกฎหมาย พร้อมแจงทางเลือกหางานผ่าน “ไทยมีงานทำ” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี แจ้งว่า นับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2565 กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐเกาหลี ได้เริ่มกวาดล้างผู้ที่พำนักแบบผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี ทำให้มีผู้พำนักแบบผิดกฎหมายเดินทางออกนอกประเทศโดยสมัครใจมากขึ้น กระทรวงยุติธรรมของสาธารณรัฐเกาหลีจึงได้ดำเนินโครงการการเดินทางออกนอกประเทศโดยสมัครใจแบบพิเศษ (Special Voluntary Departure Program) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่พำนักแบบผิดกฎหมายสามารถรายงานตัวกลับโดยสมัครใจ ระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ถึง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยจะได้รับการยกเว้นค่าปรับและระงับการห้ามเดินทางกลับเข้าสาธารณรัฐเกาหลี (อาจกลับเข้ามาสาธารณรัฐเกาหลีได้อีก) ซึ่งหากไม่รายงานตัวออกนอกสาธารณรัฐเกาหลีภายในช่วงเวลาที่กำหนด หรือถูกจับกุมในช่วงการกวาดล้าง จะต้องชำระค่าปรับจำนวน 30 ล้านวอน และจะถูกเพิ่มความเข้มงวดในการห้ามเดินทางกลับเข้าสาธารณรัฐเกาหลี “ขอให้คนไทยที่ทำงานอยู่ในเกาหลีอย่างผิดกฎหมายใช้โอกาสนี้มารายงานตัวเดินทางกลับประเทศไทย การลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมายทำให้ต้องหลบซ่อน ไม่ได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี หากเจ็บป่วยในต่างประเทศค่าใช้จ่ายจะสูงมาก และยังมีโอกาสถูกนายจ้างเอาเปรียบ ได้ไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญรัฐบาล โดยการนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วนหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ภาคการท่องเที่ยวขยายตัว ภาคธุรกิจเดินหน้า เศรษฐกิจบ้านเรามีแนวโน้มที่ดีขึ้น สถานประกอบการมีความต้องการแรงงานและพร้อมที่จะจ่ายค่าตอบแทนในราคาสูง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว และบริการ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ากลับมาแล้วจะไม่มีงานทำ ทุกคนสามารถทำงานใกล้ครอบครัว ถูกกฎหมาย และมีรายได้ที่เหมาะสม”รมว.แรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี โดยภาครัฐผ่านโครงการ EPS ปีละ 10,000 อัตรา ในงานอุตสาหกรรมการผลิต งานเกษตร/ปศุสัตว์ และงานก่อสร้าง และโดยภาคเอกชน จำนวน 5,000 อัตรา ในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ ตำแหน่งช่างเชื่อม ช่างไฟฟ้า ช่างสีพ่นทราย และกำลังเจรจาจัดส่งแรงงานไปทำงานภาคเกษตรตามฤดูกาลด้วย ซึ่งถือว่ามีโอกาสอีกมากที่จะเดินทางไปทำงานเกาหลีอย่างถูกต้อง หรือหากต้องการหางานทำในประเทศไทย กรมการจัดหางานพร้อมให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ บนแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ”ซึ่งให้บริการทั้ง Web Application และ Mobile Application ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ประชาชนสามารถหางาน เข้าถึงตำแหน่งงานที่สนใจเหมาะสมกับตนเอง และสมัครหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มโอกาสการมีงานทำ “ผู้ที่ประสงค์ร่วมโครงการการเดินทางออกนอกประเทศโดยสมัครใจแบบพิเศษ (Special Voluntary Departure Program) สามารถไปแจ้งด้วยตัวเองได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ใดก็ได้ หรือแจ้งออนไลน์ทางเว็บไซต์www.hikorea.go.krโดยต้องแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน (ไม่รวมวันหยุด) ก่อนวันที่มีกำหนดเดินทางออกนอกประเทศ พร้อมเตรียมเอกสาร ได้แก่ หนังสือเดินทาง ใบแจ้งการเดินทางออกนอกสาธารณรัฐเกาหลีโดยสมัครใจ และตั๋วเครื่องบิน หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Immigration Contact Center โทร 1345 (มีล่ามไทยให้บริการ) หรือทางเว็บไซต์ Korea Immigration Service ทีwww.immigration.go.krทั้งนี้ ตั้งแต่เปิดให้ผู้พำนักแบบผิดกฎหมายเดินทางออกจากเกาหลีโดยสมัครใจ มีคนไทยรายงานตัวกลับไทยแล้ว 2,601 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว 2,259 คน”อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชัยวุฒิลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน ร.ร.ตชด.บ้านย่านซื่อ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 ชัยวุฒิลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน ร.ร.ตชด.บ้านย่านซื่อ ชัยวุฒิลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์ดิจิทัลชุมชน ร.ร.ตชด.บ้านย่านซื่อ 4ก.พ. 2566 -นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)พร้อมด้วยดร.เวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงฯนายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)และนางปิยนุชวุฒิสอนผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านย่านซื่อพร้อมชมการLiveสดขายทุเรียนโดยแม่ค้าออนไลน์ชื่อดังของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ณอำเภอกุยบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน ระวังมิจฉาชีพ แอบอ้างชื่อมาตรการรัฐ บัตรสวัสดิการฯ-คนละคนครึ่ง หลอกให้สูญทรัพย์ แนะอย่าแชร์ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 เตือน ระวังมิจฉาชีพ แอบอ้างชื่อมาตรการรัฐ บัตรสวัสดิการฯ-คนละคนครึ่ง หลอกให้สูญทรัพย์ แนะอย่าแชร์ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ เตือน ระวังมิจฉาชีพ แอบอ้างชื่อมาตรการรัฐ บัตรสวัสดิการฯ-คนละคนครึ่ง หลอกให้สูญทรัพย์ แนะอย่าแชร์ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลแจ้งเตือนระวังมิจฉาชีพหลอกหลวงประชาชนหลายรูปแบบ รวมไปถึงการแอบอ้างโครงการของรัฐ เช่น โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปัจจุบันมีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง หลอกให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ ปี 2565 และให้ทำธุรกรรมในลักษณะต่าง ๆ ตามคำแนะนำของมิจฉาชีพ ทั้งที่ขณะนี้โครงการฯ ปี 2565 ยังไม่ได้มีการประกาศรายชื่อประชาชนผู้ได้รับสิทธิ และกระทรวงการคลังไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปแจ้งผลการได้รับสิทธิแก่ประชาชน จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและดำเนินการธุรกรรมใดๆ ตามคำหลอกลวงของมิจฉาชีพ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพหลอกหลวงประชาชน ด้วยการแอบอ้างเป็นหน่วยงานของรัฐ ส่งข้อความพร้อมแนบลิงค์โดยตรงไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชน เชิญชวนให้สมัครเข้าร่วมรับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ โดยยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ออกมาตรการคนละครึ่งเฟสใหม่แต่อย่างไร ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวัง อย่าตกเป็นเหยื่อ หลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่มีพยายามหลอกลวงให้เสียทรัพย์สิน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพ ใช้หลากหลายวิธีการเพื่อหลอกลวงประชาชนให้ตกเป็นเหยื่อ ขอให้ประชาชนได้เพิ่มความระมัดระวัง พร้อมแจ้งเตือนผู้สูงอายุให้รู้เท่าทันกลโกงของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ที่สำคัญขอความร่วมมือไม่แชร์หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มา ไม่น่าเชื่อถือในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพราะอาจจะสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นได้ ส่วนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ เช่นเดียวกับผู้ที่พบเบาะแสของการกระทำความผิด สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ย้ำชัด สร้างโอกาส ก้าวข้ามทุกวิกฤต เร่งต่อยอดส่งเสริมเกษตรกรประมง
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 “อลงกรณ์” ย้ำชัด สร้างโอกาส ก้าวข้ามทุกวิกฤต เร่งต่อยอดส่งเสริมเกษตรกรประมง “อลงกรณ์” ย้ำชัด สร้างโอกาส ก้าวข้ามทุกวิกฤต เร่งต่อยอดส่งเสริมเกษตรกรประมง มุ่งพัฒนาผลผลิต แปรรูปสัตว์น้ำสร้างแบรนด์ ทำตลาดแนวใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร นำทีมประมงปล่อยปลาตะเพียน 2 แสนตัวลงแม่น้ำเพชรบุรีแหล่งน้ำธรรมชาติ “อลงกรณ์”ย้ำชัดสร้างโอกาสก้าวข้ามทุกวิกฤตเร่งต่อยอดส่งเสริมเกษตรกรประมงมุ่งพัฒนาผลผลิตแปรรูปสัตว์น้ำสร้างแบรนด์ทำตลาดแนวใหม่ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรนำทีมประมงปล่อยปลาตะเพียน2แสนตัวลงแม่น้ำเพชรบุรีแหล่งน้ำธรรมชาติพร้อมหนุน“ปลาเวียน”ลุยตลาดปลาสวยงามสร้างอาชีพรายได้ใหม่ให้ประชาชน นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่าผลพวงจากวิกฤตสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Covid-19)และสงครามยูเครนเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทุกด้านรวมทั้งพี่น้องเกษตรกรตลอดจนผลกระทบจากราคาปุ๋ยอาหารสัตว์ที่มีราคาพุ่งสูงขึ้นรัฐบาลมีความเป็นห่วงความเดือดร้อนของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องปากท้องและอาชีพจึงเร่งหาแนวทางก้าวข้ามวิกฤตและใช้เป็นโอกาสในทุกด้านเช่นการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติตามนโยบายของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยปล่อยปลาตะเพียน2แสนตัวลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีในวันนี้รวมทั้งการสนับสนุนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นกว่า2,800องค์กรใน50จังหวัดอีกทั้งจังหวัดเพชรบุรีสนับสนุนงบประมาณองค์กรละ1แสนบาทพัฒนาต่อยอดการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสร้างแบรนด์เดินหน้าการตลาดแนวใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์และรังสรรค์เมนูเด็ดเพชรบุรีสร้างมูลค่าเพิ่มเสริมการท่องเที่ยวสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์(Soft Power)เติมรายได้แก้ปัญหาหนี้สินเน้นการพัฒนาชุมชนเพื่อชุมชนพร้อมหนุน“ปลาเวียน”ปลาประจำจังหวัดเพชรบุรีที่กรมประมงสามารถพัฒนาเพาะพันธุ์ได้แล้วมีความสวยงามอย่างมากสามารถเข้าสู่ตลาดปลาสวยงามที่กำลังเติบโตช่วยสร้างอาชีพรายได้ใหม่ให้ประชาชน โอกาสนี้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรมปล่อยปลาตะเพียนลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีและเยี่ยมชมผลผลิตเกษตรกรอาทิอาหารแปรรูปอาหารสดหลากชนิดพร้อมทั้งส่งมอบพันธุ์ปลาให้ผู้แทนทุกชุมชนได้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อเป็นประโยชนแก่ประชาชนต่อไป ด้านนางวันเพ็ญมังศรีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีกล่าวว่าขอบคุณทุกฝ่ายที่เห็นความสำคัญสนับสนุนให้เกษตรกรและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างความตระหนักถึงคุณค่าการฟื้นฟูแหล่งน้ำด้วยการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแม่น้ำเพชรบุรีและแหล่งน้ำธรรมชาติการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจืดนับเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ทรัพยากรน้ำและสัตว์น้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์ให้มีประชากรสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้นช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับงาน“กิจกรรมเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติและสร้างการรับรู้สู่เกษตรกรด้านประมงจังหวัดเพชรบุรี”มีผู้เข้าร่วมอาทินางวันเพ็ญมังศรีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีนายณฐกรสุวรรณธาดาคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายสุธาเภรีภาสที่ปรึกษากรมประมงนายสมบุญธัญญาผลประมงจังหวัดเพชรบุรีนายประสูติหอมบรรเทิงนายอำเภอเมืองเพชรบุรีหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หัวหน้าส่วนราชการกรมประมงข้าราชการเจ้าหน้าที่ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้นำชุมชนเกษตรกรชาวประมงและพี่น้องประชาชนจังหวัดเพชรบุรีเข้าร่วมกิจกรรมรวมจำนวน200คนณบริเวณแม่น้ำเพชรบุรีหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีอำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรีโดยสำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรีและหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมประมงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายในจังหวัดเพชรบรีจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำลงในแม่น้ำเพชรบุรีและแหล่งน้ำธรรมชาติตลอดจนการสร้างการรับรู้สู่เกษตรกรชาวประมงและประชาชนเกี่ยวกับงานด้านประมงตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำและช่วยเหลือเกษตรกรชาวประมงที่ประสบปัญหาในการประกอบอาชีพด้านประมงโดยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลผลิตสัตว์น้ำช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมงได้มีพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้าสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้นมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพทั้งนี้ภายใต้กิจกรรมภายในงานมีการสนับสนุนพัฒนาทักษะการขายการแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้เกิดความมั่นคงในระยะยาว กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย1.การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจืดลงในแม่น้ำเพชรบุรีและมอบพันธุ์สัตว์น้ำให้กับตัวแทนชุมชนนำไปปล่อยแหล่งน้ำธรรมชาติรวมจำนวน200,000ตัว2.การจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้สู่เกษตรกรด้านการประมงจังหวัดเพชรบุรี3.การจัดแสดงนิทรรศการด้านประมงของหน่วยงานกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ4.การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าประมงจากผู้ประกอบการประมง(Fisherman Market).
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ห่วงใย แรงงานไทยในมาเก๊า ส่ง รมว.สุชาติ เยี่ยมให้กำลังใจถึงสถานประกอบการ
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 04/02/2566 ​นายกฯ ห่วงใย แรงงานไทยในมาเก๊า ส่ง รมว.สุชาติ เยี่ยมให้กำลังใจถึงสถานประกอบการ ​นายกฯ ห่วงใย แรงงานไทยในมาเก๊า ส่ง รมว.สุชาติ เยี่ยมให้กำลังใจถึงสถานประกอบการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายจาตุรนต์ ไชยะคำ กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือและรับฟังปัญหาอุปสรรคการจัดส่งแรงงานโดยวิธีรัฐจัดส่งร่วมกับสถานประกอบการ โดยมี นายเปาโล ชอง (Mr.Paulo Cheong) รองประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคล ของ Sand China Ltd. , และคณะ ให้การต้อนรับ ณ Sand China Ltd. เขตบริหารพิเศษมาเก๊า พร้อมเยี่ยมพบปะให้กำลังใจแรงงานไทยในภาคบริการของบริษัท Sand China ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการที่มีการจ้างแรงงานไทยในตำแหน่งภาคบริการมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีรัฐจัดส่งตั้งแต่ปี 2555 มาจนถึงปัจจุบันมีแรงงานไทยเข้าไปทำงานแล้ว จำนวน 812 ราย นายสุชาติ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายจ้างพบว่า ยังมีความต้องการแรงงานไทยหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะแรงงานภาคบริการ นอกจากนี้บริษัทในเครือจะเริ่มเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม ร้านอาหารและส่วนให้บริการอื่นเพิ่มขึ้นเต็มรูปแบบ และได้แสดงความประสงค์จ้างแรงงานไทยและแจ้งจำนวนโควตาการจ้างแรงงานไทยผ่านกงสุล (ฝ่ายแรงงาน) ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด พนักงานดูแลห้องพัก พนักงานดูแลลูกค้า เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมาเก๊ามีความหลากหลายของธุรกิจ โดยเฉพาะด้านโรงแรมและบริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 คลี่คลายลงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้เจ้าของสถานประกอบการต้องการจ้างแรงงานต่างชาติค่อนข้างมาก “สำหรับคนไทยที่อยากทำงานในธุรกิจด้านโรงแรมและบริการ ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและทักษะที่เหมาะสม โดยเฉพาะทักษะทางด้านภาษากวางตุ้ง ภาษาจีนกลาง หรือกระทั่งภาษาโปรตุเกส ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์ในการทำงานทั้งสิ้น โดยกระทรวงแรงงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การที่ได้มีโอกาสพบกันในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความร่วมมือระหว่างไทยกับบริษัทฯ ที่จะได้รับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและและสานต่อความสัมพันธ์อันดีของทั้ง 2 ฝ่ายให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของทั้งแรงงานไทยและการขับเคลื่อนและการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป” รมว.สุชาติ กล่าวทิ้งท้าย โอกาสเดียวกันนี้ นายสุชาติ ยังได้พบปะให้กำลังใจแรงงานไทยซึ่งเป็นพนักงานบริการด้านโรงแรมของบริษัท Sand China โดยกล่าวว่า การเดินทางมาเยี่ยมแรงงานไทยในมาเก๊าครั้งนี้ เพื่อต้องการพบปะพูดคุยกับแรงงานไทยภายหลังสถานการณ์โควิด – 19 เริ่มคลี่คลายลง เนื่องจากแรงงานไทยแต่ละคนต้องจากบ้านมาทำงานต่างแดน ซึ่งได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อมส่งกำลังใจและความห่วงใยจากท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ฝากความห่วงใยและให้กำลังใจมายังพี่น้องแรงงานไทยทุกคนที่เดินทางมาทำงานในต่างประเทศ แรงงานไทยที่ทำงานในต่างประเทศถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละคนเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งใจมาทำงานหาเงินส่งกลับเลี้ยงครอบครัวที่ประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีมีรายได้ส่งกลับเพื่อพัฒนาประเทศเป็นจำนวนมาก +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 4 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64554