title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบกรณีรัฐสภาขอความร่วมมือ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายเร่งด่วน 4 ฉบับ
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.รับทราบกรณีรัฐสภาขอความร่วมมือ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายเร่งด่วน 4 ฉบับ ครม.รับทราบกรณีรัฐสภาขอความร่วมมือ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายเร่งด่วน 4 ฉบับ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้รับทราบเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้รัฐสภาพิจารณา ตามที่ประธานรัฐสภาแจ้ง โดยเรื่องนี้ สืบเนื่องจากที่ ครม. เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 66 ได้มีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ที่ให้เสนอร่าง พ.ร.บ. 4 ฉบับต่อรัฐสภาเพื่อบรรจุเป็นวาระเร่งด่วน ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ..... ร่าง พ.ร.บ.การส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริการราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่...) พ.ศ.... และ ร่าง พ.ร.บ.สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ.... ด้วยกฎหมายทั้ง 4 ฉบับตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภาได้แจ้งว่า ได้อนุญาตให้บรรจุร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวในระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นเรื่องด่วนตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ 2563 แล้ว อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ที่รัฐบาลเสนอมาจะสามารถพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อองค์ประชุมของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีความพร้อมด้วย แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนหนึ่งได้ลาออก แต่จากการตรวจสอบครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 ปรากฎว่าขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 419 คน โดยเป็นส.ส. ของพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลจำนวน 236 คน และ ส.ส.ของพรรคร่วมฝ่ายค้านอีก 183 คน โดยรัฐบาลยังคงเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น หากรัฐบาลมีความประสงค์จะให้ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้แล้วเสร็จในสมัยประชุมนี้ จะต้องมีการขอความร่วมมือให้ ส.ส. ของพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลเข้ามาร่วมประชุมและรักษาองค์ประชุมให้ครบพร้อมอยู่ตลอดเวลาด้วย อนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันมีกำหนดครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. 66 ดังนั้น หากรัฐบาลมีร่างกฎหมายสำคัญที่ประสงค์ให้รัฐสภาพิจารณา อาจจะขอให้เปิดการประชุมเป็นสมัยประชุมวิสามัญได้ โดยรัฐสภายินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65262
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงาน คปภ. จัดปฐมนิเทศติวเข้มนักศึกษา วปส. รุ่นที่ 11
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 สำนักงาน คปภ. จัดปฐมนิเทศติวเข้มนักศึกษา วปส. รุ่นที่ 11 เลขาธิการ คปภ.จัดปฐมนิเทศติวเข้มนักศึกษา วปส.รุ่นที่ 11 ฉายภาพและปูพื้นสร้างความเข้าใจระบบงาน คปภ.ภาคปฏิบัติก่อนเจาะลึกสหวิทยาการด้านประกันภัย พร้อมรับฟังความคิดเห็น นำไปพัฒนาระบบประกันภัยของไทยให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนภายใต้ New Emerging Risk สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) ได้จัดปฐมนิเทศและกิจกรรมหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจหลักการพื้นฐานด้านประกันภัย บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. เชื่อมความสัมพันธ์ รวมทั้งการแนะนำการศึกษาค้นคว้าเพื่อทำรายงานวิชาการการศึกษากลุ่ม (Group Project : GP) ตลอดจนการทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ร่วมกัน ระหว่างวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรมลาโค่ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ในโอกาสนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้เป็นประธานเปิดปฐมนิเทศหลักสูตร วปส. รุ่นที่ 11 ประจำปี 2566 พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบายของสำนักงาน คปภ. กับความท้าทายในการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยภายใต้ New Emerging Risk” โดยได้ฉายภาพบทบาทของสำนักงาน คปภ. และการดำเนินการในเชิงรุกภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอุบัติใหม่ต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยในปี 2566 จะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านของสำนักงาน คปภ. จากเดิมที่อยู่ในสถานะของการตั้งรับ (Response) และเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไปสู่การสร้างสมดุล (Rebuilding) ของระบบประกันภัย ด้วยการฟื้นฟูความเชื่อมั่น (Recovery) ควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่นคงและยืดหยุ่น (Resiliency) ให้กับระบบประกันภัย เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจประกันภัยมุ่งสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เน้นในเรื่อง Principle-based มากขึ้น ยกระดับกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อเร่งส่งเสริมและกระตุ้นให้ธุรกิจประกันภัยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่อย่างจริงจัง ผลักดันให้ประกันภัยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยด้วยเทคโนโลยี ยกระดับการกำกับดูแลเพื่อเตรียมรองรับมาตรฐานสากลที่เปลี่ยนแปลงไป การบูรณาการความร่วมมือด้านการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัยให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ยกระดับสำนักงาน คปภ. มุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล หรือ SMART OIC ที่มีความยืดหยุ่น พร้อมรับความท้าทาย และชูบทบาทสถาบัน วปส. ในการเสริมสร้างความรู้และส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เป็นต้น การปฐมนิเทศครั้งนี้ยังมีการบรรยายวิชาการในหัวข้อ “หลักการและกฎหมายประกันภัยที่ควรรู้” โดย นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี ได้เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับหลักการและสาระสำคัญของกฎหมายประกันภัยทั้งระบบที่จำเป็นจะต้องทราบก่อนที่จะมีการสอนเจาะลึกลงในรายละเอียดในชั่วโมงเรียนต่อ ๆ ไป รวมทั้งมีการแนะนำ “หลักเกณฑ์วิธีการทำรายงานวิชาการการศึกษากลุ่ม (Group Project : GP)” โดย ดร.นิรัตน์ ทรัพย์ทวีธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ได้ให้คำแนะนำแนวทางการศึกษาค้นคว้าเพื่อทำรายงานวิชาการแก่นักศึกษา นอกจากนี้ ได้ร่วมทำกิจกรรม CSR สร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีต่อช้าง รวมถึงรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นต่อประชากรช้างในประเทศไทย เพาะเมล็ดมะค่าโมง ทำปุ๋ยจากมูลช้าง ให้อาหารช้าง อาบน้ำช้าง ร่วมบริจาคและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของศูนย์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการดูแลช้างอีกด้วย โดยได้รับเกียรติจาก คุณวีนา อุปปัทมา กรรมการมูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา “การปฐมนิเทศ วปส.รุ่นที่ 11 ครั้งนี้ถือได้ว่าครบเครื่องและเข้มข้นในด้านวิชาการเพื่อปูพื้นฐานความรู้หลักการด้านการประกันภัยให้กับนักศึกษาก่อนเริ่มเรียนจริง รวมทั้งมีกิจกรรมการละลายพฤติกรรม เพื่อให้นักศึกษาทุกคนมีส่วนร่วม โดยการปฐมนิเทศนี้จะเน้นพัฒนาการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงและแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษาก่อนที่จะเข้าห้องเรียนเพื่อศึกษาแบบสหวิทยาการด้านประกันภัย รวมทั้งเป็นการให้ข้อมูลพื้นฐานทั้งแนะนำการจัดทำรายงานวิชาการการศึกษากลุ่มตามหัวข้อยุทธศาสตร์ประกันภัยด้านต่าง ๆ ที่ต้องการขับเคลื่อน เพื่อระดมความคิดเห็นมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประกันภัยของไทย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65254
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอุบลราชธานี เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอุบลราชธานี เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” หน.ผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจราชการอุบลราชธานี เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายวรรณเวทย์ ศิวารัตน์ อุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการพร้อมรับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน โดยหัวหน้าผู้ตรวจฯ ได้ถ่ายทอดและเน้นย้ำนโยบาย MIND ที่ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ไว้เป็นแนวการทำงานของทุกหน่วยงาน MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ 1) ความสำเร็จทางธุรกิจ การปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับโลกอนาคต 2) การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งยามปกติ และเมื่อเกิดวิกฤต 3) การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก 4) การกระจายรายได้ให้แก่ประชาชน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เน้น “การสร้างงาน สร้างอาชีพ” และกระตุ้นผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) ทำงานร่วมกับชุมชน และเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่อย่างจริงจัง พร้อมให้ข้อเสนอแนะการตรวจราชการ ดังนี้ 1) การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้เร่งรัดการตรวจกำกับดูแล โรงงานอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย (ซึ่งต้องการให้มีการตรวจกำกับ 100%) พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการหากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2) ขอให้ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ประชาสัมพันธ์และพร้อมเป็นผู้ที่สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ระบบและการกรอกข้อมูลลงใน I - Single Form ต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ 3). เร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวพร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเตรียมยกระดับการขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวให้ผู้ประกอบการ 4) เน้นย้ำให้ กำกับ ติดตาม ควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกัน การเผาอ้อยในพื้นที่ และการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัด ในการปราบปรามการเผาอ้อยให้หมดไป และ 5) ช่วยประชาสัมพันธ์ พร้อมคัดเลือกและเสนอรายชื่อโรงงานในพื้นที่ ที่มีการประกอบการที่ดีเป็นแบบอย่างได้ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นและอุตสาหกรรมยอดเยี่ยมของกระทรวงอุตสาหกรรม สุดท้าย ได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขอให้ปฏิบัติงานอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ ประชาชน ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ 20,000 ล้านบาท เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี 5 ปีแรก เงินงวดคงที่นานถึง 60 งวด
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เห็นชอบ 20,000 ล้านบาท เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี 5 ปีแรก เงินงวดคงที่นานถึง 60 งวด ที่ประชุม ครม. 21 ก.พ.2566 มีมติเห็นชอบให้ ธอส.สานต่อโครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 3 ภายใต้กรอบวงเงินรวม 20,000 ลบ. มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่เริ่มต้นทำงานสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ มีที่อยู่เป็นของตนเอง ดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก 3.00% ต่อปี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) มีมติเห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สานต่อโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ภายใต้กรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่เริ่มต้นทำงานสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก 3.00% ต่อปี เงินงวดคงที่นานถึง 60 งวด ให้กู้บ้านราคาซื้อ-ขาย/ค่าก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 1,500,000 บาท ทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง และทรัพย์ NPA ของ ธอส. ฟรี!! ค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง โดยสามารถรับรหัสเข้าร่วมโครงการทาง Mobile Application : GHB ALL GEN และ GHB ALL ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำขึ้นตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการทั้ง 2 ระยะ ธอส. ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อไปแล้วรวมกว่า 59,800 ล้านบาท และเพื่อเป็นการสานต่อโครงการดังกล่าว ทำให้ในวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงได้มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินสินเชื่อรวมอีก 20,000 ล้านบาท ให้ ธอส. จัดทำ “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ผู้ที่เริ่มต้นทำงานเพื่อสร้างครอบครัว และผู้สูงอายุ ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยธนาคารจะมุ่งเน้นให้สิทธิ์กับผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท เข้าร่วมโครงการเป็นลำดับแรก ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรกเท่ากับ 3.00% ต่อปี ปีที่ 6-7 เท่ากับ MRR-2% ต่อปี และปีที่ 8 ถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1% ต่อปี และกรณีกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์ฯ เท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารอยู่ที่ 6.40% ต่อปี) เงินงวดคงที่นานถึง 60 งวดแรก ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี ให้กู้บ้านราคาซื้อ-ขาย/ค่าก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 1,500,000 บาท ทั้งประเภทบ้าน หรือห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หรือบ้านมือสอง และทรัพย์ NPA ของ ธอส. หรือเพื่อปลูกสร้าง และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยพร้อมซื้อบ้านหรือห้องชุด พิเศษ!! ธอส.ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการมีบ้านให้กับลูกค้าด้วยการยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกัน (1,900-2,300 บาท) และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง (1% ของวงเงินจำนอง) อีกด้วย นอกจากนี้ ธอส. ยังได้ผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้รับวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสม รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพประจำหรืออาชีพอิสระ สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่าบ้าน หรือผ่อนชำระเงินดาวน์บ้านไม่น้อยกว่า 12 เดือนมาแสดงให้กับธนาคารเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อเพิ่มเติมได้ และหากไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มาของรายได้ ลูกค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Financial Literacy และออมอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าเงินงวดผ่อนชำระเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐานการพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ได้มีเวลาในการจัดเตรียมเอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อ ธนาคารจึงเตรียมเปิดให้รับรหัสเข้าร่วมโครงการได้พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN หรือ GHB ALL และรับรหัส 10 หลัก (ตัวอักษร 3 หลัก และตัวเลข 7 หลัก) ทาง GHB Buddy ใน Line Application เพื่อนำมาประกอบการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป และทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 หรือก่อนกำหนดระยะเวลาดังกล่าวหาก ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการแล้ว ทั้งนี้ ธนาคารจะยกเลิกรหัสเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ของประชาชนที่เคยได้รหัสแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินการยื่นคำขอกู้หรือทำนิติกรรมกับธนาคาร และต้องขอรับรหัสใหม่หากยังคงต้องการเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณี “รถเมล์สาย 8 ชนรถกระบะ” สี่แยกรัชดา กทม.
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 คปภ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณี “รถเมล์สาย 8 ชนรถกระบะ” สี่แยกรัชดา กทม. • เผยรถเมล์ทำประกัน “พ.ร.บ. - ภาคสมัครใจประเภท 3” ส่วนรถกระบะทำประกันภัย พ.ร.บ. เพียงอย่างเดียว ผู้บาดเจ็บทั้ง 16 ราย ได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทันที ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถโดยสารประจำทาง ร่วมบริการสาย 8 เส้นทาง แฮปปี้แลนด์ - สะพานพุทธ ทะเบียน 10-9776 กรุงเทพมหานคร เกิดอุบัติเหตุชนกับรถกระบะบรรทุก ทะเบียน ณษ 892 กรุงเทพมหานคร บริเวณสี่แยกรัชดา ลาดพร้าว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 16 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน และโรงพยาบาลลาดพร้าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน คปภ. เขตบางนา และสำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัวอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ ว่า รถโดยสารประจำทาง ร่วมบริการสาย 8 ทะเบียน 10-9776 กรุงเทพมหานคร ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน นอกจากนี้ รถคันดังกล่าว ทำประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 3 ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอกจำนวน 800,000 บาทต่อคน คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก จำนวน 1,000,000 บาท และให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพของผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร จำนวน 100,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาล จำนวน 100,000 บาทต่อคน ในส่วนของรถกระบะบรรทุก ทะเบียน ณษ 892 กรุงเทพมหานคร ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 โดยไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคสมัครใจแต่อย่างใด สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้บาดเจ็บทั้ง 16 ราย ที่ถูกนำส่งเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนั้น เจ้าหน้าที่สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงาน คปภ. เขตบางนา และสำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเข้าไปอำนวยความสะดวกและรับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลโดยตรง โดยผู้บาดเจ็บไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาแต่อย่างใด นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ “สำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และสำนักงาน คปภ.พร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน และเพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 สัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.ไฟเขียวการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 สัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ครม.ไฟเขียวการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 สัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1) อนุมัติแผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม 81,242.89 ล้านบาท จากเดิม 1,052.785.47 ล้านบาท เป็น 1,134,028.36 ล้านบาท ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานอื่นของรัฐคือสำนักงานกองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิง (สกนช.) ที่ปรับเพิ่มวงเงินกู้ระยะะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิงในประเทศ จาก 30,000 ล้านบาท เป็น 110,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80,000 ล้านบาท และการก่อหนี้ใหม่เพิ่มของรัฐวิสหากิจ 1,242.89 ล้านบาท แยกเป็นส่วนที่ก่อหนี้เพิ่ม การยาสูบแห่งประเทศไทย เพิ่ม 1,500 ล้านบาท บริษัท การผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด เพิ่ม 1,194 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) เพิ่ม 300 ล้านบาท องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เพิ่ม 250 ล้านบาท และส่วนที่การปรับลดวงเงินกู้ลงของ กฟน. ลดลง 1,500 ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ลดลง 501.11 ล้านบาท 2) อนุมัติแผนการชำระหนี้ ปรับเพิ่ม 825.31 ล้านบาท จากเดิม 360,179.68 ล้านบาท เป็น 361,004.99 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นทั้ง 825.31 ล้านบาทเป็นการเพิ่มวงเงินชำระหนี้ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) 3) อนุมัติการบรรจุโครงการ, โครงการพัฒนา และรายละเอียดเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ จำนวน 19 โครงการ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ 10 โครงการ ได้แก่ โครงการของ กฟน. 3 โครงการ วงเงิน 2,200 ล้านบาท โครงการของบริษัทผลิตไฟฟ้าและนำเย็น จำกัด 5 โครงการ วงเงิน 1,194 ล้านบาท โครงการของ ยสท. 1 โครงการ วงเงิน 1,500 ล้านบาท และโครงการของ อ.ส.ค. 1 โครงการ วงเงิน 250 ล้านบาท, แผนการบริหารหนี้เดิม 8 โครงการ โดยเป็นโครงการบริหารหนี้ของรัฐบาลจำนวน 7 รายการภายใต้กรอบวงเงิน 240,000 ล้านบาท และโครงการของเอ็กซิมแบงก์ 1 โครงการ วงเงิน 2,300 ล้านบาท, และ แผนการชำระหนี้ 1 โครงการ ของ กยท. วงเงิน 825.31 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พร้อมกันนี้ ครม. ยังได้รับทราบการปรับปรุงแผนฯ ในส่วนของการบริหารหนี้เดิม ปรับลดลง 6,282.51 ล้านบาท จากเดิม 1,735,962. ล้านบาท เป็น 1,729,680.42 ล้านบาท โดยหลักเป็นการปรับลดลงจากแผนการบริหารหนี้เดิมของรัฐวิสาหกิจ ที่ลดลง 19,781 ล้านบาท ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ที่ปรับลดวงเงินกู้โครงการจำนำผลผลิตทางการเกษตรปีการผลิต 2551/52, ปีการผลิต 2555/56 และ ปีการผลิต 2556/57 เนื่องจากชำระคืนก่อนครบกำหนดแล้ว ลดลง 22,171 ล้านบาท ส่วน กฟน. ปรับวงเงินเพิ่ม 2,300 ล้านบาท ส่วนแผนบริหารหนี้เดิมของรัฐบาลนั้นเพิ่มขึ้น 13,588.49 ล้านบาท ประกอบด้วย การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปี 2567-70 เพิ่มขึ้น 15,000 ล้านบาท และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปี 66 มีการปรับลดในส่วนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้มาให้ รฟท. กู้ต่อ ลดลง 1,411.51 ล้านบาท น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภายหลังการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่1 แล้ว ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ดังนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ร้อยละ 61.14 จากกรอบตามกฎหมายไม่เกินร้อยละ 70, สัดส่วนหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณอยู่ที่ร้อยละ 32.92 จากกรอบตามกฎหมายไม่เกินร้อยละ 35, สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 1.66 จากกรอบตามกฎหมายไม่เกินร้อยละ 10 และสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ที่ร้อยละ 0.06 จากกรอบตามกฎหมายไม่เกินร้อยละ 5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และถนนกาญจนาภิเษก
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และถนนกาญจนาภิเษก ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และถนนกาญจนาภิเษก น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอง แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สาระสำคัญ เป็นการกำหนเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตามพระราชกฤษฎีกา เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และสายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนกาญจนาภิเษก มีกำหนใช้บังคับ 5 ปี โดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในเแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกา ภายใน 120 วัน นับแต่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ตลอดจนเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด ทั้งนี้ โครงการขยายทางหลวงฯ ข้างต้นจะเป็นการบรรเทาความหนาแน่นของการจราจรในเขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง เขตบางขุนเทียน เขตทุ่งครุ และเขตราษฎร์บูรณะ โดยกรุงเทพมหานครได้จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่โครงการแล้วส่วนใหญ่เห้นชอบด้วย ด้านสำนักงบประมาณแจ้งว่ากรุงเทพมหานคร มีแผนการจัดกรรมสิทธิ์และการเบิกจ่ายค่าทดแทน ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ ม.ค. 64-ธ.ค. 68 และประมาณการค่าจัดกรรมสิทธิ์ 18,756 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณของกรุงเทพมหานครทั้งหมด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ เข้าตรวจสอบเรือ EA ไฟไหม้ บริเวณพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ เข้าตรวจสอบเรือ EA ไฟไหม้ บริเวณพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ... สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ เข้าตรวจสอบเรือ EA ไฟไหม้ บริเวณพระประแดง จากนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ดูแลความปลอดภัยทางน้ำทั่วประเทศ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม มอบหมายให้ นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่าด้านปลอดภัย และนายวิเชียร เปมานุกรรักษ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ เข้าพื้นที่ตรวจสอบเรือไฟไหม้ พระประแดง และเร่งรัดดำเนินการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน และหาสาเหตุที่เกิดขึ้นภายใน 7 วัน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เวลาประมาณ 07.30 น. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ ได้รับแจ้งเหตุเรือระเบิดและไฟไหม้ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าบริษัท ปิยะศิริวานิช จำกัด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งในบริเวณดังกล่าวมีเรือไฟฟ้านำเที่ยวจอดเทียบท่าอยู่ จำนวน 11 ลำ เกิดเพลิงไหม้เสียหาย 3 ลำ ได้แก่ เรือ MINE SMART FERRY 27 เรือ MINE SMART FERRY 28 และเรือ MINE SMART FERRY 29 โดยผู้ดูแล (คุณวันสวัสดิ์ หมายเลขโทรศัพท์ 08 1830 3603) แจ้งว่าเรือที่ได้รับความเสียหายยังไม่ได้จดทะเบียนเรือ รอการส่งมอบและตรวจรับเรือให้บริษัท เกิดเหตุเพลิงไหม้เวลา 07.00 น. และสามารถควบคุมเพลิงได้เมื่อเวลา 08.30 น. จากเหตุเพลิงไหม้ไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตและไม่มีน้ำมันรั่วไหลลงสู่แม่น้ำแต่อย่างใดสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ อยู่ระหว่างการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคํา เพื่อสอบสวนหาสาเหตุ ภายใน 7 วัน และป้องกันมิให้เกิดเหตุซ้ําอีก หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ มีความห่วงใยประชาชน ที่อาศัยโดยรอบ สั่งการให้ จท. ลงพื้นที่ดูแลสถานการณ์โดยด่วน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ตราดตรวจราชการ รอบที่ 1 เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ตราดตรวจราชการ รอบที่ 1 เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 ผู้ตรวจสมพลฯ ลงพื้นที่ตราดตรวจราชการ รอบที่ 1 เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้ง 4 มิติ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดตราด ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยมี นายวสันต์ นิสัยมั่น อุตสาหกรรมจังหวัดตราด และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมรับการตรวจราชการและรายงานตามประเด็นการตรวจราชการกรณีการตรวจกำกับ เร่งรัด ติดตาม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ และโครงการสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้มอบนโยบายและเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินการตาม MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “อุตสาหกรรมดีอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน พร้อมข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแนวทางปฏิบัติงานตามข้อสั่งการที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. รวมทั้งจะต้องจัดสรรและบริหารจัดการการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) ให้ติดตามเร่งรัดการดำเนินการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ พร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตฯ จะต้องดำเนินการให้อยู่ในกรอบระยะเวลาและอำนาจหน้าที่ โครงการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม 1 จังหวัด 1 ชุมชน (OPOAI-C) เจ้าหน้าที่จะต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการเนื่องจากเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังได้รับฟังแนวทางการดำเนินงานและข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด หอการค้าจังหวัดตราด และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาตราด สุดท้ายนี้ ผู้ตรวจสมพลฯ ได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขอให้ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถในทุกด้าน เพื่อผู้ประกอบการ ประชาชนและกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ประชุมผู้บริหารในพื้นที่ทั่วประเทศ ระดมสมองวางแนวทางพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ป้องกันปัญหาความรุนแรง
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 สธ. ประชุมผู้บริหารในพื้นที่ทั่วประเทศ ระดมสมองวางแนวทางพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ป้องกันปัญหาความรุนแรง กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมผู้บริหารหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทั่วประเทศ วางแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ป้องกันปัญหาก่อความรุนแรง (SMI-V Care) โดยกรมสุขภาพจิตและกรมการแพทย์เป็นหน่วยงานหลักให้องค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากร กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมผู้บริหารหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทั่วประเทศ วางแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด ป้องกันปัญหาก่อความรุนแรง (SMI-V Care) โดยกรมสุขภาพจิตและกรมการแพทย์เป็นหน่วยงานหลักให้องค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากร มุ่งเป้าให้ผู้ป่วยจิตเวชและสังคมไทยปลอดภัย โดยข้อมูลข่าวความรุนแรงในสังคม เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2565 พบร้อยละ 18 มาจากปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช ร้อยละ 22 เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเกิดเหตุในชุมชนมากกว่าที่บ้าน วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) ที่โรงแรมเรือรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดตรัง นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติด เพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรง (SMI-V Care) ในเขตสุขภาพ จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความเข้าใจบทบาทภารกิจ และหาแนวทางการดำเนินงานในการบูรณาการร่วมกันของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และภาคีเครือข่ายนอกระบบสาธารณสุข ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลในโรงพยาบาลและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องในชุมชนอย่างไร้รอยต่อ ตามเป้าหมาย “ผู้ป่วยจิตเวชปลอดภัยสังคมไทยปลอดภัย” โดยมี แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศก์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม กว่า 150 คน นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรง (Severe Mental Illness – High Risk to Violence; SMI-V) หากมีการดูแลตั้งแต่ก่อนรับเข้าสู่โรงพยาบาล ขณะอยู่ในโรงพยาบาล และต่อเนื่องจนถึงชุมชน จะช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและยาเสพติดเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรง (SMI-V Care) ให้ครอบคลุมในสถานพยาบาลทุกระดับ ภายใต้กลไกความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกระบบสาธารณสุข ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการ ได้รับการดูแลรักษาและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องในชุมชน โดยมีกรมสุขภาพจิต และกรมการแพทย์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดการด้านองค์ความรู้ จัดระบบการดูแลรักษาและให้บริการ ภายใต้กฎหมายสุขภาพจิต และประมวลกฎหมายยาเสพติด นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาบุคลากรด้านจิตเวช ทั้งจิตแพทย์และพยาบาลจิตเวชเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยด้านจิตเวชและยาเสพติดที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ จากข้อมูลการติดตามข่าวความรุนแรงในสังคม ระหว่างเดือนพฤษภาคม -กันยายน 2565 จำนวน 2,300 ข่าว พบว่า ร้อยละ 18 มาจากปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช ร้อยละ 22 เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และพบว่าเกิดเหตุในชุมชนมากกว่าในบ้าน ซึ่งทำให้มีประชาชนที่เสี่ยงหรือสัมผัสความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยมีผู้ก่อความรุนแรงประมาณร้อยละ 3 เท่านั้นที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเวช แสดงให้เห็นว่ายังคงมีผู้ที่มีความเสี่ยงก่อพฤติกรรมรุนแรงหรือผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในชุมชน *************************************** 21 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ของ ธอส. วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยให้ ธอส. จำนวน 2,193.76 ล้านบาท
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. เห็นชอบโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ของ ธอส. วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยให้ ธอส. จำนวน 2,193.76 ล้านบาท ครม. เห็นชอบโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ของ ธอส. วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยให้ ธอส. จำนวน 2,193.76 ล้านบาท นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) ของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยอนุมัติวงเงินรวม 2,193.76 ล้านบาท ชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และสร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในระดับราคาที่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเช่นเดียวกับโครงการบ้านล้านหลังและโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ -หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข : ที่อยู่อาศัยใน กทม. และปริมณฑล และ ตจว. ในราคาซื้อขายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/หน่วย เช่น ที่อยู่อาศัยที่สร้างบนที่ดินของตนเอง หรือที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่สร้างบนที่ดินของเอกชน ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ หรือที่ดินของรัฐ ที่ดินของการเคหะแห่งชาติ บ้านมือสองและทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Assets : NPAs) ของสถาบันการเงิน ของรัฐ (SFI) ทรัพย์สินรอการขายของบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) รวมท้ังทรัพย์รอการขายของกรมบังคับคดี เป็นต้น -กลุ่มเป้าหมาย : ประชาชนทั่วไป -วงเงินโครงการ : 20,000 ล้านบาท -ประเภทสินเชื่อ/ วงเงินกู้/ ระยะเวลาการกู้ : วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/หน่วย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี -อัตราดอกเบี้ย : ปีที่ 1-5 : อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ปีที่ 6-7 : อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR - 2.00 ต่อปี ปีที่ 8 ตลอดจนอายุสัญญากู้เงิน - กรณีรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR - 0.75 ต่อปี - กรณีสวัสดิการหักเงินเดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR - 1.00 ต่อปี - กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์ฯ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR -ฟรีค่าธรรมเนียม : ค่าประเมินราคาหลักประกัน ไม่เกิน 2,300 บาท และค่าจดทะเบียน นิติกรรมจำนอง ร้อยละ 1 ของวงเงินจำนอง -ระยะเวลา โครงการ ฯ : ยื่นคำขอกู้เงินตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 ธ.ค. 2568 หรือเมื่อ ธอส. ให้สินเชี่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการแล้ว ทั้งนี้ ธอส จะได้รับความชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 จำนวนเงิน 2,193.76 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 มียอดคำขอสินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาทแล้ว โดย ณ วันที่ 26 ธ.ค. 65 ธอส. มียอดอนุมัติสินเชื่อจำนวน 22,240 ราย วงเงิน 19,937.46 ล้านบาท โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรียังย้ำในที่ประชุม ครม. ว่า การจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน เป็นหนึ่งในนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่ของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเอง จึงอยากขอให้การดำเนินโครงการ ฯ มีการกระจายตัวทั้งในเขตเมือง และตามเส้นทางคมนาคม รถไฟฟ้า หรือ รถไฟรางคู่ เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของชุมชน และเขตเศรษฐกิจด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราช
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ​นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราช วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราช ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า วันนี้(20ก.พ.66) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยช่วงเช้าตรวจติดตามแนวทางการพัฒนา อ.จุฬาภรณ์ และโครงการเพิ่มศักยภาพการบริหารทางการแพทย์สู่ความเป็นเลิศในภาคใต้ตอนบน ที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช อ.เมืองนครศรีธรรมราช ส่วนช่วงบ่ายตรวจติดตามวาระเมืองสิชลยุติภัยพิบัติซ้ำซาก เพิ่มพูนศักยภาพการจัดการน้ำ ที่ อ.สิชล ซึ่งประสบปัญหาอุทกภัยซ้ำซากสร้างความเสียหายแก่ประชาชน และยังมีปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากการมีการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าต้นน้ำ การใช้ที่ดินไม่เหมาะสม จนเกิดความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม. อนุมัติงบเยียวยาซื้อเรือประมงปัตตานี 96 ลำ 163ล้านบาท ตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ​ครม. อนุมัติงบเยียวยาซื้อเรือประมงปัตตานี 96 ลำ 163ล้านบาท ตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ​ครม. อนุมัติงบเยียวยาซื้อเรือประมงปัตตานี 96 ลำ 163ล้านบาท ตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (21 ก.พ. 2566) พิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นกรณีเร่งด่วน ตามการเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) โดยอนุมัตินำเรือประมงออกนอกระบบชุดแรก จำนวน 96 ลำ งบประมาณ 163.36 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนมาตรการลดจำนวนเรือประมงของรัฐบาล และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกิจการประมง และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการประมงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ เรือประมง 96 ลำ ในชุดแรกนี้ ได้ผ่านการตรวจสอบประวัติ เกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็ก คุณสมบัติเรือประมง และเจ้าของเรือพื้นที่จังหวัดปัตตานี จากคณะทำงานด้านการตรวจสอบประวัติความถูกต้องและคุณสมบัติเรือประมง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานคณะทำงาน นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะทำให้ (1) ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการกองเรือให้มีความเหมาะสมกับปริมาณสัตว์น้ำ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (2) การจัดสรรปริมาณสัตว์น้ำให้กับเรือประมงที่อยู่ในระบบเหมาะสมกับปริมาณสัตว์น้ำทั้งหมดที่อนุญาตให้ทำการประมง (3) ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการทำประมงผิดกฎหมายจากการใช้เรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมง (4) ชาวประมงที่ไม่ประสงค์จะประกอบอาชีพประมงสามารถนำเงินที่ได้รับไปเป็นทุนประกอบอาชีพอื่นๆได้ตามที่ต้องการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Cabinet approves compensation to fishing trawlers taken out of system
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ​Cabinet approves compensation to fishing trawlers taken out of system ​Cabinet approves compensation to fishing trawlers taken out of system February 21, 2023, Deputy Government Spokesperson Ratchada Thanadirek disclosed that the cabinet has made approval to a proposal of the Southern Border Provinces Development Strategy Committee to allocate Government’s FY2023 contingency budget for emergency at the total amount of 163.36 million Baht for the compensation given to fisherfolks who took part in the Government’s program to take fishing trawlers out of the system in a bid to curb IUU fishing and to promote sustainable marine resource management in the Southern border provinces. The budget will be used to buy 96 trawlers from local fisherfolks in Pattani province. These fishing trawlers have been approved for compensation, following the history check by a working group, led by Pattani provincial governor, on qualifications of boats and owners, and on the issue of child labor. According to the Deputy Government Spokesperson, the Government’s program to take fishing trawlers out of the system for sustainable marine resource management in the Southern border provinces will enable Thailand to: 1) manage its fleets and their activities for sustainable use of resources; 2) manage total allowable catch (TAC) for each licensed fishing boat; 3) reduce risk of IUU fishing, and 4) provide financial assistance to fisherfolks who wish to give up fishing to start a new career.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ สุรพล นั่งเป็นประธานเร่งติดตามภาพรวมแผนการประชุมคณะกรรมมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ปี 66
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 รองปลัดฯ สุรพล นั่งเป็นประธานเร่งติดตามภาพรวมแผนการประชุมคณะกรรมมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ปี 66 นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 720-2/2566 วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 720-2/2566 เพื่อพิจารณาร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ รวมทั้งรายงานเรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ การสรุปรายงานการทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้สิ้นสภาพของ บริษัท อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด การแต่งตั้งผู้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การดำเนินการเรื่อง EV Conversion สรุปภาพรวมผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และการดำเนินการกำหนดให้รถยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านมลพิษ โดยมี นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ นายเอกนิติ รมยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่าน ณ ห้องประชุม 230 ชั้น 2 อาคารสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และผ่านระบบ Zoom Meeting
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หารือคณะทำงานพัฒนาสวัสดิการลูกจ้างฯ นัดแรก หาทางออก 6 ข้อเรียกร้อง
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 สธ. หารือคณะทำงานพัฒนาสวัสดิการลูกจ้างฯ นัดแรก หาทางออก 6 ข้อเรียกร้อง รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือคณะทำงานพัฒนาสวัสดิการลูกจ้างชั่วคราวและ พกส. หาทางออก 6 ข้อเรียกร้อง เผย ค่าเสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้ และค่าเสี่ยงภัยโควิด 19 อยู่ระหว่างดำเนินการ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือคณะทำงานพัฒนาสวัสดิการลูกจ้างชั่วคราวและ พกส. หาทางออก 6 ข้อเรียกร้อง เผย ค่าเสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้ และค่าเสี่ยงภัยโควิด 19 อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนการจ้าง พกส.ด้วยเงินงบประมาณและจ้างงานถึงอายุ 60 ปี ต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่การปรับลูกจ้างเป็น พกส.ต้องทยอยดำเนินการ พร้อมมอบสมาพันธ์ฯ สำรวจภาระหนี้สินของพนักงานเป็นข้อมูลให้คณะกรรมการ พกส.ฯ วางแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพัฒนาและปรับปรุงสวัสดิการของลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) โดยมี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ นพ.รุ่งเรือง กิจผาติหัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวงและผอ.ศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สธ. นายโอสถ สุวรรณ์เศวต ประธานสมาพันธ์สมาคมลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทยพร้อมคณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมกันหาแนวทางตาม 6 ข้อเรียกร้องของกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวและพกส. นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การประชุมคณะทำงานพัฒนาและปรับปรุงสวัสดิการของลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานกระทรวงสาธารณสุขในวันนี้ สืบเนื่องมาจากกลุ่มผู้แทนสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย ตัวแทน พกส. ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างเหมาบริการ (รายวัน-รายเดือน) สายสนับสนุนบริการ 56 สายงาน ได้มายื่นหนังสือขอให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลสวัสดิการ 6 ข้อ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้มีมติให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งขอย้ำว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ความสำคัญในการดูแลขวัญและกำลังใจของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยเรื่องใดดำเนินการได้ให้เร่งดำเนินการและต้องดูแลทุกวิชาชีพอย่างเป็นธรรม นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกันได้มีมติทั้ง 6 ข้อ ดังนี้ ข้อ 1. การขอให้ พกส. สายสนับสนุนบริการ เข้าสู่ระบบการจ้างด้วยเงินงบประมาณผ่านกระทรวงการคลังโดยตรง และข้อ 2. การให้ยกเลิกสัญญาจ้างระยะสั้น 4 ปี และปรับระบบสัญญาจ้างงานจนถึงอายุ 60 ปี ทั้ง 2 เรื่อง เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและเกินอำนาจการบริหารจัดการของกระทรวงฯ จะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนข้อ 3. การขอให้ยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราว จ้างเหมาบริการ (รายเดือน/รายวัน) และปรับเป็นพกส. ทั้งหมดทั่วประเทศ กรณีนี้ไม่สามารถดำเนินการยกเลิกได้ทันที แต่จะทยอยลดการจ้างงานและผลักดันให้เข้าสู่ระบบการจ้างเป็น พกส. ต่อไป ข้อ 4. การขอให้พกส.และลูกจ้างที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้รับค่าเสี่ยงภัยเหมือนข้าราชการ ได้หารือกับกรมบัญชีกลางแล้ว อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อผลักดันค่าตอบแทนพิเศษ โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ปริญญาตรี ค่าตอบแทน 1,000 บาท และต่ำกว่าปริญญาตรี 500 บาท โดยจ่ายจากเงินบำรุง ซึ่งจะได้รับทั้งข้าราชการและลูกจ้าง ข้อ 5. การขอให้ พกส.และลูกจ้างทุกประเภท ได้รับค่าเสี่ยงภัยจากการปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด 19 ได้ดำเนินการขอรับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งสายวิชาชีพและสายสนับสนุนทั้งหมด ซึ่งเรื่องอยู่ที่สำนักงบประมาณ เพื่อเตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป และข้อ 6 การขอปรับค่าทำงานนอกเวลา (OT) ของพกส.และลูกจ้างชั่วคราว ให้ยึดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาก่อน โดยการเพิ่มอัตราค่าตอบแทนที่มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เป็นอำนาจของแต่ละจังหวัด/เขต ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะเงินบำรุงของโรงพยาบาล ส่วนปัญหาความเหลื่อมล้ำค่าตอบแทนของแต่ละพื้นที่ ที่ไม่เท่ากัน ได้ขอให้ทางสมาพันธ์ฯ รวบรวมข้อมูล เพื่อดำเนินการแก้ไขเป็นรายจังหวัดต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ให้ทางสมาพันธ์ฯ สำรวจข้อมูลภาระหนี้ของพนักงาน เพื่อให้คณะกรรมการบริหารพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ได้นำมาพิจารณาวางแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ทั้งนี้ หากบุคลากรในพื้นที่ใดไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งมายังศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตามระบบ ************************************** 21 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อำนาจเจริญเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กลุ่มทอเสื่อกก
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 หน.ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อำนาจเจริญเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กลุ่มทอเสื่อกก หน.ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ลงพื้นที่อำนาจเจริญเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กลุ่มทอเสื่อกก วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายปิยะ ท้วมเกร็ด อุตสาหกรรมจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กลุ่มทอเสื่อกก ซึ่งตั้งอยู่ที่ศาลาไม้ 100 ปี วัดบูรพา ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ โดยกลุ่มทอเสื่อกกได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเอสของกระทรวงอุตสาหกรรม (มอก.เอส) และความพิเศษของเสื่อกกมัดย้อม ของกลุ่มฯ คือสามารถทำเป็นลวดลายต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือไอโอเอ็ม ขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติใน 12 จังหวัดอีสาน ยกระดับแก้ปัญหาค้ามนุษย์
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 พม. จับมือไอโอเอ็ม ขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติใน 12 จังหวัดอีสาน ยกระดับแก้ปัญหาค้ามนุษย์ พม. จับมือไอโอเอ็ม ขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติใน 12 จังหวัดอีสาน ยกระดับแก้ปัญหาค้ามนุษย์ วันนี้ (21 ก.พ. 66) เวลา 09.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงถ่ายทอดแนวทางการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism : NRM) สำหรับผู้มีหน้าที่คัดแยก (Competence Authority : CA) ซึ่งจัดโดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานปลัดกระทรวง พม. ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) ประเทศไทย โดยมี นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวต้อนรับ และ นางภิญญา จำรูญศาสน์ ผู้อำนวยการกองต่อต้านการค้ามนุษย์ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ นายประวิทย์ ร้อยแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีค้ามนุษย์ และประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ และคุณอามง เรซี เจ้าหน้าที่ฝ่ายโปรแกรม (งานต่อต้านการค้ามนุษย์) แผนกช่วยเหลือผู้โยกย้ายถิ่นฐานและต่อต้านการค้ามนุษย์ ไอโอเอ็ม ประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก 12 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร นครพนม เลย สุรินทร์ อำนาจเจริญ และร้อยเอ็ด ประกอบด้วย พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหรือตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด และปลัดจังหวัด ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในฐานะผู้มีอำนาจในกระบวนการคัดแยกตามกลไกการส่งระดับชาติ รวมจำนวนทั้งสิ้น 60 คน เข้าร่วม ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น นายอนุกูล กล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีประเด็นที่เป็นข้อท้าทายในการดำเนินงานมาโดยตลอด คือ ประเด็นเรื่องของการคัดกรอง คัดแยก ระบุตัวผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ กระทรวง พม. ในฐานะหน่วยประสานงานตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยได้รับความร่วมมือจากไอโอเอ็ม สนับสนุนการพัฒนากลไกดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนสามารถนำเสนอกลไกการส่งต่อระดับชาติ ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ คณะกรรมการ ปคม. ที่นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า กลไกการส่งต่อระดับชาติ เป็นกลไกสำคัญในการช่วยยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2022 มีการจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับ Tier 2 ซึ่งยกระดับขึ้นจากระดับ Tier 2 Watch List ในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งระบุในภาพรวมว่า รัฐบาลไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งได้กล่าวถึงพัฒนาการสำคัญในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องของไทย โดยมีการจัดทำกลไกการส่งต่อระดับชาติเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้รับการยกระดับ รวมไปถึงข้อสั่งการของ คณะกรรมการ ปคม. โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกลไกดังกล่าว ดำเนินการตามแนวทางให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเน้นย้ำว่ากลไกการส่งต่อระดับชาติ เป็นกลไกสำคัญเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ โดยคำนึงถึงการคุ้มครองบุคคลที่อาจจะเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมถึงบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เสียหายแล้ว ให้ได้รับการคุ้มครองตามหลักการสากลของหลักสิทธิมนุษยชน และป้องกันไม่ให้บุคคลกลุ่มเสี่ยงตกเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมเป็นหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการคุ้มครองช่วยเหลือ การเยียวยาฟื้นฟู ทั้งในช่วงการคัดแยกและภายหลังการคัดแยกอย่างเป็นทางการแล้ว โดยหน่วยงานของกระทรวง พม. ในพื้นที่ พร้อมสนับสนุนการดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกลไกฯ อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป #ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง2 ให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก 200 เตียง มีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม เป็นต้นแบบโครงการ PPP ด้านสาธารณสุขในอีอีซี
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.อนุมัติหลักการโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง2 ให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก 200 เตียง มีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม เป็นต้นแบบโครงการ PPP ด้านสาธารณสุขในอีอีซี ครม.อนุมัติหลักการโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง2 ให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก 200 เตียง มีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม เป็นต้นแบบโครงการ PPP ด้านสาธารณสุขในอีอีซี น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้อนุมัติหลักการโครงการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง2 ให้มีศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก(M1)และมีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เสนอ ซึ่งโครงการฯ จะเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ด้านสาธารณสุข ช่วยเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชน และยกระดับการให้บริการของโรงพยาบาลภาครัฐด้วย ทั้งนี้ โครงการฯ เป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ อ.ปวกแดง จ.ระยอง ซึ่งมีประชากรอยู่กว่า 300,000 คน และปัจจุบันโรงพยาบาลปลวกแดงไม่สามารถรองรับได้ มีกลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการได้แก่ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม, ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองส่งต่อจากโรงพยาบาลปลวกแดง ข้าราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าใช้บริการ Premium Service น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โรงพยาบาลปลวกแดง2 จะก่อสร้างบนที่ราชพัสดุ 29 ไร่ 3 งาน 11.7 ตรว.(กรมธนารักษ์อนุญาตให้ใช้พื้นที่แล้ว) ขอบเขตการดำเนินงานประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญได้แก่ 1) การก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างเพื่อรองรับผู้ป่วยได้ 200 เตียง ประกอบด้วย อาคารผ่าตัด-อุบัติเหตุ 5 ชั้น, อาคารผู้ป่วยในพิเศษ 7 ชั้น, อาคารสนับสนุนบริการ 5 ชั้น, อาคารโรงไฟฟ้า-พักขยะ, อาคารบำบัด 200 ลูกบาศก์เมตร สิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ เช่นการถมที่ดิน สาธารณูปโภค 2)การจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้ในการดำเนินโครงการ 3)จัดหาบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรอื่นในการให้บริการ โครงการฯ ใช้รูปแบบการลงทุนลักษณะร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(PPP) แบบ PPP Net Cost ระยะเวลาดำเนินโครงการ 50 ปี โดยเอกชนจะได้รับสิทธิในการจัดเก็บรายได้และจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่รัฐตามข้อตกลง ซึ่งเอกชนจะต้องรับความเสี่ยงจากการดำเนินงานทั้งหมด และเอกชนต้องเป็นผู้ออกแบบ ลงทุนและก่อสร้างทรัพย์สินที่เป็นสาระสำคัญแล้วโอนกรรมสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวให้รัฐหลังจากก่อสร้างเสร็จ จากนั้นเอกชนจะมีสิทธิใช้ทรัพย์สินของโครงการตามสัญญาในการดำเนินงานเพื่อหาผลตอบแทนภายในระยะเวลาที่กำหนด (Build-Transfer-Operate: BTO) โดยข้อตกลงการแบ่งรายได้นั้น รายได้ของภาครัฐ ประกอบด้วยค่าตอบแทนในการใช้บริการที่ดินและอาคาร, ส่วนแบ่งรายได้ที่เป็นเงินสดและส่วนแบ่งรายได้กรณีผลประกอบการดีกว่าที่คาด ส่วนเอกชนจะมีรายได้จากค่าบริการทางการแพทย์ รายได้จากการให้บริการอื่นๆ เช่นร้านอาหาร ร้านค้า และมีผลตอบแทนการลงทุนของส่วนทุน อยู่ที่ร้อยละ 18.78 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับมูลค่าการลงทุนของโครงการฯ โดยรวมจะอยู่ที่ 2,647.37 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนของภาครัฐ 249.48 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน(ของกรมธนารักษ์) และอาคารผ่าตัด-อุบัติเหตุ 5 ชั้น(กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบภายใต้วงเงิน 232 ล้านบาทซึ่งได้รับงบผูกพันไว้แล้ว) ส่วนของเอกชน รวม 2,204.89 ล้านบาท ประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างหลักและสิ่งปลูกสร้างประกอบประมาณ 326.15 ล้านบาท และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 2,078.74 ล้านบาท ประเมินแล้วโครงการมีความคุ้มค่าในการลงทุน โดยมีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ร้อยละ 15.68 มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ ณ อัตราคิดลดร้อยละ 7.6 อยู่ที่ 1,631.64 ล้านบาท และอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 43.31 มีมูลค่าปัจจุบัน ณ อัตราคิดลดร้อยละ 7.6 อยู่ที่ 7,051.71 ล้านบาท สำหรับ สถานะของโรงพยาบาลปลวกแดง2 จะเป็นหน่วยงานสาธารณสุขภายในสำนักงานสาธารณสุข จ.ระยอง ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการกำหนดระเบียบ วิธีปฏิบัติด้านต่างๆ ภายใต้กฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน สำหรับโรงพยาลปลวกแดง2 ต่อไป ทั้งนี้ โครงการฯ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามหมวด 5 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษของ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกด้วย เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร เป็นต้น ทั้งนี้ ตามแผนการดำเนินงาน หลังจาก ครม. ให้การอนุมัติแล้ว สำนักงานอีอีซี จะดำเนินการประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน และดำเนินการร่างสัญญาร่วมลงทุนต่อไป เริ่มให้เอกชนยื่นเอกสารประกวดราคาในเดือนพ.ค. 66 และประกาศผลการคัดเลือกและสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาภายในเดือนมิ.ย. 66 และเสนอคณะอนุกรรกมารบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(กบอ.) และ กพอ. อนุมัติภายในเดือนก.ค. 66
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว การเงินการคลังมีเสถียรภาพ การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2566 เกินเป้า 9.1 หมื่นล้านบาท ตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศเ
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว การเงินการคลังมีเสถียรภาพ การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2566 เกินเป้า 9.1 หมื่นล้านบาท ตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศเ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว การเงินการคลังมีเสถียรภาพ การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2566 เกินเป้า 9.1 หมื่นล้านบาท ตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับต้นๆของโลก วันที่ 21 ก.พ. 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมั่นการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น หลังทราบรายงานการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ 4 เดือน แรกปีงบประมาณ 2566 รวมทั้งอีกปัจจัยบวกตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนถึงการเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงทางการเงินของรัฐบาล และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เปิดเผยการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงตุลาคม 2565 ถึงเดือนมกราคม 2566 พบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 836,643 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 91,339 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.3 โดยการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร รวมกันอยู่ที่ 820,825 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 45,646 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศรวม (Gross International Reserves) เดือนมกราคม ปี 2566 อยู่ที่ 225,486.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม ปี 2565 ซึ่งมีอยู่ที่ 216,632.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ 10 กุมภาพันธ์ 2566) โดยเงินสํารองระหว่างประเทศ จะเป็นสินทรัพย์ต่างประเทศที่สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ทันทีหากจําเป็น อาทิ การนำมาใช้กรณีชดเชยการขาดดุลการชําระเงิน หรือใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน “นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งการรักษาความมั่นคงทางการเงินของประเทศ ตลอดจน เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ผ่านการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่บูรณาการอย่างมีเป้าหมาย นอกจากนี้ เศรษฐกิจของไทยยังถือว่ามีความแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพการคลัง และประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ (ไม่รวมทองคำ) มากที่สุดอยู่ในอันดับต้นๆของโลก จากการจัดอันดับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ซึ่งนายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า อย่างสมดุล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนชาวไทยทุกคน” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบกรอบการเจรจา กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) หนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความสมดุลและยั่งยืน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. เห็นชอบกรอบการเจรจา กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) หนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความสมดุลและยั่งยืน ครม. เห็นชอบกรอบการเจรจา กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) หนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความสมดุลและยั่งยืน นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาสำหรับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด- แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework : IPEF) เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณากำหนดท่าทีไทยและการดำเนินความร่วมมือภายใต้กรอบ IPEF พร้อมทั้งรับทราบพัฒนาการการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนผลประโยชน์ของไทยและความร่วมมือภายใต้ IPEF เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการรับรองถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรี IPEF จำนวน 4 ฉบับ เมื่อวันที่ 8-9 ก.ย. 2565 และการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานในกรอบ IPEF โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกรอบการเจรจาฯ ต่อไป ทั้งนี้ การเห็นชอบกรอบเจรจา IPEF นี้ เป็นการเห็นชอบให้มีการเจรจาตามกรอบการเจรจาเท่านั้น โดยยังไม่มีพันธกรณีเกิดขึ้น และภายหลังการสรุปผลการเจรจาไทยสามารถพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับผลการเจรจาที่เกิดขึ้นได้ ร่างกรอบการเจรจาฯ ประกอบด้วย 4 เสาความร่วมมือ ได้แก่ (1) ด้านการค้า (2) ด้านห่วงโซ่อุปทาน (3) ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (4) ด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อน IPEF ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศในภาพรวม และส่งเสริมให้มีความร่วมมือที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายในด้านต่าง ๆ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การเจรจา IPEF เป็นการเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งไม่ใช่ FTA และไม่มีประเด็นการเข้าสู่ตลาด (market access) แต่จะเป็นการดำเนินความร่วมมือที่มีประโยชน์ต่อการส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศหุ้นส่วน การเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยกับประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาค การพัฒนาเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือด้านการต่อต้านการทุจริตและการจัดการด้านภาษีอย่างโปร่งใส ทั้งนี้ ความร่วมมือภายใต้ IPEF มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการดำเนินนโยบาย BCG นอกจากนี้ ความร่วมมือภายใต้ IPEF จะช่วยส่งเสริมการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ และการรับมือกับประเด็นท้าทายรูปแบบใหม่ ๆ ตลอดจนช่วยเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยในการเจรจาความตกลงด้านการค้าอื่น ๆ ที่มีมาตรฐานสูงในอนาคต อนึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมกิจกรรมการเปิดตัวกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) เมื่อ 23 พฤษภาคม 2565 ณ Tokyo Izumi Garden Gallery กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามคำเชิญของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิกที่ครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล ห่วงโซ่อุปทาน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย IPEF เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีประเทศในภูมิภาคที่เข้าร่วมแล้วจำนวน 14 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน ฟิจิ อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เฮ! ครม. ไฟเขียว ร่าง กม. เพิ่มสิทธิประโยชน์ลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 98 วัน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เฮ! ครม. ไฟเขียว ร่าง กม. เพิ่มสิทธิประโยชน์ลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 98 วัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ครม. มีมติเห็นชอบหลักการ ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพิ่มสิทธิประโยชน์ลาคลอดลูกจ้างรัฐวิสากิจ 98 วัน สอดคล้องอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เฮ! ครม. ไฟเขียว ร่าง กม. เพิ่มสิทธิประโยชน์ลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 98 วัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ครม. มีมติเห็นชอบหลักการ ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพิ่มสิทธิประโยชน์ลาคลอดลูกจ้างรัฐวิสากิจ 98 วัน สอดคล้องอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) ตามที่กระทรวงแรงานเสนอ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ เช่น ร่างประกาศ ครรส. เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิง มีครรภ์สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง จาก 90 วัน เป็น 98 วัน ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองมารดา ค.ศ. 2000 เพิ่มบทนิยามคำว่า วันหยุด ให้หมายความรวมถึงวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี และร่างประกาศ ครรส. เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19) เป็นการปรับปรุงการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ให้สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะนำเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อตรวจพิจารณาต่อไป นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับลูกจ้างภาคเอกชนที่เป็นผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร จาก 90 วัน เป็น 98 วันจากกองทุนประกันสังคมเช่นกัน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้แก้ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมในประเด็นดังกล่าว ขณะนี้อยู่ขั้นตอนการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​วิ่งเทรลเบตงระดับWorld Series นายกฯสนับสนุนไปต่ออีกหกปี กระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมภาพลักษณ์จังหวัดชายแดนใต้
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ​วิ่งเทรลเบตงระดับWorld Series นายกฯสนับสนุนไปต่ออีกหกปี กระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมภาพลักษณ์จังหวัดชายแดนใต้ ​วิ่งเทรลเบตงระดับWorld Series นายกฯสนับสนุนไปต่ออีกหกปี กระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมภาพลักษณ์จังหวัดชายแดนใต้ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของการจัดการแข่งขันวิ่งเทรลสนามระดับโลก “Amazean Jungle Thailand by UTMB 2023” ระหว่างวันที่ 17-19 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณ มีผู้เข้าร่วมแข่งขันจากสามสิบชาติ จำนวนนักวิ่งรวมทุกประเภท สองพันกว่าคน ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพอย่างอบอุ่น และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่เข้าดูแลพื้นที่สร้างความมั่นใจแก่นักกีฬาและนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ทั้งนี้ ความสำเร็จของการจัดงาน นอกจากจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมากแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่ภาพลักษณ์และความสวยงามของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความน่าอยู่ อุดมสมบูรณ์ หลากหลายวัฒนธรรม ปลอดภัย และน่าสัมผัส สู่สายตาคนไทยและประชากรโลกด้วย อนึ่ง นายกฯยังให้ความเชื่อมั่นว่า ในอนาคตอันใกล้ สนามวิ่งเทรลเบตงจะสามารถยกระดับก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสนามเมเจอร์ของโลก ที่จะสร้างรายได้ในแต่ละปีนับร้อยล้านบาทให้กับจังหวัดชายแดนใต้ นางสาวรัชดา กล่าวว่า รัฐบาลได้อนุมัติการสนับสนุนการจัดวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand เป็นระยะเวลาเจ็ดปี โดยได้เริ่มทดลองจัดเมื่อปีที่แล้ว เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ได้การรับรองจาก UTMB ในการเป็นสนามระดับโลก สำหรับปี2566 นี้ ถือเป็นปีที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ และได้จัดวิ่งระยะทางเต็มพิกัด คือ 160 กิโลเมตร และ 100 กิโลเมตร เส้นทางวิ่งชมเมืองเบตง ผ่าน 18 จุดสำคัญ ลัดเลาะผ่านผืนป่าฮาลาบาลา ผ่านจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง และจุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงสิลิปัต โดยในปีหน้า คาดว่าจะจัดเส้นทางให้สามารถวิ่งข้ามประเทศ ไทย-มาเลเซียได้ นางสาวรัชดา ยังกล่าวถึงเรื่องความปลอดภัยว่า หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ พร้อมด้วย จังหวัดยะลา อำเภอเบตง ได้ระดมสรรพกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ เข้าดูแลเส้นทางวิ่ง มีจุดเช็คพอยท์หลัก 14 จุด และมีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนดูแล รวมถึงมีหน่วยแพทย์พร้อมดูแลนักกีฬาตลอด 24 ชั่วโมง และจากที่ได้พูดคุยกับผู้จัดจาก UTMB ซึ่งมีความมั่นใจในการจัดการระบบความปลอดภัยในเส้นทางวิ่งและการอำนวยความสะดวกในทุกๆด้าน โดยเขาเชื่อมั่นว่า ปีต่อๆไปจะมีผู้เข้าร่วมแข่งขั้นวิ่งเทรลเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งด้วยความท้าทายน่าตื่นเต้นของเส้นทางวิ่ง ความงามธรรมชาติที่สวยงาม และความน่าอยู่ของเบตง “การจัดทัวร์นาเมนท์กีฬาระดับ World Series เป็นหนึ่งในหมุดหมายการส่งเสริมSoft Power เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งการจัดกิจกรรม Amazean Jungle Thailand by UTMB 2023 เป็นการบูรณาการนำการกีฬา มาผนวกกับกิจกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้ด่านพรมแดนเบตง และ อ.เบตง ครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติโดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของรายได้ท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ และเป็นการเผยแพร่ภาพลักษณ์ความเป็นเมืองน่าอยู่ หลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดชายแดนใต้ ดึงดูดให้ผู้คนมาสนใจมาเยือนมากขึ้น” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ตาก ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมพบปะและรับฟังข้อคิดเห็น
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ตาก ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมพบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ลงพื้นที่ตาก ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมพบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในการพัฒนาอุตสาหกรรมและบูรณาการการทำงานจากตัวแทนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.30 น. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวิชญ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดตาก ตรวจราชการและการดำเนินงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 รอบที่ 1 ซึ่งมี นายนภัทร เตชะสิรภัทร อุตสาหกรรมจังหวัดตากและเจ้าหน้าที่เข้าร่วม โดยผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ชี้แจงนโยบายและแผนการตรวจราชการ และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.ความสำเร็จของธุรกิจ 2.ชุมชน สังคม 3.สิ่งแวดล้อม และ 4.การกระจายรายได้ให้กับชุมชน ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามแนวคิด "ใช้ หัว และ ใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน" พร้อมมอบนโยบายและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน อาทิ เน้นย้ำการตรวจกำกับดูแลสถานประกอบกิจการโรงงานให้ได้ 100% โดยมุ่งเน้นสถานประกอบกิจการโรงงานที่มีอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน การติดตามโรงงานที่เข้าข่ายต้องประเมินความเสี่ยงฯ ตามกฎหมาย การขออนุญาตและการรายงานการจัดการของเสีย (สก.1,2,3) ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เร่งรัดการส่งเสริมโรงงานให้ได้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% การติดตามโรงงานที่มีการร้องเรียนและฟ้องร้อง การประชาสัมพันธ์การแจ้งข้อมูลการประกอบกิจการโรงงานรายเดือน (รง.8) และรายปี (รง.9) ตามกฎหมาย ตามแบบ Single Form เน้นย้ำการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามมติ ครม. ดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ยังได้พบปะและรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและบูรณาการการทำงานในพื้นที่จากตัวแทนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ประธานหอการค้าจังหวัดตาก และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาจังหวัดตาก และในเวลา 14.30 น. ผู้ตรวจวีระกิตติ์ฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ โรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก โรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล ได้ดำเนินกิจการที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้ง 4 มิติ มีการเข้าร่วมและผ่านเกณฑ์การประเมินธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม มีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลกโดยมีการผลิตไฟฟ้าที่เป็นพลังสะอาดได้ประมาณ 7 หมื่นล้านหน่วย หรือคิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ประมาณ 4 หมื่นล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งยังได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวในระดับที่ 4 และได้ขอยื่นการรับรองในระดับที่ 5 และมีการกระจายรายได้ให้กับประชาชนและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยการจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าในบริเวณสันเขื่อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Govt to accelerate water transport infrastructure development projects
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ​Govt to accelerate water transport infrastructure development projects ​Govt to accelerate water transport infrastructure development projects February 20, 2023, Deputy Government Spokesperson Traisuree Taisaranakul disclosed that the Government has placed great priority on transport network development to enhance national competitiveness and promote international trade, tourism, and people’s traveling. Thailand’s ongoing investment in transport has contributed to the country’s rank in World Bank’s Logistic Performance Index (LPI), which is at 32nd, up from 45th in 2016, out of 167 countries across the world. The Government has invested in a number of mega projects in water transport infrastructure development, which include Map Ta Phut Port Development Phase 3 (PPP net cost scheme, worth 64 billion Baht) in the Eastern Economic Corridor (EEC). The project is aimed to increase annual shipment of natural gas and liquid cargoes for petrochemical industry, and is planned for 2 stages. Tender invitation for private investment will be undertaken during stage 2. Also part of the EEC, Laem Chabang Port Development Phase 3 (PPP net cost scheme, worth 114 billion Baht) is aimed to enhance the country’s import and export capacity. Once completed, the Port will have a container throughput capacity of up to 18.10 million TEUs (from 11.10 million TEUs) per year. BKP (Bangkok Port) West Container Terminal will also be developed as an automated container terminal. Additionally, the operation of RoRo ferry, route Sattahip - Ko Samui, will promote tourism activities, and provide an alternative mode of travel from Eastern to Southern Thailand. With regard to waterway transport in Bangkok and vicinity, Marine Department has a plan to renovate and develop 29 passenger piers on the Chao Phraya River to enhance public convenience and safety. Some will be developed into smart piers with seamless connectivity with other modes of transport . As of the end of 2022, renovation of 8 passenger piers has completed, namely, Sathon, Memorial Bridge (Saphan Phut), Tha Chang, Nonthaburi, Phayap, the Marine Department, Rajinee, and Bang Pho. Renovation of 3 others piers, that is, Rama VII Pier, Tha Tian Pier, and Kiakkai Pier will take place this year. The Government also places importance on environmentally-friendly water transport system, and has introduced electric-powered boat services for marine/river/canal transport. As of 2022, there are 51 boats in service, and the number will increase to 69 by the end of this year. According to the Deputy Government Spokesperson, in 2023, the Government continues to initiate new water transport infrastructure development projects, such as a master plan for marina development for both Andaman and the Gulf of Thailand, a feasibility study on establishment of national shipping line, development of dry port in Chachoengsao, Khon Kaen, Nakhon Ratchasima, and Nakhon Sawan, and tangible development of land bridge which will connect Chumphon on the eastern coast of the Gulf of Thailand to Ranong on the Andaman Sea.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับ ยกระดับมาตรฐานสภาพการจ้างและการรักษาพยาบาล เพิ่มสิทธิลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติครม.
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. เห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับ ยกระดับมาตรฐานสภาพการจ้างและการรักษาพยาบาล เพิ่มสิทธิลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติครม. ครม. เห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับ ยกระดับมาตรฐานสภาพการจ้างและการรักษาพยาบาล เพิ่มสิทธิลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติครม. ลาคลอดบุตรเพิ่มจาก90วันเป็น 98วัน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อยกระดับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจในบางประเด็นให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นตามข้อเรียกร้องของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์แต่ละฉบับ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) มีเพิ่มเติมประเด็นสำคัญ อาทิเช่น 1.กำหนดเพิ่มเติมให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติ ครม. ตามความเหมาะสมและจำเป็นของกิจการ 2.กำหนดเพิ่มสิทธิลาคลอดบุตร จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน และ 3.กำหนดเพิ่มเติมให้เงินทดแทนที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้ลูกจ้างกรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย เนื่องจากการทำงาน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี 2. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ และค่าทดแทนการตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เพิ่มเติมประเด็นสำคัญ อาทิเช่น 1.กำหนดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไปและถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานในปีที่จะเกษียณอายุมีสิทธิได้รับค่าทดแทนในอัตราเดียวกันกับเงินที่จะได้รับกรณีเกษียณ และ 2.กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนดังกล่าวกรณีที่ลูกจ้างตายด้วยเหตุละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร, กระทำความผิดอาญาโดยเจตนา, เสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่น, ฆ่าตัวตาย 3. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19) เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยโรคโควิด 19 ให้สอดคล้องกับสิทธิ UCEP ตามมติ ครม. วันที่ 8 มีนาคม 2565 โดยกำหนดให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มีลักษณะเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ผู้ป่วย กลุ่มสีเหลืองและสีแดง) มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลสำหรับตนเอง หรือคู่สมรสหรือบุตรของตนเอง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (สิทธิ UCEP) ส่วนในกรณีที่ไม่เข้าลักษณะผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว) ให้มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับสวัสดิการลูกจ้างทุกกลุ่มและรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ดังนั้นร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับนี้เป็นการเพิ่มสวัสดิการ ยกระดับมาตรฐานสภาพการจ้าง ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นและเป็นไปตามข้อเรียกร้องของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กราบพระและไหว้ตาไข่ วัดเจดีย์ อ.สิชล นครศรีธรรมราช ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เชื่อมโยงชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจตาม นโยบายรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 นายกฯ กราบพระและไหว้ตาไข่ วัดเจดีย์ อ.สิชล นครศรีธรรมราช ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เชื่อมโยงชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจตาม นโยบายรัฐบาล นายกฯ กราบพระและไหว้ตาไข่ วัดเจดีย์ อ.สิชล นครศรีธรรมราช ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เชื่อมโยงชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจตาม นโยบายรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 17.30 น. ณ วัดเจดีย์ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เข้ากราบสักการะพระประธานและนมัสการพระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ ณ วิหาร และไหว้บูชาตาไข่ ณ ศาลาสามศรี โดยมีกลุ่มสตรี อสม. ในพื้นที่ อ.สิชลฟ้อนรำให้การต้อนรับ เมื่อนายกรัฐเดินทางมาถึงมีประชาชนมารอให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง และเปล่งเสียงเรารักลุงตู่ สร้างรอยยิ้ม ความประทับใจอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกยินดีที่ได้มาพบปะพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ชาวอำเภอสิชล และพื้นที่อำเภอใกล้เคียงทุกคน มาเพราะคิดถึง คิดถึงตลอดเวลา ดีใจที่เห็นชาวนครเป็นคนจริงใจ รักใครรักจริงไม่ทิ้งไม่ขว้าง “รักจังฮู้” วันนี้ตั้งใจมารับฟังปัญหาของประชาชน ในฐานะนายกรัฐมนตรีมาราชการตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้หยุด เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีในนามของรัฐบาล ลงพื้นที่ดูความก้าวหน้าและรับฟังปัญหาอุปสรรคของประชาชนในพื้นที่ วันนี้ได้ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซากบริเวณคลองเปลี่ยน พื้นที่รอยต่อตำบลเปลี่ยน รัฐบาลจะดูแลดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่สะสมมานานและส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง ที่สำคัญคือรัฐบาลจะดูแลสวัสดิการของประชาชน สร้างรายได้เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดูแลผู้มีรายได้น้อย สร้างความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รัฐบาลต้องดูแลอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวในมิติใหม่ ๆ เช่น เส้นทางแห่งศรัทธา ความเชื่อ เชื่อมโยงชุมชน ศักยภาพและแหล่งท่องเที่ยว นำไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากฐานรากสู่ชุมชนและท้องถิ่น ให้กิดความเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งจังหวัดเมืองรอง ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เชื่อมโยงไปสู่จังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงของแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดพระธาตุ) วัดเจดีย์ (ไอ้ไข่) แห่งนี้ ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วประเทศ ส่งผลให้การท่องเที่ยว-เศรษฐกิจของจังหวัดนครศรีธรรมราชดีขึ้น ทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ไม่เคยนั่งรถมาวัดเจดีย์แห่งนี้ ในขณะที่รถขับผ่านได้เห็นรูปปั้นไก่จำนวนมาก จึงได้สอบถามเจ้าอาวาสว่ามีไก่เยอะไหม ท่านบอกว่า มีไม่กี่ตัวแค่ในวัดมีจำนวน 2 ล้านตัว ดังนั้นจะเห็นว่าวัดแห่งนี้มีความเชื่อและศรัทธา ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นเราก็ทำไปไม่เสียหาย เพราะประเทศไทยมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน รวมทั้งมีวัฒนธรรมและมีพหุสังคมมาอย่างยาวนาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่ รองรับการนำเข้า-ส่งออกไปยังจีน เวียดนาม
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่ รองรับการนำเข้า-ส่งออกไปยังจีน เวียดนาม ครม. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่ รองรับการนำเข้า-ส่งออกไปยังจีน เวียดนาม เพิ่มการค้าระหว่างประเทศด้วย One Stop Service น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้ เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ การเสนอ ครม. ครั้งนี้ เป็นขั้นตอนต่อเนื่องจากที่ ครม. เมื่อ 29 ม.ค. 62 ได้อนุมัติให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินโครงการฯ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP net Cost ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ และประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนไป 2 รอบในวันที่ 28 มิ.ย.และ 6 ส.ค. 64 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลามีผู้ยื่นเสนอร่วมลงทุน 1 ราย ได้แก่ บริษัท สินธนโชติ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ผ่านเกณฑ์การประเมินทั้งในด้านคุณสมบัติ(ซองที่1) ข้อเสนอด้านเทคนิค(ซองที่2) และข้อเสนอด้านราคา(ซองที่3) โดยบริษัทฯ เสนอผลประโยชน์รูปแบบค่าสัมปทานแก่กรมการขนส่งทางบก ประกอบด้วย ค่าตอบแทนคงที่รายปี ตลอดอายุสัมปทาน จำนวน 30 งวด 298.36 ล้านบาท สูงกว่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ ครม.ได้เห็นชอบในหลักการไว้ที่ 291.16 ล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้กรณีที่ผู้ร่วมลงทุนมีผลประกอบการที่ได้กำไรที่ร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิปีนั้นๆ เท่ากับขั้นต่ำที่ ครม. อนุมัติให้หลักการไว้ ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พิจารณาแล้วว่าบริษัทฯ ได้เสนอผลตอบแทนสูงกว่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ ครม. ได้ให้หลักการไว้จึงได้เห็นชอบให้บริษัท สินธนโชติ จำกัด เป็นผู้ผ่านการประเมินสูงสุด แล้วดำเนินการตามขั้นตอนก่อนเสนอให้ ครม. เห็นชอบในครั้งนี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ก ภายใต้การร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost นั้น ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ค่าควบคุมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงร้างพื้นฐานรายปีในส่วนที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ส่วนเอกชนจะลงทุนค่าก่อสร้างในองค์ประกอบอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้และเครื่องมือและอุปกรณ์และเอกชนรับผิดชอบในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ (Operation and Maintenance :O&M) ในส่วนอาคารและพื้นที่ใช้สอยในความรับผิดชอบของเอกชนและโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางตามกรอบระยะเวลา รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านรายได้และจ่ายค่าสัมปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 30 ปี นับจากปีที่เปิดให้บริการ โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม จะตั้งอยู่ที่ ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม บริเวณทิศใต้ของด่านพรมแดนนครพนมและด่านศุลกากรนครพนม มีเส้นทางเข้า-ออกหลักบริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 295 ซึ่งเป็นทางเข้าสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) มีขนาดพื้นที่โครงการ 121 ไร่ 3 งาน 67 ตรว. ซึ่งทางทิศใต้ของโครงการได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อและประชิดกับแนวการพัฒนาโครงการถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนมของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เพื่อรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งระหว่างทางถนนและทางรางด้วย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการฯ จะรองรับการขนส่งสินค้านำเข้า-ส่งออก จากทางตอนใต้ของจีนและตอนเหนือของเวียดนามกับภูมิภาคต่างๆ ของไทย เป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์หรือสินค้าบรรจุหีบห่อ(Break Bulk Cargo) และเป็นศูนย์ให้บรการเบ็ดเสร็จ(One Stop Service)ทำให้สามารถดำเนินการพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกได้ ณ จุดเดียว สำหรับการดำเนินการงานเพื่อลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ระยะ งานระยะที่1 เป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง 6 รายการ ได้แก่ อาคารรวบรวมและกระจายสินค้าหลังที่1, อาคารคลังสินค้าทั่วไป, อาคารซ่อมบำรุง, โรงอาหารบริการทั่วไป, สถานีชั่งน้ำหนัก และห้องควบคุมไฟฟ้า รวมถึงการจัดหาและติดตั้งเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานภายในพื้นที่โครงการ งานระยะที่2 ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ คืออาคารรวบรวมและกระจายสินค้าหลังที่2 รวมทั้งการจัดหาและติดตั้งเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานภายในพื้นที่โครงการ โดยจะเริ่มดำเนินการเมื่อมีสินค้าเข้ามารวบรวมในอาคารหลังที่1 เฉลี่ยทั้งปีมากกว่าร้อยละ 80 ของขีดความสามารถ หรือเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 18 ปี นับจากเปิดให้บริการ ทั้งนี้ โครงการฯ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษนครพนม ลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ผู้ประกอบการขนส่งของไทย เกิดการจ้างงานภายในศูนย์การขนส่งชายแดนและลดความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุจากการขับรถบรรทุกเข้าไปใน สปป.ลาว เนื่องจากรถบรรทุกสามารถเปลี่ยนหัวลากหางพ่วงตู้คอนเทนเนอร์ภายในศูนย์การขนส่งชายแดนได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศและส่งเสริมบทบาทให้ จ.นครพนมมีความสำคัญมากขึ้นในฐานะเป็นจุดเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เคาะงบกลาง 396 ล้าน ซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุน 150 คัน ทดแทนคันเก่าที่ใช้นานกว่า 12 ปี เสริมเขี้ยวเล็บปฏิบัติภารกิจจังหวัดชายแดนใต้
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เคาะงบกลาง 396 ล้าน ซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุน 150 คัน ทดแทนคันเก่าที่ใช้นานกว่า 12 ปี เสริมเขี้ยวเล็บปฏิบัติภารกิจจังหวัดชายแดนใต้ ครม.เคาะงบกลาง 396 ล้าน ซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุน 150 คัน ทดแทนคันเก่าที่ใช้นานกว่า 12 ปี เสริมเขี้ยวเล็บปฏิบัติภารกิจจังหวัดชายแดนใต้ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 396 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนทดแทนที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 150 คัน (ราคาคันละ 2.64 ล้านบาท) เนื่องจากรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันผ่านการใช้งานมานานกว่า 12 ปี มีสภาพชำรุดทรุดโทรม เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังเป็นรถดัดแปลงจากรถกระบะ 4 ประตู โดยติดตั้งแผ่นเกราะและกระจกกันกระสุนเพิ่มเติม ทำให้มีน้ำหนักมากกว่ารถกระบะทั่วไปประมาณ 1,500 กิโลกรัม หรือ 1.5 ตัน ส่งผลให้ช่วงล่างและเครื่องยนต์เกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีจำนวน 216 คัน โดยปีงบประมาณ พ.ศ.2566 กำลังดำเนินการขายทอดตลาด จำนวน 150 คัน จึงมีความจำเป็นต้องจัดซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนทดแทน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนที่จัดซื้อในครั้งนี้ เป็นรถยนต์บรรทุกประเภทกระบะ (ดีเซล) ขนาด 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบดับเบิ้ลแค็บ โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันกระสุน อาทิ ติดตั้งแผ่นเหล็กป้องกันกระสุน ติดตั้งกระจกป้องกันกระสุน ติดตั้งแผ่นเหล็กป้องกันสะเก็ดระเบิด พร้อมทั้งปรับปรุงช่วงล่างและบานพับประตูให้สามารถรองรับน้ำหนักเกราะได้ นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า การได้รับสนับสนุนงบกลางเพื่อจัดหารถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกลอบทำร้ายสูง และสามารถให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้ากระชับและเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย เพื่อช่วยเหลือตัวประกันหรือผู้ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการของรัฐในปีภาษี 2565
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.อนุมัติยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการของรัฐในปีภาษี 2565 ครม.อนุมัติยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการของรัฐในปีภาษี 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้อนุมัติหลักการ่างกฎกระทรวง ฉบับที่.... (พ.ศ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากรัฐในปีภาษี 2565) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ ได้รับจากการสนับสนุนประโยชน์อื่นใด และเงินค่าตอบแทนจากภาครัฐเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับรายการต่างๆ ดังนี้ 1)เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม และค่าชื้อสินค้าหรือบริการที่ได้มช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ ตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่4 และระยะที่5 2)เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเช้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ค่าสปาหรือนวดเพื่อสุขภาพ ค่ารถเช่า หรือเรือเช่าเพื่อการท่องเที่ยวหรือค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 3)ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าเดินทางและซื้อแพคเกจทัวร์จากผู้ประกอบการนำเที่ยวตามโครงการทัวร์เที่ยวไทย 4)ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัมนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่4 และระยะที่5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่4 และระยะที่5 5)ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่4 และระยะที่5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษระยะที่ 2 และระยะที่3 6)ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับตามโครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน สำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนต์สาธารณะ 7)ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุมและรักษาผู้ป่วยโรคโควิด19 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโควิด19 ตามที่ได้รับอนุญาตจากระทรวงการคลัง 8)ค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่และลุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับโควิด19 ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง 9)ค่าตอบแทนในการให้บริการฉีดวัคซีนโรคโควิด19 ที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการฉีดวัคซีนโรคโควิด19 นอกสถานพยาบาลตามที่ได้รับอนุยาตจากกระทรวงการคลัง น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎกระทรวงนี้ จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชน เพิ่มกำลังใจให้กับบุคลากรที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ประกอบกับหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี ภาษี 2565 อยู่ระหว่างเดือนม.ค. -มี.ค. 66 กระทรวงการคลังจึงดำเนินการออกกฎกระทรวงดังกล่าวในช่วงเวลานี้ กระทรวงการคลังรายงานว่ารายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินสนับสนุนทุกโครงการข้างต้นไม่ได้อยู่ในประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ 2565 อยู่แล้ว แต่หากไม่ได้มีการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าว กระทรวงการคลังจะเก็บภาษีได้ประมาณ 7,931 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎกระทรวงนี้จะสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัว เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ สนับสนุนภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด19 เป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่บุคลากรที่เกี่ยวกับการดูแลการแพร่ระบาดของโควิด 19 และช่วยเหลือผู้ประกอบาอชีพที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร สื่อกลางถ่ายทอดข่าวสารความรู้ เคียงข้างเกษตรกรไทย
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ​กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร สื่อกลางถ่ายทอดข่าวสารความรู้ เคียงข้างเกษตรกรไทย ​กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร สื่อกลางถ่ายทอดข่าวสารความรู้ เคียงข้างเกษตรกรไทย วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 13.30 น. นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุม 123 ชั้น 2 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบ ใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการดำเนินงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร ปี 2566 2) รายงานการรับ-จ่ายเงินรายได้สถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร และเงินเบิกจ่ายแทนกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3) การปรับเวลาผังรายการการออกอากาศ 4) การให้บริการ Website และการให้บริการอื่นๆ และร่วมกันพิจารณาในประเด็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยการรับ-จ่าย การเก็บรักษาเงินรายได้ของสถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร พ.ศ. 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดนครศรีธรรมราช
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ข่าวสารการลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายกฯ กราบพระและไหว้ตาไข่ วัดเจดีย์ อ.สิชล นครศรีธรรมราช ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เชื่อมโยงชุมชน สร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจตาม นโยบายรัฐบาล นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ประสบอุทกภัยซ้ำซาก บริเวณคลองเปลี่ยน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กำชับหน่วยงานเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน ยืนยันรัฐบาลจริงใจแก้ไขปัญหา นายกรัฐมนตรีสักการะหลวงพ่อวัดยางใหญ่ และไหว้บูชาตาพรานบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ จ.นครศรีธรรมราช นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ผนึกภาคเอกชนสร้าง Team Thailand ประกาศความพร้อมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 “อนุทิน” ผนึกภาคเอกชนสร้าง Team Thailand ประกาศความพร้อมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Expo 2028 Phuket Thailand รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผนึกกำลังภาคเอกชนชั้นนำของประเทศสร้าง Team Thailand ช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผนึกกำลังภาคเอกชนชั้นนำของประเทศสร้าง Team Thailand ช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก รวมถึงร่วมประชาสัมพันธ์ความพร้อมของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand ก่อนที่จะมีการพิจารณาในเดือนมิถุนายนปีนี้ วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมความร่วมมือ กับภาคเอกชนในการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand โดยมี ดร.อรรชกา ศรีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และผู้บริหารภาคเอกชนร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนแนวความคิด นายอนุทินกล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialised Expo (สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา เซอร์เบีย สเปนและประเทศไทย) ภายใต้ชื่องาน Expo 2028 Phuket Thailand ขณะนี้เป็นช่วงสุดท้ายก่อนจะพิจารณาในเดือนมิถุนายน 2566 โดยในสัปดาห์นี้จะมีการเข้าร่วมกิจกรรม Symposia เพื่อนำเสนอความคืบหน้าและความพร้อมต่างๆ ในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo แก่คณะกรรมการจากองค์การนิทรรศการนานาชาติ BIE ที่ประเทศฝรั่งเศส สำหรับกระทรวงสาธารณสุขจะนำโดยอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ในประเทศ ที่จะร่วมแสดงออกถึงความพร้อมและความเชื่อมั่นให้กับคณะกรรมการ จึงได้เชิญผู้ประกอบการภาคเอกชนที่มีเครือข่ายทางธุรกิจในระดับโลกมาร่วมประชุม สร้าง Team Thailand ช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกต่างๆ 171 ประเทศ รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในประเทศร่วมประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 Phuket Thailand นายอนุทินกล่าวต่อว่า หากประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้จัดงาน Specialised Expo จะช่วยให้ไทยมีเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศจากทั้งคนไทยและต่างชาติประมาณ 5 ล้านคน เกิดเงินสะพัดประมาณ 50,000 ล้านบาท และมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 40,000 ล้านบาท เกิดการพัฒนาเมืองของจังหวัดในกลุ่มอันดามัน ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสุราษฎร์ธานี จากการกระจายรายได้, ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ของภูมิภาค และจะก้าวสู่การเป็น “ศูนย์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก” รวมถึงมีการบริหารและพัฒนาพื้นที่หลังการจัดงาน โดยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจะพัฒนาเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับนานาชาติครบวงจร ศูนย์ อภิบาลผู้สูงอายุนานาชาติ ศูนย์ใจรักษ์ และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ และ Ecological Park ต่อไป *************************************** 20 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย เยี่ยมชมห้องปฏิบัติงาน War Room กระทรวงมหาดไทย และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ปลัด มท. นำผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย เยี่ยมชมห้องปฏิบัติงาน War Room กระทรวงมหาดไทย และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ปลัด มท. นำผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย เยี่ยมชมห้องปฏิบัติงาน War Room กระทรวงมหาดไทย และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นย้ำ กระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย มุ่งขับเคลื่อนทุกภารกิจเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต ปลัด มท. นำผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย เยี่ยมชมห้องปฏิบัติงาน War Room กระทรวงมหาดไทย และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นย้ำ กระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย มุ่งขับเคลื่อนทุกภารกิจเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนและสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบเดียวนี้ตลอดไป วันนี้ (20 ก.พ. 66) เวลา 11.30 น. ที่ห้อง War Room อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และนางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ของกระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ศ.ดร.ชนาธิป ผาริโน นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ของกระทรวงมหาดไทย โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศศูนย์ปฏิบัติการ War Room กระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ผ่านมา ชาวมหาดไทย นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ท่านนายอำเภอ 878 อำเภอ ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างยึดมั่นใน 1 จังหวัด 17 คำมั่นสัญญาการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อความเท่าเทียมในชีวิตของพี่น้องประชาชนในจังหวัด ที่กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมลงนาม MOU กับ UN ภายใต้ชื่อ “76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยน้อมนำพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” ด้วยการหมั่นลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ดั่งพระโอวาทที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสอนไว้ว่า “ต้องรองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน โดยมี “ทีม” ทั้ง “ทีมที่เป็นทางการ” อันได้แก่ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ข้าราชการประจำตำบล ทีมคณะกรรมการหมู่บ้านของทุกหมู่บ้าน และทีมผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ “ทีมจิตอาสา” อันประกอบด้วย ภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี คือ ภาครัฐ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป้าหมาย SDGs 17 ตัวชี้วัด ผ่าน “โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข อย่างยั่งยืน” เพื่อทำให้เกิดการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยน ร่วมกันคิดร่วมกันหาแนวทางบูรณาการความร่วมมือในการดูแลหมู่บ้าน/ชุมชนและครอบครัว ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลประโยชน์จากสิ่งที่กระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อน ซึ่งหากเราทำแบบนี้ได้อย่างสม่ำเสมอก็จะนำไปสู่หมู่บ้านที่เข้มแข็ง ระบบราชการก็จะพัฒนา โดยใช้ตัวชี้วัดข้อที่ 17 เป็นแนวทางที่สำคัญ นั่นคือ การสร้าง Partnership ทั้งในลักษณะทีม คุ้มบ้าน ป๊อก ฯลฯ มาสนธิกำลังเป็นตัวแทนในการดูแลหมู่บ้าน/ชุมชน โดยไม่ต้องพึ่งราชการไปดูแลในอนาคต อันจะส่งผลทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงผลการขับเคลื่อนกิจกรรมที่สำคัญในห้วงที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบเดียวนี้ และประเทศไทย ด้วยกลไกของกระทรวงมหาดไทยและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ได้แก่ 1) การดำเนินงานโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ทำการจัดเก็บข้อมูลครัวเรือน และการสมัครรับรองคาร์บอนเครดิต T-Ver และขั้นตอนการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งขณะนี้มีครัวเรือนได้ดำเนินการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนแล้ว จำนวน 13,162,822 ครัวเรือน คิดเป็น 90% จากทั่วประเทศ มีพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 39,929,604 คน ทั้งนี้ มีข้อมูลที่สำคัญของการประเมินคาร์บอนเครดิตจากถังขยะเปียกลดโลกร้อน 12,279,024 ถัง พบว่าสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 534,014 ตัน/ปี โดยมีจังหวัดที่สามารถดำเนินการครบ 100% แล้ว จำนวน 21 จังหวัด 2) การแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนของประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม ThaiQM โดยกรมการปกครอง โดยใช้ฐานข้อมูลจาก TPMAP ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งจากข้อมูลที่ TPMAP พบว่าจากครัวเรือนทั้งประเทศ จำนวน 12,817,903 ครัวเรือน มีครัวเรือนประสบปัญหาความเดือดร้อน จำนวน 652,863 ครัวเรือน และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนครอบคลุมและป้องกันการตกหล่นข้อมูลการสำรวจ กระทรวงมหาดไทยจึงพัฒนาระบบ THAIQM ขึ้น และทำการ Re X-Ray ข้อมูล โดยพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีครัวเรือนทั้งสิ้น 14,562,655 ครัวเรือน และมีสภาพปัญหาจริงมากกว่า 3,810,466 ครัวเรือน จึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น และในปี 2566 นี้ จะได้นำข้อมูลสำรวจเพิ่มเติมจาก THAIQM มอบให้กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเข้าข้อมูลสู่ระบบ TPMAP เพื่อให้มีฐานข้อมูลของรัฐในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชนที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป และ 3) การน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยกรมการพัฒนาชุมชน ดำเนินการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนปลูกผักสวนครัวอย่างน้อยครัวเรือนละ 10 ชนิด ซึ่งขณะนี้มีครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการและทำอย่างต่อเนื่องแล้ว 14,069,871 ครัวเรือน คิดเป็น 96.62 % โดยมีจังหวัดที่ครัวเรือนทำแล้ว 100% จำนวน 39 จังหวัด ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้ร่วมขับเคลื่อนงานเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือการเสริมสร้างความยั่งยืนตามหมุดหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ของสหประชาชาติ (UN SDGs) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการสนองพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้งการดูแลสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก การส่งเสริมผ้าไทยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็น “หน้าที่ของคนทุกคน” ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทยมุ่งขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนคนไทย ทำให้ประเทศไทย และโลกใบเดียวนี้ คงอยู่กับลูกหลานของพวกเราทุกคนในอนาคตตลอดไป นางกีต้า ซับบระวาล (Mrs. Gita Sabharwal, UN Resident Coordinator in Thailand) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมระบบการทำงานผ่านห้องปฏิบัติการ War Room ของกระทรวงมหาดไทย ที่ได้มีฐานข้อมูลด้านการพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ พร้อมทั้งขอเป็นกำลังใจในการดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อที่ในอนาคต UN และกระทรวงมหาดไทย จะสามารถแปลกเปลี่ยนฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการปฏิบัติการสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนและโลกใบเดียวนี้ของพวกเราทุกคน ถือเป็นต้นแบบของการทำงานที่สำคัญ และขอให้ได้พิจารณาดำเนินการขยายผลให้มีห้องปฏิบัติการที่รวบรวม ประมวล และติดตามความก้าวหน้าในลักษณะ War Room นี้ ในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนชาวไทยอย่างยั่งยืนต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า กระทรวงมหาดไทย มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ทั้ง 17 ข้อ เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับการพัฒนาทักษะ พัฒนาศักยภาพ ครอบคลุมในทุกมิติของการดำรงชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อันจะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่งผลไปถึงรุ่นลูก รุ่นหลานในอนาคต ได้อยู่อาศัยในโลกใบเดียวนี้อย่างยั่งยืนตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ จับมือเครือข่ายจังหวัดสกลนคร ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ส่งเสริมธุรกิจดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ผู้ตรวจทาวันฯ จับมือเครือข่ายจังหวัดสกลนคร ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ส่งเสริมธุรกิจดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจทาวันฯ จับมือเครือข่ายจังหวัดสกลนคร ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย MIND “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ส่งเสริมธุรกิจดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 09.30 น. นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกิตติพงษ์ ชลิทธิกุล อุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการ ผลิตยางแท่งเอสทีอาร์ 20 ยางผสม และยางเครป ซึ่งโรงงานฯ ดำเนินกิจกรรมอบรมด้านความปลอดภัยให้แก่โรงเรียนและชุมชน พร้อมทั้งบริจาคสิ่งของให้กับชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็ก . ผู้ตรวจทาวันฯ ได้ชื่นชมสถานประกอบการว่าได้ดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือชุมชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ข้อเสนอแนะโรงงานในการป้องกันและการจัดการปัญหาเรื่องกลิ่น โดยการทำความสะอาดโรงงานอย่างสม่ำเสมอและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พร้อมทั้งปลูกต้นไม้โดยเลือกชนิดไม้ที่ช่วยดูดซับกลิ่น และการจัดการกากอุตสาหกรรมให้ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยนำหลักการของ BCG มาใช้ ซึ่งโรงงานฯ สามารถนำกากของเสียที่ไม่เป็นอันตรายมาใช้เป็นสารปรับปรุงคุณภาพดินให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและต้องขออนุญาตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน (สก.2) ต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการลดรายจ่ายเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ . จากนั้น เวลา 13.30 น. ผู้ตรวจราชการฯ พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด ประกอบกิจการทำน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ซึ่งโรงงานได้ส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสด สะอาด ส่งโรงงานเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากการเผาอ้อยโดยดำเนินกิจกรรมรณรงค์ร่วมกับภาครัฐและกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อวิทยุท้องถิ่นคลื่น 94.75 FM พร้อมทั้งได้ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับการตัดอ้อยสด อีกทั้งโรงงานยังมีกิจกรรมสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตผ้าครามโดยการนำผลิตภัณฑ์ผ้าครามมาเป็นของที่ระลึกมอบให้กับคู่ค้าทางธุรกิจในวาระวันสำคัญต่าง ๆ ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการฯ ได้ชื่นชมโรงงานว่าได้ดำเนินกิจกรรมของโรงงานในการลดปัญหาการเผาอ้อยและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทั้งให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสนับสนุนผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชน พร้อมให้ข้อเสนอแนะเพิ่มมาตรการ การลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และการส่งเสริมการนำอ้อยสดเข้าหีบให้เป็นไปตามมติ ครม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยสถิติเฟคนิวส์รายสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมรักษาโรค ขณะที่ข่าวปลอมนโยบายรัฐยังนำโด่ง ควบคู่แบงค์พาณิชย์ปลอมระบาดหนัก
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ดีอีเอส เผยสถิติเฟคนิวส์รายสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมรักษาโรค ขณะที่ข่าวปลอมนโยบายรัฐยังนำโด่ง ควบคู่แบงค์พาณิชย์ปลอมระบาดหนัก ดีอีเอส เผยสถิติเฟคนิวส์รายสัปดาห์ ประชาชนแห่สนใจข่าวปลอมรักษาโรค ขณะที่ข่าวปลอมนโยบายรัฐยังนำโด่ง ควบคู่แบงค์พาณิชย์ปลอมระบาดหนัก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เผยตัวเลขเฟคนิวส์รายสัปดาห์ แม้ข่าวปลอมนโยบายรัฐนำโด่ง แต่เรื่องของสุขภาพยังมาแรง พบประชาชนสนใจ และค้นหามากที่สุด ขณะที่ มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นแบงค์พาณิชย์ไม่แผ่ว เตือนประชาชนอย่าเสียรู้โจร เช็คข้อมูลทุกด้านให้ดีก่อนหลงเชื่อ นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า สรุปผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 3,234,788 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 246 ข้อความ แบ่งเป็นข้อความที่มาจาก Social listening จำนวน 200 ข้อความ และข้อความที่มาจาก Line Official จำนวน 46 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 123 เรื่อง ทั้งนี้ ดีอีเอสได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ เป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ข่าวปลอมเรื่องนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศจำนวน 69 เรื่อง กลุ่มที่ 2 ข่าวปลอมเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 27 เรื่อง กลุ่มที่ 3 ข่าวปลอมเรื่องภัยพิบัติ จำนวน 6 เรื่อง กลุ่มที่ 4 ข่าวปลอมเศรษฐกิจ จำนวน 21 เรื่อง สำหรับข่าวปลอมทั้ง 4 กลุ่มมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องโควิค-19 จำนวน 2 เรื่อง “เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจลำดับต้นๆ ในสัปดาห์นี้ พบว่าภาพรวมที่ประชาชนสืบค้นส่วนใหญ่เป็นข่าวปลอมเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพและการรักษาโรค ซึ่งข้อความที่โพสต์นั้นมีความเกินจริงอยู่มาก จึงอยากให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น โรงพยาบาล หรือสถานบริการด้านสาธารณสุข เพราะเป็นเรื่องของชีวิต และความเป็นความตาย อย่าหลงเชื่อและทำตามข้อความเหล่านั้น อีกเรื่องที่ดีอีเอสมีความเป็นห่วงคือ เรื่องโจรไซเบอร์ที่ปลอมตัวเป็นธนาคารพาณิชย์ และนับวันจะสร้างการปลอมแปลงที่ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย เช่น นำโลโก้ของธนาคารพาณิชย์ มาเป็นสัญลักษณ์ ผ่านข้อความเชิญชวนให้กู้เงินออนไลน์ หรือแอบอ้างเป็นผู้ให้บริการเงินกู้จากสถาบันการเงิน หลอกลวงประชาชน ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง ข้อความในโทรศัพท์มือถือ สื่อสังคมออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟสบุ๊ก และแอปพลิเคชั่นเงินกู้ จึงอยากเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นผู้ให้บริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพย์สิน” นางสาวนพวรรณ กล่าว สำหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด 10 อันดับระหว่างวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2566 ดังนี้ อันดับที่ 1 เรื่อง ออมสิน เปิดให้กู้สินเชื่อธุรกิจบุคคลธรรมดา ผ่านเพจ Yayee GSB อันดับที่ 2 เรื่อง กรมขนส่งเปิดอบรมใบขับขี่ออนไลน์ที่บ้าน อันดับที่ 3 เรื่อง ออมสินเปิดกู้ SMEs เต็มสุข เต็มสิบ ผ่านเพจ Popppp อันดับที่ 4 เรื่อง ดื่มน้ำต้มใบและดอกมะละกอ ช่วยรักษามะเร็ง อันดับที่ 5 เรื่อง ห้ามกินลูกพลับต่อด้วยนมเปรี้ยวและกล้วยหอม จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย อันดับที่ 6 เรื่อง ผลิตภัณฑ์สมุนไพร G-Herb ป้องกันมะเร็งผิวหนัง กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บำรุงร่างกาย ผื่นคัน เป็นหนอง อันดับที่ 7 เรื่อง กระเจี๊ยบมอญหรือกระเจี๊ยบเขียว รักษาโรคโปรตีนรั่วได้ อันดับที่ 8 เรื่อง ผลิตภัณฑ์ P57 Hoodia ลดน้ำหนักได้สูงสุดถึง 10 กก. ต่อเดือน และช่วยลดการดูดซึมไขมัน เร่งการเผาผลาญ ยับยั้งความอยากอาหาร อันดับที่ 9 เรื่อง ชาสมุนไพรธัมม์ดี บำรุงร่างกาย ต้านไวรัส บำรุงปอด ปรับสมดุลของความเป็นกรดและด่างในเลือด บำรุงเลือด ภูมิต้านทานดี ปรับสมดุลธาตุและล้างสารพิษ อันดับที่ 10 เรื่อง ดื่มมะระขี้นกชงกับน้ำร้อน ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งเเละเนื้องอก ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ติดตามความเคลื่อนไหวข้อความที่ผิดปกติในทุกช่องทาง และได้มีการติดตามการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพในทุกรูปแบบ หากท่านได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติ ผ่านเอสเอ็มเอส หรือทางโทรศัพท์ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ขอให้ท่านตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายอยู่บนโซเชียลมีเดีย และออนไลน์ โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน!! กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครพนักงานทำความสะอาด ประเทศญี่ปุ่น 10 อัตรา สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 66
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ด่วน!! กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครพนักงานทำความสะอาด ประเทศญี่ปุ่น 10 อัตรา สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 66 กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานแรงงานทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด จำนวน 10 อัตรา สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566 ยื่นใบสมัครได้ทางอีเมล [emailprotected] นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานแรงงานทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดอาคาร จำนวน 10 อัตรา กับนายจ้างจำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท SBM จำกัด บริษัท Seibi จำกัด บริษัท Maintenance Care จำกัด และบริษัท IBS จำกัด โดยมีศูนย์ฝึกอบรมการบำรุงรักษาอาคาร (Building Maintenance Training Center : BMTC) ซึ่งประกอบกิจการสำนักงานบำรุงรักษาอาคารในประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวแทนนายจ้าง สำหรับลักษณะงาน เป็นงานทำความสะอาดอาคาร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและถูกสุขอนามัยในอาคารต่าง ๆ ตามลักษณะของแต่ละสถานที่ ไม่ใช่การทำความสะอาดบ้านหรือแม่บ้าน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ทางเว็บไซต์ doe.go.th/overseas หรือเฟซบุ๊ก : แรงงานไทยไปต่างประเทศโดยรัฐจัดส่ง และยื่นใบสมัครได้ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ [emailprotected] ตั้งแต่บัดนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2566 นายไพโรจน์กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติเบื้องต้น รับเฉพาะเพศหญิง อายุ 18 – 40 ปีบริบูรณ์ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา มีใบรับรองผ่านการทดสอบวัดความรู้ภาษาญี่ปุ่น (JLPT) N4 หรือผ่านการทดสอบพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น (JFT) A2 หรือเคยเป็นผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 3 ปี สุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่มีรอยสัก ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยมีประวัติการพำนักอาศัยผิดกฎหมายหรือทำงานผิดกฎหมายในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอื่น ๆ มีสัญญาจ้างเป็นระยะเวลา 1 ปี และสามารถต่ออายุทุกปี สูงสุดรวม 5 ปี โดยนายจ้างรับผิดชอบค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไป – กลับ (ไทย – ญี่ปุ่น) ช่วยจัดหาที่พัก ส่วนคนงานรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่พัก โดยแต่ละบริษัทมีอัตราค่าจ้าง ดังนี้ 1.บริษัท SBM จำกัด จำนวน 3 อัตรา ค่าตอบแทน 47,520 บาทต่อเดือน 2.บริษัท Seibi จำกัด จำนวน 2 อัตรา ค่าตอบแทน 46,590 บาทต่อเดือน 3.บริษัท Maintenance Care จำกัด จำนวน 2 อัตรา ค่าตอบแทน 45,865 บาทต่อเดือน 4.บริษัท IBS จำกัด จำนวน 3 อัตรา ค่าตอบแทน 45,253 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ การรับสมัครเป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานแรงงานทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นโดยวิธีรัฐจัดส่ง ดังนั้น คนหางานไม่ต้องเสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น โดยสามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับสมัครงาน เอกสารที่ต้องใช้ ได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หัวข้อ “ข่าวประกาศรับสมัคร” เรื่อง “ประกาศกรมการจัดหางาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานแรงงานทักษะเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดอาคาร” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายจัดส่งไปทำงานไต้หวัน และประเทศอื่น โทร 02 245 1034 ในวันเวลาราชการ หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพฯ ยกระดับเพิ่มความเข้มข้นป้องปรามขับเคลื่อนทุเรียนไทย ทุเรียนคุณภาพ
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพฯ ยกระดับเพิ่มความเข้มข้นป้องปรามขับเคลื่อนทุเรียนไทย ทุเรียนคุณภาพ กระทรวงเกษตรฯ ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพฯ ยกระดับเพิ่มความเข้มข้นป้องปรามขับเคลื่อนทุเรียนไทย ทุเรียนคุณภาพ นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรเพื่อการส่งออกทุเรียนของประเทศไทย ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (135) และผ่านระบบ Zoom Meeting โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) โดย กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร และการซ้อมแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี โดย เกษตรและสหกรณ์จังหวัดจันทบุรี เกษตรจังหวัดจันทบุรี และสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญในการควบคุมและป้องกันทุเรียนอ่อนทุเรียนด้อยคุณภาพเพื่อให้ผลผลิตทุเรียนที่จะทำการส่งออกต้องได้คุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานการส่งออกที่กำหนด โดยในปี 2566 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องปรามปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพและการสวมสิทธิ์ใช้ใบรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) โดยมีความก้าวหน้าการดำเนินงาน ดังนี้ คณะทำงานแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพฯ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตร จัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพโดยเพิ่มการป้องปรามตั้งแต่สวนจนถึงมือของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยระดมเจ้าหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติงานในพื้นที่ และให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวบรวมประมวลเป็นโครงการในภาพรวม เสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) พิจารณา อาทิ โครงการตรวจเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งเนื้อทุเรียนก่อนตัด เพื่อควบคุมและป้องกันทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาดในฤดูกาลผลิต ปี 2566 พร้อมกันนี้ได้มีการยกระดับกระบวนการส่งออกทุเรียนให้มีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสนับสนุนการปฏิบัติงาน และกำกับดูแลคุณภาพของทุเรียน ตั้งแต่สวน โรงคัดบรรจุ จนถึงการส่งออก ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความเห็นชอบแผนงานดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงาน (รายเดือน) เพื่อกำกับติดตามผลการปฏิบัติงาน และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานรวมถึงปัญหาอุปสรรคเป็นประจำ พร้อมทั้งให้นำข้อมูลผลการปฏิบัติงานไปใช้ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งเพื่อให้ฝ่ายเลขาฯ สรุปและรายงานผลการดำเนินงานให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. เปิดการอบรมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 6 เน้นย้ำ นายอำเภอต้องเป็นผู้นำสร้าง Partnership ในพื้นที่ ด้วยการสร้างทีม และพบปะพูดคุยกับทีม
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ปลัด มท. เปิดการอบรมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 6 เน้นย้ำ นายอำเภอต้องเป็นผู้นำสร้าง Partnership ในพื้นที่ ด้วยการสร้างทีม และพบปะพูดคุยกับทีม ปลัด มท. เปิดการอบรมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 6 เน้นย้ำ นายอำเภอต้องเป็นผู้นำสร้าง Partnership ในพื้นที่ ด้วยการสร้างทีม และพบปะพูดคุยกับทีมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ปลัด มท. เปิดการอบรมอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 6 เน้นย้ำ นายอำเภอต้องเป็นผู้นำสร้าง Partnership ในพื้นที่ ด้วยการสร้างทีม และพบปะพูดคุยกับทีมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 66 เวลา 13.00 น. ที่ห้อง War Room อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดและบรรยายพิเศษ “ทำไมต้อง “CAST” ให้กับผู้เข้าร่วมการอบรมตามโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน รุ่นที่ 6 โดยได้รับเมตตาจาก พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต (วัชระ ภทฺทธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ร่วมรับฟัง โดยมี นายอำเภอ และภาคีเครือข่ายของอำเภอ 112 อำเภอ อำเภอละ 10 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,120 คน ร่วมรับฟังผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกลไปยังศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน จำนวน 11 ศูนย์ทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุบลราชธานี อุดรธานี นครราชสีมา ลำปาง พิษณุโลก เพชรบุรี นครศรีธรรมราช นครนายก สระบุรี ยะลา และชลบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการอำเภอ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน หรือ CAST (Change Agent for Strategic Transformation) นั้น มีหัวใจสำคัญ คือ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข จะสำเร็จได้ต้องเกิดจากการที่พวกเราชาวมหาดไทย มีทีมงานที่ดี แข็งแกร่ง โดยทีมงานที่ดีในที่นี้ หมายถึง ทีมงานของนายอำเภอในระดับพื้นที่ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยทีมงานที่เป็นทางการ หรือตามที่กฎหมายกำหนด นั้น ประกอบไปด้วย ทีมระดับอำเภอและตำบล และในส่วนของทีมที่ไม่เป็นทางการ หรือทีมจิตอาสา ประกอบไปด้วย 7 ภาคีเครือข่าย อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคศาสนา ภาควิชาการ และภาคสื่อสารมวลชน ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีทีมงานที่ดีนั้น เนื่องจาก พวกเราข้าราชการชาวมหาดไทยทุกคนที่ทำงานร่วมกับประชาชน มีวาระการทำงานในตำแหน่งที่ค่อนข้างสั้น ด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากการโยกย้าย เกษียณ หรือสาเหตุอื่น ๆ ส่งผลให้โครงการหรืองานที่เคยดำเนินการไว้เกิดการหยุดชะงัก จากการที่มีการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบ สิ่งนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้าราชการชาวมหาดไทยต้องลุกขึ้นมา CAST หรือ สร้างการบูรณาการอย่างยั่งยืน ผ่านการสร้าง Partnership ที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้นายอำเภอที่เปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรีของอำเภอนั้น มีทีมงานในระดับพื้นที่ ที่สามารถขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตอบรับกับเป้าหมาย SDGs ขององค์การสหประชาชาติ ในเป้าหมายที่ 17 การเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน "ทั้งนี้ โครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข นั้น นายอำเภอต้องให้ความสำคัญกับการบูรณาการ 2 ประเภท คือ 1. การบูรณาการในเรื่องของ “ทีม” และ 2. การบูรณาการในเรื่องของ “งาน” โดย การบูรณาการในเรื่องของ “ทีม” นั้น นายอำเภอต้องมีการพูดคุย พบปะ ระหว่างบุคลากรภายในทีมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในส่วนของทีมที่เป็นทางการและทีมที่ไม่เป็นทางการ เพื่อเป็นสัญลักษณ์และเป็นเครื่องยืนยันว่า นายอำเภอ พร้อมที่จะเป็นผู้นำการขับเคลื่อนมาสู่พื้นที่ สร้างการบูรณาการร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ดังที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้กล่าวไว้ว่า หากท่านเป็นนายอำเภอที่ดี ท่านก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีในพื้นที่ที่ดีได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากนายอำเภอไม่มีทีมที่เข้มแข็ง และสำหรับในส่วนของ “งาน” นั้น เมื่อนายอำเภอมีทีมที่เข้มแข็งดังที่กล่าวไปข้างต้นได้แล้วนั้น ก็จะนำมาสู่การทำงานที่มาจากการร่วมมือกันของทุกฝ่ายในพื้นที่ ที่จะช่วยกันสอดส่องดูแล สร้างการพัฒนาร่วมกัน ก่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีของการทำงาน เป็นไปตามพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานแก่ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในโอกาสที่กระทรวงมหาดไทยครบรอบ 100 ปี เมื่อวันพุธที่ 1 เมษายน 2535 ความว่า “...หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย พูดอย่างรวบรัด คือ การอำนวยความสุขสวัสดีแก่ทวยราษฎร์ และการอำนวยความสุขสวัสดีที่ทำอยู่นั้น อาจจำแนกตามประเภทงานได้เป็น 4 ด้าน คือ การอำนวยความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การพัฒนาอาชีพและฐานะความเป็นอยู่ การพัฒนาจิตใจให้อยู่ร่วมกันได้ ด้วยความสุขและความสามัคคีปรองดอง และการให้การศึกษาเพื่อสร้างอนาคตที่แจ่มใส...” ซึ่งหากพวกเราชาวมหาดไทยสามารถบรรลุเป้าหมายของการทำงานนี้ได้นั้น ก็จะส่งผลให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข อย่างยั่งยืน" ปลัด มท. กล่าว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน จะสร้างแรงบันดาลใจ และ Passion ร่วมกันของทีมอำเภอ และ 7 ภาคีเครือข่าย ผ่านการเข้าร่วมอบรมตามโครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบไปด้วยหลักสูตรการบรรยายโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงกิจกรรมภาคปฏิบัติที่จะช่วยฝึกฝนให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปประยุกต์และปรับใช้ในการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ร่วมกัน เสริมสร้างศักยภาพให้แก่นายอำเภอ และทีมภาคีเครือข่ายที่มาจากผู้แทนประชาชนในพื้นที่ ประสานพลังพื้นที่และชุมชน บูรณาการกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันที่อยากจะช่วยเหลือโลกใบนี้ เพื่อ Change for Good สร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น สอดคล้องตามหลักการทำงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" อันจะก่อให้เกิด การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดหนองบัวลำภู น้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดพิธีรับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ผัก เพื่อมอบให้กับประชาชน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 จังหวัดหนองบัวลำภู น้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดพิธีรับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ผัก เพื่อมอบให้กับประชาชน จังหวัดหนองบัวลำภู น้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดพิธีรับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ผัก เพื่อมอบให้กับประชาชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน วันนี้ (21 ก.พ. 66) นายสุวิทย์ จันทร์หวรผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู เปิดเผยว่า จังหวัดหนองบัวลำภู ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดว่า "หนองบัวลำภู เมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว" โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้วยการพัฒนาศักยภาพของครัวเรือนและชุมชน ในการประกอบสัมมาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนหนองบัวลำภูสามารถ "พึ่งพาตนเอง" และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต อันสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อยังผลทำให้ประชาชนทุกครัวเรือน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การน้อมนำพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญทำให้คนในชุมชน และครัวเรือน หันมาสนใจที่จะปลูกผักเพื่อบริโภคเองด้วยเมล็ดพันธุ์ที่ดีจากต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง สร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ สร้างความรู้สึกว่าการปลูกผักสวนครัวไม่ใช่เรื่องยาก ปลูกแล้วครอบครัวจะมีผักที่ปลอดภัยหมุนเวียนกินตลอดปี อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อีกด้วย "เมื่อวานนี้ (20 ก.พ. 66) ณ อาคารอเนกประสงค์เรือนจำชั่วคราวบ้านห้วยเตย หมู่ที่ 3 ตำบลหนองหว้า อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู ได้จัดพิธีรับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ผักของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 42 ชุด ให้แก่นายอำเภอทุกอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการพัฒนาสตรีหมู่บ้าน และอาสาพัฒนาชุมชน โดยได้รับเมตตาจาก พระราชวชิรธาดา เจ้าคณะจังหวัดหนองบัวลำภู โดยมี นายศศิน พัฒนภิรมย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานในพิธี ซึ่งการจัดพิธีในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ได้รับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ได้เชิญเมล็ดพันธุ์ผักไปมอบให้กับเกษตรกร และพี่น้องประชาชนพื้นที่ตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง และประชาชนทุกอำเภอ สำหรับนำไปปลูกไว้บริโภคในครัวเรือน ตามพระราชดำริ "บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง" ซึ่งจะทำให้สมาชิกในครอบครัวได้มีผักที่ปลอดภัย ปลอดสารเคมี ไว้บริโภคในครัวเรือน ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างกิจกรรมก่อให้เกิดความสามัคคีในครัวเรือน และในชุมชน ที่ทำให้เกิดผลโดยตรง นั่นคือ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ถึงวันละ 50-100 บาท และยังสามารถเก็บสะสมเมล็ดพันธ์ุไว้ปลูกในรุ่นต่อไปในครัวเรือน และแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน หรือญาติสนิทมิตรสหาย พี่น้องประชาชนในพื้นที่อำเภอ และพื้นที่อื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและครอบครัวได้อีกด้วย" ผวจ.หนองบัวลำภู กล่าว นายสุวิทย์ จันทร์หวร กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดหนองบัวลำภูได้รณรงค์ให้มีการปลูกผักสวนครัวทุกครัวเรือนทั่วทั้งจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เน้นการพึ่งตนเอง และความสามัคคีของคนในชุมชน และเพื่อเป็นการต่อยอดและขยายผลการดำเนินงานโครงการปลูกผักสวนครัว สร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความยั่งยืน อันจะทำให้พี่น้องประชาชนคนหนองบัวลำภูได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างชาติฝ่าฝืนประกาศ งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างชาติฝ่าฝืนประกาศ งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างชาติแย่งอาชีพคนไทยตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 – 13 ก.พ.2566 ตรวจสอบสถานประกอบการ 14,104 แห่ง ดำเนินคดีแล้ว 500 แห่ง ตรวจสอบคนต่างชาติ 196,402 คน ดำเนินคดีแล้ว 1,143 คน พบว่าเป็นการแย่งอาชีพคนไทย 600 คน อาชีพที่พบมากที่สุด คือ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ ซึ่งคนต่างชาติที่ทำงานนอกเหนือสิทธิมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท ส่วนนายจ้างที่ให้คนต่างชาติทำงานนอกเหนือสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาทต่อคนต่างชาติ 1 คน ทั้งนี้ผู้พบเห็นการจ้างคนต่างชาติทำงานผิดกฎหมายแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.จันทบุรี-จ.ระยอง 22 ก.พ. นี้ ตรวจติดตามการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พร้อมรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.จันทบุรี-จ.ระยอง 22 ก.พ. นี้ ตรวจติดตามการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พร้อมรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี ​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.จันทบุรี-จ.ระยอง 22 ก.พ. นี้ ตรวจติดตามการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พร้อมรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี-ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน รพ.พระปกเกล้า-เปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทยธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการที่จะเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดระยอง ในวันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ เพื่อตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาสำคัญในพื้นที่ ทั้งการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งอย่างเป็นระบบทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระปกเกล้า และรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขต อ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี พร้อมเป็นประธานเปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 จังหวัดระยอง ตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีมีภารกิจตามกำหนดการ ดังนี้ เวลาประมาณ 07.15 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ออกเดินทางจากสนามเฮลิคอปเตอร์ พล.ม. 2 รอ. ไปยังจุดจอด ฮ. กองพันทหารราบที่ 2 ค่ายตากสิน ต.วัดใหม่ อ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี เพื่อเดินทางไปพบปะประชาชน รับฟังปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลอำเภอแหลมสิงห์ ณ วัดเขาตาหน่วย ต.เกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี พร้อมทั้งตรวจพื้นที่บริเวณบ้านประชาชนที่ได้รับผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เพื่อวางแผนบริหารจัดการชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้การบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังโรงพยาบาลพระปกเกล้า ต.วัดใหม่ อ.เมืองจันทบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ชึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของจังหวัดจันทบุรี และมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูงในสาขาโรคมะเร็ง มีศักยภาพเป็นอันดับ 7 ของประเทศไทย ก่อนเดินทางต่อไปยังวัดโค้งสนามเป้า ต.ท่าช้าง อ.เมืองจันทบุรี เพื่อพบปะประชาชนและรับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขตอำเภอเมืองจันทบุรี ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 14.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ณ สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดระยอง ต.ชุมแสง อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เพื่อกระตุ้นทุกภาคส่วนร่วมมือกันพัฒนายางพาราไทยให้ก้าวไปไกลไปสู่นวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่อคนไทยทุกคน และส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาล พร้อมเป็นสักขีพยานในโอกาสการลงนามการจับคู่ธุรกิจ โดยบันทึกความร่วมมือในการทำธุรกิจร่วมกันในประเทศไทย และเยี่ยมชมนิทรรศการการประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรอุตสาหกรรม ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเย็นวันเดียวกัน ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม สำหรับจังหวัดจันทบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีจุดเด่นและศักยภาพที่สำคัญ ได้แก่ เป็นแหล่งผลิตและแปรรูปสินค้าการเกษตรที่มีบทบาทและความสำคัญของประเทศ โดยปี 2563 จังหวัดจันทบุรีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร 80,165 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 56.2 ของผลิตมวลรวมจังหวัด และร้อยละ 5.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรของประเทศ) ซึ่งสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญของภาคตะวันออก ซึ่งมีความโดดเด่นด้านความหลากหลายของวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา และมีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของพื้นที่ที่ชัดเจน อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดได้ตลอดทั้งปี เช่น ประเพณีนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ (พระบาทพลวง) โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ชุมชนริมน้ำจันทบูร อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว หมู่บ้านไร้แผ่นดิน หาดเจ้าหลาว หาดคุ้งวิมาน พร้อมทั้งมีศักยภาพในการพัฒนาการค้าชายแดนที่สามารถเชื่อมโยงการผลิต การท่องเที่ยว และการค้าระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจังหวัดจันทบุรี มีมูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น จาก 28,011 ในปี 2563 เป็น 29,873 ล้านบาทในปี 2564 โดยมีจุดผ่านแดนถาวร 2 จุด ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม และจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อีกทั้งมีจุดผ่อนปรนบ้านซับตารีที่มีศักยภาพซึ่งสามารถยกระดับไปสู่การเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายอัญมณีแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งสามารถสนับสนุนและยกระดับให้จังหวัดจันทบุรีก้าวสู่การเป็นเมืองอัญมณีแห่งอาเซียน ขณะที่จังหวัดระยองก็มีศักยภาพและบทบาทที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยปี 2563 จังหวัดระยองมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดสูงเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ (857,191 ล้านบาท) รองจากกรุงเทพมหานคร และจังหวัดชลบุรี รวมทั้งเป็นฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นจังหวัดหนึ่งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายประเภท ได้แก่ การผลิตยานยนต์ การผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นฐานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อีกทั้งเป็นแหล่งที่ตั้งของบริษัทหรือโรงงานผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก เช่น บริษัทในเครือโกลว์ กรุ๊ป บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี นอกจากนี้ เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) และเป็นพื้นที่แรกในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม SMART PARK ในการรองรับอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงมีโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของจังหวัดระยองและประเทศ เช่น นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อมโยง 3 สนามบิน โครงการรถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi อีกทั้งเป็นแหล่งทำการเกษตรที่สำคัญของภาคตะวันออก โดยเป็นพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง โรงงานไก่เนื้อ สุกร รวมทั้งผลไม้ และมีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ได้แก่ เกาะเสม็ด เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.- BOT ประชุมหารือ Green Finance หนุน SMEs ปรับตัว ESG
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 บสย.- BOT ประชุมหารือ Green Finance หนุน SMEs ปรับตัว ESG บสย.ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูง ธปท. เพื่อร่วมประชุมหารือในหัวข้อ “Green Finance” ความร่วมมือระหว่าง ธปท. และ บสย. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อสนับสนุน SMEs ที่ดำเนินธุรกิจ โดยยึดแนวทางให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ESG นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สายงานการเงิน และผู้บริหาร บสย. ให้การต้อนรับ คณะผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมประชุมหารือ ในหัวข้อ “Green Finance” ความร่วมมือระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ บสย. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อสนับสนุน SMEs ที่ดำเนินธุรกิจ โดยยึดแนวทางให้ความสำคัญ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ การกำกับดูแลหรือ ธรรมาภิบาล (ESG : Environment Social Governance) นำโดย นายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน นายบัญชา มนูญกุลชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการชำระเงินและพันธบัตร ดร.วิภาวิน พรหมบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน นางสาวศิริพิมพ์ วิมลเฉลา ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ในโอกาสนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา Platform ร่วมกันระหว่าง บสย. และ สถาบันการเงิน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ ร่วมกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อ สำหรับ SMEs ที่สนใจเข้าสู่ ESG ในอนาคตเพื่อเปิดโอกาสยกระดับพัฒนาองค์กรสู่ธุรกิจยั่งยืน ณ ห้องประชุมชั้น 18 สำนักงานใหญ่ บสย. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ด EV ไฟเขียวตั้งคณะอนุฯ ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) กระทรวงอุตฯ ดึง 29 หน่วยงานร่วมกำหนดแนวทางการขับเคลื่อน
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 บอร์ด EV ไฟเขียวตั้งคณะอนุฯ ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) กระทรวงอุตฯ ดึง 29 หน่วยงานร่วมกำหนดแนวทางการขับเคลื่อน บอร์ด EV ไฟเขียวให้กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) ดึง 29 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงในประเทศให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณามาตรการขับเคลื่อนการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเป็นรถยนต์กลุ่มใหญ่ของประเทศ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ โดยได้มีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) ภายใต้บอร์ด EV ซึ่งประกอบไปด้วย 29 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ กรมบัญชีกลาง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอาชีวศึกษา คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เป็นต้น โดยมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นเลขานุการในคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว โดยมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ได้แก่ รถยนต์ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสาร รถบรรทุก เรือ รถไฟไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน จัดทำมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการบริหารและการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงและชิ้นส่วน หรือภารกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่คณะกรรมการฯ มอบหมาย โดยหลังจากนี้จะดำเนินการเสนอรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อลงนามคำสั่งแต่งตั้ง และจะดำเนินการวางแผนงานกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงร่วมกับคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 29 หน่วยงานต่อไป ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้จัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องยานยนต์ไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการจัดทำมาตรฐาน ซึ่งมีทั้งที่อยู่ระหว่างการจัดทำและประกาศใช้แล้ว รวมจำนวน 138 มาตรฐาน เช่น สถานีชาร์จ รถยนต์ไฟฟ้า จักรยานยนต์ไฟฟ้า รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ระบบการสื่อสารระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับโครงข่ายไฟฟ้า ระบบขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า ระบบเบรกของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เต้าเสียบและเต้ารับสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และการป้องกันผู้โดยสารเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้าและด้านข้าง เป็นต้น โดยมี 3 มาตรฐานที่อยู่ระหว่างดำเนินการเป็นมาตรฐานบังคับ ได้แก่ สถานีชาร์จ แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และการป้องกันผู้โดยสารเมื่อเกิดการชนจากด้านหน้าและด้านข้าง และขณะนี้ สมอ. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ได้แก่ ชุดชิ้นส่วนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง นอกจากนี้ ยังได้จัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรมเอสสำหรับผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 2 มาตรฐาน ได้แก่ การบริการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้า มอก. เอส 221-2566 มีผู้ประกอบการยื่นขอการรับรองแล้ว จำนวน 3 ราย และการบริการดัดแปลงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มอก. เอส 222-2566 มีผู้ประกอบการยื่นขอการรับรองแล้ว จำนวน 1 รายซึ่งการดำเนินงานด้านการมาตรฐานของ สมอ. จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลกต่อไป เลขาธิการ สมอ. กล่าว 20 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ปลุกคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ เปิดค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา เยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม (Seed Thailand) เป็นรุ่นที่ 2
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 วธ. ปลุกคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ เปิดค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา เยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม (Seed Thailand) เป็นรุ่นที่ 2 วธ. ปลุกคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ เปิดค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา เยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม (Seed Thailand) เป็นรุ่นที่ 2 เดือนมีนาคมนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ชวนเด็ก เยาวชน 17 จังหวัดภาคเหนือ วธ. ปลุกคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ เปิดค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนา เยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม (SeedThailand)เป็นรุ่นที่ 2 เดือนมีนาคมนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ชวนเด็กเยาวชน 17จังหวัดภาคเหนือ เรียนรู้เทคนิคผลิตสื่อ - การสร้างเครือข่ายเยาวชนผ่านสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย บ่มเพาะปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงามให้แก่คนในสังคม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ได้ดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น 10 การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม และแผนปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ด้านวัฒนธรรมกีฬา แรงงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต นอกจากนี้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาเครือข่าย เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเด็กเยาวชนซึ่งเป็นวัยที่กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และเป็นกำลังสำคัญในตลาดแรงงาน ให้มีความเข้มแข็งและเป็นแนวร่วมในการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเป็นการเสริมสร้างและปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรมและคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ให้แก่เด็กเยาวชนและครอบครัว ผ่านกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาครอบครัวคุณธรรมให้เกิดความเข้มแข็ง เนื่องจากครอบครัวเป็นสถาบันหลัก แห่งแรกในการหล่อหลอม บ่มเพาะปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงามให้แก่คนในสังคมต่อไป ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.ได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรมระดับภาค(SeedThailand) รุ่นที่1กลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร รวม 26 จังหวัด เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมริเวอร์ตัน อัมพวา อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งผลจากการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 90 คน พบว่าร้อยละ 74.6 มีความพึงพอใจต่อการจัดการอบรม และร้อยละ 64.6 มีความพึงพอใจในการการศึกษาดูงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้และชุมชนคุณธรรม และร้อยละ 63.7 พึงพอใจระดับมากในการนำความรู้และเนื้อหาการอบรมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างไรก็ตามวธ.กำหนดจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม ระดับภาค(Seed Thailand) เป็นรุ่นที่ 2 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด โดยรุ่นที่ 2 มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการและชำนาญการ เยาวชนเครือข่ายสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 90 คนเข้าร่วมอบรมฯ ระหว่างวันที่ 7 - 10 มีนาคม 2566 ณ โรงแรมเชียงใหม่ ออคิด อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่และศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ “การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการรุ่นที่ 2 จะมีคณะวิทยากรจะถ่ายทอดความรู้เรื่องการรู้ทันภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21 และความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ การรู้เท่าทันการสื่อสารยุคดิจิทัลรวมถึงการรู้เท่าทันข่าวปลอม (Fake News) ที่สำคัญจะให้ความรู้เรื่องการรับมือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyber Bully) และความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนการฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับการผลิตสื่อสร้างสรรค์และการสร้างเครือข่ายเยาวชนผ่านสังคมบนโลกออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยด้วย” นางยุพา กล่าว อย่างไรก็ตาม โครงการการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ เสริมสร้างครอบครัวคุณธรรม ระดับภาค (Seed Thailand) มีเป้าหมายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั้ง 4 ภูมิภาค รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้นกว่า 400 คน โดยการจัดอบรมฯ ในรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 จะจัดอบรมในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ เพื่อพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมให้เกิดความเข้มแข็ง เสริมสร้างและปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรม และคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ให้แก่เยาวชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนค่านิยมเชิงบวกและเสริมสร้างสังคมคุณธรรมในบริบทของสังคมไทยให้ยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เลื่อนใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เลื่อนใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป ครม.เลื่อนใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ครม.เห็นชอบปรับเปลี่ยนกำหนดเวลาบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ ตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป จากเดิมภายในปี 2564 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ส่งผลให้ภาคเอกชนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาภายในปี 2564 ได้ จึงจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 ออกไป พร้อมกันนี้ ครม.มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการกำหนดแผนเพื่อบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 สำหรับผลิตภัณฑ์รถยนต์ใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะได้เตรียมความพร้อมและวางแผนการผลิตรถยนต์ได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดได้และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ การบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จะทำให้ภาคเอกชนมีความพร้อมในทางปฏิบัติ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมบังคับใช้กฎหมายให้การผลิตรถยนต์ใหม่ต้องเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 และภาคเอกชนหลายรายสามารถผลิตรถยนต์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 แล้ว โดยบางส่วนอยู่ระหว่างลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต ส่วนมาตรการจูงใจนั้น กระทรวงการคลังได้กำหนดให้รถกระบะดีเซลที่มีค่า PM ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร (เทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5) จะได้ลดภาษีสรรพสามิต นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้ออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่เทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 รองรับไว้แล้ว นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า มาตรฐานยูโร เป็นมาตรฐานเพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษไอเสียของยานพาหนะในทวีปยุโรป โดยทวีปยุโรปเริ่มกำหนดมาตรฐานยูโร 1 ในปี 2535 ขณะที่ ไทยเริ่มบังคับใช้มาตรฐานยูโร 1 ตั้งแต่ปี 2541 และเพิ่มระดับมาตรฐานจนถึงมาตรฐานยูโร 4 ในปี 2555 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ มาตรฐานยูโร 5 และยูโร 6 มีความแตกต่างจากมาตรฐานยูโร 4 หลายประการ อาทิ การเพิ่มมาตรฐานการวัดจำนวนอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก (PN) และกำหนดค่ามาตรฐานออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และสารไฮโดรคาร์บอน (HC) (เป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5) ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2566
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก) http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ สันติไมตรี (หลังนอก) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำนวน 3 ฉบับ 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565) 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีอากรสำหรับการร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง) เศรษฐกิจ-สังคม 6. เรื่อง นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก 7. เรื่อง การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 8. เรื่อง รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ประจำปี 2565 9. เรื่อง รายงานผลการกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB236A เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 10. เรื่อง รายงานผลการวิเคราะห์ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี พ.ศ. 2565 (Corruption Perceptions Index: CPI 2022) 11. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2565 เรื่อง โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ 12. เรื่อง ข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมปศุสัตว์เพื่อโอกาสในการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจประเทศอย่างเป็นธรรม 13. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหารถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนทดแทนที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 14. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 15. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 16. เรื่อง ผลการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมของกรมการขนส่งทางบก 17. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี 18. เรื่อง โครงการการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ให้มีศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก (M1) และมีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม 19. เรื่อง โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) 20. เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 21. เรื่อง การพิจารณามีมติให้มีการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของบรรดาภารกิจที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 นี้ใช้บังคับ ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ 22. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” 23. เรื่อง ร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (พ.ศ. 2566 - 2570) 24. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2566 25. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ทั้งปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 26. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเยียวยาซื้อเรือประมงในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ตามโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกรณีเร่งด่วน (เรือชุดที่ 1) 27. เรื่อง รับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 และขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2565 28. เรื่อง ขอรับความอนุเคราะห์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ต่างประเทศ 29. เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ 30. เรื่อง การต่ออายุการบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 31. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือภายใต้โครงการทุนการศึกษา Stipendium Hungaricum ประจำปี ค.ศ. 2023 – 2025 ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการี 32. เรื่อง การลงนามข้อตกลงเพื่อการใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ (CTS User Agreement) 33. เรื่อง ขออนุมัติการดำเนินโครงการ Country Programme (CP) ระยะที่ 2 และการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการต่ออายุโครงการ Country Programme ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) 34. เรื่อง ผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยนโยบายวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนของยูเนสโก (Mondiacult 2022) 35. เรื่อง การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ 36. เรื่อง สรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 40 และ 41 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง 37. เรื่อง กรอบการเจรจาสำหรับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด - แปซิฟิก (Indo - Pacific Economic Framework: IPEF) แต่งตั้ง 38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) 41. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) 42. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข) 43. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม 44. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ _______________________________ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ มท. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล พ.ศ. 2565 เพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการขอรับบริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันกรมการปกครองได้มีการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล โดยผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน D.DOPA และทางเว็บไซต์ BORA Web Portal ของกรมการปกครอง (thportal.bora.dopa.go.th) ซึ่งในส่วนงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลได้ให้บริการในส่วนการแจ้งการย้ายที่อยู่ และการคัด หรือคัดและรับรองรายการทะเบียนบ้าน ทะเบียนประวัติและทะเบียนคนเกิด โดยได้มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรที่ต้องเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการด้วยระบบดิจิทัลเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 12 มีนาคม 2566 ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานและการให้บริการประชาชนเกี่ยวกับทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยความสะดวกและเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้ขอรับบริการได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน จึงสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมและการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้าแล้ว โดยกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลตาม 1) กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 (เช่น การขอคัดและรับรองสำเนาทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด หรือทะเบียนคนตาย มีอัตราค่าธรรมเนียม ฉบับละ 10 บาท การแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย การแจ้งย้ายที่อยู่ มีอัตราค่าธรรมเนียม ฉบับละ 20 บาท และ 2) กฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 (เช่น การแจ้งการเกิด การแจ้งการตาย การแจ้งย้ายที่อยู่ มีอัตราค่าธรรมเนียม ฉบับละ 20 บาท) สำหรับกรณีการแจ้งหรือขอดำเนินการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. 2562 จะไม่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามร่างกฎกระทรวงนี้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมในกรณีดังกล่าวเป็นมาตรการบังคับตามกฎหมายเพื่อให้ผู้แจ้งหรือผู้ขอดำเนินการภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) และสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงบประมาณ) ได้เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมด้วยแล้ว ทั้งนี้ การยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลดังกล่าวจะทำให้ประชาชนผู้ขอรับบริการการทะเบียนราษฎรได้รับบริการด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน มท. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยรายงานว่าการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของประชาชนผู้ขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2565 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2565 มีประชาชนใช้บริการผ่านระบบดิจิทัลที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล พ.ศ. 2565 จำนวน 2,258 รายการ (การแจ้การย้ายที่อยู่ จำนวน 132 รายการ และการคัด หรือคัดและรับรองรายการทะเบียนบ้าน ทะเบียนประวัติ และทะเบียนคนเกิด จำนวน 2,126 รายการ) คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 23,900 บาท สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล พ.ศ. 2565 โดยกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการให้บริการการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล สำหรับกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ 1. กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 2. กฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2562 3. กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำนวน 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ 1. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) 2. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ และค่าทดแทนกรณีการตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน 3. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19) จำนวน 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างประกาศ รวม 3 ฉบับ ที่ รง. เสนอ เป็นการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 และประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการของลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับกฎหมายที่ใช้กับแรงงานภาคเอกชน โดยได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องต่าง ๆ เช่น กำหนดเพิ่มจำนวนสิทธิวันลาเพื่อคลอดบุตรจาก 90 วัน เป็น 98 วัน กำหนดเพิ่มให้ลูกจ้างมีสิทธิในวันหยุดพิเศษตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด กำหนดเพิ่มให้ลูกจ้างที่ถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานในปีที่จะเกษียณอายุ มีสิทธิได้รับค่าทดแทนกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เป็นต้น รวมทั้งเป็นการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 มีนาคม 2565) รง. ได้นำร่างประกาศในเรื่องนี้ รวม 3 ฉบับ ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว โดยผู้ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างประกาศรวม 3 ฉบับดังกล่าว นอกจากนี้ รง. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยประมาณการว่าการแก้ไขเพิ่มเติมตามร่างประกาศในเรื่องนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้สำหรับปี พ.ศ. 2566 ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตรประมาณ 206,643,504.30 ล้านบาท และค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีประมาณ 38,211,206.81 ล้านบาท สาระสำคัญของร่างประกาศ 1. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ในเรื่องดังต่อไปนี้ ประกาศเดิม ร่างประกาศในเรื่องนี้ 1. วันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี - “วันหยุด” หมายความว่า วันที่กำหนดให้ลูกจ้างหยุดประจำสัปดาห์ หยุดตามประเพณี หรือหยุดพักผ่อนประจำปี - ในกรณีที่วันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป - “วันหยุด” หมายความว่า วันที่กำหนดให้ลูกจ้างหยุดประจำสัปดาห์ หยุดตามประเพณี หยุดพักผ่อนประจำปี หรือหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีที่นายจ้างกำหนด - ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของกิจการ - ในกรณีที่วันหยุดตามประเพณีหรือวันหยุดพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีวันใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป 2. วันลาเพื่อคลอดบุตร - ลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้างเท่าเวลาที่ลาตามอัตราที่ได้รับอยู่ แต่ไม่เกิน 90 วัน - ลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้างเท่าเวลาที่ลาตามอัตราที่ได้รับอยู่ แต่ไม่เกิน 98 วัน 3. เงินทดแทน - ห้ามนายจ้างหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ - ห้ามนายจ้างหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ และเงินทดแทนไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี 2. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ และค่าทดแทนกรณีการตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ในเรื่องดังต่อไปนี้ 2.1 กำหนดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไปและถึงความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานในปีที่จะเกษียณอายุ มีสิทธิได้รับค่าทดแทนกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน โดยค่าทดแทนดังกล่าวมีอัตราเดียวกันกับอัตราการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานซึ่งลูกจ้างจะได้รับเมื่อเกษียณอายุ 2.2 กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงานตามข้อ 2.1 เพราะเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (1) ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร (2) ลูกจ้างกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา (3) ลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่น (4) ลูกจ้างฆ่าตัวตาย 3. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ในเรื่องดังต่อไปนี้ ประกาศเดิม ร่างประกาศในเรื่องนี้ 1. บทนิยาม - “ผู้ป่วย” หมายความว่า ลูกจ้าง หรือคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง ผู้ซึ่งป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] - “ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต” หมายความว่า ลูกจ้าง หรือคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง ผู้ซึ่งป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน เฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) 2. ค่าใช้จ่ายการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - กรณีที่ลูกจ้าง หรือคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้างมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ หากแพทย์เห็นว่ามีความจำเป็นต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการนั้นสำหรับตนเอง หรือคู่สมรส หรือบุตรของตนเอง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ - ยกเลิก 3. ค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล - กรณีที่ลูกจ้าง หรือคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง เป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง หรือคู่สมรส หรือบุตรของตนเอง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ - กรณีที่ลูกจ้าง หรือคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง เป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง หรือคู่สมรส หรือบุตรของตนเอง ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนด - กรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ไม่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง หรือคู่สมรส หรือบุตรของตนเอง ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนด 4. บทเฉพาะกาลและวันที่มีผลใช้บังคับ - กำหนดให้ร่างประกาศในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป - กำหนดให้การเข้ารับการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 16 มีนาคม 2565 และการรักษาพยาบาลยังไม่สิ้นสุดลง ให้ได้รับสิทธิตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 (ประกาศเดิม) ต่อไปจนสิ้นสุดการรักษาพยาบาล 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบกับกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2565 อยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2566 กค. พิจารณาแล้วจึงได้ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร โดยเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐในปีภาษี 2565 2. กค. ได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้ 2.1. รายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินสนับสนุน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากภาครัฐเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นไม่อยู่ในประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้กำหหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะสามารถจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้ประมาณ 7,931 ล้านบาท 2.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมีดังนี้ 1) ทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 2) ช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3) ช่วยลดภาระภาษี และเพิ่มขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 4) ช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงฯ มาเพื่อดำเนินการ 3. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการล่วงหน้าด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญดังนี้ ประเด็น รายละเอียด 1. มาตรการ - กำหนดให้เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับเป็นเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใด และเงินค่าตอบแทนจากภาครัฐเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ประเภทของเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ฯ - เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม และค่าซื้อสินค้าหรือบริการที่ได้ใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ ตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 - เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ค่าสปาหรือนวดเพื่อสุขภาพ ค่ารถเช่าหรือเรือเช่าเพื่อการท่องเที่ยวหรือค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินตามโครงการเราเที่ยวด้วยกัน - ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าเดินทางและค่าซื้อแพ็กเกจทัวร์จากผู้ประกอบการนำเที่ยวตามโครงการทัวร์เที่ยวไทย - ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และระยะที่ 5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 และระยะที่ 5 - ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับเป็นค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และระยะที่ 5 ตามโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 - ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับตามโครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ - ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค. - ค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ สธ. จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค. - ค่าตอบแทนในการให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ สธ. จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกสถานพยาบาลตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค. 3. ปีภาษีที่ได้รับการยกเว้น - สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2565 (ผู้เสียภาษีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี 2565 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2566) 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ มท. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และสายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนกาญจนาภิเษก มีกำหนดใช้บังคับ 5 ปี โดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้ภายใน 120 วัน นับแต่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ตลอดจนเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด และเพื่อบรรเทาความหนาแน่นของการจราจรในเขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง เขตบางขุนเทียน เขตทุ่งครุ และเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยกรุงเทพมหานครได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่โครงการแล้ว ส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยกับโครงการดังกล่าว และสำนักงบประมาณแจ้งว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใช้จ่ายจากงบประมาณของกรุงเทพมหานคร สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางด้วน แขวงบางหว้า แขวงบางจาก แขวงคูหาสวรรค์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ แขวงบางขุนเทียน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงท่าข้าม แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน แขวงบางมด แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ และแขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเพชรเกษมกับถนนสุขสวัสดิ์ และสายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนกาญจนาภิเษก มีกำหนดใช้บังคับ 5 ปี โดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้ภายใน 120 วัน นับแต่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีอากรสำหรับการร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 มิถุนายน 2564 และวันที่ 6 ธันวาคม 2565 เห็นชอบให้ กฟผ. เข้าร่วมทุนกับบริษัท PTTLNG ในสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากันคือ ร้อยละ 50 (บริษัท PTTLNG ได้ดำเนินการใน LMPT2 โดยถือหุ้นร้อยละ 100) ดังนั้น บริษัท PTTLNG จึงต้องมีการจัดตั้งบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนขึ้นมาใหม่โดยต้องโอนหุ้นใน LMPT2 ทั้งหมดไปที่บริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนดังกล่าวและต่อมาจะขายหุ้นที่โอนไปบริษัทที่เกิดการร่วมทุนร้อยละ 50 ให้กับ กฟผ. ซึ่งการโอนและขายหุ้นดังกล่าวถือเป็นการขายทรัพย์สินที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ หากมีการเสียภาษีดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของโครงการเพิ่มสูงขึ้นและจะส่งผลให้ต้นทุนทางพลังงานของประเทศเพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงมีความจำเป็นต้องขอยกเว้นภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้กับบริษัท PTTLNG ในขั้นตอนดังกล่าว 2. กค. พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติตามแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน รองรับการจัดหาและนำเข้า LNG เสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในระยะยาวและไม่ก่อให้เกิดภาระต้นทุนทางพลังงานของประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น จึงได้ดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีอากรสำหรับการร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง) เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้กับบริษัท PTTLNG อันเนื่องมาจากการร่วมลงทุนในโครงการ LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 3. กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีอากรรวม 5,745 ล้านบาท แต่มีประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 3.1 สามารถช่วยให้ราคาเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้าไม่เพิ่มขึ้นอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทั้งนี้ หากไม่มีการยกเว้นภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจะส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 0.34 บาทต่อล้านบีทียู และค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 0.16 สตางค์ต่อหน่วย 3.2 ช่วยสนับสนุนการร่วมทุน LMPT2 โดยการร่วมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน LNG รองรับการเติบโตของตลาดในอนาคต การเพิ่มความหลากหลายของผู้ให้บริการสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว สนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (การส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ) โดยมีผู้ให้บริการสถานีฯ และผู้นำเข้า LNG รายใหม่ ๆ (Third Party Access: TPA) เสริมความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าในประเทศ และการเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในอาเซียน (Regional LNG Hub) ในอนาคต สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (เดิมร้อยละ 20) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (เดิมร้อยละ 7) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (เดิมร้อยละ 3.3) และอากรแสตมป์ (เดิมร้อยละ 0.5) ให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล [บริษัท พีทีทีแอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG)] สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า และสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการร่วมลงทุนในโครงการ LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 2. กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เศรษฐกิจ-สังคม 6. เรื่อง นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป สาระสำคัญ 1. คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (3 กรกฎาคม 2561) รับทราบมาตรการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อให้มีการกำหนดแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบที่จะนำมาใช้หรือผลิตในโรงงาน รวมทั้งให้เกิดการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ต่อมา อก. ได้กำหนดนโยบายให้ปรับลดการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศให้หมดภายใน 2 ปี (ปี 2562 – 2563) โดยมีเงื่อนไขว่าเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศต้องสะอาด และส่งไปโรงงานเพื่อแปรรูปได้ทันที นอกจากนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมยังไม่อนุญาตให้มีผู้ประกอบการนำเข้าเศษพลาสติกรายใหม่ตั้งแต่ปี 2562 โดยการนำเข้าในปี 2562 – 2563 เป็นไปตามโควตาเก่าที่ได้รับอนุญาตและสิ้นสุดใบอนุญาตแล้ว ส่งผลให้ไม่มีการนำเข้าเศษพลาสติกสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ทั่วไปแล้วตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน แต่ในพื้นที่ปลอดอากรยังคงมีการนำเข้าเศษพลาสติกเพื่อใช้สำหรับวัตถุประสงค์ในการส่งออก 2. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 มีมติเห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก และให้กรมศุลกากร อก. และกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก มีสาระสำคัญสรุปดังนี้ ประเด็น การดำเนินการ 1. ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกตั้งแต่ปี 2568 ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร หน่วยงานรับผิดชอบ: กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) (กรมการค้าต่างประเทศ) 2. การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากร 1. อนุญาตเฉพาะ 14 โรงงานที่กำหนด 2. อนุญาตนำเข้าไม่เกินความสามารถในการผลิตจริง รวม 372,994 ตันต่อปี 3. ระยะเวลาการนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากรจำนวน 2 ปี 3.1 ปีที่ 1 (2566) ให้โรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่ง นำเข้าปริมาณร้อยละ 100 ของความสามารถในการผลิตจริง 3.2 ปีที่ 2 (2567) ให้โรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่ง นำเข้าปริมาณไม่เกินร้อยละ 50 ของความสามารถในการผลิตจริง 3.3 ปีที่ 3 (2568) ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ 4. มาตรการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดมลพิษในประเทศตามประกาศกรมศุลกากร ปี 2564 เช่น เศษพลาสติกที่นำเข้าต้องแยกชนิดและไม่ปะปนกัน สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด ต้องใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น เป็นต้น 5. กรมศุลกากรออกประกาศหรือปรับปรุงประกาศให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก หน่วยงานรับผิดชอบ: กระทรวงการคลัง (กค.) (กรมศุลกากร) และ อก. (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) 3. การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่ทั่วไป ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่ไม่มีเศษพลาสติกในประเทศหรือมีปริมาณไม่เพียงพอในช่วงปี 2566 – 2567 โดยมีหลักเกณฑ์ เช่น ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแสดงหลักฐานว่ามีความจำเป็นในการนำเข้าและไม่สามารถหาได้ในประเทศและนำเข้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกับกำลังการผลิต ต้องนำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบเท่านั้น (ไม่รวมถึงการคัดแยกหรือย่อยพลาสติก) สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด เป็นต้น โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้อนุญาต และให้ พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) จัดทำร่างระเบียบเพื่ออนุญาตให้นำเข้าเศษพลาสติกตามนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ หน่วยงานรับผิดชอบ: กค. (กรมศุลกากร) พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) และ อก. (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) 4. มาตรการควบคุมในช่วง 2 ปี ต่อไป 1. มาตรการกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก 3 ประเด็น ประกอบด้วย (1) ควบคุมปริมาณนำเข้าให้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการรีไซเคิลขยะพลาสติกในประเทศ (2) ป้องกันการลักลอบนำเข้า และ (3) การควบคุมการประกอบกิจการพลาสติกไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 2. มาตรการลดผลกระทบจากการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก 4 ประเด็น ประกอบด้วย (1) การป้องกันการขาดแคลนเศษพลาสติกบางชนิดที่ใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม (2) การคัดแยกขยะที่เป็นระบบตั้งแต่ต้นทางเพื่อนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม (3) งานวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับการนำพลาสติกกลับไปใช้ประโยชน์ และ (4) การมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกโดยเฉพาะ 7. เรื่อง การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอการรับรองวัดคาทอลิกเป็นวัดคาทอลิกตามกฎหมาย จำนวน 33 วัด แบ่งเป็นจังหวัดต่าง ๆ ดังนี้ จังหวัด จำนวนวัด จังหวัด จำนวนวัด กรุงเทพมหานคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 445 ล้านบาท จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงของ ตช. ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม. อนุมัติ 445 ล้านบาท จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงของ ตช. ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ครม. อนุมัติ 445 ล้านบาท จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงของ ตช. ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2566) อนุมัติ 444.81 ล้านบาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เพื่อดำเนินโครงการ จัดหากล้องบันทึกภาพและเสียงตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยจะจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง จำนวน 48,568 ชุด แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่ -กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดบนตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 37,624 ชุด งบประมาณ 338.62 ล้านบาท สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กลุ่มสายงาน ได้แก่ สายงานป้องกันปราบปรามและสายงานจราจร จำนวน 16,945 ชุด และสายงานสืบสวนสอบสวน จำนวน 20,679 ชุด (ซึ่งได้รับการจัดสรรเป็นครั้งแรก) -กล้องบันทึกภาพและเสียงแบบมือถือ พร้อมอุปกรณ์เพื่อใช้ในห้องสอบสวนและห้องควบคุม จำนวน 9,366 ชุด งบประมาณ 93.57 ล้านบาท สำหรับสถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 1,484 สถานี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 77 หน่วยงาน -กล้องบันทึกภาพและเสียงชนิดติดตั้งภายในรถยนต์ จำนวน 1,578 ชุด งบประมาณ 12.62 ล้านบาท สำหรับติดตั้งในรถยนต์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1-9 เนื่องจาก พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผล บังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ ( 22 กุมภาพันธ์ 2566) บัญญัติให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องทำการบันทึกภาพและเสียงผู้ต้องหาตั้งแต่เริ่มดำเนินการควบคุมตัว ผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องจัดหากล้องบันทึกภาพและเสียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการทุกนายใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยเร่งด่วนและทันที โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ย้ำถึงการดำเนินการจัดหา ต้องดำเนินการให้ทุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องกันไม่ให้ผลประโยชน์ตกแก่บุคคลใด สำหรับหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้อง ปฏิบัติ ตามพ.ร.บ. ดังกล่าว เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ให้เร่งจัดลำดับความจำเป็นด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65268
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก 33 แห่ง ใน 18 จังหวัด
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ครม.เห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก 33 แห่ง ใน 18 จังหวัด ครม.เห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก 33 แห่ง ใน 18 จังหวัด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 21 ก.พ. 66 ได้เห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก จำนวน 33 แห่ง ใน 18 จังหวัด ตามที่ กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 ซึ่งทั้งหมดเป็นวัดที่มีอยู่ก่อนวันที่ระเบียบฯ จะมีผลบังคับ และต้องรับรองให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี หลังจากวันบังคับ(ภายใน 15 มิ.ย. 66) ซึ่งเมื่อรวมกับการอนุมัติครั้งนี้แล้วจะมีวัดที่มีอยู่ก่อนระเบียบฯ มีผลบังคับได้รับการรับรองแล้วรวม 76 แห่ง และยังเหลือการรับรองอีก 276 แห่ง ทั้งนี้ ก่อนเสนอต่อ ครม. วัดคาทอลิกทั้ง 33 แห่ง ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประกอบด้วย 1)ได้รับความเห็นชอบให้ยื่นคำขอรับรองวัดคาทอลิกจากสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย 2)มีข้อมูลที่ตั้งวัด 3)มีข้อมูลที่ดินที่ตั้งวัดและการอนุญาตให้ใช้ที่ดิน 4)มีรายชื่อบาทหลวงซึ่งจะไปประกอบศาสนกิจประจำ ณ วัดคาทอลิก และ 5)มีข้อมูลอื่นที่จำเป็นเกี่ยวกับการรับรองวัดคาทอลิก เช่น คุณค่าและประโยชน์ของวัดคาทอลิก การอุปถัมภ์และทำนุบำรุงภาคส่วนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาแล้วได้ให้ความเห็นชอบและไม่ขัดข้องในหลักการในการรับรองวัดคาทอลิกทั้ง 33 แห่ง โดยมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินว่า วัดทั้ง 33 แห่งไม่มีการตั้งบนที่ราชพัสดุ แต่หามีกรณีมิซซังได้เข้าไปใช้ที่ราชพัสดุจะต้องดำเนินการขออนุญาตเข้าไปใช้ประโยชน์ต่อกรมธนารักษ์ หากมีการเข้าไปตั้งวัดในเขตพื้นที่ป่าต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม มีวัด 9 แห่ง ที่ตั้งอยู่บนที่ดินที่เป็นที่ตั้งในโรงเรียนในระบบสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน โดยกระทรวงศึกษาไม่ขัดข้องต่อการรับรองวัดคาทอลิกทั้ง 9 แห่ง แต่การรับรองวัดต้องไม่กระทบต่อการศึกษาของโรงเรียน ดังนั้นจึง เห็นควรให้มีรั้วแสดงขอบเขตของวัดคาทอลิกและโรงเรียนออกจากกันอย่างชัดเจน และขนาดที่ดินของโรงเรียนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง พร้อมให้โรงเรียนดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้งและการขอเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินที่ใช้ตั้งโรงเรียนต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วัดคาทอลิก ทั้ง 33 แห่ง ใน 18 จังหวัดที่ได้รับการรองมีดังนี้ 1)จันทบุรี 5 แห่ง ประกอบด้วย วัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร(ท่าแฉลบ),วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์(ท่าศาลา), วัดพระคริสตราชา(ปะตง), วัดนักบุญยอห์น อัครธรรมทูต(มะขาม)และวัดพระแม่พระถวายองค์(มูซู) 2)นครนายก 4 แห่ง ประกอบด้วย วัดพระมารดาพระศาสนจักร(นครนายก), วัดพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล(เตยใหญ่), วัดนักบุญเปาโล(บ้านนา), วัดนักบุญยอแซฟ(หนองรี) 3)ฉะเชิงเทรา 3 แห่ง ประกอบด้วย วัดเซนต์แอนโทนี(แปดริ้ว), วัดแม่พระฟาติมา(บางวัว), วัดนักบุญอันนา(สระไม้แดง) 4)สระแก้ว 3 แห่ง ประกอบด้วย วัดแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์(สระแก้ว) วัดนักบุญเบเนดิกต์(เขาฉกรรจ์), วัดแม่พระราชินีแห่งสันติภาพ(อรัญประเทศ) 5)กรุงเทพมหานคร 2 แห่ง ประกอบด้วย วัดพระมารดานิจจานุเคราะห์(คลองจั่น) และ วัดนักบุญยูดาอัครสาวก(ชินเขต) 6)ปราจีนบุรี 2 แห่ง ประกอบด้วย วัดแม่พระที่พึ่งแห่งปวงชน(แหลมโขด), วัดราชินีสายประคำศักดิ์สิทธิ์(บ้านสร้าง) 7)เพชรบูรณ์ 2 แห่ง ประกอบด้วย วัดนักบุญยอแซฟ(ห้วยใหญ่), วัดอัครเทวดากาเบรียล(สันติสุข) 8)ราชบุรี 2 แห่ง ประกอบด้วย วัดแม่พระสายประคำ(หลักห้า), วัดนักบุญเปาโลกลับใจ(โพธาราม) 8) ปทุมธานี 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญมาร์โก(ปทุมธานี) 9)พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญเทเรซา(หน้าโคก) 10)สุพรรบุรี 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก(ดอนตาล) 11)นครปฐม 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญมัทธิว(ทุ่งลูกนก) 13)ชลบุรี 1 แห่ง ได้แก่ วัดแม่พระลูกประคำ(สัตหีบ) 14)ระยอง 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ(ปากน้ำ ระยอง) 15)ตราด 1 แห่ง ได้แก่ วัดพระแม่รับสาร(ตราด) 16)นครสวรรค์ 1 แห่ง ได้แก่ วัดพระแม่รับสาร(ตาคลี) 17)ลพบุรี 1 แห่ง ได้แก่ วัดมาแตร์ เดอี อัสซุมตา(ลำนารายณ์) 18)อุทัยธานี 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญเปโตร(ท่าซุง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่ราชบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่ราชบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่ราชบุรี ตรวจราชการรอบ 1 พร้อมร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม และปรับการดำเนินสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ใน 4 มิติ อย่างสมดุลและยั่งยืน เมื่อวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.30 น. นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ราชบุรี ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีนายอานันท์ ฟักสังข์ อุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการพร้อมรับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน ผู้ตรวจทาวันฯ ได้เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้ หัว และ ใจ ขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ ประกอบด้วย ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับสิ่งแวดล้อม พร้อมให้ข้อเสนอแนะการตรวจราชการ ดังนี้ 1) การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้เร่งรัดการตรวจกำกับดูแล โรงงานอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการ หากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2) การดำเนินการพิจารณาอนุญาต อนุมัติให้เป็นไปตามกระบวนการ หากอยู่ในขั้นตอนส่งให้หน่วยงานอื่นพิจารณา ควรมีการติดตามความคืบหน้าการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ 3) การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) ให้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประกอบการสมัครเข้ารับการรับรอง GI ผลักดันโรงงานอุตสาหกรรมให้ได้การรับรอง GI ในระดับที่ 5 เพื่อส่งเสริมให้โรงงานในระบบ Supply Chain ยกระดับการขอรับรอง GI ในระดับที่ 2 ต่อไป 4) การขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดหรือบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดราชบุรี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 นอกจากการเพิ่มประเภทโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ตอบสนองการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มแปรรูปเกษตร และห้องเย็นแล้ว ควรที่จะดูกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี ได้เข้าไปส่งเสริมให้เกิดการเติบโตในอนาคต ซึ่งต้องไม่ขัดต่อกฎหมายผังเมือง เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน และต่อมาเวลา 13.30 น. ผู้ตรวจทาวันฯ ได้เป็นประธานการประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม และปรับการดำเนินสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ใน 4 มิติ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามนโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเชิงพื้นที่ และรับฟังแนวทางการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน โดยมีสภาอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี หอการค้าจังหวัดราชบุรี ศูนย์ให้บริการ SMEs ครบวงจรจังหวัดราชบุรี สมาพันธ์ SMEs ไทย จังหวัดราชบุรี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาราชบุรี และสาขาบ้านโป่ง เข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้ ขอให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในจังหวัดราชบุรี บูรณาการร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ การปฏิบัติกฎหมายผังเมือง ลดการสร้างปัญหามลภาวะ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดราชบุรีในอนาคตได้อย่างเข้มแข็ง และอยู่ร่วมกับชุมชนได้ยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ณัฐพล นำทีม ตรวจเยี่ยม กนอ. ย้ำหาแนวทาง “ทำให้ชุมชนรักนิคมฯ”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ปลัดฯ ณัฐพล นำทีม ตรวจเยี่ยม กนอ. ย้ำหาแนวทาง “ทำให้ชุมชนรักนิคมฯ” ปลัดฯ ณัฐพล นำทีม ตรวจเยี่ยม กนอ. ย้ำหาแนวทาง “ทำให้ชุมชนรักนิคมฯ” วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจเยี่ยม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยมีนายวีริศ อมรปาล พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ กนอ. ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมอุทัยชั้น 6 อาคารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดหาที่ดินและพัฒนาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม พัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม ดูแลระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในนิคม รวมถึงอนุมัติ อนุญาต และกำกับดูแลการประกอบกิจการอุตสาหกรรม กำกับดูแล ด้านสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนลงทุน ให้บริการ สิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคม โดย กนอ. วางแนวทางในอนาคตเป็น การนิคมอุตสาหกรรมแบบอัจฉริยะ พร้อมนำระบบ IEAT- Connect มาใช้เชื่อมต่อข้อมูลกับ อก. ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “MIND" ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน ผ่านแนวทาง 4 มิติ คือ สำเร็จทางธุรกิจ ชุมชนและสังคม สิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้ โดย กนอ. มีการดำเนินงานที่ตอบโจทย์ในมิติต่าง ๆ ครบถ้วน อย่างไรก็ตามในด้านมิติของชุมชนและสังคม ควรคำนึกถึงผลกระทบที่อาจส่งผลกับชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม โดยมีการรวบรวมโรงงานที่อยู่ภายนอกนิคมอุตสาหกรรมให้มาอยู่ภายใต้การบริหารงานของนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีระบบการบริหารงาน และมาตรฐานการควบคุมการทำงานที่ดี และมีการกำกับดูแลโรงงานภายใต้ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 ขณะเดียวกัน ควรมุ่งเน้นพัฒนาในมิติที่ 4 รักษาวิถีชีวิต สร้างประโยชน์ พัฒนาชุมชนรอบอุตสาหกรรม และต่อยอดอาชีพ เพื่อทำให้ “คนรักนิคมอุตสาหกรรม” มากยิ่งขึ้น ด้าน รสอ.รก.รปอ. กล่าวเสริมว่า ในส่วนของมิติที่ 4 ควรสร้างความร่วมมือกิจกรรม และโครงการต่าง ๆ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และ กนอ. โดยเฉพาะการขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมฯ เพื่อนำวัสดุเหลือใช้ หรือของเสียที่ไม่ใช่แล้ว นำไปแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยรอบ ขณะเดียวกันได้ฝากย้ำมิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการอยู่ ได้แก่ โครงการเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม และโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส่วน กนอ. ก็มีโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (ธงขาวดาวเขียว) ที่น่าจะสอดรับการปฏิบัติงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรนำระบบ iSingle Form มาใช้ในสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูล เพื่อการนำไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป ส่วน หน.ผตร.วิษณุ ได้แสดงความเห็นในการสนับสนุนแนวคิดของ กนอ. ด้านการนำโรงงานประเภทที่มีความเสี่ยงให้เข้ามาอยู่ในนิคมฯ เพื่อการควบคุมและบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการลักลอบทิ้งกาก หรือการปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่สกลนคร ตรวจราชการรอบ1 เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 20/02/2566 ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่สกลนคร ตรวจราชการรอบ1 เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” ผู้ตรวจทาวันฯ ลงพื้นที่สกลนคร ตรวจราชการรอบ1 เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการกรณีปกติ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนครโดยมีนายกิติพงษ์ ชลิทธิกุล อุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุมรับการตรวจราชการพร้อมรับมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน . ทั้งนี้ ผู้ตรวจทาวันฯ ได้เน้นย้ำนโยบาย MIND ใช้หัวและใจขับเคลื่อนแผนงานปี 2566 มุ่งยกระดับ “ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” 4 มิติ ส่งเสริมธุรกิจ ดูแลชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และกระจายรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับสิ่งแวดล้อม พร้อมให้ข้อเสนอแนะการตรวจราชการ ดังนี้ 1. การตรวจกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เน้นย้ำให้เร่งรัดการตรวจกำกับดูแล โรงงานอุตสาหกรรมที่มีน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจะเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการ ให้ปฏิบัติตามกฏหมาย พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการหากมีปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในพื้นที่ 2. เน้นย้ำการดำเนินการพิจารณาอนุญาต อนุมัติให้เป็นไปตามกระบวนการ หากอยู่ในขั้นตอนส่งให้หน่วยงานอื่นพิจารณา ควรมีการติดตามความคืบหน้าการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ 3. การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (GI) เน้นย้ำให้เร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการพร้อมเชิญชวนสมัครเข้าร่วมโครงการฯ พร้อมเตรียมยกระดับการขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวให้ผู้ประกอบการต่อไป 4. การปรับปรุงแก้ไขปัญหาผังเมืองรวมจังหวัด เนื่องจากได้มีการปรับแก้ไขประเภทโรงงานอุตสาหกรรม ตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ โรงงาน ปี 2535 ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2562 ควรปรับปรุงแก้ไขบัญชีแนบท้าย กฎกระทรวงผังเมืองรวมจังหวัดให้เป็นปัจจุบัน สุดท้าย ได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน และขอให้ปฏิบัติงานอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ ประชาชน ต่อมาเวลา 11.00 น. ผู้ตรวจทาวันฯ ได้ร่วมประชุมชี้แจงการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม และปรับการดำเนินสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมวิถีใหม่ใน 4 มิติ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามนโยบายปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเชิงพื้นที่ และรับฟังแนวทางการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะจากตัวแทนของภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร หอการค้าจังหวัดสกลนคร และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สาขาสกลนคร โดยเน้นย้ำให้ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในจังหวัดสกลนคร บูรณาการร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนตามนโยบาย MIND อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการบริหาร จัดการทรัพยากรในพื้นที่ การปฏิบัติตามกฏหมายผังเมือง ลดการสร้างปัญหามลภาวะ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของจังหวัดสกลนครในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3)
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 21/02/2566 โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2566 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) ของ ธอส. เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูงและเหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูงและเหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มวัยทำงาน หรือประชาชนที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 ที่มียอดคำขอสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินแล้ว โดยมียอดอนุมัติสินเชื่อแล้วจำนวน 22,240 ราย เป็นจำนวนเงิน 19,937.46 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนของจำนวนผู้ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อภายใต้โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 มีการกระจายตัวอยู่ในช่วงวงเงิน ได้แก่ 1) ต่ำกว่า 500,000 บาท 2) 500,001 – 1,000,000 บาท และ 3) 1,000,001 – 1,500,000 บาท ร้อยละ11 47 และ 42 ตามลำดับ และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และจังหวัดภูมิภาค คิดเป็นร้อยละ 36 และ 64 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่อยู่ระหว่างช่วงระดับราคาที่ 500,001 – 1,500,000 บาท และอยู่ในพื้นที่จังหวัดภูมิภาค โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 มีวงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ในช่วง 5 ปีแรก วงเงินอนุมัติสูงสุดไม่เกิน 1,500,000 บาทต่อรายต่อหลักประกันและมีระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูงและเหมาะสมกับศักยภาพของตนเองใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้เข้าร่วมโครงการให้ดีขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ธนกร" ลุย เชียงราย นายกฯ สั่งการเดินหน้า เดินเครื่องเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชนเต็มที่ ชูจุดขายวัฒนธรรมล้านนา ปัดลงพื้นที่หาเสียง ยึดกติกาเป็นหลัก ชี้กระแสนายกฯ กำลังมาแรง
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 "ธนกร" ลุย เชียงราย นายกฯ สั่งการเดินหน้า เดินเครื่องเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชนเต็มที่ ชูจุดขายวัฒนธรรมล้านนา ปัดลงพื้นที่หาเสียง ยึดกติกาเป็นหลัก ชี้กระแสนายกฯ กำลังมาแรง "ธนกร" ลุย เชียงราย นายกฯ สั่งการเดินหน้า เดินเครื่องเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวชุมชนเต็มที่ ชูจุดขายวัฒนธรรมล้านนา ปัดลงพื้นที่หาเสียง ยึดกติกาเป็นหลัก ชี้กระแสนายกฯ กำลังมาแรง วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ ณ จังหวัดเชียงราย ตามบัญชาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวชุมชน ตลอดจนขับเคลื่อนโมเดล BCG อันเป็นแนวทางที่รัฐบาลได้วางไว้ เวลาประมาณ 13.00 น. นายธนกร ได้ตรวจเยี่ยมโครงการตามนโยบายภาครัฐที่ประสบความสำเร็จ อันได้แก่ ชุมชน บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนที่ประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัลระดับประเทศ 2 ปีซ้อน “ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ เที่ยวชุมชน ยลวิถี” โดยมีกลุ่มผู้นำชุมชน รายงานข้อมูลสถานการณ์ตลอดจน ร่วมกันถอดบทเรียนความสำเร็จ ต่อจากนั้น ได้ไปเยี่ยมชม บ้านสับปะรดสีซึ่งเป็นหนึ่งในต้นแบบการใช้ธรรมชาติบำบัดและสร้างเศรษฐกิจชุมชน และ ร้านอาข่า มิโน ซึ่งเป็นร้านกาแฟกลุ่มชาติพันธุ์ที่สร้างรายได้และอาชีพให้กับชุมชน โดย นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ ฝากความคิดถึงมายังทุกคน และ ชื่นชมการจัดการของชุมชนบ้านเมืองรวงที่พัฒนาและเป็นต้นแบบที่ดี และอยากเห็นการขยายผลเช่นนี้ไปยังชุมชนอื่นๆ ทั้งนี้ตนก็พร้อมนำเอาข้อเสนอต่างๆในวันนี้ไปประสานต่อเพื่อพัฒนาให้บ้านเมืองรวงเติบโตมากยิ่งขึ้น ต่อมาในเวลา 15.00 น. นายธนกร เดินทางไปยัง ศูนย์วัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์เชียงราย เพื่อร่วมกิจกรรม สื่อสารสร้างสรรค์ รัฐ-ประชาชน โดย NBT North รวมใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน ซึ่งเป็นกิจกรรมรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนสู่ภาครัฐ โดยได้มีการพูดคุยในหลายๆประเด็น อาทิ เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ปัญหา PM 2.5 หมอกควันไฟป่าในพื้นที่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ การดูแลด้านสาธารณสุข โดย นายธนกร กล่าวว่า เชียงรายมีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมล้านนา และชุมชนมีศักยภาพซึ่งมีความพร้อมในการรองรับการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลวางแผนโครงสร้างพื้นฐานรองรับไว้แล้ว นอกจากนี้ นายธนกร ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นการลงพื้นที่ในช่วงนี้หาเสียงหรือไม่ว่า ไม่ได้หาเสียงมาตรวจราชการตามปกติเพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยนายกฯเน้นทำตามกติกาที่กกต.กำหนดไม่ทำผิดกฏหมายเลือกตั้ง และนายกฯ เน้นย้ำเสมอต้องไม่เอาเปรียบใคร ท้ังนี้ในส่วนการลงพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเมืองที่ผ่านมา กระแสนายกฯ ดีมากๆ ส่วนการลงพื้นที่วันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ซึ่งคือการรับฟังและทำให้ยิ่งเกิดความใว้วางใจจากประชาชนมากยิ่งขึ้น และเป็นการติดตามการทำงานของรัฐ" นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64486
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยทุบสถิติปี 65 กวาด 52 รางวัล ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรม-บริการการเงินดิจิทัลและธนาคารเพื่อความยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 กรุงไทยทุบสถิติปี 65 กวาด 52 รางวัล ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรม-บริการการเงินดิจิทัลและธนาคารเพื่อความยั่งยืน ธนาคารกรุงไทยประสบความสำเร็จ คว้า “52 รางวัล” จากองค์กรชั้นนำในประเทศและระดับโลก โดยปี 2565 ธนาคารได้รับรางวัลจากองค์กรชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ รวม 52 รางวัล เป็นรางวัลระดับนานาชาติ 31 รางวัล และรางวัลจากองค์กรชั้นนำในประเทศ 21 รางวัล ธนาคารกรุงไทยประสบความสำเร็จ คว้า “52 รางวัล” จากองค์กรชั้นนำในประเทศและระดับโลก โดดเด่นด้าน “ความเป็นผู้นำองค์กร” สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน “ด้านนวัตกรรม” พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ตอบโจทย์ลูกค้าทุกมิติภายใต้วิถีชีวิตใหม่ สู่สังคมไร้เงินสด “ด้านความยั่งยืน” ยึดหลัก ESG และเป้าหมายความยั่งยืน SDGs ดูแลลูกค้าประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน โดยปี 2565 ธนาคารได้รับรางวัลจากองค์กรชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ รวม 52 รางวัล เป็นรางวัลระดับนานาชาติ 31 รางวัล และรางวัลจากองค์กรชั้นนำในประเทศ 21 รางวัล ดังนี้ รางวัลผู้นำและองค์กรยอดเยี่ยม 8 รางวัล จากวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นของผู้นำในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ธนาคารเติบโตอย่างแข็งแกร่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำดิจิทัลแบงกิ้งของประเทศ ได้รับรางวัลผู้นำยอดเยี่ยม 5 รางวัล และสถาบันการเงินยอดเยี่ยม 3 รางวัล รางวัลโดดเด่นคือ Banking CEO of the Year Thailand 2022 จากนิตยสาร Global Banking & Finance Review Best CEO in Banking – Mr. Payong Srivanich – Thailand 2022 จากนิตยสาร The global economics ประเทศอังกฤษ รางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Award 2022 สาขา Leadership Excellence จากสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และ Best Bank Awards 2022 จากฮ่องกง เป็นต้น รางวัลด้านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการ 26 รางวัล จากการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ทุกคนเข้าถึงได้สะดวก ด้านการชำระเงิน พัฒนาบริการใหม่ เช่น “เป๋าตังเปย์” ซูเปอร์วอลเล็ตสำหรับคนรุ่นใหม่บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โครงการ “Point Pay” นำคะแนนสะสมของพันธมิตร AIS บางจาก และ MAAI by KTC มาใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านค้าถุงเงินทั่วประเทศ การออมและการลงทุน ปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ผ่านหุ้นกู้ดิจิทัล พันธบัตรวอลเล็ต สบม. และ Gold Wallet ด้วยบริการที่ตอบโจทย์ ทำให้ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกแพลตฟอร์ม สิ้นปี 2565 มีผู้ใช้บริการแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านคน Krungthai NEXT 16 ล้านคน Krungthai Connext 18 ล้านคน และแอปฯ ถุงเงิน 1.7 ล้านร้านค้า รางวัลโดดเด่น คือ International Innovation Award 2022 จาก Enterprise Asia ประเทศสิงคโปร์ AIBP Enterprise Innovation Award จาก AIBP ประเทศสิงคโปร์ Most Innovative Retail Bank-Thailand จาก International Finance ประเทศอังกฤษ รางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2022 สาขา Product/Service Excellence สาขา Marketing Excellence และ SMEs Excellence Awards 2022 จากสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และ Techsauce Global Summit 2022 : The Disruptor เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาแอปฯ “ONE Krungthai” เป็นซูเปอร์แอปฯ และ Workplace in Your Hands สำหรับพนักงาน เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธนาคารสู่องค์กรดิจิทัล ได้รับ 2 รางวัลนวัตกรรม คือ International Innovation Awards (IIA) สาขา Organization & Culture จากสถาบัน Enterprise Asia และ Employee Experience of the Year จากเวที Asian Experience Awards 2022 จัดโดย The Asian Business Review รางวัลด้านความยั่งยืน 11 รางวัล จากการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับ ESG พร้อมนำ กรอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) มาปรับใช้ในการทำงานทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม และการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น Green Finance ผลิตภัณฑ์การลงทุนดิจิทัลที่ไม่ใช้กระดาษ รวมถึงส่งเสริมประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงผู้พิการทางสายตา เข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง รางวัลโดดเด่นคือ Best CSR Bank Thailand 2022 จากนิตยสาร Global Banking & Finance Review ประเทศอังกฤษ The Asset ESG Corporate 2021 ระดับ Platinum Award จาก นิตยสาร The Asset จากฮ่องกง รางวัลองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในตลาดทุนไทยด้านสนับสนุนคนพิการ ประเภทดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รางวัลด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ASEAN Corporate Governance Scorecard 2021 ประเภทรางวัล ASEAN Asset Class ในเวที ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) รางวัลสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ 4 รางวัล จากการเป็นกลไกสำคัญของภาครัฐในการส่งต่อมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่คนไทยคุ้นเคย รางวัลโดดเด่น คือ Best Social Impact Bank Thailand 2022 จากนิตยสาร CFI ประเทศอังกฤษ Social Empowerment : Asia Responsible Enterprise Awards 2022 จาก Enterprise Asia ประเทศสิงคโปร์ รางวัลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ 3 รางวัล คือ รางวัลหน่วยงานที่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรฐานสากลดีเด่นแห่งชาติ รางวัลหน่วยงานที่มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ดีเด่นด้านการเงิน และ รางวัลสำหรับหน่วยงานที่มีการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) สะท้อนความเป็นองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบเลขาฯสุเทพ เร่งจัดทำระบบฐานข้อมูลขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.สุชาติ มอบเลขาฯสุเทพ เร่งจัดทำระบบฐานข้อมูลขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดสัมมนาขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนระดับจังหวัด ด้วยเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลการพัฒนากำลังคน เป้าหมายปี 2566 – 2570 พัฒนากำลังคนกว่า 10 ล้านคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่ง พืชผลทางการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง ระหว่างอำเภอและจังหวัด
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่ง พืชผลทางการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง ระหว่างอำเภอและจังหวัด ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซ่อมบำรุงผิวจราจร พร้อมขยายไหล่ทางถนนสาย สร.3011 จังหวัดสุรินทร์ คาดแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการบำรุงถนนทางหลวงชนบทสาย สร.3011 แยก ทล.226 - บ้านกังแอน อำเภอเมืองและปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 67% ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานขยายไหล่ทางและงานปูผิวจราจรลาดยาง คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2566 จากนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในเรื่องการยกระดับมาตรฐานทาง เพิ่มศักยภาพการคมนาคมขนส่งระหว่างอำเภอหรือจังหวัดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทช. จึงได้ดำเนินโครงการบำรุงถนนทางหลวงชนบทสาย สร.3011 แยก ทล.226 - บ้านกังแอน อำเภอเมืองและปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง รวมระยะทาง 17.725 กิโลเมตร ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 กม. ที่ 20+050 - 25+925 ระยะทาง 5.875 กิโลเมตร และช่วงที่ 2 กม. ที่ 32+800 - 44+850 ระยะทาง 11.850 กิโลเมตร โดยดำเนินการซ่อมบำรุงเป็นผิวจราจร แบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต กว้าง 6 - 7 เมตร พร้อมขยายไหล่ทางกว้างข้างละ 1 - 2.5 เมตร และบริเวณนอกเขตชุมชุนขยายไหล่ทางกว้างข้างละ 2 เมตร ด้วยวิธี Pavement In - Place Recycling และ วิธี Hot Mix In Place Recycling ใช้งบประมาณในการดำเนินงาน 179.950 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้ประชาชนเดินทางระหว่างอำเภอเมืองและปราสาท จังหวัดสุรินทร์ หรือไปยังจังหวัดบุรีรัมย์สามารถสัญจรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ออกสู่ตลาดได้อย่างทันเวลาในทุกฤดู
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะและสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ เพื่อร่วมหารือถึงปัญหาความเดือดร้อน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะและสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ เพื่อร่วมหารือถึงปัญหาความเดือดร้อน ... นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รับจ้างสาธารณะและสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ เพื่อร่วมหารือถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในการให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้ นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้แทน ให้นายสันติ ปฏิภาณรัตน์ นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รับจ้างสาธารณะ และผู้แทนสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ เพื่อร่วมหารือถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของในการให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยมี นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ห้องประชุม 1กระทรวงคมนาคม เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ภายใต้การกำกับดูแลของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความสำคัญและเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของอาชีพผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเปิดขึ้นทะเบียนเพิ่มสมาชิกผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะรายใหม่ในวินเดิม การกำหนดรูปแบบเสื้อหรือสัญลักษณ์ของผู้ให้บริการเรียกรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน และปัญหาวินเถื่อน ซึ่งกระทรวงคมนาคม มิได้นิ่งนอนใจในปัญหาต่าง ๆ จึงได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก เป็นตัวกลางในการนำข้อหารือทุกประเด็นปัญหาไปร่วมพิจารณากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมที่สุด โดยให้เร่งรัดดำเนินการโดยด่วนและรายงานผลการดำเนินงานมายังกระทรวงคมนาคม และที่สำคัญต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะให้สามารถประกอบอาชีพร่วมกันได้ มีการให้บริการถูกต้องตามกฎหมาย เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยกระดับป้องกัน PM 2.5 นายกฯ กำชับลด PM 2.5 ปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 รัฐบาลยกระดับป้องกัน PM 2.5 นายกฯ กำชับลด PM 2.5 ปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน รัฐบาลยกระดับป้องกัน PM 2.5 นายกฯ กำชับลด PM 2.5 ปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องค่าฝุ่น PM 2.5 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และมาตรการที่จะดำเนินการว่า ตามที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปัจจุบันค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบกับสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ประเทศไทยตอนกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกเว้นภาคใต้ ขณะที่กรุงเทพมหานครและในเมืองใหญ่ ๆ สถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ก็อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยระดับค่า PM2.5 กรุงเทพฯ อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และหลายเขตอยู่ในระดับสีแดงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ด้าน 17 จังหวัดภาคเหนือ ก็อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยส่วนใหญ่ มี 3 พื้นที่อยู่ในระดับสีแดง สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เริ่มมีจุดความร้อน 1,200 จุดกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ซึ่งสอดคล้องกับแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมที่แสดงให้เห็นว่ามีจุดความร้อนรวมกันอยู่ในหลายพื้นที่สำคัญ อันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดย 15 จังหวัดที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ชัยภูมิ ตาก เพชรบูรณ์ ลพบุรี ลำปาง เชียงราย พะเยา ราชบุรี แพร่ เชียงใหม่ กาฬสินธุ์ อุตรดิตถ์ และนครราชสีมา นอกจากนี้ ภาพถ่ายดาวเทียมยังแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีหมอกควันข้ามแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้านคือ กัมพูชา เมียนมา และลาว ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปกติ ค่า PM 2.5 ในภาคเหนือ กรุงเทพฯ ภาคตะวันออก จะอยู่ในช่วงมาตรฐาน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นฤดูหนาวและอากาศปิด ค่า PM 2.5 จะเริ่มมีค่าเกินมาตรฐานและจะเริ่มมีผลกระทบกับสุขภาพ แต่ในช่วงที่อากาศปิดและมีการเผา มีจุดความร้อนเกิดขึ้น จะทำให้ค่า PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานไปจนมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพอย่างในปัจจุบัน ทั้งในภาคเหนือ กรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายปิ่นสักก์ กล่าวถึงการคาดการณ์ PM 2.5 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า PM 2.5 จะแปรผันกับภาวะอุณหภูมิผกผัน กับการที่มีเพดานการลอยตัวของอากาศต่ำ โดยจากโมเดลของกรมควบคุมมลพิษจะพบว่า ค่า PM 2.5 จะลดลงในวันที่ 5 ก.พ.นี้ โดยลดลงมาอยู่ในระดับปานกลางจนถึงวันที่ 7 ก.พ. จะลดลงมาอยู่ในระดับค่ามาตรฐานทั้งในกรุงเทพฯ และ 17 จังหวัดภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ช่วงวันที่ 1-4 ก.พ. ค่า PM2.5 จะอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบและมีผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับให้มีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อจะลด PM 2.5 ลง เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน ซึ่งในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการตามแผนที่มีการดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับกรุงเทพมหานคร ในระดับที่ 3 คือเริ่มให้มีการ Work From Home เพื่อลดการจราจร เพื่อลดแหล่ง PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการขนส่ง รวมถึงเข้มงวดเรื่องการก่อสร้าง การเผาในที่โล่ง ส่วนในพื้นที่อื่นจะดำเนินการตามแผนเฉพาะกิจ ปี 2566 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น Single Command ในการยกระดับการลดการเผาอย่างเด็ดขาดในช่วงวิกฤต รวมถึงมีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงผ่านโปรแกรม Burn Check เพื่อให้สามารถควบคุมจุดความร้อนได้ในระดับที่เหมาะสม ไม่ทำให้ค่า PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานจนสูงเกินไป ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษขอให้ประชาชน ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ PM 2.5 โดยใช้แอปพลิเคชัน Air4Thai เพื่อดูในภาพรวมของประเทศ และในส่วนของกรุงเทพฯ ใช้แอปพลิเคชัน Air BKK เพื่อให้ทราบสถานการณ์ PM 2.5 และทราบมาตรการที่เหมาะสมเพื่อระวังสุขภาพ ด้านศาสตราจารย์ นายแพทย์วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และรองศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงศกร ตันติลีปิกร กรรมการบริหารสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย/ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า สำหรับ PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งสามารถหายใจเข้าไปได้ โดยฝุ่นปกติที่มีขนาดใหญ่จะติดอยู่ที่บริเวณหลอดลม แต่ฝุ่นที่มีขนาด 2.5 จะผ่านเข้าไปในปอด กระแสโลหิต และเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งนอกจากระบบทางเดินหายใจ ยังส่งผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้น ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองอุดตันและแตก ส่วนในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อโรคทางหัวใจ การทำงานของไตเสื่อม โรคเบาหวานและเกี่ยวข้องกับมะเร็งปอด ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เมื่อมีอาการแสบตาหรือแสบจมูกอย่าใช้นิ้วขยี้ โดยให้รักษาตามอาการ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง โดยได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในการยกระดับมาตรการการดำเนินการ ที่ได้มีข้อปฏิบัติในเบื้องต้นไปแล้ว รวมถึงได้มีการลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูล และมีการสั่งการเพิ่มเติมในระดับพื้นที่ด้วย ฉะนั้นการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองและส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อยากที่จะให้ดำเนินการพร้อมกับความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในเบื้องต้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอนาคต ที่จะต้องมีการลดในเรื่องการเดินทาง ที่ปัจจุบันรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเรื่องขนส่งสาธารณะต่าง ๆ รถไฟฟ้า EV ที่เป็นแผนระยะยาว อาจไม่ได้ส่งผลให้เห็นในระยะสั้น แต่ในอนาคตจะทำให้สภาพแวดล้อม ภูมิอากาศประเทศไทยสามารถที่จะกลับมาสดใส ไม่เป็นผลต่อสุขภาพของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64485
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีคุณภาพ ผลิตตามมาตรฐานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติกำหนด ย้ำไทยให้ความสำคัญกับสินค้าส่งออกทุกชนิด
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​โฆษกรัฐบาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีคุณภาพ ผลิตตามมาตรฐานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติกำหนด ย้ำไทยให้ความสำคัญกับสินค้าส่งออกทุกชนิด ​โฆษกรัฐบาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีคุณภาพ ผลิตตามมาตรฐานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติกำหนด ย้ำไทยให้ความสำคัญกับสินค้าส่งออกทุกชนิด วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับประเด็นสหรัฐฯ คุมเข้มการใช้ถุงมือยางลาเท็กซ์ สรุปสาระสำคัญดังนี้ ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ชี้แจงประเด็นข้อมูลถุงมือยางลาเท็กซ์ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีความห่วงใยให้ความสำคัญกับประเด็นถุงมือยางของประเทศไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกและมีมูลค่าการส่งออกสูง โดยวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานหลักต่าง ๆ ทำการประมวลข้อมูล ตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องในทางวิชาการ โดยในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้หารือกับนักวิชาการด้านการแพทย์ ประกอบด้วยหัวหน้าศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึง ผู้แทนสมาคมโรคภูมิแพ้แห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยถุงมือยางมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ซึ่งภาวะจากการแพ้ใช้ถุงมือยาง ทางศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีและสมาคมโรคภูมิแพ้ฯ ให้ข้อมูลว่า เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับบางรายที่มีอาการแพ้ ซึ่งปกติแล้วทางการแพทย์เรียกว่า พิษ จะเกิดขึ้นกับบางคนที่มีความไวต่ออาการมากกว่าปกติ ส่วนภาวะจากการแพ้ใช้ถุงมือยางเกิดขึ้นในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 3-5 ใน 100 ราย จะมีประมาณ 3-5 ราย ที่เมื่อใช้ถุงมือยางแล้วจะมีอาการแพ้เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการรุนแรงเป็นอาการแพ้เฉพาะที่ เช่น มีผื่น คัน เป็นต้น บางรายจะมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น มีตุ่ม พอง หรือทางระบบหายใจซึ่งจะพบน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ประชากรส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแพ้ถุงมือ และจะมีบางกลุ่มที่ต้องใช้ถุงมือจำนวนมากและใช้ถุงมือบ่อย ๆ อาทิ แพทย์ ทันตแพทย์ และผู้ที่ใช้ถุงมือสัมผัสอาหาร เป็นต้น ซึ่งคนเหล่านี้จะมีการแพ้มากกว่าประชากรจำนวนหนึ่ง ซึ่งทางการแพทย์มีวิธีการดูแลรักษา ปกติเมื่อพบผู้ป่วยมีอาการแพ้จะมียารักษา มียาทาและน้อยรายที่จะให้ยากิน หรือบางครั้งก็ให้ยาฉีด ซึ่งภาวะการแพ้จากการใช้ถุงมือยางเป็นเรื่องที่ทางเวชปฏิบัติทั่วไปดูแลเป็นประจำ ทั้งนี้ มีคำแนะนำหากมีผู้แพ้ถุงมือยางเกิดขึ้นขอให้หลีกเลี่ยงการใช้หรือการใช้ถุงมือชนิดอื่น ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถุงมือยางเป็นของที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย มีความยืดหยุ่น และในประเทศไทยใช้ถุงมือที่ผลิตจากยางธรรมชาติจำนวนมาก ในภาควิชาการก็มีกระบวนการเทคโนโลยีที่จะทำให้ภาวะการแพ้ลดลง ในถุงมือยางที่มีอาการแพ้เกิดขึ้นจากมีสารโปรตีนอยู่ในถุงมือยาง น้ำยางธรรมชาติมีอยู่ประมาณร้อยละ 1 ซึ่งมีกระบวนการผลิตสามารถนำโปรตีนต่าง ๆ เหล่านี้ ออกจากยางธรรมชาติและนำมาผลิตเป็นถุงมือ ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติได้มีการพัฒนาจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และได้มีการทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยางของประเทศไทยที่จะสามารถนำกระบวนการผลิตต่าง ๆ ไปใช้การผลิตถุงมือยาง โดยขณะนี้ประเทศไทยสามารถผลิตถุงมือยางชนิดที่โปรตีนต่ำ ถุงมือยางชนิดที่ใส่แล้วไม่เกิดอาการแพ้ เข้าสู่กระบวนการด้านอุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว และมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป แต่ในภาคการผลิตภาคการใช้งานนั้นสามารถที่จะดำเนินการได้แล้ว เพราะฉะนั้นการจัดการทั้งในภาคปัจจุบันคือการดูแลหากมีภาวะการแพ้เกิดขึ้นก็สามารถที่จะดูแลได้ การที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตถุงมือยางจากยางธรรมชาติต่อไป และมีกระบวนการผลิตที่จะสามารถผลิตถุงมือยางตามความต้องการตามสเป็คของผู้ซื้อที่จะต้องการถุงมือยาง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีโปรตีนแบบปกติหรือโปรตีนต่ำ หรือถุงมือยางที่ไม่มีการเกิดภาวะการแพ้ นางภาราดา จันทร์สุวรรณ ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 2 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมกล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีสถิติของโรงงานผลิตถุงมือยางในประเทศไทยประมาณ 40 กว่าโรงงาน และมี 20 กว่าโรงงานเป็นโรงงานใหญ่ที่อยู่ภายใต้สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ใน 20 รายนี้มี 5 ราย ที่เป็นโรงงานใหญ่สามารถผลิตถุงมือยางธรรมชาติที่เป็นโปรตีนต่ำได้แล้วในปัจจุบัน และมีการทำในเชิงพาณิชย์ส่งออกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านี้ที่มีโรงงานผลิตถุงมือยางธรรมชาติ ได้มีการผลิตตามมาตรฐานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กำหนดทุกอย่าง และโรงงานที่มีการส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกาทุกโรงงานจะต้องมีมาตรฐาน FDA ซึ่งเป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาถึงจะมีการส่งออกไปได้ ซึ่งโรงงานทั้ง 40 โรงงานที่มีอยู่ในประเทศไทย สามารถผลิตทั้งถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางสังเคราะห์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเครื่องจักรหรือมาลงทุนเพิ่ม เพียงแต่ปรับสูตรเพื่อที่จะผลิตถุงมือยางธรรมชาติต่อไปได้ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ มีหน้าที่ในการรับผิดชอบการตลาดต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวกับการตลาดต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้นำเข้า ผู้ซื้อ ทั่วโลกได้เข้าใจว่าถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดี กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการสำคัญในการรองรับสถานการณ์ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1. การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของถุงมือยางไทย เรื่องคุณภาพของถุงมือยาง การรักษ์โลกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงคุณภาพที่จะสามารถผลิตถุงมือยางธรรมชาติและมีการเกิดการแพ้ที่น้อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการ เพื่อให้ผู้ซื้อทั่วโลกมีความมั่นใจว่าถุงมือยางธรรมชาติของไทยมีคุณภาพ 2. การหาตลาดใหม่เพิ่มเติมโดยกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมตลาดเพิ่มเติมไว้คือ ตลาดที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตลาด Middle East ตลาดประเทศซาอุดีอาระเบีย และตลาดเอเซียใต้ ซึ่งประกอบด้วยประเทศอินเดียเป็นประเทศหลัก และอีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตและมีประชากรมาก ได้แก่ ตลาดแอฟริกาและตลาดลาตินอเมริกา และกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมอบหมายให้พาณิชย์ทั่วโลกติดตามสถานการณ์และรายงานกลับมา โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดยุโรปที่อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกัน นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดูแลประชาชนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผู้ผลิต และมีความห่วงใยในปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมความพร้อม ซึ่งในขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ เตรียมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสร้างการรับรู้และขยายโอกาสทางตลาดให้กับถุงมือยางธรรมชาติ ซึ่งจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงภาคผู้ประกอบการและเอกชน ทั้งนายกสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย สมาคมน้ำยางข้นไทย และสมาคมยางพาราไทย เพื่อเตรียมวางแผนในการป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตสถานการณ์ในส่วนนี้ เนื่องจากการผลิตน้ำยางและการส่งออกน้ำยางของประเทศไทยถือว่าเป็นผลผลิตต้น ๆ ของโลก มีการส่งออกไปต่างประเทศ สหรัฐอเมริการ้อยละ 23 ในส่วนของต้นน้ำ น้ำยางข้นที่อยู่ในประเทศไทยมีประมาณร้อยละ 80 โดยกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน พร้อมที่จะดำเนินการให้ดีที่สุด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประเด็นที่เกี่ยวข้องในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวานนี้ และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้เร่งดำเนินการ รวมถึง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับทางด้านวิชาการ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับในประเทศไทยเท่านั้น คงต้องมีการทำเอกสาร หรือมีการชี้แจงไปในต่างประเทศด้วย เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ถุงมือยางลาเท็กซ์สามารถส่งออกจากประเทศไทย เพื่อดำเนินการเรื่องของการที่อาจจะยกเลิกการห้ามนำเข้าหรือมีการทำความเข้าใจเรื่องของผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น จากการใช้วัสดุต่าง ๆ รวมถึงความปลอดภัยที่มีมาตรฐานการผลิตของประเทศไทย รวมถึงการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับสินค้าส่งออกทุกชนิดไม่ใช่เฉพาะถุงมือยางลาเท็กซ์เท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64489
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางอัปเดตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือน ก.พ. 66 จ่ายอะไรบ้าง
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 กรมบัญชีกลางอัปเดตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือน ก.พ. 66 จ่ายอะไรบ้าง กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายและโอนเงินให้แก่หน่วยงานและร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายและโอนเงินให้แก่หน่วยงานและร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ดังนี้ ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป) - วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน - ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (ม.ค. - มี.ค. 66) - ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย * ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน * ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน * ค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) 500 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล) ทุกวันที่ 18 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้) - เงินชดเชยค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้ลงทะเบียนกับ กฟน. กฟภ. และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน) - เงินชดเชยตามจำนวนเงินที่ชำระค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ได้ลงทะเบียนกับ กปน. กปภ. ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท (ที่ได้ชำระเงินแล้ว) ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง) ทุกวันที่ 22 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้) - เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ) สำหรับเดือนมกราคม 2566 กรมบัญชีกลางขอรายงานผลการจ่ายเงินให้แก่หน่วยงาน/ร้านค้าที่รับชำระเงินด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2566 ดังนี้ สวัสดิการที่ให้เป็นวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน (ลบ.) 1 วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย - การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (200/300 บาทต่อคนต่อเดือน) - มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะเดือนมกราคม 2566 (200 บาทต่อคนต่อเดือน) 6,130.01 3,542.76 2,587.25 2 วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 195.66 3 วงเงินค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟฟ้า 23.01 4 วงเงินค่าโดยสารรถบริษัทขนส่ง จำกัด 6.85 5 วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 16.16 รวมจำนวนเงิน (1) 6,371.69 สวัสดิการที่ให้ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (e-Money) จำนวนเงิน (ลบ.) 1 มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 180.07 2 มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา 17.64 3 มาตรการเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 215.59 รวมจำนวนเงิน (2) 413.31 รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น (1) + (2) 6,785.00 “สำหรับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังสามารถใช้บัตรฯ ต่อไปได้ตามปกติ จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศให้เริ่มใช้บัตรประชาชนแทน ทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 0 2109 2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 ในวัน เวลาราชการ" โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โอกาสทองแรงงานไทย รมว.สุชาติ เจรจาสมาคมนายจ้างฮ่องกงสำเร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​โอกาสทองแรงงานไทย รมว.สุชาติ เจรจาสมาคมนายจ้างฮ่องกงสำเร็จ ​โอกาสทองแรงงานไทย รมว.สุชาติ เจรจาสมาคมนายจ้างฮ่องกงสำเร็จ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายจาตุรนต์ ไชยะคำ กงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมประชุมหารือกับ คุณอัลกิ้น - เช้ง ไหว่ ก๊อง ประธานสภาองค์การนายจ้างฮ่องกง และคณะ เพื่อหารือประเด็นการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในฮ่องกง รวมทั้งการเชิญชวนให้นักธุรกิจฮ่องกงได้ไปลงทุนในประเทศไทย ณ Sun Hung Kai Center เมืองฮ่องกง นายสุชาติ กล่าวว่า ในวันนี้ผม พร้อมด้วยท่านกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้เข้าพบ สภานายจ้างฮ่องกง เพื่อเจรจาหารือสำหรับประเด็นการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในฮ่องกงนั้น ซึ่งจากการหารือ พบว่า ฮ่องกงขาดแคลนแรงงานหลายสาขาอาชีพ อาทิ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ก่อสร้าง ช่างเชื่อม รปภ.พนักงานออฟฟิช พนักงานสายการบิน เป็นต้น ซึ่งในส่วนของผู้ดูแลผู้สูงอายุต้องการประมาณ 3,000 คน ซึ่งจะต้องมีทักษะในเรื่องการบริบาลผู้สูงอายุ และสามารถพูดภาษาจีนแต้จิ๋วหรือกวางตุ้งได้ สำหรับอัตราเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 52,000 บาท ก่อสร้างต้องการประมาณ 170,000 คน เงินเดือนประมาณ 80,000 บาท รปภ.ต้องการประมาณ 30,000 คนเงินเดือนประมาณ 50,000 บาท นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีศูนย์ฝึกอยู่ทั่วประเทศซึ่งมีความพร้อมอยู่แล้วในการฝึกอบรมทักษะฝีมือ up skill /re skill และทักษะด้านภาษาเพิ่มเติมให้ ตลอดจนทดสอบมาตรฐานฝีมือในสาขาต่างๆ ตามความต้องการของนายจ้าง ในส่วนของผู้ดูแลผู้สูงอายุสามารถจัดส่งได้ทันที ซึ่งหลังจากการหารือในครั้งนี้กระทรวงแรงงานจะเชิญสมาคมนายจ้างของฮ่องกงไปเยี่ยมชมกระบวนการฝึกที่ประเทศไทยด้วย ส่วนประเด็นการเชิญชวนให้นักธุรกิจฮ่องกงได้ไปลงทุนในประเทศไทยนั้น กระทรวงแรงงานยินดีที่จะรับเป็นเจ้าภาพในการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนฮ่องกงได้พบกับ BOI เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้ามาลงทุนธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศต่อไปด้วย ด้าน คุณอัลกิ้น - เช้ง ไหว่ ก๊อง ประธานสภาองค์การนายจ้างฮ่องกง กล่าวว่า ขอชื่นชมแรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ ขยันทำงาน อดทน เรียนรู้งานได้รวดเร็ว ที่สำคัญมีทักษะและความสามารถที่หลากหลาย โดยเฉพาะช่างเชื่อมไทยเป็นช่างที่มีทักษะฝีมือการทำงานขั้นสูง ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจและพึงพอใจของนายจ้างฮ่องกง รวมทั้งแรงงานภาคบริการ อย่างพนักงานนวด สปาไทย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของคนไทยที่มีทักษะฝีมือยอดเยี่ยมและการให้บริการเป็นที่ประทับใจทุกครั้งที่ได้ไปเยือนประเทศไทย จากการหารือในวันนี้ประเด็นความต้องการแรงงานไทยนั้น ทางสมาคมจะได้ประสานในรายละเอียดกับกระทรวงแรงงานอย่างใกล้ชิดต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 2 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชัยวุฒิเล็งปัญหาลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ผิดกฎหมาย หลังปิดกั้นเว็บอย่างต่อเนื่อง เล็งชงเข้านโยบายพรรคพลังประชารัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ชัยวุฒิเล็งปัญหาลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ผิดกฎหมาย หลังปิดกั้นเว็บอย่างต่อเนื่อง เล็งชงเข้านโยบายพรรคพลังประชารัฐ ชัยวุฒิเล็งปัญหาลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ผิดกฎหมาย หลังปิดกั้นเว็บอย่างต่อเนื่อง เล็งชงเข้านโยบายพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยกรณีการขายบุหรี่ไฟฟ้าทั้งออนไลน์ และการวางขายทั่วไป ว่า ต้องใช้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ในการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วก็จับกุมผู้ที่กระทําผิดกฎหมาย แล้วส่งข้อมูลมาทํางานร่วมกับกระทรวง DES ในการขอปิดกั้น ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงฯ ดำเนินการมาโดยตลอดแต่ต้องยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นวิถีชีวิตของประชาชนกลุ่มหนึ่ง และในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป, อเมริกา หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็มีหลายประเทศที่ถูกกฎหมาย แต่ประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงทำให้เกิดการลักลอบใช้ ลักลอบขาย เกิดช่องทางทําธุรกิจผิดกฎหมาย เกิดส่วย เกิดการเรียกรับผลประโยชน์ และเกิดการขายทั่วไป ไม่ใช่ออนไลน์เพียงอย่างเดียว สำหรับเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ได้พูดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่าตนเห็นด้วยที่ทําให้ถูกกฎหมาย แต่ด้วยอํานาจ หน้าที่ อาจจะทําได้ไม่เต็มที่ แต่ก็จะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากได้เป็นรัฐบาล และมีอํานาจหน้าที่เข้ามาทําต่อ จะขอแก้ปัญหานี้ด้วยการผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เป็นการลดผลกระทบด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชน เพราะเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าสูบแล้วปลอดภัยกว่าสูบบุหรี่จริง ที่สําคัญประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วเกือบทุกประเทศได้มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงควรพิจารณาตามความเหมาะสม อย่าฟังเพียงคนบางกลุ่ม “ส่วนตัวคิดว่า หัวใจสําคัญคือต้องทําเรื่องนี้ให้ถูกกฎหมาย ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องของวิถีชีวิตประชาชน เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นสิ่งที่คนยอมรับได้ ก็ควรจะทําให้ถูกกฎหมาย อนุญาตให้มีการขาย และเก็บภาษีให้ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำภาษีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในเรื่องต่างๆ เป็นการลดภาระประชาชน โดยการทำให้ถูกกฎหมาย จะต้องไม่ขัดกับวิถีชีวิตประชาชน ก็จะแก้ปัญหาเรื่องส่วย แก้ปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่น เพราะเราจะเปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เอาภาษีมาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนในเรื่องอื่นได้อีก ลดภาระประชาชนได้อีกมากด้วย” นายชัยวุฒิ กล่าว นอกจากนี้ นายชัยวุฒิ ได้กล่าวถึงการปิดแพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์ว่า มีความผิดแล้ว และอาจจะมีเรื่องอื่น เช่น เกี่ยวกับการพนันหรือไม่ การขายหวยที่ไม่มีหวย หรือเป็นการบิดเบือนข้อมูล ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการดําเนินการปิดเว็บไปแล้วทั้งหมด 12 เว็บไซต์ แต่ยังเหลืออยู่บางเว็บไซต์ที่ยังปิดไม่ได้ เพราะว่ามีการคัดค้านจากเจ้าของเว็บไซต์ ก็อยู่ระหว่างรอคําสั่งศาล ศาลก็คงจะไต่สวน และมีคําสั่งออกมาเร็วๆนี้ ซึ่งเรื่องก็เป็นเรื่องหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามดําเนินการอยู่ แต่หัวใจสําคัญก็คงอยู่ที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ และดีเอสไอก็คงต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในเรื่องอื่นด้วยเพราะว่า การปิดแค่เรื่องกองฉลากกินแบ่งก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่ามันอาจจะมีเรื่องฟอกเงิน หรือเรื่องที่มีความเสียหายหรือความผิดรุนแรงกว่านั้น ต้องติดตามกันต่อไป ________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64480
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ข่าวดีชาวสวนยาง รอเลยเขตส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SECri) เคาะแล้วประกันรายได้ระยะ4
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​ข่าวดีชาวสวนยาง รอเลยเขตส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SECri) เคาะแล้วประกันรายได้ระยะ4 ​ข่าวดีชาวสวนยาง รอเลยเขตส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SECri) เคาะแล้วประกันรายได้ระยะ4 วันที่่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการเขตส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (South Economic Corridor Rubber Innovation: SECri) จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ติดตามความก้าวหน้าและสั่งการให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เร่งขับเคลื่อนโครงการเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการพัฒนาพื้นที่ในปีงบประมาณ 2567 โดยผลการศึกษาความเหมาะสมทางกายภาพ จะให้ใช้พื้นที่ภายใต้การกำกับดูแลของ กยท.โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือ 1) พื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราและนวัตกรรมยางพารา จำนวน 3,500 ไร่ ตั้งอยู่ที่ อ.ช้างกลาง และ 2) พื้นที่ส่งเสริมเกษตรกรรมสวนอย่างยั่งยืนและเกษตรกรรมสวนยางแบบผสมผสาน จำนวน 3.3 หมื่นไร่ ที่ อ.ช้างกลาง และ อ.ทุ่งใหญ่ นางสาวรัชดา กล่าวว่า กระทรวงเกษตร โดยกยท. ตั้งเป้าให้โครงการนี้เป็นพื้นที่รองรับการพัฒนายางพาราและส่งเสริมนวัตกรรมยางพาราตลอดจนส่งเสริมเกษตรกรรมสวนอย่างยั่งยืนและแบบผสมผสาน สอดรับกรอบการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ที่เน้นอุตสาหกรรมชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง ที่มีการสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านยางพารา เพื่อการใช้ประโยชน์ยางพาราครบวงจร การสร้างโรงงานต้นแบบสำหรับการผลิตนวัตกรรมยางพารา รวมถึงส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการใหม่เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพารา โดยขณะนี้ มีบริษัทเอกชนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจในโครงการแล้วหลายราย ทั้งผู้ผลิตยางต้นน้ำ ผู้ผลิตปลายน้ำ (สินค้าปลายน้ำ เช่น ถุงมือยาง ยางทางเภสัชกรรและการแพทย์ พื้นรองเท้ายาง) และผู้พัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ ภายใต้กรอบระยะเวลาโครงการ 7 ปี คาดว่าจะนำไปสู่ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ถึง 6.8 แสนล้านบาท สร้างงานให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคใต้มากถึง 45,000 คน และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางปีละไม่น้อยกว่า 16,000 บาทต่อไร่ โดยการใช้พื้นที่จะประกอบด้วย พื้นที่สำนักงานของหน่วยงานรัฐและเอกชน ศูนย์อบรม ศูนย์ชุมชน พื้นที่โรงงาน คลังสินค้า พื้นที่ต้นแบบสวนยางยั่งยืน ตลาดกลาง ที่อยู่อาศัย อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น นางสาวรัชดา ยังได้แจ้งให้ทราบถึงการพิจารณาโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่4 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการยางธรรมชาติ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 65 มีมติเห็นชอบกรอบวงเงิน 7.64 พันล้านบาท เพื่อประกันรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทยภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 จำนวน 1.6 ล้านราย พื้นที่สวนยางกรีดรวม 18 ล้านไร่ ระยะเวลาโครงการ ม.ค.66 - ก.ย. 66 (ประกันรายได้เดือน ต.ค. - พ.ย. 65) โดย กยท.จะเป็นผู้เสนอขอรับการจัดสรรงบกลางประจำปีงบประมาณ 2566 จากคณะรัฐมนตรีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank สร้าง New High เติมทุนเอสเอ็มอีทะลุ 6.8 หมื่นล้าน สูงสุดนับแต่ก่อตั้ง มอบนโยบายปี 66 ย้ำบทบาทธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย พร้อมเติมความรู้คู่เงินทุน หนุนเติบโตยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 SME D Bank สร้าง New High เติมทุนเอสเอ็มอีทะลุ 6.8 หมื่นล้าน สูงสุดนับแต่ก่อตั้ง มอบนโยบายปี 66 ย้ำบทบาทธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย พร้อมเติมความรู้คู่เงินทุน หนุนเติบโตยั่งยืน SME D Bank จัดประชุม “Town Hall Meeting” สรุปผลดำเนินการ ปี 65 สร้าง New High ช่วยพาเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 68,800 ลบ. สูงที่สุดนับแต่ก่อตั้งธนาคาร ควบคู่ช่วยพัฒนายกระดับกว่า 21,860 ราย SME D Bank จัดประชุม “Town Hall Meeting” สรุปผลดำเนินการ ปี 65 สร้าง New High ช่วยพาเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 68,800 ลบ. สูงที่สุดนับแต่ก่อตั้งธนาคาร ควบคู่ช่วยพัฒนายกระดับกว่า 21,860 ราย มอบนโยบายปี 66 เดินหน้าตอกย้ำบทบาท “ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย” พร้อมเคียงข้างเอสเอ็มอีไทย ด้วยการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” สนับสนุนเติบโตยั่งยืน นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวในการประชุม “Town Hall Meeting” ครั้งที่ 1 ประจำปี 2566 เพื่อสรุปการทำงานตลอดปี 2565 และมอบนโยบายการทำงานปี 2566 ว่า จากความมุ่งมั่นทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของคณะกรรมการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ SME D Bank มีเป้าหมายหนึ่งเดียว ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องอยู่รอด และเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ด้วยดี ประกอบกับยกระดับด้านบริหารจัดการ นำเทคโนโลยีมาเสริมการทำงาน มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อตอบความต้องการ สามารถกู้ได้สูงถึง 50 ล้านบาท ปรับปรุงหลักเกณฑ์อนุมัติสินเชื่อสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์จริง พิจารณาจากความสามารถในการดำเนินธุรกิจก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 เอื้อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ส่งผลให้ SME D Bank สามารถสร้างสถิติใหม่สูงสุด (New High) ช่วยเหลือพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 68,800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี 2565 ที่ 66,000 ล้านบาท หรือเกินเป้ากว่า 2,800 ล้านบาท ยอดดังกล่าวสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารมากว่า 21 ปี ผลักดันยอดสินเชื่อคงค้าง (Outstanding) ขยายตัวอยู่ประมาณ 109,290 ล้านบาท สร้างประโยชน์ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 315,140 ล้านบาท รักษาการจ้างงานกว่า 226,450 ราย ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ในช่วงเกิดสถานการณ์โควิด-19 SME D Bank ช่วยเติมทุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมกว่า 160,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดประโยชน์สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 735,000 ล้านบาท รักษาการจ้างงานได้กว่า 629,000 อัตรา นอกจากนั้น ในปี 2565 ที่ผ่านมา ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ประคับประคองลูกค้าให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 จำนวนกว่า 16,000 ราย วงเงินกว่า 29,450 ล้านบาท ขณะที่ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงเหลือ 9.72% ส่วนด้าน “การพัฒนา” ได้ริเริ่มโครงการ “SME D Coach” มิติใหม่แห่งความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดำเนินกิจกรรมยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งออนไซต์และออนไลน์ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น อบรม สัมมนา เพิ่มช่องทางขาย ขยายตลาดออนไลน์ จับคู่ธุรกิจ ฯลฯ มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและลูกค้าธนาคารเข้าร่วมและได้รับประโยชน์กว่า 21,860 ราย ช่วยเพิ่มศักยภาพ มีความพร้อม สามารถปรับตัวยกระดับทางธุรกิจบนพื้นฐาน ทั้งด้านการตลาด มาตรฐาน นวัตกรรม และสามารถเข้าถึงแหล่งทุน เคียงคู่ดูแลสังคม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำสู่การเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน นางสาวนารถนารี กล่าวมอบนโยบายการทำงานในปี 2566 ว่า SME D Bank ต้องเดินหน้าตอกย้ำบทบาทการเป็น “ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย” พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ด้วยการ “เติมความรู้คู่เงินทุน พร้อมมอบ บริการต่างๆ ครบวงจร เช่น พร้อมมอบสินเชื่อตอบทุกความต้องการ วงเงินกู้สูงสุดถึง 50 ล้านบาท พร้อมมอบบริการด้านการพัฒนา ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีศักยภาพธุรกิจเพิ่มขึ้น ขยายตลาด รายได้เพิ่ม และพร้อมมอบบริการด้วยเทคโนโลยี เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เช่น ใช้บริการ SME D Bank ผ่านสมาร์ทโฟน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ประชุม Top Executive
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.ดีอีเอส ประชุม Top Executive รมว.ดีอีเอส ประชุม Top Executive วันนี้ (2 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมประชุม Top Executive ณ ห้องประชุม MDES 1 ชั้น 9 สำนักงานปลัดกระทรวงดีอีเอส ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังอากาศช่วง 2-3 ก.พ.นี้ หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านควรใช้หน้ากากป้องกัน PM2.5 ขอให้ส่วนราชการ ภาคธุรกิจเอกชน ประชาชน พิจารณา Work From Home ตามความเหมาะสม
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 01/02/2566 นายกฯ แจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังอากาศช่วง 2-3 ก.พ.นี้ หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านควรใช้หน้ากากป้องกัน PM2.5 ขอให้ส่วนราชการ ภาคธุรกิจเอกชน ประชาชน พิจารณา Work From Home ตามความเหมาะสม นายกฯ แจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังอากาศช่วง 2-3 ก.พ.นี้ หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรใช้หน้ากากป้องกัน PM2.5 ขอให้ส่วนราชการ-ภาคธุรกิจเอกชน-ประชาชน พิจารณา Work From Home ตามความเหมาะสม วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยสุขภาพพี่น้องประชาชน จากคาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่น PM 2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยาคาดว่าอัตราการระบายอากาศในช่วงนี้ ถึงวันที่ 3 ก.พ. 66 จะไม่ดี เนื่องจากเพดานอากาศต่ำ เกิดสภาวะอากาศปิดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงวันที่ 1-2 ก.พ. เป็นช่วงที่บริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอากาศช่วง 2-3 ก.พ.นี้ หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรใช้หน้ากากป้องกัน PM2.5 หากเป็นไปได้ขอให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home) โดยให้ส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนพิจารณาการ Work From Home ตามความเหมาะสม ด้วยความระมัดระวัง นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ช่วงวันที่ 1-3 ก.พ. 66 เป็นช่วงลมอ่อน การสะสมฝุ่นละอองและหมอกควัน อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง ขอให้ระวังผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้ ควันและฝุ่นจะกระจายไปไม่ลอยสูง โดยค่าฝุ่นจะสูงมากในพื้นที่การจราจรติดขัด ขณะที่ข้อมูลจากสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ระบุว่าค่า PM2.5 ในเขตกรุงเทพฯ อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพในหลายพื้นที่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยช่วงวันที่ 1-4 ก.พ. 66 พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลควรเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด สำหรับช่วงวันที่ 4-8 ก.พ. 66 คาดว่าอัตราการระบายอากาศจะดี อีกทั้งความกดอากาศสูงจากจีนจะออกมานอกชายฝั่ง ทำให้ทิศของลมหนาวนั้นเปลี่ยนจากตะวันออกเฉียงเหนือมาเป็นตะวันออก ส่งผลให้จะมีการเริ่มพัดพาฝุ่นควันจากกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออก ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ปกติของการเปลี่ยนผ่านไปยังฤดูร้อน และลมใต้จะทวีกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ “ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่น PM2.5 หรือหน้ากาก N95 หรือใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และขอแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ผ่านทางแอปพลิเคชันวัดคุณภาพอากาศ เพื่อวางแผนการทำงาน การทำกิจกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ/มีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรลดระยะเวลา หรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งนี้ หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64450
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชูแผนตรวจราชการ ปี 66 เน้นบูรณาการสำนักนายก-ทุกกระทรวง ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยกระดับงานศิลปะและวัฒนธรรม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่ระดับชาติและนานาชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 วธ.ชูแผนตรวจราชการ ปี 66 เน้นบูรณาการสำนักนายก-ทุกกระทรวง ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยกระดับงานศิลปะและวัฒนธรรม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่ระดับชาติและนานาชาติ วธ.ชูแผนตรวจราชการ ปี 66 เน้นบูรณาการสำนักนายก-ทุกกระทรวง ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยกระดับงานศิลปะและวัฒนธรรม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่ระดับชาติและนานาชาติ วธ.ชูแผนตรวจราชการ ปี 66 เน้นบูรณาการสำนักนายก-ทุกกระทรวง ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยกระดับงานศิลปะและวัฒนธรรม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่ระดับชาติและนานาชาติ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดทำแผนการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และปฏิทินการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อให้การตรวจ ติดตาม กำกับ ดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการในสังกัดวธ.เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายรัฐบาล นโยบายวธ. และแผนปฏิบัติการวธ. ปี 2566 – 2570 ที่มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชน โดยเน้นแนวทาง 1.การตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ร่วมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวงต่างๆ ตามประเด็นนโยบายของรัฐบาล เน้นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม พัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยว พัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ยกระดับศักยภาพแรงงาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือข้อร้องเรียนของประชาชน 2.การตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาล งานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี อาทิ การขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาศักยภาพพลังบวร : บ้าน วัด/ศาสนสถาน โรงเรียน (ราชการ) ส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการใช้และสวมใส่ผ้าไทย สร้างการรับรู้ให้วันที่ 12 สิงหาคม เป็น "วันผ้าไทยแห่งชาติ" ผลักดันและขับเคลื่อน Soft Power ของไทยให้เกิดประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ การขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก 3.การตรวจราชการกรณีปกติ ในส่วนของงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและจุดเน้นที่สำคัญของปลัดกระทรวงวัฒนธรรม อาทิ การบูรณาการงาน “ใต้ร่มพระบารมี 241 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (ต่อยอดเมืองเดิม เพิ่มเติมเมืองใหม่) ขับเคลื่อนโครงการ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" 10 สุดยอดชุมชนเดิมและชุมชนใหม่ โครงการ 10 ตลาดบก 6 ตลาดน้ำ ปรับภูมิทัศน์ ฟื้นฟูวิถีชีวิต รวมถึงพัฒนา ต่อยอด ยกระดับผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ส่งเสริมให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปินพื้นบ้านมีรายได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและผลักดันให้ศิลปะ วัฒนธรรม มีบทบาทพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมของไทยยกระดับ Soft Power ของท้องถิ่น ผ่านสื่อสมัยใหม่ คอนเทนต์ไทย และกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมทั้งในและต่างประเทศ ยกระดับการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม พัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรม ดิจิทัลคอนเทนต์ ออนไลน์ Platform ให้มีห้องสมุดชุมชน พัฒนากฎหมายด้านวัฒนธรรมให้ทันสมัย จัดทำศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม และ Big Data เน้นให้บุคลากรและเครือข่ายวัฒนธรรมมีแนวคิดทันสมัยและเป็นมืออาชีพ 4.การตรวจราชการกรณีพิเศษ เป็นการตรวจราชการตามที่ได้รับมอบหมายในเรื่องต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ฉุกเฉินที่รัฐบาลต้องเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือและแก้ไขในทันที โดยเฉพาะกรณีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและเครือข่ายของกระทรวงวัฒนธรรม รับฟังเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนหรือปัญหาอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วธ.ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการของวธ. จำนวน 2 ราย ตรวจราชการ ดังนี้ 1.นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจราชการ 40 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี สงขลา กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก สระเเก้ว และปราจีนบุรี 2.นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจราชการ 37 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64474
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ ขอบคุณรัฐบาลผ่าน รมต.อนุชา ที่ช่วยเร่งรัดแก้ปัญหาที่ดินทำกินและหนี้สินครู แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ พร้อมร่วมมือสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 เครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ ขอบคุณรัฐบาลผ่าน รมต.อนุชา ที่ช่วยเร่งรัดแก้ปัญหาที่ดินทำกินและหนี้สินครู แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ พร้อมร่วมมือสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล เครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ ขอบคุณรัฐบาลผ่าน รมต.อนุชา ที่ช่วยเร่งรัดแก้ปัญหาที่ดินทำกินและหนี้สินครู แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ พร้อมร่วมมือสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมใจ วิเศษทักษิณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้พบปะผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ นำโดย นายสุเนตร แก้วคำหาญ พร้อมด้วยผู้แทนเครือข่ายฯ 5 คน เข้าพบเพื่อขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและปัญหาหนี้สินครู โดยได้ทางออกเป็นที่น่าพอใจจากการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา นายสุเนตรฯ ผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมาหลายยุค หลายรัฐบาล ไม่สามารถทำได้ แต่รัฐบาลชุดนี้ สามารถแก้ปัญหาได้ลุล่วง ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากผลการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติ ครั้งที่ 1/2566 ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรรเป็นประธาน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความทุกข์ยาก วันนี้จึงอยากจะชื่นชมพร้อมขอขอบคุณรัฐบาล ผ่านทางท่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนของเครือข่ายยินดีร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ ทางด้าน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและปัญหาหนี้สินให้พี่น้องประชาชนโดยด่วน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับพี่น้องเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติมีมาเป็นระยะเวลายาวนาน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเร่งรัดหารือแนวทางการให้ความข่วยเหลือ อาทิ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ทั้งนี้ เป็นความตั้งใจและจริงใจของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาทุกระดับ เป้าหมายเพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มีที่ดินทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ และสามารถมีรายได้สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว ส่งผลดีสู่รุ่นลูกรุ่นหลานให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งแน่นอน แต่การดำเนินงานต้องเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการ ตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัด ส่วนเรื่องที่ติดขัดในระเบียบข้อกฎหมาย ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวน ปรับปรุง เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64466
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย 14 จังหวัดค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานติดต่อกัน 3 วัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ แล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 สธ.เผย 14 จังหวัดค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานติดต่อกัน 3 วัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ แล้ว รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้น พบเกินค่ามาตรฐาน 51 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน 14 จังหวัด ให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์แล้ว รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้น พบเกินค่ามาตรฐาน 51 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน 14 จังหวัด ให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์แล้ว ส่วนผู้ป่วยจากโรคที่เกี่ยวกับฝุ่นสัปดาห์นี้มีรายงาน 3.76 แสนคน เพิ่มขึ้น 1.63 แสนคน เป็นกลุ่มโรคทางเดินหายใจสูงสุด วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในประเทศไทย ขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ โดยวันนี้พื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกิน 51 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ติดต่อกันเกิน 3 วัน (พื้นที่สีแดง) จำนวน 14 จังหวัด ได้แก่ 1.ลำพูน (อ.เมือง อ.ลี้) 2.เชียงใหม่ (อ.เมือง อ.ฮอด อ.เชียงดาว อ.แม่แจ่ม) 3.สุโขทัย (อ.เมือง) 4.นนทบุรี (อ.เมือง อ.ปากเกร็ด) 5.ปทุมธานี (อ.คลองหลวง) 6.พระนครศรีอยุธยา (อ.พระนครศรีอยุธยา) 7.สระบุรี (อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง) 8.อ่างทอง (อ.เมือง) 9.สมุทรสาคร (อ.เมือง อ.กระทุ่มแบน) 10.ราชบุรี (อ.เมือง) 11.สมุทรสงคราม (อ.เมือง) 12.สมุทรปราการ (อ.พระประแดง อ.เมือง อ.บางเสาธง) 13.นครพนม (อ.เมือง) และ 14.กทม. พบ 23 เขตใน 50 เขต โดยค่าเฉลี่ย PM 2.5 อยู่ที่ 101 - 158 มคก./ลบ.ม. จึงได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีฝุ่น PM 2.5 ใน 14 จังหวัด เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์อย่างเป็นระบบ นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคจากมลพิษทางอากาศในระบบ HDC ระหว่างวันที่ 1-31 มกราคม 2566 พบว่า สัปดาห์นี้มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศจำนวน 376,165 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 163,491 ราย โดยกลุ่มโรคที่เจ็บป่วยสูงสุด ได้แก่ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ พบ 165,879 ราย เพิ่มขึ้น 72,430 ราย กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ พบ 80,248 ราย เพิ่มขึ้น 31,571 ราย กลุ่มโรคตาอักเสบ พบ 70,206 ราย เพิ่มขึ้น 29,605 ราย โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตันขาดเลือด พบ 54,434 ราย เพิ่มขึ้น 26,828 ราย สำหรับข้อมูลพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการรับสัมผัส PM 2.5 ของประชาชนพบว่า ช่วงวันที่ 23-29 มกราคม 2566 ประชาชนมีพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น 76% ไม่เผาขยะ กระดาษ หรือจุดธูป 59.7% และปิดประตูระหว่างทำงาน 51.6% แนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนคือวันที่ 16-22 มกราคม 2566 แต่พฤติกรรมการงดออกกำลังกายกลางแจ้ง การลดระยะเวลาออกนอกบ้านและการตรวจเช็กคุณภาพอากาศก่อนออกนอกบ้านมีการปฏิบัติลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ขอย้ำให้ประชาชนตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน หากค่าฝุ่นละอองอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ให้ลดหรืองดกิจกรรมกลางแจ้ง หรือสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบทางสุขภาพรุนแรงกว่าคนทั่วไป ส่วนประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (พื้นที่สีแดง) ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน และหากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ ************************************************ 2 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บารมี รมว.เฮ้ง ยุติข้อพิพาทไทยคิคูวากับสหภาพแรงงานสำเร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 บารมี รมว.เฮ้ง ยุติข้อพิพาทไทยคิคูวากับสหภาพแรงงานสำเร็จ บารมี รมว.เฮ้ง ยุติข้อพิพาทไทยคิคูวากับสหภาพแรงงานสำเร็จ รมว. สุชาติ รุกแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานระหว่างบริษัท ไทยคิคูวา อินดัสทรีส์ จำกัด กับผู้แทนลูกจ้าง ผู้แทนสหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ชลบุรี สำเร็จ หลังยกหูเจรจากับทั้งสองฝ่าย พร้อมส่งทีมงานลงพื้นที่แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักสุจริตและแรงงานสัมพันธ์ที่ดี จนทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องยุติข้อพิพาทและทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน เดินหน้าจับมือทำงานร่วมกันต่อไป นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีข้อพิพาทแรงงาน ระหว่างบริษัท ไทยคิคูวา อินดัสทรีส์ จำกัด กับสหภาพแรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ชลบุรี ว่า ผมเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมให้ความช่วยเหลือพี่น้องเต็มที่ โดยหวังให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานกินดีอยู่ดี ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งกรณีข้อพิพาทข้างต้น ผมได้เกาะติดสถานการณ์รับทราบปัญหาตลอด จึงสั่งการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ลงไปช่วยแก้ปัญหาพี่น้องผู้ใช้แรงงานตามที่ผมแนะนำมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาที่มีการไกล่เกลี่ยทุกครั้ง ผมได้พยายามคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหากับทีมงานอย่างเต็มที่ ด้วยความตั้งใจที่อยากจะเห็นพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้ตามที่ต้องการ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 จนมาถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 รวมเจรจาไกล่เกลี่ย 23 ครั้ง ผมได้สั่งให้ทีมงานร่วมเจรจาระหว่างนายจ้างที่มีอำนาจตัดสินใจกับลูกจ้างภายใต้หลัก “แรงงานสัมพันธ์ที่ดี” กระทั่งสามารถหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันจนเป็นที่ยุติของทั้งสองฝ่าย สามารถทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างร่วมกัน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ให้ทั้งสองฝ่ายผสานใจด้วยความเข้าอกเข้าใจ เพื่อจับมือเดินหน้าก้าวต่อไปอย่างราบรื่นและสัมฤทธิ์ผล ด้าน นายนิยม สองแก้ว อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ มาจากบารมีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ท่านเป็น สส ชลบุรี ได้โทรศัพท์สายตรงทั้งสองฝ่าย ให้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขข้อพิพาทแรงงานที่ยืดเยื้อมานานร่วม2เดือนจนสำเร็จได้ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจะยุติข้อพิพาทและทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน มีสาระสำคัญ ได้แก่ บริษัทฯ ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2565 - 2567,ปรับค่าจ้างประจำปี 2566 – 2568, ปรับเพิ่มค่าครองชีพ และปรับปรุงระเบียบว่าด้วยเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) โดยมีผลบังคับ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2568 และตามเงื่อนไขความตกลงของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ผมขอเน้นย้ำให้นายจ้าง ลูกจ้างใช้การเจรจาร่วมกันด้วยเหตุผล โดยนายจ้างควรชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อทำความเข้าใจกับลูกจ้างอย่างตรงไปตรงมา โดยยึดหลักสุจริตใจ และขอให้ทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงสิทธิ หน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมายและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64453
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ 2 จังหวัดภาคอีสาน พอใจความคืบหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่ม ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 58,000 ครัวเรือน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ 2 จังหวัดภาคอีสาน พอใจความคืบหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่ม ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 58,000 ครัวเรือน รองนายกฯ พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่ 2 จังหวัดภาคอีสาน พอใจความคืบหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่ม ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 58,000 ครัวเรือน วันนี้ (วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดยโสธร และ จังหวัดมุกดาหาร ตรวจติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน เพื่อการเกษตร และรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ให้การต้อนรับ โดยภาพรวมสภาพปัญหาการขาดแคลนน้ำยังเกิดขึ้นในบางพื้นที่ที่ฝนทิ้งช่วง สรุปความคืบหน้าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปี 2561-2565 จังหวัดยโสธร มีพื้นที่รับประโยชน์เพิ่ม 61,103 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 33,053 ครัวเรือน สามารถจุน้ำเพิ่ม 37 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ได้รับการป้องกันกว่า 2,500 ไร่ สำหรับ จังหวัดมุกดาหาร มีพื้นที่รับประโยชน์เพิ่ม 51,290 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 25,089 ครัวเรือน สามารถจุน้ำเพิ่ม 11.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถนำน้ำบาดาลมาใช้เพิ่มเกือบ 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยดำเนินทั้งการก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ และระบบป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ ต่อจากนั้นได้ลงตรวจความคืบหน้าการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยลิงโจน บ.หนองบึง ต.ห้องแซง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร และพบปะทักทาย และรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวพอใจการพัฒนาแหล่งน้ำ และการบริหารจัดการน้ำภาพที่ผ่านมา โดยกำชับ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถึงการบริหารจัดการน้ำภาพรวม จำเป็นต้องดำเนินการคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน ให้กระจายในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานที่ฝนทิ้งช่วง โดยต้องพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำต้นทุน ทั้งน้ำบนดินและน้ำใต้ดินไปพร้อมกัน ให้เชื่อมโยงกับการบริหารจัดการน้ำภาพใหญ่ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะหลายโครงการที่ดำเนิการไปแล้ว จำเป็นต้องวางแผน ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่มากขึ้นในอนาคต ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ และยกระดับการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ยังได้กำชับ ขอให้ทุกส่วนราชการ เพิ่มความเข้มข้นดำเนินการตาม 10 มาตรการ รองรับฤดูแล้ง เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคอีสานภาพรวมที่จะเกิดขึ้น พร้อมย้ำ ขอให้มุ่งทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความโปร่งใส 13.00 น. วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เดินทางไป จังหวัดมุกดาหาร ตรวจติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ และติดตามโครงการผันน้ำจากแม่น้ำโขงเพื่อการเกษตร รวมทั้งความคืบหน้าการก่อสร้างปรับปรุงตลาดอินโดจีน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64464
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อโครงการลงทุนติดตั้งสายการผลิตกระเบื้องคอนกรีต เพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อโครงการลงทุนติดตั้งสายการผลิตกระเบื้องคอนกรีต เพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร EXIM BANK และ DRT ลงนามสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จำนวนรวม 400 ลบ. สำหรับโครงการลงทุนติดตั้งสายการผลิตกระเบื้องคอนกรีต (CT-6) ของโรงงานในจังหวัดสระบุรีของ DRT ขนาดกำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับการขยายตลาด ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) และนายสุนทร สุวรรณเจตต์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการผลิตและวิศวกรรม DRT ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จำนวนรวม 400 ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนติดตั้งสายการผลิตกระเบื้องคอนกรีต (CT-6) ของโรงงานในจังหวัดสระบุรีของ DRT ขนาดกำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า การสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK แก่ DRT ในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายและบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างให้มีศักยภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้น โดยกระเบื้องคอนกรีต (CT-6) เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ รวมทั้งรองรับการขยายตัวของตลาดส่งออกและตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในตลาด CLMV ซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญของ EXIM BANK ทั้งนี้ DRT เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลังคา สินค้าโครงสร้างบ้าน ร้านกาแฟสำเร็จรูป Diamond Cafe และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราเพชร” ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจำหน่ายไปยังกลุ่มโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ อาทิ ไทวัสดุ สยามโกลบอลเฮ้าส์ และเมกาโฮม และจำหน่ายให้แก่โครงการบ้านจัดสรร โดยมีแผนขยายธุรกิจทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน “EXIM BANK เดินหน้าสร้างนักรบเศรษฐกิจไทยจำนวนมากขึ้นในเวทีโลก คู่ขนานกับการสนับสนุนการค้าและการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและประชาคมโลก” ดร.รักษ์ กล่าว EXIM Thailand Finances Diamond Building Products Plc.’s Concrete Tile (CT-6) Production Line Project to Boost Efficiency and Expand Production Capacity Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Mr. Satid Sudbuntad, Chief Executive Officer, Diamond Building Products Plc. (DRT), and Mr. Sunthorn Suwannajade, DRT Assistant Chief Executive Officer, Production and Engineering, jointly signed an EXIM Thailand credit facility agreement worth 400 million baht to finance DRT’s concrete tile (CT-6) production line project at EXIM Thailand’s Head Office on February 2, 2023. The project aims to install a concrete tile (CT-6) production line with a production capacity of 100,000 tons per year at DRT’s factory in Saraburi Province to enhance production efficiency to serve markets both at home and overseas. EXIM Thailand President said that EXIM Thailand’s financial facility to DRT this time is in line with the Bank’s policy and role as “Thailand Development Bank” to support entrepreneurs in construction material industrial sector for their higher production potential. CT-6 is one of the products that help save energy used in the production process and is ecofriendly. The increase in the production capacity will contribute to the country’s development of infrastructures and industrial sectors, as well as expansion of export and property markets, particularly in the CLMV markets, which is one of EXIM Thailand’s key missions. DRT is a producer and distributor of roofing products, equipment for house structures, functional café (Diamond café) and provider of such services as roof stripping and installation services under the “Diamond” trademark. Its product distribution and service provision cover provinces nationwide, e.g. distribution to large modern trade groups like Thai Watsadu, Siam Global House and Mega Home, and to property development projects. The Company has a business plan underway to further expand in and beyond Thailand to ASEAN. “EXIM Thailand will proceed with its mission to build Thai economic warriors on the global front to a greater extent alongside support of trade and investment for development of infrastructures and industrial sectors of Thailand and other countries in the region to enable sustainable growth in all dimensions, i.e. economic, social and environmental dimensions of Thailand and the global community,” added Dr. Rak.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดดีอีเอส เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฯ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดดีอีเอส เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฯ ปลัดดีอีเอส เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฯ ​ วันนี้(2ก.พ. 66)ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการใช้การติดต่อสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในสัญญาระหว่างประเทศณห้องประชุม802ชั้น8สป.ดศ. ________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง รอง ผบ.ตร.- เลขาป.ป.ส. โชว์ผลงานรวบขบวนการขนยาบ้าเชียงราย 2 คดีรวม 7.8 ล้านเม็ด ขยายผลยึดทรัพย์ได้แล้ว 12 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง รอง ผบ.ตร.- เลขาป.ป.ส. โชว์ผลงานรวบขบวนการขนยาบ้าเชียงราย 2 คดีรวม 7.8 ล้านเม็ด ขยายผลยึดทรัพย์ได้แล้ว 12 ล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ควง รอง ผบ.ตร.- เลขาป.ป.ส. โชว์ผลงานรวบขบวนการขนยาบ้าเชียงราย 2 คดีรวม 7.8 ล้านเม็ด ขยายผลยึดทรัพย์ได้แล้ว 12 ล้านบาท เตรียมรวมหลักฐานสืบสาวถึงคนสั่งการ ขอปชช.ช่วยแจ้งเบาะแสปราบยานรกให้สิ้นซาก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.45 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. นายวราดิศร อ่อนนุช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวิชัย ไชมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5 พล.ต.ต ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พ.ต.อ.พงษ์สวัสดิ์ ไชยบาล รองผบก.ภ.จว.เชียงราย และนายอภิกิต โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภาค 5 ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมคดียาบ้า 2 คดีและการขยายผลยึดอายัดทรัพย์สิน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค.66 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกับ ชุดสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดพื้นที่ตอนในภาค 5 สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้รวม 7 ราย พร้อมของกลาง ยาบ้า 4.6 ล้านเม็ด ได้ที่ด่านตรวจจำบอน ต.ดอยลาน อ.เมือง จ.เชียงราย โดยกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดนี้ มีการขนย้ายยาเสพติดเป็นขบวนการ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ใช้รถยนต์ทั้งหมด 6 คัน ใช้ช่วงละ 3 คัน ในขบวนขนย้ายยาเสพติดแต่ละช่วงจะมีรถบรรทุก 1 คัน รถยนต์นำสำรวจเส้นทาง 1 คัน และ รถยนต์ใช้คุ้มกัน 1 คัน โดยชุดแรกจะลำเลียงจากเชียงราย ไปยังจุดพักยาเสพติด ในพื้นที่ อ.ภูซาง จ.พะเยา จากนั้น ชุดที่สอง ก็จะขนเข้าสู่ตอนในของประเทศ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ป.ป.ส.สามารถขยายผลไปสู่การยึดอายัดทรัพย์สิน ผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้อง มี 8 กลุ่มเป้าหมาย ทั้งหมด 22 รายการ มูลค่ารวม 2.5 ล้านบาท และยังมีทรัพย์สินของผู้ต้องหา ที่ตรวจสอบพบการครอบครอง ถือกรรมสิทธิ์ ที่ยังไม่ได้ถูกอายัด เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ มูลค่ารวม 2.4 ล้านบาท โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้สั่งการว่าจ้างในคดีนี้ โดยจากการขยายผลพบทรัพย์สินเบื้องต้น เช่น รถยนต์ ที่ดิน 5 แปลงจำนวน 53 ไร่ มูลค่ารวม 7.4 ล้านบาท โดยรวมมูลค่าทรัพย์สินของขบวนการขนย้ายยาเสพติดนี้ ทั้งที่ยึดอายัดแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบเพื่อยึดอายัดรวม 12 ล้านบาท นายสมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนอีกคดี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.66 ตำรวจชุดสายตรวจ สภ.แม่เจดีย์ สามารถจับกุม นายสุรพงษ์ ลีรัตน์ไพจิตร พร้อมของกลางยาบ้า 3.2 ล้านเม็ด ถูกบรรจุอยู่ในกระสอบ 16 ใบ ได้ที่ ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดยขนย้ายยาเสพติดด้วยรถยนต์ซึ่งเป็นรถให้เช่า ซึ่งปปส.ภาค 5 ร่วมกับตำรวจ ทำการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด สามารถยึดอายัดทรัพย์สิน เบื้องต้นได้ 5 รายการ เช่น รถบรรทุก บัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชีธนาคาร และทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติม พร้อมอยู่ระหว่างการขยายผลจับกุมรถนำ และผู้สั่งการ "ผมต้องขอบคุณผู้ดำเนินการจับกุม ทั้งตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. มหาดไทย และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล วันนี้ยังมีการลักลอบขนยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศจำนวนมาก หากประชาชนท่านใดพวกเรารู้ ก็แจ้งเบาะแสให้ป.ป.ส.ได้เลย คนแจ้งก็ได้รางวัลการแจ้ง 5%จากมูลค่าทรัพย์สินด้วย ผมอยากให้ทุกคนช่วยบอกต่อๆกันไปด้วย และหากใครกลัว เราก็ได้ทำระบบ Block chain เพื่อป้องกันข้อมูลคนแจ้งให้ปลอดภัย โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการทำงาน"นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64477
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เตรียมลงนามร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดสันนิษฐานมีไว้ครอบครองเพื่อเสพ “ยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด” ดูแลบูรณาการทั้งบังคับใช้กฎหมายและสาธารณสุข
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 “อนุทิน” เตรียมลงนามร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดสันนิษฐานมีไว้ครอบครองเพื่อเสพ “ยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด” ดูแลบูรณาการทั้งบังคับใช้กฎหมายและสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รับทราบร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดเพื่อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพปรับลดเป็น “ยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รับทราบร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดเพื่อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพปรับลดเป็น “ยาบ้าไม่เกิน 1 เม็ด” ให้ได้รับการดูแลแบบบูรณาการทั้งบังคับใช้กฎหมายและสาธารณสุขร่วมกัน เตรียมลงนามเสนอ ครม.ต่อไป พร้อมเผยแนวทางรองรับการดูแลผู้ป่วยยาเสพติดในพื้นที่ วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นายอนุทินกล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำอนุบัญญัติภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด จำนวน 9 ฉบับ ซึ่งขณะนี้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว จำนวน 6 ฉบับ อยู่ในระหว่างพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและอยู่ระหว่างนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จำนวน 3 ฉบับ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปคือ ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. ... โดยปรับปรุงเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 คือ แอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 0.1 กรัม และเมทแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึง 0.1 กรัมหรือคำนวณน้ำหนักเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 25 มิลลิกรัม “การปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อจัดการกับปัญหาสังคมให้เด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ ลดการกระจายของยาบ้าลง เป็นการแก้ไขปัญหาโดยผู้ที่ครอบครองยาบ้าที่ปริมาณไม่เกิน 1 เม็ด จะได้รับการดูแลอย่างบูรณาการจากทุกหน่วยงาน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและสาธารณสุขร่วมกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงไว้ซึ่งดุลยพินิจในการดูเจตนารมณ์ ดูพฤติกรรม และสามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นการค้าหรือเสพ” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ เมื่อสรุปร่างแล้วเสร็จจะนำเสนอตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม ก่อนจะนำเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป ส่วนอีก 2 ฉบับ คือร่างกฎกระทรวงการอนุญาตโฆษณาเกี่ยวกับการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่...) พ.ศ. ... อยู่ระหว่างส่งข้อคิดเห็นเข้าที่ประชุม ครม. และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการฟื้นฟูสภาพทางสังคม พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการนัดหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการอบ 2 นายอนุทินกล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามการจัดตั้ง พัฒนาและการดำเนินงานศูนย์คัดกรองสถานบำบัด สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของภาคีเครือข่ายกองทัพ และกองร้อยอาสา ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมภายใต้กระทรวงมหาดไทยและ กทม. ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดถึงระดับตำบล ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมการรองรับการดูแลผู้ป่วยยาเสพติดในพื้นที่ มีนโยบายให้จัดตั้งหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัด และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด หรือมีหน่วยงานดูแลบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง เพิ่มกำลังผลิตบุคลากรด้านจิตเวชและยาเสพติดให้สอดคล้องกับภาระงาน โดยแผนงานโครงการสำคัญที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนเร่งด่วนแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากงบปกติคณะกรรมการฯ ได้ขอสนับสนุนงบรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ 2566 ตามขั้นตอนแล้ว ************************************************ 2 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างสะพานข้ามแควหนุมาน อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่ง
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 กรมทางหลวงชนบท สร้างสะพานข้ามแควหนุมาน อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่ง และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักก่อสร้างสะพาน ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแควหนุมาน ตำบลเมืองเก่าและนาแขม อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เชื่อมระหว่าง หมู่ที่ 15 บ้านวังห้าง ตำบลเมืองเก่า กับ หมู่ที่ 2 บ้านวังห้าง ตำบลนาแขม ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้า ไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2566 เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัย ลดระยะเวลาในการขนส่งพืชผลทางการเกษตร ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยสะพานมีความยาว 230 เมตร ผิวทางกว้าง 9 เมตร พร้อมถนนต่อเชื่อมผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาวรวม 105 เมตร รวมทั้งมีการทำระบบระบายน้ำ ติดตั้งป้ายจราจร และไฟฟ้าแสงสว่าง ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 53.99 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ พร้อมร่วมมือการเกษตร การท่องเที่ยว ผลักดันร่วมกันด้านเศรษฐกิจสีเขียว แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ พร้อมร่วมมือการเกษตร การท่องเที่ยว ผลักดันร่วมกันด้านเศรษฐกิจสีเขียว แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้ภูมิภาค และเพื่อประชาคมโลก วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยอน ทัวร์กอร์ด (H.E. Mr. Jon Thorgaard) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีต้อนรับเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ไทยและเดนมาร์กมีมิตรไมตรีอันดีที่แน่นแฟ้นยาวนาน ซึ่งในปี 2566 นี้จะเป็นวาระครบรอบ 165 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมแสดงความยินดีที่เดนมาร์กได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ฝากความปรารถนาดีไปยังนางเม็ทเทอ เฟรเดอริกเซิน (H.E. Mrs. Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเดนมาร์กด้วย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสพบหารือกันในโอกาสต่อไป พร้อมอวยพรให้เอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ประสบความสำเร็จในการทำงาน รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อสานต่อความร่วมมือที่มีอยู่เดิม และแสวงหาโอกาสเพิ่มสำหรับความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ยินดีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในไทย พร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายความร่วมมือด้านที่มีศักยภาพร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเดนมาร์กลงทุนในไทยแล้วกว่า 100 บริษัท หลายบริษัทมีแผนที่จะตั้งศูนย์การผลิตในไทย ส่วนด้านการท่องเที่ยวชาวเดนมาร์กมาท่องเที่ยวในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยไทยถือเป็นประเทศในสามลำดับแรกที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจในช่วงฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ผ่านมา ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตเดนมาร์กยินดีที่จะเป็นสื่อกลางในการสานต่อความร่วมมือร่วมกันต่อไป ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ ดังนี้ ด้านการเกษตร นายกรัฐมนตรียินดีที่จะสานต่อความร่วมมือเพื่อเพิ่มผลิตผลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และบุคลากรระหว่างกันด้านการเกษตร พร้อมเน้นย้ำประเด็นการลดก๊าซมีเทนที่เกิดจากภาคการเกษตร ซึ่งเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ เห็นพ้องและยินดีจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหาร เกษตร และประมง ของเดนมาร์ก มีแผนที่จะเดินทางเยือนไทยในเร็ว ๆ นี้ เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างกัน ด้านพลังงานหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว เอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ชื่นชมเป้าหมายกรุงเทพฯ (Bangkok Goals) จากการจัดการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสะท้อนศักยภาพของไทยในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานสะอาด สอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลเดนมาร์กเน้นย้ำ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ และมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ผ่านการผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เดนมาร์กยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนนักลงทุนเดนมาร์กในสาขาพลังงานที่สนใจ ด้านความร่วมมือในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพเช่นเดียวกันที่จะสามารถขยายความร่วมมือไปยังภูมิภาคอื่นผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือในกรอบอาเซียน ซึ่งไทยยินดีที่เดนมาร์กเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนในอาเซียน โดยเฉพาะสาขาที่เดนมาร์กมีความเชี่ยวชาญ อาทิ เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ พลังงานสะอาด เทคโนโลยีอาหาร และนโยบายเพื่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียว รวมทั้งความร่วมมือในกรอบสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement: PCA) ในการประชุม ASEAN - EU Commemorative Summit ณ กรุงบรัสเซลส์ โดยเอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ เชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศจะช่วยยกระดับความร่วมมือในทุกสาขาให้มีความใกล้ชิดและเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะในกรอบอาเซียนและการเน้นย้ำแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาคมโลก ในช่วงท้าย เอกอัครราชทูตเดนมาร์กฯ ได้สอบถามถึงประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐบาลใด ต้องคำนึงถึงการสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงประโยชน์มากที่สุด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคม รวมถึง ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเพื่อเดินหน้าไปสู่แนวทางตามหลักประชาธิปไตยได้อย่างมีคุณภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64467
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการศูนย์รวมข้อมูลภาครัฐ มัดรวมคำแนะนำขั้นตอน เอกสารประกอบ ช่องทางรับบริการ ทุกหน่วยงานครบจบที่เดียวบนเว็บไซต์ info.go.th สืบค้นและเข้าใจง่าย
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการศูนย์รวมข้อมูลภาครัฐ มัดรวมคำแนะนำขั้นตอน เอกสารประกอบ ช่องทางรับบริการ ทุกหน่วยงานครบจบที่เดียวบนเว็บไซต์ info.go.th สืบค้นและเข้าใจง่าย ​รัฐบาลเชิญชวนประชาชนใช้บริการศูนย์รวมข้อมูลภาครัฐ มัดรวมคำแนะนำขั้นตอน เอกสารประกอบ ช่องทางรับบริการ ทุกหน่วยงานครบจบที่เดียวบนเว็บไซต์ info.go.th สืบค้นและเข้าใจง่ายด้วยรูปแบบนำเสนอผ่านอินโฟกราฟฟิกทันสมัย วันที่่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการติดต่อกับทางราชการ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.)และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ได้ร่วมกันพัฒนาระบบศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการทุกหน่วยงานไว้ ณ จุดเดียว บนเว็บไซต์ info.go.th เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนและผู้ประกอบการในการเป็นคู่มือแนะนำ ไม่ว่าจะเป็น ขั้นตอน เอกสารประกอบ ช่องทางการ เงื่อนไข ตลอดจนระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตที่ชัดเจนของแต่ละบริการและหน่วยงาน ล่าสุด สพร.และ สำนักงาน ก.พ.ร. ยังได้พัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชั่นใหม่ที่เพิ่มความสะดวกในการสืบค้นมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเสนอเมนูต่างๆ ผ่านอินโฟกราฟฟิกที่เข้าใจง่ายและทันสมัย มีการเชื่อมโยงงานคำแนะนำงานบริการที่เกี่ยวข้องกันมาไว้ด้วยกัน ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถสืบค้นคำแนะนำการติดต่อราชการในเรื่องที่ต้องการ ผ่านคำสืบค้น หรือเลือกค้นหาตามกลุ่มผู้ใช้บริการ อาทิ เด็ก สตรีและครอบครัว นักเรียนนักศึกษา ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย นักท่องเที่ยว เกษตรกร ผู้ประกอบการนักลงทุน ผู้ว่างงาน ลูกจ้าง ผู้ประสบภัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถค้นหาคำแนะนำจากหมวดหมู่บริการ ไม่ว่าจะเป็น สวัสดิการ การขอรับเงินชดเชย รักษาพยาบาล งานครอบครัว สัญชาติและถิ่นที่อยู่อาศัย การศึกษา ผู้พิการผู้ดูแลและสวัสดิการ ผู้สูงอายุ รายได้และการจัดการภาษี ที่ดินสิ่งปลูกสร้างสาธารณูปโภค การขับขี่และรถยนต์ การจดทะเบียนธุรกิจและการเลิกกิจการ ใบอนุญาตเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หนังสือเดินทาง ใบอนุญาตทำงาน การจ้างแรงงานและกฎหมายแรงงาน จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญหา การร้องเรียนดำเนินคดี “รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนที่จำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานราชการใช้บริการศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการที่เว็บไซต์ info.go.th หรือสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อศึกษาข้อแนะนำทั้งขั้นตอน เอกสาร ช่องทางการเข้ารับบริการ เงื่อนไขและระยะเวลาของบริการ เพื่อเตรียมตัวพร้อมก่อนติดต่อกับทางราชการ ซึ่งจะทำให้การรับบริการต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับปรุง info.go.th เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดยังได้เพิ่มข้อมูลจุดบริการสำคัญๆ ให้ประชาชนค้นหาจุดบริการใกล้ที่พักอาศัย พร้อมมีแผนที่นำทางไปจุดรับบริการที่ถูกต้อง นอกจากนี้เว็บไซต์ยังรวบรวบบริการสำคัญอื่นๆ ไว้ที่เดียว เช่น เบอร์โทรฉุกเฉินเกี่ยวกับ เหตุด่วนเหตุร้าย การเดินทางคมนาคม และสาธารณูปโภค แจ้งสถานที่ตั้งตู้บริการภาครัฐ จุดบริการอำเภอยิ้ม ตลอดจนมีบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสวัสดิการต่างๆ จากภาครัฐด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ ห้องโถง ชั้น 1 และบริเวณด้านหน้าอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ตรวจเยี่ยมดาวเทียม ของบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.ดีอีเอส ตรวจเยี่ยมดาวเทียม ของบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ รมว.ดีอีเอส ตรวจเยี่ยมดาวเทียม ของบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ วันนี้ (2 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และนายภุชพงค์​ โนดไธสง​ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ​ ตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานควบคุมดาวเทียม ของบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยมี พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมบรรยายสรุปและให้การต้อนรับ ณ สถานีไทยคม จังหวัดนนทบุรี ___________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64473
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันทหารผ่านศึก คือ วันอะไร ❓
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 วันทหารผ่านศึก คือ วันอะไร ❓ #สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม #กระทรวงกลาโหม #กองบัญชาการกองทัพไทย #กองทัพบก #กองทัพเรือ #กองทัพอากาศ #องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. ดีอีเอส จัดอบรมเครือข่ายผู้ประสานงานตรวจสอบข่าวปลอมทุกภาคส่วน เพื่อรู้เท่าทันโลกดิจิทัล
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รมว. ดีอีเอส จัดอบรมเครือข่ายผู้ประสานงานตรวจสอบข่าวปลอมทุกภาคส่วน เพื่อรู้เท่าทันโลกดิจิทัล รมว. ดีอีเอส จัดอบรมเครือข่ายผู้ประสานงานตรวจสอบข่าวปลอมทุกภาคส่วน เพื่อรู้เท่าทันโลกดิจิทัล วันนี้ (2 ก.พ.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบสำหรับประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอม และสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมทั้ง 4 กลุ่มข่าว (เศรษฐกิจ-นโยบายรัฐบาลฯและนิติกร-ภัยพิบัติ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ) ภายใต้โครงการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center: AFNC) ให้กับผู้ประสานงานเครือข่าย ข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้อง การจัดการข่าวปลอม และการแจ้งกลับมาผ่านศูนย์ฯ อย่างรวดเร็ว เพื่อการเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องร่วมกันและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชูผลงานผลักดันกฎหมายสำคัญได้เพิ่มอีก 5 ฉบับ จนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชูผลงานผลักดันกฎหมายสำคัญได้เพิ่มอีก 5 ฉบับ จนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชูผลงานผลักดันกฎหมายสำคัญได้เพิ่มอีก 5 ฉบับ จนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามผลงานการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของรัฐบาล ตามนโยบายของรัฐบาล ที่หน่วยงานฝ่ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้มีการปรับปรุงประมวลกฎหมายหลักของประเทศและกฎหมายอื่น ๆ ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยในห้วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำงานเชิงรุกแก้ไขกฎหมาย 5 ฉบับที่เป็นปัญหาโครงสร้างมาเป็นเวลานาน โดยกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ รัฐบาลผลักดันจนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ประกอบด้วย 1. พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ เป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสะดวก ประหยัด และลดขั้นตอนวุ่นวายโดยไม่จำเป็น พร้อมปิดช่องทางทุจริตรับสินบนใต้โต๊ะ การที่ทุกหน่วยงานนำกระบวนการขั้นตอนการอนุมัติอนุญาตตามกฎหมายของตนขึ้นมาเปิดเผย และกำหนดระยะเวลาการทำงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลให้อันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยถีบตัวเพิ่มขึ้น 7 อันดับ โดยกฎหมายการอำนวยความสะดวก เป็นการลดทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการบริการประชาชน และเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของระบบราชการ 2. พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มีเป้าหมายเพื่อการปรับโครงสร้างปรุงวิธีการทำงานของภาครัฐ ด้วยการตรากฎหมายกลางเพียงฉบับเดียว เพื่อรับรองความชอบด้วยกฎหมายของการปฏิบัติราชการและการอนุมัติอนุญาตของภาครัฐตามกฎหมายทุกฉบับ หากได้กระทำลงโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ 3. พระราชกำหนดแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ จากเดิมที่คิดในอัตรา 7.5% มาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาก ซึ่งการเรียกดอกเบี้ยผิดนัดสูงมากเช่นนี้ เป็นการซ้ำเติมลูกหนี้และทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากความเป็นหนี้ได้ยาก และยังทำให้เจ้าหนี้ยื้อคดีความเพื่อหวังส่วนต่างดอกเบี้ย มีคดีอยู่ที่ศาลเป็นอันมาก นอกจากนี้ วิธีหักเงินเพื่อชำระหนี้ก็ไม่เป็นธรรม คือให้นำไปหักดอกเบี้ยก่อนหักต้นเงิน ทั้งที่ควรหักเงินต้นก่อน จึงไม่มีทางที่หนี้ของลูกหนี้จะลดลงเลย ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ลูกหนี้อย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เสนอให้แก้ไขเป็นว่า ให้นำเงินที่ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไปหักต้นก่อน ต้นลด ดอกจะลด และแก้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดให้เป็น managed rated โดยลดจาก 7.5% เป็น 3% ในเบื้องต้น ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและคดีรกโรงรกศาล “เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ข้อมูลว่า เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนมาก จากเดิม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอให้ออกเป็นพระราชบัญญัติ แต่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน ไม่ควรรอช้า จึงสั่งการให้ออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งต่อมาสภาก็เห็นชอบด้วยโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ความชอบในเรื่องนี้จึงต้องให้เครดิตท่านนายกรัฐมนตรีที่กล้าตัดสินใจออกพระราชกำหนด” นายอนุชาฯ กล่าว 4. พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 กฎหมายนี้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ใช้โทษอาญาเพียงเท่าที่จำเป็น ซึ่งโทษปรับนั้นถือเป็นโทษอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา และระบบกฎหมายไทยแต่เดิมมาก็ใช้แต่โทษอาญา ทั้งเรื่องใหญ่ร้ายแรงและเรื่องเล็กเรื่องน้อย เช่น สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ปรับ 2 พันบาท เป็นต้น และเมื่อเป็นคดีอาญา กว่าจะปรับได้ก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดี พนักงานสอบสวนทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาล กว่าศาลจะพิพากษา ใช้เวลายืดยาวมาก ต้นทุนของรัฐในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายสูงมาก การใช้มาตรการทางอาญาไปเช่นนี้จึงไม่ได้ผล ตรงข้ามกลับมีการนำโทษอาญาไปข่มขู่รีดไถผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่ทำผิดเล็กน้อยก็อาจถูกบันทึกทะเบียนประวัติอาชญากรรมด้วยเพราะเป็นความผิดอาญา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเสนอให้กำหนดโทษปรับเป็นพินัยขึ้น โทษปรับอาญาสำหรับความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ร้ายแรงตามกฎหมายกว่าร้อยฉบับจะถูกแปลงเป็นโทษปรับเป็นพินัยแทน และจะไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรมสำหรับผู้กระทำความผิดเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไป เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว เป็นการสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยกฎหมายนี้จะเริ่มบังคับใช้ภายในเดือน ก.พ. 2566 นี้ 5. พรบ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลปัญหาของลูกหนี้กองทุน กยศ. จำนวน 6 ล้านคน แล้วได้สั่งการในคณะรัฐมนตรีให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับฟังความเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กยศ. โดยการปรับลดเพดานทั้งอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา และอัตราดอกเบี้ยผิดนัดให้มีความเหมาะสม ปรับปรุงงวดการจ่ายชำระหนี้ให้ถี่ขึ้นจาก งวดปี เป็น งวดเดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้ยาวขึ้นจาก 15 ปี เป็น 30 ปี พร้อมกำหนดให้เมื่อผู้กู้จ่ายชำระหนี้เข้ามาให้นำไปตัด “เงินต้น” ก่อน เพื่อช่วยให้ปลดหนี้ของผู้กู้หมดเร็วขึ้น ทั้งยังยกเลิกให้ไม่ต้องมี “ผู้ค้ำประกัน” รวมถึงการปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่จะเอื้อให้ กยศ. สามารถดำเนินภารกิจได้คล่องตัวในการปล่อยกู้ได้หลากหลายเช่น กู้ยืมไป Reskill หรือ Upskill เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาและความต้องการแรงงานยุคใหม่ “นายกรัฐมนตรียินดีที่รัฐบาลสามารถผลักดันกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ ที่เป็นปัญหาโครงสร้างมาเป็นเวลานาน จนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอำนวยความสะดวกในการอนุญาตของทางราชการที่เปิดเผยขั้นตอนและระยะเวลาการทำงานทุกกระบวนงานของหน่วยงานของรัฐ ลดภาระประชาชน และสกัดทุจริตในระบบราชการ กฎหมายการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่อัพเกรดระบบทำงานทันโลกยุคใหม่ กฎหมายแก้ไขดอกเบี้ยผิดนัดมหาโหด และวิธีคิดดอกเบี้ยไม่เป็นธรรมที่ใช้มาเป็นเวลายาวนาน เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม การคลอดกฎหมายปรับเป็นพินัยเพื่อสางปัญหาการเอาโทษอาญาไปข่มขู่ประชาชน รวมทั้งยกเครื่องกฎหมาย กยศ. ช่วยเด็กไทยอีกกว่า 6 ล้านคน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลกำหนดให้ปัญหาการทุจริตคอรัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยการมีกฎหมายที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย อีกด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ประชุมคณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2566
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 รองปลัด ประชุมคณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2566 รองปลัด ประชุมคณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2566 วันนี้ (2 ก.พ.66) ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2566 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom) เพื่อรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565) และความคืบหน้าการนำเสนอ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) _____________________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม นักสนุกเกอร์หญิงไทยที่ได้ร่วมแข่งรายการ รายการ 2023 Asia-Pacific Women's Championship ชื่นชม “มิงค์ สระบุรี”
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม นักสนุกเกอร์หญิงไทยที่ได้ร่วมแข่งรายการ รายการ 2023 Asia-Pacific Women's Championship ชื่นชม “มิงค์ สระบุรี” สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นนักสนุกเกอร์หญิงมือ 1 ของโลก วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมผลงานนักสนุกเกอร์หญิงชาวไทย “มิงค์ สระบุรี” ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย วัย 23 ปี ในการแข่งขันสนุกเกอร์หญิงรายการ 2023 Asia-Pacific Women's Championship ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการแข่งขันสนุกเกอร์หญิงรายการ 2023 Asia-Pacific Women's Championship ที่ผ่านมา “มิงค์ สระบุรี” ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย นักสนุกเกอร์หญิงชาวไทย ทำผลงานได้อย่างดี เอาชนะคู่แข่ง 3 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปพบกับนักสนุกเกอร์หญิงไทยด้วยกัน นั่นคือ “พลอย ขอนแก่น” พลอยชมพู เหล่าเกียรติพงษ์ ทั้งนี้ จากผลงานเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ส่งผลให้ “มิงค์ สระบุรี” ขยับจากมือ 2 แซงหน้า รีแอน อีแวนส์ (Reanne Evans) นักสนุกเกอร์หญิงชาวอังกฤษ ขึ้นไปครองบัลลังก์นักสนุกเกอร์หญิงมือ 1 ของโลกเป็นที่แน่นอนแล้ว พร้อมทั้งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักสนุกเกอร์ไทยคนแรกที่สามารถขึ้นไปครองมือ 1 ของโลกได้สำเร็จ “นายกรัฐมนตรีชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของนักกีฬา และความสามารถของนักกีฬาสนุกเกอร์หญิงไทยที่ร่วมแข่งทุกคน นักกีฬาไทยมีศักยภาพจนคว้าชัยชนะและได้รับจัดอันดับในโลก เป็นที่น่าภาคภูมิใจ ถือเป็นเครื่องสะท้อนถึงความตั้งใจฝึกซ้อม ฝึกฝน ของนักกีฬา พร้อมทั้งสามารถสร้างชื่อเสียงและประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาไทย ทั้งนี้ นายกฯชื่นชมและขอบคุณไปถึงทีมงานผู้ฝึกสอน และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬา รวมทั้งเชิญชวนคนไทยให้กำลังใจแก่นักกีฬาในการแข่งขันครั้งต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว คาดปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างประเทศแตะ 28 ล้านคน สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวกว่า 1.44 ล้านล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯยินดี ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว คาดปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างประเทศแตะ 28 ล้านคน สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวกว่า 1.44 ล้านล้านบาท คาดว่าการท่องเที่ยวไทยเติบโตในอัตราเร่งกว่า 2.25 ล้านล้านบาท วันนี้ (วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยในปี 2566 จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเอง และ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถิติของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาเยือนในประเทศไทย ช่วงเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนมากถึง 2,241,195 คน โดยอันดับ 1 เป็นนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย จำนวน 398,295 คน โดยจุดมุ่งหมายที่ได้รับความนิยม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี สงขลา และ ภูเก็ต โดยเฉพาะ ภูเก็ต ที่บรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคัก ทั้งในส่วนของย่านเมือง ทะเล หรือ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 ช่วยทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวคึกคัก โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการเริ่มกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 ช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับภูมิภาคปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออก ฟื้นตัวในเชิงปริมาณที่ 80%, 84%, และ 104% ตามลำดับ และคาดว่า ในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนประเทศไทย เป็นจำนวนถึง 28 ล้านคน สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวกว่า 1.44 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุน จากกลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่ กลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดีย และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีระยะพักแรมนาน หรือ expat เช่น กลุ่มยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีนี้คาดว่า มูลค่าการท่องเที่ยวไทยเติบโตในอัตราเร่ง 2.25 ล้านล้านบาท “นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเอกลักษณ์ เสน่ห์ของไทย ที่จูงใจนักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศได้ไม่ยาก รวมทั้งเชื่อมั่นในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจของไทยที่สนับสนุนให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในทุกพื้นที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกัน เสริมสร้างภาพลักษณ์และ ชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศ โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศที่ถูกต้อง เหมาะสม” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64456
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม ศุกร์ 3 ก.พ.นี้ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานแนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อสมุทรสงคราม
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 ​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม ศุกร์ 3 ก.พ.นี้ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานแนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อสมุทรสงคราม ​นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สมุทรสงคราม ศุกร์ 3 ก.พ.นี้ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานแนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อสมุทรสงคราม ช่วงมหาชัย-ปากท่อ หารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่า ยกระดับรายได้ชาวสมุทรสงคราม วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสมุทรสงคราม ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และพบปะประชาชน โดยมีกำหนดการ ดังนี้ เวลาประมาณ 10.00 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากสนามเฮลิคอปเตอร์ พล.ม. 2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพฯ ไปยังสนามกีฬาจังหวัดสมุทรสงคราม ต.แม่กลอง อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม โดยเฮลิคอปเตอร์ แล้วนายกรัฐมนตรีจะออกเดินทางจากสนามกีฬาจังหวัดสมุทรสงคราม ไปยังสถานีรถไฟลาดใหญ่ ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม เพื่อเดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 4383 (สถานีรถไฟลาดใหญ่ - สถานีรถไฟแม่กลอง) ไปยังสถานีรถไฟแม่กลอง เพื่อตรวจติดตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเมื่อเดินทางถึงสถานีรถไฟแม่กลอง นายกรัฐมนตรีจะรับฟังรายงานสรุปเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟเชื่อมต่อสมุทรสงคราม และรับฟังรายงานสรุปเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลัก และระบบป้องกันน้ำท่วม ชุมชนเมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ระยะที่ 1 พร้อมตรวจเยี่ยมวิถีเศรษฐกิจชุมชนสถานีรถไฟแม่กลอง ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินไปยังวัดเพชรสมุทรวรวิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อบ้านแหลม และนมัสการพระสมุทรวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม และเจ้าอาวาสวัดเพชรสมุทรวรวิหาร ณ พระอุโบสถวัดเพชรสมุทรวิหาร จากนั้นในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.15 น. นายกรัฐมนตรีจะพบปะกับประชาชนเพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและการยกระดับรายได้ของประชาชนชาวสมุทรสงคราม ณ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม ก่อนจะเดินทางกลับ โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึงสนามบินเฮลิคอปเตอร์ พล.ม. 2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 15.30 น. ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64455
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตู่ มอบ รมว.สุชาติ เจรจาขยายตลาดแรงงานฝีมือฮ่องกง หวังโกยเงินเข้าประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 นายกฯ ตู่ มอบ รมว.สุชาติ เจรจาขยายตลาดแรงงานฝีมือฮ่องกง หวังโกยเงินเข้าประเทศ นายกฯ ตู่ มอบ รมว.สุชาติ เจรจาขยายตลาดแรงงานฝีมือฮ่องกง หวังโกยเงินเข้าประเทศ วันที่2กุมภาพันธ์2566นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนายสุรชัยชัยตระกูลทองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและนายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานนำทีมผู้บริหารจากกระทรวงแรงงานเข้าพบMr. SUN Yuk Han, Cris, JP Secretary for labour and Welfareและคณะเพื่อหารือข้อราชการและกระชับความร่วมมือด้านแรงงานในการส่งเสริมการเปิดรับตลาดแรงงานฝีมือ/อาชีพณอาคารรัฐบาลกลางฮ่องกง นายสุชาติกล่าวว่าท่านพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความห่วงใยและมีนโยบายให้พี่น้องแรงงานทุกคนจะต้องมีอาชีพมีรายได้ที่ยั่งยืนจึงสั่งให้ผมเร่งขยายตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งออกแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพมีทักษะไปทำงานในต่างประเทศในวันนี้ผมจึงได้นำคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงานมาร่วมกันหารือและขยายตลาดแรงงานที่ฮ่องกงซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการเยือนระดับสูงจากไทยหลังจากสถานการณ์โควิด-19คลี่คลายโดยในครั้งนี้ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อกระชับความร่วมมือด้านแรงงานรวมถึงส่งเสริมให้ฮ่องกงเปิดตลาดสำหรับแรงงานฝีมือ/วิชาชีพจากไทยมากขึ้นในส่วนของกระทรวงแรงงานมีความพร้อมในการจัดเตรียมแรงงานตั้งแต่ต้นทางก่อนไปทำงานไม่ว่าจะเป็นการจัดให้เรียนภาษาท้องถิ่นภาษาอังกฤษการอบรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตในฮ่องกงก่อนเดินทางไปทำงานโดยมีสำนักงานแรงงานณเมืองฮ่องกงเป็นศูนย์รวมด้านการบริการจ้างแรงงานตลอดจนดูแลแรงงานไทยตั้งแต่ต้นจนครบสัญญาจ้างและต้องขอบคุณรัฐบาลฮ่องกงเป็นอย่างสูงที่ดูแลแรงงานต่างชาติรวมถึงแรงงานไทยในฮ่องกงเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด– 19ในช่วง3ปีที่ผ่านมา นายสุชาติกล่าวเพิ่มเติมว่าการขยายตลาดแรงงานไทยในฮ่องกงครั้งนี้จะเป็นโอกาสแก่แรงงานฝีมือของไทยอย่างยั่งยืนซึ่งกระทรวงแรงงานสามารถจัดหาแรงงานฝีมือตามที่ฮ่องกงขาดแคลนเช่นผู้ดูแลผู้สูงอายุพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอาคารแรงงานภาคการก่อสร้างช่างซ่อมบำรุงพนักงานขนส่งในสนามบินเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสนามบินพ่อครัวแม่ครัวเป็นต้นทั้งนี้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของสมาคมนายจ้างฮ่องกงเพื่อให้เกิดการจ้างงานแบบยั่งยืนเป็นการส่งเสริมความร่วมมือภาคแรงงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายโดยสามารถตอบสนองอุปสงค์และอุปทานของแต่ละฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 2 กุมภาพันธ์2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนทุกจังหวัด ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 01/02/2566 ประชาชนทุกจังหวัด ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ประชาชนทุกจังหวัด ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน ประชาชนทุกจังหวัด ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน วันนี้ (1 ก.พ. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้อัญเชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบแก่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปถวายวัดภายในจังหวัด เพื่อใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อถวายพระพรแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ หลายจังหวัด ได้แก่ ระนอง สกลนคร กาฬสินธุ์ นครราชสีมา สิงห์บุรี ชัยนาท กาญจนบุรี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ จัดพิธีรับมอบหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ เพื่อเชิญไปถวายวัดในพื้นที่จังหวัด สำหรับพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชนใช้ประกอบศาสนกิจถวายเป็นพระราชกุศลฯ ต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในห้วงวันที่ 31 มกราคม ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้จัดพิธีทางศาสนาและประกอบศาสนกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน อาทิ 1. จังหวัดตราด ที่วัดไผ่ล้อม ต.บางพระ อ.เมืองตราด นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด พร้อมด้วย เหล่ากาชาดจังหวัดตราด ร่วมกับโรงพยาบาลตราดและศูนย์การเรียนรู้เครือข่ายกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตและกิจกรรมไถ่ชีวิตโค กระบือ เพื่อถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนจังหวัดตราด ร่วมพิธี 2. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร อ.พระนครศรีอยุธยา นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มอบหมายให้ นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ คณะผู้บริหารหน่วยงาน และพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน 3. จังหวัดสุพรรณบุรี ที่วัดท่าจัด ต.บางพลับ อ.สองพี่น้อง พระอาจารย์จักรพันธ์ ชุติมนฺโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าจัด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายไพฑูรย์ วงศ์วีรกูล นายอำเภอสองพี่น้อง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 4. จังหวัดชลบุรี ที่อำเภอศรีราชา นายวรจักร สถาพรภิญโญ นายอำเภอศรีราชา เป็นประธานเปิดโครงการกาชาดชลบุรีสนับสนุนสร้างและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ยากไร้ ประจำปี 2565 ของเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลศรีราชา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี 5. กรุงเทพมหานคร ที่อุโบสถวัดอภัยทายาราม เขตราชเทวี นายขวัญเมือง บุญประสงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตราชเทวี เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน โดยมี ข้าราชการและบุคลากรสำนักงานเขตราชเทวี ร่วมพิธี 6. จังหวัดบุรีรัมย์ ที่วัดกลางพระอารามหลวง อ.เมืองบุรีรัมย์ นายพรเกียรติ พัวนิรันดร์กูล ประชาสัมพันธ์จังหวัดบุรีรัมย์ และนางจิราพร นิยมตรง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัด และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ ศาสนสถานและสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64452
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บุกเชียงราย แก้ปัญหายาเสพติด ชี้ เหนือตอนบน ถูกใช้เป็นทางผ่านขนส่งยา แนะ ช่วยกันแจ้งเบาะแส รับรางวัล 5% ยกตัวอย่าง “ชูวิทย์”แฉจีนเทา
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บุกเชียงราย แก้ปัญหายาเสพติด ชี้ เหนือตอนบน ถูกใช้เป็นทางผ่านขนส่งยา แนะ ช่วยกันแจ้งเบาะแส รับรางวัล 5% ยกตัวอย่าง “ชูวิทย์”แฉจีนเทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บุกเชียงราย แก้ปัญหายาเสพติด ชี้ เหนือตอนบน ถูกใช้เป็นทางผ่านขนส่งยา แนะ ช่วยกันแจ้งเบาะแส รับรางวัล 5% ยกตัวอย่าง “ชูวิทย์”แฉจีนเทา อาจรับทรัพย์ถึง 200 ล้านบาท มั่นใจไม่มีเจ้าหน้าที่ช่วยคดี หลังมีส่วนแบ่ง 25% วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อเวลา 14.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด รองรับประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายวราดิศร อ่อนนุช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย นางแววตา แสงบุญ ประธานเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดเชียงราย และสมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดินกว่า 1,250 คน เข้าร่วม ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้มีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยกันป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพราจังหวัดเชียงราย ถือเป็นทางผ่านของการใช้ขนย้ายยาเสพติด เนื่องจากแหล่งผลิตยาเสพติด อยู่ชายแดนรอบประเทศ ทำให้ประเทศเรา กลายเป็นทางผ่าน เพื่อส่งต่อไปยังประเทศที่สาม ดังนั้น รัฐบาล จึงแก้ปัญหายาเสพติดแบบจริงจัง ด้วยการบูรณาการทุกหน่วยงาน โดยมีตน เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามยาเสพติด และแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 24 ฉบับ มาเป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่เน้นการยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด เพื่อเป็นการตัดวงจรการค้ายา “กฎหมายฉบับใหม่ ยังให้รางวัลนำจับกับผู้แจ้งเบาะแส 5% อย่างที่เป็นข่าวใหญ่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาเปิดโปงกลุ่มจีนเทา จนทำให้ขณะนี้ ป.ป.ส.อายัดทรัพย์สินได้แล้วกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งหากศาลสั่งยึดทรัพย์ 4 พันล้านบาท นายชูวิทย์ ก็จะได้รางวัลนำจับถึง 200 ล้านบาท ส่วนข้อกังวลว่า เจ้าหน้าที่จะรับสินบนช่วยผู้ต้องหานั้น เราก็มีการให้รางวัลเจ้าหน้าที่ด้วย 25% เพื่อปิดช่องนี้ โดยเจ้าหน้าที่จะได้ถึง 1 พันล้านบาท ทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีเจ้าหน้าที่ไปช่วยผู้ต้องหาอย่างแน่นอน” รมว.ยุติธรรม กล่าว นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ปีนี้ ตนได้ตั้งเป้าไว้ที่ 1 แสนล้านบาท โดยผลงานในรอบ 3 เดือนแรก สามารถยึดได้แล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และก่อนตนเข้ามารับตำแหน่งรมว.ยุติธรรม มีการยึดทรัพย์เข้ากองทุนยาเสพติดได้เพียงปีละ 20-30 ล้านบาท แต่ปัจจุบัน ยึดทรัพย์เข้ากองทุนยาเสพติดได้แล้ว 541 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า ตัวเลขมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น ขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ในการแจ้งเบาะแสยาเสพติด ผ่านสายด่วน 1386 และระบบบล็อคเชน ในการแจ้งแบบไม่เปิดเผยตัวตน รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตยาเสพติด สามารถผลิตยาบ้าได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว โดยปี 2540 สามารถผลิตได้เพียงวันละ 6.5 หมื่นเม็ด แต่ปัจจุบัน มีกำลังผลิตได้ถึงวันละ 4 ล้านเม็ด จึงเป็นสาเหตุของการทำให้ยาบ้ามีราคาถูก เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกลงเป็นจำนวนมาก และถึงแม้ เราจะเข้าไปจัดการกับแหล่งผลิตยาเสพติด ที่อยู่รอบประเทศไม่ได้ แต่รัฐบาล ก็ได้แก้ปัญหาเรื่องการส่งออกสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เพราะสารตั้งต้น 1 กิโลกรัม สามารถผลิตยาบ้าได้ถึง 15,000 เม็ด “กระทรวงยุติธรรม ยังได้ผลักดันกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ จนสามารถมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งก็จะมีการนำมาเฝ้าระวังกับผู้ที่ก่อเหตุรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด แล้วก่อเหตุสะเทือนขวัญ ซึ่งจะมีการใส่กำไลอีเอ็ม สูงสุด 10 ปี เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ไปก่อเหตุซ้ำ โดยนับเป็นกฎหมายที่จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมเป็นฉบับแรก นอกจากนี้ ผมก็กำลังผลักดันกฎหมายช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยสัตว์ที่สามารถจัดการแข่งขันได้ ก็จะมีการช่วยยกระดับ สร้างมูลค่าให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับพี่น้องเกษตรกร” นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ เห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคีในสาขาที่มีศักยภาพ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเงินและนวัตกรรม พร้อมขยายความร่วมมือในกรอบไตรภาคีและพหุภาคี
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 02/02/2566 นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ เห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคีในสาขาที่มีศักยภาพ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเงินและนวัตกรรม พร้อมขยายความร่วมมือในกรอบไตรภาคีและพหุภาคี นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ เห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคีในสาขาที่มีศักยภาพ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเงินและนวัตกรรม พร้อมขยายความร่วมมือในกรอบไตรภาคีและพหุภาคี วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายแพทริก เฮมเมอร์ (H.E. Mr. Patrick Hemmer) เอกอัครราชทูตราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ ยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลักเซมเบิร์กดำเนินไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิด พร้อมทั้งชื่นชมความมุ่งมั่นของเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลักเซมเบิร์กอย่างแข็งขัน รัฐบาลไทยพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ อย่างเต็มที่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งประจำประเทศไทย พร้อมทั้งชื่นชมพลวัตในความร่วมมือระหว่างไทยกับลักเซมเบิร์กในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังสามารถเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะในด้านอวกาศ ดาวเทียม ด้านการเงิน และความร่วมมือทางด้านวิชาการ ซึ่งลักเซมเบิร์กมีความเชี่ยวชาญ และพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีลักเซมเบิร์กได้ฝากความปรารถนาดีมาถึงนายกรัฐมนตรี และยินดีกับความสำเร็จของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่ผ่านมา และชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่สามารถผลักดัน Bangkok Goals ซึ่งครอบคลุมแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ให้เป็นแนวปฏิบัติร่วมกันได้ โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ไทยและลักเซมเบิร์กยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคเอกชนลักเซมเบิร์กที่ให้ความเชื่อมั่นลงทุนในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้เชิญคณะนักธุรกิจภายใต้หอการค้าลักเซมเบิร์กเดินทางเยือนไทย ภายหลังต้องเลื่อนกำหนดการออกไป จากสถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนขอให้ฝ่ายลักเซมเบิร์กพิจารณาเพิ่มพูนการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ รัฐบาลไทยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นเข็มทิศ ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรป (European Green Deal) จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถส่งออกสินค้าสิ่งแวดล้อมระหว่างกันและลงทุนในธุรกิจสีเขียวได้ ด้านเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ พร้อมผลักดันให้มีความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น และแจ้งข่าวดีว่า บริษัท คาร์โกลักซ์ (Cargolux) ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศของลักเซมเบิร์ก ได้มีการปรับเพิ่มเที่ยวบินในไทยมากขึ้นด้วยแล้ว ด้านการเงินและนวัตกรรม ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือด้านการเงินระหว่างไทยและลักเซมเบิร์กมีพลวัตสูงโดยหน่วยงานด้านการเงินของทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกันนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ถ่ายทอดองค์ความรู้และการฝึกอบรมด้านการเงิน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ระหว่างกันมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กฯ ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาประเด็นเรื่องการแก้ไขอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ พ.ศ. 2539 ตลอดจน เอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าการผลักดันการจัดทำความตกลงด้านประกันสังคมจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป ด้านความร่วมมือไตรภาคี นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยและลักเซมเบิร์กมีความร่วมมือไตรภาคีที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในสาขาสาธารณสุข ทั้งนี้ ไทยพร้อมขยายผลความร่วมมือไตรภาคีกับลักเซมเบิร์กในสาขาอื่น ๆ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญและการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จากทั้งไทยและลักเซมเบิร์ก นอกจากนี้ ไทยพร้อมหารือความเป็นไปได้กับลักเซมเบิร์ก ในการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาภายใต้เสาหลักที่ 3 ของกรอบ ACMECS พร้อมทั้งขยายความร่วมมือไปยังประเทศสมาชิกในกรอบ ACMECS และ ASEAN ผ่านนโยบาย Thailand+1 สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคี นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยและสหภาพยุโรป สามารถบรรลุการเจรจาความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement: PCA) พร้อมขอให้ลักเซมเบิร์กช่วยเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่อ PCA เพื่อให้ PCA มีผลบังคับใช้ทั้งฉบับโดยเร็ว ตลอดจนขอให้ลักเซมเบิร์กช่วยสนับสนุนการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64481
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM to take field visit to Samut Songkhram province on Feb 3
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ​PM to take field visit to Samut Songkhram province on Feb 3 ​PM to take field visit to Samut Songkhram province on Feb 3 February 2, 2023, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is scheduled to take a field visit to Samut Songkhram province on February 3, 2023 to follow up on the progress of various operations, implemented under the Government’s policies. His schedule is as follows: The Prime Minister will leave Bangkok at around 10.00 hrs by a helicopter to arrive at Samut Songkhram Stadium in Muang district. He will, then, travel by train no. 4383 from Lat Yai station to Mae Klong station to observe implementations on grassroots economic development and sustainable community development. Upon arrival at the Mae Klong station, the Prime Minister will listen to the briefing on the development of Samut Songkhram Rail Link Network, and construction progress of the main drainage system and urban flood prevention system (Phase 1). He will, then, observe economic way of life of Mae Klong Station community, and pay respect to Samut Songkhram’s important monks. Later at around 1315hrs, the Prime Minister will meet with local people at Samut Songkhram Technical College to discuss ways to promote value economy and increase income of the people of Samut Songkhram. He will return to Bangkok at around 1530hrs.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64476
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. หารือร่วม 10 หน่วยงานบูรณาการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ประชาชน มุ่งต่อยอดเชื่อมโยงข้อมูล “ศูนย์ดำรงธรรม” เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครอบคลุมทุกมิติ
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 01/02/2566 ปลัด มท. หารือร่วม 10 หน่วยงานบูรณาการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ประชาชน มุ่งต่อยอดเชื่อมโยงข้อมูล “ศูนย์ดำรงธรรม” เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครอบคลุมทุกมิติ ปลัด มท. หารือร่วม 10 หน่วยงานบูรณาการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ประชาชน มุ่งต่อยอดเชื่อมโยงข้อมูล “ศูนย์ดำรงธรรม” เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศครอบคลุมทุกมิติการให้บริการอย่างยั่งยืน วันนี้ (1 ก.พ. 66) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กับหน่วยงานภาครัฐ 10 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรุงเทพมหานคร เพื่อต่อยอดการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายธนิต ภูมิถาวร ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ นายณรงค์วิทย์ พบพาน ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย นายปวเรศ รัฐขจร ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม ผู้แทนส่วนราชการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในด้านการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของทุกกระทรวงดำเนินการแก้ไขปัญหาให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามระเบียบกฎหมาย โดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้เกิดการบริหารจัดการข้อมูลด้านการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์อันจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน และสอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งกำหนดให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ดำเนินการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนได้รวดเร็วขึ้น “ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ในภาพรวมของประเทศ ซึ่งมีศูนย์ดำรงธรรมกระจายอยู่ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งทั่วประเทศ จึงได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงการบรูณาการความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ 7 หน่วยงาน เพื่อให้ความช่วยเหลือและอำนวยความเป็นธรรมแก่ ประชาชน รวมถึงได้มีการประชุมหารือหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด กรุงเทพมหานคร ในการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ที่พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งล่าสุด คือ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีที่ผ่านมาได้มีหน่วยงานนำร่องเชื่อมโยงข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการข้อมูลทางทะเบียนราษฎร ของสำนักบริหารการทะเบียน กรมที่ดิน กรมการปกครอง ทะเบียนทรัพย์สิน เรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ผ่านศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กระทรวงมหาดไทยได้รับการสนับสนุนจาก กสทช. และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้ผลักดันให้ศูนย์ดำรงธรรมพัฒนาสู่ระบบ AI ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งถือว่าเป็นการดีที่ทุกหน่วยงานจะได้หารือกันในการทำข้อตกลงที่ชัดเจนที่จะนำข้อมูลจากทุกจังหวัด ใน 878 อำเภอ เชื่อมโยงข้อมูลและสามารถส่งต่อข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ เรื่องการกรองข้อมูล การส่งต่อข้อมูลแบบอัตโนมัติ ที่ต้องคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคล ในการคัดแยกส่งต่อให้หน่วยงาน ที่นอกเหนือจากการใช้ระบบ AI แล้ว จำเป็นต้องมีระบบ Manual โดยเจ้าหน้าที่ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความปลอดภัยและส่งต่อไปหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติงาน เช่น เรื่องยาเสพติดที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องในหลายมิติ อาจยังจำเป็นที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ตรวจคัดกรองอีกชั้นหนึ่ง เป็นต้น และอีกประการหนึ่ง คือ ความปลอดภัยในด้านการปกปิดข้อมูลความลับส่วนบุคคล ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีความเชื่อมั่นว่า ทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือนั้น มีความพร้อมความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน ผ่านศูนย์ดำรงธรรมได้ และกระทรวงมหาดไทยก็มีความยินดีที่จะรับข้อมูลจากทุกหน่วยที่เป็นเรื่องในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยเพื่อเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป” ปลัด มท. กล่าวเน้นย้ำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ทุกท่านบูรณาการร่วมมือกันเพื่อบริหารจัดการให้การเชื่อมโยงข้อมูลเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่เราลงนามร่วมกัน ให้เร็วที่สุดบนหลักการที่สำคัญ คือ “ความถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และการรักษาความลับของประชาชนหรือบุคคลที่สามไม่ให้ได้รับผลกระทบหรือความเสียหาย” ดังนั้น ทุกหน่วยงานจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูล ที่ต้องวิเคราะห์และรักษาความปลอดภัยระบบหลังบ้าน คอยคัดกรองข้อมูลด้วยความรอบคอบ ก่อนที่จะส่งข้อมูลเชื่อมโยงไปให้หน่วยงานอื่น และสำหรับหน่วยงานที่ไม่มีระบบเชื่อมโยงข้อมูล (API) เมื่อดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการแล้วขอให้ได้แจ้งกลับมาที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลในอนาคตต่อไป และขอยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยมีความยินดีอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำการบูรณาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและระบบบริการประชาชนในการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนทุกระดับ ด้วยบุคลากรของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการร่วมกับทุกส่วนราชการและทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความสุขให้กับประชาชน ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” สร้างประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม ต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติ อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64451
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ประธานองคมนตรี ติดตามการพัฒนางานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ประธานองคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี มีการนำร่องโครงการโรงเรียนสุขภาวะต้นแบบ 4 แห่ง พัฒนาศักยภาพครูและพี่เลี้ยง ดูแลสุขภาพนักเรียนเบื้องต้น ประธานองคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานีมีการนำร่องโครงการโรงเรียนสุขภาวะต้นแบบ 4 แห่ง พัฒนาศักยภาพครูและพี่เลี้ยง ดูแลสุขภาพนักเรียนเบื้องต้น ส่วนโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน ปรับปรุงที่อยู่อาศัยผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ใช้ยาเสพติด ผ่าตัดตาต้อกระจกแก่ผู้ป่วย และคัดกรองมะเร็งลำไส้ วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 12 คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามการพัฒนางานด้านการแพทย์และสาธารณสุขของ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานีและโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา พร้อมมอบถุงของขวัญพระราชทานให้กับผู้ป่วย และให้กำลังใจบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรีมุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่เป็นผู้นำด้านบริการสุขภาพ มีคุณภาพเป็นที่เชื่อมั่นของคนในชุมชนตามยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ ชุมชนมีความสุข (Community Happiness) ผู้รับบริการมีความสุข (Patient Happiness) บุคลากรมีความสุข (Personal Happiness) และองค์กรมีความสุข (Hospital Happiness) โดยปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาศักยภาพในการตรวจคัดกรอง ประเมิน และแก้ไขปัญหาสุขภาพเบื้องต้นแก่ชุมชน ภายใต้ “โครงการโรงเรียนสุขภาวะต้นแบบนำร่อง” ได้แก่ โรงเรียนบ้านเจาะกือแย ตำบลตะบิ้ง, โรงเรียนชุมชนวัดถัมภาวาส (เสาห์อุทิศ) ตำบลปะเสยะวอ, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมัสยิดดารนอีบาดะห์ บ้านโตะบาลา และศูนย์พัฒนาการเด็กเล็กบ้านเตราะบอน รวมถึงมีการพัฒนาศักยภาพครูและพี่เลี้ยง เพื่อให้โรงเรียนสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพของนักเรียนเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังพัฒนาโรงผลิตยาสมุนไพรในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน WHO-GMP และฮาลาล ผลิตยาสมุนไพรสนับสนุนการรักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 12 นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ที่ผ่านมาได้ พัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน โดยจัดบริการ อาทิ โครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการส่องกล้องColonoscopy เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 70 พรรษา มีผู้เข้ารับการตรวจคัดกรองหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ จำนวน 883 ราย มีผู้ที่ผลเป็นบวกได้รับการยืนยันด้วยการส่องกล้อง รวม 53 ราย, โครงการรณรงค์ผ่าตัดตาต้อกระจก ในความร่วมมือของมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา ปี 2566 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสามารถผ่าตัดตาต้อกระจกให้กับผู้ป่วยไปแล้ว 311 ราย และยังมีผู้ป่วยรอการผ่าตัดอีกจำนวนมาก โรงพยาบาลจึงดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาช่วยลดจำนวนผู้ป่วยตาบอดจากต้อกระจก นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยการปรับปรุงและต่อเติมที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ป่วยติดเตียงและพิการให้มีความเหมาะสม รวมถึงสร้าง “ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพโดยชุมชนเป็นฐาน” ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ใช้ยาเสพติดภายใต้การดูแลของทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู และส่งเสริมอาชีพให้กับผู้สูงอายุตำบลตาชี ช่วยให้มีการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ลดการเจ็บป่วย โดยมีแผนดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย *********************************************** 1 กุมภาพันธ์ 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64449
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกพลัง กนอ. ลงนาม MoU ต้อนรับวันแห่งความรัก..! นำร่องปูพรมประกันภัย พ.ร.บ. เชิงรุก ก่อนขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 15/02/2566 คปภ. ผนึกพลัง กนอ. ลงนาม MoU ต้อนรับวันแห่งความรัก..! นำร่องปูพรมประกันภัย พ.ร.บ. เชิงรุก ก่อนขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป เลขาธิการ คปภ. พร้อมด้วย ผู้ว่าการ กนอ. ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ ด้านการประกันภัย พ.ร.บ. เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย รศ.ดร.วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าการ กนอ.) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ ด้านการประกันภัย พ.ร.บ. ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยมีนายนรินทร์ กัลยาณมิตร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบอร์ดกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย นายภาณุ จันทร์เจียวใช้ บอร์ดกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ตลอดจนคณะผู้บริหารของทั้งสองหน่วยงาน และสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากปี 2565 สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการโครงการรณรงค์เชิงรุกการทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างยั่งยืน เพื่อรณรงค์และส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ รับรู้ถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับจากการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการฯ โดยได้รับเกียรติจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นประธานเปิดโครงการฯ ณ สามย่านมิตรทาวน์ ต่อมาได้มีการขยายการดำเนินงานในทางปฏิบัติสู่ระดับภูมิภาค โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานในพื้นที่นำร่องภายในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการและพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้าน รศ.ดร.วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าการ กนอ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่มาโดยตลอด เพราะเล็งเห็นว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะนํามาถึงการสูญเสียที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัย ดังนั้น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและพร้อมผนึกความร่วมมือกับสำนักงาน คปภ. ในการเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และผลักดันให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถทุกคันในนิคมอุตสาหกรรมมีการจัดทำ ประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตต่อตนเอง ครอบครัว และส่วนรวม โดยในปีนี้กำหนดเจาะกลุ่มเป้าหมายที่นิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมทั้งสามแห่งมีโรงงาน จำนวน 496 แห่ง คนงาน จำนวน 133,000 คน รถยนต์ จำนวน 13,500 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 18,000 คัน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาชนที่ใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและบูรณาการผลักดันให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของรถและผู้ครอบครองรถในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างยั่งยืนในหลากหลายมิติ สำนักงาน คปภ. และ กนอ. ได้กำหนดกรอบการดำเนินงานร่วมกัน 2 แนวทางหลัก ๆ คือ แนวทางแรก ความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำประกันภัย พ.ร.บ. และบทบาทหน้าที่ของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการทำประกันภัย พ.ร.บ. อาทิเช่น ประโยชน์ของการทำประกันภัย พ.ร.บ. บทลงโทษจากการฝ่าฝืนไม่จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. นอกจากนี้จะมีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมตระหนักถึงความปลอดภัย ให้ความร่วมมือกับรัฐในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงโดยใช้ระบบประกันภัย พ.ร.บ. เป็นเครื่องมือ แนวทางที่สอง ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อสนับสนุนงานวิชาการด้านประกันภัย พ.ร.บ. เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้มีการดำเนินงานในการขับเคลื่อนด้านประกันภัย พ.ร.บ. ในหลากหลายมิติอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองตามประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อให้ผู้ประสบภัยจากรถได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม โดยในปัจจุบันหากเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 504,000 บาท หรือ กรณีได้รับบาดเจ็บต่อร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 84,000 บาท การขยายช่องทางการจำหน่ายประกันภัย พ.ร.บ. ให้ประชาชนสามารถซื้อหรือต่อประกันภัย พ.ร.บ. ที่สะดวกยิ่งขึ้น ได้แก่ ช่องทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียน และเคาน์เตอร์เซอร์วิสใน 7-11 นอกเหนือจากการซื้อผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย เป็นต้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถจักรยานยนต์ที่มีระยะเวลา ความคุ้มครองระยะยาว 3 - 5 ปี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเป็นการเพิ่มทางเลือก รวมถึงให้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยกรณีซื้อประกันภัย พ.ร.บ. ระยะยาว เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีการทำประกันภัย พ.ร.บ. ระยะยาวสำหรับรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นประเภทรถที่มีการใช้งานเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ตลอดจนช่วยลดจำนวนการขาดต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล ผ่านระบบสารสนเทศในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับก่อนชำระภาษีรถยนต์ประจำปี เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ให้กับประชาชนที่มาใช้บริการต่อภาษีรถ การบูรณาการความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประกันภัย พ.ร.บ. ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไทย และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เป็นต้น “การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง สำนักงาน คปภ. กับ กนอ. ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือในการทำงานแบบเชิงรุกอย่างเป็นระบบ โดย กนอ. ถือเป็นพื้นที่นำร่องที่สำคัญที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปภ. ในการรณรงค์ให้เจ้าของรถทุกคันมีประกันภัย พ.ร.บ. มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะได้ขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในปี 2566 และการยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 15/02/2566 การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในปี 2566 และการยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบ 1) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ 2) การยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบ 1) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ 2) การยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ 1) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ลงกึ่งหนึ่ง ออกไปอีก 1 ปี จากร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.125 ต่อปี (ร้อยละ 0.0625 ต่องวด) ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 2566 ต่อเนื่องจากที่ปรับลดลงมา 3 ปี เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและขอให้ส่งผ่านความช่วยเหลือและผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนด้วย 2) การยุติกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund) หรือกองทุน BSF เนื่องจากกองทุนตั้งขึ้นเพื่อเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่ปัจจุบัน มีความจำเป็นลดลงจากภาวะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนทำงานได้เป็นปกติผู้ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามจำนวนที่เสนอขาย ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงลดลง และรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดหลายด้านเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงการคลังได้กำชับให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดูแลและช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การยุติกองทุน BSF จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ และกระทรวงการคลังยังคงติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อดูแลทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป” กองนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 273 9020 ต่อ 3242 และ 3289
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี รายงานความคืบหน้าการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลข้างเรือ MSC ALXEA
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี รายงานความคืบหน้าการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลข้างเรือ MSC ALXEA ... สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี รายงานความคืบหน้าการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลข้างเรือ MSC ALXEAจากการปั๊มน้ำอับเฉาเรือออก 2,000 ลิตร ให้เข้าสู่สภาพปกติ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (ด้านปลอดภัย) สั่งการให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี เร่งขจัดคราบน้ำมันให้เสร็จโดยเร็ว ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และห้ามปล่อยเรือออกจากท่าเด็ดขาด เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ) วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี ได้รายงานความคืบหน้ากรณี เรือ MSC ALEXA ทำน้ำมันรั่วไหลลงทะเล 2,000 ลิตร (เพิ่มเติม) สถานการณ์ในพื้นที่ขณะนี้ ได้ดำเนินการขจัดคราบน้ำมันเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงเหลือฟิลม์น้ำมันบางๆเล็กน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรี และผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมการจราจรและความปลอดภัยทางทะเล ได้ประชุมร่วมกับตัวแทนเรือ ประกันภัย เพื่อสรุปผลเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมเก็บรายละเอียดการทำความสะอาดเพิ่มเติม และในวันนี้สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง เรียกนายเรือเข้ารับทราบข้อกล่าวหา คาดว่าจะมีการสั่งฟ้องกรณีดังกล่าวฯ พร้อมนี้ กรมเจ้าท่าจะควบคุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเก็บความเรียบร้อยในการขจัดคราบน้ำมันต่อเนื่อง เพื่อให้เรือในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถดำเนินการด้านสินค้าและออกเรือได้ตามปกติ รวมถึงทำความสะอาดข้างเรือและเฟนเดอร์ท่าเรือให้พื้นที่เกิดเหตุกลับเข้าสู่สภาพปกติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/65001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบกำหนดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 15/02/2566 รัฐบาลเห็นชอบกำหนดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า รัฐบาลพัฒนาระบบการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย โดยเห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียม 300 บาท/คน/ครั้ง สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางอากาศ และ 150 บาท/คน/ครั้ง สำหรับผู้เดินทางเข้ามาทางบกและทางน้ำ ยกเว้นสำหรับผู้มาปฏิบัติราชการ ผู้ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไทย และเด็กอายุไม่เกิน 2 ปี เพื่อเป็นรายได้ในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมถึงใช้ดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างอยู่ในไทย เช่น ประกันอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การส่งศพกลับประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อประกาศฉบับนี้เผยแพร่ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาพ้น 90 วัน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ส่งผู้ช่วยนั่งหัวโต๊ะระดมสมองแนวร่วม 62 หน่วยทำแผนพัฒนาแรงงานด้านการบินและโลจิสติกส์
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 รมว.สุชาติ ส่งผู้ช่วยนั่งหัวโต๊ะระดมสมองแนวร่วม 62 หน่วยทำแผนพัฒนาแรงงานด้านการบินและโลจิสติกส์ รมว.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ส่งนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรี ผนึก 62 หน่วยงานจัดทำแผนพัฒนาแรงงานด้านการบินและโลจิสติกส์ ตั้งเป้าพัฒนากำลังคน 5 ปีไม่น้อยกว่า 6 แสนคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/64984