title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. รุดเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถร่วมฯ บขส. ไฟไหม้ที่ จ.ขอนแก่น | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
บขส. รุดเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถร่วมฯ บขส. ไฟไหม้ที่ จ.ขอนแก่น
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้สั่งการให้นายสถานีเดินรถและเจ้าหน้าที่ของ บขส.ที่อยู่ในพื้นที่ เข้าเยี่ยมผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ
จากอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถโดยสาร ของบริษัท 407 พัฒนา คันหมายเลข ม.4 (ข) / 22 – 34 ทะเบียน 10-7387 อุดรธานี วิ่งระหว่าง กรุงเทพฯ - อุดรธานี (แทนวินบึงกาฬ) เหตเกิดที่บริเวณถนนมิตรภาพ (ขาเข้า) กม.ที่ 13-14 อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น แล้ว
บขส. ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ และจะช่วยประสาน ดูแลค่ารักษาพยาบาล และค่าสินไหมทดแทนระหว่างผู้ประกอบการ และครอบครัวผู้โดยสารต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40922 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔
คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔
คำปราศรัย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๔
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ประจำปี ๒๕๖๔ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นับแต่อดีตมานั้น เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย มีอัตลักษณ์เฉพาะที่งดงามตามแต่ละภูมิภาค และเป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคีกลมเกลียวของคนในครอบครัวและชุมชนอันเป็นอุปนิสัยของคนไทยทุกคนได้อย่างชัดเจน
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอยู่นั้น ผมจึงขอเชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านร่วมกันอนุรักษ์สืบสานประเพณีสงกรานต์ของไทย ให้เป็น “สงกรานต์วิถีใหม่” ที่ยังคงความงดงามตามเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษโดยปฏิบัติตามแนวทางมาตรการของรัฐในการจัดกิจกรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เทศกาลนี้เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะทำให้เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ เป็นเทศกาลที่ทรงคุณค่าตลอดไป
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก
ในโอกาสประเพณีสงกรานต์และเทศกาลขึ้นปีใหม่ไทยประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถืออีกทั้ง เดชะพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดอภิบาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจและกำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง มีความรักความสามัคคีกัน และขอให้ทุกท่านเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพโดยทั่วกัน
สวัสดีวันสงกรานต์ครับ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40910 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” พลังผู้สูงวัย รวมใจลูกหลาน นำไทยพ้นภัยโควิด-19 | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
“วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” พลังผู้สูงวัย รวมใจลูกหลาน นำไทยพ้นภัยโควิด-19
วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็น“วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” สำหรับปีนี้รัฐบาลรณรงค์ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครอบครัว ชุมชน สังคม แสดงความรัก ความผูกพันและตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ ภายใต้แนวคิด “พลังผู้สูงวัย รวมใจลูกหลาน นำไทยพ้นภัยโควิด-19” ขณะเดียวกันรัฐบาลได้กำหนดให้ “การดูแลสูงอายุ” เป็นวาระแห่งชาติ และสานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (ปี 2563-2565) เตรียมพร้อมสังคมไทยเข้าสู่ “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” มุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ และคุ้มครองทางสังคมเพื่อให้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นหลักชัยของสังคมต่อไป
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40914 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอวยพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ขอให้คนไทย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง และมีความรักความสามัคคีกัน | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีอวยพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ขอให้คนไทย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง และมีความรักความสามัคคีกัน
นายกรัฐมนตรีอวยพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ขอให้คนไทย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาที่เข้มแข็ง และมีความรักความสามัคคีกัน
วันนี้(13เม.ย. 64)พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวคำปราศรัยเนื่องในประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2564ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ประจำปี2564
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยมีอัตลักษณ์เฉพาะที่งดงามตามแต่ละภูมิภาคและเป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคีกลมเกลียวของคนในครอบครัวและชุมชนอันเป็นอุปนิสัยของคนไทยทุกคนได้อย่างชัดเจน และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ที่ยังส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอยู่นั้นขอเชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนชาวไทยร่วมกันอนุรักษ์สืบสานประเพณีสงกรานต์ของไทยให้เป็น“สงกรานต์วิถีใหม่”ที่ยังคงความงดงามตามเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษโดยปฏิบัติตามแนวทางมาตรการของรัฐในการจัดกิจกรรมอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เทศกาลนี้เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัยด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาชนจะทำให้เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้เป็นเทศกาลที่ทรงคุณค่า
นายกรัฐมนตรียังอวยพรให้ชาวไทยประสบแต่ความสุขความเจริญมีกำลังกายกำลังใจและกำลังสติปัญญาที่เข้มแข็งมีความรักความสามัคคีกันและเดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ
..............
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40909 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะ หลีกเลี่ยงรวมกลุ่มดื่มสุรา ป้องกันโควิด-19 | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
นายกฯ แนะ หลีกเลี่ยงรวมกลุ่มดื่มสุรา ป้องกันโควิด-19
นายกรัฐมนตรี แนะ หลีกเลี่ยงรวมกลุ่มดื่มสุรา ป้องกันโควิด-19
เมื่อวันที่ 13 เม.ย.น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยคาดหวังให้สงกรานต์ปี 2564 มีความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 จึงขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวัง ป้องกันตนเอง พร้อมแนะนำให้ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ควรหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มของคนหมู่มาก โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มดื่มสุรา เพราะถือเป็นการรวมกลุ่มอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน มีโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้คนจำนวนมาก โดยเป็นเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุข มีความกังวลว่าการรวมกลุ่มดื่มสุรา จะเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันการดื่มสุรายังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุตามท้องถนนด้วย จึงขอให้ประชาชนป้องกันตนเอง รวมถึงคนรอบข้าง ให้มีความปลอดภัย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในการควบคุมโรค รัฐบาลได้กำหนดมาตราการปิดสถานบันเทิง 41 จังหวัด อย่างน้อย 14 วัน ขณะที่หลายจังหวัดได้ประกาศให้มีการกักตัว สำหรับผู้ที่เดินทางจากมานอกพื้นที่หรือพื้นที่เสี่ยง เพื่อควบคุมโรคให้ได้โดยเร็ว ขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลของแต่ละจังหวัด และปฏิบัติตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างเคร่งครัด โดยจังหวัดที่ประกาศใหัมีการกักตัวนั้น ผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยง ต้องรายงานตัวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และกักตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในจังหวัด หรืออย่างน้อย 14 วัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ หวังให้เทศกาลสงกรานต์ปี 2564 เป็นสงกรานต์วิถีใหม่ ที่นอกจากจะสร้างความสุขต่อประชาชนแล้ว ยังเกิดความปลอดภัยกับทุกคนด้วย จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม งดกิจกรรมคนหมู่มาก สวมใส่หน้ากักอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน สแกนแอปพลิเคชั่นไทยชนะทุกครั้งที่เข้าไปใช้บริการห้างร้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการติดตามข้อมูลเมื่อเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19
....................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40919 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันวัคซีนโควิด 19 ที่ไทยใช้มีประสิทธิภาพสูง | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
สธ.ยันวัคซีนโควิด 19 ที่ไทยใช้มีประสิทธิภาพสูง
กระทรวงสาธารณสุขยัน "วัคซีนซิโนแวค" มีประสิทธิภาพป้องกันอาการรุนแรง 100% ส่วนข้อมูลป้องกันโรค 50.7% เป็นการศึกษากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ระบาด มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสูง นำมาเทียบกับผลศึกษาวัคซีนตัวอื่นไม่ได้
กระทรวงสาธารณสุขยัน "วัคซีนซิโนแวค" มีประสิทธิภาพป้องกันอาการรุนแรง 100% ส่วนข้อมูลป้องกันโรค 50.7% เป็นการศึกษากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ระบาด มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสูง นำมาเทียบกับผลศึกษาวัคซีนตัวอื่นไม่ได้ ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าป้องกันสายพันธุ์อังกฤษ 70.4% ย้ำฉีดวัคซีนให้เร็ว ช่วยหยุดการระบาด
วันนี้ (13 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวถึงประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด 19 ว่า วัคซีนโควิด 19 ที่ประเทศไทยใช้ ทั้งของซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง โดยวัคซีนของซิโนแวคที่มีข้อมูลว่ามีประสิทธิภาพป้องกันเพียงร้อยละ 50.7นั้น ขอชี้แจงว่าเป็นข้อมูลการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งดำเนินการในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศบราซิลที่กำลังมีการระบาดอย่างมาก ถือเป็นวัคซีนตัวเดียวที่ศึกษาวิจัยในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม แม้จะป้องกันอาการไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงได้ร้อยละ 50.7แต่ถือว่าผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำขององค์การอนามัยโลก ขณะที่ป้องกันติดเชื้ออาการปานกลางจนถึงรุนแรงได้ถึงร้อยละ 83.7 และป้องกันการติดเชื้ออาการรุนแรงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีประสิทธิภาพดี จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ
“เราไม่สามารถจะนำตัวเลขประสิทธิผลของวัคซีนมาเปรียบเทียบโดยตรงได้ ต้องพิจารณาข้อมูลอื่นประกอบด้วย เช่นศึกษาในกลุ่มประชากรใด อย่างบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจำนวนมาก หรือศึกษาในพื้นที่ใด หากเป็นพื้นที่ระบาดก็มีโอกาสติดเชื้อมาก ผลการศึกษาจึงนำมาเทียบกับการศึกษาในชุมชนทั่วไปไม่ได้” นายแพทย์นครกล่าว
นายแพทย์นครกล่าวต่อว่า ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย จำนวน 61 ล้านโดส มีข้อมูลตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2564 ว่า มีประสิทธิภาพป้องกันต่อไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ B.1.1.7 หรือสายพันธุ์อังกฤษได้ร้อยละ 70.4 ส่วนไวรัสที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์ป้องกันได้ร้อยละ81.5 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการควบคุมโรคให้รวดเร็ว เนื่องจากยิ่งปล่อยให้มีการระบาดอาจเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นได้ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า การกลายพันธุ์จะเป็นอย่างไร อาจทำให้ติดเชื้อง่ายหรือยากขึ้น ความรุนแรงมากขึ้น เท่าเดิม หรือน้อยลง หรือจะกระทบกับวัคซีนหรือไม่ ดังนั้น ต้องพยายามหยุดการระบาดโดยเร็ว
“การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด เร็วที่สุด จะช่วยหยุดสถานการณ์การระบาด ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อวัคซีนและมารับวัคซีนที่โรงพยาบาลตามที่นัดหมาย วัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มาถึงแขนเร็วที่สุด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณาทบทวนความปลอดภัยแล้ว วัคซีนที่ไทยใช้เป็นวัคซีนที่ดีใช้การได้ เมื่อฉีดจำนวนมากจะยุติสถานการณ์การระบาดของโรคพร้อมกันโดยเร็ว ประเทศจะได้เปิด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมต่อไป” นายแพทย์นครกล่าว
**********************************13 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40920 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' ติดตามโครงการพัฒนาป่าไม้ และโครงการพัฒนาระบบน้ำบาดาล สนับสนุนการสร้างศูนย์เรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเชื่อมโยงการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร ป่าไม้ และนํ้า วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม เชียงราย | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
'วราวุธ' ติดตามโครงการพัฒนาป่าไม้ และโครงการพัฒนาระบบน้ำบาดาล สนับสนุนการสร้างศูนย์เรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเชื่อมโยงการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร ป่าไม้ และนํ้า วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม เชียงราย
'วราวุธ' ติดตามโครงการพัฒนาป่าไม้ และโครงการพัฒนาระบบน้ำบาดาล สนับสนุนการสร้างศูนย์เรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเชื่อมโยงการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร ป่าไม้ และนํ้า วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม เชียงราย
'วราวุธ' ติดตามโครงการพัฒนาป่าไม้ และโครงการพัฒนาระบบน้ำบาดาล สนับสนุนการสร้างศูนย์เรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเชื่อมโยงการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร ป่าไม้ และนํ้า วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม เชียงราย
วันนี้ (13 เมษายน 2564) เวลา 15.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ลงพื้นที่วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าผลการปฏิบัติงาน โครงการพัฒนาป่าไม้ และโครงการพัฒนาระบบน้ำบาดาล รวมทั้ง รับฟังรายงานผลการดำเนินโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้อนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า เฉลิมพระเกียรติ วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม ซึ่งเป็นโครงการที่มีแนวคิดในการขับเคลื่อน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ในการต่อยอดสืบสานโครงการตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยการสร้างศูนย์เรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเชื่อมโยงการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากร ป่าไม้ และนํ้า ด้วยการใช้กลไกศูนย์อํานวยการจิตอาสาพระราชทานในการดำเนินงาน ซึ่งมีการดําเนินงานครอบคลุมทุกพื้นที่ในอําเภอเชียงของ อย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และรายงานผลการดำเนินโครงการดังกล่าว
รมว.ทส. กล่าวว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันต่อยอดขยายผลการดำเนินงาน โดยในส่วนของกระทรวงฯ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ดำเนินการขุดเจาะน้ำบาดาลสำเร็จ ซึ่งจากนี้ จะต้องประสานดำเนินการกันอย่างไร เพื่อให้ทรัพยากรน้ำทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินมีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและเกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ พื้นที่แห่งนี้เมื่อพัฒนาเสร็จสิ้นแล้วก็จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งจะมีคนเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ขอฝากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ให้คิดต่อยอดวางแผนป้องกันในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ทั้งเรื่องระบบการจัดการน้ำเสีย การจัดการขยะ การดูแลป่าไม้ รวมไปถึง การเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา ว่าสามารถรองรับได้จำนวนเท่าไหร่ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และไม่เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
รมว.ทส. ยังได้กล่าวเน้นย้ำว่า "หัวใจสำคัญคือการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา การก่อสร้างการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ทำได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการดูแลรักษา จะดูแลรักษาอย่างไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบ หลังจากโครงการสำเร็จ ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ต้องร่วมมือกันเพื่อดูแลรักษาพื้นที่ที่สำคัญแห่งนี้ ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป"
โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กราบนมัสการพระเทพวิสุทธิญาณ (หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล) เพื่อมอบหนังสือโครงการพระสงฆ์ช่วยงานป่าไม้ จำนวน 134 ไร่ และหนังสืออนุญาตเจาะน้ำบาดาล และอนุญาตใช้น้ำบาดาล อีกทั้ง ได้ตรวจเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ขุดเจาะน้ำบาดาล ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40924 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอความร่วมมือทุกหน่วยงาน “Work from Home” หลังสงกรานต์ | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
รัฐบาลขอความร่วมมือทุกหน่วยงาน “Work from Home” หลังสงกรานต์
รัฐบาลขอความร่วมมือทุกหน่วยงานจัดรูปแบบการทำงาน Work from Home หลังประกาศให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งดำเนินการเต็มรูปแบบหลังสงกรานต์ ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อ พร้อมสำรวจยาเวชภัณฑ์ ยืนยันมีเพียงพออย่างน้อย 5 เดือน สำหรับรับมือสถานการณ์โควิด 19
วันนี้(13 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 965 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 654 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 302 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้ว 578,532 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 505,215 ราย และครบ 2 เข็ม 73,317 ราย โดยขณะนี้ วัคซีนโควิด 19 ที่ประเทศไทยได้รับมาแล้วจำนวน 1,117,000 ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นเดือนเมษายน 2564 จะต้องฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายให้ได้ 400,000 คน ข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน ได้ฉีดไปแล้ว 346,718 คน ซึ่งเร็วกว่าที่คาดหมายไว้
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อของประเทศไทยในรอบใหม่นี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระจายตัวไปทั่วประเทศและพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนขึ้นบ้างบางจังหวัด ส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับสถานบันเทิง มีจำนวน 2,626 ราย พบมากที่สุดคือในกรุงเทพมหานคร เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ร้อยละ 39 พนักงานสถานบันเทิงร้อยละ 31 ส่วนที่จังหวัด ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ และ สระแก้ว มีผู้ติดเชื้อที่เป็นนักท่องเที่ยวสูงกว่าร้อยละ 50 ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อในผู้สัมผัสตามมา กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคในวงกว้าง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยการให้แต่ละจังหวัดตรวจ คัดกรอง ค้นหา ผู้ติดเชื้อ เพื่อจำกัดวงและลดการแพร่ระบาด เฝ้าระวัง สอบสวน ควบคุมการระบาด โดยการ แยก/กัก/สังเกต ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ โดยผู้ติดเชื้อ1 คน มีโอกาสทำให้เกิดผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ประมาณ 5 คน มีอัตราการติดเชื้อที่ประมาณร้อยละ 5-7 โดยมาตรการสำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้ทำการกักตัวเองเป็นเวลา 14 วันอย่างเคร่งครัด ตรวจหาเชื้อจำนวน 2 ครั้ง (ครั้งแรกเมื่อทราบว่าเป็นผู้สัมผัส เมื่อผลเป็นลบให้ตรวจครั้งที่ 2 ใน 7 วันต่อมา) สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และสังเกตอาการของตนเอง หากป่วยให้ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้รับรักษาตามระบบ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำให้สังเกตอาการตนเอง หลีกเลี่ยงคนหมู่มาก สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากป่วยให้พบแพทย์ ห้ามไม่ให้เดินทางข้ามจังหวัด
นายแพทย์โอภาสกล่วงต่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานราชการทุกแห่งจัดรูปแบบการทำงานที่บ้าน “Work from Home” อย่างเต็มรูปแบบช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ และกระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือหน่วยงานภาคเอกชนร่วมมือกับภาครัฐ จัดรูปแบบการทำงานดังกล่าว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยในเฉพาะในจังหวัดเสี่ยง เพื่อช่วยลดและควบคุมการแพร่เชื้อโควิด 19 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้คาดการณ์ไว้ว่า หากดำเนินการมาตรการปิดสถานเสี่ยง ร่วมกับลดกิจกรรมรวมตัว มีมาตรการองค์กร ล็อคดาวน์เฉพาะจุด และประชาชนทุกคนร่วมมือกันเข้มพฤติกรรมส่วนบุคคล จะทำให้มีผู้ติดเชื้อต่อวันต่ำกว่า 100 คน ในระยะ 1 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการสำรวจ ยาและเวชภัณฑ์คงคลังทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรับมือหากเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ได้แก่ หน้ากาก N95 มีจำนวน 3,188,721 ชิ้น เพียงพอสำหรับ 1 ปี หน้ากากอนามัยทางการแพทย์จำนวน 121,360,699 ชิ้น เพียงพอสำหรับ 9 เดือน และชุดป้องกัน Cover All เพียงพอสำหรับ 5 เดือน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ คงเหลือ 575,783 เม็ด เพียงพอสำหรับ 5-6 เดือน นอกจากนี้ องค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อเพิ่มอีก 500,000 เม็ด เพื่อให้พียงพอต่อสถานการณ์
“ขอความร่วมมือ ให้ผู้ติดเชื้อทุกคนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อสู่ชุมชน หากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อสั่งให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วปฏิเสธการรักษาจะผิดทางกฎหมาย พรบ. โรคติดต่อตามมาตรา 34 นอกจากนี้ยังห้ามเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อไปรักษายังจังหวัดอื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อระหว่างทางและในจังหวัดปลายทาง” นายแพทย์โอภาสกล่าว
**********************************13 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40921 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ร่วมกับวัดอรุณฯ | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
วธ.จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ร่วมกับวัดอรุณฯ
วธ.จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ร่วมกับวัดอรุณฯ
วธ.จัดกิจกรรมสงกรานต์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ร่วมกับ วัดอรุณฯจัดพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป พร้อมจับมือสยามพารากอนจัดงานสงกรานต์
เชิญสักการะพระพุทธรูปสำคัญ 10 องค์ ชมนิทรรศการประเพณีสงกรานต์
วันที่ 13 เมษายน 2564 ที่สนามหญ้าด้านหน้าพระปรางค์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 19 รูปในกิจกรรมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”ที่วัดอรุณราชวรารามฯและกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีพระธรรมรัตนดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการเจ้าคณะภาค 9และเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมและพุทธศาสนิกชน เข้าร่วม
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ให้มีการรักษาสืบทอดอย่างยั่งยืน ดังนั้น วธ.จัดกิจกรรมวันสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด“สงกรานต์วิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยร่วมกับวัดอรุณราชวรารามฯ จัดกิจกรรมงานประเพณีสงกรานต์ขึ้นในวันที่ 13 เมษายน 2564 ภายในงานมีกิจกรรมทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธปฏิมาและก่อพระเจดีย์ทรายบริเวณด้านหน้าโบสถ์น้อย เพื่ออนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์และถวายเป็นพุทธบูชา นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ จัดกิจกรรมวันสงกรานต์ในวันที่ 13-15 เมษายน 2564 ณ บริเวณฮอลล์ 1 รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อสืบสานคุณค่าประเพณีสงกรานต์ ทำให้เกิดการเผยแพร่และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของไทยให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในคุณค่าสาระของประเพณีสงกรานต์ โดยการการจัดกิจกรรมได้ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTTA ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) คือ อยู่ห่างไว้ ใส่แมสก์กัน หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจเชื้อโควิด-19 และใช้ แอพพลิเคชั่น ไทยชนะและหมอชนะอย่างเคร่งครัด กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การสรงน้ำพระพุทธรูป จัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญในยุคสมัยต่างๆ 10 องค์ ซึ่งอัญเชิญมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อาทิ พระไภษัชยคุรุนาคปรก พระพุทธรูปฉันสมอ พระพุทธรูปศิลาขาวมารวิชัย พระพุทธสิหิงค์จำลอง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สักการะ รวมทั้งมีนิทรรศการเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ การสาธิตผลิตภัณฑ์ไทย เช่น แกะสลักผักและผลไม้ ร้อยมาลัย น้ำอบไทยและน้ำปรุง ทั้งนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม โทร.1765
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40908 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 โดยกำหนดมาตรการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” เน้นการบริหารจัดการผ่านมาตรการต่าง ๆ ในลักษณะพื้นที่เป็นตัวตั้ง ควบคู่กับการเฝ้าระวังและควบคุมโรคโควิด-19 โดยตั้งเป้าลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วง 3 ปีย้อนหลัง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ด้านถนนและสภาพแวดล้อม ด้านยานพาหนะ และด้านการบริหารจัดการให้เป็นตามแผน สร้างความสุขทุกการเดินทาง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40911 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าดูแล "สังคมสูงอายุ" นายกฯ ส่งเสริมให้คนไทยออมเงินทุกช่วงวัย มีใช้ยามชรา | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
รัฐบาลเดินหน้าดูแล "สังคมสูงอายุ" นายกฯ ส่งเสริมให้คนไทยออมเงินทุกช่วงวัย มีใช้ยามชรา
รัฐบาลเดินหน้าดูแล "สังคมสูงอายุ" นายกฯ ส่งเสริมให้คนไทยออมเงินทุกช่วงวัย มีใช้ยามชรา
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ (13 เม.ย.) นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้สูงอายุ ครอบครัวพี่น้องชาวไทย รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานด้านกิจการผู้สูงอายุ โดยหวังให้คนไทยตื่นตัวเรื่องสังคมสูงอายุให้มากเพราะเกี่ยวข้องกับคนทุกคน รัฐบาลจึงได้กำหนดให้ “สังคมสูงอายุ”เป็นวาระแห่งชาติ และได้สานต่อแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ (พ.ศ.2545-2565) เพื่อสร้างความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่คาดการณ์ปี 2564 จะมีประชากรไทย อายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน รวมถึงในปี 2576 สัดส่วนผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 28 เข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด
สำหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุ รัฐบาลกำหนดให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ (25-59 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในส่วนกลุ่มก่อนวัยสูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการออม การสร้างทัศนคติไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ จะเน้นการเสริมทักษะการทำงานใหม่ การสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุ การสร้างงานผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบ สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุ ในด้านสุขภาพ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุขให้ผู้สูงอายุได้รับการตรวจ ป้องกัน และดูแลสุขภาพในระยะยาวที่บ้านและในชุมชนตามระดับความจำเป็น
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า นอกจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ยังพบว่าคนไทยมีอายุยืนขึ้น และผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ในปี 2563 ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี และในปี 2583 อายุเฉลี่ยทั้งเพศหญิงและชายอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 83.2 ปี และ 76.8 ปี ดังนั้น เพื่อเชิญชวนให้คนไทยออมเงินจะได้มีใช้ในวัยเกษียณ ด้วยการเริ่มต้นการออมขณะที่อายุยังน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร รับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า วินมอร์เตอรไซด์ เป็นต้น รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการในหลายรูปแบบเพื่อสร้างหลักประกันในวัยเกษียณแก่ประชาชน คือ 1) การออมของผู้มีอาชีพอิสระ เริ่มออมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ผ่านกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลช่วยสมทบด้วย ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกกว่า 2.4 ล้านคน 2) สำนักงานประกันสังคม เมื่อปีที่แล้วได้ปรับปรุงกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอายุเกิน 60 ปี แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกันตนกว่า 3.5 ล้านคน และ 3) ล่าสุด มี.ค.. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบร่างกฎหมายตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อการออมไว้ใช้ยามเกษียณของลูกจ้างในระบบทุกประเภท
"ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสำหรับทุกคน เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดำเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจำเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รายได้ลดลง ก็ขอให้คำนึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้าการกระจายการฉีดวัคซีน ซึ่งคาดว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น" นางสาวรัชดา ฯ กล่าว
.................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40906 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดทดลองใช้มอเตอร์เวย์ "บางปะอิน-โคราช" ช่วงสงกรานต์ | วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564
เปิดทดลองใช้มอเตอร์เวย์ "บางปะอิน-โคราช" ช่วงสงกรานต์
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ช่วงปากช่อง - สีคิ้ว ระยะทางรวม 36 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 9 - 19 เม.ย. 64 เพื่อบรรเทาความหนาแน่นของการจราจรในเส้นทางไป-กลับภาคอีสาน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยกรมทางหลวงได้เตรียมความพร้อมของเส้นทาง ไฟฟ้าส่องสว่าง ติดตั้งกล้องวงจรปิดติดตามสภาพการจราจรตลอดเส้นทาง ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวนี้
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40912 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชี้แจงการบริหารสถานการณ์โควิด 3 เรื่องสำคัญ | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
รัฐบาลชี้แจงการบริหารสถานการณ์โควิด 3 เรื่องสำคัญ
รัฐบาลชี้แจงการบริหารสถานการณ์โควิด 3 เรื่องสำคัญ
รัฐบาลชี้สร้างความเชื่อมั่นวัคซีนที่ไทยนำมาใช้อยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพและคุณภาพ การบริหารจัดการเตียงเพียงพอ รองรับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด -19 หลังช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์
1. สธ. ยืนยันวัคซีนโควิดที่ไทยใช้มีประสิทธิภาพสูง และความปลอดภัย ประชาชนสามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันและเพิ่มภูมิคุ้มกันของตัวเองได้ ข้อมูลทางระบาดวิทยาและข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ไทยนำมาใช้ในทั้งแอสตราเซเนกา และซิโนแวค เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ มีการฉีดวัคซีนสะสมรวม 579,305 โดสหรือเข็ม มีผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 505,744 คน ในทุกจังหวัดตามเป้าหมายและกำหนดเวลา ขณะนี้ยังมีการจัดหาวัคซีนซิโนแวคอีก 1 ล้านโดสซึ่งอยู่ในประเทศไทยแล้ว รอการตรวจทางห้องปฏิบัติการและเอกสาร จะมีการส่งมอบให้กรมควบคุมโรคต่อไป ในระยะถัดไปจะฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะบุคลากรด่านหน้าให้ได้ 100% สำหรับวัคซีนหลักที่จะมาถึงไทยในเดือนมิถุนายน ประมาณเดือนละ 6 - 10 ล้านโดส สามารถจะฉีดให้กับประชาชนได้อย่างครบถ้วน
2. สถานการณ์โควิด-19 ในไทย ขณะนี้ เชื่อมโยงกับสถานบันเทิงและนำไปสู่การแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่เพื่อนฝูงและชุมชน จำเป็นต้องลดการเคลื่อนที่ของบุคคล ปิดสถานที่เสี่ยง งดกิจกรรมการรวมกลุ่ม โดย สธ. คาดการณ์ฉากทัศน์ในอีก 1 เดือนข้างหน้า หากไม่มีมาตรการใด ๆ จะมีผู้ป่วยติดเชื้อสูงสุดมากกว่า 20,000 คนต่อวัน กรณีมีมาตรการปิดสถานบันเทิงเสี่ยงในจังหวัด จะมีผู้ป่วยติดเชื้อประมาณ 2,996 คนต่อวัน และกรณีที่มีมาตรการปิดสถานบันเทิงเสี่ยงในจังหวัด เน้นปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล ลดกิจกรรมการรวมตัวกัน เพิ่มมาตรการทำงานที่บ้าน Work From Home สามารถลดผู้ป่วยติดเชื้อจะลดลงมาประมาณ 391 คนต่อวัน
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น กระทรวงสาธารณสุขเน้นการตรวจคัดกรองโรค ควบคุม ติดตาม กำกับ การกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทุกคน และผู้ป่วยติดเชื้อจะต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel เพื่อป้องกันผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนอาจเสียชีวิตได้และกำจัดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อต่อคนในครอบครัวและในชุมชนได้ทั้งนี้ สำหรับการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดเพื่อกลับมาทำงาน ดังนี้ 1) ขอให้เดินทางโดยรถยนต์ แต่หากต้องเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่าง รวมทั้งงดเว้นการรับประทานอาหาร 2) หากสามารถ work from home ที่จังหวัดนั้นๆ ได้ จะช่วยลดการนำเชื้อข้ามพื้นที่จากการเดินทางข้ามจังหวัด 3)หากจำเป็นต้องกลับมา ให้ work from home และกักตนเอง 14 วันโดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปจากจังหวัดเสี่ยง เพื่อดูอาการ หากผิดปกติให้รับแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือที่หมายเลข 1422 สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง หากต้องออกไปในที่สาธารณะ
3. การบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย ภาครัฐมีการบริหารจัดการเตียงเพียงพอในการรองรับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีการจัดเตียงรองรับทั้งจากสถานพยายาลและโรงแรมแบบ Hospitel รวมกว่า 6 พันเตียง รวมทั้ง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมมีการเตรียมโรงพยาบาลภาคสนาม และกรมการแพทย์เตรียมเปิด Hospitel ซึ่งจะรองรับได้อีก 450 เตียง และโรงพยาบาลรามาธิบดีเตรียมเปิด Hospitels อีก 2 แห่ง อีก 100 เตียง สำหรับกรุงเทพมหานคร ได้มีการเพิ่มโรงพยาบาลสนาม ที่บางขุนเทียน 500 เตียง ที่บางบอน 200 เตียง และเตรียมเปิดที่บางกอกอารีนา จะรับได้อีก 1000 เตียง
รัฐบาลให้การรับรองโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ขณะนี้มีความปลอดภัย มีจำนวนแพทย์และพยาบาลตามมาตรฐานที่วางไว้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีประสบการณ์การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตั้งแต่การระบาดระลอกแรก รวมทั้งเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนามตามต่างจัดหวัดไว้แล้ว สำหรับ Hospitel ซึ่งเป็นการจัดบริการในโรงแรม กรมสนับสนุนบริการทางการแพทย์จะเข้าไปรับรองมาตรฐาน เช่นเดียวกับสถานกักกันของรัฐ (SQ/ ASQ) ซึ่งมีการตรวจ ประเมิน และติดตามสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ นโยบายหลักของไทย ผู้ติดเชื้อทุกคนในประเทศจะต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ยกเว้นช่วงการรอเตียง ซึ่งผู้ป่วยอยู่ที่บ้าน แล้วจะมีกลไกรองรับในการประสานเพื่อไปรับตัวผู้ป่วยในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ สามารถติดต่อไปที่สายด่วนจัดหาเตียง เบอร์ 1669 สำหรับต่จังหวัดต่างๆ จะเข้าศูนย์การบริหารจัดการ สายด่วนกรมการแพทย์ 1668 รับสายเวลา 8.00 – 22.00 น. และสายด่วน สปสช. 1330 ตลอด 24 ชม. หรือผ่าน line แอพลิเคชั่น สบายดีบอต ซึ่งสามารถให้ข้อมูลติดต่อกลับ และจะมีการจัดสรรเตียงที่เหมะสม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40939 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. จัดรถโดยสารอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ คาดประชาชนทยอยเดินทางกลับไม่หนาแน่น | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
บขส. จัดรถโดยสารอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ คาดประชาชนทยอยเดินทางกลับไม่หนาแน่น
พร้อมกำชับทุกสถานีคุมเข้มความปลอดภัยและขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตราการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการรองรับประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า เดิม บขส. คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการในเที่ยวกลับ เฉลี่ยวันละ 90,000 คน แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายพื้นที่ขณะนี้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่งดเดินทางและอยู่บ้าน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารเดินทางในเที่ยวขากลับลดลง และเป็นการทยอยการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2564 บขส. ได้จัดรถโดยสาร บขส. รถร่วม และรถตู้ในเที่ยวกลับ จำนวน 2,958 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้จำนวน 32,059 คน ส่วนเที่ยวไปได้จัดรถโดยสาร จำนวน 2,512 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้จำนวน 27,749 คน
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้กำชับให้นายสถานีเดินรถ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น โดยให้ตรวจเช็คความพร้อมของพนักงานและรถโดยสาร อย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง และขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะใช้บริการที่สถานีขนส่งและบนรถโดยสารตลอดการเดินทาง รวมทั้งให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ รวมทั้งหากผู้โดยสารมีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ บขส. หรือบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ทันที
นอกจากนี้เพื่ออำนวยความสะดวกและระบายผู้โดยสารออกจากสถานีขนส่งในช่วงการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ บขส. ได้ประสานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดรถโดยสาร ขสมก. มารับผู้โดยสารจากบริเวณพื้นที่ขาเข้าไปส่งยังจุดต่าง ๆ อาทิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส พระราม 2 และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น และได้ประสานขอความร่วมมือจากศูนย์วิทยุแท๊กซี่ จส. 100 และ สวพ.91 ช่วยประชาสัมพันธ์ให้รถแท็กซี่ เข้ามารับ - ส่งผู้โดยสาร ในช่วงเวลาเช้าของทุกวัน
ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40938 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ขานรับนโยบายนายกฯ สั่ง จนท.WFH ลดความเสี่ยงโควิด มั่นใจไม่กระทบงานบริการ ปชช. | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
ก.อุตฯ ขานรับนโยบายนายกฯ สั่ง จนท.WFH ลดความเสี่ยงโควิด มั่นใจไม่กระทบงานบริการ ปชช.
ก.อุตสาหกรรม สั่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้ Work From Home ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ยืนยันไม่กระทบต่องานบริการประชาชน เริ่มตั้งแต่ 16-30 เม.ย.64 วอนทุกฝ่ายเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องโดยที่การ์ดอย่าตก!
กระทรวงอุตสาหกรรมสั่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้Work From Home (WFH )ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19ยืนยันไม่กระทบต่องานบริการประชาชนเริ่มตั้งแต่16เม.ย.-30เม.ย.64วอนทุกฝ่ายเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องโดยที่การ์ดอย่าตก!
นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19รอบใหม่ที่มีการแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครปริมณฑลและหลายจังหวัดทั่วประเทศส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยพบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนในหลายจังหวัดในการนี้พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยข้าราชการและเจ้าหน้าที่จึงขอความร่วมมือให้หัวหน้าส่วนราชการกำชับข้าราชการในสังกัดให้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลโดยการสวมหน้ากากผ้าหน้ากากอนามัยการเว้นระยะห่างทางสังคมและล้างมืออย่างเคร่งครัดในทุกกิจกรรมส่วนบุคคลที่เคยเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อดังล่าวขอให้ปฏิบัติตามมาตรการกักกันตนเอง(self quarantine)อย่างเคร่งครัดหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่สาธารณะและปฏิบัติตามมาตรการในสถานที่ทำงานและขอให้เพิ่มจำนวนผู้ปฏิบัติงานWork from Homeโดยให้มีผลถึง30เมษายน2564เพื่อลดการสัมผัสในที่ทำงานหรือสถานศึกษาและลดความคับคั่งในการเดินทางกลับจากต่างจังหวัดหลังเทศกาลสงกรานต์
กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีในกากรป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด(ส่วนกลาง)ปฏิบัติงานณที่พักอาศัย(WFH)อย่างเต็มขีดความสามารถตั้งแต่วันที่16เมษายน2564เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายโดยในส่วนของการดำเนินงานจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้อาทิการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์วิดีโอคอลแอพพลิเคชั่นไลน์หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดหรือเกิดปัญหากับการบริการประชาชน
"การรับมือการระบาดของโควิด-19รอบใหม่ผมได้เน้นความปลอดภัยของข้าราชการและเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อและช่วยดูแลตัวเองดูแลสังคมด้วยการหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนลดการสัมผัสใกล้ชิดซึ่งจะช่วยบรรเทาและลดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามขอให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องปฏิบัติตามมาตรการกักกันตนเองไม่ประมาทการ์ดอย่าตกพร้อมกับติดตามคำสั่งจากทางราชการและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณ และให้กำลังใจบุคคลากรทุกหน่วยงาน ทั้งแพทย์ พยาบาล อสม. จนท.ตำรวจ ทหาร พลเรือน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนช่วงวันหยุดสงกรานต์ | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีขอบคุณ และให้กำลังใจบุคคลากรทุกหน่วยงาน ทั้งแพทย์ พยาบาล อสม. จนท.ตำรวจ ทหาร พลเรือน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนช่วงวันหยุดสงกรานต์
นายกรัฐมนตรีขอบคุณ และให้กำลังใจบุคคลากรทุกหน่วยงาน ทั้งแพทย์ พยาบาล อสม. จนท.ตำรวจ ทหาร พลเรือน ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนช่วงวันหยุดสงกรานต์
วันที่ 15 เม.ย.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ให้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนต่อการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ และเต็มกำลังความสามารถ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลประชาชนในช่วงนี้ โดยการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์ พยาบาล วิชาชีพสุขภาพทุกวิชาชีพ ได้เข้ามาช่วยดูแลรักษาตั้งแต่ผู้ที่อยู่ในช่วงสังเกตอาการ ผู้ป่วยติดเชื้อ รวมถึงผู้ป่วยหนักที่จะต้องช่วยกันรักษา โดยบุคลากรทางการแพทย์ได้ทุ่มเทสรรพกำลังในการดูแลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบอย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้ความกดดัน ความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในการที่ต้องตรวจคัดกรอง ดูแลรักษาผู้ป่วย อีกทั้งมีความกดดันอีกมากจากสังคม ซึ่งผู้ป่วยมีความคาดหวังต่อบุคลากรทางการแพทย์สูง จนบางครั้งนำไปสู่การกระทบกระทั่งด้วยความเข้าใจผิดกันบ้าง และอาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์ เสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ ให้มีขวัญและกำลังใจที่ดีต่อไปในการปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน ที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยดูแลความสะดวกเรียบร้อย ทั้งในเรื่องการเดินทางสัญจรของประชาชน และที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่องเทศกาลสงกรานต์ด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตะเวนบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันอธิปไตย และการลักลอบหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย
โดยนายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์ พยาบาล วิชาชีพสุขภาพทุกวิชาชีพ อสม. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือนทุกหน่วยงาน ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทเพื่อความสุขของคนไทยทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40940 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางห่วงใยสุขภาพข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด ผู้รับบำนาญ และบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
กรมบัญชีกลางห่วงใยสุขภาพข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด ผู้รับบำนาญ และบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19
กรมบัญชีกลางมีความห่วงใยต่อสุขภาพของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด ผู้รับบำนาญ (ผู้มีสิทธิ) และบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 ให้สามารถ เบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ โดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางมีความห่วงใยต่อสุขภาพของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด ผู้รับบำนาญ (ผู้มีสิทธิ) และบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 ให้สามารถ เบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ โดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน โดยผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลเอกชน ทั้งนี้ หากแพทย์ได้ดำเนินการสอบสวนโรคตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแล้ว หรือแพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ดังนี้
1. สถานพยาบาลของทางราชการ
- กรณีผู้ป่วยนอกผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถเบิกค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิค Real time RT-PCR หรือเทคนิคอื่น ๆ เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,200 บาทต่อครั้ง
- กรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และสถานพยาบาลรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยในแล้ว สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมได้ เช่น ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิค Real time RT-PCR หรือเทคนิคอื่น ๆ เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,200 บาทต่อครั้ง ค่าห้องพักสำหรับควบคุมหรือดูแลรักษา เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,500 บาทต่อวัน ค่ายารักษาเฉพาะผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 7,200 บาท
- กรณีแพทย์ผู้รักษาเห็นว่า อาการดีขึ้นสามารถส่งตัวไปพักฟื้น ณ สถานที่ที่สถานพยาบาลของทางราชการได้จัดหาไว้เป็นการเฉพาะ เช่น สถานพยาบาลสนาม หอผู้ป่วย COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาทต่อวัน และในกรณีที่สถานพยาบาลของทางราชการมีความจำเป็นต้องส่งตัวผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการนอกเหนือจากค่าพาหนะส่งต่อ รายการค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment) และค่าบริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อบนรถพาหนะส่งต่อ ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 3,700 บาท ต่อครั้งที่มีการส่งต่อ
- สนับสนุนมาตรการ Social Distancing ของรัฐบาล โดยให้ผู้ป่วยเก่าของสถานพยาบาลที่รับยาอย่างต่อเนื่องสามารถรับยาที่บ้านได้ ลดความเสี่ยงในการเดินทางมายังสถานพยาบาลในช่วงที่เกิดการระบาดของโรค
2. สถานพยาบาลเอกชน
- กรณีติดเชื้อโควิด-19 การเบิกค่ารักษาพยาบาลจะครอบคลุมตั้งแต่สถานพยาบาลเอกชนรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยใน จนถึงสิ้นสุดการรักษา รวมถึงการส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชนแห่งอื่นที่ได้จัดเตรียมไว้ ทั้งนี้ หากผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัว ปฏิเสธการย้ายไปยังสถานพยาบาลเอกชนที่ได้จัดเตรียมไว้ หรือประสงค์จะย้ายไปรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลของเอกชนแห่งอื่น ค่ารักษาพยาบาลภายหลังจากนั้น จะไม่สามารถใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้
- กรณีไม่ติดเชื้อโควิด-19 การเบิกค่ารักษาพยาบาลจะครอบคลุมตั้งแต่สถานพยาบาลเอกชนรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยใน จนถึงผู้ป่วยได้รับแจ้งผลการตรวจที่ยืนยันว่าไม่ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าไม่ติดเชื้อ ให้เบิกได้ตามหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยในสถานพยาบาลของเอกชน กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน พ.ศ. 2560
“สำหรับผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัว ที่มีประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีเสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 หากสิทธิที่ได้รับเงินตามประกันภัยต่ำกว่าค่ารักษาพยาบาลในคราวนั้น ผู้มีสิทธิ มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามหลักเกณฑ์นี้เฉพาะส่วนที่ขาดอยู่” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40951 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยเหตุแพร่เชื้อระลอกใหม่เป็นวัยหนุ่มสาว กระจายสู่ครอบครัว ที่ทำงานและผู้ใกล้ชิด | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
สธ.เผยเหตุแพร่เชื้อระลอกใหม่เป็นวัยหนุ่มสาว กระจายสู่ครอบครัว ที่ทำงานและผู้ใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุขเผยเหตุแพร่เชื้อระลอกใหม่ ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว-วัยทำงาน ทำให้แพร่กระจายเชื้อสู่ครอบครัว ที่ทำงานและผู้ใกล้ชิด ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดลดกิจกรรมรวมตัว ลดการเดินทาง เพื่อลดการแพร่-รับเชื้อโควิด19
กระทรวงสาธารณสุขเผยเหตุแพร่เชื้อระลอกใหม่ ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว-วัยทำงาน ทำให้แพร่กระจายเชื้อสู่ครอบครัว ที่ทำงานและผู้ใกล้ชิด ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดลดกิจกรรมรวมตัว ลดการเดินทาง เพื่อลดการแพร่-รับเชื้อโควิด 19
วันนี้ (15 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรีนายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค แถลงว่าวันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,543 ราย มาจากระบบเฝ้าระวัง ในโรงพยาบาล 1,161 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 379 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 3 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ฉีดแล้ว 581,308 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 507,360 ราย และครบ 2 เข็ม 73,948 ราย
นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ในขณะนี้ ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่องพบว่าส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวและวัยทำงาน ติดเชื้อจากสถานบันเทิง งานเลี้ยงสังสรรค์ งานปาร์ตี้ งานสัมมนาหรือกิจกรรมออกค่ายของนักศึกษา ทำให้มีความเสี่ยงและกระจายเชื้อไปยังบุคคลในครอบครัว สถานที่ทำงานและผู้ใกล้ชิด เช่น กรณีการจัดกิจกรรมค่ายอาสาของนักศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม77 คน มีเพียงบางส่วนที่เคร่งครัดมาตรการป้องกันตนเอง ทำให้พบผู้ติดเชื้อถึง 34 ราย ไม่พบเชื้อ 41 ราย รอผลตรวจ 2 ราย จากการจัดกิจกรรมดังกล่าว ส่งผลให้มีการแพร่เชื้อไปยังโรงเรียนที่ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรม ทำให้พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเพิ่มอีก 61 ราย ได้แก่ อาจารย์ ภารโรง และนักเรียน ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูล และภายหลังสิ้นสุดกิจกรรมกลุ่มนักศึกษาได้เดินทางกลับภูมิลำเนา จึงทำให้เกิดการแพร่เชื้อเชื่อมโยงไปจังหวัดอื่นๆ อีก 13 จังหวัด
สำหรับกรณีการติดเชื้องานสัมมนาในจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 3-4 เมษายน 2564 พบว่าภายหลังมีผู้ป่วยรายแรก ได้มีการสอบสวนโรค พบว่ามีการติดเชื้อ 14 ราย และเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆ ได้แก่ อยุธยา จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี กำแพงเพชร ขอนแก่น และสุราษฏร์ธานี ซึ่งปัจจัยเสี่ยงคือการทำกิจกรรมร่วมกัน และหย่อนมาตรการป้องกันตนเอง เช่น การถอดหน้ากากในบางเวลา การรับประทานอาหารร่วมกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก
**********************************15 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40942 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยัน Hospitel มีมาตรฐาน จัดหาแล้วเกือบ 5,000 เตียง เพียงพอรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
สธ.ยัน Hospitel มีมาตรฐาน จัดหาแล้วเกือบ 5,000 เตียง เพียงพอรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ยัน Hospitel ได้มาตรฐาน ทุกแห่งผ่านการตรวจประเมินและขึ้นทะเบียน จัดหาแล้วเกือบ 5,000 เตียง ดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หากอาการเปลี่ยนแปลงส่งรักษาในโรงพยาบาลหลัก เตรียมหาเพิ่มให้ได้ 5-7 พันเตียง มั่นใจเพียงพอรองรับผู้ป่วยใน กทม.แ
กระทรวงสาธารณสุข ยันHospitel ได้มาตรฐาน ทุกแห่งผ่านการตรวจประเมินและขึ้นทะเบียน จัดหาแล้วเกือบ 5,000 เตียง ดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หากอาการเปลี่ยนแปลงส่งรักษาในโรงพยาบาลหลัก เตรียมหาเพิ่มให้ได้ 5-7 พันเตียง มั่นใจเพียงพอรองรับผู้ป่วยใน กทม.และปริมณฑล พร้อมออกประกาศให้ รพ.เอกชน และคลินิกดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ประสานส่งต่อหาเตียง หากไม่ดำเนินการมีความผิดตามกฎหมาย
วันนี้ (15 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงถึงมาตรการ Hospitel รองรับผู้ป่วยโควิด 19 ว่า ขณะนี้ ได้นำโรงแรมมาเป็นสถานพยาบาลชั่วคราว (Hospitel) ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ หรือรักษาในโรงพยาบาลหลัก 3-5 วันแล้วอาการดี โดยมีการตรวจและบันทึกอาการผู้ป่วยทุกวันผ่านเทเลเมดิซีนหรือไลน์กลุ่ม หากอาการเปลี่ยนแปลงจะย้ายกลับโรงพยาบาลหลักทันที มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐาน ขณะนี้ มี Hospitel ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 23 แห่ง จำนวน 4,900 เตียง ดูแลผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 2 พันเตียง เตรียมเพิ่มให้ได้ 5-7 พันเตียง ซึ่งจะช่วยลดแออัดในโรงพยาบาล รวมทั้งขณะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้เตรียมเตียงจากโรงพยาบาลทุกสังกัด ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กองทัพ ตำรวจ มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชน รวม 6,525 เตียง ใช้แล้ว 3,700 กว่าเตียง ส่วนหนึ่งสำรองไว้สำหรับผู้ที่มีอาการมาก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า ในการขึ้นทะเบียนHospitel กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะตรวจประเมินมาตรฐาน ทั้งด้านโครงสร้าง สิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะ น้ำเสีย ไม่มีผลกระทบต่อชุมชน มีการจัดบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐาน โดยมีแพทย์ประจำ 1 คน พยาบาล 1 คนต่อ 20 เตียง เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล เครื่องวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ ทั้งนี้ ได้เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการสมัครร่วม Hospitel ทางออนไลน์ได้ โดย สบส.จะอนุมัติทางออนไลน์ด้วย เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาจะใช้ประกันสุขภาพส่วนบุคคล และกองทุนสุขภาพตามสิทธิต่างๆ
ทั้งนี้ การดูแลผู้ป่วยโควิด19 ยืนยันว่าทุกรายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เพราะมีประสิทธิภาพในการรักษาและการควบคุมโรค แม้ขณะนี้ทั่วประเทศจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิน 1 พันรายต่อวัน แต่คิดว่ายังเพียงพอ จึงยังคงแนวทางนี้ โดยกรรมการวิชาการจะประเมินสถานการณ์เป็นระยะ
นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ขณะนี้ได้รับการแจ้งมีคลินิกหลายแห่งที่ตรวจผู้ป่วยโควิด19 มีผลเป็นบวก ไม่ดำเนินการให้การดูแลผู้ป่วย ทำให้เป็นผู้ป่วยต้องเดินทางไปหาเตียงเอง ทำให้ยากต่อการควบคุมโรค สบส.จึงออกประกาศกำหนดให้สถานพยาบาลทุกแห่ง ทั้ง รพ.เอกชนและคลินิก โดยเฉพาะคลินิกตรวจทางห้องปฏิบัติการ ให้ดำเนินการดังนี้ 1.จะต้องมีระบบให้คำปรึกษาก่อนตรวจ 2.คลินิกต้องได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ3.เมื่อตรวจผลเป็นบวก จะต้องแจ้งหน่วยงานเกี่ยวข้องการควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดหาเตียงผู้ป่วย โดยประสานและส่งต่อ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองประชาชน
"โรคโควิด 19 เป็นโรคฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ดังนั้น สถานพยาบาลทุกแห่งรวมถึงภาคเอกชนต้องให้การดูแลรักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัยและสถานพยาบาลทุกแห่งต้องดูแลผู้ป่วยตามแนวทางที่กำหนด รวมถึงต้องแจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อภายใน 3 ชั่วโมง หากไม่ดำเนินการมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล มีโทษทั้งจำและปรับ ขณะนี้กำลังมีการตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชน 2-3 แห่งที่ไม่ปฏิบัติตาม และคลินิกแล็บที่ทำการตรวจแล้วปล่อยให้ผู้ติดเชื้อเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ หากพบว่าไม่ดำเนินการตามกฎหมายจะมีการเอาผิดด้วย" นายแพทย์ธเรศกล่าว
*********************************** 15 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40945 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชาฯ สั่งการ พศ. ย้ำทุกวัดพ่นยาฆ่าเชื้อ หลังพบพระบวชใหม่ติดโควิดหลายรูป คุมเข้มบวชพระต้องมีผลตรวจยืนยันเป็นลบ จึงให้บวชได้ | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
รมต.นร. นายอนุชาฯ สั่งการ พศ. ย้ำทุกวัดพ่นยาฆ่าเชื้อ หลังพบพระบวชใหม่ติดโควิดหลายรูป คุมเข้มบวชพระต้องมีผลตรวจยืนยันเป็นลบ จึงให้บวชได้
รมต.นร. นายอนุชาฯ สั่งการ พศ. ย้ำทุกวัดพ่นยาฆ่าเชื้อ หลังพบพระบวชใหม่ติดโควิดหลายรูป คุมเข้มบวชพระต้องมีผลตรวจยืนยันเป็นลบ จึงให้บวชได้
วันที่ 15 เม.ย.64 จากกรณีที่มีกระแสข่าวผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ว่ามีพระลูกวัดและลูกศิษย์วัดเทพศิรินทร์ติดโควิด-19 จำนวนหลายรูป นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตรวจสอบ กรณีดังกล่าวพบว่า พระลูกวัดและลูกศิษย์วัดดังกล่าวเป็นพระมาบวชใหม่ ซึ่งก่อนบวชมีพระบางรูปได้เดินทางไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อมาก่อน จึงทำให้เกิดการระบาดภายในวัด
ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานไปยังทุกวัดให้มีการพ่นยาฆ่าเชื้อในบริเวณวัด โดยเฉพาะพระอารามหลวง วัดท่องเที่ยว และสถานที่ภายในวัดที่มีประชาชนเข้าไปกราบไหว้สักการะอย่างเนืองแน่น พร้อมทั้งให้เข้มงวดพระบวชใหม่ทุกรูป ต้องมีผลการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ยืนยันก่อน จึงให้บวชได้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในศาสนสถาน และเน้นย้ำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งประสานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด ให้ประสานไปยังเจ้าคณะจังหวัดให้เข้มงวดกวดขันเรื่องที่วัดจัดงาน ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันแพร่ระบาดฯ และปฏิบัติตามมติ มส. อย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกันรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือประชาชนที่เดินทางไปยังวัดหรือศาสนสถานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่ภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40943 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรฯ-สภาอุตสาหกรรมฯ” เดินหน้า “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ระดมนักบริหารมืออาชีพ ”ยงวุฒิ-ยุคล-กนก-โฆษิต” เร่งเครื่องโครงการเขตอุตสาหกรรมเกษตรอาหารกระจายการลงทุน 18 กลุ่มจังหวัดสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
“เกษตรฯ-สภาอุตสาหกรรมฯ” เดินหน้า “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ระดมนักบริหารมืออาชีพ ”ยงวุฒิ-ยุคล-กนก-โฆษิต” เร่งเครื่องโครงการเขตอุตสาหกรรมเกษตรอาหารกระจายการลงทุน 18 กลุ่มจังหวัดสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาประเทศ
“เกษตรฯ-สภาอุตสาหกรรมฯ” เดินหน้า “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ระดมนักบริหารมืออาชีพ ”ยงวุฒิ-ยุคล-กนก-โฆษิต” เร่งเครื่องโครงการเขตอุตสาหกรรมเกษตรอาหารกระจายการลงทุน 18 กลุ่มจังหวัดสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาประเทศ
“เกษตรฯ-สภาอุตสาหกรรมฯ” เดินหน้า “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ระดมนักบริหารมืออาชีพ ”ยงวุฒิ-ยุคล-กนก-โฆษิต” เร่งเครื่องโครงการเขตอุตสาหกรรมเกษตรอาหารกระจายการลงทุน 18 กลุ่มจังหวัดสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาประเทศ
“ยงวุฒิ” คิกออฟประชุมนัดแรกวางโรดแม็ปขับเคลื่อนพร้อมหารือบีโอไอส่งเสริมการลงทุนพิเศษเน้นเกษตรอาหารแห่งอนาคต (Future Food) บุกตลาดโลก
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) เปิดเผยวันนี้ (15 เม.ย) ว่า หลังจากกรกอ.มีมติเห็นชอบ ”โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม” และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารให้เป็นกลไกบริหารโครงการ ล่าสุดที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารครั้งที่ 1/2564 ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารภายใต้ ”5 ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ” และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 เมษายน 2563 ว่าด้วย “มาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ปี พ.ศ. 2562-2570” ตั้งเป้าขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารท็อปเทนของโลกควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวบนฐานเกษตร 4.0 เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารใน 18 กลุ่มจังหวัดเพื่อกระจายการลงทุนเพิ่มการจ้างงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรทั่วทุกภูมิภาคตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ซึ่งขณะนี้มีถึง 9 กลุ่มจังหวัดที่สนใจโครงการนี้และเสนอพื้นที่ดำเนินการ บางกลุ่มจังหวัดเริ่มดำเนินการแล้วเช่นกลุ่มจังหวัดอีสานเหนือที่อุดรธานีและกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบนที่อ่างทอง
“การกระจายการลงทุนใน 18 กลุ่มจังหวัดจะเกิดฐานการแปรรูปสินค้าเกษตรทั่วประเทศเป็นการสร้างสมดุลใหม่ในการพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เราจะเร่งเดินหน้าอย่างรวดเร็วไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ โดยคณะที่ปรึกษาให้พิจารณาจากนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศที่มีอยู่แล้วโดยเพิ่มโซนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเดิมหรือถ้าลงทุนใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องทำเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นแต่สามารถเริ่มจากเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือเขตชุมชนอุตสาหกรรมเพื่อรองรับเอสเอ็มอี.เกษตร สหกรณ์และวิสาหกิจชุมชน” นายอลงกรณ์ กล่าว
ทางด้านนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้กำหนด 4 มาตรการการขับเคลื่อนได้แก่
1. มาตรการสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (Food Warrios) เป็นมาตรการสร้างผู้ประกอบอาหารรุ่นใหม่ ให้มีนวัตกรรมอาหาร โดยให้ความสําคัญกับการผลิตอาหารอนาคต (Future Food) เช่น อาหารสุขภาพ (Healthy Foods) ผลิตภัณฑ์อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ (Food
Biotechnology Products) และอาหารใหม่ (Novel Food)
2. มาตรการสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต (Future Food Innovation) เป็นการยกระดับนวัตกรรมอาหารอนาคตสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยนําเอานวัตกรรมมาใช้ในการผลิต และแปรรูปอาหาร และสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์ฉลาด (Intelligence Packaging )
3. มาตรการสร้างโอกาสทางธุรกิจเกษตรและอาหาร(New Marketing Platform) ทั้งในและต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์ม (Platform) ออนไลน์
4. มาตรการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม (Enabling) ที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทย และกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจะดึงผู้ผลิตรายใหญ่ (Global Player) เข้ามาเป็น Big Brother มีส่วนร่วมในการพัฒนาควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาเกษตรกรเข้าสู่ระบบ Smart Farming รวมถึงการกําหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอาหาร
โดยมีการดําเนินงาน 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดพื้นที่ใน 18 กลุ่มจังหวัด และสินค้าเป้าหมายในการส่งเสริมเขตอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ดําเนินการโดยคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร
2. จังหวัดจัดทําข้อมูลรายละเอียดศักยภาพของพื้นที่ และสินค้าเป้าหมาย พร้อมทั้งจัดทําแนวทางการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในแต่ละกลุ่มจังหวัดดําเนินการโดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC)
3. จัดทํามาตรการส่งเสริมการลงทุน ดําเนินการโดยสํานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
4. นํามาตรการจูงใจและข้อเสนอของจังหวัดมาจัดทําแนวทางการจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ดําเนินการโดยคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรม เกษตรและอาหาร
5. นําเสนอผลการดําเนินงานต่อคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.)ให้ความเห็นชอบและเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาต่อไป
“ในการกําหนดพื้นที่ และสินค้าเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร แบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3 กลุ่ม สินค้า ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าเป้าหมายภายใต้แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 2) กลุ่มสินค้าที่มีมีมูลค่าสูงสุด 4 อันดับแรก ของจังหวัด และ 3) กลุ่มสินค้าที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI)ของจังหวัด โดยได้กําหนดสินค้าเป้าหมาย ได้แก่ 1) สินค้า Commodity เช่น กลุ่มข้าวและธัญพืช กลุ่มปศุสัตว์ ประมง กลุ่มผัก ผลไม้ กลุ่มเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน เกษตรอินทรีย์ เครื่องดื่มสุขภาพ (Healthy drinks) รวมถึงสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ทันสมัย บรรจุภัณฑ์ฉลาด รวมถึงอาหารที่ยกระดับด้วยการคัดแยกเกรด
2) สินค้าอนาคต Future Food เช่น อาหารสุขภาพและอาหารฟังก์ชัน (Healthy and Functional Food) ผลิตภัณฑ์อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ อาหารใหม่ (Novel Food) อาหารและวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารคุณภาพสูง และธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมอาหาร เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมอาหาร” นายอลงกรณ์ กล่าว
ก่อนหน้านี้กรกอ.มีมติเห็นชอบ ”โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม” และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกนก อภิรดี อดีตผู้อำนวยการใหญ่การบินไทยและประธานธนาคารเอสเอ็มอี นายโฆษิต สุวินิจจิต นักบริหารชั้นแนวหน้า และนายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นที่ปรึกษา
2. นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ อดีตผู้ว่าวว. และอดีตผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน
3. รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ) และรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นรองประธาน
4. หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดและนอกสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคเอกชนและผู้ทรงคุณวุฒิรวม 22 คน เป็นอนุกรรมการ
5. ผู้อํานวยการกองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
6. ผู้อํานวยการสถาบันอุตสาหกรรมเกษตร เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตร และอาหาร รวมถึงขับเคลื่อนการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือรูปแบบอื่นๆ ตามศักยภาพใน 18 กลุ่มจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิด-ปิดสาขาธนาคารของรัฐเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
การเปิด-ปิดสาขาธนาคารของรัฐเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่
เพื่อความต่อเนื่องให้บริการสาขาและลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่นั้น ทางสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิก มีมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 สำหรับงานบริการสาขา ตามแนวทางของ ก.สาธารณสุข และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
เพื่อความต่อเนื่องของการให้บริการสาขาและลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่นั้น ทางสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ได้มีมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 สำหรับงานบริการสาขา ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.ธนาคารอาจพิจารณาปิดสาขาบางแห่งชั่วคราว สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาด ตามประกาศของจังหวัดหรือรัฐบาล ซึ่งลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการที่เครื่อง ATM หรือทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ออนไลน์ได้ตามปกติ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ปิดการบริการทางเว็บไซต์ของแต่ละธนาคาร
2.ปรับเวลาปิดสาขาทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 16 เมษายน 2564 นี้
* สาขาในห้าง / สาขาที่เปิดให้บริการ 7 วัน ปิดไม่เกินเวลา 17.00 น.
* สาขาภายนอก ปิดไม่เกินเวลา 15.30 น.
3.จำกัดช่องให้บริการ และจำกัดจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างที่เหมาะสม
4.กรณีสาขาใดมีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อเข้าใช้บริการ
* ให้แต่ละธนาคารปิดเพื่อทำการ Cleaning ฆ่าเชื้อทันที และเปิดทำการเมื่อเสร็จสิ้น
* พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจเชื้อ / และทำการกักตัวเอง ในที่พักทันที (Self – Quarantine at Home) ในระยะเวลาตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
* จัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน ซึ่งเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องสัมผัสเชื้อ เข้าปฏิบัติหน้าที่แทน
มาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าเป็นสำคัญ รวมทั้งเป็นการร่วมมือกับภาครัฐ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ด้วย โดยธนาคารจะกลับมาให้บริการตามปกติโดยเร็วที่สุดเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง
สำหรับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ลูกค้า คู่ค้า และผู้เกี่ยวข้อง สามารถติดต่อ บสย. สำนักงานเขตต่าง ๆ และศูนย์ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. FA Center) ผ่าน Call Center ที่โทร. 0-2890-9999 ได้ในเวลาทำการตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.
หมายเลข Call Center และเว็บไซต์ของสมาชิกสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
- ธอส. โทร. 0-2645-9000 // www.ghbank.co.th
- ธ.ออมสิน โทร. 0-2299-8000 // www.gsb.or.th
- ธ.ก.ส. โทร.0-2555-0555 // www.baac.or.th
- EXIM Bank โทร.0-2271-3700 // www.exim.go.th
- SME Bank โทร. 1357 // www.smebank.co.th
- Ibank โทร.1302 // www.ibank.co.th
- บสย. โทร.0-2890-9999 // www.tcg.or.th
ประกาศ ณ วันที่ 15 เมษายน 2564 เวลา 11.30 น.
สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
โทร. 0-2202-1868 และ 0-2202-1961
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40946 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เดินหน้ามาตรการเชิงรุก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 “ขั้นสูงสุด” | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
EXIM BANK เดินหน้ามาตรการเชิงรุก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 “ขั้นสูงสุด”
EXIM BANK ตระหนักถึงความปลอดภัยของพนักงานและครอบครัว ตลอดจนลูกค้า ผู้ประกอบการ หน่วยงานพันธมิตรและสังคม จึงยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สู่ระดับสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ซึ่งขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วและส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ตระหนักถึงความปลอดภัยของพนักงานและครอบครัว ตลอดจนลูกค้า ผู้ประกอบการ หน่วยงานพันธมิตรและสังคม จึงยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สู่ระดับสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
1. ทุกฝ่ายงานต้องรายงานบันทึกการเดินทาง (Timeline) พร้อมรายงานสุขภาพ โดยจัดทำ Timeline ทุกวัน สำหรับพนักงาน/บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาภายในอาคารสำนักงาน/สาขา เพิ่มเติมจากการใช้งานแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และ “ไทยชนะ” โดยบุคคลภายนอกจะสามารถเข้ามาภายในอาคารสำนักงานได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
2. พนักงานปฏิบัติงานจากที่บ้าน (Work from Home : WFH) ทั้งหมด ยกเว้นพนักงานที่ต้องให้บริการลูกค้าสามารถเข้ามาปฏิบัติงานที่สำนักงาน/สาขาได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อรองรับการทำธุรกรรมสำคัญอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงัก ทีมปฏิบัติงานสำหรับธุรกรรมสำคัญแบ่งเป็น 2 ทีม ปฏิบัติงานแยกจากกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดต่อสัมผัส
3. พนักงานทุกคนยกระดับการป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และรักษาวินัยการรายงานสถานะสุขภาพประจำวันอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ และงดการจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น การอบรม ประชุม งานเลี้ยง การเยี่ยมหรือพบลูกค้าโดยตรง (Face to Face Meeting) โดยใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งหมดหรือช่องทางอื่น ๆ ทดแทนตามความเหมาะสม
4. ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) จุดสัมผัสต่าง ๆ รวมทั้งการฉีดพ่นฆ่าเชื้ออาคารเอ็กซิม และทยอยฉีดพ่นทุกสาขาของ EXIM BANK ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ แม้ว่าจะยังไม่พบกรณีพนักงาน/บุคคลภายนอกติดเชื้อโควิด-19 จากการใช้พื้นที่ของ EXIM BANK
5. ดำเนินมาตรการความปลอดภัยของอาคารในด้านต่าง ๆ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เช่น การสแกนอุณหภูมิวัดไข้ก่อนเข้าพื้นที่ การกำหนดจุดรับส่งเอกสาร การสแกน UV ฆ่าเชื้อเอกสาร การทำความสะอาดจุดสัมผัสที่มีความเสี่ยงด้วยความถี่บ่อยครั้งขึ้น การจำกัดจำนวนผู้ใช้ลิฟต์ในแต่ละครั้ง การงดใช้บริการห้องออกกำลังกาย EXIM Club เป็นต้น
“EXIM BANK มุ่งเน้นการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม โดยดูแลสภาพแวดล้อมและกระบวนการทำงานเพื่อให้พนักงานและครอบครัว ตลอดจนลูกค้า ผู้ประกอบการ และบุคคลภายนอกที่มาติดต่อมีความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ควบคู่กับการดูแลระบบและกระบวนการทำงานของธนาคารเพื่อให้บริการลูกค้าและผู้มาติดต่อใช้บริการได้ตามปกติ โดยสอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรการป้องกันของธนาคารที่ยกระดับสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความเสี่ยงและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40947 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์กรณีพนักงานในสำนักงานใหญ่ 1 ราย ติดเชื้อ COVID-19 | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์กรณีพนักงานในสำนักงานใหญ่ 1 ราย ติดเชื้อ COVID-19
ธอส.ได้รับรายงานว่าวันที่ 12 เม.ย.2564 มีพนักงานของธนาคาร 1 ราย จากฝ่ายจัดหาและการพัสดุ ปฏิบัติงานอยู่บริเวณอาคาร 2 ชั้น 4 ธอส. สำนักงานใหญ่ และไม่ได้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับให้บริการลูกค้า ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับรายงานว่า ในวันนี้ (จันทร์ที่ 12 เมษายน 2564) เวลาประมาณ 18.30 น. มีพนักงานของธนาคารจำนวน 1 ราย จากฝ่ายจัดหาและการพัสดุ ปฏิบัติงานอยู่บริเวณอาคาร 2 ชั้น 4 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ และไม่ได้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้า ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19” ภายหลังจากเดินทางไปตรวจหาเชื้อเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 เนื่องจากได้รับแจ้งว่า มีผู้ที่ร่วมเดินทางไปแข่งขันฟุตบอลร่วมกันที่ จ.ชุมพร ระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2564 ติดเชื้อ COVID-19
เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและผู้ปฏิบัติงาน และป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ธนาคารจึงดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยภายในอาคารสำนักงาน ตามแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1.พนักงานที่ติดเชื้อ COVID-19 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล และจัดทำ Timeline
2.พนักงานที่มีความเสี่ยงสูง หรือ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ปฏิบัติงานในส่วนเดียวกันกับพนักงานที่ติดเชื้อและเดินทางไปนอกสถานที่โดยรถตู้ของธนาคารร่วมกัน รวมจำนวน 31 ราย ให้ตรวจหาเชื้อ กักตัว ในสถานที่พักอาศัย และ Work from Home เป็นระยะเวลา 14 วัน พร้อมติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
3.ปิดพื้นที่บริเวณชั้น 4 อาคาร 2 สำนักงานใหญ่ เป็นระยะเวลา 3 วัน เพื่อทำความสะอาดแบบ Big cleaning ด้วยการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ลิฟต์ และจุดสัมผัส
4.รายงานสภากาชาดไทย เพื่อกักกันหรือเรียกคืนโลหิตของพนักงานที่ติดเชื้อ เนื่องจากเข้าร่วมบริจาคโลหิตที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารรัชดาภิเษก ชั้น 2 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ 7 เมษายน 2564 (ก่อนทราบข่าวเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564 ว่าผู้ร่วมเดินทางไป จ.ชุมพร ติดเชื้อ COVID-19)
5.รายงานเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุข และธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบ
ทั้งนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันกรณีการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวทั้งในสำนักงานใหญ่ และที่ทำการสาขาทุกแห่งทั่วประเทศ อาทิ การรักษาระยะห่างตามหลัก Social Distancing กำหนดจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการเพื่อลดความแออัด ตรวจวัดอุณหภูมิ จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดบริเวณที่ลูกค้าใช้บริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ประกาศ ณ วันที่ 13 เมษายน 2564 เวลา 00.05 น.
ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
โทร. 02-202-1980-5
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40948 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ” สั่ง อำนวยความสะดวกประชาชน เดินทางกลับจาก ตวจ. เข้ม ป้องกันโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564
“นายกฯ” สั่ง อำนวยความสะดวกประชาชน เดินทางกลับจาก ตวจ. เข้ม ป้องกันโควิด-19
“นายกฯ” สั่ง อำนวยความสะดวกประชาชน เดินทางกลับจาก ตวจ. เข้ม ป้องกันโควิด-19
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยประชาชน ในการเดินทางกลับจากภูมิลำเนา ภายหลังสิ้นสุดช่วงหยุดยาวสงกรานต์ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ฯลฯ บูรณาการร่วมกันอำนวยความสะดวกการเดินทางของประชาชน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีการเดินทางจำนวนมากตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. เป็นต้นไป
โดยเน้นย้ำมาตรการลดอุบัติเหตุ ลดการเสียชีวิต ซึ่งต้องควบคุมการปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ใช้ความเร็วรถเกินกฎหมายกำหนด รวมถึงเข้มงวดพฤติกรรมการเมาแล้วขับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอุบัติเหตุและการเสียชีวิตในช่วงเทศกาลสำคัญ โดยให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำถึงมาตรการป้องกันโรควิด-19 ระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะการรวมตัวของคนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็น ตามปั๊มน้ำมัน และจุดบริการพักรถ รวมไปถึงรถโดยสารสาธารณะ จึงกำชับให้ทางจังหวัด ประสานกับสาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชน ป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวกันมากเกินไป มีระบบคัดกรองประชาชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรค ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการลดการติดเชื้อโควิด-19
“นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนทุกคนเดินทางกลับไปทำงานอย่างปลอดภัย ขับขี่ยานพาหนะด้วยความไม่ประมาท มีสติ ดื่มไม่ขับ และขอให้ป้องกันตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หรือ พื้นที่ที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTคือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ ตรวจอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการ ซึ่งหากทุกคนช่วยกันป้องกันตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว สถานการณ์การติดเชื้อก็จะลดลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40936 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank ออกมาตรการเชิงรุก ยกระดับป้องกัน COVID-19 ขั้นสูงสุด | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
SME D Bank ออกมาตรการเชิงรุก ยกระดับป้องกัน COVID-19 ขั้นสูงสุด
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ SME D Bank ให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัย และสวัสดิภาพของพนักงาน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ธนาคารจึงทำการยกระดับมาตรการความปลอดภัยต่างๆ สู่ระดับสูงสุด
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัย และสวัสดิภาพของพนักงาน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งกรรมการ ลูกค้า บุคคลภายนอกผู้มาติดต่อหรือปฏิบัติงานในพื้นที่ ธนาคารจึงทำการยกระดับมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ สู่ระดับสูงสุด ดังนี้
1.ให้มีการรายงานสุขภาพ พร้อมให้จัดทำ Timeline ทุกวัน (Self Declaration) โดยไม่ปิดบัง รวมถึงให้ผู้มาติดต่อสแกนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อติดตามและจำกัดวงกลุ่มเสี่ยง พร้อมดำเนินมาตรการ ตรวจเชื้อ และกักตัว (Self-Quarantine) 14 วันทันที เมื่อพบกลุ่มเสี่ยงตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด
2. พนักงานสำนักงานใหญ่ ดำเนินมาตรการ Work From Home (WFH) 100% ในวันที่ 12, 16 เม.ย. 64 นี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการรักษาระยะห่าง (Social Distancing) และทำมาตรการ WFH อย่างต่อเนื่อง 50 % ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 64 ไปตลอดทั้งเดือน เม.ย. 64
3. ดำเนินมาตรการเชิงรุก ในการทำความสะอาดใหญ่ (Big Cleaning) รวมทั้งการฉีดพ่นฆ่าเชื้อสำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower ในวันที่ 12 เม.ย. 64 แม้ว่าจะยังไม่พบกรณียืนยันติดเชื้อ COVID-19 ในพื้นที่สำนักงานใหญ่
4. รองรับการทำธุรกรรมสำคัญของธนาคารให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก โดยแบ่งทีมปฏิบัติงานหลัก (ทีม A) และ ทีมปฏิบัติงานสำรอง (ทีม B) และกำหนดให้มีการปฏิบัติงานที่แยกจากกัน เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากการติดต่อสัมผัส
5. งดกิจกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น การอบรม รวมถึงงดการทำกิจกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การไปยังพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ พร้อมทำการสำรวจ และประเมินความเสี่ยงการเดินทางของพนักงานในช่วงหยุดยาว โดยให้พิจารณามาตรการ WFH เพื่อกักตัว (Self-Quarantine) เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 – 23 เม.ย. 64 เมื่อพบว่าเข้าข่ายเสี่ยง เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงก่อนกลับมาปฏิบัติงานตามปกติ
6. ดำเนินมาตรการความปลอดภัยของอาคารในด้านต่าง ๆ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เช่น การสแกนอุณหภูมิ สแกนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” การกำหนดจุดรับส่งเอกสาร การสแกน UV ฆ่าเชื้อเอกสาร การทำความสะอาดจุดสัมผัสที่มีความเสี่ยงด้วยความถี่บ่อยครั้งขึ้น การจำกัดจำนวนผู้ใช้ลิฟต์ การงดใช้บริการห้องออกกำลังกาย
7. งดการเยี่ยมหรือพบลูกค้าโดยตรง (Face to Face) โดยจะใช้การโทรศัพท์ติดต่อแทน อีกทั้งยังสื่อสารให้ลูกค้าใช้ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อชำระเงิน ทดแทนการเข้ามาติดต่อยังพื้นที่สาขา
ทั้งนี้ SME D Bank มีความห่วงใย และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม พร้อมขอเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยจะยึดการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40949 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณีพนักงาน 6 ราย ติดเชื้อ COVID-19 | วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564
ประกาศธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรณีพนักงาน 6 ราย ติดเชื้อ COVID-19
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับรายงานว่า วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564) มีพนักงานของธนาคารจำนวน 6 ราย ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับรายงานว่า วานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2564) มีพนักงานของธนาคารจำนวน 6 ราย ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่า “ติดเชื้อ COVID-19” โดยเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานในสำนักงานใหญ่ จำนวน 5 ราย แบ่งเป็น ปฏิบัติงานในฝ่ายจัดหาและการพัสดุ อาคาร 2 ชั้น 4 จำนวน 4 ราย และปฏิบัติงานในฝ่ายพิธีการสินเชื่อ อาคาร 2 ชั้น 1 จำนวน 1 ราย ซึ่งทั้ง 5 ราย ไม่ได้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าแต่อย่างใด
ส่วนพนักงานอีก 1 ราย ที่ได้รับการแจ้งยืนยันผลการตรวจจากแพทย์ว่าติดเชื้อ COVID-19 ปฏิบัติงานที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาเซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าเช่นกัน โดยวานนี้ธนาคารได้ทำความสะอาดแบบ Big Cleaning ด้วยการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และยังสามารถเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 16 เมษายน 2564 เนื่องจากพนักงานรายดังกล่าว ติดเชื้อ COVID-19 จากญาติที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ ในช่วงค่ำของวันที่ 9 เมษายน 2564 และจนถึงปัจจุบัน พนักงานที่ติดเชื้อมิได้เดินทางมาปฏิบัติงานที่สาขาอีกเลย จึงไม่มีพนักงานรายใดในสาขาเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด
ทั้งนี้ ปัจจุบันพนักงานที่ติดเชื้อ COVID-19 ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจำนวน 2 ราย ส่วนอีก 4 ราย อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษาโดยทางโรงพยาบาลได้ให้คำปรึกษาและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ซึ่งทั้ง 6 ราย ได้จัดทำ Timeline เรียบร้อยแล้ว โดยพนักงานที่มีความเสี่ยงสูง หรือ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ธนาคารได้กำหนดให้ตรวจหาเชื้อ กักตัวในสถานที่พักอาศัย และ Work from Home เป็นระยะเวลา 14 วัน พร้อมติดตามสังเกตอาการ รวมถึงทำความสะอาดฉีดพ่นฆ่าเชื้อสถานที่ปฏิบัติงาน ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และธนาคารได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุข และธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบเรียบร้อยแล้ว
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ประกาศ ณ วันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 00.10 น.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40950 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้างกำชับแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
กระทรวงแรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้างกำชับแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานต่างด้าว แนะนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว พูดคุยทำความเข้าใจการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในชีวิตของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยเช่นเดียวกับประชาชนคนไทย โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ที่แรงงานต่างด้าวจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในการป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาด หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งล่าสุดได้มอบหมายกรมการจัดหางาน ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องดังกล่าวแก่นายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดแรงงานต่างด้าวมากที่สุด กำชับให้แรงงานต่างด้าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงานของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรค อย่างเคร่งครัด
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร มีการประสานนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่ของตนเอง ให้ทราบมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเป็นปัจจุบัน รวมทั้งควบคุมให้แรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดเพื่อตัวแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกัน ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
"ทั้งนี้ กรมการจัดหางานมีการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการชะลอการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ โดยใช้มาตรการขยายเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้ ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มต่างๆที่ทำงานอยู่ภายในประเทศ (กรณีหนังสือเดินทาง ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ หรือครบกำหนดการอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย) และให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่ใบอนุญาตสิ้นสุด หรือหลบหนีเข้าเมือง ลงทะเบียนออนไลน์กับกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีแรงงานต่างด้าว ลงทะเบียน จำนวน 654,864 คน โดยทั้งหมดต้องดำเนินการตรวจโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 มิฉะนั้นจะไม่สามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ และกลายเป็นคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมาย" นายไพโรจน์ฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชาชนเดินทางกลับเข้า กทม. ด้วยรถโดยสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
ประชาชนเดินทางกลับเข้า กทม. ด้วยรถโดยสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง
บขส. กำชับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอำนวยความสะดวก พร้อมคุมเข้มมาตราการป้องกันโควิด-19 และขอความร่วมมือผู้โดยสาร สวมหน้ากากอนามัย-เว้นระยะห่าง-สแกนไทยชนะ
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยข้อมูลการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ของวันที่ 16 เมษายน 2564 ว่า บขส. ได้จัดรถโดยสาร (รถบขส. รถร่วม และรถตู้) ในเที่ยวกลับ จำนวน 3,228 เที่ยววิ่ง มีผู้โดยสารใช้บริการ จำนวน 36,529 คน ส่วนเที่ยวไป ได้จัดรถโดยสาร จำนวน 2,906 เที่ยว มีผู้โดยสารใช้บริการ จำนวน 27,017 คน
ทั้งนี้จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายพื้นที่ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดฯ ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อาทิ เว้นระยะระหว่างกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในวงกว้าง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้กำชับให้นายสถานีเดินรถ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมฯ ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น โดยให้ตรวจเช็คความพร้อมของพนักงานและรถโดยสาร อย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง รวมทั้งได้ประสานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก) จัดรถโดยสาร ขสมก.มารับผู้โดยสารจากบริเวณพื้นที่ขาเข้า ไปส่งยังจุดต่าง ๆ อาทิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส, พระราม 2 , อนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ได้ประสานขอความร่วมมือจาก ศูนย์วิทยุแท๊กซี่ จส. 100 และ สวพ.91 ช่วยประชาสัมพันธ์ให้รถแท็กซี่ เข้ามารับ-ส่ง ผู้โดยสาร ในช่วงเวลาเช้าของทุกวัน เพื่อช่วยระบายผู้โดยสารออกจากสถานีขนส่งฯ ด้วย
สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41001 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เพิ่มการคุมเข้มเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
บขส. เพิ่มการคุมเข้มเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในช่วงการเดินทางกลับเข้า กทม. หลังเทศกาลสงกรานต์ พร้อมขอความร่วมมือผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสาร ต้องสวมหน้ากากอนามัย - เว้นระยะห่าง - สแกนไทยชนะ
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ชาลาขาเข้า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงเวลานี้ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะทุกครั้ง และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในวงกว้าง
สำหรับข้อมูลการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ของวันที่ 17 เมษายน 2564 บขส. ได้จัดรถโดยสาร (รถบขส.,รถร่วม,รถตู้) ในเที่ยวกลับ จำนวน 3,167 เที่ยววิ่ง มีผู้โดยสารใช้บริการ จำนวน 36,968 คน ส่วนเที่ยวไป ได้จัดรถโดยสาร (รถบขส.,รถร่วม,รถตู้) จำนวน 2,740 เที่ยว มีผู้โดยสารใช้บริการ จำนวน 25,533 คน
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้กำชับให้นายสถานีเดินรถ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมฯ ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น โดยให้ตรวจเช็คความพร้อมของพนักงานและรถโดยสาร อย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง รวมทั้งได้ประสานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก) จัดรถโดยสาร ขสมก.
มารับผู้โดยสารจากบริเวณพื้นที่ขาเข้า ไปส่งยังจุดต่าง ๆ อาทิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส, พระราม 2 , อนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ได้ประสานขอความร่วมมือจาก ศูนย์วิทยุแท๊กซี่ จส. 100 และ สวพ.91 ช่วยประชาสัมพันธ์ให้รถแท็กซี่ เข้ามารับ-ส่ง ผู้โดยสาร ในช่วงเวลาเช้าของทุกวัน เพื่อช่วยระบายผู้โดยสารออกจากสถานีขนส่งฯ ด้วย
สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ไม่หวั่นพิษโควิด ปรับแผนสัมมนาผ่านคอนเฟอเรนซ์ | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
นฤมล ไม่หวั่นพิษโควิด ปรับแผนสัมมนาผ่านคอนเฟอเรนซ์
รมช.แรงงาน มอบ กพร. ปรับแผนการประชุมสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทำงานต่อเนื่องไม่หวั่นพิษโควิด-19 เดินหน้าจัดงานหาแนวร่วมช่วยคนพิการ
วันที่ 19 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐ จัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ จนถึง 30 เมษายน 2564 และงดการจัดงานประชุม สัมมนา ที่มีการรวมคนเกินกว่า 50 คน นั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ควรมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีกำหนดจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อรับฟังข้อแสนอแนะแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใต้ชื่องาน “เสริมฝีมือ สร้างสุข ให้อาชีพคนพิการ” และเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการให้ความร่วมมือดำเนินการมาตรา 33 และมาตรา 35 ให้มากยิ่งขึ้น จึงมีการปรับแผนการสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2564
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า การจัดงานในครั้งนี้ต้องการเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการจ้างคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และดำเนินการตามมาตรา 35 ให้มากขึ้น ซึ่งการปฏิบัติตามมาตรา 35 มีหลายกิจกรรมที่สถานประกอบกิจการสามารถทำได้ เช่น จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน จัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ เป็นต้น เพื่อลดการจ่ายเงินมาตรา 34 ให้น้อยลง ปัจจุบัน มีสถานประกอบกิจการที่กระทรวงแรงงานมีข้อมูลหรือดำเนินการตามมาตรา 34 มีประมาณ 10,000 กว่าแห่ง จึงต้องการเชิญชวนสถานประกอบกิจการในกลุ่มนี้ ดำเนินการตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 35 นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิฯ สมาคมคนพิการทั้งหลายในการขับเคลื่อนการทำงานในครั้งนี้ด้วย
การสัมมนาในครั้งนี้ จัดสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ดังนั้นสถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูล สามารถแจ้งเข้าร่วมงานดังกล่าวได้ที่กองพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบกิจการ 022453705 และติดตามการไลฟ์สด ผ่านเฟสบุคไลฟ์ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
“ปัจจุบันมีหลายบริษัทดำเนินการแล้ว แต่ต้องการกระจายความร่วมมือนี้ออกไปให้มากยิ่งขึ้น ตามแนวทาง “เพิ่มการจ้าง มีการจัดและลดการจ่าย” เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างยั่งยืน การช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ 1 คน ถือว่าได้ช่วยคนในครอบครัวนั้นได้ 3-4 คน และจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41009 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันมีเตียงเพียงพอดูแลผู้ป่วยโควิด ขยายเตียงไอซียู รพ.สนามและ Hospitel รองรับ | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
สธ.ยันมีเตียงเพียงพอดูแลผู้ป่วยโควิด ขยายเตียงไอซียู รพ.สนามและ Hospitel รองรับ
กระทรวงสาธารณสุขจับมือเครือข่ายบริหารจัดการเตียง ยันมีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยโควิดรวม 9 พันกว่าเตียง โรงพยาบาลตติยภูมิทุกเครือข่ายพร้อมขยายเตียงไอซียูเพิ่ม50-100 เปอร์เซ็นต์รับผู้ป่วยหนัก กทม. เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มรวมเกือบ 3 พันเตียง สบส.จัดหา H
กระทรวงสาธารณสุขจับมือเครือข่ายบริหารจัดการเตียง ยันมีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยโควิดรวม9 พันกว่าเตียง โรงพยาบาลตติยภูมิทุกเครือข่ายพร้อมขยายเตียงไอซียูเพิ่ม50-100 เปอร์เซ็นต์รับผู้ป่วยหนัก กทม. เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มรวมเกือบ 3 พันเตียง สบส.จัดหา Hospitel 7,200 เตียง ด้าน สพฉ.ร่วมสำนักเทศกิจแก้ปัญหารถรับส่งผู้ติดเชื้อ คาด 1-2 วันเคลียร์ได้ ส่วนการรักษาตัวที่บ้านเป็นแนวทางอนาคต ยังไม่นำมาใช้ตอนนี้
วันนี้ (19 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ประธานคณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย(UHOSNET) นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และ นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แถลงข่าวการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ผู้ติดโควิด19 ทุกคนอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งให้โรงพยาบาลหรือแล็บเอกชนที่ตรวจพบประสานในเครือข่ายให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ทุกรายด้วย โดยขณะนี้ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร UHOSNET และเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน บริหารจัดการเตียงเพื่อให้มีเพียงพอกับจำนวนผู้ติดเชื้อ พร้อมเปิด 3 สายด่วนเพื่อประสานหาเตียง คือ 1330 1668 และ 1669 รวมถึง “สบายดีบอต”
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการพบผู้ติดเชื้อยังไม่ได้นอนโรงพยาบาล ไม่ได้แปลว่าเตียงไม่พอ แต่เกิดจากแล็บเอกชนไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาล หรือการที่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งยังไม่มีการขยายเตียงเพื่อรองรับผู้ติดเชื้ออีกทั้งการค้นหาเชิงรุกพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่ต้องใช้เวลาในการประสานจัดหาเตียง
สำหรับการบริหารจัดการเตียงจะคัดกรองและแบ่งผู้ติดเชื้อออกเป็น3 ระดับ คือ สีเขียวไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย อายุไม่มาก ไม่มีโรคร่วม หากมาจากการค้นหาเชิงรุกจะส่งดูแลใน รพ.สนาม หากมาจากการไปตรวจแล็บหรือโรงพยาบาลให้นำส่งเข้าหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) หรือรพ.สนามซึ่งทั้งสองส่วนดำเนินการตามมาตรฐานสถานพยาบาล มีการให้ปรอทวัดอุณหภูมิและเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด เพื่อตรวจติดตามอาการทุกวัน หากมีอาการมากขึ้นจะส่งกลับเข้าโรงพยาบาลทันที ส่วนสีเหลืองและสีแดงที่มีอาการเพิ่มมากขึ้นจะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด โดยศูนย์ส่งต่อ รพ.ราชวิถีจะเวียนส่งผู้ป่วยไปยัง รพ.สังกัดกรุงเทพมหานคร กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ และ รพ.เอกชน โดยทุกโรงพยาบาลสำรองเตียงไอซียู เพื่อรองรับผู้ป่วยที่อาจมีอาการมากขึ้น
“ขณะนี้มีเตียงรวม9 พันกว่าเตียง เพิ่มจากสัปดาห์ที่แล้วที่มี 7 พันกว่าเตียง โรงพยาบาลทุกสังกัดมีการเบ่งเตียงเพิ่มขึ้น กทม.ก็ขยายรพ.สนาม ส่วนรถรับส่งผู้ติดเชื้อทางสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เข้ามาช่วยบริหารจัดการให้มีรถมากขึ้น ขณะนี้มี50 คันจาก 3 บริษัทดูแลใน กทม. และจะเพิ่มเป็น 100 คันทั่วประเทศ คาดว่าภายใน1-2 วันจะแก้ไขปัญหานี้ได้ สำหรับแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดที่บ้าน เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมไม่ได้นำไปใช้จริงในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังนำผู้ติดเชื้อทุกรายเข้ารับการรักษาได้” นพ.สมศักดิ์กล่าว
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้ได้จัดระบบทางด่วนให้รพ.เอกชนขออนุมัติขยายเตียงได้คล่องตัวขึ้น ทำให้เพิ่มเตียงได้มาก และจัดหาโรงแรมมาเป็นHospitel โดยมีที่ผ่านการรับรอง34 แห่ง รวม 7,200 กว่าเตียง มีผู้ป่วยพักแล้ว 2 พันกว่าราย ส่วนกรณีคลินิกเอกชนที่ตรวจหาเชื้อโควิดเมื่อพบเชื้อให้ผู้ป่วยไปหาสถานพยาบาลเอง ได้ออกประกาศให้คลินิกแล็บต้องให้คำแนะนำและประสานจัดหาเตียง ส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเพื่อรักษาทันที ถ้าไม่ดำเนินการถือว่าผิดกฎหมาย และหากทำผิดซ้ำอาจพิจารณาให้หยุดบริการหรือสั่งปิดได้
รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ประธานคณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การติดเชื้อระลอกนี้พบผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวค่อนข้างมาก แต่มีโอกาสอาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีเหลืองและสีแดงได้ จึงต้องเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ซึ่งโรงพยาบาลตติยภูมิทุกเครือข่ายได้ร่วมกันขยายเตียงไอซียูเพิ่ม50-100 เปอร์เซ็นต์ อาจลดบริการบางส่วนเพื่อนำเตียงไอซียูและบุคลากรมาเสริม ส่วนแผนขั้นต่อไปหากมีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น อาจจัดตั้งไอซียูสนาม ซึ่งจัดเตรียมได้ทันที เนื่องจากได้เตรียมการไว้ตั้งแต่การระบาดระลอกแรก ประชาชนไม่ต้องกังวลใจ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลทุกเครือข่ายเตรียมพร้อมดูแลอย่างเต็มที่ สิ่งที่สำคัญต้องขอความร่วมมือประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเอง ยกการ์ดสูง เพื่อสู้กับโควิด 19 ให้ผ่านไปอีกครั้ง
นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อจากการค้นหาเชิงรุกใน กทม.เข้าสู่ระบบการจัดหาเตียงเฉลี่ยวันละ120-140 ราย โดยกลุ่มสีเขียวจะรับไว้ดูแลที่โรงพยาบาลสนามเป็นหลักภายใต้มาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันมี 1,656 เตียง ใช้ไปแล้ว 1,275 เตียง โดยวันที่ 20 เมษายนจะเปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่ม1,100 เตียง และเปิดเพิ่มที่นนทบุรีและนครปฐมอีก 170 เตียง รวมแล้วจะมีเตียง 2,926 เตียงนอกจากนี้ เตรียมประสาน Hospitel เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ตกค้างที่บ้านด้วย สำหรับการรับส่งผู้ป่วยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้สั่งการให้สำนักเทศกิจ 50 เขตร่วมกับ สพฉ. นำผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาให้มากและเร็วที่สุดคาดว่า 1-2 วันจะแก้ปัญหาได้
นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนได้ดำเนินการรองรับภาวะวิกฤตที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ได้ให้เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนเปิดHospitel ที่ผ่านการรับรองจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และขยายเตียงในโรงพยาบาล เนื่องจากที่ผ่านมาโรงพยาบาลเอกชนมีคนไข้ค้างประมาณ 250-300 คน พบผู้ติดเชื้อเพิ่มทุกวัน แต่ละคนต้องดูแลรักษา 14 วัน และระยะหลังพบผู้ติดเชื้อลงปอดเร็วมากขึ้น ต้องนำส่งกลับมารักษาในโรงพยาบาล จึงจำเป็นต้องใช้เตียงเพิ่มมากขึ้น โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งจึงขยายเตียงรองรับ เช่น กลุ่มโรงพยาบาล BCH เดิมมีเตียงโควิด 19 ในเครือไม่เกิน 300 เตียง ปัจจุบันขยายเป็น 665 เตียง และขอความร่วมมือเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนใน กทม. กระตุ้นให้โรงพยาบาลที่รับการตรวจหาเชื้อมีการขยายHospitel รองรับภายในเครือข่าย เพื่อไม่ให้คนไข้เดือดร้อน โดยกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
**********************************19 เมษายน 2564
***************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส สั่งการ NT หนุนไวไฟ-ซีซีทีวี อำนวยความสะดวก รพ.สนามสู้โควิด | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
ดีอีเอส สั่งการ NT หนุนไวไฟ-ซีซีทีวี อำนวยความสะดวก รพ.สนามสู้โควิด
ดีอีเอส สั่งการ NT หนุนไวไฟ-ซีซีทีวี อำนวยความสะดวก รพ.สนามสู้โควิด
“ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสสั่งการบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(NT)รุดสนับสนุนภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19ลงพื้นที่ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตไวไฟไอพีโฟนและซีซีทีวีให้โรงพยาบาลสนามทั่วไทยพร้อมประสานงานให้โอเปอเรเตอร์ร่วมติดตั้ง
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดจึงได้มอบหมายให้นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯประสานงานไปยังบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(NT)ให้ดำเนินการสนับสนุนติดตั้งระบบInternet Wi-Fiระบบโทรศัพท์IP Phoneรวมถึงระบบกล้องวงจรปิด(CCTV)ให้บริการกับเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ติดเชื้อโควิด-19ได้ใช้ในการติดต่อสื่อสารโดยพร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้กับรพ.สนามทุกแห่งที่แจ้งความประสงค์เข้ามาที่NT
โดยนับตั้งแต่สถานการณ์ระบาดโควิดรอบล่าสุดเริ่มแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นNTได้เข้าไปสนับสนุนภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในส่วนของรถพยาบาลเคลื่อนที่และหน่วยคัดกรองผู้ป่วยรพ.สนามรวมถึงสถานกักกันโรคแห่งรัฐ(SQ)สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศดำเนินการไปแล้วในหลายจังหวัดได้แก่เชียงใหม่น่านพิษณุโลกประจวบคีรีขันธ์เป็นต้น
และล่าสุดระหว่างวันที่17 -18เม.ย.ที่ผ่านมาได้เข้าไปช่วยติดตั้งและประสานงานอีกหลายจังหวัดได้แก่
1.รพ.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจ.เชียงรายรองรับประมาณ200เตียง
2.รพ.สนามมรภ.ราชนครินทร์จ.ฉะเชิงเทราประมาณ250เตียง
3.รพ.สนามมรภ.ร้อยเอ็ดจ.ร้อยเอ็ดประมาณ200-250เตียง
4.รพ.สนามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่รองรับ200เตียง
5.รพ.มหาวิทยาลัยพะเยารองรับวอร์ดคนไข้ชั้น2และโถงทางเดิน
6.รพ.สมุทรปราการมรภ.ธนบุรีสมุทรปราการทำรพ.สนามกับHospitel
7.รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียนขยายเตียงเพิ่ม500เตียง
8.รพ.สนามเอราวัณ1บางบอนของกทม.
9.รพ.สนามของรพ.กลาง
10.รพ.สนามของรพ.วชิรพยาบาลและ
11.รพ.สนามจ.ขอนแก่นตั้งที่อบจ.ขอนแก่น
ทั้งนี้หน่วยงานสาธารณสุขและรพ.สนามที่มีความต้องการให้NTเข้าไปสนับสนุนการติดตั้งระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตและCCTVในภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ(NT)โทร. 02-5001111
“ภารกิจดังกล่าวเป็นงานหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯสนับสนุนได้อีกทั้งยังจะช่วยประสานงานกับผู้ให้บริการมือถือและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยติดตั้งWi-Fiที่รพ.สนามให้อีกด้วยท้ายสุดนี้กระทรวงฯและหน่วยงานในสังกัดรวมถึงNTขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็ว”นายชัยวุฒิกล่าว
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เด็กทุกคนต้องได้เรียน! ปี’63 ช่วยนักเรียนด้อยโอกาสแล้ว 1.07 ล้านคน | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
เด็กทุกคนต้องได้เรียน! ปี’63 ช่วยนักเรียนด้อยโอกาสแล้ว 1.07 ล้านคน
...
“เพราะการศึกษา คือ ประตูสู่โอกาส” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. จึงเป็นหน่วยงานที่มุ่งสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
.
ในปี 2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณผ่าน กสศ. กว่า 5 พันล้านบาท เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วประเทศ จำนวน 1.07 ล้านคน ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ผ่าน 9 โครงการ ดังนี้
.
1.โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาแบบบูรณาการ ใน 20 จังหวัดนำร่อง จำนวน 26,055 คน
.
2 โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ทุนเสมอภาค) ตั้งแต่ระดับอนุบาล - ม.3 ปีละ 3,000 บาทต่อคน รวม 994,428 คน และช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อีก 753,996 คน
.
3.โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สนับสนุนทุนช่วยเหลือเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ให้ได้รับการศึกษาและประกอบอาชีพตามความถนัด จำนวน 4,588 คน
.
4.โครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ “ทุนพระกนิษฐาสัมมาอาชีพ” สนับสนุนทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่เรียนดี มีความสามารถพิเศษ และมีเจตคติที่ดีต่อสายอาชีพ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ให้ศึกษาต่อในระดับ ป.ตรี – เอก จำนวน 38 คน
.
5.โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษา สำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเป็นครูรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน (ครูรัก(ษ์)ถิ่น) ให้ศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ จำนวน 328 คน ครอบคลุม 45 จังหวัด
.
6.โครงการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน พัฒนากลุ่มวัยแรงงานให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพ จำนวน 9,056 คน ใน 51 จังหวัด
.
7.โครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา ให้สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับผู้เรียนนอกระบบการศึกษาและให้ผู้เรียนมีทักษะในการดำเนินชีวิต ซึ่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ถึง 35,140 คน
.
8.โครงการพัฒนาครูและโรงเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมี 834 โรงเรียน เข้าร่วมโครงการ มีครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาจำนวน 19,660 คน และนักเรียนได้รับโอกาสพัฒนาศักยภาพ 194,600 คน
.
9.โครงการวิจัยและนวัตกรรมด้านการศึกษา มีการวิจัยนวัตกรรมด้านการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ รวม 23 โครงการ
.
ผู้สนใจสามารถดูประกาศและรายละเอียดของทุนประเภทต่าง ๆ ได้ที่https://www.eef.or.th/notice_category/fund/
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40996 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-กทม. แจงรพ.สนามทุกแห่งมีแนวทางการจัดการความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับ รพ.หลัก วอนผู้ติดเชื้อที่พักรักษาใน รพ.สนาม ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
สธ.-กทม. แจงรพ.สนามทุกแห่งมีแนวทางการจัดการความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับ รพ.หลัก วอนผู้ติดเชื้อที่พักรักษาใน รพ.สนาม ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง
สธ.-กทม. แจง รพ.สนามทุกแห่งมีแนวทางการจัดการความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับ รพ.หลัก วอนผู้ติดเชื้อที่พักรักษาใน รพ.สนาม ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่16เมษายน2564นายสุขสันต์กิตติศุภกรผู้อำนวยการสำนักการแพทย์กรุงเทพมหานครชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์พฤติกรรมไม่เหมาะสมของผู้ป่วยกักตัวในรพ.สนาม ผ่านโลกออนไลน์ว่า โรงพยาบาลสนามทุกแห่งมีแนวทางการจัดการทั้งความปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อมาตรฐานเดียวกับรพ.หลักและได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติของผู้ป่วยอย่างเคร่งครัดขณะที่การพักรักษาอาการติดเชื้อห้ามผู้ป่วยออกจากห้องโดยเด็ดขาดสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาไม่เดินพลุกพล่านจับกลุ่มเสวนาห้ามถ่ายภาพหรือโพสต์ข้อความที่เกี่ยวข้องลงบนสื่อสังคมออนไลน์ขณะรักษาตัวก่อให้เกิดความเสียหายห้ามสูบบุหรี่เสพติดของมึนเมาและการพนัน
ด้านกระทรวงสาธารสุขชี้แจงเพิ่มเติมว่าการปฏิบัติตัวของผู้ติดเชื้อที่นอนพักรักษาในรพ.สนามแม้จะเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่องซึ่งรวมถึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมกลุ่มเนื่องจากอาจมีการฟุ้งกระจายของเชื้อเพิ่มขึ้นส่วนกรณีที่เกิดข้อวิจารณ์จ.เชียงใหม่ได้ทำการตรวจสอบและจะเพิ่มมาตรการในรพ.สนามมากขึ้นและจังหวัดฯได้ขอความร่วมมือตร.สแกนของฝากหากพบของที่ผิดกฎหมายจะได้ดำเนินการต่อไปและสธ.จะนำมาเป็นข้อสังเกตมาปรับปรุงมาตรการรพ.สนามในสังกัดทั้งส่วนกลางและภูมิภาครวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตนถูกต้องเหมาะสมเมื่ออยู่ในรพ.สนามต่อไป
————————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40997 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิดตัว GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน บริการใหม่บน Application : Line แจ้งทันทีทุกครั้งที่ ฝาก ถอน โอน ชำระเงินกู้ หรือถูกสลาก และอื่นๆ อีกเพียบ!! | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
ธอส. เปิดตัว GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน บริการใหม่บน Application : Line แจ้งทันทีทุกครั้งที่ ฝาก ถอน โอน ชำระเงินกู้ หรือถูกสลาก และอื่นๆ อีกเพียบ!!
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดตัว “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” บริการใหม่บน Application : Line ไลน์แจ้งทันทีทุกความเคลื่อนไหวที่มีการฝาก ถอน โอน ชำระเงินกู้ และถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. เป็นต้น รวมถึงเช็คข้อมูลสำคัญ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดตัว “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” บริการใหม่บน Application : Line ไลน์แจ้งทันทีทุกความเคลื่อนไหวที่มีการฝาก ถอน โอน ชำระเงินกู้ และถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. เป็นต้น รวมถึงเช็คข้อมูลสำคัญ อาทิ สถานะการขอสินเชื่อ ยอดเงินกู้คงเหลือ ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝาก เช็คจำนวนหน่วย/มูลค่า/จำนวนเงินที่ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. ตรวจรางวัลสลากออมทรัพย์งวดล่าสุด บริการฟรี!! โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวช่วยสนับสนุนให้เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางใหม่ในการให้บริการลูกค้าผ่านทางดิจิทัล ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยในยุดิจิทัลและเป็นไปตามวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ล่าสุด ธอส. จึงได้เปิดตัวบริการใหม่บน Application : Line โดยใช้ชื่อว่า “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” ซึ่งใน Phase 1 ที่จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2564 เป็นต้นไป GHB Buddy จะทำหน้าที่ไลน์แจ้งลูกค้าทันทีในทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหวดังนี้ 1.ฝากเงิน 2.ถอนเงิน 3.โอนเงิน 4.ชำระเงินกู้ 5.ชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 6.ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ 7.ผลการขอสินเชื่อ และ 8.แจ้งยอดชำระเงินกู้ล่วงหน้า นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเช็คข้อมูลสำคัญ อาทิ สถานะการขอสินเชื่อ ยอดเงินกู้คงเหลือ ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝาก จำนวนหน่วย/มูลค่า/จำนวนเงินรวมที่ถูกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. และตรวจรางวัลสลากออมทรัพย์งวดล่าสุด รวมถึงเชื่อมไปยังระบบข้อมูลด้านสินเชื่อ เงินฝาก และยังจะได้รับคะแนนสะสมในโครงการ GHB Reward ทันที 50 คะแนน เมื่อลงทะเบียนเข้าใช้งาน GHB Buddy ครั้งแรก และบัญชียังมีความเคลื่อนไหว เพื่อแลกรับของรางวัลได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นบริการใหม่ที่ธนาคารอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นฟรี!! โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม มีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก GHB Buddy แจ้งไปยัง Application : Line ในโทรศัพท์ของลูกค้าโดยตรง ซึ่งถือเป็นบริการที่สนับสนุนให้เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้อีกด้วย
“GHB Buddy เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ธนาคารเช่นเดียวกับโครงการ GH Bank New Normal Services ซึ่ง ธอส. ได้พัฒนาบริการใหม่ ๆ บน Application : GHB ALL อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการยกระดับสู่การเป็น Digital Service Bank ในปี 2564 และก้าวเป็น Digital Bank เต็มรูปแบบในปี 2566 และภายในเดือนมิถุนายนนี้ GHB Buddy จะมีบริการใหม่ ๆ ใน Phase 2 เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มเติม อาทิ การขอรายการเดินบัญชี (e-Statement) การชำระเงินกู้ด้วย QR Code การค้นหาสาขา และจองคิวเข้าใช้บริการ เป็นต้น”นายฉัตรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ต้องการใช้งาน “GHB Buddy : เพื่อนดีๆ มีกันทุกคน” เพื่อไม่ให้พลาดบริการดี ๆ ที่ GHB Buddy จะแจ้งทาง Line สามารถสมัครใช้บริการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา เพียงเข้าไปที่ Application : Line จากนั้นไปที่เพิ่มเพื่อนแล้วกดค้นหาเพื่อนโดยพิมพ์คำว่า “@ghbbuddy” หรือ เพิ่มเพื่อนด้วยการสแกน QR Code สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. หารือ ผวจ.อำนาจเจริญ มุ่งขับเคลื่อนเป็นเมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รมว.พม. หารือ ผวจ.อำนาจเจริญ มุ่งขับเคลื่อนเป็นเมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน
รมว.พม. หารือ ผวจ.อำนาจเจริญ มุ่งขับเคลื่อนเป็นเมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน
วันนี้ (19 เม.ย. 64) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้นายทวีป บุตรโพธิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เข้าพบ เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญและการเสนอของบประมาณโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ณ ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด เพื่อให้การพัฒนาและแก้ปัญหาในระดับจังหวัดสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็วรวมทั้งการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งตนในฐานะ รมว.พม. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร และจังหวัดพิษณุโลก สำหรับวันนี้ ตนได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญและการเสนอของบประมาณโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก โดยพบว่า มีการวางเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญให้เป็นเมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน โดยมีเป้าหมาย ดังนี้ 1. ให้เกษตรกรในจังหวัดอำนาจเจริญ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีการผลิตเป็นแบบ "ธรรมเกษตร" ซึ่งเป็นการทำการเกษตรที่ยึดหลักของคุณธรรม เห็นคุณค่าของชีวิต มีจิตสำนึกในการหวงแหนและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการพัฒนาตนเองโดยวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการตำรงชีวิตอย่างมีความสุข มีจิตใจที่ดีงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีจิตใจสาธารณะจากการเกษตรที่เกื้อกูลธรรมชาติ 2. การส่งเสริมจังหวัดอำนาจเจริญให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง โดยสนับสนุนกิจกรรมทางการเกษตร และการดำเนินชีวิตของประชาชนในจังหวัด โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณชายแดน เชื่อมโยงการค้าการลงทุนในประเทศอาเซียนรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจชายแดนในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมให้มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการค้าขาย เพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถติดต่อซื้อขายสินค้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาจังหวัดให้เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ และสินค้าเกษตรปลอดภัย และผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรมากยิ่งขึ้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ในเรื่องการจัดทำงบประมาณโครงการฯของจังหวัดให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และตรงตามความต้องการของประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ ระบบการขนส่งสินค้าที่ดี การมีถนนในการเดินทางที่ดีเพื่อใช้อำนวยความสะดวกบริเวณชายแดน เชื่อมโยงการค้าการลงทุนในประเทศอาเซียนในอนาคต การสนับสนุนการเกษตรการปลูกข้าวและสมุนไพรที่ดี รวมถึงการมีน้ำใช้ที่เพียงพอทั้งด้านอุปโภคบริโภคและสำหรับด้านการเกษตร โดยใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและนำไปจัดสรรให้ถึงประชาชนโดยเร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์นำไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อป้องกันโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์นำไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อป้องกันโควิด-19
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อ จากบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อนำไปส่งมอบให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานนำไปใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับมอบแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อสำหรับหน่วยงานจากนายอภิชาติ พัชรภิญโญพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัดเป็นโรงงานผลิตเอทิล แอลกอฮอล์ชนิด 95 % มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 กว่า 29 ปี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่ผ่านมา ได้เห็นถึงการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือของคนไทยในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายสุชาติกล่าวว่า ในวันนี้ผมได้รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดฆ่าเชื้อสำหรับหน่วยงานจากกรรมการผู้จัดการบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐมเป็นผู้ประสานงานนำมามอบให้กับกระทรวงแรงงานเพื่อนำไปส่งมอบให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานนำไปใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อในการป้องกันโควิด-19 ซึ่งประกอบด้วย 1) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 5 ลิตร จำนวน 200 แกลลอน (ปริมาณ 1000 ลิตร) 2) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 50 ml จำนวน 300 ขวด (ปริมาณ 15 ลิตร) และ 3) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 20 ml จำนวน 200 ตลับ (ปริมาณ 4 ลิตร)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนบริจาคสิ่งของจำเป็น ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
พม. เชิญชวนบริจาคสิ่งของจำเป็น ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
พม. เชิญชวนบริจาคสิ่งของจำเป็น ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียงที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่
วันนี้ (19 เม.ย. 64) เวลา 12.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ที่ขยายวงกว้างในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศและส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้ง เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ทั้งนี้ ตนจึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งประชาชนและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
นายจุติ กล่าวว่า สำหรับช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ กระทรวง พม. โดย อพม. ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ได้เข้าสำรวจชุมชนและตรวจสอบกลุ่มเปราะบาง พบว่า มีผู้ประสบความยากลำบากเพิ่มมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมไปถึงเรื่องของการขาดแคลนอาหาร ยา น้ำดื่ม นม และผ้าอ้อม เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคอาหารและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง อาทิ น้ำดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด คนพิการ และผู้สูงอายุ นมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งกระทรวง พม.โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด จะได้นำของบริจาคพร้อมทั้งอาหารปรุงสุก ไปมอบให้กับกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประชาชนที่ต้องการร่วมบริจาคสิ่งของและเงิน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง การกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามสัญญาสัมปทานของ รฟม. | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง การกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามสัญญาสัมปทานของ รฟม.
ตามที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวในประเด็น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 25 บาท
โดยได้มีการกล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ว่าเป็นโครงการที่รัฐบาลได้ลงทุนค่าก่อสร้างให้ทั้งหมด เหตุใดถึงไม่ลดค่าโดยสารเหลือ 10-25 บาท นั้น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกำหนดอัตราค่าโดยสาร โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามสัญญาสัมปทานของ รฟม. ดังนี้
1) รฟม. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ตามกฎหมาย โดยปัจจุบันมี 4 โครงการที่ลงนามในสัญญาสัมปทานแล้ว ได้แก่ 1. โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว 2.โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว 3. โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) 4.โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง)
2) โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้ง 4 สายทางดังกล่าว รฟม. (ภาครัฐ) รับภาระค่าลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานทางโยธา ในขณะที่ภาคเอกชนรับภาระค่าลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า ทั้งนี้ ในโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เนื่องจากเป็นโครงการก่อสร้างที่มีแนวเส้นทางเป็นโครงสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินกว่าร้อยละ 50 อีกทั้งยังมีแนวเส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ชั้นในเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ลอดผ่านใต้แม่น้ำเจ้าพระยา มีความยากในการก่อสร้างและมีความเสี่ยงในการดำเนินการหลายแห่ง จึงทำให้มูลค่าลงทุนโครงการสูงกว่าโครงการรถไฟฟ้ายกระดับ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ถึง 3 เท่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าที่ผู้รับสัมปทานต้องแบกรับด้วย ในทางกลับกันปริมาณผู้โดยสารของโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน กลับน้อยกว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่ากึ่งหนึ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ภาคเอกชนลงทุนโครงการทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ รฟม. (ภาครัฐ) ต้องเป็นผู้รับภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางโยธา เพื่อจูงใจให้เอกชนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนโครงการ
3) หลักเกณฑ์การคิดอัตราค่าโดยสารในโครงการรถไฟฟ้ามหานครของ รฟม. เป็นการคิดตามมาตรฐาน MRT Assessment Standardization ประกอบกับ รฟม. ได้มีการกำหนดเพดานค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 12 สถานีด้วย ซึ่งหากพิจารณาโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ซึ่งมีระยะทางรวม 48 กิโลเมตร จะเห็นว่าประชาชนมีภาระค่าโดยสารเฉลี่ยเพียง 0.88 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรม มีความเหมาะสมและประชาชนยอมรับได้ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม และ รฟม. ได้พยายามลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน โดย รฟม. ได้กำหนดให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนเมื่อเดินทางข้ามสายในโครงข่ายรถไฟฟ้าของ รฟม. ในกรณีที่มีการเดินทางเชื่อมต่อระหว่าง MRT สายสีน้ำเงินและ MRT สายสีม่วง รวมไปถึงการเชื่อมต่อไปยังสายสีเหลืองและสายสีชมพูที่จะเปิดให้บริการในปี 2565 ต่อไปด้วย นอกจากนี้ สำหรับโครงการ MRT สายสีม่วง รฟม. ยังได้เคยปรับลดค่าโดยสารโดยเก็บค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 20 บาทอีกด้วย (ตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2564)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41002 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง การกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามสัญญาสัมปทานของ รฟม. ฉบับที่ 2 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รฟม. ชี้แจงข้อเท็จจริง การกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามสัญญาสัมปทานของ รฟม. ฉบับที่ 2
ตามที่ ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่บนสื่อสาธารณะ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 อ้างอิงถึงข้อความใน Facebook ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์
ที่ระบุหัวข้อว่า “ดูกันชัดๆ อีกที ค่าโดยสารรถไฟฟ้า กทม. หรือ รฟม. ถูกกว่า?” นั้น
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ดังนี้
1) การเดินทางที่ไกลที่สุดจาก MRT สายสีม่วงไปยัง MRT สายสีน้ำเงินอยู่ที่ประมาณ 59 กิโลเมตร โดยมีอัตราค่าโดยสาร 70 บาท ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ประชาชนมีภาระค่าโดยสารเฉลี่ยเพียง 1.18 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าภาระค่าโดยสารเฉลี่ยของ กทม. และไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวอ้าง
2) เนื่องจากโครงการ MRT สายสีน้ำเงิน เป็นโครงการก่อสร้างที่มีแนวเส้นทางเป็นโครงสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินกว่าร้อยละ 50 อีกทั้งยังมีแนวเส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ชั้นในเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ลอดผ่านใต้แม่น้ำเจ้าพระยา มีความยากในการก่อสร้างและมีความเสี่ยงในการดำเนินการหลายแห่ง จึงทำให้มูลค่าลงทุนโครงการสูงกว่าโครงการรถไฟฟ้ายกระดับ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ถึง 3 เท่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าที่ผู้รับสัมปทานต้องแบกรับด้วย ในทางกลับกันปริมาณผู้โดยสารของโครงการ MRT สายสีน้ำเงิน กลับน้อยกว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่ากึ่งหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ รฟม. (ภาครัฐ) ต้องเป็นผู้รับภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางโยธา เพื่อจูงใจให้เอกชนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ภาคเอกชนลงทุนโครงการทั้งหมด
3) การพิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม มีปัจจัยสำคัญประกอบการพิจารณา ได้แก่ พฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสาร ระยะเดินทางเฉลี่ยของผู้โดยสาร ความเต็มใจในการจ่ายค่าโดยสารของประชาชน (Willingness to pay) เป็นต้นดังนั้น หากเปรียบเทียบการเดินทางเฉลี่ยของประชากรใน กทม. บนโครงข่ายรถไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 8 สถานีต่อเที่ยว จะเห็นได้ว่า การเดินทางใน MRT สายสีม่วง จะมีค่าโดยสารอยู่ที่ 33 บาท และ MRT สายสีน้ำเงินอยู่ที่ 31 บาท ในขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีค่าโดยสารเมื่อเดินทาง 8 สถานี ในโครงสร้างอัตราค่าโดยสารปัจจุบันอยู่ที่40 บาท ซึ่งจะพบว่าอัตราค่าโดยสารของ MRT สายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน จะต่ำกว่าประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งนี้ แนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารของ รฟม. เป็นไปตามผลการคัดเลือกเอกชนที่กำหนดภาระของรัฐและประชาชนที่ต่ำที่สุดมาโดยตลอดและมิอาจเปรียบเทียบกับแนวทางอื่นๆ ตามที่นักวิชาการดังกล่าวกล่าวอ้างโดยปราศจากข้อมูลที่ รฟม. อ้างอิง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
ขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร
ปลัดเกษตรฯ ติดตามการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร ผ่านระบบ Application Zoom ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการดำเนินงานและความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงาน “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ได้แก่ 1) ความก้าวหน้าในการจัดทำข้อมูลสนับสนุนนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างและใช้ข้อมูลจากฐานเดียวกัน (Single Big Data) เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรของเกษตรกร ให้มีคุณภาพ มาตรฐานปลอดภัย และมีมูลค่าเพิ่ม ตรงกับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูง มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน และยกระดับให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งมีแผนการดำเนินงานระยะ Quick win โดยจัดทำ Dashboard มันสำปะหลัง แล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา และได้มีการเผยแพร่ฐานข้อมูลร่วม “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” สินค้ามันสำปะหลัง บนเว็บไซต์ www.คิดค้า.com / www.moc.go.th ของกระทรวงพาณิชย์ และเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ www.nabc.go.th ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้บริการข้อมูลทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และประชาชน โดย Dashboard สินค้าเกษตรจะเป็นการแสดงผล ประกอบด้วย 5 หน้าจอการแสดงผล ได้แก่ สรุปสถานการณ์สินค้าเกษตรของไทย ราคาสินค้าเกษตร สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โอกาสของการส่งออกสินค้าเกษตร และสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรของไทย ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการ Single Big Data เห็นชอบเลือกสินค้าทุเรียน เป็นสินค้านำร่อง ชนิดที่ 2 ต่อจากมันสำปะหลัง และจะตามด้วยข้าว ยาง ปาล์ม และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในลำดับต่อไป
2) การจัดทำแพลตฟอร์มกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างแพลตฟอร์มกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เป็นตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับซื้อขายสินค้าเกษตรในรูปแบบการค้าแบบ B2B (Business to Business) ซึ่งเป็นการซื้อขายปริมาณมากในแต่ละครั้ง โดยจะพัฒนาต่อยอดจากแพลตฟอร์ม Thaitrade.com ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สำหรับการดำเนินการระยะนำร่อง ได้กำหนดกลุ่มเกษตรกรที่เป็นเป้าหมายในการดำเนินการ คือ กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ 152 แห่ง กลุ่มสหกรณ์ 40 แห่ง และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 63 แห่ง และกำหนดประเภทสินค้า ได้แก่ ข้าว ไข่ไก่ เนื้อโคขุน ผลิตภัณฑ์จากโคนม ผัก (เช่น ผักสลัด กะหล่ำปลี ผักกาดขาว แครอท เห็ด) ผลไม้ (เช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน กล้วยหอมทอง ลำไย ลิ้นจี่) กาแฟ ยางพารา (ผลิตภัณฑ์แปรรูป) ไม้ดอกไม้ประดับ สมุนไพรและเครื่องเทศ และแมลงเศรษฐกิจ (ผึ้ง จิ้งหรีด)
3) การบริหารจัดการผลไม้ กรณี สินค้าทุเรียน ของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ซึ่งที่ประชุมได้รายงานแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออก ปี 2564 (จันทบุรี ระยอง ตราด) โดยมีการปรับสมดุลของอุปสงค์กับอุปทานให้สอดคล้องกัน ซึ่งจะมีการกระจายผลผลิตภายในประเทศ การแปรรูป และการส่งออก (ข้อมูลการส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศช่วงเดือน ม.ค.- 15 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีปริมาณการส่งออกรวมทั้งสิ้น 78,376.18 ตัน มูลค่า 9,135.9002 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำการป้องปรามทุเรียนอ่อน ให้มีมาตรการควบคุมการใช้ใบ GAP และป้องกันทุเรียนอ่อน รวมถึงมาตรการควบคุมการส่งออกทุเรียนปลอดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผลผลิตทุเรียน นอกจากนี้ ยังมุ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและควบคุมคุณภาพผลผลิตทุเรียนส่งออกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41007 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด – 19 เชิงรุกทุกอย่างราบรื่น ยืนยันหากผู้ประกันตนรายใด ที่ตรวจพบเชื้อ จะส่งเข้ารับการรักษาที่ HQ และอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด – 19 เชิงรุกทุกอย่างราบรื่น ยืนยันหากผู้ประกันตนรายใด ที่ตรวจพบเชื้อ จะส่งเข้ารับการรักษาที่ HQ และอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันที่ 3 ทุกอย่างราบรื่นเป็นไปตามขั้นตอนที่ สธ.กำหนด
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ว่า วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการเปิดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก โดยใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนที่เดินทางกลับต่างจังหวัดและไปในสถานที่เสี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน…เราสู้ด้วยกัน ในวันนี้เป็นวันที่ 3 ของการตรวจ ซึ่งผมได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องและกำชับให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน
นายสุชาติยังกล่าวถึงรายงานของสำนักงานประกันสังคมพบว่า ภาพรวมของโครงการเป็นที่น่าพอใจ ราบรื่นดี ขั้นตอนต่างๆ ยังคงเป็นไปตามแนวทางและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากพบผู้ประกันรายใดตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงแรมที่เป็น HQ (Hospital Quarantine) ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ประกันตนคลายความกังวลใจได้ซึ่งเป็นสถานที่รองรับการรักษาตามอาการและอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี สำหรับโครงการดังกล่าวกระทรวงแรงงานยังมีแผนที่จะดำเนินการขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง อาทิ ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ สมุทรปราการ เป็นต้น
“ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่ไปในสถานที่เสี่ยง และเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที”รมว.สุชาติกล่าวในตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41005 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปี 2564 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปี 2564
คกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปี 2564 พร้อมสนับสนุนให้เด็กนร. ได้ดื่มนมโรงเรียนครบ 365 วัน ส่งเสริมการบริโภคนม ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบ Application Zoom ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักการ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการอาหารและนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2564 โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับแก้ไขข้อความใน (ร่าง) ประกาศฯ ดังกล่าว ก่อนเตรียมเสนอเพื่อให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน พิจารณาลงนามต่อไป เพื่อวางแผนบริหารจัดการนมโรงเรียนได้ทันในช่วงเปิดภาคเรียน รวมทั้งวางแผนการขนส่งและโควต้าต่างๆ ให้ทันท่วงทีอีกด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการสนับสนุนให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมโรงเรียนครบ 365 วัน รวมถึงสนับสนุนให้เพิ่มช่วงชั้นมัธยมต้น (ม.1 - 3) ได้ดื่มนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อส่งเสริมการบริโภคนม ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้เกิดความเป็นธรรมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการดำเนินการและเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเป็นชอบต่อไป.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทม.แจงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาและมีศูนย์เอราวัณเป็นหน่วยบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย สธ.ยืนยันแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ไม่มีปัญหา | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
กทม.แจงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาและมีศูนย์เอราวัณเป็นหน่วยบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย สธ.ยืนยันแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ไม่มีปัญหา
กทม.แจงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาและมีศูนย์เอราวัณเป็นหน่วยบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย สธ.ยืนยันแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ไม่มีปัญหากำลังจะใช้กับอีก 1 ล้านคนในสัปดาห์หน้าและพร้อมใช้กับอีก 10 ล้านคนในเดือน มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่17เมษายน2564นายสุขสันต์กิตติศุภกรผู้อำนวยการสำนักการแพทย์กรุงเทพมหานครชี้แจงกรณีการรับผู้ติดเชื้อโควิด-19ที่เขตสายไหมซึ่งญาติได้ติดต่อจนท. 8เม.ย.แต่ยังไม่มีจนท.รับไปรักษาจนกระทั่งเมื่อ15เม.ย.ผู้ช่วยส.ส.เขตสายไหมประสานงานกับศูนย์เอราวัณช่วยส่งรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปรักษาแล้วว่า กรุงเทพมหานครได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19เพื่อเข้ารับการรักษาและมีศูนย์เอราวัณเป็นหน่วยบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิด-19โดยผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการรักษาที่รพ.สามารถแจ้งประสานเพื่อขอเข้ารับการรักษาผ่านหมายเลข1669 ,1668 ,1330หรือบันทึกแจ้งข้อมูลผ่านLine @sabaideebotซึ่งจนท.จะสอบถามรายละเอียดคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความรุนแรงและประสานส่งต่อข้อมูลมายังศูนย์เอราวัณที่เป็นศูนย์กลางในการจัดสรรเตียงในพื้นที่ซึ่งจะมีการประสานงานร่วมกันกับหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ตามจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกเดือนเม.ย.มีผู้ติดเชื้อในกทม.ที่ประสานขอเตียงจำนวนมากซึ่งปัจจุบันสามารถรับส่งผู้ป่วยติดเชื้อได้100ราย/วันและวางแผนที่จะเพิ่มศักยภาพในการรับส่งผู้ป่วยที่200ราย/วันทั้งนี้ในระหว่างที่ผู้ป่วยอยู่ระหว่างรอเตียงจะมีการโทรศัพท์ประสานติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในระบบการดูแลรักษาพยาบาลของกทม.
ส่วนกรณีที่มีข้อสังเกตเรื่องความพร้อมของแอพพลิเคชั่น“หมอพร้อม”นั้นกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่าระบบ“หมอพร้อม”เป็นระบบเชื่อมต่อ1,500โรงพยาบาลที่ฉีดวัคซีนทั่วประเทศแบบreal timeเจ้าหน้าที่ทำงานครั้งเดียวไม่ซ้ำซ้อนมีการแสดงผลdash boardแบบreal timeเพื่อให้ผู้บริหารสามารถติดตามความครอบคลุมการฉีดและอาการไม่พึงประสงค์ทุกคนที่ฉีดรวมทั้งยังมีระบบจำแนกประชาชนเป็นกลุ่มตามความเสี่ยงใช้จัดลำดับความสำคัญในการรับวัคซีนก่อนหรือหลังตามหน่วยบริการทุกแห่งทั่วประเทศนอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับประชาชนทางLine Official Account “หมอพร้อม”การจัดทำระบบหมอพร้อมเป็นความร่วมมือจากภาครัฐเอกชนและร่วมมือกับ35บริษัทที่เป็นระบบhospital information systemเพื่อเชื่อมข้อมูลแบบreal timeเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนขณะนี้บางส่วนอยู่ระหว่างดำเนินการแต่โดยภาพรวมระบบไม่มีปัญหาและกำลังจะใช้กับอีก1ล้านคนในสัปดาห์หน้าและพร้อมใช้กับอีก10ล้านคนในเดือนมิ.ย.อย่างแน่นอน
————————-
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40998 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้า “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ส่งออกสินค้าเกษตรโต เร่งใช้ประโยชน์FTA รับรองมาตรฐานGAP/GMP | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
รัฐบาลเดินหน้า “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ส่งออกสินค้าเกษตรโต เร่งใช้ประโยชน์FTA รับรองมาตรฐานGAP/GMP
รัฐบาลเดินหน้า “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ส่งออกสินค้าเกษตรโต เร่งใช้ประโยชน์FTA รับรองมาตรฐานGAP/GMP
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสเติบโตสูงว่า รัฐบาลได้ใช้แนวทาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” โดยเป็นการขับเคลื่อนการทำงานอย่างบูรณาการทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร ตั้งแต่การผลิตที่ได้มาตรฐาน สอดคล้องความต้องการผู้บริโภค มีประสิทธิภาพ และการจัดการการตลาดในตลาดต่างประเทศ ใช้ประโยชน์จากการค้าเสรีให้ได้มากที่สุด ซึ่งแนวโน้มปี 2564 พบว่า การส่งออกสินค้าเกษตรจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ตัวเลขจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยไปตลาดโลกในช่วงเดือน ม.ค.–ก.พ.ปีนี้ ขยายตัว โดยกลุ่มผักผลไม้ยังขยายตัวมากที่สุด คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวประมาณ 1.9-2.9% สาขาปศุสัตว์ขยายตัว 1-2% สาขาประมงขยายตัว 0.1-1.1% สาขาบริการทางการเกษตรขยายตัว 0.2-1.2% และป่าไม้ขยายตัว 1-2%
นางสาวรัชดากล่าวเพิ่มว่า หากเจาะลึกตลาดที่ประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 18 ประเทศ จากข้อตกลง 13 ฉบับ ในปี 2563 สินค้าเกษตรส่งออก 14,876 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 และคิดเป็น 71% ของการส่งออกสินค้าเกษตรไปทั่วโลก ด้วยประโยชน์จาก FTA ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาเกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ให้ความรู้กับเกษตรกรกรและผู้ประกอบการเพื่อเร่งให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง FTA จะได้เพิ่มโอกาสในการส่งออก มากไปกว่านั้น เฉพาะตลาดส่งออกผลไม้ ที่ปีที่แล้วมีมูลค่า 1.04 แสนล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดแผนงานจับคู่เจรจาการค้าผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ตัวแทนจำหน่ายจากต่างประเทศ และที่ได้จัดไปแล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา มีประเทศเข้าร่วม อาทิ จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา สเปน ก่อให้เกิดการเจรจาซื้อขาย ไม่ต่ำกว่า 1.8 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นอกจากการหาตลาดแล้ว สิ่งที่จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคต่อสินค้าเกษตรไทย คือ มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย โดยในปีนี้ กระทรวงเกษตรฯ กำหนดแผนรับรองการผลิตทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) 120,000 แปลง แบ่งเป็น ผลไม้ 6.5 หมื่นแปลง (ผลไม้หลัก เช่น ลำใย ทุเรียน มังคุด มะพร้าวอ่อน มะม่วง ซึ่งเป็นผลไม้ที่ต้องใช้การรับรองมาตรฐาน GAP เพื่อการส่งออก) พืชผัก 2.1 หมื่นแปลง และอื่นๆ 3.3หมื่นแปลง เช่น กาแฟ ถั่วลิสง และสำหรับสินค้าปศุสัตว์และประมง กระทรวงฯจะเดินหน้าพัฒนาฟาร์มเลี้ยงทั่วประเทศให้ได้มาตรฐาน GAP และ GMP หรือมาตรฐานด้านการจัดการสุขลักษณะที่ดีในสถานประกอบการ รวมถึง HACCP ซึ่งเป็น เป็นระบบควบคุมคุณภาพการผลิตที่ใช้เป็นเงื่อนไขทางการค้าเพื่อส่งออกต่างประเทศ
สำหรับความกังวลเรื่องการแปรปรวนของสภาพอากาศ ที่เป็นความเสี่ยงของภาคการเกษตรนั้น รัฐบาลได้มีแนวทางป้องกันไว้แล้ว อาทิ การติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ การพัฒนาระบบเตือนภัยด้านการเกษตร อีกทั้งทางกระทรวงเกษตรฯอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยโครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบประกันภัยผลผลิตทางการเกษตร จะแล้วเสร็จในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติให้ครอบคลุมทุกชนิดสินค้าเกษตร คาดว่าจะสามารถลดงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกรณีเกิดภัยพิบัติ มากถึงปีละ 1 แสนล้านบาท หากเปลี่ยนแปลงงบดังกล่าวให้อยู่ในรูปแบบประกันภัยที่เกษตรกรสามารถบริหารจัดการด้านการเงินของตัวเองได้อย่างยั่งยืน นำไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น
“แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด19 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แต่สำหรับประเทศไทยการส่งออกสินค้าเกษตรกลับเติบโตสวนทางสินค้าอื่น การปรับตัวของเกษตรกรและผู้ประกอบการจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในประเด็นการพัฒนากระบวนการผลิตและวิธีการทำการตลาด โดยคำนึงถึงมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย และใช้ประโยชน์จาก FTA นำไปสู่การเพิ่มราย ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการให้การสนับสนุนอยู่” นางสาวรัชดาฯ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงรัฐจัดสรรให้ ส.ส. ได้รับวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
สธ.แจงรัฐจัดสรรให้ ส.ส. ได้รับวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้
กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงรัฐจัดสรรให้ ส.ส. ได้รับวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้
เมื่อวันที่18เมษายน2564นายแพทย์ณรงค์สายวงศ์รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อสงสัยกรณีรัฐจัดสรรให้ส.ส.ได้รับวัคซีนโควิด-19ว่ากระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ฉีดวัคซีนฯให้กับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่28ก.พ.ถึง17เม.ย. 64แล้ว608,521โดสและขณะนี้กระจายวัคซีนซิโนแวคอีก1ล้านโดสไปจังหวัดต่างๆเพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผน5กลุ่มได้แก่1.บุคลากรทางการแพทย์ฯด่านหน้า599,800โดสและต้องฉีดกลุ่มนี้ให้ได้100%ภายใน2สัปดาห์2.ควบคุมโรคระบาดพื้นที่สีแดง100,000โดส3.ผู้มีโรคประจำตัว157,200โดส4.เจ้าหน้าที่บุคลากรอื่นๆ54,320โดสซึ่งกรณีส.ส.ที่จะมีการฉีดวัคซีนจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐลงพื้นที่พบประชาชนและเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อจากการทำงานหากมีการติดเชื้ออาจมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องกักตัวจำนวนมากการให้วัคซีนจึงเป็นประโยชน์ในการควบคุมโรคและ5.สำรองไว้กรณีฉุกเฉิน98,680โดส
__________
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40999 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 19 เมษายน 2564 | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 19 เมษายน 2564
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 19 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,133 ล้านบาท
ความคืบหน้าของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ณ วันที่ 19 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,133 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 112,772 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 14,039 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 199,944 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันวัคซีนไทยไม่ล่าช้า เป็นไปตามแผน | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
สธ.ยืนยันวัคซีนไทยไม่ล่าช้า เป็นไปตามแผน
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการฉีดวัคซีนของไทยเป็นไปตามแผน ไม่ได้ล่าช้า ฉีดแล้ว 618,583 ราย เข็มแรก 535,925 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 82,658 ราย ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้ใน Line Official Account หมอพร้อม หรือแอปพลิเคชัน หมอพร้อม ในเดือนพฤษภาคม
วันนี้ (19 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,390 รายมาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,058 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 326 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 6 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 104 ราย เสียชีวิต 3 ราย ทำให้การการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน มีผู้ติดเชื้อสะสม 14,878 ราย หายป่วยแล้ว 1,361 ราย และเสียชีวิตสะสม 10 ราย ทั้งนี้ การติดเชื้อระลอกแรกเดือนมกราคม – ธันวาคม 2563 ระยะเวลา 11 เดือนครึ่ง มีการติดเชื้อ 4,237 ราย ส่วนระลอกเดือนธันวาคม 2563 ประมาณ 3 เดือนครึ่ง มีผู้ติดเชื้อ 24,626 ราย สูงขึ้น 6 เท่าจากระลอกแรก ขณะที่ระลอกเดือนเมษายน 2564 เพียง 3 สัปดาห์ มีผู้ติดเชื้อ 14,851 ราย สูงกว่าการระบาดระลอกแรก 3 เท่า สาเหตุส่วนใหญ่จากสถานบันเทิง ไปสู่บ้าน ที่ทำงาน และกระจายในทุกจังหวัด
สำหรับผู้เสียชีวิต 3 ราย รายแรกเป็นชายไทย อายุ 56 ปี ทำงานในสถานบันเทิง สุขุมวิท มีโรคประจำตัว คือความดันโลหิตสูง เส้นเลือดสมองตีบ เดินทางกลับ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และผลตรวจภรรยาพบติดเชื้อเช่นกัน รายที่ 2 หญิง 84 ปี อยู่ในกทม. เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ติดเชื้อจากหลานชายที่ทำงานสถานบันเทิงมาเยี่ยม รายที่ 3 หญิงอายุ 61 ปี อาชีพค้าขาย ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไทรอยด์ มีประวัติรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า ทั้ง 3 รายเสียชีวิตวันที่ 18 เมษายน 2564
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ช่วงวันที่ 1-18 เม.ย. 2564 พบ 146 ราย สาเหตุการติดเชื้อจากภายนอกโรงพยาบาล 62 ราย คิดเป็นร้อยละ 42.5 ติดเชื้อในโรงพยาบาล 55 ราย คิดเป็นร้อยละ 37.7 ในจำนวนนี้ ติดเชื้อขณะดูแลรักษาผู้ป่วยยืนยัน 33 ราย ติดจากเพื่อนร่วมงาน 22 ราย และ อีก 29 รายอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค โดยพบการติดเชื้อใน 35 จังหวัด มากที่สุดในกทม. 38 ราย สุพรรณบุรี 11 ราย ชลบุรี 8 ราย ราชบุรี 8 ราย รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ถูกกักตัวอีกจำนวนมาก
สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสมวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 18 เมษายน 2564 รวม 618,583 ราย เป็นผู้ได้รับเข็มแรก 535,925 ราย และได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 82,658 ราย โดยการฉีดวัคซีนไม่ได้ล่าช้า มีการบริหารจัดการเป็นไปตามแผน นอกจากนี้ในระยะที่พบการระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร ยังได้จัดหาวัคซีนมาเพิ่มเพื่อใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน ได้แก่ วัคซีนของซิโนแวค 2 ล้านโดส ทยอยส่งมา 2 แสนโดส และ 8 แสนโดส ซึ่งฉีดครบภายในเดือนมีนาคม อีก 1 ล้านโดสได้รับเมื่อวันที่ 10 เมษายน กระจายไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เน้นฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงฉีดบุคลากรภาครัฐด่านหน้า ประชาชนที่มีโรคประจำตัว และสำรองใช้ควบคุมการระบาด ทั้งนี้ระยะต่อไปประชาชนจะได้รับวัคซีนหลักคือแอสตร้าเซนเนก้าในเดือนมิถุนายน
ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าการฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เกิดการระบาดเป็นการเสียเปล่าหรือไม่ นายแพทย์เฉวตสรรอธิบายว่า ไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน เนื่องจากในพื้นที่นั้นไม่ได้ติดเชื้อทุกคน การฉีดวัคซีนย่อมกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน สำหรับการที่ไทยไม่ได้เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์วัคซีนแล้วทำให้ได้วัคซีนล่าช้า เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากวัคซีนที่จะได้รับเป็นวัคซีนที่จะผลิตจากอินเดีย ซึ่งขณะนี้ระงับการส่งออก การที่ไทยตัดสินใจเจรจาโดยตรงกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ทำให้เราได้วัคซีนตามแผน และที่สำคัญจะทำให้มีโรงงานผลิตวัคซีนในประเทศ สร้างความมั่นคงด้านวัคซีน
ทั้งนี้ ประชาชนที่สมัครใจจะรับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่จะมาในเดือนมิถุนายนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดให้ลงทะเบียนใน Line Official Account หมอพร้อม หรือทางแอปพลิเคชัน หมอพร้อม ในเดือนพฤษภาคม รวมทั้งแจ้งความจำนงได้ที่ อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ สำหรับผู้ที่ป่วยที่มีโรคประจำตัว โรงพยาบาลที่ให้การรักษาจะติดตามมารับการฉีด
************************************** 19 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรแจ้งยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านอินเทอร์เน็ต ได้รับสิทธิขยายเวลาถึงสิ้นเดือนของเดือนที่ยื่นแบบ ลดความเสี่ยง COVID-19 และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน | วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564
สรรพากรแจ้งยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านอินเทอร์เน็ต ได้รับสิทธิขยายเวลาถึงสิ้นเดือนของเดือนที่ยื่นแบบ ลดความเสี่ยง COVID-19 และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
กรมสรรพากรแนะนำให้ผู้ประกอบการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th เพราะได้รับสิทธิขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีได้นานถึงสิ้นเดือนของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ และช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินนานขึ้น
กรมสรรพากรแนะนำให้ผู้ประกอบการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th เพราะได้รับสิทธิขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีได้นานถึงสิ้นเดือนของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ และช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินนานขึ้น ทั้งยังสะดวก ปลอดภัยไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID - 19 ได้อีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เห็นชอบการขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (แบบ ภ.ง.ด. 1 แบบ ภ.ง.ด. 2 แบบ ภ.ง.ด.3 แบบ ภ.ง.ด. 53 และแบบ ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.30 และแบบ ภ.พ.36) เฉพาะผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถยื่นแบบฯ และชำระภาษีได้จนถึงวันสุดท้ายของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ ปรากฏว่ามีผู้ประกอบการเลือกเข้าใช้บริการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อยู่ในขณะนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินและมีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้น เนื่องจากได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชำระภาษีได้นานถึงสิ้นเดือนของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่กำลังระบาดในขณะนี้ กรมสรรพากรมีความห่วงใยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษี จึงขอเชิญชวนให้ใช้บริการ ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน หรือ TAX from Home ที่เว็บไซด์กรมสรรพากร www.rd.go.th ซึ่งใช้งานง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ได้เป็นอย่างดี”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/41015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชี้แจง กรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า กรมทางหลวงจ่ายเงินค่าเวนคืนมอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ให้กับประชาชนล่าช้า และยังจ่ายเงินไม่ครบ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
กรมทางหลวงชี้แจง กรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า กรมทางหลวงจ่ายเงินค่าเวนคืนมอเตอร์เวย์ M6 บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ให้กับประชาชนล่าช้า และยังจ่ายเงินไม่ครบ
ตามที่มีการเสนอข่าวในสื่อสังคมออนไลน์วันนี้ (5 เมษายน 2564) ถึงกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า กรมทางหลวงจ่ายเงินค่าเวนคืน ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (M6) บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ให้กับประชาชนล่าช้า และยังจ่ายเงินไม่ครบ นั้น
กรมทางหลวงได้ตรวจสอบแล้ว ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
กรมทางหลวง ได้รับกรอบวงเงินค่าเวนคืน ที่ ครม. อนุมัติ เมื่อ เดือนกรกฏาคม 2558 ในวงเงิน 6,630 ล้านบาท มีผู้ถูกเวนคืน ที่ดิน 2,983 ราย สิ่งปลูกสร้าง 1,044 ราย ต้นไม้ 1,211 ราย รวม 5,238 ราย และกรมทางหลวงได้จ่ายค่าเวนคืนให้ประชาชน ตามที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแต่ละปี ทั้งที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้ ทั้งหมด “ครบทุกราย” แล้ว ตั้งแต่ปี 2559 - 2563 (ใช้เงินกันปี 2561) และได้เข้าพื้นที่ทำการก่อสร้างงานโยธาครบทุกสัญญา
ประชาชนบางราย ได้ใช้สิทธิ์ทำเรื่องอุทธรณ์ต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อขอให้พิจารณาจำนวนเงินค่าเวนคืนเพิ่ม หลังจากที่ได้รับเงินที่กรมทางหลวงได้จ่ายให้แล้วข้างต้น ซึ่งกระทรวงได้พิจารณา และแจ้งผลการอุทธรณ์เสร็จแล้ว โดยกรมทางหลวง ได้เร่งรัดจ่ายเงินในส่วนที่ประชาชนได้รับเพิ่มขึ้นจากผลการอุทธรณ์ตามลำดับ และงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ซึ่งเริ่มจ่ายเงินอุทธรณ์เพิ่มเติม ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา
ประเด็นที่นายศรีสุวรรณ จรรยา พูดตามข่าว น่าจะหมายถึง เงินส่วนที่ประชาชนจะได้รับเพิ่มจากผลการอุทธรณ์ ซึ่งในปัจจุบันยังมีประชาชนที่ยังไม่ได้รับเงินเพิ่มจากผลการอุทธรณ์ จำนวน 361 ราย วงเงินประมาณ 415 ล้านบาท ซึ่งกรมทางหลวงจะเร่งรัดจ่ายเงินให้ครบทุกรายต่อไป ทั้งนี้หากบางรายที่ยังไม่พอใจผลการอุทธรณ์ ก็ยังสามารถร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองได้
สำหรับงานก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข (M6) สายบางปะอิน - นครราชสีมา ได้ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ติดปัญหาการเข้าพื้นที่ก่อสร้างจากกรณีการเวนคืนแต่อย่างใด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40718 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโครงการบ้าน “บ้านเคหะสุขประชา” (ฉลองกรุงและร่มเกล้า) สร้างรายได้ มีสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตสอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
นายกรัฐมนตรีมอบโครงการบ้าน “บ้านเคหะสุขประชา” (ฉลองกรุงและร่มเกล้า) สร้างรายได้ มีสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตสอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นายกรัฐมนตรีมอบโครงการบ้าน “บ้านเคหะสุขประชา” (ฉลองกรุงและร่มเกล้า) สร้างรายได้ มีสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตสอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
วันนี้ (5 เม.ย. 64) เวลา 14.00 น. ณ โครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง) เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เป็นประธานพิธีเปิดโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย โครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” (ฉลองกรุงและร่มเกล้า) พร้อมเยี่ยมชมบ้านนิทรรศการ/บ้านตัวอย่าง โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พ.อ.(พิเศษ) ดร.เตียรนัย วงศ์สะอาด ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติและประชาชนที่ร่วมโครงการให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบสิทธิการเช่าบ้านเคหะสุขประชาให้แก่ผู้แทนที่ได้รับสิทธิพร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนได้มอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันผลักดันและบริหารจัดการโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง ตามนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และจะทำทุกอย่างเพื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยให้มากที่สุด พร้อมจะเปลี่ยนแปลงประเทศ แก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งเยียวยา และฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจสุขประชา ที่กำหนดรูปแบบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย รวมไปถึงการสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ภายในโครงการ ฯ โดยการแบ่งพื้นที่จัดประโยชน์ในโครงการออกเป็นสัดส่วน ตามแนวคิดทฤษฎีใหม่ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน สร้างอาชีพให้กับผู้อยู่อาศัยให้มีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเองได้เป็นรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สร้างสุข สร้างรอยยิ้ม โดยมี “ครอบครัว” เป็นศูนย์รวมจิตใจ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายว่า รัฐบาลจะดำเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยให้เป็นผลสำเร็จอย่างรูปธรรม และคาดว่าใน 5 ปีให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะสร้างบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย-กลุ่มเปราะบางปีละ 20,000 หลัง รวมทั้งหมด 1 แสนหลังทั่วประเทศ ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนของตนเองให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างความสุขให้กับทุกคนที่อยู่อาศัย และช่วยกันดูแลรักษาที่อยู่อาศัย การจัดการขยะ การสร้างพื้นที่สีเขียว ช่วยกันปลูกต้นไม้แต่ละบ้านให้ร่มรื่นน่ามอง พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เป็นชุมชนต้นแบบบ้านมั่นคงต่อไป
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40707 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ฉะเชิงเทรา” จับมือ “กรุงไทย” ผนึก 9 องค์กรพันธมิตร ยกระดับฉะเชิงเทราสู่ Smart City | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
“ฉะเชิงเทรา” จับมือ “กรุงไทย” ผนึก 9 องค์กรพันธมิตร ยกระดับฉะเชิงเทราสู่ Smart City
จังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมกับธนาคารกรุงไทย และ 9 องค์กร ยกระดับฉะเชิงเทราเป็น “เมืองอัจฉริยะ” หรือ Smart City นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เชื่อมต่อ 5 Ecosystems เพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการเมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือยกระดับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดฉะเชิงเทรา สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City ) โดยร่วมกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และ 9 องค์กร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่สวนสาธารณะหน้าโรงพยาบาลพุทธโสธรจังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564
“จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การลงนามเพื่อพัฒนาฉะเชิงเทราสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของจังหวัด “ฉะเชิงเทราเชื่อม EEC สู่เมืองที่อยู่อาศัยชั้้นดี โดยจะนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมืองใน 7 ด้าน ดังนี้ 1. Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2.Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 3.Smart Mobility ขนส่งอัจฉริยะ 4.Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ 5.Smart People พลเมืองอัจฉริยะ 6.Smart Living ความเป็นอยู่อัจฉริยะ 7.Smart Governance ภาครัฐอัจฉริยะ ทั้งหมดนี้ จะทำให้ฉะเชิงเทราเป็นเมืองที่น่าอยู่และน่าลงทุน เพิ่มโอกาสการสร้างงาน และสร้างรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยสู่ความยั่งยืนต่อไป และได้จัดงานนิทรรศการเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่อนาคต “Padriew Innovation Week Present EEC X Smart City” ระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2564 ที่สวนสาธารณะหน้าโรงพยาบาลพุทธโสธรจังหวัดฉะเชิงเทรา”
นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินที่ทันสมัย เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ฉะเชิงเทรา ครอบคลุม 5 Ecosystems หลัก โดยผลักดันโครงการภาครัฐทั้ง ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ และม33 เรารักกัน ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังและถุงเงินประชารัฐ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้จ่ายแบบไร้เงินสด อำนวยความสะดวกในการซื้อขายสินค้าระหว่างร้านค้าและประชาชนผู้ใช้บริการ การเชื่อมต่อระบบบริหารจัดการขนส่งสาธารณะ โดยรับชำระเงินแบบ Contactless ด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านเครื่อง EDC นอกจากนี้ ธนาคารได้นำระบบ Smart Hospital มาให้บริการที่โรงพยาบาลในพื้นที่ รวมถึง Health Wallet หรือ กระเป๋าตังสุขภาพ บนแอปพลิเคชันเป๋าตังที่ธนาคารร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพพื้นฐานตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ อีกทั้ง ธนาคารได้พัฒนา University Application ให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ เชื่อมโยงระบบสารสนเทศของมหาวิทยาลัยเข้ากับระบบการทำธุรกรรมดิจิทัลของธนาคาร รองรับทุกไลฟ์สไตล์และกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งของนักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร ไว้ในที่เดียว เพื่อขับเคลื่อนสู่การเป็นมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ
“ธนาคารให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพคนในพื้นที่ ด้วยการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินและเทคโนโลยี ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ผ่านโครงการกรุงไทยรักชุมชน โดยคำนึงถึงศักยภาพ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น เพื่อให้แต่ละชุมชุนประยุกต์ใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ผ่านช่องทางดิจิทัลคอมเมิร์ซ รวมถึงพัฒนาและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนตามวิสัยทัศน์ Growing Together for Sustainability เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40705 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุม "จัดทำแผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี" หวังขับเคลื่อนงานให้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ทส. ประชุม "จัดทำแผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี" หวังขับเคลื่อนงานให้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง
ทส. ประชุม "จัดทำแผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี" หวังขับเคลื่อนงานให้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง
ทส. ประชุม "จัดทำแผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี" หวังขับเคลื่อนงานให้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง
วันนี้ (4 เมษายน 2564 ) เวลา 8.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การจัดทำแผนแม่บท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระยะ 20 ปี" (พ.ศ.2561-2680) และแผนปฏิบัติราชการ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เป็นผู้กล่าวรายงาน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค (สสภ.) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) จากทั่วประเทศ ณ โรงแรม เวลคัม เวิลดิ์ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา พัทยา จังหวัดชลบุรี
ในโอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวเปิดและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมว่า “จากการที่ผมได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานของหน่วยงานในระดับพื้นที่ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ได้เห็นความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ การจัดทำแผนในครั้งนี้ จึงนับเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้ทบทวนบทบาทการทำงานของกระทรวงฯ กันใหม่ เพื่อให้การทำงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย เพราะทุกวันนี้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญและจับตามองการทำงานของกระทรวงทางด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศเป็นอันดับ 1 ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นับได้ว่าเป็นทั้ง “จุดเริ่มต้น” และ “จุดจบ” ของทุกสิ่ง หากเราดูแลบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นไม่ดี ก็จะเป็นจุดจบของการบริหารจัดการประเทศด้วย ดังนั้น จึงขอฝากให้ทุกท่านช่วยกันทบทวนสิ่งที่ต้องปรับปรุง งานที่ต้องสานต่อ และขอให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และที่สำคัญคือ ต้องช่วยกันสื่อสารสร้างการรับรู้ถึงบทบาทภารกิจการทำงานของกระทรวงฯ ที่ถูกต้องไปสู่ประชาชน และช่วยกันสร้างจิตสำนึกให้คนไทย และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ทุกคนเกิดความตระหนักและรู้สึกเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนผืนแผ่นดินไทยนี้ เพื่อนำไปสู่การร่วมกันอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป”
นอกจากนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ยังได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการจัดทำแผนในครั้งนี้ว่า “ทสจ. นับว่ามีบทบาทสำคัญที่จะทำให้การจัดทำแผนของกระทรวงฯ เกิดการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้ จึงต้องเป็นศูนย์กลางในการวางแผนจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับระดับจังหวัด และต้องมองความทับซ้อนของการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นให้ออก เพื่อเป็นหน่วยยุทธศาสตร์ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดได้ และต้องมองตัวชี้วัดของงานให้รอบด้านเท่าทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ดังนั้น จึงขอฝากให้ ทสจ. ทุกจังหวัดกลับไปดำเนินการจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นแผนจากระดับพื้นที่ที่สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์จากส่วนกลางที่กำลังจัดทำขึ้นในครั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของกระทรวงฯ สามารถรองรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจจะมีขึ้นได้ และมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุด ที่จะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขได้ต่อไป”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40665 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี สำหรับปีการผลิต 2564 เพื่อสร้างหลักประกันความเสี่ยงให้แก่เกษตรกร โดยคิดเบี้ยประกันภัยสำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. 96 บาท/ไร่ ซึ่งรัฐบาลและธ.ก.ส.อุดหนุนค่าเบี้ยให้ ส่วนเกษตรกรทั่วไปคิดเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงของพื้นที่ตั้งแต่ 55 - 230 บาท/ไร่ และรัฐบาลอุดหนุนให้ 55 บาท/ไร่ โดยความคุ้มครองที่เกษตรกรจะได้รับหากพื้นที่การเกษตรเสียหายจากน้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟไหม้ หรือพายุ จำนวน 1,260 บาท/ไร่ และภัยจากโรคระบาดหรือศัตรูพืช 630 บาท/ไร่ เกษตรกรที่สนใจสอบถามรายละเอียดและทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40668 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส
ในวันจันทร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและแนวทางแก้ไข ควบคุม และแนวทางปฏิบัติการในการป้องกันสถานการณ์การติดเชื้อโควิด -19 โดยประชุมร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนราธิวาส และหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสที่สังกัดกระทรวงยุติธรรม ณ เรือนจำจังหวัดนราธิวาส
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40714 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ได้รับรางวัลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยในงาน Best Bond Awards 2020 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ได้รับรางวัลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยในงาน Best Bond Awards 2020
พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ได้รับรางวัลจากงานมอบรางวัลตราสารหนี้ยอดเยี่ยมแห่งปี 2563 หรือ Best Bond Awards 2020 ที่จัดโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ได้รับรางวัลจากงานมอบรางวัลตราสารหนี้ยอดเยี่ยมแห่งปี 2563 หรือ Best Bond Awards 2020 ที่จัดโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา โดยได้รับรางวัลในสาขา Environmental, Social and Governance Bond (ESG Bond) ภาครัฐ ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ตราสารหนี้ภาครัฐที่ออกภายใต้กรอบการระดมทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืน (Green, Social, Sustainable Financing Framework) ซึ่งเป็นที่ยอมรับและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน โดยมีสถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมรับรางวัลในครั้งนี้ด้วยในฐานะผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรรุ่นดังกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้มีการมอบรางวัล Ministry of Finance Awards (MOF Awards) จำนวน 4 รางวัล ได้แก่ 1) Best Primary Market Contributor มอบให้แก่สถาบันการเงินคู่ค้าพันธบัตรของกระทรวงการคลังที่ได้รับการจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกสูงสุดในปี 2563 ซึ่งสถาบันการเงินที่ได้รับรางวัลคือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 2) Best Secondary Market Contributor มอบให้แก่สถาบันการเงินคู่ค้าพันธบัตรของกระทรวงการคลังที่มีมูลค่าธุรกรรมซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองสูงสุดในปี 2563 ซึ่งสถาบันการเงินที่ได้รับรางวัลคือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) 3) MoF's Sustainability Bond Contributor มอบให้แก่นักลงทุนที่ได้รับจัดสรร Sustainability Bond ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกและจัดหาสูงสุด ซึ่งองค์กรที่ได้รับรางวัลคือ ธนาคารออมสิน และ 4) COVID-19 Financing Contributor มอบให้แก่สถาบันการเงินที่มีสัดส่วนการให้กู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 สูงสุด ซึ่งสถาบันการเงินที่ได้รับรางวัลคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ สบน. ขอขอบคุณนักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้ามามีส่วนร่วมให้การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ และขอแสดงความยินดีกับสถาบันการเงินที่ได้รับรางวัลโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมตลาดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยต่อไป
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5821 หรือ 5817
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40670 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมหารือคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
การประชุมหารือคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
รมว.สุริยะ ร่วมหารือคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
วันนี้ (5 เมษายน 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา และ นายสมชาย หาญหิรัญ สมาชิกวุฒิสภา พร้อมคณะ เนื่องในโอกาสเข้าร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นการพิจารณาศึกษาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพาราในเชิงธุรกิจ และการส่งเสริมกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงแนวทางการส่งเสริมและยกระดับตลาดฮาลาลไทย เพื่อการเป็นศูนย์กลางตลาดฮาลาลโลก โดยมี นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมต้อนรับและหารือ ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สปอ.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปลูกกัญชาต้นแรกของจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปลูกกัญชาต้นแรกของจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปลูกกัญชาต้นแรกของจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
พร้อมเยี่ยมชมแปลงปลูกกัญชาต้นแบบ ณ วิสาหกิจชุมชนคนกระบี่เพื่อปลูกสมุนไพร ร่วมกับ รพ.สต.บ้านบางผึ้ง อำเภอคลองเหนือ จังหวัดกระบี่ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะส่งเสริมสนับสนุนมีเจ้าหน้าที่ให้ความรู้เรื่องการปลูกกัญชา ผลักดันกัญชาให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่เพิ่มเติม และทำการวิจัยสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และให้ประสิทธิภาพสูง สามารถนำมาต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา พร้อมจัดหาตลาดกลาง รูปแบบระบบเครือข่ายเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายและประชุมหารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสร้างความรับรู้เข้าใจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
มท.1 มอบนโยบายและประชุมหารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสร้างความรับรู้เข้าใจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน
มท.1 มอบนโยบายและประชุมหารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสร้างความรับรู้เข้าใจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 64 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 กรมโยธาธิการและผังเมือง ถ.พระราม 6 กทม. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและข้อราชการสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมกันนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมมอบนโยบาย โดยมี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด และผู้แทนกรุงเทพมหานคร ร่วมรับมอบนโยบาย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในพื้นที่ โดยต้องนำความรู้ความเข้าใจกรอบนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาต่าง ๆ ของทุกกระทรวงและส่วนราชการไปบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพ และต้องสื่อสารสร้างความเข้าใจแผนระดับต่าง ๆ กับส่วนราชการในจังหวัด รวมถึงสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชน นอกจากนี้ ต้องบริหารงานในฐานะบังคับบัญชาส่วนราชการระดับจังหวัด กำกับดูแลหน่วยงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบูรณาการการปฏิบัติภายใต้คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงการทำหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.จังหวัด) ในการบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง และการดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่สนองตอบความต้องการของประชาชน รวมทั้งติดตามรับฟังสภาพปัญหา ประสานการปฏิบัติ และสร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชน
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้มอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ 1) การปกป้องและเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ โดยเสริมสร้างความรับรู้และร่วมกับประชาชนขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น การดำเนินกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน 2) การเสริมสร้างความรู้และจัดการความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนระดับต่าง ๆ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและกรมในส่วนกลางต้องเป็นพี่เลี้ยงเสริมสร้างองค์ความรู้การปฏิบัติงานให้กับผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ 3) การสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ขับเคลื่อนทำให้สถานการณ์การระบาดดีขึ้นและเกิดความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ ประเทศกำลังจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ จึงขอให้รณรงค์การปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข DMHTT อย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน 4) การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ต้องดำเนินการลดผู้เสพผู้ติดยาเสพติด (Demand) ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่และในสถาบันการศึกษา รวมถึงต้องดำเนินการจัดการกับผู้ค้าผู้ผลิตยาเสพติด (Supply) โดยบูรณาการฝ่ายปกครองและทุกหน่วยงานในพื้นที่สกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปในทุกอำเภอทุกจังหวัด 5) การดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ต้องใช้กลไกการขับเคลื่อนทุกระดับดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน 6) การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ต้องเร่งดำเนินการคณะอนุกรรมการจัดที่ดิน เพื่อประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตร 7) การบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่ โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการประชาชน ครอบคลุมทั้งการแก้ปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม 8) การบูรณาการแก้ไขปัญหาผักตบชวา ด้วยการรณรงค์ "เก็บเล็ก" ในพื้นที่แหล่งน้ำปิดและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 9) การนำสายไฟฟ้าและสายสาธารณูปโภคต่าง ๆ ลงดิน ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการที่กำหนด สำหรับในพื้นที่ที่ยังมิได้ดำเนินการ ให้กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดดำเนินการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารต่าง ๆ 10) การบริหารจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการจัดการน้ำเสีย โดยใช้กลไกคณะกรรมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจังหวัดขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งรณรงค์ประชาชนในการคัดแยกขยะมูลฝอยและปฏิบัติตามหลัก 3ช (3Rs) ได้แก่ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) นำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) รวมถึงดำเนินการบริหารจัดการขยะบนเกาะต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดมลพิษส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของน้ำเสียจากขยะที่ไหลลงสู่แม่น้ำลำคลองและทะเล รวมถึงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ ด้วยการควบคุมการบำบัดน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ตั้งแต่บ้านเรือน เพื่อให้บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และสวยงาม 11) การดำเนินการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance) 12) การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดตามนโยบายรัฐบาลและมาตรการที่ ศบค. กำหนด 13) บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวกับการประสานแผนพัฒนาในระดับพื้นที่ One plan กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14) การดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม โดยบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ให้เกิดผลสำเร็จ หากเกินกว่าอำนาจให้แจ้งมายังศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทยเพื่อหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 15) การพัฒนาและยกระดับคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment:ITA) โดยผู้ว่าฯ ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า ช่วงนี้ใกล้เทศกาลสงกรานต์จะมีประชาชนออกมาใช้รถใช้ถนนมากกว่าปกติ ซึ่งประเด็นความปลอดภัยทางถนนเป็นมาตรการสำคัญ จึงขอให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ใช้กลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นกลไกหลักในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ และบูรณาการศูนย์ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อลดความสูญเสียชีวิตของคนไทยจากอุบัติเหตุ
นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาจากประชาชนโดยตรง นอกเหนือจากการรายงานของส่วนราชการในระดับพื้นที่ เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาตามนโยบายรัฐบาลเป็นไปอย่างตรงจุดสอดคล้องตามความต้องการของประชาชน และได้เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่สำคัญ เช่น การจัดที่ดินทำกินให้ประชาชน การจัดการผังเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย การบูรณาการแก้ไขปัญหาผักตบชวา เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน ๒๕๖๔
รมว.วธ.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน ๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40683 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-[ข่าวจริง] วันจักรี 6 เม.ย. ประชาชนใช้บริการทางด่วนได้ฟรี 3 เส้นทาง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
[ข่าวจริง] วันจักรี 6 เม.ย. ประชาชนใช้บริการทางด่วนได้ฟรี 3 เส้นทาง
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง วันจักรี 6 เม.ย. ประชาชนใช้บริการทางด่วนได้ฟรี 3 เส้นทาง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลจริง
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ 3 สายในวันจักรี ที่ 6 เม.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. – 24.00 น. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ลดปัญหาการจราจรติดขัด รวมไปถึงกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวของประชาชน โดยเส้นทางที่งดเก็บค่าธรรมเนียม มีดังนี้
– ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1)
– ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2)
– ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน – ปากเกร็ด)
เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามได้ที่ www.mot.go.th หรือโทร. 0 2283 3000
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางทางน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางทางน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี
นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมในการเปิดประเทศรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลางเดือนเมษายนนี้ รวมทั้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 3 เมษายน 2564
ณ เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่าให้การต้อนรับและรายงานสรุปดังนี้
1. โครงการก่อสร้างเสริมชายหาดจอมเทียน ดำเนินการ 2 ช่วง ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ร้านลุงไสวถึงซอยนาจอมเทียน และช่วงที่ 2 ซอยนาจอมเทียน 19 ถึงซอยนาจอมเทียน 11 รวมระยะทาง 3,575 ม. ความกว้าง 50 ม. ใช้ทรายประมาณ 634,817 ลบ.ม. พร้อมทั้งก่อสร้างแหล่งทรายสำรอง ความยาว 225 ม. มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 หากแล้วเสร็จจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ชายหาดจอมเทียนให้กลับมามีความสวยงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยสร้างรายได้สู่ประเทศ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาชลบุรีเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดและทยอยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งดูแลพื้นที่ก่อสร้างไม่ให้กระทบต่อทัศนียภาพของชายหาดและการท่องเที่ยว
2. ตรวจเยี่ยมศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำร่วมเทศกาลสงกรานต์ 2464 ณ ท่าเรือพัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) ซึ่งจะเริ่มปฎิบัติงานตั้งแต่วันที่ 10-16 เมษายน 2564 โดยบูรณาการร่วมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่รวม 50 นาย ยานพาหนะรถยนต์ตรวจการ จำนวน 2 คัน เรือยนต์ตรวจการณ์ จำนวน 7 ลำ ออกตรวจตราเพื่อปราบปราบผู้ฝ่าฝืนกฎหมายการเดินเรือ ควบคุม ดูแล อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางสัญจรทางน้ำ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของเรือ ผู้ประกอบการเรือ ผู้ควบคุมเรือ และผู้โดยสาร ปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเคร่งครัด ในการนี้ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานต้องเข้มงวดมาตรการความปลอดภัยในการดูแลนักท่องเที่ยว รวมทั้งมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดฯ และขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกคน หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่ขึ้น - ลงเรือ ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายเรือหรือผู้ควบคุมเรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบเห็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อปฎิบัติหรือเหตุร้ายต่าง ๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วย จท. 1199
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40702 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-29 ปี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม "ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
29 ปี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม "ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"
29 ปี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม "ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"
29 ปี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม "ชีวิตวิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"
วันนี้ (5 เมษายน 2564) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวง ร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 29 ปี (ซึ่งตรงกับวันที่ 4 เมษายนของทุกปี) ณ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โดยโอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมทุกท่าน โดยบทบาทสำคัญของกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม จากนี้ไปจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งขอให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง อดทน มีวินัย ซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งต้องมีความตื่นตัว และต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ และต้องเข้าใจบริบทของหน่วยงานตนเองว่าได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทยอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ เพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงานในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของประชาชน การสร้างความตระหนัก สร้างความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้น
กิจกรรมภายในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ครั้งนี้ นอกจากทำบุญตักบาตรแล้วยังมีพิธีทางศาสนาเพื่อความสิริมงคล และมีการบริจาคสมทบกองทุนสวัสดิการกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจังหวัดยะลา และจัดสวัสดิการให้กับบุคลากรของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมีกิจกรรมต่างๆ ตามแนววิถีใหม่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40679 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน
...
สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศสามารถควบคุมได้ ถึงเวลาแล้วที่กิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะเดินหน้าต่อ
.
ล่าสุด รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์กรมหาชน) หรือ ทีเส็บ ร่วมกับ 23 หน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดโครงการ “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน”
.
ที่ผ่านมา สถานประกอบกิจการต่าง ๆ ได้ประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus พบว่า สถานประกอบกิจการที่ผ่านการประเมินสูงสุด ได้แก่ ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้อยละ 100, โรงแรม ร้อยละ 99.1 และห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 97.8 ตามลำดับ
.
แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินกิจการและจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมและนิทรรศการภายในประเทศ
.
สำหรับ 10 เมืองไมซ์ ที่จะเป็นเมืองนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และเมืองพัทยา
.
สำหรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ นั้น จะใช้มาตรฐาน Thailand MICE Venue Standards (TMVS) ร่วมกับแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40671 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังยืนยันฐานะการเงินการคลังของประเทศยังมีเสถียรภาพ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
กระทรวงการคลังยืนยันฐานะการเงินการคลังของประเทศยังมีเสถียรภาพ
กระทรวงการคลังยืนยันฐานะการเงินการคลังของประเทศยังมีเสถียรภาพ
2 เมษายน พ.ศ. 2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังชี้แจงกรอบวงเงินงบประมาณปีงบประมาณ 2565 ลดลงจากปีงบประมาณ 2564 ว่า ความเป็นจริงการลงทุนภาครัฐยังต้องรวมถึงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่สามารถช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีกด้วย ซึ่งมูลค่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในแต่ละปีอยู่ที่กว่า 3 แสนล้านบาท ปัจจุบันรัฐบาลได้มีการเร่งนำนวัตกรรมทางการเงินการลงทุนใหม่ๆ มาใช้เป็นแหล่งเงินทุนทางเลือก เพื่อทดแทนการใช้งบประมาณภาครัฐ เช่น การเร่งผลักดันการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ Public Private Partnership (PPPs) การลงทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund (TFFIF) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดินหรือเงินกู้จากภาครัฐ ส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมและมีความเชี่ยวชาญเข้ามามีบทบาทในการร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศได้อย่างคุ้มค่า ทั้งนี้ การตั้งวงเงินงบประมาณที่ลดลงเคยดำเนินการมาแล้ว ในปีงบประมาณ 2553 เคยมีการลดกรอบวงเงินลงจากปีงบประมาณ 2552 ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท เนื่องจากในปี 2552 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
กรณี ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เป็นตัวเลขทางการในระบบการคลังที่องค์กรระหว่างประเทศและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้ง Moody’s S&P’s และ Fitch ให้การยอมรับ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้ในการพิจารณาจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยภายใต้กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะดำเนินการกู้เงินตามกฎหมายและแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเท่านั้น สำหรับการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณากลั่นกรองโครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยพิจารณาความพร้อมของโครงการ ความจำเป็นเร่งด่วนในแต่ละปีงบประมาณ และความสอดคล้องกับหลักการและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยนับตั้งแต่ปี 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลรุนแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการคลังจึงได้ตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 กระทรวงการคลังได้กู้เงินภายใต้ พ.ร.ก ดังกล่าว จำนวน 338,761 ล้านบาท และเมื่อรวมกับหนี้สาธารณะคงค้างส่วนที่เหลือ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 49.34 อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันรัฐบาลยังมีความต้องการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และรองรับการแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 53.21 แต่รัฐบาลคาดว่าสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 จะคลี่คลาย เศรษฐกิจและสังคมของประเทศจะฟื้นตัวและเกิดการขยายตัว (GDP growth) อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะปานกลาง (ปี 2565 – 2568) ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่ไม่เกินร้อยละ 60 และในปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยยังถูกจัดอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ติดตามความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตการคลังอย่างใกล้ชิด ผ่านแบบจำลอง Fiscal Early Warning System ทั้งนี้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 ค่าดัชนีรวมเตือนภัยล่วงหน้าอยู่ที่ 2.47 มีค่าสูงขึ้นจาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 ซึ่งอยู่ที่ 1.44 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ดี ยังคงต่ำกว่าระดับขีดเตือนภัยที่อยู่ที่ 5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลจะต้องมีการเฝ้าระวังและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด แต่ยังคงมีพื้นที่ว่าง (room) ในการจัดทำนโยบายการคลังเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น
.............................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40699 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ย้ำปรับตัวให้ทัน Mega Trend เน้นท้องถิ่นไทย รวมไทยสร้างชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
นายกฯ มอบนโยบายผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ย้ำปรับตัวให้ทัน Mega Trend เน้นท้องถิ่นไทย รวมไทยสร้างชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ย้ำปรับตัวให้ทัน Mega Trend เน้นท้องถิ่นไทย รวมไทยสร้างชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
วันนี้ (5เมษายน2564)เวลา09.30น. ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น4โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ภายใต้กรอบแนวคิด“ท้องถิ่นไทย รวมไทย สร้างชาติ”โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลบริหารผ่านกลไกส่วนภูมิภาค โดยผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนท้องถิ่นโดยผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับด้วยความสามัคคีของทุกภาคส่วนให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างชาติ ตามแนวคิด“ท้องถิ่นไทย รวมไทย สร้างชาติ”
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสำคัญกระแสการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของโลก หรือ เมกะ เทรนด์ (Mega Trend)ซึ่งมี6ประเด็น ได้แก่
1)การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรซึ่งประเทศไทยเข้าสู่การเป็น“สังคมสูงอายุ”อย่างสมบูรณ์ ประชากรวัยแรงงานลดลง จึงจำเป็นต้องมีการยกระดับศักยภาพแรงงาน เพิ่มผลิตภาพของแรงงานในทุกภาคส่วน ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและบริการและผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต เช่น ทักษะด้านดิจิทัล ทักษะด้านการวิเคราะห์สถานการณ์และข้อมูลเพื่อให้ประเทศไทยมีกำลังแรงงานที่มีศักยภาพเพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทั้งต่อตนเอง สังคมและประเทศชาติ
2)การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพและสาธารณสุขจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ทั้งในด้านการป้องกันการแพร่ระบาด การดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)และการปรับวิธีคิดเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลง
3)การเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจต้องส่งเสริมการกระจายรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวสู่ชุมชน โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมคิด ร่วมทำ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ
4)การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างผลิกผัน (Disruption)เพื่อก้าวสู่โลกดิจิทัล การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการบริหารงาน ทั้งภาคราชการและเอกชน ต้องนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ส่งเสริมให้ประชาชนปรับตัวและก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทัน
5)การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศการสร้างแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ บนฐานองค์ความรู้และข้อมูลสำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการกำหนดแนวปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป โดยเฉพาะการขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่เกษตร เศรษฐกิจBCGเป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาชีพและรายได้ให้กับประชาชน
6)การแก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ เน้นการแก้ไขปัญหารายได้ครัวเรือน รวมทั้งให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องของการบริการสาธารณะ โดยมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบูรณาการดำเนินการให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่รวมทั้งสามารถบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังถึงยุทธศาสตร์ชาติ20ปีว่า เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ภายใต้วิสัยทัศน์“ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”ตามยุทธศาสตร์ทั้ง6ด้าน มุ่งผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ส่วนรวม ตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีส่วนร่วม และบูรณาการและเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในท้องถิ่น ในประเทศปรับวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้สามารถ“ล้มแล้วลุกเร็ว”ผ่านมิติการพัฒนา3ประการ ได้แก่ การพร้อมรับ การปรับตัว และการเปลี่ยนแปลงเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรียังย้ำในตอนท้ายว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศจะต้องผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน บูรณาการการดำเนินการร่วมกัน เพื่อรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในฐานะ“ทีมประเทศไทย”เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกด้าน และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" ต่อไป
อนึ่ง ช่วงบ่าย วันนี้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมมอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย และนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ร่วมชี้แจงการจัดทำงบประมาณของจังหวัดและองค์การบริหารส่วนจังหวัด แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ด้วย
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40694 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ประชุมคณะกรรมการฯ ทะเลแห่งชาติ รับข้อสั่งการ “บิ๊กป้อม” เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ย้ำสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
วราวุธ ประชุมคณะกรรมการฯ ทะเลแห่งชาติ รับข้อสั่งการ “บิ๊กป้อม” เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ย้ำสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน
วราวุธ ประชุมคณะกรรมการฯ ทะเลแห่งชาติ รับข้อสั่งการ “บิ๊กป้อม” เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ย้ำสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน
วราวุธ ประชุมคณะกรรมการฯ ทะเลแห่งชาติ รับข้อสั่งการ “บิ๊กป้อม” เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ย้ำสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน
วันนี้ (5 เมษายน 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาปะการังและประกาศพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทรา และเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีคณะกรรมการฯ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเรียบรัฐบาล
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้กล่าวในที่ประชุมกำชับทุกภาคส่วนให้มองปัญหาอย่างรอบด้าน ขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เป็นระบบ สามารถเชื่อมโยงแก้ไขปัญหาได้ในทุกมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทต่างๆ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมและการยอมรับของพี่น้องประชาชน และสั่งให้เร่งปฏิบัติงานทันที พร้อมมอบหมายนายวราวุธ ศิลปอาชา กำกับการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งผลักดันการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมตามข้อมติที่ประชุม หากมีประเด็นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ในด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้เร่งเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา เพื่อจะได้ขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ มาตรการและวิธีในการจัดการต้องผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองจากหลายภาคส่วน ซึ่งที่ผ่านมาได้เห็นชอบแนวทางและมาตรการสำคัญๆ ในการอนุรักษ์ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยการประชุมวันนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาประเด็นสำคัญหลายประเด็น เช่น แผนปฏิบัติการด้านการจัดการปะการังของประเทศไทย ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2564 – 2568) การคำนวณค่าความเสียหายที่เกิดจากการทำลายพื้นที่แนวปะการัง การออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดระยองและจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 และการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัด Kick off ทศวรรษแห่งมหาสมุทร ร่วมกับ 22 ประเทศสมาชิก IOC-WESTPAC ซึ่งตนได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน และสร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล อีกทั้ง ให้มองถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและความสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการรักษาความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40692 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณในหลวง พระราชทานรถตรวจโควิด ลงพื้นที่นราธิวาส หลังพบผู้ติดเชื้อ ๑๒๖ ราย เร่งสืบหาต้นตอ เตรียมเปิด รพ.สนามรองรับได้ ๒๐๐+๖๐๐ คน ประสานกรมคุมประพฤต | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว.ยุติธรรม ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณในหลวง พระราชทานรถตรวจโควิด ลงพื้นที่นราธิวาส หลังพบผู้ติดเชื้อ ๑๒๖ ราย เร่งสืบหาต้นตอ เตรียมเปิด รพ.สนามรองรับได้ ๒๐๐+๖๐๐ คน ประสานกรมคุมประพฤต
รมว.ยุติธรรม ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณในหลวง พระราชทานรถตรวจโควิด ลงพื้นที่นราธิวาส หลังพบผู้ติดเชื้อ ๑๒๖ ราย เร่งสืบหาต้นตอ เตรียมเปิด รพ.สนามรองรับได้ ๒๐๐+๖๐๐ คน ประสานกรมคุมประพฤติใช้กำไล EM กักตัวนักโทษหลังร่วมงานต้านยาเสพติด
ในวันจันทร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม แถลงความคืบหน้าสถาการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส
นายสมศักดิ์ แถลงว่า ตน ประชาชนและข้าราชการ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาที่ทรงพระราชทานอุปกรณ์และรถตรวจโควิดพระราชทานไปยังเรือนจำจังหวัดนราธิวาส โดยล่าสุดได้เดินทางไปถึงแล้ว สถานการณ์ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อยอดรวม ๑๒๖ คน แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่อยู่ใน จ.นราธิวาส เป็นข้าราชการ ๒๕ คน เวลานี้อยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาส ผู้ต้องขัง ๙๕ คน ขณะนี้กักตัวไว้ที่แดน ๒ จำนวน ๘๘ คน แดน ๖ จำนวน ๓ คน แดนหญิง ๑ คน และอีก ๓ คน อยู่ โรงพยาบาลนราธิวาส ขณะเดียวกันยังมีอีกส่วนที่ออกไปร่วมกิจกรรมต้านภัยยาเสพติด ๖คน ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเป็นผู้ต้องขัง ๕ คน เจ้าหน้าที่ ๑ คน ตอนนี้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนการตั้งโรงพยาบาลสนาม นายไตรฤทธิ์ เหมวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้หารือกับ นายสุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต ๑๒ ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยจะใช้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนราธิวาส และเจ้าหน้าที่เรือนจำของกรมราชทัณฑ์ ทำหน้าที่ร่วมกัน ทำตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข โดยจะใช้พื้นที่แดน ๒ เป็นที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับได้ ๒๐๐ คน แต่หากไม่เพียงพอจะใช้แดน ๖ เพิ่มซึ่งรองรับได้ ๖๐๐ คน ยืนยันไม่แออัด แต่หากมีคนอาการรุนแรงมากๆ จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ทันที ซึ่งวันนี้จะเริ่มตรวจ ๒๐๐ คนในกลุ่มเปราะบาง ผู้มีโรคประจำตัว นอกจากนี้ จะใช้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข คือ บับเบิล แอนด์ ซีล คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า จะควบคุมกักตัว ๒๘ วัน และตรวจหาเชื้ออีกครั้ง ในส่วนของผู้ที่ร่วมงานต้านภัยยาเสพติดที่ จ.สุราษฎร์ธานี เวลานี้มีผู้ต้องขัง ๕๗ คน เจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ ๖๓ คน ต้องถูกกักตัว ๗วัน แล้วต้องตรวจซ้ำที่เรือนจำชั่วคราวทุ่งเขน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเรือนจำที่ไม่มีกำแพง จึงได้ประสานให้กรมคุมประพฤติ นำกำไล EM ไปติดให้กับผู้ต้องขังเพื่อป้องกันการหลบหนี และเพื่อให้การดำเนินการในส่วนนั้นเป็นไปด้วยความสะดวก
"เรื่องทั้งหลายต้นตอมาจากเรือนจำนราธิวาส ไม่ใช่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรามีการควบคุมไว้อย่างเรียบร้อย โดยต้นตอ เป็นเชื้อที่ไม่แสดงอาการ ติดจากใคร ยังไม่สามารถตอบได้ อาจจะมีผู้ต้องขังจากประเทศเพื่อนบ้านบ้าง หรือเจ้าหน้าที่ที่เข้า-ออก เป็นส่วนที่เราสงสัย กำลังรอการตรวจสอบจากสาธารณสุข และตนขอฝากไปยังพี่น้องของผู้ต้องขังทั่วประเทศ อย่าตื่นตระหนกตกใจ ช่วยกันดูและให้ความรู้ความเข้าใจ อาจจะมีการงดเยี่ยมสักหนึ่งเดือนทั่วประเทศ แต่ขอให้ทุกคนสบายใจ แนวทางที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสใช้ คือ มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเราควบคุมอย่างเข้มข้น" นายสมศักดิ์ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40715 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมลงนามในสัญญาเช่าที่ดินบริเวณคลังพระโขนง - บางจาก สำนักงานและคลังน้ำมัน อาคารและเขื่อนเทียบเรือบริเวณปากคลองบางจากและปากคลองเจ๊ก | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
การท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมลงนามในสัญญาเช่าที่ดินบริเวณคลังพระโขนง - บางจาก สำนักงานและคลังน้ำมัน อาคารและเขื่อนเทียบเรือบริเวณปากคลองบางจากและปากคลองเจ๊ก
กับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยมี เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ณ อาคารที่ทำการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร กล่าวว่า การลงนามฯ ดังกล่าว เป็นความร่วมมือในการใช้พื้นที่ของ กทท. เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รองรับความต้องการพลังงานของผู้บริโภคในเขตภาคกลาง และสร้างความมั่นคงต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งเป็นศูนย์กลางพลังงานของประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการ กทท. ได้พิจารณาให้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์เป็นผู้เช่าพื้นที่ดังกล่าว ระยะเวลาสัญญา 15 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานมากยิ่งขึ้น โดยมีพื้นที่เช่า ประกอบด้วย บริเวณคลังพระโขนง - บางจาก สำนักงานและคลังน้ำมัน อาคารและเขื่อนเทียบเรือบริเวณปากคลองบางจากและปากคลองเจ๊ก นอกจากจะเป็นการพัฒนาสินทรัพย์ให้เกิดมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์ให้แก่ กทท. แล้ว ยังสนับสนุนการดำเนินงานและธุรกิจของโออาร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่พัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบด้านสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๐๐ น. พระธรรมธัชมุนี เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วม ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40682 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ย้ำ มอบผู้บริหาร ทุกระดับ และทีม พม. ทั่วประเทศ เอ็กซ์เรย์ค้นหาคนเปราะบาง ให้เข้าถึงสิทธิเราชนะ ได้สำเร็จก่อน 9 เม.ย. นี้ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ปลัด พม. ย้ำ มอบผู้บริหาร ทุกระดับ และทีม พม. ทั่วประเทศ เอ็กซ์เรย์ค้นหาคนเปราะบาง ให้เข้าถึงสิทธิเราชนะ ได้สำเร็จก่อน 9 เม.ย. นี้
ปลัด พม. ย้ำ มอบผู้บริหาร ทุกระดับ และทีม พม. ทั่วประเทศ เอ็กซ์เรย์ค้นหาคนเปราะบาง ให้เข้าถึงสิทธิเราชนะ ได้สำเร็จก่อน 9 เม.ย. นี้
วันที่ 4 เม.ย. 64เวลา 17.30 น. นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ด้วยรัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียน โครงการเราชนะ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มีนโยบายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด ลงพื้นที่พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด เข้าไปค้นหากลุ่มเปราะบางที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ และตรวจสอบด้วยว่าการดำเนินงานมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐให้ได้มากที่สุด
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ตนจึงได้เน้นย้ำนโยบายดังกล่าว พร้อมทั้งมอบหมายให้คณะผู้บริหารกระทรวง พม. รวมถึง พมจ. และทีม One Home พม. ทุกจังหวัด ได้เร่งลงพื้นที่สำรวจ ค้นหาคนเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ โดยบูรณาการทำงานร่วมกับ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย รวมทั้ง อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนดังกล่าว สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐได้อย่างทั่วถึงและมากที่สุด ซึ่งให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 เมษายน นี้ ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ และต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถติดต่อไปยัง สำนักงาน พมจ. ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40677 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย - สภาพัฒน์ฯ ประชุมร่วมผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ ผ่านระบบ VCS เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
มหาดไทย - สภาพัฒน์ฯ ประชุมร่วมผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ ผ่านระบบ VCS เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
มหาดไทย - สภาพัฒน์ฯ ประชุมร่วมผู้ว่าฯ นายอำเภอ ทั่วประเทศ ผ่านระบบ VCS เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้กลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด เน้นย้ำ สร้างความรับรู้เข้าใจหน่วยงานและประชาชนในพื
เมื่อวันที่่ 2 เม.ย. 64 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานการประชุมแนวทางการดำเนินการตามคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่นระดับพื้นที่ โดยมี นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเอนก มีมงคล รองเลขาธิการ สศช. นายบุญชู ประสพกิจถาวร ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และผู้แทนกรมบัญชีกลาง ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังทุกจังหวัด โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาคในสังกัดกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมประชุม และเชื่อมโยงสัญญาณเข้าระบบ DOPA Channel เพื่อถ่ายทอดการประชุมไปยังที่ทำการปกครองอำเภอทั้ง 878 อำเภอ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พ.ย.63 รับทราบกรอบแนวคิดการจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตามบัญชีแนบท้ายพระราชกำหนดกู้เงิน รอบที่ 2 โดยมอบหมายให้สศช. สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการพิจารณาหรือดำเนินโครงการด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 64 เห็นชอบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 45,000 ล้านบาท และให้หน่วยงานที่ดำเนินการถือปฏิบัติตามแนวทางฯ ที่กำหนดในคู่มือดังกล่าวรวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด โดยในวันนี้ สศช. พร้อมด้วย สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ มาร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นกรอบในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
นายดนุชา พิชยนันท์ และ นายเอนก มีมงคล ได้กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) พัฒนาสินค้า ท่องเที่ยว บริการและการค้า เช่น สินค้า OTOP ท่องเที่ยวชุมชน/ในประเทศ การค้าส่ง ค้าปลีก เป็นต้น 2) ยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร เช่น เกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ Smart farming เป็นต้น 3) ส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เช่น อบรมอาชีพระยะสั้น อบรมยกระดับทักษะฝีมือ เป็นต้น และ 4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการฟื้นตัวและพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชน เช่น ถนนในหมู่บ้าน แหล่งน้ำขนาดเล็ก เป็นต้น โดยมีจุดเน้นในการขับเคลื่อน คือ ต้องมาจากความต้องการของพื้นที่ ดำเนินการผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายในการเสนอโครงการ ได้แก่ หน่วยงานของรัฐในจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม/เครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน/กลุ่มอาชีพ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส/กลุ่มเปราะบาง/ผู้สูงอายุ โดยต้องเสนอผ่านหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเสนอตามขั้นตอน
จากนั้น ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และผู้แทนกรมบัญชีกลาง ได้ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการดำเนินงาน และผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ตาก ตรัง อุบลราชธานี สุรินทร์ และนครสวรรค์ ได้หารือเกี่ยวกับการขับเคลื่อนโครงการฯ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เน้นย้ำว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สร้างความรับรู้กับหน่วยงานและทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านการประชาคมและกระบวนการอื่น ๆ อย่างทั่วถึง โดยขอให้ดำเนินการตามคู่มือแนวทางปฏิบัติ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดทั้งนี้ หากมีข้อหารือในประเด็นต่าง ๆ ขอให้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40673 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือธนาคารกรุงไทย และภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
พม. จับมือธนาคารกรุงไทย และภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
พม. จับมือธนาคารกรุงไทย และภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ช่วยกลุ่มเปราะบาง ลงทะเบียนเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะ ก่อนหมดเขต 9 เม.ย. นี้
วันที่ 4 เม.ย. 64เวลา 09.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมด้วยทีม One Home พม. จังหวัดสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ลงพื้นที่อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับกลุ่มคนพิการ ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ และยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ
นายอนุกูล กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลาลงทะเบียน โครงการเราชนะ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2564 สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มีนโยบายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด ลงพื้นที่พร้อมกับธนาคารกรุงไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัดเข้าไปค้นหากลุ่มเปราะบางที่ต้องการและมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการของโครงการเราชนะ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกเพื่อให้สามารถเข้าถึงโครงการเราชนะและสวัสดิการของรัฐให้ได้มากที่สุด และวันนี้ ตนได้รับมอบหมายจาก นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) สิงห์บุรี เพื่อติดตามและอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการเราชนะ ให้กับคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จังหวัดสิงห์บุรีสามารถช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิโครงการเราชนะแล้ว จำนวน 3,000 กว่าคน
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่ได้รับสิทธิโครงการเราชนะ และต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถติดต่อไปยัง สำนักงาน พมจ. ทุกจังหวัดหรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40678 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าเปิดท่าเรือภาณุรังษี เพื่อเชื่อมต่อสถานที่ประวัติศาสตร์และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
กรมเจ้าท่าเปิดท่าเรือภาณุรังษี เพื่อเชื่อมต่อสถานที่ประวัติศาสตร์และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดท่าเรือภาณุรังษี โดยมีผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า หน่วยงานภาครัฐ ชาวชุมชนตลาดน้อย และประชาชน ร่วมพิธีฯ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ณ ท่าน้ำภาณุรังษี
นายวิทยา ยาม่วง กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) มีภารกิจกำกับดูแล ส่งเสริมความปลอดภัย ทั้งการขนส่ง คนประจำเรือ เรือ และท่าเรือ รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงท่าเรือ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกและความปลอดภัย ท่าน้ำภาณุรังษีตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุมชนตลาดน้อย มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สะท้อนการตั้งถิ่นฐานของยุคเริ่มต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จท. จึงได้พัฒนาท่าเรือภาณุรังษี ด้วยการเสริมโป๊ะท่าเรือ จำนวน 1 โป๊ะ ขนาด 6 x 12 เมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 คน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภายนอกร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเชิงประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก อาทิ พิพิธภัณฑ์ชุมชนท่าน้ำภาณุรังษี (สวนศิลป์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์) ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีทัศนียภาพที่สวยงาม และเชื่อมต่อกับชุมชนตลาดน้อย ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาถ่ายรูป ศึกษาประวัติศาสตร์ เรียนรู้วิถีชุมชนที่มีวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิม และศิลปะแบบสตรีทอาร์ตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและชุมชนตลอดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดย จท. ได้จัดเรือข้ามฟากสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวในทุกวันเสาร์ - อาทิตย์
ทั้งนี้ การพัฒนาท่าเรือฯ ดังกล่าว เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวทั้งภายนอกและภายในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40704 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ เน้นสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ เน้นสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งแก้ปัญหาทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ เน้นสร้างความเชื่อมั่นและประโยชน์ต่อประชาชน
วันนี้ (5 เมษายน 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาปะการังและประกาศพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทราและเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศชาติได้อย่างมหาศาล และกำลังเป็นกระแสสังคมระดับประเทศและระดับโลก
รองนายกรัฐมนตรีเน้นรัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์/รักษาความอุดมสมบูรณ์ อย่างดีที่สุด ซึ่งการประชุมในวันนี้ ที่ประชุม ได้รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองพื้นที่ ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ซึ่งผ่านการพิจารณาแล้วได้แก่หมู่เกาะกระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และแผนอนุรักษ์ พะยูนแห่งชาติ (ระยะที่ 1 พ.ศ.2563-2565) จากนั้นที่ประชุม ได้เห็นชอบ(ร่าง) รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลฯ และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ.2563 ซึ่งระบบนิเวศทางทะเลมีแนวโน้มดีขึ้นทั้งป่าชายเลน และแนวปะการัง คุณภาพน้ำทะเลร้อยละ 70 อยู่ในเกณฑ์ดีที่ประชุมยังเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการปะการังระยะ 5 ปี (พ.ศ.2564-2568) โดยมีเป้าหมายแนวปะการัง 149,025 ไร่ รวมถึงเห็นชอบหลักเกณฑ์การคิดคำนวณมูลค่าความเสียหาย ที่เกิดจากการทำลายพื้นที่แนวปะการัง นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ให้ออกกฎกระทรวงป่าชายเลน จ.ระยอง และฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ด้วย รวมทั้งเห็นชอบความร่วมมือกับจีนในการตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมกัน แผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล และการเสนอขอเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ UNเพื่อการพัฒนาการศึกษาวิจัย ด้านมหาสมุทร
รองนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผน สร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยคำนึงถึงประโยชน์เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรทางทะเลฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน พร้อมทั้งกำกับและผลักดันการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เป็นระบบ เชื่อมโยงแก้ไขปัญหาได้ในทุกมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทต่าง ๆ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมและการยอมรับของประชาชน พร้อมทั้งขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันอนุรักษ์ และเห็นคุณค่าทรัพยากรทางทะเลฯ ทั้งป่าชายเลน ปะการัง สัตว์ทะเลหายากและลดปัญหาขยะทะเล พร้อมมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งผลักดันการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมตามข้อมติที่ประชุม หากมีประเด็นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ในด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เร่งเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา เพื่อจะได้ขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และทันต่อสถานการณ์
----------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40688 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เยี่ยมชมโครงการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เยี่ยมชมโครงการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เยี่ยมชมโครงการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (5 เมษายน 2564) นายธีรยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมโครงการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายพัตทอง กิตติวัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น เข้าร่วม ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
สำหรับโครงการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มีแผนการดำเนินงานวิจัยพืชกัญชงและกัญชาแบบบูรณาการจากต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อทำการศึกษาวิจัยด้านการปลูก การปรับปรุงพันธุ์ และพัฒนาสายพันธุ์ โดยทีมคณะวิทยาศาสตร์ ดำเนินการศึกษาวิจัยสกัดน้ำมันกัญชงและกัญชา วิเคราะห์สารองค์ประกอบสำคัญ ทีมคณะเภสัชศาสตร์ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อเตรียมรูปแบบ ขนาด ผลิตภัณฑ์ยา เพื่อส่งต่อให้ทีมคณะแพทยศาสตร์ นำไปวิจัยด้านคลินิกในผู้ป่วยเฉพาะโรค เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาที่รักษาเฉพาะโรค หรือเฉพาะรายบุคคล หรือ personalized medicine และทีมคณะสัตวแพทย์ มีการศึกษาวิจัยด้านการนำวัสดุเศษเหลือจากการศึกษาวิจัยด้านต่างๆ ไปพัฒนาเป็นอาหารสัตว์ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40723 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ครั้งที่ 3 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
การขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ครั้งที่ 3
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ครั้งที่ 3 ตามนโยบายของ รมว.คลังสำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ครั้งที่ 3 ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียง) ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากที่พักอาศัยได้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 9 เมษายน 2564 ว่า ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว จะทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 7,000 บาท และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564
โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 2 เมษายน 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 70,942 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 104,900 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 11,206 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้น จำนวน 32.5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 187,048 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3423 3424 3425 3427 และ 3429 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดโครงการ“ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
วธ.เปิดโครงการ“ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ
วธ.เปิดโครงการ“ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ
วธ.เปิดโครงการ“ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ วันที่ 2-5 เม.ย.นี้ ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ จัดแสดงหนังสือพระราชนิพนธ์เสด็จฯเยือนจีน ฉายภาพยนตร์ไทย-จีนให้ชมฟรี ร้านหนังสือวรรณไทย-จีน ร้านอาหารไทยและจีนและร้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม
วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่โครงการสุขสยาม ชั้น G ณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่โครงการสุขสยาม นางฉาง ยู่เหมิง ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารโครงการสุขสยามและไอคอนสยาม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ผู้แทนศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ร่วมบูรณาการความร่วมมือกับโครงการเมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม และศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ จัดโครงการ “ด้วยรักและผูกพัน สายสัมพันธ์ จีน – ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 2-5 เมษายน 2564 ณ เมืองสุขสยาม ชั้น G ณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันที่ 2 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงเป็นเอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย และ “วิศิษฏศิลปิน”ที่มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงต่อการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศที่โดดเด่นคือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยปีนี้ครบรอบ 46 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งโครงการนี้เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีมายาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์และนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในการส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศเพื่อนำความเป็นไทยสู่สากลและการต่อยอดวัฒนธรรมด้วยการนำคุณค่าของวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม
นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า กิจกรรมโครงการนี้ประกอบด้วยนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสายสัมพันธ์ไทย-จีน หมื่นลี้แห่งความสุข โดยมีการจัดแสดงหนังสือพระราชนิพนธ์ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย เช่น เจียงหนานแสนงาม , ย่ำแดนมังกร , ใต้เมฆที่เมฆใต้ , มุ่งไกลในรอยทราย เป็นต้น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม การฉายภาพยนตร์ไทย-จีนให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การออกร้านหนังสือวรรณกรรมไทย-จีน การออกร้านจำหน่ายอาหารไทยและจีน เช่น ข้าวแช่แม่เล็ก สกิดใจ เลี่ยว เลี่ยง เซ้ง(ขนมจีบและก๋วยเตี๋ยวหลอด) ยำลูกชิ้นปลาเยาวราช ขนมจีนป้าแดง ตลาดน้ำตลิ่งชัน ต้มโคลงปลากรอบ เป็นต้น ร้านอาหารอร่อย 100 ปี ได้แก่ ร้านฮะเส็ง ข้าวหมูแดงร้อนปีนครปฐม 100 ปี ร้านยาขมคั้นกี่ น้ำเต้าทอง ร้านกาแฟแป๊ะเอ๊ย 100 ปี และร้านผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เช่น เรือจำลองไม้สักแห่งโชค บ้านพลอย อัญมณีเสริมดวง กำไลหินเสริมดวง รวมทั้งกิจกรรมสาธิตการประดิษฐ์งานศิลปะได้แก่ การทำพัด การวาดหน้ากากจีน การตัดกระดาษจีนและการทำศิลปะภาพพิมพ์ ้
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า กิจกรรมทั้งหมดนี้เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสะท้อนวิถีชีวิตอันงดงามของทั้งสองประเทศ ให้ประชาชนได้ร่วมเรียนรู้ รวมถึงตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน อันจะกลายเป็นสื่อกลางให้เกิดความเข้าใจ และเคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่างระหว่างกัน และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40689 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค-19 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค-19
ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค-19
ในวันจันทร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๔ พันตำรวจเอกประวุธ วงศ์สีนิล ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยตรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิค และหารือแนวทางการควบคุมและการปฎิบัติฯ ณ เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี
ต่อจากนั้น ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้ประชุมร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ณโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม หากผลการสอบสวนโรคมีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40713 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมหารือการดำเนินงานการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
การประชุมหารือการดำเนินงานการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินงานการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10
วันนี้ (5 เมษายน 2564) นายธีรยุทธ วินิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินงานการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เขตตรวจราชการที่ 10 พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายประชา มีธรรม อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม โดยมี นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายติณห์ เจริญใจ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ส่เสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 4 จังหวัดอุดรธานี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตจับกุมไพ่ผิดกฎหมายในเขตพื้นที่ร้อยเอ็ด คิดเป็นเงินค่าปรับกว่า 7 ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
สรรพสามิตจับกุมไพ่ผิดกฎหมายในเขตพื้นที่ร้อยเอ็ด คิดเป็นเงินค่าปรับกว่า 7 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตบุกทลายสถานที่เก็บไพ่ผิดกฎหมายในเขตอำเภอพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ตรวจค้นพบไพ่ที่ยังมิได้เสียภาษี จำนวน 1,758,068 ใบ (33,809 สำรับ) มูลค่าของกลางประมาณ 1,656,641 บาท มูลค่าภาษีที่รัฐเสียหาย ประมาณ 527,420.40 บาท คิดเป็นค่าปรับประมาณ 7,911,306 บาท
กรมสรรพสามิตดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต บุกทลายสถานที่เก็บไพ่ผิดกฎหมายในเขตอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ตรวจค้นพบไพ่ที่ยังมิได้เสียภาษี จำนวน 1,758,068 ใบ (33,809 สำรับ) มูลค่าของกลางประมาณ 1,656,641 บาท มูลค่าภาษีที่รัฐเสียหาย ประมาณ 527,420.40 บาท คิดเป็นค่าปรับประมาณ 7,911,306 บาท
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้ นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม สั่งการไปยัง นายวิโรจน์รัตน์ แจ่มวรรณา ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปราม 1 บูรณาการการทำงานร่วมกับ นายประดิษฐ์ ชาญชลยุทธ ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 3 นางสาวจงกลนี บัวทอง สรรพสามิตพื้นที่ร้อยเอ็ด หลังจากได้รับทราบเบาะแสว่าจะมีการลักลอบนำไพ่หนีภาษีมาจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยนำไพ่เก็บไว้ที่บ้านพัก เพื่อรอจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ให้กับลูกค้า จึงวางแผนทลายสถานที่เก็บไพ่ผิดกฎหมาย โดยนำกำลังเจ้าหน้าที่สรรพสามิต บุกทลายสถานที่เก็บไพ่ผิดกฎหมายในพื้นที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดยตรวจค้นพบไพ่ที่ยังมิได้เสียภาษี จำนวนทั้งสิ้น 1,758,068 ใบ (33,809 สำรับ) โดยไพ่ของกลางที่ได้จากการจับกุมในครั้งนี้ มีมูลค่าประมาณ 1,656,641 บาท มูลค่าภาษีที่รัฐเสียหาย ประมาณ 527,420.40 บาท และค่าปรับผู้กระทำผิดประมาณ 7,911,306 บาท
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่าในปัจจุบันกรมสรรพสามิตได้ตรวจพบการจำหน่ายไพ่ ผิดกฎหมายทางช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก จึงได้มอบหมายให้สำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ กรมสรรพสามิต ดำเนินการสืบสวนหาข่าว ถึงแหล่งที่มา วิธีการจำหน่าย สถานที่เก็บสินค้า โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบป้องกัน และปราบปรามดำเนินการล่อซื้อไพ่ผิดกฎหมายจากช่องทางออนไลน์จำนวนหลายครั้ง จนทำให้ทราบถึงแหล่งที่ตั้งของสถานที่เก็บไพ่ผิดกฎหมายที่จับกุมในครั้งนี้
สำหรับผลการปราบปรามในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในรอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 1 เมษายน 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 14,999 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 270.33 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 8,456 คดี ค่าปรับ 74.97 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 4,399 คดี ค่าปรับ 96.31 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 334 คดี ค่าปรับ 4.41 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 673 คดี ค่าปรับ 42.58 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 68 คดี ค่าปรับ 2.69 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 745 คดี ค่าปรับ จำนวน 21.60 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 324 คดี ค่าปรับ 27.77 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 299,516.654 ลิตร ยาสูบ จำนวน 300,253 ซอง ไพ่ จำนวน 23,970 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 1,251,040 ลิตร น้ำหอม จำนวน 101,293 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,395 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการถาวรภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการถาวรภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการถาวรภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการถาวรภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ โดยมี นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40686 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
มท.1 พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564
มท.1 พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 64 เวลา 15.30 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำนายฉัตรชัย พรหามเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40674 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จัดงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน แก้ไขปัญหายาเสพติด บนแนวทางสันติวิธี สู่พื้นที่ปลอดภัย แก่หมู่บ้านต้นกล้า ปี ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๕๖ แห่ง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จัดงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน แก้ไขปัญหายาเสพติด บนแนวทางสันติวิธี สู่พื้นที่ปลอดภัย แก่หมู่บ้านต้นกล้า ปี ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๕๖ แห่ง
กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จัดงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน แก้ไขปัญหายาเสพติด บนแนวทางสันติวิธี สู่พื้นที่ปลอดภัย แก่หมู่บ้านต้นกล้า ปี ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๕๖ แห่ง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เสด็จทรงเป็นประธานในงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๓ ภายใต้แนวคิด “กองทุนแม่ของแผ่นดิน สันติวิธีสู่พื้นที่ปลอดภัย” โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ เป็นผู้กราบทูลรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานมหกรรมฯ พร้อมด้วย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน ร่วมรับเสด็จ จำนวน ๒๕๐ คน ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารศูนย์ประชุม อิมแพ็คฟอรั่ม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
นายสมศักดิ์ กล่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินโครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน มีหมู่บ้านและชุมชนที่เข้าร่วมเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดิน รวมจำนวน ๒๓,๓๙๙ แห่ง โดยมีการจัดพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงให้แก่หมู่บ้าน และชุมชนเพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและสิริมงคล
ในปีนี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จัดมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมีการแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติ การแสดงนิทรรศการผลการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินจากพื้นที่ต่าง ๆ และการพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุง กองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๕๖ แห่ง โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประธานหรือผู้แทนหมู่บ้านและชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน และผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
โดยทุกหมู่บ้านและชุมชน มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้หมู่บ้านและชุมชนของตน เป็นแบบอย่างที่ดีในการป้องกัน เฝ้าระวัง แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และพัฒนาตนเอง เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเข้มแข็งของกองทุนแม่ของแผ่นดิน รวมทั้งขยายเครือข่ายไปยังหมู่บ้านและชุมชนอื่นๆ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักชัยสู่ความสงบร่มเย็นต่อไป
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงห่วงใยปัญหายาเสพติด และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จนก่อเกิดเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อต่อยอด พัฒนา ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งหมู่บ้าน ชุมชน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการป้องกัน เฝ้าระวังยาเสพติด การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน พัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว รวมทั้งป้องกันกลุ่มเสี่ยง สงเคราะห์ผู้เดือดร้อน ผู้ตกทุกข์ได้ยาก สนับสนุนการพัฒนาความเป็นอยู่แบบพอเพียงในหมู่บ้าน และแก้ไขปัญหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อพลิกฟื้นให้เป็นหมู่บ้าน/ชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างความปลอดภัยและความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างยั่งยืน และคาดว่าจะมีการจัดงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๔ ในห้วงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ โดยจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
----------------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40716 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. สร้างฐานเครือข่ายตัวแทน กอช. เพิ่ม ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ” | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
“กอช. สร้างฐานเครือข่ายตัวแทน กอช. เพิ่ม ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ”
กอช. รับสมัครตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านเพิ่ม เพื่อสร้างเครือข่ายการออมให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยเปิดรับสมัครหมู่บ้านละ 1 คน สามารถดูรายละเอียดการรับสมัครเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th”
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. รับสมัครตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านเพิ่ม เพื่อสร้างเครือข่ายการออมให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยเปิดรับสมัครหมู่บ้านละ 1 คน สามารถดูรายละเอียดการรับสมัครเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th”
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. มุ่งสร้างเครือข่ายในระดับพื้นที่ เชิญชวนสมาชิก สมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ในการให้บริการสมาชิก กอช. ซึ่งปัจจุบัน กอช. มีตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านกว่า 26,000 หมู่บ้าน ทั้งนี้มีสมาชิกผู้สนใจมีความประสงค์จะสมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านเพิ่ม กอช. จึงเปิดรับตัวแทนเพื่อให้การออมได้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ที่สมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้านต้องให้บริการสมาชิก อาทิ แนะนำการสมัครสมาชิกผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.” การส่งเงินออมสะสม ให้คำปรึกษาหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออมเงินกับ กอช. และส่งเสริมให้มีการออมในระดับพื้นที่เพิ่มมากขึ้นครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วทั้งประเทศ โดยเปิดรับสมัครหมู่บ้านละ 1 ท่าน เพียงผู้ที่สมัครต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ดังนี้
1. ผู้สมัครต้องเป็นสมาชิก กอช.
2. ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ผู้ใหญ่บ้านรับรองคุณสมบัติ
3. มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านที่ทำการสมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน
4. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ กอช.
5. ไม่มีประวัติเสื่อมเสียด้านการเงิน การพนัน หรือยาเสพติด
6. ไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก
ทั้งนี้ สมาชิกสามารถสมัครเป็นตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพียงแสดงความประสงค์พร้อมกรอกข้อมูลการสมัครได้ที่ทำการปกครองอำเภอทั่วประเทศ (เสมียนตราอำเภอ) ตามวันและเวลาทำการ ดูรายละเอียดการรับสมัครเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40691 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "ยุติธรรม" นำทัพ รับเรื่องช่วยเหลือประชาชน ในงานเปิดตัวรายการสด "หมอความ (มหาชน) X NATION ระวังภัย" ทาง NATION TV ๒๒ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
"ยุติธรรม" นำทัพ รับเรื่องช่วยเหลือประชาชน ในงานเปิดตัวรายการสด "หมอความ (มหาชน) X NATION ระวังภัย" ทาง NATION TV ๒๒
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมเปิดรายการ "หมอความ (มหาชน) X NATION ระวังภัย" ออกอากาศสดกับ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์
ในวันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๔๐ น. ณ สถานีโทรทัศน์เนชั่น TV ๒๒ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมเปิดรายการ "หมอความ (มหาชน) X NATION ระวังภัย" ออกอากาศสดกับ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ โดยมี ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ NATION TV ให้การต้อนรับนอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารจากหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ และกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมกิจกรรมในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ได้จัดเจ้าหน้าที่จากสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย สำนักงานกองทุนยุติธรรม และศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขเข้าร่วมรับเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า ๗๐ ราย
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ทุกกระทรวงมีช่องทางในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ดังนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้ให้ตั้งศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขขึ้น เพื่อเป็น
ช่องทางในการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนในทุกๆ ด้าน ตลอดจนเป็นช่องทางสำหรับประชาชนทั่วไปด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีช่องทางต่างๆ ในการรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน อาทิ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตลอดจน สายด่วน ๑๑๑๑ กด ๗๗ หากประชาชนมีปัญหาด้านคดีความไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือตกเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา จะมีกองทุนยุติธรรมและกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่จะดูแลเรื่องเยียวยาและให้ความช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40712 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันศุกร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วม ณ พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40685 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมแสดงความยินดีฉลองครบรอบ 50 ปีของกลุ่มบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ก.อุตฯ ร่วมแสดงความยินดีฉลองครบรอบ 50 ปีของกลุ่มบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์
ผู้บริหาร ก.อุตฯ ร่วมแสดงความยินดีฉลองครบรอบ 50 ปีของกลุ่มบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์
วันนี้ (5 เมษายน 2564) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงาน “Delta 50-Year Anniversary” ฉลองครบรอบ 50 ปีของกลุ่มบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ธีม “Influencing 50 Embracing 50:50 ปี พลังงานประสิทธิภาพ และ 50 ปีต่อไป เทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล” โดยมี นายแจ็คกี้ จาง ประธานบริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และคณะให้การต้อนรับ ทั้งนี้ คณะผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมรับชมภาพยนตร์สารคดีโดยเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ DELTA รุ่น INSIGN Laser 8K เครื่องแรกของโลก ซึ่งเป็นเครื่องฉายโปรเจกเตอร์ความละเอียดสูง ภาพคมชัดมีความสมจริง ณ โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40722 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวธ.เป็นประธานกิจกรรมทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลของกระทรวงวัฒนธรรม | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
รองปลัดวธ.เป็นประธานกิจกรรมทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลของกระทรวงวัฒนธรรม
รองปลัดวธ.เป็นประธานกิจกรรมทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลของกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกิจกรรมทำบุญตักบาตรเพื่อความเป็นสิริมงคลของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เข้าร่วม ณ บริเวณด้านหน้าอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40681 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่ายาสูบชี้แจงข่าวเรื่องการออกจำหน่ายบุหรี่ราคาถูก | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ผู้ว่ายาสูบชี้แจงข่าวเรื่องการออกจำหน่ายบุหรี่ราคาถูก
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ชี้แจงกรณีมีข่าวเรื่องการออกจำหน่ายบุหรี่ราคาถูก เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ดังนี้
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ชี้แจงกรณีมีข่าวเรื่องการออกจำหน่ายบุหรี่ราคาถูก เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ดังนี้
1. ยสท.ที่อยู่ในช่วงการดำเนินการที่มีผลกระทบต่อเนื่องทำให้การจำหน่ายบุหรี่ลดน้อยลง ผลจากการปรับภาษีสรรพสามิต ซึ่งส่งผลต่อทั้งรายได้ ยสท. ภาษีนำส่งส่งรัฐ และหนักที่สุดคือการรับซื้อใบยาจากเกษตรกรที่ลดน้อยลงกว่า 50% ทำให้รายได้เกษตรกรหายไปอย่างมาก
2. ยสท.ต้องปรับตัวทุกอย่างเพื่อให้องค์กรมั่นคง อยู่รอด เป็นรัฐวิสาหกิจที่มั่นคง มีวินัย และคำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคม รวมถึงผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบุหรี่ ได้แก่ สุขภาพของคนไทย รายได้ภาษี รวมถึงกองทุนต่างๆ ที่ ยสท. สนับสนุน ตลอดจนเกษตรกรชาวไร่ที่ปลูกใบยา และตัวแทนจำหน่ายบุหรี่ของ ยสท.
3. ยสท.กังวลเรื่องบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอมแปลง ที่มีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศ มีอัตราเติบโตสูงถึง 20% รวมถึงการบริโภคยาเส้นที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 3 เท่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีผู้สูบบุหรี่ที่ไม่มีก้นกรอง ซึ่งมีค่าทาร์และนิโคตินที่สูงจากใบยาที่ไม่มีคุณภาพมากถึง 34,500 ล้านมวน
ยสท. ไม่มีนโยบายและกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะออกบุหรี่ราคาต่ำ เพื่อให้คนไทยสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากในทางสาธารณสุข แต่อยากขอให้รัฐบาลมีมาตรการใส่ใจขั้นเด็ดขาด ในเรื่องการปราบปรามบุหรี่ปลอม บุหรี่เถื่อน ที่จะส่งผลทั้งด้านสุขภาพ และไม่ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐ อีกทั้งไม่ได้ใช้ใบยาสูบภายในประเทศ ทำให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบ และซัพพลายเชน (supply chain) ได้รับผลกระทบทั้งระบบ รวมถึงหามาตรการให้ความรู้ความเข้าใจกับการบริโภคสูบยาเส้นอย่างจริงจัง
สุดท้ายนี้ ยสท. ขอยืนยันว่า ยสท.คือกลไกของรัฐ ที่พร้อมร่วมมือสนับสนุนนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐ และประชาชน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40708 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน!...ฝนฟ้ามาอย่าไปอยู่กลางแจ้ง | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
เตือน!...ฝนฟ้ามาอย่าไปอยู่กลางแจ้ง
...
จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า ช่วง 3 - 6 เม.ย. นี้ เกือบทุกภาคของประเทศไทยจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง แม้จะช่วยคลายร้อนไปได้บ้าง แต่ต้องระวัง “ฟ้าผ่า”
.
โดยเฉพาะเด็กที่มักจะชอบเล่นหรือทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง พ่อแม่ผู้ปกครองจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วงที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ให้เด็ก ๆ รีบเข้าบ้าน หลีกเลี่ยงต้นไม้ใหญ่ หรือไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้
.
หากประชาชนพบเห็นผู้ประสบภัยจากฟ้าผ่า อย่างแรก ให้สังเกตบริเวณที่เกิดเหตุว่ายังมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้าปลอดภัยให้รีบเคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย
.
โดยสามารถแตะต้องตัวผู้ถูกฟ้าผ่าได้ทันที เนื่องจากคนที่ถูกฟ้าผ่า จะไม่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ในร่างกายเหมือนผู้ที่ถูกไฟดูด
.
ลำดับต่อไป รีบโทรแจ้งสายด่วนช่วยชีวิต 1669 จากนั้นปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้น จากศูนย์รับแจ้งเหตุในการดูแลผู้ป่วย ระหว่างรอรถฉุกเฉินมารับผู้ป่วยครับ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40711 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การยาสูบแห่งประเทศไทยยืนยันไม่มีนโยบายและกลยุทธทางการตลาดออกบุหรี่ราคาต่ำ พร้อมสนับสนุนนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐและประชาชน | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
การยาสูบแห่งประเทศไทยยืนยันไม่มีนโยบายและกลยุทธทางการตลาดออกบุหรี่ราคาต่ำ พร้อมสนับสนุนนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐและประชาชน
การยาสูบแห่งประเทศไทยยืนยันไม่มีนโยบายและกลยุทธทางการตลาดออกบุหรี่ราคาต่ำ พร้อมสนับสนุนนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐและประชาชน
2 เมษายน พ.ศ. 2564 นายนพดล หาญธนสาร รองผู้ว่าการด้านบริหาร การยาสูบแห่งประเทศไทยชี้แจงการยาสูบแห่งประเทศไทย เตรียมออกบุหรี่ใหม่มาจำหน่ายในราคาถูก จากการจำหน่ายบุหรี่ลดน้อยลง ผลจากการปรับภาษีสรรพสามิต ส่งผลทั้งรายได้ ยสท.ภาษีส่งรัฐ และหนักที่สุด คือการรับซื้อใบยาจากเกษตรกรที่ลดน้อยลงกว่า50% ทำให้รายได้เกษตรกรหายไปอย่างมาก การยาสูบแห่งประเทศไทยต้องปรับตัวทุกอย่างเพื่อให้องค์กรมั่นคงอยู่รอด เป็นรัฐวิสาหกิจที่มั่นคงมีวินัยและคำนึงผลประโยชน์สังคม รวมถึงผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบุหรี่ทั้งหมด สุขภาพคนไทย รายได้ภาษี รวมถึงกองทุนต่างๆ ที่สนับสนุน เกษตรกรชาวไร่ ตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งการยาสูบแห่งประเทศไทย ยังกังวลเรื่องบุหรี่เถื่อนที่ทั้งปลอมการผลิต ลักลอบนำเข้ามาในประเทศ ซึ่งมีอัตราเติบโตถึง 20% ขึ้นไป รวมถึงการบริโภคสูบยาเส้นที่มีอัตราเติบโตถึง 3 เท่าในรอบ 3 ปี ปัจจุบันมีผู้สูบ 34,500 ล้านมวน ซึ่งไม่มีทั้งก้นกรองและมีค่าทาร์ นิโคตินที่สูงจากใบยาที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม การยาสูบแห่งประเทศไทย ไม่มีนโยบายและกลยุทธทางการตลาดที่ออกบุหรี่ราคาต่ำ เพื่อให้คนไทยสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากในทางสาธารณสุข แต่ต้องการให้มีการปราบปรามบุหรี่ปลอม บุหรี่เถื่อนที่มีผลทั้งด้านสุขภาพและไม่ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐ อีกทั้งไม่ได้ใช้ใบยาสูบในประเทศ ทำให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบ และซัพพลายเชนใบยาสูบได้รับผลกระทบทั้งระบบ รวมถึงหามาตรการให้ความรู้ความเข้าใจกับการบริโภคสูบยาเส้นอย่างจริงจัง ยืนยันการยาสูบแห่งประเทศไทย คือกลไกของรัฐที่พร้อมร่วมมือสนับสนุนนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐและประชาชน
....................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40701 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศปิดทะเลฝั่งอันดามัน 3 เดือน ให้สัตว์น้ำวางไข่ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ประกาศปิดทะเลฝั่งอันดามัน 3 เดือน ให้สัตว์น้ำวางไข่
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูวางไข่ของสัตว์ทะเลหลายชนิด รัฐบาลจึงประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ฝั่งทะเลอันดามันประจำปี 2564 โดยปิดไม่ให้มีการทำประมงฝั่งทะเลอันดามัน 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ครอบคลุมพื้นที่ 5,000 ตร.กม. ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.64 รวม 3 เดือน เพื่อให้สัตว์น้ำได้มีเวลาวางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนจนเติบโตโดยไม่ถูกรบกวน หากฝ่าฝืน มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท – 30 ล้านบาท ขึ้นกับขนาดของเรือประมง หรือ ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง ถือเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40666 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เสนอ ศบค.ปรับ 5 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง คุมผับบาร์ห้ามดื่มสุราเปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
สธ. เสนอ ศบค.ปรับ 5 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง คุมผับบาร์ห้ามดื่มสุราเปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม
กระทรวงสาธารณสุขเสนอปรับระดับพื้นที่ควบคุมโควิด กำหนด 5 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง คือ กทม. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ควบคุมผับบาร์เปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม และห้ามดื่มสุรา เสนอ ศบค.ชุดเล็กวันที่ 7 เม.ย. บังคับใช้ 2 สัปดาห์ก่อนประเมินสถานการณ์
กระทรวงสาธารณสุขเสนอปรับระดับพื้นที่ควบคุมโควิด กำหนด 5 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง คือ กทม. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ควบคุมผับบาร์เปิดไม่เกิน 3 ทุ่ม และห้ามดื่มสุรา เสนอ ศบค.ชุดเล็กวันที่ 7 เม.ย. บังคับใช้ 2 สัปดาห์ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
วันนี้ (5 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวภายหลังประชุมศูนย์ปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเรื่องการกำหนดพื้นที่ควบคุมโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตามมติของคณะกรรมการด้านวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ โดยเห็นชอบกำหนดปรับระดับพื้นที่ดังนี้1.พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 5 จังหวัด ได้แก่ กทม. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และนครปฐมโดยร้านอาหารและสถานบันเทิงเปิดไม่เกิน 21.00 น. นั่งรับประทานอาหารได้ แต่งดดื่มสุราห้ามจำหน่ายจ่ายแจก ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และสถานที่ออกกำลังกายแข่งขันกีฬาเปิดได้ตามปกติ แต่ดำเนินการแบบนิวนอร์มัล เช่น สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง วัดอุณหภูมิ สแกนไทยชนะ จำกัดจำนวนคนเข้าพื้นที่
2.พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) มี 9 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ชุมพร ตาก ราชบุรี ชลบุรี สุพรรณบุรี นราธิวาส และกาญจนบุรี โดยร้านอาหารและสถานบันเทิงรับประทานอาหารและดื่มสุราได้ไม่เกิน 23.00 น. เล่นดนตรีได้ แต่งดเต้นรำ ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และสถานออกกำลังกายเปิดตามปกติ 3.พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด (สีเหลือง) มี 10 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ระนอง ระยอง สงขลา ยะลา และขอนแก่น โดยร้านอาหารและสถานบันเทิงรับประทานอาหารและดื่มสุราได้ไม่เกิน 24.00 น. เล่นดนตรีสดได้ แต่งดเต้นรำ ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา สถานออกกำลังกายเปิดตามปกติ และ 4.พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) คือ 53 จังหวัด ทุกกิจการเปิดตามปกติตามที่กฎหมายควบคุม
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า วันที่ 7 เมษายนจะเสนอ ศบค.ชุดเล็กเพื่อเห็นชอบและบังคับใช้ตามกฎหมายเป็นเวลา 2 สัปดาห์และประเมินสถานการณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมาก หากไม่ทำตามหรือยังไปปาร์ตี้ที่บ้านก็จะทำให้ควบคุมสถานการณ์ยาก โดยขอให้อย่านำตัวเองไปยังจุดเสี่ยง คือ สถานที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก มีความแออัด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง คือ พบปะพูดคุยโดยไม่ใส่หน้ากาก ดื่มสุรา เป็นต้น
สำหรับมติของคณะกรรมการด้านวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ คือ ให้กรมควบคุมโรคกำหนดพื้นที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และวางแผนเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง เน้นสถานบันเทิง ผับบาร์ โดยเฉพาะ กทม.และปริมณฑล ส่วนช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะการกลับภูมิลำเนา ขอให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวัง ผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง โดยให้ อสม.เคาะประตูบ้านติดตามโดยเฉพาะผู้ทำงานสถานบันเทิงจาก กทม. และปริมณฑลและพิจารณานำวัคซีนมาใช้เพื่อการควบคุมโรคตามคำแนะนำคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร, โรงพยาบาลทุกแห่งซักประวัติคนไข้ต้องสงสัย โดยเฉพาะการไปเที่ยวสถานบันเทิง, ให้สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมืองเปิดบริการตรวจหาเชื้อโควิดทุกวัน
********************************** 5 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40720 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “กรุงไทย”สำรองเงินสด ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 30,155 ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
“กรุงไทย”สำรองเงินสด ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 30,155 ล้านบาท
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 ธนาคารกรุงไทยได้สำรองเงินสดเพื่อรองรับการใช้บริการของลูกค้าและประชาชน ทั้งที่สาขา และ ตู้ ATM ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2564 จำนวน 30,155 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2564 ธนาคารได้สำรองเงินสดเพื่อรองรับการใช้บริการของลูกค้าและประชาชน ทั้งที่สาขา และ ตู้ ATM ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2564 จำนวน 30,155 ล้านบาท แบ่งเป็นเขตกทม. จำนวน 5,190 ล้านบาท และเขตภูมิภาค จำนวน 24,965 ล้านบาท เป็นการสำรองในสาขา จำนวน 3,795 ล้านบาท และบรรจุตู้ ATM จำนวน 26,360 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารแนะนำลูกค้าและประชาชนทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง Krungthai NEXT และ Krungthai Netbank เพื่อความสะดวกและปลอดภัย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40709 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ เปิดแนวรุกอุตฯ ไบโอเทค ประเดิมต้นปี 64 ส่งเสริมกว่า 2,400 ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
บีโอไอ เปิดแนวรุกอุตฯ ไบโอเทค ประเดิมต้นปี 64 ส่งเสริมกว่า 2,400 ล้านบาท
บีโอไอเดินหน้าหนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ อนุมัติส่งเสริมลงทุนไตรมาสแรกมูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท หวังผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยฐานความรู้
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า ในปี2564การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ ไบโอเทค มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี (ม.ค.-มี.ค. 64) บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วมูลค่ารวม2,417ล้านบาท
โครงการกลุ่มไบโอเทคที่ได้รับการอนุมัติจากบีโอไอในไตรมาสแรกอยู่ในสาขาการแพทย์ อาหาร และ พลาสติกชีวภาพ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัดโครงการผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์ และยีนบำบัดเพื่อรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหลัก เช่น เคมีบำบัด การฉายรังสี เป็นต้น โดยจัดเป็นยาที่ใช้รักษาโรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัด
บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด เป็นสตาร์ทอัพไทยโครงการผลิตยาจากเทคโนโลยีชีวภาพ หรือชีวเภสัชภัณฑ์เช่น วัคซีน ยาในกลุ่มMONOCLONAL ANTIBODYและTHERAPEUTIC PROTEINที่ได้จากการใช้ต้นยาสูบเป็นเจ้าบ้าน (HOST)
บริษัท เคียววะ ไบโอเทคโนโลยีส์ จำกัดโครงการผลิตHUMAN MILK OLIGOSACCHARIDE(HMO)ซึ่งเป็นน้ำตาลที่เป็นองค์ประกอบในน้ำนมแม่ และทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
บริษัท ฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด โครงการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิดPHA(POLYHYDROXYALKANOATE) และPHA BIOPLASTIC COMPOUNDและผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปจากพลาสติกPHAเช่น ถุง ขวด ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ซึ่งเป็นกิจการที่นำของเหลือทางการเกษตร เช่น ใบพืช ผักเสียเหลือทิ้งจากแปลง และของเหลือจากกระบวนการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น เปลือกกล้วย เปลือกมะม่วง เปลือกสับปะรด กากถั่วเหลือง เป็นต้น มาพัฒนาเป็นวัตถุดิบในการผลิตPHAได้ โดยโครงการมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยด้วย
“กิจการด้านไบโอเทคเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดBCGของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยใช้จุดแข็งด้านภาคเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพของไทยไปต่อยอดตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ด้วยการใช้เทคโนโลยี”เลขาธิการบีโอไอกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40695 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 เมษายน 2564
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2564 มีวันหยุดต่อเนื่อง 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 ขสมก. จึงจัดแผนการเดินรถเพื่ออำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวต่างจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่ง เฉลี่ยวันละ 2,788 คัน จำนวน 20,453 เที่ยว
2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จำนวน 5 เส้นทางดังนี้
- สาย A 1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 21 คัน
- สาย A 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 15 คัน
- สาย A 3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 10 คัน
- สาย A 4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 10 คัน
- สาย S 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 6 คัน
3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จำนวน 4 สถานี รวม 34 เส้นทางดังนี้
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จำนวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3, 16, 49, 77, 96, 134, 136, 138, 145, 509, 517, และ 536
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2, 23, 25, 71, 72, 501, 508 และ 511
- สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66, 79, 511, 515, 516 และ 556
- สถานีรถไฟหัวลำโพง จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4, 7, 21, 25, 34, 73, 73ก และ 501
4. จัดเดินรถให้บริการฟรี “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เม.ย. 64” สำหรับผู้ใช้บริการที่มีอายุ ตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป โดยผู้สูงอายุจะต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนต่อพนักงานเก็บค่าโดยสาร เพื่อใช้สิทธิ์บริการฟรี ทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ
ในส่วนของมาตรการความปลอดภัย เนื่องจากปัจจุบันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กำลังประสบปัญหาการสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในชั้นบรรยากาศ และการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ขสมก. จึงกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรค COVID-19 เพื่อลดผลกระทบและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)
1. ตรวจวัดค่าไอเสียรถโดยสารเครื่องยนต์ดีเซล ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน กรณีตรวจพบรถโดยสารมีค่าไอเสียเกิน 35% จะส่งเข้าซ่อมบำรุงโดยทันที
2. ขอความร่วมมือบริษัทเหมาซ่อมบำรุงรักษารถโดยสาร ดำเนินการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหัวฉีด ไส้กรองไอเสีย ไส้กรองอากาศ และท่อพักไอเสีย รวมทั้งล้างทำความสะอาดท่อไอเสียของรถโดยสารทุกคัน ก่อนรอบปกติ เพื่อลดการปล่อยฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย
3. ล้างทำความสะอาดอู่จอดรถและรถโดยสาร เพื่อชะล้างฝุ่นละออง
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ด้านพนักงานประจำรถ
1. ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้งก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร หากตรวจพบว่าพนักงานมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่และให้รีบไปพบแพทย์ทันที
2. กำชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร
3. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
ด้านรถโดยสารประจำทาง
1. เพิ่มความถี่ในการล้างทำความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทำความสะอาดผ้าม่าน
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทำความสะอาดภายใน รถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์ สำหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น
3. กำหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนภายในรถโดยสาร
4. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สำหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” บริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในการใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว
ด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น
3. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็คอินเมื่อขึ้นรถ และเช็คเอาท์ก่อนลงจากรถ สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนำบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชำระค่าโดยสาร
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และลงทะเบียน
5. ควรนั่งบนเบาะที่กำหนด (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และยืนบนจุดที่กำหนด หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 30 เซนติเมตร กรณีมีผู้ใช้บริการบนรถมากพอสมควร ควรรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
6. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
7. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิตที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
มาตรการความปลอดภัย
1. การเตรียมความพร้อมของรถโดยสาร ขสมก. ได้ประสานบริษัทเหมาซ่อมตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานพร้อมทั้งให้พนักงานขับรถโดยสารตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสาร และอุปกรณ์ส่วนควบ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบเบรก ประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ และถังดับเพลิง เป็นต้น ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน
2. การเตรียมความพร้อมของพนักงานประจำรถ ให้หัวหน้างาน ตรวจความพร้อมทางด้านร่างกายของพนักงานประจำรถ ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ตรวจใบอนุญาตขับขี่ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง พร้อมทั้งกำชับพนักงานขับรถ เปิดประตูเมื่อรถจอดสนิท และปิดประตูก่อนนำรถออกจากป้าย ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และให้ระมัดระวังผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รวมถึงให้พนักงานเก็บค่าโดยสารช่วยดูแลอำนวยความสะดวกในการขึ้น - ลงรถแก่ผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งจัดพนักงานนายตรวจ สายตรวจพิเศษประจำจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสารที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลการขึ้น - ลงรถ ของผู้ใช้บริการ
นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สำนักงานใหญ่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 และจัดเจ้าหน้าที่ Call Center 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเส้นทางเดินรถโดยสารอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40717 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ตุรกี พร้อมผลักดันความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันให้สำเร็จ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
ไทย-ตุรกี พร้อมผลักดันความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันให้สำเร็จ
ไทย-ตุรกี พร้อมผลักดันความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันให้สำเร็จ
วันนี้ (วันที่ 5 เมษายน 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางเอฟเรน ดาเดเลน อักกุน (H.E. Ms. Evren Dağdelen Akgün) เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานอย่างแข็งขันของเอกอัครราชทูตฯ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-ตุรกีตลอดระยะเวลาประจำการ และขอบคุณที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจกรรมระหว่างไทย-ตุรกี จนส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี ที่ดำเนินมาครบรอบกว่าหกทศวรรษ มีพลวัตเพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัดในช่วงประจำการของเอกอัครราชทูตฯ ตลอดจนเอกอัครราชทูตฯ ยังสนใจการเข้าร่วมงานมหกรรมผ้าไหมไทยสู่เส้นทางโลก(Thai Silk Road To The World) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า นับจากนี้ไทยจะมีเอกอัครราชทูตฯ เป็น “Friend of Thailand” เพิ่มขึ้นอีกคนในตุรกี และขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในภารกิจที่ได้รับมอบหมายต่อไปในอนาคต
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ความช่วยเหลือและความร่วมมืออย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลาการประจำการที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต จึงเปรียบเสมือนเป็นรักแรก ชื่นชมความงดงาม และมิตรไมตรีที่ได้รับจากประเทศไทย ตลอดจนชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ตุรกี ที่มีความแน่นแฟ้น ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งจึงทำให้ได้เห็นชัดเจนว่ายังมีประเด็น และมิติต่างๆ ที่มีศักยภาพ สามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย-ตุรกีได้ ทั้งนี้ ตุรกีหวังที่จะขยายความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียและอาเซียน ในรูปแบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
ด้านเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี (FTA) ที่มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของเอกอัคราชทูตฯ จึงหวังว่าผู้ที่ดำรงเอกอัครราชทูตฯ คนต่อไปจะสานต่อและขับเคลื่อนความตกลงฯ ให้สำเร็จ ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าทั้งไทยและตุรกีต่างเห็นความสำคัญในการผลักดันความตกลงการค้า FTA ไทย-ตุรกี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะผลักดันให้เห็นความสำเร็จของความตกลงนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ช่วยเปิดประตูให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศเห็นถึงศักยภาพของกันและกันและเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-ตุรกีให้บรรลุเป้าหมาย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคเอกชนตุรกีที่ลงทุนในประเทศไทยและหวังว่าจะเห็นการลงทุนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ให้ความมั่นใจว่าจะสนับสนุนการลงทุนใน EEC ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการเกษตรแบบอัจฉริยะ (Smart Agriculture) และความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็พร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในตรุกีในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ
เอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมประเทศไทยที่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จอย่างเป็นระเบียบแบบแผน และพร้อมที่จะเรียนรู้แนวทางการดำเนินงานของไทย ซึ่งเมื่อสถานการณ์ของทั่วโลกดีขึ้น ทั้งสองประเทศพร้อมที่จะผลักดันความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวต่อกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ เสนอว่าตุรกีมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจ โดยรองนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสวยงามของประเทศตุรกีและเป็นสถานที่ที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณตุรกีที่ให้ทุนการศึกษานักเรียนไทยอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่ากรมความร่วมมือระหว่างประเทศของไทย (TICA) และของตุรกี (TIKA) ได้มีการติดต่อกัน และเริ่มมีโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาระหว่างกันแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวอำลาเอกอัครราชทูตฯ โดยกล่าวย้ำว่าเอกอัครราชทูตฯ เป็นมิตรของประเทศไทย และเป็นมิตรของรองนายกรัฐมนตรีเช่นกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40710 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชวนคนไทยฉีด "วัคซีนโควิด" ช่วยลดโรค ลดตาย เปิดประเทศได้ | วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชวนคนไทยฉีด "วัคซีนโควิด" ช่วยลดโรค ลดตาย เปิดประเทศได้
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยันฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้มากตามเป้า ช่วยลดอัตราป่วยและเสียชีวิตได้จริง เช่น อิสราเอล ชวนคนไทยฉีดวัคซีนโควิดให้ครอบคลุมบรรลุเป้าหมายในปี 64 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เปิดประเทศได้เร็ว ย้ำวัคซีนมีประสิทธิภาพ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยันฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้มากตามเป้า ช่วยลดอัตราป่วยและเสียชีวิตได้จริง เช่น อิสราเอล ชวนคนไทยฉีดวัคซีนโควิดให้ครอบคลุมบรรลุเป้าหมายในปี 64 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เปิดประเทศได้เร็ว ย้ำวัคซีนมีประสิทธิภาพ ส่วนอนาคตขยายฉีดวัคซีนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้หากมีผลวิจัยรองรับ
วันนี้ (5 เมษายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ในคนจำนวนมากและครอบคลุมมากเพียงพอ พบว่าลดจำนวนโรคและอัตราการเสียชีวิตลง เช่น อิสราเอลมีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรสูงสุดในโลก เริ่มให้วัคซีนตั้งแต่ธันวาคม 2563 ในบุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ก่อนขยายไปยังกลุ่มอายุต่างๆ โดยกุมภาพันธ์ 2564 ฉีดตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดครบถ้วนจะได้รับบัตรเขียว สามารถไปผับบาร์ รับประทานอาหารในร้าน ดูหนังได้ ทำให้ผู้ติดเชื้อที่เคยสูงสุด 6 พันรายต่อสัปดาห์ เหลือหลักร้อยรายต่อสัปดาห์ อัตราเสียชีวิตเหลือหลักสิบรายต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนในประชาชนหมู่มากได้ผลชัดเจนโรคสงบลง
ขณะที่อังกฤษรณรงค์ฉีดวัคซีนต่อเนื่องลดอัตราป่วยและเสียชีวิตลงได้ แม้จะมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์อังกฤษที่แพร่ระบาดรวดเร็ว แต่ไม่กระทบกับประสิทธิภาพของวัคซีน แต่ฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่ฉีดวัคซีนไม่ต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ อัตราเสียชีวิตยังไม่ลดลง ส่วนสหรัฐอเมริกาฉีดวัคซีนได้มากเช่นกัน ผู้ติดเชื้อจากแสนรายต่อวันก็เหลือ 5-6 หมื่นรายต่อวัน อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกฉีดวัคซีนได้เพียง 650 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 6.5 ของประชากรโลกที่มี 7 พันล้านคน โดยมีอัตราการฉีดวันละประมาณ 15 ล้านโดส หากจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรโลกภายใน 1 ปีต้องเพิ่มอัตราการฉีดให้ได้วันละ 30 ล้านโดส
ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะควบคุมโรคโควิด 19 ได้ การฉีดวัคซีนต้องบรรลุให้ถึงเป้าหมาย จึงขอเชิญชวนประชาชนให้มาฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ถึงเป้าหมายภายในสิ้นปี 2564 เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และสามารถเปิดประเทศได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนโควิด 19 ที่มีการใช้ในโลก มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงมาก เกือบถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่คนกังวลเรื่องผลข้างเคียง การฉีดวัคซีนทุกชนิดสามารถเกิดปฏิกิริยาทางร่างกายขึ้นได้ เช่น เจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือเป็นไข้ ถือเป็นอาการเล็กน้อยหายเองได้ ส่วนกรณีอังกฤษฉัดวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนเก้าไปแล้ว 17 ล้านโดส พบผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตัน 20 คน เสียชีวิต 7 คน คิดเป็น 1 ในแสนถึง 1 ในล้านโดส ถือว่าไม่แตกต่างจากกรณีการเกิดเส้นประสาทอักเสบหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ต้องรอพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในภาวะฉุกเฉินพิจารณาแล้วว่าการใช้วัคซีนมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่จะได้รับจากวัคซีน
ส่วนการฉีดวัคซีนในเด็ก เนื่องจากวัคซีนทั้งซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าใช้ในคนอายุมากกว่า 18 ปี แต่อนาคตเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีก็มีโอกาสได้ใช้วัคซีน เพราะขณะนี้เริ่มมีการวิจัยวัคซีนในเด็กอายุ 12-18 ปี ก็ต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนออกมา แต่เบื้องต้นพบว่ามีประสิทธิภาพดี
********************************** 5 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40719 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.