title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการ และการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ และอนุกรรมการที่เกี่ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการ และการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ และอนุกรรมการที่เกี่
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อและอนุกรรมการที่เกี่ยวเกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงาน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อและอนุกรรมการที่เกี่ยวเกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานการเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2564 โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ผู้แทนกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ และมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2564 ดังนั้น เพื่อให้รถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ สามารถเปิดให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก สบาย และปลอดภัย กระทรวงคมนาคมได้แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการเปิดให้บริการ ในด้านต่างๆ จำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย
1. คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อ การให้บริการระบบขนส่ง
2. คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านสถานี
3. คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร
4. คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการสื่อสารสาธารณะ
5. คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub)
ทั้งนี้ คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการทั้ง 5 ชุด มีหน้าที่ในการจัดทำแผนเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งต้องประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของโครงการ กำหนดโครงสร้างการดำเนินการ ขอบเขต และหลักการ และจัดทำแผนปฏิบัติการด้านต่าง ๆ เช่น แผนงบประมาณ แผนบริหารความเสี่ยง การทำความเข้าใจ และสื่อสารสาธารณะ รวมทั้งติดตามประเมินผลการทดสอบการเดินรถ การให้บริการประชาชน การประเมินผลเพื่อนำไปปรับปรุงเพื่อให้การเปิดให้บริการมีความสมบูรณ์ ตลอดจนติดตามและประเมินผลการให้บริการโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และพิจารณาให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการให้บริการ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีการตั้งเป้าหมายสำหรับการเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ว่า สถานีกลางบางซื่อจะต้องเป็นศูนย์รวมของระบบรถไฟ ทั้งรถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง และรถไฟฟ้าสายสีแดง โดยพื้นที่ต่าง ๆ และระบบสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้ง การเดินรถรถไฟสายสีแดง สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกสถานี ต้องพร้อมเปิดให้บริการประชาชน ในส่วนของรถไฟระหว่างเมืองให้หยุดขบวนรถที่สถานี Gateway และมีระบบขนถ่ายผู้โดยสารจากสถานี Gateway เข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สำหรับสถานีหัวลำโพง เริ่มมีการลดจำนวนเที่ยวการเดินรถไฟทางไกลที่เข้าสู่สถานีหัวลำโพง โดยพิจารณาถึงความจำเป็นในการให้บริการประชาชน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 และให้ปรับปรุงพื้นที่ให้บริการในเชิงพาณิชย์ โดยให้อนุรักษ์ความเป็นรถไฟไทย ตลอดจนระบบเชื่อมต่อการเดินทาง (Feeder) ต้องมีรถให้บริการประชาชน ณ สถานีกลางบางซื่อ และสถานี Gateway อย่างสะดวกและเป็นระเบียบ ทั้งนี้ ได้กำชับในเรื่องของการให้บริการประชาชน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ และตระหนักถึงรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงการให้บริการของทั้งระบบเป็นระยะ ๆ ที่สำคัญระบบการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จะต้องแล้วเสร็จ และมีความพร้อมก่อนเปิดให้บริการ Public Opening สายสีแดง ในเดือนพฤศจิกายน 2564 นับเป็นความสำเร็จของรัฐบาลในการยกระดับการขนส่งสาธารณะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ของประเทศ และเป็นต้นแบบของกระทรวงคมนาคม ในการยกระดับการพัฒนาและให้บริการระบบราง เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อการเดินทางในเมืองและระหว่างเมืองของประชาชนและการขนส่งสินค้า สามารถบริหารจัดการและให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนได้ตามมาตรฐานสากลและมีประสิทธิภาพ โดยใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางระบบรางของไทย ซึ่งประชาชนจะได้รับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก ปลอดภัย และตรงต่อเวลา ในอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม ตลอดจนทำให้ผู้ประกอบการทั้งในประเทศ และต่างประเทศมองเห็นโอกาสในการลงทุน ประกอบธุรกิจและสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นต่อไป
นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานอนุกรรมการ เปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการสื่อสารสาธารณะ กล่าวว่า สำหรับการประชุมคณะกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ดำเนินการเพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน สรุปผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ได้ดังนี้
คณะอนุกรรมการฯ ด้านการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งระบบ รวมทั้งการเชื่อมต่อการให้บริการระบบขนส่ง ได้พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงาน ได้แก่
1. การปรับปรุงแผนการเดินรถไฟของ รฟท. ให้ รฟท. ปรับลดขบวนรถที่เข้าสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ในช่วงเวลาเร่งด่วน กระจายไปนอกเวลาเร่งด่วนแทน โดยให้วิเคราะห์ถึงผลกระทบในภาพรวมและผู้ใช้บริการด้วย ให้ รฟท. พิจารณาจัดทำตารางหยุดรถที่สถานีต่างๆ ให้มีความชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเพื่อจัดทำระบบเชื่อมต่อการเดินทาง (Feeder) รองรับได้สอดคล้องกับเที่ยวรถไฟ และให้ รฟท. และ รฟฟท. เตรียมความพร้อมเรื่องบัตรโดยสาร ก่อนเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในเดือนกรกฎาคม 2564 และพิจารณาส่วนลดบัตรโดยสารประเภทต่างๆ เช่น บัตรรายเดือน บัตรนักศึกษา บัตรผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ โดยมีส่วนลดสำหรับบัตรดังกล่าว
2. การเชื่อมต่อระหว่างสถานีและระบบ Feeder มอบให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดทำเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) เบื้องต้น 24 เส้นทาง เพื่อรองรับการเดินทางเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ ให้ ขบ. และ ขสมก. พิจารณาเส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างสถานีมักกะสัน และสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยใช้ทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และขอให้ ขสมก. พิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารให้ต่ำที่สุด ทั้งนี้ ขอให้ กทพ. พิจารณาปรับลดอัตราค่าผ่านทางสำหรับรถโดยสารในลักษณะดังกล่าว และพิจารณารถโดยสารให้ครอบคลุมทุกสถานีของสถานีรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) โดยอาจพิจารณาปรับปรุงเส้นทางในปัจจุบัน หากสามารถปรับปรุงได้ก็ให้พิจารณาแนวเส้นทางใหม่ ทั้งนี้ ควรจะพิจารณาเส้นทางเพื่อให้เชื่อมต่อกับสถานีหัวลำโพง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และหมอชิต พิจารณาจัดทำเส้นทาง Shuttle Bus รอบสถานีกลางบางซื่อ เนื่องจากการนำรถประจำทางจำนวน 24 เส้นทาง ที่เข้าไปสถานีกลางบางซื่ออาจส่งผล ต่อการจราจรรอบสถานีกลางบางซื่อได้ ควรพิจารณานำรถโดยสารปรับอากาศมาเป็นรถ Shuttle Bus และควรพิจารณาให้มีอัตราค่าโดยสารไม่เกิน 15 บาท ตลอดเส้นทาง ให้ รฟท. และ รฟม. เจรจาร่วมกันระหว่างรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ไม่เก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน หรือออกมาตรการส่งเสริมการตลาด ให้ ขบ. พิจารณาตำแหน่งจุดจอดรถโดยสารประจำทางให้เชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อ ให้ รฟม. และ รฟท. เร่งรัดการเชื่อมอุโมงค์ใต้ดินบริเวณสถานีกลางบางซื่อ ให้ทันกับการเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อ ภายใน 28 กรกฎาคม 2564
3. การปรับปรุงการเชื่อมต่อสถานีรังสิต มอบให้ ขบ. และ ขสมก. ร่วมกับจังหวัดปทุมธานีพิจารณาแนวเส้นทางการให้บริการของ ขสมก. ให้มีความเชื่อมโยงระหว่างสถานีรังสิต และอู่รถโดยสารบริเวณสถานีตลาดรังสิต รวมถึงจุดจอดรถตู้ฟิวเจอร์พาร์ค และสถานี บขส. ประสานความร่วมมือกับจังหวัดปทุมธานี นำระบบ Feeder ไปพิจารณา และเร่งดำเนินการเสนอคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัด เพื่อให้ทันเปิดให้บริการโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ให้กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และ รฟท. พิจารณาเรื่องการปรับปรุงถนนเข้าสถานีรังสิต (ฝั่งปทุมธานี) ให้สามารถเข้า - ออก ได้โดยสะดวก โดยให้ รฟท. ปรับปรุงเส้นทางของ รฟท. บริเวณสถานีให้เรียบร้อย และพิจารณาความต้องการในการปรับปรุงการเข้าถึงสถานี และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนต่อไป
คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านสถานี ได้มีการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับด้านสถานี โดยพื้นที่อาคารสถานีกลางบางซื่อ มีขนาดพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด จำนวน 298,200 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารและประชาชน จำนวน 129,400 ตารางเมตร พื้นที่เชิงพาณิชย์ จำนวน 51,465 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับติดตั้งป้ายโฆษณา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเปิดประมูลหาผู้ประกอบการมาบริหารจัดการพื้นที่ในอัตราค่าเช่าสิทธิ์ที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของสถานี จัดให้มีศูนย์อาหาร และจัดเตรียมพื้นที่จอดรถรองรับประชาชนที่เข้ามาใช้บริการสถานีให้เพียงพอด้วย
คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านราคาค่าโดยสารและบัตรโดยสาร มีความก้าวหน้าในการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงาน โดยเสนอแนวทางในการกำหนดให้มีอัตราค่าโดยสารสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ต่ำสุด 14 บาท สูงสุดไม่เกิน 42 บาท และมีส่วนลดราคาให้กับบัตรโดยสารรายเดือน บัตรโดยสารร่วม บัตรนักเรียน บัตรผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้พิการ โดยที่ประชุมขอให้นำไปพิจารณาให้เกิดความเหมาะสมสูงสุดกับผู้ใช้บริการด้วย
คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการสื่อสารสาธารณะ มีการกำหนดแผนและดำเนินการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ เช่น การให้บริการเดินรถและระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อการเดินทาง การให้บริการและ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในสถานี เป็นต้น เปิดเพจ Bang Sue Grand Station เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสาร กับประชาชน พร้อมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในช่องทางต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงโครงการให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนผู้ใช้บริการให้มากที่สุด
คณะอนุกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ด้านการกำหนดจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า (Gateway/Hub) สรุปผลการเนินการพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารและสินค้า ดังนี้
จุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร
สายเหนือ สายอีสาน เปลี่ยนถ่าย สถานีรังสิต
สายใต้ เปลี่ยนถ่าย สถานีตลิ่งชัน
สายตะวันออก เปลี่ยนถ่าย สถานีมักกะสัน
จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้า
สายเหนือ สายอีสาน เปลี่ยนถ่าย สถานีเชียงราก
สายใต้ เปลี่ยนถ่าย สถานีวัดงิ้วราย
สายตะวันออก เปลี่ยนถ่าย ไอซีดีลาดกระบัง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39818 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยผงาด ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
“สุริยะ” มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยผงาด ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน
“สุริยะ” มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยผงาดหลัง 10 ประเทศอาเซียนบรรลุข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรอง ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน
“สุริยะ” มั่นใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยผงาดหลัง 10 ประเทศอาเซียนบรรลุข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรอง ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ชี้ปีนี้คึกคัก หลัง เกรท วอลล์ มอเตอร์ รถยนต์สัญชาติจีนได้มาตรฐานยูโร 4 จาก สมอ. เตรียมออกแคมเปญในงานมอเตอร์โชว์มีนาคมนี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญของโลก ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สอดรับกับแนวโน้มของเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีมาตรฐานเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรม โดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทย ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน โดยได้ลงนามในข้อตกลงครบทั้ง 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 ซึ่งประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงนี้เป็นอย่างมาก เพราะอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีความพร้อมในหลายด้าน และเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการตรวจสอบรับรองที่มีความพร้อม เช่น สถาบันยานยนต์ และศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) หากศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ ซึ่งเป็นสนามทดสอบแห่งแรกในอาเซียนก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมให้บริการ จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มขึ้นไปอีก และด้วยศักยภาพของประเทศไทย ทำให้นักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านจับตามอง ดังเช่นที่ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์สัญชาติจีนได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตยานยนต์อย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง โดยประสบความสำเร็จได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. สำหรับรถยนต์รุ่น HAVAL H6 และเตรียมเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดว่าในปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังภาครัฐผ่อนปรนมาตรการป้องกันโควิด-19 คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6 ประกอบกับในเดือนมีนาคมนี้จะมีงานมหกรรมยานยนต์ คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น จากการออกรถยนต์รุ่นใหม่และการส่งเสริมการขายของผู้จำหน่ายภายในงาน” นายสุริยะฯ กล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์สัญชาติจีน ที่เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทย ได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ที่นิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง เมื่อปี 2562 หลังจากที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศยุติการผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนกว่า 22,600 ล้านบาท และมีกำลังการผลิต 80,000 คันต่อปี ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้กับคนไทยกว่า 8,000 คนแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะและเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ให้กับคนไทย ให้สามารถรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน
“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. 2540-2554 รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ เฉพาะด้านความปลอดภัย: สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับที่ 8 หรือยูโร 4 (EURO 4) จาก สมอ. สำหรับรถยนต์รุ่น HAVAL H6 เป็นรถยนต์ที่ สมอ. ควบคุมปริมาณสารมลพิษที่ปล่อยออกมาจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รถยนต์รุ่นดังกล่าวได้ผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมจะเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ในเดือนมีนาคมนี้ และคาดว่าน่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ในปีนี้คึกคักกว่าที่ผ่านมา” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39798 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คุมเข้ม! คัดกรองชายแดน สกัดโควิดเข้าประเทศ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
คุมเข้ม! คัดกรองชายแดน สกัดโควิดเข้าประเทศ
...
แม้สถานการณ์โควิด-19 ในบ้านเราจะส่งสัญญาณดีขึ้น แต่เพื่อความไม่ประมาท การเฝ้าระวังในพื้นที่ชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่อาจนำมาซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด จึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
.
นายกรัฐมนตรีจึงได้กำชับทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันชายแดนให้ประสานการทำงานกับตำรวจ ควบคู่กับการตรวจคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้ามาในประเทศทุกช่องทาง รวมถึงเตรียมกำลังพลและโรงพยาบาลสนามทั้ง 30 แห่ง ให้พร้อมรองรับการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้น
.
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือป้องกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศอย่างมีมาตรฐาน ทำให้ได้รับคำชื่นชมจากสมาคมคนไทยในบาเรนห์ และเอกอัครราชทูตไทยประจำบาเรนห์ด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39734 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวเกี่ยวกับ กฎกระทรวงคมนาคม | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวเกี่ยวกับ กฎกระทรวงคมนาคม
กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 กรณีให้ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม.
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวเกี่ยวกับกฎกระทรวงคมนาคม กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2564 กรณีให้ใช้ความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวงได้ 120 กม./ชม. เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในปัจจุบันตลอดจนความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยในทุกการเดินทางของประชาชน โดยมี นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการทระทรวงคมนาคม เข้าร่วมแถลงข่าว ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ลงนามในกฎกระทรวงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ขั้นตอนต่อไป กรมทางหลวง โดยผู้อำนวยการทางหลวงจะเป็นผู้ออกประกาศและกำหนดรายละเอียดสายทางที่จะบังคับใช้ความเร็วสูงสุดใหม่ ในเบื้องต้นได้มีนโยบายให้ใช้ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 จากต่างระดับบางปะอิน - ต่างระดับอ่างทอง กม. ที่ 4+100 - 50+000 ระยะทาง 50 กิโลเมตร เป็นโครงการนำร่องภายในเดือนมีนาคม 2564 และจะทยอยเปิดให้ใช้เส้นทางอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ก่อนเข้าพื้นที่จำกัดความเร็วที่ 120 กม./ชม. จะมีการใช้เครื่องหมายจำกัดความเร็วบนพื้นทาง (Optical Speed Bar) เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงการเข้าพื้นที่ควบคุมความเร็ว และการใช้ความเร็วที่เหมาะสมในแต่ละช่องทาง การใช้ Rumble Strip ในแต่ละช่องสำหรับเตือนผู้ขับขี่ให้ทราบเกี่ยวกับการใช้ความเร็ว และติดตั้งป้ายแสดงความเร็วจำกัดของยานพาหนะประเภทอื่น ๆ ที่บังคับใช้ความเร็วต่ำกว่า และเมื่อเข้าสู่พื้นที่จำกัดความเร็วจะมีการติดตั้งป้ายจำกัดความเร็วแบบแขวนสูง 2 รูปแบบ ได้แก่ ป้ายจำกัดความเร็วแต่ละช่องการเดินรถ ป้ายสัญญาณไฟจราจรแขวนสูงแบบ Variable Message Sign (VMS) ป้ายสัญญาณจราจรติดข้างทาง อาทิ ป้ายบังคับ ป้ายเตือน ป้ายจำกัดความเร็ว และป้ายสุดเขตบังคับ รวมถึงแถบเส้นสีขาวในช่องทางขวาสุดแสดงช่องว่างให้ผู้ขับขี่ควรเว้นระยะห่าง ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสังเกตป้ายสัญญาณจราจรและขับขี่ด้วยความระมัดระวัง รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้ทางปฏิบัติตามป้ายสัญญาณจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อความสะดวกและปลอดภัย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวง กระทรวงฯ ได้พิจารณาจากความปลอดภัยเป็นสำคัญทั้งลักษณะทางกายภาพ สภาพการใช้พื้นที่และการอยู่อาศัย ซึ่งพบว่าสามารถปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดของรถยนต์ส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 90 กม./ชม. เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ทั้งนี้เฉพาะพื้นที่ที่มีความปลอดภัย ทางกายภาพซึ่งจะต้องเป็นถนนที่มีมาตรฐานสูงขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไป ไม่มีจุดตัดหรือจุดกลับรถเสมอระดับถนน มีการแบ่งทิศทางจราจรอย่างชัดเจน และมีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น (Barrier Median) โดยกำหนดความเร็ว ขั้นต่ำสำหรับช่องจราจรขวาสุดไว้ไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุชนท้ายกันในช่องทางที่รถวิ่งด้วยความเร็ว พร้อมทำการปักป้ายกำกับความเร็วตลอดแนวเส้นทางโดยวิศวกรของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ในเขตชุมชนหรือเขตโรงเรียน ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ในบริเวณทางโค้ง ทางแยก หรือทางกลับรถ ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. บริเวณทางตรงซึ่งสามารถทำความเร็วได้ แต่ต้องไม่เกินตามที่ป้ายกำหนด โดยผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรและขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนตลอดการเดินทาง สำหรับรถประเภทอื่น ๆ ได้มีการพิจารณาปรับกำหนดความเร็วขึ้นตามความเหมาะสม ดังนี้
1. รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
2. รถในขณะลากจูงรถอื่น รถสี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม.
3. รถจักรยานยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เว้นแต่รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ หรือกระบอกลูกสูบรวม 400 CC. ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม.
4. รถโรงเรียนใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. และรถโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.
นอกจากนี้ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีแผนดำเนินการติดอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยและป้ายจำกัดความเร็วบนสายทางที่มีลักษณะทางกายภาพเหมาะสมกับการใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. โดยใช้เงินจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของกรมการขนส่งทางบก และสำรวจการก่อสร้างสะพานลอยสำหรับข้ามทางหลวงเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์ สามารถสัญจรได้สะดวกรวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดที่ปรากฎในกฎกระทรวงให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎจราจร ควบคุมความเร็วที่กฎหมายกำหนด สังเกตป้ายเตือนความเร็วต่าง ๆ ที่ได้กำหนดความเร็วไว้ในช่องทางเดินรถที่เหมาะสม แต่ละช่องทางเพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39891 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ร่วมชื่นชมเยาวชนไทย เนื่องในวันสตรีสากล | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
นฤมล ร่วมชื่นชมเยาวชนไทย เนื่องในวันสตรีสากล
- -
เมื่อวานนี้ (วันที่ 7 มีนาคม 2563) ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมงานเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล ร่วมกับคณะเอกอัครราชทูตหญิงและผู้นำหญิงขององค์กรภายใต้สหประชาชาติ (UN) รวมถึงมอบใบประกาศให้แก่ผู้ชนะการประกวด “Ambassador for a Day Contest” โดยมี H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda, Ambassador of Switzerland ให้เกียรติต้อนรับ ณ ทำเนียบเอกอัครราชฑูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การร่วมงานในครั้งนี้ ได้ร่วมมอบใบประกาศและเฉลิมฉลองให้แก่ผู้ชนะการประกวดวิดีโอสั้นเกี่ยวกับมุมมองประเด็นทางสังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมของสถานเอกอัครราชทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย ร่วมกับ เครือข่ายเอกอัครราชทูตและผู้นำสตรีขององค์กรสหประชาชาติในประเทศไทย ที่ได้เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาชาวไทยอายุระหว่าง 18 – 25 ปี ได้แสดงออกมุมมองเกี่ยวกับปัญหาหรือเรื่องราวที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กในสังคม พร้อมอธิบายการเข้าไปมีส่วนร่วมหรือดำเนินการช่วยเหลือในสถานการณ์นั้น ๆ รวมถึงให้แนวทางการสนับสนุนในการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 25 คน ที่จะได้ทำหน้าที่เป็น Ambassador for a Day รวมถึงได้เรียนรู้ประสบการณ์ทางการทูตในระดับสูง เข้าร่วมประชุม และทำกิจกรรมอื่น ๆ ของสถานทูตร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กในสังคมต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39710 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประวัติศาสตร์ บรรจุ “มวยไทย” แข่งใน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ประวัติศาสตร์ บรรจุ “มวยไทย” แข่งใน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023”
...
สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย
ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา
“ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์
นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้
.
เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก
สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA)
ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย
ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้
.
เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี)
ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม
เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา
ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น
.
โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรป
ทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย
ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม
.
สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น
เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป
ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง
โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023
ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน
.
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก
ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39568 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งขับเคลื่อนกิจกรรมหนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
ดีอีเอส เร่งขับเคลื่อนกิจกรรมหนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
ดีอีเอส เร่งขับเคลื่อนกิจกรรมหนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม MDES ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ อาทิ การเปิดโครงข่ายภายใต้โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต (OpenAccessNetwork), (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการสื่อสารแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ระยะ 5 ปี (พ.ศ. ........) พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (Zone C) (โครงการเน็ตห่างไกล) ของสำนักงาน กสทช. และความคืบหน้าหน้าการดำเนินงานโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ภายใต้ กิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งร่วมพิจารณาเรื่องสืบเนื่อง เกี่ยวกับ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565–2570) (สดช.) เป็นต้น
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40268 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา หารือ เอกอัครราชทูตแคนาดาฯ พร้อมสนับสนุนการพัฒนาร่วมกันทุกสาขาที่มีศักยภาพ นำดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารประเทศ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
รมต.อนุชา หารือ เอกอัครราชทูตแคนาดาฯ พร้อมสนับสนุนการพัฒนาร่วมกันทุกสาขาที่มีศักยภาพ นำดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารประเทศ
รมต.อนุชา หารือ เอกอัครราชทูตแคนาดาฯ พร้อมสนับสนุนการพัฒนาร่วมกันทุกสาขาที่มีศักยภาพ นำดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารประเทศ
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางซาราห์ เทย์เลอร์ (H.E. Mrs. Sarah Taylor) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่องครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ทั้งสองประเทศจะพัฒนาเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือในมิติต่างๆ โดยเฉพาะในสาขาที่มีศักยภาพ ถือโอกาสกล่าวขอบคุณแคนาดาสำหรับการให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ในการจัดหาชุดตรวจโรคโควิด-19 อุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ ให้กับ 40 ประเทศรวมถึงไทย
เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย ยินดีที่ได้เข้ารับตำแหน่ง ชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-แคนาดาที่ดำเนินมาอย่างราบรื่นและแน่นแฟ้น ขอขอบคุณรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่ประสบความสำเร็จในการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ด้วยดี นอกจากนี้ เอกอัคราชทูตฯ เห็นพ้องกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านเศรษฐกิจ ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของแคนาดาในอาเซียน และแคนาดาสนใจที่จะเข้าร่วมเขตการค้าเสรี ASEAN - Canada ทั้งนี้ เสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณากรอบความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership – CPTPP) ซึ่งทางรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรอบที่มีความสำคัญและประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาที่อาจจะมีข้อสงวนบางประการ ซึ่งในโอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น จะผลักดันให้ตัวเลขทางการค้าระหว่างกันดีขึ้น
ทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไม่ขัดข้องต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ต้องดำเนินการตามแนวทางที่กฎหมายบัญญัติไว้ ตามกระบวนการของรัฐสภา และแนวทางสันติวิธีเป็นแนวคิดหลักที่รัฐบาลยึดถือ ทั้งนี้เอกอัครราชทูตฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่าเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุน พร้อมขอบคุณในมิตรไมตรี และเจตนาที่ดีของเอกอัครราชทูตฯ ที่มีต่อรัฐบาลไทย
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันและได้หารือในแนวทางการนำดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารประเทศ และจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล ซึ่งแคนาดามีศักยภาพ โดยไทยก็เห็นความสำคัญ และมีนโยบายที่จะมุ่งการพัฒนา BCG Model (Bio Circular Green Economy) พร้อมกับการขับเคลื่อนประเทศไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูกัลยา ผนึกกำลัง 6 หน่วยงานการศึกษาวิทยาศาสตร์ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “วิทยาศาสตร์พลังสิบ” พร้อมเริ่มปีการศึกษา 2564 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ครูกัลยา ผนึกกำลัง 6 หน่วยงานการศึกษาวิทยาศาสตร์ ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน “วิทยาศาสตร์พลังสิบ” พร้อมเริ่มปีการศึกษา 2564
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงข่าวประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงข่าวประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โดยมี นายกวินทร์เกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), นายวิวัฒน์ เรืองเลิศปัญญากุล ผู้อำนวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์, นางปานสิริ พันธุ์สุวรรณ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในฐานะผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, นางสาวดวงพร ภู่ผะกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ในฐานะผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ, นางชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ โรงแรมบางกอกชฎา กรุงเทพมหานคร
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศธ. และรักษาราชการแทน รมว.ศธ. กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในครั้งนี้ เป็นการขับเคลื่อนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อมุ่งพัฒนาสมรรถนะนักเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านกระบวนการของหลักสูตรและเครือข่ายการพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัย โรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน (Peer Learning Network) โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ เป็นระยะเวลา 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2573) วงเงิน 9,619 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการให้เร็วที่สุดภายในปีการศึกษา 2564
ทั้งนี้ จะมีการเริ่มต้นคัดเลือกสถานศึกษา จำนวน 200 โรงเรียน มาพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี แบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 100 โรงเรียน และโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 100 โรงเรียน เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่โรงเรียนเครือข่าย จำนวน 2,000 โรงเรียน โดยแต่ละศูนย์ฝึกอบรมจะดูแล จำนวน 10 โรงเรียนเครือข่าย
โดยจะฝึกอบรมและพัฒนาครูในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้นักเรียนที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพตามมาตรฐานโครงการ โดยจะมีนักเรียนในโครงการที่สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 234,000 คน สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 234,000 คน และสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 234,000 คน
นอกจากนี้ สสวท. มีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานและหลักสูตรของโครงการ ในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น โดยอบรมและพัฒนาครูร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเครือข่ายเพื่อพัฒนาครูผู้สอน พร้อมทั้งจะมีการวิจัยหลักสูตร วิธีการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับสถานศึกษาในโครงการ โดยประสานความร่วมมือกับเครือข่าย เพื่อนำองค์ความรู้ด้านการพัฒนาหลักสูตร สื่อ และกระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาครูและสะเต็มศึกษาสำหรับการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 มาร่วมส่งเสริมโครงการอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีหลักสูตรสำหรับพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ฯ ทุกระดับชั้น พร้อมทั้ง มีหลักสูตรอบรมครูที่หลากหลายรูปแบบ ระบบการอบรมครูผ่านออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับครูทุกคน และมีคลังเครื่องมือการวัดประเมินผลที่เทียบมาตรฐานสากล (PISA) และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย ที่พร้อมจะนำไปส่งเสริม สนับสนุนได้อย่างเหมาะสม เพียงพอและมีประสิทธิภาพสำหรับโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบต่อไป
สุดท้ายนี้ โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ยังได้รับการสนับสนุนจาก ทปอ. ทปอ.มรภ. และ สวทช. อีกด้วย โดยทั้งสามหน่วยจะช่วยสนับสนุน กำกับ และติดตามการใช้หลักสูตรด้วยกระบวนการเครือข่ายชุมชนพัฒนาวิชาชีพ หรือ PLC รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงหรืออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานแก่นักเรียนในโครงการ และให้คำปรึกษาแก่โรงเรียนเครือข่ายในการดำเนินกิจกรรมพัฒนานักเรียน ตลอดจนร่วมพัฒนาศักยภาพนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษามีประสบการณ์สอนในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการและมีส่วนร่วมการกำกับและติดตามกระบวนการ PLC เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบด้วย
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป/ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39906 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตร | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตร
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ จ.นครศรีธรรมราช
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมรับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ว่า โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสังข์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จราชดำเนินทอดพระเนตร บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำคลองสังข์ และทรงมีพระราชดำริให้กรมชลประทาน พิจารณาวางแผนโครงการก่อสร้างฝายทดน้ำ และอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำคลองสังข์ เพื่อจัดหาแหล่งน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอทุ่งใหญ่ ให้มีน้ำไว้สำหรับอุปโภค-บริโภค ทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ และสามารถบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะเทศบาลตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ ซึ่งเกิดน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
ทั้งนี้ ยังมีพี่น้องประชาชนไม่ประสงค์ให้สร้างอ่างเก็บน้ำ 30 ราย เนื้อที่รวม 231 – 0 - 2.2 ไร่ คิดเป็น 3.32% ของพื้นที่ที่ใช่ในการก่อสร้าง จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับชาวบ้าน และทาง คทช.จังหวัดนครศรีธรรมราช มีมติเห็นชอบกําหนด พื้นที่เป้าหมายจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ตามนโยบายในท้องที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพิ่มเติม จํานวนเนื้อที่ 4,600 – 0 – 00 ไร่ ซึ่งพื้นที่แปลงนี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองกรุงหยัน ท้องที่ตําบลกุแหระ อําเภอ ทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เสนอกรมป่าไม้พิจารณาอนุญาต โดยส่วนใหญ่แล้ว พี่น้องประชาชนนั้น ยินยอมให้สร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ แต่ยังคงมีบางส่วนยังกังวลในความปลอดภัยในการสร้าง พร้อมทั้งควรมีแผนพัฒนาโครงการที่จะสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ และต้องมีความชัดเจนของค่าชดเชยที่เหมาะสม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39631 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดอบรมหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รุ่นที่ ๒๖ - กรมคุ้มครองสิทธิผนึกเซ็น MOU ร่วม ๖ มหาวิทยาลัย หวังช่วยประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม ลดความขัดแย้งเกิดความสมานฉันท์มากขึ้ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม เปิดอบรมหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รุ่นที่ ๒๖ - กรมคุ้มครองสิทธิผนึกเซ็น MOU ร่วม ๖ มหาวิทยาลัย หวังช่วยประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม ลดความขัดแย้งเกิดความสมานฉันท์มากขึ้
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดอบรมหลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รุ่นที่ ๒๖ - กรมคุ้มครองสิทธิผนึกเซ็น MOU ร่วม ๖ มหาวิทยาลัย หวังช่วยประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม ลดความขัดแย้งเกิดความสมานฉันท์มากขึ้นในสังคม
ในวันศุกร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องเมจิก ๓ ชั้น ๒ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.๒๕๖๒ รุ่นที่ ๒๖ และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์วิทยาลัยทองสุข การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ลงนามร่วมกับ ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ดร.ฉัททวุฒิ พีชผล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ดร.พรจิต อรัณยกานนท์ อธิการบดีวิทยาลัยทองสุข นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และ นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.โฆสิต สุวินิจจิต ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พัฒนาและบูรณาการเครือข่ายภาคประชาชน กระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหาร ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายเรืองศักดิ์ กล่าวรายงานว่า การฝึกอบรมหลักสูตรการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตาม พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ รุ่นที่ ๒๖ กำหนดจัดระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔ และวันที่ ๑๘ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔ มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน ๕๐ คน ซึ่งเมื่อสำเร็จการฝึกอบรมแล้วจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามกฎหมาย และในวันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้จัดพิธีลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี ๖ หน่วยงาน คือ การเคหะแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ และวิทยาลัยทองสุข เพื่อบูรณาการดำเนินงานด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การขับเคลื่อนแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม
นายสมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงยุติธรรมให้ความสำคัญในการนำความยุติธรรมไปสู่ประชาชน อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความเสมอภาคทุกชนชั้น ดั้งนั้น พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.๒๕๖๒ ถือเป็นกฎหมายที่จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพนักงานสอบสวน และภาคประชาชนสามารถอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร เกิดความเท่าเทียมกันและเสมอภาคทุกชนชั้น สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและนโยบายรัฐบาล
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามกฎหมาย เป็นการดำเนินการให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลงกัน ระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีและปราศจากการวินิจฉัยข้อพิพาท และให้ข้อตกลงอันเกิดจากความตกลงยินยอมของคู่กรณีมีสภาพบังคับตามกฎหมาย ซึ่งทุกท่านที่ได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนี้ ถือว่าเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในวันนี้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและสถาบันการศึกษา ให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงานด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขับเคลื่อนแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยสะดวก รวดเร็วและเป็นธรรมอย่างแท้จริง ทำให้ปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลลดน้อยลง ลดปัญหาความขัดแย้ง เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในสังคม
-------------------------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19
ธปท. ร่วมกับกระทรวงการคลัง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เสนอ 2 มาตรการใหม่ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจให้พร้อมรับมือกับโลกยุคหลัง COVID-19
เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการระบาดของ COVID-19 นับตั้งแต่ปี 2563 แม้ปัจจุบันจะทยอยฟื้นตัวได้ แต่ต้องใช้เวลา โดยคาดว่าเศรษฐกิจกลับสู่ระดับก่อน COVID-19 ได้ในไตรมาส 3 ปี 2565 นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว อาทิ กลุ่มท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งมีการจ้างงานสูงกว่า 10 ล้านคน และต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาด สถานการณ์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและยังมีความไม่แน่นอนสูงดังกล่าว ทำให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น รวมถึงบางส่วนที่มีหนี้เดิมค้างชำระอยู่ อาจมีข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ยังไม่สามารถประเมินรายได้และกระแสเงินสดได้
การให้ความช่วยเหลือเยียวยาระยะสั้นของภาครัฐแก่ลูกหนี้ในปัจจุบัน ผ่าน “พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan)” ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 จึงยังไม่เพียงพอรองรับสถานการณ์ที่ยาวนานกว่าที่คาดไว้ ธปท. และกระทรวงการคลัง จึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อร่าง “มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการฟื้นฟูฯ)” วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท มีระยะเวลาเบิกเงินกู้ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ และขยายต่ออายุได้อีก 1 ปีหากมีเหตุจำเป็น
มาตรการฟื้นฟูฯ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถประคับประคองกิจการ พยุงระดับการจ้างงาน และมีโอกาสในการฟื้นฟูศักยภาพ รองรับโลกยุคหลังวิกฤต COVID-19 โดยออกแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบัน และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้รองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงครอบคลุมการแก้ปัญหาให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต่างกันในแต่ละภาคธุรกิจ โดยในการจัดทำมาตรการในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน และภาคเอกชน อาทิ หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและสอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจำแนกมาตรการเป็น 2 หมวด ตามลักษณะปัญหาที่ต่างกัน ดังนี้
1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท มุ่งเน้นให้สถาบันการเงินส่งผ่านสภาพคล่องดังกล่าวแก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ ซึ่งได้ปรับปรุงข้อจำกัดจากมาตรการครั้งที่แล้ว โดยขยายขอบเขตลูกหนี้ให้ครอบคลุมทั้งลูกหนี้รายเดิมและลูกหนี้รายใหม่ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น พร้อมกับรองรับการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา ด้วยการปรับเพิ่มวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ขยายระยะผ่อนชำระให้ยาวขึ้น และกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เอื้อต่อการฟื้นฟูกิจการยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภาครัฐยังสนับสนุนกลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ ธปท. สนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเพื่อให้เกิดการส่งผ่านสภาพคล่องไปยังกลุ่มเป้าหมาย
2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มุ่งเน้นในการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว แต่ยังมีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อหยุดหรือลดภาระหนี้ภายใต้เงื่อนไขสัญญามาตรฐานที่กำหนด อาทิ ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์คืนเป็นลำดับแรกในราคาต้นทุน ภายในระยะเวลา 3-5 ปี เท่ากับราคาตีโอนบวกด้วยต้นทุนการถือครองทรัพย์ (carrying cost) ร้อยละ 1 ต่อปีของราคาตีโอน และต้นทุนในการดูแลรักษาทรัพย์ตามที่จ่ายจริงและสมควรแก่เหตุ โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเช่าทรัพย์กลับมาดูแลหรือเปิดดำเนินการและสถาบันการเงินจะนำค่าเช่าที่ได้รับไปหักออกจากราคาที่ขายคืนทรัพย์ให้กับลูกหนี้ เพื่อช่วยรักษาโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์ (fire sale) สามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทั้งนี้ ธปท. ให้การสนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเท่ากับมูลค่าทรัพย์ที่สถาบันการเงินและลูกหนี้แต่ละรายตกลงร่วมกัน และภาครัฐสนับสนุนยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาษีและค่าธรรมเนียมในการตีโอนทรัพย์ ทั้งขารับโอนและขายคืนให้กับลูกหนี้รายเดิม
ในการให้ความช่วยเหลือภายใต้มาตรการฟื้นฟูฯ ได้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรทั้งของภาครัฐและเอกชนให้เกิดประสิทธิผลและมีประโยชน์สูงสุด โดยสภาพคล่องจะถูกส่งผ่านไปยังกลุ่มลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ รักษาการจ้างงาน พัฒนาทักษะแรงงานและปรับรูปแบบธุรกิจ ให้กลับมาสร้างรายได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ ธปท. และ ภาครัฐยังมีนโยบายลักษณะอื่นเพื่อรองรับความต้องการที่ต่างกัน อาทิ กลุ่มรายย่อยที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว ภาครัฐมีนโยบายเสริมสภาพคล่อง โดยเพิ่มรายได้ผ่านโครงการต่าง ๆ สำหรับกลุ่มที่ต้องแก้ไขหนี้เดิม มีมาตรการพักหนี้ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อเร่งบรรเทาปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากนี้ ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การปรับฐานและอัตราการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและมีปัญหาในการชำระหนี้ เพื่อช่วยลดภาระและสร้างความเป็นธรรมในการใช้บริการทางการเงินของประชาชน รวมถึงลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบการเงิน
ที่ผ่านมา ภาครัฐ สถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ และสมาคมหรือสภาต่าง ๆ ในฐานะลูกหนี้ ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการพิจารณาถึงรูปแบบของมาตรการที่เน้นสนับสนุนให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือตามกลไกตลาด และประสานประโยชน์ร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและบริบทของเศรษฐกิจไทย ซึ่งทุกฝ่ายมีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการนี้ โดยธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจให้กลับฟื้นตัวและแข่งขันได้ เช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและตอบสนองนโยบายของรัฐในการลดช่องว่างทางการเงิน นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ยังได้รับผลกระทบ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการฟื้นฟูฯ เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และพร้อมกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แข็งแรง และแข่งขันได้ ทั้งนี้ คาดว่า มาตรการฟื้นฟูฯ จะเริ่มดำเนินการได้เร็วที่สุดภายหลังแล้วเสร็จตามขั้นตอนการออกกฎหมาย
ติดตามการแถลงข่าวได้ที่ลิ๊งค์
https://www.facebook.com/bankofthailandofficial/videos/279523717068743/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันเคารพกติกาของพรรคการเมืองในการคัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่าง | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรียืนยันเคารพกติกาของพรรคการเมืองในการคัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่าง
นายกรัฐมนตรียืนยันเคารพกติกาของพรรคการเมืองในการคัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่าง
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์กรณีการคัดสรรรัฐมนตรีในตำแหน่งที่ว่างลงว่า ตนเคารพกติกาของพรรคการเมือง และนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่คัดสรรคนที่ถูกเสนอเข้ามาบรรจุเป็นรัฐมนตรีทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งไม่มีปัญหาใด ๆ ขอให้ติดตามการตัดสินใจในตอนท้าย พร้อมชี้แจงการพัฒนาระบบการขนส่งมวลชนระบบราง ทุกสายอยู่ในกระบวนการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยคณะทำงานต่างๆ เป็นความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน หากมีการฟ้องร้องก็ต้องหาวิธีการแก้ปัญหา ทุกอย่างต้องร่วมมือกันหาทางแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางด้านกฎหมายต่างๆ
.................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39574 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.Medical Hub เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมในสถานกักตัว รองรับเปิดประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
คกก.Medical Hub เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมในสถานกักตัว รองรับเปิดประเทศ
คณะกรรมการ Medical Hub เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมในสถานกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ เตรียมจัดทำหลักเกณฑ์มาตรฐานกลาง เพื่อรองรับการเปิดประเทศในอนาคต พร้อมเห็นชอบรูปแบบการท่องเที่ยว 3 พื้นที่ ภูเก็ต สมุย เชียงคาน
คณะกรรมการ Medical Hub เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมในสถานกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ เตรียมจัดทำหลักเกณฑ์มาตรฐานกลาง เพื่อรองรับการเปิดประเทศในอนาคต พร้อมเห็นชอบรูปแบบการท่องเที่ยว 3 พื้นที่ ภูเก็ต สมุย เชียงคาน
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
ดร.สาธิตกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับรูปแบบสถานกักกันผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และการผ่อนคลายกิจกรรมในสถานกักกันตามที่ ศบค.กำหนด เพื่อรองรับการเปิดประเทศ ทั้งสถานกักกันทางเลือก (Alternative Quarantine) ที่ให้ผู้กักตัวใช้ห้องฟิตเนส ออกกำลังกายกลางแจ้ง ใช้สระว่ายน้ำ ปั่นจักรยานในพื้นที่ปิด และสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพที่ให้มีกิจกรรมในห้องจัดกิจกรรม ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในที่พัก การประชุมทางธุรกิจ การจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ หรือประกวดนางงาม เป็นต้น โดยมอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจัดทำหลักเกณฑ์และข้อกำหนดกลางมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานรองรับต่อไป รวมทั้งเห็นชอบหลักการรูปแบบการท่องเที่ยว Sand Box ในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว 3 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และเชียงคาน จ.เลย ภายใต้เงื่อนไขการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวภายในพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) จากการทำประชาพิจารณ์ นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่จะต้องได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว มีมาตรการควบคุมการเข้าออกพื้นที่ มีระบบติดตามตัว และมีความพร้อมด้านสาธารณสุข
************************************ 25 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40373 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ไหนก็ทำได้!! ลูกค้า ธอส. สามารถแก้ไข เบอร์โทร / E-Mail / ที่อยู่จัดส่งเอกสาร ผ่าน Application : GHB ALL ได้ทันที | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ที่ไหนก็ทำได้!! ลูกค้า ธอส. สามารถแก้ไข เบอร์โทร / E-Mail / ที่อยู่จัดส่งเอกสาร ผ่าน Application : GHB ALL ได้ทันที
ธอส.พัฒนาบริการดิจิทัล เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าของธนาคารในยุค New Normal ที่ต้องการแก้ไขหรือ Update ข้อมูลสำคัญของตนเอง ดำเนินการได้ด้วยตนเองผ่าน Application : GHB ALL ง่าย ๆ ในขั้นตอนเดียว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พัฒนาบริการดิจิทัล เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าของธนาคารในยุค New Normal ที่ต้องการแก้ไขหรือ Update ข้อมูลสำคัญของตนเองประกอบด้วย 1.หมายเลขโทรศัพท์มือถือ 2.E-Mail และ 3.ที่อยู่สำหรับจัดส่งเอกสาร สำหรับใช้ในการติดต่อรับข้อมูลสำคัญต่างๆ ของธนาคาร สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองผ่าน Application : GHB ALL ง่าย ๆ ในขั้นตอนเดียว เพียงกดเลือกฟังก์ชั่น “แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล” และเลือกแก้ไขข้อมูลตามที่ต้องการ Update ได้ทันทีด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อรับข้อมูลหรือเอกสารสำคัญจากธนาคาร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ www.ghbank.co.th หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39585 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำรับวัคซีนโควิดครบ 2 เข็มช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แจงแนวทางกระจายล็อตใหม่ 8 แสนโดส | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
สธ.ย้ำรับวัคซีนโควิดครบ 2 เข็มช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แจงแนวทางกระจายล็อตใหม่ 8 แสนโดส
กระทรวงสาธารณสุขย้ำผู้รับวัคซีนโควิด 19 ให้ไปรับวัคซีนเข็มที่สองตามนัด เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เผยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 5,862 ราย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนวัคซีนล็อตใหม่ 8 แสนโดส กระจายให้ 3 พื้นที่ 22 จังหวัด
กระทรวงสาธารณสุขย้ำผู้รับวัคซีนโควิด 19 ให้ไปรับวัคซีนเข็มที่สองตามนัด เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเผยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 5,862 ราย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนวัคซีนล็อตใหม่ 8 แสนโดส กระจายให้ 3 พื้นที่ 22 จังหวัด เหลือสำรองให้จังหวัดที่มีการระบาด
วันนี้ (24 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 23 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนไปแล้ว 102,050 โดส แบ่งเป็นผู้รับวัคซีนเข็มแรก 96,188 ราย และรับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
5,862 ราย ทั้งนี้ผู้ที่รับวัคซีนเข็มแรกแล้วขอให้ไปรับวัคซีนเข็มที่ 2 ตามนัด เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ โดยวัคซีนจะช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ หากประมาทและการ์ดตก ดังนั้น ผู้ที่รับวัคซีนแล้วขอให้คงการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ลดความแออัด และล้างมือบ่อยๆ
“ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนจะได้เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด 19 ที่มีรายละเอียดของบุคคล วันที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 รายชื่อผู้ที่รับรองการฉีดวัคซีน โดยจะมีคิวอาร์โคดสแกนเพื่อแสดงข้อมูลทางดิจิทัลได้ด้วย นอกจากนี้ ยังให้ใบรับรองดิจิทัลผ่านไลน์หมอพร้อมด้วย กรณีเดินทางระหว่างประเทศก็สามารถใช้เป็นเอกสารเริ่มต้นในการทำเอกสารรับรองการเดินทางระหว่างประเทศ ส่วนสมุดเล่มเหลืองหรือวัคซีนพาสปอร์ตต้องรอการตกลงร่วมกันกับประเทศปลายทางหรือตกลงร่วมกันในหลายประเทศผ่านองค์การอนามัยโลกหรือสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ” นายแพทย์โสภณกล่าว
ส่วนวัคซีนโควิด 19 ล็อตใหม่ที่ได้รับล่าสุดจำนวน 8 แสนโดสอยู่ระหว่างการตรวจรับรองรุ่นการผลิต จากนั้นองค์การเภสัชกรรมจะส่งมอบให้แก่กรมควบคุมโรค เพื่อจัดสรรและกระจายไปยังพื้นที่เป้าหมายต่อไปโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ได้เห็นชอบแผนการจัดสรรและการกระจายวัคซีนใน 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมการระบาด 6 จังหวัด, พื้นที่ท่องเที่ยว 8 จังหวัด และพื้นที่ชายแดน 8 จังหวัด รวม 22 จังหวัด จำนวน 5.9 แสนโดส ทั้งนี้ จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเป็นครั้งแรกขอให้เน้นการฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นลำดับแรก
ส่วนวัคซีนที่เหลืออีก 2.1 แสนโดส จะให้กับบุคลากรสาธารณสุข อสม. และเจ้าหน้าที่กลุ่มอื่นๆ ที่จำเป็นในจังหวัดอื่นนอกเหนือจาก 22 จังหวัดนี้ เนื่องจากมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เช่นกัน หรือเป็นจังหวัดที่ไม่มีการระบาดแต่รับส่งต่อผู้ป่วยมาจากจังหวัดที่มีการระบาด หรือรักษาผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่น เช่น ศรีสะเกษ และมุกดาหาร ที่มีผู้ติดเชื้อเดินทางมาจากจังหวัดที่พบการระบาดกลับภูมิลำเนา แพทย์ พยาบาลที่ดูแลรักษา
ก็มีโอกาสเสี่ยงได้ จึงได้รับการจัดสรรวัคซีนด้วย รวมถึงผู้ที่มีความจำเป็นในการเดินทางระหว่างประเทศเช่น นักการทูตไทยที่เดินทางไปประจำการในต่างประเทศ นักกีฬาทีมชาติไทยที่จะไปแข่งในต่างประเทศ หรือกลุ่มอื่นๆ ที่มีภารกิจเดินทางระหว่างประเทศและปลายทางกำหนดให้มีการฉีดวัคซีนโควิด 19 นอกจากนี้ยังเตรียมไว้สำหรับการควบคุมการระบาดในจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจาก 22 จังหวัด จะได้มีวัคซีนใช้
ในการควบคุมจำกัดการแพร่ระบาด
*************************** 24 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40324 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัด ทส. ร่วมประชุมพัฒนาคลองแสนแสบ มุ่งสู่คลองสวย น้ำใส ปลอดภัยกับประชาชน” | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
“ปลัด ทส. ร่วมประชุมพัฒนาคลองแสนแสบ มุ่งสู่คลองสวย น้ำใส ปลอดภัยกับประชาชน”
“ปลัด ทส. ร่วมประชุมพัฒนาคลองแสนแสบ มุ่งสู่คลองสวย น้ำใส ปลอดภัยกับประชาชน”
“ปลัด ทส. ร่วมประชุมพัฒนาคลองแสนแสบ มุ่งสู่คลองสวย น้ำใส ปลอดภัยกับประชาชน”
วันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ทตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการแผนปฏิบัติการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ
ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม แก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ พัฒนาเส้นทางสัญจรให้เกิดความปลอดภัย อีกทั้งยังได้หารือถึงแนวทางการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรในคลองแสนแสบด้วย ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการดำเนินงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมโรงงานอุตสาหกรรม องค์การจัดการน้ำเสีย กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน และจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นต้น
นายจตุพร ได้เสนอในที่ประชุม ถึงการสร้างการรับรู้แก่พี่น้องประชาชน เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่ประธานการประชุมจะเน้นย้ำถึงการดำเนินงาน ต้องให้เกิดความรวดเร็ว และใช้งบประมาณอย่างประหยัด คุ้มค่า อีกทั้ง อย่างน้อยคลองแห่งนี้จะต้องมีน้ำใส และสร้างความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนที่ใช้เส้นทางในการคมนาคมด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40104 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่ปิดกั้นเอกชน! นำเข้าและใช้วัคซีนโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
ไม่ปิดกั้นเอกชน! นำเข้าและใช้วัคซีนโควิด-19
...
การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในระยะแรกนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องเป็นผู้บริหารจัดการก่อนในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือ GtoG เพราะถือเป็นการใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Use) เนื่องจากเหตุผลความจำเป็นทางการแพทย์ เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างระบบที่มีมาตรฐาน ก่อนที่จะนำวัคซีนไปใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต
.
สำหรับภาคเอกชนที่ประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายปิดกั้นใด ๆ โดยจะต้องยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน
.
ปัจจุบันมีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกรณีฉุกเฉินแล้ว 2 ราย คือ
- วัคซีนแอสตราเซนเนกา ของบริษัท แอสตราเซนเนกา (ประเทศไทย) จำกัด
- วัคซีนซิโนแวค ที่นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม
.
ส่วนวัคซีนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบอีก 2 ราย คือ
- วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยบริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด
- วัคซีนของบารัต ไบโอเทค โดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39851 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
ในวันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องทำงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๑๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
เพื่อติดตามความคืบหน้ากิจกรรมปฏิรูปที่ ๑ มีกลไกยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย
ที่สร้างภาระหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพของประชาชน
ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย (ฉบับปรับปรุง)
พร้อมทั้งพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ จำนวน ๘ คณะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ปีติใต้ร่มพระปรีชา น้อมรำลึก "พระบิดาแห่งช่างไทย" | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน ปีติใต้ร่มพระปรีชา น้อมรำลึก "พระบิดาแห่งช่างไทย"
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย” พร้อมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ และกิจกรรมวันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ 2 มีนาคม 2564 จากภาครัฐและภาคเอกชน
วันที่ 2 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานจัดงาน“วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งภายในงานมีพิธีถวายราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย” โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีวางพานพุ่มสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
นายสุชาติ เปิดเผยว่า วันที่ 2 มีนาคมของทุกปีเป็นวันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ซึ่งวันนี้เมื่อปี พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานแนะแนวอาชีพและแข่งขันฝีมือช่างแห่งชาติ ณ ลุมพินีสถานและพระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับการช่างของไทย ความตอนหนึ่งว่า “...ช่างทุกประเภท เป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของบ้านเมืองและของทุกคน เพราะตลอดชีวิตของเรา เราต้องอาศัยและใช้บริการหรือสิ่งต่างๆ ที่มาจากฝีมือของช่างอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผู้เป็นช่าง จึงสมควรได้รับความเอาใจใส่สนับสนุนจากทุกๆ ฝ่าย ยิ่งในสมัยปัจจุบันวิทยาการทุกอย่างเจริญก้าวหน้า ยิ่งจำเป็นต้องส่งเสริมมากเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ช่างที่มีความสามารถสูงให้มีสิ่งใช้สอยที่มีคุณภาพดีและเพียงพอกับความต้องการ ในการส่งเสริมนั้น มีปัญหาอันควรจะได้พิจารณาช่วยเหลืออยู่สามประการ ประการแรก ได้แก่ ปัญหาเรื่องการให้ความรู้ทางหลักวิทยาการ และความรู้ทางการออกแบบ ประการที่สอง ได้แก่ ปัญหาเรื่องฝีมือ ซึ่งจะต้องปรับปรุงให้มีความประณีตและประสิทธิภาพได้มาตรฐานจริงๆ ประการที่สาม ได้แก่ ปัญหาเรื่องการจัดหางานและหาตลาด เพื่อช่วยให้ช่างได้มีงานทำ มีตลาดที่จะส่งสินค้าที่ผลิตได้ไปจำหน่าย การช่วยเหลือ ทั้งสามประการนี้ จะต้องกระทำให้สอดคล้องกันไป เพื่อให้ช่างมีรายได้และผลกำไร สำหรับนำมาเป็นทุนรอนสร้างฐานะและความก้าวหน้า ข้าพเจ้าใคร่ขอฝากความคิดทั้งนี้ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติของท่านทั้งหลายต่อไป”
จากกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกลที่มีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของช่างฝีมือที่มีบทบาทสำคัญต่อทุกคนในสังคม จึงจำเป็นต้องพัฒนาให้มีฝีมือตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพราะนั่นหมายถึงคุณภาพของสินค้าและบริการ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทย แม้จะผ่านมากว่า 50 ปีแล้ว ยังคงทันสมัยและนับวันจะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยกระทรวงแรงงานได้น้อมนำใส่เกล้ามาปฏิบัติในการพัฒนากำลังแรงงานให้มีฝีมือ พัฒนาสู่มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งด้านการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ สร้างการยอมรับในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและประชาคมโลกในที่สุด
สำหรับกิจกรรมในปีนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดพิธีถวายราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย” และนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ทั้งในส่วนกลาง คือที่กระทรวงแรงงาน และ ส่วนภูมิภาค ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัดทั่วประเทศ รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ นำบอร์ดดีอีเคาะงบ 500 ล้านดันโครงการนำร่อง 5จี | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
นายกฯ นำบอร์ดดีอีเคาะงบ 500 ล้านดันโครงการนำร่อง 5จี
นายกฯ นำบอร์ดดีอีเคาะงบ 500 ล้านดันโครงการนำร่อง 5จี
“พล.อ.ประยุทธ์”นายกรัฐมนตรีนำบอร์ดดีอีประชุมนัดแรกปี64ไฟเขียวกรอบงบประมาณ500ล้านบาทดันโครงการนำร่องขับเคลื่อนการต่อยอดใช้ประโยชน์5จีพิจารณาแต่งตั้ง“สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์”รองนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาในบอร์ดชุดนี้เพิ่มเติม
วันนี้(24มีนาคม2564)พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(บอร์ดดีอี)ครั้งที่1/2564พร้อมด้วยนายอิทธิพลคุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิณตึกภักดีบดินทร์ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเน้นย้ำการผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาต่างๆและนำไปสู่การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆการพัฒนาบริการประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกระดับทุกช่วงวัยทุกสาขาอาชีพส่งเสริมประชาชนให้มีภูมิต้านทานในการใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์มากกว่านำมาใช้สร้างความขัดแย้ง
โดยที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์5Gของประเทศไทยเพื่อการต่อยอดการใช้ประโยชน์ตามมาตรา26 (6)วงเงินงบประมาณ500ล้านบาท
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะฝ่ายเลขานุการฯกล่าวว่าที่ประชุมฯยังได้ให้ความเห็นชอบ(ร่าง)หลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายอื่นๆของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามมาตรา26 (6)แห่งพ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพ.ศ. 2560สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์5Gของประเทศไทย เพื่อการต่อยอดการใช้ประโยชน์
สำหรับโครงการที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณาสนับสนุนต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหลักๆได้แก่เป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อน5Gแห่งชาติเป็นโครงการนำร่องที่มีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี5Gของประเทศไทยระยะที่1โดยเป็นโครงการที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนต่อยุคดิจิทัลหรือจะส่งผลกระทบในวงกว้างและโครงการที่ขอรับการสนับสนุนต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(กองทุนดีอี)
ในส่วนของหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายจะต้องเป็นไปตามระเบียบหรือเกณฑ์ราคากลางที่เกี่ยวข้องทั้งนี้ในกรณีที่เป็นเครื่องมือ/อุปกรณ์เพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยี5Gมีผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายจำนวนน้อยรายสามารถยื่นรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามสมควรโดยการพิจารณาจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการบริหารกองทุนดีอี
ขณะที่โครงการนำร่องด้วยเทคโนโลยี5Gจะมีเกณฑ์การคัดเลือกเพิ่มเติมได้แก่ เป็นความร่วมมือในรูปแบบการดำเนินการร่วมกันพื้นที่นำร่องจะเป็นต้นแบบการนำร่อง5Gในมิติต่างๆเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้และเกิดการนำไปขยายต่อทำซ้ำซ้ำเสริมและต่อยอดโดยจะเป็นต้นแบบการใช้ประโยชน์จาก5Gที่เป็นรูปธรรมโดยการดำเนินงานของโครงการต้องเกิดผลสัมฤทธิ์ส่งผลให้เกิดการบริหารจัดการที่ดีและสามารถส่งต่อประโยชน์ให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าในเชิงบูรณาการต่อไปเป็นต้น
“เทคโนโลยี5Gเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในทุกมิติอาทิภาคอุตสาหกรรมภาคโทรคมนาคมระบบสาธารณูปโภคภาคการขนส่งภาคการเกษตรด้านสาธารณสุขเนื่องจากมีคุณสมบัติสำคัญด้านความเร็วความหน่วงต่ำและสามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในปริมาณมาก ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมการต่อยอดการใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างก้าวกระโดดโดยจะเป็นการสนับสนุนการยกระดับด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นางสาวอัจฉรินทร์ยังได้นำเสนอที่ประชุมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยที่มีรายงานจัดอันดับช่วงต้นปีนี้โดยOokla Speedtestผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับโลกระบุว่าอินเทอร์เน็ตบ้าน(Fixed Broadband)ของไทยมีความเร็วเฉลี่ยในการดาวน์โหลดสูงถึง308.35เมกะบิท/วินาที(Mbps)ขึ้นแท่นอันดับ1ของโลก
สำหรับวาระเพื่อพิจารณาอื่นๆในการประชุมวันนี้ได้แก่ร่างแผนปฏิบัติการด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลระยะที่1 (พ.ศ. 2565 – 2570) แบ่งการดำเนินงานเป็น2ระยะโดยเป้าหมายการพัฒนาระยะแรก(ภายในปี2565)จะมีโครงสร้างพื้นฐานฯที่มีการเชื่อมต่อและเข้าถึงในทุกสถานที่และสามารถเชื่อมต่อได้ด้วยความเชื่อมั่นและปลอดภัยส่วนเป้าหมายการพัฒนาระยะที่สอง(พ.ศ. 2566 - 2570)ประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อโดยที่ประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการพร้อมให้ความเห็นเพิ่มเติมให้จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนเพื่อเริ่มเดินหน้าได้เป็นลำดับต้นๆเน้นการดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาแต่งตั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40320 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง 5 กิจกรรม ผ่อนคลายในสถานกักตัว เริ่ม 1 เมษายน นี้ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
สธ.แจง 5 กิจกรรม ผ่อนคลายในสถานกักตัว เริ่ม 1 เมษายน นี้
กระทรวงสาธารณสุข แจง 5 กิจกรรมผ่อนคลายในสถานที่กักตัว สามารถเข้า ฟิตเนส ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ซื้อสินค้าและอาหารจากภายนอก นักธุรกิจสามารถเข้าร่วมประชุมได้ เริ่ม 1 เมษายน 2564 ส่วนระยะต่อไปให้รับประทานอาหารในห้องอาหาร และนวดสปาเพื่อสุขภาพได้
กระทรวงสาธารณสุข แจง 5 กิจกรรมผ่อนคลายในสถานที่กักตัว สามารถเข้า ฟิตเนส ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานซื้อสินค้าและอาหารจากภายนอก นักธุรกิจสามารถเข้าร่วมประชุมได้ เริ่ม 1 เมษายน 2564 ส่วนระยะต่อไปให้รับประทานอาหารในห้องอาหาร และนวดสปาเพื่อสุขภาพได้ เริ่มกรกฎาคม 2564
บ่ายวันนี้ (19 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 100 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 55 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 41 ราย และมาจากต่างประเทศ 4 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่งผลให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 19 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายสะสม 22,273 ราย ยังอยู่ระหว่างการรักษา 1,054 ราย และเสียชีวิตสะสม 30 คน โดยผู้เสียชีวิตรายล่าสุด เป็นหญิงไทยอายุ 53 ปี จ.สมุทรสาคร มีโรคเบาหวาน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และปอดอักเสบ ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม 2564 รวม 62,941 โดส คิดเป็นร้อยละ 68 มีหลายจังหวัดฉีดครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสมุทรสาครฉีดแล้วร้อยละ 91.6
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบการลดระยะเวลาการกักตัว สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ระยะที่ 1 ช่วงเมษายน - มิถุนายน และระยะที่ 2 ช่วงกรกฎาคม - กันยายน จะลดการกักตัวเหลือ 10 วัน สำหรับคนต่างชาติที่มีเอกสารรับรองปลอดโควิด ก่อนการเดินทาง 72 ชั่วโมง ส่วนคนไทยไม่ต้องมีเอกสารรับรองปลอดโควิด โดยจะตรวจหาเชื้อโควิด 2 ครั้ง วันที่ 3-5 และวันที่ 9-10 ของการกักตัว แต่หากมาจากประเทศที่เชื้อกลายพันธุ์ให้กักตัว 14 วันตามเดิม โดยตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง คือ วันที่ 0-1 วันที่ 6-7 และวันที่ 12-13 ของการกักตัว สำหรับระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป หากเป็นไปตามแผนการฉีดวัคซีน ไม่ต้องกักตัว โดยพิจารณาจากสถานการณ์การระบาดในประเทศ/ต่างประเทศและการได้รับวัคซีน บุคลากรการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้รับวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวได้รับวัคซีนครบตามเป้าหมาย และจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำก่อน
นอกจากนี้ ศบค.ยังเห็นชอบการผ่อนคลายกิจกรรมสำหรับสถานกักตัวทางเลือก โดยเมษายน 2564 สามารถใช้ห้องฟิตเนส ออกกำลังกายกลางแจ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ซื้อสินค้าและอาหารจากภายนอก และการประชุมสำหรับนักธุรกิจเข้ามาระยะสั้น โดยมีเงื่อนไขคือ ผู้เข้ากักตัวต้องเซ็นยินยอมรับความเสี่ยงกรณีมีการติดเชื้อ โรงแรมและโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการ ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสอบสวนโรค การกักกันโรค การตรวจหาเชื้อ และการทำความสะอาด เป็นต้น ส่วนช่วงกรกฎาคมจะเพิ่มกิจกรรมการรับประทานอาหารในห้องอาหารโรงแรม และการนวดเพื่อสุขภาพ
โดยกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม 20 ตารางเมตรต่อคน หากผู้กักตัวไม่ได้รับวัคซีนโควิด เริ่มทำกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของการกักตัว แต่หากได้รับวัคซีนครบเริ่มทำกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 2 ของการกักตัว ทั้งนี้ ทุกกิจกรรมให้ยึดหลักเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ มีการทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชิ้น ทุกพื้นที่ มีระบบการลงทะเบียนทำกิจกรรมล่วงหน้า
********************************* 19 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40157 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ปลื้ม!! ยอดยืนยันตัวตน ม33เรารักกัน วันแรกเกินครึ่ง | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
‘สุชาติ’ ปลื้ม!! ยอดยืนยันตัวตน ม33เรารักกัน วันแรกเกินครึ่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าโครงการ ม33เรารักกัน หลังเปิดให้ตรวจสอบสิทธิผู้มีสิทธิได้รับเงินทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน ตั้งแต่วันที่ 15 -21 มี.ค.64 พบว่า วันแรกมีผู้ยืนยันตัวตนโครงการ ม33เรารักกัน ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิแล้ว
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ ม33เรารักกัน ว่า จากผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,208,286 คน ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง จำนวน 622,172 คน ไม่ผ่านเงื่อนไขเงินฝากเกิน 500,000 บาท จำนวน 168,679 คน ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิแล้ว จำนวน 7,417,435 คน และกดเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 3,991,206 คน คิดเป็น 54 % ส่วนผลการให้บริการศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิโครงการ ม33เรารักกันทั้ง 2 กลุ่ม (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มี.ค.64 เวลา 08.00 น.) กลุ่มทบทวนสิทธิยอดผู้ลงทะเบียนสำเร็จสะสม จำนวน 494,380 คน และกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนผู้ลงทะเบียนสำเร็จสะสม จำนวน 3,838 คน
นายสุชาติกล่าวต่อว่า โครงการ ม33เรารักกัน ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิผู้มีสิทธิได้รับเงินทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน และยืนยันตัวตนในแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ตั้งแต่วันที่ 15 -21 มี.ค.64 หากตรวจสอบแล้วไม่มีสิทธิ์ จะต้องรีบทบทวนสิทธิตั้งแต่วันที่ 15 -28 มี.ค.64 กลุ่มแรก คือ ผู้ยังไม่ได้ลงทะเบียนมาก่อนกับผู้ที่ได้รับ SMS จากธนาคารกรุงไทยว่าชื่อ นามสกุลผิด ให้ทบทวนสิทธิผ่านทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ระบบแจ้งว่าไม่ได้อยู่ในมาตรา 33จะต้องไปทบทวนสิทธิที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาด้วย ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม และสามารถโทรศัพท์สอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้โดยตรงที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมคณะกรรมการนโนบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ทส. ประชุมคณะกรรมการนโนบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
ทส. ประชุมคณะกรรมการนโนบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (4 มี.ค. 64) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 พร้อมด้วย นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โดยในที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาร่างนโยบายและแผนแม่บทการบริหารจัดการระบบถ้ำแห่งชาติ (พ.ศ. 2563-2580) และแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการระบบถ้ำ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) และรายงานสถานการณ์ถ้ำประเทศไทย พ.ศ. 2563 ที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนแล้ว การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเครือข่ายอนุรักษ์ถ้ำและระบบถ้ำ การใช้ตราสัญลักษณ์คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ
นายวราวุธ กล่าวว่า วันนี้ร่างนโยบายและแผนแม่บทการบริหารจัดการระบบถ้ำแห่งชาติ (พ.ศ. 2563-2580) และแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการระบบถ้ำ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) ได้เสร็จสิ้นแล้ว และเมื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้รับทราบแล้วก็จะดำเนินการตามที่ได้วางเอาไว้ และเชื่อมั่นว่าข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็จะทำให้เราสามารถ ดูแลถ้ำได้ครอบคลุมในหลาย ๆ มิติ รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การปีนหน้าผาสำรวจถ้ำ เทรลรันนิ่ง การดำน้ำสำรวจถ้ำ และการประสานกับพี่น้อง ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ในการที่จะดูแลถ้ำซึ่งเป็นสมบัติของพี่น้องประชาชนทุกคน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39647 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบโรงงานทำขนม บางขุนเทียน ติดโควิด 17 ราย ดำเนินการควบคุมโรคแล้ว | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
สธ.พบโรงงานทำขนม บางขุนเทียน ติดโควิด 17 ราย ดำเนินการควบคุมโรคแล้ว
กระทรวงสาธารณสุขแจงโรงงานทำขนมเขตบางขุนเทียน ติดโควิด 17 ราย พบ 3 ปัจจัยเสี่ยงทำให้ติดเชื้อ ดำเนินการควบคุมโรคแล้ว พร้อมกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนการติดเชื้อในกลุ่มผู้ต้องกักเป็นสถานที่ปิด ไม่เกี่ยวข้องกับชุมชน การจัดตั้ง รพ.สนามมีความปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุขแจงโรงงานทำขนมเขตบางขุนเทียน ติดโควิด 17 ราย พบ 3 ปัจจัยเสี่ยงทำให้ติดเชื้อ ดำเนินการควบคุมโรคแล้ว พร้อมกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนการติดเชื้อในกลุ่มผู้ต้องกักเป็นสถานที่ปิด ไม่เกี่ยวข้องกับชุมชน การจัดตั้ง รพ.สนามมีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน ไม่มีการแพร่เชื้อสู่ภายนอก
วันนี้ (24 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 69 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 44 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 17 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 8 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และรักษาหายเพิ่มขึ้น 107 ราย ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 24 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 22,696 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.14 อยู่ระหว่างการรักษา 1,381 ราย และเสียชีวิตสะสม 32 ราย
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า กรณีโรงงานทำขนม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร มีผู้ติดเชื้อสะสม 17 ราย เป็นชาย 3 ราย หญิง 14 ราย เป็นคนไทย 3 ราย และเมียนมา 14 ราย โดยพบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน คือ 1.มีร้านค้าที่จำหน่ายขนมมีคนเข้า-ออกตลอดเวลา 2.ที่พักคนงานเป็นอาคารพาณิชย์มีผู้อาศัยประมาณ 70 คน ไม่มีมาตรการป้องกันโรค ทั้งการลงทะเบียนเข้าออก วัดอุณหภูมิร่างกาย การจัดเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และการสวมหน้ากากอนามัยไม่เคร่งครัด และ3.ส่วนสถานที่ทำงานโรงงานทำขนมเป็นอาคารพาณิชย์มีพนักงานประมาณ 71 คน แบ่งเป็นแผนก มีระบบการสแกนนิ้วและหน้ารวมทั้งวัดอุณหภูมิก่อนเข้างานมีจุดล้างมือ พนักงานทุกคนสวมหน้ากากผ้าตลอดเวลา มีการทำความสะอาดเป็นเวลา แต่ไม่มีลิฟต์ และพื้นที่ส่วนกลางบางช่วงเวลาอาจดำเนินการไม่ครบถ้วน
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ดำเนินการตามมาตรฐานการควบคุมป้องกันโรค แนะนำการแก้ไขปรับปรุงจุดเสี่ยงทั้ง 3 สถานที่ รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นผู้อาศัยร่วมบ้านและผู้ทำงานร้านเดียวกัน เพื่อกักตัว 14 วันและตรวจหาเชื้อแล้ว
ส่วนกรณีการติดเชื้อในสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนั้น เมื่อตรวจพบการติดเชื้อจึงมีการเร่งรัดตรวจหาเชื้อในผู้ต้องกักและเจ้าหน้าที่ทุกราย ทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นใน 1-2 วันที่ผ่านมา แต่ถือว่ามีที่มาที่ไปชัดเจน และเป็นการติดเชื้อภายในสถานกักกันไม่เกี่ยวข้องกับชุมชนภายนอก จึงไม่มีการแพร่เชื้อสู่ภายนอกส่วนโรงพยาบาลสนามที่จัดตั้งขึ้นมาดูแลก็มีระยะห่างจากชุมชน ถือว่ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน มีมาตรการดูแลกำจัดขยะติดเชื้ออย่างดี จึงไม่มีการแพร่กระจายเชื้อตามที่กังวลกัน
******************************* 24 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ขสมก. โฉมใหม่ บริการด้วยหัวใจ ปลอดภัยทุกเส้นทาง” | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
“ขสมก. โฉมใหม่ บริการด้วยหัวใจ ปลอดภัยทุกเส้นทาง”
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม คำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ ดังนั้น ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชนในแต่ละวัน จะมีการเตรียมความพร้อมด้านพนักงานประจำรถ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม คำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ ดังนั้น ก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชนในแต่ละวัน จะมีการเตรียมความพร้อมด้านพนักงานประจำรถ ได้แก่ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การตรวจวัดแอลกอฮอล์ ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านรถโดยสารประจำทาง ได้แก่ การตรวจวัดค่าไอเสีย การตรวจสอบระบบเบรก ระบบไฟฟ้า ระบบ GPS กล้อง CCTV และอุปกรณ์ส่วนควบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยมีการฉีดพ่นแอลกอฮอล์ภายในรถโดยสาร เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 อีกทั้ง ได้มีการนำระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระค่าโดยสาร ทั้งหมดนี้ คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจของ ขสมก. ที่จะพัฒนาคุณภาพบริการให้มีความทันสมัย สะดวก ปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจให้กับประชาชน ให้สมดั่งสโลแกนที่ว่า “ขสมก. โฉมใหม่ บริการด้วยหัวใจ ปลอดภัยทุกเส้นทาง”
Youtube Channel : https://www.youtube.com/watch?v=-08V7rRNOGs
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ประชุมเห็นชอบร่างรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อส่งสหรัฐอเมริกาประกอบการประเมินจัดระดับประเทศไทยใน TIP Report 2564 | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
พม. ประชุมเห็นชอบร่างรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อส่งสหรัฐอเมริกาประกอบการประเมินจัดระดับประเทศไทยใน TIP Report 2564
พม. ประชุมเห็นชอบร่างรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อส่งสหรัฐอเมริกาประกอบการประเมินจัดระดับประเทศไทยใน TIP Report 2564
วันนี้ (15 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาร่างรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย หรือ Progress Report สำหรับส่งให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม ประกอบการประเมินจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี 2564 โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 45 คน เข้าร่วมประชุม
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้พิจารณาความครบถ้วน ความสมบูรณ์ ของร่างรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย หรือ Progress Report เพื่อส่งให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมจากรายงานฯ ประจำปี 2563 โดยมุ่งเน้นการรายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานสำคัญในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2564 ได้แก่ 1) ด้านดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย : นำเสนอสถิติคดีค้ามนุษย์ การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต และความคืบหน้าคดีสำคัญ 2) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ : สถิติการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ มาตรการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตรการเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการอย่างเท่าเทียม การขยายผลกลไกของ Mobile Application “PROTECT-U” เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง และการพัฒนามาตรการความร่วมมือ เพื่อการคุ้มครองผู้เสียหายกับประเทศต้นทางและปลายทางอย่างต่อเนื่อง และ 3) ด้านป้องกัน : การดำเนินงานด้านการป้องกันการค้ามนุษย์ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ความคืบหน้าการพัฒนากฎหมายที่สำคัญ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และความร่วมมือในการป้องกันการค้ามนุษย์
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. จะนำร่าง Progress Report เสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อให้ความเห็นชอบในหลักการ ในวันที่ 24 มีนาคม 2564 ก่อนเสนอ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 มีนาคม 2564 และจัดส่งให้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เพื่อใช้ประกอบการประเมินการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ ประจำปี 2564 ซึ่งสหรัฐอเมริกาจะเผยแพร่รายงานดังกล่าวในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2564 ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ กำชับเร่งแก้ปัญหาน้ำเค็มโดยด่วน พร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ เตรียมดัน 9 แผนรับมือฤดูฝน ปี 64 ล่วงหน้า | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ กำชับเร่งแก้ปัญหาน้ำเค็มโดยด่วน พร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ เตรียมดัน 9 แผนรับมือฤดูฝน ปี 64 ล่วงหน้า
รองนายกรัฐมนตรีพลเอก ประวิตรฯ กำชับเร่งแก้ปัญหาน้ำเค็มโดยด่วน พร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ เตรียมดัน 9 แผนรับมือฤดูฝน ปี 64 ล่วงหน้า
วันนี้ (15 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการดำเนินงานตามมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 2563/64 ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการรับมือในฤดูฝนปี 2564 ด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 อย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงปลายฤดูแล้ง
ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 ตามที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด 9 มาตรการรองรับสถานการณ์ฤดูฝน ปี 2564 ประกอบด้วย 1. คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และฝนทิ้งช่วง 2. บริหารจัดการพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อใช้รองรับน้ำหลาก 3. ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ ขนาดใหญ่-กลางและเขื่อนระบายน้ำ 4. ซ่อมแซมปรับปรุง อาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ำ สถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน 5. ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ 6. ขุดลอกคูคลอง กำจัดผักตบชวา 7. เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือ 8. สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ และ 9. การติดตามประเมินผล โดยมอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบนำมาตรการไปจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือเกี่ยวกับการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการติดตามแม่น้ำสายหลัก 4 สาย ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเค็มไม่ให้ส่งผลกระทบตลอดฤดูแล้งนี้ โดยพิจารณาเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาความเค็มในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะบริเวณสถานีสูบน้ำสำแล จ. ปทุมธานี ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน พร้อมติดตามการดำเนินการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำทั่วประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งตั้งคณะทำงานโดยเร็ว พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานจัดทำแผนการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำก่อนเข้าฤดูฝนปีนี้ และรายงานให้ สทนช. ทราบเป็นระยะต่อไปด้วย
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39987 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล แจง ความคืบหน้าแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการแห่งรัฐ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
นฤมล แจง ความคืบหน้าแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการแห่งรัฐ
- -
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และขับเคลื่อนโยบาย 9 ด้าน โดยมีร้อยเอก ธรรมนัส พรมหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ณ ห้องประชุมไชยยงค์ ชูชาติ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ประชุมได้รายงานผลการดำเนินงานในหลายประเด็น อาทิ การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของบุคคล การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของบุคคลการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม กรณีการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้แก่ชุมชนที่เช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาให้ประชาชนสามารถเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะอนุกรรมการต่างๆ พร้อมหารือเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาโดยให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อประชาชน
ในส่วนที่กระทรวงแรงงานดำเนินการและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและขับเคลื่อนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน คือ การแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการแห่งรัฐ ได้รายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า คณะทำงานเร่งรัดติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสวัสดิการของรัฐ ที่ได้จัดหาให้กับประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งประเด็นปัญหาที่ทำให้ประชาชนรับสวัสดิการซ้ำซ้อนหรือไม่สามารถรับสวัสดิการได้อย่างทั่วถึง เป็นผลสืบเนื่องมาจากการไม่มีระบบเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นเอกภาพ ซึ่งคณะทำงานได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีคณะกรรมการเฉพาะกิจระดับชาติเป็นหน่วยงานกลางให้ข้อเสนอแนะหน่วยงานภาครัฐในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการจัดสวัสดิการ และปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือข้อบังคับต่าง ๆ ให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชนได้มากที่สุด โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานคณะกรรมการ
“คณะทำงาน จะเร่งติดตามผลการดำเนินงาน และขับเคลื่อนเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกๆ มิติ ตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” รมช.แรงงาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39812 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์รอบแรก | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์รอบแรก
ความคืบหน้าการประกาศผลการทบทวนสิทธิ์ของประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์เรื่องการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม การเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการการเมือง ผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการประกาศผลการทบทวนสิทธิ์ของประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์เรื่องการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม การเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการการเมือง ผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ และการเป็นผู้มีเงินฝากเกินเกณฑ์ที่กำหนด ที่ได้แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ในระหว่างวันที่ 8– 21 กุมภาพันธ์ 2564 ว่า ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) หมายเลขโทรศัพท์0 2111 1122 โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 5,000บาท ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ
สำหรับประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์ในกรณีมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 (แบบฯ) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของกรมสรรพากร จะสามารถทราบผลการทบทวนสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปทั้งนี้ ประชาชนที่ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์ในกรณีมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ขอให้รีบดำเนินการทบทวนสิทธิ์โดยกดปุ่ม “ทบทวนสิทธิ” ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.comพร้อมทั้งยื่นแบบฯ ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 8 มีนาคม 2564
สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564สามารถตรวจสอบสถานะการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Centerของธนาคารกรุงไทยฯ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะได้รับวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกจำนวน 4,000บาทในวันที่ 5 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) กับผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564ทั้งนี้ สำหรับประชาชนกลุ่มดังกล่าวที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติสามารถแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ได้ในระหว่างวันที่ 6 - 31 มีนาคม 2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือสาขาของธนาคารกรุงไทยฯ ทั่วประเทศ โดยจะทราบผลการทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 7 เมษายน 2564
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณวันที่ 4 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคนได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 33,882ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้วมีจำนวนมากกว่า 16.4 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน 38,093 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างวันที่ 15– 21 กุมภาพันธ์ 2564 และผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5ล้านคน ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์โครงการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน30.6ล้านคนคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 71,975 ล้านบาท
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 021111122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39645 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ สยจ.สงขลา ช่วยเหยื่อแชร์บ้านออมเบส พบผู้เสียหาย 500 คน สูญเงินกว่า 800 ล้านบาท | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ สยจ.สงขลา ช่วยเหยื่อแชร์บ้านออมเบส พบผู้เสียหาย 500 คน สูญเงินกว่า 800 ล้านบาท
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ สยจ.สงขลา ช่วยเหยื่อแชร์บ้านออมเบส พบผู้เสียหาย 500 คน สูญเงินกว่า 800 ล้านบาท
จากกรณีที่มีประชาชน จากอำเภอสิงหนคร และอำเภอเมืองจังหวัดสงขลา จำนวนประมาณ 500 คน ถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในรูปแบบการออมเงินโดยให้ดอกเบี้ยสูง "บ้านออมเบส" ได้รวมตัวกันเพื่อทวงเงินคืนจากท้าวแชร์ ในตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา หลังจากที่ไม่ได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้วท้าวแชร์หลบหนีไป ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินกว่า 800 ล้านบาท ในเบื้องต้น กระทรวงยุติธรรม โดยนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสงขลาตรวจสอบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว
ล่าสุด สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสงขลาได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายแล้ว ดังนี้
(1) รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้เสียหายบ้านออมเบส ระหว่างวันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 ในพื้นที่ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา โดยมีผู้เสียหายที่มาร้องทุกข์แล้วจำนวน 195 คน รวมมูลค่าเสียหายในเบื้องต้น 75 ล้านบาทเศษ พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้ให้คำปรึกษากฎหมายและแนะนำเกี่ยวกับการยื่นเอกสารประกอบการดำเนินคดีและแนะนำการให้บริการของกองทุนยุติธรรม หากพิจารณาแล้วพบว่า เข้าหลักเกณฑ์ก็จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2) ประสานผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา สารวัตรสอบสวนเจ้าของสำนวนในหลายพื้นที่ ได้แก่ สภ.สิงหนคร สภ.ระโนด สภ.กระแสสินธุ์ สภ.จะนะ สภ.หาดใหญ่ สภ.ม่วงงาม สภ.เมืองสงขลา และสภ.สทิงพระ ซึ่งได้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแล้ว รวมจำนวน 204 ราย โดยขณะนี้อยู่ระหว่าง
การสอบสวน
"กระทรวงยุติธรรมมีภารกิจหลักในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ โดยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยง่ายซึ่งปัจจุบัน มีกองทุนยุติธรรมเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม ทั้งการประกันตัว หรือ เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมไปถึงการจัดทนายความ และการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน
นอกจากนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย และขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามแชร์ลูกโซ่ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาแชร์ลูกโซ่ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับนโยบายเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามปัญหาแชร์ลูกโซ่ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมภายใต้ การดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข โดยมีจุดแข็งคือการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยเร่งรัดติดตามดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง และยึดอายัดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดเพื่อนำกลับไปคืนให้กับเหยื่อที่ถูกหลอกลวงให้เร็วที่สุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนุน “เสาหลักครอบครัว” พื้นที่เป้าหมายฉีดวัคซีนก่อน | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
หนุน “เสาหลักครอบครัว” พื้นที่เป้าหมายฉีดวัคซีนก่อน
...
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้มีตัวเลขผู้เสียชีวิตขยับขึ้น พบว่าเป็นผู้ชายมากถึง 22 ราย สูงกว่าผู้หญิงที่พบเพียง 7 ราย และตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 18 มี.ค. 2564 ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ชายร้อยละ 35.5 ผู้หญิงร้อยละ 64.5 มีอายุเฉลี่ยที่ 44 ปี
.
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่หัวหน้าครอบครัว / เสาหลักครอบครัว จะติดเชื้อโควิด-19 จึงขอเชิญชวนผู้ชายหรือผู้ที่เป็นเสาหลักครอบครัวในพื้นที่เป้าหมาย เข้ารับการฉีดวัคซีนทันที เมื่อได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล โปรดอย่าได้กังวลใจ เพราะการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายช่วงที่ผ่านมานั้น มีความปลอดภัยสูง
.
นอกจากนี้ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าวัคซีนจะช่วยลดการแพร่โรคในครอบครัวได้ เพราะขณะนี้ลูกหลานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปียังฉีดวัคซีนไม่ได้ แต่หากพ่อแม่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว แม้จะได้รับเชื้อ แต่เชื้อจะน้อยลง และไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวได้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40251 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
การขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการเราชนะ
ที่ผ่านมา ก.คลังได้รับเบาะแสจำนวนมากเกี่ยวกับการทุจริตของประชาชนหรือผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ โดยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้า
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสจำนวนมากเกี่ยวกับการทุจริตของประชาชนหรือผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) โดยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและตรวจสอบ โดยหากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริงจะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้า และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการสามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ทางไปรษณีย์มาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail): [email protected]
โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า ประชาชนทั่วไปที่สละสิทธิ์ด้วยเหตุผล “ไม่มีสมาร์ทโฟน” และได้มาลงทะเบียนในช่องทางเดียวกันกับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 15 – 21 กุมภาพันธ์ 2564 จะทราบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป และจะมีการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 5,000 บาท ให้กับผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเพื่อใช้จ่ายผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบผลการคัดกรองคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 41,809 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีจำนวนมากกว่า 16.6 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 53,237 ล้านบาท และ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 1,329 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 30.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 96,375 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน“ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มั่นใจ “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ดันส่งออกเกษตรโตสวนทาง เกษตรกรรายได้เพิ่ม | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
นายกฯ มั่นใจ “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ดันส่งออกเกษตรโตสวนทาง เกษตรกรรายได้เพิ่ม
นายกฯ มั่นใจ “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ดันส่งออกเกษตรโตสวนทาง เกษตรกรรายได้เพิ่ม
วันที่ 5 มี.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด 19 ที่กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ตัวเลขการส่งออกของทุกประเทศลดลง แต่ภาคการเกษตรของไทย โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้สดในปีที่ผ่านมา มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.4% ปริมาณ 1.64 แสนตัน มูลค่า 104,258 ล้านบาท สวนทิศทางการส่งออกในภาพรวมที่ติดลบ 6% ทั้งนี้สืบเนื่องจากคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย ภาคเอกชนที่มีศักยภาพ และการใช้โมเดล “เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นการปูทางเรื่องตลาดต่างประเทศให้แก่ภาคเอกชน โดยมุ่งเป้าการขยายตลาด เจาะตลาด เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ให้สอดคล้องกับรสนิยมผู้บริโภค และด้านการผลิตต้องให้ตรงกับความต้องการทั้งเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา มีความพึงพอใจอย่างมากต่อผลการดำเนินการที่ทั้งสองกระทรวงร่วมกันผลักดันโมเดลดังกล่าวจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานต่อนายกฯว่ า ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ทั้ง 58 แห่ง ใน 43 ประเทศทั่วโลก เร่งประเมินความต้องการของตลาดและสถานการณ์การส่งออกที่จะช่วยหนุนรายได้เข้าประเทศ ตั้งเป้าหมายการส่งออกรายประเทศและรายสินค้า ต้องขยายตัว หรือเติบโตที่ 4% พร้อมนี้ต้องรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ จับมือแพลตฟอร์มพันธมิตรออนไลน์ กระจายสินค้าไทยไปสู่ตลาดใหญ่ ๆ สำคัญของโลก เช่น อินเดีย สหรัฐอเมริกา และจีน ผลักดันให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลกส่วนทางด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางกระทรวงฯ ได้ขับเคลื่อนแบบองค์รวม พัฒนาระบบผลิตจนถึงผู้บริโภคด้วยนโยบาย “เกษตรปลอดภัย อาหารปลอดภัย” สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้วยมาตรฐาน GAP GMP เป็นต้น และล่าสุดได้มีการขยายความร่วมมือกับจีน ซึ่งจะสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนได้ไม่น้อยกว่า 7 หมื่นล้านบาท
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องการทำงานแบบบูรณาการ ไม่ว่าจะปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาสังคม เพียงหน่วยงานเดียวหรือภาครัฐฝ่ายเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้สมบูรณ์ การทำงานเป็นทีมประเทศไทย รัฐ-เอกชน-ประชาชน จะทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า โมเดล “เกษตรผลติด-พาณิชย์ตลาด” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำงานอย่างบูรณาการจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งผลประโยชน์สุดท้ายก็จะเกิดแก่ประชาชน-เกษตรกร ที่จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39654 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2564 | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2564
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.ชี้การผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย และการเปลี่ยนฤดูกาลในแต่ละพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2564 เปลี่ยนแปลง
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้การผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย และการเปลี่ยนฤดูกาลในแต่ละพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสำปะหลัง กุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว น้ำตาลทรายดิบ ปาล์มน้ำมัน และสุกร มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมีนาคม 2564 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 11,859 - 12,028 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.04 - 1.47 เนื่องจากสต็อกข้าวในยุ้งฉางของเกษตรกรลดลง และราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งขัน ทำให้ประเทศคู่ค้ามีการนำเข้าข้าวหอมมะลิมากขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 8.27 - 8.33 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.20 - 1.00 เนื่องจากผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูแล้งมีเพียงร้อยละ 5 ของปริมาณผลผลิตทั้งปี ขณะที่สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนพฤษภาคมปรับตัวขึ้น ผู้ประกอบการจึงลดการนำเข้าข้าวสาลี ส่งผลให้ความต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อเก็บสำรองไว้ปรับเพิ่มขึ้น ยางพาราแผ่นดิบ ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 51.22 – 51.89 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50 – 1.80 เนื่องจากผลผลิตมีแนวโน้มลดลงจากยางพาราเข้าสู่ช่วงผลัดใบส่งผลให้เกษตรกรหยุดกรีดยางพารา ขณะที่ความต้องการน้ำยางพาราของตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำยางพาราสดสนับสนุนให้ราคายางพารามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.07 - 2.11 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.49 – 2.43 เนื่องจากความต้องการของผู้ประกอบการในการเก็บสต็อกผลผลิตมันเส้นเพื่อรองรับความต้องการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพอากาศที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ส่งผลต่อคุณภาพเชื้อแป้งในหัวมันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์สูง และกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 137.00 – 139.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.00 – 1.46 เนื่องจากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เกษตรกรชะลอการลงลูกกุ้งตามความต้องการบริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับภาวะการค้าในประเทศมีความคล่องตัวขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการการระบาดของไวรัสโควิด-19 และตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,752 - 9,074 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.62 - 4.15 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังกำลังออกสู่ตลาด โดยคาดว่ามีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังจำนวน 4.6 ล้านไร่ ประกอบกับผลผลิตข้าวเวียดนามในช่วงปลาย ฤดูหนาวออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งผลผลิตข้าวในฤดูกาลนี้ถูกส่งออกสู่ตลาดโลก ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวราคาอยู่ที่ 10,685 - 10,725 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.05 - 0.42 เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังกำลังออกสู่ตลาด น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 16.54 - 16.70 เซนต์/ปอนด์ ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.50 - 2.50 เนื่องจากแนวโน้มการผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นของประเทศอินเดีย โดยสมาคมการค้าน้ำตาลของประเทศอินเดียคาดการณ์ว่าผลผลิตน้ำตาลของประเทศอินเดียในปี 2563/64 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เป็น 29.9 ล้านตัน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ Tropical Research Services (TRS) ที่คาดการณ์ปริมาณน้ำตาลเกินดุลทั่วโลกในปี 2564/65 ที่ 5.2 ล้านตัน ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 6.76 – 6.86 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.29 – 1.75 เนื่องจากคาดว่าปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นจากการที่ต้นปาล์มน้ำมันได้รับน้ำฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกสำคัญ และสุกร ราคาอยู่ที่ 74.90 - 75.32 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.27–1.82 เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรภายในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติ จากที่ผ่านมาความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตาม ราคาสุกรจะลดลงไม่มากนัก เพราะยังมีความต้องการจากต่างประเทศอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39540 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำชับกรมราชทัณฑ์เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย อย่าปล่อยให้มีการทำลายทรัพย์สินเรือนจำอีก ด้านคดีพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย ๓ ราย ตำรวจเชื่อไม่เกิน ๗ วัน สามาร | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำชับกรมราชทัณฑ์เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย อย่าปล่อยให้มีการทำลายทรัพย์สินเรือนจำอีก ด้านคดีพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย ๓ ราย ตำรวจเชื่อไม่เกิน ๗ วัน สามาร
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำชับกรมราชทัณฑ์เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย อย่าปล่อยให้มีการทำลายทรัพย์สินเรือนจำอีก ด้านคดีพบกลุ่มผู้ต้องสงสัย ๓ ราย ตำรวจเชื่อไม่เกิน ๗ วัน สามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้
ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ ณ ห้องประชุมเรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปร่วมประชุมหารือกรณีเกิดเหตุวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สิน บริเวณหน้าเรือนจำคลองกลางเปรม โดยมี ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พันตำรวจเอกภานุเดช สุขวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล ๒ ทั้งนี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทางกรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำผิดแล้ว ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยให้ผู้ตรวจกรมราชทัณฑ์เป็นประธาน และเพิ่มกำลังจากหน่วยงานพิเศษร่วมปฏิบัติหน้าที่รักษาการณ์บริเวณภายนอกเรือนจำ
ขณะที่การติดตามคนร้าย นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานจาก พันตำรวจเอกภานุเดช สุขวงศ์ ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๓.๑๐ น. โดยกล้องวงจรปิดของเรือนจำกลางคลองเปรม สามารถจับภาพคนร้ายได้ ตรวจพบอุปกรณ์ในการเตรียมเพื่อตั้งใจมาเผา พบถังน้ำมันและไฟแช็คทิ้งเอาไว้ จากนั้นกรมราชทัณฑ์จึงได้ประสานไปยัง สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ได้ติดตามจากกล้องวงจรปิด พบรถ MPV สีขาว เป็นรถเพียงคันเดียวในเวลาดังกล่าว พบผู้ต้องสงสัย ๓ คนเป็น ชาย ๒ หญิง ๑ โดยการติดตามจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พักและพบว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมือง เวลานี้อยู่ระหว่างพิสูจน์หลักฐานให้ชัดเจนรวมถึงเช็คดาต้าเบสท์มือถือเพื่อค้นเบอร์โทรว่าผู้ลงมือนั้นติดต่อกับใครได้บ้าง โดยในกรณีนี้ทางตำรวจได้ยืนยันจะทำคดีให้จบโดยเร็วที่สุดและคาดว่าจะไม่เกิน ๗ วัน
พร้อมนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กำชับการทำงานของกรมราชทัณฑ์ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยและการรักษาทรัพย์สิน เพราะเป็นเรื่องที่มิสมควรเกิดขึ้น และอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแม้แต่เรือนจำเดียว
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ทางกรมราชทัณฑ์ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สถานีตำรวจประชาชื่น โดยได้แจ้ง ๓ ข้อหากับผู้กระทำความผิด คือ ๑) วางเพลิงเผาทรัพย์ ๒) บุกรุกสถานที่ราชการ และ ๓) มาตรา ๑๑๒ เพราะเป็นการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ โดยเบื้องต้นทราบว่ามีผู้กระทำผิด ๓ ราย ตำรวจกำลังขออนุมัติหมายศาลเพื่อออกหมายจับ และจะสืบสวนขยายผลเพื่อสาวให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะทราบว่ามีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39530 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ธ.ก.ส. รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC)
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ารับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) จากนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในงานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) ครั้งที่ 19
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ารับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) จากนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในงานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) ครั้งที่ 19 ประจำปี 2563จัดโดยสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณให้แก่องค์กรที่มีสามารถในการแข่งขันระดับโลก ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสูงสุดและเป็นเครื่องมือในการยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นปี 2 (ปี 2562 และ 2563) โดยการนำกรอบการบริหารจัดการตามแนวทางเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้การบริการจัดการของ ธ.ก.ส. มีความเป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งเป็นสัญลักษณ์อันทรงเกียรติและพลังใจให้กับผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. ในการมุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรภายใต้กรอบแนวทาง TQA ต่อไป สู่การเป็นองค์กรประสิทธิภาพสูงหรือ High Performance Organization (HPO) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบทอย่างยั่งยืน ภายใต้คำมั่นสัญญาของธนาคารที่จะสร้าง Better Life คุณภาพชีวิตในชนบทที่ดีขึ้น Better Community สร้างชุมชนไทยที่เข็มแข็ง และ Better Pride สร้างความภาคภูมิใจในอาชีพการเกษตรให้มากยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลสอบกรณีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เชียงใหม่ ทำตามขั้นตอน ทุกคนอยู่ในรายชื่อกลุ่มเป้าหมาย | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
สธ.เผยผลสอบกรณีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เชียงใหม่ ทำตามขั้นตอน ทุกคนอยู่ในรายชื่อกลุ่มเป้าหมาย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีกระบวนการตามขั้นตอน มีคณะกรรมการวางแผน กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามแนวทางของประเทศ ผู้เข้ารับวัคซีนวันแรกมีรายชื่อในแผนการฉีดของจังหวัดเชียงใหม่
วันนี้ (8 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7 ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ แถลงข่าวถึงผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีจังหวัดเชียงใหม่มีการฉีดวัคซีนให้ VIP ก่อนบุคลากรทางการแพทย์ ว่า คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากผู้แสดงความคิดเห็นในเพจดังกล่าว สอบถามความคิดเห็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนครพิงค์ รวม 20 คน อาทิ แพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ คำชี้แจงของนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น สรุปการดำเนินงานให้บริการฉีดวัคซีน วันที่ 1 – 2 มีนาคม 2564 รายชื่อผู้ประสงค์ฉีดในวันที่ 1 มีนาคม 2564 ตารางรายชื่อบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในกลุ่มเป้าหมาย รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลนครพิงค์ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารวัคซีนและคณะทำงาน เกณฑ์การแบ่งกลุ่มบุคคลเพื่อเรียงลำดับการรับวัคซีน รายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ประสงค์รับการฉีดวัคซีนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลนครพิงค์ แผนการฉีดวัคซีนของจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 3,500 โดส
นายแพทย์สมฤกษ์กล่าวต่อว่า ผลการสอบข้อเท็จจริงไม่พบผู้ใดที่ได้รับการฉีดวัคซีนโดยไม่อยู่ในรายชื่อในแผนการฉีดในวันที่ 1 มีนาคม 2564 ทุกรายมีรายชื่อตรงตามบัญชีรายชื่อที่มีอยู่ในแผนของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ คำว่า VIP ที่ถูกนำไปกล่าวถึง หมายถึงผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานฉีดวัคซีนวันแรกของจังหวัดเชียงใหม่ เช่น ผู้ว่า/รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 5 ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 1 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้แทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีรายชื่ออยู่ในแผนการได้รับวัคซีน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้ประชาสัมพันธ์ผู้เกี่ยวข้องให้รับรู้และเข้าใจอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด รวมทั้งกำชับผู้บริหารให้ดำเนินการตามนโยบายโดยเคร่งครัด เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยส่งวัคซีนเป็นระยะ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้ สำหรับแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 3,500 โดส คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ได้พิจารณากระจายวัคซีนตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ใน 4 กลุ่ม ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย ผู้มีโรคประจำตัว ประชาชนทั่วไปและแรงงาน ในช่วงแรกได้กระจายวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน จำนวน 1,450 คน และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งโดยตรงและการออกติดตามควบคุมกำกับในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ด่านตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งตำรวจ/ทหาร พลเรือน เจ้าหน้าที่ผู้ร่วมสอบสวนโรค ทีมโควิด หมู่บ้าน เป็นต้น และประชาชนทั่วไปที่ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยง จำนวน 300 คน เช่น ที่ทำการปกครองจังหวัดฯ ตำรวจภูธรจังหวัด ท่าอากาศยานจังหวัดเชียงใหม่ กองร้อยอาสารักษาดินแดนกองพลทหารราบที่ 7 กองบิน 41 สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว อสม. ฯลฯ โดยมอบหมายให้แต่ละส่วนส่งรายชื่อผู้เกี่ยวข้องมีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่เพื่อวางแผนนัดหมายการฉีด
******************************** 8 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39743 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 เพื่อหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40027 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ จัดสัมมนาออนไลน์จีน-ฮ่องกง ดึงอุตฯ กลุ่มนวัตกรรม | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
บีโอไอ จัดสัมมนาออนไลน์จีน-ฮ่องกง ดึงอุตฯ กลุ่มนวัตกรรม
บีโอไอเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนจีน-ฮ่องกง จัดสัมมนาออนไลน์ เชิญรองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ เป็นประธาน กระตุ้นลงทุนอุตสาหกรรมกลุ่มนวัตกรรม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า บีโอไอร่วมกับ หอการค้าระหว่างประเทศของจีน (China Chamber of International Commerce) และสภาพัฒนาการค้าของฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council) จะจัดสัมมนาออนไลน์ (ZoomWebinar) หัวข้อ“Resilience Strategy:Thailand as an Innovative Investment Hub”ในวันที่18มีนาคม2564ระหว่างเวลา09.00 – 10.30น. (เวลาไทย) เพื่อเผยแพร่นโยบายส่งเสริมการลงทุน โอกาสทางธุรกิจแก่นักลงทุนที่สนใจขยายการลงทุนมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมนวัตกรรม และประสบการณ์การทำธุรกิจของบริษัทจีนในประเทศไทย โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
“เศรษฐกิจไทยและโลกเผชิญความท้าทายที่ต้องปรับตัวรับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19พร้อมๆ ไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยี แต่ในวิกฤตดังกล่าวก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยน ข้อคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งถือว่าจีน-ฮ่องกงเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนในภูมิภาค ขณะที่ไทยก็มีศักยภาพด้านที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์ เป็นจุดเชื่อมโยงการลงทุนไปสู่ตลาดอาเซียนซึ่งมีประชากรรวมกว่า650ล้านคน ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน และมีแผนจะยกระดับประเทศด้วยนวัตกรรม รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบีโอไอ จึงขอเชิญนักลงทุนเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ เพื่อมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียไปด้วยกัน”เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ในปี2563ที่ผ่านมา จีน-ฮ่องกงมีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ อยู่ใน5ลำดับแรกของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยจีนมีการลงทุนอยู่ในลำดับที่2มูลค่าเงินลงทุน3.1หมื่นล้านบาท ฮ่องกงลำดับที่5มูลค่า1.6หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าการลงทุนราว4.7หมื่นล้านบาทการสัมมนานี้ นอกจากจะมีผู้บริหารทั้งไทย-จีน-ฮ่องกงแล้ว ยังมีเวทีอภิปรายแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสนับสนุนของประเทศไทยในอุตสาหกรรมกลุ่มนวัตกรรมและอุตสาหกรรมเกิดใหม่ โดยผู้แทนจากบีโอไอ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อีกด้วย คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้าร่วมกว่า500ราย
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ลิงก์https://zoom.us/webinar/register/WN_eLJpORzLSeOOqFOY7Icxew(ไม่มีค่าใช้จ่าย) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อีเมล[email protected]หรือโทรศัพท์+662553 8480
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39730 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมนิทรรศการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการวิจัย เรื่องโขน และองค์ความรู้เสริม Miscellany Of Khon รอบปฐมทัศน์ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมนิทรรศการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการวิจัย เรื่องโขน และองค์ความรู้เสริม Miscellany Of Khon รอบปฐมทัศน์
ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมนิทรรศการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการวิจัย เรื่องโขน และองค์ความรู้เสริม Miscellany Of Khon รอบปฐมทัศน์
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ร่วมชมนิทรรศการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการวิจัย เรื่องโขน และองค์ความรู้เสริม Miscellany Of Khon รอบปฐมทัศน์ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ลิโด้คอนเนค กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39902 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วยังต้องการ์ดสูง รอเวลาสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
สธ.ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วยังต้องการ์ดสูง รอเวลาสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
สธ.ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วยังต้องการ์ดสูง รอเวลาสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
กระทรวงสาธารณสุขเผยผู้ป่วยโควิด 19 หายกลับบ้านแล้วร้อยละ 97.6 เหลือรักษาจริง 509 ราย สถานการณ์โดยรวมดีขึ้น แต่ยังเฝ้าระวังเชิงรุกต่อเนื่อง ส่วนผลการให้บริการวัคซีนโควิดรวม 10 วัน ฉีดแล้ว 33,621 ราย ย้ำฉีดวัคซีนแล้วยังต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพราะต้องใช้เวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันจนครอบคลุมประชากร
วันนี้ (10 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 39 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 21 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 13 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 5 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 10 มีนาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 22,303 ราย รักษาหายแล้ว 21,769 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.61 เหลือผู้ป่วยรักษาเพียง 509 ราย
นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยดีขึ้น ผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่หลักสิบต่อเนื่องกว่าสัปดาห์ มีการค้นหาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เช่น อ.แม่สอด จ.ตาก แม้ภาพรวมคงตัว แต่ยังตรวจคัดกรองแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนรายใหม่ โดยวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2564 ตรวจ 3,039 ราย พบเชื้อ 6 ราย วันที่ 8-9 มีนาคม 2564 ตรวจ 724 ราย ไม่พบการติดเชื้อ ส่วน จ.ปทุมธานี พบการติดเชื้อกลุ่มก้อนแรกในตลาด จากนั้นพบอีกกลุ่มที่โรงชำแหละเนื้อสุกร พบผู้ติดเชื้อรายสุดท้ายวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยพื้นที่พยายามลดความแออัดในตลาด มีบัตรรับรองปลอดโควิดให้ผู้ค้า
“สำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวยอดสะสมจนถึงปัจจุบัน มีจำนวน 256,705 รายพบผู้ติดเชื้อ 2,262 ราย จาก 85 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 0.88 โดยประเทศต้นทางที่มีการติดเชื้อสูง ทำให้ผู้เดินทางเข้ามามีโอกาสตรวจเจอเชื้อสูงด้วย แต่การพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่กักตัวที่ควบคุมดูแลตามมาตรฐาน ไม่มีการไปสัมผัสคนอื่นเมื่อเจอติดเชื้อส่งเข้ารักษาตามแนวทาง จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม 2564 รวม 10 วัน มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว 33,621 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนร่างกายอาจเกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ตามปกติเช่น ปวดบวมบริเวณที่ฉีด วิงเวียนศีรษะ มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นต้น ซึ่งเป็นอาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เองโดยมีการรายงานปฏิกิริยาเหล่านี้ผ่านระบบไลน์หมอพร้อม ขณะนี้มีรายงาน 2,984 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.8 ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผลการศึกษาวิจัยทั่วโลกที่พบถึง 1 ใน 3 ทั้งนี้ เมื่อฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วองค์การอนามัยโลกย้ำว่ายังต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เนื่องจากต้องใช้เวลาถึงจะเพิ่มภูมิคุ้มกันจนมีความครอบคลุมสูงและประสิทธิภาพของวัคซีนคือป้องกันการเสียชีวิต การป่วยหนัก ส่วนการป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการแพร่เชื้อยังต้องรอผลการศึกษาในระยะยาว ดังนั้น หลังฉีดวัคซีนแล้วยังต้องยกการ์ดสูง
************************* 10 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39838 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) ประจำปี 2563 | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ธ.ออมสิน รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) ประจำปี 2563
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ขึ้นรับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) ครั้งที่ 19 ประจำปี 2563 จากนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานในพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 19
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินขึ้นรับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) ครั้งที่ 19ประจำปี 2563 จากนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานในพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารธนาคารออมสิน ร่วมแสดงความยินดี ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564
สำหรับรางวัลTQAประจำปี 2563 สำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประกาศให้ธนาคารออมสิน ผ่านเกณฑ์รางวัลTQAเป็นการสะท้อนความเป็นเลิศในการบริหารจัดการองค์กรว่ามีความทัดเทียมระดับมาตรฐานโลก ทั้งนี้ ธนาคารออมสิน ได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารจัดการตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การRe-Structure, Re-Processจนถึงการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของภารกิจธนาคารเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรมโดยในปี2560ธนาคารได้รับรางวัลThailand Quality Classและพัฒนาสู่รางวัลThailand Quality Class (Plus)ด้านCustomerและด้านOperationในปี2561-2562ตามลำดับ จนมาประสบความสําเร็จได้รับรางวัลสูงสุดThailand Quality Awardในปี2563เป็นปีที่6ที่ธนาคารส่งผลงานเข้าตรวจประเมิน ถือเป็นรางวัลแห่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาปรับปรุงและบริหารจัดการคุณภาพองค์กรสู่ความเป็นเลิศอย่างแท้จริง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง 1’ ห่วง 318 ลูกจ้างชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน จ.กระบี่ ถูกเลิกจ้าง กำชับ สปส.เร่งติดตามช่วยเหลือให้ได้สิทธิประโยชน์โดยด่วน | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
‘จับกัง 1’ ห่วง 318 ลูกจ้างชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน จ.กระบี่ ถูกเลิกจ้าง กำชับ สปส.เร่งติดตามช่วยเหลือให้ได้สิทธิประโยชน์โดยด่วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้างของชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ จำนวน 318 คน กรณีนายจ้างมีหนังสือแจ้งหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นมา กำชับ สปส.และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ทำงาน
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีการชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ เนื่องจากประกาศหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานจำนวน 318 ราย ว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก เข้าไปติดตามสาเหตุการประกาศหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน
นายสุชาติกล่าวถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือล่าสุดว่า นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ นางสุกัญญา จับบาง ประกันสังคมจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดกระบี่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือกรณีดังกล่าวโดยด่วน โดยได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดกระบี่เพื่อให้ความช่วยเหลือ ณ ชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมัน สาขาคลองท่อม จังหวัดกระบี่ จากรายงานของประกันสังคมจังหวัดกระบี่ ยังพบว่า กรณีดังกล่าวนายจ้างชุมนุมสหกรณ์ปาล์มน้ำมันได้มีหนังสือแจ้งหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานจำนวน 318 ราย ในจำนวนนี้ได้เลิกจ้างที่สำนักงานใหญ่ 221 ราย และสาขาคลองท่อม 97 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เบื้องต้นสํานักงานประกันสังคมจังหวัดกระบี่ ได้ชี้แจงสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากการเลิกจ้างให้ผู้แทนลูกจ้างทราบแล้ว และในวันนี้ (8 มี.ค.64) รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ได้นัดประชุมร่วมกับสำนักงานประกันสังคมจังหวัดกระบี่และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดกระบี่ ณ ที่ตั้งชุมนุมสหกรณ์ เพื่อลงพื้นที่อำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนว่างงานและยื่นเรื่องขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ดูแลลูกจ้าง ผู้ประกันตนให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างครบถ้วนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39727 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์และความคืบหน้าโครงการเราชนะ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์และความคืบหน้าโครงการเราชนะ
สำหรับประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 และผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 7,000บาท และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ในวันที่ 25 มีนาคม 2564 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับประชาชนที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติของโครงการเราชนะ (โครงการฯ) เนื่องจากเงินได้พึงประเมินปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดนั้น กระทรวงการคลังได้เปิดให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยประชาชนกลุ่มดังกล่าวที่แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านปุ่ม “ทบทวนสิทธิ” ในเว็บไซต์ข้างต้น ต้องดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายใน 7 วันนับแต่วันที่ยื่นขอทบทวนสิทธิ์ แต่ไม่เกินวันที่ 8 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถทราบผลการพิจารณาการขอทบทวนสิทธิ์ในกรณีดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า สำหรับประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 และผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 7,000บาท และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ในวันที่ 25 มีนาคม 2564 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯณวันที่ 19 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.7 ล้านคนได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน51,365 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่งและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯแล้วจำนวน16.7 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมาจำนวน75,709 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 3,133 ล้านบาททำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯแล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน32.4 ล้านคนคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า130,207 ล้านบาทซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)โทร. 021111122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40161 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงาน ช่วงอายุ 30 ปี เริ่มออมเงินกับ กอช. ปีละ 13,200 บาท เพื่อรอรับบำนาญประมาณเดือนละ 3,600 บาท ตลอดชีพ” | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
“กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงาน ช่วงอายุ 30 ปี เริ่มออมเงินกับ กอช. ปีละ 13,200 บาท เพื่อรอรับบำนาญประมาณเดือนละ 3,600 บาท ตลอดชีพ”
กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงาน ช่วงอายุ 30 ปี วางแผนออมเงินกับ กอช. เพื่ออนาคตยามเกษียณ ปีละ 13,200 บาท พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ เมื่ออายุ 60 ปี จะได้รับบำนาญรายเดือนละประมาณ 3,600 บาท
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงาน ช่วงอายุ 30 ปี วางแผนออมเงินกับ กอช. เพื่ออนาคตยามเกษียณ ปีละ 13,200 บาท พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ เมื่ออายุ 60 ปี จะได้รับบำนาญรายเดือนละประมาณ 3,600 บาท ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิ์ และคุณสมบัติก่อนสมัครสมาชิกได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.”
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงาน อายุ 30 ปี วางแผนออมเงินกับ กอช. เพื่ออนาคตยามเกษียณ โดยออมเงินกับ กอช. ปีละ 13,200 บาท ได้รับเงินสมทบเพิ่มสูงสุด 1,200 บาทต่อปี และได้รับผลตอบแทนการลงทุน เมื่อสมาชิกอายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินบำนาญประมาณเดือนละ 3,600 บาท ตลอดชีพ หรือจนกว่าจะเสียชีวิต ทั้งนี้เงินออมสะสมของสมาชิกสามารถนำไปลดหย่อนภาษี และได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มเติมตามสิทธิ
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถตรวจสอบสิทธิ์ และคุณสมบัติก่อนสมัครสมาชิกได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39984 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เปิดอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย มุ่งเป็นศูนย์กลางให้บริการด้านงานยุติธรรม และอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รมว.ยุติธรรม เปิดอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย มุ่งเป็นศูนย์กลางให้บริการด้านงานยุติธรรม และอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย มุ่งเป็นศูนย์กลางให้บริการด้านงานยุติธรรม และอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
ในวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เพื่อเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่อยู่ในพื้นที่ให้มีสถานที่ทำการอยู่ในที่เดียวกัน เป็นศูนย์กลางในการให้บริการ และอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการ และประชาชนในจังหวัดสุโขทัย เข้าร่วมงาน
สำหรับอาคารบูรณาการกระทรวงยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ๔ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสุโขทัย สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสุโขทัย สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุโขทัย และสำนักงานยุติธรรมจังหวัดสุโขทัย
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนอยากเห็นจังหวัดสุโขทัยมีการขับเคลื่อน และพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยได้ร่วมกันวางแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด เช่น เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด พัฒนาการจังหวัด สำนักชลประทาน เพื่อการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชน ดังนี้
๑) ด้านการเกษตร ปศุสัตว์ ได้แก่ การส่งเสริมการปลูกทุเรียน เริ่มต้นประมาณ ๑๐,๐๐๐ ต้น การเลี้ยงโคเนื้อ ไก่ชน การปลูกชา เป็นต้น
๒) ด้านการสร้างรายได้ และสร้างอาชีพ ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพเพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นจำนวน ๕๐๐ บาท ต่อคนต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ GDP ประชากรในจังหวัดสุโขทัยเพิ่มขึ้นเดือนละ ๓๐๐ ล้านบาทต่อเดือน และเท่ากับ ๓,๖๐๐ ล้านบาท ต่อปี
๓) การส่งเสริมระบบชลประทาน โดยสนับสนุนให้มีโครงการคลองท่อทองแดง และคลอง
แม่ระกา เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ำใช้ในการทำการเกษตร และบริโภคอย่างเพียงพอ ซึ่งประชาชนในพื้นที่อำเภอคีรีมาศ อำเภอกงไกลาศ จังหวัดสุโขทัย รวมทั้งจังหวัดตากและจังหวัดกำแพงเพชรจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการดังกล่าว
๔) ด้านการอำนวยความยุติธรรม ได้มุ่งเน้นการรับเรื่องร้องทุกข์ การเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สร้างการรับรู้ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย ตลอดจนสร้างเครือข่ายอาสาสมัครยุติธรรม ในการช่วยเหลือ ดูแลประชาชนในพื้นที่ชุมชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะเป็นการสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยในระดับพื้นที่
โอกาสนี้ กลุ่มชาวบ้านจากอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ที่ได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม กรณีได้รับความเดือดร้อนถูกโกงค่าซื้อสินค้าทางการเกษตร ได้มอบดอกไม้เพื่อแสดงความขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่กระทรวยุติธรรมได้ให้ความช่วยเหลือจนได้รับความเป็นธรรม ต่อจากนั้น รมว.ยุติธรรม ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม “ยุติธรรมจิตอาสาทำดีเพื่อสังคม (CSR) โดยการมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน และการกีฬาให้กับโรงเรียนในจังหวัดสุโขทัย ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนวัดปากพระ โรงเรียนเชิงคีรี (สุวิชานวรุฒิ) และโรงเรียนบ้านไสยาศน์ (ราษฏร์บูรณะ)
จากนั้น รมว.ยุติธรรม ได้ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย) และได้ศึกษาดูงานในพื้นที่ด้านปศุสัตว์ ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโค ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัยอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ฟินแลนด์ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สนับสนุนเศรษฐกิจ BCG | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ฟินแลนด์ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สนับสนุนเศรษฐกิจ BCG
นายกฯ ย้ำความร่วมมือไทย-ฟินแลนด์ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สนับสนุนเศรษฐกิจ BCG
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยูริ ยาร์วียาโฮ (H.E. Mr. Jyri Järviaho) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี ไทยและฟินแลนด์มีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกันมายาวนานถึง 67 ปี เชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตฯ จะเป็นตัวแทนสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อน ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นอกจากนี้ ไทยขอให้กำลังใจแก่รัฐบาลฟินแลนด์ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยพร้อมที่จะสนับสนุน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสาธารณสุขระหว่างกัน ทั้งนี้ สถานการณ์ในไทยอยู่ในระดับคงตัวและควบคุมได้ ซึ่งอยู่ในช่วงผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคตามระดับความเสี่ยง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เพียงพอกับประชาชนตลอดจนผู้ที่พำนักอยู่ในประเทศไทยโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย พร้อมสานต่อและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ใกล้ชิดมากขึ้นในทุกมิติ พร้อมชื่นชมนโยบายและการดำเนินมาตรการของรัฐบาลไทยในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประสบผลสำเร็จ เชื่อมั่นว่า ทุกประเทศจะต้องมุ่งมั่น เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป และหวังให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นองค์ประกอบสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยพร้อมจะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้แก่ไทย โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งฟินแลนด์มีศักยภาพและเทคโนโลยีที่จะร่วมมือกับไทยได้
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคีในด้านอื่น ๆ และจะร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยไทยกำลังเตรียมการจัดทำวัคซีนพาสปอร์ต (Vaccine Passport) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางสาธารณสุข อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยได้เน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG) จึงเป็นโอกาสที่ทั้งสองประเทศสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ร่วมกันได้ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ภาคเอกชนฟินแลนด์เข้าร่วมลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งฟินแลนด์ให้ความสนใจพื้นที่เขต EEC มีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นต้นแบบของนวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ในอนาคต ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีชื่นชมระบบการศึกษาของฟินแลนด์ โดยทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานไทย-ฟินแลนด์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบการเรียนการสอน ให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เรียนสูงสุด พร้อมยินดีที่จะจัดทำโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศเพื่อพัฒนาทักษะให้แก่เยาวชนในอนาคต
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้สอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกกลุ่มตามหลักประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40097 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมคณะทำงานการจัดงานใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมคณะทำงานการจัดงานใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมคณะทำงานการจัดงานใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานประชุมคณะทำงานการจัดงานใต้ร่มพระบารมี ๒๓๙ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ โดยมี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เห็นชอบปรับปรุงแผนปฏิรูปประเทศ 6 ประเด็น กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดชัดขึ้น เน้นกิจกรรม Big Rock คัดเฉพาะกฎหมายสำคัญ พร้อมกำชับ ทุกหน่วยงาน บูรณาการทำงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม | วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564
นายกฯ เห็นชอบปรับปรุงแผนปฏิรูปประเทศ 6 ประเด็น กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดชัดขึ้น เน้นกิจกรรม Big Rock คัดเฉพาะกฎหมายสำคัญ พร้อมกำชับ ทุกหน่วยงาน บูรณาการทำงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
นายกฯ เห็นชอบปรับปรุงแผนปฏิรูปประเทศ 6 ประเด็น กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดชัดขึ้น เน้นกิจกรรม Big Rock คัดเฉพาะกฎหมายสำคัญ พร้อมกำชับ ทุกหน่วยงาน บูรณาการทำงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับทุกหน่วยงาน เดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่ 6 ประเด็น จากแผนการปฏิรูป 13 ด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าแผนปฏิรูปประเทศจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
ทั้งนี้ ล่าสุดเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) กำหนด 6 ประเด็น ปรับปรุง ได้แก่ (1) การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในระดับแผนให้ชัดเจน สามารถวัดผลการดำเนินการได้ (2) การปรับตัดกิจกรรมที่เข้าข่ายเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานและคัดเลือกเฉพาะกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock)
(3) การทบทวนกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ โดยคัดเลือกเฉพาะกฎหมายที่มีความสำคัญ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการเสนอกฎหมาย (4) การทบทวนข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ
(5) พิจารณาความเห็นของหน่วยงานรับผิดชอบตามแผนการปฏิรูปประเทศ (6) ปรับเค้าโครงของแผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านให้เป็นรูปแบบเดียวกัน
“การปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศดังกล่าว สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกเฉพาะกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญเร่งด่วนและดำเนินการร่วมกันหลายหน่วยงาน สามารถดำเนินการและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ในช่วงปี 2564 - 2565” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำว่าให้ทุกหน่วยงานการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปแต่ละด้าน ที่ได้กำหนดกิจกรรม Big Rock รวมทั้งสิ้น 62 กิจกรรม ให้มีความเป็นเอกภาพ บูรณาการ เป็นธรรมทั่วถึง เพียงพอและยั่งยืนด้านการเงินการคลัง
ทั้งนี้ มี 7 ประเด็นที่หน่วยงานต่างๆจะต้องบูรณาการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป ได้แก่ การพัฒนาคน การท่องเที่ยว การเตรียมพร้อมและการพัฒนาผู้สูงอายุ การลดอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิตและลดขั้นตอนทางธุรกิจ การกระจายอำนาจ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ การมีส่วนร่วมและการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยนายกรัฐมนตรี ขอให้หน่วยงานต่างๆได้ร่วมมือกัน ทำงานด้านการปฏิรูปให้เห็นผลโดยเร็ว
สำหรับ แผนการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านสังคม ด้านพลังงาน ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39702 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัล ลดภาระค่าใช้จ่าย สร้างความเสมอภาคประชาชนทุกกลุ่ม | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัล ลดภาระค่าใช้จ่าย สร้างความเสมอภาคประชาชนทุกกลุ่ม
นายกรัฐมนตรีเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัล ลดภาระค่าใช้จ่าย สร้างความเสมอภาคประชาชนทุกกลุ่ม
วันนี้ (24 มีนาคม 2564) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ว่า การประชุมของกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มุ่งจัดทำยุทธศาสตร์แผนแม่บทต่าง ๆ ในการบริหารงาน ซึ่งได้รับรายงานว่า มีความก้าวหน้าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย เป็นที่น่าภูมิใจว่า ไทยเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเรื่องของดิจิทัล เรื่อง 5 จี มีโอกาสมากมาย ซึ่งเราอยู่ในอันดับ 1 ในขณะนี้ จากข้อมูลหลายๆข้อมูลต่างๆที่ผ่านมา ทั้งการใช้ประโยชน์ด้านดิจิตอลให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไร มากกว่าการใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเดียว การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ทางด้านสุขภาพ การเรียนรู้ต่างๆ ทั้งหมด การประกอบการธุรกิจ ความมั่นคงต่างๆ ซึ่งต้องตอบสนองวิธีการต่างๆเหล่านี้ด้วย คนทุกช่วงวัยการศึกษา สุขภาพ การประกอบการค้าการลงทุน และเป็นไปตาม พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก และ พ.ร.บ.การให้ข้อมูลข่าวสาร กับประชาชน ภายใต้การบูรณาการหน่วยงานภาครัฐบนฐานข้อมูลเดียวกัน และเดินหน้าไปสู่การใช้ระบบ Cloud ขนาดใหญ่ของเราซึ่งจะมี 2 ระดับด้วยกัน คือ ระดับรัฐบาลที่เปิดเผย และระดับชั้นความลับ จะอยู่ที่หน่วยงาน เพื่อลดภาระในเรื่องของค่าใช้จ่ายลงไป ซึ่งเดิมมีการแยกกันอยู่พอสมควร
นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานของรัฐบาลมีหลายระดับด้วยกัน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย แนวทาง แผนปฏิบัติการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ กรอบการปฏิรูปการศึกษา กรอบการปฏิรูป พ.ร.บ.การศึกษา หากใครจะมาทำหน้าที่ต้องปฏิบัติตามนี้ ซึ่งตนให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา ทั้งการศึกษานอกระบบ การศึกษาในระบบ และการศึกษากศน. การใช้จ่ายงบประมาณส่งเสริมโรงเรียนให้มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น การนำระบบดิจิตอลในใช้การศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนมีโอกาส การกระจายการปฏิรูปครูให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวทางพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติมีอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรียังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ เพราะทั้ง 2 กระทรวงมีบทบาทสำคัญด้านการสร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมารัฐบาลได้เดินหน้าเจรจา FTA อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในเครือ EU ที่ปัจจุบันได้เข้าร่วมเจรจาและสนับสนุนประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีเผยว่าการทำงานอาจมีอุปสรรค มีความติดขัด เพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงต้องมีอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างกัน เป็นกลไกบริหารประเทศไทย สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย
…………….
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40298 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เผย ครม.มีมติปรับปรุงขั้นตอนขอทบทวนสิทธิ “ม33เรารักกัน” | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ เผย ครม.มีมติปรับปรุงขั้นตอนขอทบทวนสิทธิ “ม33เรารักกัน”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มี.ค.64 เห็นชอบปรับปรุงขั้นตอนการยื่นทบทวนสิทธิโครงการ ม33เรารักกัน ตั้งแต่วันที่ 15 – 28 มี.ค.64
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.64) เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์ขั้นตอนการยื่นทบทวนสิทธิ โครงการ ม33เรารักกัน ตามที่สำนักงานประกันสังคมเสนอสำหรับขั้นตอนการยื่นขอทบทวนสิทธิในวันที่ 15 – 28 มี.ค.64 สามารถยื่นขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com เวลา 06.00 – 23.00 น. โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนกลุ่มต่างๆ ได้ยื่นขอทบทวนสิทธิ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ลงทะเบียนวันที่ 21 ก.พ. – 7 มี.ค.64 กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com แต่ถูกปฏิเสธว่าไม่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ณ วันที่ 19 ม.ค. 94 หรือ วันที่ 15 ก.พ.64 กลุ่มที่ 3 ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าเงื่อนไขโครงการ ม33เรารักกัน และกลุ่ม 4 ผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนแล้วแต่ข้อมูลไม่ตรงกับสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เช่น คำนำหน้าชื่อ ชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด เป็นต้น จากนั้นวันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย.64 เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบข้อมูลและคัดกรองผู้ได้รับสิทธิ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิได้ทางหน้าเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com วันที่ 5 -11 เม.ย.64 ผู้ได้รับสิทธิจะต้องกดยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ถึง 31 พ.ค.64 และจะได้รับวงเงินสะสมผ่านแอพพลิเคชั่น เป๋าตัง จำนวน 4,000 บาท ในวันที่ 12 เม.ย.64 หรือ ณ วันที่กดยืนยันสิทธิ
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มผู้ประกันตนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมายื่นให้เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ในวันที่ 15 – 28 มี.ค.64 เพื่อลงทะเบียนแทน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.จากนั้นวันที่ 29 มี.ค. – 4 เม.ย.64 เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบผู้ประกันตนว่ามีเงินฝากเกิน 500,000 บาทหรือไม่ และจะต้องไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร่วมถึงไม่เคยได้รับสิทธิโครงการเราชนะ โดยจะมีการแจ้งผลการตรวจสอบสิทธิใน วันที่ 5 -11 เม.ย.64 ผ่าน 4 ทางด้วยกัน ประกอบด้วย
1. SMS หมายเลขโทรศัพท์บุคคลอ้างอิง
2.โทรศัพท์แจ้งตามหมายเลขโทรศัพท์บุคคลอ้างอิง
3.โทรศัพท์แจ้งสถานประกอบการให้แจ้งผู้ประกันตน
และ 4.ไลน์แจ้งสถานประกอบการให้แจ้งผู้ประกันตน จากนั้นผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิรับวงเงิน 4,000 บาท สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชน เหมือนกับโครงการเราชนะในวันที่ 12 เม.ย. – 31 พ.ค.64 โดยจะต้องใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการไม่เกินวันที่ 31 พ.ค.64
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39813 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวน SME ไทย ขึ้นบัญชีของ สสว. | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ชวน SME ไทย ขึ้นบัญชีของ สสว.
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศ ลงทะเบียนขึ้นบัญชีผู้ประกอบการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่มีมูลค่ามากกว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีได้ง่ายขึ้น และแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้มากขึ้น เนื่องจากกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ ที่เพิ่งบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา กำหนดให้หน่วยงานรัฐซื้อสินค้าหรือจ้างงานจาก SME ที่อยู่ในบัญชีของ สสว. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ เพื่อเปิดโอกาสให้ SME ไทยเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.thaismegp.com
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39711 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลก 2564 ภายใต้หัวข้อ อูบุนตู (Ubuntu) : ฉันเป็นฉันเพราะเรา-สร้างความสมานฉันท์ทางสังคมและความเชื่อมโยงกันของโลก | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลก 2564 ภายใต้หัวข้อ อูบุนตู (Ubuntu) : ฉันเป็นฉันเพราะเรา-สร้างความสมานฉันท์ทางสังคมและความเชื่อมโยงกันของโลก
พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลก 2564 ภายใต้หัวข้อ อูบุนตู (Ubuntu) : ฉันเป็นฉันเพราะเรา-สร้างความสมานฉันท์ทางสังคมและความเชื่อมโยงกันของโลก
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 64เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯนางแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันสังคมสงเคราะห์โลก ระดับภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ประจำปี 2564 (World Social Work Day 2021) ภายใต้หัวข้อ Ubuntu: I Am Because We Are Strengthening Social Solidarity and Global Connectedness ในรูปแบบ Online ผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมี นางสาววิจิตรา รชตะนันทิกุล ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม และนางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นักวิชาการ นักสังคมสงเคราะห์ นักพัฒนาสังคม ผู้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ อาจารย์และนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมจากประเทศอาเซียน รวมทั้งคณะอนุกรรมการภาคีความร่วมมือสังคมสงเคราะห์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 300 คน เข้าร่วมงานดังกล่าว
นางสาวแรมรุ้งกล่าวว่า สืบเนื่องจากสมาพันธ์นักสังคมสงเคราะห์ระหว่างประเทศ (International Federation of Social Workers : IFSW) ได้กำหนดให้วันอังคารสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมีนาคมทุกปี เป็นวันสังคมสงเคราะห์โลก และเชิญชวนให้ประเทศทั่วโลกจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสดังกล่าว เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกควบคู่กันไป ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ร่วมกับ สมาพันธ์นักสังคมสงเคราะห์ระหว่างประเทศ (IFSW) และภาคีความร่วมมือสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย เป็นตัวแทนระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดงานวันสังคมสงเคราะห์โลก ประจำปี 2564 (World Social Work Day 2021) ภายใต้หัวข้อ Ubuntu: I Am Because We Are Strengthening Social Solidarity and Global Connectedness นับว่าเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดการพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ สวัสดิการสังคม และการพัฒนาสังคม ระหว่างผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวางในระดับโลก โดยมีกิจกรรมสำคัญที่น่าสนใจทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ประกอบด้วย 1) ระดับชาติ มีการเสวนาวิชาการ หัวข้อ Strengthening Social Solidarity & Global Connectedness โดย ภาคีความร่วมมือสังคมสงเคราะห์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การนำเสนองานของนักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการ อูบุนตู : ฉันเป็นฉันเพราะเรา-สร้างความสมานฉันท์ทางสังคมและความเชื่อมโยงกันของโลก โดยสมาคมสภาการศึกษาสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมไทย (TASWE) ร่วมกับกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ 2) ระดับนานาชาติ มีการเสวนาวิชาการ หัวข้อ International Social Work in a Post Covid-19 World โดย IASSW (New York)
นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ เป็นหนึ่งในวิชาชีพที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานการพัฒนาและแก้ไขปัญหาครัวเรือนเปราะบาง ซึ่งจำเป็นต้องมีและใช้องค์ความรู้ มีทัศนคติและทักษะทางสังคมสงเคราะห์ในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อคุ้มครองสิทธิ สนับสนุนส่งเสริม ป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และเสริมพลังแก่บุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั้งสุขภาพกายและจิตใจ เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ เป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งในการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อความช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคม ให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข ทั้งนี้ กระทรวง พม. มุ่งหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ ทุกภาคส่วนจะร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีให้สอดคล้องกับแนวคิดของงานวันสังคมสงเคราะห์โลก ประจำปี 2564 ที่ว่า Strengthening Social Solidarity and Global Connectedness เราจะร่วมสร้างความสมานฉันท์ทางสังคม และร่วมกันเชื่อมโยงความร่วมมือกันในระดับโลก เพราะทุกคนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเป้าหมายให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนพัฒนาชุมชนและสังคมให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตลอดไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40110 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจกัญชาทางการแพทย์ ให้ครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
สธ. เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจกัญชาทางการแพทย์ ให้ครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดอบรม “หลักสูตรกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการ” ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ สร้างความรู้ความเข้าใจ และทำงานแบบบูรณาร่วมกัน
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดอบรม “หลักสูตรกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการ” ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ สร้างความรู้ความเข้าใจ และทำงานแบบบูรณาร่วมกัน เพื่อประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย
วันนี้ (15 มีนาคม 2564) ที่โรงแรมริชมอนด์ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการ โดยมีแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ศ.เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมการอบรม 233 คน
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายขับเคลื่อนการใช้กัญชา กัญชง ทางการแพทย์ เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนในการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพ โดยในปี 2564 ได้มีนโยบายการจัดบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการ เป็นการร่วมให้บริการระหว่างการแพทย์แผนไทยร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อการเข้าถึงบริการและได้รับยากัญชาอย่างมีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานวิชาชีพ ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด มีเป้าหมายจะให้บริการในโรงพยาบาลทุกระดับจำนวน 660 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีแพทย์แผนปัจจุบันผ่านการฝึกอบรม จำนวน 3,230 คน และแพทย์แผนไทย ด้านเวชกรรมไทย จำนวน 3,835 คน แพทย์แผนไทยประยุกต์ จำนวน 1,664 คน กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการจัดอบรมเรื่องกัญชาทางการแพทย์ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพทุกประเภท ครอบคลุมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ นำกัญชาทางการแพทย์มาเป็นตัวเชื่อมให้เกิดการบูรณาการในการรักษาพยาบาล ทำงานร่วมกันในรูปแบบสหสาขาวิชาชีพ โดยมุ่งประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
“วันนี้เป็นการอบรมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งแพทย์ปัจจุบันและแพทย์แผนไทย เพื่อสร้างความเข้าใจการนำผลผลิตจากพืชกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ให้มากที่สุด ตลอดจนทำความเข้าใจให้กับภาคเอกชนที่สนใจนำส่วนต่างๆ ของต้นกัญชา กัญชงไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่างๆ ให้เกิดประโยชน์กับวงการแพทย์ที่จะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วย และเป็นส่งเสริมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ” นายอนุทินกล่าว
ด้านแพทย์หญิงอัมพรกล่าวว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้จัดอบรมหลักสูตรกัญชาทางการแพทย์ ระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคม 2564 เพื่อให้แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ความรู้ความเข้าใจในการสั่งใช้ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชาให้กับผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วย นำไปใช้ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นไปตามกฎหมาย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ บูรณาการบำบัดรักษาร่วมกันระหว่างแต่ละวิชาชีพ สร้างความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการรับและส่งต่อผู้ป่วย โดยมีกิจกรรม อาทิ การอภิปรายหมู่ในหัวข้อ Cannabis Medicine และประสบการณ์ในการบำบัดรักษาในประเทศไทย การบรรยาย เรื่อง Pharmacology of Cannabis Medicine, Dosing and Essential lab testing และการใช้กัญชาทางการแพทย์แผนไทยและตำรับหมอพื้นบ้าน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิชาชีพ เกี่ยวกับประสบการณ์บำบัดรักษาจริง
******************************15 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39983 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประชุม คกก.ผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง วัคซีนโควิด 19 กัญชา-กัญชงถึงประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
อนุทิน ประชุม คกก.ผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง วัคซีนโควิด 19 กัญชา-กัญชงถึงประชาชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ขอความร่วมมือเป็นกระบอกเสียงร่วมสร้างความเข้าใจประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทุกคนในประเทศตามความสมัครใจ ขับเคลื่อนกัญชา-กัญชง ทางการแพทย์และสร้างรายได้ครัวเรือน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ขอความร่วมมือเป็นกระบอกเสียงร่วมสร้างความเข้าใจประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทุกคนในประเทศตามความสมัครใจ ขับเคลื่อนกัญชา-กัญชง ทางการแพทย์และสร้างรายได้ครัวเรือน สร้างเศรษฐกิจประเทศ
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับและเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/ 2564 โดยมีนายแพทย์โสภณ เมฆธน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานการประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล บูรณาการการทำงานของทุกกระทรวงให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ขอให้ทุกกระทรวงช่วยกันผลักดันและเป็นกระบอกเสียงสื่อสารถึงประชาชนสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคโควิด 19 จะต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมั่นใจศักยภาพระบบสาธารณสุข ความปลอดภัยของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา ซึ่งมีเพียงพอ ฉีดให้ประชาชนทุกคนในประเทศตามความสมัครใจภายในปีนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ นอกจากนี้ นโยบายกัญชา-กัญชง รัฐบาลต้องการให้มีการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ประชาชนสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพอย่างถูกกฎหมาย โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ส่งเสริมด้านการค้า ให้การดำเนินการเป็นไปอย่างครบวงจร
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันนี้ ได้นำเสนอผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการพัฒนาสาธารณสุข เพื่อให้คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีทุกกระทรวง รับทราบและสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อคนไทยแข็งแรง, การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และแผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19, ครอบครัวไทยสุขภาพดีมีหมอประจำตัว 3 คน รวมทั้งกัญชาเพื่อการรักษาและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ได้ปลดล็อคกฎหมาย กัญชา-กัญชง จากการเป็นยาเสพติดประเภท 5 สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ เพิ่มทางเลือกในการรักษาให้กับประชาชน และผลักดันให้เกิดการปลูกกัญชา 6 ต้นต่อครัวเรือนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด การรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อขอรับการปลูก และดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย โดยนำช่อดอกที่ยังไม่ปลดออกจากการเป็นสารเสพติด ขายให้กับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญาเพื่อนำมาสกัด แปรรูปใช้ทางการแพทย์ สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน ราก เนื้อเยื่อ นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือขายให้กับภาคอุตสาหกรรม ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหาร เครื่องสำอาง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพิ่มทางเลือกในการสร้างรายได้ในครัวเรือน ชุมชน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประเทศ
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือการจัดการข่าวปลอมทางสื่อโซเชียล ทุกกระทรวงช่วยกันจัดการอย่างเร่งด่วน แบบเบ็ดเสร็จ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ไม่ให้ค้างคาในสังคมนาน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีระบบเฝ้าระวังและพบข่าวปลอมด้านสาธารณสุขจำนวนมาก โดยมีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นแม่งานหลัก
****************************************** 25 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40369 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนเพิ่ม "หมอพร้อม" เป็นเพื่อนในไลน์ ช่วยติดตามการรับวัคซีนโควิด 19 | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
สธ.แนะประชาชนเพิ่ม "หมอพร้อม" เป็นเพื่อนในไลน์ ช่วยติดตามการรับวัคซีนโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุขเผย 9 วันฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 29,900 ราย แนะประชาชนเพิ่ม “หมอพร้อม” เป็นเพื่อนในไลน์ ช่วยตรวจสอบรายชื่อ ประเมินและยินยอมรับวัคซีน พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนนัดวันรับวัคซีนทั้ง 2 เข็ม ติดตามอาการหลังฉีด และให้ใบยืนยันรับวัคซีนครบถ้วน
กระทรวงสาธารณสุขเผย 9 วันฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 29,900 ราย แนะประชาชนเพิ่ม “หมอพร้อม” เป็นเพื่อนในไลน์ ช่วยตรวจสอบรายชื่อ ประเมินและยินยอมรับวัคซีน พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนนัดวันรับวัคซีนทั้ง 2 เข็ม ติดตามอาการหลังฉีด และให้ใบยืนยันรับวัคซีนครบถ้วน ย้ำต้องฉีดให้ครบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันโรค
บ่ายวันนี้ (9 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และ ผศ. (พิเศษ) นพ.สุภโชคเวชภัณฑ์เภสัช ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการฉีดวัคซีนโควิด 19 และการใช้งานระบบไลน์หมอพร้อม โดย นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์– 8 มีนาคม 2564 มีผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 29,900 ราย แนวโน้มผู้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนทุกชนิดสามารถเกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ 2 แบบ คือ อาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อย มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดบริเวณที่ฉีด หน้ามืด และวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น เป็นอาการปกติที่เกิดได้หลังการฉีดวัคซีน หายเองได้ใน 1-2 วัน
ส่วนอาการแพ้รุนแรง คือ ไข้สูง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จุดเลือดออก ผื่นขึ้นทั้งตัว อาเจียนมากกว่า 5 ครั้งชัก ปากเบี้ยว ปวดศีรษะรุนแรง และแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ต้องไปพบแพทย์ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานอาการแพ้รุนแรง แต่มีอาการสงสัยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 5 ราย ซึ่งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่อาการแพ้รุนแรง 1 ราย ส่วนอีก 4 รายกำลังรอพิจารณา แต่ทั้งหมดอาการเป็นปกติและกลับบ้านแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้รับการรายงานทั้งหมด จะนำไปเป็นข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และพัฒนาวัคซีนต่อไป
นพ.จักรรัฐกล่าวต่อว่า สำหรับผู้รับวัคซีนโควิด 19 ครบถ้วนจะได้รับใบรับรองการฉีดวัคซีน หากมีความจำเป็นต้องเดินทางระหว่างประเทศ สามารถนำใบรับรองการฉีดวัคซีนไปสถานพยาบาลที่ฉีดวัคซีนเพื่อออกเอกสารรับรอง (สมุดเล่มเหลือง) หรือวัคซีนพาสปอร์ต พร้อมรายละเอียดครบถ้วน โดยสามารถออกเอกสารเป็นภาษาต่างประเทศที่ประเทศปลายทางกำหนด เพื่อเป็นมาตรฐานสากลเทียบเคียงกับองค์การอนามัยโลกได้
ด้าน ผศ. (พิเศษ) นพ.สุภโชค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดทำระบบLine Official Account “หมอพร้อม” เพื่อรองรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศ จึงขอเชิญชวนให้เพิ่มหมอพร้อมเป็นเพื่อนในไลน์มีประโยชน์ได้ข้อมูลสุขภาพ แจ้งเตือนการไปรับวัคซีนโควิดครบทั้ง 2 เข็ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรค หากฉีดไม่ครบจะทำให้วัคซีนที่ฉีดไปสูญเปล่า มีการติดตามอาการภายหลังการฉีดวัคซีนในวันที่ 1 , 7 และ 30 และจะส่งข้อความยืนยันการรับวัคซีนหลังรับวัคซีนครบ 2 เข็ม
ทั้งนี้ วิธีการใช้งานไลน์หมอพร้อม ให้เข้าแอปพลิเคชันไลน์ ค้นหาและเพิ่ม “หมอพร้อม” เป็นเพื่อนกดยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการ ลงทะเบียนผู้ใช้งานและยืนยันข้อมูล ซึ่งมีเมนูเพิ่มบุคคลอื่นเพื่อลงทะเบียนแทนบุคคลในครอบครัวที่ไม่มีสมาร์ทโฟนได้ เมื่อลงทะเบียนสำเร็จแล้วสามารถเลือกฟังก์ชัน “วัคซีนโควิด 19” เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับวัคซีน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้นำรายชื่อกลุ่มเป้าหมายแรกในการรับวัคซีนเข้าสู่ระบบหมอพร้อมแล้ว หากมีรายชื่อในระบบจะแสดงหน้าจอให้กดยืนยันการรับวัคซีน เนื่องจากเป็นเรื่องของความสมัครใจ จากนั้นจะมีแบบประเมินคัดกรองก่อนรับวัคซีน เข้าสู่การนัดหมาย โดยสามารถเลือกสถานพยาบาล วันและเวลาได้
“สำหรับผู้ที่ยังไม่มีรายชื่อจะแสดงที่หน้าจอว่า ได้รับวัคซีนในระยะถัดไป ไม่ต้องกังวลว่ารายชื่อตนเองตกหล่น ขณะนี้ทุกโรงพยาบาลได้ทยอยนำเข้ารายชื่อกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ และ ประชาชน จากฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และทะเบียนราษฎร์เข้าสู่ระบบต่อไป หากคิดว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงและยังไม่อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับวัคซีนให้ติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้าน และย้ำว่าการใช้งานหมอพร้อมไม่ได้เป็นการลงทะเบียนเพื่อจองรับวัคซีนแต่อย่างใด” ผศ.(พิเศษ) นพ.สุภโชคกล่าว
**************************************9 มีนาคม 2564
*************************************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39802 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สดช. ผนึก กรมราชทัณฑ์ ร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขัง | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
สดช. ผนึก กรมราชทัณฑ์ ร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขัง
ปรับองค์ความรู้ เตรียมความพร้อมผู้ต้องขัง พร้อมสู่สังคมยุคดิจิทัลหลังพ้นโทษ
สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) จับมือ กรมราชทัณฑ์ ร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขังหลังพ้นโทษผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขังให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเล็งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะฝีมือแรงงานสำหรับการประกอบวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เรียนรู้สังคมออนไลน์ และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งจ้างงาน สร้างรายได้ พึ่งพาตนเอง ส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติ และภาพลักษณ์ที่มีต่อผู้พ้นโทษ ภายใต้โครงการ “พัฒนาศักยภาพผู้ต้องขังให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” โดยมีนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ลดช.) พร้อมด้วย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขังให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 64 ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซนเตอร์ แจ้งวัฒนะ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39842 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เปิดรับฟังความเห็นทุกภาคส่วนเพื่อลดอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางราง เปิดรับฟังความเห็นทุกภาคส่วนเพื่อลดอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ
ในวันที่ 18 มี.ค. 2564 นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานในการสัมมนารับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการศึกษาเพื่อลดอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ ครั้งที่ 1
จัดขึ้น ณ ห้อง Eternity Ballroom โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้ได้รับผลกระทบ ภาคประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมการการสัมมนาในครั้งนี้
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวถึงโครงการศึกษาเพื่อลดอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการผลักดันการลงทุนและพัฒนาโครงการระบบรางระหว่างเมืองต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ระบบรางเป็นระบบขนส่งหลักในการเดินทางและขนส่งสินค้าของประเทศ ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ลดปัญหาการจราจรติดขัด และมลภาวะทางอากาศ รวมทั้งลดอุบัติเหตุทางถนนลง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการขนส่งทางรางเพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลให้มีจำนวนขบวนรถไฟที่วิ่งให้บริการเพิ่มขึ้น และผ่านจุดตัดทางถนนและทางรถไฟบ่อยขึ้น โดยปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยมีโครงข่ายรถไฟระยะทางรวม 4,043 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 47 จังหวัด โดยมีจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ 2,684 แห่ง (เฉลี่ยทุก 1.5 กิโลเมตร มีจุดตัด 1 แห่ง) ซึ่งในแต่ละปีมีอุบัติเหตุขบวนรถไฟชนยานพาหนะบริเวณจุดตัดทางถนนและทางรถไฟเสมอระดับอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากในแต่ละปี
ดังนั้น กรมการขนส่งทางราง ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลระบบราง และจัดทำมาตรฐานด้านการขนส่งทางรางจึงได้ดำเนินโครงการศึกษาเพื่อลดอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟขึ้น โดยขอบเขตของงานจะดำเนินการสำรวจจุดตัดทางถนนและทางรถไฟทั่วประเทศ เพื่อจัดทำแผนแม่บทในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ จัดทำแผนปฏิบัติการและออกแบบรายละเอียดการปรับปรุงกายภาพจุดตัดทางถนน และทางรถไฟในระยะเร่งด่วน จัดทำมาตรฐานจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ และแนวทางการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟเชิงลึก ตลอดจนการจัดทำฐานข้อมูลทะเบียนประวัติจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ และเสนอแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาอุบัติเหตุจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ
ภายหลังจากการสัมมนาวันนี้ กรมการขนส่งทางรางจะลงสำรวจจุดตัดทางถนนและทางรถไฟในพื้นที่และจัดประชุมกลุ่มย่อยในแต่ละภาค โดยจะมีการสัมมนาอีกครั้งภายหลังจากรายงานการศึกษาฉบับกลางได้รับความเห็นชอบ และเมื่อได้ดำเนินการจัดทำร่างมาตรฐานจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ ร่างแผนแม่บท และแผนปฏิบัติการเสร็จแล้ว จะจัดสัมมนาเพื่อสรุปผลโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงร่างมาตรฐานร่วมทั้งร่างแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการให้มีความเหมาะสมและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
การสัมมนาในวันนี้จะทำให้ภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาพรวมของโครงการ รวมทั้งขอบเขตการศึกษาและยังเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการโครงการต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40106 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ยืนยันความพร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมมาตรการป้องกันโควิด-19 ในท่าอากาศยาน | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม ยืนยันความพร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมมาตรการป้องกันโควิด-19 ในท่าอากาศยาน
นายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ให้สัมภาษณ์สดรายการ "NBTรวมใจ สู้ภัยโควิด-19 @ ทำเนียบรัฐบาล" ออกอากาศสดทางช่อง 2 NBT
เมื่อวันพุธที่ 24 มี.ค. 64 เวลา 14.00 น. – 15.00 น. ในประเด็น "มาตรการดูแลการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์...ให้ปลอดภัยจากโควิด-19"
ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดูแลและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปีนี้มีวันหยุดค่อนข้างยาว อาจส่งผลให้มีการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนของกรมท่าอากาศยานผู้ให้บริการท่าอากาศยานภูมิภาค ได้มีเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยได้มีมาตรการ 4 ส่วน คือ
1. มาตรการอำนวยความสะดวก โดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานทุกแห่งจัดเวรอำนวยการ เพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้โดยสาร ทั้งในเรื่องของเที่ยวบินที่จะต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบ และเมื่อผู้โดยสารเดินทางมาถึง จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานต้องมีในเรื่องของรถสาธารณะ ที่เราได้ประสานเรื่องรถสาธารณะรับส่งผู้โดยสาร โดยจะต้องไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่ท่าอากาศยาน
2. มาตรการด้านความปลอดภัย ให้เวรอำนวยการดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานทุกเที่ยวบิน
พร้อมดูแลอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นและซักซ้อมอยู่เสมอ
3. มาตรการด้านการรักษาความปลอดภัย โดยได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อวางแผนและร่วมมือเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยาน และปฏิบัติงานอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะการตรวจค้นและการควบคุมการเข้าพื้นที่หวงห้าม เตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นและทำการซักซ้อมอยู่เสมอ รวมถึงเพิ่มการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทั้งในอาคารและพื้นที่รอบอาคารผู้โดยสาร
4. มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยของกระทรวงคมนาคม เพิ่มความเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งกรมท่าอากาศยาน ได้ให้ทุกส่วนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทั้งในส่วนของภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร และสายการบินขอความร่วมมือเพื่อรักษาระยะห่างตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ขั้นตอนการลำเลียงผู้โดยสารขึ้นและลงจากอากาศยาน รวมถึงยังได้แจ้งให้ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะที่เข้ามารับ-ส่งผู้โดยสาร ต้องมีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวด้วย และได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการเดินทาง สำหรับการดูแลความสะอาดภายในอาคารที่พักผู้โดยสาร มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสาร รถเข็น เก้าอี้ ราวบันได รวมถึงอุปกรณ์ปฏิบัติงานและได้เน้นย้ำพนักงานทำความสะอาดให้เพิ่มรอบการปฏิบัติงานให้มากขึ้นตามจำนวนรอบของเที่ยวบิน จัดจุดบริการเจล แอลกอฮอล์แก่ผู้โดยสาร เพื่อความสะอาดและสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร
สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิทั้งขาเข้า - ขาออก และต้องเช็คอิน/เช็คเอาท์แอปพลิเคชันไทยชนะ/หมอชนะ ทุกครั้งที่ใช้บริการ ทั้งนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ผู้อำนวยการท่าอากาศยานทุกแห่งของกรมท่าอากาศยานต้องการ์ดไม่ตก และปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางของผู้โดยสารในยุค New Normal กรมท่าอากาศยานแนะนำให้ผู้โดยสารดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ThaiFlightInfo ลงทะเบียนยืนยันตัวตนล่วงหน้า จะสามารถนำ QR Code มาใช้กับระบบคัดกรองของกรมท่าอากาศยานได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถเช็คเที่ยวบินได้แบบ Real Time ผู้โดยสารสามารถดูเที่ยวบินได้อย่างแม่นยำ พร้อมรับข้อมูลข่าวสารไม่พลาดทุกข้อมูลสำคัญของกรมท่าอากาศยาน โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Andriod
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40343 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ใช้ “ปทุมธานีโมเดล” ควบคุมโควิดตลาดย่านบางแค | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
สธ.ใช้ “ปทุมธานีโมเดล” ควบคุมโควิดตลาดย่านบางแค
กระทรวงสาธารณสุข แจงแนวทางควบคุมโรคโควิด 19 บริเวณตลาดย่านบางแค ใช้ปทุมธานีโมเดล ปิดตลาดทำความสะอาด ปรับปรุงสุขาภิบาล ตรวจหาเชื้อโควิด ฉีดวัคซีนผู้ค้าและแรงงาน ออกใบรับรองเข้าออกตลาด หากพบเชื้อนำเข้ารักษา แยกกักผู้สัมผัส ค้นหาเชิงรุกชุมชนโดยรอบ
กระทรวงสาธารณสุข แจงแนวทางควบคุมโรคโควิด 19 บริเวณตลาดย่านบางแค ใช้ปทุมธานีโมเดลปิดตลาดทำความสะอาด ปรับปรุงสุขาภิบาล ตรวจหาเชื้อโควิด ฉีดวัคซีนผู้ค้าและแรงงาน ออกใบรับรองเข้าออกตลาด หากพบเชื้อนำเข้ารักษา แยกกักผู้สัมผัส ค้นหาเชิงรุกชุมชนโดยรอบ 1 สัปดาห์ ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ามีความปลอดภัย ล่าสุดพบป้องกันป่วยในคนอายุมากกว่า 80 ปีร้อยละ 80
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 149 ราย มาจากระบบบริการในโรงพยาบาล 21 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 123 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 5 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต รักษาหายเพิ่มขึ้น 65 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่มีผู้ติดเชื้อสะสม 22,917 ราย รักษาหายสะสม 22,122 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.53 อยู่ระหว่างการรักษา 768 ราย และเสียชีวิตสะสม 27 ราย ทั้งนี้ การติดเชื้อภายในประเทศวันนี้กระจายใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 100 ราย สมุทรสาคร 34 ราย ปทุมธานี 4 ราย นครปฐม 3 ราย ราชบุรี 1 ราย และเพชรบุรี 1 ราย
สำหรับแนวทางการควบคุมโรคหลังพบการติดเชื้อบริเวณตลาดย่านบางแค ขณะนี้สำนักงานเขตได้ดำเนินการปิดตลาด 6 แห่งที่เชื่อมต่อกัน ได้แก่ ตลาดใหม่บางแค ตลาดแสงฟ้า ตลาดศิริเศรษฐนนท์ตลาดวันเดอร์ ตลาดกิตติ และตลาดบางแค เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-18 มีนาคม 2564 เพื่อทำความสะอาดและปรับปรุงสุขาภิบาล รวมทั้งจัดระเบียบการเข้าตลาด ซึ่งอาศัยโมเดลของ จ.ปทุมธานี คือ ตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด ฉีดวัคซีนแก่ผู้ค้าและแรงงานก่อนเปิดตลาด ออกใบรับรองเข้าออกตลาดโดยสำนักงานเขต หากตรวจพบเชื้อให้นำเข้ารักษาและแยกกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ทำความสะอาดจัดการสุขาภิบาลตลาด ค้นหาเชิงรุกในชุมชนหลังตลาดย่านบางแคและชุมชนตรงข้ามตลาดบางแค 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นสุ่มตรวจเดือนละ 1 ครั้ง เจาะเลือดเฉพาะผู้สัมผัสร่วมบ้านผู้ติดเชื้อ และติดตามแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ส่วนการขยายเวลาปิดตลาดเพิ่มเติมอยู่ที่
การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
“แม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ตลาดย่านบางแค แต่ทีมสอบสวนโรคยังคงทำงานในด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งกรณีปทุมธานี แม้สถานการณ์จะเบาบางลง อ.แม่สอด และจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย รวมถึงยังมีการคัดกรองเชิงรุกในชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า ส่วนความก้าวหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 15 มีนาคม 2564 ฉีดแล้ว 50,388 คน คิดเป็นร้อยละ 54 ของเป้าหมายการฉีดวัคซีนเข็มแรก โดยมี 9 จังหวดที่ดำเนินการฉีดได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือ เชียงใหม่ ตาก สมุทรสงคราม ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ส่วนที่ใกล้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือ นนทบุรีและปทุมธานี เหลือสมุทรสาครที่มีแล้วมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และกรุงเทพมหานครที่กำลังเร่งการฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่
สำหรับวันนี้มีการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าให้แก่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และอาจารย์แพทย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน เนื่องจากมีความชัดเจนแล้วว่า อาการลิ่มเลือดอุดตันไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้การยอมรับ โดยหลังรับวัคซีนเข็มแรก 22 วัน จะสามารถป้องกันอาการรุนแรงจากโรคโควิด 19 จนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลรวมถึงป้องกันการเสียชีวิตได้ ป้องกันอาการป่วยจากโควิดร้อยละ 76 ยาวนานอย่างน้อย 90 วัน และมีประสิทธิผลสูงขึ้นเป็นร้อยละ 81.39 เมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในระยะห่าง 12 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาล่าสุดในอังกฤษพบว่า ในกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป สามารถลดอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้มากถึงร้อยละ 80 หลังจากการฉีดเข็มแรก
“แม้จะมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว แต่ก็ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคที่เคยทำกันมา ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพราะเห็นได้จากหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ที่แม้จะมีการฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้วก็ยังมีพบการติดเชื้อวันละเกือบ 400 ราย ยอดสะสมประมาณ 9.6 หมื่นราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ราย หรืออย่างอิตาลีก็เตรียมล็อกดาวน์ทั่วประเทศช่วงอีสเตอร์ แม้ยุโรปจะมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรค่อนข้างมาก
แต่ก็อาจมีการระบาดระลอกใหม่ ดังนั้น การ์ดอย่าตกจึงมีความสำคัญ” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
*********************************** 16 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40039 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม สมช. ติดตามการทำงานของหน่วยความมั่นคง พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนมอบการ์ดอวยพรวันเกิด | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีประชุม สมช. ติดตามการทำงานของหน่วยความมั่นคง พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนมอบการ์ดอวยพรวันเกิด
นายกรัฐมนตรีประชุม สมช. ติดตามการทำงานของหน่วยความมั่นคง พร้อมขอบคุณสื่อมวลชนมอบการ์ดอวยพรวันเกิด
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 11.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงข่าวสื่อมวลชน ภายหลังการ เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น 3 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นการประชุมในส่วนของระดับนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รวมทั้งการปลูกฝังความรัก ความสามัคคี ซึ่งรัฐบาลกำหนดนโยบายลงไปแล้ว โดยฝ่ายนโยบายจะต้องกำหนดนโยบายขั้นต้นในแต่ละเรื่อง แต่ละประเด็น รวมถึงภาระหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ทำงานระดับรัฐบาล กรณีที่พื้นที่เกิดความไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ยังมีหน่วยพิเศษคือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ลงไปดำเนินการเพื่อให้ทำงานร่วมกัน สอดคล้อง ประสานงานกันในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ลงไปในพื้นที่อีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณสื่อมวนชนที่มอบการ์ดอวยพรวันเกิดครบรอบ 67 ปี ด้วยความรัก ความปรารถนาดีกันมาอย่างยาวนาน โดยขอบคุณคำอวยพรและเพลงไพเราะ พร้อมให้คำสัญญากับทุกคนว่า จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อแก้ปัญหาของประเทศโดยเร็วในทุกเรื่อง ในทุกมิติ พร้อมกันนี้ ยังได้แสดงความห่วงใยสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวในพื้นที่การชุมนุม โดยขอให้สื่อมวลชนระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงเกิดเหตุปะทะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมทุกครั้งให้รับทราบอยู่แล้ว หากรัฐบาลไม่ดูแลก็จะถูกร้องเรียนจากประชาชนอื่นที่ได้รับผลกระทบจากชุมชน ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มเช่นกัน
.........................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40221 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ 10 ชั้น รพ.พุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รมช.สาธิต วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ 10 ชั้น รพ.พุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข วางศิลาฤกษ์การก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ 10 ชั้น รพ.พุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา เพิ่มศักยภาพรองรับผู้ป่วย อุบัติเหตุฉุกเฉินและโรคหัวใจ ในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดแล้วเสร็จในปี 2567
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่ รพ.พุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีบวงสรวงวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ 10 ชั้น โดยมี นายพูลทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ร่วมพิธี
ดร.สาธิตให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลพุทธโสธร เป็นโรงพยาบาลศูนย์ของจังหวัด ขนาด 595 เตียง มีผู้รับบริการจำนวนมาก อยู่ในเขตพื้นที่บูรณาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กระทรวงสาธารณสุข มีแผนเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาล ให้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครบทุกสาขา เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ดูแลรักษาผู้ป่วยแบบเบ็ดเสร็จ ลดรอคอย ลดการส่งต่อ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะโรคผู้ป่วยโรคหัวใจ มีอัตราตายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (STEMI) ร้อยละ 5.07 เนื่องจากยังไม่มี CCU และห้องสวนหัวใจ จากสถิติเดือนสิงหาคม 2562 จนถึงเดือนมกราคม 2564 มีผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องได้รับการผ่าตัดทั้งหมด 156 ราย และรอผ่าตัด จำนวน 74 ราย และมีแผนการก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ 10 ชั้น เพื่อรองรับการบริการที่เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคหัวใจได้รับการดูแลรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวดเร็ว ลดอัตราการเสียชีวิต
สำหรับอาคารก่อสร้างศูนย์อุบัติเหตุและโรคหัวใจ เป็นแบบ คสล.10 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 18,672 ตารางเมตร ภายในอาคารจะประกอบด้วย ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ศูนย์ส่องกล้องและห้องตรวจผู้ป่วยนอกศัลยกรรม ห้องตรวจผู้ป่วยนอกพิเศษนอกเวลา หอผู้ป่วย ICU หัวใจ หอผู้ป่วย ICU อุบัติเหตุ ห้องปฏิบัติการสำหรับการตรวจหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization Lab) ห้องตรวจหัวใจ ห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ ห้องแยกโรค ห้องผู้ป่วยแรงดันลบ (Negative Pressure Room) สำนักงานอำนวยการ ห้องประชุมใหญ่ และห้อง Teleconference กระทรวงสาธารณสุขจึงได้สนับสนุนงบประมาณ 379,945,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 1,200 วัน จะแล้วเสร็จภายในปี 2567
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพุทธโสธร เป็นโรงพยาบาลขนาด ขนาด 595 เตียง ในปี 2563 มีผู้ป่วยนอกเข้ารับบริการเฉลี่ยวันละ 1,612 คน ผู้ป่วยในเฉลี่ยวันละ 503 คน โรคที่พบส่วนใหญ่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิต เบาหวาน ไตวาย มะเร็ง ในส่วนผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน เข้ารับบริการ 19,716 ราย
********************************1 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง
รมว.ทส. ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัด ย้ำ! การดำเนินงานยึดผลประโยชน์ของประชาชน เป็นที่ตั้ง
วันนี้ ( 1 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ พร้อมด้วย นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษาฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
รมว.ทส. ได้เน้นย้ำ ให้ทุกหน่วยงานในสังกัด สร้างการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน สร้างความโปร่งใส และธรรมาภิบาลภายในหน่วยงาน โดยในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนขอให้ใช้ความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ชี้แจงทำความเข้าใจ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎ ระเบียบ อย่างเต็มกำลังความสามารถ และเมื่อเกิดปัญหาขอให้เร่งเข้าไปแก้ปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชน มีการวิเคราะห์ปัญหา มีข้อมูลที่ถูกต้องสามารถตรวจสอบพิสูจน์ได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานของกระทรวงฯ ให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน อีกทั้ง ในการดำเนินงานขอให้แต่ละหน่วยงานทำงานร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เนื่องจากหลายภารกิจมีความเชื่อมโยงที่ต้องทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โครงการ คทช. อุทยานมรดกโลก เป็นต้น
อีกทั้ง ในด้านงบประมาณขอให้เร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและมาตรการเร่งรัดการใช้งบประมาณ และด้านกฎหมาย เกี่ยวกับกฎหมายระดับรองตาม พ.ร.บ.ต่างๆ ขอให้แต่ละหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการ สำหรับเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในทุก ๆ ระดับให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถ ศักยภาพในการทำงาน มีความรับผิดชอบ และมีความเหมาะสม นอกจากนี้ รมว. ทส. ยังได้กล่าวเน้นย้ำ เรื่องการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตพื้นที่ป่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงฯ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานสถานการณ์การขออนุญาตใช้พื้นที่ให้กับปลัดกระทรวงฯ ทราบ ภายใน 15 วัน อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดปัง! ไทยคว้าอันดับ 42 มีความพร้อมด้าน e-Commerce | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
สุดปัง! ไทยคว้าอันดับ 42 มีความพร้อมด้าน e-Commerce
...
วันนี้ มีเรื่องน่ายินดีมาฝากแฟน ๆ ไทยคู่ฟ้าครับ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 42 ของโลก เป็นประเทศที่มีความพร้อมทาง e-Commerce หรือการค้าขายแบบออนไลน์ ในลักษณะ B2C (Business-to-Customer) ประจำปี 2020
.
การจัดอันดับนี้เป็นการวัดความพร้อมทางเศรษฐกิจ ด้านการค้าแบบ e-Commerce จาก 152 ประเทศทั่วโลกขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD)
.
โดยไทยติด Top 10 ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
.
หลังจากนี้ รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าปลี่ยนผ่านประเทศสู่สังคมเศรษฐกิจดิจิทัลที่สร้างประโยชน์กับทุกภาคส่วน
เพิ่มความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับประชาชนในการก้าวเข้าสู่ e-Commerce อย่างสมบูรณ์
ที่มา :https://unctad.org/.../official.../tn_unctad_ict4d17_en.pdf
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39809 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนาเพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ 2 โครงการศึกษาแนวทางการติดตามประเมิน (Tracking) การใช้พลังงานที่ลดได้จากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
การสัมมนาเพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ 2 โครงการศึกษาแนวทางการติดตามประเมิน (Tracking) การใช้พลังงานที่ลดได้จากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้จัดการสัมมนา
เพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ 2 “โครงการศึกษาแนวทางการติดตามประเมิน (Tracking) การใช้พลังงานที่ลดได้จากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่”
เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564 ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 4 โรงเเรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพมหานคร โดยมีนางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชน เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 100 คน
นางวิไลรัตน์ฯ กล่าวว่า การก่อสร้างรถไฟทางคู่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในด้านการขนส่งของไทยในการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนสู่ระบบราง และเพื่อให้เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ เชื่อมต่ออย่างครอบคลุมเป็นการต่อยอดความเชื่อมโยง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟ และบริเวณย่านสถานีรถไฟ ทำให้เกิดเศรษฐกิจใหม่และกระตุ้นให้เกิดการกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น การเดินทางมีความรวดเร็วปลอดภัย ส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น สนข. ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจในการส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะ รวมทั้งภารกิจในการลดการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคม ได้มองเห็นศักยภาพในการลดการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกจากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการติดตามการประเมินการใช้พลังงานที่ลดได้จากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อตอบสนองต่อค่าเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานภาคขนส่งภายในปี พ.ศ. ๒๕๘๐ และการลดก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ที่มีศักยภาพสูง โดยได้จัดทำแนวทางและวิธีการประเมินการลดการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกจากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่และจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline Data) เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินผลการลดการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกจากโครงการก่อนที่โครงการจะเปิดให้บริการของโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ทั้ง 7 เส้นทาง
นางวิไลรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า จากผลการดำเนินงานโครงการ พบว่า จากการคาดการณ์การติดตามประเมินการลดการใช้พลังงานจากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ สามารถช่วยลดพลังงานได้ประมาณ9,540 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือ ktoe ในปี พ.ศ. 2580 และจากการคาดการณ์การติดตามประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกจากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ด้วยวิธีที่สามารถตรวจวัด รายงาน และทวนสอบได้ หรือ MRV สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 9.36 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ MtCO2eในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ และหากทำการติดตามประเมิน (Tracking) การลดการใช้พลังงานและก๊าซเรือนกระจกใน2 เส้นทางที่เปิดให้บริการแล้ว คือ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ และช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-ชุมทางคลองสิบเก้า-ชุมทางแก่งคอย ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ โดยพบว่า ใน ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ประมาณ ๑,๑๔๐.๔ ktoe และลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3.59 MtCO2e
นางวิไลรัตน์ฯ กล่าวตอนท้ายว่า การสัมมนาเพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ ๒ “โครงการศึกษาแนวทางการติดตามประเมิน (Tracking) การใช้พลังงานที่ลดได้จากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่” ที่ สนข. จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้การผลักดันทางด้านนโยบายของภาครัฐ โดยภาครัฐจะมีข้อมูลหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถช่วยในการตัดสินใจเลือกดำเนินนโยบายด้านการส่งเสริมการขนส่งที่ยั่งยืน ทั้งในด้านประสิทธิภาพการลดการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการลดการใช้พลังงานและก๊าซเรือนกระจกของประเทศ รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาระบบขนส่งที่ยั่งยืนได้ตามเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และให้ผู้เข้าร่วมงานสัมมนานั้นสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถถ่ายทอดความรู้ต่อได้อย่างถูกต้อง ให้เกิดประโยชน์สูดสุด มีการเชื่อมโยงการบูรณาการดำเนินงาน ทำให้เกิดความประสานสัมพันธ์ในการประกอบกิจการงาน ราชการ และธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้ คือ การลดการใช้พลังงานจากการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39913 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าพัฒนา EEC | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนา EEC
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยในปีที่ผ่านมามีการลงทุนทั้งสิ้น 453 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท สำหรับปีนี้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล และ 5G ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมมากกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน โดยมีโครงสร้างที่ใช้งานได้แล้วใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง นอกจากนี้ยังมีโครงการ EFC สร้างห้องเย็นทันสมัยสำหรับผลไม้และอาหารทะเล เพื่อขยายตลาดสินค้าให้กับเกษตรกร ซึ่งการเติบโตของพื้นที่ EEC จะทำให้นักวิจัย บุคลากร และผู้ประกอบการไทย ได้รับความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จากนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เดินทางมาจากทั่วโลก และช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39899 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมครบรอบ 79 ปี | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมครบรอบ 79 ปี
ปลัดกอบชัยฯ ร่วมเป็นเกียรติในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมครบรอบ 79 ปี
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมครบรอบ 79 ปี โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้บริหารระดับสูง และข้าราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40235 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ล้ำหน้าขับเคลื่อนภารกิจ “จากหิ้งสู่ห้าง จากหิ้งสู่ฟาร์ม” | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ ล้ำหน้าขับเคลื่อนภารกิจ “จากหิ้งสู่ห้าง จากหิ้งสู่ฟาร์ม”
กระทรวงเกษตรฯ ล้ำหน้าขับเคลื่อนภารกิจ “จากหิ้งสู่ห้าง จากหิ้งสู่ฟาร์ม” สวก.เปิดตลาดชอปปิ้งงานวิจัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โชว์เทคโนโลยีและเปิดตัวผลงานวิจัยเด่น พร้อมจับมือภาคเอกชนดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ภายใต้ “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 แถลงวันนี้ (24 มี.ค.) ว่า ในการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ภายใต้ “5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” เพื่อปฏิรูปภาคเกษตรของไทยสู่เกษตร 4.0 โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นแกนขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นน้ำการเกษตรจนถึงปลายน้ำการพาณิชย์ มุ่งเป้าสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรและระบบเศรษฐกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพใหม่ให้กับประเทศไทย จึงเร่งดำเนินการส่งเสริมการต่อยอดผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมไปสู่ภาคธุรกิจและการลงทุนซึ่งเป็นแนวทาง “จากหิ้งสู่ฟาร์ม จากหิ้งสู่ห้าง” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี สวก. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน
นางสาวศิริกร วิวรวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. แถลงว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสวก. จะจัดงาน “ARDA Virtual Meeting : สุดยอดงานวิจัย สู่ตลาดภาคธุรกิจ” ในรูปแบบ Virtual Event บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จับมือผู้ประกอบการภาคเอกชน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางกอกดรัก จำกัด บริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุก ไทย จันทรา นำผลงานวิจัยไปสู่ตลาด พร้อมโชว์ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยเด่น อาทิ อาหารว่างดัดแปลงเนื้อสัมผัสพร้อมรับประทาน มาร์การีนจากน้ำมันรำข้าว เครื่องดื่มฟังก์ชันข้าวไทย สารออกฤทธิ์จากใบบัวบกสำหรับการนำไปพัฒนาตำรับยาทาภายนอก และชุดตรวจคัดแยกมะละกอปลอด GM เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการส่งออกมะละกอให้ได้มาตรฐานสากล โดยกิจกรรมเปิดตลาดชอปปิ้งงานวิจัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 – 17.00 น. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นจุดเริ่มในการผลักดันให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งสามารถก่อให้เกิดมูลค่าทางทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับเกษตรกรให้สามารถพึ่งพาตนเองตามนโยบาย BCG Model โดยการนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดจากฐานความเข้มแข็งเดิม นั่นก็คือ ทรัพยากรชีวภาพ หรือผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า รวมถึงนวัตกรรมที่นำ Green Technology มามีส่วนช่วยในการบริหารจัดการ และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงาน
ภายในงาน เปิดให้ผู้ที่ร่วมลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการผลงานวิจัยของ สวก. โดยสามารถเข้าไปเลือกชมชอปปิ้งเทคโนโลยีจากงานวิจัย ในโซนที่ 1-2 รวมถึงเข้าชมงานวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ (Free Technology) ในโซนที่ 3 บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยประกอบด้วย 4 โซน คือ
โซนที่ 1 Show case จาก “หิ้งสู่ห้าง” มากกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ อาทิ น้ำนมข้าวออแกนิค ซอสหมักเนื้อสมุนไพร เครื่องสำอางจากไหม และอาหารเสริมจากถั่งเช่า
โซนที่ 2 ผลงานวิจัยพร้อมใช้ “เชิงพาณิชย์” มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ กากเต้าหู้หมักยีสต์แดงสำหรับอาหารโคเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากผลและกากเม่า เครื่องจักรกลผลิตเงาะกระป๋อง และไมโครอีมัลชันกักเก็บสารสกัดข้าวสังข์หยด
โซนที่ 3 องค์ความรู้วิจัยพร้อมใช้ “เชิงสาธารณะ” มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ ระบบเตือนภัยดินถล่ม ต้นแบบการฟื้นฟูปูม้าอ่าวบ้านดอน และข้าวโพดหลังนาสู้ภัยแล้ง
โซนที่ 4 ระบบ TARR คลังข้อมูลการวิจัยการเกษตร ที่รวบรวมผลงานวิจัยด้านการเกษตรจากเครือข่ายพันธมิตรกว่า 60,000 เรื่อง
พร้อมกันนี้ยังมีการนำเสนอ “สุดยอดงานวิจัย สู่ตลาดภาคธุรกิจ” ที่พร้อมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำไปขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ โดยได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และภาควิชาการ เข้าร่วมรับชมงาน ผ่านทางเว็ปไซต์ https://ardavirtualmeeting.digitalnextecho.com/register.php ซึ่งคาดว่าการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาต่อยอดและเชื่อมเครือข่ายกับภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน และสร้างผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและสังคมต่อประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40300 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จับมือฟินแลนด์ สานต่อความร่วมมือ พร้อมพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
ศธ.จับมือฟินแลนด์ สานต่อความร่วมมือ พร้อมพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายยูริ ยาร์วียาโฮ (H.E. Mr. Jyri Järviaho) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย
เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายยูริ ยาร์วียาโฮ (H.E. Mr. Jyri Järviaho) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ ณ ห้องดำรงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยกระทรวงศึกษาธิการไทยได้มีความร่วมมือกับฟินแลนด์ในหลากหลายมิติ ซึ่งโครงการต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนและดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดการอบรมครูออนไลน์ร่วมกับมหาวิทยาลัยในฟินแลนด์ จำนวน 3 หลักสูตร คือ 1) หลักสูตร “STEM education for early childhood and primary teachers” ของ University of Helsinki, 2) หลักสูตร “Media skills in digital learning environments” ของ University of Eastern Finland และ 3) หลักสูตร “Research-based Professional Development Courses” ของ Oulu University Teacher Training School ซึ่งได้เริ่มดำเนินการอบรม เมื่อเดือนมกราคม 2564 และมีกำหนดการเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะรับฟังความเห็นและเสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมอบรมดังกล่าว เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดสำหรับเตรียมการอบรมต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ร่วมมือกับสถาบันการอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ในการส่งเสริมปลูกต้นไม้และสร้างพื้นที่สีเขียวในสถานศึกษา เพื่อให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา ตลอดจนขอความร่วมมือจากฟินแลนด์ในการเข้ามามีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานด้วยการ upskill และ reskill เพราะในปัจจุบันมีคนตกงานจำนวนมาก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 หากเราสามารถ upskill และ reskill กำลังคนให้มีทักษะที่สามารถประกอบอาชีพในโลกยุคปัจจุบันได้ ก็จะช่วยให้อัตราการว่างงานในประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการจะประสานความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์อย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งดำเนินการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินการโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยและฟินแลนด์มีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยฟินแลนด์ยินดีให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่มีความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังจิตสำนึก และการพัฒนาการเรียนการสอนที่อยู่ภายใต้หลักการความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์การแก้ปัญหาด้านมลพิษของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการบริหารจัดการขยะหมุนเวียน เป็นต้น
นอกจากนี้ การประชุมออนไลน์ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแห่งฟินแลนด์ เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการสถานศึกษาให้กับผู้บริหารสถานศึกษาของไทย ซึ่งฟินแลนด์ให้ความสำคัญและมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการบริหารจัดการสถานศึกษา รวมทั้งหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนกิจกรรมพลศึกษาในโรงเรียน และการปฏิรูปการศึกษาในฟินแลนด์ด้วยการขยายเวลาการศึกษาภาคบังคับจาก 16 ปี เป็น 18 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กออกจากระบบการศึกษาด้วย
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2/2564 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2/2564
กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2/2564 รวมทั้งสิ้น 246 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอำนาจประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างในสาขานั้นต้องเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยต้องใช้เงินงบประมาณในวงเงินเท่าใดหรือต้องใช้ผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาใดด้วยก็ได้ และมาตรา 53 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ซึ่งหน่วยงานของรัฐไม่ต้องจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประเภทนั้นอีก และให้หน่วยงานของรัฐกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอตามมาตรา 51 ในประกาศเชิญชวนให้เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้นด้วย
จากการที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างในครั้งนี้แล้ว ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างประกาศกำหนด จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพานสาขางานก่อสร้างชลประทาน และสาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง โดยเป็นผู้ประกอบการงานก่อสร้างรายเดิมที่ได้เลื่อนชั้น และผู้ประกอบการงานก่อสร้างรายใหม่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน รวมทั้งสิ้น 246 ราย
“กรมบัญชีกลางมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในครั้งนี้ จะทำให้การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2/2564 ได้ตามบัญชีเอกสารแนบท้ายประกาศ ผ่านทางเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 26 มี.ค. นี้ | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
ขยายเวลาลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 26 มี.ค. นี้
...
ข่าวดี รัฐบาลขยายเวลาเปิดรับลงทะเบียนเราชนะ กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน หรือกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 5 มี.ค. 64 เป็นวันที่ 26 มี.ค. 64 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนได้รับสิทธิเงินช่วยเหลือค่าครองชีพอย่างครบถ้วน
สามารถลงทะเบียนได้ที่จุดรับลงทะเบียน
- สาขาหรือจุดบริการของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารออมสิน
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
- สำนักงานคลังจังหวัด
- สำนักงานสรรพสามิตภาคและสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่
- สำนักงานสรรพากรพื้นที่
- หน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของกระทรวงมหาดไทย
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39738 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เร่งขับเคลื่อนธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าปี 64 ดึง 184 โรงงานเข้าร่วมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน ประชาชน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ก.อุตฯ เร่งขับเคลื่อนธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าปี 64 ดึง 184 โรงงานเข้าร่วมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน ประชาชน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
“สุริยะ” เร่งเดินหน้าสร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรม นำระบบการบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมใช้กับสถานประกอบการ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งเป้าปี 2564 ดึง 184 โรงงานเข้าร่วม สร้างเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมบูรณาการ
“สุริยะ”เร่งเดินหน้าสร้างความยั่งยืนให้ภาคอุตสาหกรรมนำระบบการบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมใช้กับสถานประกอบการ76จังหวัดทั่วประเทศตั้งเป้าปี2564ดึง184โรงงานเข้าร่วมสร้างเครือข่ายภาครัฐเอกชนและประชาชนร่วมบูรณาการพร้อมเผยผลสำเร็จปี2551-ปัจจุบันมีสถานประกอบการผ่านเกณฑ์มาตรฐานธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมกว่า2,724โรงงานมีเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมสะสม12,676รายพร้อมย้ำ“ยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็งต้องควบคู่กับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ”
นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเข้มแข็งอย่างมีศักยภาพควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำกับดูแลสถานประกอบการและเฝ้าระวังสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยได้มีการนำมาตรการเชิงรุกมาใช้ในการตรวจสอบควบคู่กับการนำระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพมาประยุกต์ใช้ร่วมกันเช่นการเปิดเผยข้อมูลการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลและการแก้ไขปัญหาร่วมกันซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาและเติบโตเป็นไปอย่างรวดเร็วและย่อมมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั้งปัญหามลพิษทางอากาศและทางน้ำที่จะนำไปสู่ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและประชาชนในชุมชนโดยรอบ
กระทรวงอุตสาหกรรมจึงกำหนดแนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนโดยนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ขับเคลื่อนและสานพลังจาก3ภาคส่วนสำคัญคือสถานประกอบการประชาชนและภาคราชการมาปรับใช้โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง76จังหวัดร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างความตระหนักให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนรวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการของสถานประกอบการเพื่อเป็นเครือข่ายสำคัญในการเฝ้าระวังและร่วมป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้โรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้
นายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่าการบริหารจัดการลุ่มน้ำและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรการสำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องโดยสื่อสารถ่ายทอดนโยบายและแนวทางการดำเนินการเรื่องธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมเป็นประจำทุกปีให้แก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อปลูกฝังให้บุคลากรในสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับภาคประชาชนเกิดความตระหนักโดยนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม7ข้อประกอบด้วย1.หลักประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร2.หลักประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา3.หลักความโปร่งใส4.หลักความรับผิดชอบต่อสังคม5.หลักนิติธรรม6.หลักความยุติธรรมและ7.หลักความยั่งยืนมาปรับใช้กับการดำเนินกิจการของสถานประกอบการเพื่อเป็นการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบของสถานประกอบการโดยจะเริ่มการดำเนินงานเชิงรุกด้วยการกำหนดและวางมาตรการการตรวจสอบสถานประกอบการที่ถูกร้องเรียนและสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหลักที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับอย่างดีจากภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่โดยในปี2563มีผู้ประกอบการนำระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมมาใช้และผ่านเกณฑ์มาตรฐานรายใหม่เพิ่มขึ้น188รายและมีการตรวจสอบคุณภาพในลุ่มน้ำสายหลักลำธารคูคลองหนองและบึงที่สำคัญในพื้นที่รวมทั้งสิ้น1,133จุดส่งผลให้มีสถานประกอบการเข้าร่วมนับตั้งแต่ปี2551-ปัจจุบันจำนวน2,724โรงมีเครือข่ายสะสมรวม12,676รายและในปี2564ยังได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างการมีส่วนร่วมจากสถานประกอบการไม่น้อยกว่า184รายซึ่งเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามเป้าได้เพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40191 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยไม่พบอาการผิดปกติ หลังช่วงเช้าเข้ารับฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยไม่พบอาการผิดปกติ หลังช่วงเช้าเข้ารับฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา
นายกรัฐมนตรีเผยไม่พบอาการผิดปกติ หลังช่วงเช้าเข้ารับฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา
วันนี้ (16 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยช่วงเช้าได้ ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แอสตราเซเนกา อาการปกติ หัวสมองแล่นดี ขอเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน จากนี้ จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยในอนาคต อาจมีการต่อยอดเป็นคลินิกเคลื่อนที่นอกเหนือจากที่โรงพยาบาลด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบวัคซีนโควิด-19 เพื่ออนุญาตให้มีการใช้ในโรงพยาบาลเอกชนสำหรับประชาชนที่มีความต้องการเร่งด่วน ได้วางเป้าหมายฉีดวัคซีน 10 ล้านโดส/เดือนเมื่อได้วัคซีนครบแล้ว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตลาดบางแค กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ จ. ปทุมธานีว่า สั่งการให้เน้นการควบคุมพื้นที่เฉพาะให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมพื้นที่ที่จัดกิจกรรมและพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อาทิ ตลาดสด โดยกำหนดช่องทางเข้า-ออก มีการใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการผ่อนคลายมาตรการในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ โดย ศบค. จะพิจารณาปลายสัปดาห์นี้ ประชาชนทุกคนยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดหรือมีผู้ป่วยจำนวนมากเช่นประเทศอื่น ๆ
ในตอนท้าย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำจุดยืนของในฐานะฝ่ายบริหาร สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการแก้ไขเป็นของนิติบัญญัติ ซึ่งทุกฝ่ายต้องเคารพทุกกฎหมาย ส่วนการดูแลชาวบ้านบางกลอยนั้น รัฐบาลรับทราบความเดือดร้อนของประชาชนทุกคน ติดตามทุกขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสม การพัฒนาแหล่งน้ำบริเวณรอบ สำหรับความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบความเหมาะสม และต้องรับฟังความคิดเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40029 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยความคืบหน้า คนไทยเกือบ 10 ล้านครอบครัว มี 3 หมอประจำครอบครัวแล้ว | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
สธ.เผยความคืบหน้า คนไทยเกือบ 10 ล้านครอบครัว มี 3 หมอประจำครอบครัวแล้ว
กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” มีครอบครัวที่รู้จักหมอประจำตัวแล้ว 9.6 ล้านครอบครัว ชี้ 3 หมอทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งในสถานการณ์โควิด 19 ช่วยให้ระบบการป้องกันควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (23 มีนาคม 2564) ที่จังหวัดอ่างทอง นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสุชน ภัยธิราช รองผู้ว่าราชจังหวัดอ่างทอง และคณะผู้บริหาร เปิดงานและกิจกรรม kick off ส่งมอบของขวัญปีใหม่กระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 ภายใต้นโยบาย คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดีเด่นระดับจังหวัด จำนวน 12 สาขา
นายวัชรพงศ์กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง ครอบคลุม อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดูแลใกล้บ้านและชุมชน จึงได้มีการขับเคลื่อนนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน” โดยหมอคนที่ 1 คือ อสม. หมอประจำบ้าน หมอคนที่ 2 คือ หมอสาธารณสุข หมอคนที่ 3 คือ หมอประจำครอบครัว ประชาชนจะรู้ว่าใครเป็นหมอของตนเอง เป็นการสร้างหลักประกันให้คนไทยทุกครอบครัวมีที่ปรึกษาด้านสุขภาพ เกิดความรู้สึกอุ่นใจ ได้รับการดูแลรักษา ให้คำปรึกษา แบบ “ใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ”
สำหรับความก้าวหน้า ขณะนี้ดำเนินการครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีครอบครัวที่รู้จักหมอประจำตัวของตนเองแล้ว 9,551,766 ครอบครัว (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2564) โดยในสถานการณ์โควิด 19ต้องขอบคุณทั้ง 3 หมอได้ทำหน้าที่อย่างทุ่มเท เข้มแข็ง ช่วยให้ระบบการป้องกันควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ มีอสม. หมอประจำบ้าน ทำงานเชิงรุกเคาะประตูบ้าน ให้ความรู้ เฝ้าระวัง คัดกรองกลุ่มเสี่ยง และติดตามกำกับ Home Quarantine เป็นจิตอาสาในการรับส่งยาให้ผู้ป่วยถึงบ้าน จนเกิดนวัตกรรม Drug Delivery รวมถึงส่งยาให้ผู้ป่วยเรื้อรังในชุมชน ช่วยลดรอคอย ลดแออัดในโรงพยาบาล หมอสาธารณสุข ได้ให้การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง/ติดเตียงอย่างต่อเนื่องที่บ้าน และหมอประจำครอบครัว ใช้แอปพลิเคชัน 3 หมอ รู้จักคุณ และแอปพลิเคชัน คุยกับหมอ เป็นช่องทางสื่อสารให้คำปรึกษาด้านการรักษา การส่งเสริมดูแลสุขภาพ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาล
สำหรับจังหวัดอ่างทอง ได้มีการส่งมอบบัตรแนะนำตัวหมอประจำตัว 3 คน และประชาชนรู้จักหมอประจำตัวเอง 73,048 ครอบครัว รวมถึงมีผู้สูงอายุที่ต้องดูแลในพื้นที่ ได้แก่ ผู้สูงอายุติดสังคม 55,425 ราย ผู้ป่วยติดบ้าน 2,101 ราย ผู้ป่วยติดเตียง 738 ราย ซึ่งจะได้รับการดูแลตามแผนการดูแลสุขภาพจากทั้ง 3 หมอ
***************************** 23 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40253 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล สานต่อภารกิจ จ.น่าน ยกระดับวิสาหกิจชุมชนสู่ธุรกิจแนวใหม่ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
นฤมล สานต่อภารกิจ จ.น่าน ยกระดับวิสาหกิจชุมชนสู่ธุรกิจแนวใหม่
รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.น่าน ขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนสู่การทำธุรกิจแนวใหม่ พัฒนาทักษะรองรับการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัล
วันที่ 12 มีนาคม 2564ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดน่าน ติดตามการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดน่าน เยี่ยมชมการฝึกอบรมตามโครงการพัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ และการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร มอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรม ซ่อมรถเข็นคนพิการและให้กำลังใจผู้พิการและผู้ดูแลคนพิการ ก้าวเดินอย่างมั่นคง
ศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เป็นการติดตามผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจังหวัดน่าน ได้รับงบประมาณเพื่อพัฒนาจังหวัดหลายโครงการ ในครั้งนี้ได้เสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม ในฐานะที่ตนเองดูแลจังหวัดนี้ จะให้คำปรึกษาแนะนำในการเสนอโครงการอื่นๆ เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในจังหวัดต่อไป อีกประเด็น คือ การพัฒนาทักษะให้แก่กำลังแรงงานในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดอบรมให้ความรู้ด้านดิจิทัล โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. หรือ ETDA) จัดฝึกอบรม สาขาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้ประกอบการชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่มวิสาหกิจตามโครงการพัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ ให้มีความรู้ให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจแนวใหม่ ประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และพัฒนาปรับรูปแบบการทำธุรกิจรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต สร้างความเข้มแข็งและมั่นคงให้แก่เศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนของประเทศ ระยะเวลาการฝึก 30 ชั่วโมง ผู้เข้าอบรมในครั้งนี้ เป็นผู้ประกอบการ แรงงานวิสาหกิจชุมชน สมาชิกกลุ่ม OTOP กลุ่มอาชีพต่างๆ พร้อมตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร มีผู้เข้าทดสอบ จำนวน 20 คน และให้กำลังใจเยาวชนที่มารับฟังข่าวสารจากมูลนิธิกล้วยน้ำไท เพื่อรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรมสาขาการดูแลผู้สูงอายุ ณ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน
หลังจากนั้นรมช.แรงงานและคณะได้เดินทางไปวัดศรีกู่เสี้ยว หนึ่งในวัดขึ้นชื่อของ จ.น่าน ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไปแวะสักการบูชาเป็นจำนวนมาก พระอาจารย์เจ้าอาวาส ต้องการช่วยเหลือกลุ่มแม่บ้านให้มีรายได้ อีกทั้งวัดกู่เสี่ยวมีกี่ทอผ้า จึงรวมกลุ่มประกอบอาชีพท่อผ้า เป็น“กลุ่มทอผ้าวัดกู่เสี้ยว” เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว
ในช่วงบ่ายรมช.แรงงานและคณะได้ร่วมประชุมคณะทำงานการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดน่านร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดน่าน เพื่อติดตามผลการดำเนินงานและสำรวจอุปสรรคในการพัฒนาจังหวัด จากนั้น เดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกอบรมของกลุ่มผู้พิการ และมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรม สาขาซ่อมรถเข็นคนพิการ จำนวน 20 คน ณ สมาคมผู้พิการทุกประเภท อ.เมือง จ.น่าน ได้ให้กำลังใจในการพัฒนาฝีมือเพื่อประกอบอาชีพและหารายได้ที่ยั่งยืน ปัจจุบัน มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะให้แก่คนพิการ เพื่อช่วยเหลือคนพิการและผู้ดูแลคนพิการทั่วประเทศ ให้ได้รับความช่วยเหลือ มีอาชีพและรายได้ เพื่อก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39936 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ปี 64 ขอบคุณที่เสียสละช่วยดูแลสุขภาพคนไทย | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
นายกฯ มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ปี 64 ขอบคุณที่เสียสละช่วยดูแลสุขภาพคนไทย
นายกรัฐมนตรี มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2564 จำนวน 17 ราย เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเชิดชูเกียรติ อสม. ขอบคุณที่เสียสละดูแลสุขภาพประชาชน เคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะช่วงโควิด 19
นายกรัฐมนตรี มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2564 จำนวน 17 ราย เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเชิดชูเกียรติ อสม. ขอบคุณที่เสียสละดูแลสุขภาพประชาชน เคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 ช่วยควบคุมโรคและให้ความรู้ความเข้าใจด้านวัคซีนอย่างดี
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2564 จำนวน 17 ราย เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 20 มีนาคมของทุกปี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้าร่วม
พลเอก ประยุทธ์กล่าวว่า จากการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้เห็นศักยภาพของระบบการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีความเข้มแข็ง มีความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ถือเป็นด่านหน้าสำคัญที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ จนเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และชื่นชมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยนำวัคซีนโควิด 19 มาฉีดให้แก่ประชาชน อสม.ก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัยและข้อดีของการรับวัคซีนโควิด 19 และยังช่วยเน้นย้ำมาตรการทางสาธารณสุข ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง และการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างานหรือสถานที่ต่างๆ ที่ประชาชนต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องแม้จะมีวัคซีนแล้ว
“รัฐบาลขอชื่นชมและขอบคุณพี่น้อง อสม. ทั่วประเทศที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ทำงานด้วยจิตอาสา เสียสละเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ทำงานเชื่อมประสานระหว่างประชาชน ชุมชน และเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดงานเชิดชูเกียรติ และประกาศเกียรติคุณ อสม. ทั่วประเทศ เพื่อขอบคุณพี่น้อง อสม.ทุกคนที่มีส่วนช่วย ในการสร้างความสุขให้กับคนไทยมาโดยตลอด”พลเอก ประยุทธ์กล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า อสม. หรือนักรบเสื้อเทา เป็นกลไกภาคประชาชนที่เข้มแข็ง เป็นรากฐานของการสาธารณสุขไทย ดำเนินการเคียงคู่กับกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ พ.ศ. 2521 ปัจจุบันมี 1.05 ล้านคน ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ทั่วประเทศ มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภาวะวิกฤตหลายเหตุการณ์ เช่น โรคซาร์ส ไข้หวัดนก รวมถึงโรคโควิด 19 ทำให้ประเทศไทยควบคุมการแพร่ระบาดได้ สำหรับการจัดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเป็นการ เชิดชูเกียรติแก่ อสม. ทั่วประเทศ และประกาศเกียรติคุณ อสม. ที่มีผลงานเด่นในระดับชาติ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น อสม.ดีเด่นระดับชาติ 12 สาขา จำนวน 12 ราย สาขาการจัดการสุขภาพชุมชนในพื้นที่พิเศษชายแดนภาคใต้ จำนวน 4 ราย และการจัดการสุขภาพชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย
*********************************** 17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40055 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มงบ 2 โครงการ ช่วยเหลือชาวนาทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
เพิ่มงบ 2 โครงการ ช่วยเหลือชาวนาทั่วประเทศ
...
จากกระแสตอบรับที่ดีจากพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศ สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปี 2563/64 รัฐบาลจึงเพิ่มวงเงินงบประมาณใน 2 โครงการนี้ อีกกว่า 8.3 พันล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
.
สำหรับโครงการประกันรายได้ฯ รอบที่ 1 รัฐบาลเคยจัดสรรงบประมาณไปแล้ว 46,807 ล้านบาท โดยครั้งนี้จะเพิ่มวงเงินอีก 3,838 ล้านบาท เนื่องจากมีเกษตรกรมาลงทะเบียนเพิ่มอีกกว่า 1.1 แสนครัวเรือน
.
ส่วนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีฯ รัฐบาลจะเพิ่มวงเงินโครงการอีก 4,504 ล้านบาท จากเดิมที่เคยอนุมัติไปแล้ว 19,826 ล้านบาท ภายใต้หลักการเดิม คือ
1.หากเกษตรเก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางของตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าว 1,500 บาท/ตัน
2.กรณีที่สถาบันเกษตรกรับซื้อข้าวเปลือกจะได้รับเงิน 1,000 บาท/ตัน และเกษตรกรจะได้รับ 500 บาท/ตัน
พร้อมขยายเวลาจัดทำสัญญากู้โครงการถึงวันที่ 31 มี.ค. 64 ยกเว้นภาคใต้ที่จะขยายเวลาถึงวันที่ 31 ก.ค. 64
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39853 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร ครั้งที่ 1/2564 โดยในที่ประชุมได้ร่วมหารือเกี่ยวกับแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร การส่งเสริมการผลิต/การสกัดสมุนไพรให้ได้มาตรฐานระดับสากล การสร้างความเข้มแข็ง คลัสเตอร์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมี พร้อมด้วยนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คณะกรรมการฯ จากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ กรมพัฒนาชุมชน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40070 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่ให้ขวัญกำลังใจ จนท.อุทยานแห่งชาติน้ำตกหาดทรายขาว จ.ปัตตานี | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รมว.ทส. ลงพื้นที่ให้ขวัญกำลังใจ จนท.อุทยานแห่งชาติน้ำตกหาดทรายขาว จ.ปัตตานี
รมว.ทส. ลงพื้นที่ให้ขวัญกำลังใจ จนท.อุทยานแห่งชาติน้ำตกหาดทรายขาว จ.ปัตตานี
รมว.ทส. ลงพื้นที่ให้ขวัญกำลังใจ จนท.อุทยานแห่งชาติน้ำตกหาดทรายขาว จ.ปัตตานี
วันนี้ (6 มีนาคม 2564) เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกหาดทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โดยมีนายราชิต สุดพุ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในพื้นที่ให้การต้อนรับ
นายวราวุธ กล่าวว่า “การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เพราะทราบดีว่า ทุกคนทำงานด้วยความยากลำบาก เนื่องจากภารกิจของกระทรวงฯ ต้องดูแลทั้งผืนป่า และผืนน้ำ ต้องทำงานร่วมกับประชาชน ที่ต้องใช้ทั้งกำลังใจ ความอดทน ความมีวินัย และความซื่อสัตย์สุจริต ในการทำงานเป็นอย่างมาก การลงมาตรวจเยี่ยมในแต่ละครั้ง จึงเป็นเสมือนการมาให้กำลังใจจากผู้บริหารระดับสูง รวมถึงมาเพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน เพื่อนำไปวางแนวทางสนับสนุนการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ต่อไป และการทำงานของเราในวันนี้ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเราเอง แต่เป็นการปกป้อง รักษา ทรัพยากร ไว้ให้คนรุ่นหลังให้ได้เห็นความสมบูรณ์ทั้งบนบกและใต้ทะเล ดังนั้นเครื่องแบบที่ทุกคนใส่อยู่ จึงอยากให้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ ให้พี่น้องประชาชนอุ่นใจว่ามีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลปกป้องทรัพยากรในพื้นที่ของเขา เพื่อสร้างความร่วมมือในการร่วมกันดูแลแก้ไขปัญหาในพื้นที่ต่อไป”
นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้มอบถุงยังชีพให้กับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและนราธิวาส มอบต้นสะเดาเทียม และต้นสะตอให้กับผู้นำชุมชน ต.ทรายขาว และปลูกต้นรวงผึ้ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่และเยาวชนในพื้นที่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39725 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งเครื่อง 3 งานหลัก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
ดีอีเอส เร่งเครื่อง 3 งานหลัก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ
ดีอีเอส เร่งเครื่อง 3 งานหลัก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งเครื่อง 3 งานหลักเตรียมรับการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เต็มรูปแบบกลางปีนี้ ครอบคลุม การจัดทำกฎหมายลำดับรอง จัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และวางกรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มุ่งคุ้มครองเจ้าของข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ แนะประชาชนควรรู้ “สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งตามกฎหมายนี้กำหนดไว้ 8 เรื่อง
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) อยู่ระหว่างเร่งสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะมีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เต็มรูปแบบ ซึ่งกำหนดไว้วันที่ 1 มิถุนายน 2564
โดยกำลังจัดทำ 3 เรื่อง ได้แก่ กฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมมูลฯ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลฯ ได้กำหนดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไว้ 8 เรื่อง คือ 1. สิทธิการได้รับแจ้ง (Right to be Informed) 2. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม (Right to Withdraw Consent) 3. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Right of Access) 4. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (Right to Rectification)
5. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (Right to be Forgotten) 6. สิทธิในการห้ามมิให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Restrict of Processing) 7. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (Right of Data Portability) และ 8. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Object)
โดยวิธีการใช้สิทธิข้อ 2-8 เป็นไปตามกฎหมายกำหนด ขณะที่ สิทธิข้อ 1 หรือสิทธิการได้รับแจ้ง เป็นสิทธิที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล “ทุกคน” ได้รับโดยไม่ต้องมีการร้องขอ ตามที่ระบุอยู่ในมาตรา 23 ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ได้แก่ สถานประกอบการ หน่วยงานต่างๆ ต้องแจ้งวัตถุประสงค์และรายละเอียดของการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ เพื่อให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลรู้ว่าข้อมูลของตนจะถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง
สำหรับรายละเอียดการแจ้งให้ทราบ ได้แก่ เก็บข้อมูลอะไรบ้าง เก็บไปทำไม เก็บนานแค่ไหน จะมีการส่งต่อข้อมูลให้ใคร/หน่วยงานใดบ้าง และช่องทางติดต่อผู้ควบคุมข้อมูล เป็นต้น และกรณีมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่นก็ต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลทราบด้วย ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ อาจถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่เกิน 5,000,000 บาท
“พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนด หลักเกณฑ์ กลไก หรือมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้มีมาตรการเยียวยาเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากการถูกละเมิดสิทธิมีประสิทธิภาพ” นายภุชพงค์กล่าว
นายภุชพงค์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ ยังมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆ ได้แก่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560 ซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดในกรณีมีการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
ยกตัวอย่างเช่น มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้มาโดยมิชอบ แล้วเอาไปเปิดบัญชีโซเชียลใน เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม (IG) แล้วหลอกลวงให้ประชาชนโอนเงินมาให้ เป็นต้น กรณีลักษณะนี้จะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายทั้ง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลทุกประเภทที่สามารถระบุตัวตนได้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร ดังนั้น หากประชนพบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองถูกละเมิด สามารถติดต่อขอคำปรึกษา หรือแจ้งเรื่องร้องเรียน ผ่านช่องทางต่อไปนี้ 1. ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โทร. 02 142 1033 หรืออีเมล์ [email protected] 2.ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ โทร. 1212 และ 3.เพจอาสาจับตาออนไลน์ http://facebook.com/DESMonitor โดยคลิกไปที่เพจ และแจ้งเบาะแสผ่านทาง inbox
“ในแง่ของประชาชน อยากขอแนะนำให้มีการป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพ ที่ใช้วิธีการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์หรือโซเชียล เช่น หากมีข้อความแปลกๆ เข้ามาที่มือถือของเรา ก็อย่ากดลิงค์ที่แนบมา หรือถ้ามีคนโทรเข้ามาขายสินค้าที่ไม่เคยใช้บริการมาก่อน ให้ถามกลับว่า ได้ข้อมูลของเรามาจากไหน เป็นต้น เพราะยุคนี้ต้องยอมรับว่า การหลอกลวงและภัยบนโลกออนไลน์ มีหลายรูปแบบ เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว ถ้าผู้ใช้สื่อออนไลน์/โซเชียล ขาดความระวังหรือไม่รู้เท่าทัน” นายภุชพงค์กล่าว
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40129 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเอง การ์ดไม่ตก ลดความเสี่ยงแพร่และรับเชื้อโควิด 19 | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
สธ.ขอประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเอง การ์ดไม่ตก ลดความเสี่ยงแพร่และรับเชื้อโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเข้มข้น การ์ดไม่ตก สวมหน้ากากให้ถูกวิธี ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงการแพร่และรับเชื้อ ส่วนการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายระยะแรกคืบหน้าร้อยละ 58 เร่งฉีดให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเข้มข้น การ์ดไม่ตก สวมหน้ากากให้ถูกวิธี ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงการแพร่และรับเชื้อ ส่วนการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายระยะแรกคืบหน้าร้อยละ 58 เร่งฉีดให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย เสริมประสิทธิภาพมาตรการควบคุมโรค
บ่ายวันนี้ (17 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ ประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 248 ราย มาจากระบบบริการในโรงพยาบาล 79 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 163 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 6 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 40 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่มีผู้รักษาหายสะสม 22,162 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.67 อยู่ระหว่างการรักษา 975 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 28 คน สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นชายไทย อายุ 88 ปี ภูมิลำเนา กทม. มีโรคประจำตัว ไตวาย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เข้ารับการรักษาด้วยอาการไอ หายใจเหนื่อย ปอดมีความผิดปกติ ส่งตรวจผลพบเชื้อ จากนั้นอาการแย่ลง และเสียชีวิตในวันที่ 16 มีนาคม 2564
นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวว่า การติดเชื้อภายในประเทศวันนี้กระจายใน 12 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร 33 ราย นครปฐม 13 ราย ตาก 9 ราย เพชรบุรี 3 ราย สุพรรณบุรี 3 ราย นนทบุรี 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย ราชบุรี 5 ราย ปทุมธานี 1 ราย กทม. 167 ราย ศรีสะเกษ 1 ราย และสงขลา 2 ราย ซึ่งแนวโน้มสถานการณ์ในประเทศไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบการแพร่ระบาดเกี่ยวข้องกับตลาดย่านบางแค ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด ข้อมูลระหว่างวันที่ 11 มีนาคม – 17 มีนาคม 2564 ผลการตรวจคัดกรองค้นหาเชิงรุกย่านบางแคใน วัด ตลาด ชุมชน ห้างสรรพสินค้า จำนวน 7,299 ราย พบติดเชื้อ 268 ราย และรอผล 532 ราย
สำหรับสถานการณ์การกระจายของผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มีความเชื่อมโยงกับจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 16 มีนาคม 2564 จำนวน 766 ราย พบความเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆ ถึง 14 จังหวัด อาทิ ปทุมธานี กทม. พระนครศรีอยุธยา นครนายก สระบุรี และขอนแก่น เป็นต้น แสดงถึงคุณภาพของการสอบสวนโรคและการสื่อสารข้อมูลเข้าถึงประชาชน ขณะนี้มีแนวโน้มลดลงและควบคุมสถานการณ์ได้คลี่คลาย กระทรวงสาธารณสุขยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
“ขอให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยง ทุกคนมีโอกาสแพร่เชื้อและรับเชื้อได้ทุกเวลา หากประมาท การ์ดตก จึงต้องเข้มมาตรการป้องกันตัว โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง ล้างมือ เว้นระยะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว
ด้านความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 16 มีนาคม 2564 มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสม 53,842 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 ของกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึง อสม. มีจำนวน 30,853 ราย เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย 6,036 ราย บุคคลที่มีโรคประจำตัว 2,814 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง จำนวน 14,137 ราย โดยเน้นการฉีดวัคซีนให้ครอบคุลมและเร็วขึ้น เพื่อช่วยเสริมมาตรการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
******************* 17 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ร่วม สตม.ใช้แผนเฉพาะควบคุมโควิดในสถานกักกัน ตม.บางเขน | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
สธ.ร่วม สตม.ใช้แผนเฉพาะควบคุมโควิดในสถานกักกัน ตม.บางเขน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขประชุมร่วม สตม.วางแผนการควบคุมโรคโควิด 19 ในสถานกักกัน ตม.บางเขน ใช้แผนควบคุมเฉพาะ เตรียม รพ.สนามดูแลผู้ติดเชื้อ คาดใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ ผู้มีภูมิคุ้มกันหรือตรวจไม่พบเชื้อจะให้ออกและผลักดันกลับประเทศ
วันนี้ (23 มีนาคม 2564) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู กรุงเทพมหานคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ประชุมหารือถึงแนวทางการควบคุมโรคโควิด 19 ภายในสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางเขน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับ สตม.ทั่วประเทศ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ทวีทรัพย์
ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เข้าร่วมประชุม
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า จากรายงานสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางเขน ได้ตรวจหาเชื้อในผู้ต้องกักและเจ้าหน้าที่แล้ว 1,615 ราย พบการติดเชื้อรวม 393 ราย แบ่งเป็นชาย 370 ราย และหญิง 23 ราย โดยมีตำรวจ 1 นาย ติดเชื้อไม่มีอาการ เข้าสู่การรักษาตามระบบแล้ว สำหรับการควบคุมโรคจะใช้แผนควบคุมเฉพาะ โดยเน้นจำกัดการเคลื่อนย้ายและกักผู้ติดเชื้อไม่ให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นหรือพื้นที่อื่นๆ จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการแพร่เชื้อ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเป็นสถานที่กักตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอยู่แล้ว นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข
โดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับโรงพยาบาลตำรวจ และกรุงเทพมหานคร ได้เตรียมโรงพยาบาลสนามที่สโมสรตำรวจประมาณ 300 เตียงซึ่งได้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อ พร้อมมีระบบการจัดการขยะติดเชื้อตามมาตรฐาน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจผลัดเวรดูแล 14 วัน ครบกำหนดแล้วกักตัวในที่พักต่อ 14 วัน เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน รวมถึงมีการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลผู้ต้องกักด้วย
“การดำเนินงานควบคุมโรคคาดว่าใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ก็จะปลอดภัย โดยจะมีการตรวจภูมิคุ้มกันและตรวจหาเชื้อเป็นระยะ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้วหรือไม่มีการติดเชื้อก็จะให้ออกจากสถานกักกันและผลักดันกลับประเทศต่อไป” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
*********************** 23 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40269 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบทีโออาร์ของคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2034 ของอาเซียน | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ครม. เห็นชอบทีโออาร์ของคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2034 ของอาเซียน
ครม. เห็นชอบทีโออาร์ของคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2034 ของอาเซียน
น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบต่อขอบเขตหน้าที่ (ทีโออาร์) ของคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปีค.ศ.2034 หรือปีพ.ศ.2577 ซึ่งคณะทำงานด้านเทคนิคฯ มีขอบเขตหน้าที่ครอบคลุมจัดทำและส่งข้อเสนอการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2034 ของอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมกำหนดบทบาทของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะร่วมเป็นเจ้าภาพ ได้แก่ ประเทศไทยเป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เริ่มต้นการเตรียมการเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพ จนกระทั่งถึงการส่งเอกสารเสนอตัวในปี 2026 หรือตามระยะเวลาเสนอตัวร่วมเป็นเจ้าภาพที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) กำหนด ส่วนคณะทำงานหลักได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ประเทศสมาชิกอื่นๆจะเป็นคณะทำงานสนับสนุน รวมทั้งมีผู้แทนจากสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนเข้าร่วมด้วย
ทั้งนี้หลังจากที่ ครม. ให้ความเห็นชอบต่อทีโออาร์ของคณะทำงานด้านเทคนิคฯ แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดำเนินการศึกษาความคุ้มค่าและพิจารณาปัจจัยต่างๆของประเทศไทย ตลอดจนผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศในการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ครอบคลุมประเด็นสำคัญได้แก่ รูปแบบและมาตรฐานการจัดการแข่งขัน ความคุ้มค่าในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ต้นทุนในการเตรียมความพร้อม การจัดหารายได้และผลประโยชน์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน การใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและการต่อยอดการลงทุนหลังจากจบการแข่งขัน
---------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1′ ยืนยัน ยื่นมือช่วยลูกจ้างสมุทรปราการดุจคนในครอบครัวให้ได้สิทธิว่างงานจากกองทุนประกันสังคมโดยเร็ว | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
‘จับกัง1′ ยืนยัน ยื่นมือช่วยลูกจ้างสมุทรปราการดุจคนในครอบครัวให้ได้สิทธิว่างงานจากกองทุนประกันสังคมโดยเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้กำลังใจลูกจ้างโรงงานผลิตชุดชั้นในสตรี จ.สมุทรปราการ กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งรัดติดตามค่าชดเชย สวัสดิการสิทธิประโยชน์ให้พนักงานโดยเร็ว และกำชับสำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานให้เร็วที่สุด
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายมานิตย์ พรหมการีย์กุล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย ในโอกาสนำลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจาก กรณีบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จำกัด ผู้ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในสตรี จ.สมุทรปราการ ถูกเลิกจ้างเนื่องจากปิดกิจการ เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งรัดติดตามค่าชดเชย สวัสดิการสิทธิประโยชน์ให้พนักงานโดยเร็ว โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานทำงานเชิงรุก เข้าไปติดตามสาเหตุการประกาศหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน
นายสุชาติ กล่าวว่า ในกรณีนี้ผมได้นำเรียนท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว และท่านได้ฝากความห่วงใยและให้กำลังใจมายังพี่น้องแรงงานทุกคน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็ได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานให้เร็วที่สุด ซึ่งจากการหารือในวันนี้เบื้องต้นจะให้พี่น้องผู้แรงงานได้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคมก่อน ส่วนกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้พิจารณาถึงขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งกระทรวงแรงงานในยุคนี้เป็นที่พึ่งพิงของพี่น้องผู้ใช้แรงงานจะพยายามช่วยพี่น้องแรงงานให้ได้มากที่สุดเหมือนคนในครอบครัว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39925 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าการยาสูบ ยืนยันองค์กรยังมั่นคงแข็งแกร่ง มีกำไรต่อเนื่อง พร้อมจับมือสถาบันการศึกษา พัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ยกระดับรายได้เกษตรกรชาวไร่ | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
ผู้ว่าการยาสูบ ยืนยันองค์กรยังมั่นคงแข็งแกร่ง มีกำไรต่อเนื่อง พร้อมจับมือสถาบันการศึกษา พัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ยกระดับรายได้เกษตรกรชาวไร่
การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ยังคงเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง ภายใต้การบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีฐานะการเงินที่มั่นคง มีทรัพยากรและสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และกำลังเดินหน้าสู่ธุรกิจพืชสมุนไพร
ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ยืนยัน การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ยังคงเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง ภายใต้การบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีฐานะการเงินที่มั่นคง มีทรัพยากรและสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และกำลังเดินหน้าสู่ธุรกิจพืชสมุนไพร โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในการศึกษาวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ต่อยอดเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงยั่งยืนนอกเหนือจากการขายบุหรี่ พร้อมจับมือหน่วยงานของรัฐ ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ
นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยสท. ต้องขอบคุณกระทรวงการคลังที่ได้นำเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวงเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) เพื่อไว้ใช้จ่ายเมื่อมีความจำเป็นถึง 1,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ยสท. เป็นองค์กรที่มีเครดิตดี เช่นเดียวกับธุรกิจชั้นนำต่างๆ ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า กรณีนี้ไม่ใช่การกู้เงิน แต่เป็นเพียงการดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยงที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า ยสท. ยังเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งมาก ในช่วงปลายปีงบประมาณ 2563 ยสท. มีเงินสดคงเหลือในบัญชี 8,500 ล้านบาท โดย ยสท. มีกำไร 593 ล้านบาท ซึ่งผลกำไรดังกล่าว ได้หักค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสวนป่าเบญจกิติเพื่อประชาชน จำนวน 260 ล้านบาท และโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retire) แล้ว มั่นใจว่าในปีงบประมาณ 2564 ผลกำไรจะเพิ่มขึ้น และยังคาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2565 อาจมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจาก ยสท.ได้ดำเนินการยกระดับประสิทธิภาพทางการบริหาร การผลิต การตลาด การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการที่สำคัญคือ การติดตั้งนวัตกรรมผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) สำหรับอาคารโรงงานผลิตยาสูบ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทย กำลังจะมีพิธีลงนาม MOU กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวันที่ 8 มีนาคม 2564
นอกจากนี้ ยสท. ยังเดินหน้ารุกสู่ธุรกิจใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาธุรกิจยาสูบไปต่างประเทศ การพัฒนารายได้จาก อสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และธุรกิจที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรของ ยสท. ในอนาคต คือ ธุรกิจสมุนไพร กัญชา กัญชง โดยมีโรงพยาบาลสวนเบญจกิติเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ของ ยสท. เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสุขภาพ มีศูนย์ไตเทียม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์ผิวหนังและความงาม คลินิกชะลอวัยและฟื้นฟู และกำลังจะเริ่มโครงการคลินิกกัญชา พร้อมขยายการบริการไปยังข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไป ซึ่งในเรื่องนี้ ยสท. ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร ฯลฯ และในวันที่ 9 มีนาคม 2564 นี้ ยสท. จะมีการลงนาม MOU กับ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีสรรพคุณในการดูแลรักษาปอด โดยจะนำผลการวิจัยไปหารือกับองค์การเภสัชกรรม เพื่อพัฒนายาหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์กับสุขภาพต่อไป
ในส่วนธุรกิจภาคการเกษตรอื่น ๆ ปัจจุบัน ยสท. ได้ดำเนินการปลูกโกโก้ซึ่งเป็นพืชเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน โดย ยสท. จะนำโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล มาใช้ในการบริหารจัดการแปลงปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตเชิงพาณิชย์ และยังเป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยได้เลือกพื้นที่แปลงทดลองของสถานีทดลองยาสูบแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ขนาดพื้นที่ 15 ไร่ เป็นที่ตั้งของโครงการแห่งแรก
ผู้ว่าการฯ กล่าวในที่สุดว่า ขณะนี้ ยสท. ได้ปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขี้น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพนักงานทุกระดับ ทุกฝ่าย จนสามารถมีกำไรอย่างต่อเนื่อง มิได้ขาดสภาพคล่องจนกระแสเงินสดติดลบ ยสท. ยังคงดำเนินกิจการด้วยความไม่ประมาท เพราะยังมีตัวแปรอีกมากมายที่จะส่งผลกระทบโดยตรงกับกิจการของ ยสท. เช่น ภาระภาษีสรรพสามิต ภาระการนำส่งเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรต่าง ๆ ซึ่ง ยสท. ยืนยันว่า ตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมา การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้ปฏิบัติภารกิจนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในฐานะรัฐวิสาหกิจชั้นนำของประเทศไทย และจะทำภารกิจนี้ด้วยความเสียสละ เข้มแข็ง เพื่อให้รัฐยังคงมีรายได้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมให้แก่ประชาชนคนไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39661 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันนี้( 8 มีนาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าโครงการจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรมประจำปี 2564 พร้อมร่วมกันพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ จำนวน 6 คลอง 10 ลุ่มน้ำสายหลักและกิจกรรมจิตอาสาของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและการจัดกิจกรรมเนื่องในวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2564 “1 กระทรวง 1 การให้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุค New Normal”โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ ในส่วนของประธานกลุ่มประสิทธิภาพขององค์กร กลุ่มที่1-6 เข้าประชุมผ่านโปรแกรม Zoom ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39759 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบแนวทางลดอุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เทศกาลสงกรานต์ 2564 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบแนวทางลดอุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เทศกาลสงกรานต์ 2564
คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบมาตรการป้องกันควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ภายใต้แนวคิด “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”
คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบมาตรการป้องกันควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ภายใต้แนวคิด “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” มอบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด/กทม. เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย ห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี การลดแลกแจกแถม การโฆษณา
บ่ายวันนี้ (11 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 1/2564โดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้เสนอให้ประสานงานกับศบค. เพื่อกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ให้ปลอดภัยจากโควิด19 และอุบัติเหตุทางถนน (Free Alcohol Free Covid-19) โดยกำหนดให้สถานที่จัดกิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ต้องไม่มีการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณสถานที่จัดงาน และมีจุดสกัดเพื่อคัดกรองผู้ดื่มแล้วขับ ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า คณะกรรมการ ฯเห็นชอบให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด/กทม. ร่วมกับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด สรรพสามิต และฝ่ายปกครอง จัดทำแผนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และลดอุบัติเหตุทางถนน บูรณาการร่วมกับแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เน้นการห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ห้ามขายในลักษณะการลด แลก แจก แถมให้แลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่น รวมถึงการเสนอสิทธิการรับชมการแสดง การชิงโชค ชิงรางวัลด้วยห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ดื่ม เริ่มรณรงค์ตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาล ภายใต้แนวคิด “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เน้นผู้ขับขี่ยานพาหนะ ให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มากกว่า 6 ชั่วโมงก่อนขับขี่
นอกจากนี้ ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มมาตรการทดสอบผู้ขับขี่ที่สงสัยว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ณ ด่านชุมชน ในช่วง10 – 16เมษายน 2564 กรมคุมประพฤติคัดกรองผู้ถูกคุมความประพฤติความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา และส่งต่อผู้ถูกคุมความประพฤติทุกรายที่ยินยอมเข้ารับการบำบัดที่สถานพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ในกรณีที่พบผู้บาดเจ็บอุบัติเหตุทางถนนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และสงสัยว่าดื่มสุรา ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ทางลมหายใจผู้บาดเจ็บทุกราย หากผู้บาดเจ็บไม่สามารถเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ทางลมหายใจได้ ให้ส่งเจาะเลือดตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ทันทีที่พบอุบัติเหตุ หรือภายใน 4 ชั่วโมงหลังการเกิดอุบัติเหตุ และดำเนินการกับสถานที่ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ส่งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคในช่วง 7 วันอันตราย เทศกาลสงกรานต์ 2558 - 2562 พบว่า มีอุบัติเหตุทางถนน เฉลี่ย 3,514 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 400 ราย ผู้บาดเจ็บเฉลี่ย 3,672 ราย สาเหตุมาจากการดื่มแล้วขับเฉลี่ยร้อยละ 38.67 แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2563 มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และทุกจังหวัดมีประกาศห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากการ
ดื่มแล้วขับลดลง โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้น 1,307 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย เสียชีวิต 167 ราย เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2558 - 2562 พบว่า เกิดอุบัติเหตุลดลง 2,207 ครั้ง (ร้อยละ 62.81) บาดเจ็บลดลง 2,412 ราย (ร้อยละ 65.69) และเสียชีวิตลดลง 233 ราย (ร้อยละ 58.23)
********************************** 11 มีนาคม 2564
***************************************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39879 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบตู้เก็บวัคซีน และอุปกรณ์ Monitoring ให้รพ.รัฐ 77 จังหวัด | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
สธ.รับมอบตู้เก็บวัคซีน และอุปกรณ์ Monitoring ให้รพ.รัฐ 77 จังหวัด
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบตู้เก็บวัคซีน และอุปกรณ์ Monitoring ให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัด มูลค่า 3,927,000 บาท จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น
กระทรวงสาธารณสุข รับมอบตู้เก็บวัคซีน และอุปกรณ์ Monitoring ให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัดมูลค่า 3,927,000 บาท จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และเครือข่ายภาคเอกชน
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบตู้เก็บวัคซีน และอุปกรณ์ Monitoring ให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัด มูลค่า 3,927,000 บาท จากนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และเครือข่ายภาคเอกชนภายใต้โครงการ “FTI ช่วยชาติสู้ COVID-19”
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้มีนโยบายจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อฉีดให้กับทุกคนในประเทศไทย ตามความสมัครใจให้ครอบคลุมภายในปี 2564 เพื่อให้ทุกคนในประเทศมีความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว จากบริษัทซิโนแวค 2 แสนโดส และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า 117,300 โดส และจะได้รับอีก 8 แสนโดสจากบริษัทซิโนแวคในเดือนมีนาคมนี้ จึงต้องมีอุปกรณ์จัดเก็บเพื่อรักษาคุณภาพของวัคซีนให้ได้ตามมาตรฐานที่อุณหภูมิระหว่าง 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส และในวันนี้เป็นที่น่ายินดีที่ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และกลุ่มในเครือ ได้ให้การสนับสนุนนำตู้เก็บวัคซีนและอุปกรณ์ Monitoring มามอบให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัด ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นและมีความสำคัญมากในขณะนี้
“กระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกลุ่มในเครือ ที่ให้การสนับสนุนตู้เก็บวัคซีนโควิด 19 เป็นที่น่ายินดีว่าตู้เก็บวัคซีนดังกล่าวนี้ ผลิตโดยฝีมือคนไทยและได้รับการทดสอบจากสถาบันซึ่งเป็นที่ยอมรับ กระทรวงสาธารณสุขมีความเชื่อมั่นว่า ประชาชนชาวไทยจะได้รับวัคซีนโควิด 19อย่างทั่วถึง และมีความพร้อมในการจัดเก็บในตู้เก็บวัคซีนที่ได้คุณภาพและผลิตโดยคนไทย” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ตู้เก็บวัคซีนล็อตแรกได้ส่งมอบให้แก่ สถานพยาบาลของรัฐ 21 จังหวัด เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา และจะส่งมอบตู้เก็บวัคซีนล็อตที่ 2 และ3 อีกจำนวน 56 จังหวัดให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สอท.ได้จัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจากสภาวการณ์โควิด โดยร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าฯ, กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศฯ, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย, และบริษัทโนวา กรีน เพาเวอร์ ซิสเท็ม จำกัด ที่เป็นผู้ผลิต Monitoring สำหรับผู้ผลิตตู้เก็บวัคซีนที่เป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ผลิตในประเทศไทย ร่วมกันจัดตั้งโครงการ “FTI ช่วยชาติสู้ COVID-19” ผลิตตู้เก็บวัคซีนเพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ตามแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ที่ต้องการให้คนไทยได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพปลอดภัย ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนร่วมกันกำหนดมาตรฐานตู้เก็บวัคซีน ที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อต่อยอดเป็นมาตรฐานตู้เก็บวัคซีนของไทยต่อไป ในส่วนการทดสอบนั้น ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ทดสอบชั้นนำของประเทศ 5 แห่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คือ EEI , PTEC , UL , ITS , SGS ถือเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันจัดหาตู้เก็บวัคซีนที่มีคุณภาพ เพียงพอต่อความต้องการของสถานพยาบาล และเพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
**************************** 11 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39868 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรก จ.ปทุมธานี | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
อนุทิน เยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรก จ.ปทุมธานี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของ จ.ปทุมธานี ทยอยฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายระยะแรก 4,000 คน คาดว่าจะครบภายใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งแม่ค้าในตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของ จ.ปทุมธานี ทยอยฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายระยะแรก 4,000 คน คาดว่าจะครบภายใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งแม่ค้าในตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ ย้ำรัฐบาลสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงฟรี หากพบแอบอ้างเก็บค่าใช้จ่ายให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สังเกตการณ์การวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกของ จ.ปทุมธานี พร้อมให้กำลังใจทีมบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 ในพื้นที่
นายอนุทินกล่าวว่า ปทุมธานีเป็นจังหวัดในพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ซึ่งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ได้จัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ 8,000 โดส ก่อนในระยะแรกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่ และเริ่มฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายวันนี้เป็นวันแรก ฉีดเข็มแรกให้กับ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และจะทยอยฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดไว้ 4,000 คน ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าของโรงพยาบาลภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน 1,500 คน เจ้าหน้าที่ด่านหน้าอื่นๆ ที่ได้ลงพื้นที่ในตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ 1,000 คน ประชาชนที่มีโรคประจำตัว 1,000 คน และประชาชน พ่อค้า/แม่ค้า ในตลาดพรพัฒน์และตลาดสุชาติ 500 คน สำหรับโรงพยาบาลปทุมธานี วันนี้ได้เตรียมวัคซีนโควิด 19 บริการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม คาดว่าจะฉีดครบทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ ตามที่โรงพยาบาลได้นัดหมายไว้
“หลังจากที่ผมได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 1 วัน ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ ยังแข็งแรงสามารถทำงานได้ตามปกติขอให้ประชาชนมั่นใจว่า วัคซีนที่ฉีดมีความปลอดภัยผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และขึ้นทะเบียนจาก อย. ก่อนนำมาใช้” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า องค์การอนามัยโลกได้ระบุเป็นสโลแกนไว้ว่า “Nobody is safe until everybody is safe จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย” ซึ่งสอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการวัคซีนของประเทศ ที่ได้เร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ซึ่งวัคซีนที่จัดหาไว้จำนวน 63 ล้านโดส จะทยอยฉีดให้กับประชาชนอย่างครอบคลุม เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลจะให้ทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตามความสมัครใจ ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้ง 2 เข็ม ภายในปี 2564 นี้ ขออย่าหลงเชื่อการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 หากพบขอให้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น ถ่ายรูป คลิปวิดีโอ และนำหลักฐานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือโรงพยาบาลได้ทันที
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขยังไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนหรือให้มาขอรับการฉีดด้วยตนเองที่โรงพยาบาล กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดหรือประชาชนกลุ่มเสี่ยงจะพิจารณาจากข้อมูลทางระบาดวิทยาเป็นหลัก ทางโรงพยาบาลเป็นผู้ติดต่อและนัดหมาย โดยประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ทาง Line “หมอพร้อม” หากไม่มีสมาร์ทโฟน จะมีทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ไปชี้แจงและเชิญเข้ารับวัคซีชน และขอให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โหลดไลน์ “หมอพร้อม” เพื่อรับข้อมูลข่าวสารการรับวัคซีน หรือโทรสอบถามกับโรงพยาบาลที่รักษาอยู่หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
************************ 1 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! จุรินทร์ ดันราคายางพุ่งทะลุกิโลละ 60 บาทแล้ว! จับมือวุฒิสมาชิกหนุนส่งออก "ไม้ยาง-หลังคายาง-อาหารฮาลาล" | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
สุดยอด! จุรินทร์ ดันราคายางพุ่งทะลุกิโลละ 60 บาทแล้ว! จับมือวุฒิสมาชิกหนุนส่งออก "ไม้ยาง-หลังคายาง-อาหารฮาลาล"
วันที่ 25 มีนาคม 2564 เวลา 11.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ต้อนรับและหารือ
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขานุการคณะกรรมาธิการ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ โดยคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภา เข้าพบเพื่อปรึกษาหารือแลกเปลี่ยน ข้อคิดเห็น ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์
จากนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของวุฒิสภา ได้นำคณะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกระทรวงพาณิชย์ การช่วยส่งเสริมสินค้าฮาลาลและช่วยกันแก้ไขปัญหายางพาราในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประเด็นที่มีความเห็นร่วมกัน
1.ยางพาราเห็นตรงกันว่าควรช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ราคายางในประเทศดีขึ้นจากการดำเนินการของรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯที่ผ่านมาราคายางสูงกว่ารายได้ที่ประกันแล้ว สำหรับราคายาง วันที่ 24 มีนาคม 2564 ยางแผ่นดิบตลาดกลางสงขลา กิโลกรัมละ 61.90 บาท ยางแผ่นรมควันชั้น 3 กิโลกรัมละ 64.79 บาท ราคาน้ำยางสด กิโลกรัมละ 64 บาท ยางก้อนถ้วย กิโลกรัมละ 24.25 บาท
ภาพรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่ารายได้ที่ประกันตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางทุกตัว
2.ช่วยกันส่งเสริมตลาดถุงมือยางธรรมชาติ ส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ ขณะนี้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่สามารถทำถุงมือยางธรรมชาติแบบโปรตีนต่ำ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกได้แล้ว และได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังบริษัทถุงมือยางหลายราย ตรงกับยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” หวังว่าภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงพาณิชย์กับคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาจะช่วยทำการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รับทราบในตลาดโลกต่อไป
3.เห็นร่วมกันในการส่งเสริมการส่งออกไม้ยางพารา ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลมีหลายโครงการที่ส่งเสริม 1)รัฐบาลจัดวงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้ผู้ที่ต้องการส่งออกไม้ยางพาราไปยังต่างประเทศช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 2)กระทรวงพาณิชย์เคยนำสมาคมไม้ยางไทยไปเปิดตลาดที่อินเดียแล้ว 2 ครั้ง จะเป็นตลาดสำคัญในอนาคต รัฐบาลอินเดียต้องการส่งเสริมให้คนอินเดีย 1,000 กว่าล้านคน มีบ้านจำเป็นต้องใช้เฟอร์นิเจอร์และไม้ยางจะไปแทนไม้สักที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี 3)กระทรวงพาณิชย์ได้เจรจากับรัฐเตลังกานาและกำลังจะทำ mini FTA คาดว่าจะสามารถลงนามได้เร็วนี้ จะช่วยส่งเสริมให้มีตลาดไม้ยางพาราไทย
และได้มีการแนะนำเอายางไปผลิตเป็นแผ่นมุงหลังคา ตนรับไปที่จะช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคเอกชน เช่นบริษัทเอสซีจี เพื่อเพิ่มการใช้ยางในประเทศส่งเสริมการใช้ยางพาราในหลังคาบ้าน
4.ส่งเสริมสินค้าฮาลาล กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายชัดเจนส่งเสริมอาหารไทยอาหารโลกทำให้อาหารไทยเป็นอาหารของโลก ปัจจุบันอาหารไทยอยู่ในลำดับที่ 1 ใน 10 และเชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถผงาดมาเป็น 1 ใน 3 ของโลกได้ อาหารที่เป็นเป้าหมายมี 3 ตัว คืออาหารมังสวิรัติ อาหารแนวใหม่ และอาหารฮาลาล ในการจัดงานเทศกาลอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คืองาน THAIFEX จะให้ความสำคัญต่อไปในอนาคต
และประเด็นที่สองจะส่งเสริมเอสเอ็มอีที่ขายสินค้าฮาลาลได้มีพื้นที่ร่วมส่งเสริมการขายของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเรามีนโยบายเอสเอ็มอีทุกประเภทต้องได้รับโอกาสในการไปแสดงในงานสินค้าระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป รวมทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
" ประเด็นที่สามวันนี้หารือร่วมกันกับเรื่องการขึ้นทะเบียนจดทะเบียนฮาลาลถือเป็นตราที่มีความสำคัญรับรองคุณภาพกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามหลักศาสนา ได้รับแจ้งว่าขณะนี้การขอตราฮาลาลเปิดระบบออนไลน์สามารถขึ้นทะเบียนได้แล้ว" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40348 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” สั่งการ “กรอ.” ดันทุกโรงงานพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งเป้ากว่า 7 หมื่นโรง ภายในปี 2568 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
“สุริยะ” สั่งการ “กรอ.” ดันทุกโรงงานพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งเป้ากว่า 7 หมื่นโรง ภายในปี 2568
“สุริยะ”ผลักดันโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) มุ่งปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมภาคอุตสาหก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งส่งเสริมให้การประกอบกิจการต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทย สู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หรือ BCG โมเดล ที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มุ่งเป้ายกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่สากล ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยเพื่อชุมชน ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
“ได้สั่งการให้ กรอ. เดินหน้าผลักดันให้ทุกโรงงานอุตสาหกรรมในกำกับที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 71,130 โรง ทั่วประเทศ พัฒนาสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 โรงงานอุตสาหกรรมทุกโรงต้องได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (พ.ศ.2564-2580) เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ส่งเสริมและกำกับดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ สร้างการรับรู้และเข้าใจในอุตสาหกรรมสีเขียว และมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมสีเขียวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและนานาชาติในที่สุด”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบกิจการโรงงานสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบันมีสถานประกอบการอุตสาหกรรมได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวแล้วประมาณ 20,000 ราย โดยมีสถานประกอบการที่ขอใช้ตราสัญลักษณ์อุตสาหกรรมสีเขียวบนฉลากผลิตภัณฑ์แล้ว จำนวน 110 ราย เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ข้อมูล ณ 31 มกราคม 2564)
สำหรับปี 2564 กรมโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการ 3 โครงการหลักเพื่อการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ประกอบด้วย 1. โครงการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว 2. โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดระดับรายสาขา การลดปริมาณน้ำในโรงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และโรงงานที่มีการใช้น้ำมากหรืออยู่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ และ 3. โครงการส่งเสริมการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ กรอ. ยังมีการพัฒนาระบบสารสนเทศอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสถานประกอบการ ด้วยการจัดทำระบบการเรียนรู้และอบรมออนไลน์ (E-learning) และคู่มืออุตสาหกรรมสีเขียว ที่รวบรวมหลักการดำเนินงาน หลักเกณฑ์และเงื่อนไข พร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยที่ผู้ประกอบกิจการสามารถสมัครและขอใบรับรองผ่านระบบออนไลน์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39829 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย อสม.พร้อม บอกต่อเรื่องวัคซีนโควิด 1 | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
สธ.เผย อสม.พร้อม บอกต่อเรื่องวัคซีนโควิด 1
กระทรวงสาธารณสุข เผย อสม.พร้อมสื่อสารให้ความรู้เรื่องวัคซีนโควิด 19 กับคนในชุมชนช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เชิญชวนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ “หมอพร้อม” รายงานอาการไม่พึงประสงค์ และแจ้งเตือนนัดหมายรับวัคซีนเข็มที่ 2
วันนี้ (3 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ประชุมทางไกลร่วมกับ อสม.ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ซึ่งมีจำนวน 1 ล้าน 5หมื่นคนทั่วประเทศ ลงพื้นที่บอกต่อสื่อสารทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 โดยให้ความรู้วัคซีนโควิด 19 ผ่านสื่อและชุดข้อมูล, สำรวจ คัดกรองกลุ่มเป้าหมาย, เชิญชวนประชาชนลงทะเบียน “หมอพร้อม” เพื่อรายงานติดตามอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน และแจ้งเตือนนัดหมายรับวัคซีนเข็มที่ 2 ช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ด้วยการลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์ของลูกหลานในครอบครัว หรือของ อสม. และรวบรวมรายงานติดตามอาการไม่พึงประสงค์ส่งต่อไปยัง รพ.สต.และรพ.ชุมชน
นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณ อสม. ที่เป็นกำลังสำคัญ ช่วยระบบสาธารณสุขไทยต่อสู้กับโรคโควิด 19 เคาะประตูบ้าน กว่า 15 ล้านหลังคาเรือน ให้ความรู้ ดูแลประชาชน ติดตามผู้สัมผัสเพื่อนำเข้าสู่ระบบกักกันโรคทำให้สถานการณ์โควิด 19 ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาดีขึ้น สามารถควบคุมโรคได้ สำหรับในช่วงนี้ที่มีการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ขอให้ อสม. ช่วยสื่อสารทำความเข้าใจกับคนในชุมชนว่า เมื่อได้รับวัคซีนแล้วยังคงต้องป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ภาพรวมทั้งประเทศ อสม. เคาะประตูบ้านให้ความรู้เรื่องวัคซีนโควิด 19 แล้ว จำนวน 323,384 หลังคาเรือน ส่วนพื้นที่ 13 จังหวัดที่เป็นเป้าหมายการได้รับวัคซีนล็อตแรก อสม.ลงพื้นที่เร่งให้ความรู้แล้วจำนวน 297,672 หลังคาเรือน ส่วนข้อมูลภาพรวมทั่วประเทศ อสม.ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ร่วมปฏิบัติงานในด่านหน้า ได้รับการฉีดแล้ว 117 ราย ยังไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง
*************************** 3 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39594 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท”
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท”
วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ในโอกาสนี้ได้เยี่ยมชมโบราณสถาน และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตอุทยานฯ อาทิ หอนางอุสา ,หีบศพพ่อตา ,หีบศพท้าวบารส ,หีบศพนางอุสา ,วัดพ่อตา ,ถ้ำพระ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเอนก สีหามาตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พี่น้องประชาชน สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตำบลพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้ผลักดันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทให้มีศักยภาพ ความพร้อมในทุกด้าน เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยปรับปรุงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้ยกระดับขึ้นเป็นส่วนบริการสำคัญ ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความภาคภูมิใจในมรดกศิลปวัฒนธรรม ให้กับผู้เยี่ยมชม ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม และเห็นความสำคัญของการดูแลอนุรักษ์ และรักษา แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40179 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กตน. ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พร้อมเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 63 /64 | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กตน. ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พร้อมเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 63 /64
กตน. ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พร้อมเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 63/64
วันนี้ (19 มี.ค.64) เวลา 12.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (กตน.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมด้วย
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 ของภาพรวม ปี 2563 โดยในเรื่องของความเคลื่อนไหวทางสังคม ได้แก่ การจ้างงาน อัตราการว่างงาน หนี้สินครัวเรือน การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง การบริโภคเหล้าและบุหรี่ คดีอาญา การรับแจ้งอุบัติเหตุ การคุ้มครองผู้บริโภค พบว่าภาพรวมปรับตัวดีขึ้นทุกด้าน แต่ตลอดทั้งปียังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อยู่ โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานและการว่างงาน สำหรับแนวทางการบริหารจัดการตลาดแรงงานในระยะต่อไป เช่น รักษาระดับการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง จัดเตรียมมาตรการรองรับปัญหาภัยธรรมชาติที่อาจส่งผลต่อแรงงานเกษตร สนับสนุนการพัฒนาทักษะ ปรับทักษะ และสร้างทักษะใหม่ ให้กับแรงงาน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมของทักษะแรงงานไทยต่อการทำงานในอนาคต ได้แก่ การพัฒนาทักษะของแรงงาน อาทิ ขยายการเข้าถึงและผู้ใช้งาน ICT เพื่อให้แรงงานคุ้นชินกับ ICT นโยบายตลาดแรงงานเชิงรุก (Active labour Market Policies) เชื่อมโยงกับทักษะที่มี ความต้องการของตลาด และการเชื่อมโยงแรงงานกับผู้ประกอบการ รวมถึงการยกระดับการศึกษาด้าน ICT เช่น เชื่อมโยงการศึกษาด้าน ICT กับแผนอื่น รวมทั้งหากลไกการสนับสนุน และดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ด้าน ICT และการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่าน ICT ฯลฯ
รวมทั้งที่ประชุมรับทราบการดำเนินการเรื่องสวัสดิการภาครัฐที่เกษตรกรแต่ละรายได้รับ ได้แก่1) โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 เม.ย.63 โดยจ่ายเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ราย x 3 เดือน (พ.ค. – ก.ค. 63) กรอบจำนวนเกษตรกร: ไม่เกิน 10 ล้านราย ต่อมาจากการมติคณะรัฐมนตรีขยายเวลาโครงการไปจนถึง 30 กันยายน 2563 เพื่อให้เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปอย่างทั่วถึง เป็นธรรม สามารถมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของตนเองและครอบครัว โดย ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินให้เกษตรกร 7,564,682 ราย วงเงินรวม 113,304.40 ล้านบาท 2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 และ 2 โครงการระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563 มี จ่ายเงินทั้งสิ้น 1,272,883 ราย จำนวนเงิน 24,172.437 ล้านบาท ส่วนโครงการระยะที่ 2 ระยะเวลาประกันรายได้ยางพารา ต.ค.63 –มี.ค.64 เป้าหมายเกษตรกร จำนวน 1.83 ล้านราย พื้นที่เพาะปลูก จำนวน 18.286 ล้านไร่ ผลการดำเนินงานโครงการ เบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 1,361,144 ราย จำนวนเงิน 7,129.96 ล้านบาท
ที่ประชุมรับทราบการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำแล้ง โดยการเตรียม 9 มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 63/64 ได้แก่ 1) เร่งเก็บกักน้ำก่อนหมดฤดูฝน 2) จัดหาแหล่งน้ำสำรองน้ำดิบในพื้นที่ที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำพร้อมแผนวางท่อน้ำประปาจาก กปภ.สาขาข้างเคียงและแผนรับน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำโดยตรง 4) กำหนดการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ติดตามกำกับให้เป็นไปตามแผนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค พร้อมจัดทำทะเบียนผู้ใช้น้ำ 5) วางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง รวมถึงมาตรการควบคุมการสูบน้ำ การแย่งน้ำ 6) เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักและสายรอง 7) หลัก3R (Reuse Reduce Recycle) ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรม 8) ติดตาม ประเมินผล เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน และ9) สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและแผนจัดสรรน้ำ ให้ทุกภาคส่วน เกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งสานต่อความร่วมมือไทย-สวีเดน ส่งเสริมการค้าการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลาย | วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564
นายกฯ เร่งสานต่อความร่วมมือไทย-สวีเดน ส่งเสริมการค้าการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลาย
นายกฯ เร่งสานต่อความร่วมมือไทย-สวีเดน ส่งเสริมการค้าการลงทุน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 คลี่คลาย
วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล (H.E. Mr. Jon Åström Gröndahl) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย และยินดีกับความสัมพันธ์ของไทย-สวีเดนที่แน่นแฟ้นยาวนานถึง 153 ปี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับราชวงศ์เป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตจะช่วยสานต่อความร่วมมือกัน กระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไป โดยเฉพาะความร่วมมือภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีตระหนักว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ ในการปรับตัวให้รองรับวิถีชีวิตแบบ New Normal ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือแลกเปลี่ยนในด้านที่มีศักยภาพ
เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทยยินดีที่ได้เข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติและเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างยิ่ง เชื่อมั่นว่าไทยและสวีเดนจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้นในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ทั้งนี้ สวีเดนให้ความสำคัญกับการลงทุน ไทยเป็นพื้นที่เป้าหมายที่สำคัญของภาคเอกชนสวีเดน โดยปัจจุบันมีนักลงทุนชาวสวีเดนลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก และมีแผนจะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นด้วยกับรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งสวีเดนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเวชภัณฑ์ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในการจัดหาวัคซีนแก่ประชาชนโดยไม่หวังผลกำไร
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยและสวีเดนยังมีช่องทางที่จะร่วมมือกันได้อีกมากในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ เช่น การค้า การลงทุนในสินค้าและบริการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมชื่นชมสวีเดนที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่เน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยสามารถนำมาแลกเปลี่ยนและประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ ได้ในอนาคต รวมทั้งร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคี
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้สอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลเปิดโอกาสและให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนในการแสดงออก แต่ต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายไทย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ และยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มด้วยความเป็นธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39880 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดผู้พิการเคาะ ขอโควต้าวัคซีนผู้พิการรุนแรง ขยายเวลากู้ฉุกเฉินประกอบอาชีพปลอดคนค้ำ-ดอก เสนอครม.พิจารณาเบี้ยผู้พิการกลุ่มไม่มีบัตรคนจน-อายุเกิน18 | วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564
บอร์ดผู้พิการเคาะ ขอโควต้าวัคซีนผู้พิการรุนแรง ขยายเวลากู้ฉุกเฉินประกอบอาชีพปลอดคนค้ำ-ดอก เสนอครม.พิจารณาเบี้ยผู้พิการกลุ่มไม่มีบัตรคนจน-อายุเกิน18
บอร์ดผู้พิการเคาะ ขอโควต้าวัคซีนผู้พิการรุนแรง ขยายเวลากู้ฉุกเฉินประกอบอาชีพปลอดคนค้ำ-ดอก เสนอครม.พิจารณาเบี้ยผู้พิการกลุ่มไม่มีบัตรคนจน-อายุเกิน18
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (10 มี.ค.) ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้พิจารณาแนวทางการส่งเสริมการมีงานทำและการให้ความช่วยเหลือผู้พิการในช่วงสถานการณ์โควิด19 สาระสำคัญของการประชุม มีดังนี้
1.เห็นชอบปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้พิการให้กับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการแต่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมีอายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 8.3 แสนคน จาก800บาท/เดือน เป็น 1,000 บาท/เดือน ให้เท่ากับผู้พิการที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการที่อายุต่ำกว่า18ปี ซึ่งครม.ได้มีมติปรับเพิ่มให้ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการจะต้องนำเสนอครม.เพื่อพิจารณาต่อไป
2.เห็นชอบขยายเวลาการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพกรณีฉุกเฉินของกองทุนพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ วงเงินกู้ไม่เกิน10,000บาทต่อราย โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่มีดอกเบี้ย ปลอดชำระหนี้ 1 ปี จากเดิมที่หมดเขต31 มี.ค. 64 ขยายไปถึง 31 พ.ค.64 ประชาชนผู้สนใจสามารถยื่นคำร้องขอกู้ได้ที่ www.dep.go.th หรือสอบถามสายด่วน พม. 1300
3.เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาการกำหนดโควต้าการรับสิทธิวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แก่คนพิการโดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่มีความพิการในระดับรุนแรงหรือมีปัญหาด้านสุขภาพ
4.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาเพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษีให้สถานประกอบการที่จ้างงานคนพิการในช่วงสถานการณ์โควิด19 คือ 1) การจ้างคนพิการตามมาตรา33 ที่หักภาษีได้ 2 เท่า ขอเพิ่มเป็น 3 เท่า 2)การจ้างคนพิการมากกว่า 60% ของลูกจ้าง ที่หักภาษีได้ 3 เท่า ขอเพิ่มเป็น 4 เท่า
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมมีความห่วงใยผลกระทบของโควิด19ที่มีต่อผู้พิการ การประชุมครั้งนี้จึงเน้นไปที่การให้การช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อให้ผู้พิการก้าวพ้นความยากลำบากที่ประสบอยู่ขณะนี้ และส่งเสริมโอกาสแก่ผู้พิการเพื่อให้เข้าถึงการจ้างงาน มีรายได้ สามารถพึ่งพิงตนเองได้ ซึ่งขณะนี้แผนการส่งเสริมการมีงานทำของผู้พิการ ได้กำหนดแนวทางการบูรณาการ 29 หน่วยงาน ครอบคลุมการส่งเสริมการมีงานทำ การให้การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และการพัฒนาทักษะ เพื่อประโยชน์แก่คนพิการ ตามเป้าหมายปี 64 สองแสนคนทั่วประเทศ
--------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39835 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรวอลเล็ต สบม. พร้อมให้ซื้อขายในตลาดรองแล้ววันนี้ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
พันธบัตรวอลเล็ต สบม. พร้อมให้ซื้อขายในตลาดรองแล้ววันนี้
ผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น SB236A อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี และพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม.-2 SB248A อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปเป๋าตังได้แล้ววันนี้
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น SB236A อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี ที่จำหน่ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 วงเงิน 200 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม.-2 SB248A อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท ที่จำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นดังกล่าวในตลาดรองด้วยตนเองผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตังได้แล้ววันนี้
ทั้งนี้ ผู้ที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน (Dip chip) ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าในแอปพลิเคชันและทำธุรกรรมตลาดรองได้ทันที ซึ่งผู้ลงทุนจะสามารถเช็คราคาพันธบัตร ตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรม และรับเงินจากการขายได้ทันที โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5307
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40285 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
การประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รองปลัด กษ. 'ประยูร' เป็นประธานการประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภาคเหนือตอนบน จำนวน 8 จังหวัด
วันพฤหัสบดีที่11มีนาคม2564นายประยูรอินสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมชี้แจงเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2564ภาคเหนือตอนบนจำนวน8จังหวัดครั้งที่1/2564ณห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่1จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของเกษตรและสหกรณ์จังหวัด(เชียงรายเชียงใหม่น่านพะเยาแพร่แม่ฮ่องสอนลำปางลำพูน)และหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลในจังหวัดเชียงใหม่(สำนักงานชลประทานที่1เชียงใหม่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงใหม่สถานีพัฒนาที่ดินเชียงใหม่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคภาคเหนือการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่)ในประเด็นสำคัญดังนี้
1)การขับเคลื่อน5ยุทธศาสตร์และแนวทางนโยบายหลักสำหรับการขับเคลื่อนภาคเกษตรให้ประสบผลสำเร็จ15ด้านของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2)โครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
3)การประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวยางพารามันสำปะหลังปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4)การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร
5)แผนแม่บทประเด็นการเกษตรเกษตรปลอดภัยเกษตรกรรมยั่งยืน
6)แผนการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ
จากนั้นลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและตรวจเยี่ยมโครงการ1ตำบล1กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ตำบลหนองผึ้งอำเภอสารภีจังหวัดเชียงใหม่ของนางสาววิภาพรพัฒนาภรณ์เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯบนพื้นที่3ไร่ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่และฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39901 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นต่อ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568 | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ดีอีเอส เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นต่อ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568
ดีอีเอส เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นต่อ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นต่อ (ร่าง) กรอบแผนแม่บทการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2564-2568 ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมาย ทิศทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรค และการบูรณาการจัดสรรทรัพยากร เพื่อประโยชน์สำหรับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศให้มีความสอดคล้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับสากล ซึ่งจะจัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ จำนวน 5 ครั้ง ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และส่วนภูมิภาค อย่างรอบด้าน รวมทั้งได้มีการศึกษาแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของต่างประเทศ เพื่อนำมากำหนดเป็น (ร่าง) กรอบแผนแม่บทฯ จากนั้นจะนำความคิดเห็นดังกล่าวไปปรับปรุงเป็น (ร่าง) แผนแม่บทฯ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามลำดับต่อไป
*******************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40000 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.