title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา ย้ำสมาชิกอาเซียนพร้อมร่วมมือประเทศคู่เจรจา +3 ขับเคลื่อนสื่อสารยุคดิจิทัล ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
รมต.นร. อนุชา ย้ำสมาชิกอาเซียนพร้อมร่วมมือประเทศคู่เจรจา +3 ขับเคลื่อนสื่อสารยุคดิจิทัล ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
รมต.นร. อนุชา ย้ำสมาชิกอาเซียนพร้อมร่วมมือประเทศคู่เจรจา +3 ขับเคลื่อนสื่อสารยุคดิจิทัล ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
วันนี้ (12 มีนาคม 2564) เวลา 13.00 น. ณ กรมประชาสัมพันธ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะผู้แทนไทย นำคณะร่วมประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน และคู่เจรจาบวกสาม ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ "สานต่อประชาคมดิจิทัล เข้าถึง ครอบคลุมเพื่อโอกาสของคนทุกกลุ่ม" ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยในฐานะประธานด้านสื่อและสารสนเทศอาเซียน ช่วงปี 2563-2565 เล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา +3 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) ซึ่งที่ผ่านมา 10 ประเทศอาเซียนได้ร่วมมือกับจีน เกาหลี และญี่ปุ่นผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์ในอาเซียนมากมาย อาทิ โครงการร่วมผลิตสารคดี โครงการพัฒนาบุคลากรด้านสื่อสารมวลชน การพัฒนาเทคโนโลยีการออกอากาศ และส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอบคุณประเทศสมาชิกที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนบทบาทด้านสื่อและสารสนเทศตลอดมาจนเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม พร้อมย้ำว่าในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งประชาคมโลกประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โดยมีข้อริเริ่มต่าง ๆ รวมถึงกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมด้านเศรษฐกิจและสังคม ตนมั่นใจว่าประเทศสมาชิกจะผ่านความท้าทายนี้ไปด้วยกันโดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดี ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งการสื่อสารประชาสัมพันธ์เป็นส่วนช่วยที่สำคัญ ผ่านกลไกและความร่วมมือที่ได้ประชุมกันในวันนี้ ขณะที่โลกใบนี้กำลังขับเคลื่อนด้วยการสื่อสารในยุคดิจิทัล เราประชาคมอาเซียนต้องจับมือกัน รับมือกับการเปลี่ยนแปลง นำความรู้ ประสบการณ์ที่มีร่วมด้วยช่วยกัน สู่ความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต
.......................................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39928 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเยียวยา ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564
รัฐบาลเตือนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเยียวยา ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน
รัฐบาลเตือนร้านค้าเข้าร่วมโครงการเยียวยา ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบประชาชน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ ที่ดำเนินการมาระยะหนึ่ง และโครงการเรารักกันที่จะเริ่มใช้จ่ายได้เร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะในส่วนของการควบคุมดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ให้ติดตามตรวจสอบไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนถึงปัญหานี้มายังรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีขอให้ร้านค้าเห็นใจประชาชน เพราะทุกคนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนกัน รัฐบาลมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน ได้ดำเนินคดีกับร้านค้าที่กระทำผิดไปแล้ว 68ราย ในจำนวนนี้เป็นร้านธงฟ้า 47 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปยังร้านค้าทุกแห่งและออกตรวจสอบไม่ให้ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ เช่น ห้ามยึดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ห้ามรับ/แลกเป็นเงินสด ห้ามบังคับการซื้อ/ขายสินค้า ห้ามจำหน่ายบุหรี่ สุรา เบียร์ ห้ามเอาเปรียบขึ้นราคาและขายเกินราคาที่กำหนดโดยเด็ดขาด
หากพบหลักฐานว่าร้านค้าใดจำหน่ายสินค้าราคาแพงเกินสมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับร้านธงฟ้านั้นมีข้อกำหนดชัดเจนอยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร ดังนั้น ถ้าตรวจพบการกระทำผิดจะถูกยกเลิกจากโครงการทันทีและอาจถูกยึดเครื่อง EDC หรือยกเลิกการใช้แอปพลิเคชัน ทำให้ไม่สามารถขายสินค้ากับโครงการได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ หากประชาชนพบร้านค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า หรือไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39701 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลองแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลองแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
ผู้ช่วยรมว.วธ.เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลองแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสถวายพระสมัญญา "สิริศิลปิน"
วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดงานเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลองแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสถวายพระสมัญญา "สิริศิลปิน" และพิธีเปิดงานโครงการการแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Korat 2021 ณ จังหวัดนครราชสีมา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Zoom)โดยมี นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายโกวิท ผกามาศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ขั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39640 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด
ปลัดเกษตรฯ เผยคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565 เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด 3 ระดับ ผลิตสับปะรดคุณภาพ สร้างความยั่งยืนอุตสาหกรรมสับปะรดไทย
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2563 – 2565 ครั้งที่ 2/2564 ว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2564 – 2565 และที่ประชุมยังมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปเพิ่มเติมเป้าหมายและงบประมาณของโครงการใดที่ไม่สามารถระบุได้ ให้คำนวณประมาณการสัดส่วนเฉพาะสินค้าสับปะรด นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุง (ร่าง) แผนการปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2564 – 2565 ให้สมบูรณ์ และส่งให้ฝ่ายเลขานุการภายในวันที่ 24 มีนาคม 2564 เพื่อจะได้เสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ต่อไป
สำหรับ (ร่าง) แผนการปฏิบัติการด้านสับปะรด พ.ศ. 2564 – 2565 แบ่งเป็นแผน 3 ระดับ ได้แก่ ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและบริหารจัดการผลิต โดยมีประเด็นแผนปฏิบัติการ 1. พัฒนาฐานข้อมูลด้านการผลิตสับปะรดเพื่อการบริหารจัดการผลิตตามแผนที่เกษตรเชิงรุก Agri – map 2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตรวจรับรองมาตรฐาน โดยการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ 3. พัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 4. การวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี
ด้านการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมแปรรูป โดยมีประเด็นแผนปฏิบัติการ 1. วิจัยการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสับปะรด 2. เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม (Productivity) 3. เพิ่มมูลค่าของสับปะรดทั้งระบบ
ด้านการเพิ่มศักยภาพการตลาดและการส่งออก โดยมีประเด็นแผนปฏิบัติการ 1. ส่งเสริมการค้าในต่างประเทศเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศเป้าหมาย 2. เชื่องโยงตลาด และส่งเสริมรณรงค์การบริโภคสับปะรดภายในประเทศ ผ่านช่องทางการกระจาย / จำหน่าย ในรูปแบบต่าง ๆ 3. สร้างตราสินค้าสับปะรดไทยแทนการรับจ้างผลิต (OEM) และขอใช้ตราสินค้าร่วมกับตราที่มีจำหน่ายแล้ว (Co – Branding)
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังสถานการณ์ ส่วนของสับปะรดที่ใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรม และบริโภคสด ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่ผลผลิตออกมาพร้อม ๆ กัน ในช่วงเดือนเมษายน - เดือนมิถุนายน และในช่วงเดือนตุลาคม - เดือนธันวาคม โดยคาดการณ์ว่า ราคาสับปะรดจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกร และในภาคการส่งออกจะใกล้เคียงกับเมื่อปีที่แล้ว และอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40119 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชูแนวคิด “6 ภาคส่วนสานพลัง ยุติการเลือกปฏิบัติ” ยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ | วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564
สธ. ชูแนวคิด “6 ภาคส่วนสานพลัง ยุติการเลือกปฏิบัติ” ยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ
กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย ใช้แนวคิด “6 ภาคส่วนสานพลัง ยุติการเลือกปฏิบัติ” ร่วมรณรงค์ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติอันเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะ พร้อมเปิดตัว เว็บแอปพลิเคชัน “ปกป้อง” รับเรื่องและช่วยเหลือคุ้มครองการถูกละเมิดสิทธิ ถูกกีดกัน
กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย ใช้แนวคิด “6 ภาคส่วนสานพลัง ยุติการเลือกปฏิบัติ” ร่วมรณรงค์ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติอันเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะ พร้อมเปิดตัว เว็บแอปพลิเคชัน “ปกป้อง” รับเรื่องและช่วยเหลือคุ้มครองการถูกละเมิดสิทธิ ถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติ ทาง crs.ddc.moph.go.th หรือเพียงค้นหาด้วยคำว่า “สวัสดีปกป้อง”
วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ที่กระทรวงการต่างประเทศ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดงาน Global partnership for Zero Discrimination : harnessing the power of governments, civil society and the United Nations to tackle stigma and discrimination in Asia and the Pacific จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ สำนักงานภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิก (UNAIDS) เพื่อเทิดพระเกียรติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เนื่องในโอกาสที่ได้ทรงดำรงตำแหน่ง UNAIDS Goodwill Ambassador for HIV Prevention for Asia and the Pacific และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การลดการตีตราและเลือกปฏิบัติอันเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะ พร้อมเชิญชวนภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมรณรงค์วันยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ ตามแนวคิดการณรงค์ “การยุติความไม่เท่าเทียม : End inequality”
นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทย เป็น 1 ใน 18 ประเทศที่เข้าร่วม Global Partnership for Action เพื่อขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีทุกรูปแบบ โดยในวันยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติ 1 มีนาคมปีนี้ ได้ร่วมกับภาครัฐและภาคประชาสังคม ใช้แนวคิดการสร้างกระแสสังคมยุติการเลือกปฏิบัติ “6 ภาคส่วนสานพลัง ยุติการเลือกปฏิบัติ” ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของสังคม 6 ภาคส่วน คือ ครัวเรือน, สถานที่ทำงาน/สถานประกอบการ, สถานบริการสุขภาพ, สถานศึกษา, บริการด้านยุติธรรม และภาคบริการด้านมนุษยธรรมและภาวะฉุกเฉิน กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนเปิดใจ ยอมรับ และให้โอกาสผู้มีเชื้อเอชไอวีได้มีสิทธิ มีศักดิ์ศรี และมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม เปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ปราศจากการตีตราและเลือกปฏิบัติ มุ่งสู่เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ ภายในปี 2573
นอกจากนี้ ได้เปิดเว็บแอปพลิเคชัน ปกป้อง เป็นผู้ช่วยออนไลน์รับเรื่องร้องเรียน ทาง crs.ddc.moph.go.th ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การถูกบังคับตรวจเอชไอวี ถูกเปิดเผยสถานะการติดเชื้อเอชไอวี ถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติเนื่องมาจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางต่อการถูกเลือกปฏิบัติ ได้แก่ กลุ่มหลากหลายทางเพศ, พนักงานบริการ, ผู้ใช้สารเสพติด, ประชากรข้ามชาติ, ผู้ถูกคุมขัง, กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่า และมีทีมสหวิชาชีพ รับเรื่องไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือและจัดการปัญหาต่อไป ทั้งนี้ จากการสำรวจสุขภาพคนไทยล่าสุดในปี 2558 พบว่า ร้อยละ 59 มีทัศนคติเชิงลบในการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผลสำรวจในสถานบริการสุขภาพ ล่าสุดในปี 2560 ยังคงมีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ โดยพบว่า ผู้ติดเชื้อร้อยละ 11 มีประสบการณ์ถูกตีตราและเลือกปฏิบัติในสถานบริการสุขภาพ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 35 เคยตัดสินใจไม่ไปรับบริการเนื่องจากการตีตราตัวเอง
ด้านนายแพทย์ปรีชา เปรมศรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีเอกอัครราชทูต ทูตานุทูตและผู้แทนสถานทูต จาก 34 แห่งเข้าร่วมงาน และถ่ายทอดสดผ่าน Facebook ของกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค, กระทรวงการต่างประเทศ และ UNAIDS ตามแนวทาง New normal ลดการสัมผัสในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ภายในงานมีการอภิปรายภายใต้หัวข้อ “Global Partnership to Eliminate All Forms of HIV-Related Stigma and Discrimination” โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค Mr. Eamon Murphy ผู้อำนวยการโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก Mr. Harry Prabowo จาก APN Plus Dr. Anita Suleiman Head of HIV/STI Department ประเทศมาเลเซีย (online) และคุณสุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
********************************1 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39509 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ครั้งที่ 1/2564 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ครั้งที่ 1/2564
รมช.มนัญญา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ครั้งที่ 1/2564 ติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์หลายประเด็น
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์ในหลายประเด็น อาทิ แนวทางการพัฒนาสหกรณ์การเกษตรในห้วงเวลายุทธศาสตร์ชาติ ความคืบหน้าการหารือแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโควิด -19 ให้กับสหกรณ์บริการแท็กซี่ แนวทางแก้ไขปัญหาสหกรณ์ผู้ถือหุ้นในบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และกฎกระทรวง เรื่อง การดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2564 พร้อมทั้งยังได้มีการพิจารณาการกำหนดหลักสูตรฝึกอบรมกรรมการสหกรณ์ให้มีคุณสมบัติตามกฎกระทรวง เรื่อง การดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2564 (ข้อ 8) พิจารณาการผ่อนผันหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเป็นชุมนุมสหกรณ์ระดับประเทศ พิจารณาการอุทธรณ์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด รวมถึงประเด็นการพิจารณาคณะอนุกรรมการศึกษากรณีการให้สิทธิสมาชิกสหกรณ์ถอนหุ้นคืนบางส่วน ขอขยายเวลาปฏิบัติงาน
รมช.มนัญญา ได้กล่าวมอบนโยบายว่า การดำเนินงานของสหกรณ์นั้นต้องให้ความสำคัญกับสมาชิกสหกรณ์เป็นอันดับแรก และต้องขับเคลื่อนสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งรัฐบาลเองได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการตลาดให้แก่สหกรณ์ เพื่อให้สามารถฟื้นฟูกิจการได้ โดยได้มีการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์ทั่วประเทศ ซึ่งหลายสหกรณ์มีความพร้อม บางสหกรณ์ก็สามารถสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองได้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40239 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ขยายทางหลวงหมายเลข 2050 สาย อ.ตระการพืชผล - อ.เขมราฐ เป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าอาเซียนไทย ลาว และจีน | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ขยายทางหลวงหมายเลข 2050 สาย อ.ตระการพืชผล - อ.เขมราฐ เป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าอาเซียนไทย ลาว และจีน
กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 2050 สาย อ.ตระการพืชผล - อ.เขมราฐ ตอน บ.แสนสบาย - อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ระหว่าง กม.ที่ 69+000 - กม.ที่ 98+500 รวมระยะทาง 29.5 กิโลเมตร เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทางหลวงสายดังกล่าวเป็นทางหลวงสายหลัก เริ่มต้นที่ อ.เมืองอุบลราชธานี สิ้นสุดที่ อ.เขมราฐ เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการท่องเที่ยวและการค้าเชื่อมโยงไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปัจจุบันปริมาณการจราจรเพิ่มสูงขึ้นทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง กรมทางหลวงจึงดำเนินก่อสร้างขยายเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ผิวจราจรแบบแอสฟัลท์คอนกรีต กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้าง ข้างละ 2.5 เมตร มีเกาะกลางแบบยก แยกทิศทางการจราจร ไป-กลับ ก่อสร้างจุดกลับรถ 19 แห่ง ก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 แห่ง (สะพานคู่) และท่อเหลี่ยม 3 แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง งบประมาณ 987,300,000 บาท
โครงการนี้จะเป็นเส้นทางสายหลักเชื่อมโยงประตูการค้าสู่อาเซียน ได้แก่ สปป.ลาว ไทย และจีน ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจการค้า การลงทุนของภาคอีสานใต้และสินค้าตามแนวชายแดนก่อให้เกิดผลดีในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวม เพื่อรองรับเศรษฐกิจและประชาคมอาเซียน หรือ AEC ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39778 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทแจ้งเลื่อนปิดการจราจรบางช่องทางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นวันที่ 20 เม.ย. - 30 ก.ย. 64 เวลา 22.00 น. - 04.00 น. เพื่อปรับปรุงผิวจราจร | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงชนบทแจ้งเลื่อนปิดการจราจรบางช่องทางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นวันที่ 20 เม.ย. - 30 ก.ย. 64 เวลา 22.00 น. - 04.00 น. เพื่อปรับปรุงผิวจราจร
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง ขอแจ้งเลื่อนปิดการจราจรบางช่องทาง บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรโครงการเสริมผิวลาดยางโพลีเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลต์คอนกรีต (PMA)
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบำรุงทาง ขอแจ้งเลื่อนปิดการจราจรบางช่องทาง บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรโครงการเสริมผิวลาดยางโพลีเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลต์คอนกรีต (PMA) จากเดิมวันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันที่ 20 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งในขณะทำการปรับปรุงผิวจราจรประชาชนยังสามารถสัญจรบนสะพานได้ปกติในวันเวลาดังกล่าว ทช. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายจรูญ แก้วนาง นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักบำรุงทาง ทช. หมายเลขโทรศัพท์ 0 2551 5250 หรือโทรสายด่วน 1146
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40130 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบเสียชีวิตลดลง 40% สาเหตุหลักขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุสูงสุด | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบเสียชีวิตลดลง 40% สาเหตุหลักขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุสูงสุด
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักอำนวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า
อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จำนวน 1,157 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต จำนวน 156 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 884 ราย และมีรถที่เกิดอุบัติเหตุ จำนวน 1,811 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของ ทล. เสียหายประมาณ 11 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จำนวนอุบัติเหตุลดลงจากปีที่ผ่านมา 23% ผู้เสียชีวิตลดลง 40% ผู้บาดเจ็บลดลง 36% จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 23% ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด 69% (796 ครั้ง) รองลงมาได้แก่ การตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 8% (87 ครั้ง) หลับใน 4% (57 ครั้ง) และอุปกรณ์รถบกพร่อง 4% (52 ครั้ง)
สำหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 68% (784 ครั้ง) ทางโค้งปกติ 13% (148 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 8% (80 ครั้ง) ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ รถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ37% (678 คัน) รถยนต์นั่ง 29% (528 คัน) และรถจักรยานยนต์ 12% (226 คัน) ซึ่งหากจำแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 24% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20% และภาคใต้ 12% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 7 ตอน แขวงคลองสองต้นนุ่น - พิมพา จำนวน 42 ครั้ง หากจำแนกตามรายจังหวัดพบว่ากรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดชลบุรี ตามลำดับ
ทั้งนี้ ทล. ได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดำเนินการร่วมกับตำรวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวง ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน ทล. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39924 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 7 ต่อยอดกัญชา กัญชงทางการแพทย์ สร้างผลิตภัณฑ์เด่นประจำจังหวัด | วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2564
เขตสุขภาพที่ 7 ต่อยอดกัญชา กัญชงทางการแพทย์ สร้างผลิตภัณฑ์เด่นประจำจังหวัด
เขตสุขภาพที่ 7 ขับเคลื่อนกัญชา กัญชงทางการแพทย์ครบวงจร ตั้งแต่การปลูกร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และรพ.สต. การผลิตยากัญชาทางการแพทย์แผนไทยและยาสารสกัดที่โรงงานผลิตยาสมุนไพรจัมปาศรี รพ.มหาสารคาม สร้างผลิตภัณฑ์เด่นจากกัญชาประจำจังหวัด
เขตสุขภาพที่ 7 ขับเคลื่อนกัญชา กัญชงทางการแพทย์ครบวงจร ตั้งแต่การปลูกร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และรพ.สต. การผลิตยากัญชาทางการแพทย์แผนไทยและยาสารสกัดที่โรงงานผลิตยาสมุนไพรจัมปาศรี รพ.มหาสารคาม สร้างผลิตภัณฑ์เด่นจากกัญชาประจำจังหวัด อาทิ ลูกประคบ ชา ก้อนปรุงรส ยาหม่อง น้ำมันเขียวมรกต มาร์กหน้าใส ปลาร้าแคนนาบิสส์ ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
วันนี้ (13 มีนาคม 2564) ที่จ.มหาสารคาม นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสมฤกษ์ จึงสมาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 7เปิดโครงการกัญชาทางการแพทย์เพื่อเศรษฐกิจชุมชน เขตสุขภาพที่ 7 และร่วมปลูกกัญชา ณ แปลงปลูกกัญชากลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรช่วยชีวิตพิชิตโรค ฯ ร่วมกับ 3 รพ.สต.บ้านหนองแวง ต.หนองซอน อ.เชียงยืน
นายวัชรพงศ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายขับเคลื่อนการนำกัญชา กัญชง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพิ่มการเข้าถึงบริการกัญชาทางการแพทย์ที่ปลอดภัย สะดวก สอดคล้องกับแต่ละชุมชน ได้จัดทำโครงการพัฒนาการปลูกและแปรรูปกัญชาที่มีคุณภาพ เพื่อใช้ในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไทย ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร่วมกับวิสาหกิจชุมชน โดยเขตสุขภาพที่ 7 เข้าร่วมโครงการ 29 แห่ง ผ่านการประเมินแล้ว 15 แห่ง เริ่มปลูกแล้ว 3 แห่ง ที่วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรช่วยชีวิตพิชิตโรค แปรรูป และจำหน่ายครบวงจร อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม, วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชสมุนไพรบ้านดอนหมี อ.พยัคฆภูมิจ.มหาสารคาม และวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านโสกจาน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
นอกจากนี้ ที่จ.มหาสารคามได้ส่งเสริมกัญชาในระดับครัวเรือน “มหาสารคาม คานาบิส โมเดล” โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ไม่มีแพทย์แผนไทย ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนอย่างน้อย 1 แห่งต่ออำเภอ ส่งดอกและช่อดอกให้โรงงานผลิตยาสมุนไพรจัมปาศรี โรงพยาบาลมหาสารคาม และรพ.สต. ผลิตยากัญชาทางการแพทย์ ส่วนกิ่ง ก้าน ราก ใบ ซึ่งไม่ได้เป็นยาเสพติด นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ให้ชุมชน ขณะนี้ร่วมโครงการแล้ว 27 แห่ง คาดเริ่มปลูกเดือนมิถุนายน 2564
นายวัชรพงศ์กล่าวต่อว่า โรงงานผลิตยาสมุนไพรจัมปาศรี โรงพยาบาลมหาสารคาม ผ่านมาตรฐาน WHO-GMP จะเริ่มผลิตยาแผนไทย 3 ตำรับได้ในเดือนเมษายน 2564 ได้แก่ น้ำมันสนั่นไตรภพ ยารักษาริดสีดวงทวารและโรคผิวหนัง และยาแก้นอนไม่หลับ ส่วนยาสารสกัด ผลิตได้ทั้งสูตร CBD, THC : CBD, THC ในเดือนสิงหาคม 2564 นอกจากนี้ ยังได้วางแผนสร้างผลิตภัณฑ์เด่นประจำจังหวัด (Champion Product) ของแต่ละจังหวัด อาทิจ.ขอนแก่น ลูกประคบกัญชา และชาใบหม่อนกัญชา, จ.กาฬสินธุ์ ก้อนปรุงรสกัญชา ยาหม่อง น้ำมันเขียวมรกต มาร์กหน้าใส, จ.มหาสารคาม ชาอารมณ์ดี ปลาร้าแคนนาบิสส์, จ.ร้อยเอ็ด น้ำปลาร้าแซ่บกัญ คันแทนา เป็นต้น
สำหรับโครงการส่งเสริมการปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้นในชุมชน เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง เริ่มดำเนินการที่รพ.สต. 31 แห่ง อยู่ในขั้นตอนชี้แจงแนวทางการดำเนินงานและเตรียมเอกสารขออนุญาตฯ ในส่วนคลินิกกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการเปิดแล้ว 8 แห่ง คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย 10 แห่ง คลินิกให้คำปรึกษา 59 แห่ง ผู้รับบริการ 1,992 ครั้ง จ่ายยากัญชารวม 3,451 ขวด/ตำรับ มีบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรม 858 คน ในปี 2564 จะเปิดคลินิกกัญชาแบบบูรณาการเพิ่ม 64 แห่ง คลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยอีก 77 แห่ง และเพิ่มการใช้ยากัญชาเป็น 2 เท่า
******************************** 13 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39948 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดงานสงกรานต์ 2564...อะไรทำได้ - ไม่ควรทำ? | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
จัดงานสงกรานต์ 2564...อะไรทำได้ - ไม่ควรทำ?
...
เทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ใกล้เข้ามาแล้ว แม้การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีอยู่แต่สถานการณ์ต่าง ๆ มีแนวโน้มดีขึ้น ที่สำคัญเป็นเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องถึง 6 วัน หลังจากที่รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 12 เม.ษ. 2564 เป็นวันหยุดราชการกรณีพิเศษ
.
แม้รัฐบาลไม่ได้ห้าม ประชาชนเดินทางข้ามจังหวัด กลับภูมิลำเนาไปพบปะครอบครัว หรือท่องเที่ยวพักผ่อน แต่ก็ได้วางแนวทางการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลเพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติด้วยหลัก D-M-H-T-T ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40295 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชี้แก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ ต้องยึดทรัพย์ฉับไว -ช่วยเหยื่อรวดเร็ว | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชี้แก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ ต้องยึดทรัพย์ฉับไว -ช่วยเหยื่อรวดเร็ว
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชี้แก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ ต้องยึดทรัพย์ฉับไว -ช่วยเหยื่อรวดเร็ว
ในวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิสิตจากภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในประเด็นกระบวนการและลักษณะของแชร์ลูกโซ่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียในรูปแบบการออมเงินกินดอก /สาเหตุการตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบการออมเงินกินดอกและแนวทางป้องกันการตกเป็นเหยื่อใช้ลูกโซ่ในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาปัญหาพิเศษ หลักสูตรปริญญาตรี ภาคปลาย ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ณ ห้องทำงานผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๑๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า ปัญหาโครงสร้างของแชร์ลูกโซ่เกิดจากความต้องการผลตอบแทนของผู้ลงทุนโดยยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน แต่ไม่คาดคิดว่า ตนจะถูกโกง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้แชร์ลูกโซ่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วคือ สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก จึงทำให้ผู้เสียหาย ต้องการลงทุนในธุรกิจใด ๆก็ตามที่ให้ผลตอบแทนสูงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยคิดว่า ตนจะไม่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวง เพราะหากลงทุนก่อนก็จะได้รับผลตอบแทนก่อน แต่สุดท้ายก็ตกหลุมพรางต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมาก และเมื่อหาทางออกให้กับตนเองไม่ได้ก็จะหันมาหลอกลวงผู้อื่นให้มาลงทุนเป็นวัฏจักรเพื่อให้ได้ทรัพย์สินกลับคืนมา
ปัจจุบันรูปแบบการหลอกลวง ของแชร์ลูกโซ่ ไม่ว่าจะมีสินค้า/บริการ หรือ ไม่มีสินค้า/บริการ ก็ตาม มักใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ในการชักชวนผู้เสียหายให้มาร่วมลงทุน เพราะเป็นช่องทางที่มีความสะดวกและสามารถแพร่กระจายข่าวสารอย่างรวดเร็วแม้ว่าผู้เสียหายกับอาชญากรอาจจะไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อนก็ตาม เช่นเดียวกับการออมเงินเพื่อกินดอกเบี้ย ซึ่งอาชญากรจะใช้วิธีสร้างตัวละครขึ้นมาให้มีความน่าเชื่อถือว่าได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายตกหลุมพรางที่วางกับดักเอาไว้
"กระผมมีข้อสังเกตว่า อาชญากรรมแชร์ลูกโซ่ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวมเป็นพันล้านเป็นหมื่นล้านบาท กลับไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เมื่อผู้เสียหายถูกหลอกลวงแล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือเขาก็จะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินคดีที่เป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนลุกลามเป็นวงกว้าง ทั้งที่จริงแล้ว ปัญหาการแพร่ระบาดของแชร์ลูกโซ่ เปรียบเสมือนการติดเชื้อแพร่ระบาด covid 19 ที่ขณะนี้ยังไม่มียารักษา แต่สามารถควบคุมได้ โดยอาศัยกลไกของชุมชนในการเฝ้าระวัง เพราะหากปล่อยให้แชร์ลูกโซ่ มีการแพร่ระบาด ก็จะมีเหยื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ "
แนวทางการแก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ของประเทศไทย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยระดมสรรพกำลังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับการกระทำความผิดและความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ผลักดัน นอกจากนี้ นโยบายของกระทรวงยุติธรรม โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม บูรณาการการทำงาน และเร่งรัดการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายโดยเร็ว ควบคู่ไปกับดำเนินคดีกับอาชญากร และการติดตามยึดอายัดทรัพย์สิน เพื่อนำกลับไปคืนให้กับผู้เสียหายในเวลาอันรวดเร็ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39630 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืบหน้า! ไทยผลิตวัคซีนโควิด-19 ภายในประเทศ | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
คืบหน้า! ไทยผลิตวัคซีนโควิด-19 ภายในประเทศ
...
ปัจจุบันการผลิตวัคซีนภายในประเทศมีความก้าวหน้าโดยลำดับ ข้อมูลจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติล่าสุดระบุว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาที่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตนั้นได้ดำเนินการไปแล้วจำนวน 5 รุ่นการผลิต และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพ ณ ห้องปฏิบัติการที่ตั้งในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
.
ทุกขั้นตอนถูกควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญของแอสตราเซเนกาและทีมสาธารณสุขไทย ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่ออุดช่องว่างไม่ให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
.
ส่วนการส่งมอบวัคซีนจากแอสตราเซนเนกาที่ไทยได้สั่งจองล่วงหน้าไปแล้ว จะอยู่ในช่วงกลางปี 2564 โดยจะทยอยส่งมาประมาณเดือนละ 5 - 10 ล้านโดส จนครบ 61 ล้านโดส ตามแผนการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลกำหนดไว้
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40033 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดจองตั๋วขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ - อยุธยา ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ 26 มีนาคม 256 | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดจองตั๋วขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ - อยุธยา ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ 26 มีนาคม 256
การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเดินทางในขบวนรถไฟรถจักรไอน้ำพิเศษ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟครบรอบ 124 ปี วันที่ 26 มีนาคม 2564 เพื่อสัมผัสเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ - พระนครศรีอยุธยา
การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเดินทางในขบวนรถไฟรถจักรไอน้ำพิเศษ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟครบรอบ 124 ปี วันที่ 26 มีนาคม 2564 เพื่อสัมผัสเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ - พระนครศรีอยุธยา ร่วมถ่ายภาพกับหัวรถจักรไอน้ำ ตลอดจนรับชมนิทรรศการครบรอบ 124 ปีของการรถไฟฯ ที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เริ่มเปิดจองตั๋วโดยสารตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากิจการรถไฟ ครบรอบ 124 ปี รฟท. ได้นำรถจักรไอน้ำมาเปิดให้บริการเดินรถขบวนพิเศษผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์กรุงเทพถึงพระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 26 มีนาคม 2564 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนากิจการการรถไฟ
รายละเอียดเส้นทางการเดินรถของรถไฟขบวนพิเศษ กรุงเทพ - อยุธยา - กรุงเทพ ขบวนที่ 901/902 ออกจากสถานีกรุงเทพ เวลา 08.10 น. ถึงสถานีอยุธยา เวลา 10.15 น. ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชมสถานที่สำคัญของจังหวัด ประมาณ 6 ชั่วโมง ส่วนเที่ยวกลับจะออกจากสถานีอยุธยา เวลา 16.40 น. ถึงกรุงเทพเวลา 18.45 น. โดยสถานีที่หยุดรับ - ส่งผู้โดยสาร ได้แก่ สถานีสามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นหรือลงตามสถานีดังกล่าวข้างต้นได้ ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟสายกรุงเทพ - อยุธยา สามารถร่วมบันทึกภาพหัวรถจักรไอน้ำ ในเส้นทางที่ขบวนรถวิ่งผ่าน
สำหรับอัตราค่าโดยสาร ไป - กลับ ผู้ใหญ่/เด็ก คนละ 290 บาท (บริการอาหารว่าง น้ำดื่มบนขบวนรถ ทั้งเที่ยวไป - กลับ พร้อมกิจกรรมบนขบวนรถไฟ) ผู้โดยสารสามารถติดต่อซื้อตั๋วและสำรองที่นั่งด้วยระบบ D - Ticket ได้ด้วยตนเอง ผ่านเว็บไซต์ www.railway.co.th หรือสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์ รฟท.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40078 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
ปลัดวธ. เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔
ปลัดวธ.เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ โดยมี นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ประธานคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ คณะที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คณะอนุกรรมการกองทุนฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40038 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงเหตุความสะอาดของตู้โดยสาร ชั้น 1 | วันอังคารที่ 16 มีนาคม 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทยชี้แจงเหตุความสะอาดของตู้โดยสาร ชั้น 1
ตามที่ได้ปรากฎภาพข่าวในสื่อโซเชียลมีเดีย ของผู้ใช้ทวิตเตอร์ นามว่า t (@treeserver)
ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับเรื่องความสะอาดของตู้โดยสาร ชั้น 1 ตู้โดยสารเก่า อุปกรณ์ชำรุด
ตามที่ได้ปรากฎภาพข่าวในสื่อโซเชียลมีเดีย ของผู้ใช้ทวิตเตอร์ นามว่า t (@treeserver)ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับเรื่องความสะอาดของตู้โดยสาร ชั้น 1 ตู้โดยสารเก่า อุปกรณ์ชำรุด ดังแจ้งแล้ว นั้น
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามข้อมูลที่มีผู้ร้องเรียน ทางสื่อโซเชียลมีเดีย นั้นรฟท. ได้ดำเนินการให้ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า ขบวนรถดังกล่าวเป็นขบวนรถด่วนพิเศษ ที่ 38 สุไหลโกลก - กรุงเทพ ซึ่งผู้โดยสารได้ใช้บริการ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2564 เป็นรถนอนชั้น 1 ปรับอากาศ คันที่ 1 เลขที่ 11-12 เดินทางจากสถานีหาดใหญ่ - กรุงเทพ พบว่า อุปกรณ์ในห้องโดยสารดังกล่าวชำรุดจริง
รฟท. ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นและได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล อำนวยความสะดวกในทันที รวมทั้งได้นำตู้โดยสารดังกล่าวมาปรับปรุงซ่อมแซมทันที เพื่อให้ตู้โดยสารมีสภาพพร้อมใช้งาน และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความเรียบร้อยของตู้โดยสาร ก่อนนำออกมาให้บริการแก่ผู้โดยสารทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกและขอขอบคุณผู้ใช้ทวิตเตอร์ นามว่า t (@treeserver) ที่ได้แจ้งข้อมูลให้ รฟท. ทราบ เพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แถลงข่าวจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ก.แรงงาน แถลงข่าวจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564
ก.แรงงาน แถลงข่าวการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี รวมพลังฝ่าวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” วันที่ 8 มี.ค. นี้ ณ โรงแรมมิราเคิล กรุงเทพฯ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสตรีทำงานดีเด่น ว่าเป็นผู้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวในฐานะประธานการแถลงข่าวการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทรุ ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้รับมอบหมายจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานว่า องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสตรีสากล และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงการต่อสู้ของสตรี เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ และการพัฒนา รวมถึงการทบทวนความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสิทธิสตรี กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานสตรีมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้จากการกำหนดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานสตรีไว้เป็นการเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และส่งเสริมการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานสตรีมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 นี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี รวมพลังฝ่าวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของสตรีทำงาน และร่วมส่งเสริมให้สตรีได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมได้รับสิทธิประโยชน์จากการจ้างงาน มีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงาน และที่สำคัญ เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติสตรีทำงานดีเด่นที่เป็นแบบอย่างให้สตรีทำงานได้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม รวมถึงประเทศชาติ
อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมสำคัญภายในงานจะมีพิธีมอบโล่รางวัลให้แก่สตรีทำงานดีเด่น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งในปีนี้มีสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับรางวัล จำนวนทั้งสิ้น 32 คน จาก 8 ประเภทรางวัล อาทิ นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ประเภทสตรีนักบริหารดีเด่น นางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประเภทศิลปินสตรีดีเด่น และมีการเสวนาในหัวข้อ “แรงงานสตรี รวมพลังฝ่าวิกฤต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน” โดยวิทยากรที่เป็นสตรีผู้ที่เคยได้รับโล่รางวัลสตรีทำงานดีเด่นปีที่ผ่านมา ได้แก่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสุดฤทัย เลิศเกษม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมแสดงนิทรรศการสตรีทำงานดีเด่น และการแสดงผลิตภัณฑ์ของสตรีผู้ประกอบอาชีพอิสระดีเด่น อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39566 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บูรณาการ 12 กระทรวง ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
บูรณาการ 12 กระทรวง ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
...
นายกฯ ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
“โครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน”
ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน
ถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเร่งด่วนของรัฐบาล
.
โดยสาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงฯ นี้
คือ ความร่วมมือในการสนับสนุนข้อมูลกลุ่มเปราะบาง
อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
เพื่อวิเคราะห์และประเมินข้อมูลรายครัวเรือน
รวมถึงวางแผนการให้ความช่วยเหลือ
ให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ
และการบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม
.
โดยเชื่อมโยงการทำงานระดับพื้นที่ด้วยกลไกสหวิชาชีพ
ร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.)
1 คน ที่จะรับผิดชอบ 10 ครอบครัว
ติดตามครอบครัวกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง
โดยบันทึกข้อตกลงฯ มีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี
ตั้งแต่ปี 2564 – 2568
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39575
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39602 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม คนไทยได้รับเลือกเป็นผู้แทนคนพิการในสหประชาชาติ สะท้อนความสำเร็จรัฐบาลในการสนับสนุนสวัสดิการความเป็นอยู่คนพิการไทย | วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564
นายกฯ ชื่นชม คนไทยได้รับเลือกเป็นผู้แทนคนพิการในสหประชาชาติ สะท้อนความสำเร็จรัฐบาลในการสนับสนุนสวัสดิการความเป็นอยู่คนพิการไทย
นายกฯ ชื่นชม คนไทยได้รับเลือกเป็นผู้แทนคนพิการในสหประชาชาติ สะท้อนความสำเร็จรัฐบาลในการสนับสนุนสวัสดิการความเป็นอยู่คนพิการไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นางสาวเสาวลักษณ์ ทองก๊วย นายกสมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ (Committee on the Rights of Persons with Disabilities) วาระปี 2564-2567 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สตรีพิการไทยได้เป็นตัวแทนคนพิการในเวทีระดับโลก และสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของไทยในการมีบทบาทนำด้านการส่งเสริมงานด้านคนพิการ
ทั้งนี้ สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยได้เสนอชื่อ น.ส. เสาวลักษณ์ฯ ให้เป็นผู้แทนประเทศไทยในการลงสมัครเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการฯ แทนนายมณเฑียร บุญตัน ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งรายชื่อและจัดกิจกรรมพบปะหารือ รวมถึงประชาสัมพันธ์การลงสมัครเลือกตั้งของไทยอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2563 น.ส. เสาวลักษณ์ฯ ได้รับเลือกจากที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ให้ดำรงตำแหน่งด้วยคะแนนเสียง จำนวน 107 เสียง จาก 168 เสียง จากผู้สมัครทั้งหมด 88 ประเทศ
นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่านายกรัฐมนตรีชื่นชมที่ น.ส. เสาวลักษณ์ฯ มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อพัฒนาการดำรงชีวิตสำหรับคนพิการ และผลักดันมิติเกี่ยวกับคนพิการในการดำเนินงานของสหประชาชาติในทุกด้าน โดยเฉพาะการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน การส่งเสริมบทบาทของสตรีในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ การไม่เลือกปฏิบัติต่อสตรีและเด็กพิการ การดำรงชีวิตอิสระ และการมีส่วนร่วมของคนพิการบนพื้นฐานของความเท่าเทียม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า น.ส. เสาวลักษณ์ฯ จะเป็นตัวแทนของประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของคนพิการในเวทีระดับโลก
*********************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39652 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เคลื่อนทัพ ถกเข้มคณะช่วยเหลือคนพิการ | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
นฤมล เคลื่อนทัพ ถกเข้มคณะช่วยเหลือคนพิการ
- -
วันที่ 3 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาทักษะคนพิการ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ณ ห้องประชุมปกรณ์อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มอบหมายหมายให้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อให้แรงงานกลุ่มดังกล่าว ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ และสิ่งสำคัญคือต้องรวดเร็วทันต่อความต้องการ ซึ่งการประชุมในวันนี้ เป็นการหารือของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ ครั้งที่ 1/2564
โดยที่ประชุมได้รายงานผลการส่งเสริมให้สถานประกอบการและหน่วยงานภาครัฐดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และการดำเนินงานกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและหลักเกณฑ์การกู้ยืม เงินกองทุน กำหนดการจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติครั้งที่ 10 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2564 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีการแข่งขันทั้งหมด 15 สาขา นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาด้วย ได้แก่ การจัดทำแผนพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ (พ.ศ. 2564 - พ.ศ. 2570) ข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 และการเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการ จัดทำ CSR ด้านคนพิการ
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า คณะอนุกรรมการชุดนี้ ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ หรือ กพร.ปช. เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่คนพิการ รวมไปถึงการจัดหางานให้แก่คนพิการด้วย โดยมีตัวแทนจากหลายกระทรวง เช่น ผู้แทนจากการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กองส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และกลุ่มสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้วย ได้แก่ อธิบดีกรมการจัดหางาน อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นเลขานุการ
“ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม เพื่อขับเคลื่อนการช่วยเหลือคนพิการและผู้ดูแลคนพิการ ให้ได้รับโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดำเนินงานดังกล่าวต้องทำอย่างต่อเนื่อง ขอให้ทุกฝ่ายบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39579 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (14th UN Crime Congress) โดยคณะผู้แทนไทย | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (14th UN Crime Congress) โดยคณะผู้แทนไทย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (14th UN Crime Congress) โดยคณะผู้แทนไทย ในรูปแบบการประชุมทางไกล
ในวันจันทร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องสนฉัตร ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (14th UN Crime Congress) โดยคณะผู้แทนไทย
ในรูปแบบการประชุมทางไกลซึ่งการประชุมจริง เกิดขึ้น ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ ๗ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ ในรูปแบบผสม โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้แทนสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ท. ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกองพัฒนานวัตกรรมการยุติธรรม
สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเปิดการประชุมว่า การประชุม UN Crime Congress ถือเป็นการประชุมที่สำคัญ เนื่องจากเป็นการประชุมระหว่างประเทศ ในกรอบการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาที่ใหญ่ที่สุด และดำเนินการจัดทุกๆ ๕ ปี แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด - ๑๙ ทำให้สหประชาชาติได้มีมติให้เลื่อนกำหนดการประชุมจากปี ค.ศ. ๒๐๒๐ มาเป็นปีนี้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตนได้เน้นย้ำถึงความท้าทายที่สำคัญ ๓ ประการ คือ ๑.การจัดการด้านสาธารณสุขในเรือนจำ เนื่องจากผู้ต้องขังถือเป็นกลุ่มคนที่มีขีดจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการต้านโควิด - ๑๙ โดยประเทศไทยเน้นย้ำแนวทางของข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพฯ เป็นหลักประกันที่จะสามารถทำให้ผู้ต้องขังสามารถเข้าถึงทรัพยากรและการบริการได้อย่างเท่าเทียม ๒. ประเด็นอาชญากรรม ได้แก่ อาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้าย อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ ซึ่งโควิด - ๑๙ ถือเป็นปัจจัยและตัวเร่งให้เกิดรูปแบบอาชญากรรมแบบใหม่ คือการปลอมแปลงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยแต่ละประเทศจะต้องร่วมมือกันอย่างขันแข็ง เพราะอาชญากรรมสามารถมีจุดเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ๓. การส่งเสริมและเชิดชูหลักนิติธรรม ซึ่งโครงสร้างแห่งความยุติธรรมจะต้องมีความเป็นกลาง เท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ โดยจะต้องคำนึงถึงความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน ซึ่งทุกคนจะต้องร่วมกันสร้างยุคสมัยแห่งความรับผิดชอบ และสังคมแห่งการเคารพกฎกติกา สุดท้ายนี้ ตนมองว่าการประชุมในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการบูรณาการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างคณะผู้แทนไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในช่วงการประชุมระดับสูงผ่านการบันทึกวีดิโอ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๔ เพื่อสะท้อนหัวข้อหลักของการประชุมในสมัยนี้ คือ การส่งเสริมการป้องกันอาชญากรรม ความยุติธรรมทางอาญา และหลักนิติธรรมเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39753 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ ทีเซลส์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ” | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ ทีเซลส์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ”
มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ ทีเซลส์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) โปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง ร่วมกับ มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมจัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ” เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบูรณาการทางวิชาการระหว่างหน่วยงาน และพัฒนาขีดความสามารถในการทำการวิจัย ประสานความร่วมมือ เพื่อให้เกิดเป็นภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งในเชิงวิชาการ และการวิจัยทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
โดยได้รับเกียรติจาก นายวรวุฒิ กุลแก้ว เลขาธิการมูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ” โดยมี นางสาวพัสฐาอรีย์ แสงเดือน หัวหน้าส่วนบริการและพัฒนาธุรกิจ มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมด้วย ดร.ชัยรัตน์ อุทัยพิบูลย์ รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและนวัตกรรมศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ณ ห้องประชุม Genome ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) อาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ ชั้น 9 กรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 เวลา 9.00–10.00 น.
ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “ทีเซลส์ (TCELS) เป็นองค์กรที่สนับสนุนอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานหลักในการให้คำปรึกษาและผลักดันธุรกิจให้พัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม โดยทีเซลส์ (TCELS) ให้การสนับสนุนและบ่มเพาะงานวิจัยและนวัตกรรม ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ การบริการด้านการแพทย์และสุขภาพสู่การใช้งานได้จริงมาโดยตลอด ในด้านของทันตกรรม สืบเนื่องจากความสำเร็จของ “โครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550” และ
“โครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554” ที่ผ่านมานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ด้วยพระราชดำรัสที่ว่า “เวลาไม่มีฟัน กินอะไรก็ไม่อร่อย ทำให้ไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่สบาย ร่างกายก็ไม่แข็งแรง” ปัจจุบัน ทีเซลส์ (TCELS) ได้ดำเนินโครงการบริการฝังรากฟันเทียมสำหรับผู้สูงอายุ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 มีผู้สูงอายุได้รับบริการแล้วมากกว่า 3,000 ราย”
“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมผลักดันเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการแพทย์ได้มากขึ้น และร่วมสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในการผลักดันงานวิชาการ พัฒนาขีดความสามารถในการทำงานวิจัยทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข การพัฒนาบุคลากร ให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อการพัฒนาประเทศ และสนองตอบความต้องการของประเทศ” ดร.ศิรศักดิ์ กล่าวทิ้งทาย
นายวรวุฒิ กุลแก้ว เลขาธิการมูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินงานวิจัย พัฒนา คิดค้นผลิตนวัตกรรม เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ยา และเวชภัณฑ์ ตลอดจนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานทันตกรรม สร้างโอกาสให้สาธารณชนได้รับประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาทางทันตกรรมที่ผลิตขึ้นใช้ในประเทศ และนำไปสนับสนุนกิจกรรม การออกบริการประชาชนของหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนองพระราชกระแสด้านทันตสาธารณสุข ตลอดจนทำหน้าที่เผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ที่มีต่อพสกนิกรด้านทันตสาธารณสุข”
“การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ด้านการวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการ” ร่วมกับ ทีเซลส์ (TCELS) ครั้งนี้ เพื่อร่วมกันกำหนดรูปแบบกิจกรรม และลักษณะของการดำเนินโครงการให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุน ต่อยอดงานวิจัย พัฒนา และผลักดันการดำเนินงานโครงการให้ได้รับการถ่ายทอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ รวมทั้งถ่ายทอดสู่การใช้งานบริการสุขภาพทั้งภาครัฐ และเอกชน บริหารจัดการและดำเนินงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งยังร่วมกันพัฒนาบุคลากรการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ และการนำไปใช้ให้ประชาชนได้รับประโยชน์” นายวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40094 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตร | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ ประชุมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตร ครั้งที่ 2/2564 เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานศูนย์ AIC พร้อมปฏิรูปการสร้างเกษตรมูลค่าสูง และขับเคลื่อนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและแก้ไขปัญหาภาคเกษตร ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมประชุม ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาวาระสำคัญ ได้แก่ การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) การขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปการสร้างเกษตรมูลค่าสูง และแนวทางการขับเคลื่อนงานกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับการขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ได้มีการเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของศูนย์ AIC ส่วนกลาง และ AIC จังหวัด ในปี 2564 และได้มอบหมายให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ปี 2564 และ 2565 ขับคลื่อนเทคโนโลยีลงสู่เกษตรกร พร้อมให้ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการจัดสรรงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์ AIC ให้สัมฤทธิ์ผล ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์ AIC แล้ว 77 ศูนย์ ครบทั้ง 77 จังหวัด โดยศูนย์ AIC จะรวบรวมงานวิจัยและเทคโนโลยีการเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร การแปรรูป และการบริหารจัดการ ที่พัฒนาจากสถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้าในระบบ Innovation Catalog ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานปี 2564 อยู่ระหว่างให้ศูนย์ AIC จังหวัด อัพเดตข้อมูล Innovation Catalog ในระบบ จากนั้น ศูนย์ AIC และ ศพก. จะถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรให้แก่เกษตรกรได้นำความรู้ไปปฏิบัติจริงในพื้นที่แปลงใหญ่ทั่วประเทศ
การขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปการสร้างเกษตรมูลค่าสูง โดยมีเป้าหมายยกระดับรายได้ภาคการเกษตร อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณามอบหมายให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนการขับเคลื่อนเกษตรมูลค่าสูงโดยมุ่งเน้นในแปลงใหญ่ทุกแปลง และส่งเสริมระบบแปลงใหญ่ที่เป็นนิติบุคคลให้ครอบคลุมเกษตรกรทุกกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ โดยมีอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสาขาเกษตรขยายตัวเฉลี่ย ร้อยละ 3.8 มูลค่าของสินค้าเกษตรแปรรูป เกษตรชีวภาพ และเกษตรที่ได้จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 20 ของ GDP ภาคเกษตร ภายใน 5 ปี และมีรายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี อีกทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดำเนินการประเมินผลตัวชี้วัดของ Big Rock เกษตรมูลค่าสูง และเร่งจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) เป็นแผนหลักที่กำหนดกรอบทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาภาคการเกษตรสู่การสร้างเกษตรมูลค่าสูงอย่างบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ซึ่งให้บริการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกร เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรือส่งเสริมเกษตรกร และที่ประชุมยังได้รายงานงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรร ประจำปี 2565 โดยรัฐมนตรีว่าการทระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นด้านเศรษฐกิจของประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
ในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ๔ - ๐๑ ชั้น ๔ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรม
ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
โดยมีคณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายฯ เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมรับทราบกฎหมายเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังวิกฤติโควิด - 19
ของสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปกฎหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" เปิดงาน "วันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี 64" ยกระดับปฎิรูปการทำงานภาครัฐ สนับสนุนให้ทุกภาคมีส่วนร่วม ผลักดันการนําข้อมูลภาครัฐไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน | วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
"อนุชา" เปิดงาน "วันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี 64" ยกระดับปฎิรูปการทำงานภาครัฐ สนับสนุนให้ทุกภาคมีส่วนร่วม ผลักดันการนําข้อมูลภาครัฐไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน
"อนุชา" เปิดงาน "วันข้อมูลเปิดนานาชาติ ประจำปี 64" ยกระดับปฎิรูปการทำงานภาครัฐ สนับสนุนให้ทุกภาคมีส่วนร่วม ผลักดันการนําข้อมูลภาครัฐไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน
วันนี้ (6 มีนาคม 2564) เวลา 10.40 น. ณ ห้องประชุม เดอะ โซไซตี้ ชั้น 22 อาคารเกษร ทาวเวอร์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดงาน "วันข้อมูลเปิด นานาชาติ ประจําปี พ.ศ. 2564” โดยมี นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และคณะผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วม
.
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยการนําเอาเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน สําหรับข้อมูลเปิดถือเป็นทรัพยากรที่สําคัญที่จะนํามาใช้ในการวิเคราะห์พัฒนาบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองต่อการให้บริการและการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีการดํารงชีวิตสู่สังคมดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้า และบริการผ่านระบบดิจิทัล การทําธุรกรรมออนไลน์ และการประชุมออนไลน์
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ จัดทําข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อนํามาเปิดเผยในรูปแบบข้อมูลเปิด หรือ Open Data ผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐนั้น ถือเป็นกลไกสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาโครงสร้างและกระบวนการบริหารงานของประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มความโปร่งใสเกิดการมีส่วนร่วม ลดการทํางานที่ซ้ำซ้อนและเพื่ออํานวยความสะดวกในการนําข้อมูลไปใช้ รวมทั้งยกระดับการทํางานของรัฐ พร้อมทั้งควรผลักดันให้เกิดการสร้าง API ของชุดข้อมูลเปิด และการเปิดเผยชุดข้อมูลเปิดภาครัฐที่มีคุณค่าสูง ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลเปิดนั้น เป็นเรื่องที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสําคัญ จึงมีการจัดกิจกรรม International Open Data Day ขึ้นพร้อมกันทุกประเทศทั่วโลก เพื่อให้คนที่สนใจเกี่ยวกับข้อมูลแบบเปิด หรือ (Open Data) ได้ทําการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการเปิดเผยข้อมูลและการสร้างชุมชนผู้ใช้ข้อมูล หรือ (Data Community Engagement)ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ด้านการนําข้อมูลภาครัฐไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อไป
.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจัดงานในวันนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่สําคัญในการประกาศว่าหน่วยงานภาครัฐจะปฏิรูประบบข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเพื่อการสร้างเครื่องมือในการบริการสาธารณะใหม่ ๆ และที่สําคัญคือการสร้างความโปร่งใสการมีธรรมาภิบาลของหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะนโยบาย สามารถตรวจสอบการทํางานของหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมในการเปิดเผยและเชื่อมโยงข้อมูลที่มีคุณค่าต่อสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนและคาดหวังว่าจะเกิดความร่วมมือด้านข้อมูลระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป
--------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยยอดตัวเลข ยืนยันเข้าร่วมโครงการ “ม33เรารักกัน” แล้ว 54% จากยอดผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านเกณฑ์ 7.41 ล้านคน | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
โฆษกรัฐบาลเผยยอดตัวเลข ยืนยันเข้าร่วมโครงการ “ม33เรารักกัน” แล้ว 54% จากยอดผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านเกณฑ์ 7.41 ล้านคน
โฆษกรัฐบาลเผยยอดตัวเลข ยืนยันเข้าร่วมโครงการ “ม33เรารักกัน” แล้ว 54% จากยอดผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านเกณฑ์ 7.41 ล้านคน
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยยอดตัวเลขผู้ลงทะเบียนโครงการ ม33 เรารักกัน ว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้ความสนใจเข้ามาลงทะเบียนโครงการฯ ณ วันที่ 16 มีนาคม เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 8.20 ล้านคน (8,203,286 คน) จากกลุ่มเป้าหมาย 9.27 ล้านคน ยังคงเหลือประมาณ 1 ล้านคน โดยในตัวเลขผู้ลงทะเบียนดังกล่าวพบว่าไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง จำนวน 622,172 คน ไม่ผ่านเงื่อนไขเงินฝากเกิน (500,000 บาท) จำนวน 168,679 คน ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 7,417,435 คน ได้กดเข้าร่วมโครงการ ม33 เรารักกันแล้ว 3,991,206 คน หรือคิดเป็น 54%
ทั้งนี้ ในส่วนกรณีที่มีการลงทะเบียนสำเร็จแล้วแต่ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครองนั้น ส่วนใหญ่พบมีปัญหา อาทิ ชื่อ-สกุลไม่ตรงกับฐานสำนักทะเบียนราษฎร์ หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูลผู้ประกัน รวมไปถึงมีการลงทะเบียนช้า ทำให้ตัวเลขผู้ลงทะเบียนทบทวนสิทธิ (สะสม) จำนวน 494,380 คน และกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ตัวเลขอยู่ที่ 3,838 คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40046 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการการปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้ง ความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บ และการบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ประจำปี 2564 | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
โครงการการปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้ง ความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บ และการบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ประจำปี 2564
รมช.ธรรมนัส แถลงความร่วมมือระหว่างกรมฝนหลวงฯ กับกองทัพอากาศ โครงการการปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้ง
ความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บ และการบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ประจำปี 2564
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานจัดงานแถลงข่าวการปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้งความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บ และการบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ภายใต้ความร่วมมือกับกองทัพอากาศ ประจำปี 2564 พร้อมมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานทหารกองบิน 41 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้งความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเกิดความเสียหายจากพายุฤดูร้อน และพายุลูกเห็บเป็นประจำทุกปี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการเกิดพายุลูกเห็บ พร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุลูกเห็บ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า กล่าวว่า การปฏิบัติการฝนหลวงยับยั้งความรุนแรงของการเกิดพายุลูกเห็บและการบรรเทาปัญหาหมอกควันไฟป่า ภายใต้โครงการความร่วมมือกับกองทัพอากาศ ประจำปี 2564 และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุลูกเห็บ ได้จัดขึ้นเพื่อสานต่อพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้กำหนดให้ จ.เชียงใหม่ เป็นจุดศูนย์กลางของภาคเหนือ ในการจัดทำโครงการครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านต่าง ๆ อย่างเช่น การช่วยดับไฟป่า ด้านอุปโภค - บริโภค น้ำเพื่อทำการเกษตร รวมถึงการเติมน้ำเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำน้อยในขณะนี้
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2564 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้กำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงบริเวณพื้นที่ปฏิบัติครอบคลุมพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ โดยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก ใช้เครื่องบิน Super King Air 350 ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 2 ลำในการดำเนินการ และในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้รับความร่วมมือจากกองทัพอากาศในการสนับสนุนอากาศยานและบุคลากรในการดำเนินงาน ประกอบด้วยเครื่องบินโจมตีแบบที่ 7 หรืออัลฟ่าเจ็ท ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูงและมีความเร็วในการเข้าถึงเป้าหมาย โดยการใช้วิธีโจมตีด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์ โดยการนำสารฝนหลวงซิลเวอร์ไอโอไดด์ เพื่อเร่งกระบวนการทางธรรมชาติ ทำให้ผลึกน้ำแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นเม็ดน้ำ ตกลงมาเป็นน้ำฝน ซึ่งจะช่วยบรรเทาความรุนแรงและความเสียหายอันเกิดจากพายุลูกเห็บลงได้
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ ยังได้ปฏิบัติภารกิจบินสำรวจโดยเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 6 เที่ยวบิน (10 ชั่วโมง) ที่บริเวณพื้นที่ อ.แม่แจ่ม อ.เชียงดาว อ.กัลยานิวัฒนา อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อ.ลี้ จ.ลำพูน และบริเวณรอยต่อเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ – ต.บ้านนา อ.สามเงา จ.ตาก – อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน และปฏิบัติภารกิจช่วยดับไฟป่า ดังนี้ 1.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่เขาดอยหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 2.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ 3.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 4.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ 5.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 6.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน 7.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 8.ภารกิจตักน้ำดับไฟป่าบริเวณพื้นที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ รวมปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าจำนวนทั้งสิ้น 93 เที่ยวบิน (19.55 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39929 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" | วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564
"รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้"
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห./หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้รับทราบผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงที่ผ่านมา หลังจากนั้น
ได้ร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของแต่ละจังหวัด เพื่อติดตามปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ ที่จังหวัดต้องการให้คณะทำงานที่รัฐมนตรีกำกับดูแลพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนโครงการ/แผนงานที่แต่ละจังหวัดจัดทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายตามกรอบเวลา อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับจากการพัฒนาพื้นที่ให้เจริญก้าวหน้า มีความสงบสุข สร้างฐานรากที่มั่นคงในอนาคตต่อไป (12 มี.ค.64)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39914 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ คิกออฟโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำปี 64 ที่เมืองปากน้ำ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ก.อุตฯ คิกออฟโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำปี 64 ที่เมืองปากน้ำ
กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดตัวโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำโฉมใหม่พัฒนา “คลองสวยน้ำใส ชวน 1 ชุมชนใช้ถังดักไขมัน” ณ ชุมชนคลองคอต่อ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งเป้าพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบจัดการขยะอินทรีย์และขยะพลาสติก ปูทางสู่BCG บางปูโมเดล เตรียมขยายผลเพิ่มในเฟสต่อไป
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเปิดกิจกรรมจิตอาสา “พัฒนาคลองสวยน้ำใส ชวน 1 ชุมชนใช้ถังดักไขมัน” ณ ชุมชนคลองคอต่อ จังหวัดสมุทรปราการ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้น้อมนำพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการพัฒนาคูคลองและแม่น้ำให้กลับมาสะอาดและสวยงาม โดยได้เข้มงวดกำกับดูแลและเฝ้าระวังโรงงานทุกแห่ง โดยเฉพาะโรงงานที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำ จำนวน 1,200 โรงให้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ส่วนโรงงานขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำทิ้งมากกว่า 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งมีประมาณ 300 โรงได้มีการติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบอัตโนมัติ เพื่อติดตามได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากความเชี่ยวชาญด้านการตรวจกำกับดูแลโรงงาน การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และมีเครือข่ายผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน จึงมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยป้องกัน กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนก่อนระบายลงสู่คูคลองและแม่น้ำ ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการในพื้นที่ นำร่อง 10 คูคลอง 10 ลุ่มน้ำสายหลัก ภายใต้ “โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ”
ด้านนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเลือกชุมชนคลองคอต่อเข้าสู่การพัฒนาเป็น 1 ใน 20 คลอง/แม่น้ำ เนื่องจากเป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า บ้าน วัด โรงเรียนอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน รวมทั้งมีผู้นำที่เข้มแข็ง และคลองคอต่อมีการระบายน้ำออกสู่ทะเล โดยกระทรวงฯ จะเข้ามาดำเนินการ ระยะแรกทำทันที โดยติดตั้งถังดักไขมัน จำนวน 200 ใบ ให้กับครัวเรือน ร้านค้า และโรงเรียน เพื่อลดการปล่อยน้ำเสียและแก้ไขปัญหาท่อน้ำอุดตัน สามารถลดการให้เอกชนมาขุดลอกท่อจากปีละ 4 เหลือ 2 ครั้ง และได้หารือกับผู้ประกอบการจิตอาสาในพื้นที่สมุทรปราการ ที่จะติดตั้งตาข่ายดักขยะ เพื่อป้องกันขยะจากคลองอื่นไหลมายังคลองคอต่อ ระยะที่สอง-กรกฎาคม 2564 จะต่อยอดนำไขมัน เศษอาหาร ขยะอินทรีย์จากถังดักไขมันไปใช้ประโยชน์ โดยตั้งจุดรวม (Drop Point) และขนส่งไปยังศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะครบวงจร ณ วัดจากแดง ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ที่เป็นผู้สนับสนุนโครงการ เพื่อเข้าสู่การบำบัดอย่างถูกต้องและการสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ปุ๋ย น้ำหมัก และแก๊ส รวมทั้งการให้ความรู้พัฒนาชุมชนคลองคอต่อ เพื่อนำร่องในการจัดการขยะอินทรีย์และขยะพลาสติก เพื่อให้เป็น “BCG บางปูโมเดล” ซึ่ง GC จะประสานงานกับชุมชน รวมทั้งดำเนินการติดตั้งเครื่องเติมอากาศในน้ำ
กิจกรรมจิตอาสาดังกล่าว นอกจากการติดตั้งถังดักไขมันให้กับชุมชนแล้ว ยังมีการมอบทุนการศึกษา จำนวน 25 ทุน และอุปกรณ์กีฬา 3 ชุด ให้กับโรงเรียนพิบูลประชาบาล (ประถม) และโรงเรียนมัธยมศรีจันทร์ประดิษฐ์ ในพระบรมราชานุเคราะห์ รวมทั้งมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ยากไร้และผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 50 ชุด โดยมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 200 คนร่วมกันพัฒนาปรับภูมิทัศน์ แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) การตักขยะในคลองและทาสีสะพาน 2) การปรับปรุงซ่อมแซมอาคารและเครื่องออกกำลังกาย และ 3) การทำความสะอาดชุมชน และเป็นการทำกิจกรรมจิตอาสาเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564 ที่กำหนดให้ทุกกระทรวงดำเนินการภายใต้แนวคิด “1 กระทรวง 1 การให้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในยุค New Normal” และวันที่ 26 มีนาคม 2564 กระทรวงฯ มีแผนจะจัดกิจกรรมลักษณะเดียวกันนี้ บริเวณชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดปทุมธานี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขให้กับประชาชน
ทั้งนี้ 10 คลองเป้าหมายของโครงการฯ ประกอบด้วย คลองเปรมประชากร คลองแสนแสบ คลองบางลำพู คลองสี่วาพาสวัสดิ์ คลองขุดเจ้าเมือง คลองคอต่อ คลองมหาสวัสดิ์ คลองตะโหนด คลองดำเนินสะดวกและคลองอัมพวา และ 10 แม่น้ำที่กระทรวงฯ เข้าไปร่วมดูแลผ่านโครงการฯ ได้แก่ แม่น้ำกวง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำบางปะกง ลุ่มน้ำปราณบุรี ลุ่มน้ำตาปี ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา แม่น้ำพอง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39961 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการกระจายและความคืบหน้าการผลิตวัคซีนโควิด-19 | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
แผนการกระจายและความคืบหน้าการผลิตวัคซีนโควิด-19
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อสม. เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย ผู้มีโรคประจำตัว และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยวัคซีนซิโนแวค สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 18-59 ปี ฉีดในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. 2 ล้านโดส และวัคซีนแอสตราเซนเนกา สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะทยอยส่งมา ในเดือน มิ.ย. 6 ล้านโดส เดือน ก.ค. – ต.ค. เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือน ธ.ค. 5 ล้านโดส รวมทั้งหมด 61 ล้านโดส ส่วนความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนภายในประเทศที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ผลิตออกมาแล้วจำนวน 5 รุ่น อยู่ระหว่างการส่งให้ห้องปฏิบัติการในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ตรวจสอบคุณภาพ
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40194 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนผู้รับสิทธิ “คนละครึ่ง” รีบใช้ให้ครบก่อนหมดเขต !! | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
เตือนผู้รับสิทธิ “คนละครึ่ง” รีบใช้ให้ครบก่อนหมดเขต !!
...
ไม่รีบไม่ได้แล้ว...แจ้งเตือนไปยังผู้ได้รับสิทธิโครงการ “คนละครึ่ง” ทั้งเฟส 1 และเฟส 2 ที่ได้รับสิทธิวงเงินสูงสุด 3,500 บาทตลอดโครงการ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เพื่อนำไปใช้จ่ายในร้านค้าที่ร่วมโครงการ
.
ซึ่งอีกเพียงไม่กี่วันโครงการฯ นี้ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มี.ค. 64 จึงขอเชิญผู้ได้รับสิทธิที่ยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ เร่งใช้จ่ายให้ครบ 3,500 บาท หากพ้นกำหนดดังกล่าวจะไม่สามารถใช้สิทธิวงเงินที่เหลือได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาสิทธิของตนเองแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากผ่านการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย
.
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังระบุว่า โครงการคนละครึ่ง ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากทั่วประเทศ มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 1,500,000 ร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14,793,502 คน
.
สำหรับยอดการใช้จ่ายสะสมอยู่ที่ 98,860 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 50,610.3 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 48,249.7 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40270 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 มีนาคม 2564 | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาลซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่งและอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงามตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557
เศรษฐกิจ สังคม
6. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย
การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
7. เรื่อง ขออนุมัติเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการยาสูบแห่งประเทศไทย
8. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช)
9. เรื่อง ขออนุมัติจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
10. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
11. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152)
12. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา
13. เรื่อง รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ประจำปี 2563 (สำนักงาน ป.ป.ท.)
14. เรื่อง การพัฒนากฎหมายภาครัฐ (การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ)
15. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรใน
ประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส
ต่างประเทศ
16. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการกำลังส่งบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันระหว่างประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับ กระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
17. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ 1
18. เรื่อง ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย- สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
19. เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล
แต่งตั้ง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูงกระทรวงมหาดไทย
22. เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กค. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าอากรแสตมป์ ดังนี้
1.1 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นบุคคลธรรมดา
ประเภทภาษี
รายละเอียด
· ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
· ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา [กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (29)]
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ
· ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 4 (6) [พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541]
· อากรแสตมป์
· ยกเว้นอากรแสตมป์ [พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 วรรคสอง (ถูกยกเลิกแล้วเมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้)]
1.2 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นนิติบุคคล
ประเภทภาษี
รายละเอียด
· ภาษีเงินได้นิติบุคคล
· รายได้จากกิจการหรืออันเนื่องมาจากกิจการจะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ นิติบุคคล [มาตรา 39 และมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร]
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ
· การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 4 (5) ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ [พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ทางค้าหรือหากำไร ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541]
· อากรแสตมป์
· ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ตามวรรคท้ายของลักษณะแห่งตราสาร 28 (ข) แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์
1.3 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ขอรับเงินค่าทดแทน
ประเภทภาษี
รายละเอียด
· ภาษีเงินได้นิติบุคคล
· ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล [มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539]
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ
· ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ [มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539]
· อากรแสตมป์
· ยกเว้นอากรแสตมป์ [พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 วรรคสอง (ถูกยกเลิกแล้วเมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้)]
2. ต่อมาพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ประกอบกับมาตรา 25 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนกับพนักงาน เจ้าหน้าที่ และการโอนที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม ภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าอากรแสตมป์ โดยให้ดำเนินการตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ กฎหมายยกเว้นภาษีสำหรับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันได้มีการยกเว้นภาษีในกรณีอื่น ๆ แล้ว แต่ยังไม่มีการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่นิติบุคคลและการยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
3. กค. ได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ดังนี้
3.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีจำนวนหนึ่งแต่ไม่สามารถประมาณการได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
3.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) ภาครัฐสามารถดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น
(2) ผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 จะได้รับการบรรเทาภาระทางภาษี
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร สำหรับรายรับที่เป็นเงินค่าทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ)
2. ยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากขายหรือการถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ)
3. แก้ไขมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539 โดยตัดการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายรับที่เป็นเงินค่าทดแทนเฉพาะตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่ขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวออก เนื่องจากรวมอยู่ในการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามข้อ 1 แล้ว แต่ยังยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงิน ค่าทดแทนดังกล่าว เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่ขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าว
4. กำหนดบทเฉพาะกาลให้บทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539 ที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกานี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะในการจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นส่วนราชการ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ (สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ยังคงมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ อว. และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น รายละเอียด ดังนี้
1.กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น
2.กำหนดให้กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
3.กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดไว้เช่น อำนาจในการซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ใช้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ จำหน่าย และแลกเปลี่ยน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของมหาวิทยาลัย ตลอดจนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ในทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อำนาจในการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน และลงทุนหรือร่วมลงทุน และอำนาจใน การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และอำนาจในการกำหนดค่าตอบแทนหรือค่าตอบแทนพิเศษ รวมทั้งสวัสดิการสิทธิประโยชน์ และประโยชน์อย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย
4. กำหนดให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือกฎหมายอื่น
5.กำหนดให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้บริการทางวิชาการและวิชาชีพและการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมโดยตรงไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดีทั้งปวง รวมทั้งการบังคับทางปกครอง บุคคลใดจะยกอายุความหรือระยะเวลาในการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับมหาวิทยาลัยในเรื่องทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยมิได้
6.กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย กำหนดการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทั้งด้านการบริหารงาน บุคคล การเงิน และวิชาการซึ่งมีองค์ประกอบเป็นบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยมากกว่าบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
7.กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัยและอาจมีรองอธิการบดี หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี ตามจำนวนที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมายก็ได้ โดยอธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปีและจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้
8.กำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินส่วนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และต้องจัดให้มีการตรวจสอบระบบบัญชี และให้มีการเผยแพร่บัญชีที่ได้รับรองแล้วในรายงานประจำปี รวมทั้งกำหนดให้รัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
9. กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยนเรศวรตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2533 และพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 มาเป็นข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้
10. กำหนดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสถานภาพข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย โดยกำหนดให้ต้องแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แต่หากข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งมิได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ให้ยังคงสถานะความเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการต่อไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น
11. กำหนดให้พนักงานของมหาวิทยาลัยและลูกจ้างของมหาวิทยาลัยต้องได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่ก่อนเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1.ได้ดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยออกเป็นประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับ 5 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 และจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับในวันที่ 31 มีนาคม 2564
ต่อมาได้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศดังกล่าวให้มีความเหมาะสม โดยปรับปรุงมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน หรือขัดต่อการดำเนินการโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นหรือนโยบายภาครัฐต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ เป็นต้น
2. เนื่องจากการจัดทำประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในท้องที่ตามข้อ 1 อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทส. จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ทันภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จึงได้ยกร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการขยายระยะเวลาการใช้บังคับได้ทัน จะทำให้การใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงฯ เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลเสียหาย ต่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อ 1 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 และให้ ทส. นำร่างประกาศฯ ตามข้อ 2 เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. .... ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. 2558 โดยแก้ไขหลักเกณฑ์การประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปไม่ให้ ผูกโยงกับตำรับยาแผนไทยซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านในส่วนของยาแผนโบราณตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือเป็นตำรับยาแผนไทยที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อให้ตำรับยาแผนไทยบางรายการที่มีประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษสามารถได้รับการประกาศกำหนดเป็นตำรับยาแผนไทยของชาติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ได้ ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยได้เห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดลักษณะของตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยสามารถประกาศกำหนดให้เป็นตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป ดังนี้
1. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่มีการใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรค การรักษาโรค การป้องกันโรค และการส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย
2. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่ทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐรวบรวม พัฒนาหรือปรับปรุงขึ้น และมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงประสบการณ์การใช้ หรือการศึกษาหรือการวิจัยด้านความปลอดภัย และประโยชน์ในการรักษาโรคอย่างแพร่หลาย
3. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่พ้นอายุการคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 หรือที่ไม่มีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรับการตกทอดทางมรดกภายในสองปีนับแต่วันที่ผู้ทรงสิทธิถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ ตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยตามข้อ 1 – 3 ต้องเป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ทส. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทส. เสนอว่า
1. ได้ดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยออกเป็นประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ต่อมาได้มีการขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ออกไปอีก 2 ปี ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 และจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564
2. การจัดทำร่างประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทส. จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ให้มีผลใช้บังคับได้ทันภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 23กันยายน 2563 ที่ประชุมพิจารณาตามที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า การจัดทำร่างประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่มีขั้นตอนทางกฎหมายซึ่งจะไม่ทันกับประกาศกระทรวงฯ ตามข้อ 1 ที่จะหมดอายุการใช้บังคับในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 ประกอบกับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะสมุย พ.ศ. 2549 หมดอายุการใช้บังคับตั้งแต่ปี 2556 หากไม่มีการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าว จะทำให้เกิดช่องว่างที่ไม่สามารถป้องกันผลกระทบจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งประกาศกระทรวงฯ ยังได้กำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นมาตรการเสริมกฎกระทรวงควบคุมอาคาร ฉบับที่ 22 (พ.ศ. 2532) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 59 (พ.ศ. 2548) ที่คุ้มครองพื้นที่บนแผ่นดินของเกาะสมุยและเกาะแตนแล้ว ยังมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 80 เมตร ขึ้นไป รวมทั้งพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ร้อยละ 35 ถึงร้อยละ 50 ให้ก่อสร้างได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เพื่อควบคุมมิให้มีการก่อสร้างบนพื้นที่สูงมากเกินไปเป็นการป้องกันเรื่องชะล้างพังทลาย รวมทั้งป้องกันผลกระทบด้านสุนทรียภาพ ทัศนียภาพ และประกาศกระทรวงฯ ได้กำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมได้แก่ การห้ามทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ ผลิตน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การสร้างสนามกอล์ฟ การกระทำหรือประกอบกิจการใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเต่าทะเล ปะการัง ปลาสวยงาม หอยมือเสือ เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยสรุปมาตรการต่าง ๆ ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะบังคับใช้ประกาศกระทรวงฯ ตามข้อ 1 ต่อไป และเห็นควรปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามข้อ 1 ออกไปอีก 2 ปี นับจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และให้นำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจ สังคม
6. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) และ 2) การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ ยธ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
ยธ. เสนอว่า ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้วสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
1. ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) โดยมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ดังนี้
1.1 ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นควรให้มีการทบทวนกระบวนการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบการบริหารงานราชการส่วนภูมิภาค และเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารที่มีความเป็นกลางไม่มีส่วนได้เสีย จึงมีความเหมาะสมในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้อง
1.2 ฝ่ายที่สอง เห็นควรให้คงไว้เพื่อให้มีระบบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจซึ่งกันและกันระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ และให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในจังหวัดอื่นเป็นระบบอย่างเดียวกัน ซึ่งกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจมีอำนาจในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ จึงเห็นควรให้มีการทบทวนความเหมาะสมของกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าวโดยให้ดำเนินการตามหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง นำสถิติการดำเนินงานต่าง ๆ มาวิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่าที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน
2. การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นควรเพิ่มเติมคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเพื่อเป็นการส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้การดำเนินคดีอาญาในชั้นการสอบสวนฟ้องร้องมีความรอบคอบ และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี กระบวนการดังกล่าวอาจเกิดปัญหาในเรื่องของระยะเวลาในการดำเนินการและผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองนั้นมีสภาพบังคับต่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาทบทวนคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการหรือไม่ เพียงใด ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มขั้นตอนและส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินคดีอาญาดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกลั่นกรอง และประเภทคดีให้มีความเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการโดยองค์กรอื่น ๆ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่บัญญัติให้รัฐพึงใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็นด้วย
7. เรื่อง ขออนุมัติเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการยาสูบแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดวงเงินกู้ระยะสั้นในรูป Credit Line1 โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 แล้ว
__________________
1Credit Line คือ วงเงินที่ทางธนาคารกำหนดให้สำหรับการทำธุรกรรม
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดวงเงินกู้ระยะสั้นในรูป Credit Line โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานและรองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าแสตมป์ยาสูบและภาระภาษีต่าง ๆ ค่าซื้อใบยาและวัตถุดิบในการผลิตบุหรี่ เป็นต้น ในกรณีที่ยอดจำหน่ายบุหรี่ของปีงบประมาณ 2564 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้สมมติฐานกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ (Worst Case Scenario) กล่าวคือ กรณียอดจำหน่ายบุหรี่ลดลงร้อยละ 50 (จำหน่ายได้ 10,058 ล้านมวน) จะส่งผลให้เงินสดคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564เหลือเพียง 1,540 ล้านบาท และหากต้องหักเงินค้างนำส่งรัฐร้อยละ 20 (1,758 ล้านบาท) หรือหักเงินค้างนำส่งรัฐทั้งจำนวน (4,700 ล้านบาท) จะส่งผลให้ ยสท. มีเงินสดคงเหลือติดลบและขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
8. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2574 โดยอาศัยความตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 22 (3) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ พน. จะได้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 ตามแบบ ชธ/ป3/1 ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. 2555
9. เรื่อง ขออนุมัติจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ (เงินชดเชยพิเศษฯ) ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ) และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ร้องเรียนขอรับค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 118 ราย เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 34.34 ล้านบาท
2. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการอื่นอีก 11 คน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยพิเศษฯ โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ ที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ
3. ในการจ่ายเงินเห็นสมควรให้จ่ายโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การจ่ายเงินจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน โดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. เมื่อปี พ.ศ. 2547 กลุ่มราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี นำโดยนายฬมริณฆ์ สุดสวาทรัก ได้ร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีที่ให้ติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ซึ่งมีการทุจริตในการดำเนินงานและเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย เป็นเหตุให้ราษฎรไม่ได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ หรือได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ ไม่ครบตามจำนวนที่มีสิทธิจะได้รับ (2,525 ราย)
2. กษ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรที่ร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินของกรมชลประทาน หรือการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบันแล้วทั้งสิ้น จำนวน 10 ครั้ง ครั้งล่าสุด ตามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 2384/2562 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 และคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 762/2563 ลงวันที่ 17มิถุนายน 2563 มีพลเอก สุรินทร์ พิกุลทอง ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของกองทัพบก เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทานเป็นกรรมการและเลขานุการ
3. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรตามอำนาจหน้าที่โดยมีการจัดประชุมคณะกรรมการตามข้อ 2 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบสิทธิเงินชดเชยพิเศษฯ จำนวน 76 ครั้ง โดยปัจจุบันยังมีราษฎรที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ จนเป็นที่ยุติ จำนวน 1,309 ราย (รวมถึงราษฎรรายที่ กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ในครั้งนี้) ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลที่ กษ. เคยรายงานในคราวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า มีราษฎรส่วนที่เหลือที่อยู่ระหว่างพิจารณา จำนวน 1,330 ราย ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประสานขอข้อเท็จจริงกับ กษ. อย่างไม่เป็นทางการแล้วได้รับแจ้งว่าจำนวนราษฎรดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการ โดยข้อมูลในปัจจุบันจำแนกได้ ดังนี้
3.1 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติยังไม่รับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร เนื่องจากยังไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสำรวจความต้องการระดับอำเภอ และคณะกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และจำนวนเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพจังหวัด จำนวน 591 ราย
3.2 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติรับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร แต่การพิจารณายังไม่เป็นที่ยุติ จำนวน 718 ราย
4. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2563 (76) เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รับรองรายชื่อราษฎรที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ จำนวน 118 ราย ให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ และได้รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้เห็นชอบให้ กษ. โดยกรมชลประทานนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ แก่ราษฎร จำนวน 118 ราย ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เสนอ มีรายละเอียด ดังนี้
สิทธิเงินชดเชย
จำนวนราย
เงินชดเชยพิเศษต่อราย
(บาท)
รวมทั้งสิ้น
(ล้านบาท)
ที่อยู่อาศัย
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตฯ ที่ไม่มีหลักประกัน | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตฯ ที่ไม่มีหลักประกัน
วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดช่องทางช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้บัตรและสินเชื่อส่วนบุคคลทุกสถานะ เข้าร่วมงาน“มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน” เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยให้เจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถหาทางออกร่วมกัน และลดปริมาณคดีเข้าสู่ชั้นศาล โดยมีกระทรวงยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมจัดทำข้อตกลงที่จะใช้เป็นมาตรฐานกลาง ที่มีความผ่อนปรนและความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งมีผู้ให้บริการทางการเงิน 22 แห่ง ร่วมเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ในครั้งนี้ด้วย สำหรับผู้สนใจสามารถลงทะเบียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 14 เม.ย. 64 ที่เว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม และธปท. หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39607 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ร่วมกับ SAWAD เปิดตัว บจ. เงินสดทันใจ ลุยธุรกิจจำนำทะเบียนรถ ดีเดย์เริ่มปล่อยกู้ 25 มีนาคม 2564 กดดอกเบี้ยต่ำสุด 14.99% ต่อปี ตั้งเป้าช่วยผู้มีรายได้น้อยลดภาระจ่ายดอกแพง | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
ออมสิน ร่วมกับ SAWAD เปิดตัว บจ. เงินสดทันใจ ลุยธุรกิจจำนำทะเบียนรถ ดีเดย์เริ่มปล่อยกู้ 25 มีนาคม 2564 กดดอกเบี้ยต่ำสุด 14.99% ต่อปี ตั้งเป้าช่วยผู้มีรายได้น้อยลดภาระจ่ายดอกแพง
ธนาคารออมสินแถลงข่าวการร่วมทุนกับ SAWAD เปิดตัวบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด เดินหน้าทำธุรกิจจำนำทะเบียนรถเป็นครั้งแรก เริ่มด้วยการเปิดรับจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์พร้อมข้อเสนอดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 14.99% ต่อปี หรือเท่ากับ 0.69% ต่อเดือน
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในงานแถลงข่าวการร่วมทุนกับ SAWAD เปิดตัวบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด เดินหน้าทำธุรกิจจำนำทะเบียนรถเป็นครั้งแรก เริ่มด้วยการเปิดรับจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์พร้อมข้อเสนอดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 14.99% ต่อปี หรือเท่ากับ 0.69% ต่อเดือน โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะผลักดันภารกิจธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่าย ด้วยต้นทุนที่เป็นธรรมหรือถูกลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากการแบกรับค่าใช้จ่ายดำรงชีพ ดังนั้น การเข้าสู่ธุรกิจของบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ที่เปิดตัวด้วยอัตราดอกเบี้ยเพียง 14.99% ต่อปี ทั้งที่เป็นสินเชื่อใหม่และรีไฟแนนซ์ จึงเชื่อมั่นว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดทำให้คู่แข่งขันของธุรกิจ Non-Bank ทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลง จากปกติที่ส่วนใหญ่คิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถอยู่ที่ระดับ 24% - 28% ต่อปี โดยท้ายที่สุดสามารถลดโครงสร้างดอกเบี้ยทั้งระบบ เกิดผลลัพธ์เชิงบวกที่เป็นรูปธรรม ตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และแก้ปัญหาความยากจน ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และขณะเดียวกันธนาคารยังสามารถทำกำไรทางธุรกิจเชิงพาณิชย์หล่อเลี้ยงกิจการและสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคมไปพร้อมกันด้วย
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้ถือหุ้น และ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร SAWAD เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ลูกค้าสามารถนำรถจักรยานยนต์พร้อมเล่มทะเบียนรถ มาติดต่อขอสินเชื่อด่วนได้ที่สาขาของเงินสดทันใจในเครือศรีสวัสดิ์ จำนวนกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ และที่บูธให้บริการของเงินสดทันใจ ภายในธนาคารออมสิน 35 แห่งซึ่งเป็นสาขานำร่อง โดยบริษัทฯ รับจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ รวมถึงรับรีไฟแนนซ์จากที่อื่นในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.69% ต่อเดือน (หรือ 14.99% ต่อปี) มีเงื่อนไขคือรถจักรยานยนต์ต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 15 ปี จุดเด่นของบริการคืออนุมัติเงินกู้ไวให้ลูกค้ารับเงินได้ภายใน 15 นาที เลือกผ่อนชำระได้นานถึง 48 เดือน พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม ไม่ต้องโอนเล่มทะเบียน ไม่ต้องใช้บุคคลค้ำประกัน และไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือน
ทั้งนี้ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เงินสดทันใจ” ในเฟสถัดไป เตรียมขยายบริการเปิดรับจำนำทะเบียนรถยนต์ภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 14.99% - 18% รวมถึงขยายจุดให้บริการเพิ่มเติมภายในสาขาธนาคารออมสินอีก 500 สาขาภายในไตรมาส 2 และเพิ่มเป็น 800 สาขาในไตรมาส 4 คาดว่าภายในปี 2564 นี้จะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 20,000 ล้านบาท และช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้ผู้มีรายได้น้อยเป็นจำนวนกว่าล้านคน.
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr10/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40362 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ | วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564
การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
วันนี้ (2 มีนาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ครั้งที่ 44-2/2564 เพื่อรับทราบการรายงานผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมทั้งอนุมัติโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ แบบเฉพาะกลุ่ม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39538 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมอห่วงสุขภาพประชาชนช่วงฤดูร้อน เสี่ยงภาวะขาดน้ำ ลมแดด | วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564
หมอห่วงสุขภาพประชาชนช่วงฤดูร้อน เสี่ยงภาวะขาดน้ำ ลมแดด
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนจัด แดดแรง เสี่ยงภาวะขาดน้ำ ลมแดด แนะดื่มน้ำให้มากขึ้น ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดดจัดเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนจัดแดดแรง เสี่ยงภาวะขาดน้ำ ลมแดด แนะดื่มน้ำให้มากขึ้น ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดดจัดเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ส่งผลให้มีสภาพอากาศร้อนจัดแดดแรง อาจเกิดอาการป่วยได้ง่าย พบอาการได้ตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น ผื่น ผดแดด บวมแดด ตะคริวแดด การเกร็งจากแดด ส่วนอาการที่รุนแรงพบได้ เช่น เพลียแดด ภาวะขาดน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคลมแดดหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) โดยจะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัด ปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง และอาจทำให้เสียชีวิตได้ทันทีหากได้รับความร้อนมากเกินไป และไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธี
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า การดูแลตนเองในสภาพอากาศร้อน แดดแรง โดยเฉพาะ 6 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
1.ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด2.เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีและผู้สูงอายุ3.ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง4.คนอ้วน5.ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ และ6.ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด สวมใส่เสื้อผ้ามีสีอ่อนไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี สวมแว่นกันแดด สวมหมวก กางร่ม ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ6-8แก้ว หากจำเป็นต้องทำงานกลางแจ้งหรือกลางแดด ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหายหรือริมฝีปากแห้ง ที่สำคัญให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทั้งนี้ หากพบผู้มีอาการสงสัยว่าเจ็บป่วยจากสภาวะอากาศร้อน ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยรีบนำผู้ป่วยเข้าในที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ให้ดื่มน้ำเย็น ให้นอนราบและยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรสายด่วน 1669
******************************7 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ฯ เข้าเยี่ยมคารวะ รอง นรม. สุพัฒนพงษ์ฯ ย้ำความร่วมมือด้านพลังงาน-นวัตกรรม | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ฯ เข้าเยี่ยมคารวะ รอง นรม. สุพัฒนพงษ์ฯ ย้ำความร่วมมือด้านพลังงาน-นวัตกรรม
เอกอัครราชทูตฟินแลนด์ฯ เข้าเยี่ยมคารวะ รอง นรม. สุพัฒนพงษ์ฯ ย้ำความร่วมมือด้านพลังงาน-นวัตกรรม
วันนี้ (17 มีนาคม 2564) เวลา 16.30 น. ณ ห้องรับรอง 2 ชั้น 25 ตึก Energy Complex (EnCo) กระทรวงพลังงาน นายยูริ ยาร์วียาโฮ (H.E. Mr. Jyri Järviaho) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวต้อนรับและยินดีถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ฟินแลนด์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือทวิภาคีให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น รวมถึงเน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งไทยพร้อมที่จะสนับสนุน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน ย้ำความพร้อมรัฐบาลไทยในการดำเนินนโยบายด้านพลังงานเพื้อสิ่งแวดล้อม
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทำงานในประเทศไทย โดยรัฐบาลฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งพร้อมจะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้แก่ไทย รวมทั้งในเรื่องของแนวคิดพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ที่เชื่อมั่นว่าจะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวชื่นชมการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจชีวภาพ และโครงการนำร่องด้านนี้เพื่ออนาคต ซึ่งเป็นความร่วมมือของบริษัทไทยและฟินแลนด์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง ที่อำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี และโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City-Clean Energy) ที่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและเห็นถึงศักยภาพในการเป็นเมืองต้นแบบด้านพลังงานสะอาดครบวงจรทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การสัญจร และชุมชน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านพลังงานควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งแนวทางด้านพลังงานของฟินแลนด์ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว
(BCG: Bio-Circular-Green Economy) ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ซึ่งจะเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญต่อไป
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนฟินแลนด์ลงทุนธุรกิจในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ถือเป็นจุดหมายการลงทุนที่สำคัญในอาเซียน รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งฟินแลนด์มีศักยภาพผ่านเทคโนโลยีการบริหารจัดการและผลิตพลังงานจากขยะพลาสติก ระบบบริหารจัดการน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจำกัดขยะในแม่น้ำ ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้นำเสนอแนวคิดด้านยุทธศาสตร์แบตเตอรี่แห่งชาติ 2568 (National Battery Strategy 2025) ให้ไทยได้ศึกษาแนวทางเพื่อไปประยุกต์ใช้เพิ่มเติมอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40083 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ สุรชัย ลงพื้นที่อยุธยา มอบของขวัญปีใหม่ จัดอบรมด้านเซฟตี้ให้ฟรี พร้อมขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินเป็นต้นแบบ GLP | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ สุรชัย ลงพื้นที่อยุธยา มอบของขวัญปีใหม่ จัดอบรมด้านเซฟตี้ให้ฟรี พร้อมขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินเป็นต้นแบบ GLP
รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ สุรชัย ลงพื้นที่อยุธยา เปิดโครงการ มอบของขวัญปีใหม่ 2564 จากใจกระทรวงแรงงาน “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” อบรมความปลอดภัยให้ลูกจ้าง นายจ้างในพื้นที่ 300 คน พร้อมขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินให้เป็นนิคมต้นแบบ GLP
นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดโครงการ ของขวัญปีใหม่ 2564 จากใจกระทรวงแรงงาน ในแคมเปญของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” ว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความตั้งใจให้หน่วยงานในสังกัดได้คัดเลือกของขวัญมอบให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม เพื่อสร้างความสุข และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “รักจากใจ แรงงานไทย สุขใจทั่วหน้า” ซึ่งการฝึกอบรมดังกล่าวเป็นแคมเปญที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และได้รับความสนใจจากผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง สถานประกอบกิจการต่างๆ และภาคีเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงานจำนวนมาก เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับนายจ้างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) สำหรับในส่วนของการผลักดันให้สถานประกอบกิจการที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ไปใช้เป็นแนวในการดูแลลูกจ้างอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย และสามารถพัฒนาให้มีระบบบริหารจัดการแรงงานที่ดีเทียบได้กับมาตรฐานสากล เป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม กระทรวงแรงงานขอเป็นกำลังใจให้ดำเนินการสำเร็จ เพื่อให้นิคมอุตสาหกรรมบางปะอินเป็นต้นแบบด้าน GLP ที่ดี ให้กับนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การมอบของขวัญปีใหม่ให้กับนายจ้าง ลูกจ้างในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดใกล้เคียง ได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยในการทำงานจัดอบรมฟรี จำนวน 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการดับเพลิงขั้นต้นและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ หลักสูตรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน หลักสูตรการทำงานในที่อับอากาศ และหลักสูตรการทำงานบนที่สูง มีผู้สนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้ว 300 คน ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบด้านแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน กสร. ได้ร่วมกับสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ผลักดันให้สถานประกอบกิจการที่ตั้งอยู่ภายในการนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ได้นำ GLP ไปพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านแรงงาน ซึ่งปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินมีสถานประกอบกิจการ ทั้งสิ้น 69 แห่ง ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมโครงการแล้ว จำนวน 51 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 73.91 โดยกรมได้ตั้งเป้าให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในเดือนพฤษภาคม นี้ และจะประกาศให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบด้านแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี หรือ GLP ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40292 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล บุกเรือนจำหญิง สานฝันผู้ต้องขัง สู่ช่างมืออาชีพ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
นฤมล บุกเรือนจำหญิง สานฝันผู้ต้องขัง สู่ช่างมืออาชีพ
- -
วันที่ 25 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างปูกระเบื้อง มีผู้ต้องขังหญิงเข้ารับการทดสอบทั้งหมด 29 คน ดำเนินการทดสอบโดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานนนทบุรี ณ ทัณฑสถานหญิงธนบุรี โดยมีคุณกุสุมาลย์ นาคพรหม ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงธนบุรี นำเยี่ยมชมห้องฝึกอบรมหลักสูตรนวดสปาและพื้นที่ภายในเขตกักกันผู้ต้องขังหญิง เช่น ศูนย์ฝึกอาชีพ ศูนย์การศึกษา และศูนย์ให้บริการด้านการพยาบาล เป็นต้น
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ผู้ที่ถูกคุมประพฤติและผู้ต้องขัง เป็นแรงงานอีกกลุ่มที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภายใต้การกำกับดูแลกระทรวงแรงงานของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม มอบหมายให้ช่วยดูแลโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมหลังพ้นโทษ เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ การเพิ่มทักษะ ความรู้ด้านอาชีพ จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้แรงงานกลุ่มนี้ มีความรู้และทักษะติดตัว นำไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพอิสระได้ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีหน่วยงานอยู่ทุกจังหวัด ประสานความร่วมมือกับเรือนจำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฝึกอบรมด้านอาชีพให้แก่ผู้ถูกคุมประพฤติและผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในวันนี้ เป็นการตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างปูกระเบื้อง ดำเนินการทดสอบโดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานนนทบุรี มีผู้ต้องขังหญิงเข้ารับการทดสอบทั้งหมด 29 คน และมีแผนฝึกอบรมให้แก่ผู้ต้องขังอีกประมาณ 80 คน ในสาขาช่างปูกระเบื้อง ช่างทำมุ้งลวดประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมและนวดไทยเพื่อสุขภาพ จะเห็นได้ว่าทักษะด้านช่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายเสมอไป ปัจจุบัน ช่างฝีมือหลายสาขาอาชีพเป็นผู้หญิง เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างปูกระเบื้อง ช่างก่ออิฐ-ฉาบปูน เป็นต้น การพัฒนาตนเองให้เป็นช่างฝีมือ จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น หากรับค่าแรงรายวัน ค่าแรงจะสูงกว่าแรงงานทั่วไป หรือบางงานสามารถรับเหมาได้ด้วย ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปทำงานแบบมีนายจ้างเสมอไป
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2564 ดำเนินการฝึกแล้วทั่วประเทศรวม 2,367 คน เป็นชาย 2,039 คน และเป็นหญิง 328 คน สาขาที่ดำเนินการฝึก เช่น ช่างปูกระเบื้อง ช่างก่ออิฐ-ฉาบปูน ช่างบำรุงรักษาเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ช่างเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน การทำเครื่องเรือนโครงไม้จริง ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน การทำขนม การประกอบอาหาร การแต่งผมสุภาพบุรุษ-สตรี การทำผ้ามัดย้อม การประกอบธุรกิจร้านกาแฟ เป็นต้น ส่วนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานนั้น ในสาขาอาชีพที่มีการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงาน เมื่อดำเนินการฝึกอบรมเสร็จสิ้น จะทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้ด้วย เพื่อวัดระดับทักษะว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จะได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพื่อการันตรีฝีมือ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือผู้รับบริการ
การฝึกอบรมและการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับเรือนจำชายและทัณฑสถานหญิง เป็นสาขาอาชีพที่ได้สำรวจความต้องการ รวมถึงพิจารณาร่วมกันแล้วว่า สามารถสร้างอาชีพและรายได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น ช่างปูกระเบื้อง ส่วนใหญ่จะเป็นงานรับเหมา ค่าแรงทั่วไปในการปูกระเบื้องพื้นที่ 50 -100 ตารางเมตร อยู่ที่ 160 บาท/ตารางเมตร ค่าแรงในการปูกระเบื้องพื้นที่ 300-500 ตารางเมตร อยู่ที่ 110 บาท/ตารางเมตร ถ้า 1 คนสามารถปูกระเบื้องได้ 5 ตารางเมตรต่อวัน จะมีรายได้วันละไม่ต่ำกว่า 550 บาท เป็นต้น
“ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ซึ่งกระทรวงแรงงานพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อสามารถนำไปต่อยอดการประกอบอาชีพในอนาคต รวมไปถึงการจัดหาตำแหน่งงานหรืออาชีพอิสระ เพื่อให้มีงานทำ สร้างรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40366 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์รอบสอง | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
การประกาศผลการทบทวนสิทธิ์รอบสอง
ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการประกาศผลการทบทวนสิทธิ์ของประชาชนที่ขอทบทวนสิทธิ์เรื่องการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม การเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการการเมือง ผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ หรือการเป็นผู้มีเงินฝากเกินเกณฑ์ที่กำหนด ในระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 รวมถึงผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินปีภาษี 2562 เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 แล้ว ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ – 8 มีนาคม 2564 ที่ได้แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ว่า ประชาชนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทยฯ) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ จำนวน 7,000 บาท ในวันที่ 25 มีนาคม 2564 และสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 18 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 51,060 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.7 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 70,068 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 2,977 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 124,105 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
Call Center ธนาคารกรุงไทยฯ โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40115 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ใช้สิทธิ์ “โครงการ ม33เรารักกัน” และ “เราชนะ” ซื้อตั๋วรถโดยสาร บขส. ได้แล้ว | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
ผู้ใช้สิทธิ์ “โครงการ ม33เรารักกัน” และ “เราชนะ” ซื้อตั๋วรถโดยสาร บขส. ได้แล้ว
บขส. พร้อมร่วมสนับสนุนโครงการของรัฐบาลในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า บขส. พร้อมร่วมสนับสนุนโครงการของรัฐบาลในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “ม33เรารักกัน” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง (G-Wallet) สามารถใช้สิทธิ์ซื้อตั๋วรถโดยสาร บขส. ได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2564 จนสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ส่วนผู้ใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิ์ซื้อตั๋วได้เช่นเดิมที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ โดยมีเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ ดังนี้
1. ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิ์ร่วมกับโครงการ “เราชนะ” ได้ แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนซื้อตั๋วโดยสาร
2. หากวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เพียงพอ สามารถใช้เงินจากโครงการ “เราชนะ” ชำระค่าโดยสารได้
3. สิทธิ์โครงการ “ม33เรารักกัน” และโครงการ “เราชนะ” เมื่อออกบัตรโดยสารเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถขอคืนตั๋วหรือแลกเป็นเงินสดได้ แต่สามารถเลื่อนการเดินทางได้ ตามเงื่อนไขที่ บขส. กำหนด
4. สามารถใช้สิทธิ์จองตั๋วล่วงหน้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวถึงความพร้อมในการรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ว่า บขส. ได้เตรียมจัดรถโดยสารทั้งเที่ยวปกติและเที่ยวเสริมไว้อย่างเพียงพอ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้โดยสารทยอยเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะผู้ที่จะเดินทางไปเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้เผื่อเวลามาขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) อย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด นอกจากนี้ขอให้ผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด อาทิ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง สแกนคิวอาร์โค้ดแอปพลิเคชันไทยชนะ หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนในทุกเส้นทาง เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40255 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิญกลุ่มเสี่ยงชายเสาหลักครอบครัว ฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ช่วยลดความรุนแรงของโรค | วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564
สธ.เชิญกลุ่มเสี่ยงชายเสาหลักครอบครัว ฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ช่วยลดความรุนแรงของโรค
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ตามแผนเมื่อได้รับการติดต่อนัดหมาย เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต ลดการป่วยที่นอนในโรงพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงชายที่พบจำนวนการเสียชีวิตมากกว่าหญิง 3 เท่าตัวในการระบาดของโร
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนโรคโควิด 19 ตามแผนเมื่อได้รับการติดต่อนัดหมาย เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต ลดการป่วยที่นอนในโรงพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงชายที่พบจำนวนการเสียชีวิตมากกว่าหญิง 3 เท่าตัวในการระบาดของโรคระลอกใหม่
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงใน 13 จังหวัดเป้าหมายระยะแรกตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ -วันที่ 18 มีนาคม 2564 มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสะสม 61,791 ราย เป็นผู้ชายร้อยละ 35.5 ผู้หญิงร้อยละ 64.5 อายุเฉลี่ย 44 ปี โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์ประมาณร้อยละ 50.25 เจ้าหน้าที่ด่านหน้ารวม อสม. ร้อยละ 11.08 ผู้มีโรคประจำตัวร้อยละ 6.26 ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั่วไปร้อยละ 32.39 และผู้สูงอายุ60 ปีขึ้นไป ฉีดไปแล้วร้อยละ 0.02 (ข้อมูลOfficial Line หมอพร้อม ณ วันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 15.48 น.)เนื่องจากเพิ่งเริ่มฉีดหลังจากได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ทั้งนี้ มีรายงานเป็นผื่นลมพิษ 2 รายหลังฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ในการฉีดวัคซีนทั่วไป
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า มีผลการวิจัยยืนยันชัดเจนว่าวัคซีนโควิดมีประโยชน์ในเรื่องของการลดการป่วยและลดการเสียชีวิต และยังมีข้อมูลที่น่าสังเกตในกลุ่มผู้เสียชีวิตในการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งเป็นผู้ชายมากถึง 22 รายสูงกว่าผู้หญิงที่พบเพียง 7 ราย ในขณะที่ผู้ที่มารับการฉีดวัคซีนกลายเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จึงขอเชิญชวนผู้ชายในพื้นที่เป้าหมายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว เข้ารับการฉีดวัคซีนทันทีเมื่อได้รับการติดต่อนัดหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต และลดการป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาล สามารถดูแลคนในครอบครัวต่อไป นอกจากนี้ นักวิชาการยังเชื่อว่าวัคซีนจะช่วยลดการแพร่โรคในครอบครัวได้ หากพ่อแม่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว แม้จะได้รับเชื้อแต่เชื้อจะน้อยลง ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนในครอบครัว เพราะลูกๆ หลานๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปียังฉีดวัคซีนไม่ได้
สำหรับวัคซีนที่ประเทศไทยมีอยู่ขณะนี้มาจาก 2 บริษัท คือ ซิโนแวค ประเทศจีนฉีดให้กับประชาชนอายุ 18 - 59 ปี เนื่องจากมีข้อมูลด้านปลอดภัย หรือประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปยังมีน้อย จึงฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงอายุ 18 - 59 ปี ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าฉีดได้ทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่อายุ 18 ขึ้นไป รวมถึงผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นในระยะแรก ที่มีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เพียง 100,000 กว่าโดสจึงนำไปใช้ฉีดเสริมในกลุ่มที่มีอายุ 60 ขึ้นไป ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ อสม. เจ้าหน้าที่ที่ทำงานด่านหน้า ตลอดจนประชาชนในจังหวัดที่ได้รับวัคซีนชิโนแวค ซึ่งยังไม่ได้ฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุตามข้อจำกัดของวัคซีน เมื่อมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามากขึ้นในเดือนมิถุนายนจะนำไปฉีดให้กับทุกกลุ่มอายุตามแผนการฉีดวัคซีนที่วางไว้
********************************* 20 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม พร้อมรองรับเที่ยวบินเส้นทางข้ามภาค ลดเวลาในการเดินทาง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม พร้อมรองรับเที่ยวบินเส้นทางข้ามภาค ลดเวลาในการเดินทาง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวว่า กรมท่าอากาศยานมีความพร้อม และให้ความมั่นใจกับผู้โดยสารในการเปิดให้บริการเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น
เพื่อตอบรับความต้องการการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังรัฐบาลประกาศผ่อนปรนมาตรการ กิจการ และกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีเที่ยวบินเส้นทางข้ามภาคให้บริการในกำหนดการบินประจำฤดูร้อนปี 2564 (วันที่ 28 มีนาคม 2564 -30 ตุลาคม 2564) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ลดระยะเวลาในการเดินทางระหว่างภาค ส่งเสริมภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจ การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
โดยสายการบินที่เปิดให้บริการบินข้ามภาค ประกอบด้วย
1. สายการบินไทยแอร์เอเชีย เส้นทางกระบี่-เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี-เชียงใหม่ ขอนแก่น-เชียงใหม่ ขอนแก่น-หาดใหญ่ ขอนแก่น-ภูเก็ต อุดรธานี-ภูเก็ต อุดรธานี-อู่ตะเภา หัวหิน-เชียงใหม่ และหัวหิน-อุดรธานี
2. สายการบินนกแอร์ เส้นทางขอนแก่น-เชียงใหม่
3. สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เส้นทางอุดรธานี-หาดใหญ่
4. สายการบินไทยสมายล์ เส้นทางนครศรีธรรมราช-เชียงใหม่
5. สายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ เส้นทางนครศรีธรรมราช-เชียงใหม่
ทั้งนี้ นายอภิรัฐ ยังกล่าวต่อถึงการอำนวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจในการเดินทางแก่ผู้โดยสาร กรมท่าอากาศยานยังคงปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดยทุกท่าอากาศยานได้มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสาร รถเข็น เก้าอี้ ราวบันได รวมถึงอุปกรณ์ปฏิบัติงาน จัดจุดบริการเจลแอลกอฮอล์แก่ผู้โดยสาร เพื่อความสะอาดและสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางในช่วงนี้ ต้องตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิทั้งขาเข้า - ขาออก และต้องเช็คอิน/เช็คเอาท์แอปพลิเคชั่นไทยชนะ/หมอชนะ ทุกครั้งที่ใช้บริการ รวมถึงปฏิบัติตนตามเงื่อนไขในประกาศของแต่ละจังหวัด อีกทั้ง กรมท่าอากาศยานแนะนำให้ผู้โดยสารดาวน์โหลด Application : ThaiFlightInfo ลงทะเบียนยืนยันตัวตนล่วงหน้า จะสามารถนำ QR Code มาใช้กับระบบคัดกรองของกรมท่าอากาศยานได้อย่างรวดเร็ว และ ThaiFlightInfo ยังสามารถเช็คเที่ยวบินได้แบบ Real Time ซึ่งผู้โดยสารสามารถดูเที่ยวบินได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Andriod
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40342 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คลัง” จับมือ “ส.อ.ท.” ดันโครงการ Made in Thailand หนุนหน่วยงานรัฐใช้สินค้าไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ด้าน “ก.อุตฯ” พร้อมหนุน SME ยกระดับมาตรฐานสู่ MiT | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
“คลัง” จับมือ “ส.อ.ท.” ดันโครงการ Made in Thailand หนุนหน่วยงานรัฐใช้สินค้าไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ด้าน “ก.อุตฯ” พร้อมหนุน SME ยกระดับมาตรฐานสู่ MiT
คลังจับมือ ส.อ.ท. ผลักดันรับรองเครื่องหมาย Made in Thailand ผ่านการบังคับใช้กฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉ.2) พ.ศ.2563 ที่ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
กระทรวงการคลังจับมือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลักดันการรับรองเครื่องหมาย Made in Thailand ผ่านการบังคับใช้กฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ที่ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทย ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมหนุน SME ยกระดับสู่มาตรฐาน MiT มั่นใจเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ารัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้ จึงได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาความคาดหวังจากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่ SME เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ ภาครัฐมีความตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand) ให้สำเร็จ จึงอยากจะขอเชิญชวนผู้ประกอบการมาร่วมกันขึ้นทะเบียนขอการรับรอง Made in Thailand กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อจะได้มีสินค้าให้หน่วยงานภาครัฐได้จัดซื้อจัดจ้างต่อไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่ากระทรวงอุตสาหกรรมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง กับการผลักดันการรับรองเครื่องหมาย Made in Thailand โดยการส่งเสริมการจัดจ้างของภาครัฐในครั้งนี้ จะเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาล ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 60,000 โรง รวมทั้งกลุ่ม SME ที่เป็นซัพพลายเชนอีกเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเชื่อมโยงไปยังแรงงานอีกกว่า 5 ล้านคน มีโอกาสเพิ่มรายได้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเม็ดเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ พร้อมฟื้นฟูภาระหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมร่วมสนับสนุนกระตุ้นผู้ประกอบการ SME ให้ยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยมีความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในการยกระดับมาตรฐานสินค้าภาคอุตสาหกรรม ก่อนเข้าการรับรอง Made in Thailand กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยให้มากขึ้น ซึ่งภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างความยืดหยุ่น โดยลดการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าและหันมาพัฒนาและสร้างความเข้มแข็ง ส่งเสริมการผลิตที่สามารถสร้างสายการผลิตและมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งใกล้ชิดกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมจะได้ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนผู้ประกอบการให้มาขึ้นทะเบียนขอการรับรอง Made in Thailand รวมถึงร่วมมือกับทั้งกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการผลักดันและส่งเสริมสินค้า Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างในภาคธุรกิจ และส่งเสริมการบริโภคในระยะยาวต่อไป
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากวิกฤตโควิด-19 และการแข่งขันทางการค้าในเวทีโลกที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการพึ่งพาตลาดส่งออกมากจนเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยได้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เห็นถึงปัญหาดังกล่าวและต้องการหันกลับมาสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดโลกที่มีความผันผวนสูง รวมทั้งการส่งเสริมให้เพิ่มการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รากฐานการผลิตของไทยมีความเข้มแข็งตลอดทั้งโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งจะส่งผลให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และช่วยสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตในระยะยาว จึงได้ริเริ่มโครงการ Made in Thailand ขึ้น เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็ง และสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าถึงระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีจำนวนโครงการและมูลค่าค่อนข้างสูงในแต่ละปี รวมไปถึงยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้นจากคู่ค้าและผู้บริโภค การสร้างโอกาสในการขยายการค้าไปยังต่างประเทศที่นิยมสินค้าไทยได้มากขึ้นด้วย
นางสาวนิภา ลำเจียกเทศ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของกฎกระทรวงการคลัง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 คือ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของพัสดุที่จะใช้ และในส่วนของงานก่อสร้างกำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อน โดยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่า หรือปริมาณเหล็กหรือเหล็กกล้าที่ใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดในครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่หน่วยงานรัฐไม่สามารถใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศได้ตามอัตราที่กำหนดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการขาดแคลน หรือผู้ประกอบการไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือเหตุผลอื่น ๆ หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจเหนือขึ้นไป 1 ขั้นก่อน ในส่วนของการจัดจ้างงานก่อสร้าง หากหน่วยงานของรัฐไม่สามารถใช้เหล็กหรือเหล็กกล้าไม่ครบตามข้อกำหนดจำนวน 90% ได้ ให้หน่วยงานรัฐไปจัดซื้อพัสดุชนิดอื่น ๆ ที่ผลิตภายในประเทศให้มีสัดส่วนครบตามที่กำหนด ซึ่งทางกรมบัญชีกลางได้ส่งเวียนแนวปฏิบัติไปยังส่วนราชการทุกหน่วยงานแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะได้ทะยอยออก TOR จัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนต่อไปของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในประเทศไทยมาร่วมกันขึ้นทะเบียน Made in Thailand ให้มากๆ
นางพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล ประธานสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ ส.อ.ท. ได้มีการเตรียมความพร้อมในการรับขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand (MiT) โดยได้เริ่มเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ระบบรับรองได้รับคำปรึกษาด้านการดูแลความลับของข้อมูลจากที่ปรึกษาระดับ Big 4 และ ส.อ.ท. ดูแลด้านนี้อย่างมีหลักการ ทั้งด้านระบบและด้านจรรยาบรรณเจ้าหน้าที่ ได้มีการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในการลงทะเบียน เพื่อให้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากโครงการ Made in Thailand (MiT) อย่างต่อเนื่องและยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มการลงทะเบียนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ การรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand จะใช้แนวทางการคำนวณมูลค่าตามหลักการ ASEAN Content โดยปรับให้ตรงวัตถุประสงค์ของการสนับสนุนสินค้าผลิตในประเทศ ซึ่งต้องมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์ รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก (Trader) ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วยโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า เป็นโอกาสสำคัญมากในการสร้างหรือเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบการกับภาครัฐ ในครั้งนี้
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า โครงการ Made in Thailand จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเพิ่มสัดส่วนให้ได้ตามที่กำหนดไว้ร้อยละ 60 ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท และยังช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้เกิดการหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 และยังทำให้ธุรกิจของคนไทยเข้มแข็งมากขึ้น และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น เพราะสินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย MiT จะต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการทำตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในระยะต่อไปสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังได้วางแผนการผลักดันสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ไปสู่การจัดซื้อในห่วงโซ่การผลิตของภาคอุตสาหกรรม และผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและบริโภคสินค้า Made in Thailand มากขึ้นด้วย
ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถขอขึ้นทะเบียนรับรองสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ Made in Thailand และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mit.fti.or.th หรือสอบถามได้ที่สายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 02-345-1100
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564
เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องรับรองประจำกระทรวงยุติธรรม (ห้อง ๓-๐๑) ชั้น ๓ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ให้การต้อนรับนายแอลลัน มักคินนัน เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ
โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงโครงการ Mekong - Australia on Transnational Crime ซึ่งเป็นโครงการที่ฝ่ายออสเตรเลียริเริ่มขึ้นใหม่ และการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย - ออสเตรเลีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) ซึ่งจะมีการลงนามเพื่อขยายระยะเวลาของแผนปฏิบัติการดังกล่าว ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ นอกจากนี้ ยังได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความร่วมมือภายใต้โครงการอาเซียน - ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (ASEAN - ACT) ความร่วมมือในเรื่องการโอนตัวนักโทษระหว่างไทย – ออสเตรเลีย และการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ ๑๐ ข้อ เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ ๑๐ อันดับประเทศที่ประกอบธุรกิจได้ง่ายที่สุด (Ten for Ten) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการปรับปรุงกระบวนการล้มละลายและการบังคับคดีล้มละลาย โดยการหารือข้อราชการในครั้งนี้ นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลียให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40041 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวน SMEs ขึ้นบัญชี เพิ่มโอกาสได้งานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
ชวน SMEs ขึ้นบัญชี เพิ่มโอกาสได้งานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
...
โอกาสทองมาแล้ว สำหรับผู้ประกอบการ SMEs
ที่สนใจตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี
.
ล่าสุด รัฐบาลได้กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐ
ต้องจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการของ SMEs
ที่ขึ้นบัญชีไว้กับ สนง.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ในวงเงินไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง
.
และหาก SMEs ร่วมจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e-Bidding
จะได้แต้มต่อถึง 10% ในการแข่งราคา
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้
.
จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ
ทั้งนิติบุคคล บุคคลธรรมดา หรือวิสาหกิจชุมชน
ขึ้นบัญชีผ่านเว็บไซต์www.thaismegp.com
สร้างโอกาสในการคว้างานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE : @smeconnext
หรือโทร. 02-298-3188, 02-298-3021 ถึง 2
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39567 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพิ่มสิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” 2 ล้านสิทธิ และ “ทัวร์เที่ยวไทย” 1 ล้านสิทธิ ตั้งแต่ พ.ค. – ส.ค. | วันอังคารที่ 23 มีนาคม 2564
ครม. เคาะมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพิ่มสิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” 2 ล้านสิทธิ และ “ทัวร์เที่ยวไทย” 1 ล้านสิทธิ ตั้งแต่ พ.ค. – ส.ค.
ครม. เคาะมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพิ่มสิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” 2 ล้านสิทธิ และ “ทัวร์เที่ยวไทย” 1 ล้านสิทธิ ตั้งแต่ พ.ค. – ส.ค. 64
วันนี้ (23 มีนาคม 2564) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเห็นชอบมาตรการฟื้นฟูเยียวยาภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการสำคัญทั้ง 2 ด้าน ที่จะสนับสนุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ยังได้รับความเดือดร้อนในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะ “มหกรรมพักหนี้” โดยธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสถาบันทางการเงิน 21 แห่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้กู้รายย่อย อย่างต่อเนื่อง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าวถึงโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” ภายใต้กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท รัฐบาลร่วมจ่ายในลักษณะ Co-Payment ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 5,000 บาท โดยบริษัทผู้ประกอบการท่องเที่ยวจะต้องลงทะเบียนกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและจัดทำโปรแกรมท่องเที่ยวอย่างน้อย 3 วัน 2 คืน ระบุโรงแรมและร้านอาหารอย่างชัดเจนเพื่อให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณามูลค่าที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในขั้นต้นประมาณ 12,500 บาท/โปรแกรม กำหนด 1 ล้านสิทธิและบริษัทผู้ประกอบการท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะสามารถรับลูกค้าได้ไม่เกิน 1,000 คน ช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 โดยผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโปรแกรมสามารถเลือกได้จากทางหน้าเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้นและจะมีการสแกนใบหน้าเพื่อให้มีความชัดเจนว่าท่องเที่ยวตามโปรแกรมที่กำหนด รวมถึงบริษัทผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็จะต้องสแกนสถานที่ท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ ยังได้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ภายใต้กรอบวงเงิน 5,700 ล้านบาท โดยจะมีการขยายสิทธิเพิ่มเติมอีก 2 ล้านสิทธิ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 และเพิ่มขั้นตอนการใช้เงินโดยทางผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันจะต้องให้ความยินยอมในระบบใหม่อีกครั้งเพื่อให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนห้องพักที่เคยได้แจ้งไว้กับทางกระทรวงมหาดไทย สำหรับประชาชนทั่วไปที่เข้าใช้บริการจะต้องจองที่พักอย่างน้อยล่วงหน้า 7 วัน และจะมีการสแกนใบหน้าพร้อมระบุข้อมูลจีพีเอสเมื่อมีการเข้าพัก และปรับ E-Voucher ในราคา 600 บาท/วัน ทั้งนี้ มีการปรับปรุงเงื่อนไขจะต้องเป็นการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัดเท่านั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง 2 มาตรการ คือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท สามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อและสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งแห่งใดสามารถขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 20 ล้านบาทโดยสถาบันการเงินจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรกของสัญญา และเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรก ทั้งนี้ กำหนดให้มีกลไกค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจ ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ภาระชดเชยค้ำประกันสูงสุดร้อยละ 40 ของวงเงินสินเชื่อภายใต้โครงการ ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมดังกล่าวโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปี ตลอดสัญญาได้ และ มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินเป็นการชั่วคราวและไม่ถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลักประกันในราคาต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง (Fire Sale) รวมทั้งให้มีโอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจโดยใช้ทรัพย์สินหลักประกันเดิมได้หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง
ในตอนท้าย รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวถึง “มหกรรมพักหนี้” ที่มีการเปิดช่องทางให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เพื่อลดขั้นตอนต่าง ๆ โดยไม่ต้องเข้าถึงกระบวนการทางศาลเพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนทางการบังคับคดี ซึ่งเป็นความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันทางการเงิน 21 แห่ง รวมถึงยังมีช่องทางอื่นเพิ่มเติม อาทิ “คลินิกแก้หนี้” และ “ทางด่วนแก้หนี้” ซึ่งจะแก้ไขในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีปัญหาเรื่อง NPLs หลาย ๆ แห่ง เป็นต้น
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40277 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางรางจัดฝึกอบรมเพิ่มความรู้ด้านการขนนส่งทางราง และศึกษาดูงานอุตสาหกรรมอิตาเลียนไทย | วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564
กรมการขนส่งทางรางจัดฝึกอบรมเพิ่มความรู้ด้านการขนนส่งทางราง และศึกษาดูงานอุตสาหกรรมอิตาเลียนไทย
นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง พร้อมด้วย ดร.พิเชฐ คุณธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง นำคณะเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางรางเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรความรู้ด้านการขนส่งทางราง
และเข้าศึกษาดูงานอุตสาหกรรมบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด เมื่อวันที่ 15 - 17 มีนาคม 2564 ณ จังหวัดนครนายกและศูนย์อุตสาหกรรมอิตาเลียนไทย อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี
โดยการจัดฝึกอบรมครั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจให้บุคลากร ขร. ให้เข้าใจในระบบการขนส่งทางรางขั้นพื้นฐาน ครอบคลุมความรู้ด้านระบบรางในเชิงเทคนิคระดับต้นที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางราง อาคารสถานีรถไฟฟ้าและการเชื่อมต่อการเดินทาง การบริหารจัดการเดินรถ รถขนส่งทางรางและการซ่อมบำรุง รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้บุคลากร ขร. สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการขนส่งทางรางของประเทศต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40128 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการของกระทรวงการคลัง | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
การขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการของกระทรวงการคลัง
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะและโครงการคนละครึ่ง รวมถึงประชาชน โดยพบพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตของผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะและโครงการคนละครึ่ง รวมถึงประชาชน โดยพบพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ เช่น การแลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด การขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้เร่งรัดดำเนินการติดตามและตรวจสอบการกระทำทุจริตในโครงการต่างๆ รวมถึงประสานขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าวโดยหากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) หรือแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของร้านค้า และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนั้น กระทรวงการคลังขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ ทั้งนี้ ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการสามารถแจ้งเบาะแส รวมถึงส่งหลักฐานการกระทำผิดเงื่อนไข ทางไปรษณีย์มาที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) ของโครงการเราชนะ [email protected] และโครงการคนละครึ่ง [email protected]
โฆษกกระทรวงการคลังได้ขอให้ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ (กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ประสงค์ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะแจ้งเจ้าหน้าที่ในท้องที่ เพื่อดำเนินการประสานการจัดหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุขเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนต่อไป
นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ได้แถลงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2564 ดังนี้ 1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่
5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 59,491 ล้านบาท 2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์
www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการเราชนะแล้ว จำนวน
16.7 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 85,012 ล้านบาทและ 3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.0 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 7,824 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการเราชนะแล้ว รวมทั้งสิ้น จำนวน 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 152,327 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการเราชนะ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (เฉพาะวันและเวลาราชการ)
โครงการเราชนะ โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444
โครงการคนละครึ่ง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3697 3527 2548 และ 3509
Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ตลอด 24 ชั่วโมง) โทร. 0 2111 1122
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40331 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานเฮ!! รับแล้ว 1,000 บาทแรก | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
แรงงานเฮ!! รับแล้ว 1,000 บาทแรก
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินงวดแรก 1,000 บาท ในวันนี้ (22 มี.ค.64) ผ่านแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’งวดที่ 2 วันที่ 29 มี.ค.งวดที่ 3 วันที่ 5 เม.ย.และงวดที่ 4 วันที่ 12 เม.ย.64 เน้นย้ำใช้ซื้อสินค้าและบริ
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ในวันนี้ (22 มี.ค.64) ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินงวดแรก จำนวน 1,000 บาท ตามโครงการ ม33เรารักกันที่รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท ซึ่งหลังจากที่ผู้มีสิทธิเปิดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’จะได้รับวงเงินเป็นรายสัปดาห์ละ 1,000 บาทโดยงวดแรก 22 มี.ค.64 งวดที่ 2 วันที่ 29 มี.ค.64 งวดที่ 3 วันที่ 5 เม.ย.64 และงวดที่ 4 วันที่ 12 เม.ย.64ผู้มีสิทธิสามารถใช้เงินซื้อสินค้าและบริการตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น. และวงเงินคงเหลือสามารถสะสมได้ภายในวันที่ 31 พ.ค.64 เท่านั้น ส่วนกรณีการตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่น‘เป๋าตัง’จนถึงวันที่ 31 พ.ค.64 หากตรวจสอบแล้วไม่มีสิทธิ จะต้องรีบทบทวนสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 15 -28 มี.ค.64 กลุ่มแรก ผู้ยังไม่ได้ลงทะเบียนมาก่อนกับชื่อ นามสกุลผิดให้ทบทวนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com กลุ่มที่ 2 ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนแล้วแต่ระบบแจ้งว่าไม่ได้อยู่ในมาตรา 33 ต้องไปทบทวนสิทธิที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น.ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยให้นำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาด้วย
นายสุชาติยังกล่าวต่อว่า โครงการ ม33เรารักกัน ถือว่าได้ประโยชน์กับผู้ประกันตนหลายกลุ่ม ซึ่งพวกเขายังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเยียวยามาก่อน แม้ว่าเงิน 4,000 บาทจะดูเหมือนไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้มาก เนื่องจากเขาสามารถนำเงินที่ได้รับสัปดาห์ละ 1,000 บาทจนครบ 4,000 บาทไปจ่ายใช้ในสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เงินส่วนนี้สามารถนำไปใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’เพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างร้านธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ รวมถึงช่วยพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยอย่างหาบเร่แผงลอยได้ด้วยก็จะเกิดเงินหมุนเวียนในหลายรอบและส่งผลทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวตามมาอีกด้วย
ทั้งนี้ โครงการ ม33เรารักกัน จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 จึงขอให้ผู้ประกันตนกลุ่มที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนหรือทบทวนสิทธิรีบดำเนินการภายในระยะเวลาสิ้นสุดโครงการดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40197 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. มองเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดเงินเฟ้อสูง ด้านท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวปีหน้า | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
กบข. มองเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดเงินเฟ้อสูง ด้านท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวปีหน้า
หลังจากที่การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี ทำให้นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี
หลังจากที่การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี ทำให้นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้นถึง 1.7% ซึ่งสูงสุดในรอบ 14 เดือน แต่เริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยซึ่งยังไม่มีนัยยะสำคัญ
กบข. มองแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงนี้ว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมสามารถปรับตัวและทรงตัวผ่านโควิด-19 ระลอกสองได้ค่อนข้างดี เห็นได้จากการค้าระหว่างประเทศและการส่งออกทั่วโลกที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ภาพรวมเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ยังต้องพึ่งพารายได้จากต่างชาติ คาดว่าธุรกิจการท่องเที่ยวจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2565
สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อภาคการลงทุนในช่วงนี้ ยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ (Bond Yield) ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดย กบข. คาดว่าอาจปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 1.8-2.0% ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดี ส่งผลให้เงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น โดยในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ล่าสุดมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงปี 2566
ผลจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่จะกลับมาดำเนินการตามปกติได้แก่ กลุ่มคุณค่า กลุ่มวัฏจักร กลุ่มการเงิน กลุ่มพลังงาน และกลุ่มท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน Bond Yield ที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น ด้านค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลดคาดการณ์การท่องเที่ยวของไทย โดย กบข. มองว่าอยู่ที่ระดับ 31.0-31.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 28 ก.พ. 2564)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40302 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจง มาตรการช่วยเหลือแก้หนี้แก่ผู้ได้รับผลกระทบโควิด–19 ก่อนเสียประวัติ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ออมสินแจง มาตรการช่วยเหลือแก้หนี้แก่ผู้ได้รับผลกระทบโควิด–19 ก่อนเสียประวัติ
ออมสินชี้แจงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 เป็นการปรับแผนการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ ณ วันที่ 28 ก.พ.2564 เพื่อประคับประคองสถานะลูกหนี้ไม่ให้กลายเป็น NPLs
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ชี้แจงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 เป็นการปรับแผนการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อประคับประคองสถานะลูกหนี้ไม่ให้กลายเป็น NPLs ซึ่งจะทำให้มีประวัติเครดิตเสีย ไม่สามารถกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ในอนาคต โดยธนาคารได้ตรวจสอบและคัดกรองบัญชีลูกหนี้โดยเน้นรายที่เป็นลูกหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเคหะ สินเชื่อไทรทอง สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา สินเชื่อสวัสดิการ สินเชื่อธนาคารประชาชน และสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งพบว่ามีลูกหนี้จำนวนหนึ่งเริ่มมีประวัติค้างจ่ายวันแรกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ค้างไม่เกิน 90 วัน (ยังไม่เป็น NPLs) จึงเร่งช่วยเหลือจัดทำแผนการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้กลุ่มนี้เท่านั้น โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่ตามมาตรการนี้ธนาคารให้พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเต็มจำนวน แต่มีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่ธนาคารให้พักชำระเงินต้นและเลือกจ่ายดอกเบี้ยบางส่วนตามอัตราที่กำหนด ซึ่งธนาคารจัดทำแผนการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายตามความสามารถในการผ่อนชำระ และพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมกับลูกหนี้รายนั้น ๆ
ทั้งนี้ ลูกหนี้ในกลุ่มนี้จะเริ่มทยอยได้รับข้อมูลแผนการชำระหนี้ที่ธนาคารจัดทำขึ้นในแอปพลิเคชัน MyMo ของลูกหนี้แต่ละรายที่เข้าเกณฑ์ตามมาตรการ เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้เลือกเข้ามาตรการได้ด้วยตนเองผ่านแอป MyMo โดยเมื่อเข้าแอปแล้วให้เลือกเมนูการชำระหนี้สำหรับปี 2564 ระบบจะแสดงการชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้เดิม และรายละเอียดแผนการชำระหนี้ตามมาตรการนี้ ลูกหนี้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนจนเสร็จกระบวนการ โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อธนาคาร แต่หากดำเนินการเองไม่สำเร็จ หรือไม่สะดวกใช้สมาร์ทโฟน สามารถติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ – 30 มิถุนายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร. 1115
https://www.gsb.or.th/news/pr8/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39980 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ลุยค้ำฯต่อเนื่อง เปิดตัว “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” วงเงิน10,000 ล้านบาท ช่วย SMEs กลุ่มท่องเที่ยวอัดฉีด Max Claim 35% จูงใจแบงก์ปล่อยสินเชื่อ | วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564
บสย. ลุยค้ำฯต่อเนื่อง เปิดตัว “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” วงเงิน10,000 ล้านบาท ช่วย SMEs กลุ่มท่องเที่ยวอัดฉีด Max Claim 35% จูงใจแบงก์ปล่อยสินเชื่อ
บสย. ลุยค้ำประกันสินเชื่อต่อเนื่อง เปิดตัวโครงการ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” กระตุ้นปล่อยสินเชื่อช่วย SMEs กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัดฉีด Max Claim 35%คาดสร้างสินเชื่อหมุนเวียนในระบบ 15,000 ล้านบาท
บสย. ลุยค้ำประกันสินเชื่อต่อเนื่อง เปิดตัวโครงการ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” กระตุ้นปล่อยสินเชื่อช่วย SMEs กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัดฉีด Max Claim 35%คาดสร้างสินเชื่อหมุนเวียนในระบบ 15,000 ล้านบาท พยุงการจ้างงาน 180,000 ราย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งพบว่า ในปี 2562 มีรายได้สะสมตลอดทั้งปี 2.99 ล้านล้านบาท ในขณะที่ปี 2563 มีรายได้รวมสะสมเพียง 8 แสนล้านบาท ลดลงถึง 72.8% และตั้งแต่ปี 2564 ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ยังถูกซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวมีความไม่แน่นอน โดยในเดือนมกราคม 2564 บสย. ได้เปิดตัวโครงการค้ำประกันสินเชื่อโครงการพิเศษเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 1” วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปีแรก โดยมีผู้ประกอบการ SMEs ขอรับการสนับสนุนเต็มวงเงิน โดยมีสัดส่วนจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องยังเข้าถึงโครงการค้ำประกันได้เพียง 10%
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบและรอความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก บสย. จึงเร่งจัดสรรวงเงินค้ำประกันเพื่อดำเนินโครงการเฟส 2 และเปิดตัวโครงการ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” เพื่อผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องวงเงินค้ำประกัน 10,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปีแรก ค้ำประกันสูงสุดต่อราย 100 ล้านบาท และระยะเวลาค้ำประกันสูงถึง 10 ปี
ดร.รักษ์ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินโครงการ บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2 คาดว่าจะสร้างสินเชื่อในระบบไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท และพยุงการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 180,000 ราย ขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังสนับสนุนธนาคารให้สามารถพิจารณาสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ด้วยอัตราการช่วยเหลือค่าประกันชดเชย (Max Claim) สูงถึง 35% ซึ่งถือเป็นการชดเชยความเสียหายในอัตราสูงที่สุดของโครงการค้ำประกัน บสย. สำหรับโครงการ “บสย. SMEs ไทยสู้ภัยโควิด 2” เปิดรับคำขอตั้งแต่วันนี้ (2 มีนาคม 2564) ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39588 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน | วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564
นายกฯ ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
นายกฯ ปลื้ม คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก ตอกย้ำความสำเร็จการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
เมื่อวันที่ 14 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีที่โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง ได้รับรางวัล 2020 Asian Townscape Awards จากโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Settlements Programme: UN-HABITAT) ถือเป็นความภาคภูมิใจในความสำเร็จของโครงการพัฒนาคูคลองของกรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ขณะเดียวกัน โครงการนี้จะเป็นต้นแบบของการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ รวมถึงเป็นต้นแบบการพัฒนาให้กับหลายๆประเทศทั่วโลก ในการปรับปรุงพื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ส่งผลในแง่บวกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
“นายกรัฐมนตรีติดตามการพัฒนาและบริหารจัดการคลองโอ่งอ่างมาโดยตลอด ได้พบว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านเศรษฐกิจและการยอมรับ มีหลากหลายกิจกรรมสามารถดึงดูดความสนใจ กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญยังเป็นต้นแบบของการพัฒนาบริเวณโดยรอบคูคลองให้กับพื้นที่อื่นๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวา”
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณคูคลอง เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีการปรับปรุงและอยู่ในระหว่างการปรับปรุงคลองแล้วหลายสาย เช่น คลองหลอด คลองผดุงกรุงเกษม คลองลาดพร้าว คลองช่องนนทรี โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การปรับภูมิทัศน์พื้นที่เมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
มีการวางแนวทางการปรับปรุงที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวชุมชน รักษาเอกลักษ์ของพื้นที่ พร้อมเพิ่มกิจกรรมใหม่ๆให้มีความหลากหลาย ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยรอบคูคลองให้กลายเป็นที่พักผ่อนของประชาชน รวมถึงการเชื่อมโยงการเดินทาง ซึ่ใผลที่ได้มาคือ มูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะถูกพัฒนาต่อยอดจากไปมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับวิถีชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นแนวการพัฒนาอย่างยั่งยืน
---------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39954 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”ปลื้มสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานปี 63 ลดลง 15.6% สั่ง กรอ.เข้มมาตรการความปลอดภัย ร่อนหนังสือแจ้งเตือนผู้ประกอบการเฝ้าระวัง! | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
“สุริยะ”ปลื้มสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานปี 63 ลดลง 15.6% สั่ง กรอ.เข้มมาตรการความปลอดภัย ร่อนหนังสือแจ้งเตือนผู้ประกอบการเฝ้าระวัง!
สุริยะพอใจสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรม ปี 63 มีตัวเลขลดลง สั่งกำชับ กรอ. เพิ่มความเข้มข้นการดำเนินงาน ร่อนหนังสือแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวัง ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ตั้งเป้าลดการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานให้น้อยลง
“สุริยะ”พอใจสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 มีตัวเลขลดลง ผลจากการดำเนินมาตรการเข้มด้านความปลอดภัยในโรงงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สั่งกำชับ กรอ. เพิ่มความเข้มข้นการดำเนินงาน ด้วยการร่อนหนังสือแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวัง และตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องจักร ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ตั้งเป้าลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานให้น้อยลงต่อเนื่องทุกปี!
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานประจำปี 2563 (มกราคม-ธันวาคม 2563) มีโรงงานที่เกิดอุบัติเหตุ จำนวน 54 ครั้ง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 15.6 ที่มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น จำนวน 64 ครั้ง ซึ่งตัวเลขที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการดำเนินงานด้านความปลอดภัยโรงงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ที่ได้มีการกำกับดูแล และรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ประกอบการในการให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาความปลอดภัยและระมัดระวังในการประกอบกิจการ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
“ผม ได้กำชับให้ กรอ. แจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการโรงงาน โดยเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุให้เฝ้าระมัดระวัง ตรวจสอบ ตรวจตราอุปกรณ์เครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ตลอดจนกิจกรรมภายในโรงงานที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน เพราะหากไม่มีความระมัดระวังปัญหาที่ตามมาคือความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และอาจส่งผลกระทบในวงกว้างได้”นายสุริยะฯ กล่าว
ทั้งนี้ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุภายในโรงงาน การเกิดอัคคีภัยยังคงครองแชมป์อันดับ 1 มีจำนวน 42 ครั้ง รองลงมา คือ สารเคมีรั่วไหล 1 ครั้ง การระเบิด 2 ครั้ง อุบัติเหตุเกี่ยวกับเครื่องจักร 3 ครั้ง และจากสาเหตุอื่นๆ อีก 6 ครั้ง
ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า จากสถิติตัวเลขของการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ปัญหาการเกิดอัคคีภัยในสถานประกอบกิจการโรงงาน ยังคงเป็นตัวเลขที่สูงกว่าสาเหตุในด้านอื่นๆ เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมามีอุบัติเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นหลายครั้ง โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการขาดการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร และ/หรือขาดการจัดทำแผนการตรวจสอบบำรุงดูแลรักษาเครื่องจักร รวมทั้งขาดความเชี่ยวชาญหรือความรู้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดเหตุอัคคีภัย กรอ. ได้แจ้งเตือนโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ให้เพิ่มความระมัดระวังด้านความปลอดภัยตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกำชับให้ผู้ประกอบการโรงงานปฏิบัติตามขั้นตอนเช็คความปลอดภัยการป้องกันอัคคีภัยในโรงงาน โดย กรอ. ได้จัดทำแบบตรวจสอบและประเมินตนเองด้านอัคคีภัย (Self Checklist) และร่วมมือกับอุตสาหกรรมจังหวัดตรวจสอบประเมินให้คำแนะนำแก่โรงงานที่มีความเสี่ยงในพื้นที่จังหวัดของตนเอง ทั้งนี้ได้จัดทำ“ข้อปฏิบัติการป้องกันอัคคีภัยช่วงหน้าร้อน”และ“ข้อควรระวังในการใช้ระบบความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็น” และคู่มือเอกสารความปลอดภัยต่างๆ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ กรอ.(www.diw.go.th) พร้อมทั้งจัดส่งเจ้าหน้าที่วิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบ ถ่ายทอด ให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ประกอบการอีกด้วย
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39962 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ส่งมอบทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ “ไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาล” | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
อนุทิน ส่งมอบทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ “ไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาล”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งมอบทุนติดตั้งพลังงานสะอาดในโครงการไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาลให้กับ 8 โรงพยาบาลแรก โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิแพทย์ชนบท และหน่วยงานเอกชนด้านสื่อสารมวลชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งมอบทุนติดตั้งพลังงานสะอาดในโครงการไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาลให้กับ 8 โรงพยาบาลแรก โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิแพทย์ชนบท และหน่วยงานเอกชนด้านสื่อสารมวลชน ตั้งเป้าจังหวัดละ 1 แห่งในปี 2564 เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคได้ที่ บัญชี “มูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อไฟจากฟ้า” ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 142-0-28997-7
วันที่ (4 มีนาคม 2564) ที่โรงพยาบาลไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการส่งมอบทุนติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในโครงการไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาลให้กับ 8 โรงพยาบาลแรก ในกิจกรรม “101 วัน จากแสงแรกสู่โรงพยาบาลไฟจากฟ้า” โดยมีดร.สุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน นายวัชรพงษ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารร่วมพิธี
นายอนุทินกล่าวว่า โครงการไฟจากฟ้า เพื่อ 77 โรงพยาบาล เป็นโครงการร่วมระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิแพทย์ชนบท และหน่วยงานเอกชนด้านสื่อสารมวลชน มุ่งหวังที่จะสร้างกระแสพลังงานสะอาดและระดมเงินบริจาคเพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ในโรงพยาบาลชุมชนจังหวัดละ 1 โรงพยาบาล รวม 77 แห่ง แห่งละ 100 กิโลวัตต์ โดยพลังงานแสงอาทิตย์คือพลังงานสะอาด เป็นพลังงานแห่งอนาคตที่จะดูแลโลก ดูแลสิ่งแวดล้อม และดูแลสุขภาพด้วย และยังช่วยให้ประหยัดไฟฟ้าได้สูงถึงปีละ 720,000 บาท ซึ่งหลายโรงพยาบาลที่ได้มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ไปแล้ว พบว่า ระบบการผลิตพลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรมาก การดูแลบำรุงรักษาไม่ยุ่งยาก มีต้นทุนในการลงทุนต่ำ คุ้มค่าในการติดตั้ง คืนทุนในเวลาไม่เกิน 4-5 ปี เช่น โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ได้ติดตั้งระบบโซลาเซลล์ 72 กิโลวัตต์ งบประมาณ 2.5 ล้านบาท สามารถผลิตไฟฟ้าที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เดือนละประมาณ32,000 บาท หรือประมาณปีละ 400,000 บาท
นอกจากนี้ ยังส่งผลดีกับสังคมและชุมชนอย่างน้อย 2 ประการคือ นำเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้มาใช้ในการดูแลผู้ป่วย จัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ หรือบริหารจัดการโรงพยาบาลให้ดูแลผู้รับบริการให้ดีขึ้น และช่วยลดการสร้างมลพิษได้อย่างมากในระยะยาว โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อน แสดงถึงภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงสาธารณสุขให้กับสังคมไทย ในเรื่องของการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม การร่วมลดภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลก เป็นตัวอย่างขององค์กรสุขภาพที่ร่วมสร้างสังคมใหม่ หนุนเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้มากที่สุด
สำหรับการติดตั้งระบบใช้งบประมาณแห่งละ 3 ล้านบาท รวม 231 ล้านบาท โดยระดมทุนจากประชาชนและเอกชนในระยะ 1 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 ยอดเงินบริจาค ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564 จำนวน 11,495,115.66 บาท จะติดตั้งใน 8 โรงพยาบาลแรก คือ โรงพยาบาลไทรน้อย จ.นนทบุรี, โรงพยาบาลอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี, โรงพยาบาลบ้านบึง จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ, โรงพยาบาลย่านตาขาว จ.ตรัง, โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร, โรงพยาบาลปลวกแดง จ.ระยอง และโรงพยาบาลบางบ่อ จ.สมุทรปราการ
“เงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ สามารถนำไปพัฒนาโรงพยาบาลได้ต่อเนื่อง ถึง 25 ปี ที่สำคัญโครงการไฟจากฟ้า เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อสร้างต้นแบบโรงพยาบาลพลังงานสะอาดทั่วประเทศไทย ขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาค “โครงการไฟจากฟ้าเพื่อ 77 โรงพยาบาล” ได้ที่ บัญชี “มูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อไฟจากฟ้า” ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 142-0-28997-7” นายอนุทินกล่าว
************************************* 4 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39636 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลาลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 26 มี.ค. นี้ | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ขยายเวลาลงทะเบียน “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 26 มี.ค. นี้
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลขยายเวลาเปิดรับลงทะเบียนเราชนะ กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนและกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 5 มีนาคม 2564 ไปเป็นวันที่ 26 มีนาคม 2564 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ได้รับสิทธิ์เงินช่วยเหลืออย่างครบถ้วน โดยสามารถแจ้งผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน หรือนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดไปลงทะเบียนได้ที่ สาขาและจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยกว่า 1,800 แห่ง รวมทั้ง ธนาคารออมสิน และธกส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอดจนสำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ และหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของกระทรวงมหาดไทย
รวมไทยสร้างชาติ กับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564
เห็นชอบ! ทุน สควค. สร้างครูวิทย์ ระยะ 4 เสริมกำลังพัฒนาประเทศ
...
นโยบายขับเคลื่อนประเทศหลายเรื่อง เช่น ประเทศไทย 4.0 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ EEC อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โมเดลเศรษฐกิจ BCG ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นฐานในการพัฒนา
.
การผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศในอนาคตจึงเป็นงานสำคัญ โดย ครม. ได้เห็นชอบ ทุน สควค. หรือ โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ในระยะที่ 4 ปี 2564-2567 เพื่อสร้างครูด้านวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง ช่วยยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
.
ทุนนี้จะผลิตครูคุณภาพสูง เพื่อสอนวิชา ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภททุน
.
1) ทุนปริญญาตรี-โท ภาคปกติในประเทศ ป.ตรี สาขาวิทยาศาสตร์ และ ป.โท สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา ระยะเวลารับทุน 6 ปี จำนวน 4 รุ่น ปีละไม่เกิน 150 ทุน
.
2) ทุนระดับปริญญาโท ภาคปกติในประเทศ ในสาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา ระยะเวลารับทุน 2 ปี จำนวน 4 รุ่น ปีละไม่เกิน 150 ทุน
.
ครูจากทุน สควค. นี้ จะบรรจุเข้าสู่โรงเรียนมัธยม ตั้งแต่ปี 2570-2573 โดยจะกระจายไปจังหวัดละ 1-2 คน เพื่อให้โรงเรียนทุกจังหวัดที่มีความขาดแคลนได้ครูวิทย์ที่มีศักยภาพสูงเข้าไปช่วยทำงาน
.
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท.
#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
อัลบั้มภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งเป้า! พัฒนาร้านค้าปลีกสู่ “สมาร์ทโชวห่วย” 3,500 ร้านทั่วไทย
เช็กเงื่อนไขใหม่ 'เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3' คุมเข้มทุจริต
ปรับกฎหมาย “ข้อมูลข่าวสารราชการ” หนุนประชาชนร่วมตรวจสอบภาครัฐ
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
เปิดจองแล้ว ! เคหะสุขประชา บ้านเช่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดนนทบุรี พร้อมช่วยแก้ปัญหาครบวงจร | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
รมว.พม. เปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดนนทบุรี พร้อมช่วยแก้ปัญหาครบวงจร
รมว.พม. เปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดนนทบุรี พร้อมช่วยแก้ปัญหาครบวงจร
วันนี้ (24 มี.ค.64) เวลา 14.30 น. ที่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดนนทบุรี โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวรายงาน ทั้งนี้ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯองค์กรเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
นายจุติ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ในวงกว้างทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและพ่อเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. จากข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.)กระทรวงมหาดไทย ปี 2562 พบว่า มีจำนวนแม่เลี้ยงเดี่ยวประมาณ 370,000 ครอบครัว และข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.)กระทรวง พม. พบว่า มีแม่เลี้ยงเดี่ยวทั่วประเทศที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 52,118 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ม.ค. 64) ซึ่งในจำนวนนี้ มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 6,432 ราย ดังนั้น กระทรวง พม. จึงได้ขับเคลื่อนการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวสตรีที่ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รวมถึงกลุ่มพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ประสบปัญหาการเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพัง ที่ตกงาน ไม่มีรายได้ นับเป็นกลุ่มเปราะบางที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในลำดับแรก ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงกับสภาพปัญหาและความต้องการ รวมถึงมีช่องทางการเข้าถึงบริการของกลุ่มเป้าหมาย และมีต้นแบบนำร่องในการส่งเสริมการจัดสวัสดิการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวในระดับพื้นที่
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มีภารกิจสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาศักยภาพให้กับสตรีและครอบครัวที่ประสบปัญหาทางสังคมให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จึงขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวนำร่องทั่วประเทศ และวันนี้ มีการเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดนนทบุรี ตั้งขึ้นภายในบริเวณศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็น 1 ใน 9 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี เชียงราย ลำพูน ลำปาง ขอนแก่น ศรีสะเกษ ชลบุรี และสงขลาและจังหวัดพิษณุโลก โดยแต่ละศูนย์ฯ ประกอบด้วย ห้องให้คำปรึกษา ห้องสำหรับดูแลเด็ก และที่พักรับรองชั่วคราว อีกทั้งมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ผ่านการอบรมและการจัดทำคู่มือกรอบแนวทางการจัดบริการของศูนย์ฯ สำหรับศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวนำร่อง ได้เปิดบริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ได้แก่ ศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จังหวัดชลบุรี จังหวัดขอนแก่น
และจังหวัดสงขลา
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นการติดตามงานของรัฐบาลเกี่ยวกับการช่วยเหลือกลุ่มเปาะบางในกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยการเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี นับเป็นศูนย์แห่งแรกของภาคกลาง ซึ่งได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย และภาคประชาชน เพื่อดูแลกลุ่มเปาะบาง โดยเน้นการฝึกทักษะด้านอาชีพ เพื่อหาอาชีพใหม่รองรับหลังจากวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไป เนื่องจากรายได้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง และกระทรวง พม. พยายามหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มเปาะบางทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างครบวงจร ซึ่งจะเริ่มต้นที่การฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเปาะบางให้มีความเข้มแข็ง ให้มีทักษะ มีความสามารถ และมีเครือข่าย เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ และตนเชื่อว่าภายหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและมีการเปิดประเทศ จะมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวง พม. คิดว่าจะมีอาชีพอะไรบ้างที่จะสามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนในการดำเนินงานดังกล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตแคนาดา ผลักดันความร่วมมือด้านสาธารณสุข | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตแคนาดา ผลักดันความร่วมมือด้านสาธารณสุข
รองนายกฯ อนุทิน หารือเอกอัครราชทูตแคนาดา ผลักดันความร่วมมือด้านสาธารณสุข
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 8.30 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นางซาราห์ เทย์เลอร์ (H.E. Mrs. Sarah Taylor) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสำคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสได้พบปะหารือกันในวันนี้ และหวังว่าเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ จะกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับแคนาดาในด้านสาธารณสุขให้แน่นแฟ้นต่อไป ด้านเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ กล่าวขอบคุณต่อการต้อนรับอันอบอุ่น โดยการหารือในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ไทยและแคนาดาจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ทั้งด้านการเมือง สังคม และความร่วมมือด้านสาธารณสุข
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยต่างเห็นพ้องกันว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเรื่องท้าทายสำหรับทั้งไทยและแคนาดา สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินการติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ จนมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง และขณะนี้ได้เริ่มต้นฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางด้านสาธารณสุข และประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงไปแล้ว คาดว่าการฉีดวัคซีนจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ภายในปลายปีนี้ ด้านเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ กล่าวชื่นชมรัฐบาลในการรับมือกับการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอบคุณรัฐบาลที่มีการวางแผนการให้วัคซีนแก่คณะทูตานุทูตและครอบครัวที่พำนักอยู่ในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังยืนยันที่จะสานต่อการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการแพทย์ และการอบรมร่วมกันทางด้านสาธารณสุขต่อไป
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ เน้นย้ำถึงการแสดงสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จะดำเนินการตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญและดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย สำหรับประเด็นที่สมาชิกวุฒิสภามีสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องมาจากเสียงข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มาจากเสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม บทเฉพาะการที่ให้สิทธิสมาชิกวุฒิสภาเลือกนายกรัฐมนตรีจะจบในระยะเวลา 5 ปีแรก รองนายกรัฐมนตรีฯ จึงมองว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นไปตามกรอบระยะเวลา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40204 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดี! R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจไทย | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
ข่าวดี! R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจไทย
...
บริษัท Rating and Investment Information, Inc. หรือ R&I ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของญี่ปุ่น เผยแพร่ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) อยู่ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
.
แสดงถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการดำเนินโยบายของรัฐบาล และทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวและเติบโต
.
เหตุผลเพราะ มีการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ,การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศมีศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และหลุดพ้นจากการติดกับดักรายได้ปานกลาง
.
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการบริหารจัดการด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพและมีรูปธรรมชัดเจน ภาคการเงินต่างประเทศยังคงมีความเข้มแข็ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ซึ่ง R&I เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะฟื้นตัวและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะช่วยฟื้นฟูการลงทุนภายในประเทศในระยะต่อไป
.
อ้างอิงจากhttps://bit.ly/2N90beX
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39969 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล ประจำปี 2564” วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล ประจำปี 2564” วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล ประจำปี 2564” วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
คำกล่าว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาส “วันสตรีสากล ประจำปี 2564”
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
สวัสดีพี่น้องสตรีไทยและประชาชนชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ผมขอส่งความระลึกถึง
และความปรารถนาดีมายังพี่น้องสตรีไทย และผู้ที่ปฏิบัติงานด้านสตรีทุกท่าน ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพสตรีในทุกมิติอย่างเข้มแข็ง
องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสตรีสากล เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญ ความเสมอภาค และการได้รับเกียรติอย่างเท่าเทียมกันของสตรีในสังคม
รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของสตรีในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม
และการยุติการเลือกปฏิบัติในสังคม จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการส่งเสริม
ความเสมอภาคทางเพศ การมีส่วนร่วมการรับผิดชอบครอบครัวและพัฒนาสังคม พร้อมทั้งเพิ่มโอกาส บทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการทำงานเชิงเศรษฐกิจ การเมือง
และการบริหารในทุกระดับ
การจัดงานสตรีสากลในปีนี้ ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การเสริมพลังสตรี
และเด็กหญิงสู่ความเสมอภาค ร่วมตัดสินใจ ไร้ความรุนแรง” เพื่อให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์และเคารพในศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียม และเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคม
ผมขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทุกท่านและทุกองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณในปีนี้ ทุกท่านนับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการร่วมเสริมสร้างศักยภาพของสตรีไทยให้เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ในสากล อีกทั้งพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องสตรี ผู้ที่ปฏิบัติงานด้านสตรี ตลอดจน
ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจ ในการพัฒนาประเทศ และมีความสำเร็จก้าวหน้าและสัมฤทธิผลในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39772 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันสตรีสากล ปี 2564 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น | วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564
พม. จัดงานวันสตรีสากล ปี 2564 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น
พม. จัดงานวันสตรีสากล ปี 2564 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น
วันนี้ (8 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “เสริมพลังสตรีและเด็กหญิงสู่ความเสมอภาคร่วมตัดสินใจ ไร้ความรุนแรง” พร้อมทั้งมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น จำนวน 42 รางวัล โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)กล่าวรายงาน พร้อมด้วย นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้ที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณฯ เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวง พม. ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วย องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากล ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้จัดงานวันสตรีสากลเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างพลังใจให้กับสตรีในการร่วมพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้กำหนดจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “เสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่ความเสมอภาค ร่วมตัดสินใจ ไร้ความรุนแรง” โดยสอดคล้องกับหัวข้อหลักในการประชุมของคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี (Commission on the Status of Women-CSW) สมัยที่ 65 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 5 เพื่อบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีที่สำคัญของรัฐบาลในการเสริมพลัง เพิ่มบทบาท และพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สตรีทุกกลุ่มและทุกระดับ ซึ่งมีการจัดงานวันสตรีสากลพร้อมกันทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงานวันสตรีสากล ปี 2564 ในส่วนกลาง กระทรวง พม. โดย สค. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกสตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่นที่ทำงานด้านการพัฒนาศักยภาพและคุ้มครองสิทธิสตรี รวมทั้งการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศจากทั่วประเทศ จำนวน 15 สาขา รวม 42 รางวัล เพื่อประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ ซึ่งวันนี้ในช่วงเช้า มีพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบ Live streaming เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ร่วมแสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ทั้งนี้ มีบุคคลที่มีชื่อเสียงได้รับรางวัล อาทิ 1) รองศาสตราจารย์ เรณู พุกบุญมี ผู้อำนวยการโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลสตรีดีเด่นในเวที/เครือข่ายระดับสากล ประเภทบุคคลภาครัฐ และ 2) แพทย์หญิงลลนา ก้องธรนินทร์ (หมอเจี๊ยบ) ได้รับรางวัลสตรีดีเด่นด้านสื่อมวลชน ประเภทสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสื่อมวลชนได้รับรางวัล อาทิ 1) รายการผู้หญิงทำมาหากิน สถานีโทรทัศน์ ช่องวัน 31 2) ละครโทรทัศน์ เรื่องปลายจวัก สถานีโทรทัศน์ไทย พีบีเอส 3) หนังสือพิมพ์มติชน สื่อโฆษณา เรื่อง ยิ้มสู้ ของบริษัทคลอเกต ปาล์มโอลีพ และ 4) สื่อออนไลน์ เรื่อง พลังของการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องราวชีวิตจริงของนิ้ง ชัญญา สาวที่ป่วยเป็นเนื้องอกที่ก้านสมอง โดยบริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
นายจุติ กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ ในช่วงบ่าย มีการจัดกิจกรรมเสริมพลังสตรีแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว “สดุดีฮีโร่ แม่ น้า อา ป้า ย่า ยาย เลี้ยงเดี่ยว” เพื่อสร้างพลังบวกให้กับสตรีเลี้ยงเดี่ยวทุกรุ่นที่ต้องทำงานอย่างหนักในการหาเงินมาดูแลตนเองและครอบครัว ในขณะเดียวกันต้องเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ของลูกหลาน เพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามีปมด้อยเพราะขาดพ่อ และสามารถเติบโตเป็นคนดีของสังคมได้ ถือว่าสตรีเลี้ยงเดี่ยวเป็น “สตรี ที่ สตรอง” และตลอดเดือนมีนาคม 2564 กระทรวง พม. โดย สค. ยังได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับภาคีเครือข่าย อาทิ รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (Gender Responsive Budgeting : GRB) ทั้งในภาครัฐและเอกชน อีกทั้งจะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กระทรวง พม. โดย สค. กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่องการนำเสนอรายการโทรทัศน์บนหลักสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก เยาวชน สตรี ผู้มีความหลากหลายทางเพศ และครอบครัว เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับสตรี บุคคล หน่วยงาน และองค์กรเครือข่ายที่ได้รับรางวัลในงานวันสตรีสากล ปี 2564 และเชื่อว่า จะเป็นภาคีเครือข่ายร่วมกันในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเป็นพลังสำคัญและแบบอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับสตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรอื่น ๆ ในการขับเคลื่อนให้เป็นสังคมเสมอภาคอย่างยั่งยืนต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39745 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่ม 6 พันล้านบาท…จัดหาวัคซีนโควิด-19 อีก 35 ล้านโดส | วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564
เพิ่ม 6 พันล้านบาท…จัดหาวัคซีนโควิด-19 อีก 35 ล้านโดส
...
การจัดหา - ซื้อวัคซีนโควิด-19 ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้ครอบคลุมตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ครม. จึงอนุมัติงบประมาณกว่า 6 พันล้านบาท
สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19
กับบริษัท AstraZeneca ในการจัดหา
วัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส
.
โดยเป็นการดำเนินงานตามคำแนะนำ
ของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
มีระยะเวลาการดำเนินงาน
ในช่วงเดือน มิ.ย.- ธ.ค. 2564 นี้
.
นอกจากจะครอบคลุมคนไทยแล้ว
ยังครอบคลุมไปถึงทุกคนที่อาศัยอยู่
ในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามหลัก
ขององค์การอนามัยโลกที่ว่า
“จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย”
.
สำหรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด-19 แบ่งเป็น ดังนี้
- ระยะที่ 1 เดือน มี.ค. – พ.ค. 2564
จำนวน 2 ล้านโดส ใน 18 จังหวัด
- ระยะที่ 2 เดือน มิ.ย. – ธ.ค. 2564
จำนวน 61 ล้านโดสในทุกจังหวัด
รวมจำนวนวัคซีนที่ให้กลุ่มเป้าหมาย
จำนวนทั้งสิ้น 63 ล้านโดส
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39601 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรคอนกรีตบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทาง | วันอังคารที่ 9 มีนาคม 2564
กทพ. แจ้งปิดและเบี่ยงการจราจรทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) เพื่อปรับปรุงผิวจราจรคอนกรีตบริเวณช่องเก็บค่าผ่านทาง
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ได้ว่าจ้าง บริษัท เอส.เอ็ม.อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ให้ดำเนินการปรับปรุงผิวจราจรคอนกรีตบริเวณช่องเก็บค่าผ่านของด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
ด่านฯ บางแก้ว 1 (ทางเข้า) ด่านฯ บางแก้ว 2 (ทางออก 1) ด่านฯ บางแก้ว 2 (ทางออก 2) และด่านฯ บางแก้ว 3 (ทางออก) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ด่านฯ บางแก้ว 1 (ทางเข้า)
- ปิดช่องทางที่ 1 วันที่ 10-15 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 2 วันที่ 16-20 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 3 วันที่ 22-26 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 4 วันที่ 28 มีนาคม – 1 เมษายน 2564
- ปิดช่องทางที่ 9 วันที่ 3-7 เมษายน 2564
2.ด่านฯ บางแก้ว 2 (ทางออก 1)
- ปิดช่องทางที่ 1 วันที่ 12-16 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 2 วันที่ 18-22 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 3 วันที่ 24-28 มีนาคม 2564
3. ด่านฯ บางแก้ว 2 (ทางออก 2)
- ปิดช่องทางที่ 1 วันที่ 30 มีนาคม – 3 เมษายน 2564
- ปิดช่องทางที่ 4 วันที่ 5-8 เมษายน 2564
4. ด่านฯ บางแก้ว 3 (ทางออก)
- ปิดช่องทางที่ 1 วันที่ 14-18 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 2 วันที่ 20-24 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 3 วันที่ 26-30 มีนาคม 2564
- ปิดช่องทางที่ 4 วันที่ 1-5 เมษายน 2564
- ปิดช่องทางที่ 5 วันที่ 20-24 เมษายน 2564
- ปิดช่องทางที่ 6 วันที่ 10-14 พฤษภาคม 2564
ทั้งนี้ กทพ. ได้มีการติดตั้งป้ายเตือนก่อนถึงพื้นที่ดำเนินการและติดตั้งไฟสัญญาณต่างๆ ป้ายประชาสัมพันธ์การเบี่ยงการจราจรพร้อมไฟวับวาบ เพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางพิเศษทราบ
กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอความร่วมมือผู้ที่ใช้เส้นทางบริเวณดังกล่าวโปรดสังเกตป้ายเตือน สัญญาณจราจรต่างๆ และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการทางพิเศษ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณ อนัน โทร. 087-9738064 (ผู้ควบคุมงาน)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39786 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ | วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ ชูแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมชิมพืชผักเมืองหนาว มีกิจกรรมน่าสนใจตลอดปี
รมช.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ ต.สะเดาะพง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีผลงานวิจัยด้านพืชและเทคโนโลยีการเกษตรที่สำคัญ ทั้งการเปรียบเทียบและทดสอบพันธุ์ การรักษาอนุรักษ์พันธุ์ ฯลฯ ได้แก่ มะคาเดเมีย กาแฟอะราบิกา อะโวกาโด ชา สตรอเบอร์รี่ พริก พืชตระกูลกะหล่ำปลี ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ดีมีคุณภาพ และนำผลงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเกษตรด้านต่างๆ อีกทั้ง ได้เดินชมแปลงสตรอเบอร์รี่ และแปลงชาโยเต้ด้วย
นอกจากนี้ จุดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ คือ โครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์การเกษตร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักท่องเที่ยวได้รับความรู้ด้านการเกษตร ตั้งแต่การผลิตจนถึงการเก็บเกี่ยวและแปรรูป พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร โดยมีฐานเรียนรู้ศาสตร์พระราชาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ฐานเรียนรู้มะคาเดเมีย ฐานเรียนรู้กาแฟอะราบิกา ฐานเรียนรู้แปลงพืชผัก ฐานเรียนรู้แปลงสตรอเบอร์รี่ โดยมีปฏิทินท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจตลอดทั้งปี โดยในเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ชมชิมพืชผักเมืองหนาว สตรอเบอร์รี่ เดือนมีนาคม - เดือนเมษายน ชมดอกกาแฟอะราบิกาบานสะพรั่ง เดือนพฤษภาคม - เดือนมิถุนายน เก็บเกี่ยวผลผลิตบ๊วย เดือนกรกฎาคม - เดือนสิงหาคม ชมชิมวะโวคาโดและพลับหวาน เดือนกันยายน - เดือนตุลาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตกาแฟอะราบิกา มะคาเดเมีย และแปรรูปผลผลิต เดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม ชมไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว และสัมผัสอากาศเย็น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39697 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการสาธิตการรีไซเคิลชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project) | วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564
พิธีเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการสาธิตการรีไซเคิลชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project)
กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) จัดงานพิธีเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการสาธิตการรีไซเคิลชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project)
วันนี้ (22 มีนาคม 2564) กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) จัดงานพิธีเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการสาธิตการรีไซเคิลชิ้นส่วนซากรถยนต์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (ELV Project) โดยมีนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และนางยูรุกิ โยชิโกะ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย NEDO ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมกว่า 120 คน ณ โรงแรม Oakwood & Resident Sri Racha จังหวัดชลบุรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40244 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ | วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564
เสนอต้มยำกุ้ง ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
...
อาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก...ล่าสุด รัฐบาลเตรียมเสนอต้มยำกุ้ง (Tomyum Kung) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก เนื่องจากมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมฯ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒธรรมที่จับต้องไม่ได้ ปี ค.ศ. 2003 หลายประการ
.
เริ่มต้นที่ 1) ด้านธรรมเนียมและการแสดงออกทางมุขปาฐะ วิธีทำต้มยำกุ้งเป็นการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นแบบปากเปล่า และเป็นชื่ออาหารที่เกิดจากการประสมคำโดดหรือคำมูล 3 คำ คือ ต้ม ยำ และกุ้ง ให้เกิดเป็นความหมายใหม่
.
ตามมาด้วย 2) ด้านการปฏิบัติทางสังคมและพิธีกรรม ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในลุ่มแม่น้ำภาคกลางที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยการนำกุ้งแม่น้ำมาประกอบอาหาร และสะท้อนถึงวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยที่ต้องมีข้าวเป็นอาหารหลักเพื่อรับประทานร่วมกับกับข้าว โดยล้อมวงรับประทานอาหารพร้อมหน้ากัน
.
และ 3) ด้านความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ต้มยำกุ้งถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วยสรรพคุณจากสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย ปรับธาตุให้สมดุล โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่มีกุ้งชุกชุม สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนไทยเรื่องการรับประทานอาหารตามฤดูกาล และวงจรชีวิตของกุ้งแม่น้ำ
.
นับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก และให้คนไทยทุกคนภาคภูมิใจในมรดกทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของไทยที่มีมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับ “โขน” และ “นวดไทย” ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมแล้วในปี 2561 และ 2562 ที่ผ่านมา
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40318 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ วรวรรณ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่นำมาจัดจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน | วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม 2564
รองปลัดฯ วรวรรณ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่นำมาจัดจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน
รองปลัดฯ วรวรรณ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่นำมาจัดจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน
วันนี้ (18 มีนาคม 2564) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางไพรินทร์ กันทะวงษ์ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี ให้เกียรติเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการที่นำมาจัดจำหน่าย ภายใต้โครงการ "คาราวานอุตสาหกรรม SMEs เศรษฐกิจดี สู่ชุมชน” ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาและมีมาตรฐานจากผู้ผลิตจังหวัดอุทัยธานีโดยตรง เพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้มีช่องทางการจำหน่าย และกระจายสินค้าที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ผักปลอดสารพิษ ผลไม้ตามฤดูกาล เครื่องเงิน เครื่องประดับ ผ้าพื้นเมืองประจำท้องถิ่น น้ำพริกแมงดาปลาย่าง น้ำพริกเผากากหมู ปลาแรดแดดเดียว ฯลฯ โดยจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม – 19 มีนาคม 2564 ณ บริเวณด้านข้างอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรงข้ามธนาคารกรุงไทย) กระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40117 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นฤมล ชวนประลองไอเดียนวัตกรรมด้านความปลอดภัยฯ ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
นฤมล ชวนประลองไอเดียนวัตกรรมด้านความปลอดภัยฯ ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท
- -
วันที่ 15 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) มีการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการและให้บริการประชาชน สนับสนุนระบบการบริหารจัดการให้ลดการสูญเสียที่เกิดจากการประสบอันตรายที่เกิดจากการทำงาน ทั้งในเรื่องการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน และลดผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน โดยมุ่งเน้นการให้บริการทางวิชาการเกี่ยวกับที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย การพัฒนาบุคลากร ตลอดจนการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สสปท. ได้จัดทำโครงงานพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ในสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และเพื่อป้องกันการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานของลูกจ้าง และสร้างกำลังใจให้กับบุคคลหรือคณะผู้คิดค้นและจัดทำโครงงานด้านนวัตกรรมความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ซึ่งสถานประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน สถาบันการศึกษาที่สนใจ สามารถส่งโครงงานการออกแบบพัฒนา หรือปรับปรุงผลงานนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่สามารถลดความเสี่ยงและการประสบอันตรายจากการทำงานได้จริง
สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ และใบประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล ดังนี้ รางวัลระดับชนะเลิศ เงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัลจำนวน 15,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัลจำนวน 5,000 บาท
สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารการสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tosh.or.th และส่งเอกสารการสมัครผ่านทางอีเมล์ [email protected] หรือ [email protected] หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2448 9111 ต่อ 603 ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 30 เมษายน 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39967 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันวัคซีนแห่งชาติเผย การผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไทยมีความก้าวหน้า ย้ำ! ทั้งองค์การอนามัยโลกและสหภาพยุโรป (EU) ให้การรับรองแล้วว่าวัคซีนมีความปลอดภัย | วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564
สถาบันวัคซีนแห่งชาติเผย การผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไทยมีความก้าวหน้า ย้ำ! ทั้งองค์การอนามัยโลกและสหภาพยุโรป (EU) ให้การรับรองแล้วว่าวัคซีนมีความปลอดภัย
สถาบันวัคซีนแห่งชาติเผยความก้าวหน้าในการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งอัพเดตข้อมูลประเด็นความปลอดภัยของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
สถาบันวัคซีนแห่งชาติเผยความก้าวหน้าในการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ มีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งอัพเดตข้อมูลประเด็นความปลอดภัยของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยให้ข้อมูลว่า ทั้งองค์การอนามัยโลก และหน่วยงานกำกับคุณภาพยาของสหภาพยุโรป (EU) มีข้อแนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนต่อไป ภายหลังจากคณะผู้เชี่ยวชาญได้ทำทบทวนข้อมูลด้านความปลอดภัยแล้ว ระบุว่าไม่พบความเกี่ยวข้องกับกรณีการเกิดลิ่มเลือดภายหลังการฉีดวัคซีนตามที่เป็นข่าว
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เผยว่า การผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไทยมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยการดำเนินการผลิตวัคซีนของสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญของแอสตร้าเซนเนก้าให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการติดตามความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน สยามไบโอไซเอนซ์ ได้ทยอยผลิตวัคซีนตั้งแต่ระดับต้นน้ำแล้วจำนวน 5 รุ่นการผลิต และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพวัคซีนที่ผลิตได้ ณ ห้องปฏิบัติการ อ้างอิงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้ หน่วยงานควบคุมกำกับในประเทศ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการดำเนินการ และสามารถส่งมอบวัคซีนได้ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกำหนดการส่งมอบวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าให้แก่
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อยู่ในช่วงกลางปี 2564 โดยจะทยอยส่งมอบในอัตราเดือนละ 5-10 ล้านโด๊ส จนครบ 61 ล้านโด๊ส ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ สยามไบโอไซเอนซ์เป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีววัตถุ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 ฐานการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นโรงงานที่ได้รับการเสริมศักยภาพจากที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่การสร้างโรงงานใหม่ตามที่มีหลายฝ่ายเข้าใจ โดยสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับการประเมินจากแอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่สองของปี 2563 ภายใต้การพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่ ด้านศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์การผลิต การผ่านการรับรองมาตรฐานและคุณภาพการผลิตระดับสากล ฯลฯ และได้รับการคัดเลือกเป็นฐานการผลิตวัคซีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยเริ่มการถ่ายทอดเทคโนโลยีในราวต้นเดือนตุลาคม 2563 จนสามารถเริ่มการผลิตจริงในราวกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
สำหรับประเด็นชะลอการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากมีรายงานการเกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือดภายหลังการฉีดวัคซีนซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์นั้น องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานกำกับคุณภาพยาของสหภาพยุโรป (EU) ได้ให้การยืนยันว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับวัคซีนจากบริษัทอื่นที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าได้มีการฉีดให้กับประชาชนในสหราชอาณาจักรแล้ว มากกว่า 16 ล้านโดส จากข้อมูลไม่พบความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีน จึงมีข้อแนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนต่อไปได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยได้พิจารณาเริ่มการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าตามข้อแนะนำของหน่วยงานข้างต้น พร้อมกับการวางมาตรการติดตามด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนไทย
ส่วนการจัดหาวัคซีนอื่นที่จะนำมาฉีดให้แก่ประชาชนเฉพาะในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2564 นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหาวัคซีนจากบริษัท ซิโนแวค ประเทศจีน จำนวน 2 ล้านโดส เพื่อใช้ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโรค ส่วนการส่งมอบวัคซีนล่าช้ากว่าแผนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด ขณะที่ความต้องการวัคซีนมีสูงมาก และประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้ทำการจองซื้อวัคซีนล่วงหน้าในจำนวนที่มากกว่าประชากรในประเทศหลายเท่าตัว ทั้งนี้การจัดหาวัคซีนโควิด 19 ในช่วงที่มีภาวะฉุกเฉิน มีการแปรเปลี่ยนของสถานการณ์อย่างมาก ทั้งในส่วนที่จะมีวัคซีนใหม่ๆ ทยอยประกาศผล ประเทศไทยจะสามารถพิจารณาจัดหาวัคซีนเพิ่มได้อย่างเหมาะสม และในส่วนที่มีการรายงานเชื้อกลายพันธุ์ที่อาจส่งผลต่อการใช้วัคซีนที่ผลิตรุ่นแรก การที่ประเทศไทยในเวลานี้สามารถวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำ จะเป็นหลักประกันอันดีว่าเราจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ในเวลาที่เหมาะสมและสามารถพึ่งพาตนเองในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
ทั้งในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคตได้
************************************ 15 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เชิญชวนคนไทย ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดโลกร้อน กำชับ หน่วยงานราชการใช้ไฟอย่างประหยัด | วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564
นายกฯ เชิญชวนคนไทย ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดโลกร้อน กำชับ หน่วยงานราชการใช้ไฟอย่างประหยัด
นายกฯ เชิญชวนคนไทย ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดโลกร้อน กำชับ หน่วยงานราชการใช้ไฟอย่างประหยัด
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เชิญชวนประชาชน หน่วยงาน ห้างร้าน ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค , การไฟฟ้านครหลวง , การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย , ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร , กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund : WWF) ประเทศไทย , มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ประเทศไทย) FEED ฯลฯ พร้อมด้วยภาครัฐและเอกชน ร่วมจัดกิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน” (60+ Earth Hour 2021) เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน โดยรณรงค์ลดการใช้พลังงาน ปิดไฟที่ไม่จำเป็น 1 ชั่วโมง ในวันที่ 27 มี.ค. ตั้งแต่เวลา 20.30 – 21.30 น.
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำให้หน่วยงานราชการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ไม่เปิดไฟหรือเปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น พร้อมปลูกฝังบุคลากรให้กระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาวะโลกร้อน ที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา โดยรัฐบาลไทย ได้ตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ.2573 ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและยั่งยืน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่มีเป้าหมายมุ่งสู่พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีทิศทางนโยบาย (Policy Direction) 5 ด้าน ได้แก่ (1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน (2) ลงทุนพลังงานสีเขียว (3) ดำเนินนโยบาย 4D1E เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคพลังงาน (4) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (5)การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี
"เหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เอาจริงเอาจังกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยตระหนักว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประชาคมโลก จึงขอความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ จากประชาชน แก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน เพื่อคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเราชาวไทย" น.ส.ไตรศุลี กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40422 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน จับมือ ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ เสิร์ฟตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา เพื่อคนหางานใน “BANGKOK JOB FAIR 2021” | วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564
กระทรวงแรงงาน จับมือ ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ เสิร์ฟตำแหน่งงานกว่า 5 พันอัตรา เพื่อคนหางานใน “BANGKOK JOB FAIR 2021”
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Job Fair 2021 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร พบปะ 40 สถานประกอบการชั้นนำ และคนหางาน
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำริให้จัดงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ในวันนี้โดยมีเป้าหมายในการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และลดปัญหาการว่างงาน โดยส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และคนไทยทุกคนที่ประสงค์จะหางานทำ ด้วยการจัดกิจกรรมเพิ่มโอกาสสมัครงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการจำนวนมากโดยตรงในคราวเดียว รวมทั้งเพิ่มโอกาสคัดเลือกตำแหน่งงานว่างที่ตรงกับความรู้ความสามารถ
“กระทรวงแรงงาน นำนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นแนวทางสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้คนในวัยแรงงานสามารถเลือกทำงานได้ตามความรู้และความถนัดของตน ยกระดับจากผู้ใช้แรงงาน เป็นผู้ใช้พลังสมอง ที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน นวัตกรรมเทคโนโลยี และข่าวสารข้อมูลได้สะดวก มีทักษะในการทำงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน “เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครงาน ผู้กำลังมองหาไอเดียในการประกอบอาชีพเสริม และประชาชนผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมงานได้ในวันศุกร์ที่ 26 และวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. ที่บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ได้จัดกิจกรรมนัดพบแรงงาน โดยมีนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำเข้าร่วมรับสมัครงาน จำนวน 40 แห่ง อาทิ บริษัท ซีพี แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งกิจการที่เปิดรับสมัครมีทั้งประเภทกิจการธุรกิจค้าปลีก กิจการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ กิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม กิจการให้บริการด้านการเงิน และกิจการบริการขนส่งสินค้าและขนส่งสาธารณะ มีตำแหน่งงานว่างซึ่งต้องการแรงงานในทุกระดับการศึกษา จำนวนกว่า 5,000 อัตรา ตำแหน่งงานที่น่าสนใจ ได้แก่ วิศวกรโยธา สถาปนิก เขียนแบบ ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน พนักงานบัญชี เจ้าหน้าที่ธุรการ พนักงานบริการ และพนักงานทั่วไป (ฝ่ายผลิต) เป็นต้น โดยแยกเป็นวุฒิปริญญาตรี 2,106 อัตรา วุฒิปวส. 461 อัตรา วุฒิปวช. 179 อัตรา วุฒิม.6 และต่ำกว่า 2,842 อัตรา รวมทั้งมีการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ วันละ 10 อาชีพต่อวัน รวมทั้งสิ้น 20 อาชีพ และการแสดงการประกอบอาชีพอิสระในรูปแบบ Food Truck จำนวน 4 คัน
“กรมการจัดหางาน ร่วมมือกับศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ จัด “BANGKOK JOB FAIR 2021” โดยมุ่งหวังให้คนหางานได้รับความสะดวกสบายและประโยชน์สูงสุด สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานสามารถสมัครงานง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน คือ 1. เลือกบริษัทที่ต้องการ 2. แสกนคิวอาร์โค้ด 3. เลือกตำแหน่งงานและกรอกข้อมูลส่วนบุคคลแล้วกดส่ง นายจ้าง/สถานประกอบการจะได้รับข้อมูล และผู้สมัครงานเข้ารับการสัมภาษณ์กับนายจ้าง/สถานประกอบการได้ทันที ในส่วนของการเดินทางได้เลือกจัดงานใจกลางเมืองที่มีความสะดวกในการเดินทาง โดยศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพระราม 9 ติดกับโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน และเทสโก้ โลตัส สามารถเดินทางทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1 หรือรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ ต่อรถเมล์ หรือรถตู้ปรับอากาศ มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือลงสถานีอโศก ต่อรถไฟใต้ดินลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1 หรือเดินทางด้วยรถตู้ปรับอากาศ สะพานใหม่-อสมท., งามวงศ์วาน-อสมท., มีนบุรี-อนุสาวรีย์ (ลงหน้า อสมท.) หรือเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางสาย 172, 98 ,171 ,36 ,73 ,73ก ,137 ,168 ,204 ,206 ,514 ,517 ,528 และ 529” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40421 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ให้เกษตรกรจังหวัดอุทัยธานี | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ให้เกษตรกรจังหวัดอุทัยธานี
รมช.มนัญญา มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ให้เกษตรกรจังหวัดอุทัยธานี มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ในเขตปฏิรูปที่ดิน จังหวัดอุทัยธานี ให้เกษตรกร จำนวน 100 ราย เนื้อที่ประมาณ 117 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา ณ อาคารภักดี หอประชุมเทศบาลตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ว่าเมื่อเกษตรกรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว จะทำให้เกษตรกรได้รับโอกาส มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการอยู่อาศัย ทั้งนี้ เกษตรกรจังหวัดอุทัยธานี ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินแล้วทั้งสิ้น จำนวน 34,687 ราย
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบพันธุ์ปลาให้กับเกษตรกร เยี่ยมชมนิทรรศการของ ส.ป.ก. และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งพบปะเกษตรกรและประชาชนภายในงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40430 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจความพร้อมแก้ปัญหาเรือเกยคลองซูเอส คาดไม่กระทบระยะยาว พลังงานไม่กังวล | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
นายกฯ ตรวจความพร้อมแก้ปัญหาเรือเกยคลองซูเอส คาดไม่กระทบระยะยาว พลังงานไม่กังวล
นายกฯ ตรวจความพร้อมแก้ปัญหาเรือเกยคลองซูเอส คาดไม่กระทบระยะยาว พลังงานไม่กังวล
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ เมื่อ 23 มี.ค. ที่เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ Ever Given เกยตื้นขวางคลองซูเอส ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งทางเรือที่สำคัญของโลก เสมือนทางลัดเชื่อมเอเซียกับยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ของสินค้าไทย ทำให้มีเรือบรรทุกสินค้าลำอื่น ติดอยู่กว่า 300 ลำ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามสถานการณ์เพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบและหามาตรการทางออกให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศเตรียมพร้อมการประสานงานกับผู้นำเข้าและส่งออกเรื่องขอขยายเวลาการส่งสินค้า รวมถึงดูแลผู้ส่งออกหากพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งไปเป็นเส้นแหลมกู๊ดโฮป ทวีปแอฟริกาสู่ยุโรปแทน เพื่อให้สามารถส่งสินค้าไปได้ ซึ่งจะมีต้นทุนเพิ่มและใช้เวลานานขึ้นโดยประมาณ10 วัน อีกทั้ง มอบหมายกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นศูนย์กลางในการประสานงานเรื่องที่จะต้องมีการหารือในข้อกังวลต่างๆของภาคเอกชนต่อไป
ในด้านพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ประเมินว่าจะไม่กระทบต่ออุปทานพลังงานของประเทศไทยทั้งน้ำมันก๊าซหุงต้ม (LPG) และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติที่ต้องขนส่งผ่านเส้นทางนี้มีไม่สูงนัก และผู้ประกอบการได้บริหารจัดการปรับเส้นทางการขนส่งทางเรือไปใช้เส้นทางอื่น และเช่นเดียวกัน ไม่ต้องวิตกกังวลปัญหาขาดแคลนน้ำมัน เพราะมีการนำเข้าจากหลายแหล่งผลิต อีกทั้งผู้ประกอบการมีการสต๊อกน้ำมันไว้เพียงพอ เป็นไปตามปริมาณที่กฎหมายกำหนด
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีไม่นิ่งนอนใจต่อความกังวลของผู้ประกอบการทั้งนำเข้าและส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ แต่จากการติดตามข้อมูล คาดว่าจะไม่กระทบในระยะยาวเพราะทางบริษัทเจ้าของเรือและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังเพื่อแก้ปัญหาอยู่ทั้งการเคลื่อนเรือและลดน้ำหนักเรือด้วยการยกตู้คอนเทนเนอร์ออก หากภาคเอกชนมีข้อติดขัดในเรื่องใด รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ ดังเช่นที่ผ่านมาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งนายกฯได้เร่งรัดให้ดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบ อำนวยความสะดวกแก้ผู้ประกอบการ จนปัญหาคลี่คลายแล้ว
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40426 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของกัญชาและกัญชง ที่อนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 ได้ระบุว่า กัญชา และวัตถุหรือสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา และกัญชง อันเป็นชนิดย่อยของพืชกัญชา และวัตถุหรือสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชง เช่น ยาง น้ำมัน ยกเว้นวัตถุหรือสารดังต่อไปนี้ เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศ ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออลเป็นส่วนประกอบและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชงและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก
ในโอกาสนี้ โฆษกรัฐบาลได้ให้แนวทางแก่ผู้สนใจปลูกกัญชา และกัญชง ดังนี้ กรณีกัญชากฎหมายไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปปลูกกัญชาได้ ผู้สนใจต้อง รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตร โดยร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อขออนุญาตปลูกกัญชา กรณีกัญชงสามารถยื่นขออนุญาตปลูก ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่ หากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่ อย. หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ส่วนการนำเข้าเมล็ดกัญชงให้นำเข้ามาเพื่อใช้ในการปลูกเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดย อย. กำลังดำเนินการประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำข้อมูลทางวิชาการการปลูกกัญชงเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมและพิจารณาจัดตั้งตลาดกลางกัญชา กัญชง ให้เป็นศูนย์กลางรับซื้อรองรับและกระจายผลผลิตกัญชา กัญชงจากเกษตรกรรายย่อย ส่งไปยังภาคอุตสาหกรรมต่อไป
อย่างไรก็ดี โฆษกรัฐบาลย้ำให้ประชาชนดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง เพราะหากปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีความผิดต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าเป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40424 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยันไทยมีวัคซีนโควิด 19 เพียงพอ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย | วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564
อนุทิน ยันไทยมีวัคซีนโควิด 19 เพียงพอ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันมีวัคซีนโควิด 19 เพียงพอ สามารถฉีดให้กับประชาชนได้กว่า 37 ล้านคน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในประเทศ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และเปิดประเทศได้ภายในปี 2564 พร้อมปรับแผนขยายจำนวนหน่ว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันมีวัคซีนโควิด 19 เพียงพอ สามารถฉีดให้กับประชาชนได้กว่า 37 ล้านคน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในประเทศ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และเปิดประเทศได้ภายในปี 2564 พร้อมปรับแผนขยายจำนวนหน่วยบริการฉีด เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไว้อย่างเพียงพอสำหรับคนไทยกลุ่มเสี่ยงทุกคน และทุกเชื้อชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงของประเทศ ตามความสมัครใจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเดิมจำนวนประชากรเป้าหมายของประเทศที่จะต้องได้รับวัคซีนโควิด 19 มีจำนวน 30 ล้านคน ด้วยความพยายามของรัฐบาลในการจัดหาวัคซีนเพิ่มและความชำนาญของบุคลากรทางการแพทย์ในการฉีดวัคซีน ทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 สำหรับฉีดให้กับคนในประเทศได้ประมาณ 37 ล้านคน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการฉีดให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 ทำให้คนในประเทศเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ส่งผลให้เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนโควิด 19 ไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้แต่ละจังหวัดบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเนื่องจากทราบข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ในส่วนกลุ่มเป้าหมายอื่นที่อาจตกหล่น เช่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในแต่ละพื้นที่ กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานไปยังหน่วยงานตรง เพื่อจัดสรรวัคซีนให้กับสถานบริการในสังกัดนำไปฉีดโดยเฉพาะ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม ให้เกิดความครอบคลุมในการรับวัคซีนมากขึ้น ข้อมูล ณ วันที่ 26 มีนาคม 2564 ได้จัดสรรวัคซีนไปยังพื้นที่เป้าหมายต่างๆ แล้วจำนวน 270, 500 โดส จากซิโนแวค 190,720 โดส และแอสตร้าเซนเนก้า 79,780 โดส ฉีดให้กับประชาชนไปแล้ว 148,905 โดส ซึ่งวัคซีนจากซิโนแวคจะมาเพิ่มอีก 800,000 โดส ในเดือนเมษายน กระทรวงสาธารณสุขจะมีการปรับแผนการจัดฉีดวัคซีนโดยขยายจำนวนหน่วยบริการตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับมา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนมากขึ้น
“เมื่อวานนี้ (26 มีนาคม 2564) ได้ไปติดตามความคืบหน้าการจัดฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนด้วยตนเอง ที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งพบว่าระบบการฉีดเป็นไปตามขั้นตอน มีความเรียบร้อยดี ผู้ที่มารับการฉีดทุกคนเป็นกลุ่มเป้าหมายตามแผน จากการติดตามอาการหลังการฉีดตามระบบส่วนใหญ่ไม่มีอาการข้างเคียง และขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนตามนัดให้ครบทั้ง 2 เข็ม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ” นายอนุทินกล่าว
**************************** 27 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40423 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-BANGKOK JOB FAIR 2021 สองวันคนสมัครงานกว่า 3 พันครั้ง ผู้เข้าร่วมงานกว่า 5 พันคน | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
BANGKOK JOB FAIR 2021 สองวันคนสมัครงานกว่า 3 พันครั้ง ผู้เข้าร่วมงานกว่า 5 พันคน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ผลการจัดงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ระหว่างวันที่ 26-27 มีนาคม 2564 มีผู้เข้าร่วมงาน 5,146 คน ผู้ลงทะเบียนสมัครงาน 3,462 ครั้ง
โดยสมัครงานผ่าน QR-code ของกรมการจัดหางาน 1,015 ครั้ง และสมัครงานผ่านนายจ้างโดยตรง 2,447 ครั้ง จากตำแหน่งงานที่กระทรวงแรงงาน เตรียมไว้ จำนวน 5,480 อัตรา
"BANGKOK JOB FAIR 2021 นี้เป็นงานที่จัดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และลดปัญหาการว่างงาน โดยส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และคนไทยทุกคนที่ประสงค์จะหางานทำ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ และนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำทั้ง 40 แห่ง ในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ผนึกกำลังกัน เปิดโอกาสให้กับผู้ว่างงานได้เข้าถึงตำแหน่งงาน เพื่อนำไปสู่การมีงานทำ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าคนไทยที่ประสงค์ทำงานต้องได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงการจ้างงานที่สะดวกรวดเร็ว เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า แม้งาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 26 – 27 มีนาคม 2564 ณ ฟอร์จูนสตรีท ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ กรุงเทพมหานคร จะจบลงแล้ว แต่กรมการจัดหางานยังมุ่งมั่นทำหน้าที่ส่งเสริมการมีงานทำให้คนไทยต่อไป โดยจะมีการจัดกิจกรรมนัดพบแรงงาน และกิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระในแต่ละจังหวัด ขอให้ผู้ต้องการหางานทำ ผู้ต้องการเปลี่ยนงาน และผู้ที่กำลังว่างงานติดตามข่าวสารการจัดกิจกรรมได้จากเว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th
“สำหรับผลการจัดงาน BANGKOK JOB FAIR 2021 ที่เพิ่งจบลงมีกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย
1. กิจกรรมรับสมัครงาน และสัมภาษณ์งานจากนายจ้าง/สถานประกอบการชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย จำนวน 40 แห่ง เช่น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากกรีนเนท จำกัด บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) บริษัท รีโน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น มีตำแหน่งงาน จำนวน 5,480 อัตรา ผู้ลงทะเบียนสมัครงาน 3,462 ครั้ง โดยสมัครงานผ่าน QR-code ของกรมการจัดหางาน 1,015 ครั้งและสมัครงานผ่านนายจ้าง/สถานประกอบการโดยตรง 2,447 ครั้ง
2. กิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ โดยการสาธิตการประกอบอาชีพที่เป็นที่รู้จัก ได้รับความนิยม และเป็นที่ต้องการของตลาดงาน จำนวน 20 อาชีพ ประกอบด้วย การทำกระเป๋าบุผ้าปักริบบิ้น เทียนหอม (Soy wax) จากไขถั่ว สร้อยข้อมือจากหิน สายคล้องหน้ากากอนามัย สบู่สมุนไพร ตะกร้าผ้าย้อมคราม กระเป๋าเครื่องสำอาง แต่งขวดโหลสวย กระเป๋าคล้องคออเนกประสงค์ แต่งถาดไม้ด้วยโมเสก หมวกวินเทจ กระเป๋าใส่ขวดไวน์ สบู่สมุนไพร กระเป๋า Origami นาฬิกาด้วยผ้าสวย กระเป๋าสะพายลายสวย การทำเค้กกล้วยหอม ขิงอ่อนดอง บราวนี่ กระเทียมโทนดอง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งสิ้น 560 คน
3. การให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ให้บริการจัดหางานสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุแก่ผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 39 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ ตามพรบ.คุ้มครองคนหางานแก่ผู้รับบริการทั้งสิ้น 10 คน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การฝึกทักษะฝีมือแรงงานแก่ผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 80 คน สำนักงานประกันสังคม ให้บริการคำปรึกษา คำแนะนำ การขึ้นทะเบียนประกันตน ม.33, ม.39, ม.40 และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามพรบ.ประกันสังคมแก่ผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 1,250 คน สถานพยาบาลจากโรงพยาบาลวิภาราม ให้บริการตรวจสุขภาพฟรีแก่ผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 141 คน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการหางานทำ นายจ้าง/สถานประกอบการที่มีความประสงค์จะรับคนเข้าทำงาน สามารถใช้บริการจัดหางานผ่านเว็บไซต์ smartjob.doe.go.th และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40433 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สั่ง รพ.เอกชนระงับโฆษณาจองวัคซีนโควิด 19 ย้ำยังไม่อนุญาตให้สถานบริการเปิดจอง | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
สธ.สั่ง รพ.เอกชนระงับโฆษณาจองวัคซีนโควิด 19 ย้ำยังไม่อนุญาตให้สถานบริการเปิดจอง
กระทรวงสาธารณสุขสั่ง รพ.เอกชนระงับการโฆษณาจองวัคซีนโควิด 19 ทุกช่องทาง ย้ำผิดมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครเรียกผู้ประกอบการเข้าชี้แจง ย้ำยังไม่อนุญาตให้สถานพยาบาลทุกแห่งเปิดจองวัคซีนทุกกรณี หากพบให้รีบแจ้งหน่วยงานสาธารณส
กระทรวงสาธารณสุขสั่ง รพ.เอกชนระงับการโฆษณาจองวัคซีนโควิด 19 ทุกช่องทาง ย้ำผิดมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครเรียกผู้ประกอบการเข้าชี้แจง ย้ำยังไม่อนุญาตให้สถานพยาบาลทุกแห่งเปิดจองวัคซีนทุกกรณี หากพบให้รีบแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขป้องกันประชาชนหลงเชื่อ
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีพบโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มีการโฆษณาเปิดจองวัคซีนโควิด 19 โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวน 500 บาทต่อคน ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา 38 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ถือเป็นการโฆษณาการประกอบกิจการสถานพยาบาลที่ไม่ได้รับอนุญาต กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลสถานพยาบาลเอกชน จึงได้ส่งหนังสือไปยังสถานพยาบาลดังกล่าวเพื่อให้ระงับการเผยแพร่การโฆษณา ซึ่งทางโรงพยาบาลได้รับทราบเรื่องแล้ว
ด้านนายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์ว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว พบว่ามีการโฆษณาเปิดจองวัคซีนโควิด 19 ผ่านช่องทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และมีการคัดลอก นำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อยังเว็บไซต์และเฟซบุ๊กอื่นๆ จริง จึงได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาลเอกชนดังกล่าวเข้าพบ และสั่งระงับการโฆษณาทันที ซึ่งสถานพยาบาลดังกล่าวยินดีให้ความร่วมมือ ยินยอมระงับการโฆษณาในทุกช่องทางแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังไม่อนุญาตให้สถานพยาบาลทุกสังกัด รวมถึงเอกชน เปิดให้ประชาชนจองวัคซีนในทุกกรณี เนื่องจากยังอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน หากพบเห็นการโฆษณาขอให้นำหลักฐานแจ้งมายังกระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ทันที เพื่อป้องกันประชาชนหลงเชื่อ
***************************** 28 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดงาน มะม่วงหลากชนิด มะยงชิดหวานอร่อย | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
รมช.มนัญญา เปิดงาน มะม่วงหลากชนิด มะยงชิดหวานอร่อย
รมช.มนัญญา เปิดงาน มะม่วงหลากชนิด มะยงชิดหวานอร่อย ผลักดันนโยบายส่งออกมะม่วงเกรดพรีเมี่ยม
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน มะม่วงหลากชนิด มะยงชิดหวานอร่อย และของดีอำเภอลานสัก ครั้งที่ 4 ประจำปี 2564 ณ สถานที่ท่องเที่ยวหุบป่าตาด จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27- 28 มีนาคม 2564 ว่าการจัดงานดังกล่าว เพื่อให้เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้า OTOP ได้มีแหล่งจำหน่ายสินค้า และส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของหุบป่าตาด โดยรัฐบาลได้สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดแข่งขันปรุงอาหารคาวหวาน โดยใช้มะม่วงเป็นวัตถุดิบหลัก และการประกวดธิดาจำแลง ภายในงานมีกิจกรรมและมีบูธจำหน่ายสินค้าจากเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนมากมาย
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เยี่ยมชมจุดชมวิวบ้านชายเขา สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์หุบป่าตาด พร้อมเยี่ยมชมแปลงเรียนรู้การผลิตไม้ผลเพื่อการส่งออก (มะม่วง) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ของนายไพศาล จันจินดา ณ ตำบลทุ่งนางาม อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี พร้อมให้คำแนะนำด้านการส่งออกรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นโครงการ one stop service และโครงการศูนย์จัดเตรียมสินค้าเกษตรผ่านช่องทางพิเศษ ที่กรมวิชาการเกษตร ร่วมมือกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยย่นระยะเวลา ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40431 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มั่นใจ “ทัวร์เที่ยวไทย” ช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ตั้งเป้าเศรษฐกิจกระจายรายได้กว่า 15,500 ล้านบาท | วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564
รัฐบาล มั่นใจ “ทัวร์เที่ยวไทย” ช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ตั้งเป้าเศรษฐกิจกระจายรายได้กว่า 15,500 ล้านบาท
รัฐบาล มั่นใจ “ทัวร์เที่ยวไทย” ช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ตั้งเป้าเศรษฐกิจกระจายรายได้กว่า 15,500 ล้านบาท
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย โครงการ“ทัวร์เที่ยวไทย” ช่วยเยียวยาผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งเสริมการเดินทางข้ามจังหวัด/ภูมิภาค เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ลงไปในท้องถิ่นและชุมชน
รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสำหรับแพคเกจเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา (วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี) ที่มีระยะเวลาการเดินทางอย่างน้อย 3 วัน 2 คืน และข้ามจังหวัด โดยสนับสนุน 40% แต่ไม่เกิน 5,000 บาท 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ ผ่านบริการของบริษัทนำเที่ยวในประเทศที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จุดประกายการเดินทางในประเทศ เพื่อพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่อุปทาน อาทิ บริษัทนำเที่ยว โรงแรมที่พัก ธุรกิจด้านการขนส่ง ธุรกิจร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องให้มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 12,500 ล้านบาท เกิดการกระจายรายได้จากโครงการทัวร์เที่ยวไทยในทางอ้อมอีกไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ ฯ ผ่านเว็บไซต์ (www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย) ซึ่งกำลังจะเปิดให้ลงทะเบียนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้
โดยผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ต้องให้ความยินยอม (consent) สมัครบัญชีถุงเงิน ณ สาขา ธ.กรุงไทย ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ (www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย) ททท. และ กรมการท่องเที่ยวจะตรวจสอบความถูกต้อง นำเสนอรายการนำเที่ยว (แบ่งประเภท รูปแบบการให้บริการ ราคาและเงื่อนไขการเดินทาง โดยมีคณะทำงานตรวจสอบคุณภาพและความคุ้มค่า รายการนำเที่ยวปรากฏบนเว็บไซต์ต้องแสดงรายละเอียด (ชื่อ รร./ร้านอาหาร) หลังผ่านการอนุมัติจากคณะทำงาน
สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ ฯ ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต้องให้ความยินยอม (consent) ติดตั้ง แอฟ ฯ “เป๋าตัง” เลือกรายการนำเที่ยวทางเว็บไซต์ (www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย) ติดต่อบริษัทนำเที่ยว ชำระค่ารายการนำเที่ยว ร้อยละ 60 แก่บริษัทนำเที่ยว เดินทางท่องเที่ยวโดยมีการสแกนใบหน้าและQR Code เพื่อยืนยันตัวตน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังมั่นใจว่า การที่ไทยได้รับการจัดอันดับจาก Global COVID-19 Index (GCI) เป็นอันดับ 1ของโลกในการฟื้นตัวของจากสถานการณ์ของโรค COVID-19 จาก 184 ประเทศทั่วโลก และติด 1 ใน 5 ประเทศที่บรรเทาการระบาดของไวรัสได้ก้าวหน้าที่สุด รวมทั้งแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เริ่มต้นแล้วและเป็นไปตามเป้าหมาย แสดงถึงความพร้อมด้านสาธารณสุขของไทย ประชาชนเชื่อมั่นและมั่นใจความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งนี้ มาตรการ “ทัวร์เที่ยวไทย” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่ทั้ง โรงแรม ผู้ประกอบ และแรงงานภาคการท่องเที่ยวกว่า 4.3 ล้านคนกลับมาคึกคักอีกครั้ง///
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40420 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
รัฐบาลยืนยัน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มปลูกกัญชา-กัญชง รองรับเศรษฐกิจ BCG แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของกัญชาและกัญชง ที่อนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 ได้ระบุว่า กัญชา และวัตถุหรือสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา และกัญชง อันเป็นชนิดย่อยของพืชกัญชา และวัตถุหรือสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชง เช่น ยาง น้ำมัน ยกเว้นวัตถุหรือสารดังต่อไปนี้ เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศ ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออลเป็นส่วนประกอบและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชงและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก
ในโอกาสนี้ โฆษกรัฐบาลได้ให้แนวทางแก่ผู้สนใจปลูกกัญชา และกัญชง ดังนี้ กรณีกัญชากฎหมายไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปปลูกกัญชาได้ ผู้สนใจต้อง รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตร โดยร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อขออนุญาตปลูกกัญชา กรณีกัญชงสามารถยื่นขออนุญาตปลูก ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่ หากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่ อย. หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ส่วนการนำเข้าเมล็ดกัญชงให้นำเข้ามาเพื่อใช้ในการปลูกเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดย อย. กำลังดำเนินการประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำข้อมูลทางวิชาการการปลูกกัญชงเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมและพิจารณาจัดตั้งตลาดกลางกัญชา กัญชง ให้เป็นศูนย์กลางรับซื้อรองรับและกระจายผลผลิตกัญชา กัญชงจากเกษตรกรรายย่อย ส่งไปยังภาคอุตสาหกรรมต่อไป
อย่างไรก็ดี โฆษกรัฐบาลย้ำให้ประชาชนดำเนินการตามกฎหมายให้ถูกต้อง เพราะหากปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีความผิดต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าเป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40425 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ ด้าน รฟท.ลงนาม 3 สัญญา ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง พรุ่งนี้ ‘ศักดิ์สยาม’ เป็นประธาน | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเร่งงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ ด้าน รฟท.ลงนาม 3 สัญญา ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง พรุ่งนี้ ‘ศักดิ์สยาม’ เป็นประธาน
นายกรัฐมนตรีเร่งงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ ด้าน รฟท.ลงนาม 3 สัญญา ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง พรุ่งนี้ ‘ศักดิ์สยาม’ เป็นประธาน
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เร่งดำเนินงานและเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน เพื่อให้การลงทุนภาครัฐเข้าไปมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ล่าสุดโครงการรถไฟความเร็วสูงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาญาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จะมีการลงนามในสัญญาการก่อสร้างการพัฒนาระบบรถไฟความร่วมสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)อีก 3 สัญญาในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ที่กระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม จะเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย งานสัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ , งานสัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ,งานสัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว - สระบุรี โดยเป็นการลงนามระหว่างผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และผู้แทนบริษัททั้ง 3 สัญญา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อลงนามในสัญญาแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) จะออกหนังสือเริ่มดำเนินงานก่อสร้าง ส่วนสัญญาที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาที่ 4-1 งานโยธาสำหรับช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง งานสัญญาที่ 4-2 งานโยธาสำหรับช่วงดอนเมืองนวนคร และงานสัญญาที่ 4-5 งานโยธาสำหรับช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาและจัดเตรียมเอกสาร ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จก็จะสามารถลงนามในสัญญาเพื่อเดินหน้าการก่อสร้างตามโครงการได้ทันที
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา 253 กิโลเมตร ประกอบด้วย 6 สถานี ประกอบด้วย กรุงเทพ(บางซื่อ) ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 179,412.21 ล้านบาท โดยฝ่ายไทยได้ลงทุนโครงการทั้งหมดและดำเนินการก่อสร้างงานโยธา ส่วนฝ่ายจีนรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียดงานโยธา ควบคุมงานการก่อสร้างโยธา ออกแบบและติดตั้งงานระบบรางและระบบไฟฟ้า เครื่องกล ระบบควบคุมการเดินรถและจัดนำขบวนรถไฟความเร็วสูง มีการแบ่งสัญญาก่อสร้างงานโยธาออกเป็น 14 สัญญา ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 1 สัญญา ช่วงกลางดง-ปางโศก อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 6 สัญญา มีความก้าวหน้าตามลำดับ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงได้ในปี 2569
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40428 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำกลับบ้านสงกรานต์สวม “หน้ากาก” ป้องกันแพร่เชื้อโควิดให้ผู้สูงอายุในครอบครัว | วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564
สธ.ย้ำกลับบ้านสงกรานต์สวม “หน้ากาก” ป้องกันแพร่เชื้อโควิดให้ผู้สูงอายุในครอบครัว
กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเตียงอายุ 75 ปีเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ติดเชื้อจากผู้มาเยี่ยม เตือนลูกหลานกลับบ้านช่วงสงกรานต์ ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ป้องกันแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุและคนในครอบครัว ชี้ขณะนี้ประชาชนการ์ดเริ่มตกสวมหน้ากากเหลื
กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเตียงอายุ 75 ปีเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ติดเชื้อจากผู้มาเยี่ยม เตือนลูกหลานกลับบ้านช่วงสงกรานต์ ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ป้องกันแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุและคนในครอบครัว ชี้ขณะนี้ประชาชนการ์ดเริ่มตกสวมหน้ากากเหลือเพียงร้อยละ 74.5 ย้ำฉีดวัคซีนโควิดแล้วมีโอกาสติดเชื้อได้ ยังต้องใส่หน้ากาก
วันนี้ (28 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 และประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 77 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 32 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 26 ราย มาจากต่างประเทศ 19 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รักษาหายเพิ่ม 103 ราย การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 28 มีนาคม 2564 มีผู้รักษาหายแล้ว 23,062 ราย อยู่ระหว่างรักษา1,401 ราย และเสียชีวิตสะสม 34 ราย โดยผู้เสียชีวิตเป็นหญิงไทยอายุ 75 ปี มีโรคประจำตัวไทรอยด์ ไขมันในเลือดสูงเนื้องอกต่อมใต้สมอง และเป็นผู้ป่วยติดเตียง พักอาศัยใน กทม. มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน 4 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว
“ผู้สูงอายุนอนติดเตียงไม่ได้ออกไปไหน โอกาสติดเชื้อจึงเกิดจากคนในครอบครัวหรือผู้ที่มาเยี่ยม ดังนั้น ช่วงสงกรานต์นี้ที่ลูกหลานจะกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ขอให้ใส่หน้ากากเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงควรใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการผิดปกติแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที”นายแพทย์โอภาสกล่าว
ส่วนกรณีตลาดย่านบางแค หลังจากมีมาตรการปิดตลาด ปรับปรุงสุขาภิบาล ฉีดวัคซีนโควิด 19 เชิงรุก และตรวจหาเชื้อผู้ค้าและแรงงานเพื่อทำบัตรเข้าออกตลาด ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ส่วนการตรวจหาเชื้อเชิงรุกรอบนอกตลาดหลายหมื่นคน พบอัตราการติดเชื้อต่ำ ถือว่าอยู่ในการควบคุม อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า แผงขายไม่ได้จัดหมวดหมู่ มีทางเข้า-ออกตลาดหลายทาง พนักงานเก็บเงินห้องน้ำและพนักงานรักษาความปลอดภัยติดเชื้อจากการสัมผัสคนจำนวนมาก และยังพบ 1 ใน 3 ของคนในตลาดยังใส่หน้ากากไม่ถูกต้อง เช่น ใส่ไว้ใต้คาง พูดคุยใกล้ชิดกัน มีการร้องตะโกน ถ่มน้ำลาย จึงต้องขอความร่วมมือตลาดทุกแห่งทุกจังหวัดปรับปรุงปัจจัยเสี่ยงเพื่อความปลอดภัย
ส่วนกรณีการจัดงานสาดสีที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดพื้นที่สีเขียว สามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่กิจกรรมที่มีคนรวมตัวจำนวนมากต้องมีการขออนุญาตจากท้องถิ่น และจัดตามหลักชีวิตวิถีใหม่ ได้แก่ สวมหน้ากากเว้นระยะห่าง มีการวัดอุณหภูมิ จุดล้างมือ และลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ เบื้องต้นพบว่าได้ขออนุญาตจัดกิจกรรมแล้วแต่อาจยังขาดการกำกับควบคุมใกล้ชิด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปกำกับดูแลแล้ว โดยพื้นที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลสำรวจดีดีซีโพลวันที่ 9-22 มีนาคม 2564 พบว่า การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีไข้ และอาการทางเดินหายใจลดลงจากร้อยละ 95 เหลือเพียงร้อยละ 84.6 และถ้าไม่มีไข้ และอาการทางเดินหายใจ การสวมหน้ากากอนามัยลดลงเหลือเพียงร้อยละ 74.5 สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ(อว.) ที่ใช้ระบบAI สำรวจการใส่หน้ากากอนามัยพบว่าพื้นที่ กทม. ใส่หน้ากากอนามัยถูกต้องลดลงเหลือร้อยละ 94.36 ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนยังให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันควบคุมโรค โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์นี้ที่จะมีการเดินทางขอให้สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ และสวมให้ถูกต้องโดยสวมครอบทั้งปากและจมูก
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 27 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนแล้ว 150,107 โดส แบ่งเป็นฉีดเข็มแรกแล้ว 130,187 ราย ฉีดครบ 2 เข็ม 19,920 ราย ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยวัคซีนทั้งของซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าถือว่ามีความปลอดภัยสูง ยังไม่มีผู้ใดแพ้รุนแรงและเสียชีวิต ส่วนกรณีข่าวหญิงอายุ 29 ปี ขายอาหารทะเลที่ตลาดกิตติ เขตบางแค กทม. รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว ยังตรวจพบการติดเชื้อ ในขณะที่อยู่ในสถานที่กักตัว เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จากการสอบสวนโรคพบประวัติเสี่ยงค้าขายในตลาดที่พบผู้ติดเชื้อโควิด จึงมีโอกาสสูงที่ได้รับเชื้อก่อนฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าแม้จะรับวัคซีนโควิดแล้วยังมีโอกาสติดเชื้อได้ เนื่องจากวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ยังเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการป่วยรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิต ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อที่ดีที่สุด คือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า แม้จะรับวัคซีนแล้วก็ตาม รวมทั้งการเว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเทเพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นที่อยู่รอบๆ
***************************** 28 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40432 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกได้ตามเป้า ผู้เดินทาง 11 ประเทศเชื้อกลายพันธุ์ยังกักตัว 14 วัน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
สธ.เผยฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกได้ตามเป้า ผู้เดินทาง 11 ประเทศเชื้อกลายพันธุ์ยังกักตัว 14 วัน
กระทรวงสาธารณสุขเผยฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นไปตามเป้าหมาย ฉีดเข็มแรกเกินเป้าหมาย 1 แสนคนแล้ว เดินหน้าฉีดเข็มที่สอง วางแผนเพิ่มจำนวนสถานพยาบาลฉีดวัคซีนรองรับกับวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขเผยฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นไปตามเป้าหมาย ฉีดเข็มแรกเกินเป้าหมาย 1 แสนคนแล้ว เดินหน้าฉีดเข็มที่สอง วางแผนเพิ่มจำนวนสถานพยาบาลฉีดวัคซีนรองรับกับวัคซีนที่เพิ่มขึ้น พร้อมออกประกาศให้ผู้เดินทางทุกสัญชาติจาก 11 ประเทศพบสายพันธุ์แอฟริกาใต้ต้องกักตัว 14 วันตามเดิม
วันนี้ (26 มีนาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 134 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 41 รายคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 87 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศ 6 ราย ไม่มีเสียชีวิต รักษาหายเพิ่ม 86 ราย
การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 - 26 มีนาคม 2564 รักษาหายสะสม 22,855 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.06 ของผู้ติดเชื้อ อยู่ระหว่างรักษา 1,453 ราย เสียชีวิตสะสม 32 ราย โดยการติดเชื้อในประเทศกระจายใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 98 ราย สมุทรสาคร 17 ราย สมุทรปราการและตากจังหวัดละ 5 ราย สมุทรสงคราม 2 ราย และปทุมธานี 1 ราย
“สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ยังพบการติดเชื้อ จึงยังมีการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง ส่วนจังหวัดอื่นๆ แม้จะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อมานาน แต่อาจพบผู้ติดเชื้อได้เสมอ จึงขอให้เข้มคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง การตรวจจับผู้ติดเชื้อได้เร็วจะทำให้ไม่เกิดการแพร่ระบาดในพื้นที่ และควบคุมสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ ยังคงสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมืออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากวัคซีนเป็นเพียงมาตรการเสริม” นายแพทย์โอภาสกล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 25 มีนาคม 2564 ฉีดวัคซีนแล้ว 136,190 โดส แบ่งเป็นผู้รับวัคซีนเข็มแรก 121,392 ราย และรับวัคซีนครบ 2 เข็ม 14,798 ราย ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายโดยเดือนมีนาคมยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนในเข็มที่ 2 อย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในเดือนถัดๆ ไปจะเพิ่มสถานพยาบาลฉีดวัคซีนรองรับ เช่น เดือนเมษายนจะฉีดในสถานพยาบาล 100 แห่ง หรือกรกฎาคมเพิ่มเป็น 1,500 แห่ง ทำให้การฉีดวัคซีนเป็นไปตามแผนที่กำหนด รวมถึงหากกระจายฉีดวัคซีนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก็จะทำให้การฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนกรณี ศบค.เห็นชอบการลดวันกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ยกเว้นประเทศต้นทางของผู้เดินทางทุกสัญชาติที่มีการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ที่กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังและประกาศกำหนด ซึ่งเราให้ความสำคัญกับสายพันธุ์ที่ทำให้แพร่ได้เร็วขึ้น รุนแรงขึ้น หรือกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน จะให้กักตัว 14 วันเหมือนเดิม ซึ่งขณะนี้เราเฝ้าระวังสายพันธุ์แอฟริกาใต้อยู่ เช่น แอฟริกาใต้ ซิมบับเว โมซัมบิก บอตสวานา แซมเบีย เคนยา รวันดา แคมารูน คองโก กานา และแทนซาเนีย เป็นต้น คงกักตัว 14 วันเหมือนเดิม ทั้งนี้ จะส่งข้อมูลให้แก่กระทรวงการต่างประเทศและประกาศลงในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค มีการอัปเดตทุก 2 สัปดาห์ โดยพิจารณาจากข้อมูลทางระบาดวิทยา
***************************** 26 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40416 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน พร้อมตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน พร้อมตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน พร้อมตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มเกษตรกร “กลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน” ได้แก่ 1) กรณีผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 2) กรณีผลกระทบจากโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง และโครงการอ่างเก็บนาอำปึล จังหวัดสุรินทร์ และ 3) กรณีผลกระทบจากโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเดือนห้า จังหวัดอุบลราชธานี
ทั้งนี้ เพื่อให้ปัญหาของกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสานที่ได้รับผลกระทบ จากกรณีต่าง ๆ ได้มีการพิจารณาให้สอดคล้องกับประเด็นปัญหา เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบร่างคำสั่ง คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง 3 คณะ ได้แก่ 1) แต่งตั้งคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีราษฎรขอรับสิทธิการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนราษีไศล จังหวัดร้อยเอ็ด 2) แต่งตั้งคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผลกระทบจากโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง และโครงการอ่างเก็บนาอำปึล จังหวัดสุรินทร์ และ 3) แต่งตั้งคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผลกระทบจากโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเดือนห้า จังหวัดอุบลราชธานี อย่างไรก็ตาม ให้ตรวจสอบองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ให้ครอบคลุม และเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงนามคำสั่งต่อไป
นายธนา กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมมานาน เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรที่รับความช่วยเหลือ จึงมีการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนเกษตรกร ตามประเด็นข้อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ สำหรับกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานโครงการของรัฐ (เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำโดย นายศักดา กาญจนเสน และนายไพโรจน์ จงหาญ ซึ่งกลุ่มเกษตรกรได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา และมีความพอใจในการประชุมครั้งนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40397 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยอันดับความน่าเชื่อถือของไทย อยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ โดยสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก มูดี้ส์ ฟิทช์เรตติ้ง และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ย้ำเร่งแก้ไขความเดือดร้อนกลุ่มประชาชนเศรษฐกิจฐานราก | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีเผยอันดับความน่าเชื่อถือของไทย อยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ โดยสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก มูดี้ส์ ฟิทช์เรตติ้ง และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ย้ำเร่งแก้ไขความเดือดร้อนกลุ่มประชาชนเศรษฐกิจฐานราก
นายกรัฐมนตรีเผยอันดับความน่าเชื่อถือของไทย อยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ โดยสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก มูดี้ส์ ฟิทช์เรตติ้ง และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ย้ำเร่งแก้ไขความเดือดร้อนกลุ่มประชาชนเศรษฐกิจฐานราก
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยประเด็นทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 2564 ผ่าน PM PODCAST สรุปประเด็นดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ประเทศไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ได้เป็นอย่างดี โดยพี่น้องประชาชนร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ส่งผลให้ไทยประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการทั้งด้านการความคุมการแพร่ระบาดและด้านเศรษฐกิจ ทำให้สถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก ได้แก่ มูดี้ส์ ฟิทช์เรตติ้ง และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสาธารณสุขทำให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยทั้งการเงินและการคลังยังคงเข้มแข็ง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโต GDP ของไทยในปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 4
นายกรัฐมนตรี กล่าวรัฐบาลใช้มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจไทย การบริโภคและการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็วางรากฐานการพัฒนาด้านสังคม สร้างรายได้ เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเน้นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมีภาครัฐนับเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในสาขาที่จำเป็นสำหรับการยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ
รัฐบาลยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ 4 อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูงและมีแนวโน้มเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของโลก ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการแพทย์และการดูแลสุขภาพ และ 4. อุตสาหกรรมดิจิทัล รวมทั้งเน้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG “เศรษฐกิจชีวภาพ -เศรษฐกิจหมุนเวียน -เศรษฐกิจสีเขียว” ปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้ใช้พลังงานอย่างมีคุณค่า สอดคล้องกับการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำให้สามารถเป็นประเทศ carbon neutral ตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว
นายกรัฐมนตรียังเผยว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ไขความเดือดร้อนให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่คนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุโดยให้ความสำคัญกับบ้านพักอาศัย ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมอบการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทาง รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อเชื่อมโยงที่อยู่อาศัยเข้ากับแหล่งงานให้กับคนรุ่นใหม่วัยทำงาน สำหรับมาตรการการเปิดประเทศ ศบค. ได้ประกาศโครงการให้นักท่องเที่ยวใช้ช่วงเวลากักตัวที่สนามกอล์ฟ เรือยอชต์ กระทรวงการท่องเที่ยวจะเสนอแผนให้ชาวต่างชาติเข้ารับการกักตัวในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมซึ่งรวมถึง ภูเก็ต กระบี่ และ เชียงใหม่ โดยคาดว่าจะเริ่มขึ้นในไตรมาสสองของปีนี้
………………………………..
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40412 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 เมษายนนี้ รฟม. เตรียมเปิดให้บริการที่จอดรถอัตโนมัติ “Robot Parking” นำร่องสถานีสามย่านเป็นที่แรก เพื่อเพิ่มที่จอดรถและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
1 เมษายนนี้ รฟม. เตรียมเปิดให้บริการที่จอดรถอัตโนมัติ “Robot Parking” นำร่องสถานีสามย่านเป็นที่แรก เพื่อเพิ่มที่จอดรถและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้จัดทำโครงการเพิ่มพื้นที่จอดรถในเส้นทางรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน)
โดยนำระบบที่จอดรถอัตโนมัติ หรือ Robot Parking มาติดตั้งในบริเวณลานจอดรถของโครงการฯ เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่จอดรถมีจำนวนจำกัดและไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเริ่มที่ลานจอดรถสถานีสามย่านเป็นสถานีแรก เนื่องจากลานจอดรถสถานีสามย่านมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งการจอดรถแบบรายเดือนและรายวัน
สำหรับระบบที่จอดรถอัตโนมัติ หรือ Robot Parking นั้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่จอดรถที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเมื่อผู้ใช้บริการนำรถเข้ามาจอด จะมีเครื่องกลทำหน้าที่เสมือนหุ่นยนต์รับรถขึ้นไปจอดในลักษณะซ้อนกันในแนวดิ่ง ทำให้จอดรถได้มากขึ้น อีกทั้งใช้เวลาเฉลี่ยในการรับ – ส่งรถ เข้าและออกจากที่จอดรถเพียงคันละ 90 วินาที และหากรถจอดชั้นไกลที่สุดจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้บริการไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอดรถ นับเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ประหยัดเวลา และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ
นอกจากนี้ รฟม. ยังได้ติดตั้งและตรวจสอบระบบที่จอดรถอัตโนมัติดังกล่าวให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ รฟม. กำหนดจะเปิดให้บริการที่จอดรถอัตโนมัติ บริเวณลานจอดรถสถานีสามย่าน ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป โดยยังคงคิดอัตราค่าบริการที่จอดรถตามปกติ (กรณีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า คิดอัตราค่าจอดรถ 15 บาทต่อ 2 ชั่วโมง และผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้า คิดอัตราค่าจอดรถ 50 บาทต่อ 1 ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บริการที่จอดรถรายเดือน คิดอัตราค่าจอดรถ 2,000 บาทต่อเดือน) โดยเมื่อเปิดให้บริการที่จอดรถอัตโนมัติแล้ว จะสามารถรองรับรถยนต์ได้ทั้งหมดจำนวน 46 คัน
พร้อมกันนี้ รฟม. ได้เตรียมดำเนินการติดตั้งที่จอดรถอัตโนมัติเพิ่มเติมบริเวณลาดจอดรถสถานีห้วยขวาง และลานจอดรถอื่นๆ ในเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินเป็นลำดับต่อไป เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถให้เพียงพอต่อความต้องการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ตลอดจนเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม
ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40389 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือนชลบุรี ยกระดับศักยภาพคนพิการ สร้างอาชีพที่มั่นคง | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
นฤมล เยือนชลบุรี ยกระดับศักยภาพคนพิการ สร้างอาชีพที่มั่นคง
- - - - -
วันที่ 26 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวิฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ เยี่ยมชมการดำเนินงานของมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ประกอบด้วย สายด่วนคนพิการ 1479 ศูนย์พัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม โรงเรียนพิเศษคุณพ่อเรย์ ศูนย์แฟลชโฮม สาขาโรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ ห้องพักและศูนย์ประชุมพระมหาไถ่ และวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา ให้กำลังใจแก่นักเรียน นักศึกษา บุคลากรของมูลนิธิฯ รวมถึงเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ไทวัสดุ ณ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ จังหวัดชลบุรี
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการเป็นองค์กรชั้นนำด้านคนพิการระดับสากล มีประสบการณ์ในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการสู่การมีงานทำที่มีคุณค่า มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านการจัดการศึกษา การฝึกอาชีพ บริการจัดหางาน รณรงค์ด้านการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของคนพิการ นอกจากนี้ยังมีการให้บริการสายด่วนคนพิการประชารัฐ การผลิตรายการโทรทัศน์ กิจกรรมด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์ สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในสังคมมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการยอมรับในศักยภาพของคนพิการ อันเกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่ร่วมผลักดันและขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดศูนย์คอลเซ็นเตอร์ไทวัสดุเพื่อคนพิการวันนี้ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการ ยกระดับการทำงาน รวมถึงเป็นการประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสู่การมีงานทำทีมีคุณค่าของคนพิการอย่างยั่งยืน ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกทักษะอาชีพให้คนพิการ เพื่อนำไปสู่การยอมรับของสังคม และมีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทุกกลุ่ม เพื่อให้มีทักษะ สามารถนำไปประกอบอาชีพ ให้มีงานทำ มีรายได้ที่ยั่งยืนต่อไป
“กลุ่มคนพิการเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและมีศักยภาพเพียงพอต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้คนพิการได้มีโอกาสเข้าถึงทุกอาชีพ เพื่อสะท้อนศักยภาพของคนพิการให้เกิดการยอมรับในสังคมเทียบเท่ากับคนปกติ” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40399 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด เพิ่มเที่ยววิ่งเส้นทางภาคอิสานรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน เพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นสุดสัปดาห์นี้ | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
บริษัท ขนส่ง จำกัด เพิ่มเที่ยววิ่งเส้นทางภาคอิสานรองรับการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน เพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นสุดสัปดาห์นี้
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เตรียมปรับเพิ่มเที่ยววิ่งเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก
จาก 23 เส้นทาง 44 เที่ยววิ่ง เป็น 26 เส้นทาง 85 เที่ยววิ่ง ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ รวมถึงรองรับการเดินทางเพื่อไปคัดเลือกเกณฑ์ทหาร และการเดินทางข้ามจังหวัด หลังจากรัฐบาลผ่อนคลายให้เดินทางข้ามจังหวัดได้
ทั้งนี้ผู้ใช้บริการ รถโดยสาร บขส. สามารถจองตั๋วล่วงหน้าผ่านช่องทางการจำหน่ายตั๋วของ บขส. อาทิ เว็บไซต์ บขส. www.transport.co.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส ไทยทิกเก็ตเมเจอร์ และตัวแทนจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ สำหรับผู้ใช้สิทธิ์โครงการเราชนะ โครงการม33เรารักกัน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถซื้อตั๋วโดยสารของ บขส. ได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ ไม่สามารถจองทางออนไลน์ได้ สอบถามเส้นทางการเดินรถเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
ในส่วนความปลอดภัยในการเดินทาง บขส. ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง ทั้งตรวจสภาพรถโดยสารให้พร้อมใช้งาน มีการใช้ GPS ติดตาม และควบคุมความเร็วของรถโดยสาร จัดพนักงานขับรถ 2 คน ในเส้นทางสายยาวที่ใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้โดยสารในการเดินทาง
นอกจากนี้ยังคงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารและบนรถโดยสารอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ตรวจคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสาร จัดให้มีจุดบริการแอลกอฮอล์เจลสำหรับผู้โดยสารภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร กำชับให้พนักงานและผู้ให้บริการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ขณะใช้บริการในสถานีขนส่ง และให้สแกนคิวอาร์โค้ดแอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะ หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสารทุกคนในทุกเส้นทาง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40375 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงออกแบบ ทางหลวงหมายเลข 311 จุดตัดแยกศาลหลักเมืองถึงจุดตัดแยกไกรสรราชสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคม | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
กรมทางหลวงออกแบบ ทางหลวงหมายเลข 311 จุดตัดแยกศาลหลักเมืองถึงจุดตัดแยกไกรสรราชสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคม
สำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางแยกบนทางหลวงหมายเลข 311 จุดตัดทางแยกศาลหลักเมืองถึงจุดตัดแยกไกรสรราชสีห์ และสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี
เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 311 และบริเวณทางแยกต่าง ๆ ในสายทาง ได้แก่ ทางแยกศาลหลักเมือง แยกขุนสันต์ แยกไกรสรราชสีห์ รวมระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยการปรับรูปแบบเป็นระบบวงเวียนเพื่อทดแทนการใช้สัญญาณไฟจราจร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและมีความเหมาะสมกับสภาพของพื้นที่
นอกจากนี้ได้ทำการศึกษาการออกแบบสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ทดแทนสะพานเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน โดยจากผลการศึกษาการมีส่วนร่วมประชาชนและสิ่งแวดล้อมของโครงการ และผลด้านวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์ได้คัดเลือกรูปแบบสะพานเป็นสะพานโค้งคันธนู มีระบบเคเบิ้ลแบบเครือข่าย (Network Tied Arc Bridge) ที่มีความยาวช่วงข้ามแม่น้ำเท่ากับ 150 เมตร โดยสะพานแห่งใหม่นี้ได้ออกแบบให้รองรับการจราจรจำนวน 3 ช่องจราจร ความกว้างช่องจราจร 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกและด้านในกว้าง 2.50 เมตร ในอนาคตสามารถปรับเพิ่มเป็น 4 ช่องจราจรได้ บริเวณสะพานได้มีการออกแบบปรับปรุงทางลอดใต้สะพานให้สามารถกลับรถและให้เรือสามารถสัญจรได้ โดยระบบของสะพานโค้งคันธนูเป็นระบบที่ก่อสร้างได้รวดเร็ว เป็นโครงสร้างเหล็กทนต่อการกัดกร่อนสูง ช่วยลดงบประมาณในการบำรุงรักษา และเข้ากับทัศนียภาพของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 980 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) หากรายงานผ่านการพิจารณาแล้วจะเสนอของบประมาณก่อสร้างตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับทางหลวงหมายเลข 311 นับเป็นทางสายหลักที่เชื่อมโยงการเดินทางจากทางหลวงหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) และพื้นที่ด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านทางแยกต่างระดับสิงห์บุรีใต้ รวมถึงการเดินทางจากทิศเหนือของพื้นที่โครงการ และผ่านทางแยกต่างระดับสิงห์บุรีเหนือเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 335 บรรจบกันที่ทางแยกไกรสรราชสีห์ ก่อนจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจหลักของจังหวัดสิงห์บุรีฝั่งตะวันตก โดยมีทางแยกศาลหลักเมืองเป็นจุดรวมและกระจายการจราจรในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยบรรเทาความคับคั่งของปริมาณการจราจร ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งและรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ชุมชนโดยรอบ เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของจังหวัดสิงห์บุรีได้ในอนาคต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40401 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่านศุลกากรมุกดาหาร กรมศุลกากร จัดพิธีทำลายของกลางมูลค่ากว่า 26 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ด่านศุลกากรมุกดาหาร กรมศุลกากร จัดพิธีทำลายของกลางมูลค่ากว่า 26 ล้านบาท
อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานพิธีทำลายของกลางในความผิดตามกฎหมายศุลกากรที่คดีสิ้นสุดแล้ว โดยวิธีฝังกลบและเผาทำลาย จำนวน 81 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 26 ล้านบาท
วันนี้ (25 มีนาคม 2564) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานพิธีทำลายของกลางในความผิดตามกฎหมายศุลกากรที่คดีสิ้นสุดแล้ว โดยวิธีฝังกลบและเผาทำลาย จำนวน 81 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 26 ล้านบาท โดยมีนายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายสรศักดิ์ มีนะโตรี รองอธิบดีศุลกากร นายชัยฤทธิ์ แพทย์สมาน รองอธิบดีกรมศุลกากรนายกรีชา เกิดศรีพันธุ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม นายศิริชัย คุณาบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 2 นายพร้อมชาย สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นายด่านศุลกากรมุกดาหาร พล.ต.ต. สรรธาน อินทรจักร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต. กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 และคณะกรรมการทำลายของกลางร่วมพิธี ณ ด่านศุลกากรมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า พิธีทำลายของกลางในความผิดตามกฎหมายศุลกากรที่คดีสิ้นสุดแล้ว โดยวิธีฝังกลบและเผาทำลาย ของด่านมุกดาหาร ในครั้งนี้ มีจำนวน 81 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 26 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภารกิจหลักของกรมศุลกากรในการป้องกันและปราบปราม สินค้าลักลอบหนีศุลกากร หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรและสินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องโดยเฉพาะการปราบปรามการละเมิดสิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา ตามพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า รายละเอียดดังนี้
1. ประเภทบุหรี่ไฟฟ้า ยา วัคซีนสัตว์ ฯลฯ อันเป็นของต้องห้ามนำเข้าตามกฎหมาย จำนวน 29 คดีมูลค่า 24,400,204.99 บาท น้ำหนัก 7,662.20 กิโลกรัม จะทำลายโดยวิธีการบดทำลายฝังกลบบริเวณด่านศุลกากรมุกดาหาร โดยได้รับความอนุเคราะห์รถบดเพื่อทำลายจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร
2. ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา เลียนแบบเครื่องหมายการค้า และของต้องห้ามต้องกำกัดในการนำเข้า เช่น กระเป๋า กางเกง เสื้อผ้า ฯลฯ จำนวน 52 คดี มูลค่า 2,003,439.95 บาท น้ำหนัก12,193.69 กิโลกรัม จะทำลายด้วยวิธีการเผาทำลาย โดยจะนำส่งไปเผาที่โรงกำจัดขยะของเทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งทางเทศบาลนครอุดรธานี ได้ให้ความอนุเคราะห์เตาเผาขยะกำจัดเชื้อเพื่อทำลายของกลาง
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่อว่า การดำเนินการครั้งนี้ได้ร่วมกันบูรณาการ ในการปราบปรามสินค้าลักลอบหนีศุลกากร ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารกับหน่วยงานมั่นคงในพื้นที่ ได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดมุกดาหาร หัวหน้าหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง ผู้บังคับหมวดเคลื่อนที่เร็วที่ 3 กองกำลังเคลื่อนที่เร็วที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมุกดาหาร และผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2110จังหวัดมุกดาหาร สำหรับของกลางที่นำมาทำลายในวันนี้ เป็นของกลางที่คดีสิ้นสุดแล้ว และตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย โดยจะทำลายด้วยการบด ทุบ ทำให้เสื่อมสภาพ และนำไปฝังกลบ บริเวณหลุมฝังกลบ ภายในพื้นที่ของด่านศุลกากรมุกดาหาร รวมถึงนำส่งไปเผาที่โรงกำจัดขยะของเทศบาลนครอุดรธานีต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40377 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ทส. ร่วมประชุม คกก.สิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/64 พิจารณารายงาน ผลกระทบการสร้างทางพิเศษ และมาตรการป้องกันฝุ่น” | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
“ทส. ร่วมประชุม คกก.สิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/64 พิจารณารายงาน ผลกระทบการสร้างทางพิเศษ และมาตรการป้องกันฝุ่น”
“ทส. ร่วมประชุม คกก.สิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/64 พิจารณารายงาน ผลกระทบการสร้างทางพิเศษ และมาตรการป้องกันฝุ่น”
“ทส. ร่วมประชุม คกก.สิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/64 พิจารณารายงาน ผลกระทบการสร้างทางพิเศษ และมาตรการป้องกันฝุ่น”
วันที่ 26 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน และมี ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้มีการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ โครงการทางหลวงแนวใหม่ระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันตก-ทางหลวงหมายเลข 352 ของกรมทางหลวง ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะเป็นการช่วยเพิ่มโครงข่ายถนน ลดปัญหาการจราจรคับคั่งโดยเฉพาะห้วงเทศกาล และยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ในเขตจังหวัดที่ดำเนินการพาดผ่านด้วย
การประชุมนี้ยังยังได้หารือเกี่ยวกับมาตรการยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ซึ่งยังมีการตรวจพบจุดความร้อนในหลายพื้นที่ จึงได้มีการพิจารณาการบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว
นอกจากนั้น ยังได้พิจารณา การกำหนดอัตราค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวม และค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ที่ประชุมยังได้รับทราบถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานการระงับใช้รถที่มีมลพิษเกินมาตรฐานตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ. 2522
นายวราวุธ กล่าวต่อที่ประชุมว่า “สถานการณ์ฝุ่นหมอกควัน วันนี้รัฐบาลได้ดำเนินการสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว โดยสามารถลดจุดความร้อนลงได้เกือบ 40% มาจากความร่วมมือของทุกฝ่าย แต่ยังมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 2 ปัจจัย ได้แก่ สภาพอากาศ หรือกระแสลม และการเผาในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องประสานความร่วมมือผ่านทางเลขาธิการอาเซียนต่อไป”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40417 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนฉีดวัคซีนโควิดเพื่อชาติ ฉีดเร็วฉีดมากจะเปิดประเทศได้เร็ว | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
สธ.ชวนฉีดวัคซีนโควิดเพื่อชาติ ฉีดเร็วฉีดมากจะเปิดประเทศได้เร็ว
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการฉีดวัคซีนโควิด 19 เป็นไปตามเป้าหมาย ขอความร่วมมือประชาชนฉีดวัคซีนเพื่อชาติ หากครอบคลุมร้อยละ 60 ของประชากรเป้าหมาย จะเปิดประเทศได้ ฟื้นธุรกิจและการท่องเที่ยวได้รวดเร็วขึ้น
วันนี้ (26 มีนาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความสำคัญของวัคซีนโควิด 19 ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรและกระจายวัคซีนโควิด 19 ไปยังพื้นที่เป้าหมาย เพื่อฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมายตามแผนที่วางไว้แล้ว ซึ่งจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับวัคซีนสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย จ.สมุทรสาคร ซึ่งได้รับวัคซีนจำนวนมากเป็นจังหวัดแรก ๆ เนื่องจากเป็นต้นทาง
การระบาดในระลอกใหม่ ก็ได้ฉีดครบในเข็มที่ 1 ขอให้มารับวัคซีนเข็มที่สองตามนัด เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความต้องการในการเปิดประเทศ ซึ่งการเปิดประเทศได้จำเป็นจะต้องมีความปลอดภัย โดยเฉพาะประชาชนภายในประเทศ ซึ่งการฉีดวัคซีนในระดับบุคคล คนนั้นจะมีความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับประเทศหรือระดับจังหวัดต้องมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนประมาณร้อยละ 60 ของประชากรในพื้นที่
“เราจึงต้องขอความร่วมมือของประชาชนต่อในเรื่องของวัคซีนโควิด 19 ซึ่งการระบาดระลอกแรกใช้มาตรการอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ครั้งนี้จึงขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันฉีดวัคซีนเพื่อชาติอีกครั้ง ถ้าเราฉีดวัคซีนได้ถึงร้อยละ 50-60 ของประชากร ก็จะสามารถเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย การทำธุรกิจ การท่องเที่ยวก็เดินหน้าได้ ประเทศไทยก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 ที่พิจารณานำมาใช้กับคนไทย ต้องเป็นวัคซีนที่ดี มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และเหมาะสมกับคนไทย ขณะนี้มีการจัดหาวัคซีนโควิด 19 แล้วรวมกว่า 73 ล้านโดส ประกอบด้วย ซิโนแวค 2 ล้านโดส อยู่ระหว่างเจรจาจัดซื้ออีก5 ล้านโดส และแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส และจะได้รับจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย จำกัด อีก 5 ล้านโดส จึงมั่นใจว่ามีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคนในประเทศที่จำเป็นต้องได้รับการฉีด
*********************** 26 มีนาคม 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40406 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ถวายโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นเสียสละเพื่อสังคม แด่เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง พร้อมเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จ.เชียงราย | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
พม. ถวายโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นเสียสละเพื่อสังคม แด่เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้งพร้อมเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว จ.เชียงราย
พม. ถวายโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นเสียสละเพื่อสังคม แด่ท่านเจ้าคุณพระไพศาลประชาทร วิ. (พระครูพบโชค) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้งพร้อมเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวจังหวัดเชียงราย
วันนี้ (26 มี.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ วัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมือง เพื่อถวายโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นเสียสละเพื่อสังคม แด่ท่านเจ้าคุณพระไพศาลประชาทร วิ. (พระครูพบโชค)เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง อีกทั้ง มอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคม จำนวน 500 ราย จากนั้น เดินทางไปเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และเครื่องมือประกอบอาชีพตามโครงการ “พม.ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว” จำนวน 7 ครอบครัว ณ ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. มีภารกิจสำคัญในการประสานความร่วมมือและสนับสนุนภาคีเครือข่ายทั้งระดับองค์กรและบุคคล เพื่อมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและพัฒนาทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคง สำหรับบุคคลผู้อุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขแก่สังคม มีความเสียสละมุ่งมั่นดูแลประชาชนผู้ตกทุกข์ยาก โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่มีความพยายามในการช่วยเหลือบุคคลและสังคมทุกระดับ ซึ่งท่านเจ้าคุณพระไพศาลประชาทร วิ. (พระครูพบโชค) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง นับเป็นแบบอย่างของสังคมไทย ด้วยการสงเคราะห์กลุ่มเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม เช่น กลุ่มเด็กกำพร้า ด้อยโอกาส ยากจน และไร้ที่พึ่ง ในอดีตวัดห้วยปลากั้งได้ให้การดูแลอุปการะเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมากถึง 993 คน กลุ่มคนชรา คนพิการ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม จำนวน 115 คน ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี และสามารถส่งบุคคลเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ปัจจุบัน วัดห้วยปลากั้งรับอุปการะเด็กกำพร้าและด้อยโอกาส จำนวน 543 คน แบ่งเป็นชาย 245 คน หญิง 298 คน คนชรา คนพิการ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม จำนวน 75 คน นับเป็นศูนย์การให้และแบ่งปันที่มีขนาดใหญ่ โดยมีผู้ใจบุญบริจาคสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้า และปัจจัย 4 จำนวนมาก ถือเป็นการทำงานร่วมกันและคู่ขนานไปกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ท่านเจ้าคุณพระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค) คือบุคคลที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นที่พึ่งแก่ผู้ทุกข์ยาก เป็นศูนย์รวมความศรัทธาและเมตตาช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ได้เดินทางลงพื้นที่ ณ ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย เพื่อเปิดศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และเครื่องมือประกอบอาชีพตามโครงการ “พม.ส่งความสุข สร้างอาชีพครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว” จำนวน 7 ครอบครัว ทั้งนี้ ศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวจังหวัดเชียงราย มีภารกิจในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาศักยภาพให้กับสตรีและครอบครัวที่ประสบปัญหาทางสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยได้ดำเนิน"โครงการขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว" (ศูนย์บริการแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว) เพื่อให้เกิดแนวทางการจัดสวัสดิการให้แม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวอย่างครอบคลุมตามสภาพปัญหาและความต้องการ และสร้างช่องทางการเข้าถึงบริการที่หลากหลายเพิ่มขึ้นสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัว อีกทั้งเป็นต้นแบบในการจัดสวัสดิการสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวระดับพื้นที่ ในลักษณะบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยดำเนินการนำร่องในศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว 9 แห่ง ทั่วประเทศได้แก่ จังหวัดเชียงราย ลำพูน ลำปาง พิษณุโลก ขอนแก่น ศรีสะเกษ ชลบุรี นนทบุรี และสงขลา สำหรับโครงการ "พม. ส่งความสุข สร้างอาชีพ ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว" ได้รับการสนับสนุนจาก Tesco Lotus ในโครงการ "ถุงคืนชีพ สร้างอาชีพ" โดยจำหน่ายถุงใช้ช้า collection ใหม่ลาย"ผ้าไทยประจำ 4 ภาค" และนำรายได้มาจัดซื้ออุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กลุ่มครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวสามารถพึ่งพาตนเอง และเลี้ยงดูครอบครัวได้ ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40407 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
วันนี้ ( 26 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ในพิธีมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร 3 อำเภอ ในโครงการ “การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นา เพื่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี” ของมูลนิธิข้าวขวัญ โดยมีเกษตรกร ๗ ตำบล ในพื้นที่ 3 อำเภอ ภายใต้โครงการได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอเดิมบางนางบวช และอำเภอศรีประจันต์ เข้ารับมอบ ณ มูลนิธิข้าวขวัญ ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โดยโครงการฯ ดังกล่าว เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 8.9 ล้านบาท เพื่อดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนฐานของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐ องค์กรชุมชน เครือข่ายเกษตรกร เครือข่ายผู้บริโภค นักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่การเกษตร ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรไทยได้ต่อไป ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40418 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนภัย! ไลน์ ธ.ก.ส.ปลอม หลอกให้โอนเงินทำสัญญา | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
เตือนภัย! ไลน์ ธ.ก.ส.ปลอม หลอกให้โอนเงินทำสัญญา
...
ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพใช้แอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ชื่อ “ธกส การเกษตร” แอบอ้างว่าเป็นของธนาคาร ธ.ก.ส. หลอกลวงประชาชนว่าจะมีการอนุมัติเงินกู้ให้ โดยจะต้องโอนเงินค่าทำสัญญา 390 บาทก่อน
.
แอดมินขอแจ้งเตือนว่า “อย่าหลงเชื่อ” เพราะ ธ.ก.ส. ไม่มีการอนุมัติ หรือ ให้ทำสัญญาเงินกู้ ผ่านทางไลน์
.
ส่วนไลน์ของธนาคาร ธ.ก.ส. จริงๆ ใช้ชื่อว่า “BAAC Family” มีรูปโล่สีเขียวที่หน้าชื่อ และมียอดผู้ติดตามกว่า 8 ล้านคน เป็นช่องทางในการแจ้งข่าวสารการให้บริการ และใช้แจ้งความต้องการเบื้องต้นในการขอรับบริการสินเชื่อบางประเภทเท่านั้น
.
สำหรับประชาชนที่ต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารใด ควรติดต่อที่สาขาของธนาคารนั้นโดยตรง เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพมีช่องทางฉวยโอกาสเอาเปรียบได้ครับ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40379 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำมาตรการช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่แจกเงิน สนับสนุนห่วงโซ่การใช้จ่ายภาคประชาชน เน้นลงทุนเศรษฐกิจใหม่ ตั้งเป้าจีดีพีโตร้อยละ 4 | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
นายกรัฐมนตรีย้ำมาตรการช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่แจกเงิน สนับสนุนห่วงโซ่การใช้จ่ายภาคประชาชน เน้นลงทุนเศรษฐกิจใหม่ ตั้งเป้าจีดีพีโตร้อยละ 4
นายกรัฐมนตรีย้ำมาตรการช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่แจกเงิน สนับสนุนห่วงโซ่การใช้จ่ายภาคประชาชน เน้นลงทุนเศรษฐกิจใหม่ ตั้งเป้าจีดีพีโตร้อยละ 4
วันนี้ (26 มี.ค. 64) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 1/2564 ว่า รัฐบาลดูแลทั้งปัญหาสุขภาพและเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทั้งสองด้านอย่างต้องเดินหน้าไปด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ คือ วัคซีน ได้รับรายงานว่ามีการนำวัคซีนเข้ามาอีกยี่ห้อหนึ่ง คือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งฉีดเพียงเข็มเดียว ถือเป็นสินค้าในภาวะฉุกเฉินก่อนในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้ไปจำกัดใครทั้งสิ้น
นายกรัฐมนตรียืนยัน การฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามแผน ซึ่งได้ทยอยดำเนินการฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมายแล้ว ปัจจุบันมีวัคซีนเข้ามาในประเทศทั้ง 3 ยี่ห้อ ทั้งแอสตราเซนเนก้า ซิโนแวค และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งวันนี้ ซิโนแวคเข้ามาเพียงแค่ 200,000 โดส และจะเข้ามาอีก 800,000 โดส รวมเป็น 1 ล้านโดส ภายใน 2 เดือนนี้ แต่หลังจากเดือนเมษายนแล้วจะเข้ามาอีกมากพอสมควร ประมาณเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อนำวัคซีนมาใช้ควบคุมสถานการณ์ระบาดและเร่งรัดในการฉีดวัคซีน มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย แผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ไหนอย่างไร และกลุ่มใดบ้าง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ท้องถิ่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และจังหวัด ที่สำคัญประชาชนต้องมีความสมัครใจ ซึ่งในหลายคนยังไม่อยากฉีด ไม่กล้าฉีด ณ วันนี้ เราฉีดวัคซีนได้สอดคล้องกับวัคซีนที่มีอยู่ สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนไปมากพอสมควร แต่ไม่ใช่เป็นการไปแจกเงิน แต่เป็นการทำให้ทุกคนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ สนับสนุนห่วงโซ่การใช้จ่ายในสังคม รวมถึงผู้ผลิต การนำเข้าวัตถุดิบ ขณะเดียวกันต้องเสริมธุรกิจใหม่ของเรา เน้นปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอยู่แบบนี้ ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งการลงทุนใหม่ การลงทุนภายในประเทศ การออมเงินของไทยมีเพิ่มขึ้นหลายแสนล้าน ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันลงทุน เพราะรัฐบาลมีเงินจำกัดอยู่คือ งบประมาณแผ่นดินและเงินในส่วนของรัฐวิสาหกิจซึ่งได้เร่งลงทุนไป เมื่อทุกคนช่วยกันหอการค้า ภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล ธุรกิจเอกชนร่วมมือกันในทุกมิติ คาดว่าจะดัน GDP ของประเทศให้ขึ้นถึง 4% ได้ในปีนี้และปีหน้า ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายไว้ที่วางไว้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของตนเองและรัฐบาลซึ่งร่วมกันทำงานกันอย่างเต็มที่และใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างระมัดระวัง
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40400 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ....รับใบรับรองผ่านระบบดิจิทัล | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ....รับใบรับรองผ่านระบบดิจิทัล
...
การฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนคนไทย รัฐบาลจะดำเนินการฉีดให้คนละ 2 เข็ม สำหรับวัคซีนของแอสตราเซนเนกานั้น ระยะการฉีดห่างกัน 2 - 3 เดือน ส่วนวัคซีนของบริษัทซิโนแวคห่างกัน 3 - 4 สัปดาห์
.
เมื่อประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบทั้ง 2 เข็มแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะออกใบรับรองการรับวัคซีนแบบดิจิทัล (Smart Vaccine Certificate) รูปแบบคิวอาร์โค้ด ที่สร้างเฉพาะแต่ละบุคคล ไม่มีซ้ำกัน (Universally unique identifier : UUID) ซึ่งจะมีรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ วันที่ได้รับวัคซีน ชื่อการค้าวัคซีน ชื่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีน รุ่นการผลิต และหน่วยบริการที่ฉีดวัคซีน
.
โดยใบรับรองดังกล่าว จะถูกส่งไปที่ไลน์หมอพร้อม หรือพิมพ์เป็นเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประเทศไทย (THAILAND NATIONAL CERTIFICATE OF COVID-19 VACCINATION) จากโรงพยาบาลที่ประชาชนรับการฉีดได้ทันที
.
สุดท้ายนี้ แม้ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้อยู่หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ดังนั้น การสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ยังคงต้องปฏิบัติต่อไป
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
-------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40381 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร | วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
“วราวุธ” เปิดโครงการเพิ่มความหลากหลายในไร่นา จ.สุพรรณบุรี ขยายความมั่นคงทางอาหาร สู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร
วันนี้ ( 26 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ในพิธีมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร 3 อำเภอ ในโครงการ “การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นา เพื่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี” ของมูลนิธิข้าวขวัญ โดยมีเกษตรกร ๗ ตำบล ในพื้นที่ 3 อำเภอ ภายใต้โครงการได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอเดิมบางนางบวช และอำเภอศรีประจันต์ เข้ารับมอบ ณ มูลนิธิข้าวขวัญ ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
โดยโครงการฯ ดังกล่าว เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 8.9 ล้านบาท เพื่อดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนฐานของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐ องค์กรชุมชน เครือข่ายเกษตรกร เครือข่ายผู้บริโภค นักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่การเกษตร ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรไทยได้ต่อไป ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/40419 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.