title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
|
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
วันนี้ (4 มี.ค.61) นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานเกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561 หรือ Yasothon Organic Fair 2018 ณ สวนสาธารณะบุ่งน้อย-บุ่งใหญ่ อําเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร โดยมี นายนิกร สุกใส ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดยโสธร ร่วมให้การต้อนรับ โอกาสนี้ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าวด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของจังหวัดยโสธรที่จะบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาและส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งความสําเร็จเห็นได้จากการที่จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดที่ได้รับการระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในฐานะ "จังหวัดต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์" สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย
นายนิกร สุกใส ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร กล่าวว่า จังหวัดยโสธรได้จัดงานนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่สองเพื่อสะท้อนความสําคัญของเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล และจังหวัดยโสธร ที่ต้องการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของเกษตรอินทรีย์ยโสธรให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ภายใต้แนวคิด "นึกถึง Organic นึกถึงยโสธร"
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ "การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์" ร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม) โดยกล่าวว่า "ความสําเร็จในการผลักดันและขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของจังหวัดยโสธร มีจุดเริ่มต้นในปี 2545 จากการร้อยใจเป็นหนึ่งเดียวของ "กรมยโสธร" หรือความร่วมมือแบบ "ประชารัฐ" ตลอดจนภาคท้องถิ่น ที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้นทุนสําคัญ นอกจากนี้ ยังเกิดจากการน้อมนําหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์สู่การปฏิบัติ และภูมิสังคมมาใช้ในการขับเคลื่อนและขยายผลเกษตรอินทรีย์ ทําให้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่มีสุขภาพดีขึ้น หนี้สินครัวเรือนลดลง เงินออมเพิ่มมากขึ้น ประชาชนมีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์มากขึ้น และลดการพึ่งพาจากรัฐลง"
สุดท้าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นสักขีพยานในการจัดทําบันทึกความร่วมมือพัฒนาและสนับสนุนให้จังหวัดยโสธรเป็นต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์ และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาเกษตรอินทรีย์ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และยโสธร) มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดเป็น 1 ล้านไร่ ในปี 2564.
ครั้งที่ 49/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-2224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดงาน "เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561"
วันนี้ (4 มี.ค.61) นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานเกษตรอินทรีย์วิถียโสธร 2561 หรือ Yasothon Organic Fair 2018 ณ สวนสาธารณะบุ่งน้อย-บุ่งใหญ่ อําเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร โดยมี นายนิกร สุกใส ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวจังหวัดยโสธร ร่วมให้การต้อนรับ โอกาสนี้ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าวด้วย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของจังหวัดยโสธรที่จะบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาและส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งความสําเร็จเห็นได้จากการที่จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดที่ได้รับการระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในฐานะ "จังหวัดต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์" สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย
นายนิกร สุกใส ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร กล่าวว่า จังหวัดยโสธรได้จัดงานนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่สองเพื่อสะท้อนความสําคัญของเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล และจังหวัดยโสธร ที่ต้องการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของเกษตรอินทรีย์ยโสธรให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ภายใต้แนวคิด "นึกถึง Organic นึกถึงยโสธร"
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ "การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์" ร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม) โดยกล่าวว่า "ความสําเร็จในการผลักดันและขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ของจังหวัดยโสธร มีจุดเริ่มต้นในปี 2545 จากการร้อยใจเป็นหนึ่งเดียวของ "กรมยโสธร" หรือความร่วมมือแบบ "ประชารัฐ" ตลอดจนภาคท้องถิ่น ที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้นทุนสําคัญ นอกจากนี้ ยังเกิดจากการน้อมนําหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์สู่การปฏิบัติ และภูมิสังคมมาใช้ในการขับเคลื่อนและขยายผลเกษตรอินทรีย์ ทําให้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่มีสุขภาพดีขึ้น หนี้สินครัวเรือนลดลง เงินออมเพิ่มมากขึ้น ประชาชนมีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์มากขึ้น และลดการพึ่งพาจากรัฐลง"
สุดท้าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นสักขีพยานในการจัดทําบันทึกความร่วมมือพัฒนาและสนับสนุนให้จังหวัดยโสธรเป็นต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์ และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาเกษตรอินทรีย์ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และยโสธร) มีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดเป็น 1 ล้านไร่ ในปี 2564.
ครั้งที่ 49/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-2224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้องปฏิบัติตนอย่างไร หากเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
|
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563
ต้องปฏิบัติตนอย่างไร หากเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
ปฏิบัติตนอย่างไร หากไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
1.เข้ารับการตรวจที่จุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกาย
2.เช็คอินผ่าน QR Code ของแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่สถานประกอบการกําหนดไว้
3.เช็คเอาท์ออกจากระบบ เพื่อให้ระบบคํานวณจํานวนผู้เข้าใช้บริการจริง
4.ขณะเข้าใช้บริการ ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือสม่ําเสมอ เว้นระยะห่างจากผู้คน 1-2 เมตร หรือยืนตามจุดที่ร้านค้ากําหนดให้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้องปฏิบัติตนอย่างไร หากเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563
ต้องปฏิบัติตนอย่างไร หากเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
ปฏิบัติตนอย่างไร หากไปห้างสรรพสินค้า ในยุค New Normal ??
1.เข้ารับการตรวจที่จุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกาย
2.เช็คอินผ่าน QR Code ของแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่สถานประกอบการกําหนดไว้
3.เช็คเอาท์ออกจากระบบ เพื่อให้ระบบคํานวณจํานวนผู้เข้าใช้บริการจริง
4.ขณะเข้าใช้บริการ ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือสม่ําเสมอ เว้นระยะห่างจากผู้คน 1-2 เมตร หรือยืนตามจุดที่ร้านค้ากําหนดให้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31136
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสำหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
|
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
นรม. ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
นายกรัฐมนตรี ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” ระยะที่ 2 เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ จัดโดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) หรือ EGA
วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) หรือ EGA มาพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ แอปพลิเคชัน สําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” ระยะที่ 2 เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สํานักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย EGA
ทั้งนี้ การดําเนินการระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาต่อยอดให้ระบบรองรับการเรียกดูข้อมูลการจัดสรรงบประมาณตามมิติต่างๆ นอกจากข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างที่ดําเนินการไว้แล้วในระยะที่ 1 ตามมุมมอง 5 ด้านของรัฐบาล ลักษณะงาน รายยุทธศาสตร์ และตามรายกระทรวงหรือกรมได้ รวมถึงการติดตามสถานะการเบิกจ่ายงบประมาณตามมิติต่างๆ ได้ นอกจากนั้น ยังเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียน แจ้งเบาะแสการทุจริต หรือร้องทุกข์ในเรื่องที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการดําเนินการโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยข้อมูลเหล่านั้นจะส่งตรงจากระบบ“ภาษีไปไหน” ไปยังระบบของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนของหน่วยงานต่อไป
โดยรวมถึงข้อมูลสถานะการเบิกจ่ายงบประมาณของแต่ละโครงการ ในระบบ “ภาษีไปไหน” เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ระบบ “ภาษีไปไหน” เป็นเครื่องมือในการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการต่างๆ ของภาครัฐได้ รวมถึงการสนับสนุนให้ระบบ “ภาษีไปไหน” เชื่อมโยงกับระบบการจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Budgeting) ของสํานักงบประมาณ และระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ของกรมบัญชีกลาง เพื่อให้ข้อมูลใน ระบบ “ภาษีไปไหน” มีการปรับปรุงให้ถูกต้อง และทันสมัยอย่างต่อเนื่อง โดยอัตโนมัติ”
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนผ่านตัวแทนคณะสื่อมวลชน โดยให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้บริการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” และให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม
อนึ่ง ประชาชนสามารถเข้าระบบ “ภาษีไปไหน” ได้ที่ เว็บไซต์ govspending.data.go.th หรือ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ภาษีไปไหน” ผ่าน App Store หรือ Play Store ได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ส่วนสื่อสารและส่งเสริมการตลาด สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 02-612-6000 ต่อ 3404 – 3406 อีเมล์ [email protected]
.......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสำหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
นรม. ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
นายกรัฐมนตรี ชมนิทรรศการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” ระยะที่ 2 เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ จัดโดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) หรือ EGA
วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) หรือ EGA มาพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ แอปพลิเคชัน สําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” ระยะที่ 2 เป็นการเปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สํานักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย EGA
ทั้งนี้ การดําเนินการระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาต่อยอดให้ระบบรองรับการเรียกดูข้อมูลการจัดสรรงบประมาณตามมิติต่างๆ นอกจากข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างที่ดําเนินการไว้แล้วในระยะที่ 1 ตามมุมมอง 5 ด้านของรัฐบาล ลักษณะงาน รายยุทธศาสตร์ และตามรายกระทรวงหรือกรมได้ รวมถึงการติดตามสถานะการเบิกจ่ายงบประมาณตามมิติต่างๆ ได้ นอกจากนั้น ยังเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียน แจ้งเบาะแสการทุจริต หรือร้องทุกข์ในเรื่องที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการดําเนินการโครงการต่างๆ ของภาครัฐ โดยข้อมูลเหล่านั้นจะส่งตรงจากระบบ“ภาษีไปไหน” ไปยังระบบของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนของหน่วยงานต่อไป
โดยรวมถึงข้อมูลสถานะการเบิกจ่ายงบประมาณของแต่ละโครงการ ในระบบ “ภาษีไปไหน” เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ระบบ “ภาษีไปไหน” เป็นเครื่องมือในการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการต่างๆ ของภาครัฐได้ รวมถึงการสนับสนุนให้ระบบ “ภาษีไปไหน” เชื่อมโยงกับระบบการจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Budgeting) ของสํานักงบประมาณ และระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ของกรมบัญชีกลาง เพื่อให้ข้อมูลใน ระบบ “ภาษีไปไหน” มีการปรับปรุงให้ถูกต้อง และทันสมัยอย่างต่อเนื่อง โดยอัตโนมัติ”
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนผ่านตัวแทนคณะสื่อมวลชน โดยให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้บริการแอปพลิเคชันสําหรับโทรศัพท์มือถือชื่อว่า “ภาษีไปไหน” และให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม
อนึ่ง ประชาชนสามารถเข้าระบบ “ภาษีไปไหน” ได้ที่ เว็บไซต์ govspending.data.go.th หรือ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ภาษีไปไหน” ผ่าน App Store หรือ Play Store ได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ส่วนสื่อสารและส่งเสริมการตลาด สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 02-612-6000 ต่อ 3404 – 3406 อีเมล์ [email protected]
.......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6613
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2561 เพิ่มศักยภาพเป็น อสม.4.0
|
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
สธ. มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจําปี 2561 เพิ่มศักยภาพเป็น อสม.4.0
กระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลอาสาสมัครสาธารณสุข ดีเด่นระดับชาติ ขับเคลื่อนให้เป็น อสม.4.0 เน้นความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มีจิตอาสา เป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง ให้ประชาชนรอบรู้ด้านสุขภาพ
วันนี้ (20 มีนาคม 2561) ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา กทม.ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานในพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ชั้นเบญจมดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ โล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ อสม.ประจําหมู่บ้านดีเด่นระดับชาติ พร้อมประกาศเจตนารมณ์การทํางานของ อสม.ในปี 2561
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลกําหนดให้วันที่ 20 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านหรือ อสม.ที่มีจิตอาสา เสียสละทํางาน ดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นตัวเชื่อมการทํางานระหว่างชุมชนและสถานบริการสาธารณสุข ส่งผลให้การขับเคลื่อนงานของกระทรวงสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิเกิดผลสําเร็จ ปัจจุบันมี อสม. ทั่วประเทศ 1,041,386 คน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม เช่น การดูแลผู้สูงอายุผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการยกระดับคุณภาพบริการทางด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชนด้วยการวางรากฐานพัฒนา และเสริมความเข้มแข็งให้แก่การบริการด้านสาธารณสุข โดยเน้นความทั่วถึง มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานสอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศตามโครงการ ไทยนิยมยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพให้เป็น “สมาร์ท อสม.4.0 ร่วมชวนคนไทยสร้างสุขภาพดี เลิกสูบบุหรี่ ลดเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด” มีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้เป็น “ อสม. 4.0” ทั่วประเทศ มีความสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทํางาน มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในการแนะนําประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่น SMART อสม. แสดงการเป็นจิตอาสาและเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ โดยมีทักษะการช่วยเหลือสังคมด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้อย่างถูกวิธี และสามารถจัดการสุขภาพชุมชนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
แพทย์หญิงประนอม คําเที่ยง อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในปีนี้ มีผู้เข้ารับรางวัล อสม. ดีเด่นระดับชาติ 16 คน ใน 11 สาขา ระดับภาค 32 คน อสม. ดีเด่นระดับเขตสุขภาพ 88 คน อสม. ดีเด่นระดับจังหวัด 78 ทีม ต้นแบบ อสม. 4.0 จํานวน 4 รางวัล ทีมเจ้าหน้าที่ผู้สนับสนุน อสม. ดีเด่นระดับชาติ 16 ทีม และองค์กร อสม.สร้างสุขภาพ รู้ตน ลดเสี่ยง ลดโรค ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีเด่น รางวัลรองชนะเลิศและรางวัลชมเชย ระดับเขต ประจําปี 2560 36 องค์กร พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จํานวน 42 คน ประกอบด้วยชั้น เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ 3 คน ชั้นเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ 11 คน และชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ 28 คน โล่รางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์กร อสม.สร้างสุขภาพ รู้ตน ลดเสี่ยง ลดโรค ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีเด่นชนะเลิศระดับเขต ประจําปี 2559 12 องค์กร
********************************* 20 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี 2561 เพิ่มศักยภาพเป็น อสม.4.0
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
สธ. มอบรางวัล อสม.ดีเด่นระดับชาติ ประจําปี 2561 เพิ่มศักยภาพเป็น อสม.4.0
กระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลอาสาสมัครสาธารณสุข ดีเด่นระดับชาติ ขับเคลื่อนให้เป็น อสม.4.0 เน้นความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มีจิตอาสา เป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง ให้ประชาชนรอบรู้ด้านสุขภาพ
วันนี้ (20 มีนาคม 2561) ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา กทม.ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานในพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ชั้นเบญจมดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ โล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ อสม.ประจําหมู่บ้านดีเด่นระดับชาติ พร้อมประกาศเจตนารมณ์การทํางานของ อสม.ในปี 2561
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลกําหนดให้วันที่ 20 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านหรือ อสม.ที่มีจิตอาสา เสียสละทํางาน ดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นตัวเชื่อมการทํางานระหว่างชุมชนและสถานบริการสาธารณสุข ส่งผลให้การขับเคลื่อนงานของกระทรวงสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิเกิดผลสําเร็จ ปัจจุบันมี อสม. ทั่วประเทศ 1,041,386 คน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม เช่น การดูแลผู้สูงอายุผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการยกระดับคุณภาพบริการทางด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชนด้วยการวางรากฐานพัฒนา และเสริมความเข้มแข็งให้แก่การบริการด้านสาธารณสุข โดยเน้นความทั่วถึง มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานสอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศตามโครงการ ไทยนิยมยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพให้เป็น “สมาร์ท อสม.4.0 ร่วมชวนคนไทยสร้างสุขภาพดี เลิกสูบบุหรี่ ลดเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด” มีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้เป็น “ อสม. 4.0” ทั่วประเทศ มีความสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทํางาน มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในการแนะนําประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่น SMART อสม. แสดงการเป็นจิตอาสาและเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ โดยมีทักษะการช่วยเหลือสังคมด้านการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้อย่างถูกวิธี และสามารถจัดการสุขภาพชุมชนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
แพทย์หญิงประนอม คําเที่ยง อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในปีนี้ มีผู้เข้ารับรางวัล อสม. ดีเด่นระดับชาติ 16 คน ใน 11 สาขา ระดับภาค 32 คน อสม. ดีเด่นระดับเขตสุขภาพ 88 คน อสม. ดีเด่นระดับจังหวัด 78 ทีม ต้นแบบ อสม. 4.0 จํานวน 4 รางวัล ทีมเจ้าหน้าที่ผู้สนับสนุน อสม. ดีเด่นระดับชาติ 16 ทีม และองค์กร อสม.สร้างสุขภาพ รู้ตน ลดเสี่ยง ลดโรค ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีเด่น รางวัลรองชนะเลิศและรางวัลชมเชย ระดับเขต ประจําปี 2560 36 องค์กร พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จํานวน 42 คน ประกอบด้วยชั้น เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ 3 คน ชั้นเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ 11 คน และชั้นเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ 28 คน โล่รางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์กร อสม.สร้างสุขภาพ รู้ตน ลดเสี่ยง ลดโรค ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดีเด่นชนะเลิศระดับเขต ประจําปี 2559 12 องค์กร
********************************* 20 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10906
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมดำเนินโครงการจิตอาสาประชารัฐ พัฒนาแหล่งน้ำ บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 50 เขตกทม.- ทั่วประเทศ ขยายแหล่งน้ำใช้ประโยชน์ให้ประชาชน และพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลเตรียมดําเนินโครงการจิตอาสาประชารัฐ พัฒนาแหล่งน้ํา บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 50 เขตกทม.- ทั่วประเทศ ขยายแหล่งน้ําใช้ประโยชน์ให้ประชาชน และพัฒนาแหล่งน้ําชุมชน
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการแหล่งน้ําทั่วประเทศ
วันนี้ (6 ก.ค.60) เวลา 10.00 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการแหล่งน้ําทั่วประเทศ ซึ่งสรุปผลการประชุมที่สําคัญ ดังนี้
ทั้งนี้ จากข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้มอบแนวทางให้ไปดําเนินการในการจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ํา ทําทางระบายน้ํา หรือพัฒนาแหล่งน้ํา สําหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันทั่วประเทศ โดยให้ประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน รวมทั้งช่วยกันฟื้นฟูแหล่งน้ํา ได้รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันเก็บขยะเพื่อสะดวกในการระบายน้ํา ซึ่งเป็นไปตามดําริของนายกรัฐมนตรี จึงได้มีการจัดตั้งโครงการจิตอาสาประชารัฐพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันขุดลอก คูคลองขยายแหล่งน้ํา กําจัดวัชพืช และขยะตามแหล่งน้ํา และเป็นการเพิ่มการกักเก็บน้ําร่วมถึงทําทางระบายน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันอุทกภัยและปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการจัดกิจกรรมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1.ในส่วน กทม.จํานวน 50 เขต ซึ่งจะมีการดําเนินการในรูปแบบบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ โดยมีการเก็บขยะตามแม่น้ํา คู และคลอง รวมถึงขยายการระบายให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2560 ซึ่งร่วมมือกับกองทัพทุกเหล่าทัพ และอาสาสมัครจากทุกภาคส่วนที่จะเข้ามาร่วมด้วย
อนึ่ง ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ อําเภอละ 1 แห่ง จะมีการจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 กรกฎาคมนี้ โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับ นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินกิจกรรมกําจัดขยะ สิ่งกีดขวางการระบายน้ําในแม่น้ําลําคลองหรือแม่น้ําสายหลัก ส่วนระยะที่ 2 จะมีการขุดสระน้ําขนาดเล็ก เพื่อเป็นพื้นที่กักเก็บน้ําเพื่อใช้ในการเกษตร มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก และร่วมมือกับภาคเอกชน ประชาชน ในการดําเนินการ ส่วนระยะที่ 3 จะเป็นการพัฒนาแหล่งน้ําทางระบายน้ําในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างน้อยอําเภอละ 1 แห่งใน 76 จังหวัด โดยให้ดําเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึง กันยายน 2560 โดยมี กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และระยะที่ 4 เป็นการพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันในชุมชนหรือตามการร้องขอของประชาชนทั่วประเทศ และกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน โดยให้ดําเนินการภายในเดือนกันยายนนี้
....................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมดำเนินโครงการจิตอาสาประชารัฐ พัฒนาแหล่งน้ำ บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 50 เขตกทม.- ทั่วประเทศ ขยายแหล่งน้ำใช้ประโยชน์ให้ประชาชน และพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลเตรียมดําเนินโครงการจิตอาสาประชารัฐ พัฒนาแหล่งน้ํา บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ 50 เขตกทม.- ทั่วประเทศ ขยายแหล่งน้ําใช้ประโยชน์ให้ประชาชน และพัฒนาแหล่งน้ําชุมชน
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการแหล่งน้ําทั่วประเทศ
วันนี้ (6 ก.ค.60) เวลา 10.00 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการแหล่งน้ําทั่วประเทศ ซึ่งสรุปผลการประชุมที่สําคัญ ดังนี้
ทั้งนี้ จากข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้มอบแนวทางให้ไปดําเนินการในการจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ํา ทําทางระบายน้ํา หรือพัฒนาแหล่งน้ํา สําหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันทั่วประเทศ โดยให้ประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน รวมทั้งช่วยกันฟื้นฟูแหล่งน้ํา ได้รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันเก็บขยะเพื่อสะดวกในการระบายน้ํา ซึ่งเป็นไปตามดําริของนายกรัฐมนตรี จึงได้มีการจัดตั้งโครงการจิตอาสาประชารัฐพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันขุดลอก คูคลองขยายแหล่งน้ํา กําจัดวัชพืช และขยะตามแหล่งน้ํา และเป็นการเพิ่มการกักเก็บน้ําร่วมถึงทําทางระบายน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันอุทกภัยและปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการจัดกิจกรรมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1.ในส่วน กทม.จํานวน 50 เขต ซึ่งจะมีการดําเนินการในรูปแบบบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ โดยมีการเก็บขยะตามแม่น้ํา คู และคลอง รวมถึงขยายการระบายให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2560 ซึ่งร่วมมือกับกองทัพทุกเหล่าทัพ และอาสาสมัครจากทุกภาคส่วนที่จะเข้ามาร่วมด้วย
อนึ่ง ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ อําเภอละ 1 แห่ง จะมีการจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 กรกฎาคมนี้ โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับ นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินกิจกรรมกําจัดขยะ สิ่งกีดขวางการระบายน้ําในแม่น้ําลําคลองหรือแม่น้ําสายหลัก ส่วนระยะที่ 2 จะมีการขุดสระน้ําขนาดเล็ก เพื่อเป็นพื้นที่กักเก็บน้ําเพื่อใช้ในการเกษตร มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก และร่วมมือกับภาคเอกชน ประชาชน ในการดําเนินการ ส่วนระยะที่ 3 จะเป็นการพัฒนาแหล่งน้ําทางระบายน้ําในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างน้อยอําเภอละ 1 แห่งใน 76 จังหวัด โดยให้ดําเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึง กันยายน 2560 โดยมี กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และระยะที่ 4 เป็นการพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันในชุมชนหรือตามการร้องขอของประชาชนทั่วประเทศ และกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน โดยให้ดําเนินการภายในเดือนกันยายนนี้
....................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5048
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลณ กศน.ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอภาชี
|
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาล ด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลณ กศน.ตําบลดอนหญ้านาง อําเภอภาชี
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี492/2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลณ กศน.ตําบลดอนหญ้านาง อําเภอภาชีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนการประชุม ครม.สัญจร ภาคกลาง
เมื่อวันจันทร์ที่18กันยายน 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพิษณุ ตุลสุข รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค., นายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) รวมทั้งรองเลขาธิการ กศน. และคณะผู้บริหาร กศน. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ณ ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลดอนหญ้านาง กศน.ตําบลดอนหญ้านางสังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอภาชี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ภาคกลาง ที่จะมีขึ้นในวันที่19กันยายน 2560ณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาอําเภอพระนครศรีอยุธยา
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้รับฟังและตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมของศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลดอนหญ้านางซึ่ง กศน.ตําบลดอนหญ้านางได้จัดตั้งขึ้น โดยความร่วมมือของกํานันพิชิต คุณวงษา ศิษย์เก่า กศน. ที่ได้อุทิศพื้นที่ส่วนตัวบริเวณบ้านพลับ หมู่6ตําบลดอนหญ้านาง เพื่อเป็นศูนย์จัดการศึกษา เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งได้จัดรูปแบบการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ โดยให้ครู กศน.ตําบล เป็นผู้ประสานงานปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิทยากร มาให้ความรู้กับคนในชุมชน ดังนี้
ด้านการเกษตรเช่น การทําเตาอิวาเตะ ปุ๋ยชีวภาพ ฮอร์โมนไข่ จุลินทรีย์จาวปลวก ฯลฯ
ด้านอาชีพเช่น การทําขนมอบ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การทําถ่านอัดแท่ง ฯลฯ
ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชน ทําให้ชุมชนมีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ช่วยให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ สามารถพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งศูนย์ กศน.ตําบลแห่งนี้จะเป็นสถานที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางอาชีพ ฝึกอาชีพ แหล่งเรียนรู้ แหล่งศึกษาดูงาน และแหล่งวิทยาการความรู้วิชาการและกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารส่วนกลางและในพื้นที่โดยมีนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร กศน.อําเภอทั้ง16อําเภอ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมโดยพล.อ.สุรเชษฐ์ได้ให้แนวทางการดําเนินงาน ดังนี้
ภารกิจของ กศน.ตําบลได้เน้นย้ําดําเนินงานตามภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและบริบทของพื้นที่ ภายใต้การขับเคลื่อนการดําเนินงาน 4 ศูนย์การเรียนรู้ ได้แก่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยตําบล (ศส.ปชต.)ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน ซึ่งภารกิจทั้ง4ด้านที่ผ่านมาแม้จะมีความก้าวหน้ามาโดยตลอด แต่ต้องการให้เกิดการทํางานเชิงบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ไม่ทํางานโดยลําพัง เพราะเมื่อแต่ละ กศน.ตําบล มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดความสมบูรณ์ของงาน และความเข้มแข็งเกิดขึ้นในระดับอําเภอและจังหวัดต่อไป
เน้นให้นําจุดแข็งและโอกาสของจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาใช้ในการพัฒนาเช่น จุดเด่นอยู่ที่การท่องเที่ยวและการเป็นเมืองมรดกโลก ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ยังพบ ก็พยายามแก้ไขปรับปรุงไปพร้อมกันด้วย
เน้นการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน "ประชารัฐ" เพื่อให้เกิดพลังและเติบโตไปด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
สภาพปัญหาที่ได้รับฟังจากประชาชนในการลงพื้นที่ครั้งนี้เช่น
กํานันตําบลดอนหญ้านางได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตส่วนตัวเรียนจบ กศน. และใช้ความรู้พื้นฐานดังกล่าวไปศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาโท จึงพร้อมทุ่มเทและกลับมามอบชีวิตส่วนตัวให้กับ กศน.
นายอําเภอภาชี อําเภอภาชีเป็นอําเภอเดียวที่ไม่ถูกน้ําท่วม เพราะเป็นพื้นที่สูง แต่ก็มีปัญหาในหน้าแล้งที่ต้องสูบน้ําจากระบบชลประทานมาใช้ นอกจากนี้ อําเภอภาชีได้ให้ กศน.อําเภอ/ตําบล เข้ามาช่วยพัฒนาในเรื่องอาชีพของประชาชน เพื่อต้องการเพิ่มมูลค่าสินค้าและฝีมือผลิตภัณฑ์ในชุมชน
ผอ.กศน.อําเภอมหาราชและบางไทร ต้องการให้ครูอัตราจ้าง กศน. มีความมั่นคง อย่างน้อยได้รับตําแหน่งพนักงานราชการให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ กศน.อําเภอต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสถานที่ รวมทั้งการขอใช้พื้นที่อาคารของเขตพื้นที่การศึกษาก็ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับความร่วมมือ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทําให้ได้เห็นตัวอย่างของกํานันตําบลดอนหญ้านาง ซึ่งเรียนจบ กศน.แต่มุ่งมั่นจนเรียนจบปริญญาโท ที่ได้ "มอบชีวิต" ให้กับ กศน. จึงขอให้ชาว กศน.ทุ่มเทการทํางาน "สุดชีวิต" เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์ ความสุข และความรู้ ร่วมกันพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน.
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ขอบคุณภาพถ่ายเพิ่มเติม:วิศิษฎ์ เจียรณัย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลณ กศน.ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอภาชี
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาล ด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลณ กศน.ตําบลดอนหญ้านาง อําเภอภาชี
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี492/2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลด้านศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลณ กศน.ตําบลดอนหญ้านาง อําเภอภาชีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนการประชุม ครม.สัญจร ภาคกลาง
เมื่อวันจันทร์ที่18กันยายน 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพิษณุ ตุลสุข รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค., นายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) รวมทั้งรองเลขาธิการ กศน. และคณะผู้บริหาร กศน. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ณ ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลดอนหญ้านาง กศน.ตําบลดอนหญ้านางสังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอภาชี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ภาคกลาง ที่จะมีขึ้นในวันที่19กันยายน 2560ณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาอําเภอพระนครศรีอยุธยา
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้รับฟังและตรวจเยี่ยมการจัดกิจกรรมของศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบลดอนหญ้านางซึ่ง กศน.ตําบลดอนหญ้านางได้จัดตั้งขึ้น โดยความร่วมมือของกํานันพิชิต คุณวงษา ศิษย์เก่า กศน. ที่ได้อุทิศพื้นที่ส่วนตัวบริเวณบ้านพลับ หมู่6ตําบลดอนหญ้านาง เพื่อเป็นศูนย์จัดการศึกษา เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งได้จัดรูปแบบการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ โดยให้ครู กศน.ตําบล เป็นผู้ประสานงานปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิทยากร มาให้ความรู้กับคนในชุมชน ดังนี้
ด้านการเกษตรเช่น การทําเตาอิวาเตะ ปุ๋ยชีวภาพ ฮอร์โมนไข่ จุลินทรีย์จาวปลวก ฯลฯ
ด้านอาชีพเช่น การทําขนมอบ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การทําถ่านอัดแท่ง ฯลฯ
ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชน ทําให้ชุมชนมีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ช่วยให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ สามารถพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งศูนย์ กศน.ตําบลแห่งนี้จะเป็นสถานที่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางอาชีพ ฝึกอาชีพ แหล่งเรียนรู้ แหล่งศึกษาดูงาน และแหล่งวิทยาการความรู้วิชาการและกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารส่วนกลางและในพื้นที่โดยมีนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร กศน.อําเภอทั้ง16อําเภอ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมโดยพล.อ.สุรเชษฐ์ได้ให้แนวทางการดําเนินงาน ดังนี้
ภารกิจของ กศน.ตําบลได้เน้นย้ําดําเนินงานตามภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและบริบทของพื้นที่ ภายใต้การขับเคลื่อนการดําเนินงาน 4 ศูนย์การเรียนรู้ ได้แก่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยตําบล (ศส.ปชต.)ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน ซึ่งภารกิจทั้ง4ด้านที่ผ่านมาแม้จะมีความก้าวหน้ามาโดยตลอด แต่ต้องการให้เกิดการทํางานเชิงบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ไม่ทํางานโดยลําพัง เพราะเมื่อแต่ละ กศน.ตําบล มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดความสมบูรณ์ของงาน และความเข้มแข็งเกิดขึ้นในระดับอําเภอและจังหวัดต่อไป
เน้นให้นําจุดแข็งและโอกาสของจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาใช้ในการพัฒนาเช่น จุดเด่นอยู่ที่การท่องเที่ยวและการเป็นเมืองมรดกโลก ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ยังพบ ก็พยายามแก้ไขปรับปรุงไปพร้อมกันด้วย
เน้นการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน "ประชารัฐ" เพื่อให้เกิดพลังและเติบโตไปด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
สภาพปัญหาที่ได้รับฟังจากประชาชนในการลงพื้นที่ครั้งนี้เช่น
กํานันตําบลดอนหญ้านางได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตส่วนตัวเรียนจบ กศน. และใช้ความรู้พื้นฐานดังกล่าวไปศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาโท จึงพร้อมทุ่มเทและกลับมามอบชีวิตส่วนตัวให้กับ กศน.
นายอําเภอภาชี อําเภอภาชีเป็นอําเภอเดียวที่ไม่ถูกน้ําท่วม เพราะเป็นพื้นที่สูง แต่ก็มีปัญหาในหน้าแล้งที่ต้องสูบน้ําจากระบบชลประทานมาใช้ นอกจากนี้ อําเภอภาชีได้ให้ กศน.อําเภอ/ตําบล เข้ามาช่วยพัฒนาในเรื่องอาชีพของประชาชน เพื่อต้องการเพิ่มมูลค่าสินค้าและฝีมือผลิตภัณฑ์ในชุมชน
ผอ.กศน.อําเภอมหาราชและบางไทร ต้องการให้ครูอัตราจ้าง กศน. มีความมั่นคง อย่างน้อยได้รับตําแหน่งพนักงานราชการให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ กศน.อําเภอต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสถานที่ รวมทั้งการขอใช้พื้นที่อาคารของเขตพื้นที่การศึกษาก็ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับความร่วมมือ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทําให้ได้เห็นตัวอย่างของกํานันตําบลดอนหญ้านาง ซึ่งเรียนจบ กศน.แต่มุ่งมั่นจนเรียนจบปริญญาโท ที่ได้ "มอบชีวิต" ให้กับ กศน. จึงขอให้ชาว กศน.ทุ่มเทการทํางาน "สุดชีวิต" เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์ ความสุข และความรู้ ร่วมกันพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน.
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ขอบคุณภาพถ่ายเพิ่มเติม:วิศิษฎ์ เจียรณัย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6779
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ ๑๓ งาน Thailand Retail, Food and Hospitality Services 2017 ซึ่งจัดเป็นปีที่ ๑๑ และ งาน ASEAN Retail 2017 จัดขึ้นเป็นปีที่ ๒ ซึ่งทั้ง ๓ งานจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "One Stop Shop Hotel Rrtail Solutions"
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจัดงานนี้เป็นการสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล ในการสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศ เพื่อกระจายรายได้ไปยังภาคส่วนต่างๆ และเป็นการแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจของอาเซียน พร้อมกล่าวชื่นชมผู้จัดงานที่สามารถเชิญชวนผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมงานได้เป็นจํานวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจของไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Franchise and Business Opportunities 2017 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ ๑๓ งาน Thailand Retail, Food and Hospitality Services 2017 ซึ่งจัดเป็นปีที่ ๑๑ และ งาน ASEAN Retail 2017 จัดขึ้นเป็นปีที่ ๒ ซึ่งทั้ง ๓ งานจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "One Stop Shop Hotel Rrtail Solutions"
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การจัดงานนี้เป็นการสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล ในการสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศ เพื่อกระจายรายได้ไปยังภาคส่วนต่างๆ และเป็นการแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจของอาเซียน พร้อมกล่าวชื่นชมผู้จัดงานที่สามารถเชิญชวนผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมงานได้เป็นจํานวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจของไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5181
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท
|
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลัง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ ที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 439 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.57 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 180 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.50 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.11 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 33 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.56 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 3 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 53 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.98 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 24 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.30 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,146.185 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,825 ซอง ไพ่ จํานวน 396 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 12,969.00 ลิตร น้ําหอม จํานวน 51 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 55 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลัง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ ที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 748 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.04 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 439 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.57 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 180 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 3.50 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.11 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 33 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.56 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 3 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 53 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.98 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 24 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.30 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,146.185 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,825 ซอง ไพ่ จํานวน 396 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 12,969.00 ลิตร น้ําหอม จํานวน 51 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 55 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18245
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”ให้ลูกค้าลงทะเบียนทุกสาขา เพิ่มความปลอดภัยจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์ ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”ให้ลูกค้าลงทะเบียนทุกสาขา เพิ่มความปลอดภัยจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ขานรับการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 2 ของภาครัฐ โดยตั้งจุดสแกน QR Code ทุกสาขาและสํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้มาติดต่อธนาคารได้เช็คอิน-เช็คเอาท์
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ขานรับการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 2 ของภาครัฐ โดยตั้งจุดสแกน QR Code ทุกสาขาและสํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้มาติดต่อธนาคารได้เช็คอิน-เช็คเอาท์ ก่อนและหลังเข้าสาขา ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ สําหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือไม่สะดวกใช้สมาร์ทโฟน สามารถเข้าใช้บริการได้เช่นกัน เพียงแค่ลงทะเบียน กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทรศัพท์ ในสมุดบันทึกที่ธนาคารได้จัดเตรียมไว้ ทั้งนี้เป็นการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการติดตามกรณีพบความเสี่ยงติดเชื้อในพื้นที่ที่ลูกค้ามาใช้บริการถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในวิถีใหม่ (New Normal) โดยเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดโควิด-19 เพิ่มเติมจากมาตรการเดิมที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย คัดกรองและสอบถามประวัติการเดินทางของลูกค้า ตรวจวัดอุณหภูมิ จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ จัดระเบียบที่นั่งและการรอคิวโดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาดพื้นและผิวสัมผัสอย่างสม่ําเสมอ เป็นต้น เพื่อร่วมแรงร่วมใจ และผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
สําหรับสาขาของธนาคาร ที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า เปิดให้บริการทุกวัน (จันทร์ - อาทิตย์) ระหว่างเวลา 11.00 – 17.00 น. ส่วนสาขาที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการวันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 -15.30 น. ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ibank Call Center 1302
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”ให้ลูกค้าลงทะเบียนทุกสาขา เพิ่มความปลอดภัยจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์ ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”ให้ลูกค้าลงทะเบียนทุกสาขา เพิ่มความปลอดภัยจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ขานรับการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 2 ของภาครัฐ โดยตั้งจุดสแกน QR Code ทุกสาขาและสํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้มาติดต่อธนาคารได้เช็คอิน-เช็คเอาท์
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ขานรับการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 2 ของภาครัฐ โดยตั้งจุดสแกน QR Code ทุกสาขาและสํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้มาติดต่อธนาคารได้เช็คอิน-เช็คเอาท์ ก่อนและหลังเข้าสาขา ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ สําหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือไม่สะดวกใช้สมาร์ทโฟน สามารถเข้าใช้บริการได้เช่นกัน เพียงแค่ลงทะเบียน กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทรศัพท์ ในสมุดบันทึกที่ธนาคารได้จัดเตรียมไว้ ทั้งนี้เป็นการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการติดตามกรณีพบความเสี่ยงติดเชื้อในพื้นที่ที่ลูกค้ามาใช้บริการถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในวิถีใหม่ (New Normal) โดยเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดโควิด-19 เพิ่มเติมจากมาตรการเดิมที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย คัดกรองและสอบถามประวัติการเดินทางของลูกค้า ตรวจวัดอุณหภูมิ จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ จัดระเบียบที่นั่งและการรอคิวโดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาดพื้นและผิวสัมผัสอย่างสม่ําเสมอ เป็นต้น เพื่อร่วมแรงร่วมใจ และผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
สําหรับสาขาของธนาคาร ที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า เปิดให้บริการทุกวัน (จันทร์ - อาทิตย์) ระหว่างเวลา 11.00 – 17.00 น. ส่วนสาขาที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการวันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 -15.30 น. ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ibank Call Center 1302
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31674
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
|
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
วันที่ 24 ตุลาคม 2561 เวลา 09.00 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8 และต่อมาเวลา 11.15 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ รวมจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น(AMCA+3) ครั้งที่ 8 โดยมี นางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษางานด้านต่างประเทศสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศ ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
รมว.วธ.เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8
วันที่ 24 ตุลาคม 2561 เวลา 09.00 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 8 และต่อมาเวลา 11.15 น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กํากับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ รวมจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น(AMCA+3) ครั้งที่ 8 โดยมี นางสาวดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษางานด้านต่างประเทศสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศ ณ Hyatt Regency Hotel เมืองยอคยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16293
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. มอบนโยบายให้สำนักงานปลัดเป็น MOPH 4.0
|
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.สธ. มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดเป็น MOPH 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานให้เป็นดิจิทัล ประชาชนเข้าถึงบริการสะดวกรวดเร็ว ลดเหลื่อมล้ํา เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เตรียมพร้อมสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานให้เป็นดิจิทัล ประชาชนเข้าถึงบริการสะดวกรวดเร็ว ลดเหลื่อมล้ํา เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เตรียมพร้อมสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นองค์กรหลักในการกําหนดทิศทางระบบสุขภาพของประเทศ และกํากับดูแล สนับสนุน การจัดระบบบริการประชาชน ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ํา และเตรียมการก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้มอบนโยบายให้เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการ ทั้งในด้านกายภาพ เน้นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น การผ่าตัดแผลเล็ก การนําเครื่องพิมพ์ 3 มิติมาใช้ในงานศัลยกรรมตกแต่งของผู้ป่วยมะเร็ง อุบัติเหตุ ทันตกรรม การผ่าตัดกระดูก และด้านดิจิทัล ปรับระบบบริหารจัดการโรงพยาบาลเป็น Smart Hospital พัฒนาไลน์ ออฟฟิเชียล MOPH Connect เป็นช่องทางเชื่อมต่อประชาชนกับโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ โรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน ได้เร่งพัฒนาให้เป็น Smart Hospital และมีการดําเนินงานแล้วในหลายโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลตรัง โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี โรงพยาบาลปทุมธานี โรงพยาบาลสงขลา เป็นต้น โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอํานวยความสะดวกในการัดบริการประชาชน เช่น การจองคิวออนไลน์ ระบบนัดหมายและแจ้งเตือนการฉีดวัคซีน ค้นหาเวชระเบียนออนไลน์ด้วยบัตรประชาชน ตรวจคนไข้ผ่านไอแพด ใช้ข้อมูลเดียวกัน ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกหมอครอบครัว (PCC Link) การส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ นอกจากนี้ เร่งพัฒนาให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ผ่าตัดแผลเล็ก เช่น โรงพยาบาลหาดใหญ่ ผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว โรงพยาบาลชลบุรี ใช้อุปกรณ์เสริม สร้างหุ่นจําลองทางการแพทย์เสมือนจริงที่สร้างด้วยการพิมพ์ภาพ 3 มิติ (3 D Printing) เพื่อช่วยในการผ่าตัดแก้ไขกระดูกใบหน้าผิดรูปที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคได้มากที่สุดในประเทศ ส่วนโรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น เป็นโรงพยาบาลแรกที่นํา 3 D Printing มาใช้สร้างมือเทียมอัจฉริยะเพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถใช้งานในชีวิตประจําวันได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ มีเป้าหมายขยายการเข้าถึง ไลน์ ออฟฟิเชียล MOPH Connect ซึ่งมีฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ การค้นหาหน่วยบริการทันใจ ค้นหาโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก ร้านขายยาทั่วประเทศที่ใกล้ตัว ตรวจสอบสิทธิ์การรักษาพยาบาล บริการจองคิวออนไลน์ในโรงพยาบาลทุกที่ทุกเวลา เรียกรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน 1669 การบริจาคเงินผ่านระบบ E Donation รวมถึงบริการพิเศษอื่น ๆ เช่น จัดทํา QR ฉลากยาพูดได้ ขณะนี้มีใช้งานได้แล้วประมาณ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ขอเชิญชวนประชาชนใช้บริการโดย add line @MOPH Connect
**************************************** 2 กุมภาพันธ์ 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. มอบนโยบายให้สำนักงานปลัดเป็น MOPH 4.0
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.สธ. มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดเป็น MOPH 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานให้เป็นดิจิทัล ประชาชนเข้าถึงบริการสะดวกรวดเร็ว ลดเหลื่อมล้ํา เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เตรียมพร้อมสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานให้เป็นดิจิทัล ประชาชนเข้าถึงบริการสะดวกรวดเร็ว ลดเหลื่อมล้ํา เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เตรียมพร้อมสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นองค์กรหลักในการกําหนดทิศทางระบบสุขภาพของประเทศ และกํากับดูแล สนับสนุน การจัดระบบบริการประชาชน ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ํา และเตรียมการก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้มอบนโยบายให้เป็น MOPH 4.0 ปรับระบบการทํางานเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการ ทั้งในด้านกายภาพ เน้นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น การผ่าตัดแผลเล็ก การนําเครื่องพิมพ์ 3 มิติมาใช้ในงานศัลยกรรมตกแต่งของผู้ป่วยมะเร็ง อุบัติเหตุ ทันตกรรม การผ่าตัดกระดูก และด้านดิจิทัล ปรับระบบบริหารจัดการโรงพยาบาลเป็น Smart Hospital พัฒนาไลน์ ออฟฟิเชียล MOPH Connect เป็นช่องทางเชื่อมต่อประชาชนกับโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ โรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน ได้เร่งพัฒนาให้เป็น Smart Hospital และมีการดําเนินงานแล้วในหลายโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลตรัง โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี โรงพยาบาลปทุมธานี โรงพยาบาลสงขลา เป็นต้น โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอํานวยความสะดวกในการัดบริการประชาชน เช่น การจองคิวออนไลน์ ระบบนัดหมายและแจ้งเตือนการฉีดวัคซีน ค้นหาเวชระเบียนออนไลน์ด้วยบัตรประชาชน ตรวจคนไข้ผ่านไอแพด ใช้ข้อมูลเดียวกัน ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกหมอครอบครัว (PCC Link) การส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ นอกจากนี้ เร่งพัฒนาให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ผ่าตัดแผลเล็ก เช่น โรงพยาบาลหาดใหญ่ ผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว โรงพยาบาลชลบุรี ใช้อุปกรณ์เสริม สร้างหุ่นจําลองทางการแพทย์เสมือนจริงที่สร้างด้วยการพิมพ์ภาพ 3 มิติ (3 D Printing) เพื่อช่วยในการผ่าตัดแก้ไขกระดูกใบหน้าผิดรูปที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคได้มากที่สุดในประเทศ ส่วนโรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น เป็นโรงพยาบาลแรกที่นํา 3 D Printing มาใช้สร้างมือเทียมอัจฉริยะเพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถใช้งานในชีวิตประจําวันได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ มีเป้าหมายขยายการเข้าถึง ไลน์ ออฟฟิเชียล MOPH Connect ซึ่งมีฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ การค้นหาหน่วยบริการทันใจ ค้นหาโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก ร้านขายยาทั่วประเทศที่ใกล้ตัว ตรวจสอบสิทธิ์การรักษาพยาบาล บริการจองคิวออนไลน์ในโรงพยาบาลทุกที่ทุกเวลา เรียกรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน 1669 การบริจาคเงินผ่านระบบ E Donation รวมถึงบริการพิเศษอื่น ๆ เช่น จัดทํา QR ฉลากยาพูดได้ ขณะนี้มีใช้งานได้แล้วประมาณ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ขอเชิญชวนประชาชนใช้บริการโดย add line @MOPH Connect
**************************************** 2 กุมภาพันธ์ 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18541
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1 /2559
|
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1 /2559
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนและงบประมาณในการดําเนินงานประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
วันนี้ (15 ธันวาคม 2559)เวลา 13.30 น.ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ครั้งที่ 1/2559
ที่ประชุมรับทราบคําสั่ง สํานักนายกรัฐมนตรีที่ 252/2559 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2559 แต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และมีนายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากําหนดนโยบายและแนวทาง รวมทั้งอํานวยการการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทํางานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานและดําเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างแผนและงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีฯ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ ระยะก่อนพระราชพิธีฯ ระยะระหว่างการจัดงานพระราชพิธีฯ และระยะหลังการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย
- ระยะก่อนพระราชพิธีฯ จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ กิจกรรมสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารพระราชพิธีฯ การจัดทําหนังสือพระราชประวัติ ซีดี ดีวีดี เพลงพระราชนิพนธ์ (ภาษาอังกฤษ)
- ระยะระหว่างการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย การจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ ศูนย์ถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียงและศูนย์สื่อมวลชน
- ระยะหลังจากการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย การรวบรวมและตัดต่อภาพเคลื่อนไหวพระราชพิธีฯ เพื่อนํามาเผยแพร่ออกอากาศ อีกทั้ง จัดทําดีวีดีรวบรวมพระราชพิธีฯ จัดทําเอกสารของคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อดําเนินการรวบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือจดหมายเหตุฯ พร้อมจัดอบรมผู้สื่อข่าวเพื่อดําเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดจนจัดทํากระบวนการ ขั้นตอนพร้อมรายละเอียดการจัดงานพระราชพิธีฯ ตลอดจนการบริหารจัดการงานในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดทําคู่มือสื่อมวลชน ขนาด 4.5 นิ้ว คูณ 7 นิ้ว พิมพ์ 4 สี จํานวน 2 ภาษา ได้แก่ภาษาไทย จํานวน 10,000 เล่ม และภาษาอังกฤษ จํานวน 5,000 เล่ม โดยเนื้อหาสาระสําคัญภายในคู่มือดังกล่าว ประกอบด้วยบทย่อพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ การเสด็จสวรรคต การจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย โบราณราชประเพณี หมายกําหนดการ การจัดริ้วกระบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระเมรุมาศ สิ่งก่อสร้างภายในและภายนอกมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเครื่องสูงสําคัญสําหรับพระบรมราชอิสริยยศ พระราชรถในพระราชพิธีฯ การแสดงมหรสพสมโภช ตลอดจนข้อมูลศูนย์ถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ ศูนย์วิทยุกระจายเสียง ศูนย์สื่อมวลชน ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร ผังบริเวณงาน การแต่งกายและการจัดระเบียบปฏิบัติของสื่อมวลชน
******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1 /2559
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1 /2559
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนและงบประมาณในการดําเนินงานประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
วันนี้ (15 ธันวาคม 2559)เวลา 13.30 น.ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ครั้งที่ 1/2559
ที่ประชุมรับทราบคําสั่ง สํานักนายกรัฐมนตรีที่ 252/2559 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2559 แต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และมีนายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณากําหนดนโยบายและแนวทาง รวมทั้งอํานวยการการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทํางานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานและดําเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างแผนและงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีฯ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ ระยะก่อนพระราชพิธีฯ ระยะระหว่างการจัดงานพระราชพิธีฯ และระยะหลังการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย
- ระยะก่อนพระราชพิธีฯ จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ กิจกรรมสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารพระราชพิธีฯ การจัดทําหนังสือพระราชประวัติ ซีดี ดีวีดี เพลงพระราชนิพนธ์ (ภาษาอังกฤษ)
- ระยะระหว่างการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย การจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ ศูนย์ถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียงและศูนย์สื่อมวลชน
- ระยะหลังจากการจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย การรวบรวมและตัดต่อภาพเคลื่อนไหวพระราชพิธีฯ เพื่อนํามาเผยแพร่ออกอากาศ อีกทั้ง จัดทําดีวีดีรวบรวมพระราชพิธีฯ จัดทําเอกสารของคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อดําเนินการรวบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือจดหมายเหตุฯ พร้อมจัดอบรมผู้สื่อข่าวเพื่อดําเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดจนจัดทํากระบวนการ ขั้นตอนพร้อมรายละเอียดการจัดงานพระราชพิธีฯ ตลอดจนการบริหารจัดการงานในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดทําคู่มือสื่อมวลชน ขนาด 4.5 นิ้ว คูณ 7 นิ้ว พิมพ์ 4 สี จํานวน 2 ภาษา ได้แก่ภาษาไทย จํานวน 10,000 เล่ม และภาษาอังกฤษ จํานวน 5,000 เล่ม โดยเนื้อหาสาระสําคัญภายในคู่มือดังกล่าว ประกอบด้วยบทย่อพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ การเสด็จสวรรคต การจัดงานพระราชพิธีฯ ประกอบด้วย โบราณราชประเพณี หมายกําหนดการ การจัดริ้วกระบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระเมรุมาศ สิ่งก่อสร้างภายในและภายนอกมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเครื่องสูงสําคัญสําหรับพระบรมราชอิสริยยศ พระราชรถในพระราชพิธีฯ การแสดงมหรสพสมโภช ตลอดจนข้อมูลศูนย์ถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ ศูนย์วิทยุกระจายเสียง ศูนย์สื่อมวลชน ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร ผังบริเวณงาน การแต่งกายและการจัดระเบียบปฏิบัติของสื่อมวลชน
******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1036
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ำจำเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
|
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ําจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ําจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห.และคณะ ได้ร่วมประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ( ADMM Retreat ) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่าง 5 - 7 ก.พ. 61 โดย ดร. เอิง เอ็ง เฮน ( Ng Eng Hen ) รมว.กห.สิงคโปร์ เป็นประธานการประชุม
ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์และความท้าทายความมั่นคงของภูมิภาค และหารือร่วมกัน ในการพัฒนากลไกความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อดํารงเสถียรภาพความเป็นแกนกลางของอาเซียน โดยเห็นความสําคัญร่วมกันในความร่วมมือด้าน การต่อต้านก่อการร้าย การเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางทะเล และการรับมือกับความร้ายแรงของอาวุธนิวเคลียร์ ชีวะและเคมี ซึ่งจําเป็นต้องพัฒนากลไกความร่วมมือด้านการข่าว เพื่อเป็นเครื่องมือในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามและเฝ้าระวังแก้ปัญหาการก่อการร้ายร่วมกัน โดยเน้นถึงความจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาคกว่า 600 ล้านคน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ในการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคอาเซียน เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และความร่วมมือกับพันธมิตรนอกภูมิภาค ในการรับมือกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในภูมิภาค
ต่อมา พล.อ.ประวิตร ได้หารือทวิภาคีกับ พล.อ.รามิซาร์ด ราชูดู รมว.กห.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหาร และได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม โครงการ Our Eyes Initiative ที่อินโดนีเซียเป็นฝ่ายริเริ่ม เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการเสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข่าวสารระดับยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ใน 6 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์และไทย
ต่อจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้หารือทวิภาคีกับ ดร. เอิง เอ็ง เฮน ( Ng Eng Hen ) รมว.กห.สิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการฝึก ศึกษาร่วมกันของทั้งสามเหล่าทัพในหลักสูตรต่างๆ และความร่วมมือที่สําคัญภายใต้บันทึกความเข้าใจทางทหารด้านต่างๆ
หลังจากนั้น ได้พบปะพูดคุยกับ พล.อ.ฉาง ว่านฉวน รมว.กห.สาธารณรัฐประชาชนจีนและร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไม่เป็นทางการ โดยที่ประชุมหารือร่วมกันถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงของภูมิภาค และขอขอบคุณจีน ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาเซียนในการสร้างความมั่นคงกับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเห็นชอบร่วมกันในหลักการ ให้มีการฝึกร่วมทางทะเลกับจีนในปี 61 โดยให้จัดตั้งคณะทํางานศึกษารายละเอียดร่วมกัน พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นร่วมกันว่า ความร่วมมือกันดําเนินงานของ กห.ไทยและจีน ในคณะทํางานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย จะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างกลไกความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายให้มีประสิทธิภาพ ร่วมกันต่อไป ซึ่งการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว นอกจากจะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการเสริมและพัฒนากลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคง สู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลําดับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ำจำเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ําจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน แสดงเจตนารณ์ร่วมในการเสริมสร้างความร่วมมือกัน รับมือกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาค ย้ําจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห.และคณะ ได้ร่วมประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ( ADMM Retreat ) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่าง 5 - 7 ก.พ. 61 โดย ดร. เอิง เอ็ง เฮน ( Ng Eng Hen ) รมว.กห.สิงคโปร์ เป็นประธานการประชุม
ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์และความท้าทายความมั่นคงของภูมิภาค และหารือร่วมกัน ในการพัฒนากลไกความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อดํารงเสถียรภาพความเป็นแกนกลางของอาเซียน โดยเห็นความสําคัญร่วมกันในความร่วมมือด้าน การต่อต้านก่อการร้าย การเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิดทางทะเล และการรับมือกับความร้ายแรงของอาวุธนิวเคลียร์ ชีวะและเคมี ซึ่งจําเป็นต้องพัฒนากลไกความร่วมมือด้านการข่าว เพื่อเป็นเครื่องมือในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามและเฝ้าระวังแก้ปัญหาการก่อการร้ายร่วมกัน โดยเน้นถึงความจําเป็นต้องมีเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันในฉันทามติของอาเซียน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาคกว่า 600 ล้านคน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ในการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคอาเซียน เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และความร่วมมือกับพันธมิตรนอกภูมิภาค ในการรับมือกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในภูมิภาค
ต่อมา พล.อ.ประวิตร ได้หารือทวิภาคีกับ พล.อ.รามิซาร์ด ราชูดู รมว.กห.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหาร และได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม โครงการ Our Eyes Initiative ที่อินโดนีเซียเป็นฝ่ายริเริ่ม เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการเสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข่าวสารระดับยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ใน 6 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์และไทย
ต่อจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้หารือทวิภาคีกับ ดร. เอิง เอ็ง เฮน ( Ng Eng Hen ) รมว.กห.สิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการฝึก ศึกษาร่วมกันของทั้งสามเหล่าทัพในหลักสูตรต่างๆ และความร่วมมือที่สําคัญภายใต้บันทึกความเข้าใจทางทหารด้านต่างๆ
หลังจากนั้น ได้พบปะพูดคุยกับ พล.อ.ฉาง ว่านฉวน รมว.กห.สาธารณรัฐประชาชนจีนและร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไม่เป็นทางการ โดยที่ประชุมหารือร่วมกันถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงของภูมิภาค และขอขอบคุณจีน ที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาเซียนในการสร้างความมั่นคงกับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเห็นชอบร่วมกันในหลักการ ให้มีการฝึกร่วมทางทะเลกับจีนในปี 61 โดยให้จัดตั้งคณะทํางานศึกษารายละเอียดร่วมกัน พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นร่วมกันว่า ความร่วมมือกันดําเนินงานของ กห.ไทยและจีน ในคณะทํางานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย จะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างกลไกความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายให้มีประสิทธิภาพ ร่วมกันต่อไป ซึ่งการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว นอกจากจะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการเสริมและพัฒนากลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคง สู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลําดับ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9900
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
|
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน
เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
วันนี้ (6 ก.พ. 62) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า 4 รัฐวิสาหกิจ ในกํากับของกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค เพิ่มช่องทางการให้บริการประชาชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งการชําระค่าบริการ การเช็คยอดค่าใช้บริการ การแจ้งเหตุขัดข้อง และข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกผ่านระบบออนไลน์ ทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังจุดให้บริการ และยังช่วยลดค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดจาก ใช้รถใช้ถนน โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android และ IOS สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ Play Store และ App store โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
การไฟฟ้านครหลวง : MEA Smart life “App โดนใจ เรื่องไฟฟ้า มีทุกเรื่อง” ตรวจสอบค่าไฟฟ้า สะดวก ชําระค่าไฟฟ้า และรวดเร็วในการแจ้งเหตุไฟฟ้าขัดข้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MEA Call Center 1130
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค : PEA Smart Plus “จัดให้ง่าย ได้ทุกเรื่อง” ให้บริการชําระค่าไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้าใหม่ แจ้งเหตุขัดข้อง ขอติดตั้งมิเตอร์ ข่าวสารประชาสัมพันธ์ และบริการแจ้งเตือนค่าไฟฟ้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PEA Call Center 1129
การประปานครหลวง : MWA onMoblie “แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา” ให้บริการ
แจ้งค่าบริการน้ําประปา ชําระค่าน้ําประปา แจ้งปัญหา และบริการแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งนี้ กปน. ได้จัดกิจกรรม
“โหลดปั๊ป ลุ้นรับ 2 ต่อ” กปน. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย มอบของขวัญปีใหม่ 2562 ให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน พร้อมลงทะเบียนผู้ใช้น้ํา ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2562 - 31 มีนาคม 2562 เพื่อลุ้นรับโชค 2 ต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MWA Call Center 1125
การประปาส่วนภูมิภาค : PWA1662 “จะจ่าย จะแจ้ง แอปฯ เดียวจบ!” แอปพลิเคชันเพื่ออํานวย
ความสะดวกให้แก่ผู้ใช้น้ําของ กปภ. ตรวจค่าน้ํา ดูสถิติการใช้น้ําย้อนหลัง แจ้งปัญหา และบริการข้อมูลข่าวสารต่างๆ
โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PWA1662 ได้ฟรีผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
ที่ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PWA Call Center 1662
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
ไฟฟ้า ประปา จับมือร่วมกันอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน
เชิญชวน โหลดแอปฯ ใช้บริการแทนเดินทางไปยังสาขา ชี้ช่วยลด PM 2.5
วันนี้ (6 ก.พ. 62) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า 4 รัฐวิสาหกิจ ในกํากับของกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค เพิ่มช่องทางการให้บริการประชาชน ผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งการชําระค่าบริการ การเช็คยอดค่าใช้บริการ การแจ้งเหตุขัดข้อง และข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกผ่านระบบออนไลน์ ทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังจุดให้บริการ และยังช่วยลดค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดจาก ใช้รถใช้ถนน โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android และ IOS สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ Play Store และ App store โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
การไฟฟ้านครหลวง : MEA Smart life “App โดนใจ เรื่องไฟฟ้า มีทุกเรื่อง” ตรวจสอบค่าไฟฟ้า สะดวก ชําระค่าไฟฟ้า และรวดเร็วในการแจ้งเหตุไฟฟ้าขัดข้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MEA Call Center 1130
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค : PEA Smart Plus “จัดให้ง่าย ได้ทุกเรื่อง” ให้บริการชําระค่าไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้าใหม่ แจ้งเหตุขัดข้อง ขอติดตั้งมิเตอร์ ข่าวสารประชาสัมพันธ์ และบริการแจ้งเตือนค่าไฟฟ้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PEA Call Center 1129
การประปานครหลวง : MWA onMoblie “แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา” ให้บริการ
แจ้งค่าบริการน้ําประปา ชําระค่าน้ําประปา แจ้งปัญหา และบริการแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งนี้ กปน. ได้จัดกิจกรรม
“โหลดปั๊ป ลุ้นรับ 2 ต่อ” กปน. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย มอบของขวัญปีใหม่ 2562 ให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน พร้อมลงทะเบียนผู้ใช้น้ํา ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2562 - 31 มีนาคม 2562 เพื่อลุ้นรับโชค 2 ต่อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MWA Call Center 1125
การประปาส่วนภูมิภาค : PWA1662 “จะจ่าย จะแจ้ง แอปฯ เดียวจบ!” แอปพลิเคชันเพื่ออํานวย
ความสะดวกให้แก่ผู้ใช้น้ําของ กปภ. ตรวจค่าน้ํา ดูสถิติการใช้น้ําย้อนหลัง แจ้งปัญหา และบริการข้อมูลข่าวสารต่างๆ
โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PWA1662 ได้ฟรีผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
ที่ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PWA Call Center 1662
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18611
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ย้ำความสำคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
|
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
ศบค. ย้ําความสําคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดํารงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
ศบค. ย้ําความสําคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดํารงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
วันนี้ (2 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงตัวเลขที่ 6 ราย รวมผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็น 2,966 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,732 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอายุเฉลี่ยที่ 39 ปี ซึ่งเป็นวัยที่กําลังเดินทางเข้าและออกในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศในขณะนี้ ซึ่งต้องขอให้ช่วยกันดูแลด้วย เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง สําหรับผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ที่ 180 ราย และพบผู้ป่วยที่อยู่ใน State Quarantine อีก 2 ราย
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 6 รายในวันนี้ มี 2 รายที่เป็นผู้ป่วยที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรก เป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 22 ปีอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต รายที่สอง เป็นผู้ป่วยชายอายุ 48 ปี อยู่ที่กรุงเทพฯ ผู้ป่วยที่พบจากการค้นหาเชิงรุก ที่อําเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 2 ราย เป็นผู้หญิงอายุ 21 ปี และ 58 ปี นอกจากนี้ พบผู้ป่วยอีก 2 รายที่อยู่ใน State Quarantine โดยเป็นผู้ชายอายุ 52 ปี มีประวัติเดินทางในประเทศญี่ปุ่นโดยรถไฟฟ้าร่วมกับคนญี่ปุ่น กลับมาเมืองไทยเมื่อ 21 เมษายน 63 อีกราย เป็นผู้หญิงอายุ 52 ปี เป็นนักบวชเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย กลับมาเมืองไทยเมื่อ 24 เมษายน 63 สะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของระบบ Local Quarantine และ State Quarantine ทําให้สามารถพบผู้ที่ติดเชื้อ ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
โฆษก ศบค. รายงานผู้ป่วยต่างจังหวัดมีแนวโน้มที่ดีแล้ว ขอฝากเจ้าของพื้นที่ได้ช่วยดูแล ทําให้เป็นพื้นที่สีเขียวปลอดโรคได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นความหวังในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยกรุงเทพฯ ยังมีจํานวนผู้ป่วยที่มากอยู่เป็นอันดับที่ 1 ขณะที่อัตราส่วนผู้ป่วยต่อแสนประชากร ภูเก็ตจะเป็นอันดับ 1 ส่วนการกระจายตัวของผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ พบว่า จังหวัดระยอง ตาก อุดรธานี ปรับลงมาอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา นอกจากนั้น อยู่ในระดับที่ดีทั้งหมด
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,401,002 ราย เสียชีวิต 239,602 ราย หายป่วยแล้วประมาณกว่า 1,000,000 ราย คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ที่อาการดีขึ้นถึงหายได้ อย่างไรก็ตามแต่ การเสียชีวิตยังมีตัวเลขที่สูงอยู่ คือร้อยละ 7 ซึ่งยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจที่มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจํานวนมาก
ทั้งนี้ ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา วานนี้เสียชีวิตเพิ่ม 1,915 ราย รวมยอดสะสมผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่กว่า 65,000 ราย อังกฤษ เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 739 ราย ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 27,000 ราย และบราซิล เสียชีวิตเพิ่ม 406 ราย ทําให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตอยู่ 6,400 กว่าราย
นอกจากนี้ สหรัฐเมริกา ยังเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มจํานวนมากถึง 36,242 ราย รองลงมาคือรัสเซีย 7,933 รายและอังกฤษ 6,201 รายตามลําดับ ขณะเดียวกันอินเดียก็มีตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่สูงขึ้นถึง 2,394 ราย ภายในวันเดียว ทําให้ยอดรวมผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 37,000 รายแล้ว ปากีสถาน มีผู้ป่วยรายใหม่ภายในวันเดียวเพิ่ม 1,297 ราย สิงคโปร์ ผู้ป่วยรายใหม่ 932 ราย ญี่ปุ่น ผู้ป่วยรายใหม่ลดลงมาที่ 217 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 433 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ป่วยรายใหม่ 284 ราย มาเลเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 69 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ ผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย ซึ่งสถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่คล้ายกับประเทศไทย
สําหรับอันดับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในอาเซียนและเอเชียพบว่า อินเดีย เป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือปากีสถาน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทยลงไปอยู่ที่อันดับ 60 แล้ว ขณะที่แนวโน้มของสหรัฐอเมริกา ยังดูทรงอยู่แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจ ด้านรัสเซีย บราซิล และอังกฤษ ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านล่าง ส่วนแนวโน้มของเอเชียนั้น อินเดีย เส้นกราฟยังพุ่งขึ้นเช่นเดียวกับทางปากีสถาน ขณะที่สิงคโปร์ ทิศทางแนวโน้มลดลง
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า มาเลเซีย มีการระบุว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมเกิน 100 คน โดยมีข้อความสําคัญคือมาเลเซียอยู่ภายใต้มาตรการล็อคดาวน์ระดับเดียวกันทั่วประเทศแต่ต้องต่อเวลามาตรการดังกล่าวทุก 14 วัน โดยกําหนดการปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ระหว่างนี้ภาครัฐก็ผ่อนคลายมาตรการอย่างเป็นลําดับขั้น เพื่ออํานวยความสะดวกในการดํารงชีวิตของประชาชนไม่ให้ตึงเครียดเกินไป และสนับสนุนให้มีการขับเคลื่อนทางอุตสาหกรรมที่มีความจําเป็นก่อน ซึ่งจะเริ่มวัน 4 พฤษภาคม 2563
ประเทศญี่ปุ่น ฮอกไกโด มีการปิดเมืองอีกครั้งหนึ่งหลังเจอโควิด-19 รอบ 2 โดยมีรายงานว่าฮอกไกโดตอนเหนือของญี่ปุ่นพบการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ระลอกที่ 2 คาดว่าสืบเนื่องจากที่รัฐบาลท้องถิ่นคลายมาตรการล็อคดาวน์เร็วเกินไป โดยทางการท้องถิ่นฮอกไกโดได้ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 63 ตั้งแต่เดือน 2 ที่แล้ว ด้วยต้องการให้ภาคธุรกิจ โรงเรียน กลับมาเปิดทําการอีกครั้งหลังจากที่ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายวันเหลือเพียงเลขหลักเดียว
โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายวันของญี่ปุ่นที่ลดลงนั้นคล้ายกับสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ที่จะให้มีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ซึ่งการผ่อนคลายของญี่ปุ่นทําให้เจอกับการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกที่ 2 ซึ่งไทยต้องเฝ้าดูตัวเลขอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
สหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศสั่งปิดชายหาดทุกแห่งในภูมิภาคที่อยู่ทางตอนใต้อย่างไม่มีกําหนด หลังรับรายงานว่าประชาชนจํานวนมากไปรวมตัวพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการละเมิดมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ขณะที่รัฐนิวยอร์กประกาศว่านับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 63 เป็นต้นไป รถไฟใต้ดินทุกเส้นทางในนครนิวยอร์กจะปิดบริการระหว่างตี 1 ถึงตี 5 เพื่อทําความสะอาด
3. การดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ เวลา 08.30 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากคาซัคสถาน 55 คน เวลา 17.05 น. จากเนเธอร์แลนด์ 50 คน และเวลา 17.35 น. จากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ดูไบ) 129 คน พรุ่งนี้ (3 พฤษภาคม 63) เวลา 18.55 น. จะมีผู้เดินทางกลับมาจากสเปน 45 คน เวลา 17.25 น. จากสิงคโปร์ 175 คน และเวลา 10.30 น. จากรัสเซีย 70 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน – 1 พฤษภาคม 63 มีผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้ว 3,584 คน จาก 24 ประเทศ โดยทุกคนจะต้องเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 466 คน เดินทางเข้ามาแล้ว 546 คน โดยมีผู้เดินทางจากเมียนมา 11 คน สปป.ลาว 39 คน กัมพูชา 42 คน และมาเลเซีย 454 คน
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 75 ราย ลดลง 79 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 550 ราย เพิ่มขึ้น 57 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 อันดับแรกคือ เล่นการพนันคิดเป็นร้อยละ 41 ดื่มสุราร้อยละ 39 และยาเสพติดร้อยละ 20
โฆษก ศบค. กล่าววว่า ช่วงนี้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย เพื่อลดผลกระทบในการทํามาหากิน อย่างไรก็ตาม โรคระบาดยังคงอยู่ ซึ่งมาตรการผ่อนคลายและข้อกําหนดต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ป้องกันการระบาดของโรค 2. เพื่อให้ประชาชนดํารงชีวิตได้อย่างปลอดภัย ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยฝากประชาชนให้สวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยให้ได้ร้อยละ 100 และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลเพื่อลดโรคต่อไป
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ย้ำความสำคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
ศบค. ย้ําความสําคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดํารงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
ศบค. ย้ําความสําคัญช่วงผ่อนคลาย ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และสามารถดํารงชีวิตอย่างปลอดภัย ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
วันนี้ (2 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงตัวเลขที่ 6 ราย รวมผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็น 2,966 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,732 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอายุเฉลี่ยที่ 39 ปี ซึ่งเป็นวัยที่กําลังเดินทางเข้าและออกในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศในขณะนี้ ซึ่งต้องขอให้ช่วยกันดูแลด้วย เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง สําหรับผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ที่ 180 ราย และพบผู้ป่วยที่อยู่ใน State Quarantine อีก 2 ราย
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 6 รายในวันนี้ มี 2 รายที่เป็นผู้ป่วยที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรก เป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 22 ปีอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต รายที่สอง เป็นผู้ป่วยชายอายุ 48 ปี อยู่ที่กรุงเทพฯ ผู้ป่วยที่พบจากการค้นหาเชิงรุก ที่อําเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 2 ราย เป็นผู้หญิงอายุ 21 ปี และ 58 ปี นอกจากนี้ พบผู้ป่วยอีก 2 รายที่อยู่ใน State Quarantine โดยเป็นผู้ชายอายุ 52 ปี มีประวัติเดินทางในประเทศญี่ปุ่นโดยรถไฟฟ้าร่วมกับคนญี่ปุ่น กลับมาเมืองไทยเมื่อ 21 เมษายน 63 อีกราย เป็นผู้หญิงอายุ 52 ปี เป็นนักบวชเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย กลับมาเมืองไทยเมื่อ 24 เมษายน 63 สะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของระบบ Local Quarantine และ State Quarantine ทําให้สามารถพบผู้ที่ติดเชื้อ ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
โฆษก ศบค. รายงานผู้ป่วยต่างจังหวัดมีแนวโน้มที่ดีแล้ว ขอฝากเจ้าของพื้นที่ได้ช่วยดูแล ทําให้เป็นพื้นที่สีเขียวปลอดโรคได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นความหวังในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยกรุงเทพฯ ยังมีจํานวนผู้ป่วยที่มากอยู่เป็นอันดับที่ 1 ขณะที่อัตราส่วนผู้ป่วยต่อแสนประชากร ภูเก็ตจะเป็นอันดับ 1 ส่วนการกระจายตัวของผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ พบว่า จังหวัดระยอง ตาก อุดรธานี ปรับลงมาอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา นอกจากนั้น อยู่ในระดับที่ดีทั้งหมด
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,401,002 ราย เสียชีวิต 239,602 ราย หายป่วยแล้วประมาณกว่า 1,000,000 ราย คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ที่อาการดีขึ้นถึงหายได้ อย่างไรก็ตามแต่ การเสียชีวิตยังมีตัวเลขที่สูงอยู่ คือร้อยละ 7 ซึ่งยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจที่มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้เป็นจํานวนมาก
ทั้งนี้ ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา วานนี้เสียชีวิตเพิ่ม 1,915 ราย รวมยอดสะสมผู้เสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่กว่า 65,000 ราย อังกฤษ เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 739 ราย ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 27,000 ราย และบราซิล เสียชีวิตเพิ่ม 406 ราย ทําให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตอยู่ 6,400 กว่าราย
นอกจากนี้ สหรัฐเมริกา ยังเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มจํานวนมากถึง 36,242 ราย รองลงมาคือรัสเซีย 7,933 รายและอังกฤษ 6,201 รายตามลําดับ ขณะเดียวกันอินเดียก็มีตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่สูงขึ้นถึง 2,394 ราย ภายในวันเดียว ทําให้ยอดรวมผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 37,000 รายแล้ว ปากีสถาน มีผู้ป่วยรายใหม่ภายในวันเดียวเพิ่ม 1,297 ราย สิงคโปร์ ผู้ป่วยรายใหม่ 932 ราย ญี่ปุ่น ผู้ป่วยรายใหม่ลดลงมาที่ 217 ราย อินโดนีเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 433 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ป่วยรายใหม่ 284 ราย มาเลเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 69 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ ผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย ซึ่งสถานการณ์ผู้ป่วยรายใหม่คล้ายกับประเทศไทย
สําหรับอันดับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในอาเซียนและเอเชียพบว่า อินเดีย เป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือปากีสถาน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทยลงไปอยู่ที่อันดับ 60 แล้ว ขณะที่แนวโน้มของสหรัฐอเมริกา ยังดูทรงอยู่แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจ ด้านรัสเซีย บราซิล และอังกฤษ ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านล่าง ส่วนแนวโน้มของเอเชียนั้น อินเดีย เส้นกราฟยังพุ่งขึ้นเช่นเดียวกับทางปากีสถาน ขณะที่สิงคโปร์ ทิศทางแนวโน้มลดลง
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า มาเลเซีย มีการระบุว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมเกิน 100 คน โดยมีข้อความสําคัญคือมาเลเซียอยู่ภายใต้มาตรการล็อคดาวน์ระดับเดียวกันทั่วประเทศแต่ต้องต่อเวลามาตรการดังกล่าวทุก 14 วัน โดยกําหนดการปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ระหว่างนี้ภาครัฐก็ผ่อนคลายมาตรการอย่างเป็นลําดับขั้น เพื่ออํานวยความสะดวกในการดํารงชีวิตของประชาชนไม่ให้ตึงเครียดเกินไป และสนับสนุนให้มีการขับเคลื่อนทางอุตสาหกรรมที่มีความจําเป็นก่อน ซึ่งจะเริ่มวัน 4 พฤษภาคม 2563
ประเทศญี่ปุ่น ฮอกไกโด มีการปิดเมืองอีกครั้งหนึ่งหลังเจอโควิด-19 รอบ 2 โดยมีรายงานว่าฮอกไกโดตอนเหนือของญี่ปุ่นพบการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ระลอกที่ 2 คาดว่าสืบเนื่องจากที่รัฐบาลท้องถิ่นคลายมาตรการล็อคดาวน์เร็วเกินไป โดยทางการท้องถิ่นฮอกไกโดได้ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 63 ตั้งแต่เดือน 2 ที่แล้ว ด้วยต้องการให้ภาคธุรกิจ โรงเรียน กลับมาเปิดทําการอีกครั้งหลังจากที่ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายวันเหลือเพียงเลขหลักเดียว
โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายวันของญี่ปุ่นที่ลดลงนั้นคล้ายกับสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ที่จะให้มีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ซึ่งการผ่อนคลายของญี่ปุ่นทําให้เจอกับการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกที่ 2 ซึ่งไทยต้องเฝ้าดูตัวเลขอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
สหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศสั่งปิดชายหาดทุกแห่งในภูมิภาคที่อยู่ทางตอนใต้อย่างไม่มีกําหนด หลังรับรายงานว่าประชาชนจํานวนมากไปรวมตัวพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการละเมิดมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ขณะที่รัฐนิวยอร์กประกาศว่านับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 63 เป็นต้นไป รถไฟใต้ดินทุกเส้นทางในนครนิวยอร์กจะปิดบริการระหว่างตี 1 ถึงตี 5 เพื่อทําความสะอาด
3. การดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ เวลา 08.30 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากคาซัคสถาน 55 คน เวลา 17.05 น. จากเนเธอร์แลนด์ 50 คน และเวลา 17.35 น. จากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ดูไบ) 129 คน พรุ่งนี้ (3 พฤษภาคม 63) เวลา 18.55 น. จะมีผู้เดินทางกลับมาจากสเปน 45 คน เวลา 17.25 น. จากสิงคโปร์ 175 คน และเวลา 10.30 น. จากรัสเซีย 70 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน – 1 พฤษภาคม 63 มีผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้ว 3,584 คน จาก 24 ประเทศ โดยทุกคนจะต้องเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 466 คน เดินทางเข้ามาแล้ว 546 คน โดยมีผู้เดินทางจากเมียนมา 11 คน สปป.ลาว 39 คน กัมพูชา 42 คน และมาเลเซีย 454 คน
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 75 ราย ลดลง 79 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 550 ราย เพิ่มขึ้น 57 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 อันดับแรกคือ เล่นการพนันคิดเป็นร้อยละ 41 ดื่มสุราร้อยละ 39 และยาเสพติดร้อยละ 20
โฆษก ศบค. กล่าววว่า ช่วงนี้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย เพื่อลดผลกระทบในการทํามาหากิน อย่างไรก็ตาม โรคระบาดยังคงอยู่ ซึ่งมาตรการผ่อนคลายและข้อกําหนดต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ป้องกันการระบาดของโรค 2. เพื่อให้ประชาชนดํารงชีวิตได้อย่างปลอดภัย ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยฝากประชาชนให้สวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยให้ได้ร้อยละ 100 และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลเพื่อลดโรคต่อไป
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น ในวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ณ ท่าอากาศยานขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยมี นางสาวกอบกุล โมทนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายจรุณ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ว่าที่ร้อยตรี อัธยา ลาภมาก ผู้อํานวยการท่าอากาศยานขอนแก่น ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ ในจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับและร่วมการประชุมรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของท่าอากาศยานขอนแก่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
ท่าอากาศยานขอนแก่นได้ดําเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่และปรับปรุง อาคารผู้โดยสารเดิม เป็นขนาด 44,500 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถหลังใหม่และปรับปรุงอาคารจอดรถหลังเดิมให้สามารถรองรับรถยนต์ได้ 1,002 คัน เริ่มดําเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2561 ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 28.83 และในปี 2564 จะเริ่มดําเนินโครงการก่อสร้างลานจอดอากาศยาน รองรับอากาศยานขนาด B737 ได้ 11 ลําในเวลาเดียวกัน
ปัจจุบันมีสายการบินให้บริการจํานวน 40 เที่ยวบินต่อวัน ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย ไทยสมายล์ ไทยไลอ้อนแอร์ นกแอร์ และนิวเจนแอร์เวย์ส ท่าอากาศยานขอนแก่น มีปริมาณผู้โดยสารภายในประเทศในปีงบประมาณ 2562 จํานวน 1,921,425 คน นอกจากนี้ท่าอากาศยานฯ มีความร่วมมือกับสํานักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่นและภาคเอกชน จัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะให้บริการเส้นทางท่าอากาศยานฯ - สถานีขนส่งผู้โดยสารขอนแก่น แห่งที่ 3 อัตราค่าโดยสาร 15 บาท
นายถาวร เสนเนียม ได้มอบให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เร่งรัดผู้รับจ้างดําเนินงานให้เป็นไปตามแผนงาน นําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาท่าอากาศยานเป็น SMART AIRPORT เชื่อมโลก เชื่อมเมืองไทย เชื่อมเมืองรอง พร้อมทั้งจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอกับปริมาณผู้ใช้บริการ ส่งเสริม สนับสนุน และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงการได้รับรางวัลต่าง ๆ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
นอกจากนี้ แขวงทางหลวงขอนแก่นที่ 1 ได้นําเสนอโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณทางเข้า - ออกท่าอากาศยานขอนแก่น โดยตัดเปิดเกาะกลาง ก่อสร้างชั้นโครงสร้างทางและผิวทางใหม่เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 12 พร้อมติดตั้งไปสัญญาณจราจรและไฟฟ้าแสงสว่าง เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนจากแยก ร.8 และช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนที่มาใช้บริการท่าอากาศยาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายเจือ ราชสีห์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความก้าวหน้าแผนการดําเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่าอากาศยานขอนแก่น ในวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ณ ท่าอากาศยานขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยมี นางสาวกอบกุล โมทนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายจรุณ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ว่าที่ร้อยตรี อัธยา ลาภมาก ผู้อํานวยการท่าอากาศยานขอนแก่น ผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ ในจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับและร่วมการประชุมรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของท่าอากาศยานขอนแก่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
ท่าอากาศยานขอนแก่นได้ดําเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่และปรับปรุง อาคารผู้โดยสารเดิม เป็นขนาด 44,500 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2,000 คนต่อชั่วโมง หรือ 5 ล้านคนต่อปี รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถหลังใหม่และปรับปรุงอาคารจอดรถหลังเดิมให้สามารถรองรับรถยนต์ได้ 1,002 คัน เริ่มดําเนินการก่อสร้างเมื่อปี 2561 ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 28.83 และในปี 2564 จะเริ่มดําเนินโครงการก่อสร้างลานจอดอากาศยาน รองรับอากาศยานขนาด B737 ได้ 11 ลําในเวลาเดียวกัน
ปัจจุบันมีสายการบินให้บริการจํานวน 40 เที่ยวบินต่อวัน ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย ไทยสมายล์ ไทยไลอ้อนแอร์ นกแอร์ และนิวเจนแอร์เวย์ส ท่าอากาศยานขอนแก่น มีปริมาณผู้โดยสารภายในประเทศในปีงบประมาณ 2562 จํานวน 1,921,425 คน นอกจากนี้ท่าอากาศยานฯ มีความร่วมมือกับสํานักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่นและภาคเอกชน จัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะให้บริการเส้นทางท่าอากาศยานฯ - สถานีขนส่งผู้โดยสารขอนแก่น แห่งที่ 3 อัตราค่าโดยสาร 15 บาท
นายถาวร เสนเนียม ได้มอบให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เร่งรัดผู้รับจ้างดําเนินงานให้เป็นไปตามแผนงาน นําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาท่าอากาศยานเป็น SMART AIRPORT เชื่อมโลก เชื่อมเมืองไทย เชื่อมเมืองรอง พร้อมทั้งจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอกับปริมาณผู้ใช้บริการ ส่งเสริม สนับสนุน และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงการได้รับรางวัลต่าง ๆ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
นอกจากนี้ แขวงทางหลวงขอนแก่นที่ 1 ได้นําเสนอโครงการแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณทางเข้า - ออกท่าอากาศยานขอนแก่น โดยตัดเปิดเกาะกลาง ก่อสร้างชั้นโครงสร้างทางและผิวทางใหม่เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 12 พร้อมติดตั้งไปสัญญาณจราจรและไฟฟ้าแสงสว่าง เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนจากแยก ร.8 และช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนที่มาใช้บริการท่าอากาศยาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23728
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- กทม.- ม.นวมินทราธิราช ร่วมกันใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
สธ.- กทม.- ม.นวมินทราธิราช ร่วมกันใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ลงนามความร่วมมือการใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่กทม.ให้ไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดําเนินงานของประเทศ
วันนี้ (5มิถุนายน 2561) ณ ห้องสุทัศน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 1 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพลตํารวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร
รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อนันต์ มโนมัยพิบูลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ลงนามความร่วมมือการใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ กทม. เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางของประเทศในการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ข้อตกลงนี้จะทําให้เกิดความร่วมมือในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพระหว่างหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่กทม.และจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศตามโครงสร้างมาตรฐานระบบข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เพื่อให้เกิดระบบในการจัดการข้อมูลและนําไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และระบบสารสนเทศ จัดทําคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพของกทม. รวมถึงให้บริการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศที่จําเป็นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ผ่านบริการ Smart Health ID ด้านสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคจะเป็นผู้กําหนดหลักเกณฑ์ และระเบียบวิธีการเฝ้าระวังและการรายงานสถานการณ์โรคและแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูล คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจะเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และจัดทําฐานข้อมูลเฝ้าระวังโรคของประเทศเพื่อพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรในการใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาเพื่อติดตามสถานการณ์
ในส่วนของ กทม.มีหน้าที่ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของโรงพยาบาลในสังกัด เพื่อนําเข้าคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ ผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาล ส่วนคณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช จะเป็นต้นแบบการพัฒนาระบบส่งออกข้อมูลจากระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลเพื่อนําคลังข้อมูลทางด้านการแพทย์และสุขภาพไปใช้ประโยชน์จากและร่วมกับอนามัย และสํานักการแพทย์ ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพี่อติดตามสถานการณ์โรค
************************************* มิถุนายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- กทม.- ม.นวมินทราธิราช ร่วมกันใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
สธ.- กทม.- ม.นวมินทราธิราช ร่วมกันใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคในพื้นที่
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ลงนามความร่วมมือการใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่กทม.ให้ไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดําเนินงานของประเทศ
วันนี้ (5มิถุนายน 2561) ณ ห้องสุทัศน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 1 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพลตํารวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร
รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อนันต์ มโนมัยพิบูลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ลงนามความร่วมมือการใช้ข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ กทม. เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางของประเทศในการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ข้อตกลงนี้จะทําให้เกิดความร่วมมือในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพระหว่างหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่กทม.และจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศตามโครงสร้างมาตรฐานระบบข้อมูลบริการทางการแพทย์และสุขภาพ ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เพื่อให้เกิดระบบในการจัดการข้อมูลและนําไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และระบบสารสนเทศ จัดทําคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพของกทม. รวมถึงให้บริการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศที่จําเป็นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ผ่านบริการ Smart Health ID ด้านสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคจะเป็นผู้กําหนดหลักเกณฑ์ และระเบียบวิธีการเฝ้าระวังและการรายงานสถานการณ์โรคและแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูล คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจะเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ และจัดทําฐานข้อมูลเฝ้าระวังโรคของประเทศเพื่อพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรในการใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาเพื่อติดตามสถานการณ์
ในส่วนของ กทม.มีหน้าที่ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของโรงพยาบาลในสังกัด เพื่อนําเข้าคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ ผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาล ส่วนคณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช จะเป็นต้นแบบการพัฒนาระบบส่งออกข้อมูลจากระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลเพื่อนําคลังข้อมูลทางด้านการแพทย์และสุขภาพไปใช้ประโยชน์จากและร่วมกับอนามัย และสํานักการแพทย์ ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพี่อติดตามสถานการณ์โรค
************************************* มิถุนายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12774
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
10 มค 60 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ 10 มกราคม 2560 นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องกษัตริย์ศึก 3 ชั้น 4 โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
10 มค 60 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ 10 มกราคม 2560 นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตร "การเป็นข้าราชการที่ดี" รุ่นที่ 8 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องกษัตริย์ศึก 3 ชั้น 4 โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1282
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทยได้เข้าหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยอธิบดีกรมทรัพยากร
ทางทะเลและชายฝั่งในประเด็นสําคัญ ๒ ประเด็น ได้แก่
๑. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ราชอาณาจักรเนเธอแลนด์มีความประสงค์ที่จะสนับสนุน ประเทศไทยเพื่อดําเนินการด้าน “การมีส่วนร่วมของประเทศ” (Nationally Determined Contribution: NDC) โดยที่จะได้มีการนําเสนอข้อมูลรายละเอียดในโอกาสต่อไป
๒. การจัดการขยะในแม่น้ําก่อนลงสู่ทะเล เอกอัครราชทูตฯ ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าประเทศไทย
เป็นประเทศที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างเป็นรูปธรรม ได้นําคณะผู้แทนจาก The Ocean Cleanup ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และ SCG เข้าหารือถึงแนวทางการทํางานร่วมกันในการจัดการขยะในแม่น้ําก่อนลงสู่ทะเล และนําเสนอเทคโนโลยีเพื่อใช้ดักเก็บขยะในแม่น้ําซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ รุ่นที่ ๒ โดยเห็นว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาขยะทะเล จึงประสงค์ให้นําเทคโนโลยีดังกล่าวทดลองดักเก็บขยะในแม่น้ําในประเทศไทย ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นหน่วยงานหลักในการหารือในรายละเอียดการดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรุงเทพมหานคร และ บริษัท SCG ซึ่งมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการนําขยะจากการจัดเก็บไปจัดการต่อไปโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดําเนินการดังกล่าวจะนํามาซึ่งการจัดการขยะอีกทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะทะเลต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
ทส. หารือเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทยได้เข้าหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยอธิบดีกรมทรัพยากร
ทางทะเลและชายฝั่งในประเด็นสําคัญ ๒ ประเด็น ได้แก่
๑. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ราชอาณาจักรเนเธอแลนด์มีความประสงค์ที่จะสนับสนุน ประเทศไทยเพื่อดําเนินการด้าน “การมีส่วนร่วมของประเทศ” (Nationally Determined Contribution: NDC) โดยที่จะได้มีการนําเสนอข้อมูลรายละเอียดในโอกาสต่อไป
๒. การจัดการขยะในแม่น้ําก่อนลงสู่ทะเล เอกอัครราชทูตฯ ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าประเทศไทย
เป็นประเทศที่มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างเป็นรูปธรรม ได้นําคณะผู้แทนจาก The Ocean Cleanup ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรสัญชาติเนเธอร์แลนด์ และ SCG เข้าหารือถึงแนวทางการทํางานร่วมกันในการจัดการขยะในแม่น้ําก่อนลงสู่ทะเล และนําเสนอเทคโนโลยีเพื่อใช้ดักเก็บขยะในแม่น้ําซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ รุ่นที่ ๒ โดยเห็นว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาขยะทะเล จึงประสงค์ให้นําเทคโนโลยีดังกล่าวทดลองดักเก็บขยะในแม่น้ําในประเทศไทย ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นหน่วยงานหลักในการหารือในรายละเอียดการดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรุงเทพมหานคร และ บริษัท SCG ซึ่งมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการนําขยะจากการจัดเก็บไปจัดการต่อไปโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดําเนินการดังกล่าวจะนํามาซึ่งการจัดการขยะอีกทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ไขปัญหาขยะทะเลต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17682
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2563
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจําปี 2563
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจําปี 2563
พี่น้องเกษตรกรและประชาชนที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาส“วันเกษตรกร”ประจําปี2563ที่เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่งผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน
ภาคการเกษตรมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณรัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาภาคเกษตรให้สามารถดํารงอยู่คู่กับสังคมไทยในปัจจุบันได้อย่างยั่งยืนโดยสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรผสมผสานกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นพร้อมทั้งน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางรวมทั้งสนับสนุนการใช้หลัก“ตลาดนําการผลิต”มาอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการได้ครบวงจรสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผมขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรไทยที่ให้ความร่วมมือและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลด้วยดีมาโดยตลอดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะร่วมเป็นกําลังสําคัญให้กับการพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
เนื่องในโอกาส“วันเกษตรกร”ประจําปี2563ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลอีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องเกษตรกรไทยพร้อมทั้งครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญมีกําลังกายกําลังใจที่เข้มแข็งและสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการ
สวัสดีครับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจำปี 2563
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจําปี 2563
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องใน “วันเกษตรกร” ประจําปี 2563
พี่น้องเกษตรกรและประชาชนที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาส“วันเกษตรกร”ประจําปี2563ที่เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่งผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน
ภาคการเกษตรมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณรัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาภาคเกษตรให้สามารถดํารงอยู่คู่กับสังคมไทยในปัจจุบันได้อย่างยั่งยืนโดยสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรผสมผสานกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นพร้อมทั้งน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางรวมทั้งสนับสนุนการใช้หลัก“ตลาดนําการผลิต”มาอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการได้ครบวงจรสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผมขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรไทยที่ให้ความร่วมมือและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลด้วยดีมาโดยตลอดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะร่วมเป็นกําลังสําคัญให้กับการพัฒนาภาคการเกษตรของไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
เนื่องในโอกาส“วันเกษตรกร”ประจําปี2563ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลอีกทั้งเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องเกษตรกรไทยพร้อมทั้งครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญมีกําลังกายกําลังใจที่เข้มแข็งและสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการ
สวัสดีครับ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30590
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q”
|
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q”
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q” เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค พร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโครงการผักร่วมใจและตลาดสินค้า Q ณ ตลาดไท ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบาย “ส่งเสริมอาหารปลอดภัย” เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนด้านการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย โดยเชื่อมโยงกับเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามระบบการจัดการคุณภาพทั้ง Good Agricultural Practices (GAP) และเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand รวมถึงการใช้ระบบดิจิทัล ช่วยในการจับคู่การค้าตามยุทธศาสตร์พระพิรุณ เพื่อยกระดับเป็นเกษตร 4.0 ตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มและบริหารจัดการร่วมกันทั้งการผลิตและการจําหน่าย โดยมีตลาดรองรับที่แน่นอน นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนการผลิตและมีผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น สินค้ามีคุณภาพได้มาตรฐานภายใต้การบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทําให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น สามารถสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการการทํางานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับ “โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย” ภายใต้ตลาดไท เป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิต “ผักปลอดภัย” ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตตามระบบการจัดการคุณภาพ GAP หรือเกษตรอินทรีย์ จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์พระพิรุณและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่สนับสนุนให้เกษตรกรมีพื้นที่จําหน่ายสินค้าในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรด้วยระบบจับคู่การตลาด ได้ราคาที่เป็นธรรม ตรวจสอบสินค้าย้อนกลับไปยังแหล่งเพาะปลูกได้ สามารถสร้างความมั่นใจและเพิ่มช่องทางเลือกซื้อให้กับผู้บริโภคทุกระดับมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดไทเป็นหนึ่งในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรที่สําคัญของประเทศ และมีบทบาทในการสนับสนุนให้ความร่วมมือจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพและปลอดภัย (Q) มากกว่า 170 ร้านค้า ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ตลาดไทที่ให้ความร่วมมือในการส่งเสริมการจําหน่ายสินค้า Q สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมเกษตรกรรมไทยให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นอย่างดี
ด้าน มร. เกรแฮม ชาร์ล แซนด์เดอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จํากัด (ตลาดไท) กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานของตลาดไทในฐานะตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้ให้ความสําคัญกับเกษตรกรไทย และการสนับสนุนสินค้าปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของภาครัฐ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และ มกอช. ที่ได้ช่วยกันริเริ่ม “โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย” มุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีผลผลิตที่มีคุณภาพ สด ใหม่ สะอาด ปลอดภัย ได้ใบรับรองมาตรฐานการผลิต GAP Thai GAP หรือ Organic Thailand มีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม สนับสนุนพื้นที่จําหน่ายสินค้าในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรและได้ราคาที่เป็นธรรม ที่สําคัญผู้บริโภคสามารถใช้คิวอาร์โค้ด (QR Code) ตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งเพาะปลูกได้ นอกจากนี้ ตลาดไทยยังมีแผนจะเข้าร่วมพัฒนาระบบส่งเสริมการขาย โดยเชื่อมโยงผู้ซื้อผักปลอดภัยกับเกษตรกร ช่วยแนะนําผลิตภัณฑ์ และนําผู้ซื้อเข้าสู่ตลาด สร้างโอกาสการจับคู่การค้า (Matching) ให้เกิดการเจรจาซื้อ-ขายร่วมกันระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ” ตามที่ได้เข้าร่วมเป็นคณะทํางานด้านตลาดค้าส่งในยุทธศาสตร์พระพิรุณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
“โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย เริ่มมีการจําหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมค้าขายในพื้นที่โครงการถึง 27 กลุ่ม จาก 17 จังหวัด มีสินค้าเข้าตลาดเฉลี่ยมากกว่า 40 ชนิด ผลิตผลที่จําหน่ายเฉลี่ย 10 ตันต่อวัน รวมจํานวนผลิตผลทั้งสิ้นกว่า 650 ตันตั้งแต่เริ่มโครงการ และเพื่อให้ผักร่วมใจ ผักปลอดภัย ถึงมือผู้บริโภค อย่างเหมาะสมทั่วถึง จึงได้ร่วมกับสมาคมตลาดสดไทยส่งเสริมการจําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย โดยปัจจุบันมีตลาดที่จําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย มากกว่า 32 ตลาด โดยมีตลาดถนอมมิตรเป็นตลาดสดต้นแบบที่จําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย อีกด้วย” มร. เกรแฮม กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q”
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q”
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ตรวจเยี่ยม “โครงการผักร่วมใจ” และ “ตลาดสินค้า Q” เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค พร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมโครงการผักร่วมใจและตลาดสินค้า Q ณ ตลาดไท ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบาย “ส่งเสริมอาหารปลอดภัย” เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนด้านการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย โดยเชื่อมโยงกับเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามระบบการจัดการคุณภาพทั้ง Good Agricultural Practices (GAP) และเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand รวมถึงการใช้ระบบดิจิทัล ช่วยในการจับคู่การค้าตามยุทธศาสตร์พระพิรุณ เพื่อยกระดับเป็นเกษตร 4.0 ตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มและบริหารจัดการร่วมกันทั้งการผลิตและการจําหน่าย โดยมีตลาดรองรับที่แน่นอน นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนการผลิตและมีผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น สินค้ามีคุณภาพได้มาตรฐานภายใต้การบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทําให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น สามารถสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการการทํางานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับ “โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย” ภายใต้ตลาดไท เป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิต “ผักปลอดภัย” ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตตามระบบการจัดการคุณภาพ GAP หรือเกษตรอินทรีย์ จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์พระพิรุณและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่สนับสนุนให้เกษตรกรมีพื้นที่จําหน่ายสินค้าในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรด้วยระบบจับคู่การตลาด ได้ราคาที่เป็นธรรม ตรวจสอบสินค้าย้อนกลับไปยังแหล่งเพาะปลูกได้ สามารถสร้างความมั่นใจและเพิ่มช่องทางเลือกซื้อให้กับผู้บริโภคทุกระดับมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดไทเป็นหนึ่งในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรที่สําคัญของประเทศ และมีบทบาทในการสนับสนุนให้ความร่วมมือจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพและปลอดภัย (Q) มากกว่า 170 ร้านค้า ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ตลาดไทที่ให้ความร่วมมือในการส่งเสริมการจําหน่ายสินค้า Q สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมเกษตรกรรมไทยให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นอย่างดี
ด้าน มร. เกรแฮม ชาร์ล แซนด์เดอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จํากัด (ตลาดไท) กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานของตลาดไทในฐานะตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้ให้ความสําคัญกับเกษตรกรไทย และการสนับสนุนสินค้าปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของภาครัฐ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และ มกอช. ที่ได้ช่วยกันริเริ่ม “โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย” มุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีผลผลิตที่มีคุณภาพ สด ใหม่ สะอาด ปลอดภัย ได้ใบรับรองมาตรฐานการผลิต GAP Thai GAP หรือ Organic Thailand มีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม สนับสนุนพื้นที่จําหน่ายสินค้าในตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรและได้ราคาที่เป็นธรรม ที่สําคัญผู้บริโภคสามารถใช้คิวอาร์โค้ด (QR Code) ตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งเพาะปลูกได้ นอกจากนี้ ตลาดไทยยังมีแผนจะเข้าร่วมพัฒนาระบบส่งเสริมการขาย โดยเชื่อมโยงผู้ซื้อผักปลอดภัยกับเกษตรกร ช่วยแนะนําผลิตภัณฑ์ และนําผู้ซื้อเข้าสู่ตลาด สร้างโอกาสการจับคู่การค้า (Matching) ให้เกิดการเจรจาซื้อ-ขายร่วมกันระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ” ตามที่ได้เข้าร่วมเป็นคณะทํางานด้านตลาดค้าส่งในยุทธศาสตร์พระพิรุณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย
“โครงการผักร่วมใจ ผักปลอดภัย เริ่มมีการจําหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมค้าขายในพื้นที่โครงการถึง 27 กลุ่ม จาก 17 จังหวัด มีสินค้าเข้าตลาดเฉลี่ยมากกว่า 40 ชนิด ผลิตผลที่จําหน่ายเฉลี่ย 10 ตันต่อวัน รวมจํานวนผลิตผลทั้งสิ้นกว่า 650 ตันตั้งแต่เริ่มโครงการ และเพื่อให้ผักร่วมใจ ผักปลอดภัย ถึงมือผู้บริโภค อย่างเหมาะสมทั่วถึง จึงได้ร่วมกับสมาคมตลาดสดไทยส่งเสริมการจําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย โดยปัจจุบันมีตลาดที่จําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย มากกว่า 32 ตลาด โดยมีตลาดถนอมมิตรเป็นตลาดสดต้นแบบที่จําหน่ายผักร่วมใจ ผักปลอดภัย อีกด้วย” มร. เกรแฮม กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการ ถึง 31 สิงหาคม 2560
|
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการ ถึง 31 สิงหาคม 2560
กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม “โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการ” เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมศุลกากรได้จัดทํา “โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการ” โดยให้เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบการที่สุจริตแต่อาจชําระค่าภาษีอากรไม่ครบถ้วนได้ทบทวนตนเองตามประเด็นข้อสงสัยที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีหนังสือแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้ไปชําระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนด้วยความสมัครใจตามประเด็นที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ หากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ากระทําการโดยทุจริต ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพิจารณาคดีโดยการผ่อนผันการปรับ และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของค่าอากรที่นํามาชําระ โดยในครั้งแรกเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 ธันวาคม 2559 และได้ขยายเวลาอีกครั้งให้สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น
แต่เนื่องด้วย กรมศุลกากรได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 และจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วันนับแต่วันที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทําให้กรมศุลกากรต้องเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ดังนั้น กรมศุลกากรจึงได้ปรับเวลาการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการลดลงจากเดิม โดยผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2560
สําหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถแจ้งความประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีหนังสือแจ้งความประสงค์พร้อมนําเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ณ สํานักตรวจสอบอากร กรมศุลกากร ภายใน 31 สิงหาคม 2560 ผู้ประกอบการสามารถสอบถามรายละเอียด ได้ที่สํานักตรวจสอบอากร หมายเลขโทรศัพท์ 02-667-6702, 02-667-7016 และ 02-667-7084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการ ถึง 31 สิงหาคม 2560
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการ ถึง 31 สิงหาคม 2560
กรมศุลกากร ปรับเวลาการเข้าร่วม “โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการ” เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมศุลกากรได้จัดทํา “โครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการ” โดยให้เจ้าหน้าที่ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบการที่สุจริตแต่อาจชําระค่าภาษีอากรไม่ครบถ้วนได้ทบทวนตนเองตามประเด็นข้อสงสัยที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีหนังสือแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้ไปชําระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนด้วยความสมัครใจตามประเด็นที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ หากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ากระทําการโดยทุจริต ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพิจารณาคดีโดยการผ่อนผันการปรับ และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของค่าอากรที่นํามาชําระ โดยในครั้งแรกเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 ธันวาคม 2559 และได้ขยายเวลาอีกครั้งให้สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น
แต่เนื่องด้วย กรมศุลกากรได้มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 และจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วันนับแต่วันที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทําให้กรมศุลกากรต้องเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ดังนั้น กรมศุลกากรจึงได้ปรับเวลาการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบการเสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการลดลงจากเดิม โดยผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2560
สําหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถแจ้งความประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีหนังสือแจ้งความประสงค์พร้อมนําเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ณ สํานักตรวจสอบอากร กรมศุลกากร ภายใน 31 สิงหาคม 2560 ผู้ประกอบการสามารถสอบถามรายละเอียด ได้ที่สํานักตรวจสอบอากร หมายเลขโทรศัพท์ 02-667-6702, 02-667-7016 และ 02-667-7084
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5760
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
|
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
วันที่ 20 ธันวาคม 2559 รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดการประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ วท. ประจําปีงบประมาณ 2560 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม 2559 ณ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส กรุงเทพฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของหน่วยงานในสังกัด วท. และเป็นกลไลสําคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจในระดับหน่วยงานและต่อยอดแนวทางการดําเนินงานร่วมกันอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ให้ข้อแนะนํากับเจ้าหน้าที่ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ว่า ผู้ปฏิบัติงานด้านวิเทศสัมพันธ์ควรทําหน้าที่ติดต่อประสานงานกับต่างประเทศและคอยสนับสนุนงานเอกสาร งานกฎหมาย การสร้างเครือข่ายกับนานาประเทศ และสร้างความร่วมมือต่างๆ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับผู้บริหารของหน่วยงานและนักวิจัย ให้สามารถนําไปใช้ต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งนี้ งานวิเทศสัมพันธ์เปรียบเสมือนการทูตที่ต้องมีความสามารถในการสื่อสารและการใช้ภาษาที่ถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก และอยากให้มองเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้างขึ้น มากกว่าจะมองแค่เพียงภายในกระทรวงหรือหน่วยงานเท่านั้น
สําหรับวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต้องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับแผนงานและกิจกรรมของหน่วยงานภายในสังกัด ซึ่งจะนําไปสู่การกําหนดทิศทางการทํางานด้านต่างประเทศในภาพรวมของกระทรวง และเป็นแนวทางการผลักดันประเด็นความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างประเทศทั้งในระดับพหุและทวิภาคี ตลอดจนส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาทักษะบุคลากรฝ่ายการต่างประเทศให้มีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น
ข่าวและภาพ : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
วีดีโอ : นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail : [email protected] Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศด้าน วทน.
วันที่ 20 ธันวาคม 2559 รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดการประชุมเครือข่ายวิเทศสัมพันธ์ วท. ประจําปีงบประมาณ 2560 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม 2559 ณ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส กรุงเทพฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินงานความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของหน่วยงานในสังกัด วท. และเป็นกลไลสําคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจในระดับหน่วยงานและต่อยอดแนวทางการดําเนินงานร่วมกันอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ให้ข้อแนะนํากับเจ้าหน้าที่ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ว่า ผู้ปฏิบัติงานด้านวิเทศสัมพันธ์ควรทําหน้าที่ติดต่อประสานงานกับต่างประเทศและคอยสนับสนุนงานเอกสาร งานกฎหมาย การสร้างเครือข่ายกับนานาประเทศ และสร้างความร่วมมือต่างๆ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับผู้บริหารของหน่วยงานและนักวิจัย ให้สามารถนําไปใช้ต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งนี้ งานวิเทศสัมพันธ์เปรียบเสมือนการทูตที่ต้องมีความสามารถในการสื่อสารและการใช้ภาษาที่ถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก และอยากให้มองเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้างขึ้น มากกว่าจะมองแค่เพียงภายในกระทรวงหรือหน่วยงานเท่านั้น
สําหรับวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต้องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับแผนงานและกิจกรรมของหน่วยงานภายในสังกัด ซึ่งจะนําไปสู่การกําหนดทิศทางการทํางานด้านต่างประเทศในภาพรวมของกระทรวง และเป็นแนวทางการผลักดันประเด็นความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างประเทศทั้งในระดับพหุและทวิภาคี ตลอดจนส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาทักษะบุคลากรฝ่ายการต่างประเทศให้มีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น
ข่าวและภาพ : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
วีดีโอ : นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail : [email protected] Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี กสร. สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์สรายงานตัว พร้อมช่วยเหลือทันทีหากพบเลิกจ้าง
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
อธิบดี กสร. สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์สรายงานตัว พร้อมช่วยเหลือทันทีหากพบเลิกจ้าง
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์ส จ.ระยอง หลังนายจ้างเรียกรายงานตัววันนี้ พร้อมให้ติดตามหลังจากเข้าทํางาน หากพบโดนเลิกจ้างให้เข้าช่วยเหลือทันที
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ บจก.เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เรียกลูกจ้างให้ไปรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทํางานตามคําสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ หรือ ครส. โดยนัดรายงานตัวในวันนี้ (7 มี.ค.61) ณ สนามกอล์ฟพัฒนา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานในพื้นที่ติดตามสถานการณ์การรายงานตัวของลูกจ้าง และดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า สําหรับประเด็นที่ลูกจ้างกังวลว่าเมื่อได้กลับเข้าทํางานแล้ว อาจจะถูกนายจ้างเลิกจ้างได้นั้น ตนได้กําชับให้พนักงานตรวจแรงงานติดตามการปฏิบัติงานของลูกจ้างกลุ่มนี้ รวมไปถึงเข้าไปส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ให้กับนายจ้างลูกจ้างอย่างต่อเนื่อง แต่หากพบว่ามีการเลิกจ้างจริง จะเข้าไปดําเนินการให้ความช่วยเหลือโดยทันทีเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี กสร. สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์สรายงานตัว พร้อมช่วยเหลือทันทีหากพบเลิกจ้าง
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
อธิบดี กสร. สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์สรายงานตัว พร้อมช่วยเหลือทันทีหากพบเลิกจ้าง
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งดูแลลูกจ้างเจนเนอรัล มอเตอร์ส จ.ระยอง หลังนายจ้างเรียกรายงานตัววันนี้ พร้อมให้ติดตามหลังจากเข้าทํางาน หากพบโดนเลิกจ้างให้เข้าช่วยเหลือทันที
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ บจก.เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เรียกลูกจ้างให้ไปรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทํางานตามคําสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ หรือ ครส. โดยนัดรายงานตัวในวันนี้ (7 มี.ค.61) ณ สนามกอล์ฟพัฒนา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานในพื้นที่ติดตามสถานการณ์การรายงานตัวของลูกจ้าง และดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า สําหรับประเด็นที่ลูกจ้างกังวลว่าเมื่อได้กลับเข้าทํางานแล้ว อาจจะถูกนายจ้างเลิกจ้างได้นั้น ตนได้กําชับให้พนักงานตรวจแรงงานติดตามการปฏิบัติงานของลูกจ้างกลุ่มนี้ รวมไปถึงเข้าไปส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ให้กับนายจ้างลูกจ้างอย่างต่อเนื่อง แต่หากพบว่ามีการเลิกจ้างจริง จะเข้าไปดําเนินการให้ความช่วยเหลือโดยทันทีเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10570
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลงใต้ ติดตามผลการดำเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เผยประชาชนมีความพึงพอใจ
|
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
พาณิชย์ลงใต้ ติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เผยประชาชนมีความพึงพอใจ
พาณิชย์ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ จ.สงขลา เผยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการยอดจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น 20-100% ขณะที่ประชาชนพึงพอใจที่ได้รับการดูแลค่าครองชีพ
นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27พ.ย.2560)ได้รับมอบหมายให้ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่ร้านK&Kอ.หาดใหญ่,ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ณ ศูนย์สาธิตการตลาดบ้านป่ายาง ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ํา และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ณ กองทุนหมู่บ้าน ต.บ่อแดง หมู่3อ.สทิงพระ จ.สงขลา เพื่อติดตามและตรวจสอบการจําหน่ายสินค้าของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการและการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งรับฟังปัญหาจากร้านค้าและประชาชนว่ายังมีปัญหาและอุปสรรคอะไรอีก เพื่อที่จะได้นําไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
โดยจากการตรวจสอบพบว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดการจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่20-100%โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมในการเลือกซื้อของประชาชน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มข้าวสาร อาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ํายาล้างจาน เป็นต้น และจากการสอบถามประชาชนที่เดินทางมาเลือกซื้อสินค้า ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ เพราะบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ช่วยลดภาระด้านค่าครองชีพลงได้จริง และขอบคุณรัฐบาลที่ได้จัดทําโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ในพื้นที่ จ.สงขลา มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทั้งหมด16อําเภอ127ตําบล จํานวน812ร้าน มีเป้าหมายการติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)จํานวน326ร้าน ติดตั้งไปได้แล้ว209ร้าน ซึ่งจะมีการเร่งรัดให้มีการติดตั้งให้ครบตามเป้าหมายต่อไป
สําหรับผลการจําหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในช่วงเกือบ2เดือน (ต.ค.-23พ.ย.) มียอด การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ กว่า5,000ล้านบาท
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ลงใต้ ติดตามผลการดำเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เผยประชาชนมีความพึงพอใจ
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
พาณิชย์ลงใต้ ติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เผยประชาชนมีความพึงพอใจ
พาณิชย์ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ จ.สงขลา เผยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการยอดจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น 20-100% ขณะที่ประชาชนพึงพอใจที่ได้รับการดูแลค่าครองชีพ
นายวิชัย โภชนกิจ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27พ.ย.2560)ได้รับมอบหมายให้ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามผลการดําเนินงานร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่ร้านK&Kอ.หาดใหญ่,ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ณ ศูนย์สาธิตการตลาดบ้านป่ายาง ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ํา และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ณ กองทุนหมู่บ้าน ต.บ่อแดง หมู่3อ.สทิงพระ จ.สงขลา เพื่อติดตามและตรวจสอบการจําหน่ายสินค้าของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการและการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งรับฟังปัญหาจากร้านค้าและประชาชนว่ายังมีปัญหาและอุปสรรคอะไรอีก เพื่อที่จะได้นําไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
โดยจากการตรวจสอบพบว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดการจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตั้งแต่20-100%โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมในการเลือกซื้อของประชาชน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มข้าวสาร อาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ํายาล้างจาน เป็นต้น และจากการสอบถามประชาชนที่เดินทางมาเลือกซื้อสินค้า ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ เพราะบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ช่วยลดภาระด้านค่าครองชีพลงได้จริง และขอบคุณรัฐบาลที่ได้จัดทําโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ในพื้นที่ จ.สงขลา มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทั้งหมด16อําเภอ127ตําบล จํานวน812ร้าน มีเป้าหมายการติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)จํานวน326ร้าน ติดตั้งไปได้แล้ว209ร้าน ซึ่งจะมีการเร่งรัดให้มีการติดตั้งให้ครบตามเป้าหมายต่อไป
สําหรับผลการจําหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในช่วงเกือบ2เดือน (ต.ค.-23พ.ย.) มียอด การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ กว่า5,000ล้านบาท
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8418
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 (Bangkok Design Week 2020)
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 (Bangkok Design Week 2020)
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปเป็นองค์ประธานเปิดงานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:50 น. ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปเป็นองค์ประธานเปิดงานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:50 น. ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพ อาคารไปรษณีย์กลาง เขตบางรัก โดยทรงทอดพระเนตรผลงานสร้างสรรค์ที่นําเสนอแนวทางของการพัฒนาคน ชุมชน ธุรกิจ และเมือง ที่ใช้กระบวนการออกแบบและเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลากหลายแง่มุม
ในการนี้ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะคณะกรรมการ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. พร้อมด้วย นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ ด้วย
งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “Resilience: New potential for living ปรับตัว > อยู่รอด > เติบโต” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพ อาคารไปรษณีย์กลาง เขตบางรัก และ จุดจัดแสดงตามย่านต่าง ๆ ของงาน ได้แก่ เจริญกรุง-ตลาดน้อย / สามย่าน / อารีย์-ประดิพัทธ์ / ทองหล่อ-เอกมัย #BKKDW2020 #BANGKOKDESIGNWEEK
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 (Bangkok Design Week 2020)
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เนื่องในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 (Bangkok Design Week 2020)
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปเป็นองค์ประธานเปิดงานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:50 น. ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปเป็นองค์ประธานเปิดงานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2563 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:50 น. ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพ อาคารไปรษณีย์กลาง เขตบางรัก โดยทรงทอดพระเนตรผลงานสร้างสรรค์ที่นําเสนอแนวทางของการพัฒนาคน ชุมชน ธุรกิจ และเมือง ที่ใช้กระบวนการออกแบบและเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลากหลายแง่มุม
ในการนี้ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะคณะกรรมการ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. พร้อมด้วย นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เฝ้าฯ รับ-ส่งเสด็จ ด้วย
งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “Resilience: New potential for living ปรับตัว > อยู่รอด > เติบโต” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบกรุงเทพ อาคารไปรษณีย์กลาง เขตบางรัก และ จุดจัดแสดงตามย่านต่าง ๆ ของงาน ได้แก่ เจริญกรุง-ตลาดน้อย / สามย่าน / อารีย์-ประดิพัทธ์ / ทองหล่อ-เอกมัย #BKKDW2020 #BANGKOKDESIGNWEEK
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26244
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฮ่องกง ลงนามหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพัฒนานวัตกรรมและ Startup
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
ไทย-ฮ่องกง ลงนามหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพัฒนานวัตกรรมและ Startup
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
วันนี้ (28 ก.พ. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยมี นางCarrie Lam ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติด้วย ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ้นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว
การลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย ความร่วมมือด้านการพัฒนา Start Up และ การจัดตั้ง Smart City ซึ่งเป็นผล มาจากการขับเคลื่อนและประสานงานของกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) Innospace (Thailand) กับ HKTDC 2) Innospace (Thailand) กับ Hong Kong Cyberport 3) Innospace (Thailand) กับ Ho & Partners Architects Engineers & Development Consultants Limited (HPA) และฉบับที่ 4 เป็นการ ลงนามระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กับ HKTDC เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสด้านการลงทุน และ การจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย
บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สร้างเสริมบ่มเพาะ Startup พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ขยายระบบนิเวศการพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นสากล ศูนย์กลางในการช่วยส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมและสตาร์ทอัพ (Startup) อย่างครบวงจร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฮ่องกง ลงนามหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพัฒนานวัตกรรมและ Startup
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
ไทย-ฮ่องกง ลงนามหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพัฒนานวัตกรรมและ Startup
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
วันนี้ (28 ก.พ. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยมี นางCarrie Lam ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติด้วย ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ้นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว
การลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมและ Startup ระหว่างบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด และหน่วยงานพันธมิตรจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รวม 4 ฉบับ ประกอบด้วย ความร่วมมือด้านการพัฒนา Start Up และ การจัดตั้ง Smart City ซึ่งเป็นผล มาจากการขับเคลื่อนและประสานงานของกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) Innospace (Thailand) กับ HKTDC 2) Innospace (Thailand) กับ Hong Kong Cyberport 3) Innospace (Thailand) กับ Ho & Partners Architects Engineers & Development Consultants Limited (HPA) และฉบับที่ 4 เป็นการ ลงนามระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กับ HKTDC เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสด้านการลงทุน และ การจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย
บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สร้างเสริมบ่มเพาะ Startup พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ขยายระบบนิเวศการพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นสากล ศูนย์กลางในการช่วยส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมและสตาร์ทอัพ (Startup) อย่างครบวงจร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19051
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
|
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) เวลา 15.00 น. ทําเนียบรัฐบาล นายโทชิมิทสึ โมเทกิ (H.E. Mr. Toshimitsu Motegi) รัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่น เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวต้อนรับ สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีหวังว่า การหารือในวันนี้จะเป็นพื้นฐานเพื่อนําไปสู่หารือในรายละเอียดที่มากขึ้น ในการประชุม High Level Joint Commission (HLJC) ครั้งที่ 4 ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่อง CPTPP ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยให้ความสําคัญ ทั้งนี้ ภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วม TPP บนหลักการสําคัญที่ว่าการค้าเสรีจะก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกประเทศที่เข้าร่วม และหวังว่าญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนการเข้าร่วม และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์สําหรับการเข้าเป็นสมาชิก CPTPP ของไทยต่อไป ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยติดตามความคืบหน้าการเจรจา TPP และ CPTPP อย่างใกล้ชิด โดยเห็นว่าเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูง บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกันของสมาชิก ช่วยส่งเสริมบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าการลงทุน รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ศึกษาผลดี ผลกระทบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเข้าร่วม
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงความสําคัญกับการปรับปรุงความตกลง JTEPA โดยให้มีการเจรจาถึงแนวทางความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะภาคบริการ เศรษฐกิจดิจิทัล และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างกัน ขณะนี้ ไทยอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อมุ่งไปสู่ประเทศไทย 4.0 ขณะที่ญี่ปุ่นภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีอาเบะก็กําลังมุ่งสู่สังคม 5.0 ความร่วมมือจึงเป็นการวางรากฐานมุ่งสู่อนาคตที่มั่นคงร่วมกัน
รัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่นยินดีที่ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการเข้าเป็นสมาชิก โดยญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับไทย เพื่อลดอุปสรรคและความท้าทายต่างๆระหว่างกัน เนื่องด้วยไทยถือเป็นจุดหมายการลงทุนอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดังนั้น การเข้าเป็นสมาชิก TPP ของไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่ตลาดให้ประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจะช่วยส่งเสริมความน่าดึงดูดของประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนด้วย
*****************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
ไทยเห็นด้วยหลักการค้าเสรีพร้อมให้ศึกษากฎระเบียบ เพื่อร่วมเป็นสมาชิก TPP
วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) เวลา 15.00 น. ทําเนียบรัฐบาล นายโทชิมิทสึ โมเทกิ (H.E. Mr. Toshimitsu Motegi) รัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่น เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวต้อนรับ สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีหวังว่า การหารือในวันนี้จะเป็นพื้นฐานเพื่อนําไปสู่หารือในรายละเอียดที่มากขึ้น ในการประชุม High Level Joint Commission (HLJC) ครั้งที่ 4 ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่อง CPTPP ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยให้ความสําคัญ ทั้งนี้ ภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วม TPP บนหลักการสําคัญที่ว่าการค้าเสรีจะก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกประเทศที่เข้าร่วม และหวังว่าญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนการเข้าร่วม และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์สําหรับการเข้าเป็นสมาชิก CPTPP ของไทยต่อไป ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยติดตามความคืบหน้าการเจรจา TPP และ CPTPP อย่างใกล้ชิด โดยเห็นว่าเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูง บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกันของสมาชิก ช่วยส่งเสริมบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าการลงทุน รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ศึกษาผลดี ผลกระทบ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเข้าร่วม
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงความสําคัญกับการปรับปรุงความตกลง JTEPA โดยให้มีการเจรจาถึงแนวทางความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะภาคบริการ เศรษฐกิจดิจิทัล และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างกัน ขณะนี้ ไทยอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อมุ่งไปสู่ประเทศไทย 4.0 ขณะที่ญี่ปุ่นภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีอาเบะก็กําลังมุ่งสู่สังคม 5.0 ความร่วมมือจึงเป็นการวางรากฐานมุ่งสู่อนาคตที่มั่นคงร่วมกัน
รัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและการคลังญี่ปุ่นยินดีที่ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการเข้าเป็นสมาชิก โดยญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับไทย เพื่อลดอุปสรรคและความท้าทายต่างๆระหว่างกัน เนื่องด้วยไทยถือเป็นจุดหมายการลงทุนอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ดังนั้น การเข้าเป็นสมาชิก TPP ของไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่ตลาดให้ประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจะช่วยส่งเสริมความน่าดึงดูดของประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนด้วย
*****************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11894
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้า การดำเนินงานด้านกฎหมายปราบปรามการทุจริต
|
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้า การดําเนินงานด้านกฎหมายปราบปรามการทุจริต
รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงความคืบหน้ากฎหมายปราบปรามการทุจริต เผย ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม อยู่ระหว่างการตรวจแก้ไขของกรรมาธิการ สนช. ยืนยัน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ 2560 จะช่วยลดการทุจริตได้
วันนี้ (25 ม.ค.61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส กับอนาคตประเทศไทย” และแถลงเรื่อง “แผนปฏิรูปประเทศไทย” โดยมีบรรณาธิการ คอลัมนิสต์รวมถึงสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนจากต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาล ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ว่า ในปัจจุบันมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของประเทศไทย คือ 1. สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ สํานักงาน ป.ป.ช. 2. สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ สํานักงาน ป.ป.ท. 3. สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ สํานักงาน ปปง. 4. สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. 5. กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. ที่จะบูรณาการการและตรวจสอบการทํางานร่วมกับ 5 หน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทุกหน่วยงานมีกฎหมายบังคับใช้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะการทุจริตยังมีช่องว่างอยู่มาก ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลได้คิดไว้ในปี 2557 เมื่อถึงปี 2560 สิ่งที่คิดไว้นั้นได้ล้าสมัย จึงได้มีการพยายามออกกฎหมายแก้ไล่ตาม ซึ่งในวันนี้หลายหน่วยงานยืนยันว่าพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการพ.ศ. 2558 สามารถช่วยเรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตได้มาก เพราะเมื่อมีการติดต่อกับหน่วยงานราชการจะสามารถกําหนดเวลาได้แน่นอน ทําให้ไม่มีโอกาสเกิดการทุจริตเรียกรับเงิน หรือหากมีการเรียกรับเงิน ก็จะไม่ค่อยมีใครให้ เพราะประชาชนรู้ว่างานจะเดินไปตามเวลาในคู่มือที่กําหนดไว้ และถ้าทํางานไม่ทันตามกําหนดเวลาก็สามารถฟ้องร้องได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปจ่ายเงิน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้มีกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. คือ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interest) ซึ่งกําลังอยู่ระหว่างการตรวจแก้ไขในชั้นของกรรมาธิการ สนช. ที่จะต้องมีการตรวจสอบให้รอบคอบ เพราะหากกฎหมายกว้างเกินไปก็อาจจะทําให้มีปัญหาในการตีความ ทั้งนี้ การพิจารณากฎหมายใน สนช. มีกําหนดเวลาจํากัด หากไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กําหนดก็จะต้องมีการขอขยายเวลาต่อ สนช.
ขณะที่กฎหมายอีกฉบับคือ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการจัดหาพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งแต่เดิมคือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (ระเบียบพัสดุ) ที่ใครฝ่าฝืนระเบียบพัสดุก็ไม่ความผิดและไม่มีโทษ ถ้าจะมีโทษต้องไปยึดโทษตามกฎหมาย โดยขณะนี้ได้ยกเลิกระเบียบพัสดุ และออก พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ซึ่งมีความผิดและมีโทษครอบคลุมผู้ที่ทําผิดทั้งหมด ทั้งนี้ แต่เดิมนั้นรัฐวิสาหกิจไม่อยู่ภายใต้ระเบียบพัสดุ แต่วันนี้มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ทําให้ทั้งองค์การมหาชน ส่วนราชการส่วนกลาง ราชส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระ เข้ามาอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ทั้งหมด ซึ่งจะทําให้ช่วยลดการทุจริตลงไปได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะลดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ก็ยังดีกว่าที่ไม่มี พ.ร.บ. หรือมี พ.ร.บ. แล้วไม่มีคุณภาพ
สําหรับกรณีที่ผู้ที่กระทําการทุจริตคอร์รัปชัน หรือคนที่จงใจปกปิดการทุจริตเป็นคนที่มีอํานาจ หรืออยู่ในอํานาจ มีพวกพ้อง ทําให้กฎหมายของหน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีอยู่ ไม่สามารถไปดําเนินการกับคนเหล่านี้ได้นั้น รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้ยกเว้นให้กับผู้ใด หากมีการยกเว้น ก็จะมีการระบุไว้ เช่น สําหรับพฤติกรรมนั้นให้ทําอย่างนั้น แต่ไม่ได้ยกเว้นให้ผู้มีอํานาจวาสนาบารมีใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะมีการยกเว้นก็คือการใช้กฎหมายที่ไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมาย การกระทําความผิดถ้ามีอายุความก็จะยาว หากรอดไปได้ในเวลาหนึ่งก็จะไม่สามารถรอดได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วก็จะต้องโดนความผิด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า หลายเรื่องในวันนี้ที่เป็นคดีความ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 5 ปี 10 ปีที่แล้ว ในสมัยรัฐบาลก่อน ๆ แล้วรัฐบาลนั้น ๆ พ้นวาระไป วันนี้หยิบขึ้นมาถึงได้มีเรื่อง วันนี้มีศาลอาญาคดีทุจริตที่ได้ตั้งขึ้นใหม่แยกออกมาจากศาลปกติ ซึ่งจะมีเฉพาะคดีทุจริตเท่านั้นที่มาขึ้นที่ศาลนี้ ทําให้ศาลพิจารณาคดีได้อย่างรวดเร็ว โดยตั้งแต่ที่มีการตั้งศาลอาญาคดีทุจริตขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา คดีทุจริตที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริต สามารถดําเนินการเสร็จสิ้นในเวลา 3-6 เดือน ทั้งนี้ คดีทุจริตที่ศาลอาญาคดีทุจริตพิจารณานั้น รวมถึงคดีจงใจปกปิดทรัพย์สิน และคดีทุจริตทุกเรื่องที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ส่งให้อัยการฟ้องศาล
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้า การดำเนินงานด้านกฎหมายปราบปรามการทุจริต
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้า การดําเนินงานด้านกฎหมายปราบปรามการทุจริต
รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงความคืบหน้ากฎหมายปราบปรามการทุจริต เผย ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม อยู่ระหว่างการตรวจแก้ไขของกรรมาธิการ สนช. ยืนยัน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ 2560 จะช่วยลดการทุจริตได้
วันนี้ (25 ม.ค.61) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส กับอนาคตประเทศไทย” และแถลงเรื่อง “แผนปฏิรูปประเทศไทย” โดยมีบรรณาธิการ คอลัมนิสต์รวมถึงสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนจากต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาล ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ว่า ในปัจจุบันมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของประเทศไทย คือ 1. สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ สํานักงาน ป.ป.ช. 2. สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ สํานักงาน ป.ป.ท. 3. สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ สํานักงาน ปปง. 4. สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. 5. กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. ที่จะบูรณาการการและตรวจสอบการทํางานร่วมกับ 5 หน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทุกหน่วยงานมีกฎหมายบังคับใช้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะการทุจริตยังมีช่องว่างอยู่มาก ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลได้คิดไว้ในปี 2557 เมื่อถึงปี 2560 สิ่งที่คิดไว้นั้นได้ล้าสมัย จึงได้มีการพยายามออกกฎหมายแก้ไล่ตาม ซึ่งในวันนี้หลายหน่วยงานยืนยันว่าพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการพ.ศ. 2558 สามารถช่วยเรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตได้มาก เพราะเมื่อมีการติดต่อกับหน่วยงานราชการจะสามารถกําหนดเวลาได้แน่นอน ทําให้ไม่มีโอกาสเกิดการทุจริตเรียกรับเงิน หรือหากมีการเรียกรับเงิน ก็จะไม่ค่อยมีใครให้ เพราะประชาชนรู้ว่างานจะเดินไปตามเวลาในคู่มือที่กําหนดไว้ และถ้าทํางานไม่ทันตามกําหนดเวลาก็สามารถฟ้องร้องได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปจ่ายเงิน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้มีกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. คือ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interest) ซึ่งกําลังอยู่ระหว่างการตรวจแก้ไขในชั้นของกรรมาธิการ สนช. ที่จะต้องมีการตรวจสอบให้รอบคอบ เพราะหากกฎหมายกว้างเกินไปก็อาจจะทําให้มีปัญหาในการตีความ ทั้งนี้ การพิจารณากฎหมายใน สนช. มีกําหนดเวลาจํากัด หากไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กําหนดก็จะต้องมีการขอขยายเวลาต่อ สนช.
ขณะที่กฎหมายอีกฉบับคือ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการจัดหาพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งแต่เดิมคือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (ระเบียบพัสดุ) ที่ใครฝ่าฝืนระเบียบพัสดุก็ไม่ความผิดและไม่มีโทษ ถ้าจะมีโทษต้องไปยึดโทษตามกฎหมาย โดยขณะนี้ได้ยกเลิกระเบียบพัสดุ และออก พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ซึ่งมีความผิดและมีโทษครอบคลุมผู้ที่ทําผิดทั้งหมด ทั้งนี้ แต่เดิมนั้นรัฐวิสาหกิจไม่อยู่ภายใต้ระเบียบพัสดุ แต่วันนี้มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ทําให้ทั้งองค์การมหาชน ส่วนราชการส่วนกลาง ราชส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระ เข้ามาอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ทั้งหมด ซึ่งจะทําให้ช่วยลดการทุจริตลงไปได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะลดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ก็ยังดีกว่าที่ไม่มี พ.ร.บ. หรือมี พ.ร.บ. แล้วไม่มีคุณภาพ
สําหรับกรณีที่ผู้ที่กระทําการทุจริตคอร์รัปชัน หรือคนที่จงใจปกปิดการทุจริตเป็นคนที่มีอํานาจ หรืออยู่ในอํานาจ มีพวกพ้อง ทําให้กฎหมายของหน่วยงานที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีอยู่ ไม่สามารถไปดําเนินการกับคนเหล่านี้ได้นั้น รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้ยกเว้นให้กับผู้ใด หากมีการยกเว้น ก็จะมีการระบุไว้ เช่น สําหรับพฤติกรรมนั้นให้ทําอย่างนั้น แต่ไม่ได้ยกเว้นให้ผู้มีอํานาจวาสนาบารมีใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะมีการยกเว้นก็คือการใช้กฎหมายที่ไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมาย การกระทําความผิดถ้ามีอายุความก็จะยาว หากรอดไปได้ในเวลาหนึ่งก็จะไม่สามารถรอดได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วก็จะต้องโดนความผิด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า หลายเรื่องในวันนี้ที่เป็นคดีความ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 5 ปี 10 ปีที่แล้ว ในสมัยรัฐบาลก่อน ๆ แล้วรัฐบาลนั้น ๆ พ้นวาระไป วันนี้หยิบขึ้นมาถึงได้มีเรื่อง วันนี้มีศาลอาญาคดีทุจริตที่ได้ตั้งขึ้นใหม่แยกออกมาจากศาลปกติ ซึ่งจะมีเฉพาะคดีทุจริตเท่านั้นที่มาขึ้นที่ศาลนี้ ทําให้ศาลพิจารณาคดีได้อย่างรวดเร็ว โดยตั้งแต่ที่มีการตั้งศาลอาญาคดีทุจริตขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา คดีทุจริตที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริต สามารถดําเนินการเสร็จสิ้นในเวลา 3-6 เดือน ทั้งนี้ คดีทุจริตที่ศาลอาญาคดีทุจริตพิจารณานั้น รวมถึงคดีจงใจปกปิดทรัพย์สิน และคดีทุจริตทุกเรื่องที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ส่งให้อัยการฟ้องศาล
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9631
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยธ. แถลงยกเลิกสัญญากำไล EM พร้อมปรับค่าเสียหายกว่า ๘๓ ล้านบาท
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รมว.ยธ. แถลงยกเลิกสัญญากําไล EM พร้อมปรับค่าเสียหายกว่า ๘๓ ล้านบาท
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวผลการตรวจสอบกําไลอิเล็กทรอนิกส์ หรือกําไล EM (Electronic Monitoring)
ในวันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวผลการตรวจสอบกําไลอิเล็กทรอนิกส์ หรือกําไล EM (Electronic Monitoring) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายประสาร มหาลี้ตระกูล อธิบดีกรมคุมประพฤติ และนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม และรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม
ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกําไล EM (Electronic Monitoring) สามารถถอดออกได้ เป็นผลให้อุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์นั้น กระทรวงยุติธรรมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และต่อมากระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติได้นําข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปผลปรากฏว่า กรมคุมประพฤติมีการดําเนินการทําสัญญาเช่าและติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องสําหรับการติดตามตัวผู้กระทําผิด จํานวน ๔,๐๐๐ เครื่อง ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๒ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ รวม ๒๑เดือน ด้วยงบประมาณ ๗๔,๔๗๐,๐๐๐ บาทกับบริษัท สุพรีม ดีสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จํากัด ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่กําหนด และได้มีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรับทราบข้อมูลจากการนําอุปกรณ์ EM มาใช้อาจมีข้อบกพร่องบางประการ กรมคุมประพฤติจึงเชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องมาทดสอบการถอดโดยการดึงรั้งสายรัดอุปกรณ์ในลักษณะปกติวิสัยปรากฏว่า ไม่สามารถถอดออกได้ ส่วนในประเด็นไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนจากการใช้เทคนิคอื่นใดทางกรมคุมประพฤติต้องมีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน ประกอบกับบริษัทส่งเอกสารการดําเนินงานตามสัญญาให้คณะกรรมการตรวจรับไม่ครบถ้วน ดังนั้นกรมคุมประพฤติจึงชะลอการจ่ายเงินไปยังบริษัท เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว สามารถถอดออกได้ เกิดจากความบกพร่องของตัวอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะไม่ตรงตามขอบเขตของงาน (TOR) ซึ่งกรมคุมประพฤติได้ดําเนินการแจ้งให้บริษัทนําอุปกรณ์มาเปลี่ยนภายใน ๑๕ วันตามสัญญา ซึ่งบริษัทไม่สามารถดําเนินการตามระยะเวลาดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ กรมคุมประพฤติจึงดําเนินการแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังบริษัทดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ กรมคุมประพฤติ ได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญา โดยได้มีหนังสือทวงถามบริษัทให้ชําระหนี้ค่าเสียหาย จํานวน ๘๓,๘๒๕,๘๑๐ บาท ประกอบด้วย ค่าปรับที่เกิดจากการส่งมอบและติดตั้งให้ถูกต้องครบถ้วนเกินกําหนด ค่าปรับที่เกิดจากการไม่นําอุปกรณ์มาเปลี่ยนใหม่ให้ภายในเวลาที่กําหนด ค่าปรับความเสียหายที่เกิดจากกรณีเจ้าหน้าที่ไม่มาปฏิบัติงาน หรือมาปฏิบัติงานแต่ไม่ครบจํานวนเวลา ค่าปรับกรณีผู้ให้เช่าไม่สามารถนําอุปกรณ์ฯ มาเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นระยะเวลาติดต่อกันเกิน ๑๕ วัน นับจากกรมแจ้ง และค่าเสียหายภายหลังจากการบอกเลิกสัญญา กรณีกรมคุมประพฤติไม่สามารถใช้งบประมาณได้ โดยให้ดําเนินการชําระหนี้ค่าเสียหายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๕ วัน หากครบกําหนดระยะเวลาแล้ว บริษัทคู่สัญญาไม่ชําระหนี้ ถือว่าบริษัทคู่สัญญาผิดนัด กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ จะดําเนินการฟ้องร้องคดีต่อศาล เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทคู่สัญญาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยธ. แถลงยกเลิกสัญญากำไล EM พร้อมปรับค่าเสียหายกว่า ๘๓ ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รมว.ยธ. แถลงยกเลิกสัญญากําไล EM พร้อมปรับค่าเสียหายกว่า ๘๓ ล้านบาท
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวผลการตรวจสอบกําไลอิเล็กทรอนิกส์ หรือกําไล EM (Electronic Monitoring)
ในวันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวผลการตรวจสอบกําไลอิเล็กทรอนิกส์ หรือกําไล EM (Electronic Monitoring) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายประสาร มหาลี้ตระกูล อธิบดีกรมคุมประพฤติ และนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม และรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม
ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกําไล EM (Electronic Monitoring) สามารถถอดออกได้ เป็นผลให้อุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์นั้น กระทรวงยุติธรรมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และต่อมากระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติได้นําข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปผลปรากฏว่า กรมคุมประพฤติมีการดําเนินการทําสัญญาเช่าและติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องสําหรับการติดตามตัวผู้กระทําผิด จํานวน ๔,๐๐๐ เครื่อง ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๒ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ รวม ๒๑เดือน ด้วยงบประมาณ ๗๔,๔๗๐,๐๐๐ บาทกับบริษัท สุพรีม ดีสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จํากัด ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่กําหนด และได้มีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรับทราบข้อมูลจากการนําอุปกรณ์ EM มาใช้อาจมีข้อบกพร่องบางประการ กรมคุมประพฤติจึงเชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องมาทดสอบการถอดโดยการดึงรั้งสายรัดอุปกรณ์ในลักษณะปกติวิสัยปรากฏว่า ไม่สามารถถอดออกได้ ส่วนในประเด็นไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนจากการใช้เทคนิคอื่นใดทางกรมคุมประพฤติต้องมีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน ประกอบกับบริษัทส่งเอกสารการดําเนินงานตามสัญญาให้คณะกรรมการตรวจรับไม่ครบถ้วน ดังนั้นกรมคุมประพฤติจึงชะลอการจ่ายเงินไปยังบริษัท เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่าอุปกรณ์ดังกล่าว สามารถถอดออกได้ เกิดจากความบกพร่องของตัวอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะไม่ตรงตามขอบเขตของงาน (TOR) ซึ่งกรมคุมประพฤติได้ดําเนินการแจ้งให้บริษัทนําอุปกรณ์มาเปลี่ยนภายใน ๑๕ วันตามสัญญา ซึ่งบริษัทไม่สามารถดําเนินการตามระยะเวลาดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ กรมคุมประพฤติจึงดําเนินการแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังบริษัทดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ กรมคุมประพฤติ ได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญา โดยได้มีหนังสือทวงถามบริษัทให้ชําระหนี้ค่าเสียหาย จํานวน ๘๓,๘๒๕,๘๑๐ บาท ประกอบด้วย ค่าปรับที่เกิดจากการส่งมอบและติดตั้งให้ถูกต้องครบถ้วนเกินกําหนด ค่าปรับที่เกิดจากการไม่นําอุปกรณ์มาเปลี่ยนใหม่ให้ภายในเวลาที่กําหนด ค่าปรับความเสียหายที่เกิดจากกรณีเจ้าหน้าที่ไม่มาปฏิบัติงาน หรือมาปฏิบัติงานแต่ไม่ครบจํานวนเวลา ค่าปรับกรณีผู้ให้เช่าไม่สามารถนําอุปกรณ์ฯ มาเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นระยะเวลาติดต่อกันเกิน ๑๕ วัน นับจากกรมแจ้ง และค่าเสียหายภายหลังจากการบอกเลิกสัญญา กรณีกรมคุมประพฤติไม่สามารถใช้งบประมาณได้ โดยให้ดําเนินการชําระหนี้ค่าเสียหายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๕ วัน หากครบกําหนดระยะเวลาแล้ว บริษัทคู่สัญญาไม่ชําระหนี้ ถือว่าบริษัทคู่สัญญาผิดนัด กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ จะดําเนินการฟ้องร้องคดีต่อศาล เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทคู่สัญญาต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23277
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
|
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 60 เวลา 18:30 น.นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีเดินเทียนและฟังพระธรรมเทศนาตลอดคืนยังรุ่งเนื่องในวันมาฆบูชา ประจําปี 2560 โดยมีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เจ้าอาวาสวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมบําเพ็ญกุศล ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างพร้อมเพรียง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การจัดกิจกรรมบําเพ็ญกุศลในวันมาฆบูชา กระทรวงมหาดไทยได้ปฎิบัติต่อเนื่องกันมาทุกปี และในปีนี้กระทรวงมหาดไทย ได้รับโอกาสดีที่ได้ร่วมกับทางคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จัดงานบําเพ็ญกุศลวันมาฆบูชา โดยจัดกิจกรรม"พิธีเดินเทียน และฟังพระธรรมเทศนาตลอดคืนยังรุ่ง"โดยมี พระพรหมมุนี แสดงพระธรรมเทศนาในกัณฑ์ที่ 1 ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมฟังพระธรรมเทศนาอย่างเนื่องแน่น
ทั้งนี้ ด้วยวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงสําคัญ เป็นวัดประจํารัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 อีกทั้งยังเป็นวัดที่ยังรักษาประเพณีการเทศนาควบคู่กับการจุดเทียนรุ่งพระราชทานตลอดทั้งคืน เพื่อให้บังเกิดเป็นผลานิสงส์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานเทียนรุ่งให้วัดจุดเพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา และยังเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่มีเวลาว่างไม่ตรงกัน สามารถมาเดินเทียนรอบพระอุโบสถได้ตลอดเวลาตั้งแต่ 18.30 น.ของวันนี้ จนถึงเช้าของวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งกระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดงานได้มีการอํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และจัดเทียนสําหรับเดินเทียนไว้ให้พี่น้องพุทธศาสนิกชนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพอเพียง
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมในวันที่ 12 ก.พ.นี้ กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดงานวันมาฆบูชา ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ และด้านการเตรียมงาน เพื่อรองรับคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ที่ประสงค์จะมาร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 20 ด้วย ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้พุทธศาสนนิกชนทั้งหลายที่จะมาร่วมงาน สามารถนํารถยนต์ไปจอดที่ลานคนเมือง ศาลาว่ากรุงเทพมหานครได้ในระหว่างเวลา 06.00-19.00 น.ของวันที่ 12 ก.พ.นี้.
ครั้งที่ 24/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ข้าราชการในสังกัด และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินเทียนในวันมาฆบูชา ณ วัดราชบพิธฯ สืบสานประเพณีโบราณการจุดเทียนรุ่งพระราชทานและฟังเทศน์ตลอดคืนยังรุ่ง
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 60 เวลา 18:30 น.นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีเดินเทียนและฟังพระธรรมเทศนาตลอดคืนยังรุ่งเนื่องในวันมาฆบูชา ประจําปี 2560 โดยมีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เจ้าอาวาสวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมบําเพ็ญกุศล ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างพร้อมเพรียง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การจัดกิจกรรมบําเพ็ญกุศลในวันมาฆบูชา กระทรวงมหาดไทยได้ปฎิบัติต่อเนื่องกันมาทุกปี และในปีนี้กระทรวงมหาดไทย ได้รับโอกาสดีที่ได้ร่วมกับทางคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จัดงานบําเพ็ญกุศลวันมาฆบูชา โดยจัดกิจกรรม"พิธีเดินเทียน และฟังพระธรรมเทศนาตลอดคืนยังรุ่ง"โดยมี พระพรหมมุนี แสดงพระธรรมเทศนาในกัณฑ์ที่ 1 ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมฟังพระธรรมเทศนาอย่างเนื่องแน่น
ทั้งนี้ ด้วยวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงสําคัญ เป็นวัดประจํารัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 อีกทั้งยังเป็นวัดที่ยังรักษาประเพณีการเทศนาควบคู่กับการจุดเทียนรุ่งพระราชทานตลอดทั้งคืน เพื่อให้บังเกิดเป็นผลานิสงส์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานเทียนรุ่งให้วัดจุดเพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา และยังเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่มีเวลาว่างไม่ตรงกัน สามารถมาเดินเทียนรอบพระอุโบสถได้ตลอดเวลาตั้งแต่ 18.30 น.ของวันนี้ จนถึงเช้าของวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งกระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดงานได้มีการอํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และจัดเทียนสําหรับเดินเทียนไว้ให้พี่น้องพุทธศาสนิกชนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพอเพียง
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมในวันที่ 12 ก.พ.นี้ กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการจัดงานวันมาฆบูชา ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ และด้านการเตรียมงาน เพื่อรองรับคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ที่ประสงค์จะมาร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 20 ด้วย ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้พุทธศาสนนิกชนทั้งหลายที่จะมาร่วมงาน สามารถนํารถยนต์ไปจอดที่ลานคนเมือง ศาลาว่ากรุงเทพมหานครได้ในระหว่างเวลา 06.00-19.00 น.ของวันที่ 12 ก.พ.นี้.
ครั้งที่ 24/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1827
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560
"ยุติธรรม" ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
กระทรวงยุติธรรม ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
ในวันศุกร์ที่ ๘ ธันวาคม 2560 เวลา 09.00 น.
ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
นายเรืองศักดิ์ สุวารี ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร และปิดการอบรมหลักสูตรผู้บริหารงานยุติธรรมระดับต้น (บธต.) รุ่นที่ ๒๗
โดยมี ข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่สําเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว จํานวน ๖๐ คน
เข้ารับมอบประกาศนียบัตร
โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้บรรยายพิเศษ หัวข้อ
“นโยบายและความคาดหวังของผู้บริหารต่อข้าราชการกระทรวงยุติธรรม” สรุปใจความสําคัญ ตอนหนึ่งว่า
กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานให้กับบุคลากร
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ดังนี้
1. การอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ ผ่านกลไกของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
และศูนย์ยุติธรรมชุมชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ตรงกับความต้องการของประชาชน
ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด
2. การขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.)
โดยให้ยุติธรรมจังหวัดเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงการดําเนินงานจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค
ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในระดับพื้นที่
เพื่อมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ในการทํางานด้านการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
3. การพัฒนาประสิทธิภาพฐานข้อมูลในกระบวนการยุติธรรม ของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม
(Data Exchange Center : DXC) รวมทั้งการวิเคราะห์จําแนกกลุ่มผู้กระทําผิด
โดยนําเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและประเมินผล
เพื่อพัฒนากระบวนการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดที่เหมาะสมกับพฤติการณ์ของแต่ละบุคคล
4. การพัฒนากลไกการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ เด็กและเยาวชน
ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ถูกคุมความประพฤติ
ที่อยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติ เพื่อลดการกระทําผิดซ้ํา โดยการยกระดับทักษะความรู้
และทักษะการทํางานให้เท่าทันต่อความต้องการของตลาดแรงงาน
เพื่อให้บุคคลกลุ่มนี้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ภายหลังพ้นโทษ
และสามารถกลับไปดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560
"ยุติธรรม" ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
กระทรวงยุติธรรม ปิดอบรมหลักสูตร บธต. รุ่นที่ ๒๗ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร ขับเคลื่อนภารกิจอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
ในวันศุกร์ที่ ๘ ธันวาคม 2560 เวลา 09.00 น.
ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
นายเรืองศักดิ์ สุวารี ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร และปิดการอบรมหลักสูตรผู้บริหารงานยุติธรรมระดับต้น (บธต.) รุ่นที่ ๒๗
โดยมี ข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่สําเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว จํานวน ๖๐ คน
เข้ารับมอบประกาศนียบัตร
โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้บรรยายพิเศษ หัวข้อ
“นโยบายและความคาดหวังของผู้บริหารต่อข้าราชการกระทรวงยุติธรรม” สรุปใจความสําคัญ ตอนหนึ่งว่า
กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานให้กับบุคลากร
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ดังนี้
1. การอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ ผ่านกลไกของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
และศูนย์ยุติธรรมชุมชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ตรงกับความต้องการของประชาชน
ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด
2. การขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.)
โดยให้ยุติธรรมจังหวัดเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงการดําเนินงานจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค
ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ในระดับพื้นที่
เพื่อมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ในการทํางานด้านการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
3. การพัฒนาประสิทธิภาพฐานข้อมูลในกระบวนการยุติธรรม ของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม
(Data Exchange Center : DXC) รวมทั้งการวิเคราะห์จําแนกกลุ่มผู้กระทําผิด
โดยนําเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและประเมินผล
เพื่อพัฒนากระบวนการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดที่เหมาะสมกับพฤติการณ์ของแต่ละบุคคล
4. การพัฒนากลไกการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ เด็กและเยาวชน
ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ถูกคุมความประพฤติ
ที่อยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติ เพื่อลดการกระทําผิดซ้ํา โดยการยกระดับทักษะความรู้
และทักษะการทํางานให้เท่าทันต่อความต้องการของตลาดแรงงาน
เพื่อให้บุคคลกลุ่มนี้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ภายหลังพ้นโทษ
และสามารถกลับไปดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8643
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรจำนวน 63 ราย
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
กรมศุลกากรจัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรจํานวน 63 ราย
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานในพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร ให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรที่ดําเนินการอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ จํานวน 63 ราย
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้า และเพิ่มช่องทางการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ผู้ประกอบการ และเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน กรมศุลกากรจึงได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งตามมาตรา 139
และ 259 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 กําหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต รวมถึงผู้ที่จัดตั้งเขตปลอดอากรรายเดิมก่อนมีการประกาศใช้กฎหมายศุลกากรฉบับดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเสียค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ภายใน 180 วัน หลังจากพระราชบัญญัติศุลกากร มีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้จัดตั้งเขตปลอดอากรรายเดิมได้ดําเนินการชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแล้วเสร็จ และยื่นคําร้องขอรับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรฉบับใหม่ จํานวน 63 ราย หรือ 77 เขต จากเขตปลอดอากรภายใต้กฎหมายศุลกากรเดิมทั้งหมด 109 เขต
เขตปลอดอากร คือเขตพื้นที่ที่กําหนดไว้ เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากร ในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมศุลกากร ทั้งนี้ผู้จัดตั้งเขตปลอดอากรรายแรกได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งปัจจุบันกรมศุลกากรได้กําหนดประเภทเขตปลอดอากรไว้ 7 ประเภท ได้แก่ 01 - พาณิชยกรรม จํานวน 34 เขต 02 - อุตสาหกรรม จํานวน 9 เขต 03 – อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จํานวน 52 เขต 04 - ครัวการบิน จํานวน 4 เขต 05 - เขตปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จํานวน 1 เขต 06 - ซ่อมหรือสร้างอากาศยานหรือเรือ จํานวน 3 เขต และ 07 - ปิโตรเลียม จํานวน 6 เขต รวมทั้งสิ้น 109 เขต ซึ่งจํานวนเขตปลอดอากรดังกล่าว สามารถแสดงให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศและศักยภาพในการจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อเป็นฐานการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม และการกระจายสินค้าในเชิงพาณิชยกรรมไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจร่วมกัน กรมศุลกากรจึงได้จัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร พร้อมทั้งออกแบบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรในรูปแบบที่สวยงามและทันสมัย เพื่อแสดงความขอบคุณผู้ประกอบการที่ร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถสอบถามการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านต่างๆ อาทิ เขตปลอดอากร การคืนอากรตามมาตรา 29 การชดเชยค่าภาษีอากร และคลังสินค้าทัณฑ์บน ได้ทาง “คลินิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร”โดยสามารถติดต่อรับบริการได้ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ชั้น 2 กรมศุลกากร เปิดบริการทุกวัน จันทร์- ศุกร์ เวลา 9.00-16.00 น.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรจำนวน 63 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
กรมศุลกากรจัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรจํานวน 63 ราย
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานในพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร ให้แก่ผู้ประกอบการเขตปลอดอากรที่ดําเนินการอยู่ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ จํานวน 63 ราย
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้า และเพิ่มช่องทางการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ผู้ประกอบการ และเพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน กรมศุลกากรจึงได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งตามมาตรา 139
และ 259 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 กําหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องเสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต รวมถึงผู้ที่จัดตั้งเขตปลอดอากรรายเดิมก่อนมีการประกาศใช้กฎหมายศุลกากรฉบับดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเสียค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ภายใน 180 วัน หลังจากพระราชบัญญัติศุลกากร มีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้จัดตั้งเขตปลอดอากรรายเดิมได้ดําเนินการชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแล้วเสร็จ และยื่นคําร้องขอรับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรฉบับใหม่ จํานวน 63 ราย หรือ 77 เขต จากเขตปลอดอากรภายใต้กฎหมายศุลกากรเดิมทั้งหมด 109 เขต
เขตปลอดอากร คือเขตพื้นที่ที่กําหนดไว้ เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากร ในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมศุลกากร ทั้งนี้ผู้จัดตั้งเขตปลอดอากรรายแรกได้รับอนุมัติจัดตั้งเขตปลอดอากร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งปัจจุบันกรมศุลกากรได้กําหนดประเภทเขตปลอดอากรไว้ 7 ประเภท ได้แก่ 01 - พาณิชยกรรม จํานวน 34 เขต 02 - อุตสาหกรรม จํานวน 9 เขต 03 – อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จํานวน 52 เขต 04 - ครัวการบิน จํานวน 4 เขต 05 - เขตปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จํานวน 1 เขต 06 - ซ่อมหรือสร้างอากาศยานหรือเรือ จํานวน 3 เขต และ 07 - ปิโตรเลียม จํานวน 6 เขต รวมทั้งสิ้น 109 เขต ซึ่งจํานวนเขตปลอดอากรดังกล่าว สามารถแสดงให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศและศักยภาพในการจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อเป็นฐานการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม และการกระจายสินค้าในเชิงพาณิชยกรรมไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจร่วมกัน กรมศุลกากรจึงได้จัดพิธีมอบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร พร้อมทั้งออกแบบใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรในรูปแบบที่สวยงามและทันสมัย เพื่อแสดงความขอบคุณผู้ประกอบการที่ร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถสอบถามการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านต่างๆ อาทิ เขตปลอดอากร การคืนอากรตามมาตรา 29 การชดเชยค่าภาษีอากร และคลังสินค้าทัณฑ์บน ได้ทาง “คลินิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร”โดยสามารถติดต่อรับบริการได้ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ชั้น 2 กรมศุลกากร เปิดบริการทุกวัน จันทร์- ศุกร์ เวลา 9.00-16.00 น.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9772
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา ขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรม
|
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา ขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรม
คุณธรรม มีความสําคัญต่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ตลอดจนการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลจัดโครงการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ประจําปี 2560 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารของศูนย์ดังกล่าวกว่า 4,000 ศูนย์ทั่วประเทศได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมและสร้างชุมชนคุณธรรมร่วมกันโดยอาศัยพลังบวร คือ บ้าน วัด โรงเรียนเป็นกลไกสําคัญทั้งนี้ ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ตั้งขึ้นตามแนวทางประชารัฐที่เน้นการปลูกฝังคุณธรรม 4 ประการให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้แก่ พอเพียง วินัย สุจริต และจิตอาสา รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางศาสนาของคนในชุมชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีทางจิตใจและความรู้รักสามัคคีให้หมู่ประชาชนทั่วไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา ขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรม
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา ขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรม
คุณธรรม มีความสําคัญต่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ตลอดจนการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลจัดโครงการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ประจําปี 2560 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารของศูนย์ดังกล่าวกว่า 4,000 ศูนย์ทั่วประเทศได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมและสร้างชุมชนคุณธรรมร่วมกันโดยอาศัยพลังบวร คือ บ้าน วัด โรงเรียนเป็นกลไกสําคัญทั้งนี้ ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ตั้งขึ้นตามแนวทางประชารัฐที่เน้นการปลูกฝังคุณธรรม 4 ประการให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้แก่ พอเพียง วินัย สุจริต และจิตอาสา รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางศาสนาของคนในชุมชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีทางจิตใจและความรู้รักสามัคคีให้หมู่ประชาชนทั่วไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5081
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออำนวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
|
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
"ยุติธรรม" ขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออํานวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
กระทรวงยุติธรรมขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออํานวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมรักษ์วินัยตํารวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว
พ.ต.ท.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
เข้าหารือร่วมกับ นายกล้าณรงค์ พงษ์เจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดสระแก้ว
เพื่อขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.) และระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
รวมทั้งรับทราบความต้องการจากประชาชนในระดับพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
ในการนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในประเด็น "ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนร่วมกับภาคส่วนต่างๆในระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยต่อไป กพยจ. จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ให้สามารถนํานโยบายและงานของภาครัฐ เข้าถึงประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้กรอบการดําเนินงานที่ชัดเจน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชน รวมทั้งสามารถนําบริการรัฐที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน สู่ประชาชนในระดับพื้นที่ต่อไป
ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสําคัญในการขับเคลื่อนงานยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชนในระดับพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเราจะใช้ กพยจ. เป็นเวทีในการขับเคลื่อนบทบาทและภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า เขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากรัฐบาล โดยจะมีการดึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาคประชาชน ภาคสังคม ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และพระภิกษุ เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน กพยจ. เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ การประชุม กพยจ. ได้หารือร่วมกันเพื่อเสนอแนวคิดใน ๕ ประเด็นหลัก คือ การป้องกันอาชญากรรม การสร้างการรับรู้กฎหมาย โครงการอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบูรณาการ ปัญหาสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ และแนวทางในการสร้างความปรองดองและลดความขัดแย้งในพื้นที่
หลังจากนั้น เวลา ๑๕.๑๐ น.
หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมและติดตามผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้แก่ สํานักงานคุมประพฤติจังหวัดสระแก้ว สํานักงานยุติธรรมจังหวัดสระแก้ว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสระแก้ว และสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสระแก้ว
ต่อมา เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ โรงแรมธนาสิริโฮเทลแอนด์รีสอร์ท อ.เมือง จ.สระแก้ว
พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการอํานวยความยุติธรรมของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่และวางแนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเป็นธรรม สะดวก รวดเร็วและเสมอภาค
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมดําเนินการตามภารกิจ ๕ ด้าน ของกระทรวงยุติธรรม โดยให้สํารวจสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนํามากําหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา และดําเนินงานให้มีความสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออำนวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
"ยุติธรรม" ขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออํานวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
กระทรวงยุติธรรมขับเคลื่อนงานในพื้นที่เพื่ออํานวยความยุติธรรมสู่ประชาชน จ.สระแก้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมรักษ์วินัยตํารวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว
พ.ต.ท.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
เข้าหารือร่วมกับ นายกล้าณรงค์ พงษ์เจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดสระแก้ว
เพื่อขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.) และระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
รวมทั้งรับทราบความต้องการจากประชาชนในระดับพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
ในการนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในประเด็น "ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน" ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนร่วมกับภาคส่วนต่างๆในระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยต่อไป กพยจ. จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ให้สามารถนํานโยบายและงานของภาครัฐ เข้าถึงประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้กรอบการดําเนินงานที่ชัดเจน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชน รวมทั้งสามารถนําบริการรัฐที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน สู่ประชาชนในระดับพื้นที่ต่อไป
ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสําคัญในการขับเคลื่อนงานยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชนในระดับพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเราจะใช้ กพยจ. เป็นเวทีในการขับเคลื่อนบทบาทและภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า เขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากรัฐบาล โดยจะมีการดึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาคประชาชน ภาคสังคม ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และพระภิกษุ เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน กพยจ. เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ การประชุม กพยจ. ได้หารือร่วมกันเพื่อเสนอแนวคิดใน ๕ ประเด็นหลัก คือ การป้องกันอาชญากรรม การสร้างการรับรู้กฎหมาย โครงการอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบูรณาการ ปัญหาสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ และแนวทางในการสร้างความปรองดองและลดความขัดแย้งในพื้นที่
หลังจากนั้น เวลา ๑๕.๑๐ น.
หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าตรวจเยี่ยมและติดตามผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้แก่ สํานักงานคุมประพฤติจังหวัดสระแก้ว สํานักงานยุติธรรมจังหวัดสระแก้ว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสระแก้ว และสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสระแก้ว
ต่อมา เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ โรงแรมธนาสิริโฮเทลแอนด์รีสอร์ท อ.เมือง จ.สระแก้ว
พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการอํานวยความยุติธรรมของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่และวางแนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเป็นธรรม สะดวก รวดเร็วและเสมอภาค
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมดําเนินการตามภารกิจ ๕ ด้าน ของกระทรวงยุติธรรม โดยให้สํารวจสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อนํามากําหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา และดําเนินงานให้มีความสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6611
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “หุ้นไทยไป2,000จุด” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
|
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “หุ้นไทยไป2,000จุด” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ กล่าวย้ําว่า นโยบายการลงทุนภาครัฐของรัฐบาลส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
วันนี้ (7 ก.พ. 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมอนันตราสยามกรุงเทพฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนา “หุ้นไทยไป 2,000 จุด” จัดโดย บริษัทฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จํากัด โดยมีผู้ร่วมโครงการสัมมนาฯ ประกอบด้วยคณะผู้บริหารภาคเอกชนด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนนักลงทุนและผู้แทนสื่อมวลชน จํานวนทั้งสิ้นประมาณ 500 คน
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการสัมมนาฯ พร้อมปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อดังกล่าวว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนโครงการสําคัญหลายโครงการ เพื่อให้เศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เข่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระบบรางด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูง
ขณะเดียวกัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากครอบคลุมทุกจังหวัดทั้งประเทศ ดังเช่นที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้ไปตรวจเยี่ยมลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดแม่ฮองสอน และล่าสุดที่จังหวัดตราดและจังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ เพื่อไปพบปะประชาชนและได้รับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง ส่งผลให้มีการพิจารณาและขับเคลื่อนเศษฐกิจจังหวัดเหล่านั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ นโยบายการลงทุนของภาครัฐผ่านโครงการสําคัญต่าง ๆ จะทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ผลักดัน พระราชบัญญัติโครงการ EEC เป็นกฏหมายพิเศษที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างเกิดผลเป็นรูปธรรม และขณะนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญติแห่งชาติ ดังนั้น จึงคาดหวังว่า ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะพลิกโฉมสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนขี้นและส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนภาครัฐของรัฐบาลจะส่งผลเชื่อมโยง การลงทุนของนักลงทุนไทย ให้มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีเสถียรภาพและเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาคร่วมมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวทักทาย นักลงทุนและผู้แทนสื่อมวลชนที่มาร่วมงานด้วยอัธยาศัยอันดี
.......................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “หุ้นไทยไป2,000จุด” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “หุ้นไทยไป2,000จุด” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
รมต.นร. กอบศักดิ์ฯ กล่าวย้ําว่า นโยบายการลงทุนภาครัฐของรัฐบาลส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
วันนี้ (7 ก.พ. 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมอนันตราสยามกรุงเทพฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายการลงทุนภาครัฐกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนา “หุ้นไทยไป 2,000 จุด” จัดโดย บริษัทฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จํากัด โดยมีผู้ร่วมโครงการสัมมนาฯ ประกอบด้วยคณะผู้บริหารภาคเอกชนด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนนักลงทุนและผู้แทนสื่อมวลชน จํานวนทั้งสิ้นประมาณ 500 คน
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการสัมมนาฯ พร้อมปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อดังกล่าวว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนโครงการสําคัญหลายโครงการ เพื่อให้เศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เข่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระบบรางด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูง
ขณะเดียวกัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากครอบคลุมทุกจังหวัดทั้งประเทศ ดังเช่นที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้ไปตรวจเยี่ยมลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดแม่ฮองสอน และล่าสุดที่จังหวัดตราดและจังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ เพื่อไปพบปะประชาชนและได้รับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง ส่งผลให้มีการพิจารณาและขับเคลื่อนเศษฐกิจจังหวัดเหล่านั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ นโยบายการลงทุนของภาครัฐผ่านโครงการสําคัญต่าง ๆ จะทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ผลักดัน พระราชบัญญัติโครงการ EEC เป็นกฏหมายพิเศษที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างเกิดผลเป็นรูปธรรม และขณะนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญติแห่งชาติ ดังนั้น จึงคาดหวังว่า ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะพลิกโฉมสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนขี้นและส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนภาครัฐของรัฐบาลจะส่งผลเชื่อมโยง การลงทุนของนักลงทุนไทย ให้มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีเสถียรภาพและเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาคร่วมมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวทักทาย นักลงทุนและผู้แทนสื่อมวลชนที่มาร่วมงานด้วยอัธยาศัยอันดี
.......................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9922
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2559 เวลา 20.15 น.
|
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน รัฐบาลขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมภาคภูมิใจในศิลปะชั้นสูงของแผ่นดิน และชื่นชมผลงานอันวิจิตรบรรจงของลูกหลานเกษตรกรผู้รังสรรค์และสืบทอดศิลปะช่างฝีมือของชาติไทย ในนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “ศิลป์แผ่นดิน” ครั้งที่ 7 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน เป็นต้นไป ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
สําหรับผลงานชิ้นเอก ในปีมหามงคลของปวงชนชาวไทยปีนี้สถาบันสิริกิติ์ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ได้จัดสร้างอาคารจตุรมุขโถง มียอดทรงปราสาท 9 ยอด เป็นสถาปัตยกรรมเรือนยอดแบบไทย ที่มีจํานวนยอดปราสาทมากที่สุดเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นผลงานชิ้นแรกของช่างศิลปาชีพสถาบันสิริกิติ์ สร้างขึ้นด้วยถาวรวัตถุประกอบด้วยโลหะและหินอ่อน มีการปิดทองประดับกระจกและตกแต่งด้วยจิตรกรรมในส่วนต่างๆ ทั้งเรือนยอด ถือเป็นอาคารโลหะทั้งหลัง และเป็นหลังแรกของไทย โดยได้รับพระราชทานนามว่า “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” หมายถึง เรือนยอดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งใหญ่ กล่าวคือ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ (1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี พุทธศักราช 2559 และ (2) จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา 5 ธันวาคม 2560 พร้อมด้วยในโอกาสที่ (3) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 และ (4) เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ด้วย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ผมได้มีโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ 70 ปีครองราชย์ ประชารัฐรวมใจภักดิ์ ป่ารักษ์น้ําตามรอยพ่อ”ณ คลองบางสองร้อย ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรีซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาล ที่มอบให้กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบหลักดําเนินการตามแนวทางประชารัฐเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 70 ปี เป็น 70 แห่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่ดี กินดี ของพสกนิกรชาวไทย โดยการน้อมนําแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย รวมทั้งใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และประมง นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามแนวทาง “ป่ารักน้ํา” ที่พระองค์จะทรงเป็น “ป่า” ที่ถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงเป็น “น้ํา” โดยโครงการดังกล่าวได้ดําเนินการพร้อมกันทั่วภูมิภาคของประเทศ
โอกาสเดียวกันนี้ ผมได้ปลูกต้นราชพฤกษ์ หรือต้นคูน ต้นไม้ประจําชาติไทยเป็นไม้มงคลที่มีความสําคัญต่อประเทศไทย มีดอกเป็นพวงระย้าสีเหลืองสด เป็นสีแห่งพระพุทธศาสนาและสีประจําวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รวมทั้งได้ปลูกหญ้าแฝกตามแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ แก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมโดยใช้ระบบหญ้าแฝกจะช่วยอนุรักษ์ดินและน้ํา สามารถ (1) ปลูกในพื้นที่ลาดชัน เพื่อลดความเร็วน้ําฝน ป้องกันน้ําป่าไหลหลาก และลดการชะล้างแร่ธาตุในหน้าดิน (2) ปลูกเพื่อควบคุมร่องน้ํา เสริมความมั่นคงให้คันดิน (3) ปลูกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในสวนผลไม้เป็นพืชคลุมดิน ตายไปก็กลายเป็นอินทรีย์วัตถุในดินต่อไป หรือ (4) ปลูกรอบขอบสระเพื่อกรองตะกอนดิน และยึดติดกันรอบๆ ขอบสระไม่ให้เกิดการพังทลาย เหล่านี้เป็นต้น นอกจากนั้น ผมอยากให้ประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดแหล่งน้ําหรือ คูคลองต่าง ๆ ที่ขุดรอกขึ้นมานั้นได้ช่วยกันปลูกหญ้าคลุมดินบริเวณตลิ่งริมคลองไว้ด้วย ขณะที่หญ้าแฝกที่เราปลูกไว้นั้นยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ รากคือยังไม่ยาวนะครับ ยังไม่แข็งแรงเท่าไรนัก เราอาจจะต้องมีหญ้าเพื่อจะคลุมดินไม่ให้น้ํามันเซาะลงไปอีก
ขอฝากไว้กับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดนะครับได้ช่วยกันกํากับดูแล เอาประชาชนมาร่วมมือกันเป็นกลุ่ม ๆ ในพื้นที่ที่ใกล้แหล่งน้ํา เพื่อจะได้มีการเก็บพืชต่าง ๆ ที่จะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ พริก หอม กระเทียม กล้วย อ้อย แล้วก็ไม้ยืนต้นเสริมไปด้วย อะไรก็ได้ ไม้โตเร็วบ้างอะไรบ้างที่มันอยู่ริมน้ํานะครับ ริมคันคูคลองต่าง ๆ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันจะได้มีคนดูแล มีคน มีน้ํา ได้คอยดูแล และให้มันเจริญเติบโตได้ ถ้าหากว่าปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีน้ํา ไม่มีคน ปลูกเสร็จ ถ่ายรูปเสร็จมันก็ตายหมด เพราะฉะนั้นต้นไม้ที่จะเจริญเติบโตรอดได้จะต้องมีความสูงไม่ต่ํากว่า 2 เมตร เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้ขอให้มีการทําฝายชะลอน้ํา แล้วก็พืชคลุมดินหรือต้นไม้ที่โตเร็ว คลุมดินไว้ก่อนเพื่อเก็บความชุ่มชื้นไว้ แล้วเอาต้นไม้ที่สูง 1.50 เมตร หรือ 2 เมตร ไปปลูกใต้ร่มเงานั้น หรือในพื้นที่ที่เราดูแลได้ ก็จะโตอย่างยั่งยืน ต้นไม้นะ ไม่อย่างนั้นปลูกไปก็ตายหมด
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีนักกีฬาทีมชาติไทยหลายประเภท ที่ทําหน้าที่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี นําความสุข ความภาคภูมิใจมาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทยกันถ้วนหน้า ในโอกาสนี้ผมขอเป็นตัวแทนในการแสดงความยินดีและชื่นชม
(1) ทีมช้างศึกไทยนะครับ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ในการคว้าแชมป์ “คิงส์ คัพ” ครั้งที่ 44 ที่เราห่างหายมานาน 9 ปี เพื่อถวายแด่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปีมหามงคลนี้
(2) ในขณะที่ทีมชาติไทย ชุด U-21 รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอล “เนชั่นส์ คัพ” ที่ประเทศมาเลเซีย ได้อย่าง น่าประทับใจ และ
(3) ทีมนักตบสาวไทย ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงที่ได้รางวัลรองชนะเลิศ ในรายการ “มองเทรอซ์ วอลเลย์บอล มาสเตอร์ 2016” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นับว่าบรรลุเป้าหมายในการยกระดับไปสู่มาตรฐานโลกได้ในที่สุด พร้อมทั้งขอการันตีด้วย 4 รางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยม ทั้งตําแหน่งหัวเสา บอลเร็ว มือเซ็ต ตัวรับอิสระ เราต้องร่วมกันนะครับเพื่อให้กําลังใจนักกีฬาของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีโอกาสเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ด้วย หลายประเภทด้วยกัน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า คนไทยไม่มีความเก่งกาจย่อหย่อนไปกว่าชนชาติใดในโลก รวมทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมเพื่อจะสร้างชาติของเราให้เข้มแข็งในอนาคต ในเรื่องนี้เรามีผลงานของนักวิจัยไทยที่ประสบความสําเร็จ จนได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติ เช่น
(1) เครื่องช่วยฟังในหู สําหรับผู้พิการทางการได้ยิน แบบชาร์จได้ ราคาถูก 800 บาท ซึ่งถ้านําเข้าจากต่างประเทศ ราคาจะไม่ต่ํากว่าเครื่องละ 1 หมื่นบาทนะครับ
(2) แผ่นใยไม้อัดปลอดพลาสติก จากขี้เลื่อยไม้ยางพาราสามารถนําไปประยุกต์ใช้งาน เป็นภาชนะบรรจุอาหาร และของเล่นเด็ก ราคาถูกและปลอดภัย ใช้วัตถุดิบเหลือใช้ในประเทศ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ขี้เลื่อย
(3) บรรจุภัณฑ์สําหรับการส่งออกลําไยสด โดยไม่ผ่านการรมซัลเฟอร์ไดออกไซต์ สามารถเก็บได้นาน กว่า 4 เดือน และ
(4) เครื่องรีไซเคิลขยะขวดแก้ว ใช้แทนทรายทําอิฐสร้างบ้าน เป็นต้น เหล่านี้ ถ้าหากเราช่วยกันคิด ช่วยกันวิจัย ช่วยกันพัฒนาต่อยอด และก็ผลิตในประเทศได้ ก็จะเป็นสินค้า แบรนด์ไทย ซึ่งพอจะแข่งขันกับต่างประเทศเขาได้ ในโลกปัจจุบัน
นอกจากนวัตกรรมที่ได้รับรางวัลดังกล่าวเหล่านี้แล้ว ยังมีสิ่งของประดิษฐ์ของไทย อีกหลายรายการ ที่ผมได้สั่งการให้สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับธุรกิจเอกชนไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ช่วยกันดําเนินการเพื่อส่งเสริมให้สามารถนําไปสู่การผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างคุณค่าให้กับประเทศ ทั้งในเชิงพาณิชย์และใช้ในชีวิตประจําวัน เช่น การทําบัญชีสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทยมีหลายร้อยชิ้น แล้วการปรับปรุงระเบียบให้หน่วยงานของรัฐ สามารถจัดซื้อจัดจ้างนวัตกรรมไทยได้ ที่มีการผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว สําหรับการสร้างความยั่งยืนให้กับการวิจัยและพัฒนาของประเทศ มีหลายประการนะครับ ไม่ใช่พูดแต่คําว่าจะวิจัย วิจัย จะส่งเสริมแต่ไม่ได้ทําในกิจกรรมปลีกย่อยเหล่านั้น
รัฐบาลได้เตรียมการปฏิรูประบบวิจัยไทยใหม่ทั้งหมด โดยมีการจัดทํากรอบยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ 20 ปี (2560 – 2579) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมกรรมนโยบายระบบวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้มีหน้าที่ในการกํากับนโยบายทางด้านนี้ของประเทศ จะต้องมีเอกภาพในทุก ๆ มิติ เช่น การกําหนดทิศทาง การจัดสรรงบประมาณ การให้กรอบทุนสนับสนุน การเสริมสร้างขีดความสามารถ การเชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งในและต่างประเทศ การปรับปรุงคนและโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับ ตลอดจนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อจะนําไปใช้ประโยชน์ ในโอกาสต่อไป
สําหรับตัวอย่างการขับเคลื่อนนวัตกรรมและอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ ภายใต้โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ 1 ในอุตสาหกรรมใหม่ 5 อุตสาหกรรม เรื่อง ฟู๊ด อินโนโพลิสต์ ก็คือการสร้างเมืองอาหาร เพื่อให้ไทยเป็นครัวโลกอย่างแท้จริง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในที่ผมกล่าวไปแล้ว เปิดให้ดําเนินการไปแล้วในปี 2559 สามารถสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ในฟาร์ม การจัดการหลังเก็บเกี่ยว การพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ การตลาด ทั้งนี้ เพื่อที่จะดึงดูดบริษัทผู้ผลิต หรือวิจัยพัฒนาอาหารชั้นนําของโลกมาลงทุนในกิจกรรมด้านนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย ก็ได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ แรงจูงใจด้านภาษี ในเรื่องของการนําเข้าเครื่องจักร การพํานักของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในไทย ไม่ต้องกลัวเขามาแย่งงาน เราเอาเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเข้ามา แรงงานเราก็ต้องเตรียมไว้ด้วย การถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการ เขาก็เป็นการเช่านะครับยังไงก็ยังเป็นของเราอยู่ทั้งหมด
สองเพื่อเป็นการสนับสนุนเอกชนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ Start Up SMEs ไปจนถึงบริษัทไทยขนาดใหญ่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก เพื่อยกระดับความสามารถของ Start Up และ SMEs ตลอดจนสร้างงาน จ้างงาน กําหนดมาตรฐานในเรื่องของความรู้ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นและที่สําคัญ เป็นการกระตุ้นการใช้วัตถุดิบด้านการเกษตรในประเทศ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด ทางด้านการเกษตรในรูปแบบของอาหารและก็แก้ผลผลิตที่ล้นตลาดราคาตกต่ํา ด้วยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยเพิ่มมูลค่า และการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ อาหารฮาลาล อาหารโคเชอ อาหารสําหรับผู้ป่วยผู้สูงอายุ อาหารและยาบํารุงกําลัง ผักและผลไม้ออแกนิก เป็นต้น อันนี้คงต้องไปเชื่อมต่อกับแนวทางประชารัฐด้วย เป็นความสําเร็จในขั้นที่ 1 เราจะต้องขับเคลื่อนต่อไป ทั้งนี้ ผลที่เกิดจากความร่วมมือทางแนวทางของประชารัฐจะทําให้ประชาชนและเกษตรกรไทย ตลอดจนหน่วยงานของรัฐ 9 หน่วยงาน 13 บริษัทเอกชน 12 มหาวิทยาลัย และ 1 สมาคม เจริญเติบโตไปด้วยกัน
จากงานที่ผ่านมาในเรื่องนวัตกรรมคุณภาพสินค้าอาหารไทย มีศักยภาพมาก มีต่างประเทศสนใจมากมาย และก็มาตื่นตะลึงกับความสามารถของประเทศไทยในการผลิตอาหารและการแปรรูป สําหรับการดําเนินการต่าง ๆ นั้น หากมีการดําเนินการที่ถูกต้องเหมาะสม เราต้องทําด้วยการบูรณาการกิจกรรมของหน่วยงานและก็ทําตามหลักวิชาการด้วย ทําอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ คิดจะทําแล้วก็ทําไม่มีหลักวิชา ไม่มีการมาปรับแก้ประยุกต์ใช้ ย่อมไปไม่ได้หมด ถึงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้สักอย่าง เราต้องมาด้วยกัน ระหว่างคนทําคนคิด คนที่จะบริหารขับเคลื่อน มันต้องหลายส่วนด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็ไปด้วยกันไม่ได้ เราถึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลนี้ดําเนินการลักษณะนี้อยู่ทั้งหมดในทุก ๆ โครงการ
ผมมีตัวอย่างเพื่อเป็นอุทาหรณ์ จะเป็นตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จ และอีกตัวอย่างคือตัวอย่างที่ยังไม่เป็นแนวทางในการที่จะนําไปสู่ความสําเร็จดังนี้ ตัวอย่างที่ 1 คือความสําเร็จในการยุติการถ่ายทอดเชื้อ HIV และซิฟิลิส (Syphilis) จากแม่สู่ลูกได้ต่ํากว่าร้อยละ2 ในปี 2559 เป็นประเทศแรกในอาเซียน เป็นประเทศที่ 2 ของโลก ทั้งนี้จากการประเมินและรับรองขององค์กรอนามัยโลก อันนี้ขอให้ทุกคนภูมิใจ เป็นผลจากการจัดทํายุทธศาสตร์เอดส์ของชาติในการป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็ก มีการกําหนดวิธีการ วิธีการที่ 1 ก็คือการตรวจเลือด ให้รู้สถานการณ์การติดเชื้อ HIV และติดตามผล 2. คือการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ 3. คือการเตรียมทุกสถานบริการและบุคคลากรสาธารณสุขให้มีความพร้อมในการให้การบริการทุกระดับและ 4. การฝากครรภ์ให้เร็วตามนโยบายฝากท้องทุกที่ฟรีทุกสิทธิ ทั้งนี้เพื่อการฝากครรภ์จะได้มีคุณภาพ มีการคลอดที่มีคุณภาพ มีระบบการอนามัยแม่และเด็กที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ประเทศชาติก็จะได้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงสุดตั้งแต่กําเนิด ซึ่งจะต้องไปเชื่อมต่อกับระบบการศึกษาอีก ความสําเร็จดังกล่าวนั้นเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์การนานาชาติ และภาคประชาสังคม
ตัวอย่างที่ 2 เรื่องที่ไม่สําเร็จ ไม่สําเร็จคือเรื่องของการดูแลต้นไม้ในเมืองอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะต้นไม้กว่าจะโตต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะโตเป็นต้นใหญ่ได้ มีทั้งเรื่องไม่สําเร็จของการดูแลต้นไม้ในเมือง การปลูกป่าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการตัดต้นไม้ที่เรียกว่ามองเห็นกันทั่วไป บั่นยอดบ้าง แทนที่เราจะถอนยอดให้มันสูงเกะกะได้อย่างไร ไม่ให้รบกวนระบบสายไฟฟ้า ไม่ใช้ตัดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ตลอดจนการที่จะต้องทําลายอุโมงค์ต้นไม่ที่ไปกีดขวาง มีพายุมาก็ทําให้สายไฟขาดไปดับทั้งเมือง อะไรทํานองนี้ ผมว่ามีวิธีการมากมายนะ ระยะยาวถ้าจะแก้ได้ก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางเสียดายต้นไม้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการดูแลการตัดต้นไม้ มีการตัดแต่งให้มีศิลปะบ้าง เพื่อจะอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ไว้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมได้สั่งการให้สร้างระบบการจัดการบริหารต้นไม้ในเมืองเช่นเดียวกับนานาชาติ เขาทําตั้งหลายประเทศแล้ว ทําไมเราไม่เอาความรู้เขามา ตามองค์ความรู้ด้านรุกขกรรม ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรุงเทพมหานคร การไฟฟ้าพระนครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด กรมทางหลวง รวมถึงกรมทางหลวงชนบท กระทรวงพลังงานได้เพิ่มตําแหน่งรุกขกร หรือ หมอต้นไม้ มาทําหน้าที่ดังกล่าว นอกจากนั้น ผมขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงานได้มีการบูรณาการในการแก้ปัญหาร่วมกัน ปัญหาไม่สามารถจะแก้ได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น ต้องร่วมมือกันในกิจกรรมเดียวกัน ฉะนั้นอาจจะต้องมีการปรับแก้กฎหมายในเชิงบูรณาการ หรือดูแลในเรื่องของการจัดทําระบบผังเมืองที่เหมาะสม วันนี้เราเวนคืนที่สําหรับทําถนน ทําทางรถไฟ แต่ยังไม่เพียงพอสําหรับการปักเสาไฟฟ้า หรือปลูกต้นไม้อะไรต่าง ๆ ก็ปลูกเข้าไปพื้นที่ก็เล็ก พอโตก็ต้องตัดทิ้ง นั่นแหละปัญหาต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุว่าจะต้องทําอย่างไร ก็เดือดร้อนไปทั้งหมด ทั้งคนมองเห็น ส่วนใหญ่คนข้างนอกเขาจะมองเห็นความสวยงาม ส่วนคนข้างในก็เดือดร้อนจากไปตัด นี้ล่ะ จะเจอกันตรงไหนได้อย่างไรต้องลงตัว อาจจะต้องมีการจ้างคนตัดแต่งต้นไม้ เขาเรียกว่าตัดแต่งให้สวยงามมีศิลปะ ไม่ใช้จ้างคนมาตัดต้นไม้ไม่ใช่จ้างใครก็ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีคนที่เรียกว่า รุกขกร จะทําอย่างไร จะทําให้เป็นศิลปะตรงไหน มีช่องให้สายไฟลอดได้ยังไง ผมไปต่างประเทศเห็นเขาทํา รถนี้วิ่งเรียบต้นไม้ กิ่งต้นไม้ที่ยืนออกมา รถบัสติดกันเกือบชิดแต่ไม่โดน ของเราตัดเกลี้ยงนั่นแหละคือปัญหาของเรา ความละเอียดอ่อน ความมีศิลปะ หรือความเอาใจใส่ในการสั่งงานของผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบผมถือว่าท่านต้องรับผิดชอบ ต่อไปนี้ถ้าผมเห็นที่ไหนก็คงจะต้องมีการสอบสวนกัน
การปลูกป่าที่ผ่านมาดูแล้วเหมือนสําเร็จ แต่บางพื้นที่ไม่สําเร็จ เพราะว่าอะไร เพราะว่าทุกคนก็ไม่เข้าใจการปลูกต้นไม้ ทุกคนก็อยากจะปลูก อยากจะช่วย อยากจะทํา ก็หาทางกรมป่าไม้ หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็หาพันธุ์ไม้มาให้ แต่ถึงเวลาแล้วต้องเอาหลักการมาดูว่า ถ้าเราปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีน้ํา ไม่มีคนดูแล ไม่มีฝายชะลอน้ําเพื่อสร้างความชื้นและพันธุ์ไม้ที่เอาไปปลูกก็อยู่กลางแดด ต้นก็เล็กอยู่กลางแดด ไม่มีน้ําต่อไป วันแรกมีคนรด วันที่ 2 ที่ 3 ไม่มีน้ํา ก็แห้งตายเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ต้องทบทวนใหม่ ต้นไม้จะต้องโตไม่น้อยกว่า 2 เมตร ซึ่งนี้คือพันธุ์ไม้ที่เอาไปปลูก มันถึงจะอยู่ได้แต่ต้องไปปลูกในต้นฤดูฝนและฝนก็ช่วยดูแล เพราะฉะนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็เป็นการปลูกในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจบ้าง ป่าชุมชนบ้าง ป่าต้นน้ําที่มีน้ํามีเจ้าหน้าที่ดูแล หรือใกล้หน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเหล่านั้นให้ช่วยดูแล ปลูกน้อยแล้วโต ดีกว่าปลูกมากแล้วตาย จําคําพูดผมไว้
ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายในเชิงโครงสร้าง กับดักใหญ่ ๆ ของประเทศมี 3 เรื่อง ได้แก่ กระบวนการทางกฎหมาย ระบบราชการและการพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ไขทั้งหมด มีการดําเนินการที่คืบหน้าไปมากก็เป็นแต่เพียงการวางรากฐาน เอาที่ผ่านมา เอาปัญหามา คลี่ออกมา ปัญหาใหญ่ ปัญหากลาง ปัญหาเล็ก เอามาดูว่าจะทําอะไรได้บ้างในระยะที่ 1 ในด้านกฎหมายนั้นช่วง 7 ปีที่ผ่านมา อาจจะต้องกล่าวอ้างกลับไปว่า ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2557 ได้มีการผลักดันกฎหมายเป็นไปด้วยความล่าช้าด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่ ทําได้เพียง 120 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2557 กฎหมายสําคัญที่จําเป็น เช่น กฎหมายตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายลดความเหลื่อมล้ํา กฎหมายจัดระเบียบสังคม ไม่สามารถออกได้เลย เพราะมีความขัดแย้งสูง การเมืองก็มีปัญหาอาจจะมีการไร้เสถียรภาพ หรือการทับซ้อนอะไรก็แล้วแต่ ทําให้ทําไม่ได้ ได้ก็น้อยเกินไป
ในขณะที่รัฐบาลนี้ได้เข้ามาดําเนินการตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา 2 ปีถึงปัจจุบัน สามารถเร่งรัดการออกกฎหมายที่จําเป็น ได้ 172 ฉบับ โดยเราไม่สนใจเรื่องของการบริหารเพื่อหวังผลทางการเมืองเน้นในเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ของส่วนรวมเป็นสําคัญและก็ไม่แทรกแซงฝ่ายตุลาการเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
กฎหมาย “คุณภาพ” ที่หลายฝ่าย ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและความเชื่อมั่นของเราด้วย แล้วในสายตานักธุรกิจและชาวโลก อาทิ กฎหมายเศรษฐกิจ มี พ.ร.บ. จํานองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์การเอาผิดการลอบถ่ายวิดีโอในโรงภาพยนตร์ พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย พ.ร.บ. ความลับทางการค้า พ.ร.บ. ล้มละลาย
กฎหมายตามพันธะระหว่างประเทศ ก็มี พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตามสนธิสัญญาไซเตส พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนการก่อการร้าย พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ร.บ. ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ และการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย รวมทั้งการแก้ปัญหา กฎหมายเรื่อง ICAO เรื่อง พ.ร.ก. ประมง ตามข้อตกลง IUU และพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า ตามพิธีสารมาดริดนะครับ
กฎหมายในเรื่องของความเหลื่อมล้ํา ที่เราต้องลดลงให้ได้ก็คือที่ประชาชนคาดหวัง รอคอย เช่นภาษี เราทําในเรื่องของภาษีการรับมรดกนะครับ พ.ร.บ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ร.บ. ประกันวินาศภัย พ.ร.บ. ประกันชีวิต
สําหรับกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม ก็ได้แก่ พ.ร.บ. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ร.บ. หอพัก พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ร.บ. ความผิด เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ร.บ. สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ
เกี่ยวกับกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อย อาทิเช่น พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เหล่านี้เป็นต้นนะครับ
สําหรับการปรับปรุงกฎหมาย ในระยะต่อไป 2559 – 2560 เราจะเร่งดําเนินการในกลุ่มที่ 1 คือ กฎหมายในเชิงปฏิรูปตามนโยบายรัฐบาล อาทิ เช่น ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ร.บ. บรรษัทวิสาหกิจ พ.ร.บ. วิสาหกิจชุมชน พ.ร.บ. กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
กลุ่มที่ 2 คือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่ากฎหมายลูก ก็ต้องไปตามหลายอย่าง กฎกระทรวง พระราชกฤษฎีกาต่าง ๆ ต้องสอดคล้องกันหมด ประกอบรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายหลัก ต้องมีกฎหมายในเชิงบังคับใช้ข้างล่างด้วย วิธีการของเจ้าหน้าที่ แล้วก็ประชาชนจะร่วมมือกันได้อย่างไร กําลังเร่งทําอยู่
กลุ่มที่ 3 คือกฎหมายเชิงปฏิรูปที่ต้องออกตามร่างรัฐธรรมนูญ เช่น เรื่องของการปฏิรูปตํารวจ การศึกษา และกฎหมายอื่นๆ ที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว้ต้องออกภายในเวลาที่กําหนด เช่น กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ 120 วัน กฎหมายแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ 120 วัน กฎหมายสิ่งแวดล้อม 240 วัน กฎหมายวินัยการคลัง 240 วัน เป็นต้น
กลุ่มที่ 4 คือการแก้ปัญหาในระบบราชการ ที่ผ่านมาอาจจะมีกฎหมายทับซ้อนกันมากเกินไป บางอย่างก็ทันสมัย ไม่ทันสมัยบ้าง อาจจะไม่เคยมีการตรวจสอบตามความจําเป็นเลยนะครับ ตามระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วก็มีผลที่ทําให้หลายอย่างล่าช้า บางกฎหมายซ้ําซ้อนกัน บางครั้งก็ไม่มีผู้รับผิดชอบ เพราะหลายกระทรวงทําด้วยกันไง งบประมาณต่างคนต่างทํา รัฐบาลนี้ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ทบทวนความจําเป็นในการออกกฎหมาย ทุก 5 ปี พร้อมทั้งการจะออกกฎหมายได้นั้น ต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ การตรวจสอบร่างกฎหมาย checklist 10 ข้อ เช่น แนวทางการทํากฎหมายลูก การบูรณาการกิจกรรมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในเรื่องที่ 2 ในการติดต่อราชการที่ผ่านมา ใช้เวลามาก ขั้นตอนยุ่งยากและยุ่งเหยิง ต้องมีการเตรียมการ ถามหาเอกสารหลายฉบับ รัฐบาลนี้ก็เพิ่มศักยภาพการให้บริการภาครัฐ โดยการนําเทคโนโลยีระบบ e-Government มาใช้ เราต้องใช้ระบบ IT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วันนี้มีการปรับปรุงในส่วนของกระทรวง ICT ด้วย เราได้มีการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (OSS) ให้ทั่วถึง และออก พ.ร.บ. อํานวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ เพื่อให้การบริการประชาชน มีความชัดเจน โปร่งใส และรวดเร็ว ป้องกันการเรียกรับเงิน การทุจริตของเจ้าหน้าที่
เรื่องที่ 3 กลไกราชการที่มีช่องว่างให้เกิดการทุจริต รัฐบาลนี้ได้แก้กฎหมาย ป.ป.ช. ปปง. ป.ป.ท. ให้เป็นอิสระจากการเมือง เพิ่มอํานาจตรวจสอบ เพิ่มบทบาทให้ศูนย์ต่อต้านการทุจริต ประจํากระทรวงออก พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้าง โดยใช้ระบบ e-Bidding
เรื่องที่ 4 ได้มีการปรับเงินเดือน เงินประจําตําแหน่งให้ข้าราชการทุกประเภท มี 5 ประเภท บางระดับก็ไม่ได้รับการปรับให้เท่าเทียมกัน ก็แก้ไขเพียงเท่านั้น เพราะข้าราชการต้องเสียภาษีทั้งหมดทุกคน ก็ต้องดูแลเขา แล้วเงินนั้นก็กลับมาเป็นค่าใช้จ่ายในประเทศทั้งสิ้น
เรื่องที่ 5 มีช่องทางศูนย์ดํารงธรรมอีกด้วย เพื่อให้ให้ประชาชนได้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากรัฐได้ บางอย่างแก้ได้เร็วมาก หลายแสนเรื่องแก้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ปีที่ผ่านมา ได้ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
การแก้ปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย รัฐบาลนี้ได้นําเอาคดีสําคัญของประเทศเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลเท่านั้นนะครับ เช่น คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีจํานําข้าว คดีคลองด่าน คดีฟิลลิป มอร์ริส นะครับ เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องของการนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นเอง เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับขบวนการภายใน
การแก้ปัญหาการดําเนินคดีในศาลในคดีที่สําคัญ เช่น กรณีใช้วิธีพิจารณาล่าช้า เช่นคดีค้ามนุษย์ คดียาเสพติด ผมให้มีการเปิดแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด ขึ้นในศาลชั้นต้น กรณีศาลถูกแทรกแซงโดยผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ให้สามารถโอนคดีไปพิจารณานอกพื้นที่ได้ หากมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่สะดวก ให้มีการออก พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยด้วย ที่ต้องตกไปเป็นผู้ต้องหาหรืออะไรก็แล้วแต่ ทั้งนี้ เพื่อธํารงไว้ซึ่งความเท่าเทียม ความยุติธรรม และความสงบสุขในสังคมไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายเรื่องด้วยกันที่ต้องดําเนินการ อย่างต่อเนื่อง รัฐบาลนี้ก็จะได้วางรากฐานไว้ให้ตาม Road map ระยะที่ 1 จน ถึงปี 2560 ที่เหลือก็จะบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีการประเมินทุก1- 5 ปี 4 ช่วง คือ 4 แผน รวม 20 ปี
ทั้งหมดจะสําเร็จได้ด้วยการริเริ่ม เอาใจใส่กวดขัน ของรัฐบาลร่วมกับ ข้าราชการที่มีหน้าที่ ขอความร่วมมือจากประชาชนไปด้วยพร้อม ๆ กัน 3 อย่างนี่ทําด้วยกันได้หมด งานทุกงาน อย่าไปคิดว่า ฝ่ายบริหารต้องไม่คิดว่า เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของข้าราชการ เพราะฉะนั้น ถ้าบกพร่องขึ้นมาข้าราชการก็บกพร่อง ฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ต้องสั่ง ต้องจี้ ต้องตาม ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ต้องเห็นใจข้าราชการเขาบ้าง แล้วมีหลายคน ที่ผ่านมามีนักการเมืองออกมาพูดว่า สิ่งที่บกพร่องวันนี้เป็นงานธุรการ ที่ข้าราชการต้องทําอยู่แล้ว ถ้าผิดพลาดอะไร ก็เป็นเรื่องของข้าราชการ เขาไม่รับผิดชอบ ผมคิดว่าท่านคงได้ยิน ไปหาดูว่าใครพูด
ความสําเร็จทั้งปวงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเราทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ร่วมมือกัน ไม่จริงใจต่อกัน และไม่มองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ในการที่จะนําพาประเทศชาติและประชาชน ทุกหมู่เหล่า ภายใต้ “สีไตรรงค์” เหมือนกัน ไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนด้วยกลไก ประชารัฐ ในทุกกิจกรรมด้วยกัน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข วันหยุดสุดสัปดาห์ครับ สวัสดีครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน รัฐบาลขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมภาคภูมิใจในศิลปะชั้นสูงของแผ่นดิน และชื่นชมผลงานอันวิจิตรบรรจงของลูกหลานเกษตรกรผู้รังสรรค์และสืบทอดศิลปะช่างฝีมือของชาติไทย ในนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “ศิลป์แผ่นดิน” ครั้งที่ 7 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน เป็นต้นไป ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
สําหรับผลงานชิ้นเอก ในปีมหามงคลของปวงชนชาวไทยปีนี้สถาบันสิริกิติ์ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ได้จัดสร้างอาคารจตุรมุขโถง มียอดทรงปราสาท 9 ยอด เป็นสถาปัตยกรรมเรือนยอดแบบไทย ที่มีจํานวนยอดปราสาทมากที่สุดเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นผลงานชิ้นแรกของช่างศิลปาชีพสถาบันสิริกิติ์ สร้างขึ้นด้วยถาวรวัตถุประกอบด้วยโลหะและหินอ่อน มีการปิดทองประดับกระจกและตกแต่งด้วยจิตรกรรมในส่วนต่างๆ ทั้งเรือนยอด ถือเป็นอาคารโลหะทั้งหลัง และเป็นหลังแรกของไทย โดยได้รับพระราชทานนามว่า “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” หมายถึง เรือนยอดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งใหญ่ กล่าวคือ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ (1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี พุทธศักราช 2559 และ (2) จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา 5 ธันวาคม 2560 พร้อมด้วยในโอกาสที่ (3) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 และ (4) เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ด้วย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ผมได้มีโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ 70 ปีครองราชย์ ประชารัฐรวมใจภักดิ์ ป่ารักษ์น้ําตามรอยพ่อ”ณ คลองบางสองร้อย ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรีซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาล ที่มอบให้กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบหลักดําเนินการตามแนวทางประชารัฐเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 70 ปี เป็น 70 แห่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่ดี กินดี ของพสกนิกรชาวไทย โดยการน้อมนําแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย รวมทั้งใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และประมง นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามแนวทาง “ป่ารักน้ํา” ที่พระองค์จะทรงเป็น “ป่า” ที่ถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงเป็น “น้ํา” โดยโครงการดังกล่าวได้ดําเนินการพร้อมกันทั่วภูมิภาคของประเทศ
โอกาสเดียวกันนี้ ผมได้ปลูกต้นราชพฤกษ์ หรือต้นคูน ต้นไม้ประจําชาติไทยเป็นไม้มงคลที่มีความสําคัญต่อประเทศไทย มีดอกเป็นพวงระย้าสีเหลืองสด เป็นสีแห่งพระพุทธศาสนาและสีประจําวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รวมทั้งได้ปลูกหญ้าแฝกตามแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการฟื้นฟู ปรับปรุง และพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ แก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมโดยใช้ระบบหญ้าแฝกจะช่วยอนุรักษ์ดินและน้ํา สามารถ (1) ปลูกในพื้นที่ลาดชัน เพื่อลดความเร็วน้ําฝน ป้องกันน้ําป่าไหลหลาก และลดการชะล้างแร่ธาตุในหน้าดิน (2) ปลูกเพื่อควบคุมร่องน้ํา เสริมความมั่นคงให้คันดิน (3) ปลูกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในสวนผลไม้เป็นพืชคลุมดิน ตายไปก็กลายเป็นอินทรีย์วัตถุในดินต่อไป หรือ (4) ปลูกรอบขอบสระเพื่อกรองตะกอนดิน และยึดติดกันรอบๆ ขอบสระไม่ให้เกิดการพังทลาย เหล่านี้เป็นต้น นอกจากนั้น ผมอยากให้ประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดแหล่งน้ําหรือ คูคลองต่าง ๆ ที่ขุดรอกขึ้นมานั้นได้ช่วยกันปลูกหญ้าคลุมดินบริเวณตลิ่งริมคลองไว้ด้วย ขณะที่หญ้าแฝกที่เราปลูกไว้นั้นยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ รากคือยังไม่ยาวนะครับ ยังไม่แข็งแรงเท่าไรนัก เราอาจจะต้องมีหญ้าเพื่อจะคลุมดินไม่ให้น้ํามันเซาะลงไปอีก
ขอฝากไว้กับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดนะครับได้ช่วยกันกํากับดูแล เอาประชาชนมาร่วมมือกันเป็นกลุ่ม ๆ ในพื้นที่ที่ใกล้แหล่งน้ํา เพื่อจะได้มีการเก็บพืชต่าง ๆ ที่จะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ พริก หอม กระเทียม กล้วย อ้อย แล้วก็ไม้ยืนต้นเสริมไปด้วย อะไรก็ได้ ไม้โตเร็วบ้างอะไรบ้างที่มันอยู่ริมน้ํานะครับ ริมคันคูคลองต่าง ๆ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันจะได้มีคนดูแล มีคน มีน้ํา ได้คอยดูแล และให้มันเจริญเติบโตได้ ถ้าหากว่าปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีน้ํา ไม่มีคน ปลูกเสร็จ ถ่ายรูปเสร็จมันก็ตายหมด เพราะฉะนั้นต้นไม้ที่จะเจริญเติบโตรอดได้จะต้องมีความสูงไม่ต่ํากว่า 2 เมตร เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้ขอให้มีการทําฝายชะลอน้ํา แล้วก็พืชคลุมดินหรือต้นไม้ที่โตเร็ว คลุมดินไว้ก่อนเพื่อเก็บความชุ่มชื้นไว้ แล้วเอาต้นไม้ที่สูง 1.50 เมตร หรือ 2 เมตร ไปปลูกใต้ร่มเงานั้น หรือในพื้นที่ที่เราดูแลได้ ก็จะโตอย่างยั่งยืน ต้นไม้นะ ไม่อย่างนั้นปลูกไปก็ตายหมด
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีนักกีฬาทีมชาติไทยหลายประเภท ที่ทําหน้าที่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี นําความสุข ความภาคภูมิใจมาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทยกันถ้วนหน้า ในโอกาสนี้ผมขอเป็นตัวแทนในการแสดงความยินดีและชื่นชม
(1) ทีมช้างศึกไทยนะครับ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ในการคว้าแชมป์ “คิงส์ คัพ” ครั้งที่ 44 ที่เราห่างหายมานาน 9 ปี เพื่อถวายแด่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปีมหามงคลนี้
(2) ในขณะที่ทีมชาติไทย ชุด U-21 รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอล “เนชั่นส์ คัพ” ที่ประเทศมาเลเซีย ได้อย่าง น่าประทับใจ และ
(3) ทีมนักตบสาวไทย ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงที่ได้รางวัลรองชนะเลิศ ในรายการ “มองเทรอซ์ วอลเลย์บอล มาสเตอร์ 2016” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นับว่าบรรลุเป้าหมายในการยกระดับไปสู่มาตรฐานโลกได้ในที่สุด พร้อมทั้งขอการันตีด้วย 4 รางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยม ทั้งตําแหน่งหัวเสา บอลเร็ว มือเซ็ต ตัวรับอิสระ เราต้องร่วมกันนะครับเพื่อให้กําลังใจนักกีฬาของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีโอกาสเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ด้วย หลายประเภทด้วยกัน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า คนไทยไม่มีความเก่งกาจย่อหย่อนไปกว่าชนชาติใดในโลก รวมทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมเพื่อจะสร้างชาติของเราให้เข้มแข็งในอนาคต ในเรื่องนี้เรามีผลงานของนักวิจัยไทยที่ประสบความสําเร็จ จนได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติ เช่น
(1) เครื่องช่วยฟังในหู สําหรับผู้พิการทางการได้ยิน แบบชาร์จได้ ราคาถูก 800 บาท ซึ่งถ้านําเข้าจากต่างประเทศ ราคาจะไม่ต่ํากว่าเครื่องละ 1 หมื่นบาทนะครับ
(2) แผ่นใยไม้อัดปลอดพลาสติก จากขี้เลื่อยไม้ยางพาราสามารถนําไปประยุกต์ใช้งาน เป็นภาชนะบรรจุอาหาร และของเล่นเด็ก ราคาถูกและปลอดภัย ใช้วัตถุดิบเหลือใช้ในประเทศ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ขี้เลื่อย
(3) บรรจุภัณฑ์สําหรับการส่งออกลําไยสด โดยไม่ผ่านการรมซัลเฟอร์ไดออกไซต์ สามารถเก็บได้นาน กว่า 4 เดือน และ
(4) เครื่องรีไซเคิลขยะขวดแก้ว ใช้แทนทรายทําอิฐสร้างบ้าน เป็นต้น เหล่านี้ ถ้าหากเราช่วยกันคิด ช่วยกันวิจัย ช่วยกันพัฒนาต่อยอด และก็ผลิตในประเทศได้ ก็จะเป็นสินค้า แบรนด์ไทย ซึ่งพอจะแข่งขันกับต่างประเทศเขาได้ ในโลกปัจจุบัน
นอกจากนวัตกรรมที่ได้รับรางวัลดังกล่าวเหล่านี้แล้ว ยังมีสิ่งของประดิษฐ์ของไทย อีกหลายรายการ ที่ผมได้สั่งการให้สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับธุรกิจเอกชนไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ช่วยกันดําเนินการเพื่อส่งเสริมให้สามารถนําไปสู่การผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างคุณค่าให้กับประเทศ ทั้งในเชิงพาณิชย์และใช้ในชีวิตประจําวัน เช่น การทําบัญชีสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทยมีหลายร้อยชิ้น แล้วการปรับปรุงระเบียบให้หน่วยงานของรัฐ สามารถจัดซื้อจัดจ้างนวัตกรรมไทยได้ ที่มีการผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว สําหรับการสร้างความยั่งยืนให้กับการวิจัยและพัฒนาของประเทศ มีหลายประการนะครับ ไม่ใช่พูดแต่คําว่าจะวิจัย วิจัย จะส่งเสริมแต่ไม่ได้ทําในกิจกรรมปลีกย่อยเหล่านั้น
รัฐบาลได้เตรียมการปฏิรูประบบวิจัยไทยใหม่ทั้งหมด โดยมีการจัดทํากรอบยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ 20 ปี (2560 – 2579) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมกรรมนโยบายระบบวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้มีหน้าที่ในการกํากับนโยบายทางด้านนี้ของประเทศ จะต้องมีเอกภาพในทุก ๆ มิติ เช่น การกําหนดทิศทาง การจัดสรรงบประมาณ การให้กรอบทุนสนับสนุน การเสริมสร้างขีดความสามารถ การเชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งในและต่างประเทศ การปรับปรุงคนและโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับ ตลอดจนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อจะนําไปใช้ประโยชน์ ในโอกาสต่อไป
สําหรับตัวอย่างการขับเคลื่อนนวัตกรรมและอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ ภายใต้โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ 1 ในอุตสาหกรรมใหม่ 5 อุตสาหกรรม เรื่อง ฟู๊ด อินโนโพลิสต์ ก็คือการสร้างเมืองอาหาร เพื่อให้ไทยเป็นครัวโลกอย่างแท้จริง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในที่ผมกล่าวไปแล้ว เปิดให้ดําเนินการไปแล้วในปี 2559 สามารถสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ในฟาร์ม การจัดการหลังเก็บเกี่ยว การพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ การตลาด ทั้งนี้ เพื่อที่จะดึงดูดบริษัทผู้ผลิต หรือวิจัยพัฒนาอาหารชั้นนําของโลกมาลงทุนในกิจกรรมด้านนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย ก็ได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ แรงจูงใจด้านภาษี ในเรื่องของการนําเข้าเครื่องจักร การพํานักของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในไทย ไม่ต้องกลัวเขามาแย่งงาน เราเอาเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเข้ามา แรงงานเราก็ต้องเตรียมไว้ด้วย การถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการ เขาก็เป็นการเช่านะครับยังไงก็ยังเป็นของเราอยู่ทั้งหมด
สองเพื่อเป็นการสนับสนุนเอกชนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ Start Up SMEs ไปจนถึงบริษัทไทยขนาดใหญ่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก เพื่อยกระดับความสามารถของ Start Up และ SMEs ตลอดจนสร้างงาน จ้างงาน กําหนดมาตรฐานในเรื่องของความรู้ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นและที่สําคัญ เป็นการกระตุ้นการใช้วัตถุดิบด้านการเกษตรในประเทศ เพื่อจะสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด ทางด้านการเกษตรในรูปแบบของอาหารและก็แก้ผลผลิตที่ล้นตลาดราคาตกต่ํา ด้วยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยเพิ่มมูลค่า และการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ อาหารฮาลาล อาหารโคเชอ อาหารสําหรับผู้ป่วยผู้สูงอายุ อาหารและยาบํารุงกําลัง ผักและผลไม้ออแกนิก เป็นต้น อันนี้คงต้องไปเชื่อมต่อกับแนวทางประชารัฐด้วย เป็นความสําเร็จในขั้นที่ 1 เราจะต้องขับเคลื่อนต่อไป ทั้งนี้ ผลที่เกิดจากความร่วมมือทางแนวทางของประชารัฐจะทําให้ประชาชนและเกษตรกรไทย ตลอดจนหน่วยงานของรัฐ 9 หน่วยงาน 13 บริษัทเอกชน 12 มหาวิทยาลัย และ 1 สมาคม เจริญเติบโตไปด้วยกัน
จากงานที่ผ่านมาในเรื่องนวัตกรรมคุณภาพสินค้าอาหารไทย มีศักยภาพมาก มีต่างประเทศสนใจมากมาย และก็มาตื่นตะลึงกับความสามารถของประเทศไทยในการผลิตอาหารและการแปรรูป สําหรับการดําเนินการต่าง ๆ นั้น หากมีการดําเนินการที่ถูกต้องเหมาะสม เราต้องทําด้วยการบูรณาการกิจกรรมของหน่วยงานและก็ทําตามหลักวิชาการด้วย ทําอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ คิดจะทําแล้วก็ทําไม่มีหลักวิชา ไม่มีการมาปรับแก้ประยุกต์ใช้ ย่อมไปไม่ได้หมด ถึงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้สักอย่าง เราต้องมาด้วยกัน ระหว่างคนทําคนคิด คนที่จะบริหารขับเคลื่อน มันต้องหลายส่วนด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็ไปด้วยกันไม่ได้ เราถึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลนี้ดําเนินการลักษณะนี้อยู่ทั้งหมดในทุก ๆ โครงการ
ผมมีตัวอย่างเพื่อเป็นอุทาหรณ์ จะเป็นตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จ และอีกตัวอย่างคือตัวอย่างที่ยังไม่เป็นแนวทางในการที่จะนําไปสู่ความสําเร็จดังนี้ ตัวอย่างที่ 1 คือความสําเร็จในการยุติการถ่ายทอดเชื้อ HIV และซิฟิลิส (Syphilis) จากแม่สู่ลูกได้ต่ํากว่าร้อยละ2 ในปี 2559 เป็นประเทศแรกในอาเซียน เป็นประเทศที่ 2 ของโลก ทั้งนี้จากการประเมินและรับรองขององค์กรอนามัยโลก อันนี้ขอให้ทุกคนภูมิใจ เป็นผลจากการจัดทํายุทธศาสตร์เอดส์ของชาติในการป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็ก มีการกําหนดวิธีการ วิธีการที่ 1 ก็คือการตรวจเลือด ให้รู้สถานการณ์การติดเชื้อ HIV และติดตามผล 2. คือการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ 3. คือการเตรียมทุกสถานบริการและบุคคลากรสาธารณสุขให้มีความพร้อมในการให้การบริการทุกระดับและ 4. การฝากครรภ์ให้เร็วตามนโยบายฝากท้องทุกที่ฟรีทุกสิทธิ ทั้งนี้เพื่อการฝากครรภ์จะได้มีคุณภาพ มีการคลอดที่มีคุณภาพ มีระบบการอนามัยแม่และเด็กที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ประเทศชาติก็จะได้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงสุดตั้งแต่กําเนิด ซึ่งจะต้องไปเชื่อมต่อกับระบบการศึกษาอีก ความสําเร็จดังกล่าวนั้นเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์การนานาชาติ และภาคประชาสังคม
ตัวอย่างที่ 2 เรื่องที่ไม่สําเร็จ ไม่สําเร็จคือเรื่องของการดูแลต้นไม้ในเมืองอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะต้นไม้กว่าจะโตต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะโตเป็นต้นใหญ่ได้ มีทั้งเรื่องไม่สําเร็จของการดูแลต้นไม้ในเมือง การปลูกป่าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการตัดต้นไม้ที่เรียกว่ามองเห็นกันทั่วไป บั่นยอดบ้าง แทนที่เราจะถอนยอดให้มันสูงเกะกะได้อย่างไร ไม่ให้รบกวนระบบสายไฟฟ้า ไม่ใช้ตัดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ตลอดจนการที่จะต้องทําลายอุโมงค์ต้นไม่ที่ไปกีดขวาง มีพายุมาก็ทําให้สายไฟขาดไปดับทั้งเมือง อะไรทํานองนี้ ผมว่ามีวิธีการมากมายนะ ระยะยาวถ้าจะแก้ได้ก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางเสียดายต้นไม้ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการดูแลการตัดต้นไม้ มีการตัดแต่งให้มีศิลปะบ้าง เพื่อจะอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ไว้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมได้สั่งการให้สร้างระบบการจัดการบริหารต้นไม้ในเมืองเช่นเดียวกับนานาชาติ เขาทําตั้งหลายประเทศแล้ว ทําไมเราไม่เอาความรู้เขามา ตามองค์ความรู้ด้านรุกขกรรม ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรุงเทพมหานคร การไฟฟ้าพระนครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด กรมทางหลวง รวมถึงกรมทางหลวงชนบท กระทรวงพลังงานได้เพิ่มตําแหน่งรุกขกร หรือ หมอต้นไม้ มาทําหน้าที่ดังกล่าว นอกจากนั้น ผมขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงานได้มีการบูรณาการในการแก้ปัญหาร่วมกัน ปัญหาไม่สามารถจะแก้ได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น ต้องร่วมมือกันในกิจกรรมเดียวกัน ฉะนั้นอาจจะต้องมีการปรับแก้กฎหมายในเชิงบูรณาการ หรือดูแลในเรื่องของการจัดทําระบบผังเมืองที่เหมาะสม วันนี้เราเวนคืนที่สําหรับทําถนน ทําทางรถไฟ แต่ยังไม่เพียงพอสําหรับการปักเสาไฟฟ้า หรือปลูกต้นไม้อะไรต่าง ๆ ก็ปลูกเข้าไปพื้นที่ก็เล็ก พอโตก็ต้องตัดทิ้ง นั่นแหละปัญหาต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุว่าจะต้องทําอย่างไร ก็เดือดร้อนไปทั้งหมด ทั้งคนมองเห็น ส่วนใหญ่คนข้างนอกเขาจะมองเห็นความสวยงาม ส่วนคนข้างในก็เดือดร้อนจากไปตัด นี้ล่ะ จะเจอกันตรงไหนได้อย่างไรต้องลงตัว อาจจะต้องมีการจ้างคนตัดแต่งต้นไม้ เขาเรียกว่าตัดแต่งให้สวยงามมีศิลปะ ไม่ใช้จ้างคนมาตัดต้นไม้ไม่ใช่จ้างใครก็ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีคนที่เรียกว่า รุกขกร จะทําอย่างไร จะทําให้เป็นศิลปะตรงไหน มีช่องให้สายไฟลอดได้ยังไง ผมไปต่างประเทศเห็นเขาทํา รถนี้วิ่งเรียบต้นไม้ กิ่งต้นไม้ที่ยืนออกมา รถบัสติดกันเกือบชิดแต่ไม่โดน ของเราตัดเกลี้ยงนั่นแหละคือปัญหาของเรา ความละเอียดอ่อน ความมีศิลปะ หรือความเอาใจใส่ในการสั่งงานของผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบผมถือว่าท่านต้องรับผิดชอบ ต่อไปนี้ถ้าผมเห็นที่ไหนก็คงจะต้องมีการสอบสวนกัน
การปลูกป่าที่ผ่านมาดูแล้วเหมือนสําเร็จ แต่บางพื้นที่ไม่สําเร็จ เพราะว่าอะไร เพราะว่าทุกคนก็ไม่เข้าใจการปลูกต้นไม้ ทุกคนก็อยากจะปลูก อยากจะช่วย อยากจะทํา ก็หาทางกรมป่าไม้ หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็หาพันธุ์ไม้มาให้ แต่ถึงเวลาแล้วต้องเอาหลักการมาดูว่า ถ้าเราปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีน้ํา ไม่มีคนดูแล ไม่มีฝายชะลอน้ําเพื่อสร้างความชื้นและพันธุ์ไม้ที่เอาไปปลูกก็อยู่กลางแดด ต้นก็เล็กอยู่กลางแดด ไม่มีน้ําต่อไป วันแรกมีคนรด วันที่ 2 ที่ 3 ไม่มีน้ํา ก็แห้งตายเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ต้องทบทวนใหม่ ต้นไม้จะต้องโตไม่น้อยกว่า 2 เมตร ซึ่งนี้คือพันธุ์ไม้ที่เอาไปปลูก มันถึงจะอยู่ได้แต่ต้องไปปลูกในต้นฤดูฝนและฝนก็ช่วยดูแล เพราะฉะนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็เป็นการปลูกในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจบ้าง ป่าชุมชนบ้าง ป่าต้นน้ําที่มีน้ํามีเจ้าหน้าที่ดูแล หรือใกล้หน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเหล่านั้นให้ช่วยดูแล ปลูกน้อยแล้วโต ดีกว่าปลูกมากแล้วตาย จําคําพูดผมไว้
ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายในเชิงโครงสร้าง กับดักใหญ่ ๆ ของประเทศมี 3 เรื่อง ได้แก่ กระบวนการทางกฎหมาย ระบบราชการและการพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ไขทั้งหมด มีการดําเนินการที่คืบหน้าไปมากก็เป็นแต่เพียงการวางรากฐาน เอาที่ผ่านมา เอาปัญหามา คลี่ออกมา ปัญหาใหญ่ ปัญหากลาง ปัญหาเล็ก เอามาดูว่าจะทําอะไรได้บ้างในระยะที่ 1 ในด้านกฎหมายนั้นช่วง 7 ปีที่ผ่านมา อาจจะต้องกล่าวอ้างกลับไปว่า ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2557 ได้มีการผลักดันกฎหมายเป็นไปด้วยความล่าช้าด้วยเหตุผลประการใดก็แล้วแต่ ทําได้เพียง 120 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2557 กฎหมายสําคัญที่จําเป็น เช่น กฎหมายตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายลดความเหลื่อมล้ํา กฎหมายจัดระเบียบสังคม ไม่สามารถออกได้เลย เพราะมีความขัดแย้งสูง การเมืองก็มีปัญหาอาจจะมีการไร้เสถียรภาพ หรือการทับซ้อนอะไรก็แล้วแต่ ทําให้ทําไม่ได้ ได้ก็น้อยเกินไป
ในขณะที่รัฐบาลนี้ได้เข้ามาดําเนินการตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา 2 ปีถึงปัจจุบัน สามารถเร่งรัดการออกกฎหมายที่จําเป็น ได้ 172 ฉบับ โดยเราไม่สนใจเรื่องของการบริหารเพื่อหวังผลทางการเมืองเน้นในเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ของส่วนรวมเป็นสําคัญและก็ไม่แทรกแซงฝ่ายตุลาการเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
กฎหมาย “คุณภาพ” ที่หลายฝ่าย ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและความเชื่อมั่นของเราด้วย แล้วในสายตานักธุรกิจและชาวโลก อาทิ กฎหมายเศรษฐกิจ มี พ.ร.บ. จํานองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์การเอาผิดการลอบถ่ายวิดีโอในโรงภาพยนตร์ พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย พ.ร.บ. ความลับทางการค้า พ.ร.บ. ล้มละลาย
กฎหมายตามพันธะระหว่างประเทศ ก็มี พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตามสนธิสัญญาไซเตส พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนการก่อการร้าย พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ร.บ. ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ และการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย รวมทั้งการแก้ปัญหา กฎหมายเรื่อง ICAO เรื่อง พ.ร.ก. ประมง ตามข้อตกลง IUU และพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า ตามพิธีสารมาดริดนะครับ
กฎหมายในเรื่องของความเหลื่อมล้ํา ที่เราต้องลดลงให้ได้ก็คือที่ประชาชนคาดหวัง รอคอย เช่นภาษี เราทําในเรื่องของภาษีการรับมรดกนะครับ พ.ร.บ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ร.บ. ประกันวินาศภัย พ.ร.บ. ประกันชีวิต
สําหรับกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม ก็ได้แก่ พ.ร.บ. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ร.บ. หอพัก พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ร.บ. ความผิด เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ร.บ. สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ
เกี่ยวกับกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อย อาทิเช่น พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เหล่านี้เป็นต้นนะครับ
สําหรับการปรับปรุงกฎหมาย ในระยะต่อไป 2559 – 2560 เราจะเร่งดําเนินการในกลุ่มที่ 1 คือ กฎหมายในเชิงปฏิรูปตามนโยบายรัฐบาล อาทิ เช่น ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ร.บ. บรรษัทวิสาหกิจ พ.ร.บ. วิสาหกิจชุมชน พ.ร.บ. กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
กลุ่มที่ 2 คือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่ากฎหมายลูก ก็ต้องไปตามหลายอย่าง กฎกระทรวง พระราชกฤษฎีกาต่าง ๆ ต้องสอดคล้องกันหมด ประกอบรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายหลัก ต้องมีกฎหมายในเชิงบังคับใช้ข้างล่างด้วย วิธีการของเจ้าหน้าที่ แล้วก็ประชาชนจะร่วมมือกันได้อย่างไร กําลังเร่งทําอยู่
กลุ่มที่ 3 คือกฎหมายเชิงปฏิรูปที่ต้องออกตามร่างรัฐธรรมนูญ เช่น เรื่องของการปฏิรูปตํารวจ การศึกษา และกฎหมายอื่นๆ ที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว้ต้องออกภายในเวลาที่กําหนด เช่น กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ 120 วัน กฎหมายแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ 120 วัน กฎหมายสิ่งแวดล้อม 240 วัน กฎหมายวินัยการคลัง 240 วัน เป็นต้น
กลุ่มที่ 4 คือการแก้ปัญหาในระบบราชการ ที่ผ่านมาอาจจะมีกฎหมายทับซ้อนกันมากเกินไป บางอย่างก็ทันสมัย ไม่ทันสมัยบ้าง อาจจะไม่เคยมีการตรวจสอบตามความจําเป็นเลยนะครับ ตามระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วก็มีผลที่ทําให้หลายอย่างล่าช้า บางกฎหมายซ้ําซ้อนกัน บางครั้งก็ไม่มีผู้รับผิดชอบ เพราะหลายกระทรวงทําด้วยกันไง งบประมาณต่างคนต่างทํา รัฐบาลนี้ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ทบทวนความจําเป็นในการออกกฎหมาย ทุก 5 ปี พร้อมทั้งการจะออกกฎหมายได้นั้น ต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ การตรวจสอบร่างกฎหมาย checklist 10 ข้อ เช่น แนวทางการทํากฎหมายลูก การบูรณาการกิจกรรมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในเรื่องที่ 2 ในการติดต่อราชการที่ผ่านมา ใช้เวลามาก ขั้นตอนยุ่งยากและยุ่งเหยิง ต้องมีการเตรียมการ ถามหาเอกสารหลายฉบับ รัฐบาลนี้ก็เพิ่มศักยภาพการให้บริการภาครัฐ โดยการนําเทคโนโลยีระบบ e-Government มาใช้ เราต้องใช้ระบบ IT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วันนี้มีการปรับปรุงในส่วนของกระทรวง ICT ด้วย เราได้มีการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (OSS) ให้ทั่วถึง และออก พ.ร.บ. อํานวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ เพื่อให้การบริการประชาชน มีความชัดเจน โปร่งใส และรวดเร็ว ป้องกันการเรียกรับเงิน การทุจริตของเจ้าหน้าที่
เรื่องที่ 3 กลไกราชการที่มีช่องว่างให้เกิดการทุจริต รัฐบาลนี้ได้แก้กฎหมาย ป.ป.ช. ปปง. ป.ป.ท. ให้เป็นอิสระจากการเมือง เพิ่มอํานาจตรวจสอบ เพิ่มบทบาทให้ศูนย์ต่อต้านการทุจริต ประจํากระทรวงออก พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้าง โดยใช้ระบบ e-Bidding
เรื่องที่ 4 ได้มีการปรับเงินเดือน เงินประจําตําแหน่งให้ข้าราชการทุกประเภท มี 5 ประเภท บางระดับก็ไม่ได้รับการปรับให้เท่าเทียมกัน ก็แก้ไขเพียงเท่านั้น เพราะข้าราชการต้องเสียภาษีทั้งหมดทุกคน ก็ต้องดูแลเขา แล้วเงินนั้นก็กลับมาเป็นค่าใช้จ่ายในประเทศทั้งสิ้น
เรื่องที่ 5 มีช่องทางศูนย์ดํารงธรรมอีกด้วย เพื่อให้ให้ประชาชนได้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากรัฐได้ บางอย่างแก้ได้เร็วมาก หลายแสนเรื่องแก้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ปีที่ผ่านมา ได้ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
การแก้ปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย รัฐบาลนี้ได้นําเอาคดีสําคัญของประเทศเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลเท่านั้นนะครับ เช่น คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีจํานําข้าว คดีคลองด่าน คดีฟิลลิป มอร์ริส นะครับ เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องของการนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นเอง เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับขบวนการภายใน
การแก้ปัญหาการดําเนินคดีในศาลในคดีที่สําคัญ เช่น กรณีใช้วิธีพิจารณาล่าช้า เช่นคดีค้ามนุษย์ คดียาเสพติด ผมให้มีการเปิดแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด ขึ้นในศาลชั้นต้น กรณีศาลถูกแทรกแซงโดยผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ให้สามารถโอนคดีไปพิจารณานอกพื้นที่ได้ หากมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่สะดวก ให้มีการออก พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยด้วย ที่ต้องตกไปเป็นผู้ต้องหาหรืออะไรก็แล้วแต่ ทั้งนี้ เพื่อธํารงไว้ซึ่งความเท่าเทียม ความยุติธรรม และความสงบสุขในสังคมไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายเรื่องด้วยกันที่ต้องดําเนินการ อย่างต่อเนื่อง รัฐบาลนี้ก็จะได้วางรากฐานไว้ให้ตาม Road map ระยะที่ 1 จน ถึงปี 2560 ที่เหลือก็จะบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีการประเมินทุก1- 5 ปี 4 ช่วง คือ 4 แผน รวม 20 ปี
ทั้งหมดจะสําเร็จได้ด้วยการริเริ่ม เอาใจใส่กวดขัน ของรัฐบาลร่วมกับ ข้าราชการที่มีหน้าที่ ขอความร่วมมือจากประชาชนไปด้วยพร้อม ๆ กัน 3 อย่างนี่ทําด้วยกันได้หมด งานทุกงาน อย่าไปคิดว่า ฝ่ายบริหารต้องไม่คิดว่า เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของข้าราชการ เพราะฉะนั้น ถ้าบกพร่องขึ้นมาข้าราชการก็บกพร่อง ฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ต้องสั่ง ต้องจี้ ต้องตาม ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ต้องเห็นใจข้าราชการเขาบ้าง แล้วมีหลายคน ที่ผ่านมามีนักการเมืองออกมาพูดว่า สิ่งที่บกพร่องวันนี้เป็นงานธุรการ ที่ข้าราชการต้องทําอยู่แล้ว ถ้าผิดพลาดอะไร ก็เป็นเรื่องของข้าราชการ เขาไม่รับผิดชอบ ผมคิดว่าท่านคงได้ยิน ไปหาดูว่าใครพูด
ความสําเร็จทั้งปวงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเราทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ร่วมมือกัน ไม่จริงใจต่อกัน และไม่มองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ในการที่จะนําพาประเทศชาติและประชาชน ทุกหมู่เหล่า ภายใต้ “สีไตรรงค์” เหมือนกัน ไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนด้วยกลไก ประชารัฐ ในทุกกิจกรรมด้วยกัน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข วันหยุดสุดสัปดาห์ครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมว.สธ. ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา
|
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
ที่ปรึกษา รมว.สธ. ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา
กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ติดตามการดําเนินงานควบคุมกํากับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้าหรือสั่งเข้าในประเทศ และการควบคุมป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน
กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ติดตามการดําเนินงานควบคุมกํากับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้าหรือสั่งเข้าในประเทศ และการควบคุมป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน โดยในปี 2560 มีการนําเข้าสินค้ารวมมูลค่า 85,878,707 บาท ได้แก่ หัวหอมใหญ่ กระเทียม มันฝรั่งสดเกรด A กะปิ มะพร้าวผล และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ติดตามการดําเนินงานของด่านอาหารและยาและด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ที่ด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลาซึ่งเปิดทําการในปี 2553พบว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งแต่การใช้เครื่องจับอุณหภูมิร่างกายมีแผนการควบคุมโรคตามหลักสากล มีระบบฐานข้อมูลด้านวัคซีน และระบบตรวจสอบสุขาภิบาลยานพาหนะ รวมทั้งมีการใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย (test kit) ตรวจสอบสารปนเปื้อนผลิตภัณฑ์อาหารและยา ผลผลิตทางการเกษตร โดยเชื่อมโยงศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตยืนยันผลตรวจด้วยวิธีมาตรฐานสากล สําหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้า ได้แก่ หัวหอมใหญ่ กระเทียม มันฝรั่งสดเกรด Aกะปิ มะพร้าวผล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในปี 2560 มีการนําเข้าสินค้ารวมมูลค่า 85,878,707 บาท ผลการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพด้วยชุดทดสอบอย่างง่าย 48 ตัวอย่าง ตรวจพบยาฆ่าแมลงปนเปื้อนในหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งจากจีน 5 ตัวอย่างแต่เมื่อส่งตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตพบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
“เมื่อการก่อสร้างถนนจากอําเภอนาทวีมายังด่านแล้วเสร็จ จะทําให้การติดต่อสะดวกกว่าช่องทางอื่น และจะเป็นด่านที่มีความสําคัญในอนาคตอันใกล้นี้ เกิดประโยชน์กับการค้าระหว่างประเทศ การขนส่งและการท่องเที่ยวอย่างมากซึ่งในปีงบประมาณ 2560 มูลค่าการค้าชายแดนจะเพิ่มสูงขึ้นในปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บภาษีศุลกากรได้มากกว่าหนึ่งพันล้าน” นายแพทย์กิตติศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ จ.สงขลามีอาณาเขตติดต่อกับรัฐเคดาห์ และรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย มีช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ 5 ช่องทาง ได้แก่ ด่านสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ ด่านบ้านประกอบ ด่านท่าเรือสงขลา และด่านท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งทั้ง 5 ช่องทาง มีด่านอาหารและยา ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตั้งอยู่ เพื่ออํานวยความสะดวกผู้ประกอบการและประชาชนที่เดินทางเข้าออกประเทศ มีคณะกรรมการช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทั้ง 5 ช่องทาง ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (มาตรา23) และมีคณะกรรมการความร่วมมือสาธารณสุขชายแดนไทย-มาเลเซียตั้งแต่พ.ศ.2502 ร่วมดําเนินการตามข้อตกลง 4 ประเด็น ได้แก่ การควบคุมและเฝ้าระวังโรคติดต่อ อนามัยแม่และเด็ก การรักษาพยาบาลและแบ่งปันทรัพยากร และด่านอาหารและยา โดยทุกด่านผ่านการประเมินผลสมรรถนะตามข้อกําหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (IHR 2005)
ในการเฝ้าระวังโรคติดต่อ มีการส่งต่อข้อมูลอุบัติการณ์โรค การเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข การซ้อมแผนโรคติดต่อชายแดนร่วมกันเป็นประจําทุกปีล่าสุดในปี 2559 กรณีโรคติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในสถานการณ์พิเศษอื่นๆ อาทิ การคัดกรองโรคติดเชื้อทางเดินหายใจตะวันออกกลาง แก่ผู้เดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจจ์ ที่ด่านท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาส่วนด่านอาหารและยามีห้องปฏิบัติการมาตรฐานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสารปนเปื้อนด้วยชุดทดสอบอย่างง่ายได้แก่ ยาฆ่าแมลง สีสังเคราะห์ บอแรกซ์และสารฟอกขาว หากพบปนเปื้อนส่งตรวจยืนยันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้นําผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้ามาจําหน่าย ต้องยื่นขออนุญาตที่สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้า ที่ด่านอาหารและยาทุกราย ************** 28 พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมว.สธ. ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
ที่ปรึกษา รมว.สธ. ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา
กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ติดตามการดําเนินงานควบคุมกํากับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้าหรือสั่งเข้าในประเทศ และการควบคุมป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน
กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ติดตามการดําเนินงานควบคุมกํากับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้าหรือสั่งเข้าในประเทศ และการควบคุมป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน โดยในปี 2560 มีการนําเข้าสินค้ารวมมูลค่า 85,878,707 บาท ได้แก่ หัวหอมใหญ่ กระเทียม มันฝรั่งสดเกรด A กะปิ มะพร้าวผล และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ติดตามการดําเนินงานของด่านอาหารและยาและด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ที่ด่านบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลาซึ่งเปิดทําการในปี 2553พบว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งแต่การใช้เครื่องจับอุณหภูมิร่างกายมีแผนการควบคุมโรคตามหลักสากล มีระบบฐานข้อมูลด้านวัคซีน และระบบตรวจสอบสุขาภิบาลยานพาหนะ รวมทั้งมีการใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย (test kit) ตรวจสอบสารปนเปื้อนผลิตภัณฑ์อาหารและยา ผลผลิตทางการเกษตร โดยเชื่อมโยงศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตยืนยันผลตรวจด้วยวิธีมาตรฐานสากล สําหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นําเข้า ได้แก่ หัวหอมใหญ่ กระเทียม มันฝรั่งสดเกรด Aกะปิ มะพร้าวผล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในปี 2560 มีการนําเข้าสินค้ารวมมูลค่า 85,878,707 บาท ผลการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพด้วยชุดทดสอบอย่างง่าย 48 ตัวอย่าง ตรวจพบยาฆ่าแมลงปนเปื้อนในหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งจากจีน 5 ตัวอย่างแต่เมื่อส่งตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตพบว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
“เมื่อการก่อสร้างถนนจากอําเภอนาทวีมายังด่านแล้วเสร็จ จะทําให้การติดต่อสะดวกกว่าช่องทางอื่น และจะเป็นด่านที่มีความสําคัญในอนาคตอันใกล้นี้ เกิดประโยชน์กับการค้าระหว่างประเทศ การขนส่งและการท่องเที่ยวอย่างมากซึ่งในปีงบประมาณ 2560 มูลค่าการค้าชายแดนจะเพิ่มสูงขึ้นในปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บภาษีศุลกากรได้มากกว่าหนึ่งพันล้าน” นายแพทย์กิตติศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ จ.สงขลามีอาณาเขตติดต่อกับรัฐเคดาห์ และรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย มีช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ 5 ช่องทาง ได้แก่ ด่านสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ ด่านบ้านประกอบ ด่านท่าเรือสงขลา และด่านท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งทั้ง 5 ช่องทาง มีด่านอาหารและยา ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตั้งอยู่ เพื่ออํานวยความสะดวกผู้ประกอบการและประชาชนที่เดินทางเข้าออกประเทศ มีคณะกรรมการช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทั้ง 5 ช่องทาง ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (มาตรา23) และมีคณะกรรมการความร่วมมือสาธารณสุขชายแดนไทย-มาเลเซียตั้งแต่พ.ศ.2502 ร่วมดําเนินการตามข้อตกลง 4 ประเด็น ได้แก่ การควบคุมและเฝ้าระวังโรคติดต่อ อนามัยแม่และเด็ก การรักษาพยาบาลและแบ่งปันทรัพยากร และด่านอาหารและยา โดยทุกด่านผ่านการประเมินผลสมรรถนะตามข้อกําหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (IHR 2005)
ในการเฝ้าระวังโรคติดต่อ มีการส่งต่อข้อมูลอุบัติการณ์โรค การเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข การซ้อมแผนโรคติดต่อชายแดนร่วมกันเป็นประจําทุกปีล่าสุดในปี 2559 กรณีโรคติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในสถานการณ์พิเศษอื่นๆ อาทิ การคัดกรองโรคติดเชื้อทางเดินหายใจตะวันออกกลาง แก่ผู้เดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจจ์ ที่ด่านท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาส่วนด่านอาหารและยามีห้องปฏิบัติการมาตรฐานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสารปนเปื้อนด้วยชุดทดสอบอย่างง่ายได้แก่ ยาฆ่าแมลง สีสังเคราะห์ บอแรกซ์และสารฟอกขาว หากพบปนเปื้อนส่งตรวจยืนยันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้นําผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้ามาจําหน่าย ต้องยื่นขออนุญาตที่สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้า ที่ด่านอาหารและยาทุกราย ************** 28 พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8415
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี โดยมีนางสาวสมใจ มีสมบูรณ์ อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานีให้การต้อนรับ
นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่ไปตรวจ และติดตามการแก้ไขปัญหาโรงงาน กรณีร้องเรียนการประกอบกิจการ บริษัท อุทัยธานี ไบโอ เอเนอยี่ จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ณ ตําบลไผ่เขียว อําเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการรอบ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบจังหวัดอุทัยธานี โดยมีนางสาวสมใจ มีสมบูรณ์ อุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานีให้การต้อนรับ
นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่ไปตรวจ และติดตามการแก้ไขปัญหาโรงงาน กรณีร้องเรียนการประกอบกิจการ บริษัท อุทัยธานี ไบโอ เอเนอยี่ จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ณ ตําบลไผ่เขียว อําเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15054
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล จ.เพชรบูรณ์
|
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล จ.เพชรบูรณ์
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ จ.เพชรบูรณ์
วันนี้ (17 กันยายน 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ซึ่งได้มีกลุ่มชาวบ้าน ตําบลร่องฟอง อําเถอเมือง จังหวัดแพร่ จํานวน 6 คนมายื่นเรื่องคัดค้านการตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ โดยกลุ่มชาวบ้านได้แจ้งข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น เศษไม้ ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นวัตถุดิบในการเผาถ่านเพื่อจําหน่ายในพื้นที่ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้แทนรับเรื่องเพื่อพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ จ.เพชรบูรณ์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล จ.เพชรบูรณ์
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล จ.เพชรบูรณ์
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ จ.เพชรบูรณ์
วันนี้ (17 กันยายน 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ซึ่งได้มีกลุ่มชาวบ้าน ตําบลร่องฟอง อําเถอเมือง จังหวัดแพร่ จํานวน 6 คนมายื่นเรื่องคัดค้านการตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ โดยกลุ่มชาวบ้านได้แจ้งข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น เศษไม้ ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นวัตถุดิบในการเผาถ่านเพื่อจําหน่ายในพื้นที่ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้แทนรับเรื่องเพื่อพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ จ.เพชรบูรณ์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15427
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประวิตรฯ แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกำชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
|
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
รอง นรม. ประวิตรฯ แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกําชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกําชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรายละเอียด หรือค่าเป้าหมายตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อให้แผนปฏิบัติการ/แผนธุรกิจ ประจําปี 2563 สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อาทิ การเก็บตัวฝึกซ้อมที่บ้านของนักกีฬาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์เกมส์และกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากได้มีการเลื่อนการแข่งขันไปในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับเป้าหมายตัวชี้วัดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมกีฬาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมกีฬา ให้สอดคล้องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้เกิดข้อจํากัดในการเดินทางของนักกีฬา และผู้ชมชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทย จึงต้องพิจารณาการจัดการรายการแข่งขันกีฬาเป็นเลิศ แข่งขันกีฬาอาชีพและกีฬาเพื่อการท่องเที่ยวและนันทนาการ (Sports Tourism) ในรูปแบบ New Normal เพื่อตอบรับแนวทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์-มาร์เชียลอาร์ตสเกมส์ ครั้งที่ 6 ในปี พ.ศ. 2564 (Asian Indoor and Martial Arts Games 2021) โดยกําชับให้ติดตาม ตรวจสอบการใช้สารต้องห้ามที่ใช้ในการแข่งกีฬา รวมถึงการปรับกฎระเบียบให้มีความเข้มงวด พร้อมเสนอให้มีการจัดอบรม สัมมนา เพื่อปลูกฝังให้นักกีฬาและเยาวชน มีความตระหนักรู้เรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงเจตจํานงและความตั้งใจในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันของประเทศไทยด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประวิตรฯ แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกำชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
รอง นรม. ประวิตรฯ แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกําชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แนะปรับยุทธศาสตร์ กกท. ให้สอดคล้องกับยุค New Normal พร้อมกําชับให้ปลูกฝังนักกีฬาและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา
วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรายละเอียด หรือค่าเป้าหมายตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อให้แผนปฏิบัติการ/แผนธุรกิจ ประจําปี 2563 สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อาทิ การเก็บตัวฝึกซ้อมที่บ้านของนักกีฬาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์เกมส์และกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากได้มีการเลื่อนการแข่งขันไปในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการปรับเป้าหมายตัวชี้วัดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมกีฬาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมกีฬา ให้สอดคล้องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้เกิดข้อจํากัดในการเดินทางของนักกีฬา และผู้ชมชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทย จึงต้องพิจารณาการจัดการรายการแข่งขันกีฬาเป็นเลิศ แข่งขันกีฬาอาชีพและกีฬาเพื่อการท่องเที่ยวและนันทนาการ (Sports Tourism) ในรูปแบบ New Normal เพื่อตอบรับแนวทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์-มาร์เชียลอาร์ตสเกมส์ ครั้งที่ 6 ในปี พ.ศ. 2564 (Asian Indoor and Martial Arts Games 2021) โดยกําชับให้ติดตาม ตรวจสอบการใช้สารต้องห้ามที่ใช้ในการแข่งกีฬา รวมถึงการปรับกฎระเบียบให้มีความเข้มงวด พร้อมเสนอให้มีการจัดอบรม สัมมนา เพื่อปลูกฝังให้นักกีฬาและเยาวชน มีความตระหนักรู้เรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงเจตจํานงและความตั้งใจในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันของประเทศไทยด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32688
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้ บมจ. ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ บุกเบิกลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น
|
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้ บมจ. ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ บุกเบิกลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น
EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,205 ล้านเยนหรือประมาณ 661.50 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพบนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น จํานวน 8 โครงการ กําลังการผลิตรวม
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับ ดร.พงศ์รักษ์ จินดาสมบัติเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และพลเอกเชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 2,205 ล้านเยนหรือประมาณ 661.50 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพจํานวน 8 โครงการ กําลังการผลิตรวม 1,000 กิโลวัตต์ (kW) หรือเทียบเท่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 เมกะวัตต์ (MW) ในเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ซึ่งเป็นแหล่งน้ําพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ผลิตไฟฟ้าขายให้แก่ Kyushu Electric Power Company อัตราค่าไฟ 40 เยนต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 15 ปี ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ ซึ่งบริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกที่ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นการนําเอาพลังงานความร้อนที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งมีเสถียรภาพและเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคมในญี่ปุ่น
“การสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น นอกจากเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการไทยรายอื่นลงทุนในธุรกิจนี้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้เทคโนโลยีและการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากแหล่งพลังงานธรรมชาติ ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นพันธกิจโดยตรงและสอดคล้องกับนโยบายของ EXIM BANK ที่จะบุกเบิกและพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าการลงทุนระหว่างประเทศในโลกยุคใหม่” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Provides Financial Facility to Thai Luxe Enterprises Plc. Pioneering Geothermal Power Plant Business in Japan
EXIM Thailand signed a financial facility agreement worth 2,205 million yen or approximately 661.50 million baht with Thai Luxe Enterprises Plc. to support the company’s investment in eight geothermal power plant projects with a total capacity of 1,000 kW on Kyushu island of Japan.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Dr. Pongrak Chindasombatcharoen, Chairman of Executive Committee of Thai Luxe Enterprises Plc. (TLUXE), and General Chaowarit Prapajit, Chief Executive Officer of TLUXE, jointly signed a financial facility agreement worth 2,205 million yen, equivalent to around 661.50 million baht, at EXIM Thailand’s Head Office to finance TLUXE’s investment in eight geothermal power plant projects with a total generating capacity of 1,000 kW or equivalent to solar power plant with installed capacity of 8 MW in Beppu, Oita Prefecture, which is Japan’s largest source of hot springs. The company has planned power sales to Kyushu Electric Power Company at a tariff rate of 40 yen/unit over a 15-year term.
EXIM Thailand President said EXIM Thailand is ready to render financial support to Thai entrepreneurs investing overseas, especially in new types of power business. TLUXE is the first Thai enterprise to engage in geothermal power plant business in Japan, using geothermal heat to generate electricity 24 hours a day. This is in line with Japanese government’s policy to promote the use of renewable energy sources to secure supply of energy appropriate for the country’s economic and social environment.
“EXIM Thailand’s support of TLUXE’s geothermal power plants in Japan will not only serve as a prototype for other Thai entrepreneurs’ future endeavors in this area, but also allow for Thai entrepreneurs’ access to renewable power production technology and know-how. This will also further both countries’ sustainable economic and social development, in line with EXIM Thailand’s main mission and policy to develop its financial facilities in response to Thai entrepreneurs’ needs in their international trade and investment of the new era,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้ บมจ. ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ บุกเบิกลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้ บมจ. ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ บุกเบิกลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น
EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,205 ล้านเยนหรือประมาณ 661.50 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพบนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น จํานวน 8 โครงการ กําลังการผลิตรวม
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับ ดร.พงศ์รักษ์ จินดาสมบัติเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และพลเอกเชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 2,205 ล้านเยนหรือประมาณ 661.50 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพจํานวน 8 โครงการ กําลังการผลิตรวม 1,000 กิโลวัตต์ (kW) หรือเทียบเท่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 เมกะวัตต์ (MW) ในเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ซึ่งเป็นแหล่งน้ําพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ผลิตไฟฟ้าขายให้แก่ Kyushu Electric Power Company อัตราค่าไฟ 40 เยนต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 15 ปี ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า EXIM BANK พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ ซึ่งบริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกที่ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นการนําเอาพลังงานความร้อนที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งมีเสถียรภาพและเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคมในญี่ปุ่น
“การสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น นอกจากเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการไทยรายอื่นลงทุนในธุรกิจนี้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้เทคโนโลยีและการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากแหล่งพลังงานธรรมชาติ ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นพันธกิจโดยตรงและสอดคล้องกับนโยบายของ EXIM BANK ที่จะบุกเบิกและพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าการลงทุนระหว่างประเทศในโลกยุคใหม่” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Provides Financial Facility to Thai Luxe Enterprises Plc. Pioneering Geothermal Power Plant Business in Japan
EXIM Thailand signed a financial facility agreement worth 2,205 million yen or approximately 661.50 million baht with Thai Luxe Enterprises Plc. to support the company’s investment in eight geothermal power plant projects with a total capacity of 1,000 kW on Kyushu island of Japan.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Dr. Pongrak Chindasombatcharoen, Chairman of Executive Committee of Thai Luxe Enterprises Plc. (TLUXE), and General Chaowarit Prapajit, Chief Executive Officer of TLUXE, jointly signed a financial facility agreement worth 2,205 million yen, equivalent to around 661.50 million baht, at EXIM Thailand’s Head Office to finance TLUXE’s investment in eight geothermal power plant projects with a total generating capacity of 1,000 kW or equivalent to solar power plant with installed capacity of 8 MW in Beppu, Oita Prefecture, which is Japan’s largest source of hot springs. The company has planned power sales to Kyushu Electric Power Company at a tariff rate of 40 yen/unit over a 15-year term.
EXIM Thailand President said EXIM Thailand is ready to render financial support to Thai entrepreneurs investing overseas, especially in new types of power business. TLUXE is the first Thai enterprise to engage in geothermal power plant business in Japan, using geothermal heat to generate electricity 24 hours a day. This is in line with Japanese government’s policy to promote the use of renewable energy sources to secure supply of energy appropriate for the country’s economic and social environment.
“EXIM Thailand’s support of TLUXE’s geothermal power plants in Japan will not only serve as a prototype for other Thai entrepreneurs’ future endeavors in this area, but also allow for Thai entrepreneurs’ access to renewable power production technology and know-how. This will also further both countries’ sustainable economic and social development, in line with EXIM Thailand’s main mission and policy to develop its financial facilities in response to Thai entrepreneurs’ needs in their international trade and investment of the new era,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8069
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 21 เมษายน 2563
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 21 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 21 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม – 21 เมษายน 2563 (10.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,481,287 ราย เสียชีวิต 170,436 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อ
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่21 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –21 เมษายน2563 (10.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,481,287 ราย เสียชีวิต 170,436 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 792,759 ราย เสียชีวิต 42,514 รายสเปนพบผู้ป่วย 200,210 ราย เสียชีวิต 20,852 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 181,228 ราย เสียชีวิต 24,114 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (20 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 109 ราย (สะสม 2,108 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 19 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือเพียง 655 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,793 - 2,811 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว10ราย (พบที่จังหวัดชุมพร, ชลบุรี, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน8ราย มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 2 ราย
2.2 อาชีพเสี่ยง 1 ราย (เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง)
2.3 ร่วมพิธีกรรมทางศาสนา 1 ราย (เดินทางไปดาวะห์)
2.4 อื่นๆ 4 ราย (จากการค้นหาเชิงรุกในจังหวัดยะลา 2 ราย / ตรวจก่อนทําหัตถการ 2 ราย)
กลุ่มที่ 3ไม่มีรายงาน ผู้ป่วยยืนยันพบเชื้อและอยู่ระหว่างสอบสวนโรค
กลุ่มที่4เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantines1ราย (จากสหรัฐอเมริกา)
ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 50 ปี อาชีพขับรถ Taxi โรคประจําตัวเป็นเบาหวาน การควบคุมน้ําตาลไม่ดี มีประวัติเสี่ยงรับส่งผู้โดยสารที่ไปดูมวยจากสนามมวยลุมพินี เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว หายใจไม่เต็มอิ่ม ไอ มีเสมหะ เสียชีวิตวันที่ 20 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 48)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม2,108 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 655 รายเสียชีวิตรวม 48 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,811 ราย
สําหรับจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 รายใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา (ข้อมูลวันที่ 21 เมษายน 2563) เพิ่มอีก 1 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี รวมเป็น 36 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, เพชรบุรี, เพชรบูรณ์, แพร่, แม่ฮ่องสอน, กาญจนบุรี, กาฬสินธุ์, จันทบุรี, นครนายก, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ราชบุรี, ลพบุรี, ลําพูน, ศรีสะเกษ, สมุทรสงคราม, สระบุรี, สุโขทัย, หนองคาย, หนองบัวลําภู, อํานาจเจริญ, อุดรธานี, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, ระยอง, ตาก, ประจวบคีรีขันธ์, พระนครศรีอยุธยา, สกลนคร, สุรินทร์, สระแก้ว และอุบลราชธานี
********************************** 21 เมษายน 2563
******************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 21 เมษายน 2563
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 21 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 21 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม – 21 เมษายน 2563 (10.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,481,287 ราย เสียชีวิต 170,436 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อ
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่21 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –21 เมษายน2563 (10.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,481,287 ราย เสียชีวิต 170,436 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 792,759 ราย เสียชีวิต 42,514 รายสเปนพบผู้ป่วย 200,210 ราย เสียชีวิต 20,852 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 181,228 ราย เสียชีวิต 24,114 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (20 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 109 ราย (สะสม 2,108 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 19 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือเพียง 655 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,793 - 2,811 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว10ราย (พบที่จังหวัดชุมพร, ชลบุรี, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน8ราย มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 2 ราย
2.2 อาชีพเสี่ยง 1 ราย (เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง)
2.3 ร่วมพิธีกรรมทางศาสนา 1 ราย (เดินทางไปดาวะห์)
2.4 อื่นๆ 4 ราย (จากการค้นหาเชิงรุกในจังหวัดยะลา 2 ราย / ตรวจก่อนทําหัตถการ 2 ราย)
กลุ่มที่ 3ไม่มีรายงาน ผู้ป่วยยืนยันพบเชื้อและอยู่ระหว่างสอบสวนโรค
กลุ่มที่4เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantines1ราย (จากสหรัฐอเมริกา)
ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 50 ปี อาชีพขับรถ Taxi โรคประจําตัวเป็นเบาหวาน การควบคุมน้ําตาลไม่ดี มีประวัติเสี่ยงรับส่งผู้โดยสารที่ไปดูมวยจากสนามมวยลุมพินี เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว หายใจไม่เต็มอิ่ม ไอ มีเสมหะ เสียชีวิตวันที่ 20 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 48)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม2,108 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 655 รายเสียชีวิตรวม 48 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,811 ราย
สําหรับจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 รายใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา (ข้อมูลวันที่ 21 เมษายน 2563) เพิ่มอีก 1 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี รวมเป็น 36 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, เพชรบุรี, เพชรบูรณ์, แพร่, แม่ฮ่องสอน, กาญจนบุรี, กาฬสินธุ์, จันทบุรี, นครนายก, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ราชบุรี, ลพบุรี, ลําพูน, ศรีสะเกษ, สมุทรสงคราม, สระบุรี, สุโขทัย, หนองคาย, หนองบัวลําภู, อํานาจเจริญ, อุดรธานี, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, ระยอง, ตาก, ประจวบคีรีขันธ์, พระนครศรีอยุธยา, สกลนคร, สุรินทร์, สระแก้ว และอุบลราชธานี
********************************** 21 เมษายน 2563
******************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29445
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563
|
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563
รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563 เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป็นเวทีแสดงวิทยาการความก้าวหน้าด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมไทย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563 ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้กําหนดจัดงานดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ภายใต้แนวคิด “รักนม รักฟาร์ม สืบสาน รักษา ต่อยอด โคนมอาชีพพระราชทาน” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมและเป็นเวทีแสดงวิทยาการความก้าวหน้าด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมไทย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ มีแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้มีความก้าวหน้าระดับนานาประเทศ ด้วยการเร่งขับเคลื่อนคุณภาพการผลิต การพัฒนาน้ํานมดิบ การเร่งถ่ายทอดนวัตกรรมใหม่ ๆ สู่เกษตรกร เพื่อสานต่อแนวทางพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค อยู่ระหว่างดําเนินการภายใต้แผนวิสาหกิจ 5 ปี (2560 - 2564) โดยมุ่งส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาคุณภาพน้ํานมดิบ พร้อมกับสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ํานมดิบและหาช่องทางขายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2563 ทาง อ.ส.ค. ได้มีการกําหนดเป้าหมายอยู่ที่ 11,130 ล้านบาท เติบโตปีละ 10% ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเกษตรกรโคนมในทุกด้านเพื่อผลักดันไทยให้แข็งแกร่งอยู่ระดับแถวหน้าในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงโคนมเป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ (Smart Farmer) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ํานมดิบให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กําหนดเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายในการยกระดับรายได้ให้ผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยมีรายได้ไม่ต่ํากว่า 180,000 บาท/คน/ปี และสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีความมั่นคงและยั่งยืนในการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมุ่งเน้นในเรื่องฟาร์มประสิทธิภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง อาทิ การผลิตนมในรูปแบบฮาลาลให้ถูกหลักสากล เพื่อให้สามารถส่งขายไปทั่วโลกได้ เป็นต้น
ด้าน ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้ด้านวิทยาการและนวัตกรรมใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมโคนม อาทิ การสัมมนาวิชาการ การจัดแสดงนิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร การสาธิตและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านต่าง ๆ ที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน 2) ศูนย์การเรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อาทิ เปิดให้เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมไทย - เดนมาร์ค การนั่งรถพ่วงชมทิวทัศน์ความสวยงามของฟาร์มโคนมไทย - เดนมาร์ค ชมการสาธิตการรีดนมโค และการสาธิตทําปุ๋ยนมจากผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ค 3) การจัดกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ 4) การจัดกิจกรรมออกร้านขายอาหารและสินค้า และ 5) กิจกรรมความบันเทิง ทั้งการแสดงดนตรีและคอนเสริ์ต การแสดงจากเยาวชน และกิจกรรมรณรงค์บริโภคนม “Thai-Denmark Milksic Festival”
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2563
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563
รมช.มนัญญา แถลงข่าวการจัดงานโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563 เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป็นเวทีแสดงวิทยาการความก้าวหน้าด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมไทย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจําปี 2563 ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้กําหนดจัดงานดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ บริเวณเชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ภายใต้แนวคิด “รักนม รักฟาร์ม สืบสาน รักษา ต่อยอด โคนมอาชีพพระราชทาน” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมและเป็นเวทีแสดงวิทยาการความก้าวหน้าด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมไทย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ มีแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้มีความก้าวหน้าระดับนานาประเทศ ด้วยการเร่งขับเคลื่อนคุณภาพการผลิต การพัฒนาน้ํานมดิบ การเร่งถ่ายทอดนวัตกรรมใหม่ ๆ สู่เกษตรกร เพื่อสานต่อแนวทางพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบัน อ.ส.ค อยู่ระหว่างดําเนินการภายใต้แผนวิสาหกิจ 5 ปี (2560 - 2564) โดยมุ่งส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาคุณภาพน้ํานมดิบ พร้อมกับสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ํานมดิบและหาช่องทางขายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยในปี 2563 ทาง อ.ส.ค. ได้มีการกําหนดเป้าหมายอยู่ที่ 11,130 ล้านบาท เติบโตปีละ 10% ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเกษตรกรโคนมในทุกด้านเพื่อผลักดันไทยให้แข็งแกร่งอยู่ระดับแถวหน้าในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงโคนมเป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ (Smart Farmer) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ํานมดิบให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กําหนดเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายในการยกระดับรายได้ให้ผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยมีรายได้ไม่ต่ํากว่า 180,000 บาท/คน/ปี และสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีความมั่นคงและยั่งยืนในการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมุ่งเน้นในเรื่องฟาร์มประสิทธิภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง อาทิ การผลิตนมในรูปแบบฮาลาลให้ถูกหลักสากล เพื่อให้สามารถส่งขายไปทั่วโลกได้ เป็นต้น
ด้าน ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้ด้านวิทยาการและนวัตกรรมใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมโคนม อาทิ การสัมมนาวิชาการ การจัดแสดงนิทรรศการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตร การสาธิตและการจัดแสดงผลงานวิจัยด้านต่าง ๆ ที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน 2) ศูนย์การเรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อาทิ เปิดให้เยี่ยมชมโรงงานผลิตนมไทย - เดนมาร์ค การนั่งรถพ่วงชมทิวทัศน์ความสวยงามของฟาร์มโคนมไทย - เดนมาร์ค ชมการสาธิตการรีดนมโค และการสาธิตทําปุ๋ยนมจากผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ค 3) การจัดกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ 4) การจัดกิจกรรมออกร้านขายอาหารและสินค้า และ 5) กิจกรรมความบันเทิง ทั้งการแสดงดนตรีและคอนเสริ์ต การแสดงจากเยาวชน และกิจกรรมรณรงค์บริโภคนม “Thai-Denmark Milksic Festival”
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25945
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย ครม. มีมติรับร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนกเป็นอุดมศึกษาในสังกัด สธ. แห่งแรก
|
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2561
สธ. เผย ครม. มีมติรับร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนกเป็นอุดมศึกษาในสังกัด สธ. แห่งแรก
กระทรวงสาธารณสุข เผยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกํากับของกระทรวงสาธารณสุขแห่งแรก
เพื่อให้การผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขมีความสอดคล้องกับแผนของกระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการผลิตบุคลากร สร้างงานวิจัยแก้ไขปัญหาชุมชน ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการราชกฤษฎีกา ก่อนเสนอ สนช. ออกเป็นกฎหมายต่อไป
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการจัดทําร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... เพื่อขอจัดตั้งสถาบันพระบรมชนกเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขมีความสอดคล้องกับแผนของกระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรการศึกษา คณาจารย์ สื่อ อุปกรณ์และเทคโนโลยีการศึกษา การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา โดยเบื้องต้นจะเปิดสอน 2 คณะคือ คณะพยาบาลศาสตร์และคณะสหเวชศาสตร์ ผลิตงานวิจัยที่นําไปใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในชุมชน รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขใน 12 เขตบริการสุขภาพและ กทม. ตอบสนองความต้องการของประชาชนและชุมชนให้เป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการราชกฤษฎีกา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สถาบันพระบรมราชชนกเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีภารกิจหลักในการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางด้านสุขภาพ มีวิทยาลัยในสังกัดกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศจํานวน 39 แห่ง สามารถผลิตบุคลากรด้านสุขภาพได้ 5,000-8,000 คนต่อปีการศึกษา เมื่อ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ สถาบันพระบรมราชชนกจะมีสถานะเป็นนิติบุคคล และเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางที่มีอิสระทางวิชาการ สําหรับบุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนกหลังตั้งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแล้ว จากการหารือกับ ก.พ.ร. คือ ไม่มีการเพิ่มกําลังคน แต่จะโอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ลูกจ้าง อัตรากําลัง งบประมาณ และรายได้ของสถาบันพระบรมราชชนก ยกเว้น วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขและแก้วกัลยาสิกขาลัย ไปเป็นของสถาบันพระบรมราชชนก โดยรัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนงบประมาณจํานวนเท่าเดิม แต่มีวิธีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
******************************* 27 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย ครม. มีมติรับร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนกเป็นอุดมศึกษาในสังกัด สธ. แห่งแรก
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2561
สธ. เผย ครม. มีมติรับร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนกเป็นอุดมศึกษาในสังกัด สธ. แห่งแรก
กระทรวงสาธารณสุข เผยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกํากับของกระทรวงสาธารณสุขแห่งแรก
เพื่อให้การผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขมีความสอดคล้องกับแผนของกระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการผลิตบุคลากร สร้างงานวิจัยแก้ไขปัญหาชุมชน ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการราชกฤษฎีกา ก่อนเสนอ สนช. ออกเป็นกฎหมายต่อไป
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการจัดทําร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอร่าง พ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ.... เพื่อขอจัดตั้งสถาบันพระบรมชนกเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขมีความสอดคล้องกับแผนของกระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรการศึกษา คณาจารย์ สื่อ อุปกรณ์และเทคโนโลยีการศึกษา การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา โดยเบื้องต้นจะเปิดสอน 2 คณะคือ คณะพยาบาลศาสตร์และคณะสหเวชศาสตร์ ผลิตงานวิจัยที่นําไปใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในชุมชน รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขใน 12 เขตบริการสุขภาพและ กทม. ตอบสนองความต้องการของประชาชนและชุมชนให้เป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการราชกฤษฎีกา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สถาบันพระบรมราชชนกเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีภารกิจหลักในการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางด้านสุขภาพ มีวิทยาลัยในสังกัดกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศจํานวน 39 แห่ง สามารถผลิตบุคลากรด้านสุขภาพได้ 5,000-8,000 คนต่อปีการศึกษา เมื่อ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ สถาบันพระบรมราชชนกจะมีสถานะเป็นนิติบุคคล และเป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางที่มีอิสระทางวิชาการ สําหรับบุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนกหลังตั้งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแล้ว จากการหารือกับ ก.พ.ร. คือ ไม่มีการเพิ่มกําลังคน แต่จะโอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข ลูกจ้าง อัตรากําลัง งบประมาณ และรายได้ของสถาบันพระบรมราชชนก ยกเว้น วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขและแก้วกัลยาสิกขาลัย ไปเป็นของสถาบันพระบรมราชชนก โดยรัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนงบประมาณจํานวนเท่าเดิม แต่มีวิธีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
******************************* 27 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”สั่งเข้ม กสร.เอาผิดนายจ้างทำเครนถล่ม กำชับ สปส.จ่ายสิทธิประโยชน์คนงาน
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
“บิ๊กอู๋”สั่งเข้ม กสร.เอาผิดนายจ้างทําเครนถล่ม กําชับ สปส.จ่ายสิทธิประโยชน์คนงาน
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กสร.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเอาผิดนายจ้างตามกฎหมาย กําชับ สปส.ดูแลสิทธิประโยชน์แก่ทายาทกรณีลูกจ้างเสียชีวิตและคุ้มครองผู้บาดเจ็บตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเครนถล่มขณะคนงานกําลังต่อเครนเพื่อก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ จนทําให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ได้แก่ นายวิฑูรย์ ชัยมี นายษิน การสกุล นายวิชา กามีอ้าย นายธนโชค บริครุฑ และนายเติมศักดิ์ ศรีพิทักษ์ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ในจํานวนนี้เป็นคนไทย 4 คน และเมียนมา 1 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นําผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 3 คน ได้แก่ นายสวิง พรรษา นายประรุนัน พรรษา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และนายไพโรจน์ รสซุ่ม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ สําหรับผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย เจ้าหน้าที่นําส่งโรงพยาบาลเลิดสิน ได้แก่ นายมิน อู สัญชาติเมียนมา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ และนายยอดรัก ติณะมาศ แพทย์ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคมจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้แก่ทายาทของลูกจ้างที่เสียชีวิตจากการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 เป็นค่าทําศพจํานวน 40,000 บาท ท่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างเป็นเวลา 10 ปี และทายาทจะได้รับเงินบําเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม ส่วนลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจะได้รับเงินทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาลวงเงิน 50,000 บาทถึง 1 ล้านบาท กรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ค่าทดแทนกรณีหยุดงานร้อยละ 70 ของค่าจ้างโดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทํางานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทํางานได้แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี ค่าทดแทนกรณีสูญเสียไม่เกิน 10 ปี กรณีทุพพลภาพจะได้รับค่าทดแทนไม่น้อยกว่า 15 ปี และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งแบ่งเป็นค่าฟื้นฟูด้านอาชีพ 24,000 บาท และค่าฟื้นฟูด้านการแพทย์ 24,000 บาท
รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดําเนินการเอาผิดกับนายจ้างตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 ตามมาตรา 14 ในกรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในสภาพการทํางานหรือสภาพแวดล้อมในการทํางานที่อาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทํางานและแจกคู่มือปฏิบัติงานให้ลูกจ้างทุกคนก่อนที่ลูกจ้างจะเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสถานที่ทํางานบทลงโทษ มาตรา 16 ให้นายจ้างจัดให้ผู้บริหาร หัวหน้างาน และลูกจ้างทุกคนได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน เพื่อให้บริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวินามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานได้อย่างปลอดภัย ในกรณีนายจ้างรับลูกจ้างเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสถานที่ทํางานหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึ่งอาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตราบต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัยให้นายจ้างจัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้างทุกคนก่อนการเริ่มทํางาน ทั้งนี้ มาตรา 56 นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 16 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และมาตรา 57 นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 14 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ยังมีมาตรการในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เพื่อให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและความปลอดภัยในการทํางานอย่างเคร่งครัด โดยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทั่วประเทศหรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
--------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สํานักงานประกันสังคม - ข้อมูล/
24 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”สั่งเข้ม กสร.เอาผิดนายจ้างทำเครนถล่ม กำชับ สปส.จ่ายสิทธิประโยชน์คนงาน
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
“บิ๊กอู๋”สั่งเข้ม กสร.เอาผิดนายจ้างทําเครนถล่ม กําชับ สปส.จ่ายสิทธิประโยชน์คนงาน
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กสร.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเอาผิดนายจ้างตามกฎหมาย กําชับ สปส.ดูแลสิทธิประโยชน์แก่ทายาทกรณีลูกจ้างเสียชีวิตและคุ้มครองผู้บาดเจ็บตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเครนถล่มขณะคนงานกําลังต่อเครนเพื่อก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ จนทําให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ได้แก่ นายวิฑูรย์ ชัยมี นายษิน การสกุล นายวิชา กามีอ้าย นายธนโชค บริครุฑ และนายเติมศักดิ์ ศรีพิทักษ์ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ในจํานวนนี้เป็นคนไทย 4 คน และเมียนมา 1 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นําผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 3 คน ได้แก่ นายสวิง พรรษา นายประรุนัน พรรษา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และนายไพโรจน์ รสซุ่ม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ สําหรับผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย เจ้าหน้าที่นําส่งโรงพยาบาลเลิดสิน ได้แก่ นายมิน อู สัญชาติเมียนมา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ และนายยอดรัก ติณะมาศ แพทย์ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคมจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้แก่ทายาทของลูกจ้างที่เสียชีวิตจากการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 เป็นค่าทําศพจํานวน 40,000 บาท ท่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างเป็นเวลา 10 ปี และทายาทจะได้รับเงินบําเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม ส่วนลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจะได้รับเงินทดแทน เป็นค่ารักษาพยาบาลวงเงิน 50,000 บาทถึง 1 ล้านบาท กรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ค่าทดแทนกรณีหยุดงานร้อยละ 70 ของค่าจ้างโดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทํางานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทํางานได้แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี ค่าทดแทนกรณีสูญเสียไม่เกิน 10 ปี กรณีทุพพลภาพจะได้รับค่าทดแทนไม่น้อยกว่า 15 ปี และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งแบ่งเป็นค่าฟื้นฟูด้านอาชีพ 24,000 บาท และค่าฟื้นฟูด้านการแพทย์ 24,000 บาท
รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดําเนินการเอาผิดกับนายจ้างตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 ตามมาตรา 14 ในกรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในสภาพการทํางานหรือสภาพแวดล้อมในการทํางานที่อาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทํางานและแจกคู่มือปฏิบัติงานให้ลูกจ้างทุกคนก่อนที่ลูกจ้างจะเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสถานที่ทํางานบทลงโทษ มาตรา 16 ให้นายจ้างจัดให้ผู้บริหาร หัวหน้างาน และลูกจ้างทุกคนได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน เพื่อให้บริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวินามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานได้อย่างปลอดภัย ในกรณีนายจ้างรับลูกจ้างเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสถานที่ทํางานหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึ่งอาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตราบต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัยให้นายจ้างจัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้างทุกคนก่อนการเริ่มทํางาน ทั้งนี้ มาตรา 56 นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 16 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และมาตรา 57 นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 14 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ยังมีมาตรการในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เพื่อให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและความปลอดภัยในการทํางานอย่างเคร่งครัด โดยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทั่วประเทศหรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
--------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สํานักงานประกันสังคม - ข้อมูล/
24 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18321
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “เมียนมา อินไซต์ 2018”
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “เมียนมา อินไซต์ 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาด้านเศรษฐกิจ “เมียนมา อินไซต์ 2018” (Myanmar Insight 2018) โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับสมาคมนักธุรกิจไทยเมียนมา จัดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลอง ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย – เมียนมา สําหรับงานสัมมนาฯในครั้งนี้ ได้เน้นภาพรวมของโอกาสการลงทุนในเมียนมา เจาะลึกสาขาที่รัฐบาลเมียนมาให้ความสําคัญ รวมทั้งสาขาที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ โดยจะแบ่งออกเป็นการเสวนา 5 เวที ได้แก่ 1) การลงทุนในต่างประเทศ ทําไมถึงเลือกเมียนมา 2) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมียนมา วิธีการและพื้นที่ที่นักลงทุนสามารถสนับสนุนเมียนมาให้บรรลุศักยภาพด้านการท่องเที่ยว 3) ภาคไฟฟ้าและพลังงาน แหล่งพลังงานที่เมียนมาสนับสนุนและโอกาสการลงทุน 4) การค้าในเมียนมา และ 5) ความมั่นคงด้านอาหาร เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ณ โรงแรมแชงกรีล่า ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
***************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “เมียนมา อินไซต์ 2018”
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “เมียนมา อินไซต์ 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาด้านเศรษฐกิจ “เมียนมา อินไซต์ 2018” (Myanmar Insight 2018) โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับสมาคมนักธุรกิจไทยเมียนมา จัดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลอง ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย – เมียนมา สําหรับงานสัมมนาฯในครั้งนี้ ได้เน้นภาพรวมของโอกาสการลงทุนในเมียนมา เจาะลึกสาขาที่รัฐบาลเมียนมาให้ความสําคัญ รวมทั้งสาขาที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ โดยจะแบ่งออกเป็นการเสวนา 5 เวที ได้แก่ 1) การลงทุนในต่างประเทศ ทําไมถึงเลือกเมียนมา 2) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเมียนมา วิธีการและพื้นที่ที่นักลงทุนสามารถสนับสนุนเมียนมาให้บรรลุศักยภาพด้านการท่องเที่ยว 3) ภาคไฟฟ้าและพลังงาน แหล่งพลังงานที่เมียนมาสนับสนุนและโอกาสการลงทุน 4) การค้าในเมียนมา และ 5) ความมั่นคงด้านอาหาร เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ณ โรงแรมแชงกรีล่า ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
***************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14029
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561
|
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561
การประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุม อก 3 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (6 มิถุนายน 2561) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561 โดยมีนายชัชพล อินทโฉม หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอนิรุทธ์ โพธิหล้า หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี นายอภิรักษ์ อ่ําสุริยะ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง นายเชาว์วัฒน์ วีรพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี นายวีระ นันทเศรษฐ์ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสิงห์บุรี เป็นคณะทํางาน และมีนางลมัย ทองเรือง รองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นคณะทํางานและเลขานุการ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก 3 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมในครั้งนี้ ให้การจัดทํารายละเอียดแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตในกระบวนงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดส่งแผนดังกล่าวให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เพื่อพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และยังพิจารณาการจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตในกระบวนงานของอุตสาหกรรมจังหวัด : กระบวนงานการขออนุญาตนําสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน และการขับเคลื่อนแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต กระบวนงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561
การประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุม อก 3 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (6 มิถุนายน 2561) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะทํางานจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต จากกระบวนงานอนุมัติอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 3/2561 โดยมีนายชัชพล อินทโฉม หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา นายอนิรุทธ์ โพธิหล้า หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี นายอภิรักษ์ อ่ําสุริยะ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง นายเชาว์วัฒน์ วีรพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี นายวีระ นันทเศรษฐ์ หัวหน้ากลุ่มโรงงานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสิงห์บุรี เป็นคณะทํางาน และมีนางลมัย ทองเรือง รองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นคณะทํางานและเลขานุการ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก 3 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมในครั้งนี้ ให้การจัดทํารายละเอียดแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตในกระบวนงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดส่งแผนดังกล่าวให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เพื่อพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และยังพิจารณาการจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตในกระบวนงานของอุตสาหกรรมจังหวัด : กระบวนงานการขออนุญาตนําสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน และการขับเคลื่อนแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต กระบวนงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12814
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
|
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการระบาดอย่างหนักไปทั่วโลกของไวรัสโควิด – 19 นั้น ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ธุรกิจการค้าและการขนส่ง จึงเป็นเหตุให้การส่งออกของสินค้าเกษตรของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน ซึ่งเกษตรกรส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ คือ เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ซึ่งมะม่วงถือเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากมาย อาทิเช่น จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฯลฯ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) มีเป้าหมายมุ่งเน้นในการจัดหาช่องทางการตลาดเพื่อจําหน่ายผลผลิตของเกษตรกรทั้งในและนอกประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนมะม่วง โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่าง องค์การตลาดเพื่อเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กับสมาคมการค้าเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกร (CASA : Commercial Association for Sustainability of Agriculture) ได้ดําเนินการช่วยจัดหาตลาดส่งออกมะม่วงมหาชนกไปยังประเทศจีน
“จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่ตรงกับช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวผลไม้นั้น จึงทําให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนผลไม้ในหลายๆ พื้นที่ ประสบปัญหาเกี่ยวกับช่องทางการตลาดที่ไม่เพียงพอต่อการส่งออกสินค้า กระทรวงเกษตรฯ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จึงได้ประสานกับภาคเอกชนในการส่งออกมะม่วงที่มีจํานวนมาก ซึ่งในฤดูกาลนี้มีจํานวนผลผลิตรวมทุกพันธุ์ประมาณ 3 ล้านตัน จะเริ่มจากมะม่วงพันธุ์มหาชนกจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีราคาหน้าสวนอยู่ที่ประมาณ 5 – 6 บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้ซื้อจากประเทศจีนนั้น มีความต้องการมะม่วงมหาชนกประมาณ 1,000 ตัน และในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการนําร่องส่งออกไปแล้วจํานวน 14 ตัน ในราคาเฉลี่ย 10 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนี้ทาง อ.ต.ก. จะดําเนินการช่วยเหลือด้านการตลาดแก่เกษตรกรชาวสวนมะม่วงและผลไม้อื่น ๆ ต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัสกล่าว
นอกจากนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ยังมีมาตรการอื่น ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อผลไม้ไทย ซึ่งภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้ามาตรการต่าง ๆ ดังนี้ 1) ด้านตลาดในประเทศ ภาครัฐจะเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้า โดยขอความร่วมมือไปรษณีย์ไทยมาช่วยในการจัดส่งผลไม้ฟรี 200 ตัน พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการจําหน่ายผลไม้ทางช่องทางออนไลน์ รณรงค์บริโภคผลไม้ในประเทศ (Eat Thai First) 2) ระบบโลจิสติกส์ จัดจําหน่ายผลไม้ทุกชุมชนทั่วประเทศโดยสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผลไม้ร่วมกับผู้ประกอบการผลไม้และผู้ประกอบการบริการโลจิสติกส์ พร้อมขอความร่วมมือหน่วยงานราชการส่วนกลาง/ภูมิภาค/ท้องถิ่น-รัฐวิสาหกิจ-องค์กรมหาชน ช่วยซื้อผลไม้และเป็นจุดขาย 3) ด้านการผลิต การบริหารจัดการเรื่องแรงงานเก็บผลไม้โดยจะมีการผ่อนผันการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามเขต ขยายใบต่ออนุญาตให้แรงงานต่างด้าว 4) เสริมศักยภาพการบริหารจัดการมาตรฐานผลไม้ โดยสร้าง Central Lab ของไทยกรณีสินค้าเกษตรส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะไม่มีการตรวจสอบซ้ําที่ด่านปลายทาง 5) การแปรรูปผลไม้เป็นอาหารและเครื่องดื่มสําหรับตลาดในและต่างประเทศสร้างมูลค่าให้ผลไม้ไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่ง อ.ต.ก. จัดหาช่องทางการส่งออกมะม่วง ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ช่วงการระบาดไวรัสโควิด – 19
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการระบาดอย่างหนักไปทั่วโลกของไวรัสโควิด – 19 นั้น ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ธุรกิจการค้าและการขนส่ง จึงเป็นเหตุให้การส่งออกของสินค้าเกษตรของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน ซึ่งเกษตรกรส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ คือ เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ซึ่งมะม่วงถือเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากมาย อาทิเช่น จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฯลฯ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) มีเป้าหมายมุ่งเน้นในการจัดหาช่องทางการตลาดเพื่อจําหน่ายผลผลิตของเกษตรกรทั้งในและนอกประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนมะม่วง โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่าง องค์การตลาดเพื่อเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กับสมาคมการค้าเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกร (CASA : Commercial Association for Sustainability of Agriculture) ได้ดําเนินการช่วยจัดหาตลาดส่งออกมะม่วงมหาชนกไปยังประเทศจีน
“จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่ตรงกับช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวผลไม้นั้น จึงทําให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนผลไม้ในหลายๆ พื้นที่ ประสบปัญหาเกี่ยวกับช่องทางการตลาดที่ไม่เพียงพอต่อการส่งออกสินค้า กระทรวงเกษตรฯ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จึงได้ประสานกับภาคเอกชนในการส่งออกมะม่วงที่มีจํานวนมาก ซึ่งในฤดูกาลนี้มีจํานวนผลผลิตรวมทุกพันธุ์ประมาณ 3 ล้านตัน จะเริ่มจากมะม่วงพันธุ์มหาชนกจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีราคาหน้าสวนอยู่ที่ประมาณ 5 – 6 บาทต่อกิโลกรัม โดยผู้ซื้อจากประเทศจีนนั้น มีความต้องการมะม่วงมหาชนกประมาณ 1,000 ตัน และในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการนําร่องส่งออกไปแล้วจํานวน 14 ตัน ในราคาเฉลี่ย 10 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนี้ทาง อ.ต.ก. จะดําเนินการช่วยเหลือด้านการตลาดแก่เกษตรกรชาวสวนมะม่วงและผลไม้อื่น ๆ ต่อไป” ร้อยเอก ธรรมนัสกล่าว
นอกจากนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ยังมีมาตรการอื่น ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อผลไม้ไทย ซึ่งภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้ามาตรการต่าง ๆ ดังนี้ 1) ด้านตลาดในประเทศ ภาครัฐจะเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้า โดยขอความร่วมมือไปรษณีย์ไทยมาช่วยในการจัดส่งผลไม้ฟรี 200 ตัน พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการจําหน่ายผลไม้ทางช่องทางออนไลน์ รณรงค์บริโภคผลไม้ในประเทศ (Eat Thai First) 2) ระบบโลจิสติกส์ จัดจําหน่ายผลไม้ทุกชุมชนทั่วประเทศโดยสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผลไม้ร่วมกับผู้ประกอบการผลไม้และผู้ประกอบการบริการโลจิสติกส์ พร้อมขอความร่วมมือหน่วยงานราชการส่วนกลาง/ภูมิภาค/ท้องถิ่น-รัฐวิสาหกิจ-องค์กรมหาชน ช่วยซื้อผลไม้และเป็นจุดขาย 3) ด้านการผลิต การบริหารจัดการเรื่องแรงงานเก็บผลไม้โดยจะมีการผ่อนผันการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามเขต ขยายใบต่ออนุญาตให้แรงงานต่างด้าว 4) เสริมศักยภาพการบริหารจัดการมาตรฐานผลไม้ โดยสร้าง Central Lab ของไทยกรณีสินค้าเกษตรส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะไม่มีการตรวจสอบซ้ําที่ด่านปลายทาง 5) การแปรรูปผลไม้เป็นอาหารและเครื่องดื่มสําหรับตลาดในและต่างประเทศสร้างมูลค่าให้ผลไม้ไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31175
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง
|
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง
‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง พร้อมหนุนสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน ต้นแบบเกษตรไร้สารเคมี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมโครงการปุ๋ยผสมใช้เองของสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน จํากัด ณ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ว่า สหกรณ์การเกษตรปากพะยูนนับเป็นสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 5,920 คน กลุ่มสมาชิก 61 กลุ่ม ซึ่งในวันนี้ได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้จัดโครงการอบรมส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่สมาชิกสหกรณ์ โดยการดําเนินงานที่ผ่านมาได้รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ และคัดเลือกสมาชิกแกนนําของสหกรณ์ ตั้งเป็นคณะกรรมการและประธานกลุ่มสมาชิกเข้าร่วมรับการอบรมตามโครงการ จํานวน 250 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการจัดการดิน การตรวจวิเคราะห์ดิน และการผสมปุ๋ยใช้เอง จากสถานีพัฒนาที่ดินพัทลุงและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุง มาร่วมบูรณาการให้ความรู้แก่สมาชิกสหกรณ์ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และสามารถผสมปุ๋ยใช้เองตามสูตรที่เหมาะสมกับสภาพดินของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะประหยัดกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีสําเร็จรูป เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงเกษตรของสมาชิกสหกรณ์ ส่งผลทําให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสมาชิกแกนนําที่ผ่านการอบรมได้ประชาสัมพันธ์ไปยังสมาชิกอื่นๆ ทําให้สมาชิกมีความต้องการเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น
“การลงพื้นที่ในวันนี้ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกับสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน ซึ่งพบว่าการดําเนินงานที่ผ่านมามีความเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามจากการรับฟังปัญหายังพบว่าสหกรณ์แห่งนี้มีผลผลิตและสินค้าจํานวนมาก แต่ยังขาดโรงเก็บสินค้าซึ่งมีความสําคัญเนื่องจากเป็นการเก็บรักษาคุณภาพของผลผลิตก่อนจําหน่าย นอกจากนี้จะเร่งส่งเสริมสนับสนุนเครื่องผสมปุ๋ยให้กับสหกรณ์ โดยมีกรมวิชาการเกษตรเข้ามาศึกษาวิเคราะห์พื้นที่ถึงความเหมาะสมในการใช้ปุ๋ยสูตรต่างๆ ทําให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยผสมที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของพืชที่เหมาะสมกับสภาพของดินในราคาที่เป็นธรรม ไม่ต้องผ่านคนกลางจึงช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์” นางสาวมนัญญา กล่าว
นางสาวมนัญญา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะสนับสนุนให้สหกรณ์แห่งนี้พัฒนาเป็นต้นแบบสหกรณ์เกษตรไร้สารเคมี โดยการปลูกพืชผลไม้ที่ปลอดภัยไร้สาร ซึ่งหากเกษตรกรมีความประสงค์ ให้แจ้งมาที่สหกรณ์จังหวัด ทั้งนี้ ยังได้เน้นย้ํากับสมาชิกในขั้นตอนการผลิตและคุณภาพของผักและผลไม้ที่จะนํามาส่งขาย ต้องมีความปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มีโอกาสซื้อหาสินค้าเกษตรปลอดภัยได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้นและราคาเป็นธรรม
ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พบปะสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรที่มาให้การต้อนรับ พร้อมทั้งมอบทุนสวัสดิการผู้สูงอายุให้กับสมาชิก จํานวน 25 ทุน ก่อนเยี่ยมชมฐานกิจกรรมภายในงาน อาทิ การตรวจวิเคราะห์ดิน การผสมปุ๋ยใช้เอง และการผสมปุ๋ยโดยเครื่องจักร
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง
‘มนัญญา’ ลงใต้ เดินหน้าดันสหกรณ์ผลิตปุ๋ยใช้เอง พร้อมหนุนสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน ต้นแบบเกษตรไร้สารเคมี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมโครงการปุ๋ยผสมใช้เองของสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน จํากัด ณ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ว่า สหกรณ์การเกษตรปากพะยูนนับเป็นสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 5,920 คน กลุ่มสมาชิก 61 กลุ่ม ซึ่งในวันนี้ได้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้จัดโครงการอบรมส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่สมาชิกสหกรณ์ โดยการดําเนินงานที่ผ่านมาได้รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ และคัดเลือกสมาชิกแกนนําของสหกรณ์ ตั้งเป็นคณะกรรมการและประธานกลุ่มสมาชิกเข้าร่วมรับการอบรมตามโครงการ จํานวน 250 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการจัดการดิน การตรวจวิเคราะห์ดิน และการผสมปุ๋ยใช้เอง จากสถานีพัฒนาที่ดินพัทลุงและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุง มาร่วมบูรณาการให้ความรู้แก่สมาชิกสหกรณ์ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และสามารถผสมปุ๋ยใช้เองตามสูตรที่เหมาะสมกับสภาพดินของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะประหยัดกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีสําเร็จรูป เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงเกษตรของสมาชิกสหกรณ์ ส่งผลทําให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรลดลง และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสมาชิกแกนนําที่ผ่านการอบรมได้ประชาสัมพันธ์ไปยังสมาชิกอื่นๆ ทําให้สมาชิกมีความต้องการเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น
“การลงพื้นที่ในวันนี้ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกับสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรปากพะยูน ซึ่งพบว่าการดําเนินงานที่ผ่านมามีความเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามจากการรับฟังปัญหายังพบว่าสหกรณ์แห่งนี้มีผลผลิตและสินค้าจํานวนมาก แต่ยังขาดโรงเก็บสินค้าซึ่งมีความสําคัญเนื่องจากเป็นการเก็บรักษาคุณภาพของผลผลิตก่อนจําหน่าย นอกจากนี้จะเร่งส่งเสริมสนับสนุนเครื่องผสมปุ๋ยให้กับสหกรณ์ โดยมีกรมวิชาการเกษตรเข้ามาศึกษาวิเคราะห์พื้นที่ถึงความเหมาะสมในการใช้ปุ๋ยสูตรต่างๆ ทําให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยผสมที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของพืชที่เหมาะสมกับสภาพของดินในราคาที่เป็นธรรม ไม่ต้องผ่านคนกลางจึงช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์” นางสาวมนัญญา กล่าว
นางสาวมนัญญา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะสนับสนุนให้สหกรณ์แห่งนี้พัฒนาเป็นต้นแบบสหกรณ์เกษตรไร้สารเคมี โดยการปลูกพืชผลไม้ที่ปลอดภัยไร้สาร ซึ่งหากเกษตรกรมีความประสงค์ ให้แจ้งมาที่สหกรณ์จังหวัด ทั้งนี้ ยังได้เน้นย้ํากับสมาชิกในขั้นตอนการผลิตและคุณภาพของผักและผลไม้ที่จะนํามาส่งขาย ต้องมีความปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มีโอกาสซื้อหาสินค้าเกษตรปลอดภัยได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้นและราคาเป็นธรรม
ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พบปะสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรที่มาให้การต้อนรับ พร้อมทั้งมอบทุนสวัสดิการผู้สูงอายุให้กับสมาชิก จํานวน 25 ทุน ก่อนเยี่ยมชมฐานกิจกรรมภายในงาน อาทิ การตรวจวิเคราะห์ดิน การผสมปุ๋ยใช้เอง และการผสมปุ๋ยโดยเครื่องจักร
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23822
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า จับมือ มหิดล ผลักดันการศึกษาวิจัยและบริการวิชาการ ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
|
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
จิสด้า จับมือ มหิดล ผลักดันการศึกษาวิจัยและบริการวิชาการ ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
จิสด้า ร่วมกับ มหิดล จัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการศึกษาการวิจัยและการบริการวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษา การวิจัยและด้านการบริการวิชาการในการประยุกต์เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศทั้งในด้านการแพทย์
15 มกราคม 2562 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า และมหาวิทยาลัยมหิดล จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการศึกษาการวิจัยและการบริการวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.นที รักษ์พลเมือง ชั้น 5 สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อําเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม การร่วมลงนามครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษา การวิจัยและด้านการบริการวิชาการในการประยุกต์เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศทั้งในด้านการแพทย์ สาธารณสุข สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการจิสด้า กล่าวว่า จิสด้าและมหาวิทยาลัยมหิดลต้องการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรทั้งภาครัฐเอกชนและภาคประชาชนให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในด้านต่างๆ เพื่อนํามาดําเนินงานและประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังจะนําไปสู่การร่วมกันวิจัยเพื่อพัฒนาระบบนําทางด้วยดาวเทียม หรือ GNSS ให้สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการติดตามเฝ้าระวังที่มีความเกี่ยวข้องทางการแพทย์รวมถึงด้านประชากร กระบวนการยุติธรรมและอาชญวิทยา การบริการให้คําปรึกษาแก่หน่วยงานในภูมิภาคและท้องถิ่นร่วมกันในด้านข้อมูลภูมิสารสนเทศ เป็นต้น
ทางด้าน ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยต้องการบูรณาการระบบเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกับระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่าบิ๊กดาต้า เพื่อสนับสนุนการดําเนินโครงการสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health รวมทั้งระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ทรัพยากรสุขภาพ Health GIS ของประเทศไทยเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ จะร่วมกันจัดทําและพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศด้านการแพทย์ สาธารณสุข สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆ โดยดําเนินความร่วมมือด้านบุคลากรทางการศึกษาในลักษณะคู่ขนาน Dual Education Personal ซึ่งมีบุคลากรหลักจากมหาวิทยาลัยร่วมกับการสนับสนุนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศจากจิสด้า ร่วมกันทํางานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ศ.นพ.บรรจงฯ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า จับมือ มหิดล ผลักดันการศึกษาวิจัยและบริการวิชาการ ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
จิสด้า จับมือ มหิดล ผลักดันการศึกษาวิจัยและบริการวิชาการ ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
จิสด้า ร่วมกับ มหิดล จัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการศึกษาการวิจัยและการบริการวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษา การวิจัยและด้านการบริการวิชาการในการประยุกต์เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศทั้งในด้านการแพทย์
15 มกราคม 2562 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า และมหาวิทยาลัยมหิดล จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการศึกษาการวิจัยและการบริการวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.นที รักษ์พลเมือง ชั้น 5 สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อําเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม การร่วมลงนามครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษา การวิจัยและด้านการบริการวิชาการในการประยุกต์เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศทั้งในด้านการแพทย์ สาธารณสุข สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการจิสด้า กล่าวว่า จิสด้าและมหาวิทยาลัยมหิดลต้องการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรทั้งภาครัฐเอกชนและภาคประชาชนให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในด้านต่างๆ เพื่อนํามาดําเนินงานและประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังจะนําไปสู่การร่วมกันวิจัยเพื่อพัฒนาระบบนําทางด้วยดาวเทียม หรือ GNSS ให้สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการติดตามเฝ้าระวังที่มีความเกี่ยวข้องทางการแพทย์รวมถึงด้านประชากร กระบวนการยุติธรรมและอาชญวิทยา การบริการให้คําปรึกษาแก่หน่วยงานในภูมิภาคและท้องถิ่นร่วมกันในด้านข้อมูลภูมิสารสนเทศ เป็นต้น
ทางด้าน ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยต้องการบูรณาการระบบเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกับระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่าบิ๊กดาต้า เพื่อสนับสนุนการดําเนินโครงการสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health รวมทั้งระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ทรัพยากรสุขภาพ Health GIS ของประเทศไทยเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ จะร่วมกันจัดทําและพัฒนาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศด้านการแพทย์ สาธารณสุข สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆ โดยดําเนินความร่วมมือด้านบุคลากรทางการศึกษาในลักษณะคู่ขนาน Dual Education Personal ซึ่งมีบุคลากรหลักจากมหาวิทยาลัยร่วมกับการสนับสนุนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศจากจิสด้า ร่วมกันทํางานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ศ.นพ.บรรจงฯ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18456
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
|
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
วันนี้ (9 ตุลาคม 2561) นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มป.ย.ป. (กลุ่มการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ” โดยได้รับเกียรติ์จากคุณวันฉัตร สุวรรณกิตติ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ คุณศศิธร พลัตถเดช ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และคุณปุณณลักขิ์ สุรัสวดี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชํานาญการพิเศษ จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาเป็นวิทยากรในวันนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมกว่า 200 คน ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอรีน กรุงเทพฯ
การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรายงานผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศผ่านระบบการติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (EMENSCR – อีเม็นส์) ของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งจะตอบเป้าหมายระยะยาวของประเทศ และเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จที่มีความสําคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าสู่วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ”
วันนี้ (9 ตุลาคม 2561) นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มป.ย.ป. (กลุ่มการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ” โดยได้รับเกียรติ์จากคุณวันฉัตร สุวรรณกิตติ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ คุณศศิธร พลัตถเดช ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และคุณปุณณลักขิ์ สุรัสวดี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชํานาญการพิเศษ จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาเป็นวิทยากรในวันนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมกว่า 200 คน ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอรีน กรุงเทพฯ
การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรายงานผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศผ่านระบบการติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (EMENSCR – อีเม็นส์) ของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งจะตอบเป้าหมายระยะยาวของประเทศ และเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จที่มีความสําคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าสู่วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15967
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ระบุการทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม
|
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี ระบุการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยพิจารณาถึงความอาวุโส ความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสม ย้ําดําเนินการเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วันนี้ (7 ส.ค.61) เวลา 13.10 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม การแต่งตั้งขึ้นมาก็เป็นการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการซึ่งมาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวต้องมีการเห็นชอบร่วมกันในการที่จะแต่งตั้งบุคคลใดมาเป็น ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ ซึ่งรวมไปถึงการพิจารณาการแต่งตั้งยศชั้นนายพลด้วย ทั้งนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวต้องมีการพิจารณาในหลายเรื่องประกอบการพิจารณาทั้งเรื่องของความอาวุโส ความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ โดยไม่ได้คํานึงว่าจะเป็นคนสนิทของใคร ซึ่งก็ขอให้ทุกคนคอยติดตามต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็ติดตามเรื่องนี้เช่นกัน
พร้อมกล่าวว่าการดําเนินการดังกล่าวต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะทหารถือเป็นหลักที่จะทําให้สถานการณ์ด้านความมั่นคงอยู่ได้ตามหลักการหน้าที่ ภารกิจและพันธกิจของกระทรวงกลาโหม ส่วนกรณีที่มีหลายคนออกมาระบุว่าไม่ต้องให้มีการเกณฑ์ทหารแล้วนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า ถ้าเราไม่มีทหาร หรือพลทหาร เมื่อเกิดเหตุการณ์ในยามวิกฤตขึ้นก็จะไม่มีทหารเข้ามาช่วยเหลือประชาชน เพราะหน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีกําลังพลเพียงพอที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้รวดเร็วเท่ากับกําลังพลของทหารที่มีอยู่แล้ว ซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีหากเกิดเหตุขึ้นและมีการสั่งการก่อนส่งต่อภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดําเนินการเมื่อสาถานการณ์คลี่คลายในเบื้องต้นแล้ว ขณะที่การใช้กําลังคนในหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปปฏิบัติภารกิจจะเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการจ้างคนเพิ่ม ซึ่งอาจจะทําให้ไม่ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ระบุการทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี ระบุการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561 เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยพิจารณาถึงความอาวุโส ความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสม ย้ําดําเนินการเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วันนี้ (7 ส.ค.61) เวลา 13.10 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการทําบัญชีโยกย้ายนายทหารประจําปี 2561ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม การแต่งตั้งขึ้นมาก็เป็นการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการซึ่งมาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวต้องมีการเห็นชอบร่วมกันในการที่จะแต่งตั้งบุคคลใดมาเป็น ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ ซึ่งรวมไปถึงการพิจารณาการแต่งตั้งยศชั้นนายพลด้วย ทั้งนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวต้องมีการพิจารณาในหลายเรื่องประกอบการพิจารณาทั้งเรื่องของความอาวุโส ความเหมาะสม ความรู้ ความสามารถ โดยไม่ได้คํานึงว่าจะเป็นคนสนิทของใคร ซึ่งก็ขอให้ทุกคนคอยติดตามต่อไปว่าผลจะออกมาอย่างไร เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็ติดตามเรื่องนี้เช่นกัน
พร้อมกล่าวว่าการดําเนินการดังกล่าวต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะทหารถือเป็นหลักที่จะทําให้สถานการณ์ด้านความมั่นคงอยู่ได้ตามหลักการหน้าที่ ภารกิจและพันธกิจของกระทรวงกลาโหม ส่วนกรณีที่มีหลายคนออกมาระบุว่าไม่ต้องให้มีการเกณฑ์ทหารแล้วนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า ถ้าเราไม่มีทหาร หรือพลทหาร เมื่อเกิดเหตุการณ์ในยามวิกฤตขึ้นก็จะไม่มีทหารเข้ามาช่วยเหลือประชาชน เพราะหน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีกําลังพลเพียงพอที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้รวดเร็วเท่ากับกําลังพลของทหารที่มีอยู่แล้ว ซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีหากเกิดเหตุขึ้นและมีการสั่งการก่อนส่งต่อภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดําเนินการเมื่อสาถานการณ์คลี่คลายในเบื้องต้นแล้ว ขณะที่การใช้กําลังคนในหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปปฏิบัติภารกิจจะเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการจ้างคนเพิ่ม ซึ่งอาจจะทําให้ไม่ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14419
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
|
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม โดยมีประเด็นสําคัญ ดังนี้
• แนะนําคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติชุดใหม่
นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะเลขาธิการสํานักงานลูกเสือแห่งชาติกล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการได้แนะนํากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่จํานวน14ราย (จากจํานวนที่สามารถแต่งตั้งได้ตามกฎหมาย15ราย) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามคําสั่งสภาลูกเสือไทย ที่01/2559โดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่สภานายกสภาลูกเสือไทย เป็นผู้ลงนาม เมื่อวันที่12ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนบุคคลหลายฝ่าย อาทิทหารจาก 3 เหล่าทัพเข้าร่วมกับตํารวจที่มีอยู่แล้ว ผู้แทนครูและผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้แทนจากภาคเอกชน ฯลฯ ดังนี้
พล.ต.ท.ดร ปิ่นเฉลียว
นายทนงชัย เจริญรัตน์
พล.อ.อ.ธงชัย แฉล้มเขตร
นายธงทอง จันทรางศุ
ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ
นายปรีดี ภูสีน้ํา
นายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล
นายพนัส บุญวัฒนสุนทร
นายพลเดช วรฉัตร
พล.อ.พลาวุฒิ กลับเจริญ
นางพิริยาภรณ์ ธรรมารักษ์
พล.ร.อ.ไพฑูรย์ ประสพสิน
นายสมสุข สว่างคํา
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล
นอกจากนี้ ได้แนะนําคณะกรรมการตามตําแหน่ง รวมทั้งนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีฐานะเป็นรองประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ตามตําแหน่งด้วย
• แนวทางการดําเนินงานของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
ฝ่ายเลขานุการที่ประชุม ได้ชี้แจงภาพรวมเกี่ยวกับภารกิจการจัดและดําเนินงานของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติซึ่งมีกรอบอัตรากําลังรวมทั้งสิ้น 81 อัตรา ดูแลจํานวนลูกเสือเนตรนารีทั่วประเทศกว่า 2.1 ล้านคน ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 134,605 คน และกองลูกเสือ 85,753 กอง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจํานวน 112 ล้านบาท
ที่ประชุมขอให้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติพิจารณาดําเนินการด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติโดยเคร่งครัดเช่น การจัดตั้งตําแหน่งและวิธีการแต่งตั้งผู้ตรวจการลูกเสือฝ่ายต่าง ๆ, การดําเนินการแก้ไขข้อบังคับในการบริหารงานบุคคลให้ถูกต้อง, การปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานหรือลูกจ้างสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ, แผนปฏิบัติงานประจําปี เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ในสํานักเลขาธิการ สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน ดังนี้
ว่าที่ ร้อยเอก วฤษฎิ์ อินทร์มาผู้อํานวยการส่วนอํานวยการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการ สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
นางณัชชา เพ่งสวัสดิ์หัวหน้ากลุ่มช่วยอํานวยการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการส่วนพัฒนาลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ
นางสุปราณี คําจันทร์ นักจัดการงานทั่วไป ชํานาญการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการส่วนกิจการค่ายลูกเสือ
สําหรับปัญหาของกิจการลูกเสือไทยนั้นจากการประชุมระดมความคิดเห็นเมื่อวันที่ 17-18 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่าปัญหาหลัก 2 ข้อ คือ 1) ไม่สามารถสร้างลูกเสือได้ตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติได้ และ 2) ยังไม่สามารถชักจูงให้เยาวชนเข้ามาเรียนลูกเสือได้มากนักที่ประชุมจึงขอให้คณะกรรมการชุดใหม่เน้นการทํางานเพื่อดึงกิจการลูกเสือไทยให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้วยคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ
• ตั้ง 7 คณะอนุกรรมการ ในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ
ดังนั้น เพื่อให้การทํางานของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ จํานวน 7 คณะดังนี้
คณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกเสือโดยมีนางพิริยาภรณ์ ธรรมารักษ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาหลักสูตรสําหรับบุคลากรทางการลูกเสือโดยมีนายทนงชัย เจริญรัตน์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคลโดยมีนายพนัส บุญวัฒนสุนทร ผู้อํานวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน สพฐ. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดการทรัพย์สินโดยมีนายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์โดยให้ฝ่ายเลขานุการทําหน้าที่ไปพลางก่อน
คณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรโดยมีนายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายกลั่นกรองกฎหมายโดยมีนายธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมขอให้กําหนดอํานาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน และให้ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ สรรหาและเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะอนุกรรมการแต่ละคณะไม่เกิน 15 คน เพื่อนําเสนอที่ประชุมให้ความเห็นชอบครั้งต่อไปและขอให้ฝ่ายต่าง ๆ เร่งดําเนินการเรื่องที่ยังค้างดําเนินการ เช่นคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดการทรัพย์สิน ที่จะต้องพิจารณาดําเนินการกรณีการขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของการใช้ค่ายลูกเสือทั้งภาครัฐและเอกชน ทําให้ขาดรายได้ที่จะนํามาพัฒนาค่ายลูกเสือ และการทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือธุรกิจกับองค์การค้าของ สกสค. โดยขอให้นํามาเสนอที่ประชุมรับทราบในการประชุมครั้งต่อไปในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2559
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะให้คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ได้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรลูกเสือ ซึ่งคณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาหลักสูตรสําหรับบุคลากรทางการลูกเสือ จะพิจารณาจัดทําหลักสูตรที่เหมาะสมต่อไป
•เห็นชอบการแต่งตั้งผู้ช่วยผู้ตรวจการ รองผู้ตรวจการ และผู้ตรวจการประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบรายชื่อผู้ตรวจการลูกเสือประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งไปแล้ว และเห็นชอบรายชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการลูกเสือประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบให้ยกเว้นระเบียบสํานักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วยการแต่งตั้งและเลื่อนตําแหน่งผู้บังคับบัญชา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 7.1.1 โดยให้สามารถแต่งตั้งผู้ช่วยผู้ตรวจการลูกเสือ โดยเลื่อนจากเจ้าหน้าที่ลูกเสือในระยะเวลาน้อยกว่า 2 ปี กับผู้ผ่านการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือระดับผู้นํา ขั้นความรู้ชั้นสูง ที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรจิตวิทยาความมั่นคง หลักสูตรนักปกครองระดับสูง หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง หลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง ฯลฯ
•เห็นชอบให้ขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร” จาก กทม.
เนื่องจากสํานักงานลูกเสือแห่งชาติต้องการใช้ค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร”เป็นศูนย์ประสานงาน หรืออาคารสํานักงานย่อยในกรุงเทพมหานคร ร่วมกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติแห่งใหม่ ซึ่งกําลังก่อสร้างอาคารสํานักงานที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี เนื่องจากอาคารสํานักงานสํานักงานลูกเสือแห่งชาติในปัจจุบันนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอสถานที่ดังกล่าวคืน จึงจําเป็นต้องมีสถานที่รองรับสําหรับเป็นศูนย์ประสานงานหรืออาคารสํานักงานย่อยในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งค่ายลูกเสือดังกล่าวมีความเหมาะสมอย่างมาก เนื่องจากเป็นค่ายลูกเสือที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินเป็นของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีการคมนาคมที่สะดวก และสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมทางการลูกเสือ ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านต่าง ๆ ตลอดจนสามารถใช้และจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวได้อีกทางหนึ่งด้วย
ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร” จากกรุงเทพมหานคร โดยมอบปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการดําเนินการขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือดังกล่าว
ที่ประชุมยังได้รับทราบกรณี ดร.เลิศจันฑา สีเหลืองสวัสดิ์ ผู้ประสานงานโปรแกรมรางวัลลูกเสือโลก (ประเทศไทย) ได้รับการคัดเลือกให้เป็น1 ใน 54 คนทั่วโลก และเป็นคนไทยคนแรกที่เข้ารับรางวัลโปรแกรมรางวัลลูกเสือโลก (Scouts of the WorldAward :SWAward)ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 20-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลเดียวในระดับนานาชาติที่ลูกเสือมีสิทธิ์ได้รับผ่านการเรียนรู้และมีสมรรถนะจากการทํางานบริการชุมชนด้วยใจอาสา ซึ่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศนําร่องของโลก นอกเหนือจากอียิปต์และฝรั่งเศสที่ได้ดําเนินโครงการรางวัลลูกเสือโลกบนพื้นที่มรดกโลก ภายใต้ความร่วมมือของสํานักงานลูกเสือโลกและองค์กรยูเนสโกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559
ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม โดยมีประเด็นสําคัญ ดังนี้
• แนะนําคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติชุดใหม่
นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะเลขาธิการสํานักงานลูกเสือแห่งชาติกล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการได้แนะนํากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่จํานวน14ราย (จากจํานวนที่สามารถแต่งตั้งได้ตามกฎหมาย15ราย) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามคําสั่งสภาลูกเสือไทย ที่01/2559โดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่สภานายกสภาลูกเสือไทย เป็นผู้ลงนาม เมื่อวันที่12ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนบุคคลหลายฝ่าย อาทิทหารจาก 3 เหล่าทัพเข้าร่วมกับตํารวจที่มีอยู่แล้ว ผู้แทนครูและผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้แทนจากภาคเอกชน ฯลฯ ดังนี้
พล.ต.ท.ดร ปิ่นเฉลียว
นายทนงชัย เจริญรัตน์
พล.อ.อ.ธงชัย แฉล้มเขตร
นายธงทอง จันทรางศุ
ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ
นายปรีดี ภูสีน้ํา
นายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล
นายพนัส บุญวัฒนสุนทร
นายพลเดช วรฉัตร
พล.อ.พลาวุฒิ กลับเจริญ
นางพิริยาภรณ์ ธรรมารักษ์
พล.ร.อ.ไพฑูรย์ ประสพสิน
นายสมสุข สว่างคํา
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล
นอกจากนี้ ได้แนะนําคณะกรรมการตามตําแหน่ง รวมทั้งนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีฐานะเป็นรองประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ตามตําแหน่งด้วย
• แนวทางการดําเนินงานของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
ฝ่ายเลขานุการที่ประชุม ได้ชี้แจงภาพรวมเกี่ยวกับภารกิจการจัดและดําเนินงานของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติซึ่งมีกรอบอัตรากําลังรวมทั้งสิ้น 81 อัตรา ดูแลจํานวนลูกเสือเนตรนารีทั่วประเทศกว่า 2.1 ล้านคน ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 134,605 คน และกองลูกเสือ 85,753 กอง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจํานวน 112 ล้านบาท
ที่ประชุมขอให้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติพิจารณาดําเนินการด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติโดยเคร่งครัดเช่น การจัดตั้งตําแหน่งและวิธีการแต่งตั้งผู้ตรวจการลูกเสือฝ่ายต่าง ๆ, การดําเนินการแก้ไขข้อบังคับในการบริหารงานบุคคลให้ถูกต้อง, การปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานหรือลูกจ้างสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ, แผนปฏิบัติงานประจําปี เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ในสํานักเลขาธิการ สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน ดังนี้
ว่าที่ ร้อยเอก วฤษฎิ์ อินทร์มาผู้อํานวยการส่วนอํานวยการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการ สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
นางณัชชา เพ่งสวัสดิ์หัวหน้ากลุ่มช่วยอํานวยการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการส่วนพัฒนาลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ
นางสุปราณี คําจันทร์ นักจัดการงานทั่วไป ชํานาญการ รักษาการแทน ผู้อํานวยการส่วนกิจการค่ายลูกเสือ
สําหรับปัญหาของกิจการลูกเสือไทยนั้นจากการประชุมระดมความคิดเห็นเมื่อวันที่ 17-18 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่าปัญหาหลัก 2 ข้อ คือ 1) ไม่สามารถสร้างลูกเสือได้ตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติได้ และ 2) ยังไม่สามารถชักจูงให้เยาวชนเข้ามาเรียนลูกเสือได้มากนักที่ประชุมจึงขอให้คณะกรรมการชุดใหม่เน้นการทํางานเพื่อดึงกิจการลูกเสือไทยให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้วยคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ
• ตั้ง 7 คณะอนุกรรมการ ในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ
ดังนั้น เพื่อให้การทํางานของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ จํานวน 7 คณะดังนี้
คณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกเสือโดยมีนางพิริยาภรณ์ ธรรมารักษ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาหลักสูตรสําหรับบุคลากรทางการลูกเสือโดยมีนายทนงชัย เจริญรัตน์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคลโดยมีนายพนัส บุญวัฒนสุนทร ผู้อํานวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน สพฐ. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดการทรัพย์สินโดยมีนายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์โดยให้ฝ่ายเลขานุการทําหน้าที่ไปพลางก่อน
คณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรโดยมีนายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
คณะอนุกรรมการฝ่ายกลั่นกรองกฎหมายโดยมีนายธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะอนุกรรมการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมขอให้กําหนดอํานาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน และให้ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ สรรหาและเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะอนุกรรมการแต่ละคณะไม่เกิน 15 คน เพื่อนําเสนอที่ประชุมให้ความเห็นชอบครั้งต่อไปและขอให้ฝ่ายต่าง ๆ เร่งดําเนินการเรื่องที่ยังค้างดําเนินการ เช่นคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดการทรัพย์สิน ที่จะต้องพิจารณาดําเนินการกรณีการขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของการใช้ค่ายลูกเสือทั้งภาครัฐและเอกชน ทําให้ขาดรายได้ที่จะนํามาพัฒนาค่ายลูกเสือ และการทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือธุรกิจกับองค์การค้าของ สกสค. โดยขอให้นํามาเสนอที่ประชุมรับทราบในการประชุมครั้งต่อไปในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2559
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะให้คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ได้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรลูกเสือ ซึ่งคณะอนุกรรมการฝ่ายพัฒนาหลักสูตรสําหรับบุคลากรทางการลูกเสือ จะพิจารณาจัดทําหลักสูตรที่เหมาะสมต่อไป
•เห็นชอบการแต่งตั้งผู้ช่วยผู้ตรวจการ รองผู้ตรวจการ และผู้ตรวจการประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบรายชื่อผู้ตรวจการลูกเสือประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งไปแล้ว และเห็นชอบรายชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการลูกเสือประจําสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบให้ยกเว้นระเบียบสํานักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วยการแต่งตั้งและเลื่อนตําแหน่งผู้บังคับบัญชา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 7.1.1 โดยให้สามารถแต่งตั้งผู้ช่วยผู้ตรวจการลูกเสือ โดยเลื่อนจากเจ้าหน้าที่ลูกเสือในระยะเวลาน้อยกว่า 2 ปี กับผู้ผ่านการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือระดับผู้นํา ขั้นความรู้ชั้นสูง ที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรจิตวิทยาความมั่นคง หลักสูตรนักปกครองระดับสูง หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง หลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง ฯลฯ
•เห็นชอบให้ขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร” จาก กทม.
เนื่องจากสํานักงานลูกเสือแห่งชาติต้องการใช้ค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร”เป็นศูนย์ประสานงาน หรืออาคารสํานักงานย่อยในกรุงเทพมหานคร ร่วมกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติแห่งใหม่ ซึ่งกําลังก่อสร้างอาคารสํานักงานที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี เนื่องจากอาคารสํานักงานสํานักงานลูกเสือแห่งชาติในปัจจุบันนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอสถานที่ดังกล่าวคืน จึงจําเป็นต้องมีสถานที่รองรับสําหรับเป็นศูนย์ประสานงานหรืออาคารสํานักงานย่อยในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งค่ายลูกเสือดังกล่าวมีความเหมาะสมอย่างมาก เนื่องจากเป็นค่ายลูกเสือที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินเป็นของสํานักงานลูกเสือแห่งชาติตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีการคมนาคมที่สะดวก และสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมทางการลูกเสือ ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านต่าง ๆ ตลอดจนสามารถใช้และจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวได้อีกทางหนึ่งด้วย
ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร “พิศลยบุตร” จากกรุงเทพมหานคร โดยมอบปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการดําเนินการขอคืนการดูแลค่ายลูกเสือดังกล่าว
ที่ประชุมยังได้รับทราบกรณี ดร.เลิศจันฑา สีเหลืองสวัสดิ์ ผู้ประสานงานโปรแกรมรางวัลลูกเสือโลก (ประเทศไทย) ได้รับการคัดเลือกให้เป็น1 ใน 54 คนทั่วโลก และเป็นคนไทยคนแรกที่เข้ารับรางวัลโปรแกรมรางวัลลูกเสือโลก (Scouts of the WorldAward :SWAward)ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 20-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลเดียวในระดับนานาชาติที่ลูกเสือมีสิทธิ์ได้รับผ่านการเรียนรู้และมีสมรรถนะจากการทํางานบริการชุมชนด้วยใจอาสา ซึ่งประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศนําร่องของโลก นอกเหนือจากอียิปต์และฝรั่งเศสที่ได้ดําเนินโครงการรางวัลลูกเสือโลกบนพื้นที่มรดกโลก ภายใต้ความร่วมมือของสํานักงานลูกเสือโลกและองค์กรยูเนสโกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/917
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทำเนียบรัฐบาล
|
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดประชุม รับรองผู้นําต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย
ปัจจุบันการดําเนินการแล้วเสร็จ ร้อยละ 98 และจะส่งมอบให้สํานักเลขาธิการนายกฯ กลางเดือนกรกฎาคมนี้
วันนี้ (20 มิ.ย.60) เวลา 08.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล (ชื่อที่ใช้เรียกขานอย่างไม่เป็นทางการ) ตั้งขนานริมคลอง บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า (บริเวณสนามหญ้าเดิม) เป็นอาคารอเนกประสงค์โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคา ทรงผสม (ทรงปั้นหยาหลังคากระเบื้องซีเมนต์สังเคราะห์ปลายแหลมสีแดง และทรงโดมโมเสคสีทอง สูง 16.61 เมตร) เป็นอาคารรองหลังลําดับที่ 2 ถัดจากตึกสันติไมตรี ที่เชื่อมต่อจากตึกไทยคู่ฟ้า (อาคารหลัก) ก่อสร้างขึ้นโดยดําริของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดประชุม รับรองผู้นําต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย รวมทั้งใช้สําหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ขอความอนุเคราะห์กรมยุทธโยธาทหารบกดําเนินการออกแบบ โดยกรมศิลปากรได้พิจารณารูปแบบอาคารเรือนรับรองและอนุญาตให้ดําเนินการก่อสร้าง
สําหรับรูปแบบอาคารเรือนรับรองได้นํารูปแบบงานสถาปัตยกรรมกอธิคตอนปลาย (Neo Venetian Gothic) ของตึกไทยคู่ฟ้ามาประยุกต์โดยลดทอนลวดลายและเอกลักษณ์เฉพาะไม่ให้มีความโดดเด่นกว่าตึกไทยคู่ฟ้า ภายในอาคารเรือนรับรองมีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์รวมจํานวนทั้งสิ้น 1,385 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่ชั้น 1 จํานวน 1,181 ตารางเมตร ประกอบด้วย (1) ห้องโถงใหญ่ สําหรับการจัดประชุม งานเลี้ยงรับรอง และอื่น ๆ จุคนได้ 150 คน (ที่นั่ง) (2) ห้องรับรอง 1 (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) เป็นห้องรับรอง ภายใต้หลังคา ทรงโดม ใช้สําหรับรับรองแขกของนายกรัฐมนตรีจุคนได้จํานวน 10 คน (ที่นั่ง) (3) ห้องรับรอง 2 (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) เป็นห้องรับรองรูปทรงสี่เหลี่ยม ใช้สําหรับรับรองแขกของนายกรัฐมนตรี จุคนได้จํานวน 8 คน (ที่นั่ง) (4) ห้องเตรียมอาหาร และ (5) ห้องน้ํา (ห้องน้ําผู้พิการ ห้องน้ํารวมชายและหญิง) พื้นที่ชั้น 2 จํานวน 204 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องควบคุม ชั้น 2 และพื้นที่ร่วม เมื่อดําเนินการก่อสร้างอาคารเรือนรับรองแล้วเสร็จ จะเป็นอีกหนึ่งอาคารสําคัญภายในบริเวณทําเนียบรัฐบาลที่มีความสง่างาม มีความสวยงามทางมุมมองและทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม มีความเชื่อมผสาน ของยุคสมัย และทรงคุณค่าในการอนุรักษ์ให้สืบทอดยั่งยืนคู่แผ่นดินสืบไป
ปัจจุบันดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ ร้อยละ 98 ใช้ระยะเวลาดําเนินการแล้วจํานวน 449 วัน และกรมยุทธโยธาทหารบกจะสามารถส่งมอบอาคารเรือนรับรอง ให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2560 นี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้นําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล พร้อมบรรยายประโยชน์การใช้สอยห้องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ให้กับคณะรัฐมนตรีรับทราบ โดยกล่าวว่าห้องโถงซึ่งใช้สีเหลืองเพราะเป็นสีประจําวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 พร้อมทั้งจะมีการอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่คู่กัน และประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 บริเวณตรงกลางระหว่างพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจในภาพรวมของการดําเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่ได้กําหนดไว้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้พบกับนายมานพ สุวรรณปินฑะ ศิลปินผู้หล่อปั้นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชื่อผลงาน “พระบรมรูปในหลวงเมื่อปลายรัชกาล” สร้างเมื่อปี 2551 โดยนายกรัฐนตรี ได้กล่าวชื่นชมผลงานดังกล่าวและความสามารถของศิลปิน พร้อมนําเงินส่วนตัวสนับสนุนผลงานดังกล่าว เพื่ออัญเชิญพระบรมรูปหล่อปั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประดิษฐาน ณ อาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล: กองสถานที่ ยานพาหนะ และรักษาความปลอดภัย สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทำเนียบรัฐบาล
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดประชุม รับรองผู้นําต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย
ปัจจุบันการดําเนินการแล้วเสร็จ ร้อยละ 98 และจะส่งมอบให้สํานักเลขาธิการนายกฯ กลางเดือนกรกฎาคมนี้
วันนี้ (20 มิ.ย.60) เวลา 08.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล (ชื่อที่ใช้เรียกขานอย่างไม่เป็นทางการ) ตั้งขนานริมคลอง บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า (บริเวณสนามหญ้าเดิม) เป็นอาคารอเนกประสงค์โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคา ทรงผสม (ทรงปั้นหยาหลังคากระเบื้องซีเมนต์สังเคราะห์ปลายแหลมสีแดง และทรงโดมโมเสคสีทอง สูง 16.61 เมตร) เป็นอาคารรองหลังลําดับที่ 2 ถัดจากตึกสันติไมตรี ที่เชื่อมต่อจากตึกไทยคู่ฟ้า (อาคารหลัก) ก่อสร้างขึ้นโดยดําริของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดประชุม รับรองผู้นําต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย รวมทั้งใช้สําหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ขอความอนุเคราะห์กรมยุทธโยธาทหารบกดําเนินการออกแบบ โดยกรมศิลปากรได้พิจารณารูปแบบอาคารเรือนรับรองและอนุญาตให้ดําเนินการก่อสร้าง
สําหรับรูปแบบอาคารเรือนรับรองได้นํารูปแบบงานสถาปัตยกรรมกอธิคตอนปลาย (Neo Venetian Gothic) ของตึกไทยคู่ฟ้ามาประยุกต์โดยลดทอนลวดลายและเอกลักษณ์เฉพาะไม่ให้มีความโดดเด่นกว่าตึกไทยคู่ฟ้า ภายในอาคารเรือนรับรองมีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์รวมจํานวนทั้งสิ้น 1,385 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่ชั้น 1 จํานวน 1,181 ตารางเมตร ประกอบด้วย (1) ห้องโถงใหญ่ สําหรับการจัดประชุม งานเลี้ยงรับรอง และอื่น ๆ จุคนได้ 150 คน (ที่นั่ง) (2) ห้องรับรอง 1 (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) เป็นห้องรับรอง ภายใต้หลังคา ทรงโดม ใช้สําหรับรับรองแขกของนายกรัฐมนตรีจุคนได้จํานวน 10 คน (ที่นั่ง) (3) ห้องรับรอง 2 (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) เป็นห้องรับรองรูปทรงสี่เหลี่ยม ใช้สําหรับรับรองแขกของนายกรัฐมนตรี จุคนได้จํานวน 8 คน (ที่นั่ง) (4) ห้องเตรียมอาหาร และ (5) ห้องน้ํา (ห้องน้ําผู้พิการ ห้องน้ํารวมชายและหญิง) พื้นที่ชั้น 2 จํานวน 204 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องควบคุม ชั้น 2 และพื้นที่ร่วม เมื่อดําเนินการก่อสร้างอาคารเรือนรับรองแล้วเสร็จ จะเป็นอีกหนึ่งอาคารสําคัญภายในบริเวณทําเนียบรัฐบาลที่มีความสง่างาม มีความสวยงามทางมุมมองและทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม มีความเชื่อมผสาน ของยุคสมัย และทรงคุณค่าในการอนุรักษ์ให้สืบทอดยั่งยืนคู่แผ่นดินสืบไป
ปัจจุบันดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ ร้อยละ 98 ใช้ระยะเวลาดําเนินการแล้วจํานวน 449 วัน และกรมยุทธโยธาทหารบกจะสามารถส่งมอบอาคารเรือนรับรอง ให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2560 นี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้นําคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมอาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล พร้อมบรรยายประโยชน์การใช้สอยห้องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ให้กับคณะรัฐมนตรีรับทราบ โดยกล่าวว่าห้องโถงซึ่งใช้สีเหลืองเพราะเป็นสีประจําวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 พร้อมทั้งจะมีการอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่คู่กัน และประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 บริเวณตรงกลางระหว่างพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความพึงพอใจในภาพรวมของการดําเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่ได้กําหนดไว้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้พบกับนายมานพ สุวรรณปินฑะ ศิลปินผู้หล่อปั้นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชื่อผลงาน “พระบรมรูปในหลวงเมื่อปลายรัชกาล” สร้างเมื่อปี 2551 โดยนายกรัฐนตรี ได้กล่าวชื่นชมผลงานดังกล่าวและความสามารถของศิลปิน พร้อมนําเงินส่วนตัวสนับสนุนผลงานดังกล่าว เพื่ออัญเชิญพระบรมรูปหล่อปั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประดิษฐาน ณ อาคารเรือนรับรอง ทําเนียบรัฐบาล เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล: กองสถานที่ ยานพาหนะ และรักษาความปลอดภัย สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4658
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก
ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก และผลักดันโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารให้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้น
วันนี้ (1 พ.ย.62) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้ย้ําเรื่องการดูแลและบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบในอนาคต รวมทั้งย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เด็กเยาวชน นักเรียน และนักศึกษา ได้รับทราบถึงการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนในประเทศได้ตระหนักถึงความสําคัญในการศึกษาและเรียนรู้ในสาขาวิชาที่ตรงกับความต้องการของตลาดตลอดจนการพัฒนาประเทศในอนาคต
ภายหลังการประชุม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าที่ประชุมได้เห็นชอบให้พื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis อีก 5 แห่งตามโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยก่อนหน้านี้ บอร์ดบีโอไอได้ให้ความเห็นชอบพื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหารไปแล้วจํานวน 8 แห่ง ได้แก่ เมืองนวัตกรรมอาหารในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
สําหรับโครงการในกิจการเป้าหมายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Food Innopolis ดังกล่าว นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 10 ปี ตามเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทกิจการแล้ว ยังจะได้รับสิทธิการลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หรือได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคคลเพิ่มเติมอีก 2 ปี แล้วแต่กรณี ตัวอย่างกิจการเป้าหมาย เช่น กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ กิจการวิจัยและพัฒนา และกิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก และสนับสนุนโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสําหรับยานพาหนะไฟฟ้า หลังจากที่ส่งเสริม “กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งเดิมได้สิ้นสุดไปแล้ว เมื่อสิ้นปี 2561 ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่จะรองรับยานพาหนะไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมสําหรับยานพาหนะที่หลากหลายทั้งทางบกและทางน้ํา ไม่จํากัดเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้ง ยังกําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมจากเดิม คือ จะต้องมีหัวจ่ายรวมไม่น้อยกว่า 40 หัวจ่าย โดยเป็นประเภท Quick Charge ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของจํานวนหัวจ่ายประจุไฟฟ้าทั้งหมดภายใต้โครงการ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการติดตั้งหัวจ่ายประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการมากขึ้น โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ในหมวดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีสําหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อชักจูงบริษัทเป้าหมายและช่วงชิงโอกาสในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะมีส่วนทําให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสินค้าส่งออกหลักของไทย และสร้างการจ้างงานทักษะสูงมากขึ้นในประเทศไทย โดยเปิดให้การส่งเสริมกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 8 ปี พร้อมทั้งที่ประชุมอนุมัติให้การส่งเสริมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จํานวน 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 22,268 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีขนาดกําลังผลิต 560 เมกะวัตต์
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้รับทราบภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนของปี 2562 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,165 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 1,048 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 314,130 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปี 2561 มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการผลิตน้ํามันเชื้อเพลิงสําเร็จรูป โดยโครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนของปีนี้ อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 585 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 50 ของจํานวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีมูลค่ารวม 185,710 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59 ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมทั้งหมด ซึ่งหากพิจารณาในด้านจํานวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดจะอยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล ขณะที่ในด้านมูลค่าเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ โครงการที่ยื่นคําขอรับส่งเสริมเป็นโครงการต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้น ร้อยละ 38 คนไทยถือหุ้นทั้งสิ้น ร้อยละ 36 และโครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ ร้อยละ 26
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. – ก.ย. 2562) บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแล้วรวม 1,074 โครงการ มูลค่ารวม 274,340 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างงานให้คนไทย 59,052 ตําแหน่ง ส่งเสริมให้เกิดการใช้วัตถุดิบในประเทศ มูลค่า 454,322 ล้านบาทต่อปี และคิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สร้างรายได้เข้าประเทศ 507,368 ล้านบาทต่อปี
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก
ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบเพิ่ม “เมืองนวัตกรรมอาหาร” อีก 5 แห่ง รวมเป็น 13 แห่ง ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก และผลักดันโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารให้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้น
วันนี้ (1 พ.ย.62) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้ย้ําเรื่องการดูแลและบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบในอนาคต รวมทั้งย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เด็กเยาวชน นักเรียน และนักศึกษา ได้รับทราบถึงการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนในประเทศได้ตระหนักถึงความสําคัญในการศึกษาและเรียนรู้ในสาขาวิชาที่ตรงกับความต้องการของตลาดตลอดจนการพัฒนาประเทศในอนาคต
ภายหลังการประชุม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าที่ประชุมได้เห็นชอบให้พื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis อีก 5 แห่งตามโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยก่อนหน้านี้ บอร์ดบีโอไอได้ให้ความเห็นชอบพื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหารไปแล้วจํานวน 8 แห่ง ได้แก่ เมืองนวัตกรรมอาหารในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
สําหรับโครงการในกิจการเป้าหมายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Food Innopolis ดังกล่าว นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 10 ปี ตามเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทกิจการแล้ว ยังจะได้รับสิทธิการลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หรือได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคคลเพิ่มเติมอีก 2 ปี แล้วแต่กรณี ตัวอย่างกิจการเป้าหมาย เช่น กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ กิจการวิจัยและพัฒนา และกิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก และสนับสนุนโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสําหรับยานพาหนะไฟฟ้า หลังจากที่ส่งเสริม “กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งเดิมได้สิ้นสุดไปแล้ว เมื่อสิ้นปี 2561 ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่จะรองรับยานพาหนะไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมสําหรับยานพาหนะที่หลากหลายทั้งทางบกและทางน้ํา ไม่จํากัดเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้ง ยังกําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมจากเดิม คือ จะต้องมีหัวจ่ายรวมไม่น้อยกว่า 40 หัวจ่าย โดยเป็นประเภท Quick Charge ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของจํานวนหัวจ่ายประจุไฟฟ้าทั้งหมดภายใต้โครงการ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการติดตั้งหัวจ่ายประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการมากขึ้น โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ในหมวดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีสําหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อชักจูงบริษัทเป้าหมายและช่วงชิงโอกาสในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะมีส่วนทําให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสินค้าส่งออกหลักของไทย และสร้างการจ้างงานทักษะสูงมากขึ้นในประเทศไทย โดยเปิดให้การส่งเสริมกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 8 ปี พร้อมทั้งที่ประชุมอนุมัติให้การส่งเสริมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จํานวน 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 22,268 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีขนาดกําลังผลิต 560 เมกะวัตต์
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้รับทราบภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนของปี 2562 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,165 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 1,048 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 314,130 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปี 2561 มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการผลิตน้ํามันเชื้อเพลิงสําเร็จรูป โดยโครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนของปีนี้ อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 585 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 50 ของจํานวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีมูลค่ารวม 185,710 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59 ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมทั้งหมด ซึ่งหากพิจารณาในด้านจํานวนโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมมากที่สุดจะอยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล ขณะที่ในด้านมูลค่าเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ โครงการที่ยื่นคําขอรับส่งเสริมเป็นโครงการต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้น ร้อยละ 38 คนไทยถือหุ้นทั้งสิ้น ร้อยละ 36 และโครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ ร้อยละ 26
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. – ก.ย. 2562) บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแล้วรวม 1,074 โครงการ มูลค่ารวม 274,340 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างงานให้คนไทย 59,052 ตําแหน่ง ส่งเสริมให้เกิดการใช้วัตถุดิบในประเทศ มูลค่า 454,322 ล้านบาทต่อปี และคิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่สร้างรายได้เข้าประเทศ 507,368 ล้านบาทต่อปี
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24239
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม. [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563
รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม. [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม.
วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ลงพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือ เขตคลองเตย กทม. เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความยากลําบากจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) อาทิ เยี่ยมครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เยี่ยมบ้านตัวอย่างสุขอนามัยที่ถูกต้อง เยี่ยมครัวกลางชุมชน ปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์แจกจ่ายข้าวกล่อง มอบรถเข็นสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ มอบแว่นสายตา และมอบถุงยังชีพ เป็นต้น
นายจุรินทร์กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง และในวันนี้ ตนพร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานเขตคลองเตย ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ณ ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือ เขตคลองเตย กทม. ตั้งอยู่บนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการท่าเรือแห่งประเทศไทยบางส่วน ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ริมทางรถไฟอย่างหนาแน่นรวม 518 ครอบครัว โดยมีกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. จํานวนมาก ประกอบด้วย 1) เด็กเล็ก 0-6 ปี 44 คน 2) เด็กโต 6 ปีขึ้นไป 40 คน 3) คนพิการ 21 คน และ 4) ผู้สูงอายุ 93 คน อีกทั้งมีจิตอาสาวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง 35 คน ซึ่งขณะนี้ ประชาชนจํานวนมากในชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ต้องประสบปัญหาว่างงานและตกงาน ทําให้รายได้ลดลงจนกระทั่งไม่มีเงินสําหรับใช้จ่ายในชีวิตประจําวันทั้งตนเองและครอบครัว
นายจุรินทร์กล่าวต่อไปว่า วันนี้ มีการรับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน พร้อมทั้งหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนต่อไป ในเบื้องต้น ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือได้ร่วมกับเครือข่าย 43 ชุมชนในเขตคลองเตยและสภาองค์กรชุมชนคลองเตย วางแผนและแนวทางในการรับมือต่อสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 1) แผนระยะสั้น โดยออกสํารวจข้อมูลผู้เดือดร้อนและผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดทําครัวกลางชุมชน เป็นต้น 2) แผนระยะกลาง โดยจัดทําระบบคูปองอาหาร และคัดกรองกลุ่มเปราะบางในชุมชนเพื่อเร่งช่วยเหลือต่างๆ และจัดทําเป็นต้นแบบ และ 3) ระยะยาว โดยติดตั้งระบบกองทุนข้าวสารอาหารแห้ง
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มีการมอบความช่วยเหลือต่างๆ ให้ประชาชนในชุมชนดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ได้แก่ เยี่ยมครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เยี่ยมบ้านตัวอย่างสุฝขอนามัยที่ถูกต้อง เยี่ยมครัวกลางชุมชน ปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์แจกจ่ายข้าวกล่อง 600 กล่อง มอบรถเข็นสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ 42 คัน มอบแว่นสายตาและเสื้อ 500 ชุด มอบถุงยังชีพ 553 ถุง เป็นต้น อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ อาทิ กระทรวง พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 มาให้บริการคําแนะนําปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสังคมและสวัสดิการสังคมจากรัฐ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน มาจําหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อประชาชน กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม มาออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยและกรมสุขภาพจิต มาให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 และการฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวมทั้งภาคเอกชน คือ บริษัท โปรเฟสชั่นเนล ลาโบราทอรี่ แมนเนจเม้นท์คอร์ป จํากัด และนักศึกษา วปอ. 62 ได้สนับสนุนรถบริการตรวจสุขภาพและเอ็กซ์เรย์ปอดเคลื่อนที่ 2 คัน ทั้งนี้ หากชุมชนและประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม. [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563
รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม. [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์" ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ในชุมชนย่านคลองเตย กทม.
วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ลงพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือ เขตคลองเตย กทม. เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความยากลําบากจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) อาทิ เยี่ยมครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เยี่ยมบ้านตัวอย่างสุขอนามัยที่ถูกต้อง เยี่ยมครัวกลางชุมชน ปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์แจกจ่ายข้าวกล่อง มอบรถเข็นสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ มอบแว่นสายตา และมอบถุงยังชีพ เป็นต้น
นายจุรินทร์กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง และในวันนี้ ตนพร้อมด้วยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานเขตคลองเตย ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ณ ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือ เขตคลองเตย กทม. ตั้งอยู่บนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการท่าเรือแห่งประเทศไทยบางส่วน ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ริมทางรถไฟอย่างหนาแน่นรวม 518 ครอบครัว โดยมีกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. จํานวนมาก ประกอบด้วย 1) เด็กเล็ก 0-6 ปี 44 คน 2) เด็กโต 6 ปีขึ้นไป 40 คน 3) คนพิการ 21 คน และ 4) ผู้สูงอายุ 93 คน อีกทั้งมีจิตอาสาวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง 35 คน ซึ่งขณะนี้ ประชาชนจํานวนมากในชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ต้องประสบปัญหาว่างงานและตกงาน ทําให้รายได้ลดลงจนกระทั่งไม่มีเงินสําหรับใช้จ่ายในชีวิตประจําวันทั้งตนเองและครอบครัว
นายจุรินทร์กล่าวต่อไปว่า วันนี้ มีการรับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน พร้อมทั้งหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนต่อไป ในเบื้องต้น ชุมชนริมทางรถไฟสายท่าเรือได้ร่วมกับเครือข่าย 43 ชุมชนในเขตคลองเตยและสภาองค์กรชุมชนคลองเตย วางแผนและแนวทางในการรับมือต่อสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 1) แผนระยะสั้น โดยออกสํารวจข้อมูลผู้เดือดร้อนและผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดทําครัวกลางชุมชน เป็นต้น 2) แผนระยะกลาง โดยจัดทําระบบคูปองอาหาร และคัดกรองกลุ่มเปราะบางในชุมชนเพื่อเร่งช่วยเหลือต่างๆ และจัดทําเป็นต้นแบบ และ 3) ระยะยาว โดยติดตั้งระบบกองทุนข้าวสารอาหารแห้ง
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มีการมอบความช่วยเหลือต่างๆ ให้ประชาชนในชุมชนดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ได้แก่ เยี่ยมครอบครัวผู้ประสบปัญหาทางสังคม เยี่ยมบ้านตัวอย่างสุฝขอนามัยที่ถูกต้อง เยี่ยมครัวกลางชุมชน ปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์แจกจ่ายข้าวกล่อง 600 กล่อง มอบรถเข็นสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ 42 คัน มอบแว่นสายตาและเสื้อ 500 ชุด มอบถุงยังชีพ 553 ถุง เป็นต้น อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ อาทิ กระทรวง พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 มาให้บริการคําแนะนําปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสังคมและสวัสดิการสังคมจากรัฐ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน มาจําหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อประชาชน กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม มาออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยและกรมสุขภาพจิต มาให้ความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 และการฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวมทั้งภาคเอกชน คือ บริษัท โปรเฟสชั่นเนล ลาโบราทอรี่ แมนเนจเม้นท์คอร์ป จํากัด และนักศึกษา วปอ. 62 ได้สนับสนุนรถบริการตรวจสุขภาพและเอ็กซ์เรย์ปอดเคลื่อนที่ 2 คัน ทั้งนี้ หากชุมชนและประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31789
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทำความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
|
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทําความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทําความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันนี้ (18 ก.ค. 61) เวลา 08.00 น. บริเวณลานพระประชาบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ"พม.รวมพลังจิตอาสา พลัง อพม. เพื่อพัฒนาสังคม”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีความห่วงใยและคํานึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ อีกทั้งพระองค์มีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทําให้ประเทศชาติมั่นคงด้วยประชาชนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริต่างๆ ในการบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้ประชาชน พร้อมการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยได้จัดตั้งโครงการจิตอาสา "เราทําความดี ด้วยหัวใจ” สําหรับ จิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน ส่งเสริม และสนับสนุนให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทั่วประเทศ จํานวน 133,253 คน ได้น้อมนําแนวทางพระราชดําริมาเป็นกลไกการขับเคลื่อนงานด้านการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม โดยการชี้เป้า เฝ้าระวัง ประสานส่งต่อ และช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความทุ่มเทเสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทนและแสดงถึงสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้จัดทําโครงการ"รวมพลังจิตอาสา พลัง อพม. เพื่อพัฒนาสังคม”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่าง เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2561 โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศจํานวน 1,066 ครัวเรือน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สําหรับกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย1)พิธีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร2)การปล่อยขบวนรถของทีมจิตอาสาอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 6 เขต ได้แก่ เขตดอนเมือง คลองเตย ตลิ่งชัน คลองสามวาเขตบางบอน และวังทองหลาง และ3)การมอบอุปกรณ์บําเพ็ญสาธารณประโยชน์และพัฒนาสถานที่รอบกระทรวง พม. วัดสิตาราม(วัดคอกหมู) และวัดสระเกศ
ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมขับเคลื่อนงานจิตอาสาเพื่อพัฒนาสังคม และร่วมกันจัดสวัสดิการสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งสู่สังคมที่เป็นธรรม อีกทั้งการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านจิตอาสาอย่างเต็มศักยภาพ ด้วยความเสียสละและสามัคคี ตลอดจนความสามารถในการเชื่อมโยงและบูรณาการการทํางานระหว่างชุมชนและหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับสิทธิและสวัสดิการของรัฐเพื่อการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทำความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทําความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พม. รวมพลังจิตอาสา ร่วมพัฒนาสังคม ด้วยกิจกรรมทําความดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันนี้ (18 ก.ค. 61) เวลา 08.00 น. บริเวณลานพระประชาบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ"พม.รวมพลังจิตอาสา พลัง อพม. เพื่อพัฒนาสังคม”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีความห่วงใยและคํานึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ อีกทั้งพระองค์มีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทําให้ประเทศชาติมั่นคงด้วยประชาชนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริต่างๆ ในการบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้ประชาชน พร้อมการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยได้จัดตั้งโครงการจิตอาสา "เราทําความดี ด้วยหัวใจ” สําหรับ จิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน ส่งเสริม และสนับสนุนให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทั่วประเทศ จํานวน 133,253 คน ได้น้อมนําแนวทางพระราชดําริมาเป็นกลไกการขับเคลื่อนงานด้านการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม โดยการชี้เป้า เฝ้าระวัง ประสานส่งต่อ และช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความทุ่มเทเสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทนและแสดงถึงสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้จัดทําโครงการ"รวมพลังจิตอาสา พลัง อพม. เพื่อพัฒนาสังคม”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่าง เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2561 โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศจํานวน 1,066 ครัวเรือน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สําหรับกิจกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วย1)พิธีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร2)การปล่อยขบวนรถของทีมจิตอาสาอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 6 เขต ได้แก่ เขตดอนเมือง คลองเตย ตลิ่งชัน คลองสามวาเขตบางบอน และวังทองหลาง และ3)การมอบอุปกรณ์บําเพ็ญสาธารณประโยชน์และพัฒนาสถานที่รอบกระทรวง พม. วัดสิตาราม(วัดคอกหมู) และวัดสระเกศ
ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมขับเคลื่อนงานจิตอาสาเพื่อพัฒนาสังคม และร่วมกันจัดสวัสดิการสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งสู่สังคมที่เป็นธรรม อีกทั้งการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ในงานด้านจิตอาสาอย่างเต็มศักยภาพ ด้วยความเสียสละและสามัคคี ตลอดจนความสามารถในการเชื่อมโยงและบูรณาการการทํางานระหว่างชุมชนและหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับสิทธิและสวัสดิการของรัฐเพื่อการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13923
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! ส่งออกทุเรียนไทยอันดับ 1 ในตลาดโลก
|
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
สุดยอด! ส่งออกทุเรียนไทยอันดับ 1 ในตลาดโลก
--
#ไทยคู่ฟ้า เป็นข่าวที่น่ายินดีสําหรับวงการส่งออกไทย กระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลการส่งออกทุเรียนในช่วงครึ่งปี 2563 (ม.ค. - มิ.ย.) พบว่าประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกทุเรียนในตลาดโลก มีมูลค่า 1,411 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 73%
โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มีมูลค่า 1,022 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยฮ่องกง มีมูลค่า 207 ล้านเหรียญสหรัฐ และอาเซียน มีมูลค่า 164 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเวียดนามเป็นตลาดส่งออกหลัก ซึ่งปัจจัยสําคัญที่สนับสนุนให้การส่งออกทุเรียนเติบโตได้ดี คือ เอฟทีเอ เป็นเหตุให้ประเทศคู่ค้าไม่เก็บภาษีนําเข้าจากประเทศไทย
ทั้งนี้ การที่จะทําให้การส่งออกทุเรียนเติบโตได้อย่างต่อเนื่องสิ่งที่สําคัญคือ เกษตรกร หรือผู้ประกอบการควรให้ความสําคัญกับการรักษามาตรฐานสินค้า และพัฒนาคุณภาพการผลิต โดยพิถีพิถันตั้งแต่การเพาะปลูก การบรรจุหีบห่อ มีใบรับรองสุขอนามัยพืช หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลง เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภค นิยมรับประทานผลไม้ปลอดสารพิษหรือเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น อีกทั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้รูปแบบการซื้อสินค้าออนไลน์มีเพิ่มขึ้น เกษตรกรหรือผู้ประกอบการจึงจําเป็นต้องปรับตัว
Cr. กระทรวงพาณิชย์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! ส่งออกทุเรียนไทยอันดับ 1 ในตลาดโลก
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
สุดยอด! ส่งออกทุเรียนไทยอันดับ 1 ในตลาดโลก
--
#ไทยคู่ฟ้า เป็นข่าวที่น่ายินดีสําหรับวงการส่งออกไทย กระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลการส่งออกทุเรียนในช่วงครึ่งปี 2563 (ม.ค. - มิ.ย.) พบว่าประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกทุเรียนในตลาดโลก มีมูลค่า 1,411 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 73%
โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มีมูลค่า 1,022 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยฮ่องกง มีมูลค่า 207 ล้านเหรียญสหรัฐ และอาเซียน มีมูลค่า 164 ล้านเหรียญสหรัฐ มีเวียดนามเป็นตลาดส่งออกหลัก ซึ่งปัจจัยสําคัญที่สนับสนุนให้การส่งออกทุเรียนเติบโตได้ดี คือ เอฟทีเอ เป็นเหตุให้ประเทศคู่ค้าไม่เก็บภาษีนําเข้าจากประเทศไทย
ทั้งนี้ การที่จะทําให้การส่งออกทุเรียนเติบโตได้อย่างต่อเนื่องสิ่งที่สําคัญคือ เกษตรกร หรือผู้ประกอบการควรให้ความสําคัญกับการรักษามาตรฐานสินค้า และพัฒนาคุณภาพการผลิต โดยพิถีพิถันตั้งแต่การเพาะปลูก การบรรจุหีบห่อ มีใบรับรองสุขอนามัยพืช หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลง เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภค นิยมรับประทานผลไม้ปลอดสารพิษหรือเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น อีกทั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้รูปแบบการซื้อสินค้าออนไลน์มีเพิ่มขึ้น เกษตรกรหรือผู้ประกอบการจึงจําเป็นต้องปรับตัว
Cr. กระทรวงพาณิชย์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34254
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกฯ" มอบเงินทุนหนุนเอสเอ็มอีประเดิม จ.สงขลา อุตฯเดินสายสร้างความรับรู้กองทุนรัฐ เพิ่มโอกาสเข้าถึงทุน
|
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
"นายกฯ" มอบเงินทุนหนุนเอสเอ็มอีประเดิม จ.สงขลา อุตฯเดินสายสร้างความรับรู้กองทุนรัฐ เพิ่มโอกาสเข้าถึงทุน
จ.สงขลา 24 พฤษภาคม 2560 - พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการมอบสินเชื่อจากกองทุนต่างๆ ของภาครัฐให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ภาคใต้ จํานวน 30 ราย วงเงินกว่า 22 ล้านบาท
โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รวมทั้ง นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคาร SME Development Bank ให้การต้อนรับพร้อมหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับ SMEs ทั้งหมด
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง “การช่วยเหลือเอสเอ็มอีของรัฐบาล” และพบปะผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด ตลอดจนชมบูธ SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน ซึ่งการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "คลินิกเอ็มอีสัญจรตามแนวประชารัฐ" จัดขึ้นครั้งแรก ที่ จ.สงขลา ได้รับความสนใจจาก SMEs ในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงมากกว่า 800 คนที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ณ โรงแรมหรรษาเจบี หาดใหญ่ จ.สงขลา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกฯ" มอบเงินทุนหนุนเอสเอ็มอีประเดิม จ.สงขลา อุตฯเดินสายสร้างความรับรู้กองทุนรัฐ เพิ่มโอกาสเข้าถึงทุน
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
"นายกฯ" มอบเงินทุนหนุนเอสเอ็มอีประเดิม จ.สงขลา อุตฯเดินสายสร้างความรับรู้กองทุนรัฐ เพิ่มโอกาสเข้าถึงทุน
จ.สงขลา 24 พฤษภาคม 2560 - พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการมอบสินเชื่อจากกองทุนต่างๆ ของภาครัฐให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ภาคใต้ จํานวน 30 ราย วงเงินกว่า 22 ล้านบาท
โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รวมทั้ง นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคาร SME Development Bank ให้การต้อนรับพร้อมหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับ SMEs ทั้งหมด
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง “การช่วยเหลือเอสเอ็มอีของรัฐบาล” และพบปะผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด ตลอดจนชมบูธ SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน ซึ่งการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "คลินิกเอ็มอีสัญจรตามแนวประชารัฐ" จัดขึ้นครั้งแรก ที่ จ.สงขลา ได้รับความสนใจจาก SMEs ในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงมากกว่า 800 คนที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ณ โรงแรมหรรษาเจบี หาดใหญ่ จ.สงขลา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4002
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
|
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี ว่า เรื่องดังกล่าวต้องคํานึงถึงคนที่อยู่ในระบบด้วย และต้องดูว่าจะให้ผู้สูงอายุมีงานทําในสาขาที่ขาดแคลนได้อย่างไร เช่น หมอ นักวิชาการ พออายุ 60 ปี ต้องเกษียณ แต่ถ้าบุคลากรเหล่านี้ยังมีประโยชน์ เราจะนํามาใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งไม่ใช่เป็นการต่ออายุราชการ
สําหรับความคิดเห็นที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอขึ้นมานั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาคัดกรองอีกที ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอขั้นแรก ถึงแม้จะมีการประกาศไปแล้ว ขั้นต่อไปรัฐบาลจะต้องมีกฎเกณฑ์ ระเบียบให้ชัดเจนต่อไป
----------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
นายกรัฐมนตรีระบุการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี เป็นเพียงข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป เผยไม่ใช่การต่ออายุราชการ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากบุคคลากรในสาขาที่คลาดแคลน
วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการต่ออายุเกษียณราชการเป็น 63 ปี ว่า เรื่องดังกล่าวต้องคํานึงถึงคนที่อยู่ในระบบด้วย และต้องดูว่าจะให้ผู้สูงอายุมีงานทําในสาขาที่ขาดแคลนได้อย่างไร เช่น หมอ นักวิชาการ พออายุ 60 ปี ต้องเกษียณ แต่ถ้าบุคลากรเหล่านี้ยังมีประโยชน์ เราจะนํามาใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งไม่ใช่เป็นการต่ออายุราชการ
สําหรับความคิดเห็นที่คณะกรรมการปฏิรูปเสนอขึ้นมานั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาคัดกรองอีกที ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอขั้นแรก ถึงแม้จะมีการประกาศไปแล้ว ขั้นต่อไปรัฐบาลจะต้องมีกฎเกณฑ์ ระเบียบให้ชัดเจนต่อไป
----------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11449
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอวช. ถก SMES สำรวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
สอวช. ถก SMES สํารวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
สอวช. ถก SMES สํารวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 อาคารจัตุรัสจามจุรี - สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นัดผู้ประกอบการรายย่อยถกผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 เก็บข้อมูลเตรียมจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. เปิดเผยว่า กระทรวง อว. มีแนวทางที่จะจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) สอวช. จึงได้เชิญผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ทั้งในภาคส่วนการท่องเที่ยว เกษตร ปศุสัตว์ ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค มาพูดคุยถึงผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว เพื่อรวบรวมผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับเสนอต่อกระทรวงในการหามาตรการช่วยเหลือต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการได้สะท้อนผลกระทบเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในเรื่องการบริโภคภายในประเทศที่มีอัตราที่ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งทําให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน และเชื่อว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปจะทําให้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จนกระทบถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ ในส่วนธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรและยาแม้ว่าจะมีความต้องการสินค้าของตลาด แต่ก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการนําเข้าวัตถุดิบจากประเทศต้นทาง ที่ไม่สามารถนําเข้าในประเทศได้โดยเฉพาะจากจีน ผนวกกับบรรจุภัณฑ์ประเภทหลอด หรือขวดปั๊มขาดตลาด เนื่องจากมีความต้องการสูงในการนําไปเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าประเภทแอลกอฮอล์เจล ส่งผลให้ธุรกิจอื่นที่มีความจําเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์ลักษณะดังกล่าวได้รับผลกระทบจากบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงพอ และผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาด ซึ่งจากผลกระทบเหล่านี้ ผู้ประกอบการรายย่อยคาดว่าจะได้รับผลกระทบในระยะเวลาไม่ต่ํากว่า 1 ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยยังมีความกังวลกรณีหากมีการติดเชื้อโควิดในโรงงาน ที่อาจจะส่งผลให้โรงงานชัตดาวน์ เพราะโรงงานไม่สามารถทํางานแบบ Work from Home ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจะกระทบหนักมาก
ในการหารือ ผู้ประกอบการได้เสนอมาตรการที่ต้องการได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ ทั้งด้านการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินผ่านการดูแลผู้ประกอบการและพนักงานในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ มาตรการยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการ การให้การสนับสนุนเรื่องการให้ความรู้ อบรม พัฒนาฝีมือพนักงานเกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์ การจัดการคลัง การจัดการออเดอร์ การพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการตลาด และเมื่อจบการ Training อยากให้สนับสนุนเรื่องการให้ทุนต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังอยากให้ภาครัฐมีมาตรการด้านการสนับสนุนที่ปรึกษาด้านการจัดการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจ และสนับสนุนด้านการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ผ่านการสนับสนุนทุนในสัดส่วนร้อยละ 80 - 100 เพื่อช่วยเหลือในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการบางส่วนก็มองว่าสถานการณ์วิกฤตช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาระบบธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ช่วงสถานการณ์ที่ธุรกิจชะลอตัวมาพัฒนาสินค้า การบริหารจัดการ เสริมเขี้ยวเล็บธุรกิจด้วยเทคโนโลยี และเมื่อวันหนึ่งสถานการณ์ดีขึ้น เราจะพร้อมขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ดร.กิติพงค์ กล่าวว่า มาตรการเยียวยาที่ได้รับการเสนอจากผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะเรื่องการส่งเสริมความรู้ การอบรม การจัดการด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นนโยบายที่กระทรวง อว. ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และอยู่ในวิสัยที่กระทรวง อว. จะหามาตรการสนับสนุนได้ โดย สอวช. จะรวบรวมข้อเสนอที่ได้จากการหารือครั้งนี้ เสนอต่อที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงเพื่อหามาตรการเยียวยาต่อไป
ทั้งนี้ สอวช. ได้จัดทําแบบสอบถามเพื่อสํารวจผลกระทบที่ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ จะรวบรวมนําไปจัดทํามาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้แก่ SMEs ทั้งในระยะสั้น และการพัฒนามาตรการสร้างความเข้มแข็งและการสนับสนุนนวัตกรรมสําหรับ SMEs ในการรับมือกับภาวะวิกฤตต่าง ๆ ในอนาคต โดย SMEs สามารถร่วมตอบแบบสํารวจได้ที่https://www.nxpo.or.th/SME-COVID-19หรือ QR Code
ข้อมูลข่าวโดย : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอวช. ถก SMES สำรวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
สอวช. ถก SMES สํารวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
สอวช. ถก SMES สํารวจผลกระทบจากการระบาดของ โควิด 19 ด้านผู้ประกอบการเสนอรัฐเยียวยา ด้านการเงิน สนับสนุนการอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน ช่วยลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 อาคารจัตุรัสจามจุรี - สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นัดผู้ประกอบการรายย่อยถกผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 เก็บข้อมูลเตรียมจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. เปิดเผยว่า กระทรวง อว. มีแนวทางที่จะจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) สอวช. จึงได้เชิญผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ทั้งในภาคส่วนการท่องเที่ยว เกษตร ปศุสัตว์ ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค มาพูดคุยถึงผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว เพื่อรวบรวมผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับเสนอต่อกระทรวงในการหามาตรการช่วยเหลือต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการได้สะท้อนผลกระทบเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในเรื่องการบริโภคภายในประเทศที่มีอัตราที่ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งทําให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน และเชื่อว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปจะทําให้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จนกระทบถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ ในส่วนธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรและยาแม้ว่าจะมีความต้องการสินค้าของตลาด แต่ก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการนําเข้าวัตถุดิบจากประเทศต้นทาง ที่ไม่สามารถนําเข้าในประเทศได้โดยเฉพาะจากจีน ผนวกกับบรรจุภัณฑ์ประเภทหลอด หรือขวดปั๊มขาดตลาด เนื่องจากมีความต้องการสูงในการนําไปเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าประเภทแอลกอฮอล์เจล ส่งผลให้ธุรกิจอื่นที่มีความจําเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์ลักษณะดังกล่าวได้รับผลกระทบจากบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงพอ และผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาด ซึ่งจากผลกระทบเหล่านี้ ผู้ประกอบการรายย่อยคาดว่าจะได้รับผลกระทบในระยะเวลาไม่ต่ํากว่า 1 ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยยังมีความกังวลกรณีหากมีการติดเชื้อโควิดในโรงงาน ที่อาจจะส่งผลให้โรงงานชัตดาวน์ เพราะโรงงานไม่สามารถทํางานแบบ Work from Home ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจะกระทบหนักมาก
ในการหารือ ผู้ประกอบการได้เสนอมาตรการที่ต้องการได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ ทั้งด้านการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินผ่านการดูแลผู้ประกอบการและพนักงานในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ มาตรการยกเว้นภาษีแก่ผู้ประกอบการ การให้การสนับสนุนเรื่องการให้ความรู้ อบรม พัฒนาฝีมือพนักงานเกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์ การจัดการคลัง การจัดการออเดอร์ การพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการตลาด และเมื่อจบการ Training อยากให้สนับสนุนเรื่องการให้ทุนต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังอยากให้ภาครัฐมีมาตรการด้านการสนับสนุนที่ปรึกษาด้านการจัดการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจ และสนับสนุนด้านการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ผ่านการสนับสนุนทุนในสัดส่วนร้อยละ 80 - 100 เพื่อช่วยเหลือในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการบางส่วนก็มองว่าสถานการณ์วิกฤตช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาระบบธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ช่วงสถานการณ์ที่ธุรกิจชะลอตัวมาพัฒนาสินค้า การบริหารจัดการ เสริมเขี้ยวเล็บธุรกิจด้วยเทคโนโลยี และเมื่อวันหนึ่งสถานการณ์ดีขึ้น เราจะพร้อมขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ดร.กิติพงค์ กล่าวว่า มาตรการเยียวยาที่ได้รับการเสนอจากผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะเรื่องการส่งเสริมความรู้ การอบรม การจัดการด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นนโยบายที่กระทรวง อว. ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และอยู่ในวิสัยที่กระทรวง อว. จะหามาตรการสนับสนุนได้ โดย สอวช. จะรวบรวมข้อเสนอที่ได้จากการหารือครั้งนี้ เสนอต่อที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงเพื่อหามาตรการเยียวยาต่อไป
ทั้งนี้ สอวช. ได้จัดทําแบบสอบถามเพื่อสํารวจผลกระทบที่ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ จะรวบรวมนําไปจัดทํามาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้แก่ SMEs ทั้งในระยะสั้น และการพัฒนามาตรการสร้างความเข้มแข็งและการสนับสนุนนวัตกรรมสําหรับ SMEs ในการรับมือกับภาวะวิกฤตต่าง ๆ ในอนาคต โดย SMEs สามารถร่วมตอบแบบสํารวจได้ที่https://www.nxpo.or.th/SME-COVID-19หรือ QR Code
ข้อมูลข่าวโดย : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เปิดรับฟังความคิดเห็น หลังปรับปรุงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
สมอ. เปิดรับฟังความคิดเห็น หลังปรับปรุงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงานทั่วไปและงานดึงขึ้นรูป ก่อนตราพระราชกฤษฎีกาต่อไป
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สมอ. มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หรือมาตรฐานบังคับ จํานวน 105 มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีผลทําให้ผู้ทํา ผู้นําเข้า รวมทั้งผู้จําหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยต้องได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. ก่อนทําและนําเข้า ขณะเดียวกัน ผู้จําหน่ายก็ต้องจําหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น หากฝ่าฝืนจะถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย สําหรับบทลงโทษในกรณีทําหรือนําเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ร้านค้าที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานทั่วไปและงานขึ้นรูป มอก. 528-2548 ปัจจุบันเป็นมาตรฐานบังคับ สมอ. ได้แก้ไขปรับปรุงมาตรฐานดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นตามกฎหมาย ปรากฏว่ามีผู้เสนอความเห็นให้เพิ่มเติมชนิด : เหล็กแผ่นม้วนหน้าแคบ และชั้นคุณภาพ HR5 ซึ่งเมื่อนําเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) พิจารณาแล้ว กมอ. มีมติเห็นชอบ และให้ สมอ. ไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการแก้ไขดังกล่าวมีนัยยะสําคัญ ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะแสดงความคิดเห็น สามารถดูรายละเอียดได้ที่ กองกฎหมาย สมอ. โทรศัพท์ 0 2202 3322 หรือ www.tisi.go.th” และให้แสดงความคิดเห็นพร้อมเหตุผลกลับมาที่ สมอ. ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2560 เลขาธิการ สมอ. กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เปิดรับฟังความคิดเห็น หลังปรับปรุงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
สมอ. เปิดรับฟังความคิดเห็น หลังปรับปรุงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงานทั่วไปและงานดึงขึ้นรูป ก่อนตราพระราชกฤษฎีกาต่อไป
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สมอ. มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หรือมาตรฐานบังคับ จํานวน 105 มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีผลทําให้ผู้ทํา ผู้นําเข้า รวมทั้งผู้จําหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยต้องได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. ก่อนทําและนําเข้า ขณะเดียวกัน ผู้จําหน่ายก็ต้องจําหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น หากฝ่าฝืนจะถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย สําหรับบทลงโทษในกรณีทําหรือนําเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ร้านค้าที่จําหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานทั่วไปและงานขึ้นรูป มอก. 528-2548 ปัจจุบันเป็นมาตรฐานบังคับ สมอ. ได้แก้ไขปรับปรุงมาตรฐานดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นตามกฎหมาย ปรากฏว่ามีผู้เสนอความเห็นให้เพิ่มเติมชนิด : เหล็กแผ่นม้วนหน้าแคบ และชั้นคุณภาพ HR5 ซึ่งเมื่อนําเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) พิจารณาแล้ว กมอ. มีมติเห็นชอบ และให้ สมอ. ไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการแก้ไขดังกล่าวมีนัยยะสําคัญ ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะแสดงความคิดเห็น สามารถดูรายละเอียดได้ที่ กองกฎหมาย สมอ. โทรศัพท์ 0 2202 3322 หรือ www.tisi.go.th” และให้แสดงความคิดเห็นพร้อมเหตุผลกลับมาที่ สมอ. ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2560 เลขาธิการ สมอ. กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4314
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ำใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562
พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันนี้ (15 ส.ค. 62) เวลา 08.30 น. ที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยนางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ นายจีระศักดิ์ ศรีพรหมมา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. นางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง พม. นางสาวนฤมล พงษ์สุภาพ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และข้าราชการ ทีม One Home พม. ในพื้นที่ภาคกลาง รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นักเรียนทุนพระราชทานในโครงการทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. และประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมจํานวนกว่า 200 คน เข้าร่วมในพิธีเปิดโครงการฯ และร่วมปั่นจักรยานไปเยี่ยมบ้านผู้ประสบปัญหาทางสังคม พร้อมทั้งนําสิ่งของไปมอบปันน้ําใจให้แก่ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ จํานวน 10 ราย ในพื้นที่ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายปรเมธี กล่าวว่า เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธี บรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และสืบเนื่องจากกิจกรรม “Bike ปั่นอุ่นไอรัก” ตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการส่งเสริมการออกกําลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้จัดกิจกรรม “โครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เพื่อเยี่ยมเยียนให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสและครอบครัว เพื่อสร้างความสุขให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นการสร้างความสามัคคี ให้กับชุมชนและท้องถิ่น โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วน ในการเยี่ยมเยียนผู้ด้อยโอกาส เด็กที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก คนพิการ และผู้สูงอายุ โดยกําหนดจัดกิจกรรมดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 76 จังหวัดๆ ละ 5 พื้นที่ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2562 ถึงเดือนพฤษภาคม 2563
“สําหรับในวันนี้ ได้นําคณะเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมปั่นจักรยานไปเยี่ยมบ้านผู้ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อไปเยี่ยมเยียนให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งนําสิ่งของไปมอบให้แก่ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ จํานวน 10 ราย ในพื้นที่ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอสืบสานพระราชปณิธาน ด้วยความจงรักภักดี สร้างสรรค์ คุณประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ โดยมุ่งมั่นดําเนินโครงการ “พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เด็กที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก คนพิการ ผู้สูงอายุในทุกพื้นที่ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” นายปรเมธี กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ำใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562
พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พม. จัดโครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันนี้ (15 ส.ค. 62) เวลา 08.30 น. ที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยนางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ นายจีระศักดิ์ ศรีพรหมมา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. นางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง พม. นางสาวนฤมล พงษ์สุภาพ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และข้าราชการ ทีม One Home พม. ในพื้นที่ภาคกลาง รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นักเรียนทุนพระราชทานในโครงการทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. และประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมจํานวนกว่า 200 คน เข้าร่วมในพิธีเปิดโครงการฯ และร่วมปั่นจักรยานไปเยี่ยมบ้านผู้ประสบปัญหาทางสังคม พร้อมทั้งนําสิ่งของไปมอบปันน้ําใจให้แก่ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ จํานวน 10 ราย ในพื้นที่ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายปรเมธี กล่าวว่า เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธี บรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และสืบเนื่องจากกิจกรรม “Bike ปั่นอุ่นไอรัก” ตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการส่งเสริมการออกกําลังกายด้วยการปั่นจักรยาน ให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้จัดกิจกรรม “โครงการ พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เพื่อเยี่ยมเยียนให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสและครอบครัว เพื่อสร้างความสุขให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นการสร้างความสามัคคี ให้กับชุมชนและท้องถิ่น โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วน ในการเยี่ยมเยียนผู้ด้อยโอกาส เด็กที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก คนพิการ และผู้สูงอายุ โดยกําหนดจัดกิจกรรมดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 76 จังหวัดๆ ละ 5 พื้นที่ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2562 ถึงเดือนพฤษภาคม 2563
“สําหรับในวันนี้ ได้นําคณะเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมปั่นจักรยานไปเยี่ยมบ้านผู้ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อไปเยี่ยมเยียนให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งนําสิ่งของไปมอบให้แก่ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ จํานวน 10 ราย ในพื้นที่ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอสืบสานพระราชปณิธาน ด้วยความจงรักภักดี สร้างสรรค์ คุณประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ โดยมุ่งมั่นดําเนินโครงการ “พม. ห่วงใย ดูแลทุกข์สุข ปั่นปันน้ําใจให้ผู้ด้อยโอกาสเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เด็กที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก คนพิการ ผู้สูงอายุในทุกพื้นที่ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” นายปรเมธี กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22261
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ผสานพลังทุกภาคส่วน เผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขัง ผ่านนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
“ยุติธรรม” ผสานพลังทุกภาคส่วน เผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขัง ผ่านนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
จัดโดยโครงการกําลังใจในพระดําริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ เรือนจํากลางบางขวาง เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม
คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตลอดจนองค์กรเพื่อสังคมและภาคเอกชน
เพื่อเผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขังที่ได้รับการอบรมการปั้นพระพุทธรูป
ในโครงการปั้นดินให้เป็นบุญ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังโทษสูงให้มีความสงบและมีสมาธิ
สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจําได้อย่างมีอิสระทางใจ โดยยึดมั่นหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนา
สําหรับนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๑ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์) กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ผสานพลังทุกภาคส่วน เผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขัง ผ่านนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
“ยุติธรรม” ผสานพลังทุกภาคส่วน เผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขัง ผ่านนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
จัดโดยโครงการกําลังใจในพระดําริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ เรือนจํากลางบางขวาง เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม
คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตลอดจนองค์กรเพื่อสังคมและภาคเอกชน
เพื่อเผยแพร่ผลงานพุทธศิลป์จากฝีมือผู้ต้องขังที่ได้รับการอบรมการปั้นพระพุทธรูป
ในโครงการปั้นดินให้เป็นบุญ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังโทษสูงให้มีความสงบและมีสมาธิ
สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจําได้อย่างมีอิสระทางใจ โดยยึดมั่นหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนา
สําหรับนิทรรศการ "จากมือที่เปื้อนบาป สู่มือที่ปั้นบุญ" ครั้งที่ ๒
จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๑ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์) กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2344
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2561
ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย
ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จํานวน 2,191 แปลง จาก 11 หมู่บ้าน 4 ตําบล ราษฎร จํานวน 1,610 คน ซึ่งโครงการ คทช. ให้สิทธิ์แก่ผู้ที่อยู่อาศัยและทํากินตั้งแต่ก่อนปี 2541 เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยเสียค่าธรรมเนียมภาษีที่ดิน ไร่ละ 25 บาท (30 ปี) และต่ออายุให้ได้ 1 ครั้ง (30 ปี) ไม่สามารถขายสิทธิ์ได้ แต่ถ่ายโอนให้ทายาทได้ ส่วนผู้ที่มาครอบครองสิทธิ์ที่ดินหลังปี 2541 ต้องปลูกไม้ยืนต้นไร่ละ 40 ต้น ทั้งนี้ การดําเนินการดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินและเพื่อเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล
โดยในโอกาสนี้ (17 มกราคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าว โดยมี นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นผู้มอบ ณ ห้องประชุม โรงเรียนสอนศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ตําบลจองคํา อําเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย
วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2561
ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย
ทส. ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
พื้นที่ป่าแม่ปายฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จํานวน 2,191 แปลง จาก 11 หมู่บ้าน 4 ตําบล ราษฎร จํานวน 1,610 คน ซึ่งโครงการ คทช. ให้สิทธิ์แก่ผู้ที่อยู่อาศัยและทํากินตั้งแต่ก่อนปี 2541 เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยเสียค่าธรรมเนียมภาษีที่ดิน ไร่ละ 25 บาท (30 ปี) และต่ออายุให้ได้ 1 ครั้ง (30 ปี) ไม่สามารถขายสิทธิ์ได้ แต่ถ่ายโอนให้ทายาทได้ ส่วนผู้ที่มาครอบครองสิทธิ์ที่ดินหลังปี 2541 ต้องปลูกไม้ยืนต้นไร่ละ 40 ต้น ทั้งนี้ การดําเนินการดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินและเพื่อเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล
โดยในโอกาสนี้ (17 มกราคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าว โดยมี นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นผู้มอบ ณ ห้องประชุม โรงเรียนสอนศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ตําบลจองคํา อําเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
|
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
วันนี้ (10 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอุบัติเหตุเครื่องบินลาดตระเวน U - 17 ของกองทัพบก ตกที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า รู้สึกเสียใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 3 เรื่องทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ถือว่าเป็นบทเรียน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียชีวิต แต่เราจะเสียขวัญไม่ได้ และไม่มีนักบินคนไหนที่อยากจะให้เครื่องบินตก ซึ่งเขาไม่ได้ไปบินเล่น แต่เขาไปลาดตะเวนชายแดน ทั้งนี้ ถึงแม้เครื่องบินที่ใช้งานมีอายุ 40 ปี แต่เขาก็มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์อยู่ แม้ว่าตัวถังของเครื่องบินจะมีอายุการใช้งานได้ 50 - 60 ปี แต่ทุก 5 - 10 ปีต้องมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่หมด โดยเข้าใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดจากสภาพอากาศ เพราะอากาศไม่แน่นอน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สมัยก่อนผมก็ขึ้นเครื่องบินโบราณแบบ 2 ที่นั่ง รวมถึงเครื่องบินแอล 17 เครื่องบินแอล 19 รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ ฮิว อี้ และอย่างที่เคยเล่าว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดียว ดับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้องปลุกพระเอา วันนี้ก็ยังบินอยู่ เพราะเราต้องใช้ขนส่งลําเลียงอาหาร แต่ก็มีการซื้อทดแทนไปเรื่อย ๆ อย่างที่บอกเครื่องบินก็ต้องซ่อม เก่าแค่ไหนก็ตามก็ต้องซ่อมเครื่องยนต์ ความผิดพลาดต่าง ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพอากาศทั้งสิ้น
----------------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
นายกรัฐมนตรีเผยเครื่องบินทหารตก เหตุสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบุมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทุก 5 - 10 ปี
วันนี้ (10 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอุบัติเหตุเครื่องบินลาดตระเวน U - 17 ของกองทัพบก ตกที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า รู้สึกเสียใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 3 เรื่องทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ถือว่าเป็นบทเรียน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียชีวิต แต่เราจะเสียขวัญไม่ได้ และไม่มีนักบินคนไหนที่อยากจะให้เครื่องบินตก ซึ่งเขาไม่ได้ไปบินเล่น แต่เขาไปลาดตะเวนชายแดน ทั้งนี้ ถึงแม้เครื่องบินที่ใช้งานมีอายุ 40 ปี แต่เขาก็มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์อยู่ แม้ว่าตัวถังของเครื่องบินจะมีอายุการใช้งานได้ 50 - 60 ปี แต่ทุก 5 - 10 ปีต้องมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่หมด โดยเข้าใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดจากสภาพอากาศ เพราะอากาศไม่แน่นอน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สมัยก่อนผมก็ขึ้นเครื่องบินโบราณแบบ 2 ที่นั่ง รวมถึงเครื่องบินแอล 17 เครื่องบินแอล 19 รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ ฮิว อี้ และอย่างที่เคยเล่าว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดียว ดับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้องปลุกพระเอา วันนี้ก็ยังบินอยู่ เพราะเราต้องใช้ขนส่งลําเลียงอาหาร แต่ก็มีการซื้อทดแทนไปเรื่อย ๆ อย่างที่บอกเครื่องบินก็ต้องซ่อม เก่าแค่ไหนก็ตามก็ต้องซ่อมเครื่องยนต์ ความผิดพลาดต่าง ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพอากาศทั้งสิ้น
----------------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13750
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560
รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี
รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในด้านการอยู่อาศัย ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
วันนี้ (18 พ.ค. 60) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว. พม.)เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ ร่าง ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกําหนดแนวทางการพัฒนาเชิงรุก ที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาสังคมเชิงบูรณาการของหน่วยงานภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาที่เน้นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ในการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ การเคหะแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กรุงเทพมหานคร กรมโยธาธิการและผังเมือง สํานักงานตํารวจแห่งชาติ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง เป็นต้น หน่วยงานภาคเอกชน อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมสินเชื่อ ที่อยู่อาศัย บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จํากัด เป็นต้น และหน่วยงานภาคประชาสังคม อาทิ มูลนิธิกระจกเงามูลนิธิอิสรชน มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และนายสุชิน เอี่ยมอินทร์ (ลุงดํา) นายกสมาคมคนไร้บ้าน เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ที่ทุกคนและทุกครอบครัว ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัยจากการอยู่อาศัย เป็นสถานที่ที่รวมความเป็นครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียว หล่อหลอมสมาชิกในสังคม เป็นจุดที่เล็กที่สุดในสังคม มีการถ่ายทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ปลูกฝังนิสัย เจตคติ ค่านิยมให้แก่ทุกคน โดยนโยบายในระดับสากลและในระดับประเทศได้ให้ความสําคัญกับการจัดการและพัฒนาที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตและการสร้างเมืองสุขภาวะ (Healthy Cities) เน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน จากกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกระดับ ปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย มีปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวโน้มการเจริญเติบโตและการขยายตัวของเมืองในอนาคตที่เพิ่มขึ้น จะก่อให้เกิดความแออัด ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และปัญหาชุมชนแออัด ชุมชนบุกรุก กระจัดกระจายในเมืองต่างๆทั่วประเทศ เนื่องจากขาดการจัดการ ด้านที่ดินอย่างเหมาะสม ที่สามารถรองรับในการอยู่อาศัยของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนความเหลื่อมล้ําของการกระจายรายได้ ความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาระหว่างพื้นที่ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งสิ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับทิศทางการพัฒนาระดับโลก ได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal: SDGs) และวาระใหม่แห่งการพัฒนาเมือง (New Urban Agenda: NUA) ร่วมกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคม และที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันความต้องการด้านที่อยู่อาศัย ยังประสบปัญหา คือ การขาดแคลนหรือความไม่เพียงพอต่อความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้มาตรฐาน การขาดแคลนความมั่นคงในการถือครองที่ดิน หรือการไม่มีกรรมสิทธิ์ในการอยู่อาศัย รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ยิ่งสูงความต้องการที่อยู่อาศัยก็ยิ่งมากขึ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงได้ดําเนินการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ขึ้น โดยสานต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) เพื่อใช้เป็นกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ "คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 : SMART Housing” ซึ่งบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัย ที่มุ่งเน้นให้มีปริมาณที่อยู่อาศัย ที่กลุ่มเป้าหมายรับภาระได้อย่างเพียงพอ ประชาชนมีความมั่นคงในการอยู่อาศัย ที่อยู่อาศัยมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมทั้ง มีการบริหารจัดการด้านการอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
"ทั้งนี้ ความร่วมมือเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยให้กับประชาชน จึงเป็น อีกหนึ่งมิติของความร่วมมือ ที่สมควรให้การสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของความร่วมมือดังกล่าว จะนํามาซึ่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ลดความเหลื่อมล้ํา และเกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมทิศทางการพัฒนาที่เป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560
รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี
รมว. พม. เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในด้านการอยู่อาศัย ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
วันนี้ (18 พ.ค. 60) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว. พม.)เป็นประธานการประชุมวิพากษ์ ร่าง ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) พร้อมมอบนโยบายทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกําหนดแนวทางการพัฒนาเชิงรุก ที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาสังคมเชิงบูรณาการของหน่วยงานภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาที่เน้นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ในการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ การเคหะแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กรุงเทพมหานคร กรมโยธาธิการและผังเมือง สํานักงานตํารวจแห่งชาติ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง เป็นต้น หน่วยงานภาคเอกชน อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมสินเชื่อ ที่อยู่อาศัย บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จํากัด เป็นต้น และหน่วยงานภาคประชาสังคม อาทิ มูลนิธิกระจกเงามูลนิธิอิสรชน มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และนายสุชิน เอี่ยมอินทร์ (ลุงดํา) นายกสมาคมคนไร้บ้าน เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ที่ทุกคนและทุกครอบครัว ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัยจากการอยู่อาศัย เป็นสถานที่ที่รวมความเป็นครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียว หล่อหลอมสมาชิกในสังคม เป็นจุดที่เล็กที่สุดในสังคม มีการถ่ายทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ปลูกฝังนิสัย เจตคติ ค่านิยมให้แก่ทุกคน โดยนโยบายในระดับสากลและในระดับประเทศได้ให้ความสําคัญกับการจัดการและพัฒนาที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตและการสร้างเมืองสุขภาวะ (Healthy Cities) เน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน จากกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกระดับ ปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย มีปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแนวโน้มการเจริญเติบโตและการขยายตัวของเมืองในอนาคตที่เพิ่มขึ้น จะก่อให้เกิดความแออัด ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และปัญหาชุมชนแออัด ชุมชนบุกรุก กระจัดกระจายในเมืองต่างๆทั่วประเทศ เนื่องจากขาดการจัดการ ด้านที่ดินอย่างเหมาะสม ที่สามารถรองรับในการอยู่อาศัยของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนความเหลื่อมล้ําของการกระจายรายได้ ความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาระหว่างพื้นที่ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งสิ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับทิศทางการพัฒนาระดับโลก ได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal: SDGs) และวาระใหม่แห่งการพัฒนาเมือง (New Urban Agenda: NUA) ร่วมกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคม และที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันความต้องการด้านที่อยู่อาศัย ยังประสบปัญหา คือ การขาดแคลนหรือความไม่เพียงพอต่อความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้มาตรฐาน การขาดแคลนความมั่นคงในการถือครองที่ดิน หรือการไม่มีกรรมสิทธิ์ในการอยู่อาศัย รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ยิ่งสูงความต้องการที่อยู่อาศัยก็ยิ่งมากขึ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงได้ดําเนินการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ขึ้น โดยสานต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) เพื่อใช้เป็นกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ "คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 : SMART Housing” ซึ่งบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ด้านที่อยู่อาศัย ที่มุ่งเน้นให้มีปริมาณที่อยู่อาศัย ที่กลุ่มเป้าหมายรับภาระได้อย่างเพียงพอ ประชาชนมีความมั่นคงในการอยู่อาศัย ที่อยู่อาศัยมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมทั้ง มีการบริหารจัดการด้านการอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
"ทั้งนี้ ความร่วมมือเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยให้กับประชาชน จึงเป็น อีกหนึ่งมิติของความร่วมมือ ที่สมควรให้การสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของความร่วมมือดังกล่าว จะนํามาซึ่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ลดความเหลื่อมล้ํา และเกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมทิศทางการพัฒนาที่เป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
|
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
วันนี้(25ม.ค. 60) เวลา10.30น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 19 กระทรวงวัฒนธรรมนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญรองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทยร่วมแถลงข่าวการจัดนิทรรศการ“เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560”ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดงานนิทรรศการฯ
ในโอกาสนี้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่ส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้จังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้เร่งปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด สร้างสิ่งอํานวยความสะดวก ดูแลและจัดการสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่ให้มีความเรียบร้อย ปลอดภัย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยอาศัยกลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับจังหวัด อําเภอ ท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นและชุมชนอย่างต่อเนื่อง อันนําไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างมาก โดยกระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อน ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวในหลายมิติ ดังนี้
1. ด้านสินค้าและบริการโดยการมุ่งเน้นให้จังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนท้องถิ่น และชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนและท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแสดงศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPจนได้รับความนิยมอย่างมากสําหรับนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
2. ด้านการอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ได้บูรณาการทุกภาคส่วนในการดูแลรักษาความปลอดภัย และอํานวยความสะดวก ทั้งในด้านที่พัก การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และอาสาสมัคร ได้มีส่วนร่วมในการดูแลและอํานวยความสะดวกอย่างเต็มที่แก่นักท่องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากในปัจจุบันมีการส่งเสริมให้มีการสร้างที่พักในลักษณะโฮมสเตย์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าถึงและสัมผัสถึงชีวิตของชุมชุนมากขึ้น มีการส่งเสริมอาหารปลอดภัย และพัฒนาสินค้าพื้นบ้านให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของนักท่องเที่ยว มีการสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีการปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ให้มีจุดเด่น เพื่อให้เป็นจุดขายแก่นักท่องเที่ยว ตลอดจนการอํานวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคและความปลอดภัยในทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเจ้าบ้าน
3. ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้จังหวัดมีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวภายในจังหวัด และประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ในการเชิญชวนและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างพื้นที่เข้ามาท่องเที่ยวภายในจังหวัดให้มากขึ้นในลักษณะของงานประจําปี และของดีประจําจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมามีหลายจังหวัดได้จัดทําปฏิทินและโปรแกรมการท่องเที่ยวของจังหวัดในรอบปีเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ยังส่งเสริมด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เกิดการรวมตัวผลิตสินค้าชุมชน หรือOTOPเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีของฝากจากภูมิปัญญาไทยแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนส่งเสริมให้หมู่บ้าน/ชุมชนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้สนใจในวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้เป็นทางเลือกอีกช่องทางหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้การจัดงานนิทรรศการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสวยงาม สอดคล้องตรงตามเป้าหมายของการจัดงาน กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานในสังกัด พร้อมให้การสนับสนุน และเป็นกลไกบูรณาการในการขับเคลื่อนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560”ร่วมกับทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย และมุ่งให้ประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบไป.
ครั้งที่13/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
มหาดไทย ร่วมกับ วัฒนธรรม ชูภูมิปัญญาไทย และปราชญ์ท้องถิ่น สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560” ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน
วันนี้(25ม.ค. 60) เวลา10.30น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 19 กระทรวงวัฒนธรรมนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญรองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทยร่วมแถลงข่าวการจัดนิทรรศการ“เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560”ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดงานนิทรรศการฯ
ในโอกาสนี้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่ส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้จังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้เร่งปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด สร้างสิ่งอํานวยความสะดวก ดูแลและจัดการสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่ให้มีความเรียบร้อย ปลอดภัย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยอาศัยกลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับจังหวัด อําเภอ ท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นและชุมชนอย่างต่อเนื่อง อันนําไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างมาก โดยกระทรวงมหาดไทยได้ขับเคลื่อน ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวในหลายมิติ ดังนี้
1. ด้านสินค้าและบริการโดยการมุ่งเน้นให้จังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนท้องถิ่น และชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนและท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแสดงศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPจนได้รับความนิยมอย่างมากสําหรับนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
2. ด้านการอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ได้บูรณาการทุกภาคส่วนในการดูแลรักษาความปลอดภัย และอํานวยความสะดวก ทั้งในด้านที่พัก การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และอาสาสมัคร ได้มีส่วนร่วมในการดูแลและอํานวยความสะดวกอย่างเต็มที่แก่นักท่องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากในปัจจุบันมีการส่งเสริมให้มีการสร้างที่พักในลักษณะโฮมสเตย์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าถึงและสัมผัสถึงชีวิตของชุมชุนมากขึ้น มีการส่งเสริมอาหารปลอดภัย และพัฒนาสินค้าพื้นบ้านให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของนักท่องเที่ยว มีการสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีการปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ให้มีจุดเด่น เพื่อให้เป็นจุดขายแก่นักท่องเที่ยว ตลอดจนการอํานวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคและความปลอดภัยในทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเจ้าบ้าน
3. ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้จังหวัดมีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวภายในจังหวัด และประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ในการเชิญชวนและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างพื้นที่เข้ามาท่องเที่ยวภายในจังหวัดให้มากขึ้นในลักษณะของงานประจําปี และของดีประจําจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมามีหลายจังหวัดได้จัดทําปฏิทินและโปรแกรมการท่องเที่ยวของจังหวัดในรอบปีเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ยังส่งเสริมด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เกิดการรวมตัวผลิตสินค้าชุมชน หรือOTOPเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีของฝากจากภูมิปัญญาไทยแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนส่งเสริมให้หมู่บ้าน/ชุมชนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้สนใจในวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้เป็นทางเลือกอีกช่องทางหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้การจัดงานนิทรรศการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสวยงาม สอดคล้องตรงตามเป้าหมายของการจัดงาน กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานในสังกัด พร้อมให้การสนับสนุน และเป็นกลไกบูรณาการในการขับเคลื่อนการจัดนิทรรศการ “เทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีทั่วไทย 2560”ร่วมกับทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย และมุ่งให้ประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบไป.
ครั้งที่13/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1470
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว. บุรีรัมย์
โดยจากกรณีที่มีการให้ข้อมูลผ่านทางโซเชี่ยล เรื่องการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว. บุรีรัมย์นั้น. เพื่อป้องกันความสับสน ขอเรียนว่าข้อมูลจากบางแหล่งที่มานําเสนออยู่นั้น.อาจไม่มีที่มาอ้างอิงได้จากหลักฐานของทางราชการ แล้วไปนําเสนออาจทําให้สังคมเข้าใจสับสน หรือเข้าใจผิดได้.
ในข้อเท็จจริง ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดทั้งแนวยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดน เนื่องจากการยึดถือหลักฐานแผนที่ฝ่ายละฉบับ จึงอาจมีเส้นทับคลาดเคลื่อนบ้าง. รวมถึงหลักเขตแดนเดิมบางจุดสูญหายหรือถูกโยกย้ายจากตําแหน่งเดิม
ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยตั้งคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนร่วมมาดําเนินการสํารวจและปักปันเขตแดนร่วมกัน ซึ่งอยู่ในระหว่างการดําเนินการซึ่งยังไม่แล้วเสร็จครบทุกจุด
สําหรับพื้นที่บริเวณช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จว.บุรีรัมย์ ก็เช่นเดียวกันที่ทั้งสองฝ่ายยังอ้างแนวเขตแดนที่แตกต่างกัน. การดําเนินการเปิดจุดผ่านแดนโดยเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเส้นเขตแดนดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจึงได้หารือร่วมกันที่จะกันพื้นที่แนวเขตที่อาจจะหรือคาดว่าเป็นเส้นเขตแดน เพื่อ ไม่ให้มีการก่อสร้างใดๆในพื้นที่ที่มีการกันเอาไว้ดังกล่าวนี้ โดยให้กันพื้นที่ออกไปฝ่ายละ 130 เมตร. สําหรับบ่อนกาสิโนของกัมพูชาที่บางบุคคลอ้างถึงนั้นก็ได้ก่อสร้างอยู่หลังแนวเขต 130 เมตรนี้
จึงมั่นใจว่าบ่อนกาสิโนดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตประเทศกัมพูชา และอยู่นอกแนวเขตแผนที่ที่ประเทศไทยยึดถือ รวมถึงอยู่นอกเขตพื้นที่ทับซ้อนอย่างแน่นอน ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยหลักฐานที่เป็นของทางราชการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว.บุรีรัมย์
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว. บุรีรัมย์
โดยจากกรณีที่มีการให้ข้อมูลผ่านทางโซเชี่ยล เรื่องการเปิดบ่อนกาสิโนบนพื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา บริเวณ จว. บุรีรัมย์นั้น. เพื่อป้องกันความสับสน ขอเรียนว่าข้อมูลจากบางแหล่งที่มานําเสนออยู่นั้น.อาจไม่มีที่มาอ้างอิงได้จากหลักฐานของทางราชการ แล้วไปนําเสนออาจทําให้สังคมเข้าใจสับสน หรือเข้าใจผิดได้.
ในข้อเท็จจริง ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดทั้งแนวยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดน เนื่องจากการยึดถือหลักฐานแผนที่ฝ่ายละฉบับ จึงอาจมีเส้นทับคลาดเคลื่อนบ้าง. รวมถึงหลักเขตแดนเดิมบางจุดสูญหายหรือถูกโยกย้ายจากตําแหน่งเดิม
ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยตั้งคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนร่วมมาดําเนินการสํารวจและปักปันเขตแดนร่วมกัน ซึ่งอยู่ในระหว่างการดําเนินการซึ่งยังไม่แล้วเสร็จครบทุกจุด
สําหรับพื้นที่บริเวณช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จว.บุรีรัมย์ ก็เช่นเดียวกันที่ทั้งสองฝ่ายยังอ้างแนวเขตแดนที่แตกต่างกัน. การดําเนินการเปิดจุดผ่านแดนโดยเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเส้นเขตแดนดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจึงได้หารือร่วมกันที่จะกันพื้นที่แนวเขตที่อาจจะหรือคาดว่าเป็นเส้นเขตแดน เพื่อ ไม่ให้มีการก่อสร้างใดๆในพื้นที่ที่มีการกันเอาไว้ดังกล่าวนี้ โดยให้กันพื้นที่ออกไปฝ่ายละ 130 เมตร. สําหรับบ่อนกาสิโนของกัมพูชาที่บางบุคคลอ้างถึงนั้นก็ได้ก่อสร้างอยู่หลังแนวเขต 130 เมตรนี้
จึงมั่นใจว่าบ่อนกาสิโนดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตประเทศกัมพูชา และอยู่นอกแนวเขตแผนที่ที่ประเทศไทยยึดถือ รวมถึงอยู่นอกเขตพื้นที่ทับซ้อนอย่างแน่นอน ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยหลักฐานที่เป็นของทางราชการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2604
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมืออปท.ตรวจเข้มกิจการหลังผ่อนปรน
|
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563
สธ.จับมืออปท.ตรวจเข้มกิจการหลังผ่อนปรน
กระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการที่เริ่มเปิดบริการต้องสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานการสกัดโควิด 19 ยืนยันต้องคัดกรองเข้มข้น พร้อมยกผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าสู้ศึกหลังเริ่มผ่อนปรนมาตรการ
กระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการที่เริ่มเปิดบริการต้องสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานการสกัดโควิด 19 ยืนยันต้องคัดกรองเข้มข้น พร้อมยกผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าสู้ศึกหลังเริ่มผ่อนปรนมาตรการ ขณะที่กรมการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสั่ง อปท.คุมเข้มตลาดสด/ตลาดนัดทั่วประเทศ เว้นระยะห่างแผงค้า กระตุ้นให้ล้างมือ สวมหน้ากาก วัดไข้ก่อนเข้าตลาด พร้อมผนึกกําลังสาธารณสุขจัดทีมลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานกิจการที่เริมให้บริการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยร่วมกัน
บ่ายวันนี้ (3 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศมาตรการผ่อนปรนให้ 6 กลุ่มสถานประกอบการสามารถดําเนินกิจการได้ อยากขอให้ทั้งผู้ประกอบการได้ตระหนักในมาตรการผ่อนปรน ต้องเข้มงวดเรื่องการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทั้งจากผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ส่วนประชาชนจะต้องไม่ผ่อนคลายมาตรการสุขอนามัยส่วนตัวที่ได้ปฏิบัติเป็นอย่างดีมาตลอด ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด และการเว้นระยะห่างทางสังคม นอกจากนี้ เมื่อตลาดสดและตลาดนัดเปิดบริการอีกครั้งตามปกติในทุกพื้นที่ จะต้องยึดตามเกณฑ์สุขอนามัยและให้เป็นไปตามการควบคุมของหน่วยงานที่กํากับดูแลในแต่ละพื้นที่
นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคมนี้เกิด 2 ปรากฏการณ์ คือ 1.ประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัด และ 2.การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์กิจการบางประเภทกลับมาเปิดกิจการได้ จึงต้องร่วมมืออย่างเข้มข้นในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไม่ให้ระดับการระบาดสูงขึ้นอีกครั้งจนเกินควบคุม รอบนี้ต้องยกให้ผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าในการต้านโควิด 19 เพราะต้องเข้มข้นเรื่องมาตรการสกัดการแพร่เชื้อ ส่วนลูกทัพคือประชาชนผู้ใช้บริการต้องร่วมมือรักษาความสะอาด ล้างมือ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง นอกจากนี้ ต้องร่วมตรวจสอบสถานประกอบการว่ามีความพร้อมเรื่องป้องกันการระบาดหรือไม่ โดยสามารถส่งข้อมูลย้อนกลับผ่าน THAISTOPCOVID (stopcovid.anamai.moph.go.th) เพื่อให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ
ขณะที่ นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าชุด ส่วนระดับอําเภอ มอบหมายนายอําเภอเป็นหัวหน้าชุด เข้าตรวจสอบมาตรฐานการเปิดให้บริการของสถานประกอบการ ตลาดสด และตลาดนัดในแต่ละพื้นที่ โดยมีตลาดที่อยู่กํากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กว่า 4,000 แห่งรวมทั้งตลาดนัดที่อยู่ในควบคุมจํานวนมาก จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุข กําหนด เน้นการเว้นระยะห่างของแผงค้าอย่างน้อยให้ห่าง 1 เมตร มีการวัดไข้คัดกรองผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ จัดทางเข้าออกทางเดียว การทําความสะอาดตลาด แผงค้า ห้องน้ํา อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง การสนับสนุนหน้ากากผ้าที่สนับสนุนให้ทําใช้เองกว่า 52 ล้านชิ้นไปยังหน่วยงานท้องถิ่น และการจัดการขยะอย่างถูกสุขอนามัย โดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการควบคุมโรคครั้งนี้
************************************** 3 พฤษภาคม2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมืออปท.ตรวจเข้มกิจการหลังผ่อนปรน
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563
สธ.จับมืออปท.ตรวจเข้มกิจการหลังผ่อนปรน
กระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการที่เริ่มเปิดบริการต้องสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานการสกัดโควิด 19 ยืนยันต้องคัดกรองเข้มข้น พร้อมยกผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าสู้ศึกหลังเริ่มผ่อนปรนมาตรการ
กระทรวงสาธารณสุข ขอประชาชนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการที่เริ่มเปิดบริการต้องสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานการสกัดโควิด 19 ยืนยันต้องคัดกรองเข้มข้น พร้อมยกผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าสู้ศึกหลังเริ่มผ่อนปรนมาตรการ ขณะที่กรมการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสั่ง อปท.คุมเข้มตลาดสด/ตลาดนัดทั่วประเทศ เว้นระยะห่างแผงค้า กระตุ้นให้ล้างมือ สวมหน้ากาก วัดไข้ก่อนเข้าตลาด พร้อมผนึกกําลังสาธารณสุขจัดทีมลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานกิจการที่เริมให้บริการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยร่วมกัน
บ่ายวันนี้ (3 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศมาตรการผ่อนปรนให้ 6 กลุ่มสถานประกอบการสามารถดําเนินกิจการได้ อยากขอให้ทั้งผู้ประกอบการได้ตระหนักในมาตรการผ่อนปรน ต้องเข้มงวดเรื่องการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทั้งจากผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ส่วนประชาชนจะต้องไม่ผ่อนคลายมาตรการสุขอนามัยส่วนตัวที่ได้ปฏิบัติเป็นอย่างดีมาตลอด ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด และการเว้นระยะห่างทางสังคม นอกจากนี้ เมื่อตลาดสดและตลาดนัดเปิดบริการอีกครั้งตามปกติในทุกพื้นที่ จะต้องยึดตามเกณฑ์สุขอนามัยและให้เป็นไปตามการควบคุมของหน่วยงานที่กํากับดูแลในแต่ละพื้นที่
นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคมนี้เกิด 2 ปรากฏการณ์ คือ 1.ประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัด และ 2.การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์กิจการบางประเภทกลับมาเปิดกิจการได้ จึงต้องร่วมมืออย่างเข้มข้นในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไม่ให้ระดับการระบาดสูงขึ้นอีกครั้งจนเกินควบคุม รอบนี้ต้องยกให้ผู้ประกอบการเป็นแม่ทัพด่านหน้าในการต้านโควิด 19 เพราะต้องเข้มข้นเรื่องมาตรการสกัดการแพร่เชื้อ ส่วนลูกทัพคือประชาชนผู้ใช้บริการต้องร่วมมือรักษาความสะอาด ล้างมือ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง นอกจากนี้ ต้องร่วมตรวจสอบสถานประกอบการว่ามีความพร้อมเรื่องป้องกันการระบาดหรือไม่ โดยสามารถส่งข้อมูลย้อนกลับผ่าน THAISTOPCOVID (stopcovid.anamai.moph.go.th) เพื่อให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ
ขณะที่ นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าชุด ส่วนระดับอําเภอ มอบหมายนายอําเภอเป็นหัวหน้าชุด เข้าตรวจสอบมาตรฐานการเปิดให้บริการของสถานประกอบการ ตลาดสด และตลาดนัดในแต่ละพื้นที่ โดยมีตลาดที่อยู่กํากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กว่า 4,000 แห่งรวมทั้งตลาดนัดที่อยู่ในควบคุมจํานวนมาก จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุข กําหนด เน้นการเว้นระยะห่างของแผงค้าอย่างน้อยให้ห่าง 1 เมตร มีการวัดไข้คัดกรองผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ จัดทางเข้าออกทางเดียว การทําความสะอาดตลาด แผงค้า ห้องน้ํา อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง การสนับสนุนหน้ากากผ้าที่สนับสนุนให้ทําใช้เองกว่า 52 ล้านชิ้นไปยังหน่วยงานท้องถิ่น และการจัดการขยะอย่างถูกสุขอนามัย โดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการควบคุมโรคครั้งนี้
************************************** 3 พฤษภาคม2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30256
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
โดยพิจารณาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นรายภูมิภาคและให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงาน
แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลกําลังจัดทําแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561 โดยพิจารณาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นรายภูมิภาคและให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงาน กระจายสัดส่วนของเชื้อเพลิงที่ใช้ให้หลากหลายเพื่อรองรับภาวะวิกฤติ และพัฒนาระบบไฟฟ้าขนาดเล็กแบบกระจายศูนย์ เป็นต้น ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ํา ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ส่งเสริมระบบไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพในระบบไฟฟ้าทั้งด้านการผลิตและการใช้ เพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไปถึงอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดเวทีประชาพิจารณ์ต่อเรื่องดังกล่าว ในเดือน มิ.ย.61 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
โดยพิจารณาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นรายภูมิภาคและให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงาน
แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า PDP2018
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลกําลังจัดทําแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561 โดยพิจารณาความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นรายภูมิภาคและให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงาน กระจายสัดส่วนของเชื้อเพลิงที่ใช้ให้หลากหลายเพื่อรองรับภาวะวิกฤติ และพัฒนาระบบไฟฟ้าขนาดเล็กแบบกระจายศูนย์ เป็นต้น ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ํา ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ส่งเสริมระบบไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพในระบบไฟฟ้าทั้งด้านการผลิตและการใช้ เพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไปถึงอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดเวทีประชาพิจารณ์ต่อเรื่องดังกล่าว ในเดือน มิ.ย.61 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12347
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2563
|
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 มิถุนายน 2563
วันนี้ (7 มิถุนายน 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่7 มิถุนายน 2563
วันนี้ (7 มิถุนายน 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5 ราย, คูเวต 2 ราย, อินเดีย 1 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,972 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.5 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 82 ราย หรือร้อยละ 2.63 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,112 ราย
ขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 13 วันแล้ว และหลังมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 (วันที่ 1 มิถุนายน 2563) เป็นเวลา 7 วัน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ เป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเมื่อออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อไปในสถานที่ชุมชน หรือใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ที่ระบุไว้ว่าการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหะสถานนั้น “เป็นหนึ่งในวิธีซึ่งมีประสิทธิภาพ” ในการลดความเสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อโรค โดยยังต้องรักษาสุขอนามัย คือ การล้างมือให้ถูกวิธี และการรักษาระยะห่างจากผู้อื่นให้เป็นปกติสม่ําเสมอ
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงนี้กว่าร้อยละ 98 เป็นคนไทยที่เดินทางมากลับมาจากต่างประเทศและเข้าระบบเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีประชากรหนาแน่น อัตราป่วยสูง คือ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน และกาตาร์ เป็นต้น
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ขอแนะนําประชาชนกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ขอให้ดูแล ป้องกันตัวเองและปฏิบัติการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ขอให้อยู่บ้าน รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะหากติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง เนื่องจากมีการวิจัยในประเทศจีน ศึกษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่รักษาในอู่ฮั่นจํานวนเกือบ 3,000 ราย พบว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะมีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 4 ขณะที่ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตปกติจะเสียชีวิตร้อยละ 1.1 หรือ เกือบ 4 เท่า และในผู้ป่วยที่หยุดกินยาลดความดันโลหิตมีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 7.9
******************************7 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2563
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 มิถุนายน 2563
วันนี้ (7 มิถุนายน 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่7 มิถุนายน 2563
วันนี้ (7 มิถุนายน 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5 ราย, คูเวต 2 ราย, อินเดีย 1 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,972 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.5 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 82 ราย หรือร้อยละ 2.63 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,112 ราย
ขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 13 วันแล้ว และหลังมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 (วันที่ 1 มิถุนายน 2563) เป็นเวลา 7 วัน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ เป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเมื่อออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อไปในสถานที่ชุมชน หรือใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ที่ระบุไว้ว่าการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหะสถานนั้น “เป็นหนึ่งในวิธีซึ่งมีประสิทธิภาพ” ในการลดความเสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อโรค โดยยังต้องรักษาสุขอนามัย คือ การล้างมือให้ถูกวิธี และการรักษาระยะห่างจากผู้อื่นให้เป็นปกติสม่ําเสมอ
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงนี้กว่าร้อยละ 98 เป็นคนไทยที่เดินทางมากลับมาจากต่างประเทศและเข้าระบบเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีประชากรหนาแน่น อัตราป่วยสูง คือ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน และกาตาร์ เป็นต้น
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ขอแนะนําประชาชนกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ขอให้ดูแล ป้องกันตัวเองและปฏิบัติการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ขอให้อยู่บ้าน รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะหากติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง เนื่องจากมีการวิจัยในประเทศจีน ศึกษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่รักษาในอู่ฮั่นจํานวนเกือบ 3,000 ราย พบว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจะมีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 4 ขณะที่ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตปกติจะเสียชีวิตร้อยละ 1.1 หรือ เกือบ 4 เท่า และในผู้ป่วยที่หยุดกินยาลดความดันโลหิตมีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 7.9
******************************7 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
|
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
วันนี้ เวลา 11.30 น. ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชน์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้าระหว่างภาคเอกชนไทย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชน์ และภาคเอกชนฝรั่งเศส รวม 4 ฉบับ ดังนี้
1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับหอการค้านานาชาติ และหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาผู้ประกอบการไทย
2 PTTGC และ Dassault Systemes ว่าด้วยกรอบความร่วมมือสัญญาว่าจ้างโครงการ digitization รับจ้างติดตั้งและดําเนินการเทคโนโลยีระบบโครงสร้าง visualization ในการวิเคราะห์ข้อมูลและเชื่อมต่อระบบวิศวกรรมโรงงาน
3 Loxley และ POMA ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนา Smart city 4 มิตรผล และบริษัท Maguin และบริษัท Cristal Union เรื่องความร่วมมือในการผลิต Superfind alcohol สําหรับการผลิตยาและเครื่องสําอาง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้า 4 ฉบับ
วันนี้ เวลา 11.30 น. ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชน์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการค้าระหว่างภาคเอกชนไทย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชน์ และภาคเอกชนฝรั่งเศส รวม 4 ฉบับ ดังนี้
1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับหอการค้านานาชาติ และหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาผู้ประกอบการไทย
2 PTTGC และ Dassault Systemes ว่าด้วยกรอบความร่วมมือสัญญาว่าจ้างโครงการ digitization รับจ้างติดตั้งและดําเนินการเทคโนโลยีระบบโครงสร้าง visualization ในการวิเคราะห์ข้อมูลและเชื่อมต่อระบบวิศวกรรมโรงงาน
3 Loxley และ POMA ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนา Smart city 4 มิตรผล และบริษัท Maguin และบริษัท Cristal Union เรื่องความร่วมมือในการผลิต Superfind alcohol สําหรับการผลิตยาและเครื่องสําอาง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. นายอนุทินฯ เตรียมเสนอ ครม. จัดโมโต จีพี ต่อเนื่อง 5 ปี ดึงอุตสาหกรรมกีฬา สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
|
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รอง นรม. นายอนุทินฯ เตรียมเสนอ ครม. จัดโมโต จีพี ต่อเนื่อง 5 ปี ดึงอุตสาหกรรมกีฬา สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2 ปี) ครั้งที่ 1/2563
วันนี้ (13 มกราคม 2563) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2 ปี) ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ ผลการดําเนินงานจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 และแผนการดําเนินงาน ประจําปี 2563 รวมทั้งการพิจารณาร่างโครงสร้างคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ จัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ณ จังหวัดบุรีรัมย์
ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างโครงสร้างคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ จัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเสนอให้มีคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขัน โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธาน และคณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน เพื่อช่วยในการจัดการแข่งขัน ฯ โดยคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันฯ จะทําหน้าที่กําหนดนโยบาย เสนอแนะ ให้คําปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2ปี) ขณะที่คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขัน จะทําแผนและเตรียมการจัดการแข่งขัน พร้อมทั้งมีคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ได้แก่ ฝ่ายการจัดการแข่งขันและสิทธิประโยชน์ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร ฝ่ายคมนาคมและขนส่ง ฝ่ายขับเคลื่อนการกระจายรายได้สู่พื้นที่ และ ฝ่ายประสานกิจกรรมการท่องเที่ยว
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการดําเนินงานจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมกาวแข่งขัน ถึง 226,655 คน มีสัดส่วนผู้ชมชาวต่างประเทศ ร้อยละ 26.3 สร้างรายได้และมูลค่าเศรษฐกิจถึง 3,457 ล้านบาท สําหรับแผนการดําเนินงาน ประจําปี 2563 ได้กําหนดการพิธี เปิด – ปิด การแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2563 แล้ว ในวันที่ 22 มีนาคม 2563 ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนวเซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
นอกจากนี้ ยังได้มีการรายงานว่า คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ได้ประชุมและมีมติมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอการต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฯ ในปี 2564-2568 (2020-2024) อีก 5 ปี โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามคําสั่งแต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562-2563 (2ปี) เนื่องจากเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ผ่านมาการแข่งขันก็ประสบความสําเร็จและได้รับความชี่นชมจากผู้ชื่นชอบกีฬาแข่งจักรยานยนต์ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย รวมทั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสนามแข่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองกีฬา นํารายได้เข้าประเทศ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวหากการแข่งขันประสบความสําเร็จกลายเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวระดับประเทศ คณะกรรมการ ฯ ต้องมีการวางแผนระยะยาว ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับภาคเอกชนในวงกว้าง ทําให้กล้าคิด กล้าลงทุนในกิจกรรมกีฬา เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ยินดีพร้อมสนับสนุนทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. นายอนุทินฯ เตรียมเสนอ ครม. จัดโมโต จีพี ต่อเนื่อง 5 ปี ดึงอุตสาหกรรมกีฬา สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รอง นรม. นายอนุทินฯ เตรียมเสนอ ครม. จัดโมโต จีพี ต่อเนื่อง 5 ปี ดึงอุตสาหกรรมกีฬา สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2 ปี) ครั้งที่ 1/2563
วันนี้ (13 มกราคม 2563) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2 ปี) ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ ผลการดําเนินงานจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 และแผนการดําเนินงาน ประจําปี 2563 รวมทั้งการพิจารณาร่างโครงสร้างคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ จัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ณ จังหวัดบุรีรัมย์
ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างโครงสร้างคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ จัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเสนอให้มีคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขัน โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธาน และคณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน เพื่อช่วยในการจัดการแข่งขัน ฯ โดยคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันฯ จะทําหน้าที่กําหนดนโยบาย เสนอแนะ ให้คําปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 (2ปี) ขณะที่คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขัน จะทําแผนและเตรียมการจัดการแข่งขัน พร้อมทั้งมีคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ได้แก่ ฝ่ายการจัดการแข่งขันและสิทธิประโยชน์ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร ฝ่ายคมนาคมและขนส่ง ฝ่ายขับเคลื่อนการกระจายรายได้สู่พื้นที่ และ ฝ่ายประสานกิจกรรมการท่องเที่ยว
โอกาสนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบผลการดําเนินงานจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมกาวแข่งขัน ถึง 226,655 คน มีสัดส่วนผู้ชมชาวต่างประเทศ ร้อยละ 26.3 สร้างรายได้และมูลค่าเศรษฐกิจถึง 3,457 ล้านบาท สําหรับแผนการดําเนินงาน ประจําปี 2563 ได้กําหนดการพิธี เปิด – ปิด การแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2563 แล้ว ในวันที่ 22 มีนาคม 2563 ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนวเซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
นอกจากนี้ ยังได้มีการรายงานว่า คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562 – 2563 ได้ประชุมและมีมติมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเสนอการต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฯ ในปี 2564-2568 (2020-2024) อีก 5 ปี โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามคําสั่งแต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2562-2563 (2ปี) เนื่องจากเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ผ่านมาการแข่งขันก็ประสบความสําเร็จและได้รับความชี่นชมจากผู้ชื่นชอบกีฬาแข่งจักรยานยนต์ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย รวมทั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสนามแข่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองกีฬา นํารายได้เข้าประเทศ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวหากการแข่งขันประสบความสําเร็จกลายเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวระดับประเทศ คณะกรรมการ ฯ ต้องมีการวางแผนระยะยาว ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับภาคเอกชนในวงกว้าง ทําให้กล้าคิด กล้าลงทุนในกิจกรรมกีฬา เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ยินดีพร้อมสนับสนุนทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25767
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561
พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
เมื่อ 4 มกราคม 2561 พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จากวัดมหาธาตยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร จํานวน 80 รูป ณ ลานอเนกประสงค์ ในศาลาว่าการกลาโหม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและครอบครัว ในการเริ่มต้นที่ดีในวันขึ้นปีใหม่ และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป โดยภายในพิธีมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม นายทหารระดับสูงของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมถึงสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561
พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 80 รูป เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
เมื่อ 4 มกราคม 2561 พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จากวัดมหาธาตยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร จํานวน 80 รูป ณ ลานอเนกประสงค์ ในศาลาว่าการกลาโหม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและครอบครัว ในการเริ่มต้นที่ดีในวันขึ้นปีใหม่ และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป โดยภายในพิธีมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม นายทหารระดับสูงของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมถึงสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9173
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จับมือสภาเกษตรกร "เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำ สภาเกษตรกรจังหวัดลำปาง" พร้อมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำระดับจังหวัดทั่วประเทศ
|
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จับมือสภาเกษตรกร "เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ํา สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง" พร้อมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัดทั่วประเทศ
เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง
ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ณ สํานักงานสภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ศาลากลางจังหวัดลําปาง โดยมี นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์
รองผู้ว่าราชการจังหวัดลําปาง นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และ ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อํานวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดย สสนก. พัฒนาระบบคลังข้อมูลน้ําและภูมิอากาศแห่งชาติ ได้เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ๓๕ หน่วยงาน พร้อมสําหรับการใช้งานแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ได้เข้าตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของคลังข้อมูลน้ําและภูมิอากาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ประกอบกับการดําเนินงานของ สสนก. ที่สนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการน้ําของชุมชน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ จนถึงปัจจุบัน มี ๖๐ ชุมชนแกนนํา ที่สามารถบริหารจัดการน้ําชุมชนด้วยตนเอง เกิดเป็นต้นแบบพัฒนาและขยายผลเป็นเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ําชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กว่า ๙๐๐ หมู่บ้านทั่วประเทศ โดยมีการดําเนินงานร่วมกับสภาเกษตรกร ผ่านเครือข่ายชุมชน ในพื้นที่ ๑๗ จังหวัด (กรุงเทพฯ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ ชุมพร นครราชสีมา นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ปราจีนบุรี ปัตตานี พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี) นําไปสู่ความร่วมมือระหว่าง สสนก. กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อถ่ายทอดตัวอย่างความสําเร็จสู่เครือข่ายเกษตรกร ให้สามารถบริหารจัดการน้ําได้ด้วยตนเอง พัฒนาไปสู่การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยใช้ต้นแบบจากที่ได้ดําเนินการสําเร็จและใช้งานจริง มาแล้วจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จัดตั้งเป็นศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สําหรับใช้ติดตามสถานการณ์ และวางแผนบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ตนเองได้ และยังสนับสนุนแจ้งเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เกษตรกรรมที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ําของประเทศได้
ภายในปี ๒๕๖๐ สสนก. มีแผนจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๒๕ จังหวัด โดยในปัจจุบันดําเนินการจัดตั้งเสร็จพร้อมใช้งานแล้ว ๑๘ จังหวัด สําหรับศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ภายใต้ความร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ จะเป็นศูนย์แห่งคลังข้อมูลและคลังความรู้ด้านการจัดการน้ําระดับท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการทํางานและการวางแผนบริหารจัดการน้ําสําหรับเกษตรกร ให้สามารถพึ่งพาตนเองและปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเกษตรกรให้สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับให้ภาคเกษตรเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ให้บรรลุเป้าหมายการเป็นเกษตรกรและภาคเกษตรกรรม ๔.๐ ตามนโยบายของรัฐบาล
ดร.อรรชกา กล่าวอีกว่า สสนก. เป็นคลังข้อมูลน้ําที่รวบรวมมาจาก ๓๕ หน่วยงาน จึงมีข้อมูลหลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ําฝน หรือพยากรณ์เรื่องฝน รวมถึงปริมาณน้ําที่จะเกิดขึ้น มีทั้งในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด การที่มาทําศูนย์ข้อมูลน้ําที่จังหวัดลําปาง จะทําให้เกษตรกรสามารถรับทราบถึงปริมาณน้ํา ทั้งน้ําฝนและน้ําที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งระดับชุมชนต้องมีข้อมูลแหล่งน้ําที่จะเก็บน้ําในระดับชุมชนต่างๆ จะช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจได้ว่าจะมีน้ําเพียงพอหรือไม่ในการเพาะปลูก รวมถึงการวางแผนการบริหารจัดการการเพาะปลูก เพราะหากบางพื้นที่มีน้ําน้อยก็จําเป็นที่จะต้องปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อย ซึ่งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มากในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลน้ําในการให้ความรู้แก่เกษตรกร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จับมือสภาเกษตรกร "เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำ สภาเกษตรกรจังหวัดลำปาง" พร้อมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำระดับจังหวัดทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จับมือสภาเกษตรกร "เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ํา สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง" พร้อมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัดทั่วประเทศ
เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง
ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ณ สํานักงานสภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ศาลากลางจังหวัดลําปาง โดยมี นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์
รองผู้ว่าราชการจังหวัดลําปาง นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และ ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อํานวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดย สสนก. พัฒนาระบบคลังข้อมูลน้ําและภูมิอากาศแห่งชาติ ได้เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ๓๕ หน่วยงาน พร้อมสําหรับการใช้งานแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ได้เข้าตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของคลังข้อมูลน้ําและภูมิอากาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ประกอบกับการดําเนินงานของ สสนก. ที่สนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการน้ําของชุมชน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ จนถึงปัจจุบัน มี ๖๐ ชุมชนแกนนํา ที่สามารถบริหารจัดการน้ําชุมชนด้วยตนเอง เกิดเป็นต้นแบบพัฒนาและขยายผลเป็นเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ําชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กว่า ๙๐๐ หมู่บ้านทั่วประเทศ โดยมีการดําเนินงานร่วมกับสภาเกษตรกร ผ่านเครือข่ายชุมชน ในพื้นที่ ๑๗ จังหวัด (กรุงเทพฯ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ ชุมพร นครราชสีมา นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ปราจีนบุรี ปัตตานี พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี) นําไปสู่ความร่วมมือระหว่าง สสนก. กับสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อถ่ายทอดตัวอย่างความสําเร็จสู่เครือข่ายเกษตรกร ให้สามารถบริหารจัดการน้ําได้ด้วยตนเอง พัฒนาไปสู่การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยใช้ต้นแบบจากที่ได้ดําเนินการสําเร็จและใช้งานจริง มาแล้วจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร จัดตั้งเป็นศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด สําหรับใช้ติดตามสถานการณ์ และวางแผนบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ตนเองได้ และยังสนับสนุนแจ้งเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เกษตรกรรมที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ําของประเทศได้
ภายในปี ๒๕๖๐ สสนก. มีแผนจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๒๕ จังหวัด โดยในปัจจุบันดําเนินการจัดตั้งเสร็จพร้อมใช้งานแล้ว ๑๘ จังหวัด สําหรับศูนย์บริหารจัดการน้ําระดับจังหวัด ภายใต้ความร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ จะเป็นศูนย์แห่งคลังข้อมูลและคลังความรู้ด้านการจัดการน้ําระดับท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการทํางานและการวางแผนบริหารจัดการน้ําสําหรับเกษตรกร ให้สามารถพึ่งพาตนเองและปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเกษตรกรให้สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับให้ภาคเกษตรเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ให้บรรลุเป้าหมายการเป็นเกษตรกรและภาคเกษตรกรรม ๔.๐ ตามนโยบายของรัฐบาล
ดร.อรรชกา กล่าวอีกว่า สสนก. เป็นคลังข้อมูลน้ําที่รวบรวมมาจาก ๓๕ หน่วยงาน จึงมีข้อมูลหลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ําฝน หรือพยากรณ์เรื่องฝน รวมถึงปริมาณน้ําที่จะเกิดขึ้น มีทั้งในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด การที่มาทําศูนย์ข้อมูลน้ําที่จังหวัดลําปาง จะทําให้เกษตรกรสามารถรับทราบถึงปริมาณน้ํา ทั้งน้ําฝนและน้ําที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งระดับชุมชนต้องมีข้อมูลแหล่งน้ําที่จะเก็บน้ําในระดับชุมชนต่างๆ จะช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจได้ว่าจะมีน้ําเพียงพอหรือไม่ในการเพาะปลูก รวมถึงการวางแผนการบริหารจัดการการเพาะปลูก เพราะหากบางพื้นที่มีน้ําน้อยก็จําเป็นที่จะต้องปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อย ซึ่งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มากในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลน้ําในการให้ความรู้แก่เกษตรกร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6268
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
|
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562
มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
วันนี้ (12 ต.ค.62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562 พร้อมกับส่วนกลาง จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เวลา 07:00 น. พิธีทําบุญตักบาตร ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนด เวลา 08:00 น. พิธีวางพวงมาลาและพิธีถวายบังคม เวลา 19:00 น. พิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นอกจากนี้ ตลอดทั้งวันจะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดลําน้ํา คู คลอง ถวายพระราชกุศลในพื้นที่อําเภอและจังหวัดทั่วประเทศ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน ทั่วประเทศ ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลือง เข้าร่วมพิธีและกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562 ตามเวลาและสถานที่ที่จังหวัดและอําเภอกําหนด โดยพร้อมเพรียงกัน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 172/2562
วันที่ 12 ต.ค. 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562
มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
มหาดไทยเชิญชวนประชาชนทุกจังหวัดสวมเสื้อเหลือง เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
วันนี้ (12 ต.ค.62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรําลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562 พร้อมกับส่วนกลาง จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เวลา 07:00 น. พิธีทําบุญตักบาตร ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนด เวลา 08:00 น. พิธีวางพวงมาลาและพิธีถวายบังคม เวลา 19:00 น. พิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นอกจากนี้ ตลอดทั้งวันจะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดลําน้ํา คู คลอง ถวายพระราชกุศลในพื้นที่อําเภอและจังหวัดทั่วประเทศ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน ทั่วประเทศ ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลือง เข้าร่วมพิธีและกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562 ตามเวลาและสถานที่ที่จังหวัดและอําเภอกําหนด โดยพร้อมเพรียงกัน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 172/2562
วันที่ 12 ต.ค. 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23786
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล
|
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล
โฆษกกระทรวงการคลัง แถลงชี้แจงถึงการดําเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงชี้แจงถึงการดําเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ ซึ่งทําให้รัฐบาลต้องมีการกู้เงิน เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังมีข้อจํากัดจากอัตราการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เต็มศักยภาพ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะซบเซา โดยการดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าว เป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
ภายใต้การดําเนินนโยบายการคลังในลักษณะดังกล่าว กระทรวงการคลังจะดําเนินการกู้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้ กระแสรายจ่าย ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม และเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการบริหารเงินคงคลังให้เพียงพอต่อความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา โดยคํานึงถึงภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษาเงินคงคลังที่ไม่ควรจะมีมากเกินความจําเป็น
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดประจําปี
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ รายได้ รายจ่าย ขาดดุลงบประมาณ
2558 2,206,981 2,601,421 (394,440)
2559 2,411,765 2,807,374 (395,609)
2560 2,444,158 2,890,545 (443,387)
ที่มา: กรมบัญชีกลาง และสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลแบบขาดดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2557 2558 และ 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 0.9 2.9 และ 3.2 ตามลําดับ) ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า ในปี 2560 และ 2561 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว
ได้ถึงร้อยละ 4.0 และ 4.2 ตามลําดับ ซึ่งนับว่าเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 41.76 (ซึ่งต่ํากว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลก็อาจไม่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยภาคเอกชนจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3558
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล
โฆษกกระทรวงการคลัง แถลงชี้แจงถึงการดําเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงชี้แจงถึงการดําเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ ซึ่งทําให้รัฐบาลต้องมีการกู้เงิน เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังมีข้อจํากัดจากอัตราการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เต็มศักยภาพ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะซบเซา โดยการดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าว เป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
ภายใต้การดําเนินนโยบายการคลังในลักษณะดังกล่าว กระทรวงการคลังจะดําเนินการกู้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้ กระแสรายจ่าย ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม และเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการบริหารเงินคงคลังให้เพียงพอต่อความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา โดยคํานึงถึงภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษาเงินคงคลังที่ไม่ควรจะมีมากเกินความจําเป็น
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดประจําปี
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ รายได้ รายจ่าย ขาดดุลงบประมาณ
2558 2,206,981 2,601,421 (394,440)
2559 2,411,765 2,807,374 (395,609)
2560 2,444,158 2,890,545 (443,387)
ที่มา: กรมบัญชีกลาง และสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลแบบขาดดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2557 2558 และ 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 0.9 2.9 และ 3.2 ตามลําดับ) ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า ในปี 2560 และ 2561 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว
ได้ถึงร้อยละ 4.0 และ 4.2 ตามลําดับ ซึ่งนับว่าเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 41.76 (ซึ่งต่ํากว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลก็อาจไม่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยภาคเอกชนจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3558
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10074
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอำนวยความสะดวกในการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
|
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอํานวยความสะดวกในการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีแนะนําควรพิจารณาให้มีการจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ระหว่างการเที่ยวชมป่าชายเลน เพื่อให้การท่องเที่ยวน่าสนใจกระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้น โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ
วันนี้(6ก.พ.61)เวลา14.30น.ณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีตําบลท่าช้างอําเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2561พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอํานวยความสะดวกสําหรับสถานที่จัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งนี้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเมื่อวานนี้ ทําให้มีความสุขเนื่องจากได้รับทราบว่าประชาชนในพื้นที่มีความพร้อมที่จะร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไปข้างหน้าพร้อมกับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นกําลังใจในการทํางานของรัฐบาลและทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง สิ่งสําคัญคือภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งใน 8 จังหวัดของภาคตะวันออกนั้น มี 3 จังหวัดเป็นพื้นที่ EEC ซึ่งต้องหาวิธีการและแนวทางในการที่จะเชื่อมโยงพื้นที่ EEC ดังกล่าวกับ 5 จังหวัดที่เหลือในพื้นที่ตะวันออกให้ได้ โดยการสร้างโครงข่ายคมนาคม การขนส่งหรือการเดินทางเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบทั้งทางรถไฟ น้ํา และทางบก ซึ่งเมื่อวานได้มีการประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการที่จะดําเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการและรัฐบาลพร้อมรับไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า สิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไร ที่จะให้พื้นที่ EEC เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ โดยการนํารายได้จากการเก็บภาษีมาพัฒนาประเทศรองรับการเติบโตของประเทศในอนาคต 50 ปีข้างหน้า ซึ่งหากสามารถดําเนินการได้ในขณะนี้ก็จะทําให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันต้องมุ่งพัฒนารายได้ของประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมถึงการดูแลอํานวยความสะดวกของผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการมีมาตรการดูแลประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันจะมีการดูแลผ่านการจัดสรรงบประมาณลงไปในพื้นที่ตามงานและภารกิจประจํา (function) ของแต่ละกระทรวง และงบประมาณบูรณาการที่แต่ละกระทรวงต้องทํางานร่วมกัน เชื่อมโยงงบประมาณทั้ง 6 ภาค ซึ่งครอบคลุมไปถึงกลุ่มจังหวัด ตลอดจนการดําเนินการงบประมาณรายจ่ายกลางปี ซึ่งดําเนินการการบริหารจัดการงบประมาณดังกล่าวของรัฐบาลก็เพื่อให้งบประมาณลงไปในพื้นที่โดยตรงเกิดผลสัมฤทธิ์ในภาพรวมที่เป็นการเพิ่มมูลค่าในพื้นได้อย่างแท้จริง
ขณะที่จังหวัดตราดมีศักยภาพในด้านของการท่องเที่ยวและการให้ความสําคัญกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าชายเลน ชายทะเล และการท่องเที่ยว เช่น ที่เกาะช้าง ซึ่งมีหลายโครงการที่พื้นที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนขึ้นมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกยินดีที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นจํานวนมากและต่างรู้สึกประทับใจมีความสุขที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสมควรภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องทําหน้าที่เป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย สิ่งสําคัญที่สุดคือประชาชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต้องช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งดูแลรักษาความสะอาดทุกพื้นที่ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โดยเฉพาะห้องสุขาต่าง ๆ ต้องดูแลให้สะอาดอยู่เสมอซึ่งจะเป็นการดูแลในเรื่องสาธารณสุข
พร้อมเสนอแนะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวป่าชายเลน ว่า ควรพิจารณาให้มีการจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ระหว่างการนั่งเรือเที่ยวชมป่าชายเลนพร้อมกันด้วย เพื่อให้การท่องเที่ยวน่าสนใจกระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งเชื่อมโยงกิจกรรมผ่านวิถีชุมชนและการดําเนินชีวิตของคนในพื้นที่ โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ชุมชนในพื้นที่จะได้รับเป็นสําคัญ
รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการได้ไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชนริมน้ําจันทบูรและวิสาหกิจเพื่อสังคมตลาดเก่าริมน้ําจันทบูรว่าการไปเยี่ยมเยียนชุมชนริมน้ําจันทบูรได้พบปะกับประชาชนซึ่งอาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวเป็นจํานวนมาก โดยเป็นการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมอย่างมีความสุขระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธคริสต์อิสลามซึ่งตรงนี้เรียกว่าเป็นการปรองดองโดยประชาชนเอง และเมื่อมีข้อขัดแย้งภายในชุมชนก็สามารถพูดคุยตกลงกันได้ทําให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันของคนในประเทศไทยและอยากให้มีการขยายการอยู่ร่วมกันในลักษณะนี้ไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาต้องมองให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การนําพาสังคมขับเคลื่อนควบคู่วัฒนธรรม จารีต ประเพณีอันดีงาม และศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกมีความโดดเด่นในเรื่องของผลไม้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องพิจารณาดําเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง คือผู้ผลิต ไปจนถึงกลางทางคือการรับซื้อ และปลายทางคือผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการรับซื้อต้องดูทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงต้องมีการกําหนดมาตรฐานสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้น่าสนใจ และมีการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม อันจะทําให้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ได้ พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนคนไทยในการดูแลให้บริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะการคิดค่าบริการหรือสินค้าขอให้คิดในราคาที่เป็นธรรมเหมาะสมไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้เกิดความประทับใจแล้วกลับมาท่องเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องของการสร้างงานและรายได้ในชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่าประเทศไทยต้องเป็นผู้นําเรื่องการท่องเที่ยวและผลไม้ซึ่งภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว และเสริมด้วย EEC ในเรื่องของการผลิตสิ่งของที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งให้มีการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้ถึงกันอย่างเป็นระบบครบวงจร เช่น การเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกับการกีฬา การเชื่อมโยงเรื่องของการประกอบการร้านค้าสมัยเก่ากับสมัยใหม่เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างจุดดึงดูดและความน่าสนใจ และตื่นเต้น สําหรับนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันในส่วนของแรงงานในประเทศก็ต้องมีการพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือและความรู้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการใช้แรงงานต่างด้าวโดยต้องมีการดูแลควบคุมให้ดีและเป็นไปอย่างเหมาะสม
ส่วนแผนเดิมที่กําหนดไว้แต่ยังไม่ได้ดําเนินการและมีการเสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้ง การทํางานต้องมีการกําหนดกรอบการทํางานให้ชัดเจนทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ํา ขณะที่การลงทุนต้องดําเนินการควบคู่กับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม อันจะทําให้การพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอำนวยความสะดวกในการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอํานวยความสะดวกในการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีแนะนําควรพิจารณาให้มีการจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ระหว่างการเที่ยวชมป่าชายเลน เพื่อให้การท่องเที่ยวน่าสนใจกระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้น โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ
วันนี้(6ก.พ.61)เวลา14.30น.ณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีตําบลท่าช้างอําเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2561พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ดูแลอํานวยความสะดวกสําหรับสถานที่จัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งนี้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเมื่อวานนี้ ทําให้มีความสุขเนื่องจากได้รับทราบว่าประชาชนในพื้นที่มีความพร้อมที่จะร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไปข้างหน้าพร้อมกับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นกําลังใจในการทํางานของรัฐบาลและทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง สิ่งสําคัญคือภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งใน 8 จังหวัดของภาคตะวันออกนั้น มี 3 จังหวัดเป็นพื้นที่ EEC ซึ่งต้องหาวิธีการและแนวทางในการที่จะเชื่อมโยงพื้นที่ EEC ดังกล่าวกับ 5 จังหวัดที่เหลือในพื้นที่ตะวันออกให้ได้ โดยการสร้างโครงข่ายคมนาคม การขนส่งหรือการเดินทางเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบทั้งทางรถไฟ น้ํา และทางบก ซึ่งเมื่อวานได้มีการประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการที่จะดําเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการและรัฐบาลพร้อมรับไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า สิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไร ที่จะให้พื้นที่ EEC เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ โดยการนํารายได้จากการเก็บภาษีมาพัฒนาประเทศรองรับการเติบโตของประเทศในอนาคต 50 ปีข้างหน้า ซึ่งหากสามารถดําเนินการได้ในขณะนี้ก็จะทําให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันต้องมุ่งพัฒนารายได้ของประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมถึงการดูแลอํานวยความสะดวกของผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการมีมาตรการดูแลประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันจะมีการดูแลผ่านการจัดสรรงบประมาณลงไปในพื้นที่ตามงานและภารกิจประจํา (function) ของแต่ละกระทรวง และงบประมาณบูรณาการที่แต่ละกระทรวงต้องทํางานร่วมกัน เชื่อมโยงงบประมาณทั้ง 6 ภาค ซึ่งครอบคลุมไปถึงกลุ่มจังหวัด ตลอดจนการดําเนินการงบประมาณรายจ่ายกลางปี ซึ่งดําเนินการการบริหารจัดการงบประมาณดังกล่าวของรัฐบาลก็เพื่อให้งบประมาณลงไปในพื้นที่โดยตรงเกิดผลสัมฤทธิ์ในภาพรวมที่เป็นการเพิ่มมูลค่าในพื้นได้อย่างแท้จริง
ขณะที่จังหวัดตราดมีศักยภาพในด้านของการท่องเที่ยวและการให้ความสําคัญกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าชายเลน ชายทะเล และการท่องเที่ยว เช่น ที่เกาะช้าง ซึ่งมีหลายโครงการที่พื้นที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนขึ้นมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกยินดีที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นจํานวนมากและต่างรู้สึกประทับใจมีความสุขที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสมควรภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องทําหน้าที่เป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย สิ่งสําคัญที่สุดคือประชาชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต้องช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งดูแลรักษาความสะอาดทุกพื้นที่ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โดยเฉพาะห้องสุขาต่าง ๆ ต้องดูแลให้สะอาดอยู่เสมอซึ่งจะเป็นการดูแลในเรื่องสาธารณสุข
พร้อมเสนอแนะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวป่าชายเลน ว่า ควรพิจารณาให้มีการจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ระหว่างการนั่งเรือเที่ยวชมป่าชายเลนพร้อมกันด้วย เพื่อให้การท่องเที่ยวน่าสนใจกระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งเชื่อมโยงกิจกรรมผ่านวิถีชุมชนและการดําเนินชีวิตของคนในพื้นที่ โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ชุมชนในพื้นที่จะได้รับเป็นสําคัญ
รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการได้ไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชนริมน้ําจันทบูรและวิสาหกิจเพื่อสังคมตลาดเก่าริมน้ําจันทบูรว่าการไปเยี่ยมเยียนชุมชนริมน้ําจันทบูรได้พบปะกับประชาชนซึ่งอาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวเป็นจํานวนมาก โดยเป็นการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมอย่างมีความสุขระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธคริสต์อิสลามซึ่งตรงนี้เรียกว่าเป็นการปรองดองโดยประชาชนเอง และเมื่อมีข้อขัดแย้งภายในชุมชนก็สามารถพูดคุยตกลงกันได้ทําให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันของคนในประเทศไทยและอยากให้มีการขยายการอยู่ร่วมกันในลักษณะนี้ไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาต้องมองให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การนําพาสังคมขับเคลื่อนควบคู่วัฒนธรรม จารีต ประเพณีอันดีงาม และศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกมีความโดดเด่นในเรื่องของผลไม้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องพิจารณาดําเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง คือผู้ผลิต ไปจนถึงกลางทางคือการรับซื้อ และปลายทางคือผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการรับซื้อต้องดูทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงต้องมีการกําหนดมาตรฐานสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้น่าสนใจ และมีการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม อันจะทําให้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ได้ พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนคนไทยในการดูแลให้บริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะการคิดค่าบริการหรือสินค้าขอให้คิดในราคาที่เป็นธรรมเหมาะสมไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้เกิดความประทับใจแล้วกลับมาท่องเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องของการสร้างงานและรายได้ในชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่าประเทศไทยต้องเป็นผู้นําเรื่องการท่องเที่ยวและผลไม้ซึ่งภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว และเสริมด้วย EEC ในเรื่องของการผลิตสิ่งของที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งให้มีการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้ถึงกันอย่างเป็นระบบครบวงจร เช่น การเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมกับการกีฬา การเชื่อมโยงเรื่องของการประกอบการร้านค้าสมัยเก่ากับสมัยใหม่เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างจุดดึงดูดและความน่าสนใจ และตื่นเต้น สําหรับนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันในส่วนของแรงงานในประเทศก็ต้องมีการพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือและความรู้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการใช้แรงงานต่างด้าวโดยต้องมีการดูแลควบคุมให้ดีและเป็นไปอย่างเหมาะสม
ส่วนแผนเดิมที่กําหนดไว้แต่ยังไม่ได้ดําเนินการและมีการเสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้ง การทํางานต้องมีการกําหนดกรอบการทํางานให้ชัดเจนทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ํา ขณะที่การลงทุนต้องดําเนินการควบคู่กับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม อันจะทําให้การพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9894
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนา รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น Smart Hospital ในปี 2569
|
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
สธ.เร่งพัฒนา รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น Smart Hospital ในปี 2569
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลต้นแบบด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกระดับเขต ให้เป็น Smart Hospital ภายในปี 2569
วันนี้ (14 กรกฎาคม 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี ว่า โรงพยาบาลเสาไห้ฯ นับเป็นโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาแห่งที่ 10 ที่กระทรวงสาธารณสุขสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเสด็จเปิด ป้ายโรงพยาบาลเสาไห้ฯเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 เป็นโรงพยาบาล 30 เตียง เป็นโรงพยาบาลต้นแบบด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกระดับเขต ที่ได้รับรางวัลโรงพยาบาลคุณธรรม ประจําปี 2560
เนื่องจากพบว่า ผู้ป่วยที่มาใช้บริการ ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคปวดกล้ามเนื้อเป็นอันดับ 1 มีการใช้ยาลดอาการปวดจํานวนมาก และโรคกระเพาะซึ่งมีผลจากการใช้ยาแก้ปวด รวมทั้งผู้รับบริการส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ดังนั้นโรงพยาบาลจึงได้นําระบบบริการแพทย์แผนไทยที่เป็นภูมิปัญญาไทยมาผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบัน รวมทั้งการจัดทํากายภาพบําบัดร่วมกันดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการใช้ยาแก้ปวด โดยการให้บริการต่างๆจะคํานึงถึงความจําเป็นให้ประชาชนได้รับบริการทั้ง 4 มิติ คือ การส่งเสริมคุณภาพ ป้องกัน รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาคุณให้ได้มาตรฐานในทุกๆ ด้านเป็นสถานที่ศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติของนักศึกษาในหลายสาขา เช่น ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร แพทย์แผนไทยและการฝังเข็ม
โดยภายในปี 2569 จะพัฒนาโรงพยาบาลเสาไห้ฯให้เกิด Smart Hospital โดยการบูรณาการกิจกรรมที่สร้างให้เกิดค่านิยมร่วม ความสัมพันธ์ที่ดี ในการจัดบริการ ให้สอดรับนโยบายทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาตามหลักการดําเนินงาน 5 ด้านของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้แก่ 1.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการ ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ 2.ทํางานร่วมกับชุมชนและ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.เน้นงานเวชศาสตร์ครอบครัว การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การรักษา และการฟื้นฟูสภาพแบบองค์รวม ในระดับปฐมภูมิ และระดับทุติยภู 4.มีจิตอาสา และ5.มีการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้เป็นแบบอย่างของโรงพยาบาลชุมชนทั้งในด้านบริหาร บริการ และวิชาการที่เหมาะสมกับสภาพชุมชนในพื้นที่ มีจุดเด่นที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาล ภายใต้อัตลักษณ์เดียวกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล” (More then Hospital)
********************************** 14 กรกฎาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนา รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น Smart Hospital ในปี 2569
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
สธ.เร่งพัฒนา รพ.เสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น Smart Hospital ในปี 2569
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลต้นแบบด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกระดับเขต ให้เป็น Smart Hospital ภายในปี 2569
วันนี้ (14 กรกฎาคม 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี ว่า โรงพยาบาลเสาไห้ฯ นับเป็นโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาแห่งที่ 10 ที่กระทรวงสาธารณสุขสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเสด็จเปิด ป้ายโรงพยาบาลเสาไห้ฯเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 เป็นโรงพยาบาล 30 เตียง เป็นโรงพยาบาลต้นแบบด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกระดับเขต ที่ได้รับรางวัลโรงพยาบาลคุณธรรม ประจําปี 2560
เนื่องจากพบว่า ผู้ป่วยที่มาใช้บริการ ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคปวดกล้ามเนื้อเป็นอันดับ 1 มีการใช้ยาลดอาการปวดจํานวนมาก และโรคกระเพาะซึ่งมีผลจากการใช้ยาแก้ปวด รวมทั้งผู้รับบริการส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ดังนั้นโรงพยาบาลจึงได้นําระบบบริการแพทย์แผนไทยที่เป็นภูมิปัญญาไทยมาผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบัน รวมทั้งการจัดทํากายภาพบําบัดร่วมกันดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการใช้ยาแก้ปวด โดยการให้บริการต่างๆจะคํานึงถึงความจําเป็นให้ประชาชนได้รับบริการทั้ง 4 มิติ คือ การส่งเสริมคุณภาพ ป้องกัน รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาคุณให้ได้มาตรฐานในทุกๆ ด้านเป็นสถานที่ศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติของนักศึกษาในหลายสาขา เช่น ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร แพทย์แผนไทยและการฝังเข็ม
โดยภายในปี 2569 จะพัฒนาโรงพยาบาลเสาไห้ฯให้เกิด Smart Hospital โดยการบูรณาการกิจกรรมที่สร้างให้เกิดค่านิยมร่วม ความสัมพันธ์ที่ดี ในการจัดบริการ ให้สอดรับนโยบายทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาตามหลักการดําเนินงาน 5 ด้านของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้แก่ 1.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการ ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ 2.ทํางานร่วมกับชุมชนและ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.เน้นงานเวชศาสตร์ครอบครัว การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การรักษา และการฟื้นฟูสภาพแบบองค์รวม ในระดับปฐมภูมิ และระดับทุติยภู 4.มีจิตอาสา และ5.มีการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้เป็นแบบอย่างของโรงพยาบาลชุมชนทั้งในด้านบริหาร บริการ และวิชาการที่เหมาะสมกับสภาพชุมชนในพื้นที่ มีจุดเด่นที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาล ภายใต้อัตลักษณ์เดียวกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล” (More then Hospital)
********************************** 14 กรกฎาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปส. สร้างความรู้ เสริมศักยภาพเวชศาสตร์นิวเคลียร์ หนุนสถานพยาบาลทั่วประเทศเดินตามมาตรฐานสากล
|
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562
ปส. สร้างความรู้ เสริมศักยภาพเวชศาสตร์นิวเคลียร์ หนุนสถานพยาบาลทั่วประเทศเดินตามมาตรฐานสากล
สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ จัดถ่ายทอดความรู้พื้นฐานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พร้อมการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ
สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดถ่ายทอดความรู้พื้นฐานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พร้อมการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ จํานวนกว่า 50 คน ในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 หนุนการสร้างเครือข่าย เดินตามมาตรฐานเดียวกันเพื่อมุ่งพัฒนาการควบคุมคุณภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2 ส.ค. 62 เวลา 09.00 น.) นางสาววิไลวรรณ ตันจ้อย เลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ มอบหมายให้ นางรัชดา เหมปฐวี รองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การควบคุมคุณภาพการวัดกัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์" ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการควบคุมคุณภาพการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์และสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการพัฒนางานด้านการควบคุมคุณภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์อย่างยั่งยืน โดยมีเข้าร่วมการสัมมนาจํานวนกว่า 50 คน
นางรัชดา กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่มีเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดกัมมันตภาพรังสีทางการแพทย์ใช้ในงานบริการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ในสถานพยาบาลต่างๆ ไม่น้อยกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ เพื่อวัดกัมมันตภาพรังสีของสารเภสัชรังสีที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วย และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้เครื่องโดสคาลิเบรเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานพยาบาลต่างๆ เหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การกํากับดูแลความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์และรังสีจาก ปส. โดย ปส. ได้เล็งเห็นความสําคัญในการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว จึงจัดสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น และเชื่อว่าผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ จะได้รับความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเทคนิคการใช้งาน การบํารุงรักษา การควบคุม และประกันคุณภาพการวัดค่ากัมมันตภาพรังสี โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกหน่วยงานจะสามารถพัฒนาจากห้องปฏิบัติการมาตรฐานการวัดกัมมันตภาพรังสีของประเทศสู่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เพี่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของผู้เข้ารับบริการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปส. สร้างความรู้ เสริมศักยภาพเวชศาสตร์นิวเคลียร์ หนุนสถานพยาบาลทั่วประเทศเดินตามมาตรฐานสากล
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562
ปส. สร้างความรู้ เสริมศักยภาพเวชศาสตร์นิวเคลียร์ หนุนสถานพยาบาลทั่วประเทศเดินตามมาตรฐานสากล
สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ จัดถ่ายทอดความรู้พื้นฐานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พร้อมการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ
สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดถ่ายทอดความรู้พื้นฐานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พร้อมการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ จํานวนกว่า 50 คน ในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 หนุนการสร้างเครือข่าย เดินตามมาตรฐานเดียวกันเพื่อมุ่งพัฒนาการควบคุมคุณภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2 ส.ค. 62 เวลา 09.00 น.) นางสาววิไลวรรณ ตันจ้อย เลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ มอบหมายให้ นางรัชดา เหมปฐวี รองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การควบคุมคุณภาพการวัดกัมมันตภาพรังสีด้วยเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์" ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการควบคุมคุณภาพการวัดค่ากัมมันตภาพรังสีทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์และสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศ รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการพัฒนางานด้านการควบคุมคุณภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์อย่างยั่งยืน โดยมีเข้าร่วมการสัมมนาจํานวนกว่า 50 คน
นางรัชดา กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่มีเครื่องโดสคาลิเบรเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดกัมมันตภาพรังสีทางการแพทย์ใช้ในงานบริการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ในสถานพยาบาลต่างๆ ไม่น้อยกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ เพื่อวัดกัมมันตภาพรังสีของสารเภสัชรังสีที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วย และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้เครื่องโดสคาลิเบรเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานพยาบาลต่างๆ เหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การกํากับดูแลความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์และรังสีจาก ปส. โดย ปส. ได้เล็งเห็นความสําคัญในการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว จึงจัดสัมมนาในครั้งนี้ขึ้น และเชื่อว่าผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ จะได้รับความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเทคนิคการใช้งาน การบํารุงรักษา การควบคุม และประกันคุณภาพการวัดค่ากัมมันตภาพรังสี โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกหน่วยงานจะสามารถพัฒนาจากห้องปฏิบัติการมาตรฐานการวัดกัมมันตภาพรังสีของประเทศสู่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เพี่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของผู้เข้ารับบริการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21997
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายการกีฬาแห่งชาติ
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
นโยบายการกีฬาแห่งชาติ
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข, คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561ณ ห้องประชุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีประเด็นหารือที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานศึกษาถือเป็นสถานที่ที่สําคัญต่อการพัฒนาการกีฬาแก่นักเรียน เนื่องจากเด็กอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาในสถานศึกษา เชื่อมโยงกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมกีฬาด้านต่าง ๆ โดยนําวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยพัฒนานักกีฬา พร้อมหาวิธีการสร้างคนที่มีความสามารถด้านกีฬา ให้มีศักยภาพไปแข่งขันในระดับโลก และแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนให้มาร่วมสนับสนุนด้วย
ในส่วนของการแข่งขันกีฬา eSportsหรือกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเข้ามามีบทบาทสําคัญในโลกยุคดิจิทัล เปรียบเสมือนการแข่งขันกีฬาผ่านการเล่นเกมต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับเทคโนโลยี มากกว่าการเล่นเกมส์กีฬาเพียงอย่างเดียวจึงขอให้ทุกฝ่ายปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันกีฬา eSports มากขึ้น
นายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์รมว.การท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า ปัจจุบันการดําเนินงานด้านการกีฬาของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ดําเนินงานตามบทบาทและภารกิจของตนเอง แต่ยังไม่มีความเชื่อมโยงกันเท่าที่ควร หากทุกหน่วยงานมาช่วยกันและมีความเชื่อมโยงในแต่ละด้าน ก็จะช่วยให้การกีฬาประสบผลสําเร็จมากยิ่งขึ้น เช่น ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กับ ศธ. ที่มีการประสานงานความร่วมมือในระดับผู้บริหารสถาบันการพลศึกษากับผู้บริหารของสถาบันการศึกษา ทั้งในเรื่องหลักสูตร, การจัดการเรียนการสอน, บุคลากร, การบูรณาการงบประมาณและตัวชี้วัดร่วมกัน หรือเปิดใช้พื้นที่หรือโรงยิมเนเซียมในสถานศึกษา เพื่อให้นักกีฬาใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมอย่างทั่วถึง ตลอดจนร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาสนามกีฬาและโรงยิมฯ ให้พร้อมใช้งาน สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้การดําเนินงานมีความสอดคล้องเชื่อมโยง และนําไปสู่ความสําเร็จด้านการกีฬาได้ในที่สุด
ในส่วนของการแข่งขันกีฬา eSports ถือเป็นการเตรียมคนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ไม่ควรต่อต้าน เพราะให้มากกว่าเพียงแค่การเล่นเกมแต่ควรใช้ประโยชน์จาก eSports ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่ออกแบบเกม เพื่อนําเกมเข้ามาสอนในสถานศึกษา ที่จะเกิดการเรียนรู้ด้านดิจิทัลผ่านเกม นอกจากนี้ มีการจัดให้ eSports เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2018 ที่สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการตระหนักและให้ความสําคัญกับการศึกษาเพื่อการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การร่วมมือกับสถาบันการพลศึกษา กก. ในการจัดตั้ง "ห้องเรียนกีฬา" จํานวน 9 โรงเรียนใน 8 จังหวัด โดยได้ทําการคัดเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างและส่วนสูงตามมาตรฐาน จากนั้นพัฒนานักเรียนด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อให้มีศักยภาพทางกายและมีทักษะด้านกีฬาที่ดี ซึ่งนโยบายห้องเรียนกีฬาเปรียบเสมือนโครงการที่เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่าง ศธ. กับ กก. โดยในปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการประมาณ 1,200 คน
อย่างไรก็ตาม ศธ.มีความยินดีที่จะบูรณาการงานด้านต่าง ๆ กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการกําหนดแผนนโยบายการกีฬา, งบประมาณ เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือประเด็นอื่น ๆ อาทิ การปรับหลักสูตรเพื่อเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาพลศึกษาและสุขศึกษา จากเดิม 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ให้มากเพียงพอที่จะสร้างความตระหนักเรื่องการออกกําลังกาย การเล่นกีฬา และสมรรถภาพทางร่างกายแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งอาจช่วยพัฒนาส่งเสริมเยาวชนที่จะเป็นนักกีฬาของชาติได้ และขอให้ต้องคํานึงถึงค่านิยมของเด็กและผู้ปกครอง ที่ต้องการเรียนวิชาการอย่างเข้มข้นด้วย จึงควรมีการพิจารณาร่วมกันอย่างรอบด้านและคํานึงถึงบริบทของสถานศึกษา เพื่อประโยชน์ในการจัดชนิดกีฬาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการพัฒนาตามบริบทของพื้นที่
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditสุรัตน์ ภู่สุวรรณ
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายการกีฬาแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
นโยบายการกีฬาแห่งชาติ
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข, คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561ณ ห้องประชุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีประเด็นหารือที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สถานศึกษาถือเป็นสถานที่ที่สําคัญต่อการพัฒนาการกีฬาแก่นักเรียน เนื่องจากเด็กอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาในสถานศึกษา เชื่อมโยงกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมกีฬาด้านต่าง ๆ โดยนําวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยพัฒนานักกีฬา พร้อมหาวิธีการสร้างคนที่มีความสามารถด้านกีฬา ให้มีศักยภาพไปแข่งขันในระดับโลก และแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนให้มาร่วมสนับสนุนด้วย
ในส่วนของการแข่งขันกีฬา eSportsหรือกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเข้ามามีบทบาทสําคัญในโลกยุคดิจิทัล เปรียบเสมือนการแข่งขันกีฬาผ่านการเล่นเกมต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับเทคโนโลยี มากกว่าการเล่นเกมส์กีฬาเพียงอย่างเดียวจึงขอให้ทุกฝ่ายปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันกีฬา eSports มากขึ้น
นายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์รมว.การท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า ปัจจุบันการดําเนินงานด้านการกีฬาของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ดําเนินงานตามบทบาทและภารกิจของตนเอง แต่ยังไม่มีความเชื่อมโยงกันเท่าที่ควร หากทุกหน่วยงานมาช่วยกันและมีความเชื่อมโยงในแต่ละด้าน ก็จะช่วยให้การกีฬาประสบผลสําเร็จมากยิ่งขึ้น เช่น ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กับ ศธ. ที่มีการประสานงานความร่วมมือในระดับผู้บริหารสถาบันการพลศึกษากับผู้บริหารของสถาบันการศึกษา ทั้งในเรื่องหลักสูตร, การจัดการเรียนการสอน, บุคลากร, การบูรณาการงบประมาณและตัวชี้วัดร่วมกัน หรือเปิดใช้พื้นที่หรือโรงยิมเนเซียมในสถานศึกษา เพื่อให้นักกีฬาใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมอย่างทั่วถึง ตลอดจนร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาสนามกีฬาและโรงยิมฯ ให้พร้อมใช้งาน สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้การดําเนินงานมีความสอดคล้องเชื่อมโยง และนําไปสู่ความสําเร็จด้านการกีฬาได้ในที่สุด
ในส่วนของการแข่งขันกีฬา eSports ถือเป็นการเตรียมคนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ไม่ควรต่อต้าน เพราะให้มากกว่าเพียงแค่การเล่นเกมแต่ควรใช้ประโยชน์จาก eSports ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่ออกแบบเกม เพื่อนําเกมเข้ามาสอนในสถานศึกษา ที่จะเกิดการเรียนรู้ด้านดิจิทัลผ่านเกม นอกจากนี้ มีการจัดให้ eSports เป็นกีฬาสาธิตในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2018 ที่สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการตระหนักและให้ความสําคัญกับการศึกษาเพื่อการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การร่วมมือกับสถาบันการพลศึกษา กก. ในการจัดตั้ง "ห้องเรียนกีฬา" จํานวน 9 โรงเรียนใน 8 จังหวัด โดยได้ทําการคัดเลือกนักเรียนที่มีรูปร่างและส่วนสูงตามมาตรฐาน จากนั้นพัฒนานักเรียนด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อให้มีศักยภาพทางกายและมีทักษะด้านกีฬาที่ดี ซึ่งนโยบายห้องเรียนกีฬาเปรียบเสมือนโครงการที่เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่าง ศธ. กับ กก. โดยในปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการประมาณ 1,200 คน
อย่างไรก็ตาม ศธ.มีความยินดีที่จะบูรณาการงานด้านต่าง ๆ กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการกําหนดแผนนโยบายการกีฬา, งบประมาณ เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือประเด็นอื่น ๆ อาทิ การปรับหลักสูตรเพื่อเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาพลศึกษาและสุขศึกษา จากเดิม 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ให้มากเพียงพอที่จะสร้างความตระหนักเรื่องการออกกําลังกาย การเล่นกีฬา และสมรรถภาพทางร่างกายแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งอาจช่วยพัฒนาส่งเสริมเยาวชนที่จะเป็นนักกีฬาของชาติได้ และขอให้ต้องคํานึงถึงค่านิยมของเด็กและผู้ปกครอง ที่ต้องการเรียนวิชาการอย่างเข้มข้นด้วย จึงควรมีการพิจารณาร่วมกันอย่างรอบด้านและคํานึงถึงบริบทของสถานศึกษา เพื่อประโยชน์ในการจัดชนิดกีฬาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการพัฒนาตามบริบทของพื้นที่
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditสุรัตน์ ภู่สุวรรณ
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
ประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ประธานและประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (24 พ.ย. 60) เวลา 09.30 น. นาย ฮิโระยูกิ อิชิเกะ ประธานกรรมการบริหาร JETRO ญี่ปุ่น เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปีในปีนี้ ยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ในทุกระดับ ตั้งแต่ราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน นายกรัฐมนตรีแสดงความซาบซึ้งที่สมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่น เสด็จพระราชดําเนินเยือนไทยเพื่อถวายพระราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเจ้าชายอากิชิโน แห่งญี่ปุ่นพร้อมพระชายา เสด็จพระราชดําเนินเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
โอกาสนี้ประธาน JETRO กล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถวายพระพรแด่สมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่นเช่นกัน
สําหรับในระดับรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้พบปะหารือกันในระหว่างเข้าร่วมการประชุม APEC ครั้งที่ 25 และ ASEAN Summit ครั้งที่ 31 เมื่อสัปดาห์ก่อน และยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือในทุกมิติ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศสืบต่อไป
นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณบทบาทของ JETRO ซึ่งเป็นหน่วยงานสําคัญของฝ่ายญี่ปุ่นในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 130 ปี ความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่น โดยได้ประสานงานให้นาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ญี่ปุ่น และคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นกว่า 570 คน เยือนไทยเมื่อกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งประธาน JETRO กล่าวว่าในโอกาสดังกล่าวนั้นคณะนักลงทุนญี่ปุ่นได้เดินทางเยี่ยมชมและศึกษาดูงานในพื้นที่ EEC และเล็งเห็นแนวทางการลงทุนในพื้นที่ EEC ชัดเจนขึ้น โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และยืนยันที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ประธาน JETRO ช่วยสนับสนุนการนําเข้าหรือการแปรรูปยางพารา ทั้งในพื้นที่ EEC และ Rubber City ในภาคใต้ของไทยด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา JETRO มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ความร่วมมือด้านการพัฒนาวิศวกรและอาชีวศึกษาในไทย ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะเป็นกําลังสําคัญในการรองรับการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยต่อไป โดยเล็งเห็นว่าญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรไทยและถ่ายทอดองค์ความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมชาวญี่ปุ่นที่มีความขยัน ซื่อสัตย์ มีวินัย และรักษาสัญญา และให้คํามั่นว่าจะดูแลนักลงทุนญี่ปุ่นในไทยอย่างเต็มที่ และรัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุน รวมทั้งเร่งขจัดอุปสรรคในการดําเนินกิจการต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งประธาน JETRO ได้ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแล และยังมีความเห็นว่าการที่รัฐบาลมีโครงการในพื้นที่ EEC สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นต่างแสดงความสนใจในการลงทุนในอนาคต โดยจะขอศึกษาในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยนักลงทุนไทยในญี่ปุ่น ซึ่งประสบปัญหาในด้านต้นทุนการผลิตสูง และขั้นตอนการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างเข้มงวด จึงฝากประธาน JETRO ให้ช่วยดูแลด้วย
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
ประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ประธานและประธานกรรมการบริหาร JETRO เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (24 พ.ย. 60) เวลา 09.30 น. นาย ฮิโระยูกิ อิชิเกะ ประธานกรรมการบริหาร JETRO ญี่ปุ่น เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปีในปีนี้ ยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ในทุกระดับ ตั้งแต่ราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน นายกรัฐมนตรีแสดงความซาบซึ้งที่สมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่น เสด็จพระราชดําเนินเยือนไทยเพื่อถวายพระราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเจ้าชายอากิชิโน แห่งญี่ปุ่นพร้อมพระชายา เสด็จพระราชดําเนินเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
โอกาสนี้ประธาน JETRO กล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถวายพระพรแด่สมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่นเช่นกัน
สําหรับในระดับรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้พบปะหารือกันในระหว่างเข้าร่วมการประชุม APEC ครั้งที่ 25 และ ASEAN Summit ครั้งที่ 31 เมื่อสัปดาห์ก่อน และยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือในทุกมิติ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศสืบต่อไป
นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณบทบาทของ JETRO ซึ่งเป็นหน่วยงานสําคัญของฝ่ายญี่ปุ่นในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 130 ปี ความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่น โดยได้ประสานงานให้นาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ญี่ปุ่น และคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นกว่า 570 คน เยือนไทยเมื่อกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งประธาน JETRO กล่าวว่าในโอกาสดังกล่าวนั้นคณะนักลงทุนญี่ปุ่นได้เดินทางเยี่ยมชมและศึกษาดูงานในพื้นที่ EEC และเล็งเห็นแนวทางการลงทุนในพื้นที่ EEC ชัดเจนขึ้น โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และยืนยันที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ประธาน JETRO ช่วยสนับสนุนการนําเข้าหรือการแปรรูปยางพารา ทั้งในพื้นที่ EEC และ Rubber City ในภาคใต้ของไทยด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา JETRO มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ความร่วมมือด้านการพัฒนาวิศวกรและอาชีวศึกษาในไทย ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะเป็นกําลังสําคัญในการรองรับการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยต่อไป โดยเล็งเห็นว่าญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรไทยและถ่ายทอดองค์ความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้ชื่นชมชาวญี่ปุ่นที่มีความขยัน ซื่อสัตย์ มีวินัย และรักษาสัญญา และให้คํามั่นว่าจะดูแลนักลงทุนญี่ปุ่นในไทยอย่างเต็มที่ และรัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุน รวมทั้งเร่งขจัดอุปสรรคในการดําเนินกิจการต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งประธาน JETRO ได้ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแล และยังมีความเห็นว่าการที่รัฐบาลมีโครงการในพื้นที่ EEC สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นต่างแสดงความสนใจในการลงทุนในอนาคต โดยจะขอศึกษาในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยนักลงทุนไทยในญี่ปุ่น ซึ่งประสบปัญหาในด้านต้นทุนการผลิตสูง และขั้นตอนการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างเข้มงวด จึงฝากประธาน JETRO ให้ช่วยดูแลด้วย
***********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
|
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
เมื่อวันที่14 ต.ค. 61 เวลา 07.50 น. ที่โรงเรียนวัดรังสิต ตําบลหลักหก อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ กําลังพล ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ และประชาชนจิตอาสา ร่วมในพิธี
ในเวลา 08.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นํากําลังพลและประชาชนจิตอาสา ร่วมเคารพธงชาติ เสร็จแล้วนํากําลังพลถวายความเคารพ แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ที่หน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และนํากําลังพลและประชาชนจิตอาสากล่าวคําปฏิญาณ "เราทําความดี ด้วยหัวใจ" และปล่อยแถวกําลังพลและประชาชนจิตอาสาไปปฏิบัติงานในแนวคลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ "เราทําความดี ด้วยหัวใจ" ได้มีการดําเนินการพัฒนาพื้นที่สาธารณประโยชน์โดยกําลังพลและพี่น้องประชาชนจิตอาสาทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายสําคัญ 3 เรื่อง คือ 1. การพัฒนาคูคลองให้สะอาด เรียบร้อย สวยงาม 2. การกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย และ 3. การปลูกป่า ซึ่งจะดําเนินการตลอดเดือนตุลาคม 2561 โดยในวันนี้ เป็นการดําเนินการพัฒนาพื้นที่คลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นแหล่งน้ําที่มีความสําคัญทั้งด้านการระบายน้ํา และการเกษตรกรรมของประชาชน ซึ่งจะดําเนินการถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2561
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาทาสีสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ และเข้ารับฟังบรรยายสรุปสภาพทั่วไปของคลองเปรมประชากร พร้อมทั้งเดินทางตรวจเยี่ยมดูสภาพบ้านเรือนการใช้ชีวิตของประชาชนในแนวคลองเปรมประชากร ณ บริเวณประตูระบายน้ําคลองเปรมประชากรฝั่งใต้ และคลองรังสิตประยูรศักดิ์ พื้นที่อําเภอเมืองปทุมธานี อําเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และพบปะพี่น้องประชาชน ที่ตําบลเชียงรากน้อย อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร
เมื่อวันที่14 ต.ค. 61 เวลา 07.50 น. ที่โรงเรียนวัดรังสิต ตําบลหลักหก อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดโครงการหน่วยพระราชทานจิตอาสาพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษมเปรมประชากร โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ กําลังพล ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ และประชาชนจิตอาสา ร่วมในพิธี
ในเวลา 08.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นํากําลังพลและประชาชนจิตอาสา ร่วมเคารพธงชาติ เสร็จแล้วนํากําลังพลถวายความเคารพ แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ที่หน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และนํากําลังพลและประชาชนจิตอาสากล่าวคําปฏิญาณ "เราทําความดี ด้วยหัวใจ" และปล่อยแถวกําลังพลและประชาชนจิตอาสาไปปฏิบัติงานในแนวคลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ "เราทําความดี ด้วยหัวใจ" ได้มีการดําเนินการพัฒนาพื้นที่สาธารณประโยชน์โดยกําลังพลและพี่น้องประชาชนจิตอาสาทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายสําคัญ 3 เรื่อง คือ 1. การพัฒนาคูคลองให้สะอาด เรียบร้อย สวยงาม 2. การกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย และ 3. การปลูกป่า ซึ่งจะดําเนินการตลอดเดือนตุลาคม 2561 โดยในวันนี้ เป็นการดําเนินการพัฒนาพื้นที่คลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นแหล่งน้ําที่มีความสําคัญทั้งด้านการระบายน้ํา และการเกษตรกรรมของประชาชน ซึ่งจะดําเนินการถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2561
จากนั้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาทาสีสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ และเข้ารับฟังบรรยายสรุปสภาพทั่วไปของคลองเปรมประชากร พร้อมทั้งเดินทางตรวจเยี่ยมดูสภาพบ้านเรือนการใช้ชีวิตของประชาชนในแนวคลองเปรมประชากร ณ บริเวณประตูระบายน้ําคลองเปรมประชากรฝั่งใต้ และคลองรังสิตประยูรศักดิ์ พื้นที่อําเภอเมืองปทุมธานี อําเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และพบปะพี่น้องประชาชน ที่ตําบลเชียงรากน้อย อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16105
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
|
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563
สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
มีสมุนไพรอะไรบ้างไปดูกัน
Q: สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
A: กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกันเช่นพลูคาวหรือผักคาวตอง, เห็ดต่างๆ, ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม)
กลุ่มที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นดอกขี้เหล็ก, ยอดมะยม, ใบเหลียง, ยอดสะเดา, มะระขี้นก, ฟักข้าว, ผักเชียงดา, คะน้า, มะรุม, ผักแพว มะขามป้อม, ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสี กลุ่มที่มีสารสําคัญในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19เช่นพลูคาวหรือผักคาวตอง กะเพรา หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน แอปเปิล เปลือกผลของพืชตระกูลส้ม (ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563
สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
มีสมุนไพรอะไรบ้างไปดูกัน
Q: สมุนไพรชนิดใดบ้างที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ ??
A: กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกันเช่นพลูคาวหรือผักคาวตอง, เห็ดต่างๆ, ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม)
กลุ่มที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นดอกขี้เหล็ก, ยอดมะยม, ใบเหลียง, ยอดสะเดา, มะระขี้นก, ฟักข้าว, ผักเชียงดา, คะน้า, มะรุม, ผักแพว มะขามป้อม, ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสี กลุ่มที่มีสารสําคัญในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19เช่นพลูคาวหรือผักคาวตอง กะเพรา หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน แอปเปิล เปลือกผลของพืชตระกูลส้ม (ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27650
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นำสภาฯ
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นําสภาฯ
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นําสภาฯ
นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมการประชุม ADGSOM – ATRC Video Conference Meeting ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น ๙ สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนร่วมกับผู้นําหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมอาเซียน โดยได้มีการหารือประเด็นสําคัญเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้กรอบ ADGSOM – ATRC ของอาเซียนที่มีแผนงานกําหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๓ เช่น การประเมินผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๐ การจัดทําแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัลฉบับใหม่ ค.ศ. ๒๐๒๕ และกลไกการส่งเสริมความร่วมมือข้ามสาขาด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น การประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการประชุมภายใต้กรอบ ADGSOM – ATRC ของอาเซียน ซึ่งประสบความสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และแสดงถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นำเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นำสภาฯ
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นําสภาฯ
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัลและผู้นําสภาฯ
นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมการประชุม ADGSOM – ATRC Video Conference Meeting ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น ๙ สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนร่วมกับผู้นําหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมอาเซียน โดยได้มีการหารือประเด็นสําคัญเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้กรอบ ADGSOM – ATRC ของอาเซียนที่มีแผนงานกําหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๓ เช่น การประเมินผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๐ การจัดทําแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัลฉบับใหม่ ค.ศ. ๒๐๒๕ และกลไกการส่งเสริมความร่วมมือข้ามสาขาด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น การประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของการประชุมภายใต้กรอบ ADGSOM – ATRC ของอาเซียน ซึ่งประสบความสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และแสดงถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29657
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
|
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
21 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน Thailand Food Innovation Forum 2017 พร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การสนับสนุนนวัตกรรมอาหารของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัทในอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะ SMEs และ Startup นําผลงานวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับนวัตกรรมอาหารไปขยายผลเชิงพาณิชย์และเปิดโอกาสให้มีการแสดงผลงานของหน่วยงานวิจัยทั้งจากภาครัฐและสถาบันการศึกษารวมทั้งมีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหาร
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวว่า สําหรับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาลนั้น อุตสาหกรรมอาหารมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเป็นอันดับที่ 13 ของโลก มีบุคลากรและแรงงานกว่า 40 ล้านคน ที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารประมาณ 11% ของ GDP อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ส่งออกยังเป็นสินค้าทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ และมีมูลค่าเพิ่มต่ํา ขาดการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการแปรรูปเป็นสินค้ามูลค่าสูง ดังนั้นจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่อุตสาหกรรมอาหารไทย ต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตและแปรรูปอาหาร เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งขยายตลาดและเชื่อมโยงเข้าสู่ Global Food Value Chain
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีนโยบายและกลไกการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารและพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงออกสู่ตลาด โดยในปีงบประมาณ 2560 ได้จัดสรรงบประมาณ 391 ล้านบาทสําหรับ 96 โครงการวิจัยพัฒนาด้านเกษตรและอาหาร นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานภายในกระทรวงฯ เพื่อขับเคลื่อน “เมืองนวัตกรรมอาหาร” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการสําคัญของรัฐบาล
พื้นที่แรกของเมืองนวัตกรรมอาหาร ตั้งอยู่ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย บนพื้นที่ 200 ไร่ ซึ่งเปรียบเสมือนนิคมวิจัย มีพื้นที่ซึ่งพร้อมด้วยสิ่งอํานวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน วทน. รองรับกิจกรรมวิจัยพัฒนาของภาคเอกชนในหลายรูปแบบ เช่น ห้องปฏิบัติการพร้อมใช้พื้นที่เปล่าสําหรับจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย รวมทั้งพื้นที่โรงงานต้นแบบและที่ดินเช่า ปัจจุบันมีบริษัทในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอยู่ในพื้นที่ 32 บริษัท โดยประมาณ 70% เป็นบริษัทไทยและ 30% เป็นบริษัทต่างชาติ
เมืองนวัตกรรมอาหาร มุ่งเน้น 3 สาขาเป้าหมาย ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง คือ (1) อาหารสุขภาพ และอาหารฟังก์ชั่น เช่น Nutraceutical หรือโภชนเภสัชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไขมันและน้ํามันเพื่อสุขภาพ (2) อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สารสกัดอาหาร สารปรุงแต่งอาหาร และ (3) ธุรกิจที่สนับสนุนนวัตกรรมอาหาร เช่น มาตรฐานและความปลอดภัยทางอาหาร การตรวจสอบย้อนกลับ บรรจุภัณฑ์ และระบบการขนส่ง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งาน Thailand Food Innovation Forum 2017 เป็นเวทีสําหรับการพบปะของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และ Startup กับนักวิจัยชั้นนําด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อนําเสนอผลงาน และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจ สู่เส้นทางแห่งความสําเร็จ โดยผู้ประกอบการต้นแบบชั้นนําของประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานระดับสากลสร้างคุณค่าและความแตกต่างจากคู่แข่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารของไทยในปัจจุบัน มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกในปี2559 มีมูลค่าสูงถึง 927,000 ล้านบาทและคาดว่าในปีนี้จะส่งออกไม่น้อยกว่า 1,050,000 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดําเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะ SMEs และ Startup อาทิ โครงการจากหิ้งสู่ห้าง การผลักดันนําค่าใช้จ่ายไปคํานวณภาษีได้300% ในการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การจัดทําบัญชีนวัตกรรมและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทยโครงการคูปองนวัตกรรม โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเสริมศักยภาพ และความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจ ที่เชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การจัดงาน Thailand Food Innovation Forum 2017 ในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากภาครัฐภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คาดหวังว่าจะเป็นการจุดประกาย และสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการเห็นถึง ความสําคัญของการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจอาหารไทย ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ขณะเดียวกัน หน่วยงานวิจัยและนักวิจัยจะได้รับรู้แนวคิดของภาคธุรกิจ และเกิดการเชื่อมโยงร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ Thailand 4.0
ข่าวโดย : นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ
ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
ก.วิทย์ฯ ร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จุดประกายไอเดีย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ในงาน Thailand food innovation forum 2017
21 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน Thailand Food Innovation Forum 2017 พร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การสนับสนุนนวัตกรรมอาหารของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัทในอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะ SMEs และ Startup นําผลงานวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับนวัตกรรมอาหารไปขยายผลเชิงพาณิชย์และเปิดโอกาสให้มีการแสดงผลงานของหน่วยงานวิจัยทั้งจากภาครัฐและสถาบันการศึกษารวมทั้งมีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหาร
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวว่า สําหรับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาลนั้น อุตสาหกรรมอาหารมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเป็นอันดับที่ 13 ของโลก มีบุคลากรและแรงงานกว่า 40 ล้านคน ที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารประมาณ 11% ของ GDP อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ส่งออกยังเป็นสินค้าทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ และมีมูลค่าเพิ่มต่ํา ขาดการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการแปรรูปเป็นสินค้ามูลค่าสูง ดังนั้นจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่อุตสาหกรรมอาหารไทย ต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เข้ามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตและแปรรูปอาหาร เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งขยายตลาดและเชื่อมโยงเข้าสู่ Global Food Value Chain
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีนโยบายและกลไกการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารและพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงออกสู่ตลาด โดยในปีงบประมาณ 2560 ได้จัดสรรงบประมาณ 391 ล้านบาทสําหรับ 96 โครงการวิจัยพัฒนาด้านเกษตรและอาหาร นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานภายในกระทรวงฯ เพื่อขับเคลื่อน “เมืองนวัตกรรมอาหาร” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการสําคัญของรัฐบาล
พื้นที่แรกของเมืองนวัตกรรมอาหาร ตั้งอยู่ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย บนพื้นที่ 200 ไร่ ซึ่งเปรียบเสมือนนิคมวิจัย มีพื้นที่ซึ่งพร้อมด้วยสิ่งอํานวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน วทน. รองรับกิจกรรมวิจัยพัฒนาของภาคเอกชนในหลายรูปแบบ เช่น ห้องปฏิบัติการพร้อมใช้พื้นที่เปล่าสําหรับจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย รวมทั้งพื้นที่โรงงานต้นแบบและที่ดินเช่า ปัจจุบันมีบริษัทในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอยู่ในพื้นที่ 32 บริษัท โดยประมาณ 70% เป็นบริษัทไทยและ 30% เป็นบริษัทต่างชาติ
เมืองนวัตกรรมอาหาร มุ่งเน้น 3 สาขาเป้าหมาย ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง คือ (1) อาหารสุขภาพ และอาหารฟังก์ชั่น เช่น Nutraceutical หรือโภชนเภสัชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไขมันและน้ํามันเพื่อสุขภาพ (2) อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สารสกัดอาหาร สารปรุงแต่งอาหาร และ (3) ธุรกิจที่สนับสนุนนวัตกรรมอาหาร เช่น มาตรฐานและความปลอดภัยทางอาหาร การตรวจสอบย้อนกลับ บรรจุภัณฑ์ และระบบการขนส่ง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งาน Thailand Food Innovation Forum 2017 เป็นเวทีสําหรับการพบปะของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และ Startup กับนักวิจัยชั้นนําด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อนําเสนอผลงาน และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจ สู่เส้นทางแห่งความสําเร็จ โดยผู้ประกอบการต้นแบบชั้นนําของประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานระดับสากลสร้างคุณค่าและความแตกต่างจากคู่แข่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารของไทยในปัจจุบัน มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าการส่งออกในปี2559 มีมูลค่าสูงถึง 927,000 ล้านบาทและคาดว่าในปีนี้จะส่งออกไม่น้อยกว่า 1,050,000 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดําเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะ SMEs และ Startup อาทิ โครงการจากหิ้งสู่ห้าง การผลักดันนําค่าใช้จ่ายไปคํานวณภาษีได้300% ในการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การจัดทําบัญชีนวัตกรรมและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทยโครงการคูปองนวัตกรรม โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเสริมศักยภาพ และความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจ ที่เชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การจัดงาน Thailand Food Innovation Forum 2017 ในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากภาครัฐภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คาดหวังว่าจะเป็นการจุดประกาย และสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการเห็นถึง ความสําคัญของการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจอาหารไทย ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ขณะเดียวกัน หน่วยงานวิจัยและนักวิจัยจะได้รับรู้แนวคิดของภาคธุรกิจ และเกิดการเชื่อมโยงร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ Thailand 4.0
ข่าวโดย : นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ
ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2716
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
|
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดําเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดําเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
เมื่อวันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
รับหนังสือจากนางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน
พร้อมด้วยกลุ่มองค์กรที่ทํางานด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว
เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมดําเนินการต่อกรณี
ขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณีในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยขอให้มีกระบวนการคุ้มครองพยานและผู้เสียหายที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งขณะนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ให้ความช่วยเหลือ
ในการคุ้มครองพยานในกรณีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ
พร้อมทั้งขอให้มีการสืบพยานไว้ก่อนมีการฟ้องร้อง
เพื่อป้องกันการถูกแทรกแซง และไม่สร้างความกดดันให้กับพยาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดําเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
ปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มองค์กรด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว เพื่อเรียกร้องให้ดําเนินการต่อขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณี ใน จ.แม่ฮ่องสอน
เมื่อวันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
รับหนังสือจากนางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน
พร้อมด้วยกลุ่มองค์กรที่ทํางานด้านเด็ก เยาวชน สตรี และครอบครัว
เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมดําเนินการต่อกรณี
ขบวนการล่อลวงและบังคับให้เด็กและเยาวชนหญิงค้าประเวณีในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยขอให้มีกระบวนการคุ้มครองพยานและผู้เสียหายที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งขณะนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ให้ความช่วยเหลือ
ในการคุ้มครองพยานในกรณีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ
พร้อมทั้งขอให้มีการสืบพยานไว้ก่อนมีการฟ้องร้อง
เพื่อป้องกันการถูกแทรกแซง และไม่สร้างความกดดันให้กับพยาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3465
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
|
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยา แพร่) ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานเครือข่ายสมุนไพรสามัคคี จ.เชียงราย ประธานกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแฟชั่นล้านนา เข้าร่วม ณ โรงแรมเอ็ม บูติค รีสอร์ท เชียงราย
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในด้านการเกษตรและผลิตภัณพ์อุตสาหกรรมเกษตร โดยปัจจุบันมีการแปรรูปพืช ผัก ผลไม้ และสินค้าเกษตรขั้นต้นที่มีมูลค่าเพิ่มต่ํา วัตถุดิบสําคัญในพื้นที่ ได้แก่ ข้าว ชา กาแฟ สัปปะรด และสมุนไพร ดังนั้น ภาคเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และอุทยานวิทยาวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ภาคเหนือ ในการพัฒนานวัตกรรมการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์เกษตรอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงรายได้ให้เกษตรกร โดยเตรียมเสนอโครงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ด้วยนวัตกรรมสู่ SME 4.0 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (Food and Agro-Industry SMEs Innovative Driven Project for the Upper Northern Thailand 2 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในพื้นที่ให้มีขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจเชื่อมโยงสู่สากล ยกระดับกระบวนการผลิตอาหารแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม และเป็นการยกระดับการผลิตอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม S-Curve ให้มีขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ภาคเอกชนในพื้นที่ยังได้นําเสนอความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใน 4ประเด็น คือ 1)การพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมูลค่าสูงสินค้าเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัยภาคเหนือตอบบน 2 2)การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมไผ่ครบวงจร (Bamboo City) เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมไผ่ภาคเหนือ เกิดการเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาเป็นนวัตกรรม และแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไผ่สู่ตลาดภายในและต่างประเทศ โดยศูนย์วิจัยฯ จะดําเนินการพัฒนาพันธุ์ไผ่ เครื่องจักรแปรรูปไม้ไผ่ เช่น เครื่องตอกตะเกียบ เครื่องอัดไป่ เปิดไม้ท่อนและไม้ลิ้น เครื่องอัดเชื้อเพลิงการส่งเสริมการปลูกไม้ไผ่ และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์จากไผ่เชื่อมโยงตลาด 3)เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร มีแนวทางการพัฒนาด้านสมุนไพรและเกษตรแปรรูป โดยใช้เทคโนโลยีหนุนเสริมพัฒนาการปลูกและแปรรูปวัตถุดิบสมุนไพร เกษตรอินทรีย์ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ทั้งผลักดันให้เกิดการตั้งเครือข่ายวิสาหกิจชุนชมด้านสมุนไพรที่เข้มแข็ง และ 4) การยกระดับแฟชั่นล้านนาตะวันออก การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าทอและเครื่องประดับโดยใช้อัตลักษณ์ล้านนา การยกระดับและพัฒนางานศิลปะหัตถอุตสาหกรรมเชิงกลุ่มด้านเครื่องประดับและผ้าทอ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องประดับให้ได้มาตรฐานการส่งเสริมการตลาด และการฝึกอบรมผู้ประกอบการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
ก.อุตฯ ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 จ.เชียงราย
วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยา แพร่) ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานเครือข่ายสมุนไพรสามัคคี จ.เชียงราย ประธานกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแฟชั่นล้านนา เข้าร่วม ณ โรงแรมเอ็ม บูติค รีสอร์ท เชียงราย
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในด้านการเกษตรและผลิตภัณพ์อุตสาหกรรมเกษตร โดยปัจจุบันมีการแปรรูปพืช ผัก ผลไม้ และสินค้าเกษตรขั้นต้นที่มีมูลค่าเพิ่มต่ํา วัตถุดิบสําคัญในพื้นที่ ได้แก่ ข้าว ชา กาแฟ สัปปะรด และสมุนไพร ดังนั้น ภาคเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และอุทยานวิทยาวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ภาคเหนือ ในการพัฒนานวัตกรรมการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์เกษตรอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงรายได้ให้เกษตรกร โดยเตรียมเสนอโครงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ด้วยนวัตกรรมสู่ SME 4.0 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (Food and Agro-Industry SMEs Innovative Driven Project for the Upper Northern Thailand 2 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในพื้นที่ให้มีขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจเชื่อมโยงสู่สากล ยกระดับกระบวนการผลิตอาหารแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม และเป็นการยกระดับการผลิตอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม S-Curve ให้มีขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ภาคเอกชนในพื้นที่ยังได้นําเสนอความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใน 4ประเด็น คือ 1)การพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมูลค่าสูงสินค้าเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัยภาคเหนือตอบบน 2 2)การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมไผ่ครบวงจร (Bamboo City) เพื่อยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมไผ่ภาคเหนือ เกิดการเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาเป็นนวัตกรรม และแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไผ่สู่ตลาดภายในและต่างประเทศ โดยศูนย์วิจัยฯ จะดําเนินการพัฒนาพันธุ์ไผ่ เครื่องจักรแปรรูปไม้ไผ่ เช่น เครื่องตอกตะเกียบ เครื่องอัดไป่ เปิดไม้ท่อนและไม้ลิ้น เครื่องอัดเชื้อเพลิงการส่งเสริมการปลูกไม้ไผ่ และผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์จากไผ่เชื่อมโยงตลาด 3)เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร มีแนวทางการพัฒนาด้านสมุนไพรและเกษตรแปรรูป โดยใช้เทคโนโลยีหนุนเสริมพัฒนาการปลูกและแปรรูปวัตถุดิบสมุนไพร เกษตรอินทรีย์ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ทั้งผลักดันให้เกิดการตั้งเครือข่ายวิสาหกิจชุนชมด้านสมุนไพรที่เข้มแข็ง และ 4) การยกระดับแฟชั่นล้านนาตะวันออก การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ผ้าทอและเครื่องประดับโดยใช้อัตลักษณ์ล้านนา การยกระดับและพัฒนางานศิลปะหัตถอุตสาหกรรมเชิงกลุ่มด้านเครื่องประดับและผ้าทอ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องประดับให้ได้มาตรฐานการส่งเสริมการตลาด และการฝึกอบรมผู้ประกอบการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16415
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรำลึกองค์อัครศิลปิน"
|
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2560
วธ.จัดแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน"
งานแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจ ดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน” โดยมีม.ร.ว.จักรรถ จิตพงศ์ ประธานโครงการกล่าวถึงรายละเอียดและรูปแบบของการจัดการแสดง พร้อมชมตัวอย่างการแสดงเดี่ยวพญาโศก บรรเลงโดยคณะอัญมณีนักดนตรีไทย เครื่องดนตรี ๙ ชิ้น นําโดย อ.ธนิสร์
(๑๙ พ.ค. ๖๐) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดงานแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการแสดง ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานโครงการกล่าวถึงรายละเอียดและรูปแบบของการจัดการแสดง พร้อมชมตัวอย่างการแสดงเดี่ยวพญาโศก บรรเลงโดยคณะอัญมณีนักดนตรีไทย เครื่องดนตรี ๙ ชิ้น นําโดย อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี (ขลุ่ย) อ.วรยศ สุขวายชล (ซอด้วง) อ.อัครวงษ์ (ระนาดเอก) ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช องค์ "อัครศิลปิน” พระองค์ผู้เป็นยอดแห่งศิลปิน เป็นองค์บรมราชูปถัมภกเหล่าศิลปินทุกสาขาอาชีพจนเป็นที่ประจักษ์มาตลอด พระองค์ทรงมีพระเนตรที่ยาวไกลเกี่ยวกับดนตรีไทยโดยเฉพาะ ทรงโปรดให้กรมศิลปากรบันทึกโน้ตเพลงไทย เป็นโน้ตสากลไว้เป็นจํานวนมาก ทําให้เพลงเก่า ๆ หลายเพลงยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงส่งเสริมการดนตรีในทุกรูปแบบ เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ร่วมกับสมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) และศิลปากรสมาคม จัดการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน”โดยเปิดโอกาสให้เหล่านักดนตรีไทย ทั้งระดับอาชีพ ครูดนตรี เด็ก เยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เข้าร่วมการแสดง ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ด้านประธานโครงการร้อยใจดนตรีไทยฯ ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การแสดงในครั้งนี้ จะมีการแสดงดนตรีไทยอย่างเต็มรูปแบบ ที่เรียกว่า "วงมหาดุริยางค์ไทย” เป็นการแสดงศิลปะความงดงามของเพลงและเครื่องดนตรีไทยให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงคุณค่าของดนตรีอย่างแท้จริง อันทําให้เกิดสุนทรียะ ความประทับใจและซาบซึ้งใจ การแสดงในรูปแบบ "วงมหาดุริยางค์ไทย” เป็นการแสดงดนตรีบริสุทธิ์เป็นตัวของตัวเอง สามารถตรึงผู้ชม ผู้ฟัง ให้มีสมาธิฟังเพลงได้รับ "สุนทรียรส” จากเพลงไทย เช่นเดียวกับการแสดงดนตรีซิมโฟนีหรือคอนแชร์โต้ของยุโรป ซึ่งจะประกอบด้วยชุดการแสดง ๗ ชุด ได้แก่
๑)การขับร้องถวายอาลัยองค์อัครศิลปินด้วยทํานองหุ่นกระบอกประกอบการเดี่ยวซออู้ ประพันธ์เนื้อร้องและอ่านบทร้อยกรองโดย ครูเนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ เดี่ยวซออู้โดย ครูจีรพล เพชรสม ขับร้องโดย ครูสมชาย ทับพร ๒)การบรรเลงมโหรีวงใหญ่พิเศษ เพลงโหมโรงมหาราช โดยครูดนตรีไทยจากสถาบัน การศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ จํานวน ๑๘๙ คน ๓)การบรรเลงวงปี่พาทย์มอญ "พระมหากรุณาธิคุณต่อดนตรีไทย” ประพันธ์เนื้อร้องโดย ครูเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บรรเลงโดย หัวหน้าวงดนตรีไทยพื้นบ้านทั่วประเทศ ๘๙ คน ๔)การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงแขกมอญบางช้าง บรรเลงโดย นักเรียนโรงเรียนทวีธาภิเษก ชนะเลิศระดับมัธยมศึกษา ปี ๒๕๕๙ ๕)การบรรเลงวงดนตรีพิเศษ บรรเลงโดย นักเรียนโรงเรียนบ้านจันทึง จากจังหวัดชุมพร โรงเรียนที่สอนนักเรียนทั้งโรงเรียนให้เป็นดนตรีไทยอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ๖)การบรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีไทย เพลงพญาโศก บรรเลงโดย นักดนตรีผู้มีชื่อเสียง และ ๗)การบรรเลงวงมหาดุริยางค์ไทยเพลงไทยดําเนินดอย โดยนิสิต นักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ ทีมีการเรียนการสอนวิชาเอกดนตรีไทยจากทั่วประเทศ ๒๘๙ คน
ผู้ที่สนใจเข้าชมการแสดง สามารถสํารองที่นั่งได้โทร. ๐ ๒๒๔๗ ๐๐๒๘ ต่อ ๔๑๒๑ , ๔๑๑๗
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรำลึกองค์อัครศิลปิน"
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2560
วธ.จัดแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน"
งานแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจ ดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน” โดยมีม.ร.ว.จักรรถ จิตพงศ์ ประธานโครงการกล่าวถึงรายละเอียดและรูปแบบของการจัดการแสดง พร้อมชมตัวอย่างการแสดงเดี่ยวพญาโศก บรรเลงโดยคณะอัญมณีนักดนตรีไทย เครื่องดนตรี ๙ ชิ้น นําโดย อ.ธนิสร์
(๑๙ พ.ค. ๖๐) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดงานแถลงข่าวการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการแสดง ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานโครงการกล่าวถึงรายละเอียดและรูปแบบของการจัดการแสดง พร้อมชมตัวอย่างการแสดงเดี่ยวพญาโศก บรรเลงโดยคณะอัญมณีนักดนตรีไทย เครื่องดนตรี ๙ ชิ้น นําโดย อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี (ขลุ่ย) อ.วรยศ สุขวายชล (ซอด้วง) อ.อัครวงษ์ (ระนาดเอก) ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช องค์ "อัครศิลปิน” พระองค์ผู้เป็นยอดแห่งศิลปิน เป็นองค์บรมราชูปถัมภกเหล่าศิลปินทุกสาขาอาชีพจนเป็นที่ประจักษ์มาตลอด พระองค์ทรงมีพระเนตรที่ยาวไกลเกี่ยวกับดนตรีไทยโดยเฉพาะ ทรงโปรดให้กรมศิลปากรบันทึกโน้ตเพลงไทย เป็นโน้ตสากลไว้เป็นจํานวนมาก ทําให้เพลงเก่า ๆ หลายเพลงยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงส่งเสริมการดนตรีในทุกรูปแบบ เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ร่วมกับสมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) และศิลปากรสมาคม จัดการแสดงดนตรี "ร้อยใจดนตรีไทย น้อมรําลึกองค์อัครศิลปิน”โดยเปิดโอกาสให้เหล่านักดนตรีไทย ทั้งระดับอาชีพ ครูดนตรี เด็ก เยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เข้าร่วมการแสดง ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ด้านประธานโครงการร้อยใจดนตรีไทยฯ ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การแสดงในครั้งนี้ จะมีการแสดงดนตรีไทยอย่างเต็มรูปแบบ ที่เรียกว่า "วงมหาดุริยางค์ไทย” เป็นการแสดงศิลปะความงดงามของเพลงและเครื่องดนตรีไทยให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงคุณค่าของดนตรีอย่างแท้จริง อันทําให้เกิดสุนทรียะ ความประทับใจและซาบซึ้งใจ การแสดงในรูปแบบ "วงมหาดุริยางค์ไทย” เป็นการแสดงดนตรีบริสุทธิ์เป็นตัวของตัวเอง สามารถตรึงผู้ชม ผู้ฟัง ให้มีสมาธิฟังเพลงได้รับ "สุนทรียรส” จากเพลงไทย เช่นเดียวกับการแสดงดนตรีซิมโฟนีหรือคอนแชร์โต้ของยุโรป ซึ่งจะประกอบด้วยชุดการแสดง ๗ ชุด ได้แก่
๑)การขับร้องถวายอาลัยองค์อัครศิลปินด้วยทํานองหุ่นกระบอกประกอบการเดี่ยวซออู้ ประพันธ์เนื้อร้องและอ่านบทร้อยกรองโดย ครูเนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ เดี่ยวซออู้โดย ครูจีรพล เพชรสม ขับร้องโดย ครูสมชาย ทับพร ๒)การบรรเลงมโหรีวงใหญ่พิเศษ เพลงโหมโรงมหาราช โดยครูดนตรีไทยจากสถาบัน การศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ จํานวน ๑๘๙ คน ๓)การบรรเลงวงปี่พาทย์มอญ "พระมหากรุณาธิคุณต่อดนตรีไทย” ประพันธ์เนื้อร้องโดย ครูเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บรรเลงโดย หัวหน้าวงดนตรีไทยพื้นบ้านทั่วประเทศ ๘๙ คน ๔)การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงแขกมอญบางช้าง บรรเลงโดย นักเรียนโรงเรียนทวีธาภิเษก ชนะเลิศระดับมัธยมศึกษา ปี ๒๕๕๙ ๕)การบรรเลงวงดนตรีพิเศษ บรรเลงโดย นักเรียนโรงเรียนบ้านจันทึง จากจังหวัดชุมพร โรงเรียนที่สอนนักเรียนทั้งโรงเรียนให้เป็นดนตรีไทยอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ๖)การบรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีไทย เพลงพญาโศก บรรเลงโดย นักดนตรีผู้มีชื่อเสียง และ ๗)การบรรเลงวงมหาดุริยางค์ไทยเพลงไทยดําเนินดอย โดยนิสิต นักศึกษาจากสถาบันต่าง ๆ ทีมีการเรียนการสอนวิชาเอกดนตรีไทยจากทั่วประเทศ ๒๘๙ คน
ผู้ที่สนใจเข้าชมการแสดง สามารถสํารองที่นั่งได้โทร. ๐ ๒๒๔๗ ๐๐๒๘ ต่อ ๔๑๒๑ , ๔๑๑๗
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3944
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน เผย “โคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ทำนักท่องเที่ยวจีนหาย รายได้ลดฉุด GDP ไทยลง -0.4% ถึง -1.0% ภาครัฐเร่งช่วยเหลือ ออมสินพร้อมสนับสนุน”
|
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน เผย “โคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ทํานักท่องเที่ยวจีนหาย รายได้ลดฉุด GDP ไทยลง -0.4% ถึง -1.0% ภาครัฐเร่งช่วยเหลือ ออมสินพร้อมสนับสนุน”
ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจํานวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส (Covid-19) ขั้นเด็ดขาดของทางการจีนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นและในอีกหลายเมืองที่มีความเสี่ยงหรือการสั่งระงับทัวร์จีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ฯลฯ ทําให้ส่งผลกระทบทางตรงต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ที่พักแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจต้นน้ํา อาทิ ธุรกิจเกษตร ปศุสัตว์ ที่เป็นวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรม ที่พักต่างๆ ซี่งภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังเป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจํานวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สําหรับประมวลผลและคาดการณ์การลดลงของจํานวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อนําไปพยากรณ์ผลกระทบที่จะมีต่อ GDP ของประเทศในด้านการผลิตหากรายได้จากการท่องเที่ยวมีการปรับตัวลดลง โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 กรณี คือ
1) กรณีที่ทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่านักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทยจะหายไปประมาณ 1.6 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 80,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -0.4
2) กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสต่อเนื่องยาวไปจนถึง 6 เดือน คาดว่าจะทําให้นักท่องเที่ยวจีน ที่หายไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 170,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -1.0
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มี ต่อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว โดยจากข้อมูลสถิติการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนจากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมใช้จ่าย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) การช้อปปิ้ง (ค้าปลีก) 2) ที่พักแรม 3) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 4) การเดินทาง และ 5) การบันเทิง/สันทนาการต่างๆ ดังนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้จ่ายดังกล่าว โดยเฉพาะในจังหวัดที่คนจีนนิยมท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง
ธุรกิจค้าปลีก คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ 1) กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 2) ธุรกิจขายเครื่องสําอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3) กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่น/ของที่ระลึก ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการ ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต
ธุรกิจที่พักแรม/โรงแรม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 5,622 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาท โดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้าน Street Food อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสําคัญ (ที่มา: Euromonitor International 2018)
ธุรกิจขนส่ง คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนําเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
อย่างไรก็ตามนอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงแล้ว ยังมีผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจต้นน้ํา เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ข้าว รวมถึงธุรกิจปศุสัตว์ทั้งโค สุกร และสัตว์ปีก อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเชื้อเพลิง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลกระทบให้ GDP ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์
ทั้งนี้ ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังโดยมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือต่างๆ อาทิ
การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําและการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ โดยให้สถาบันการเงินของภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.), ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ให้เร่งดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศและสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม
การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน (Landing Fee)
การลดภาษีสรรพสามิตน้ํามันเครื่องบิน
สําหรับ ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระเงินกู้สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-19) โดยจะต้องอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการขายส่ง ขายปลีกสินค้าให้นักท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 20% ของดอกเบี้ยจ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ํากว่า 4%)
พักชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชําระเงินต้นให้ชําระดอกเบี้ย 50% - 100% ตามความรุนแรงของผลกระทบ ทั้งนี้ ในส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชําระหรือที่ชําระไม่ครบ ผ่อนปรนให้ชําระได้ภายหลังในระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี
ขยายระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาพักชําระเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 4 ปี
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 10% ของดอกเบี้ยจ่ายเป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ํากว่า 4%)
พักชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชําระเงินต้นให้ชําระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 100%
ขยายระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกินระยะเวลาพักชําระเงินต้น
นอกจากนี้ ยังจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกหลายมาตรการ ทั้งมาตรการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และมาตรการช่วยเหลือพนักงาน/ลูกจ้างที่ทํางานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ผู้ค้ารายย่อยและอาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รายละเอียดอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งธนาคารออมสินยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไป” ดร.ชาติชายกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน เผย “โคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ทำนักท่องเที่ยวจีนหาย รายได้ลดฉุด GDP ไทยลง -0.4% ถึง -1.0% ภาครัฐเร่งช่วยเหลือ ออมสินพร้อมสนับสนุน”
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน เผย “โคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ทํานักท่องเที่ยวจีนหาย รายได้ลดฉุด GDP ไทยลง -0.4% ถึง -1.0% ภาครัฐเร่งช่วยเหลือ ออมสินพร้อมสนับสนุน”
ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจํานวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส (Covid-19) ขั้นเด็ดขาดของทางการจีนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นและในอีกหลายเมืองที่มีความเสี่ยงหรือการสั่งระงับทัวร์จีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ฯลฯ ทําให้ส่งผลกระทบทางตรงต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ที่พักแรม ร้านอาหาร บริการขนส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจต้นน้ํา อาทิ ธุรกิจเกษตร ปศุสัตว์ ที่เป็นวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรม ที่พักต่างๆ ซี่งภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังเป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจํานวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สําหรับประมวลผลและคาดการณ์การลดลงของจํานวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อนําไปพยากรณ์ผลกระทบที่จะมีต่อ GDP ของประเทศในด้านการผลิตหากรายได้จากการท่องเที่ยวมีการปรับตัวลดลง โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 กรณี คือ
1) กรณีที่ทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 (Covid-19) ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่านักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทยจะหายไปประมาณ 1.6 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 80,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -0.4
2) กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสต่อเนื่องยาวไปจนถึง 6 เดือน คาดว่าจะทําให้นักท่องเที่ยวจีน ที่หายไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 170,000 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2563 ลดลงร้อยละ -1.0
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มี ต่อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว โดยจากข้อมูลสถิติการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนจากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมใช้จ่าย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) การช้อปปิ้ง (ค้าปลีก) 2) ที่พักแรม 3) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 4) การเดินทาง และ 5) การบันเทิง/สันทนาการต่างๆ ดังนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้จ่ายดังกล่าว โดยเฉพาะในจังหวัดที่คนจีนนิยมท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง
ธุรกิจค้าปลีก คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ 1) กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท/ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 2) ธุรกิจขายเครื่องสําอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3) กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่น/ของที่ระลึก ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการ ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต
ธุรกิจที่พักแรม/โรงแรม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 5,622 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาท โดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน มีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้าน Street Food อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสําคัญ (ที่มา: Euromonitor International 2018)
ธุรกิจขนส่ง คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนําเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจํานวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
อย่างไรก็ตามนอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงแล้ว ยังมีผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจต้นน้ํา เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ข้าว รวมถึงธุรกิจปศุสัตว์ทั้งโค สุกร และสัตว์ปีก อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเชื้อเพลิง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลกระทบให้ GDP ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์
ทั้งนี้ ภาครัฐได้เร่งออกมาตรการเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการ รวมถึงผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ทั้งมาตรการทางด้านการเงินและด้านการคลังโดยมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือต่างๆ อาทิ
การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําและการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ โดยให้สถาบันการเงินของภาครัฐ เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.), ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ให้เร่งดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศและสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม
การลดค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน (Landing Fee)
การลดภาษีสรรพสามิตน้ํามันเครื่องบิน
สําหรับ ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระเงินกู้สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-19) โดยจะต้องอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการขายส่ง ขายปลีกสินค้าให้นักท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 20% ของดอกเบี้ยจ่าย เป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ํากว่า 4%)
พักชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชําระเงินต้นให้ชําระดอกเบี้ย 50% - 100% ตามความรุนแรงของผลกระทบ ทั้งนี้ ในส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชําระหรือที่ชําระไม่ครบ ผ่อนปรนให้ชําระได้ภายหลังในระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี
ขยายระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาพักชําระเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 4 ปี
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม
ลดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเงินกู้ลง 10% ของดอกเบี้ยจ่ายเป็นระยะเวลา 1 ปี (คงเหลืออัตราดอกเบี้ยไม่ต่ํากว่า 4%)
พักชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี โดยระหว่างพักชําระเงินต้นให้ชําระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 100%
ขยายระยะเวลาชําระหนี้ไม่เกินระยะเวลาพักชําระเงินต้น
นอกจากนี้ ยังจะมีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกหลายมาตรการ ทั้งมาตรการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และมาตรการช่วยเหลือพนักงาน/ลูกจ้างที่ทํางานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ผู้ค้ารายย่อยและอาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รายละเอียดอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งธนาคารออมสินยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไป” ดร.ชาติชายกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26581
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
เมื่อ 19 ธ.ค.62,เวลา0945
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับ นาง เอฟเรน ดาเดเลน อักกุน(Evren Dagdelen Akgun)ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย กับสาธารณรัฐตุรกีรวมทั้งขอบคุณตุรกีที่สนับสนุนและส่งบริษัทเอกชนมาร่วมแสดงอุปกรณ์ป้องกันประเทศในงาน Defence&Security ที่จัดขึ้นในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และได้เชิญชวนให้ตุรกีมาร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC ทั้งด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและด้านอื่นๆด้วย
นาง เอฟเรน ดาเดเลน อักกุน(Evren Dagdelen Akgun)ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทย ได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างแน่นแฟ้นและขอบคุณที่ไทยได้เชิญมาร่วมลงทุนในEECทั้งนี้ทางตุรกีนั้นมีความสนใจในการร่วมลงทุนดังกล่าว และมีความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือน การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน
โดยทั้งสองประเทศเห็นร่วมกันในการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นโดยกลไกในทุกด้าน
.....................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทยเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
เมื่อ 19 ธ.ค.62,เวลา0945
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับ นาง เอฟเรน ดาเดเลน อักกุน(Evren Dagdelen Akgun)ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย กับสาธารณรัฐตุรกีรวมทั้งขอบคุณตุรกีที่สนับสนุนและส่งบริษัทเอกชนมาร่วมแสดงอุปกรณ์ป้องกันประเทศในงาน Defence&Security ที่จัดขึ้นในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และได้เชิญชวนให้ตุรกีมาร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC ทั้งด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและด้านอื่นๆด้วย
นาง เอฟเรน ดาเดเลน อักกุน(Evren Dagdelen Akgun)ออท.สาธารณรัฐตุรกี/ไทย ได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างแน่นแฟ้นและขอบคุณที่ไทยได้เชิญมาร่วมลงทุนในEECทั้งนี้ทางตุรกีนั้นมีความสนใจในการร่วมลงทุนดังกล่าว และมีความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือน การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน
โดยทั้งสองประเทศเห็นร่วมกันในการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นโดยกลไกในทุกด้าน
.....................................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เวิร์กชอป จัดทำแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
|
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560
“พาณิชย์” เวิร์กชอป จัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
“พาณิชย์” จัดประชุมเวิร์กชอป เชิญพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด ร่วมจัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เน้นพัฒนาตลาดชุมชน ตลาดต้องชม ตลาดสินค้าเฉพาะ ตลาดกลางสินค้าเกษตร พร้อมทําแผนบริหารจัดการสินค้าเกษตร การดูแลค่าครองชีพประชาชนและการค้าชายแดน
พร้อมสั่งทําแผน ปี 62 ที่ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด ยุทธศาสตร์พาณิชย์ และยุทธศาสตร์ชาติ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 29-30 เม.ย. 2560 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) โดยเชิญพาณิชย์จังหวัด ในฐานะตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ในภูมิภาคจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ มาประชุมหารือและร่วมกันจัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจฐานราก มีความเข้มแข็งและมีการขยายตัวได้เพิ่มขึ้น และมีส่วนในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้ขยายตัวตามไปด้วย
ทั้งนี้ แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ มีนโยบายในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และประชาชนในส่วนภูมิภาค ผ่านการจัดตั้งตลาด ในรูปแบบต่างๆ การดูแลราคาสินค้าเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคา ที่คุ้มต้นทุน การดูแลค่าครองชีพ เพื่อให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายในด้านการครองชีพลดลง รวมทั้งการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ๆ และการส่งเสริมและผลักดันการค้าชายแดน
“ภารกิจกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับพาณิชย์จังหวัดที่เป็นตัวแทนของกระทรวงพาณิชย์ในส่วนภูมิภาคที่จะต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนเพราะใกล้ชิดเกษตรกรและประชาชน ในจังหวัดที่ตัวเองดูแลอยู่ จึงเป็นที่มาของการจัดประชุมเวิร์กชอปในครั้งนี้ เพื่อติดตามผลการทํางานที่ผ่านมา และการจัดทําแผนการทํางานในระยะต่อไป โดยในการขับเคลื่อน กระทรวงฯ ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์เป็นพาณิชย์ภาค หรือMini MOCที่จะเป็นหัวหน้าทีมคอยกํากับดูแลอีกชั้นหนึ่ง” นายสนธิรัตน์กล่าว
สําหรับภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการ ก็คือการส่งเสริมและพัฒนาตลาดในท้องถิ่น ได้แก่ การพัฒนาตลาดชุมชน ตลาดต้องชม ตลาดสินค้าเฉพาะ ตลาดกลางสินค้าเกษตร รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าเกษตร การดูแลค่าครองชีพประชาชน การค้าชายแดน การส่งเสริมธุรกิจบริการ เพราะภารกิจเหล่านี้ หากดําเนินการได้เร็ว ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้เร็วเช่นเดียวกัน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ยังได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัด จัดทําแผนการดําเนินงานสําหรับ ปี 2562 โดยให้เน้นการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด กลุ่มจังหวัด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ โดยจะต้องเชื่อมโยงการทํางานส่วนกลางกับสํานักงานพาณิชย์จังหวัดในลักษณะClusterบูรณาการกับการทํางานของจังหวัด กลุ่มจังหวัดอย่างใกล้ชิด รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดจะต้องจัดทําแนวทาง หรือต้นแบบ(Model)ในการดําเนินงานส่งเสริม พัฒนาและบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ ที่สําคัญตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถนําไปปรับใช้ให้สอดคล้องตามคุณลักษณะและศักยภาพของพื้นที่ เช่นModel การส่งเสริมตลาด,การส่งเสริมและพัฒนาSMEs,การบริหารจัดการสินค้าเกษตร,เกษตอินทรีย์Organic, การค้าชายแดน และการกํากับดูแลค่าครองชีพเป็นต้นด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เวิร์กชอป จัดทำแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560
“พาณิชย์” เวิร์กชอป จัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
“พาณิชย์” จัดประชุมเวิร์กชอป เชิญพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด ร่วมจัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เน้นพัฒนาตลาดชุมชน ตลาดต้องชม ตลาดสินค้าเฉพาะ ตลาดกลางสินค้าเกษตร พร้อมทําแผนบริหารจัดการสินค้าเกษตร การดูแลค่าครองชีพประชาชนและการค้าชายแดน
พร้อมสั่งทําแผน ปี 62 ที่ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด ยุทธศาสตร์พาณิชย์ และยุทธศาสตร์ชาติ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 29-30 เม.ย. 2560 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) โดยเชิญพาณิชย์จังหวัด ในฐานะตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ในภูมิภาคจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ มาประชุมหารือและร่วมกันจัดทําแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจฐานราก มีความเข้มแข็งและมีการขยายตัวได้เพิ่มขึ้น และมีส่วนในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้ขยายตัวตามไปด้วย
ทั้งนี้ แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ มีนโยบายในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่น และประชาชนในส่วนภูมิภาค ผ่านการจัดตั้งตลาด ในรูปแบบต่างๆ การดูแลราคาสินค้าเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสมและขายสินค้าได้ในราคา ที่คุ้มต้นทุน การดูแลค่าครองชีพ เพื่อให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายในด้านการครองชีพลดลง รวมทั้งการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ๆ และการส่งเสริมและผลักดันการค้าชายแดน
“ภารกิจกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับพาณิชย์จังหวัดที่เป็นตัวแทนของกระทรวงพาณิชย์ในส่วนภูมิภาคที่จะต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนเพราะใกล้ชิดเกษตรกรและประชาชน ในจังหวัดที่ตัวเองดูแลอยู่ จึงเป็นที่มาของการจัดประชุมเวิร์กชอปในครั้งนี้ เพื่อติดตามผลการทํางานที่ผ่านมา และการจัดทําแผนการทํางานในระยะต่อไป โดยในการขับเคลื่อน กระทรวงฯ ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์เป็นพาณิชย์ภาค หรือMini MOCที่จะเป็นหัวหน้าทีมคอยกํากับดูแลอีกชั้นหนึ่ง” นายสนธิรัตน์กล่าว
สําหรับภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการ ก็คือการส่งเสริมและพัฒนาตลาดในท้องถิ่น ได้แก่ การพัฒนาตลาดชุมชน ตลาดต้องชม ตลาดสินค้าเฉพาะ ตลาดกลางสินค้าเกษตร รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าเกษตร การดูแลค่าครองชีพประชาชน การค้าชายแดน การส่งเสริมธุรกิจบริการ เพราะภารกิจเหล่านี้ หากดําเนินการได้เร็ว ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้เร็วเช่นเดียวกัน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ยังได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัด จัดทําแผนการดําเนินงานสําหรับ ปี 2562 โดยให้เน้นการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด กลุ่มจังหวัด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ โดยจะต้องเชื่อมโยงการทํางานส่วนกลางกับสํานักงานพาณิชย์จังหวัดในลักษณะClusterบูรณาการกับการทํางานของจังหวัด กลุ่มจังหวัดอย่างใกล้ชิด รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดจะต้องจัดทําแนวทาง หรือต้นแบบ(Model)ในการดําเนินงานส่งเสริม พัฒนาและบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ ที่สําคัญตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถนําไปปรับใช้ให้สอดคล้องตามคุณลักษณะและศักยภาพของพื้นที่ เช่นModel การส่งเสริมตลาด,การส่งเสริมและพัฒนาSMEs,การบริหารจัดการสินค้าเกษตร,เกษตอินทรีย์Organic, การค้าชายแดน และการกํากับดูแลค่าครองชีพเป็นต้นด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3424
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงเหตุไฟไหม้ แนะนายจ้างจัดซ้อมหนีไฟตามกฎหมาย
|
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
กสร. ห่วงเหตุไฟไหม้ แนะนายจ้างจัดซ้อมหนีไฟตามกฎหมาย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงความปลอดภัยลูกจ้าง นายจ้างจากเหตุไฟไหม้ แนะจัดฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟประจําปีตามกฎหมายความปลอดภัย พร้อมดันภาครัฐเป็นแบบอย่างร่วมขับเคลื่อน Safety Thailand
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ไฟไหม้สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่าไม่ได้โดยเฉพาะในอาคารสูงหรือสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างจํานวนมาก ดังนั้นเพื่อลดความสูญเสียและเพื่อความปลอดภัย กสร.จึงขอย้ําเตือนให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 อย่างเคร่งครัด โดยต้องจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย และให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับลูกจ้างได้เรียนรู้วิธีการดับเพลิงเบื้องต้นและสามารถอพยพหนีไฟได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยหากเกิดเหตุการณ์จริง สําหรับหน่วยงานราชการก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการจัดให้มีมาตรฐาน ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน และต้องจัดฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟประจําปีเช่นเดียวกัน ซึ่งขณะนี้สามารถดําเนินการฝึกซ้อม ณ ศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศใกล้จะครบถ้วนแล้ว ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้จัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ประจําปี 2561 เมื่อวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรเข้าร่วมกว่า 2,000 คน ทั้งนี้เพื่อแบบอย่างให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ตระหนักถึงความสําคัญในการดําเนินงานด้านความปลอดภัยในการทํางาน และร่วมขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand)
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า การฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟถือเป็นกฎหมายที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม หากสถานประกอบกิจการใดที่ยังไม่ได้ดําเนินการในเรื่องดังกล่าวขอให้ดําเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด หากฝ่าฝืนจะมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ กสร. ยังได้กําชับพนักงานตรวจความปลอดภัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่สถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนตรวจและกํากับดูแลให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติตาม หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์0 2448 9128 - 39,สายด่วน 1506 กด 3 หรือหน่วยงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงเหตุไฟไหม้ แนะนายจ้างจัดซ้อมหนีไฟตามกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
กสร. ห่วงเหตุไฟไหม้ แนะนายจ้างจัดซ้อมหนีไฟตามกฎหมาย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงความปลอดภัยลูกจ้าง นายจ้างจากเหตุไฟไหม้ แนะจัดฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟประจําปีตามกฎหมายความปลอดภัย พร้อมดันภาครัฐเป็นแบบอย่างร่วมขับเคลื่อน Safety Thailand
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ไฟไหม้สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่าไม่ได้โดยเฉพาะในอาคารสูงหรือสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างจํานวนมาก ดังนั้นเพื่อลดความสูญเสียและเพื่อความปลอดภัย กสร.จึงขอย้ําเตือนให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 อย่างเคร่งครัด โดยต้องจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย และให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับลูกจ้างได้เรียนรู้วิธีการดับเพลิงเบื้องต้นและสามารถอพยพหนีไฟได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยหากเกิดเหตุการณ์จริง สําหรับหน่วยงานราชการก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยในการจัดให้มีมาตรฐาน ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน และต้องจัดฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟประจําปีเช่นเดียวกัน ซึ่งขณะนี้สามารถดําเนินการฝึกซ้อม ณ ศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศใกล้จะครบถ้วนแล้ว ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้จัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ประจําปี 2561 เมื่อวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรเข้าร่วมกว่า 2,000 คน ทั้งนี้เพื่อแบบอย่างให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ตระหนักถึงความสําคัญในการดําเนินงานด้านความปลอดภัยในการทํางาน และร่วมขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand)
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า การฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟถือเป็นกฎหมายที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม หากสถานประกอบกิจการใดที่ยังไม่ได้ดําเนินการในเรื่องดังกล่าวขอให้ดําเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด หากฝ่าฝืนจะมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ กสร. ยังได้กําชับพนักงานตรวจความปลอดภัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่สถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนตรวจและกํากับดูแลให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติตาม หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์0 2448 9128 - 39,สายด่วน 1506 กด 3 หรือหน่วยงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั่วประเทศ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14314
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
|
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน รวมถึงเปิดกิจกรรมทําความสะอาดถนนล
ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
วันนี้ (18 ธ.ค. 62) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน รวมถึงเปิดกิจกรรมทําความสะอาดถนนลดฝุ่นละอองในเขตควบคุมมลพิษ และรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก โดยมีผู้บริหารกระทรวงฯ สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสระบุรี สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 (สระบุรี) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน และประชาชน เข้าร่วมกว่า 500 คน ณ โรงเรียนหน้าพระลาน (พิบูลสงเคราะห์) จังหวัดสระบุรี
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ตําบลหน้าพระลานเป็นพื้นที่ที่มีกิจการอุตสาหกรรมหินหลายแห่ง ทําให้เกิดปัญหาปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (pm10) สูงเกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ให้มีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ปัญหาขยะพลาสติกก็เป็นปัญหาสําคัญอีกอย่างหนึ่ง จึงอยากเชิญชวนประชาชนทุกคนมาร่วมกันลดการใช้พลาสติก พกถุงผ้า และใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมรับวันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ กว่า 70 บริษัท ทั่วประเทศ จะงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ภายในงาน ยังมีการจัดนิทรรศการ "การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และการคัดแยกขยะ" จํานวน 16 บูธ การมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน การร่วมกันทําความสะอาดดูดฝุ่นและฉีดล้างถนนพหลโยธิน ในเขตควบคุมมลพิษตําบลหน้าพระลาน เพื่อก้าวสู้มิติใหม่ของการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน รวมถึงเปิดกิจกรรมทําความสะอาดถนนล
ทส.รวมใจแก้ไขปัญหาฝุ่นหน้าพระลาน
วันนี้ (18 ธ.ค. 62) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน รวมถึงเปิดกิจกรรมทําความสะอาดถนนลดฝุ่นละอองในเขตควบคุมมลพิษ และรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก โดยมีผู้บริหารกระทรวงฯ สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสระบุรี สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 (สระบุรี) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหิน และประชาชน เข้าร่วมกว่า 500 คน ณ โรงเรียนหน้าพระลาน (พิบูลสงเคราะห์) จังหวัดสระบุรี
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ตําบลหน้าพระลานเป็นพื้นที่ที่มีกิจการอุตสาหกรรมหินหลายแห่ง ทําให้เกิดปัญหาปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (pm10) สูงเกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ให้มีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ปัญหาขยะพลาสติกก็เป็นปัญหาสําคัญอีกอย่างหนึ่ง จึงอยากเชิญชวนประชาชนทุกคนมาร่วมกันลดการใช้พลาสติก พกถุงผ้า และใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมรับวันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ กว่า 70 บริษัท ทั่วประเทศ จะงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ภายในงาน ยังมีการจัดนิทรรศการ "การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และการคัดแยกขยะ" จํานวน 16 บูธ การมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้สนับสนุนการจัดงาน การร่วมกันทําความสะอาดดูดฝุ่นและฉีดล้างถนนพหลโยธิน ในเขตควบคุมมลพิษตําบลหน้าพระลาน เพื่อก้าวสู้มิติใหม่ของการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25311
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันมอบสินเชื่อที่อยู่อาศัยพิเศษแก่สมาชิก”
|
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
“กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันมอบสินเชื่อที่อยู่อาศัยพิเศษแก่สมาชิก”
กอช.ร่วมกับ ธ.กรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษสําหรับสมาชิก กอช.ที่มียอดเงินออมสะสมตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป และกําลังมองหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash แก่สมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสม ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป และกําลังมองหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash แก่สมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสม ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ที่กําลังมองหาความมั่นคงที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย อาทิ ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือห้องชุดในอาคารชุด และสินเชื่อ Home for Cash เพื่อการอุปโภค บริโภค ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โดยสมาชิก กอช. สามารถตรวจสอบยอดเงินออมสะสมของตนเองได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ
สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสมไม่ถึง 10,000 บาท สามารถส่งเงินออมสะสมเพิ่ม เพื่อรับโปรโมชันพิเศษนี้ ได้ที่ธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส ตู้บุญเติมทั่วประเทศ รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ
ทั้งนี้ สมาชิก กอช. สามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash ตามเงื่อนไขของธนาคารกรุงไทย โดยแสดงบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมใบแจ้งยอดเงินออมสะสม กอช. (Statement) ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันมอบสินเชื่อที่อยู่อาศัยพิเศษแก่สมาชิก”
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
“กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันมอบสินเชื่อที่อยู่อาศัยพิเศษแก่สมาชิก”
กอช.ร่วมกับ ธ.กรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษสําหรับสมาชิก กอช.ที่มียอดเงินออมสะสมตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป และกําลังมองหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash แก่สมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสม ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป และกําลังมองหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash แก่สมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จัดโปรโมชันพิเศษ สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสม ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ที่กําลังมองหาความมั่นคงที่อยู่อาศัย สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย อาทิ ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือห้องชุดในอาคารชุด และสินเชื่อ Home for Cash เพื่อการอุปโภค บริโภค ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โดยสมาชิก กอช. สามารถตรวจสอบยอดเงินออมสะสมของตนเองได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ
สําหรับสมาชิก กอช. ที่มียอดเงินออมสะสมไม่ถึง 10,000 บาท สามารถส่งเงินออมสะสมเพิ่ม เพื่อรับโปรโมชันพิเศษนี้ ได้ที่ธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส ตู้บุญเติมทั่วประเทศ รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ
ทั้งนี้ สมาชิก กอช. สามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ Home for Cash ตามเงื่อนไขของธนาคารกรุงไทย โดยแสดงบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมใบแจ้งยอดเงินออมสะสม กอช. (Statement) ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21674
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
วันนี้ ( 12 ก.ย. 60 ) เวลา 10.40 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กระทรวงการคลังเสนอว่า เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้บัญญัติไว้โดยสรุปว่า ข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านให้เบิกจ่ายได้อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกา ซึ่งอัตราค่าเช่าบ้านที่กําหนดให้มีอัตราเริ่มต้นไม่เกินเดือนละ 800 บาท ถึงอัตราค่าเช่าบ้านสูงสุดในอัตราไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท นั้น ได้กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ โดยมิได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลานาน จึงเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขอัตราค่าเช่าบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3)ฯ ไม่สอดคล้องกับการปรับปรุงกําหนดตําแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิดปัญหาการเทียบอัตราค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านให้กับข้าราชการประเภทต่าง ๆ
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กําหนดให้ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
2. กําหนดให้ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการอยู่แล้วภายหลังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้านอย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระรากฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
3. กําหนดให้ในกรณีที่ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจําสํานักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ข้าราชการผู้นั้นมีสิทธินําหลักฐานชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
4. กําหนดให้ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ข้าราชการศาลยุติธรรม และข้าราชการธุรการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ข้าราชการแต่ละประเภท ได้ปรับเปลี่ยนการกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ เช่นเดียวกับกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
5. กําหนดให้สิทธิการได้รับอัตราค่าเช่าบ้านของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในช่วงที่มีสิทธิได้รับเงินเดือนภายใต้ กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2553 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 เป็นต้นไป และกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2554 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ มีผลใช้บังคับ ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ กฎ ก.พ.อ. ดังกล่าวใช้บังคับ
6. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการตํารวจในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการตํารวจ ผู้นั้นมีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 4 สําหรับข้าราชการตํารวจท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการตํารวจพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนของข้าราชการตํารวจแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 67 วรรคห้า และมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
7. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการทหารในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการทหารผู้นั้น มีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 5 สําหรับข้าราชการทหารท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหารตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนข้าราชการทหารแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 12 วรรคห้า และมาตรา 12 ทวิ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2556
8. กําหนดให้ยกเลิกบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 และให้ใช้บัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทน
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
วันนี้ ( 12 ก.ย. 60 ) เวลา 10.40 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กระทรวงการคลังเสนอว่า เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้บัญญัติไว้โดยสรุปว่า ข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านให้เบิกจ่ายได้อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกา ซึ่งอัตราค่าเช่าบ้านที่กําหนดให้มีอัตราเริ่มต้นไม่เกินเดือนละ 800 บาท ถึงอัตราค่าเช่าบ้านสูงสุดในอัตราไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท นั้น ได้กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ โดยมิได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลานาน จึงเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขอัตราค่าเช่าบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3)ฯ ไม่สอดคล้องกับการปรับปรุงกําหนดตําแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิดปัญหาการเทียบอัตราค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านให้กับข้าราชการประเภทต่าง ๆ
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กําหนดให้ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
2. กําหนดให้ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการอยู่แล้วภายหลังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้านอย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระรากฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
3. กําหนดให้ในกรณีที่ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจําสํานักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ข้าราชการผู้นั้นมีสิทธินําหลักฐานชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
4. กําหนดให้ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ข้าราชการศาลยุติธรรม และข้าราชการธุรการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ข้าราชการแต่ละประเภท ได้ปรับเปลี่ยนการกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ เช่นเดียวกับกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
5. กําหนดให้สิทธิการได้รับอัตราค่าเช่าบ้านของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในช่วงที่มีสิทธิได้รับเงินเดือนภายใต้ กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2553 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 เป็นต้นไป และกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2554 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ มีผลใช้บังคับ ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ กฎ ก.พ.อ. ดังกล่าวใช้บังคับ
6. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการตํารวจในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการตํารวจ ผู้นั้นมีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 4 สําหรับข้าราชการตํารวจท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการตํารวจพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนของข้าราชการตํารวจแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 67 วรรคห้า และมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
7. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการทหารในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการทหารผู้นั้น มีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 5 สําหรับข้าราชการทหารท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหารตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนข้าราชการทหารแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 12 วรรคห้า และมาตรา 12 ทวิ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2556
8. กําหนดให้ยกเลิกบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 และให้ใช้บัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทน
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6622
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ำพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
|
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ําพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขบนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ําพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 12.55 น. ณ วัดประชุมชลธารา ตําบลสุไหงปาดี อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กราบพระประธาน และนมัสการพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส พร้อมถวายผ้าไตรจีวรและเครื่องไทยธรรม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส ว่า เคยพบกับท่านเจ้าอาวาสในสมัยที่เคยดํารงตําแหน่ง ผบ.ทบ. และรู้สึกดีใจที่สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นในทุกมิติ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งรัดพัฒนาแก้ปัญหาในหลาย ๆ เรื่องให้ประชาชนในทุกพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาที่ดินทํากิน ที่ต้องใช้เวลาแก้ปัญหาเพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบโฉนดที่ดิน 16 ไร่ที่ชาวบ้านได้ร่วมบริจาคให้กับเจ้าอาวาสให้เป็นที่ดินธรณีสงฆ์ เพื่อทางวัดจะได้นําไปใช้ประโยชน์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้พบปะประชาชนชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมที่มาให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมประชาชนที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ไม่ให้ทะเลาะกัน มีความเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ สังคมจะสงบสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนทุกคน ไม่ว่าจะเกิดภาคไหนของแผ่นดินไทย จะเชื้อชาติ ศาสนาไหน ล้วนเป็นคนไทยทั้งหมด โดยส่วนตัวให้ความเคารพทุกคนและทุกศาสนา
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ สินค้าเกษตร การค้าขาย โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของท้องถิ่นต้องขับเคลื่อนให้มากขึ้น รวมถึงประชาชนต้องมีความพอเพียง มีเหตุและผล รวมถึงมีภูมิคุ้มกัน บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้พูดโกหก ต้องการให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ำพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ําพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนไทยพุทธ-ไทยมุสลิม อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ชื่นชมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขบนสังคมพหุวัฒนธรรม ย้ําพร้อมแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 12.55 น. ณ วัดประชุมชลธารา ตําบลสุไหงปาดี อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กราบพระประธาน และนมัสการพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส พร้อมถวายผ้าไตรจีวรและเครื่องไทยธรรม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส ว่า เคยพบกับท่านเจ้าอาวาสในสมัยที่เคยดํารงตําแหน่ง ผบ.ทบ. และรู้สึกดีใจที่สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นในทุกมิติ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งรัดพัฒนาแก้ปัญหาในหลาย ๆ เรื่องให้ประชาชนในทุกพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาที่ดินทํากิน ที่ต้องใช้เวลาแก้ปัญหาเพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบโฉนดที่ดิน 16 ไร่ที่ชาวบ้านได้ร่วมบริจาคให้กับเจ้าอาวาสให้เป็นที่ดินธรณีสงฆ์ เพื่อทางวัดจะได้นําไปใช้ประโยชน์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้พบปะประชาชนชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมที่มาให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมประชาชนที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ไม่ให้ทะเลาะกัน มีความเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ สังคมจะสงบสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนทุกคน ไม่ว่าจะเกิดภาคไหนของแผ่นดินไทย จะเชื้อชาติ ศาสนาไหน ล้วนเป็นคนไทยทั้งหมด โดยส่วนตัวให้ความเคารพทุกคนและทุกศาสนา
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ สินค้าเกษตร การค้าขาย โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของท้องถิ่นต้องขับเคลื่อนให้มากขึ้น รวมถึงประชาชนต้องมีความพอเพียง มีเหตุและผล รวมถึงมีภูมิคุ้มกัน บนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้พูดโกหก ต้องการให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25918
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตสาหกรรม” ร่วมทัพ“สมคิด” โรดโชว์ EEC ญี่ปุ่น ดึง METI ช่วยปรับโครงสร้าง 10 อุตสาหกรรม S-Curve พร้อมจับมือเมืองโกเบและฟุกุชิมา ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ นำร่องเป็นอุตฯ แรก
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
“อุตสาหกรรม” ร่วมทัพ“สมคิด” โรดโชว์ EEC ญี่ปุ่น ดึง METI ช่วยปรับโครงสร้าง 10 อุตสาหกรรม S-Curve พร้อมจับมือเมืองโกเบและฟุกุชิมา ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ นําร่องเป็นอุตฯ แรก
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ 4 – 9 มิถุนายน 2560
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ 4 – 9 มิถุนายน 2560 เพื่อหาทางสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจและบันทึกแสดงเจตจํานง จํานวน 5 ฉบับ เพื่อแสดงความร่วมมือในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนา SMEs ของทั้งสองประเทศด้วย
จากการที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้นําด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตเป็นหลักใช้แรงงานคนน้อย มีการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีความแม่นยําสูง อีกทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายผลักดันให้ SMEs ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งสอดรับกับนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ต้องการชักจูงการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งไทยจะเสนอให้ญี่ปุ่นเป็นหุ้นส่วนหลักในการพัฒนาอีอีซี และส่งเสริมให้นักลงทุนญี่ปุ่นรับทราบถึงสิทธิประโยชน์ของอีอีซีด้วย
สําหรับรายละเอียดของการลงนามบันทึกความเข้าใจของกระทรวงอุตสาหกรรมในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ที่รองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้เกียรติเป็นสักขีพยาน มี 2 ฉบับ คือ
1) บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับ จังหวัดฟุกุชิม่า มีเนื้อหาสําคัญของบันทึกความเข้าใจคือ การพัฒนาและเชื่อมโยง SMEs ของไทยและญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ในอนาคตของไทย โดยการลงนามความร่วมมือกับจังหวัดฟุกุชิม่าในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ก่อให้เกิดเวทีแห่งความร่วมมือในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ การส่งเสริมเชื่อมโยงธุรกิจ การพัฒนาสถานประกอบการและบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนา อันจะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้จริง
ทั้งนี้ จังหวัดฟุกุชิม่า เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์และเป็นแหล่งเทคโนโลยีด้านเลนส์ (Lens) ที่สําคัญของญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตเลนส์หลายบริษัทเช่น Sigma และ Olympus ด้วย โดยในปัจจุบันจังหวัดฟุกุชิม่าได้ให้ความสําคัญและก้าวขึ้นเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์แห่งฟุกุชิม่า (Fukushima Medical Device Industry Promotion Association - FMDIPA) ขึ้นเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง
2) บันทึกความเข้าใจ (MOU) 3 ฝ่ายระหว่างสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์แห่งฟุกุชิม่า (FMDIPA) ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจังหวัดฟุกุชิมา ที่ก่อให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ โดยหน่วยงานทั้ง 3 แห่ง จะร่วมมือกันต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ของ SMEs ของไทย และ ฟุกุชิม่า ให้มีมาตรฐานเพื่อการขยายตลาดทั้งในไทย อาเซียนและญี่ปุ่น โดยใช้ห้องปฏิบัติการทดสอบเครื่องมือแพทย์ที่มีมาตรฐานสากล (เช่น มาตรฐาน ISO 17025 หรือ Good Laboratory Practices และ ISO 10993 หรือ Bio-compatibility) การชักจูงให้เกิดการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่นเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ การพัฒนาบุคลากรสําหรับห้องปฏิบัติการให้มีคุณภาพ การทํากิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Business Matching) โดยกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย รวมทั้งการชักจูงให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของฟุกุชิม่ามาลงทุนในอีอีซีด้วย
ด้าน นายวินิจ ฤทธิ์ฉิ้ม ประธานกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเจ้าของบริษัทออโธพีเซีย เปิดเผยว่า เครื่องมือแพทย์และสุขภาพ นับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสําคัญและมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงานเป็นจํานวนมาก โดยธุรกิจผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ในปี 2558 มีมูลค่าอุตสาหกรรม 149,300 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดนําเข้า 56,745 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 38% ส่วนใหญ่นําเข้าจากประเทศสหรัฐฯ ขณะที่ยอดการส่งออกมีมูลค่า 92,603 ล้านบาท หรือสัดส่วน 62% เมื่อเทียบตัวเลขของการใช้ในประเทศ เมื่อความต้องการใช้ในประเทศมากจึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตไทยจะขยายธุรกิจเพิ่ม ยอมรับว่าเครื่องมือที่ผู้ผลิตไทยทําได้ แต่ยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากแพทย์คนไทย เช่น เครื่องมือแพทย์ชนิดพิเศษขนาดใหญ่อย่างที่นําเข้าจากสหรัฐ ผู้ผลิตไทยสามารถผลิตเองได้ แต่กลับยังไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่มีตลาดรองรับ ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงมีความจําเป็นมากที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยการลงนามความร่วมมือกับฟุกุชิม่าในครั้งนี้ จะช่วยปิดจุดอ่อนในเรื่องมาตรฐานและเพิ่มความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยด้วย
ทั้งนี้ ก่อนการลงนาม MOU ทั้งสองฉบับดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เป็นประธานในการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการ SMEs และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของทั้งสองประเทศประสบและจะนําข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมกันพัฒนากรอบความร่วมมือ และต่อยอดแนวทางที่ได้ดําเนินการไว้แล้วต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตสาหกรรม” ร่วมทัพ“สมคิด” โรดโชว์ EEC ญี่ปุ่น ดึง METI ช่วยปรับโครงสร้าง 10 อุตสาหกรรม S-Curve พร้อมจับมือเมืองโกเบและฟุกุชิมา ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ นำร่องเป็นอุตฯ แรก
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
“อุตสาหกรรม” ร่วมทัพ“สมคิด” โรดโชว์ EEC ญี่ปุ่น ดึง METI ช่วยปรับโครงสร้าง 10 อุตสาหกรรม S-Curve พร้อมจับมือเมืองโกเบและฟุกุชิมา ผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ นําร่องเป็นอุตฯ แรก
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ 4 – 9 มิถุนายน 2560
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ 4 – 9 มิถุนายน 2560 เพื่อหาทางสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจและบันทึกแสดงเจตจํานง จํานวน 5 ฉบับ เพื่อแสดงความร่วมมือในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนา SMEs ของทั้งสองประเทศด้วย
จากการที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้นําด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตเป็นหลักใช้แรงงานคนน้อย มีการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีความแม่นยําสูง อีกทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายผลักดันให้ SMEs ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งสอดรับกับนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ต้องการชักจูงการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งไทยจะเสนอให้ญี่ปุ่นเป็นหุ้นส่วนหลักในการพัฒนาอีอีซี และส่งเสริมให้นักลงทุนญี่ปุ่นรับทราบถึงสิทธิประโยชน์ของอีอีซีด้วย
สําหรับรายละเอียดของการลงนามบันทึกความเข้าใจของกระทรวงอุตสาหกรรมในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ที่รองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้เกียรติเป็นสักขีพยาน มี 2 ฉบับ คือ
1) บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับ จังหวัดฟุกุชิม่า มีเนื้อหาสําคัญของบันทึกความเข้าใจคือ การพัฒนาและเชื่อมโยง SMEs ของไทยและญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ในอนาคตของไทย โดยการลงนามความร่วมมือกับจังหวัดฟุกุชิม่าในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ก่อให้เกิดเวทีแห่งความร่วมมือในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ การส่งเสริมเชื่อมโยงธุรกิจ การพัฒนาสถานประกอบการและบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนา อันจะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้จริง
ทั้งนี้ จังหวัดฟุกุชิม่า เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์และเป็นแหล่งเทคโนโลยีด้านเลนส์ (Lens) ที่สําคัญของญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตเลนส์หลายบริษัทเช่น Sigma และ Olympus ด้วย โดยในปัจจุบันจังหวัดฟุกุชิม่าได้ให้ความสําคัญและก้าวขึ้นเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์แห่งฟุกุชิม่า (Fukushima Medical Device Industry Promotion Association - FMDIPA) ขึ้นเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง
2) บันทึกความเข้าใจ (MOU) 3 ฝ่ายระหว่างสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์แห่งฟุกุชิม่า (FMDIPA) ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจังหวัดฟุกุชิมา ที่ก่อให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ โดยหน่วยงานทั้ง 3 แห่ง จะร่วมมือกันต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ของ SMEs ของไทย และ ฟุกุชิม่า ให้มีมาตรฐานเพื่อการขยายตลาดทั้งในไทย อาเซียนและญี่ปุ่น โดยใช้ห้องปฏิบัติการทดสอบเครื่องมือแพทย์ที่มีมาตรฐานสากล (เช่น มาตรฐาน ISO 17025 หรือ Good Laboratory Practices และ ISO 10993 หรือ Bio-compatibility) การชักจูงให้เกิดการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่นเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ การพัฒนาบุคลากรสําหรับห้องปฏิบัติการให้มีคุณภาพ การทํากิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Business Matching) โดยกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย รวมทั้งการชักจูงให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของฟุกุชิม่ามาลงทุนในอีอีซีด้วย
ด้าน นายวินิจ ฤทธิ์ฉิ้ม ประธานกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเจ้าของบริษัทออโธพีเซีย เปิดเผยว่า เครื่องมือแพทย์และสุขภาพ นับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสําคัญและมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงานเป็นจํานวนมาก โดยธุรกิจผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ในปี 2558 มีมูลค่าอุตสาหกรรม 149,300 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดนําเข้า 56,745 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 38% ส่วนใหญ่นําเข้าจากประเทศสหรัฐฯ ขณะที่ยอดการส่งออกมีมูลค่า 92,603 ล้านบาท หรือสัดส่วน 62% เมื่อเทียบตัวเลขของการใช้ในประเทศ เมื่อความต้องการใช้ในประเทศมากจึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตไทยจะขยายธุรกิจเพิ่ม ยอมรับว่าเครื่องมือที่ผู้ผลิตไทยทําได้ แต่ยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากแพทย์คนไทย เช่น เครื่องมือแพทย์ชนิดพิเศษขนาดใหญ่อย่างที่นําเข้าจากสหรัฐ ผู้ผลิตไทยสามารถผลิตเองได้ แต่กลับยังไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่มีตลาดรองรับ ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงมีความจําเป็นมากที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยการลงนามความร่วมมือกับฟุกุชิม่าในครั้งนี้ จะช่วยปิดจุดอ่อนในเรื่องมาตรฐานและเพิ่มความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยด้วย
ทั้งนี้ ก่อนการลงนาม MOU ทั้งสองฉบับดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เป็นประธานในการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการ SMEs และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของทั้งสองประเทศประสบและจะนําข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมกันพัฒนากรอบความร่วมมือ และต่อยอดแนวทางที่ได้ดําเนินการไว้แล้วต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4313
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.